pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง พิพากษาด้วยเท่านั้นการที่ผู้ร้องยังไม่ชำระเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยมีผลเพียงทำให้ผู้ร้องยังไม่อาจจะเรียกร้องให้ จำเลยชำระหนี้ตอบแทน หามีผลทำให้สิทธิของผู้ร้องที่จะเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาหมดไปไม่ การที่ผู้ร้องยังคงมีสิทธิเช่นนี้เมื่อผู้ร้องได้ชำระเงินที่เหลือตอบแทนนั้นถือว่าผู้ร้องอยู่ในฐานะอันจะให้จด ทะเบียนสิทธิของตนเหนือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทได้อยู่ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โจทก์จึงหามีสิทธิขอให้บังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวอันเป็นการกระทบถึงสิทธิ ของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ไม่ ฎีกาที่ 1876/2550 ศาลพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยให้ จำเลยโอนที่ดินแก่ผู้ร้อง คดีถึงที่สุดแล้ว แม้กรรมสิทธิ์ในที่ดินยังไม่ได้เปลี่ยนมือและยังไม่ได้จดทะเบียนเป็น กรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องก็มีสิทธิที่จะจดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินก่อนโจทก์ย่อมจะขอให้เพิก ถอนการยึดของโจทก์ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 กรณีต่างกับมาตรา 1299 ซึ่งเป็นเรื่องของการได้มาซึ่ง ทรัพยสิทธิซึ่งยังไม่บริบูรณ์จนกว่าจะได้จดทะเบียนทรัพยสิทธินั้น ๆ แล้ว สิทธิของผู้ร้องดังกล่าวเป็นทรัพยสิทธิ ที่สามารถใช้ยันโจทก์ได้ โจทก์จะบังคับยึดที่ดินอันเป็นการกระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วไม่ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 ผู้ร้องมีสิทธิขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินได้ ฎีกาที่ 8870/2550 การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาท ยังไม่มีการจดทะเบียนสิทธิโอนที่ดิน พิพาท แต่เมื่อได้ยึดมาแล้วต้องนำออกขายทอดตลาด หากมีผู้ซื้อได้ก็ต้องมีการโอนทางทะเบียนให้แก่ผู้ซื้อ จึง มิใช่เพียงแต่ยึดไว้เท่านั้น การที่ศาลในคดีอื่นได้พิพากษาบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องแล้ว ที่ดิน พิพาทจะต้องตกเป็นของผู้ร้องเท่านั้น ไม่มีเหตุที่จะให้ที่ดินพิพาทหลุดมือจากผู้ร้องตกไปเป็นของผู้อื่น จึงถือได้ ว่าผู้ร้องอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 แม้โจทก์จะได้นำยึด ที่ดินพิพาทไว้ก่อนที่ศาลจะพิพากษาบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้อง แต่ศาลก็ไม่อาจปล่อยให้มีการขาย ทอดตลาดที่ดินพิพาทได้ เพราะผู้ที่ซื้อได้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับโอนเนื่องจากผู้ร้องเท่านั้นที่มีสิทธิจะได้รับโอน ทั้ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 ก็มีบทบัญญัติไม่ให้การยึดทรัพย์มีผลกระทบถึงสิทธิของผู้ร้อง *ฎีกาที่ 5088/2554 ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2538 ให้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยคดีดังกล่าวโอนที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์คดีดังกล่าวเข้าถือกรรมสิทธิ์รวม บางส่วน ซึ่งจำเลยที่ 2 จะจัดการโอนให้ภายใน 2 เดือน นับแต่วันที่ทำสัญญา หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษา แทนการแสดงเจตนานั้น เป็นข้อตกลงที่ให้คู่ความทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนกัน เมื่อ จำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ผู้ร้องต้องดำเนินการบังคับคดีภายใน 10 ปี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 การที่ผู้ร้องไปดำเนินการเพียงขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน แต่ขอให้รอเรื่องไว้ก่อนโดยไม่ยอมชำระเงิน ค่าธรรมเนียมในการโอนที่ดินตลอดมา จึงยังถือไม่ได้ว่าได้มีการร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาแล้ว เมื่อผู้ ร้องไม่ได้ดำเนินการบังคับคดีแก่ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้จนเกินกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่คำ พิพากษาถึงที่สุด ผู้ร้องจึงสิ้นสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่ที่ดินพิพาทและไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามคำ พิพากษาได้อีกต่อไป ผู้ร้องจึงไม่อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1300 และไม่ใช่ผู้ที่อาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมายตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 287 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องเพื่อขอกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด
pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง นักศึกษาครับ อาจารย์ขอฝากให้นักศึกษาไปดูข้อแตกต่างระหว่างมาตรา 237 กับมาตรา 1300 ว่าเป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งตามที่อาจารย์สรุปมาให้สั้นๆนั้น ข้อแตกต่างระหว่างมาตรา 237 กับ มาตรา 1300 นั้นมีดังต่อไปนี้ 1. มาตรา 237 เป็นการเพิกถอนนิติกรรมของลูกหนี้ส่วนมาตรา 1300 นั้น เป็นการเพิกถอนการ จดทะเบียนนิติกรรม 2. มาตรา 237 นั้นเป็นหนี้ที่มีเจ้าหนี้ส่วนมาตรา 1300 นั้น ไม่จำเป็นต้องมีเจ้าหนี้ก็ได้ 3. มาตรา 237 นั้น เป็นเรื่องลูกหนี้เอาเปรียบเจ้าหนี้โดยทำนิติกรรมซึ่งรู้ว่าจะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ส่วนมาตรา 1300 นั้น เป็นเรื่องการชิงตัดหน้าไปจดทะเบียนก่อน 4. บทบัญญัติในมาตรา 237 นั้น เป็นเรื่องของหนี้หรือบุคคลสิทธิส่วนมาตรา 1300 จะเป็นเรื่องที่ เกี่ยวกับทรัพย์สิทธิ 5. มาตรา 237 นั้นเกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ก็ได้ส่วนมาตรา 1300 จะเป็นเรื่องที่ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิ วันนี้อาจารย์ขอยุติการบรรยายแต่เพียงเท่านี้สวัสดีครับ สรุปและตรวจทานความถูกต้องโดย Admin
pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ ๑/๗๖ วิชา ทรัพย์-ที่ดิน (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.สมจิตร์ ทองศรี บรรยายวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๖ (ครั้งที่ 6) (สัปดาห์ที่ ๖) สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เป็นการบรรยายกฎหมายทรัพย์และที่ดินครั้งที่ ๖ ตรงกับวันอังคารที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๖๖ ครับ ครั้งที่แล้ว อาจารย์ได้พูดเรื่องการเพิกถอนการจดทะเบียนตามมาตรา ๑๓๐๐ ไปแล้ว วันนี้ เราจะพูด ถึงเรื่อง การระงับและกลับคืนมาแห่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ถ้านักศึกษาได้ดูโครงสร้างของมาตรา ๑๒๙๙ มาตรา ๑๓๐๐ มาตรา ๑๓๐๑ และมาตรา ๑๓๐๒ นักศึกษาจะเห็นได้เลยว่า โครงสร้างของกฎหมายในกลุ่มนี้จะเป็นการพูดถึงการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือ ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม และทางอื่นนอกเหนือจากนิติกรรมตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่งและวรรคสอง และได้มีการพูดถึงผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน การฟ้อง เพิกถอนการจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิที่ทำให้ตนเองเสียเปรียบตามมาตรา ๑๓๐๐ นอกจากนี้กลุ่มมาตราเหล่านี้ยังมีการนำไปใช้กับการได้มาหรือการระงับซึ่งทรัพยสิทธิอีกด้วย มาตรา ๑๓๐๑ บัญญัติว่า “บทบัญญัติแห่งสองมาตราก่อนนี้ ท่านให้ใช้บังคับถึงการเปลี่ยนแปลง ระงับ และกลับคืนมาแห่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นด้วยโดยอนุโลม” ดังนั้นถ้ามีเรื่องเกี่ยวกับ การเปลี่ยนแปลง การระงับและการกลับคืนมาของทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ก็จะต้องน ำมาตรา ๑๒๙๙ มาตรา ๑๓๐๐ มาวินิจฉัยประกอบกับมาตรา ๑๓๐๑ ด้วย ข้อพิจารณา ๑. มาตรา ๑๓๐๑ เป็นการพูดถึงการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลง ระงับและกลับคืนมาซึ่งทรัพยสิทธิ โดย ทางนิติกรรมและทางอื่นนอกเหนือจากนิติกรรม แต่ไม่ได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงการระงับและการกลับคืนมา ของตัวอสังหาริมทรัพย์แต่อย่างใด ดังนั้นมาตรา ๑๓๐๑ จะต้องเป็นการนำไปใช้กับภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์จำนองเป็นต้น ๒. เมื่อต้องนำมาตรา ๑๓๐๑ ไปใช้ประกอบกับมาตรา ๑๒๙๙ วรรคแรก ดังนั้นจึงต้องแปลว่าการ เปลี่ยนแปลงการระงับและการกลับคืนมาซึ่งทรัพยสิทธิโดยทางนิติกรรมย่อมไม่บริบูรณ์เว้น แต่จะได้ทำเป็น หนังสือและจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงการระงับ หรือการกับคืนมากับพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลง การระงับหรือการกลับคืนมาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม การเปลี่ยนแปลง การระงับและการกลับคืนมาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมนั้น ถ้ายังไม่จดทะเบียนจะเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้และจะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสีย ค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ๓. กรณีถ้าการเปลี่ยนแปลง การระงับและการกลับคืนมาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ นั้น เป็นการทำให้บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนเสียเปรียบ ผู้อยู่ในฐานะเช่นนั้น ย่อมขอให้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงระงับ หรือเพิกถอนทรัพยสิทธิดังกล่าวได้ เว้นแต่การเปลี่ยนแปลง การระงับและการกลับคืนมานั้นได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็จะฟ้องเพิกถอนไม่ได้ตามมาตรา ๑๓๐๐ ประกอบกับมาตรา ๑๓๐๑
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตัวอย่าง เรื่องการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงระงับและกลับคืนมาแห่งทรัพยสิทธิโดยทางนิติกรรม ๑. จดทะเบียนให้สิทธิอาศัยในโรงเรือนตลอดชีวิตของผู้อาศัย และภายหลังตกลงกันใหม่โดยให้มีสิทธิ อาศัยเพียง ๑๐ ปี กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสิทธิอาศัยจึงต้องจดทะเบียน ถ้าไม่จดทะเบียนก็ จะไม่บริบูรณ์ ๒. มีการจำนองทรัพย์ไว้ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมามีการเพิ่มเงินจำนองเป็น ๔๐๐,๐๐๐ บาท กรณี ดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องจำนวนเงินจำนอง จึงต้องมีการจดทะเบียนถ้าไม่จดทะเบียนก็จะไม่ บริบูรณ์ ๓. เคยมีการจดทะเบียนภาระจำยอมให้เดินเส้นทางสายเอ ต่อมาเจ้าของภารยทรัพย์ต้องการใช้ที่ดิน บริเวณนั้นและมีการเปลี่ยนแปลงให้ไปเดินทางสายบีแทน เช่นนี้ก็ถือเป็นการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงในเรื่อง ของภาระจำยอม ๔. การระงับซึ่งทรัพยสิทธิก็เช่น การไถ่ถอนจำนอง หรือการตกลงระงับสิทธิอาศัยหรือระงับภาระจำ ยอม เช่น มีการจดทะเบียนสิทธิอาศัยไว้ ๑๐ ปีแต่ต่อมามีการตกลงให้ระงับสิทธิอาศัยดังกล่าว หรือมีการจด ทะเบียนก่อตั้งถนนภาระจำยอม ๑๐ ปีแต่ต่อมาได้มีการยกเลิกไม่ใช้ถนนภาระจำยอมดังกล่าว กรณีเหล่านี้ก็ จะต้องมีการจดทะเบียนระงับซึ่งทรัพยสิทธิเหล่านั้น ๕. การจดทะเบียนกลับคืนมาซึ่งทรัพยสิทธิก็เช่น กรณีการไถ่ถอนการขายฝาก ซึ่งทำให้กรรมสิทธิ์ กลับคืนมายังผู้ขายฝาก ก็จะต้องมีการจดทะเบียน เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกฎหมายของบ้านเรานั้น ใช้ระบบจดทะเบียนในเรื่องเกี่ยวกับทรัพยสิทธิอัน เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อแสดงออกในทางทะเบียนเกี่ยวกับทรัพยสิทธิทั้งหลาย โดยเฉพาะทรัพยสิทธิที่ เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษตามมาตรา ๑๓๐๒ และการจดทะเบียนนั้นก็จะทำ ให้ปรากฏอยู่ในเอกสารมหาชน ซึ่งบุคคลภายนอกสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลได้ อันเป็นการคุ้มครองในทาง ทะเบียน มีข้อสังเกตว่า ในเรื่องการกลับคืนมาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดนั้น ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่า ถ้าผู้ ครอบครองปรปักษ์คืนที่ให้เจ้าของ หรือสละที่นั้นแล้ว โดยที่ยังไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ทางทะเบียน เจ้าของโฉนดยอมเข้าครอบครองได้โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนแก้ทางทะเบียนแต่อย่างใด โดยฎีกานี้เป็นการวางหลัก ว่า ในเรื่องการครอบครองปรปักษ์นั้นถ้าบุคคลที่ครอบครองปรปักษ์ยังมิได้ไปจดทะเบียนแล้วคืนกรร มสิทธิ์ ให้แก่เจ้าของ ในกรณีเช่นนี้เจ้าของไม่จำต้องจดทะเบียนการกลับคืนมาซึ่งกรรมสิทธิ์ดังกล่าว ฎีกาที่ ๑๓๘/๒๔๙๙ การครอบครองที่ดินในโฉนดของผู้อื่นเช่นในกรณีนี้เมื่อผู้ครอบครองคืนที่ให้ เจ้าของโฉนด(โจทก์)หรือสละทิ้งที่นั้นแล้วเจ้าของโฉนดในที่ตรงนั้น(โจทก์) ย่อมเข้าครอบครองถืออำนาจเป็น เจ้าของได้ต่อไปโดยไม่ต้องเปลี่ยนแก้ทางทะเบียนประการใด ตัวอย่าง การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงระงับและกลับคืนมาแห่งทรัพยสิทธิโดยทางอื่นนอกจาก นิติกรรม ๑. มีการได้ทางภาระจำยอมโดยอายุความ ตามมาตรา ๑๔๐๑ ประกอบมาตรา ๑๓๘๒ และได้มีการ จดทะเบียนภาระจำยอมแล้ว แต่ปรากฏว่าภายหลังจากที่มีการจดทะเบียนภาระจำยอมแล้วไม่ได้มีการใช้ ใน กรณีนี้ถือว่าภาระจำยอมสิ้นไปตามมาตรา ๑๓๙๙ การที่ภาระจำยอมสิ้นไปในกรณีนี้ถือว่าเป็นการสิ้นไปโดยผล ของกฎหมาย เท่ากับว่าภาระจำยอมเรื่องนี้ระงับไปโดยผลของกฎหมาย
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฉะนั้น จึงแปลความหมายได้อีกทางว่า ถ้ามีการก่อตั้งหรือจดทะเบียนภาระจำยอมโดยผลของกฎหมาย ถ้าภาระจำยอมดังกล่าวมีการระงับไปเนื่องจากไม่ได้ใช้ภาระจำยอมนั้น เท่ากับว่าทรัพยสิทธิดังกล่าวได้ระงับไป โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม หากยังไม่จดทะเบียนระงับ เจ้าของภารยทรัพย์จะจดเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ไม่ได้และจะยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียน สิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ ในกรณีดังกล่าว ภาระจำยอมระงับไปแล้ว แต่เจ้าของภารยทรัพย์ไม่ได้จดทะเบียนระงับภาระจำยอม ถ้าเจ้าของสามยทรัพย์โอนสามยทรัพย์ให้กับบุคคลภายนอก หากบุคคลภายนอกสุจริต และเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ตามมาตรา ๑๓๐๑ ประกอบกับมาตรา ๑๒๙๙ ก็ต้องแปลว่า เจ้าของภารยทรัพย์จะยกการระงับแห่งภาระจำยอมขึ้นต่อสู้กับบุคคลภายนอกผู้รับโอนสามยทรัพย์ไม่ได้ ในเรื่องนี้มีคำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยออกมาโดยเป็นเรื่องที่อาจารย์ไม่ค่อยจะเห็นด้วย ดังนี้ ฎีกาที่ ๘๐๐/๒๕๐๒ (ประชุมใหญ่) ภาระจำยอมจะสิ้นไปก็แต่เมื่อภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์สลายไป ทั้งหมดหรือมิได้ใช้สิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๙๗, ๑๓๙๙ และในลักษณะซื้อขาย ตาม มาตรา ๔๘๐ ก็ยังบัญญัติว่า "ถ้าอสังหาริมทรัพย์ต้องแสดงว่าตกอยู่ในบังคับแห่งภาระจำยอมโดยกฎหมาย ไซร้ ท่านว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิด เว้นแต่ผู้ขายจะได้รับรองไว้ในสัญญาว่าทรัพย์นั้นปลอดจากภาระจำยอมอย่าง ใดๆ ทั้งสิ้นหรือปลอดจากภาระจำยอมอันนั้น" ตามมาตรา ๑๒๙๙ หมายถึงแต่กรณีที่บุคคลได้มาโดยสุจริตซึ่งทรัพย์สิทธิอันเดียวกันกับสิทธิที่ยังไม่ได้ จดทะเบียน ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งมีภาระจำยอมติดอยู่ หาได้สิทธิในภาระจำยอมไปด้วยแต่อย่างไรไม่ สำหรับที่ดินอันเป็นภารยทรัพย์นั้น ภาระจำยอมที่มีอยู่เป็นแต่การรอนสิทธิตาม มาตรา ๔๘๐ เท่านั้น ผู้รับโอน กรรมสิทธิ์ที่ดินจะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภาระจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินนั้นต้องสิ้น ไปหาได้ไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๗/๒๕๐๒) ข้อพิจารณา ในคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทในโฉนดเลขที่ ๑๗๗๓ เข้าออกสู่ทางสาธารณะมา ประมาณ ๔๐ ถึง ๕๐ ปีแล้วทางดังกล่าวเป็นภาระจำยอม จึงเป็นการฟ้องว่าโจทก์ได้ภาระจำยอมมาโดยอายุ ความ ต่อมาเจ้าของได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๗๓ ให้กับจำเลย จากนั้นจำเลยจึงปิดทางภาระจำยอมดังกล่าว โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องศาลให้จำเลยรั้วที่ปิดทางภาระจำยอม และพิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม และบังคับให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำยอม จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยได้ซื้อมาโดยจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตและไม่ รู้ว่ามีทางเดินผ่าน แม้โจทก์จะเดินผ่านก็ไม่ใช่ภาระจำยอม ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้เดินทางพิพาทเป็นภาระจำยอมโดยอายุความจำเลยซื้อที่ดินดังกล่าว มาโดยไม่ทราบ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าตามมาตรา ๑๒๙๙ นั้นสิทธิที่ยังไม่ได้จดทะเบียนกับสิทธิที่บุคคลภายนอก ได้ไปนั้นต้องเป็นสิทธิอันเดียวกัน กล่าวคือ ในคดีนี้โจทก์ได้ภาระจำยอมโดยอายุความ ส่วนจำเลยได้มาซึ่ง กรรมสิทธิ์โดยการจดทะเบียน ดังนั้นจำเลยจะยกข้อต่อสู้ว่าตนได้รับกรรมสิทธิ์มาโดยจดทะเบียนและเสีย ค่าตอบแทนโดยสุจริตเพื่อทำให้ภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าวหมดไปไม่ได้(กล่าวคือ ฎีกานี้เป็นการวางหลักว่า เมื่อจำเลยได้ที่ดินอันเป็นภารยทรัพย์มา ภารยทรัพย์ก็ยังคงอยู่บนที่ดินนั้น แม้จำเลยจะต่อสู้ว่าตนได้รับ กรรมสิทธิ์มาโดยจดทะเบียนและเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตก็ตาม เพราะสิทธิที่จำเลยได้มานั้นเป็นกรรมสิทธิ์ใน ภารยทรัพย์มิใช่ภาระจำยอม จำเลยจึงยกเรื่องการระงับไปซึ่งภาระจำยอมขึ้นต่อสู้เจ้าของที่ดินซึ่งเป็น สามยทรัพย์ไม่ได้)
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ต่อมามีฎีกาที่ ๑๑๙๔/๒๕๕๘ และฎีกาที่ ๑๓๗๔๗/๒๕๕๘ วินิจฉัยวางหลักว่า การระงับแห่งภาระจำ ยอมเพราะไม่ได้ใช้ ๑๐ ปีถ้ายังมิได้จดทะเบียนระงับภาระจำยอม บุคคลภายนอกผู้รับโอนสามยทรัพย์มาโดย เสียค่าตอบแทนและสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าของภารยทรัพย์ เพื่อให้ภาระจำยอมยังคงมีอยู่ตามที่จดทะเบียนไม่ได้กรณีไม่อยู่ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ข้อพิจารณา สำหรับฎีกาที่ ๑๑๙๔/๒๕๕๘ และฎีกาที่ ๑๓๗๔๗/๒๕๕๘ มีข้อแตกต่างจากฎีกาที่ ๘๐๐/๒๕๐๒ อยู่ว่า ฎีกาที่ ๑๑๙๔/๒๕๕๘ และฎีกาที่ ๑๓๗๔๗/๒๕๕๘ นั้น ภาระจำยอมที่ได้มาเป็นภาระจำ ยอมบนสามยทรัพย์ ส่วนฎีกาที่ ๘๐๐/๒๕๐๒ ภาระจำยอมนั้นเป็นภาระจำยอมของภารยทรัพย์ กล่าวคือ ตามฎีกาที่ ๑๑๙๔/๒๕๕๘ และฎีกาที่ ๑๓๗๔๗/๒๕๕๘ นั้น ถ้าภาระจำยอมได้สิ้นไปแล้วโดย อายุความ แม้ยังไม่ได้จดทะเบียนระงับภาระจำยอม แต่บุคคลภายนอกที่รับโอนสามยทรัพย์ก็จะยกข้อต่อสู้ขึ้น ยันกับเจ้าของภารยทรัพย์เพื่อให้ภาระจำยอมยังคงมีอยู่บนที่ดินของตน ตามที่เคยจดทะเบียนไม่ได้ เพราะภาระ จำยอมนั้นได้ระงับไปโดยผลของกฎหมายแล้วแม้ยังมิได้จดทะเบียน ผู้รับโอนที่ดินซึ่งเคยเป็นสามยทรัพย์จึงไม่ สามารถกล่าวอ้างถึงภาระจำยอมที่เจ้าของคนเดิมมีได้ ฎีกาที่ ๑๑๙๔/๒๕๕๘ ศาลฎีกาได้พิจารณาต่อไปว่า ทั้งกรณีเช่นนี้ตามบทบัญญัติใน ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง บัญญัติว่า “...สิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้นมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมา โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต” นั้น หมายความถึง กรณีที่บุคคลได้มา โดยสุจริตซึ่งทรัพยสิทธิอันเดียวกับทรัพยสิทธิที่ยังมิได้จดทะเบียนนั้น กรณีตามที่โจทก์อ้างเป็นการใช้สิทธิ ประเภทกรรมสิทธิ์ในที่ดินสามยทรัพย์ ส่วนภาระจำยอมเป็นสิทธิในประเภทรอนสิทธิจึงมิใช่การโต้เถียงกันใน เรื่องการได้สิทธิในทรัพยสิทธิประเภทเดียวกับสิทธิของบุคคลภายนอกที่ยังไม่จดทะเบียน แต่เป็นกรณีที่มีนิติ กรรมอันก่อให้เกิดภาระจำยอม เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของผู้ขายเดิมอันเป็นสามยทรัพย์ เมื่อผู้ขายเดิมได้โอน กรรมสิทธิ์ในที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์แก่โจทก์แล้ว ภาระจำยอมย่อมติดไปกับสามยทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๙๓ วรรคหนึ่ง ซึ่งภาระจำยอมจะสิ้นไปก็แต่เมื่อภาระจำยอมหรือสามยทรัพย์สลายไปทั้งหมดหรือมิได้ใช้ ๑๐ ปี ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๙๗ และมาตรา ๑๓๙๙ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าภาระจำยอมได้สิ้น ไปแล้วเพราะมิได้ใช้ ๑๐ ปี จำเลยจึงมีสิทธิฟ้องแย้งบังคับให้โจทก์ในฐานะเจ้าของที่ดินอันเป็นสามยทรัพย์จด ทะเบียนปลอดภาระจำยอมในที่ดินพิพาทได้และโจทก์จะยกการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยเสีย ค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตเป็นข้อต่อสู้เพื่อไม่ให้ภาระจำยอมที่มีอยู่ในที่ดิน พิพาทสิ้นไปหาได้ไม่ ฎีกาที่ ๑๓๗๔๗/๒๕๕๘ ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนด เลขที่ ๒๗๖๖๗ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๓๙ โจทก์มอบอำนาจให้ นาย ม. จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินยินยอมให้ที่ดินโจทก์ด้านทิศตะวันออกกว้าง ๘ เมตร ยาวตลอดแนว ที่ดินซึ่งเป็นทางพิพาทตกอยู่ในบังคับภาระจำยอม เรื่องทางเดินแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๓๐๖ และ ๒๒๖ ซึ่ง ขณะนั้นนาย ส. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่นาย ส. ไม่เคยใช้ประโยชน์ในทางเดินทางพิพาทซึ่งจดทะเบียนเป็น ภาระจำยอมมาเกินกว่า ๑๐ ปี ต่อมาวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๓๐๖ และ ๒๒๖ ของนาย ส. ตกมาเป็นของจำเลยโดยจำเลยซื้อและรับโอนมาจากบริษัท บ. คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์อ้างการระงับซึ่งภาระจำยอมบนที่ดิน โจทก์ต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๓๐๖ และ ๒๒๖ ได้หรือไม่
