The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ทรัพย์-ที่ดิน (ภาคปกติ )( อ.สมจิตร์) สมัย 66

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by วัช คำดี, 2024-06-05 23:18:27

ทรัพย์-ที่ดิน (ภาคปกติ )( อ.สมจิตร์) สมัย 66

ทรัพย์-ที่ดิน (ภาคปกติ )( อ.สมจิตร์) สมัย 66

pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ๕. ผู้ซื้อทรัพย์ตามมาตรา ๑๓๓๐ หมายถึงผู้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว สำหรับปัญหาว่า “ผู้ซื้อทรัพย์” หมายถึงผู้ชำระราคาครบถ้วนแล้วนั้น เป็นหลักที่ศาลฎีกาได้วางหลักไว้ ในฎีกาที่ ๑๑๖๒/๒๕๖๑ (ประชุมใหญ่) ซึ่งได้วินิจฉัยว่า “ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้ชำระราคาค่าซื้อทรัพย์สินตาม เงื่อนไขการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล” จึงหมายความว่าผู้ที่จะเป็น “ผู้ซื้อทรัพย์” ตามมาตรา ๑๓๑๐ ได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ชำระราคาครบถ้วนแล้ว เท่านั้น ถ้ายังชำระราคาไม่ครบก็ยังไม่เป็น “ผู้ซื้อทรัพย์” ตามมาตรา ๑๓๑๐ หมายเหตุ ฎีกาที่ ๑๑๖๒/๒๕๖๑ นี้เป็นฎีกาที่วินิจฉัยกลับหลักฎีกาก่อนหน้าหลายฎีกา ฉะนั้นขอให้ ยึดถือแนวคำวินิจฉัยนี้ไว้เป็นหลักว่า “ผู้ซื้อทรัพย์” ตามมาตรา ๑๓๑๐ จะต้องชำระราคาครบถ้วนแล้ว จึงจะเป็น “ผู้ซื้อทรัพย์” ตามมาตรา ๑๓๑๐ ที่มีสิทธิฟ้องขับไล่บุคคลผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินที่ซื้อมาจากการขาย ทอดตลาดได้ เพราะหลักเดิมวินิจฉัยไว้เพียงว่า แม้เพียงวางมัดจำหรือชำระราคาบางส่วนก็เป็นผู้ซื้อทรัพย์แล้ว แต่หลักเดิมนี้ได้ถูกฎีกานี้กลับหลักแล้ว ฉะนั้น ผู้ที่ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดจะมีสิทธิฟ้องขับไล่ บุคคลที่อยู่ในทรัพย์ดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อตนเองชำระราคาครบถ้วนแล้วเท่านั้น ฎีกาที่ ๑๑๖๒/๒๕๖๑ (ประชุมใหญ่) การที่โจทก์เป็นผู้เสนอราคาสูงสุดในการขายทอดตลาดตาม คำสั่งศาล และได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระราคาไปจนกว่าคดีที่จำเลยร้องขอเพิกถอนการขาย ทอดตลาดที่ดินพิพาทถึงที่สุด ก็เพียงก่อสิทธิแก่โจทก์ว่าโจทก์ยังจะมีสิทธิเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินจากการขาย ทอดตลาดตามคำสั่งศาลให้สำเร็จลุล่วงต่อไปเท่านั้น ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้ชำระราคาค่าซื้อทรัพย์สินตาม เงื่อนไขการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๐ เพราะโจทก์อาจผิดสัญญาการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ทำให้การขาย ทอดตลาดไม่สำเร็จได้ โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ฎีกาที่ ๒๑๖๔/๒๕๕๘ โจทก์ประมูลซื้อที่ดินของจำเลยจากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับ คดี โดยโจทก์เสนอราคาสูงสุด และได้ชำระเงินมัดจำและราคาบางส่วนรวมแล้ว แต่โจทก์ไม่สามารถเข้า ครอบครองและทำประโยชน์ได้ เนื่องจากจำเลยทั้งสองยังครอบครองที่ดินอยู่ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นคำร้อง ขอเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว และโจทก์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเป็นคดี นี้ มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาสูงสุดจากการขายทอดตลาดตามคำสั่ง ศาลและได้ชำระราคาแล้วบางส่วนมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์เป็นผู้เสนอราคา สูงสุดในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล และได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระราคาไปจนกว่าคดี ที่จำเลยที่ ๑ ร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทถึงที่สุด ก็เพียงก่อสิทธิแก่โจทก์ว่าโจทก์ยังจะมีสิทธิ เป็นผู้ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลให้สำเร็จลุล่วงต่อไปเท่านั้น ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้ชำระ ราคาค่าซื้อทรัพย์สินตามเงื่อนไขการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้ซื้อทรัพย์สินจาก การขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ เพราะโจทก์อาจผิด สัญญาการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ทำให้การขายทอดตลาดไม่สำเร็จได้ โจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ ไม่มี อำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง


pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ ๗๒๗๑/๒๕๖๐ โจทก์เป็นผู้เสนอราคาสูงสุดในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลและได้รับ อนุญาตให้ขยายระยะเวลาชำระราคาไปจนกว่าคดีที่จำเลยที่ ๑ ร้องขอเพิกถอนการที่ดินพิพาทถึงที่สุด เป็น เพียงก่อสิทธิแก่โจทก์ว่าโจทก์ยังมีสิทธิเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลให้สำเร็จลุล่วง ต่อไป ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้ชำระราคาค่าซื้อทรัพย์สินตามเงื่อนไขการขายทอดตลาด โจทก์ย่อมไม่ใช่ผู้ซื้อ ทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๐ เพราะโจทก์อาจผิดสัญญาการขายทอดตลาดอัน จะเป็นผลให้การขายทอดตลาดไม่สำเร็จได้ สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายของโจทก์จึงเริ่มนับแต่วันที่โจทก์รับโอน กรรมสิทธิ์เป็นต้นไป มิใช่นับแต่วันที่โจทก์ประมูลซื้อด้วยการเคาะไม้ ๖. ผู้ซื้อทรัพย์ได้สิทธิไปเท่าที่จำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษามีอยู่ หากผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด ได้ซื้อทรัพย์ที่ติดจำนองไป จำนองย่อมติดไปกับตัวทรัพย์ ฎีกาที่ ๑๓๒/๒๕๓๕ ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต แต่ ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๐ บัญญัติเพียงว่าสิทธิของผู้ซื้อไม่เสียไป แม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลย มิได้คุ้มครองถึงกับให้ผู้ซื้อได้สิทธิโดยปลอดจากภาระผูกพันใด ๆ หากโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทไว้จากจำเลย โดยชอบด้วยกฎหมาย การจำนองย่อมติดไปกับที่ดิน โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินพิพาทได้ แม้สารบัญทะเบียนที่ดินไม่ได้จดไว้ว่าที่ดินแปลงพิพาทติดจำนองอยู่ แต่เมื่อมีการจดทะเบียนจำนอง โดยชอบแล้ว สิทธิจำนองจึงยังคงมีอยู่เหนือที่ดินแปลงดังกล่าว แม้จะมีการโอนที่ดินไป และผู้ซื้อได้ซื้อที่ดิน แปลงดังกล่าวมาจากการขายทอดตลาดโดยสุจริต จำนองก็ยังคงตกติดไปด้วย ผู้รับจำนองก็ยังคงสามารถบังคับ จำนองจากที่ดินแปลงนั้นได้ ฎีกาที่ ๗๒๐๙/๒๕๔๗ การที่ ส. บิดาจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส. ๓ ที่จำนองไว้แก่โจทก์ นำที่ดินไปขอออกโฉนดที่ดินในขณะที่ยังมีภาระจำนองอยู่ แต่เมื่อออกโฉนดที่ดินแล้วกลับไม่มีการจดแจ้งระบุไว้ ในสารบัญจดทะเบียนด้านหลังโฉนดว่าที่ดินมีภาระจำนอง สิทธิจำนองของโจทก์ยังคงมีอยู่ในฐานะเป็น ทรัพย์สิทธิ ไม่ระงับสิ้นไปและครอบคลุมตลอดไปถึงที่ดินพิพาทด้วย โจทก์ในฐานะผู้รับจำนองที่ดินตาม น.ส. ๓ ของ ส. ซึ่งที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำนองไว้แก่โจทก์จึงมีสิทธิบังคับจำนองที่ดินพิพาทของ ผู้ร้องได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗๐๒ วรรคสอง , ๗๑๖ , ๗๑๗ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๗๔๔ การที่ผู้ร้องได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาภายหลังจากที่โจทก์รับจำนองโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะได้มาโดยสุจริตด้วยการ ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาล แต่มาตรา ๑๓๓๐ มิได้คุ้มครองถึงกับให้ผู้ซื้อได้สิทธิ โดยปลอดภาระผูกพันใดๆ จึงไม่ทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิจำนองที่มีอยู่เดิมอันตกติดไปกับทรัพย์จำนอง ๗. มาตรา ๑๓๓๐ อยู่ภายใต้บังคับมาตรา ๑๓๐๕ และมาตรา ๑๓๐๗ กล่าวคือ ถ้าทรัพย์สินที่ซื้อขาย จากการขายทอดตลาดนั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งต้องห้ามโอนนั้น แม้ผู้ซื้อจะซื้อทรัพย์สินดังกล่าว จากการขายทอดตลาดโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็ตาม แต่ก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา ๑๓๓๐ ซื้อที่หนองน้ำสาธารณะอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินมาจากการขายทอดตลาดก็ไม่ทำให้ผู้ซื้อมี สิทธิในที่ดังกล่าว ฎีกาที่ ๖๒๒/๒๕๑๐ รับซื้อที่หนองน้ำสาธารณประโยชน์ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจากการ ขายทอดตลอดของศาล ไม่ทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิในที่นั้น และไม่มีสิทธิจะเอาไปให้บุคคลอื่นเช่าได้