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทางพิพาทสิ้นสภาพภาระจำยอมเพราะไม่ได้ใช้เกินกว่า ๑๐ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๙๙ แล้ว ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น เมื่อทางพิพาทหมดสภาพเป็นภาระจำยอมจึง เป็นกรณีทรัพยสิทธิเป็นอันระงับไปตามกฎหมายซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่น นอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้นถ้ายังไม่ได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้รับสิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน และโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว” ประกอบกับมาตรา ๑๓๐๑ ที่บัญญัติว่า “บทบัญญัติแห่งสอง มาตราก่อนนี้ท่านให้ใช้บังคับถึงการเปลี่ยนแปลง ระงับและกลับคืนมาแห่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์นั้นด้วยโดยอนุโลม” ดังนั้น กรณีถ้ายังมิได้มีการจดทะเบียนระงับทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ย่อมมิอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้มาโดยเสีย ค่าตอบแทนและสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริต แต่บุคคลภายนอกตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องเป็นบุคคล ที่ได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเดียวกันกับทรัพยสิทธิที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น การที่จำเลยจะสามารถอ้างว่าซื้อที่ดิน ทั้งสองแปลงดังกล่าวมาโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทนต่อสู้สิทธิของโจทก์จึงต้องเป็นสิทธิเกี่ยวกับทรัพยสิทธิ ประเภทเดียวกัน ดังนั้น จำเลยจะยกการรับโอนดังกล่าวขึ้นต่อสู้เพื่อให้ภาระจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินโจทก์ยังคงมี อยู่ตามที่ได้จดทะเบียนไว้หาได้ไม่ จำเลยซึ่งเป็นผู้รับโอนสามยทรัพย์มาจากเจ้าของเดิมย่อมต้องสืบสิทธิจากเจ้า ของเดิมอันเกี่ยวกับสามยทรัพย์ โจทก์จึงอ้างการระงับซึ่งภาระจำยอมบนที่ดินโจทก์ต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๒๓๐๖ และ ๒๒๖ ได้ ศาลฎีกาพิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มาตรา ๑๓๐๒ บัญญัติว่า “บทบัญญัติแห่งสามมาตราก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้น ไป ทั้งแพและสัตว์พาหนะด้วยโดยอนุโลม” กล่าวคือ สังหาริมทรัพย์พิเศษที่จะต้องมีการจดทะเบียนเป็น ทรัพย์สินที่จะต้องมีการแสดงออกทางทะเบียน ดังนั้น การได้มาซึ่งสังหาริมทรัพย์พิเศษโดยทางนิติกรรม โดย หลักแล้วก็จะต้องทำการจดทะเบียนตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง หากได้มาโดยทางอื่นก็จะต้องนำบทบัญญัติ ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง มาใช้บังคับด้วย แต่ถ้ามีการดำเนินการทำให้ตนอยู่ในฐานะผู้อันจะให้จดทะเบียน สิทธิของตนได้อยู่ก่อน แล้วมีการเสียเปรียบก็จะต้องมีการเพิกถอนการจดทะเบียนตามมาตรา ๑๓๐๐ ถ้ามีการ จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงระงับหรือกลับคืนมาซึ่งทรัพยสิทธิในสังหาริมทรัพย์พิเศษนั้น ก็จะต้องเป็นไปตาม มาตรา ๑๓๐๑ ด้วย มาตรา ๑๓๐๔ สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน มาตรา ๑๓๐๔ เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งเป็นมาตราที่มีการใช้มาก พอสมควร โดยในเรื่องทรัพย์สินของแผ่นดิน มาตรา ๑๓๐๔ เป็นบทบัญญัติที่อธิบายว่าสาธารณสมบัติของ แผ่นดินคืออะไร ส่วนมาตรา ๑๓๐๕ เป็นข้อกำหนดห้ามโอนทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และ มาตรา ๑๓๐๖ นั้น เป็นข้อกำหนดห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณะ สมบัติของแผ่นดิน นอกจากนี้มาตรา ๑๓๐๗ ยังเป็นบทบัญญัติที่กำหนดว่าทรัพย์สินของแผ่นดินนั้นไม่ว่าจะ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ก็ห้ามมิให้มีการยึดทรัพย์สินดังกล่าว มาตราในกลุ่มนี้เป็นมาตราที่มีการใช้กันค่อนข้างมากพอสมควร ดังนั้นในวันนี้อาจารย์จะมาอธิบาย ข้อสังเกตในเรื่องเกี่ยวกับสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มาตรา ๑๓๐๔ บัญญัติว่า สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อ สาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น (๑) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่น ตามกฎหมายที่ดิน (๒) ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นต้นว่า ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ (๓) ทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่า ป้อมและโรงทหาร สำนักราชการ บ้านเมือง เรือรบ อาวุธยุทธภัณฑ์ ข้อสังเกต ทรัพย์สินธรรมดาของรัฐ ทรัพย์สินธรรมดาของรัฐนั้นไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน กล่าวคือ ทรัพย์สินธรรมดาของรัฐนั้น ไม่ ว่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน แต่มิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน อาทิ รถยนต์ของหน่วยงานราชการ เครื่องพิมพ์ดีด หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานราชการก็ถือเป็น ทรัพย์สินของแผ่นดินเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ทรัพย์สินของแผ่นดิน ยังหมายรวมถึงทรัพย์ที่ศาลสั่งริบตามกฎหมายอาญาด้วย หรือ ทรัพย์ที่ตกทอดแก่แผ่นดิน ที่เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งถึงแก่ความตายแล้ว ไม่มีทายาทมารับทอดทรัพย์สินนั้น ทรัพย์สินนั้นก็จะตกเป็นของแผ่นดิน หรือเงินที่ค้างจ่ายอยู่ในศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีถ้าผู้ที่มีสิทธิไม่ เรียกเอาภายในห้าปีก็จะตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๓๒๓ ทรัพย์สิน เหล่านี้ถือเป็นทรัพย์ของแผ่นดินแต่เป็นทรัพย์สินธรรมดา ซึ่งทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดานี้อาจโอนกันได้ เช่นเดียวกับทรัพย์สินเอกชน สามารถเข้าครอบครองโดยได้กรรมสิทธิ์ได้และสามารถถูกแย่งการครอบครองได้ แต่ทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดานั้นมาตรา ๑๓๐๗ ห้ามมิให้ทำการยึดเพื่อชำระหนี้ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน (๑) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดย ประการอื่น ตามกฎหมายที่ดิน ที่ดินรกร้างว่างเปล่า หมายถึง ที่ดินซึ่งเอกชนไม่เคยมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วย กฎหมายมาก่อน แต่ถ้าเป็นที่ดินที่เอกชนเคยมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองมาก่อน แม้จะทอดทิ้งให้นาน เท่าไหร่ก็ไม่ตกเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ฎีกาที่ ๖๔๑๒/๒๕๕๐ ที่พิพาทเดิมเป็นที่ป่า แต่ต่อมาได้ถูกถอนสภาพ ที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔ (๑) ผู้ครอบครองที่พิพาทโดยมีเจตนายึดถือเพื่อตนย่อมมีสิทธิ ครอบครองในที่ดินได้ ข้อพิจารณา ที่ดินในคดีนี้ เดิมที่พิพาทเป็นที่ป่าได้ถูกเพิกถอนสภาพ แต่ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้จำหน่าย ที่ดินพิพาทดังกล่าวออกจากเขตป่าเพื่อให้ราษฎรนำที่ดินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ เท่ากับว่าที่ป่านั้นถูกเพิกถอน สภาพจากสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เป็นที่รกร้างว่างเปล่าแล้ว ในกรณีเช่นนี้ชาวบ้านสามารถเข้าไป ครอบครองเพื่อทำกินได้
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ ๓๗๙/๒๕๕๒ คำว่า ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔ (๑) หมายถึง ที่ดินที่ เอกชนไม่เคยมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายมาก่อนข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินพิพาท เดิมทางราชการเคยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ให้โดยชอบ ที่ดินพิพาทจึงหาใช่ที่ดินรกร้าง ว่างเปล่าไม่ ที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืน หมายถึง ที่ดินที่เอกชนเคยเป็นเจ้าของแต่ได้เวนคืนแก่รัฐตามประมวลกฎหมาย ที่ดินมาตรา ๕ ที่ดินซึ่งมีผู้ทอดทิ้ง หมายถึง ที่ดินที่เอกชนเป็นเจ้าของแต่ทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ในที่ดินตามประมวล กฎหมายที่ดินมาตรา ๖ ที่กำหนดว่า บุคคลใดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดที่ดินหรือตามหนังสือรับรองการทำ ประโยชน์หากบุคคลนั้นทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ในที่ดินหรือปล่อยที่ดินให้เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าเกิน กำหนดเวลาดังนี้ ถ้าเป็นที่ดินมีโฉนดหากทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์เกิน ๑๐ ปีติดต่อกัน หรือที่ดินที่มีหนังสือ รับรองการทำประโยชน์ทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ห้าปีติดต่อกัน ให้ถือว่ามีเจตนาสละสิทธิ์เฉพาะส่วนของที่ดินที่ ทอดทิ้งไม่ทำประโยชน์ เมื่ออธิบดีกรมที่ดินได้ยื่นคำร้องต่อศาลและศาลได้สั่งเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ดังกล่าว ให้ที่ดินนั้นตกเป็นของรัฐเพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายที่ดินต่อไป ที่ดินซึ่งกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่น หมายถึง ที่ดินที่กลับมาเป็นของแผ่นดินตาม พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือรัฐต้องการที่จะทำสาธารณูปโภคไม่ว่าจะเป็นถนนหรือรถไฟฟ้า จึงได้มีการทำการเวนคืนที่ดินจากเอกชนเพื่อเข้ามาทำประโยชน์ ที่ดินดังกล่าวจึงถือเป็นสาธารณสมบัติของ แผ่นดิน (๒) ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นต้นว่า ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน หมายถึง ทรัพย์สินที่ประชาชนทั่วไปมีสิทธิใช้สอยร่วมกันได้ เช่น ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ โดยที่ชายตลิ่งหมายถึงที่ที่เมื่อถึงฤดูน้ำ น้ำจะท่วมถึงทุกปี ซึ่งที่ชายตลิ่ง นี้จะมีลักษณะคล้ายกับที่งอกริมตลิ่งแต่ไม่เหมือนกัน โดยถ้าที่ดินใดที่ดินหนึ่งนั้นเมื่อถึงฤดูน้ำน้ำจะท่วมถึงทุกปี ก็จะเป็นที่ชายตลิ่งซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนสามารถใช้ร่วมกันได้ ที่ดินอื่นที่เป็นสาธารณสมบัติแผ่นดินก็เช่น ที่ดินที่ราษฎรใช้เก็บผัก หาฟืนและเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ ร่วมกันมานานเป็น ๑๐๐ ปี หรือทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน หรือหนองน้ำที่ประชาชนใช้หาปลาเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน คูน้ำ บ่อน้ำ ลำราง ลำกระโดง หรือที่สาธารณะประจำหมู่บ้าน เป็นต้น (๓) ทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่า ป้อมและโรงทหาร สำนักราชการ บ้านเมือง เรือรบ อาวุธยุทธภัณฑ์ ทรัพย์สินใดก็ตามที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือ สังหาริมทรัพย์ที่ราชการสงวนไว้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน เช่น สถานที่ราชการ ที่ราชพัสดุ ที่ดินในป่าสงวน ที่ดินที่กระทรวงเกษตรหวงห้ามไว้ใช้ประโยชน์ เหล่านี้ย่อมเป็นที่ดินที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ข้อสังเกตเกี่ยวกับสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ๑. ทรัพย์สินใดจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่อยู่ที่สภาพของทรัพย์สินนั้น สภาพของทรัพย์สินนั้นมีอยู่สองประการ คือสภาพทางกายภาพ และสภาพในการที่ประชาชนหรือ พลเมืองจะใช้ร่วมกันหรือใช้ประโยชน์ร่วมกันได้
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ทรัพย์สินของแผ่นดินจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาพของตัวทรัพย์นั้นว่า ราษฎรได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่ ถ้าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ ประชาชนใช้ร่วมกันย่อมเป็นที่สาธารณะประโยชน์ ฎีกาที่ ๒๔๔/๒๕๔๕ ทรัพย์สินของแผ่นดินจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ขึ้นอยู่กับสภาพ ของตัวทรัพย์นั้นว่าราษฎรได้ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เมื่อที่ดินพิพาทเป็น ส่วนหนึ่งของที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน แม้ทางราชการจะไม่ได้ทำหลักฐานหรือขึ้นทะเบียนไว้ ที่ดินพิพาทก็ยังคงเป็นสา ธารณสมบัติของแผ่นดินตามกฎหมายที่ไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินและไม่อาจโอนให้แก่กันได้ เว้น แต่จะอาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ฎีกาที่ ๒๗๔๔/๒๕๔๖ จำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาทที่เช่าจากโจทก์ ต่อมาที่ดินพิพาทใต้อาคารบ้านที่ จำเลยปลูกสร้างถูกน้ำกัดเซาะเป็นเหตุให้ตลิ่งพังทลายลงสู่แม่น้ำ ที่ดินพิพาทกลายสภาพเป็นที่ชายตลิ่งโดยที่ จำเลยยังคงทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ตลอดมา ซึ่งโจทก์ก็ยังคงสงวนสิทธิแห่งความเป็นเจ้าของที่ดิน พิพาทโดยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เป็นค่าเช่าที่ดินพิพาทอยู่ มิได้ปล่อยทิ้งให้เป็นที่ชายตลิ่งที่ประชาชนทั่วไปจะ เข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงมิใช่ที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔(๒) เมื่อสัญญาเช่าที่ดินพิพาทสิ้นสุดลงและล่วงเลยเวลาที่ โจทก์ผ่อนผันให้จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์อีกต่อไป โจทก์มี สิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ หมายเหตุฎีกานี้ท่านอาจารย์ได้นำไปออกสอบแล้ว ฎีกาที่ ๓๐๙๓/๒๕๒๓ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทยังเป็นของโจทก์กับพวกอยู่ แม้น้ำจะเซาะที่ดิน โจทก์กับพวกตรงที่พิพาทจนกลายสภาพเป็นที่ชายตลิ่งไปแล้วก็ตาม แต่โจทก์กับพวกก็ยังใช้สิทธิเป็นเจ้าของ โดยใช้เป็นทางเข้าออกอยู่ มิได้ทอดทิ้งให้เป็นที่สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ที่พิพาทจึงไม่เป็นที่สาธารณสมบัติของ แผ่นดิน ฎีกาที่ ๑๒๐๖/๒๕๓๐ ที่ดินของโจทก์ส่วนที่เป็นที่ลาดลงไปสู่แม่น้ำถูกน้ำท่วมถึงเป็นบางฤดูกาล เพราะ ที่ดินส่วนนี้ถูกน้ำเซาะพังเป็นที่ลาดต่ำลงไป เมื่อไม่ปรากฏว่ามีประชาชนเข้าใช้ที่ส่วนนี้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ที่ ส่วนนี้ก็ยังเป็นที่ดินของโจทก์ หากลายเป็นทางน้ำหรือที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ ฎีกาที่ ๓๘๗๔/๒๕๕๔ ที่ดินที่อยู่ริมแม่น้ำและถูกน้ำเซาะจนตลิ่งพังทลายลงไปอยู่ใต้พื้นน้ำ จะถือว่า เป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก็ต่อเมื่อเจ้าของที่ดินนั้นมิได้สงวนสิทธิหรือหวงกันไว้จน กลายเป็นพื้นที่ที่ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้ประโยชน์ได้เท่านั้น ๒. การอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) สามารถทำได้โดย แจ้ง เจตนาชัดแจ้งและแสดงเจตนาโดยปริยาย ฎีกาที่ ๓๖๕๖/๒๕๒๘ จำเลยทำหนังสืออุทิศที่ดินของจำเลยให้ทางราชการ เพื่อให้ทำถนนและคลอง ส่งน้ำแม้มิได้จดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็ถือได้ว่าเป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของ แผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามป.พ.พ.มาตรา ๑๓๐๔ การอุทิศที่ดินของจำเลยมีผลสมบูรณ์ตาม กฎหมายโดยไม่จำต้องมีการจดทะเบียน
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ ๑๗๒/๒๕๓๖ การที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินคนเดิมยอมให้ประชาชนทั่วไปใช้ทางพิพาท สัญจรไปมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้อุทิศที่ดินตามทางพิพาทให้เป็นสาธารณะโดย ปริยายแล้วทางพิพาทจึงเป็นทางสาธารณะ จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินมาจากจำเลยที่ ๑ ไม่มี สิทธิปิดกั้นและไม่มีอำนาจห้ามมิให้ประชาชนใช้สัญจรผ่านไปมา ฎีกาที่ ๗๖๓๘/๒๕๓๘ การทำหนังสือยกให้ที่พิพาทเป็นที่สร้างวัด ถือได้ว่ามีเจตนาอุทิศที่พิพาทเพื่อใช้ สร้างวัด พี่พิพาทย่อมตกเป็นของแผ่นดินสำหรับใช้เป็นที่สำหรับสร้างวัด ตามเจตนาของผู้อุทิศทันทีโดยไม่ จำต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนยกการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ แพ่งมาตรา ๕๒๕ อีกแต่อย่างใด ฎีกาที่ ๑๒๖๒๘/๒๕๕๕ การยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะ ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสาร มาแสดง โจทก์ทั้งสามจึงสามารถนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งได้ การนำสืบพยาน บุคคลเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้น หมายถึงการนำสืบพยานบุคคลถึง ข้อความอื่นให้แตกต่างไปจากข้อความที่ปรากฏอยู่ในเอกสารนั้น แต่ที่โจทก์ทั้งสามนำสืบพยานบุคคลประกอบ เอกสารหมาย จ.๑๑ นั้น เป็นการนำสืบถึงความมีอยู่จริงของข้อความที่ปรากฏอยู่แล้วในเอกสาร มิใช่นำสืบ ข้อความอื่นที่แตกต่างไปจากข้อความในเอกสารจึงมิใช่การนำสืบเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงข้อความใน เอกสารแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ส. บุตรจำเลยเป็นผู้เขียนข้อความทั้งหมดลงในเอกสารหมาย จ.๑๑ แม้ข้อความ ตามหมายเหตุในเอกสารดังกล่าวจะมิได้มีอยู่ในขณะที่จำเลยลงลายมือชื่อก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ทั้งสามโต้แย้งว่า ไม่ตรงกับความจริงเพราะเงิน ๑๓๐,๐๐๐ บาท มิใช่เงินตอบแทนจดทะเบียนภาระจำยอม แต่เป็นเงินที่จำเลย ต้องดำเนินการโอนที่ดินพิพาทให้เป็นทางสาธารณะ จำเลยก็ให้ ส. เขียนข้อความหมายเหตุไว้ว่าจำเลยจะยก ทางให้เป็นทางสาธารณะภายใน ๑ ปี จึงถือว่าข้อความตามหมายเหตุนั้นมีอยู่ในขณะที่จำเลยจัดทำเอกสาร หมาย จ.๑๑ ก่อนที่จำเลยจะส่งมอบให้โจทก์ทั้งสามเก็บรักษาไว้ กรณีจึงมิใช่การเพิ่มเติมข้อความในภายหลังที่ จำเลยจะต้องลงลายมือชื่อกำกับไว้ด้วย จำเลยจึงมีความผูกพันต่อโจทก์ทั้งสามที่จะต้องจดทะเบียนที่ดินพิพาท ให้เป็นทางสาธารณะตามข้อความในหมายเหตุเอกสารหมาย จ.๑๑ ฎีกาที่ ๔๓๗๗/๒๕๔๙ ช. ยกทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว แม้จะระบุว่า ช. จะมาจดทะเบียนให้ เสร็จภายใน ๓ วัน แต่เป็นการยกให้เป็นทางสาธารณะจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยสมบูรณ์ตาม กฎหมายทันทีที่ ช. ได้แสดงเจตนาโดยไม่จำต้องจดทะเบียนโอนสิทธิการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๒๕ อีก ทั้งการยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะไม่ต้องมีนายอำเภอหรือนายกเทศมนตรีในท้องที่แสดง เจตนารับ วันนี้อาจารย์ขอยุติการบรรยายเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ ***จบการบรรยาย*** สรุปโดย A0 ตรวจทานC2
pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ ๑/๗๖ วิชา ทรัพย์-ที่ดิน (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.สมจิตร์ ทองศรี บรรยายวันที่ 4 กรกฎาคม ๒๕๖๖ (ครั้งที่ 7) (สัปดาห์ที่ 7) สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เป็นการบรรยายวิชากฎหมายทรัพย์และที่ดินครั้งที่ 7 ซึ่งในครั้งที่แล้วนั้น เราได้พูดถึงสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ในมาตรา 1304 โดยอาจารย์ได้ยกตัวอย่างให้เห็นว่าอะไรบ้างที่ถือว่า เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และในตอนท้าย เราได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เอาไว้ ผ่านไปข้อ 1 แล้วนะครับ ข้อที่สำคัญก็คือทรัพย์สินใดจะถือว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่นั้น ให้เราพิจารณาที่สภาพของทรัพย์สินนั้น โดยอาจารย์ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่าสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ไม่ใช่พิจารณาเฉพาะแต่สภาพทางกายภาพเท่านั้น แต่จะต้องพิจารณาสภาพของตัวทรัพย์ด้วย ว่าทรัพย์นั้น เป็นทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ร่วมกันหรือไม่ หรือเจ้าของยังหวงกันอยู่หรือไม่ หากเจ้าของยังคงหวงกันอยู่กรณีนี้ ก็ไม่สามารถที่จะตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้โดยกายภาพจะถือว่าเป็นทางน้ำไปแล้วก็ตาม ประเด็นต่อไป เราจะมาดูข้อสังเกตอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือในเรื่องของการอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามมาตรา 1302 ก็ดี หรืออุทิศเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ตามมาตรา 1304 (3) ก็ดี กรณีนี้ผู้อุทิศสามารถที่จะกระทำได้ โดยสามารถแสดงเจตนาให้ชัดแจ้งและ สามารถกระทำได้โดยอุทิศโดยปริยายก็ได้และการอุทิศที่ดินนั้น ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งหลักกฎหมายตรงจุดนี้มาจากคำพิพากษาของศาลฎีกาต่างๆ โดยศาลฎีกาได้วางหลักกฎหมายเอาไว้ว่าการอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม มาตรา 1304 (2) นั้น จะทำโดยปริยายก็ได้ ฎีกาที่ 3656/2528 จำเลยทำหนังสืออุทิศที่ดินของจำเลยให้ทางราชการเพื่อให้ทำถนนและคลองส่ง น้ำแม้มิได้จดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ถือได้ว่าเป็นการสละที่ดินให้เป็นสาธารณสม บัติของ แผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามป.พ.พ.มาตรา1304การอุทิศที่ดินของจำเลยมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย โดยไม่จำต้องมีการจดทะเบียน ฎีกาที่ 3252/2530 แม้ขณะ ส.อุทิศที่พิพาทให้แก่สุขาภิบาลโจทก์ส. มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ร่วมกับผู้อื่น แต่ปรากฏตามเอกสารว่าส. ได้อุทิศที่ดินเฉพาะส่วนของตน ทั้งโจทก์ได้เข้าพัฒนาทำเป็นทาง สาธารณะและราษฎรได้ใช้สอยทางนี้ตลอดมา เช่นนี้แสดงว่าเจ้าของรวมคนอื่น ๆ ยินยอมให้ที่พิพาทเป็นส่วน ของส. ที่พิพาทจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันทันทีหาจำต้องจดทะเบียนไม่ และการที่โจทก์เข้าพัฒนาที่พิพาทถือไม่ได้ว่าเป็นการที่โจทก์ครอบครองที่พิพาทและโดยเจตนาเป็นเจ้าของ ฎีกาที่ 172/2536 การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินคนเดิมยอมให้ประชาชนทั่วไปใช้ทางพิพาท สัญจรไปมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้อุทิศที่ดินตามทางพิพาทให้เป็นสาธารณะโดย ปริยายแล้วทางพิพาทจึงเป็นทางสาธารณะ จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินมาจากจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิปิดกั้นและไม่มีอำนาจห้ามมิให้ประชาชนใช้สัญจรผ่านไปมา
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 7638/2538 การทำหนังสือยกให้ซึ่งที่พิพาทสำหรับเป็นที่ในการสร้างวัด ถือได้ว่ามีเจตนา อุทิศที่พิพาทเพื่อใช้สร้างวัด ที่พิพาทย่อมตกเป็นของแผ่นดินสำหรับใช้เป็นที่สำหรับสร้างวัดโจทก์ตามเจตนา ของผู้อุทิศให้ทันทีโดยไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการยกให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 525 อีกแต่อย่างใด ฎีกาที่ 12628/2555 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ส. บุตรจำเลยเป็นผู้เขียนข้อความทั้งหมดลงในเอกสาร หมาย จ.11 แม้ข้อความตามหมายเหตุในเอกสารดังกล่าวจะมิได้มีอยู่ในขณะที่จำเลยลงลายมือชื่อก็ตาม แต่ เมื่อโจทก์ทั้งสามโต้แย้งว่าไม่ตรงกับความจริงเพราะเงิน 130,000 บาท มิใช่เงินตอบแทนจดทะเบียนภาระจำ ยอม แต่เป็นเงินที่จำเลยต้องดำเนินการโอนที่ดินพิพาทให้เป็นทางสาธารณะ จำเลยก็ให้ ส. เขียนข้อความหมาย เหตุไว้ว่าจำเลยจะยกทางให้เป็นทางสาธารณะภายใน 1 ปี จึงถือว่าข้อความตามหมายเหตุนั้นมีอยู่ในขณะที่ จำเลยจัดทำเอกสารหมาย จ.11 ก่อนที่จำเลยจะส่งมอบให้โจทก์ทั้งสามเก็บรักษาไว้ กรณีจึงมิใช่การเพิ่มเติม ข้อความในภายหลังที่จำเลยจะต้องลงลายมือชื่อกำกับไว้ด้วย จำเลยจึงมีความผูกพันต่อโจทก์ทั้งสามที่จะต้อง จดทะเบียนที่ดินพิพาทให้เป็นทางสาธารณะตามข้อความในหมายเหตุเอกสารหมาย จ.11 ฎีกาที่ 4377/2549 ช. ยกทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว แม้จะระบุว่า ช. จะมาจดทะเบียนให้ เสร็จภายใน 3 วัน แต่เป็นการยกให้เป็นทางสาธารณะจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยสมบูรณ์ตาม กฎหมายทันทีที่ ช. ได้แสดงเจตนาโดยไม่จำต้องจดทะเบียนโอนสิทธิการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 525 อีกทั้งการยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะไม่ต้องมีนายอำเภอหรือนายกเทศมนตรีในท้องที่แสดง เจตนารับ การอุทิศให้ทำทางสาธารณะ แม้ยังไม่ได้ทำทาง ก็ต้องถือว่าตกเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว ฎีกาที่ 2616/2517 ตามบันทึกคำแสดงเจตนาอุทิศที่ดินให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์มีข้อความ ชัดเจนว่าจำเลยยอมยกที่ดินให้ทางราชการจัดการเข้าทำการสร้างถนนสาธารณะได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และ เทศบาลก็ได้ยอมรับที่ดินที่จำเลยอุทิศแล้ว โดยเทศบาลให้คนงานกรุยขอบทางจนรู้เขตแน่นอนแล้วว่าที่ดินที่ จำเลยและคนอื่น ๆอุทิศให้เป็นทางสาธารณะอยู่ตรงไหน ดังนี้ แม้เทศบาลจะยังมิได้ทำถนนตามแนวทางพิพาท ทางพิพาทก็ตกเป็นทางสาธารณะอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้ว การที่จำเลยขอให้ทางการออกโฉนด ทับแนวทางพิพาทในภายหลังก็ดี การที่จำเลยกั้นรั้วปิดแนวทางพิพาทก็ดี ไม่ทำให้แนวทางพิพาทกลับคืนมา เป็นของจำเลยอีกได้ ฎีกาที่ 2004/2544 จ. ได้อุทิศส่วนของตนในที่ดินพิพาทยกให้เป็นถนนสาธารณะและได้จดทะเบียน ยกให้แล้ว ที่ดินพิพาทส่วนของ จ. ดังกล่าวตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามที่บันทึกไว้ในรูปแผนที่ใน โฉนดที่ดินว่า แบ่งให้เป็นถนนเจริญนคร ต้องถือว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับ พลเมืองใช้ร่วมกันแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2) และตามมาตรา 1305 ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา สภาพความ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่อาจสูญสิ้นไปเพราะการไม่ได้ใช้ แม้กรุงเทพมหานครจำเลยที่ 1 จะมิได้ใช้ ที่ดินตามวัตถุประสงค์ที่ขอบริจาคและ จ. ได้กลับเข้าครอบครองใช้ประโยชน์ที่ดินพิพาทที่เป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินดังกล่าวแล้วนานเพียงใดก็ตาม ก็ไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตกไปเป็นของ จ. ได้อีก เพราะ
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตามมาตรา 1306 ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดิน ฎีกาที่ 11089/2556 บิดาโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้แก่กรมตำรวจ เพื่อใช้เป็นที่ตั้งสถานีตำรวจ จึงถือได้ว่าการอุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณะ โดยกรมตำรวจได้สร้างบ้านพักในที่ดินพิพาทและได้ส่งเจ้าหน้าที่ ตำรวจเข้ามาทำงานแล้ว เช่นนี้ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินประเภทเพื่อใช้ประโยชน์ของ แผ่นดินแล้วตามมาตรา 1304 (3) แม้ต่อมาบิดาโจทก์จะทำหนังสือขอยกเลิกการยกที่ดินพิพาทให้แก่ กรมตำรวจ และโจทก์กลับเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นระยะเวลานานเพียงใด ก็ไม่ทำให้โจทก์ ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทกลับคืนมา ฎีกาที่ 4231/2565 ส. นำที่ดินมาแบ่งเป็นแปลงย่อยและแบ่งทำถนนให้แก่บุคคลที่ซื้อที่ดินจาก ส. ใช้เป็นทางสาธารณประโยชน์ตั้งแต่ปี ๒๕๐๗ จนถึงปัจจุบัน โดยไม่ได้แสดงกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินซึ่งเป็นถนน และบุคคลที่อยู่ในที่ดินที่แบ่งขายจาก ส. หรือบุคคลทั่วไปก็ใช้ถนนพิพาทอย่างเป็นทางสาธารณะมาเป็นเวลา หลายสิบปี โดยสามารถใช้เป็นทางไปสู่ถนนเกษตรนวมินทร์ได้ทั้งด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก น่าเชื่อว่ามี การใช้ถนนหรือทางอย่างทางสาธารณประโยชน์ ถือว่า ส. สละกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นแปลงคงให้ตกเป็น สาธารณประโยชน์โดยปริยาย โจทก์มีสิทธิขอบังคับให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ 5 จดทะเบียนที่ดินแปลงคงเป็นทาง สาธารณประโยชน์ได้ สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น แม้จะหมดสภาพแล้ว แต่หากไม่มีการถอนสภาพ ก็ยังคงถือว่าเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ ฎีกาที่ 428/2511 ลำคลองอันเป็นทางน้ำที่ประชาชนใช้สัญจรไปมาร่วมกันเป็นสาธารณสมบัติของ แผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 แม้ลำคลองนั้นได้ตื้นเขินขึ้นโดยธรรมชาติ ไม่มี สภาพเป็นลำคลองมาประมาณ 30 ปีเศษ และไม่มีราษฎรได้ใช้ประโยชน์ก็ตามแต่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาถอน สภาพลำคลองนั้นจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคสอง และ ทางราชการยังถือเป็นที่หลวงหวงห้ามลำคลองนั้นจึงยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จะโอนแก่กันมิได้ และจะยกอายุความขึ้นต่อสู้แผ่นดินก็ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพ าณิชย์ มาตรา 1305,1306 ต่อไปมาดูบทบัญญัติในมาตรา 1305 ซึ่งเป็นเรื่องห้ามโอนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน โดย มาตรา 1305 บัญญัติเอาไว้ว่า “ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น จะโอนให้แก่กันมิได้เว้น แต่อาศัยอำนาจแห่งบทบัญญัติกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ฎีกาที่ 640/2540 รับซื้อที่ดินที่เจ้าของเดิมได้อุทิศบางส่วนให้เป็นทางสาธารณประโยชน์ไปโดย ปริยายแล้ว แม้ที่ดินส่วนนั้นจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินที่รับซื้อไว้ ผู้ซื้อที่ดินนั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือเอาเป็นของตน ได้ และแม้จะมีผู้ทำหลังคาและชายคารุกล้ำที่ดินส่วนนั้น ผู้ซื้อที่ดินก็มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องให้ตัดหลังคา และชายคาได้
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 2970/2543 เมื่อที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับ พลเมืองใช้ร่วมกัน ย่อมมีผลทันทีโดยไม่ต้องจดทะเบียนเป็นทางสาธารณประโยชน์อีกและจะโอนแก่กันโดยทาง นิติกรรมมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ฉะนั้น แม้จำเลยจะซื้อจากการ ขายทอดตลาดของศาลก็ไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ข้อสังเกต ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯนี้จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นการซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาด ตามคำสั่งศาล แต่ผู้ซื้อก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1330 ฎีกาที่ 2775/2541 การที่ ว. ได้จัดสรรที่ดินในซอยรัฐขจรออกขายให้แก่บุคคลทั่วไปโดยกันพื้นที่ ส่วนที่เป็นซอยรัฐขจรไว้ให้เป็นทางสาธารณะ แม้จะเป็นซอยตัน แต่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในซอยรัฐขจรได้ใช้ทาง ดังกล่าวสัญจรผ่านซอยหัสดินเสวีออกสู่ถนนสุทธิสารวินิจฉัยถือได้ว่าว.ได้อุทิศทั้งซอยรัฐขจรซึ่งรวมถึงที่พิพาท ให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยายมาตั้งแต่ปี 2507เมื่อที่พิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) แม้โจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาด ตามคำสั่งศาลโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์จึง ไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาที่ 3772-3775/2545 ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินที่ประกาศให้เป็นที่หวงห้ามสำหรับประชาชน ใช้เลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์ จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันการที่โจทก์ออก โฉนดที่ดินโดยอาศัยสิทธิจากการแจ้งการครอบครองภายหลังประกาศดังกล่าว แม้โจทก์จะซื้อมาโดยสุจริตและ โฉนดที่ดินยังไม่ถูกเพิกถอนก็ตาม ก็หาทำให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เมื่อโจทก์มิได้ ครอบครองอยู่ก่อนแล้วจำเลยเข้าแย่งจากโจทก์ จำเลยจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ ข้อสังเกต สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ในระหว่างเอกชนด้วยกัน บุคคลใดใช้สอยทรัพย์สินอยู่ก่อน ย่อมมีสิทธิดีกว่า ฎีกาที่ 582/2506 ถึงแม้จะปรากฏว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังจำเลยว่าก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทอยู่ โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลย เพราะเป็นเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างราษฎรด้วยกัน แต่ห้ามได้เฉพาะการเข้าไปเกี่ยวข้องที่มิใช่เป็นการใช้ที่ดินเพื่อวัตถุประสงค์ของสาธารณะ สมบัติของแผ่นดินในเรื่องนั้นๆ ฎีกาที่ 659/2529 การอุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ป.พ.พ.มาตรา1304(2)แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือและต่อมาประชาชนไม่ได้ใช้ที่ดินนั้นต่อไปก็หาทำให้ที่ สาธารณสมบัติของแผ่นดินสิ้นสภาพและกลับมาเป็นของผู้อุทิศอีกไม่ เมื่อจำเลยสละการครอบครองที่พิพาทซึ่ง เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วและโจทก์ครอบครองที่พิพาทอยู่โจทก์จึงมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย แต่โจทก์ไม่อาจห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทเสียทั้งหมดได้เพราะเป็นการขัดวัตถุประสงค์ ของการใช้สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทนี้จะห้ามได้เฉพาะกรณีที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยที่มิใช่เป็นไปเพื่อ การใช้ที่ดินตามวัตถุที่ประสงค์ของสาธารณสมบัติของแผ่นดินแปลงนี้เท่านั้น
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 3805-3806/2542 โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท แต่เนื่องจากที่ดินพิพาทมี บางส่วนเป็นร่องวังอ่าง ซึ่งเป็นร่องน้ำสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเฉพาะส่วน ที่มิใช่ร่องวังอ่างสาธารณประโยชน์ ส่วนที่เป็นร่องวังอ่าง สาธารณประโยชน์นั้นเมื่อโจทก์ทั้งสองครอบครอง ที่ดินพิพาทส่วนนี้อยู่ จึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทส่วนนี้ดีกว่าจำเลยที่โจทก์ทั้งสองขอให้ห้ามจำเลย และบริวาร เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาททั้งหมดนั้น จึงห้ามได้เฉพาะส่วนที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิครอบครอง แต่ที่ดินพิพาทส่วนที่ เป็นร่องวังอ่าง นั้นไม่อาจห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องเสียทั้งหมดได้ เพราะเป็นการขัดวัตถุประสงค์ของการใช้สา ธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทนี้ จะห้ามได้เฉพาะกรณีที่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยที่มิใช่เป็นไปเพื่อการใช้ที่ดินตาม วัตถุประสงค์ของสาธารณสมบัติของแผ่นดินเท่านั้น จะไปให้เช่าที่ดินไม่ได้ ฎีกาที่ 622/2510 รับซื้อที่หนองน้ำสาธารณประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจากการ ขายทอดตลอดของศาล ไม่ทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิในที่นั้น และไม่มีสิทธิจะเอาไปให้บุคคลอื่นเช่าได้ ฎีกาที่ 920-921/2522 การที่โจทก์หรือภริยาโจทก์นำที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (3) มาให้จำเลยเช่าสัญญาเช่าเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง ขับไล่เรียกเอาค่าเช่าหรือค่าเสียหายจากจำเลยได้ แต่ถ้าเป็นการปลูกบ้านอยู่ในที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน กรณีเช่นนี้สามารถให้เช่า บ้านได้ ฎีกาที่ 765/2538 แม้ที่ดินที่ปลูกบ้านพิพาทถูกเวนคืนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1304ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับราษฎรแต่ระหว่างโจทก์กับ จำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกันโจทก์มีสิทธิยึดถือและใช้สอยบ้านพิพาทกับมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้ใดเกี่ยวข้องใน สถานะเช่นเดียวกับเจ้าของเมื่อจำเลยเป็นคู่สัญญาผู้เช่าบ้านพิพาทยอมรับสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ให้เช่าและ ได้รับประโยชน์ในบ้านพิพาทที่เช่าจำเลยจะเถียงว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทไม่มีอำนาจฟ้องหา ได้ไม่เมื่อการเช่าสิ้นสุดลงเพราะจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซึ่งโจทก์บอกเลิกการเช่าโดยชอบแล้วโจทก์ย่อม มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระได้และการที่จำเลยอยู่ต่อมาได้ชื่อว่าอยู่โดยละเมิดสิทธิโจทก์จึง ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย ฎีกาที่ 294/2536 แม้ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14 บัญญัติห้ามมิ ให้บุคคลใดยึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับ ราษฎร เป็นผลให้ราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองหรืออยู่อาศัยไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งไม่ อาจอ้างสิทธิใด ๆ ใช้ยันรัฐได้แต่ในระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นราษฎรด้วยกันเมื่อจำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างห้องแถว พิพาทบนที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยก็มีสิทธิยึดถือและใช้สอยห้องแถวพิพาท กับมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอด เข้าเกี่ยวข้องกับห้องแถวพิพาทโดยมิชอบ รวมทั้งมีสิทธิที่จะจำหน่ายห้องแถวพิพาทในสถานะเช่นเดียวกับ เจ้าของเมื่อโจทก์ได้ซื้อห้องแถวพิพาทจากจำเลย และจำเลยได้ยอม รับสิทธิของโจทก์โดยได้ทำหนังสือสัญญา เช่าห้องแถวพิพาท จากโจทก์ สัญญาเช่าจึงใช้บังคับได้มีผลผูกพันจำเลย เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าและ
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากห้องแถวพิพาทและเรียกค่า เช่าที่ค้างชำระจากจำเลยได้ จะไปฟ้องขับไล่ไม่ได้ ฎีกาที่ 6152/2538 ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวน จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 ห้าม มิให้ที่ดินประเภทดังกล่าวโอนแก่กัน ประกอบกับพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14 ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้ผู้ที่เข้ายึดถือครอบครองที่ดินไม่ได้ สิทธิครอบครองไม่สามารถใช้ยันรัฐได้แต่ระหว่างราษฎรด้วยกันผู้ที่ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนมีสิทธิที่จะไม่ ถูกรบกวนโดยบุคคลอื่น เมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโจทก์จึงไม่มีอำนาจนำที่ดินพิพาทมาให้ จำเลยอาศัย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ฎีกาที่ 279/2530 ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ผู้ใดหามีสิทธิครอบครองและมีกรรมสิทธิ์ไม่ โจทก์ผู้ยึดถือครอบครองอยู่จึงไม่มีสิทธิให้เช่า การที่โจทก์ให้ผู้อื่นเช่า จึงเป็นการมอบการยึดถือครอบครอง ให้แก่ผู้อื่น และผู้ยึดถือครอบครองที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินจะหวงกันผู้อื่นได้ก็แต่ขณะที่ยึดถือครอบครอง อยู่เมื่อโจทก์มิใช่ผู้ยึดถือครอบครองเสียแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ครอบครอง และจะฟ้องคดีอาญาในข้อหาบุกรุกก็ไม่ได้ ฎีกาที่ 172/2535 ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ มิใช่ของ โจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะฟ้องจำเลยข้อหาบุกรุกได้ แต่อย่างไรก็ตาม สามารถที่จะฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิและสามารถเรียกค่าเสียหายได้ ฎีกาที่ 172/2535 ทำเลเลี้ยงสัตว์เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โจทก์ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนที่จำเลยจะนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปักและอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของ จำเลย ในระหว่างโจทก์และจำเลยสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทย่อมดีกว่าจำเลยการกระทำของจำเลยจึง เป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์และเรียก ค่าเสียหายได้ ข้อสังเกต แต่รัฐสามารถที่จะดำเนินคดีอาญาได้ ฎีกาที่ 7590/2543 ความในมาตรา 8 แห่ง ป.ที่ดิน หมายถึง ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของ แผ่นดินหรือทรัพย์สินของแผ่นดินโดยทั่ว ๆ ไป ซึ่งถ้าไม่มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น จึงให้เป็นอำนาจของ อธิบดีกรมที่ดินที่จะดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันและให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมี อำนาจมอบหมายให้ทบวงการเมืองอื่นเป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนั้นได้ แต่ในเรื่องที่สาธารณประโยชน์อันเป็นของ กลางสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันนั้น ได้มี พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 122บัญญัติไว้ให้ เป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอ ซึ่งต่อมาได้โอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหาร ราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 62วรรคสาม เห็นได้ว่า ป.ที่ดินมิได้ยกเลิกเพิกถอนอำนาจหน้าที่ของ นายอำเภอซึ่งมีอยู่ตามมาตรา 122 แห่ง พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ดังนั้น การสอบสวนและ แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของนายอำเภอจึงชอบด้วยกฎหมาย
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ข้อสังเกตประการต่อมาคือ ผู้ที่จะฟ้องผู้ใช้สาธารณสมบัติของแผ่นดินได้นั้น จะต้องเป็นผู้เสียหาย พิเศษ ฎีกาที่ 173/2541 จำเลยยื่นคำร้องต่อทางราชการขอให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน พิพาท โดยอ้างว่าได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเต็มทั้งแปลงตลอดมา โจทก์ซึ่งเป็นกำนันตำบล ท้องที่ซึ่งที่ดินตั้งอยู่ในขณะนั้นได้ไปยื่นคำร้องคัดค้านอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประชาชนทั่วไปรวมทั้งโจทก์ใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์ ทางอำเภอสอบสวนแล้วได้มีคำสั่ง เปรียบเทียบให้โจทก์ฟ้องร้องต่อศาลภายใน 60 วัน ดังนี้ คำสั่งดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่จะฟ้อง จำเลยแต่อย่างใด เพราะหากที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ร่วมกันดังที่โจทก์อ้าง โจทก์และจำเลยก็ย่อมมีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ การยื่นคำขอของจำเลยดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าทำ ให้โจทก์ได้รับความเสียหายยิ่งกว่าประชาชนทั่วไป และโจทก์เองก็ไม่มีกฎหมายใดกำหนดให้เป็นผู้มีอำนาจ หน้าที่ดูแลรักษาที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อีกทั้งไม่ปรากฏว่าถูกจำเลยขัดขวางการใช้สิทธิในที่ดิน ดังกล่าวเป็นพิเศษ กรณีถือไม่ได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลย ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 55 ต่อไปเรามาดูประเด็นนี้นิดนึงนะครับ คือแนวคิดที่ศาลฎีกาวางหลักเอาไว้ว่าสาธารณสมบัติของ แผ่นดินโดยเฉพาะที่ดินนั้น บุคคลใดครอบครองอยู่ก่อน บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิดีกว่านั้น มีนักกฎหมายอีกฝ่าย หนึ่งโต้แย้งว่าการที่ศาลฎีกาวินิจฉัยคดีเช่นนี้จะทำให้มีบุคคลเข้าไปบุกรุกที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของ แผ่นดิน โดยนักกฎหมายฝ่ายนี้เห็นว่า ศาลฎีกาควรจะแปลความว่า บุคคลที่เข้าครอบครองสาธารณสมบัติของ แผ่นดินนั้นไม่มีสิทธิที่จะนำที่ดินไปให้เช่าและไม่มีสิทธิครอบครองแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นในปัจจุบันจึงยังมีข้อ ถกเถียงกันอยู่แต่อาจารย์ขอสรุปหลักกฎหมายแบบนี้นะครับว่าในเรื่องสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ในเรื่อง ของการให้เช่า ศาลฎีกายังคงวินิจฉัยในแนวที่ว่าหากเป็นการให้เช่าที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือ บ้าน ซึ่งผู้เช่ายอมรับสิทธิของผู้ให้เช่านั้น ต้องถือว่าผู้ให้เช่ามีสิทธิดีกว่าผู้เช่า ฎีกาที่ 1015/2547 (ประชุมใหญ่) ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ราษฎรผู้ครอบครอง ไม่อาจยกสิทธิใด ๆ ขึ้นโต้แย้งรัฐได้ แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันย่อมยกการยึดถือครอบครองขึ้นยันผู้อื่นได้ โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ต่อมาจำเลยขอใช้ประโยชน์ในที่ พิพาทเพื่อปลูกบ้านโดยจำเลยยอมเสียค่าเช่าหรือค่าตอบแทนแก่โจทก์ ถือว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิดีกว่า จำเลย การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทจึงเป็นการอาศัยสิทธิของโจทก์เป็นการครอบครองแทนโจทก์ โจทก์จึงมี สิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ต่อไป จำเลยจึงต้องออกจากที่ดินพิพาท ฎีกาที่ 10378/2550 โจทก์และจำเลยซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทโดยส่งมอบการครอบครองแก่กัน ซึ่งที่ดินดังกล่าวอยู่บนเกาะล้านอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 ที่ดินและบ้าน พิพาทจำเลยยึดถือใช้สอยอยู่ในสถานะเช่นเดียวกับเจ้าของ เมื่อจำเลยขายโอนสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทให้ โจทก์โดยทำหนังสือโอนสิทธิและยังได้ทำหนังสือสัญญาเช่าบ้านพิพาทกับโจทก์ จึงเป็นการยอมรับสิทธิความ เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพิพาทของโจทก์ ซึ่งหลังจากนั้นจำเลยได้อยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ โจทก์ตามสัญญาเช่า จำเลยจึงจะอ้างว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินและบ้านพิพาทและไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ดังนั้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาเช่าตามข้อตกลงในสัญญา และโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว จำเลย เพิกเฉย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ฎีกาที่ 13586/2557 ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของเเผ่นดินประเภททรัพย์สินที่ใช้เพื่อ ประโยชน์ของเเผ่นดินโดยเฉพาะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (3) เเม้การเข้ายึดถือครอบครองจะไม่ได้สิทธิ ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้เข้ายึดถือครอบครองไม่อาจยกสิทธิใด ๆ ขึ้นโต้เเย้งรัฐได้ เเต่ในระหว่าง ราษฎรด้วยกันย่อมยกการยึดถือครอบครองเพื่อใช้ประโยชน์ก่อนขึ้นยันผู้อื่นได้ โจทก์ยึดถือครอบครองที่ดิน พิพาทมาก่อน จำเลยเป็นฝ่ายขอใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทเพื่อปลูกบ้านโดยจำเลยยอมเสียค่าเช่าหรือค่าตอบ เเทนเเก่โจทก์ ถือว่าจำเลยยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลย การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการ อาศัยสิทธิของโจทก์เป็นการครอบครองเเทนโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ ประสงค์ให้จำเลยเช่าอยู่ต่อไป จำเลยก็ต้องออกจากที่ดินพิพาท โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่เเละเรียกค่าเสียหาย จากจำเลยได้ ต่อไปมาดูมาตรา 1306 ห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ของแผ่นดิน มาตรา 1306 บัญญัติ ว่า ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ฎีกาที่ 928/2520 (ประชุมใหญ่) โจทก์ซื้อที่ดินมี ส.ค.1 ซึ่งเป็นที่คูเมืองอยู่ในความดูแลของทาง ราชการและได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุแล้ว โจทก์เข้าครอบครองโดยกั้นรั้วลวดหนามและเสียภาษีบำรุง ท้องที่ตลอดมา แล้วจำเลยเข้าไปปลูกห้องแถวในที่ดินของโจทก์โดยทำสัญญาเช่ากับราชพัสดุจังหวัดดังนี้การที่ โจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่คูเมืองอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นการครอบครองของโจทก์ ไม่อาจใช้ยันต่อรัฐได้ ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุก ฎีกาที่ 1353/2521 ที่พิพาทเป็นที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืน อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ พ.ศ. 2485 และเป็นที่ดินที่ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ในการกำจัดขยะมูลฝอย จึงมี ลักษณะสำคัญครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1304(1) แล้ว ย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจำเลยจะ ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินมิได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1306 ห้ามยึดทรัพย์สินของแผ่นดิน มาตรา 1307 ท่านห้ามมิให้ยึดทรัพย์สินของแผ่นดินไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะเป็นสาธารณสมบัติของ แผ่นดินหรือไม่ ฎีกาที่ 5167/2537 ทรัพย์สินของแผ่นดินที่นำมาใช้ในการกระทำผิดก็อาจถูกริบได้เพราะว่ากรณี เป็นเรื่องศาลพิพากษาให้ริบทรัพย์ มิใช่เป็นการยึดทรัพย์สินของแผ่นดิน จึงไม่อาจนำประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์มาตรา 1307 มาใช้บังคับได้ ฎีกาที่ 1340/2546 เมื่อที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินที่จำเลยที่ 1 มีเพียง สิทธิถือครองเพราะยังไม่ได้มีการออกหนังสือแสดงสิทธิใด ๆ ให้แก่จำเลยที่ 1 กรณีจึงต้องถือว่าที่ดินนั้นยังคง เป็นกรรมสิทธิ์ของ ส. ป. ก. ตามพ.ร.บ. การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 36 ทวิ โจทก์จึง ไม่มีสิทธินำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทมาขายทอดตลาดเพื่อเอาชำระหนี้ได้