pg. 12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ซื้อถนนสาธารณะมาจากการขายทอดตลาด ก็ไม่ทำให้ทำให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ฎีกาที่ ๒๗๗๕/๒๕๔๑ การที่ ว. ได้จัดสรรที่ดินในซอยรัฐขจรออกขายให้แก่บุคคลทั่วไป โดยกันพื้นที่ ส่วนที่เป็นซอยรัฐขจรไว้ให้เป็นทางสาธารณะ แม้จะเป็นซอยตัน แต่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในซอยรัฐขจรได้ใช้ทาง ดังกล่าวสัญจรผ่านซอยหัสดินเสวีออกสู่ถนนสุทธิสารวินิจฉัยถือได้ว่า ว.ได้อุทิศทั้งซอยรัฐขจรซึ่งรวมถึงที่พิพาท ให้เป็นทางสาธารณประโยชน์โดยปริยายมาตั้งแต่ปี ๒๕๐๗ เมื่อที่พิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔(๒) แม้โจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาด ตามคำสั่งศาลโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์จึง ไม่มีอำนาจฟ้อง ซื้อที่ สปก. มาจากการขายทอดตลาด โจทก์ก็ไม่ได้สิทธิในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ ฎีกาที่ ๒๘๒๘/๒๕๔๑ แม้บ้านและที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ได้มาโดยการซื้อจากการขาย ทอดตลาดของศาลก็ตาม แต่ที่ดินพิพาททางราชการประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดินและได้ออกหนังสืออนุญาต ให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินในนามของ ศ.อันเป็นการออกให้โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งจะทำการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรมหรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกร ฯลฯ และเมื่อการขาย ทอดตลาดดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากคณะกรรมการฯ ตามบทกฎหมายดังกล่าว การขายทอดตลาดจึงเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ แม้โจทก์จะซื้อบ้านและที่ดินพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาด ตามคำสั่งศาล โจทก์ก็ไม่ได้ สิทธิในที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ เมื่อจำเลยครอบครองบ้านและที่ดิน พิพาทย่อมมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ฎีกาที่ ๒๙๗๐/๒๕๔๓ เมื่อที่ดินพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับ พลเมืองใช้ร่วมกัน ย่อมมีผลทันทีโดยไม่ต้องจดทะเบียนเป็นทางสาธารณประโยชน์อีก และจะโอนแก่กันโดย ทางนิติกรรมมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา ฉะนั้น แม้จำเลยจะซื้อจาก การขายทอดตลาดของศาลก็ไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ๘. ถ้าการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและต่อมาศาลมีคำสั่งให้เพิกถอน การขายทอดตลาด ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๐ ฎีกาที่ ๕๒๕๖/๒๕๓๗ ป. ประมูลซื้อทรัพย์พิพาท คือที่ดินพร้อมตึกแถวได้จากการขายทอดตลาดใน การบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาล จำเลยยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและขณะที่คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา ป. ได้โอนขายทรัพย์พิพาทให้ผู้ร้องโดยผู้ร้องได้รับโอนโดยสุจริต เสียค่าตอบแ ทน และจดทะเบียนโดยสุจริต ต่อมาศาลพิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ต้องถือเสมือนว่าไม่มีการขาย ทอดตลาดทรัพย์พิพาทและไม่มีการจดทะเบียนสิทธิในทรัพย์พิพาทให้ ป. และผู้ร้อง แม้ ป. เองก็ยังไม่ได้รับ ความคุ้มครองเพราะกรณีไม่ต้องด้วย ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๓๐ เมื่อ ป. ไม่มีสิทธิในทรัพย์พิพาทแล้ว ผู้ร้องซึ่งเป็น ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน


pg. 13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ ๕๗๔๖/๒๕๕๔ คำพิพากษาของศาลที่ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดิน น.ส.๓ ก. ที่เจ้า พนักงานบังคับคดีขายให้แก่ ว. ต้องถือเสมือนว่าไม่มีการขายทอดตลาด และไม่มีการจดทะเบียนสิทธิและ นิติกรรมโอนสิทธิครอบครองให้แก่ ว. ทั้ง ว. ไม่ได้รับความคุ้มครองเพราะมิใช่กรณีตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินดังกล่าวในระหว่างการพิจารณาคำร้องขอเพิกถอน การขายทอดตลาด จึงไม่อาจอ้างว่าผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกซึ่งรับจำนองและจดทะเบียนโดยสุจริตและ ไม่อาจอ้างว่าคำพิพากษาที่ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดไม่ผูกพันผู้ร้องได้ เมื่อ ว. ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดิน จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดิน และไม่อาจนำมาจดทะเบียนจำนองแก่ผู้ร้องได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐๕ ทั้งการจดทะเบียนจำนองเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๗๐๒ แต่การ เพิกถอนการขายทอดตลาดเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตา ๒๙๖ วรรคสอง (เดิม) เป็นคนละกรณีไม่เกี่ยวข้องกัน ผู้ร้องจึงไม่ได้รับความคุ้มครอง จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะปฏิเสธไม่ส่งมอบต้นฉบับ น.ส.๓ ก ตามคำสั่งศาลชั้นต้น ฎีกาที่ ๕๓๕/๒๕๕๑ เมื่อศาลชั้นต้นในคดีที่จำเลยร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดมีคำสั่งให้ เพิกถอนการขายทอดตลอด และคดีถึงที่สุดแล้ว ผลของคำสั่งเท่ากับว่าไม่ได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท ให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาท การโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงสิ้นสุดลง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย แต่ถ้าศาลยังไม่มีคำสั่งเพิกถอนการขาดทอดตลาดที่พิพาท ผู้ซื้อก็ยังคงมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครอง ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๐ ฎีกาที่ ๘๘๖/๒๕๓๘ โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินและบ้านพิพาทได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและคดีอยู่ ในระหว่างการพิจารณาคดีก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องการเพิกถอนการขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๙๖ เมื่อศาลยังมิได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาด โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองได้ ครั้งหน้าอาจารย์จะบรรยายมาตรา ๑๓๓๑ มาตรา ๑๓๓๒ และมาตรา ๑๓๓๘, ๑๓๓๙ จากนั้นก็จะขึ้น เรื่องของทางจำเป็น ก็ขอฝากให้นักศึกษาไปอ่านมาล่วงหน้าด้วย อาจารย์เหลือการบรรยายอีกห้าครั้งซึ่งก็ใกล้ สอบแล้ว ก็ขอให้นักศึกษาเตรียมตัวสอบได้แล้ว พบกันครั้งหน้าวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๖ จบการบรรยาย ตรวจทานC4