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 6278/2560 คำสั่งของศาลแพ่งที่ให้ทรัพย์พิพาทตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ. ศ. 2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง แม้ยังไม่ถึงที่สุดก็ตาม แต่ตราบใดที่ ยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นในคดีนั้นย่อมมีผลอยู่ทรัพย์พิพาทจึงมิใช่ทรัพย์สินของ จำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาอันที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ หลังจากที่ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ทรัพย์พิพาทตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ทั้งทรัพย์สินของแผ่นดินย่อมไม่อาจยึดเพื่อ การบังคับคดีไม่ว่าด้วยเหตุใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1307 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิ ขอเฉลี่ยทรัพย์ ฎีกาที่ 53/2565 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาใช้สิทธิในการบังคับคดีอายัดสิทธิเรียกร้องของ จำเลยในขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดสิทธิเรียกร้องในบัญชีเงินฝากชั่วคราว ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน ฯ ไม่ทำให้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวสิ้นผลไป แม้โจทก์มีหนังสืออายัดสิทธิเรียกร้องของ จำเลยและศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้ส่งเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยตามที่โจทก์ขออายัดไว้ก่อนที่ศาลชั้นต้นใน คดีฟอกเงินจะมีคำสั่งให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินก็ตาม เพราะหากเจ้าหนี้สามัญสามารถยึดหรืออายัดทรัพย์สิน ที่ศาลมีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของจำเลยไว้ชั่วคราวได้ก็อาจทำให้ทรัพย์สินนั้นไม่มีอยู่ จนไม่มีเหตุที่จะทำการ ไต่สวนและมีคำสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มาตรา 51 และเมื่อต่อมาศาลชั้นต้นในคดีฟอกเงิน มีคำสั่งให้ทรัพย์สินซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องเป็นเงินในบัญชีเงินฝาก ของจำเลยดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน คำสั่งของศาลชั้นต้นย่อมมีผลทางกฎหมายโดยนับแต่วันที่ศาลชั้นต้น มี คำสั่งให้ทรัพย์สินซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องเป็นเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษาตกเป็นของ แผ่นดินเป็นต้นไป โจทก์ไม่อาจยึดเพื่อการบังคับคดีไม่ว่าด้วยเหตุใดตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๗ ทั้งกรณีไม่ใช่ การยึดหรืออายัดซ้ำ มาตราต่อไปที่อาจารย์จะบรรยาย ก็คือบทบัญญัติในมาตรา 1308 คือในเรื่องที่งอกริมตลิ่ง ท่านคงจะจำได้ว่าการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์นั้นมีการได้มา 2 ทาง คือ การได้มาโดยนิติกรรมกับการได้มาโดยผล แห่งกฎหมาย ในลักษณะ 2 ตั้งแต่มาตรา 1308 ถึง 1334 ที่เราจะพูดถึงนั้น เป็นบทบัญญัติถึงการได้มาโดย ผลแห่งกฎหมาย ซึ่งแบ่งได้ 6 ประการ 1. การได้มาโดยหลักส่วนควบอยู่ในมาตรา 1308 - 1317 2. เป็นการได้มาโดยเข้าถือเอาสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ ตามมาตรา 1318 - 1322 3. การได้มาซึ่งของตกของหาย ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโบราณวัตถุ และทรัพย์ของ แผ่นดิน ตามมาตรา 1323 - 1328 4. การได้ทรัพย์สินโดยสุจริตในพฤติการณ์พิเศษ ตามมาตรา 1329 - 1332 5. การได้มาโดยอายุความ ตามมาตรา 1333 6. การได้มาซึ่งที่ดินตามกฎหมายที่ดิน ตามมาตรา 1334
pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เราจะเริ่มในลักษณะที่ 2 บางมาตรา โดยเรื่องแรกที่จะพูดถึง คือ ที่งอกริมตลิ่ง ตามมาตรา 1308 มาตรา 1308 บัญญัติว่า ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดิน แปลงนั้น ในเรื่องที่งอกริมตลิ่งนั้น เป็นเรื่องของการได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโดยหลักโดยผลของกฎหมาย ใน ที่นี้ก็คือถือว่าได้มาโดยหลักของส่วนควบนั่นเอง คือ มาตรา 1308 บัญญัติว่า ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริม ตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น ซึ่งมีคำพิพากษาฎีกาหลาย ๆ ฎีกา ที่บัญญัติสนับสนุน หลักว่าที่งอกริมตลิ่งนั้น เป็นการได้กรรมสิทธิ์โดยหลักส่วนควบ คือที่ดินแปลงใด มีที่งอกออกจากที่ดินซึ่งเป็น ที่ดินประธานงอกออกไปนั้น เจ้าของที่ดินประธานก็จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเป็นที่งอกนั้น เป็นการได้มาโดย มาตรา 1308 หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้มาโดยหลักส่วนควบ *ฎีกาที่ 5345/2546 ส. โอนขายที่ดินมีโฉนดอันเป็นที่ดินแปลงเดิมให้บริษัท บ. เมื่อปี 2519 ขณะที่โอนที่ดินแปลงเดิมไปมีที่งอกริมตลิ่งเกิดขึ้นแล้ว เพราะ ส. ขอออกโฉนดที่งอกตั้งแต่ปี 2516 แต่ยังไม่ เป็นที่ยุติว่ามีส่วนที่เป็นที่งอกมากน้อยเพียงใด เพราะการออกโฉนดยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ และไม่เคยมีการบันทึก ในโฉนดเดิมไว้ให้ปรากฏ การเกิดมีที่งอกขึ้นมาในที่ดินย่อมจะต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1308 เมื่อที่ดินแปลงที่เกิดที่งอกได้โอนให้บริษัท บ. ไปแล้ว ที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกย่อมตกติด ไปเป็นของผู้ซื้อโดยผลของบทกฎหมายดังกล่าว ส. พ้นจากการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดที่เคยมีอยู่ แม้ว่า ส. จะได้ขอออกโฉนดที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกค้างไว้ แล้วต่อมาในปี 2522 ได้มีการออกโฉนดสำเร็จ บริบูรณ์เป็นชื่อของ ส. ก็ไม่ทำให้ ส. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกนั้นไป และไม่มีอำนาจที่จะขายที่ดิน ส่วนที่เป็นที่งอกให้โจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีไปกว่า ส. และเมื่อจำเลยรับโอนที่ดินจาก ส. อันเป็น ที่ดินแปลงที่เกิดที่งอกริมตลิ่งจากเจ้าของเดิมมาโดยถูกต้อง ย่อมทำให้ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่งอกนั้นด้วย โดยผลของกฎหมาย ข้อสังเกต คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าจำนวน 300 ตาราง วา โดยซื้อมาจาก ส.เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่งอกจากโฉนดที่ดินเลขที่ 1550 ของ ส. ศาลจึงวินิจฉัยโดยอาศัยหลักกฎหมายตามมาตรา 1308 และวางหลักต่อไปว่าที่งอกนั้นไม่จำต้องรังวัดขึ้น ทะเบียน เพราะโดยผลของกฎหมายทำให้ส.มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ฎีกา 1326-1327/2506 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1308 ถือได้ว่ากฎหมาย ให้เจ้าของที่ดินริมตลิ่งได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่งอกออกไปโดยลักษณะเป็นส่วนควบของที่ดินริมตลิ่ง และถือว่า เป็นที่ดินอยู่ในโฉนดของที่ดินริมตลิ่งด้วย ฎีกาที่ 1860/2539 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 กำหนดให้ทึ่งอกริมตลิ่ง เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ตั้งอยู่ริมตลิ่งเมื่อที่งอกอยู่ติดกับที่ดินมีโฉนดย่อมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงดังกล่าว และเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส. เจ้าของที่ดินโดยหลักส่วนควบด้วยผลของกฎหมาย ไม่จำต้องรังวัดขึ้นทะเบียนว่า เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดเดิมเสียก่อนแล้วจึงจะเป็นที่ดินมีกรรมสิทธิ์ การที่ ส. ขายที่งอกให้โจทก์ ถือว่า ได้แบ่งที่ดินตามโฉนดนั้นขายแก่โจทก์ไม่ใช่เป็นการขายที่ดินมือเปล่า โจทก์กับ ส.เพียงแต่ทำสัญญาซื้อขาย กันเองจะตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรกโจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ งอก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยออกไปจากที่งอก
pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ข้อสังเกต คดีนี้เป็นคดีในชั้นร้องขัดทรัพย์ซึ่งมีปัญหาว่าที่งอกจากที่ดินประธานซึ่งนำไปจำนองเอาไว้ นั้น สัญญาจำนองจะครอบไปถึงที่พิพาทซึ่งเป็นที่งอกด้วยหรือไม่ โดยในเรื่องนี้ศาลฎีกาได้อาศัยหลักในประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1308 ว่าเจ้าของที่ดินซึ่งได้ที่งอกไปนั้น สัญญาจำนองย่อมครอบไปถึงที่งอกด้วย หลักเกณฑ์ของที่งอกริมตลิ่ง ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 4 ประการ 1. ต้องเป็นที่งอกที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ (ไม่ใช่มนุษย์ทำ) ที่งอกนั้น ต้องงอกโดยธรรมชาติ ถ้าเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น ก็ไม่ใช่ที่งอก เพราะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของที่ดินโดยธรรมชาติ ฎีกาที่ 924/2501 งอกริมตลิ่งตามความหมายของมาตรา 1308 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ คือที่งอกตามธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นที่ดินซึ่งได้ถมขึ้นในที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน(อ้างฎีกาที่ 534/2485) ฎีกาที่ 10662/2551 ที่งอกที่เกิดขึ้นจากการที่บุคคลอื่นสร้างเขื่อนหินยื่นลงไปในทะเลทำให้เกิด การสะสมของตะกอนทรายแล้วเกิดที่งอกจากที่ดินของโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างเขื่อนหิน ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าที่งอกของที่ดินของโจทก์เป็นที่งอกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โจทก์จึงเป็นเจ้าของที่งอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 ฎีกาที่ 10534/2551 แม้ที่งอกอันเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้จะเกิดขึ้นจากการที่บุคคลอื่นสร้างเขื่อน หินยื่นลงไปในทะเลใกล้กับที่ดินของโจทก์ทำให้เกิดการสะสมของตะกอนทรายแล้วเกิดที่งอกจากที่ดินดังกล่าว ของโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างเขื่อนหินดังกล่าว ก็ถือได้ว่าที่งอกของที่ดินของโจทก์เป็นที่ งอกที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โจทก์จึงเป็นเจ้าของที่งอกดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1308 ข้อสังเกต ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาฎีกานี้จะเห็นได้ว่าที่งอกนั้นไม่ได้เกิดจากการที่มนุษย์ถมขึ้น โดยตรง แต่เกิดจากการที่บุคคลภายนอกสร้างเขื่อนหินเมื่อประมาณปี 2511 ยื่นลงไปในทะเลประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อกันมิให้ทรายปิดปากครองโดยไม่ได้ประสงค์ให้เกิดที่งอก โดยโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินประธาน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างเขื่อนดินดังกล่าวและผลจากการสร้างเขื่อนหินนี้ทำให้เกิดการสะสมตัวของ ตะกอนทรายอย่างรวดเร็วจนเป็นที่งอกขึ้น ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าที่งอกดังกล่าวเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ฎีกาที่ 779/2555 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 8895 ต่อมามีการก่อสร้างท่าเทียบ เรือและเขื่อนหินยื่นไปในทะเลและอยู่ใกล้กับพื้นที่พิพาท ทำให้มีผลกระทบกับการเคลื่อนย้ายของตะกอนทราย ชายฝั่งทะเลทำให้สะสมตัวในบริเวณที่ดินพิพาทกลายเป็นหาดสันทรายชายฝั่งทะเลทำให้สะสมตัวในบริเวณ ที่ดินพิพาทกลายเป็นหาดสันทรายซึ่งมีดินถมปิดทับบนทรายจนกลายเป็นพื้นดิน แม้จะมีส่วนมาจากท่าเทียบ เรือและเขื่อนหินที่มีผู้อื่นสร้างขึ้น แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างท่าเทียบเรือและเขื่อนหิน การ สะสมตัวของตะกอนเกิดขึ้นเองจากกระแสน้ำทะเล มิได้เกิดจากฝีมือมนุษย์และก่อให้เกิดที่ดินงอกต่อไปจาก ที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่ดินพิพาทจึงเป็นที่งอกจากที่ดินมีโฉนดของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นเจ้าของที่งอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 ***จบการบรรยาย***
1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์ – ที่ดิน (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์สมจิตร์ ทองศรี บรรยายวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 (ครั้งที่ 8) (สัปดาห์ที่ 8) สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เป็นการบรรยายวิชากฎหมายทรัพย์และที่ดินครั้งที่ 8 ครั้งที่แล้วเราได้พูด ถึงที่งอกริมตลิ่งยังไม่จบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่จะมีเงื่อนแง่บางประการ ก็ขอให้นักศึกษาสังเกต ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาบางเรื่อง ครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงหลักทั่วไปในเรื่องที่งอกริมตลิ่งว่าได้มาโดย อาศัยหลักของส่วนควบและสิ่งที่สำคัญที่สุดที่อาจารย์อยากจะเน้น ก็คือการได้มาโดยผลของกฎหมาย ซึ่งที่ดินซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งนั้น เป็นการได้มาฟรีโดยไม่จำต้องจ่ายค่าที่ดินให้แก่บุคคลใดเลย อันนี้คือหลัก กฎหมาย เพราะเป็นหลักที่ได้มาโดยหลักส่วนควบ ซึ่งถ้าเราจะอ้างมาตราของกฎหมายก็คือมาตรา 144 วรรคสอง ทีนี้เราจะมาดูหลักเกณฑ์ประการต่อไปที่จะนำมาพิจารณาว่าที่ดินแปลงใด ที่จะถือว่าเป็นที่งอก ตามมาตรา 1308 ครั้งที่แล้วอาจารย์ได้พูดไปแล้วว่าจะต้องเป็นที่งอกที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติไม่ใช่มนุษย์ เป็นผู้ทำขึ้น และอาจารย์ก็ได้ลงรายละเอียดในคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 10534/2551 ต่อไปเรามาดู หลักเกณฑ์ประการที่ 2 2. ต้องงอกออกจากริมตลิ่งออกไป ไม่ใช่งอกจากที่อื่นเข้าหาตลิ่ง ฎีกาที่ 611/2477 ที่ดินตื้นเขินขึ้นเป็นเกาะในหนองนั้นแม้ภายหลังที่ริมฝั่งตื้นขึ้นเชื่อมติดกับ ที่ดินของผู้ที่อยู่ริมหนอง ก็คงนับว่าเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน ฎีกาที่ 195/2523 ที่งอกริมตลิ่ง หมายถึงที่ดินที่งอกไปจากตลิ่ง มิใช่งอกจากที่อื่นเข้ามาหาตลิ่ง แม้หนองน้ำจะตื้นเขินขึ้นมีระดับเสมอกับที่ดินโจทก์ที่ล้อมรอบหนองน้ำอยู่ ก็มิใช่ที่งอกริมตลิ่ง เพราะมิได้ งอกออกจากตลิ่งที่ดินโจทก์ การที่หนองน้ำสาธารณะกลายสภาพเป็นที่ตื้นเขินทั้งแปลงเช่นนี้แม้ต่อมา พลเมืองจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยโจทก์เข้าทำนาแต่ผู้เดียว ถ้ายังมิได้มีพระราชกฤษฎีกาให้ถอนสภาพ จากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน หนองน้ำ ดังกล่าวก็ยังคงมีสภาพเป็นสา ธารณาสมบัติของแผ่นดินอยู่ตามเดิม แม้โจทก์จะได้ครอบครองมาเกิน 10 ปี ก็หาได้กรรมสิทธิ์ไม่ ฎีกาที่ 2502/2533 ที่ดินจำเลยตั้งอยู่ติดกับร่องน้ำสาธารณะ ประชาชนนำขยะและสิ่งของไป ทิ้งจนร่องน้ำตื้นเขิน เป็นที่ราบ ดังนี้ แม้ที่ดินดังกล่าวจะตื้นเขิน มีระดับเสมอกับที่ดินของจำเลย แต่ก็มิใช่ที่ งอกริมตลิ่งเพราะมิได้งอก ไปจากที่ดินของจำเลย การที่คลองหรือร่องน้ำสาธารณะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน พิพาทกลายสภาพเป็นที่ตื้นเขิน แม้ต่อมาพลเมืองจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยจำเลยเข้าครอบครองปลูก สร้างเพิง สังกะสีแต่ผู้เดียวเมื่อยังไม่มีบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาให้ถอนสภาพจากการเป็นสา ธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน คลองหรือร่องน้ำดังกล่าวก็ยังคงมีสภาพเป็นสาธารณ สมบัติของแผ่นดินอยู่ตามเดิม แม้โจทก์จะไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุและจำเลยจะได้ครอบครองมา เกิน 10 ปีแล้ว จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์เพราะต้องห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306 โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้
2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 589/2554 ที่งอกริมตลิ่ง หมายถึง ที่ดินที่งอกไปจากตลิ่งตามธรรมชาติซึ่งเกิดจากการที่ สายน้ำพัดพาดินจากที่อื่นมาทับถมกันริมตลิ่งจนเกิดที่งอกขึ้น มิใช่งอกจากที่อื่นเข้ามาหาตลิ่ง ลักษณะของ ที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ต่ำกว่าที่ดินของจำเลยร่วม 3 ถึง 5 เมตร ไม่มีลักษณะเป็นที่งอกซึ่งเกิดจากการที่สายน้ำ พัดพาดินจากที่อื่นมาทับถมกันริมตลิ่งจนเป็นที่งอก ที่ดินพิพาทจึงมิใช่ที่งอกออกไปจากริมตลิ่งของที่ดิน จำเลยร่วมตามธรรมชาติแต่เป็นท้องทางน้ำที่ตื้นเขินเพราะกระแสน้ำในแม่น้ำเปลี่ยนทางเดินและข้อเท็จจริง รับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ติดแม่น้ำในฤดูน้ำปีปกติน้ำยังท่วมถึงทุกปีจึงเป็นที่ชายตลิ่งซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินประเภททรัพย์สินพลเมืองใช้ร่วมกัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2) แม้จำเลยจะครอบครองใช้ ประโยชน์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน แต่จะอ้างสิทธิดังกล่าว ขึ้นยันโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินสาธารณประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของ แผ่นดินไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306 จำเลยจึงต้องรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท ฎีกาที่ 1163/2562 ที่เกิดเหตุเดิมเป็นทางน้ำของแม่น้ำนครนายกเป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมือง ใช้ร่วมกัน ต่อมาตื้นเขินขึ้นเพราะเกิดจากปริมาณน้ำในแม่น้ำลดลง จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2) และมิใช่ที่งอกเพราะมิใช่ที่ดินที่งอกออกไปจากริมตลิ่งของที่ดินผู้เสียหายตาม ธรรมชาติ ความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 365 (2) (เดิม) ประกอบมาตรา 362 (เดิม) กฎหมายมุ่ง ประสงค์จะลงโทษผู้ที่บุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเท่านั้น ไม่ใช่บทบัญญัติที่จะลงโทษผู้ที่บุกรุก สาธาณสมบัติของแผ่นดินแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก เดิม จ. เป็นผู้ทำประโยชน์รวมถึงปลูกต้นไผ่ใน ที่ดินของ จ. และที่ดินที่เกิดเหตุ ต่อมาเมื่อผู้เสียหายซื้อที่ดินจาก จ. อ. และ น. โดยรวมถึงที่ดินที่เกิดเหตุ และเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยมอบหมายให้ น. และ ช. ดูแล ทั้ง จ. อ. และ น. มิได้เข้ามายุ่งเกี่ยวใน ที่ดินและพืชผลที่ขึ้นในที่ดินอีกเลย จึงถือได้ว่าผู้เสียหายได้รับมอบต้นไผ่มาเป็นของผู้เสียหายจากเจ้าของเดิม แล้ว เมื่อจำเลยทั้งสองตัดต้นไผ่แล้วเอาไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ 3. ต้องงอกออกไปจากที่ผืนใหญ่โดยไม่มีอะไรคั่น เจ้าของที่ดินจะเป็นเจ้าของที่งอก ก็ต่อเมื่อ เป็นที่งอกต่อออกไปจากที่ดินของตน ดังนั้น หากมีทางหลวงหรือถนนหลวงคั่นอยู่ระหว่างที่งอกกับที่ดินของ ตน ไม่ถือว่าเจ้าของที่ดินนั้นเป็นเจ้าของที่งอก หรือกรณีที่ทรายมูลเกิดขึ้นกลางน้ำหน้าที่ดิน แต่ไม่มีร่องน้ำ คั่นก็ไม่ใช่ที่งอก แต่กรณีที่เป็นที่งอกชายตลิ่งแล้ว แม้ต่อมาเจ้าของที่งอกจะอุทิศที่ดินให้เป็นถนนสาธารณะ คั่นระหว่างที่ดินของตน ก็หาทำให้กลายเป็นที่งอกจากถนนสาธารณะไม่ ฎีกาที่ 1769/2492 ที่งอกริมตลิ่งที่จะถือว่าเป็นของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น ต้องเป็นที่งอกที่ ติดต่อเป็นแปลงเดียวกับที่ดินของเจ้าของ หากมีถนนหรือทางหลวงคั่นอยู่ระหว่างที่ของเจ้าของที่งอกแล้วจะ อ้างว่าที่งอกเป็นของตนด้วยไม่ได้ ฎีกาที่ 2357/2555 ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามกับหลักเขตที่ 59755 และ 8016 ซึ่งเป็นคลอง มิใช่เป็นที่งอกมาติดต่อเป็นแปลงเดียวกับที่ดินเดิมโดยไม่มีอะไรคั่น ที่ดินพิพาทจึงไม่ เป็นที่งอกริมตลิ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 26935 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1308 แต่เป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นสา ธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2) จึงเป็นที่ดินของรัฐ
3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 1488/2497 ที่ดินในโฉนด ถ้าตลิ่งพังก็ย่อมกลายสภาพเป็นทางน้ำสาธารณะ ฎีกาที่ 1532/2509 ที่ดินที่น้ำยังคงท่วมทุกปีในฤดูน้ำ ต้องถือว่าเป็นที่ชายตลิ่ง อันเป็นสาธารณ สมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ผู้ใดหามีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่ แม้ โจทก์จะเอาที่ดินนี้ไปขายฝากกับจำเลยโดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็จะถือ ว่าเป็นการมอบให้จำเลยครอบครองแทนมิได้ ระหว่างโจทก์จำเลย เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองอยู่ โจทก์ก็ ขับไล่จำเลยไม่ได้ 4. ในฤดูน้ำตามปกติน้ำจะต้องท่วมไม่ถึง ถ้าหากน้ำท่วมถึงยังเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ ย่อมไม่เป็นที่งอก แต่ถือเป็นที่ชายตลิ่งตามมาตรา 1304 (2) คือทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ข้อสังเกต ถ้าที่ดินอันเป็นทรัพย์ประธานนั้น เป็นที่ดินที่มีโฉนด ที่งอกริมตลิ่งก็เป็นกรรมสิทธิ์ของ เจ้าของที่ดินประธาน ดังนั้น การครอบครองปรปักษ์ที่งอกริมตลิ่งดังกล่าว จะได้กรรมสิทธิ์ก็ต่อเมื่อ ครอบครองครบ 10 ปี ฎีกา 149/2543 เดิมที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งที่น้ำท่วมถึงจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2)ที่พิพาทเพิ่งกลายเป็นที่ งอกหลังจากมีการสร้างถนนเมื่อ 4 ถึง 5 ปี มานี้ ดังนั้นก่อนหน้าที่พิพาทเป็นที่งอกแม้โจทก์จะครอบครอง มานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ หลังจากที่พิพาทกลายเป็นที่งอกที่เชื่อมติดกับที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่งอก พิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อโจทก์ครอบครองยังไม่ถึง 10 ปี โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ ตามมาตรา 1382 ข้อสังเกต 4 ประการ ในเรื่องของที่งอก 1. ที่งอกชายทะเลเป็นส่วนควบของที่ดินประธาน ไม่จำต้องตามพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพ การเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ฎีกาที่ 448/2556 ที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันตกจรดชายทะเล คำว่า ชายทะเลตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง เขตแนวน้ำทะเลลงต่ำสุดกับแนวน้ำทะเลขึ้นสูงสุด ดังนั้น สภาพภูมิศาสตร์ของชายทะเลก็คือที่ชายตลิ่งนั่นเอง เมื่อที่ชายทะเลตื้นเขินจนน้ำทะเลท่วมไม่ถึง ที่ชายทะเล ดังกล่าวอยู่ติดกับที่ดินแปลงใดก็ได้ชื่อว่าเป็นที่งอกของที่ดินแปลงนั้น ปัญหาว่าที่งอกดังกล่าวจะตกเป็นส่วน ควบของที่ดินแปลงนั้นโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 1308 หรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าการตื้นเขินของที่ชายทะเล นั้น เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือไม่ หากเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ที่ชายทะเลดังกล่าวก็พ้นสภาพจากการเป็นที่ สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (2) หาจำต้องตราพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนสภาพการเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่งอกตามมาตรา 1308 โดยผลของ กฎหมายจึงเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดเลขที่ 4132 ของโจทก์ จำเลยทั้ง 3 จึงต้องดำเนินการออกโฉนด ที่ดินสำหรับที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยรับคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์หรือคำขอออก โฉนดที่ดินของโจทก์และดำเนินการให้ต่อไป 2. ที่งอกนั้น ถ้าที่ดินประธานมีเพียงสิทธิครอบครองเจ้าของก็ได้เพียงสิทธิครอบครอง หากมีการ แย่งการครอบครอง เช่นนี้ เจ้าของก็ต้องฟ้องเอาคืนภายใน 1 ปีตามมาตรา 1375
4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 3. ที่ดินที่ถูกน้ำกัดเซาะเป็นทางน้ำแล้วต่อมากลายเป็นที่งอกนั้น มีคำพิพากษาฎีกาที่ 677/2490 วินิจฉัยว่า ที่ถูกน้ำเซาะพังจนเปลี่ยนสภาพเป็นทางน้ำแล้ว ย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แม้ภายหลัง ที่ดินจะกลับงอกขึ้นมาใหม่ ผู้ใดจะได้กรรมสิทธิ์ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการได้มาแห่งกรรมสิทธิ์ 4. ที่ดินประธานเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่งอกก็เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินด้วย ฎีกาที่ 2393/2523 ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่ง แต่ตลิ่งที่ที่ดินงอกนั้นเป็นทางสาธารณประโยชน์ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์มาตรา 1304 (2) ดังนั้น ที่งอกริมตลิ่งดังกล่าวจึงเป็นสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติ ของแผ่นดินด้วย ผู้ใดจะมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองไม่ได้ แม้จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่งอกนั้นจากโจทก์ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิให้เช่าและย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ ฎีกาที่ 9214/2558 ในขณะที่ ข. นำรังวัดที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เพื่อ ออกโฉนดที่ดินเลขที่ 1837 เมื่อปี 2508 นั้น ข. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในขณะนั้นได้ตกลงยินยอมให้ นายอำเภอบางละมุงกันที่ดินส่วนสุดเขตทางด้านทิศตะวันตกที่ระบุว่าจดทะเลไปจนถึงทะเลในระยะ 15 เมตรไว้เป็นที่ชายทะเลสาธารณประโยชน์ ซึ่งถือได้ว่า ข. ได้ยกหรืออุทิศที่ดินส่วนนั้นให้เป็นที่สาธารณสมบัติ ของเเผ่นดินเเล้ว เเม้จะมิได้มีการทำหลักฐานกันไว้เป็นหนังสือหรือจดทะเบียนโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มี ผลบังคับได้ตามกฎหมายเเล้ว เมื่อที่ดินที่กันไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์เกิดที่งอกริมตลิ่งขึ้น ที่ดินที่งอกขึ้น นั้นย่อมเป็นทรัพย์สินของที่สาธารณประโยชน์เเปลงนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1308 หาใช่เป็นที่งอกริมตลิ่ง ของโฉนดเลขที่ 1837 ของโจทก์ไม่ การสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตและโดยไม่สุจริต ตามมาตรา 1310 และมาตรา 1311 ในกลุ่มนี้มีอยู่ด้วยกัน 5 มาตรา ก็คือ มาตรา 1310 เป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต มาตรา 1311 เป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริต มาตรา 1312 เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของบุคคลอื่น วรรคหนึ่งโดยสุจริต วรรค สองไม่สุจริต มาตรา 1313 เรื่องของการสร้างโรงเรือนในที่ดินที่ตัวเองเป็นเจ้าของโดยมีเงื่อนไข และสุดท้าย มาตรา 1314 เป็นเรื่องของปลูกสร้างสิ่งอื่น ซึ่งติดที่ดินและการเพาะปลูกต้นไม้หรือธรรมชาติ มาตรา 1310 บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินเป็น เจ้าของโรงเรือนนั้น ๆ แต่ต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้างโรงเรือนนั้นให้แก่ผู้สร้าง แต่ถ้าเจ้าของที่ดินสามารถแสดงได้ว่า มิได้มีความประมาทเลินเล่อ จะบอกปัดไม่ยอมรับโรงเรือน นั้นและเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมก็ได้ เว้นไว้แต่ถ้าการนี้จะทำไม่ได้โดยใช้เงิน พอสมควรไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างซื้อที่ดินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามราคาตลาดก็ได้
5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มาตรา 1311 บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นต้องทำ ที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของ เว้นแต่เจ้าของจะเลือกให้ส่งคืนตามที่เป็นอยู่ ในกรณีเช่นนี้เจ้าของ ที่ดินต้องใช้ราคาโรงเรือนหรือใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้างโรงเรือน นั้นแล้วแต่จะเลือก ทีนี้เรามาดูข้อสังเกตของมาตรา 1310 และ 1311 1. มาตรานี้เป็นเรื่องของการสร้างโรงเรือนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เป็นการสร้างโรงเรือน ก็ต้องไปใช้ มาตรา 1314 คือ สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ต้นไม้ หรือธัญชาติ โรงเรือน หมายถึง ตึก บ้าน เรือนสำหรับอยู่อาศัย 2. ต้องเป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นทั้งหลัง ไม่ใช่เพียงต่อเติมจากโรงเรือนเดิม เพราะถ้า เป็นการต่อเติม สิ่งที่ต่อเติมย่อมเป็นส่วนควบของโรงเรือนทันที ข้อสังเกต แต่การปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของตนประมาณร้อยละ 30 แต่อยู่ในที่ดินของผู้อื่น ประมาณร้อยละ 70 เปอร์เซ็นต์นั้น ต้องถือว่าเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น ไม่ใช่การ ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำตามมาตรา 1312 ฎีกาที่ 5637/2536 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์ประมาณร้อยละ 70 ส่วนอีก ร้อยละ 30 ปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 เมื่อปรากฏว่าโรงเรือนส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินของโจทก์ จึงเป็นกรณี ปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310,1311 หาใช่ เป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำตามมาตรา 1312 ไม่ การที่จำเลยทั้งสี่ปลูกสร้างบ้านลงในที่ดินของโจทก์ โดยรู้ว่าไม่มีสิทธิเช่นนั้น จึงเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ตามมาตรา 1311 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านส่วนที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไป และจำเลยต้องทำที่ดินให้เป็น ตามเดิมแล้วส่งคืนแก่โจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย 3. โรงเรือนที่สร้างต้องมีลักษณะเป็นส่วนควบกับที่ดินตามมาตรา 144 ด้วย คือโรงเรือนที่สร้าง ต้องเป็นส่วนควบกับที่ดิน และต้องเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของที่ดิน 4. จะต้องเป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยพลการหรือโดยไม่มีนิติสัมพันธ์กับเจ้าของ ที่ดิน เพราะถ้าเป็นการสร้างโดยมีนิติสัมพันธ์กันโดยเจ้าของที่ดินอนุญาต หรือให้เช่า หรือมีสิทธิเหนือพื้นดิน ก็ไม่ต้องด้วยมาตรานี้ แต่เป็นกรณีมีสิทธิที่จะปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นผลให้โรงเรือน ไม่เป็นส่วนควบของที่ดินตามมาตรา 146 ฎีกาที่ 6055/2557 จำเลยได้รับอนุญาตจาก ห. เจ้าของที่ดินให้ปลูกต้นปาล์มน้ำมันในที่ดิน พิพาท จึงไม่ต้องด้วย ป.พ.พ.มาตรา 1310 ซึ่งนำมาใช้บังคับแก่การเพาะปลูกต้นไม้ในที่ดินของผู้อื่นโดย สุจริตด้วยโดยอนุโลมตามมาตรา 1314 วรรคหนึ่ง ในอันที่จะทำให้จำเลยมีสิทธิได้รับการชดใช้ค่าแห่งที่ดิน ที่เพิ่มขึ้นจากโจทก์เพราะบทบัญญัติมาตรา 1310 ประกอบมาตรา 1314 จะต้องเป็นเรื่องการสร้าง โรงเรือนหรือเพาะปลูกต้นไม้ในที่ดินของผู้อื่นโดยเจ้าของที่ดินมิได้อนุญาตและตนไม่มีสิทธิหรือนิติสัมพันธ์ อย่างใด ๆ ในที่ดินนั้นเลย หากเป็นการสร้างหรือเพราะปลูกโดยเชื่ออย่างสุจริตว่าตนมีสิทธิที่จะสร้างหรือ เพาะปลูกได้
6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 1374/2554 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยสร้างบ้านเลขที่ 39/3 ในที่ดินพิพาทโดย นายเวช (เจ้าของรวมคนหนึ่ง) อนุญาตให้สร้างได้จึงเป็นการสร้างโดยอาศัยสิทธิของนายเวชซึ่งเป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงใหญ่ด้วยคนหนึ่ง ทั้งจำเลยก็รู้อยู่แล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน ดังกล่าวด้วยอีกคนหนึ่ง การที่จำเลยปลูกสร้างบ้านในที่ดินพิพาทโดยมีสิทธิเพราะได้รับอนุญาตจากนายเวช ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนหนึ่งก็ตาม ก็เป็นเพียงทำให้บ้านของจำเลยไม่กลายเป็นส่วนควบของที่ดิน เท่านั้น แต่ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยสร้างบ้านเลขที่ 39/3 ในที่ดินพิพาทของโจทก์โดยสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 1310 เมื่อที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนออกไป จำเลยย่อมไม่มี สิทธิใด ๆ ที่จะอยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยต้องทำที่ดินพิพาทให้เป็นไปตามสภาพเดิมแล้วส่งคืนโจทก์ซึ่งเป็น เจ้าของ 5. ผู้สร้างจะต้องสร้างโดยสุจริต คำว่า “สุจริต” หมายถึง ผู้สร้างเข้าใจว่าตนมีสิทธิที่จะปลูกสร้าง ได้ เช่น เข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนหรือที่ดินของคนอื่น แต่ตนมีสิทธิปลูกสร้างได้ การพิจารณาว่าบุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นสุจริตหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาใน ขณะที่ปลูกสร้างโรงเรือน หากขณะที่ปลูกโรงเรือนนั้น ไม่ทราบว่าที่ดินเป็นของบุคคลอื่น ก็ถือว่ากระทำโดย สุจริต แม้ภายหลังทราบว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่น ก็หาทำให้การกระทำที่สุจริตตั้งแต่แรกนั้น กลับกลายเป็น ไม่สุจริตไปแต่อย่างใดไม่และต้องเป็นการกระทำโดยสุจริตตั้งแต่ลงมือก่อสร้างจนกระทั่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ ฎีกาที่ 2435/2523 การที่บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตหรือไม่ สุจริตตามความหมายแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรคแรกและวรรคสองนั้น ถ้าสร้างโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนหรือที่ดินของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างได้ก็เป็นโดยสุจริตแต่ถ้าทราบอยู่แล้ว ว่าไม่ใช่ที่ดินของตนหรือที่ดินของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างได้แล้วก็เป็นโดยไม่สุจริต ฎีกาที่ 9526/2544 คำว่า "สุจริต" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1310 นั้น มี ความหมายว่าผู้ปลูกสร้างได้ปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่ดินโดยไม่ทราบว่าที่ดินเป็นของผู้ใดแต่เข้าใจว่าเป็น ที่ดินของตนเองและเชื่อว่าตนมีสิทธิปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินนั้นโดยชอบ เมื่อจำเลยได้ปลูกบ้านในที่ดิน พิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ส. โดยทราบอยู่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ส. และได้ขออนุญาต ส. ปลูกบ้าน จึงไม่ อาจรับฟังได้ว่าจำเลยได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดยสุจริต แม้จำเลยจะต่อเติมบ้านในภายหลังอีกโดย ส. และ โจทก์ไม่ห้ามปรามขัดขวางก็จะบังคับให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาของ ส. รับเอาบ้านแล้วใช้ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ การที่จำเลยปลูกสร้างบ้านในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ส. นั้น มิได้ทำให้โรงเรือนตกเป็นส่วนควบของ ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส. และโจทก์แต่อย่างใดตามมาตรา 146 ต้องสุจริตตั้งแต่เริ่มลงมือก่อสร้าง จนถึงก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ ฎีกาที่ 2313/2537 จำเลยสร้างบ้านจนถึงขั้นทำคานชั้นบนเสร็จแล้วจึงทราบว่าบ้านได้ก่อสร้าง อยู่ในที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยยังขืนสร้างต่อไปจนเสร็จ ถือได้ว่าจำเลยได้ก่อสร้างบ้านในที่ดินของโจทก์โดย ไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311 ฎีกาที่ 8305/2551 การพิจารณาว่าบุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริต หรือไม่นั้นจะต้องพิจารณาในขณะที่ปลูกโรงเรือน หากขณะปลูกสร้างโรงเรือนไม่ทราบว่าที่ดินเป็นของ
7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง บุคคลอื่นก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริต แม้ภายหลังจึงทราบว่าเป็นที่ดินของบุคคลอื่นก็หาทำให้การ กระทำที่สุจริตแต่แรกกลับกลายเป็นไม่สุจริตไปแต่อย่างใด เมื่อกรณีเข้าเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 1310 แล้ว จะต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยทำให้ที่ดินของโจทก์มีค่าเพิ่มขึ้นเพียงใด โจทก์ประมาทเลินเล่อ หรือไม่ ซึ่งมิได้มีประเด็นในคดีนี้คู่ความจึงมิได้สืบพยานไว้จึงไม่สามารถวินิจฉัยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโดยให้โจทก์กับจำเลยไปว่ากล่าวกันใหม่จึงชอบแล้ว ฎีกาที่ 120/2559 ตามหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินที่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ระบุว่า จำเลยขายฝากเฉพาะที่ดินไม่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 252 ด้วย ซึ่งต้องแปลความว่าไม่รวมบ้านไม่มีเลขที่ บ้านด้วย เพราะฉะนั้นการขายฝากสมบูรณ์เฉพาะที่ดินเท่านั้น แม้โจทก์จะอ้างว่าโจทก์กับจำเลยตกลงขาย ฝากที่ดินพร้อมบ้าน 2 หลัง คือบ้านเลขที่ 252 กับบ้านที่ไม่มีเลขที่บ้านอีก 1 หลัง แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ แจ้งว่าจดทะเบียนขายฝากบ้าน 2 หลัง ดังกล่าวด้วยไม่ได้เพราะต้องประเมินราคาจึงจดทะเบียนขายฝาก เฉพาะที่ดิน โจทก์กับจำเลยจึงได้ทำสัญญาซื้อขายบ้าน 2 หลัง เพิ่มเติมตามที่ตกลงกันตามหนังสือสัญญาซื้อ ขาย แต่สัญญาขายฝากเป็นสัญญาซื้อขายประเภทหนึ่งจึงต้องนำบทบัญญัติเรื่องซื้อขายมาใช้บังคับด้วย ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง กำหนดว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ เมื่อการขายฝากบ้านทั้งสองหลังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่จึงตกเป็นโมฆะ นอกจากนี้สัญญาขายฝากที่ดิน และสัญญาซื้อขาย ยังทำวันเดียวกันแสดงให้เห็น เจตนาโดยชัดแจ้งว่าคู่สัญญาต้องการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียม จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความ สงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 อีกด้วย ดังนั้นโจทก์ไม่ อาจอ้างว่าบ้านทั้งสองหลังตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยหลักส่วนควบได้ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านทั้ง สองหลัง คู่สัญญาไม่ได้ตกลงขายฝากบ้านเลขที่ 252 ด้วย บ้านหลังดังกล่าวยังเป็นของจำเลยโดยไม่ตกเป็น ส่วนควบของที่ดิน และกรณีไม่ต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 1310 เพราะกรณีนี้ไม่ใช่จำเลยปลูกบ้านเลขที่ 252 ในที่ดินของโจทก์ แม้ภายหลังขายฝากจำเลยจะได้ต่อเติมบ้านหลังดังกล่าวก็ตาม เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์ จะให้จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์อีกต่อไป จำเลยต้องรื้อบ้านหลังดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ ส่วนบ้านไม่มีเลขที่ ขณะทำสัญญาขายฝากที่ดินบ้านหลังไม่มีเลขที่บ้านยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง การ ที่โจทก์ปล่อยให้จำเลยก่อสร้างบ้านหลังดังกล่าวในที่ดินที่ขายฝากต่อไปโดยโจทก์ไม่ได้ห้ามปราม จำเลยซึ่ง เป็นผู้ปลูกสร้างย่อมเข้าใจว่าตนมีสิทธิที่จะปลูกสร้างได้ต่อไปจนแล้วเสร็จเพราะเชื่อตามสัญญาขายฝากว่า ตนมีสิทธิไถ่ที่ดินคืนได้ภายในกำหนดในสัญญา การปลูกสร้างบ้านไม่มีเลขที่บ้านของจำเลยจึงเป็นการสร้าง โรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต แต่เมื่อทำสัญญาขายฝากแล้วจำเลยไม่ไถ่คืนภายในกำหนด ที่ดินที่ขาย ฝากย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยเด็ดขาด กรณีดังกล่าวไม่มีบทกฎหมายที่จะใช้ปรับได้โดยตรง จึงต้องใช้บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสอง อันได้แก่ ป.พ.พ. มาตรา 1310 วรรคหนึ่ง ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้น แต่ต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะ สร้างโรงเรือนนั้นให้แก่จำเลยผู้สร้าง และการที่โจทก์ปล่อยให้จำเลยปลูกสร้างบ้านต่อไปในที่ดินของโจทก์
8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โดยมิได้ห้ามปรามถือว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อในการสร้างโรงเรือนของจำเลย โจทก์จึงไม่อาจบอกปัดไม่ ยอมรับโรงเรือนนั้น และต้องใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มให้แก่จำเลย กรณีไม่สุจริต คือสร้างโดยรู้ว่าเป็นที่ดินของผู้อื่นและตนไม่มีสิทธิเช่น ปลูกเรือนหอบนที่ดินของ ผู้อื่นโดยรู้อยู่ว่าเป็นที่ดินของผู้นั้น แม้จะปลูกโดยบิดาของฝ่ายหญิงบอกให้ปลูกสร้างได้และบิดาของฝ่าย หญิงยังกล่าวต่อไปว่าเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นพี่ชายของฝ่ายหญิงไม่ขัดข้อง แต่ความจริงพี่ชายของฝ่ายหญิงซึ่ง เป็นเจ้าของไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วยนั้น กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 1310 ฎีกาที่ 132/2491 ปลูกเรือนหอบนที่ดินของพี่ชายหญิงคู่หมั้น โดยบิดาหญิงให้ปลูกและว่า เจ้าของที่ดินไม่ขัดข้อง แต่ความจริงเจ้าของมิได้รู้เห็นยินยอมอนุญาตแต่ประการใด ดังนี้ จะถือว่าการปลูก สร้างนั้นกระทำไปโดยสุจริตไม่ได้เพราะทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นที่ของผู้อื่น จะบังคับให้เจ้าของที่ดินรับซื้อ โรงเรือนนั้นไว้ก็ไม่ได้ ฎีกา 921/2496 ปลูกเรือนลงในที่ดิน โดยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเป็นที่ดินของผู้อื่น ซึ่งให้ตนอาศัย ดังนี้ กรณีไม่ต้องด้วย ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1310, 1312 ฉะนั้น เมื่อเจ้าของที่ดินไม่ประสงค์จะให้ผู้นั้นอยู่ใน ที่ดินของเขา ต่อไปก็จะอ้างมาตรา 1310 หรือ 1312 มายันเจ้าของที่ดินไม่ได้ ฎีกา 9526/2544 คำว่า "สุจริต" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1310 นั้น มี ความหมายว่าผู้ปลูกสร้างได้ปลูกสร้างโรงเรือนลงในที่ดินโดยไม่ทราบว่าที่ดินเป็นของผู้ใดแต่เข้าใจว่าเป็นที่ดิน ของตนเองและเชื่อว่าตนมีสิทธิปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินนั้นโดยชอบ เมื่อจำเลยได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดย อาศัยสิทธิของ ส. โดยทราบอยู่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ส. และได้ขออนุญาต ส. ปลูกบ้าน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยได้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดยสุจริต แม้จำเลยจะต่อเติมบ้านในภายหลังอีกโดย ส. และโจทก์ไม่ห้าม ปรามขัดขวางก็จะบังคับให้โจทก์ซึ่งเป็นทายาของ ส. รับเอาบ้านแล้วใช้ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ การที่จำเลย ปลูกสร้างบ้านในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ ส. นั้น มิได้ทำให้โรงเรือนตกเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาทเป็น กรรมสิทธิ์ของ ส. และโจทก์แต่อย่างใดตามมาตรา 146 ฎีกาที่ 2265/2529 จำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่าตามสัญญาระหว่าง โจทก์กับจำเลยทั้งสองเพื่อทำนาจำเลยทั้งสองปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินนั้นจะอ้างว่าปลูกสร้างโดยสุจริตและ บังคับให้โจทก์รับเอาสิ่งปลูกสร้างในที่ดินและใช้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นแก่จำเลยทั้งสองไม่ได้กรณีไม่ต้องด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1310 *ฎีกาที่ 339/2551 (น่าสนใจ) แม้การอยู่อาศัยที่ ป. ได้ให้ไว้แก่ ฮ. และจำเลยที่ 1 จะเป็นบุคคล สิทธิใช้ยันโจทก์ทั้งสอง ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ป. ให้ปฏิบัติตามได้ก็ตาม แต่ ป.พ.พ. มาตรา 1402 บัญญัติ ว่า "บุคคลใดรับสิทธิอาศัยในโรงเรือน บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิอยู่ในโรงเรือนนั้นโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า" และมาตรา 1408 บัญญัติว่า "เมื่อสิทธิอาศัยสิ้นลงผู้อาศัยต้องส่งทรัพย์สินคืนแก่ผู้ให้อาศัย" เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า บ้านเลขที่ 30 (เดิม) ซึ่งเป็นโรงเรือนได้ถูกรื้อถอนไปแล้วโดยจำเลยทั้งสองเช่นนี้ สิทธิอาศัยที่ ฮ. และจำเลยที่ 1 ได้ทำไว้กับ ป. ย่อมสิ้นลงจึงไม่มีโรงเรือนอันจะมีสิทธิอาศัยตามบทกฎหมายข้างต้น การที่จำเลยทั้งสองปลูก บ้านเลขที่ 30 (ใหม่) ขึ้นแทนภายหลังจากที่ ป. ถึงแก่ความตาย โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสองก็หา ก่อให้เกิดสิทธิอาศัยขึ้นมาใหม่แต่อย่างใดไม่ และการที่จำเลยทั้งสองปลูกบ้านเลขที่ 30 (ใหม่) ในที่ดินพิพาท
9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โดยไม่ได้รับความยินยอม บ้านเลขที่ 30 (ใหม่) จึงเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาทตกเป็นของเจ้าของที่ดินพิพาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 144 ทั้งเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 1311 การที่โจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ 30 (ใหม่) เช่นนี้พอถือได้ ว่าโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของ ป. ประสงค์จะให้บ้านเลขที่ 30 (ใหม่) ซึ่งเป็นโรงเรือนคงอยู่ตาม มาตรา 1311 6. การสร้างโรงเรือนในที่ราชพัสดุอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น แม้จะสร้างโดยสุจริต ก็จะ นำบทบัญญัติในมาตรา 1310 มาใช้บังคับไม่ได้เพราะการสร้างโรงเรือนในที่ดินคนอื่นนั้น เป็นเรื่องของเอกชน กับเอกชน ไม่ใช่เอกชนกับรัฐ ฎีกาที่ 1089/2515 จำเลยสร้างโรงเรือนลงในที่ดินราชพัสดุอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินโดย ไม่มีสิทธิถึงหากจะเป็นการสร้างโดยสุจริต กรณีก็ไม่ต้องด้วยมาตรา 1310 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์จะนำมาตราดังกล่าวมาใช้บังคับหาได้ไม่ ฎีกาที่ 1159/2511 การได้สิทธิจดทะเบียนภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 นั้น จะต้องเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต แต่ที่พิพาทเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดาหรือของเอกชน จะนำมาใช้บังคับในกรณีนี้หาได้ ไม่ดังนั้น แม้จำเลยจะปลูกสร้างโดยสุจริตก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิขอให้จดทะเบียนภารจำยอมได้ 7. กรณีตามมาตรา 1310 นั้น ต้องเป็นผู้สร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นมาแต่แรก แต่ถ้าเป็นกรณีที่ มีการสร้างโรงเรือนไว้ก่อนแล้ว แล้วต่อมาแบ่งแยกโรงเรือนไม่ให้เป็นส่วนควบของที่ดิน เช่นนี้ไม่เข้าเงื่อนไขของ มาตรา 1310 ฎีกาที่ 3240/2525 เจ้าของเดิมปลูกบ้านในที่ดินของตนเอง ต่อมาโจทก์อ้างว่าโจทก์รับโอนบ้าน จำเลยรับโอนที่ดิน ดังนี้ กรณีจะ ปรับเข้ากับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 หาได้ไม่เพราะ มาตรา 1310 เป็นเรื่องสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น 8. ผู้สร้างโรงเรือน หมายถึง เจ้าของโรงเรือนไม่ใช่ผู้รับเหมา 9.ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นเกิดจากสิ่งปลูกสร้าง ผู้มีสิทธิจะเรียกได้คือผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นเจ้าของการงานที่ ว่าจ้าง ส่วนผู้รับเหมาหามีสิทธิเรียกจากเจ้าของที่ดินไม่ คำว่า ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้น หมายถึงราคาที่ แตกต่างระหว่างราคาที่ดินบวกราคาโรงเรือนกับราคาที่ดินอย่างเดียวโดยไม่มีโรงเรือน มาตรา ๑๓๑๐ วรรคสอง เป็นกรณีให้สิทธิเจ้าของโรงเรือนบอกปัดไม่ยอมรับโรงเรือนและเรียกให้ ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมก็ได้ ถ้าเจ้าของที่ดินสามารถแสดงได้ว่าการที่ผู้สร้างปลูกสร้าง โรงเรือนในที่ดินของตน โดยตนมิได้มีความประมาทเลินเล่อซึ่งเป็นบทบัญญัติที่เป็นธรรม เพราะตามมาตรา ๑๓๑๐ วรรคหนึ่งนั้น เป็นการบังคับให้เจ้าของที่ดินต้องรับเอาโรงเรือนไว้โดยต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้น หากเจ้าของที่ดินมิได้ประสงค์จะได้โรงเรือน มาตรา ๑๓10 วรรคสอง จึงเป็นทางออกให้เจ้าของที่ดิน 10.ส่วนค่าว่า “ประมาทเลินเล่อ” หมายความว่ามิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรที่จะแสดงความ เป็นเจ้าของที่ดินให้ผู้อื่นรู้ เช่น ไม่ทำประโยชน์ในที่ดินหรือไม่ได้แสดงอาณาเขตที่ดิน เช่น ไม่ปักหลักเขตไว้ เป็นต้น กรณีอย่างไรเป็นประมาทเลินเล่อ จะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป
10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง อย่างไรก็ตาม มาตรา ๑๓๑๐ วรรคสอง ยังบัญญัติต่อไปว่า แม้เจ้าของที่ดินจะไม่ได้ประมาทเลินเล่อ แต่ถ้าจะให้ผู้สร้างรื้อถอนโรงเรือนไปและทำที่ดินให้เป็นตามเดิมนั้นทำไม่ได้เพราะต้องใช้เงินพอสมควร เจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างซื้อที่ดินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามราคาตลาดก็ได้ ฎีกาที่ 5496/2543 ก่อนทำสัญญาขายฝาก โจทก์ได้ไปตรวจสอบที่ดินพิพาท พบสิ่งปลูกสร้างเป็น โครงเสา มีการมุงหลังคาแล้วบางส่วน ต่อมาได้มีการทำสัญญาขายฝากโดยตกลงชัดเจนว่าขายฝากเฉพาะที่ดิน ไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง จำเลยได้ตกลงด้วย โดยแจ้งแก่โจทก์ว่าจะสามารถไถ่คืนภายในกำหนด หากล่วงเลยเวลา จำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปเอง เมื่อครบกำหนดไถ่โจทก์ได้ไปตรวจดูที่ดินพิพาทพบว่า มีการสร้างบ้าน ทาวน์เฮาส์เกือบเสร็จสมบูรณ์จำนวน 2 หลัง ส่วนอีก 3 หลัง ยังสร้างไม่เสร็จ เป็นโครงมีหลังคามีการก่อสร้าง ผนังบางส่วน ดังนี้ การที่จำเลยได้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาท ทั้งก่อนและหลังทำสัญญาขายฝาก ที่ดินพิพาท โดยโจทก์รับรู้และยินยอมให้ปลูกสร้าง แม้โจทก์ตกลงทำสัญญาขายฝากแก่จำเลยเฉพาะที่ดิน พิพาทโดยระบุไว้ในหนังสือสัญญาขายฝากว่า สิ่งปลูกสร้างไม่มี จำเลยซึ่งเป็นผู้ปลูกสร้างเข้าใจว่าตนมีสิทธิที่จะ ปลูกสร้างได้ต่อไปจนแล้วเสร็จเพราะเชื่อตามสัญญาขายฝากว่าตนมีสิทธิไถ่ที่ดินพิพาทคืนได้ภายในเวลาที่ กำหนดในสัญญา ซึ่งตามกฎหมายให้ถือเป็นอันว่ากรรมสิทธิ์ไม่เคยตกไปแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 491 และมาตรา 492 การปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาทของจำเลย จึงเป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดิน ของผู้อื่นโดยสุจริต แต่เมื่อทำสัญญาขายฝากแล้วจำเลยไม่ไถ่คืนภายในกำหนด ที่ดินพิพาทย่อมตกเป็น กรรมสิทธิ์ของโจทก์ ซึ่งเป็นผู้ซื้อ กรณีดังกล่าวไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับได้โดยตรงจึงต้องอาศัยเทียบบท กฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสอง อันได้แก่ ป.พ.พ. มาตรา 1310 วรรคหนึ่ง ทำ ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ได้เป็นเจ้าของโรงเรือนนั้น แต่ต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะ สร้างโรงเรือนนั้นให้แก่จำเลยซึ่งเป็นผู้สร้าง แต่ถ้าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินสามารถแสดงได้ว่ามิได้มี ความประมาทเลินเล่อจะบอกปัดไม่ยอมรับโรงเรือนนั้น และเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็น ตามเดิมก็ได้ ตามมาตรา 1310 วรรคสอง ก็ตาม แต่การที่โจทก์กลับปล่อยให้จำเลยปลูกสร้างอาคารต่อไปใน ที่ดินของโจทก์ ทั้งที่ได้ทำสัญญาขายฝากแล้วโดยโจทก์มิได้ห้ามปราม หรือขอให้จำเลยยุติการก่อสร้าง ถือได้ว่า โจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่ออยู่ด้วยในการสร้างโรงเรือนของจำเลย โจทก์จึงไม่อาจบอกปัดไม่ยอมรับโรงเรือน นั้น และเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป ตามมาตรา 1310 วรรคสอง ดังกล่าว และไม่อาจเรียกค่าขาดประโยชน์จาก จำเลยได้เพราะจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ***จบการบรรยาย***
1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์ – ที่ดิน (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์สมจิตร์ ทองศรี บรรยายวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 (ครั้งที่ 9) (สัปดาห์ที่ 8) สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เป็นการบรรยายวิชากฎหมายทรัพย์และที่ดินครั้งที่ 9 ซึ่งเป็นการ แลกบรรยายกับท่านอาจารย์ สุทธิพล ฯ เนื่องจากอาจารย์สุทธิพลฯ มีภารกิจ โดยอาจารย์ขอเรียนว่าวันอังคาร หน้านั้น ท่านอาจารย์สุทธิพลฯ จะบรรยายในเวลาที่อาจารย์บรรยายนะครับ ในครั้งที่แล้ว เราได้พูดกันในเรื่องกลุ่มของกฎหมายเกี่ยวกับการสร้างโรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างหรือ ปลูกต้นไม้ไปได้ 2 มาตราแล้ว คือมาตรา 1310 คือสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตกับมาตรา 1311 สร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริต ต่อไปก็มาถึงมาตรา 1312 เรื่องการสร้างโรงเรือนรุกล้ำในที่ดิน ของผู้อื่น ซึ่งบทบัญญัติมาตรานี้มีอยู่ 2 วรรคด้วยกัน มาตรา 1312 บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้น เป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็น ภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้ ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอน ไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้ ข้อสังเกต มาตรานี้เป็นเรื่องการสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่น โดยวรรคหนึ่งนั้นเป็นการสร้าง โดยสุจริต เจ้าของที่ดินไม่ได้โรงเรือนส่วนที่รุกล้ำเหมือนเช่นกรณีตามมาตรา 1310 แต่ผู้สร้างนั้นเป็น เจ้าของ ซึ่งก็ชอบด้วยเหตุผล เพราะหากให้เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของส่วนที่รุกล้ำ โรงเรือนนั้นก็จะไม่สามารถ ใช้สอยได้อย่างเต็มที่ เมื่อสร้างโดยสุจริตจึงไม่เป็นละเมิด ส่วนวรรคสอง เป็นการสร้างโดยไม่สุจริตซึ่งเป็น ละเมิดอยู่ในตัว ข้อพิจารณา 1. ส่วนที่รุกล้ำต้องเป็นโรงเรือนส่วนน้อย การสร้างโรงเรือนรุกล้ำนั้นคำว่ารุกล้ำ หมายความว่า โรงเรือนนั้นต้องปลูกสร้างอยู่ในที่ดินของผู้สร้างส่วนใหญ่ แล้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินข้างเคียงเป็นส่วนน้อย ชายคาบ้าน ฎีกาที่ 741/2505 ปลูกสร้างเรือนในที่ดินของตน ตัวเรือนไม่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น แต่ชายคาได้รุกล้ำเข้าไปโดยสุจริตนั้น ย่อมเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 ไม่ใช่ มาตรา 1341 เพราะมาตรา 1341 หมายถึง ทำหลังคาหรือการปลูกสร้างอย่างอื่นโดยมิได้รุกล้ำที่ดินของคนอื่น แต่เมื่อฝนกตกน้ำฝนได้ไหลลงไปยังที่ดิน หรือทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งอยู่ติดต่อกัน กันสาด ฎีกาที่ 904/2517 ที่ดินและอาคารของโจทก์และของจำเลยร่วมอยู่ติดกันโดยต่างรับซื้อมาจาก บุคคลอื่นกันสาดของอาคารที่จำเลยร่วมซื้อได้รุกล้ำที่ดินที่โจทก์ซื้ออยู่ก่อนแล้ว ต่อมาจำเลยร่วมได้สร้าง
2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ห้องน้ำบนกันสาดนั้น อันเป็นการใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์เฉพาะที่กันสาดรุกล้ำเข้าไปนั้นสืบ ต่อจากเจ้าของเดิมโดยจำเลยร่วมมิได้ขออนุญาตต่อผู้ใด ถือได้ว่าจำเลยร่วมได้สร้างห้องน้ำขึ้นโดยสุจริตย่อม ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 และข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าจำเลย ร่วมใช้สิทธิโดยอำนาจปรปักษ์เกินกว่า 10 ปีแล้ว กันสาดและห้องน้ำเหนือที่ดินของโจทก์ย่อมตกอยู่ในภาร จำยอมโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้จำเลยรื้อห้องน้ำบนกันสาดนั้น ครัว ฎีกาที่ 634/2515 ครัวเป็นส่วนหนึ่งของอาคารโรงเรือน การสร้างครัวรุกล้ำที่ดินของผู้อื่น ย่อม เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นตามกฎหมาย การสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ผู้สร้างย่อมเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้นตามกฎหมาย เจ้าของที่ดินที่ถูกรุกล้ำไม่อาจฟ้องบังคับให้ผู้สร้างรื้อถอน โรงเรือนได้ แม้ผู้สร้างจะมิได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับเจ้าของที่ดินนั้นให้จดทะเบียนภารจำยอมก็ตาม ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 เฉพาะโรงเรือนที่สร้างรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นเท่านั้นที่ได้รับ ความคุ้มครองสิ่งอื่น ๆ ที่มิใช่โรงเรือน หาได้รับความคุ้มครองด้วยไม่ ฐานรากของโรงเรือน ฎีกาที่ 5238/2546 จำเลยสร้างฐานรากของโรงเรือนซึ่งเป็นส่วนที่ฝังอยู่ใต้ดินรุกล้ำเข้าไปใน ที่ดินของโจทก์โดยมีเจตนาเพื่อซ่อนเร้นปกปิดการกระทำที่ไม่ชอบของตน จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลย ครอบครองที่ดินส่วนที่รุกล้ำของโจทก์โดยเปิดเผยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ประกอบมาตรา 1401 แม้จะมีการครอบครองมานานเท่าใด จำเลยก็ไม่ได้สิทธิภารจำยอมในที่ดินดังกล่าว แต่ขอให้สังเกตว่า ท่อน้ำทิ้งและเครื่องปรับอากาศ ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรือน (ฎีกาที่ 778/2523) ถังส้วมซีเมนต์ก็ไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรือน ฎีกาที่ 2316/2522 ถังส้วมซีเมนต์ของโรงเรือนของจำเลยรุกล้ำเข้าไปฝังอยู่ในที่ดินของโจทก์ โดยสุจริต ถังส้วมมิใช่โรงเรือนและอยู่นอกโรงเรือน ไม่เป็นส่วนหนึ่งของโรงเรือน ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 1312 ถ้าส่วนที่รุกล้ำเป็นส่วนที่ต่อเติมภายหลัง ก็ไม่ถือว่าสร้างรุกล้ำ ฎีกาที่ 3666-3670/2533 ขณะปลูกสร้างโรงเรือนไม่รุกล้ำที่ดินของผู้อื่นแล้วต่อมาจึงมีการต่อ เติมโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น ย่อมมิใช่เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำตามมาตรา 1312 จะนำ มาตรา 1312 มาใช้บังคับตามมาตรา 4 ในฐานะเป็นกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งมิได้ ฎีกาที่ 3685-3686/2546 บริษัท ด. เจ้าของที่ดินได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์จำนวน 11 คูหา ขายโดยด้านหลังอาคารมีกำแพงรั้วคอนกรีตสูงประมาณ 2 เมตร กั้นยาวตลอดทั้ง 11 คูหาจำเลยที่ 4 ซื้อ อาคารพาณิชย์เมื่อปี 2525 ส่วนจำเลยที่ 5 ซื้ออาคารพาณิชย์เมื่อปี 2536จำเลยที่ 4 และที่ 5 ได้ต่อเติม รั้วคอนกรีตเดิมซึ่งอยู่นอกโฉนดที่ดินที่ซื้อมาให้สูงขึ้นและมุงหลังคาเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร ส่วนโจทก์ซื้อ ที่ดินมาเมื่อปี 2537 ซึ่ง มีเนื้อที่ครอบคลุมรั้วคอนกรีตทั้งหมด ในกรณีรั้วคอนกรีตที่ได้มีการก่อสร้างไว้แล้ว เดิมไม่มีบทกฎหมายมาตราใดที่จะ ยกขึ้นมาปรับแก่คดีได้โดยตรง ในการวินิจฉัยคดีจึงต้องอาศัยเทียบบท กฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์คือมาตรา 1310
3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ประกอบมาตรา 1314 ซึ่ง บัญญัติให้โจทก์เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของสิ่งก่อสร้าง โจทก์จึงเป็นเจ้าของรั้ว คอนกรีตเดิม ส่วนรั้วคอนกรีตที่ต่อเติมให้สูงขึ้นและสิ่งปลูกสร้างด้านหลังอาคารพาณิชย์ ที่ต่อเติมขึ้น ภายหลังไม่ใช่การสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้ อื่น หรือสร้างโรงเรือนหรือสิ่งก่อสร้างอื่นในที่ดิน ของผู้อื่น แม้จำเลยที่ 4 และที่ 5 จะกระทำไปโดยสุจริต ก็ไม่มีสิทธิใช้ที่ดินของโจทก์ได้ กรณีไม่ต้องด้วย มาตรา 1312 และมาตรา 1310 ประกอบมาตรา 1314 จึงต้องรื้อออกไป 2. ถ้าส่วนใหญ่ของโรงเรือนอยู่ในที่ดินของคนอื่นและส่วนน้อยอยู่ในที่ดินของตนเอง กรณีนี้ เข้ามาตรา 1310 หรือ 1311 หาใช่เป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำตามมาตรา 1312 ไม่ถ้าสุจริต โรงเรือนนั้นก็ตกเป็นของเจ้าของที่ดินที่โรงเรือนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ แต่เจ้าของที่ดินที่โรงเรือนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ จะต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้น โดยถือว่าโรงเรือนนั้นรุกล้ำในที่ดินของตน (ผู้สร้าง) โดยสุจริต กรณีจึงต้องปรับเข้ามาตรา 1312 ต่อไป แต่ถ้าสร้างโดยไม่สุจริต ผู้สร้างต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้ว ส่งคืนเจ้าของ มีข้อน่าคิดต่อไปว่า กรณีสร้างโรงเรือนส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริต แต่เจ้าของที่ดิน จะเลือกให้ส่งคืนตามที่เป็นอยู่ เจ้าของที่ดินต้องใช้ราคาโรงเรือนหรือใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้น โดยต้อง ถือว่าโรงเรือนนั้นรุกล้ำในที่ดินของผู้สร้างโดยสุจริต แล้วจึงปรับเข้ามาตรา 1312 ต่อไป ฎีกาที่ 5637/2536 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์ประมาณร้อยละ 70ส่วนอีก ร้อยละ 30 ปลูกอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 เมื่อปรากฏว่าโรงเรือนส่วนใหญ่อยู่ในที่ดินของโจทก์ จึงเป็นกรณี ปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310,1311 หาใช่ เป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำตามมาตรา 1312 ไม่ การที่จำเลยทั้งสี่ปลูกสร้างบ้านลงในที่ดินของโจทก์ โดยรู้ว่าไม่มีสิทธิเช่นนั้น จึงเป็นการปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ตามมาตรา 1311 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านส่วนที่อยู่ในที่ดินของโจทก์ออกไป และจำเลยต้องทำที่ดินให้เป็น ตามเดิมแล้วส่งคืนแก่โจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ในคดีส่วนอาญาศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดย วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่มีเจตนากระทำความผิดอาญา หาใช่การกระทำโดยมีเจตนาสุจริตตาม ความหมายในคดีส่วนแพ่งไม่ *ฎีกาที่ 1090/2558 ม. และ ข. ปลูกสร้างตึกแถวในที่ดินของตนเอง ต่อมาแบ่งแยกที่ดินและ ตึกแถวให้แก่บุตร โดยปรากฏในภายหลังว่าตึกแถวที่ยกให้อ. อยู่ในที่ดินที่ยกให้แก่ ล. ทั้งแปลงและอยู่ใน ที่ดินของ อ. เป็นส่วนน้อย ต้องถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตมาแต่เดิมและกรณี เช่นนี้ไม่มีกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้โดยตรง ต้องอาศัยเทียบเคียงตามบทบัญญัติของประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1310 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามมาตรา 4 วรรคสอง อันมีผลทำให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทพร้อมตึกแถวดังกล่าวเป็นเจ้าของตึกแถว แต่ต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะการสร้างตึกแถวนั้นให้แก่จำเลยและพวกซึ่งถือกรรมสิทธิ์รวม ส่วนที่ตึกแถวบางส่วนที่อยู่ในที่ดินของจำเลยและพวกประมาณ 2 ตารางวา ก็ต้องปรับบทเทียบเคียงตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 วรรคหนึ่ง โดยถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปใน ที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ตึกแถวส่วนปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยจึงเป็นของโจทก์ทั้งสองด้วย
4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แต่โจทก์ทั้งสองต้องเสียเงินค่าที่ดินส่วนที่รุกล้ำให้แก่จำเลยและพวก การครอบครองตึกแถวของจำเลยจึงไม่ ถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองเพราะจำเลยมีสิทธิครอบครองโดยชอบมาแต่เดิมและโจทก์ทั้งสองยัง มิได้ใช้ค่าที่ดินทั้งในสองกรณีให้แก่จำเลย โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 และเป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองต้องไปบังคับแก่จำเลย ตามบทกฎหมายที่ถูกต้องต่อไป ข้อสังเกต แต่ถ้าสร้างคร่อมบนที่ดินของตนเอง 2 แปลง ไม่เข้ากรณีตามมาตรา 1312 ฎีกาที่ 796/2552 จำเลยปลูกสร้างบ้านคร่อมลงบนที่ดินพิพาทและบนที่ดินของจำเลยอีกแปลง หนึ่งที่อยู่ติดกันโดยจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินทั้งสองแปลง จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะปลูกสร้างได้ในฐานะเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ กรณีจึงมิใช่เป็นการปลูกโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 ต่อมาเมื่อที่ดินพิพาทถูกบังคับคดีนำออกขายทอดตลาด โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทได้ จากการขายทอดตลาด ไม่ว่าโจทก์จะรู้หรือไม่รู้ว่ามีบ้านและสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาท แต่ที่ดินพิพาทก็ เป็นของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา จึงถือว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต สิทธิของโจทก์ที่ได้ ที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดย่อมไม่เสียไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1330 โจทก์จึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน พิพาท และหลังจากโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดแล้ว ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้ก่อให้เกิดสิทธิเหนือพื้นดินเป็นคุณแก่จำเลย โดยยอมให้จำเลยเป็นเจ้าของบ้านบนที่ดินของโจทก์ ต่อไป และโจทก์ในฐานะมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทย่อมมีแดนแห่งกรรมสิทธิ์ที่ดินและมีสิทธิใช้สอย จำหน่าย ได้ดอกผลกับมีสิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้และมีสิทธิขัดขวางมิให้ ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1335, 1336 เมื่อโจทก์ผู้มี กรรมสิทธิ์ในที่ดินไม่ประสงค์จะให้จำเลยปลูกบ้านและสิ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโจทก์อีกต่อไปและได้บอก กล่าวให้จำเลยรื้อถอนออกจากที่ดินพิพาทแล้วจำเลยเพิกเฉย จึงเป็นการละเมิดทำให้โจทก์ไม่อาจใช้ ประโยชน์ในที่ดินพิพาทได้ โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีอำนาจขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านและ สิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ได้หาใช่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตอย่างใด และกรณีมิใช่ไม่มีบท กฎหมายที่จะยกขึ้นปรับแก่คดีอันจะต้องอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาวินิจฉัยคดีตามมาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฎีกาที่ 9785/2553 จำเลยปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินพิพาทและบนที่ดินของจำเลยอีกแปลงที่อยู่ ติดต่อกันโดยจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินทั้งสองแปลงจำเลยจึงมีสิทธิปลูกสร้างได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ซึ่ง มิใช่การปลูกโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 เมื่อต่อมาที่ดิน พิพาทถูกบังคับคดีนำออกขายทอดตลาด โจทก์ผู้ซื้อที่ดินได้จากการขายทอดตลาดจึงเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทมา โดยสุจริต ส่วนบ้านและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนที่ดินพิพาทจะมีหรือไม่ หรือโจทก์จะรู้หรือไม่ว่ามีบ้านและสิ่ง ปลูกสร้างอยู่บนที่ดินพิพาทก็ไม่ทำให้โจทก์มิใช่ผู้ซื้อโดยสุจริต สิทธิของโจทก์ที่ได้ที่ดินจากการขายทอดตลาด ย่อมไม่เสียไปตามมาตรา 1330 โจทก์จึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท การที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยปลูก บ้านและสิ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินอีกต่อไป แต่จำเลยเพิกเฉย จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิของ บังคับให้จำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้
5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 3. กรณีปลูกโรงเรือนแล้วแบ่งที่ดิน ทำให้โรงเรือนรุกล้ำ ต้องนำมาตรา 1312 มาปรับใช้ใน ฐานะกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่ง คำพิพากษาฎีกาในกลุ่มนี้อาจารย์คิดว่าเป็นคำพิพากษาฎีกาที่วางหลักไว้ อย่างมั่นคง ยังไม่มีแนวโน้มว่าศาลฎีกาจะกลับหรือแก้ไขให้เป็นอย่างอื่น ฎีกาที่ 1848/2512(ประชุมใหญ่) จำเลยมิได้เป็นผู้สร้างตึกพร้อมกันสาดที่พิพาท หากแต่ เจ้าของที่ดินเป็นผู้สร้างในที่ดินของตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะขณะสร้างยังมิได้แบ่งแยกที่ดิน ออกเป็นสองแปลง ดังนั้น ถ้าจะบังคับให้รื้อ ก็มีผลเท่ากับจำเลยเป็นผู้สร้าง ตามมาตรา 1312 วรรคสอง ย่อมไม่เป็นธรรม เพราะแม้จำเลยเป็นผู้สร้างรุกล้ำเอง ถ้าโดยสุจริต กฎหมายยังยอมให้จำเลยมีสิทธิใช้ที่ดิน ในส่วนที่รุกล้ำได้ แล้วไฉนถ้าจำเลยมิได้เป็นผู้สร้างรุกล้ำเอง แต่การที่สร้างนั้นเป็นการสร้างโดยชอบด้วย กฎหมายซึ่งยิ่งกว่าเป็นการสร้างโดยสุจริตเสียอีก แล้วกลับจะถูกบังคับให้รื้อถอน เพราะไม่มีสิทธิจะใช้ กรณี ดังกล่าวไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ เมื่อเป็นช่องว่างแห่งกฎหมาย ดังนี้ จึงต้องนำประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 มาใช้สำหรับกรณีนี้ไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะยกมาปรับคดีได้ จึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งก็คือ มาตรา 1312 วรรค แรก คือ จำเลยมีสิทธิใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์เฉพาะที่กันสาดรุกล้ำเข้าไปนั้นได้ โจทก์ไม่มี อำนาจฟ้องขอให้จำเลยรื้อ แต่มีสิทธิที่จะเรียกเงินเป็นค่าที่จำเลยใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ ต่อไป ตลอดจนการที่จะดำเนินการจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม ฎีกา 545/2530 ทายาทในฐานะเจ้าของรวม ปลูกบ้านในที่ดินมรดกซึ่งครอบครองร่วมกันอยู่ โดยสุจริต ต่อมามีการแบ่งแยกโฉนดระหว่างทายาทปรากฏว่าบ้านที่ทายาทคนหนึ่งปลูกบางส่วนรุกล้ำที่ดิน ของทายาทอื่น กรณีเช่นนี้ไม่มีบทกฎหมายมาตราใดบัญญัติไว้โดยตรง ต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามที่มาตรา 4 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดไว้ บทกฎหมายที่ ใกล้เคียงอย่างยิ่งก็คือมาตรา 1312 วรรคแรก ซึ่งให้เจ้าของที่ดินได้ค่าใช้ที่ดินส่วนรุกล้ำและจดทะเบียน สิทธิเป็นภาระจำยอม 4. ผู้สืบสิทธิของผู้สร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยสุจริต ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1312 วรรค หนึ่งด้วย ฎีกาที่ 3713/2534 โจทก์จะบังคับให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนระเบียงพิพาทได้ก็ต่อเมื่อจำเลยทั้ง สามก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ตามป.พ.พ. มาตรา 1312 วรรคสอง แต่เมื่อจำเลย ทั้งสามซื้อ ตึกแถว พร้อมระเบียงพิพาทที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว โดยไม่ปรากฏว่า ระเบียงได้สร้าง รุกล้ำโดยไม่สุจริต ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้สืบสิทธิของผู้สร้างระเบียงพิพาทรุกล้ำที่ดินของโจทก์ โดยสุจริต โจทก์จึงมีสิทธิ เพียงแต่ จะ ได้ค่าใช้ที่ดินและยังมีหน้าที่ จดทะเบียนภาระจำยอมให้จำเลยทั้งสาม ด้วยทั้งนี้ โดยนัย ป.พ.พ. มาตรา 1312 วรรคแรก แต่โจทก์มิได้ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน เป็นค่าใช้ที่ดินของโจทก์ ศาลจึงไม่อาจบังคับให้จำเลยใช้เงินดังกล่าวได้ ฎีกาที่ 4799/2552 จำเลยมิได้เป็นผู้สร้างตึกแถวพร้อมกันสาด แต่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเดิม เป็นผู้สร้างในที่ดินของตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งไม่มีกฎหมายที่ยกมาปรับคดีได้จึงต้องนำ ป.พ.พ. มาตรา 4 มาใช้บังคับโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งได้แก่มาตรา 1312 วรรคแรก คือ
6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จำเลยมีสิทธิใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์ที่อยู่ใต้แนวกันสาดที่รุกล้ำเข้าไปนั้นได้โดยถือว่ากัน สาดที่รุกล้ำนั้นเป็นมาโดยสุจริต แต่จำเลยต้องเสียค่าใช้ที่ดินนั้นแก่โจทก์ โดยโจทก์ต้องจดทะเบียนสิทธิภาระ จำยอมให้จำเลย โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อกันสาดอันเป็นสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของ โจทก์จนกว่าจำเลยจะไม่ใช้ค่าใช้ที่ดินนั้น 5. มาตรา 1312 ใช้บังคับเฉพาะที่ดินของเอกชนกับเอกชน จะนำไปใช้กับที่ดินสาธารณ สมบัติของแผ่นดินไม่ได้ ฎีกาที่ 1159/2511 การได้สิทธิจดทะเบียนภารจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 นั้น จะต้องเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต แต่ที่พิพาทเป็นสา ธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์สินของแผ่นดินธรรมดาหรือของเอกชน จะนำมาใช้บังคับในกรณีนี้หาได้ ไม่ดังนั้น แม้จำเลยจะปลูกสร้างโดยสุจริตก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิขอให้จดทะเบียนภารจำยอมได้ 6. กรณีปลูกสร้างสิ่งอื่นที่มิใช่โรงเรือนรุกล้ำ ไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1312 แม้จะ สร้างโดยสุจริตก็ตาม ฎีกาที่ 951-9582/2542 การสร้างโรงเรือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 หมายถึงการสร้างบ้านสำหรับอยู่อาศัย ดังนั้นโรงรถ ท่อน้ำประปา ปั๊มน้ำ และแท็งก์น้ำจึงมิใช่ โรงเรือนตามความหมายของบทบัญญัติมาตรานี้ และไม่ถือว่าเป็น ส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนด้วย แม้ จำเลยจะสร้างหรือทำ โดยสุจริต ก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง จำเลยต้องรื้อถอน ออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสอง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ทั้งสองไปจดทะเบียนภารจำยอมให้จำเลยเฉพาะส่วนที่โรงเรือนของจำเลย รุกล้ำเข้าไปในแนวเขตที่ดินของโจทก์ทั้งสอง โดยให้วัดเป็นแนวดิ่ง ตามแนวชายคาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งที่ยื่น ล้ำออกจากตัวโรงเรือน ตั้งฉากกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองยาวตลอดแนวที่ปลูกสร้างรุกล้ำ นั้นเป็นการกำหนด หลักเกณฑ์การจดทะเบียนภารจำยอมไว้ ชัดแจ้งแล้ว ไม่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งระหว่างโจทก์ทั้งสอง กับจำเลย ซึ่งจะต้องตกลงกันอีกแต่อย่างใด และตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 นั้น ย่อม หมายถึง ให้จดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอมเฉพาะตัวโรงเรือนที่ รุกล้ำเท่านั้น ไม่มีผลให้บุคคลผู้สร้าง โรงเรือนรุกล้ำ เข้าไปในที่ดินของผู้อื่นได้สิทธิภารจำยอมในที่ดินของ ผู้อื่นอีก 2 เมตร โดยวัดจากตัวโรงเรือน ส่วนที่รุกล้ำเข้าไป แม้จะมีข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 74 กำหนดให้อาคารที่ปลูกในที่ดินเอกชน ให้ผนังด้านที่มีหน้าต่างประตูหรือช่องระบายอากาศ อยู่ห่างเขตที่ดิน ได้สำหรับชั้นสองลงมาระยะไม่น้อยกว่า 2 เมตร ก็ตามก็เป็นคนละกรณีกัน ฎีกาที่ 1511/2542 เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์และโฉนดเลขที่ 94012 พร้อมสิ่ง ปลูกสร้างของจำเลย เป็นที่ดินแปลงเดียวกันซึ่งโจทก์ซื้อ มาจากน. โดยมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินมาก่อนแล้ว ต่อมาโจทก์นำที่ดินโฉนดเลขที่ 94012 ไปจดทะเบียนจำนองและมีการ บังคับจำนอง ซึ่งต.เป็นผู้ประมูลได้ จากนั้น ต.ขายที่ดินดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลย ปรากฏว่าสิ่งปลูกสร้าง บางส่วนคือส่วนหนึ่งของ บ้านเลขที่ 17 และรั้วบ้านรุกล้ำที่ดิน โฉนดเลขที่ 94068 ของโจทก์ กรณีจึงไม่เข้า ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1312 เพราะการรุกล้ำมิได้ เกิดจากจำเลยสร้างขึ้น เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมา ปรับคดีได้จึงต้องนำมาตรา 1312 ซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับ ตามมาตรา 4 วรรคสอง
7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รื้อส่วนของบ้านเลขที่ 17ที่ รุกล้ำ แต่มีสิทธิเรียกเงินเป็นค่าใช้ส่วนแดนกรรมสิทธิ์และดำเนินการจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอม เมื่อรั้ว บ้าน ที่รุกล้ำนั้นมิใช่การรุกล้ำของโรงเรือนหรือส่วนหนึ่งส่วนใด ของโรงเรือนอันจะปรับใช้มาตรา 1312 ได้ จำเลยจึงต้อง รื้อรั้วบ้านที่รุกล้ำ โจทก์มีคำขอให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไป รั้วบ้าน ก็อยู่ใน ความหมายของสิ่งปลูกสร้างในที่ดินเช่นเดียวกับโรงเรือน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อรั้วบ้านที่รุก ล้ำ จึงหาได้ เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องไม่ แม้ก่อนฟ้องคดีนี้จำเลยยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่เมื่อโจทก์ ฟ้อง เรียกค่าใช้ที่ดินจากจำเลยแล้ว จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระ ค่าใช้ที่ดินแก่โจทก์ ย่อมถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิด นัด นับแต่วันฟ้องแล้ว ฎีกาที่ 2743/2541 สิ่งที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ปลูกสร้างในที่ดินของโจทก์มิใช่โรงเรือน แต่เป็น ถนนและเสาไฟฟ้าอันเป็นสาธารณูปโภคสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันแม้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ปลูกสร้างรุกล้ำ ที่ดินของโจทก์โดยสุจริต กรณีก็ไม่อาจนำมาตรา 1312 ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาใช้ บังคับได้ เมื่อเป็นกรณีไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติไว้โดยตรง จึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่าง ยิ่งคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1314 ซึ่งกำหนดให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 1310 บังคับตลอด ถึงการก่อสร้างใด ๆ ซึ่งติดที่ดินด้วย และเมื่อสิ่งปลูกสร้างคดีนี้ เป็นสาธารณูปโภคสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน ซึ่งโจทก์ไม่อาจเป็นเจ้าของได้ โจทก์จึงคงมีสิทธิเพียงเรียกให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ซื้อที่ดินนั้นตามราคาตลาด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310 วรรคสอง โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะเจ้าของทรัพย์ สินใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1336 ย่อมไม่มีกำหนดอายุความ เว้นแต่ผู้ที่ยึดถือจะได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์ ข้อสังเกต เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นการสร้างถนนทั้งถนนในที่ดินของผู้อื่น เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะต้อง บังคับตามมาตรา 1314 โดยตรง แต่คดีนี้เป็นการสร้างถนนรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ซึ่งไม่ต้องด้วยบท กฎหมายใด ศาลฎีกาจึงอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งคือมาตรา 1314 โดยยึดโยงเอามาตรา 1310 มาใช้กล่าวคือ เมื่อเป็นการสร้างโดยสุจริต เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้าง แต่ต้องใช้ค่าแห่งที่ดินเพียง ที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งปลูกสร้างคือถนนนั้น เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (2) ซึ่งเอกชนเป็นเจ้าของไม่ได้ศาลฎีกาจึงนำมาตรา 1310 วรรคสองมาใช้บังคับ 7. คำว่า “สุจริต” มีความหมายเหมือนกับกรณีมาตรา 1310 คือสร้างโรงเรือนโดยเข้าใจว่า เป็นที่ดินของตนเองหรือเข้าใจว่าเป็นที่ดินของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิที่จะสร้างได้และต้องสุจริตตั้งแต่ต้น 8.ผลของมาตรา 1312 นั้น คือเจ้าของโรงเรือนสามารถเรียกให้จดทะเบียนภาระจำยอมได้และ เจ้าของโรงเรือนอาจได้ภาระจำยอมโดยอายุความได้ด้วย ฎีกาที่ 904/2517 ที่ดินและอาคารของโจทก์และของจำเลยร่วมอยู่ติดกันโดยต่างรับซื้อมาจาก บุคคลอื่นกันสาดของอาคารที่จำเลยร่วมซื้อได้รุกล้ำที่ดินที่โจทก์ซื้ออยู่ก่อนแล้ว ต่อมาจำเลยร่วมได้สร้าง ห้องน้ำบนกันสาดนั้น อันเป็นการใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของโจทก์เฉพาะที่กันสาดรุกล้ำเข้าไปนั้นสืบ ต่อจากเจ้าของเดิมโดยจำเลยร่วมมิได้ขออนุญาตต่อผู้ใด ถือได้ว่าจำเลยร่วมได้สร้างห้องน้ำขึ้นโดยสุจริตย่อม ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 และข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าจำเลย
8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ร่วมใช้สิทธิโดยอำนาจปรปักษ์เกินกว่า 10 ปีแล้วกันสาดและห้องน้ำเหนือที่ดินของโจทก์ย่อมตกอยู่ในภาร จำยอมโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้จำเลยรื้อห้องน้ำบนกันสาดนั้น *ฎีกาที่ 5238/2546 จำเลยสร้างฐานรากของโรงเรือนซึ่งเป็นส่วนที่ฝังอยู่ใต้ดินรุกล้ำเข้าไปใน ที่ดินของโจทก์โดยมีเจตนาเพื่อซ่อนเร้นปกปิดการกระทำที่ไม่ชอบของตน จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลย ครอบครองที่ดินส่วนที่รุกล้ำของโจทก์โดยเปิดเผยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ประกอบมาตรา 1401 แม้จะมีการครอบครองมานานเท่าใด จำเลยก็ไม่ได้สิทธิภารจำยอมในที่ดินดังกล่าว ข้อสังเกต การจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอมตามมาตรา 1312 นั้น หมายถึงให้จดทะเบียน สิทธิเป็นภาระจำยอมเฉพาะตัวโรงเรือนที่รุกล้ำเท่านั้น ไม่มีผลให้บุคคลผู้สร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดิน ของผู้อื่นได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินของผู้อื่นในส่วนที่วัดจากแนวชายคาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งที่ยื่นล้ำจากตัว โรงเรือนเป็นแนวดิ่งตั้งฉากกับที่ดินที่รุกล้ำ 9.ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยสุจริต ถ้าต้องการให้ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1312 ผู้ที่ปลูกสร้างมีหน้าที่ต้องกล่าวอ้างว่าปลูกสร้างโดยสุจริต ดังนั้น กรณีที่จำเลยผู้สร้างไม่ได้ต่อสู้ว่าผู้สร้างได้ สร้างโดยสุจริต คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว ฎีกาที่ 291/2526 โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนจาก จำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ได้ โจทก์จึงไม่ต้องกล่าวอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของ โจทก์โดยไม่สุจริต มาตรา 1312 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบทบัญญัติที่จำกัด อำนาจกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของบุคคลไว้ว่าถ้าบุคคลภายนอกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินอันเป็น กรรมสิทธิ์ของผู้อื่นโดยสุจริต บุคคลภายนอกนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น ดังนั้น ถ้าจำเลยประสงค์จะ ได้รับความคุ้มครองตามมาตรานี้ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องกล่าวอ้างความข้อนี้ขึ้นมาเมื่อจำเลยมิได้ให้ การต่อสู้ว่าจำเลยได้ปลูกสร้างโรงเรือนโดยสุจริตคดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยถึง ศาลชั้นต้นกำหนด ประเด็นพิพาทเพียงว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่ การนำสืบของจำเลยว่าจำเลยได้ ปลูกสร้างโรงเรือนโดยสุจริต จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นและการที่ศาลยกเรื่องความสุจริตของจำเลยขึ้น วินิจฉัยก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นด้วย ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา 10. ถ้าสร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยไม่สุจริต มีผลถึงผู้สืบสิทธิของเจ้าของเดิมผู้ปลูกสร้างโรงเรือน โดยไม่สุจริตด้วย ฎีกาที่ 5909/2540 จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ปลูกสร้างบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 จึงต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1311 และจำเลยผู้สืบสิทธิของเจ้าของเดิมผู้ปลูกสร้างบ้านโดยไม่สุจริตย่อมไม่ได้รับความ คุ้มครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 เช่นกัน 11. ผู้มีสิทธิเรียกร้องให้จดทะเบียนภาระจำยอมตามมาตรา 1312 วรรคหนึ่ง ต้องเป็น เจ้าของที่ดิน ดังนั้น กรณีที่ผู้เช่าที่ดินปลูกสร้างโรงเรือน จึงไม่มีสิทธิเรียกร้อง ที่ 14354/2557 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของบ้านที่ปลูกสร้างบนที่ดินที่เช่าจาก ก. ทำสัญญาเช่ากันปีต่อปีปี 2529 ก. ยกที่ดินให้โจทก์ผู้เป็นหลานและอ. บุตรชาย ปี 2547 โจทก์แบ่งแยก
9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โฉนดที่ดินส่วนที่ก. ยกให้โจทก์รวมที่ดินปลูกอาคารด้านหลังบ้านของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วย โจทก์จึง ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รื้อถอนส่วนอาคารที่รุกล้ำเข้ามาในเขตที่ดินของโจทก์ปัญหาว่าโจทก์ต้องจด ทะเบียนที่ดินพิพาทที่มีสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ตกเป็นภาระจำยอมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 ตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่นั้น มาตรา 1387 บัญญัติว่า“อสังหาริมทรัพย์อาจ ต้องตกอยู่ภายในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์ อื่น” บางส่วนของโรงเรือนที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทของโจทก์ปลูกสร้างขึ้นโดยอาศัยสิทธิการเช่าที่ดินส่วน พิพาทจาก ก. เป็นรายปีจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นเพียงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ปลูกสร้างไม่ใช่เจ้าของ อสังหาริมทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 139, 146 จึงไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์จดทะเบียนภาระจำยอมตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 ***จบการบรรยาย***
pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ ๑/๗๖ วิชา ทรัพย์-ที่ดิน (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.สมจิตร์ ทองศรี บรรยายวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖ (ครั้งที่ ๑๐) (สัปดาห์ที่ ๑๐) สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เป็นการบรรยายกฎหมายทรัพย์และที่ดินครั้งที่ ๑๐ ตรงกับวันอังคารที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖ และครั้งที่แล้วอาจารย์บรรยายถึงมาตรา ๑๓๑๒ ในเรื่องการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปใน ที่ดินของผู้อื่นและอาจารย์ยังคงค้างบรรยายมาตรา ๑๓๑๓ และมาตรา ๑๓๑๔ มาตรา ๑๓๑๓ การสร้างโรงเรือนในที่ดินที่เป็นเจ้าของโดยมีเงื่อนไข มาตรา ๑๓๑๓ บัญญัติว่า “ถ้าผู้เป็นเจ้าของที่ดินโดยมีเงื่อนไขสร้างโรงเรือนในที่ดินนั้น และภายหลัง ที่ดินตกเป็นของบุคคลอื่นตามเงื่อนไขไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยลาภมิควรได้มา ใช้บังคับ” ข้อพิจารณา มาตรา ๑๓๑๓ ต่างจากมาตรา ๑๓๑๑ และมาตรา ๑๓๑๒ ซึ่งเป็นเรื่องของการสร้างโรงเรือนในที่ดิน ของผู้อื่นหรือเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น แต่บทบัญญัติมาตรา ๑๓๑๓ นี้เป็นการสร้าง โรงเรือนในที่ดินของตนเองซึ่งตนเองเป็นเจ้าของโดยมีเงื่อนไข ความหมายของคำว่า “ผู้เป็นเจ้าของที่ดินโดยมีเงื่อนไข” มีความหมายอยู่สองความหมาย ดังนี้ ๑. หมายถึง เรื่องที่เจ้าของที่ดินสร้างโรงเรือนบนที่ดินที่มีเงื่อนไขบังคับหลัง “เงื่อนไข” หมายถึงเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคตที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ ตามป.พ.พ. มาตรา ๑๘๒ โดยมาตรา ๑๘๓ วรรคหนึ่งบัญญัติถึงนิติกรรมที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน กล่าวคือ ถ้าเงื่อนไขสำเร็จนิติกรรมก็จะ มีผล ส่วนวรรคสองของมาตรา ๑๘๓ บัญญัติถึงนิติกรรมที่มีเงื่อนไขบังคับหลัง กล่าวคือ ถ้าเงื่อนไขสำเร็จนิติ กรรมย่อมสิ้นผล ตัวอย่าง ดำยกที่ดินให้แดงโดยกำหนดเงื่อนไขไว้ว่า ถ้าแดงสอบไล่เนติบัณฑิตภาค ๑ ไม่ผ่าน ให้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินโอนกลับมายังดำ โดยระหว่างที่แดงเป็นเจ้าของที่ดินมีเงื่อนไขอยู่นั้น แดงได้ปลูกสร้าง โรงเรือนในที่ดิน ต่อมาปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาสอบไล่ แดงสอบไม่ผ่าน เช่นนี้จึงเท่ากับว่าเงื่อนไขบังคับหลังสำเร็จ ที่ดินจึงกลับไปเป็นของดำ จึงถือว่าโรงเรือนที่แดงปลูกเป็นลาภมิควรได้แก่ดำ แดงในฐานะผู้สร้างโรงเรือนใน ขณะที่ตนเองมีสิทธิในที่ดินโดยสุจริต ชอบที่จะเรียกเอาค่าทดแทนจากดำได้ตามบทบัญญัติในเรื่องลาภมิควรได้ ๒. นอกจากนี้ ความหมายของ “เจ้าของที่ดินที่มีเงื่อนไข” อีกกรณีหนึ่งหมายถึง กรณีที่มีเงื่อนไขห้าม โอนตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๐๐ ในเรื่องมรดก มาตรา ๑๗๐๐ บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในหมวดนี้บุคคลจะจำหน่ายทรัพย์สินใด ๆ โดยนิติกรรมที่มีผลในระหว่างชีวิต หรือเมื่อตายแล้ว โดยมีข้อกำหนดห้ามมิให้ผู้รับประโยชน์โอนทรัพย์สินนั้นก็ ได้ แต่ต้องมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งนอกจากผู้รับประโยชน์กำหนดไว้ สำหรับเป็นผู้จะได้รับทรัพย์สินนั้นเป็นสิทธิ เด็ดขาด ในเมื่อมีการละเมิดข้อกำหนดห้ามโอน ผู้ซึ่งกำหนดขึ้นดั่งกล่าวนั้น ต้องเป็นผู้สามารถจะมีสิทธิต่าง ๆ ได้อยู่ในขณะที่การจำหน่ายทรัพย์สินนั้น มีผลบังคับ
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ถ้ามิได้กำหนดบุคคลที่จะเป็นผู้รับทรัพย์สินในเมื่อมีการละเมิดข้อกำหนดห้ามโอนไว้ ให้ถือว่า ข้อกำหนดห้ามโอนนั้นเป็นอันไม่มีเลย” ตัวอย่าง เอกยกที่ดินให้โทซึ่งเป็นบุตร โดยมีข้อกำหนดว่าโทจะจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินแปลงดังกล่าว ไม่ได้ภายใน ๑๐ ปี ถ้าโทจำหน่ายจ่ายโอนที่ดิน ให้ที่ดินนั้นตกเป็นของตรีซึ่งเป็นบุตรของเอกอีกคนหนึ่ง ในระหว่างที่โทเป็นเจ้าของที่ดิน โทได้สร้างโรงเรือนลงในที่ดินดังกล่าว ต่อมาปรากฏว่าโทผิดข้อกำหนด ที่ดินจึง ตกเป็นของตรี กรณีเช่นนี้ โทชอบที่จะเรียกร้องเอาค่าทดแทนจากตรีได้ เพราะมาตรา ๑๓๑๓ บัญญัติให้นำ เรื่องลาภมิควรได้มาใช้บังคับ ข้อสังเกต ๑. การสร้างโรงเรือนตามมาตรา ๑๓๑๓ นี้ ต้องเป็นการสร้างโรงเรือนทั้งหลัง ๒. เรื่องลาภมิควรได้ที่จะนำมาใช้กับมาตรา ๑๓๑๓ นี้ หมายถึงมาตรา ๔๐๖, มาตรา ๔๑๓ และมาตรา ๔๑๔ กล่าวคือ ผู้ที่ได้ที่ดินไปตามเงื่อนไข จะต้องคืนโรงเรือนให้แก่ผู้สร้างตามสภาพที่เป็นอยู่ในขณะที่ตนรับ โอนที่ดิน แต่ถ้าตนจะเอาโรงเรือนไว้ก็จะต้องชดใช้ราคาโรงเรือนตามสภาพที่เป็นอยู่ในขณะรับโอนให้แก่ผู้สร้าง โรงเรือน หมายเหตุมาตรา ๑๓๑๓ นั้น ไม่ปรากฏคำพิพากษาฎีกาโดยตรง 8 มาตรา ๑๓๑๔ การปลูกสร้างสิ่งอื่น ปลูกต้นไม้หรือธัญชาติในที่ดินของผู้อื่น สำหรับมาตรา ๑๓๑๔ นี้อาจารย์ได้อธิบายภาพรวมไปในครั้งที่แล้วแล้ว ฉะนั้น อาจารย์จะพูดถึง ประเด็นในมาตรา ๑๓๑๔ เฉพาะบางกรณีเท่านั้น มาตรา ๑๓๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๑๓๑๐, ๑๓๑๑ และ ๑๓๑๓ บังคับ ตลอดถึงการก่อสร้างใด ๆ ซึ่งติดที่ดินและการเพาะปลูกต้นไม้หรือธัญชาติด้วยโดยอนุโลม ” จะเห็นได้ว่า มาตรา ๑๓๑๔ นั้นไม่นำเอาบทบัญญัติตามมาตรา ๑๓๑๒ มาใช้บังคับด้วย กล่าวคือ มาตรา ๑๓๑๔ กำหนดให้ใช้บทบัญญัติในมาตรา ๑๓๑๐, ๑๓๑๑ และมาตรา ๑๓๑๓ บังคับถึงการก่อสร้างใดๆ ซึ่งติดอยู่กับที่ดินและการเพาะปลูกต้นไม้หรือธัญชาติด้วยโดยอนุโลม เช่น หอนาฬิกา ถนนคอนกรีตหรือสิ่งอื่น ที่ไม่ใช่โรงเรือน หากเป็นการสร้างสิ่งอื่น ปลูกต้นไม้หรือธัญชาติลงบนที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริต ก็จะนำมาตรา ๑๓๑๐ มาบังคับใช้โดยมีมาตรา ๑๓๑๔ เป็นตัวเชื่อม หรือถ้าเป็นการสร้างสิ่งอื่น ปลูกต้นไม้หรือธัญชาติในที่ดิน ของคนอื่นโดยไม่สุจริต ก็จะต้องใช้หลักของมาตรา ๑๓๑๑ มาบังคับโดยมีมาตรา ๑๓๑๔ เป็นตัวเชื่อม หรือ ถ้าเป็นการสร้างสิ่งอื่น ปลูกต้นไม้หรือธัญชาติในที่ดินของตนเองซึ่งเป็นที่ดินที่มีเงื่อนไขตามมาตรา ๑๓๑๓ ก็ต้องนำมาตรา ๑๓๑๔ มาเป็นตัวเชื่อมเช่นเดียวกัน มาตรา ๑๓๑๔ วรรคสอง บัญญัติว่า “แต่ข้าวหรือธัญชาติอย่างอื่นอันจะเก็บเกี่ยวรวงผลได้คราวหนึ่ง หรือหลายคราวต่อปี เจ้าของที่ดินต้องยอมให้บุคคลผู้กระทำการโดยสุจริต หรือผู้เป็นเจ้าของที่ดินโดยมีเงื่อนไข ซึ่งได้เพาะปลูกลงไว้นั้น คงครองที่ดินจนกว่าจะเสร็จการเก็บเกี่ยวโดยใช้เงินคำนวณตามเกณฑ์ค่าเช่าที่ดินนั้น หรือเจ้าของที่ดินจะเข้าครอบครองในทันทีโดยใช้ค่าทดแทนให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งก็ได้”
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ข้อสังเกต ๑. การก่อสร้างใด ๆ ตามมาตรา ๑๓๑๔ หมายถึง การก่อสร้างสิ่งอื่นนอกเหนือจากโรงเรือน เช่น การสร้างไซโลเก็บของ โกดังเก็บของ แต่สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้มีข้อสังเกตว่าจะต้องเป็นส่วนควบกับที่ดินด้วย ถ้าไม่มีสภาพเป็นส่วนควบกับที่ดินก็ไม่ต้องด้วยมาตรา ๑๓๑๔ เจ้าของอาคารพานิชย์ได้ทำการสร้างรั้วคอนกรีตมุงหลังคายื่นออกมาจากอาคารพานิชย์เดิมที่ปลูกสร้าง ในที่ของตนเอง แต่ปรากฏว่ารั้วและหลังคาที่สร้างต่อเติมนั้นอยู่ในที่ดินที่โจทก์ซื้อมา กรณีนี้ไม่ใช่การก่อสร้าง รุกล้ำ แต่โจทก์ถือเป็นเจ้าของรั้วคอนกรีตดังกล่าวโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔ ประกอบมาตรา ๑๓๑๐ และมาตรา ๑๓๑๔ ฎีกาที่ ๓๖๘๕-๓๖๘๖/๒๕๔๖ บริษัท ด. เจ้าของที่ดินได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์จำนวน ๑๑ คูหาขาย โดยด้านหลังอาคารมีกำแพงรั้วคอนกรีตสูงประมาณ ๒ เมตร กั้นยาวตลอดทั้ง ๑๑ คูหา จำเลยที่ ๔ ซื้ออาคาร พาณิชย์เมื่อปี ๒๕๒๕ ส่วนจำเลยที่ ๕ ซื้ออาคารพาณิชย์เมื่อปี ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ ได้ต่อเติมรั้ว คอนกรีตเดิมซึ่งอยู่นอกโฉนดที่ดินที่ซื้อมาให้สูงขึ้นและมุงหลังคาเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร ส่วนโจทก์ซื้อที่ดินมา เมื่อปี ๒๕๓๗ ซึ่งมีเนื้อที่ครอบคลุมรั้วคอนกรีตทั้งหมด ในกรณีรั้วคอนกรีตที่ได้มีการก่อสร้างไว้แล้วเดิมไม่มี บทกฎหมายมาตราใดที่จะยกขึ้นมาปรับแก่คดีได้โดยตรง ในการวินิจฉัยคดีจึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ ใกล้เคียงอย่างยิ่งตามมาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์คือมาตรา ๑๓๑๐ ประกอบมาตรา ๑๓๑๔ ซึ่งบัญญัติให้โจทก์เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของสิ่งก่อสร้าง โจทก์จึงเป็นเจ้าของรั้วคอนกรีตเดิม ส่วนรั้ว คอนกรีตที่ต่อเติมให้สูงขึ้นและสิ่งปลูกสร้างด้านหลังอาคารพาณิชย์ ที่ต่อเติมขึ้นภายหลังไม่ใช่การสร้างโรงเรือน รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น หรือสร้างโรงเรือนหรือสิ่งก่อสร้างอื่นในที่ดินของผู้อื่น แม้จำเลยที่ ๔ และที่ ๕ จะกระทำไปโดยสุจริต ก็ไม่มีสิทธิใช้ที่ดินของโจทก์ได้ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา ๑๓๑๒ และมาตรา ๑๓๑๐ ประกอบมาตรา ๑๓๑๔ จึงต้องรื้อออกไป ๒. มาตรา ๑๓๑๔ ไม่ได้บัญญัติให้นำมาตรา ๑๓๑๒ มาใช้บังคับด้วย ดังนั้น ถ้าการก่อสร้างสิ่งใดๆตาม มาตรา ๑๓๑๔ รุกล้ำในที่ดินของผู้อื่นจึงมีทางแก้ทางเดียว คือจะต้องรื้อถอนสิ่งก่อสร้างนั้นออกไป ฎีกาที่ ๒๗๔๓/๒๕๔๑ สิ่งที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ปลูกสร้างในที่ดินของโจทก์มิใช่โรงเรือน แต่เป็นถนน และเสาไฟฟ้าอันเป็นสาธารณูปโภคสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันแม้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ปลูกสร้างรุกล้ำที่ดิน ของโจทก์โดยสุจริต กรณีก็ไม่อาจนำมาตรา ๑๓๑๒ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับได้ เมื่อเป็นกรณีไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติไว้โดยตรง จึงต้องอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๔ ซึ่งกำหนดให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๑๓๑๐ บังคับตลอดถึง การก่อสร้างใด ๆ ซึ่งติดที่ดินด้วย และเมื่อสิ่งปลูกสร้างคดีนี้ เป็นสาธารณูปโภคสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันซึ่ง โจทก์ไม่อาจเป็นเจ้าของได้ โจทก์จึงคงมีสิทธิเพียงเรียกให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ซื้อที่ดินนั้นตามราคาตลาดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๐ วรรคสอง โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินใช้สิทธิ ติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ ย่อมไม่มีกำหนดอายุความ เว้นแต่ผู้ที่ยึดถือจะได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ ๓๕๒๓/๒๕๕๓ การที่โจทก์เรียกร้องค่าก่อสร้างรั้วและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินที่ตกลงจะซื้อจาก จำเลย แต่จำเลยไม่สามารถโอนที่ดินให้ตามสัญญาจะซื้อจะขายได้ โดยจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น เป็น กรณีไม่มีบทกฎหมายใดที่จะยกมาปรับแก่คดีได้ และบทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๓๑๐ และมาตรา ๑๓๑๔ เรื่องการก่อสร้างใด ๆ ซึ่งติดกับที่ดินในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ให้เจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของสิ่งก่อสร้างนั้น ถือได้ ว่าเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งต่อกรณีที่โจทก์เรียกร้อง ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ นำบทบัญญัติ ดังกล่าวมาปรับแก่คดี ตามมาตรา ๔ วรรคสอง แล้ววินิจฉัยให้จำเลยชดใช้เงินค่าก่อสร้างและสิ่งปลูกสร้างซึ่งตก เป็นของจำเลยแก่โจทก์ จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น” ฎีกาใหม่ ฎีกานี้โจทก์ทั้งสามเป็นชาวบ้าน ส่วนจำเลยนั้นเป็นวัด ปรากฏว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสามได้มี การออกโฉนดเป็นสามแปลง และโจทก์ทั้งสามได้ทำการปลูกต้นสักไว้ในที่ดินนั้น ซึ่งต้นสักดังกล่าวมีการปลูกไว้ เป็น ๑๐ ปีแล้ว ปรากฏว่าภายหลังจำเลยหรือวัดได้ไปฟ้องขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินทั้งสามแปลงของ โจทก์ ทั้งสามโดยอ้างว่าเป็นการออกโฉนดโดยไม่ชอบ เพราะการออกโฉนดในที่ดินทั้งสามแปลงเป็นการ ออกทับที่ธรณีสงฆ์ ในศาลอุทธรณ์เป็นที่ยุตติว่ามีการเพิกถอนการออกโฉนดที่ดินแล้ว จึงมีปัญหาว่า เมื่อโจทก์ ทั้งสามปลูกต้นสักก่อนถูกจำเลยฟ้อง กรณีเช่นนี้โจทก์หรือจำเลยจะเป็นเจ้าของต้นสัก จะเห็นได้ว่าการที่โจทก์ทั้งสามปลูกต้นสักในที่พิพาทนั้น เป็นการปลูกไม้ยืนต้นในที่ดินของตนเอง เพราะในขณะที่ปลูกนั้นมีการออกโฉนดว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ทั้งสาม จึงต้องถือว่าโจทก์ปลูกต้นสัก โดยสุจริต กรณีเช่นนี้จึงต้องนำบทบัญญัติมาตรา ๑๓๑๔ ประกอบกับมาตรา ๑๓๑๐ มาใช้บังคับ โดยศาลฎีกา ในคำพิพากษานี้วินิจฉัยว่า แม้ต้นสักที่โจทก์ทั้งสามปลูกจะตกเป็นส่วนควบในที่ดินของจำเลยก็ตาม แต่จำเลยก็ ต้องใช้ค่าแห่งที่พิพาทที่เพิ่มขึ้นจากการเพราะปลูกต้นสักแก่โจทก์ทั้งสามตามมาตรา ๑๓๑๐ วรรคหนึ่งด้วย ฎีกาที่ ๓๐๓๒/๒๕๖๕ ศาลอุทธรณ์ภาคหกวินิจฉัยว่า ที่ดินเฉพาะส่วนพิพาทซึ่งโจทก์ทั้งสามปลูกต้นสัก อยู่ในที่ธรณีสงฆ์เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย คดีถึงที่สุด คำพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความ โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีสิทธิใน ที่พิพาท แต่โจทก์ทั้งสามเข้าครอบครองทำประโยชน์และปลูกต้นสักในที่พิพาทของจำเลยก่อนศาลอุทธรณ์ ภาคหกมีคำพิพากษาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี โดยโจทก์ ทั้งสามเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นที่ดินของตน มีสิทธิใช้สอยและทำประโยชน์ได้ จึงเป็นการเพราะปลูกต้นไม้ในที่ดิน ของผู้อื่นโดยสุจริตตามมาตรา ๑๓๑๔ วรรคหนึ่งประกอบมาตรา ๑๓๑๐ วรรคหนึ่ง แม้จำเลยเจ้าของที่พิพาท จะเป็นเจ้าของต้นสักโดยหลักส่วนควบตามมาตรา ๑๔๔ และมาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง แต่จำเลยก็ต้องใช้ ค่าแห่งที่พิพาทที่เพิ่มขึ้นจากการเพราะปลูกต้นสักแก่โจทก์ทั้งสามตามมาตรา ๑๓๑๐ วรรคหนึ่ง ข้อสังเกต แม้ในคำพิพากษาฎีกานี้จะมีการวินิจฉัยถึง “การครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่าเป็นเวลา ๑๐ ปีก็ตาม” แต่ท่านอาจารย์มองว่าถ้อยคำดังกล่าวในฎีกานี้เป็นเพียง การกล่าวถึงข้อเท็จจริงเท่านั้น มิใช่การวินิจฉัยถึงข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ซึ่งได้มาโดยการครอบครอง ปรปักษ์ตามมาตรา ๑๓๘๒ แต่อย่างใด การได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยสุจริตในพฤติการณ์พิเศษ (มาตรา ๑๓๒๙ - ๑๓๓๒) มาตรา ๑๓๒๙ ถึงมาตรา ๑๓๓๒ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพฤติการณ์พิเศษในการได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยสุจริต อันเป็นข้อยกเว้นของหลัก “ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน” กล่าวคือ กลุ่มมาตรานี้เป็นกรณีที่บุคคลได้ทรัพย์สิน มาจากผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าของหรือได้จากผู้ที่ไม่มีสิทธิจะจำหน่ายทรัพย์สินนั้น แต่ผู้ได้มานั้นได้เสียค่าตอบแทนและ สุจริต ซึ่งเป็นข้อยกเว้นหลักกฎหมาย “ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน” ดังนั้น กลุ่มมาตรา ๑๓๒๙ ถึงมาตรา
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ๑๓๓๒ จึงเป็นกลุ่มมาตราที่คุ้มครองบุคคลผู้ได้ทรัพย์สินมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน (เว้นแต่ มาตรา ๑๓๓๑ เรื่องการได้เงินตราเท่านั้นที่กำหนดว่าผู้ที่ได้รับเงินมาเพียงสุจริตอย่างเดียว ไม่ต้องเสีย ค่าตอบแทนก็เพียงพอแล้ว) มาตรา ๑๓๒๙ บัญญัติว่า “ สิทธิของบุคคลผู้ได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริตนั้น ท่านว่ามิเสียไป ถึงแม้ว่าผู้โอนทรัพย์สินให้จะได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยนิติกรรมอันเป็นโมฆียะและนิติกรรมนั้นได้ ถูกบอกล้างภายหลัง” หลักของมาตรา ๑๓๒๙ ๑. ต้องมีนิติกรรมที่เกิดขึ้นรวม ๒ ครั้ง ๒. นิติกรรมครั้งแรกต้องเป็นโมฆียะ ๓. นิติกรรมครั้งหลังต้องกระทำโดยผู้รับโอนที่สุจริตและเสียค่าตอบแทน ๔. นิติกรรมครั้งหลังต้องกระทำก่อนมีการบอกล้างโมฆียกรรมของนิติกรรมครั้งแรก ตัวอย่าง ก. เป็นผู้เยาว์ขายรถให้แก่นาย ข. โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม จากนั้น ข. ขายรถต่อให้ ค. โดย ค. เป็นผู้สุจริตและเสียค่าตอบแทน แม้นิติกรรมครั้งแรกที่ ก. ขายรถให้ ข. จะตกเป็นโมฆียะเพราะไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทน โดยชอบธรรม แต่นิติกรรมครั้งหลังที่ ค. ซื้อรถมาจาก ข. โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก่อนมีการบอกล้าง โมฆียกรรมครั้งแรกนั้น เช่นนี้ ค. ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓๒๙ มาตรา ๑๓๒๙ นี้เป็นการคุ้มครองบุคคลภายนอกผู้สุจริตในทำนองเดียวกับมาตรา ๑๖๐ ที่กำหนดว่า การบอกล้างโมฆียกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉลห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำโดยสุจริต ซึ่งใน บางครั้งศาลฎีกาก็วินิจฉัยถึงกรณีเช่นนี้โดยนำมาตรา ๑๓๒๙ และมาตรา ๑๖๐ มาปรับบทวินิจฉัยพร้อมกัน ฎีกาที่ ๑๕๒๒/๒๕๔๖ โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ให้ ผ. มีชื่อถือกรรมสิทธิ์แทน แม้จำเลยที่ ๑ จะหลอกลวงกลฉ้อฉลโจทก์และ ผ. จนโจทก์และ ผ. ตกลงทำสัญญาซื้อขายโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ ๑ อันทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ และโจทก์บอกล้างแล้วก็ตามแต่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกรับซื้อฝาก ที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่ ๑ โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน การที่ภายหลังโจทก์ไปขอไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืนจาก จำเลยที่ ๒ ในขณะที่ยังไม่ครบกำหนดที่จำเลยที่ ๑ จะไปไถ่ถอนคืนจากจำเลยที่ ๒ ได้ตามสัญญา และจำเลย ที่ ๒ ไม่ยอมให้โจทก์ไถ่ถอน โจทก์ก็ไม่อาจยกเอาเหตุกลฉ้อฉลต่อโจทก์และ ผ. อันทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ ที่โจทก์ได้บอกล้างแล้วขึ้นต่อสู้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตและได้ที่ดินพิพาทมา โดยมีค่าตอบแทนก่อนมีการบอกล้างโมฆียกรรมได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๐ ประกอบมาตรา ๑๓๒๙ จำเลยที่ ๑ หลอกลวงให้โจทก์โอนที่ดินให้ นิติกรรมระหว่างจำเลยที่ ๑ และโจทก์จึงเป็นโมฆียะ ต่อมา จำเลยที่ ๑ ได้นำที่ดินไปจำนองกับจำเลยที่ ๒ เมื่อมีการนำที่ดินไปจำนองแล้ว จำเลยที่ ๒ ที่เป็นบุคคลภายนอก ย่อมได้รับความคุ้มครอง สิทธิจำนองจึงยังตกติดมาด้วย โจทก์จะขอให้เพิกถอนสิทธิจำนองไม่ได้ตาม มาตรา ๑๓๒๙ และมาตรา ๑๖๐ แม้จะมีการบอกล้างโมฆียกรรมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ แล้วก็ตาม
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ ๓๐๒๒/๒๕๖๒ จำเลยที่ ๑ โดยทุจริตหลอกลวงให้โจทก์โอนที่ดินแก่จำเลยที่ ๑ ด้วยการแสดง ข้อความอันเป็นเท็จว่าจะใช้โฉนดที่ดินดังกล่าวไปขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อนำเงินมาลงทุนทำธุรกิจโดยจะไม่ นำที่ดินดังกล่าวไปก่อภาระผูกพันใด ๆ เมื่อธนาคารอนุมัติเงินแล้วจะโอนที่ดินคืนแก่โจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้จำนองที่ดินกับจำเลยที่ ๒ ซึ่งจำเลยที่ ๑ รู้อยู่แล้วว่าทำให้โจทก์ซึ่งพักอาศัยอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวเสียหาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ในข้อหาฉ้อโกง ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๓๔๑ และขอให้จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์โดยปลอดภาระ ผูกพันใด ๆ ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ที่พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ประกอบมาตรา ๙๑ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ให้จำเลย ที่ ๑ จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์โดยปราศจากภาระผูกพันใด ๆ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตาม ฎีกาของโจทก์ว่า มีเหตุให้เพิกถอนการจำนองที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ต้องคืนโฉนดที่ดินพิพาทแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องและคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์ทำนิติกรรม โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยถูกจำเลยที่ ๑ หลอกลวง การแสดงเจตนาทำนิติกรรมดังกล่าวของโจทก์ เกิดขึ้นเพราะถูกกลฉ้อฉลของจำเลยที่ ๑ อันเป็นโมฆียกรรม แต่นิติกรรมดังกล่าวซึ่งเป็นโมฆียกรรมนั้นยังมีผล สมบูรณ์ใช้ได้จนกว่าจะถูกบอกล้างโดยชอบ ขณะที่จำเลยที่ ๑ จำนองที่ดินพิพาทต่อจำเลยที่ ๒ นั้น จำเลยที่ ๑ ยังมีชื่อเป็นเจ้าของ จึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้ตามกฎหมาย แม้ที่ดินพิพาทจะได้โอนกลับไปเป็นของโจทก์ ในภายหลังจากการจำนองนั้นแล้ว นิติกรรมจำนองที่จำเลยที่ ๑ ก่อไว้ย่อมตกติดมาด้วย โจทก์ไม่อาจยกเอาเหตุ โมฆียะที่โจทก์บอกล้างนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ นั้นแล้วขึ้นต่อสู้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖๐ ประกอบมาตรา ๑๓๒๙ โจทก์จึง ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองที่ดินพิพาทที่จำเลยที่ ๒ รับจำนองไว้ (จำเลยที่ ๒ มีสิทธิยึดถือต้นฉบับ โฉนดที่ดินพิพาทได้จนกว่าจะมีการไถ่ถอนจำนอง) มาตรา ๑๓๓๐ การซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล มาตรานี้เป็นการคุ้มครองผู้ที่ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลหรือคำสั่งเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย แม้ทรัพย์นั้นไม่ได้เป็นของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ที่ซื้อทรัพย์มาก็ไม่ เสียสิทธิในทรัพย์ดังกล่าวไป เนื่องจากในการขายทรัพย์ทอดตลาดตามคำสั่งศาลนั้น มีกระบวนการในการ ตรวจสอบต่าง ๆ หลายขั้นตอนตามที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.พ. เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้ามาซื้อทรัพย์จาก การขายทอดตลาดย่อมต้องได้รับความคุ้มครองว่าเมื่อซื้อทรัพย์ไปแล้วจะต้องได้สิทธิ ฉะนั้น เมื่อมีการซื้อทรัพย์ ตามกระบวนการขายทอดตลาดแล้วในภายหลังปรากฏว่าทรัพย์ที่ซื้อมาดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์ของลูกหนี้ ตามคำพิพากษา เช่นนี้ผู้ซื้อย่อมได้รับความคุ้มครองจากกระบวนการขายทรัพย์สินทอดตลาด มาตรา ๑๓๓๐ บัญญัติว่า “สิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล หรือคำสั่งเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ในคดีล้มละลายนั้น ท่านว่ามิเสียไป ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สิน นั้นมิใช่ของจำเลย หรือลูกหนี้โดยคำพิพากษา หรือผู้ล้มละลาย”
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ข้อพิจารณา ๑. การขายทอดตลาดมาตรา ๑๓๑๐ ต้องเป็นการขายตามคำสั่งศาลหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ ทรัพย์ในคดีล้มละลาย การขายหรือประมูลระหว่างคู่ความไม่อยู่ในบังคับของมาตรา ๑๓๓๐ ๒. คำว่า “สุจริต” หมายความว่า ผู้ซื้อไม่รู้ในขณะซื้อทรัพย์ว่าทรัพย์ที่ขายทอดตลาดนั้น เป็นของผู้อื่น มิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา แต่ถ้ารู้ในขณะซื้อว่าทรัพย์ที่ขายทอดตลาดเป็นของผู้อื่น ก็ถือว่า ไม่สุจริตและการพิจารณาว่าผู้ซื้อทรัพย์สุจริตหรือไม่ ต้องพิจารณาทั้งขณะก่อนซื้อและขณะซื้อประกอบกัน ฎีกาที่ ๘๒๑/๒๕๑๖ คำว่า โดยสุจริตของผู้ซื้อทรัพย์สินในการขายทอดตลาดของศาลหรือเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๓๐ นั้น หมายความว่า ผู้ซื้อไม่รู้ว่ามิใช่ทรัพย์ ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลผู้ล้มละลาย และในการวินิจฉัยว่าผู้ซื้อสุจริตหรือไม่ย่อม อาศัยพฤติการณ์ต่าง ๆ ทั้งก่อนและในขณะซื้อประกอบกัน หาใช่ต้องพิจารณาเฉพาะแต่ในเวลาซื้อเท่านั้น ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์รู้มาแต่แรกก่อนเข้าประมูลซื้อแล้วว่าที่พิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการ ขายทอดตลาดมิใช่ของลูกหนี้ ตามคำพิพากษา ย่อมฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อโดยสุจริตในการขายทอดตลาด ทรัพย์สินดังกล่าว โจทก์รู้อยู่แล้วว่าที่ดินบางส่วนในการขายทอดตลาดเป็นของจำเลยไม่ใช่ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เพราะจำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินในส่วนนั้น โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินได้ เพราะโจทก์ ไม่สุจริตรู้อยู่แล้วว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน ฎีกาที่ ๕๔๒/๒๕๒๓ โจทก์ซื้อที่ดินจากศาลขายทอดตลาดรับโอนมาทั้งแปลงทั้ง ๆ ที่ทราบอยู่แล้วว่า เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นบางส่วน โดยการครอบครองดังนี้ในส่วนที่จำเลยเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์นั้น โจทก์ไม่อาจอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ ใช้ยันจำเลยเพื่อ คุ้มครองสิทธิโจทก์ได้ ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด ได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้สุจริตตามมาตรา ๖ ดังนั้นอีก ฝ่ายจึงต้องอ้างว่าผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดซื้อมาโดยไม่สุจริต และฝ่ายที่อ้างเป็นผู้มีภาระการพิสูจน์ ฎีกาที่ ๑๓๑๐๕/๒๕๕๖ การที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาด โดยหลักแล้วก็ไม่มี กฎหมายใดบังคับให้โจทก์ต้องเข้าไปตรวจสอบก่อนว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เพราะเป็นการขายทอดตลาด ตามคำสั่งศาล โจทก์ย่อมเชื่อโดยสุจริตใจว่าเมื่อซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดแล้วจะต้องได้สิทธิในที่ดินที่ซื้อ มานั้น เมื่อฝ่ายจำเลยไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินไว้โดยไม่สุจริตตามภาระการพิสูจน์ ฝ่ายจำเลยก็ต้อง แพ้คดี ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังว่าโจทก์ซื้อที่ดินมาโดยสุจริตและเป็นการซื้อโดยเสียค่าตอบแทน โจทก์ย่อมได้รับ ความคุ้มครองตามป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๐ สิทธิของโจทก์ย่อมไม่เสียไปแม้จะปรากฏภายหลังว่าที่ดินพิพาท ไม่ใช่ของ ส. ก็ตาม ฎีกาที่ ๑๕๘๑๖/๒๕๕๗ ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนด โจทก์ทั้งสองได้มาโดยการซื้อจาก การขายทอดตลาดในคดีล้มละลายและโจทก์ทั้งสองได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานจากป.พ.พ.มาตรา ๖ ที่ให้ สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต การได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินพิพาทของโจทก์ทั้งสองจึงได้รับ ความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓๓๐ แม้ผู้ร้องที่ ๒ ได้มาซึ่งที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ สิทธิอันยังมิได้ จดทะเบียนของผู้ร้องย่อมไม่อาจใช้ยันโจทก์ทั้งสองซึ่งได้สิทธิในที่ดินพิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดย
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ผู้ร้องที่ ๒ ไม่มีสิทธิขอให้ เพิกถอนคำสั่งของศาลเกี่ยวกับการบังคับคดีที่ดินพิพาทคดีนี้ได้ ข้อพิจารณา จากฎีกานี้ได้ข้อสังเกตว่า ระหว่างสิทธิของผู้ร้องที่ได้ครอบครองปรปักษ์ในที่ดินมา โดยยัง ไม่ได้จดทะเบียนสิทธิ และสิทธิของโจทก์ผู้ซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาด โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่า เพราะการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เมื่อยังไม่มีการจดทะเบียน ผู้ร้องก็จะยกสิทธิ ของตนขึ้นยันกับโจทก์ที่เป็นบุคคลภายนอกผู้ได้ทรัพย์ดังกล่าวมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนไม่ได้ตาม มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง เมื่อไม่มีการกล่าวอ้างว่าผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดสุจริตหรือไม่ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องของ ความสุจริต ฉะนั้น ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามป.พ.พ. มาตรา ๖ ด้วยว่ากระทำโดยสุจริต ฎีกาที่ ๓๒๓๙/๒๕๔๙ โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ต้องด้วยบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ การที่ผู้ร้องจะอ้างการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ โดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์เพื่อแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๙๖ จัตวา (๓) ผู้ร้องต้องแสดงให้เห็นอำนาจพิเศษที่ดีกว่าโจทก์ ทั้งการครอบครอง ปรปักษ์เป็นการได้สิทธิมาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมและยังมิได้จดทะเบียนนั้น ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จด ทะเบียนโดยสุจริตแล้ว เมื่อคำร้องของผู้ร้องกล่าวเพียงว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ โดยมิได้กล่าวว่าโจทก์ไม่สุจริต คดีจึงไม่มีประเด็นที่ผู้ร้องจะนำสืบว่าโจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทโดยสุจริต หรือไม่ ต้องฟังว่าโจทก์กระทำการโดยสุจริตตามข้อสันนิษฐานของ ป.พ.พ. มาตรา ๖ ศาลมีคำสั่งยกคำร้องได้ โดยไม่ต้องไต่สวน ฎีกาที่ ๑๑๒๘/๒๕๖๑ จำเลยเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิในที่ดินพิพาท (น.ส. ๓ ก.) มาโดยซื้อจาก การขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยเสียค่าตอบแทน และได้จดทะเบียนสิทธิแล้ว เมื่อโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างใน คำฟ้องว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทและจดทะเบียนสิทธิโดยไม่สุจริต ซึ่งนอกจากจะไม่มีประเด็นว่าจำเลยซื้อที่ดิน พิพาทและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตหรือไม่แล้ว จำเลยยังได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖ ด้วยว่ากระทำการโดยสุจริต การที่โจทก์เป็นผู้ที่ได้ที่ดินพิพาทโดยการรับ โอนการครอบครองจาก ม. ผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงไม่อาจยกสิทธิที่ได้มาโดยการรับโอน การครอบครองขึ้นต่อสู้จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ จำเลยเป็นผู้มีสิทธิ ครอบครองในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ ความสุจริตมีผลถึงผู้รับโอนจากผู้ซื้อทรัพย์ด้วย กล่าวคือ เมื่อผู้ซื้อทรัพย์ได้ซื้อทรัพย์มาจาก การขายทอดตลาดโดยสุจริตแล้ว ถ้าต่อมามีการโอนทรัพย์นั้นให้ผู้รับโอนต่อไป ผู้รับโอนคนหลังย่อมได้รับผล ของความสุจริตนั้นด้วย ฎีกาที่ ๔๔๓๐/๒๕๖๑ ธนาคาร อ. เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเพื่อขอบังคับจำนอง ศาลพิพากษาให้ ธนาคาร อ. ชนะคดีและยึดที่ดินทรัพย์จำนองทั้งสองโฉนดออกขายทอดตลาด และ ธนาคาร อ. ประมูลซื้อ ทอดตลาดได้ และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ธนาคาร อ. ผู้ซื้อทอดตลาดที่ดินทั้งสองโฉนดย่อมได้ความคุ้มครอง ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๓๐ แม้ความจะปรากฏในภายหลังว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงก็ไม่สามารถ
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ใช้ยันธนาคาร อ. ผู้ซื้อทอดตลาดตามคำสั่งศาลได้แล้ว เมื่อธนาคาร อ. เปลี่ยนเป็นธนาคาร ย. และโจทก์ซื้อ ที่ดินทั้งสองโฉนดดังกล่าวมาจากธนาคาร ย. โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์และได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายดังกล่าวเช่นเดียวกัน เมื่อผู้ร้องไม่สามารถยกกรรมสิทธิ์ขึ้นยันธนาคาร อ. และโจทก์ได้ ผู้ร้องจึง ไม่ใช่ผู้มีอำนาจพิเศษ ๓. แม้ผู้ครอบครองหรือเจ้าของทรัพย์ที่ขายทอดตลาดไม่รู้ว่ามีการขายทอดตลาด ถ้าผู้ซื้อ ซื้อโดยสุจริต ก็ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓๓๐ กล่าวคือ แม้ผู้ครอบครองทรัพย์หรือเจ้าของที่แท้จริงของทรัพย์ ไม่ทราบว่ามีการนำเอาทรัพย์นั้นขายทอดตลาด ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดก็ย่อมได้รับความคุ้มครอง ด้วย เจ้าของทรัพย์จะยกข้อต่อสู้ยันผู้ซื้อทรัพย์โดยสุจริตจากการขายทอดตลาดไม่ได้ ฎีกาที่ ๗๔๔/๒๔๙๔ ผู้ครอบครองที่ดินจะรู้หรือไม่รู้ว่ามีการขายทอดตลาดก็หาเป็นเหตุที่จะยกขึ้นต่อสู้ สิทธิของผู้ซื้อที่ดินนั้น ในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๓๐ ได้ไม่ เจ้าของที่ดินมีสิทธิที่จะฟ้องขับไล่ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินของตนให้ออกไปได้ แต่ไม่มีสิทธิจะบังคับให้ ผู้นั้นต้องทำสัญญาเช่ากับตน ฎีกาที่ ๘๔๙๕/๒๕๕๗ การยึดทรัพย์ขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๐ เจ้าของทรัพย์จะรู้หรือไม่ว่ามีการขายทอดตลาดก็หาเป็นเหตุที่จะยกขึ้นต่อสู้สิทธิของผู้ซื้อทรัพย์ได้ไม่ แม้จำเลย ทั้งสองจะอ้างว่าเป็นเจ้าของและครอบครองที่ดินพิพาทมาโดยตลอด แต่จำเลยทั้งสองมิได้ร้องคัดค้านเสียตั้งแต่ ต้น กลับปล่อยให้มีการขายทอดตลาดจนสำเร็จบริบูรณ์ โดยโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวไปแล้ว จำเลย ทั้งสองจึงไม่อาจยกความเป็นเจ้าของขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้เพียงว่าโจทก์บกพร่อง ซื้อที่ดินโดยไม่ตรวจสอบว่าที่ดินตั้งอยู่ที่ใดและมีอยู่จริงหรือไม่ โดยมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจาก การขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด จึงต้องฟังว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจาก การขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต ดังนั้นโจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๐ ว่าสิทธิของโจทก์มิเสียไป โจทก์จึงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ๔. การซื้อทรัพย์ที่ต้องทำตามแบบซื้อขาย เมื่อชำระราคาครบถ้วนแล้วแม้ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทำให้การซื้อขายตกเป็นโมฆะ ศาลฎีกาวางหลักว่า การซื้ออสังหาริมทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา ๑๓๓๐ ไม่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา ๔๕๖ ฎีกาที่ ๕๐๘/๒๕๐๖ ผู้ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลไว้โดยสุจริตและชำระราคา ครบถ้วนแล้วถึงแม้จะยังไม่ได้ทำนิติกรรมโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ซื้อย่อมมีสิทธิและมีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ที่ อาศัยอยู่ในที่ดินนั้นให้ออกไปได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ เป็นบทกฎหมายกำหนดเรื่องการขายทอดตลาด ทรัพย์ตามคำสั่งศาลไว้เป็นกรณีพิเศษ ไม่อยู่ในข่ายของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปดังที่ได้บัญญัติเรื่อง แบบนิติกรรมไว้ตามมาตรา ๔๕๖ ผู้ครอบครองที่ดินจะรู้หรือไม่ว่ามีการขายทอดตลาดก็หาเป็นเหตุที่จะยกขึ้นต่อสู้สิทธิของผู้ซื้อที่ดินจาก การขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลได้ไม่