pg. 14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง


pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์ - ที่ดิน (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์สมจิตร์ ทองศรี บรรยายวันที่ 8 สิงหาคม 2566 (ครั้งที่ 11 ) (สัปดาห์ที่ 12) สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เป็นการบรรยายวิชากฎหมายทรัพย์และที่ดิน ครั้งที่ 11 ตรงกับวันอังคาร ที่ 8 สิงหาคม 2566 ครั้งที่แล้วอาจารย์ได้พูดถึงมาตรา 1330 การซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่ง ของศาล วันนี้จะขอต่อในมาตรา 1331 นักศึกษาคงจำได้นะครับว่าในกลุ่มมาตรา 1329 มาตรา 1330 มาตรา 1331 และมาตรา 1332 เป็นบทบัญญัติที่อาจารย์เรียนตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า เป็นการได้ทรัพย์สินมา ในกรณีพิเศษ เป็นกลุ่มบทบัญญัติที่ยกเว้นหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน นั่นก็คือหมายความว่า การได้ ทรัพย์สินมาตามมาตรา 1329 ถึง 1332 นั้น แม้ผู้โอนไม่ใช่เป็นเจ้าของ แต่ผู้รับโอนก็มีสิทธิ ซึ่งเป็นบทบัญญัติ ยกเว้น เรามาดูมาตรา 1331 มาตรา 1331 สิทธิของบุคคลผู้ได้เงินตรามาโดยสุจริตนั้นท่านว่ามิเสียไป ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ ว่าเงินนั้นมิใช่ของบุคคลซึ่งได้โอนให้มา มาตรานี้เป็นบทบัญญัติเรื่องของการได้เงินตรามาโดยสุจริต ซึ่งมาตรานี้บัญญัติรับรองสิทธิว่าสิทธิ ของบุคคลผู้ได้เงินตรามาโดยสุจริตนั้นไม่เสียไป ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าเงินนั้นมิใช่ของบุคคลซึ่งได้โอน ให้มา คงจะเห็นได้ชัดว่ามาตรานี้คุ้มครองสังหาริมทรัพย์ชนิดเดียวคือเงินตรา เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า เงินตราเป็นวัตถุหรือสิ่งที่ชำระหนี้ตามกฎหมาย มันจะต้องใช้หมุนเวียนเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้น คนที่รับเงินตรา มาจะได้ไม่หวาดระแวงว่ารับเงินมาแล้วจะมีใครใช้สิทธิตาม 1336 มาติดตามเอาคืนไป ก็เป็นการทำให้ระบบ เศรษฐกิจมันเดินต่อไปได้ ส่วนสิทธิของผู้ได้เงินตรามาโดยสุจริตนั้น มาตรานี้ไม่ได้บัญญัติว่าผู้ได้เงินตรามานั้น ต้องเสียค่าตอบแทน เพียงแต่ให้ฟังได้ว่าเขาได้มาโดยสุจริต เช่น นาย ก. ไปลักเงินสดของนาย ข. 1,000 บาท แล้วนำเงิน 1,000 บาท นั้น ไปซื้อวิทยุจาก นาย ค. โดยนาย ค. ไม่ทราบว่าเงินที่นาย ก. นำไปซื้อวิทยุนั้นเป็นเงินที่ลักมาจากนาย ข. ถ้านาย ข. รู้ กรณีเช่นนี้นาย ข. จะไปติดตามเอาเงินคืนจากนาย ค. ได้หรือไม่ ประเด็นมันก็คือติดตามคืนไม่ได้ ถ้าผู้ขายเขา ได้เงินนั้นมาโดยสุจริต อันนี้ดูเหมือนว่ายังมีค่าตอบแทน แต่หากอาจารย์ยกตัวอย่างข้อเท็จจริงให้ไกลออกไปอีกว่า สมมุติว่านายดำเอาเงินซึ่งทำมาหาได้ ร่วมกันกับภรรยาจำนวน 10,000 บาท เป็นการได้มาระหว่างสมรสเป็นสินสมรส แล้วนายดำไปนั่งคาเฟ่แล้ว มอบเงิน 10,000 บาท นั้น เป็นพวงมาลัยให้กับนักร้องที่คาเฟ่ นักร้องคาเฟ่รับมาโดยสุจริตไม่มีค่าตอบแทน อะไรเลย อย่างนี้ภรรยาจะไปติดตามเอาคืนครึ่งหนึ่งจากนักร้องคนนั้นได้หรือไม่ ก็ติดตามไม่ได้ หากนักร้องนั้น รับมาโดยสุจริตก็ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1331 ไม่มีค่าตอบแทนอะไรเลย ไม่ต้องเสีย ไม่ใช่เรื่องของ ต้องเสียค่าตอบแทน


pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 11344/2556 การที่ ว. ฝากเงินเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อชำระหนี้ที่ ว. ยืมเงินโจทก์ไป ถือว่า โจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าวไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เมื่อโจทก์ไม่มีส่วนรู้เห็นและเกี่ยวข้องในการที่ ว. กระทำความผิดแสดงว่าโจทก์รับเงินดังกล่าวมาโดยสุจริต ซึ่งสิทธิของโจทก์ผู้ได้เงินตรามาโดยสุจริตนั้น ท่านว่า มิเสียไปถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าเงินนั้นมิใช่ของบุคคลซึ่งได้โอนให้มาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1331 โจทก์จึง ได้รับความคุ้มครองตามบทกฎหมายดังกล่าว อันเป็นการยกเว้นหลักกฎหมายที่ว่า "ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่า ผู้โอน" มาตรา 1332 บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาด หรือจาก พ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา มาตรา 1332 เป็นบทบัญญัติเรื่องผู้ซื้อทรัพย์มาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น มาตรานี้ก็บัญญัติว่า ถ้าซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด ในท้องตลาด หรือ จากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นโดยสุจริตแล้ว ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อ มา มาตรานี้ก็เป็นมาตราหลักเหมือนกัน ข้อสังเกต ก็คือว่ากรณีมาตรา 1332 ต้องเป็นการซื้อทรัพย์ จาก 3 กรณี คือ ซื้อในการขายทอดตลาด ซื้อในท้องตลาด ซื้อจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น การขายทอดตลาด ตามมาตรา 1332 ไม่ใช่การขายทอดตลาดตามมาตรา 1330 ที่เราพูดกันมาแล้ว เพราะมาตรา 1330 เป็น การทอดตลาดตามคำสั่งศาล แต่มาตรา 1332 เป็นการขายทอดตลาดทั่วๆ ไป ที่เอกชนเขาทำกัน ตามมาตรา 509 ถึง 517 คำว่า “ท้องตลาด” หมายถึง สถานที่ซึ่งเขามีสินค้าเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปโดยปกติ หรือ หมายถึงที่ชุมนุมแห่งการค้า การซื้อสินค้าจากท้องตลาดที่จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1332 จะต้องดู ประเภทสินค้าของท้องตลาดประกอบด้วย เช่น ย่านขายรถยนต์เก่าก็เป็นท้องตลาดสำหรับการซื้อขายรถยนต์ เก่า หรือบริเวณสี่แยกคอกวัว ซึ่งเป็นที่ชุมนุมแห่งการค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลก็เป็นท้องตลาดสำหรับสลากกิน แบ่งรัฐบาล ฎีกาที่ 377/2522 การซื้อขายรถยนต์สมบูรณ์ กรรมสิทธิ์โอนโดยไม่ต้องจดทะเบียน ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ มาตรา 13 ผู้ขายมีอาชีพซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์มา 8-9 ปี ตั้งเป็นห้างหุ้นส่วน จำกัดมีรถยนต์ในร้าน 30 คัน บริเวณใกล้เคียงมีร้านบริการซื้อขายรถยนต์หลายสิบร้านถือได้ว่าเป็นพ่อค้าหรือ ท้องตลาดผู้ซื้อรถตกลงกับผู้ขายในสำนักงานของผู้ซื้อ แล้วให้ผู้เช่าซื้อไปรับรถจากร้านของผู้ขายแทนผู้ซื้อ ผู้ซื้อไม่ต้องคืนรถแก่เจ้าของที่แท้จริง เว้นแต่จะได้รับใช้ราคาที่ซื้อ เจ้าของเอารถนั้นไปจากผู้เช่าซื้อโดยผู้ซื้อไม่ ยินยอมเจ้าของต้องคืนรถแก่ผู้ซื้อ แต่ไม่มีนิติสัมพันธ์กับผู้ซื้อที่จะต้องโอนทะเบียนให้เป็นของผู้ซื้ออันเป็นการ เกินคำขอในฟ้องอีกด้วย ฎีกาที่ 1767/2531 โจทก์มอบสลากกินแบ่งรัฐบาลให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ช่วยตรวจรางวัล แล้วสลาก กินแบ่งของโจทก์ซึ่งถูกรางวัลได้หายไป ปรากฏภายหลังว่า จำเลยที่ 3 นำสลากกินแบ่งดังกล่าวไปขายให้แก่ จำเลยที่ 5 ผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลอยู่ที่สี่แยกคอกวัวซึ่งเป็นที่ชุมนุมแห่งการค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ปัจจุบันนี้


pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เป็นทั้งที่ซื้อขายสลากกินแบ่งและรับซื้อสลากกินแบ่งที่ถูกรางวัลโดยทั่วไป และจำเลยที่ 5 ได้รับซื้อไว้โดย เปิดเผย ทั้งไม่ทราบว่าสลากกินแบ่งของโจทก์ที่หายไปและนำไปขึ้นเงินต่อสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วย ตนเองแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 5 ซื้อสลากกินแบ่งโดยสุจริตในท้องตลาด จำเลยที่ 5 ไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ และไม่จำต้องคืนเงินที่รับมาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ฎีกาที่ 3110/2539 การซื้อทรัพย์ในท้องตลาดหมายถึง การซื้อทรัพย์จากร้านค้าที่ตั้งอยู่ใน ท้องตลาด ไม่ใช่เป็นการที่ร้านค้าซึ่งตั้งอยู่ในท้องตลาดซื้อทรัพย์จากบุคคลที่นำมาขายให้แก่ร้านค้านั้น จำเลยตั้ง ร้านค้าอยู่ในท้องตลาดซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลของโจทก์ที่ถูกคนร้ายลักไปจากผู้ที่นำมาขาย ถือไม่ได้ว่าจำเลย ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลในท้องตลาด จำเลยจึงต้องคืนสลากกินแบ่งรัฐบาลให้โจทก์วัตถุแห่งหนี้ในการคืน สลากกินแบ่งรัฐบาลให้โจทก์มิใช่เป็นการบังคับให้กระทำนิติกรรม จึงพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาของศาล แทนการแสดงเจตนาในกรณีที่จำเลยไม่ยอมคืนสลากกินแบ่งรัฐบาลให้โจทก์ไม่ได้ (ฎีกาฉบับนี้อาจารย์เห็นว่า กลับฎีกาที่ 1767/2531) คำว่า “พ่อค้า” หมายถึง ผู้ทำการประกอบอาชีพในการซื้อขายเป็นปกติธุระ ดังนั้น คำว่าพ่อค้าซึ่ง ขายของชนิดนั้น จึงต้องเป็นผู้ประกอบอาชีพในทางซื้อขายของประเภทหรือชนิดนั้นๆ เป็นปกติธุระ ฎีกาที่ 1120/2495 สลากกินแบ่งของรัฐบาลจัดว่า เป็นทรัพย์สินชนิดหนึ่งซึ่งซื้อขายเปลี่ยนมือกัน ได้ ผู้ใดถือสลากย่อมถือว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของ เว้นแต่จะมีเหตุผลแสดงให้เห็นว่า ผู้นั้นมีไว้โดยไม่สุจริต ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากผู้มีอาชีพทางค้าขายสลากกินแบ่งโดยสุจริต ไม่ทราบว่า เป็นสลากของ ผู้อื่นที่รับไปจำหน่ายแล้วสูญหายไป โดยเจ้าของได้แจ้งความและอาศัยกับสำนักงานสลากกินแบ่งไว้แล้ว ดังนี้ พออนุโลมเข้า ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1332 ผู้ซื้อย่อมมีสิทธิได้รับรางวัล เมื่อสลากถูกรางวัล ฎีกาที่ 1498/2554 โจทก์ซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ 1 ในลักษณะเดียวกันมาตลอดเวลาทั้งก่อนและ หลังคดีนี้ โจทก์ย่อมมีเหตุผลตามสมควรที่จะเชื่อถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นพ่อค้าที่ซื้อขายรถยนต์โดยถูกต้อง โจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1 แล้วมาให้ผู้อื่นเช่าซื้อตามวัตถุประสงค์ของโจทก์เหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติ มา โดยจำเลยที่ 1 และที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทไม่อาจสืบโต้แย้งให้เห็นว่าการซื้อขายครั้งนี้โจทก์ไม่ สุจริตอย่างไร ย่อมถือว่าโจทก์กระทำการโดยสุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1332 เมื่อจำเลยที่ 1 รับรถยนต์คืนไป จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงต้องร่วมกันใช้ราคารถยนต์พิพาทแก่โจทก์ ฎีกาที่ 2491/2561 จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการรับจ้างทำความสะอาดและซ่อมแซมกระเป๋าถือ สุภาพสตรี ใช้ชื่อว่าร้าน บ. เปิดบริการอยู่ที่บริษัทจำเลยที่ 2 ที่ศูนย์การค้า ฟ. แม้จะมีเครื่องประดับจำพวก เพชรและทองรูปพรรณวางแสดงอยู่ในร้าน ก็ปรากฏว่าทรัพย์นั้นเป็นของโจทก์ที่จำเลยที่ 1 ขอยืมโจทก์ มาแสดงในร้าน ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนพาณิชย์ประกอบพาณิชยกิจจำหน่ายเครื่องประดับ จำพวกเพชร นาก เงิน และทองรูปพรรณไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานกลางทะเบียนพาณิชย์ และไม่ ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ค้าของเก่าประเภทเพชรทองจากกรมการปกครอง นอกจากนี้จำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าของห้างร้านทอง ต. โดยมาติดต่อขอซื้อทองรูปพรรณ บางครั้งก็นำทองเก่าที่ซื้อจากร้านมา


pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แลกเปลี่ยนเอาชิ้นใหม่ไป บางครั้งก็นำเครื่องประดับมาให้ทางร้านซ่อม และยังเคยนำเครื่องประดับเพชรทอง มาขายหรือขายฝากกับทางร้าน ทั้งนี้ไม่ปรากฏว่ามีการซื้อขายเครื่องประดับเพชรทองที่ร้าน บ. ของจำเลยที่ 1 เลย ถือไม่ได้ว่าเป็นพ่อค้าซื้อขายของชนิดนั้นตามความหมายของบทกฎหมายดังกล่าว แต่เป็นเพียงลูกค้าของ ห้างร้านทอง ต. เหมือนลูกค้าทั่วๆไป เมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ซื้อทรัพย์ของโจทก์จากจำเลยที่ 1 ที่มิใช่ พ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น จำเลยที่ 3 และที่ 4 จำต้องคืนทรัพย์ที่ซื้อมานั้นแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง คำว่า “ผู้ซื้อทรัพย์สิน” ตามมาตรานี้ หมายความรวมถึง ผู้เช่าซื้อทรัพย์สินซึ่งได้ชำระราคาเช่าซื้อ ครบถ้วนแล้วด้วย ฎีกาที่ 1130/2507 ผู้เช่าซื้อทรัพย์สินจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นโดยสุจริต และได้ชำระเงิน ครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว ทรัพย์สินนั้นย่อมตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าในทำนองเดียวกันกับผู้ให้เช่าได้ขายทรัพย์ นั้นให้แก่ผู้เช่า จึงถือได้ผู้เช่าซื้อเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น และไม่จำต้องคืน ให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ฎีกาที่ 4846/2537 ในคดีซึ่งบริษัท อ.ฟ้องบริษัท ป.และศาลได้มีคำสั่งให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อน พิพากษายึดและอายัดทรัพย์สินของบริษัท ป.หลายรายการรวมทั้งรถยนต์พิพาทด้วย ต่อมา น. ยื่นคำร้อง ขัดทรัพย์และขอให้ปล่อยรถยนต์ 3 คันที่ถูกยึดรวมทั้งรถยนต์พิพาทโดยนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารมา วางประกันไว้ต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งปล่อยรถยนต์พิพาทที่ยึดไว้ และศาลมีคำสั่งอนุญาตดังนี้ หนังสือดังกล่าว เป็นเพียงหลักประกันเพื่อให้ น. นำรถยนต์พิพาทไปใช้ชั่วคราว โดยหากเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างรถยนต์ พิพาทอยู่ในความครอบครองของ น. ก็สามารถบังคับเอาค่าเสียหายจากหลักประกันดังกล่าวได้ คำสั่งของศาล มิได้หมายความว่าให้นำหลักประกันมาแทนรถยนต์พิพาท และคดีที่มีการร้องขัดทรัพย์ก็ยังดำเนินกระบวน พิจารณาต่อไป เพื่อให้ทราบว่ารถยนต์ที่พิพาทเป็นของผู้ใด เมื่อ น. มีสิทธิเพียงนำรถยนต์พิพาทไปใช้ชั่วคราว และศาลมิได้ชี้ขาดว่ารถยนต์พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของ น. น.ย่อมไม่มีสิทธินำรถยนต์พิพาทไปจำหน่ายจ่ายโอน แต่เมื่อ น.ขายรถยนต์พิพาทให้ อ. และโจทก์ก็ได้ซื้อรถยนต์พิพาทโดยสุจริตจาก อ. ซึ่งประกอบอาชีพเป็น พ่อค้าขายรถยนต์โจทก์จึงไม่จำต้องคืนรถยนต์พิพาทให้แก่เจ้าของที่แท้จริง เว้นแต่จะได้รับชดใช้ราคาที่ซื้อมา และโจทก์ไม่อาจถูกรอนสิทธิเพราะได้รับความคุ้มครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ฉะนั้น การที่กรมสรรพากรจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ค่าภาษีอากรบริษัท ป. และได้มีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินของ บริษัท ป.รวมทั้งรถยนต์พิพาทหลังจากคดีร้องขัดทรัพย์ถึงที่สุดให้รถยนต์พิพาทเป็นของบริษัท ป. มีหนังสือถึง ผู้บังคับการกองทะเบียนยานพาหนะกรมตำรวจให้ระงับการโอนทะเบียนหรือเปลี่ยนแปลงรายการต่าง ๆ เกี่ยวกับรถยนต์พิพาทจึงเป็นการรอนสิทธิของโจทก์


pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 10499/2555 โจทก์เป็นผู้ซื้อรถคันพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่ง ขายของชนิดนั้น ย่อมได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1332 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตรวจสอบทราบ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2543 แล้วว่าโจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อรถคันพิพาทได้ไปจากบริษัท จ. ก็ควรจะไปขอคืน รถคันพิพาทจากโจทก์โดยการเตรียมเงินไปชดใช้ราคาที่ซื้อมาให้แก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1332 แต่จำเลย ที่ 1 และที่ 2 กลับใช้วิธีไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีในวันดังกล่าวแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ผู้เช่าซื้อ ในข้อหา ยักยอกรถคันพิพาท ทั้งที่ได้มีการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2542 แล้ว และปล่อยให้ ระยะเวลาล่วงเลยนานถึง 1 ปี 4 เดือนเศษ เพิ่งจะมาแจ้งความร้องทุกข์ภายหลังจากทราบแล้วว่าโจทก์เป็น ผู้ประมูลซื้อรถคันพิพาทไปจากบริษัท จ. พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 หลีกเลี่ยง การปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1332 โดยจงใจอาศัยอำนาจของเจ้าพนักงานในการที่จะปฏิบัติตาม ป.วิ.อ. ว่าด้วยการค้นและยึดสิ่งของใด ๆ ซึ่งน่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีข้อหายักยอกที่เพิ่งแจ้งความร้องทุกข์ ในภายหลังมายึดรถคันพิพาทไป จำเลยที่ 1 จะใช้สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รถคันพิพาทเพื่อติดตามและ เอารถคันพิพาทคืนจากโจทก์ไม่ได้ เว้นแต่จำเลยที่ 1 จะได้ชดใช้ราคารถคันพิพาทแก่โจทก์ เพราะสิทธิของ จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ตกอยู่ภายใต้บังคับ ป.พ.พ. มาตรา 1332 และแม้ว่ารถคันพิพาทจะเป็นรถคันเดียวกับรถคันที่จำเลยที่ 1 ให้เช่าซื้อไปในคดีข้อหายักยอก อันน่าจะใช้เป็น พยานหลักฐานในคดีดังกล่าวก็ตาม แต่ก็มีผลสืบเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ รถคันพิพาทเช่นกัน โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองดังกล่าว จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการผู้มอบอำนาจให้จำเลย ที่ 2 ทำการแทนในการยึดรถคันพิพาทจากโจทก์โดยไม่ชดใช้ราคาที่ซื้อมา จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 427 ต่อไปเป็นเรื่องแดนกรรมสิทธิ์และการใช้กรรมสิทธิ์จริงๆ มาตรา 1335 มาตรา 1336 เป็นเรื่อง สำคัญว่าเจ้าของทรัพย์สินเมื่อได้กรรมสิทธิ์มาแล้ว จะมีกฎหมายบัญญัติว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์มีอำนาจอย่างไร บ้าง แล้วมีกฎหมายจำกัดสิทธิ์ไว้อย่างไรบ้าง มาตรา 1335 ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมาย อื่น ท่านว่าแดนแห่ง กรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นกินทั้งเหนือพ้นดินและใต้พื้นดินด้วย กรณีที่ดินนอกจากเจ้าของจะมีสิทธิตามมาตรา 1336 แล้ว ยังมีสิทธิเหนือพื้นดินและใต้พื้นดินอีก ด้วย ซึ่งเรียกว่าแดนกรรมสิทธิ์ เช่น เจ้าของที่ดินมีสิทธิห้ามไม่ให้ผู้ใดปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้ามา ห้ามวางสายไฟฟ้า ห้ามมิให้ขุดดินลอดพื้นดิน หรือวางท่อน้ำ หรือท่อประปา ผ่านที่ดินของตนได้ และ แดนกรรมสิทธิ์ต้องอยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎหมายอื่นด้วย เช่น ข้อจำกัด แดนกรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1339 ถึง 1355 ส่วนข้อจำกัดสิทธิที่กฎหมายอื่นบัญญัติไว้ส่วนมากจะเป็นการให้ อำนาจหน่วยงานที่จัดทำบริการสาธารณะ เช่น พระราชบัญญัติการประปานครหลวง พ.ศ. 2410 พระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2503 พระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อ กิจการขนส่งมวลชน พ.ศ. 2540 เป็นต้น


pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แดนกรรมสิทธิ์นั้นจะต้องมีกรรมสิทธิ์พื้นดินเสียก่อน ฎีกาที่ 2114/2499 แดนแห่งกรรมสิทธิ์นั้นจะต้องมีกรรมสิทธิ์พื้นดินเสียก่อน แดนแห่งกรรมสิทธิ์ ที่ดินจะกินถึงทั้งเหนือพื้นดินและใต้พื้นดินด้วย เพียงแต่ปลูกชายคารุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น แม้จะนานกว่า 20 ปี เมื่อเจ้าของชายคายังมิได้มีกรรมสิทธิ์บนพื้นดินใต้ชายคานั้นแล้ว ก็จะนำเอามาตรา 1335 เรื่อง แดนกรรมสิทธิ์มาใช้อ้างเอาที่ดินใต้ชายคามาเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยไม่ได้ มาตรา 1336 ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอย และจำหน่ายทรัพย์สิน ของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตาม และเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มี สิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวาง มิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ในเรื่องของอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1336 เจ้าของที่ดินมีอำนาจอะไรบ้าง มาตรา 1336 ซึ่งเป็นบทบัญญัติหลัก เวลาตอบข้อสอบในเรื่องความเป็นเจ้าของการใช้สิทธิอะไรบางอย่าง ถ้าเอามาตรา 1336 มาตอบด้วยก็จะได้คะแนนมากยิ่งขึ้น มาตรานี้ก็พูดว่าภายใต้บังคับแห่งกฎหมายเจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิ ใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตน และได้ทั้งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่ง ทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้น โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะฉะนั้น เมื่อมาถึงตรงนี้เราก็คงจะเห็นแล้วว่าคำว่าภายใต้บังคับแห่งกฎหมายก็ อธิบายทำนองเดียวกันกับมาตรา 1335 หรือ 1299 เหมือนกัน ถ้ามีกฎหมายเขียนไว้อย่างไรก็เป็นไปตาม อย่างนั้น ข้อสังเกต 1. การติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตน หากเข้ากรณีมาตรา 1299 วรรคสอง และมาตรา 1329 ถึงมาตรา 1332 ก็จะเอาคืนไม่ได้ กรณีเข้าข้อยกเว้นเรื่องหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน 2. การติดตามเอาคืนทรัพย์สินไม่มีอายุความจะช้านานเพียงใดก็ยังมีสิทธิติดตามเอาคืน เว้นแต่ ผู้ครอบครองทรัพย์สินนั้นจะได้ครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382, 1383 3. บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300 ไม่ใช่เจ้าของ ทรัพย์สินจึงไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนตามมาตรา 1336 ฎีกาที่ 2868/2529 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ให้ที่ดิน พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และศาลพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามนั้น ดังนี้ โจทก์ได้แต่สิทธิ ตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 หาได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองไม่ โจทก์จึงไม่มี สิทธิติดตามเอาคืนโฉนดสำหรับที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336


pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 8875/2553 การจะนำข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาส่วนอาญามารับฟังในคดีแพ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ข้อเท็จจริงนั้นต้องเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและศาลได้วินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้ง และผู้ที่จะ ถูกข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันต้องเป็นคู่ความในคดีอาญาด้วย เมื่อข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยมีส่วนร่วมกระทำ ความผิดกับ ม. หรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและศาลชั้นต้นก็ไม่ได้วินิจฉัยไว้ ทั้งจำเลยไม่ได้ ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ ม. จำเลยจึงไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญา คดีนี้จึงไม่ใช่คดีแพ่งที่ เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา การที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาเงินของโจทก์คืนจากจำเลยเนื่องจาก ม. ปลอมลายมือชื่อถอนเงินจากบัญชี ลูกค้าของโจทก์แล้วฝากเข้าบัญชีของจำเลย จึงเป็นการฟ้องเพื่อติดตามเอาทรัพย์ของโจทก์คืนมาจาก บุคคล ผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีอายุความ มิใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่ มูลละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาที่ 8875/2553 การจะนำข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาส่วนอาญามารับฟังในคดีแพ่งตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ข้อเท็จจริงนั้นต้องเป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและศาลได้วินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้ง และผู้ที่จะถูก ข้อเท็จจริงในคดีอาญามาผูกพันต้องเป็นคู่ความในคดีอาญาด้วย เมื่อข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยมีส่วนร่วมกระทำ ความผิดกับ ม. หรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นโดยตรงในคดีอาญาและศาลชั้นต้นก็ไม่ได้วินิจฉัยไว้ ทั้งจำเลยไม่ได้ถูก พนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับ ม. จำเลยจึงไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญา คดีนี้จึงไม่ใช่คดีแพ่งที่ เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา การที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาเงินของโจทก์คืนจากจำเลยเนื่องจาก ม. ปลอมลายมือชื่อถอนเงินจากบัญชี ลูกค้าของโจทก์แล้วฝากเข้าบัญชีของจำเลย จึงเป็นการฟ้องเพื่อติดตามเอาทรัพย์ของโจทก์คืนมาจากบุคคลผู้ไม่ มีสิทธิจะยึดถือไว้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีอายุความ มิใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่ มูลละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาที่ 7900/2561 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร ลำดับที่ 4 และที่ 5 เนื่องจากจำเลยไม่มีสิทธิยื่นใบเบิกเงินและรับเงินสวัสดิการ เกี่ยวกับการศึกษาของบุตร ดังกล่าว เพราะขัดต่อ พ.ร.ฎ.เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. 2523 มาตรา 7 ประกอบ มาตรา 6 ซึ่งการที่จำเลยใช้สิทธิเบิกและรับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรดังกล่าว เป็นผลจาก นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐกับจำเลยซึ่งเป็นข้าราชการของหน่วยงานในสังกัดของโจทก์ มิใช่นิติสัมพันธ์ในทางแพ่ง และเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่จำเลยไปดังกล่าวก็มิใช่กรณีโจทก์กระทำเพื่อชำระหนี้ให้แก่ จำเลย เมื่อจำเลยไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่โจทก์ที่มีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินดังกล่าว ทราบว่าจำเลยเบิกเงินสวัสดิการ เกี่ยวกับการศึกษาของบุตรเกินสามคน ทำให้เจ้าหน้าที่โจทก์จ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาบุตร ของจำเลยลำดับที่ 4 และที่ 5 เกินกว่าสิทธิที่จะได้รับตามกฎหมาย จึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับเงินไปยึดถือ โดยไม่ชอบ การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่จำเลยไป จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็น หน่วยงานของรัฐ และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์ของตนคืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้


pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีอายุความ การเรียกร้องเงินที่จำเลยได้รับไปโดยไม่ชอบดังกล่าว หาใช่เป็น กรณีที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องในฐานะเจ้าหนี้ฟ้องให้จำเลยคืนทรัพย์ในฐานลาภมิควรได้ซึ่งต้องอยู่ภายใต้ บทบัญญัติว่าด้วยอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 419 ต่อไปเป็นข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 1338 มาตรา 1338 ข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้นั้นท่านว่าไม่จำต้อง จดทะเบียน ข้อจำกัดเช่นนี้ ท่านว่าจะถอนหรือแก้ให้หย่อนลงโดยนิติกรรมไม่ได้ นอกจากจะได้ทำนิติกรรมเป็น หนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อจำกัดซึ่งกำหนดไว้เพื่อสาธารณประโยชน์นั้น ท่านว่าจะถอนหรือแก้ให้หย่อนลงมิได้เลย เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อาจถูกจำกัดสิทธิในแดนกรรมสิทธิ์ของตนได้ การจำกัดสิทธินี้อาจมีได้ 2 ทาง คือ 1. โดยนิติกรรมระหว่างเจ้าของอสังหาริมทรัพย์กับบุคคลอื่นซึ่งข้อจำกัดนี้ต้องจดทะเบียนตาม มาตรา 1299 วรรค 1 2. ด้วยบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดจำกัดสิทธิไว้ไม่ว่าจะเป็นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายอื่น สำหรับกรณีกฎหมายจำกัดสิทธิไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติไว้ใน มาตรา 1338-1355 ซึ่งข้อจำกัดนี้ไม่จำต้องจดทะเบียนก็ใช้บังคับกันได้ ข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์บัญญัติอยู่ในมาตรา 1339 ถึงมาตรา 1355 แต่อาจารย์ จะขออธิบายเฉพาะในเรื่องทางจำเป็นตามมาตรา 1349 และมาตรา 1350 ฎีกาที่ 4176/2535 เดิมที่ดินของโจทก์ เป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ซึ่งมี จำเลยเป็นเจ้าของ อยู่ติดถนนสาธารณะ ต่อมาโจทก์ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ 3 งาน ซึ่งอยู่ด้านหลัง ก่อนแบ่งแยกหรือแบ่งโอนจำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์ว่าจะเปิดทางเดินกว้าง 2.5 เมตร ให้โจทก์ทั้งสองเดิน ออกสู่ทางสาธารณะได้แต่ต่อมาจำเลยได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ปิดกั้นด้านหน้าทำให้โจทก์ไม่สามารถออกสู่ ทางสาธารณะได้ หากจะออกสู่ทางสาธารณะด้านหลังจะต้องอาศัยทางในที่ดินของผู้อื่น และโจทก์ไม่มีสิทธิใช้ ทางดังกล่าวได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินของโจทก์อยู่ในที่ล้อมจึงมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยที่แบ่งแยกหรือ แบ่งโอนไปสู่ทางสาธารณะได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 การยกเลิกสัญญาที่จำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ ทางผ่านดังกล่าวเป็นข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ต้องทำนิติกรรมเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับ พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1338 วรรคสอง เพียงแต่ตกลงยกเลิกข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของ อสังหาริมทรัพย์ด้วยปากเปล่าจึงไม่มีผลผูกพัน และเมื่อเป็นทางจำเป็นโดยผลของกฎหมายจึงไม่จำต้องไป จดทะเบียน โจทก์มีสิทธิเดินผ่านที่ดินของจำเลยได้เมื่อจำเลยปิดทางเดินทำให้โจทก์ไม่มีทางออกสู่ ทางสาธารณะ โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้เปิดทางได้โดยไม่มีอายุความ


pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 3801/2540 ลำเหมืองพิพาทเป็นลำเหมืองสาธารณะ โจทก์และจำเลยต่างมีสิทธิ ใช้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย จำเลยใช้แผ่นคอนกรีตและดินปิดกั้นปากร่องน้ำของโจทก์ในส่วนที่ติดต่อกับ ลำเหมืองพิพาทเพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าฟาร์มโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เมื่อลำเหมืองพิพาทเป็น ลำเหมืองสาธารณะและโจทก์ทั้งสามมีสิทธิใช้ประโยชน์จากลำเหมืองดังกล่าว ทั้งจำเลยไม่มีสิทธิโดยชอบด้วย กฎหมายที่จะนำแผ่นคอนกรีตและดินไปปิดกั้นปากร่องน้ำของโจทก์ในส่วนที่ติดต่อกับลำเหมืองพิพาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ใช้น้ำจากลำเหมืองพิพาทตามที่โจทก์มีสิทธิ และหากมีการแบ่งเฉลี่ยการใช้น้ำระหว่างโจทก์และ จำเลยแล้ว โจทก์และจำเลยก็จะมีน้ำใช้เพียงพอทั้งสองฝ่าย ดังนี้ การที่โจทก์เปิดน้ำเข้าฟาร์มของโจทก์ในช่วงที่ เกิดเหตุซึ่งเป็นฤดูแล้ง มีน้ำน้อยไม่พอในการทำนาของราษฎร แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ชักเอาน้ำไว้เกินกว่า ที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของโจทก์ตามควร อันเป็นการไม่ปฏิบัติตาม ป.พ.พ.มาตรา 1355 จึงไม่เป็นการใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ซึ่งเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 421 เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นเรื่องละเมิด กรณีที่จะไม่ต้องรับผิดในการกระทำละเมิดนั้น ต้องเป็นไป ตามมาตรา 449 ถึง 452 แต่การกระทำของจำเลยไม่เข้ากรณีตามบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยจึงต้องรับผิดต่อ โจทก์เป็นส่วนตัว มาตรา 1349 ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่า เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ ที่ดินแปลงใดมีทางออกได้แต่เมื่อต้องข้ามสระ บึง หรือทะเล หรือมีที่ชันอันระดับที่ดินกับทาง สาธารณะสูงกว่ากันมากไซร้ ท่านว่าให้ใช้ความในวรรคต้นบังคับ ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดิน ที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มี ทางผ่านนั้น ค่าทดแทนนั้นนอกจากค่าเสียหายเพราะสร้างถนน ท่านว่าจะกำหนดเป็นเงินรายปีก็ได้ ในทางตำราของอาจารย์เสนีย์ ท่านบอกว่าประเภทของทางบ้านเรามีอยู่ 2 ประเภท คือ 1. ทางมหาชนมหาชน คือ ทางหลวงกับทางที่ราษฎรอุทิศให้หรือยกให้เป็นของราชการ กับ 2. ทางของเอกชน มีอยู่ 2 ทาง คือ ทางจำเป็นกับทางภาระจำยอม ข้อแตกต่างระหว่างทางจำเป็นและภาระจำยอม 1. ทางจำเป็นเกิดขึ้นกรณีที่ที่ดินตาบอดไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ทางภาระจำยอมเกิดขึ้นโดย นิติกรรมหรือได้สิทธิโดยอายุความ (ไม่จำเป็นต้องออกสู่ทางสาธารณะ) 2. ทางจำเป็นอาจมีค่าตอบแทน ผู้มีสิทธิผ่านจะต้องใช้ค่าตอบแทน ทางภาระจำยอมอาจมีค่าทดแทน หรือไม่ก็ได้ 3. ทางจำเป็นไม่ต้องจดทะเบียน ทางภาระจำยอมตามปกติต้องจดทะเบียน


pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 4. ทางจำเป็นเกิดขึ้นและมีอยู่ตามความจำเป็น ถ้าหมดความจำเป็นขอเปิดทางไม่ได้ ทางภาระจำยอม ถ้าไม่ใช้ 10 ปีสิ้นไป หรือจดทะเบียนยกเลิกได้ ฎีกาที่ 811-812/2540 ทางจำเป็นมิใช่สิทธิที่ติดกับที่ดินที่จะโอนไปพร้อมกับที่ดิน แต่ทางจำเป็น เกิดขึ้นและมีอยู่ตามความจำเป็น เมื่อไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทางแล้ว ก็ขอเปิดทางจำเป็นไม่ได้ โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 32684 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 12194 ของโจทก์โดยโจทก์ สามารถเดินออกสู่ถนนสาธารณะผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 12194 ได้ แม้เดิมผู้อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 32684 ที่โจทก์รับโอนมาจะมีสิทธิใช้ทางในที่ดินโฉนดเลขที่ 32688 ของจำเลยในฐานะทางจำเป็นก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทางนั้น เพราะโจทก์สามารถใช้ที่ดินแปลงโฉนดเลขที่12194 ออกสู่ทางสาธารณะ ได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1336 โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 32688 เป็นทาง จำเป็นไม่ว่าจะเป็นกรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 หรือมาตรา 1350 ฎีกาที่ 5672/2546 การที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่โจทก์รับโอนมา มีสิทธิใช้ทางพิพาทในที่ดิน ของจำเลยในฐานะทางจำเป็นมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า โจทก์จะได้สิทธิในทางพิพาทนั้นด้วยอย่าง ภาระจำยอม เพราะทางจำเป็นมิใช่สิทธิที่ติดกับที่ดินที่จะโอนไปพร้อมกับที่ดินด้วย ทั้งเป็นการจำกัดและ ลิดรอนอำนาจกรรมสิทธิ์ที่ดินของบุคคลอื่น จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด เมื่อที่ดินซึ่งโจทก์รับโอนมา มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินอีกแปลงหนึ่งของโจทก์ซึ่งอยู่ติดกัน แม้ส่วนที่ดินที่ติดกันกว้างเพียง 1.16 เมตร และทางเดินออกสู่ทางสาธารณะกว้างเพียง 1.35 เมตร ไม่สามารถใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ เพื่อผ่านเข้าออกได้ก็เป็นเรื่องความสะดวกของโจทก์ เท่านั้น หาใช่ว่าโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็น สำหรับวันนี้ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ ตรวจทานC4


pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์ - ที่ดิน (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์สมจิตร์ ทองศรี บรรยายวันที่ 15 สิงหาคม 2566 (ครั้งที่ 12) (สัปดาห์ที่ 13) สวัสดีครับนักศึกษา คราวที่แล้วเราพูดเรื่องข้อจำกัดสิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้พูด มาตรา 1338 ในเรื่องข้อจำกัดสิทธิไปแล้ว และอาจารย์จำได้ว่าได้พูดถึงเรื่องความแตกต่างของทางจำเป็นและ ทางภาระจำยอมไปแล้ว เพราะฉะนั้น วันนี้อาจารย์ก็พูดในเรื่องของทางจำเป็นต่อในม าตรา 1349 และ 1350 เรื่องทางจำเป็นเป็นข้อจำกัดสิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ประการหนึ่งที่หยิบยกมาพูด ส่วนมาตรา อื่นๆ ก็ไม่ได้หยิบยกมานักศึกษาก็อาจจะไปศึกษาดูด้วยตนเองในตำราต่างๆ ได้ เหตุที่หยิบยกมาตรา 1349 และ 1350 ในเรื่องของการจำเป็นมาพิจารณานั้น เพราะว่าในเรื่องทางจำเป็นมีปัญหาพิพาทกันในทางศาล ค่อนข้างมาก และมีคำพิพากษาฎีกาที่เป็นตัวอย่างให้ศึกษาค่อนข้างมาก มาตรา 1349 บัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้” ที่ดินแปลงใดมีทางออกได้แต่เมื่อต้องข้ามสระ บึง หรือทะเล หรือมีที่ชันอันระดับที่ดินกับทาง สาธารณะสูงกว่ากันมากไซร้ ท่านว่าให้ใช้ความในวรรคต้นบังคับ ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดิน ที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มี ทางผ่านนั้น ค่าทดแทนนั้นนอกจากค่าเสียหายเพราะสร้างถนน ท่านว่าจะกำหนดเป็นเงินรายปีก็ได้ หลักของมาตรา 1349 นักศึกษาต้องจดจำสาระสำคัญของมันให้ได้ว่า ในเรื่องของทางจำเป็นนั้น มันเป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ โดยยอมให้ที่ดินที่ถูกปิดล้อมหรือที่ดินตาบอดออกสู่ ทางสาธารณะได้ โดยผ่านที่ดินของคนอื่นไปได้จะต้องเป็นที่ดินที่ถูกปิดล้อม และอธิบายถึงข้อยกเว้นว่า แม้จะมี ทางออกในวรรคสอง แต่ต้องข้ามสระ บึง หรือทะเล หรือมีที่ชันอันระดับที่ดินกับทางสาธารณะสุขกว่ากันมาก ก็ให้ถือว่าที่ดินนั้นไม่มีทางออก และในวรรคสาม เป็นวรรคที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่จะขอทางจำเป็นหรือทางจำเป็นที่ผ่านที่ดิน ของคนอื่นนั้น จะต้องไม่ไปก้าวล่วงสิทธิของเขามากเกินไป คือ จะต้องทำให้พอสมควรแก่ผู้มีสิทธิกับต้อง เสียหายน้อยที่สุด อันนี้ก็เป็นข้อความสำคัญ ข้อสังเกต 1. ที่ดินที่จะขอเปิดทางจำเป็นต้องถูกล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ และการขอทางจำเป็น เป็นสิทธิตามกฎหมายที่บัญญัติให้ไว้ แต่ต้องใช้สิทธิโดยสุจริต


pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 2454/2536 ที่ดินของโจทก์และที่ดินของจำเลยอยู่ติดกัน ที่ดินของโจทก์มีที่ดินของจำเลย และที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ เมื่อปรากฏว่าหากโจทก์จะออกสู่ทางสาธารณะ ทางที่ใกล้ที่สุดจะต้องผ่านที่ดินของจำเลยตามที่พิพาท โจทก์จึงมีสิทธิจะใช้ที่พิพาทเป็นทางจำเป็นผ่านไปสู่ทาง สาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 เมื่อที่พิพาทเป็นทางจำเป็น โจทก์ย่อมมี สิทธิใช้ทางดังกล่าวโดยอำนาจของกฎหมายไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนอีก ฎีกาที่ 5103/2547 การขอผ่านทางที่ดินซึ่งล้อมอยู่ออกสู่ทางสาธารณะนั้น ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้มุ่งพิจารณาถึงสภาพของที่ดินนั้นจะต้องถูกที่ดินแปลงอื่นล้อม จนไม่มี ทางออกสู่ทางสาธารณะเป็นสำคัญ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจึงมีสิทธิจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ออกไปสู่ทางสาธารณะ ได้ โดยมิได้กำหนดเงื่อนไขว่าผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมจะต้องได้ที่ดินมาโดยสุจริต แม้จะฟังได้ว่าโจทก์ซื้อ ที่ดินมาโดยรู้อยู่แล้วว่ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ก็ตาม ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ ที่จะผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ออกสู่ทางสาธารณะหมดไป กฎหมายมิได้บัญญัติว่าเจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจะต้องขอผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ซึ่งอยู่ใกล้ทาง สาธารณะมากที่สุดเท่านั้น เพียงแต่การที่จะผ่านที่ดินที่ล้อมนั้น ที่และวิธีทำทางผ่านต้องเลือกให้พอสมควรแก่ ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่านกับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็นจะ สร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ ที่ดินของจำเลยมีเนื้อที่เพียง 5 ตารางวา มีรูปลักษณะเป็นสามเหลี่ยมชายธงซึ่งใช้ ประโยชน์เพียงเป็นทางเข้าหมู่บ้าน และเชื่อมกับที่ดินอีก 2 แปลงของจำเลยที่มีสภาพเป็นถนนเพื่อให้ผู้อยู่ อาศัยในหมู่บ้านออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์จึงไม่จำต้องทำทางผ่านให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินจำเลย และ จำเลยก็มิได้รับความเสียหายในการที่โจทก์จะใช้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ เพราะมีสภาพเป็นทางอยู่แล้ว ที่ดินของจำเลยที่โจทก์ขอผ่านเป็นทางจำเป็นจึงเป็นทางที่สะดวกที่สุดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย น้อยที่สุด ต่างกับอีกด้านหนึ่งที่ดินที่ล้อมไม่มีสภาพเป็นทาง มีหญ้าและต้นไม้ปกคลุมกับต้องผ่านที่ดิน อีกหลายแปลง ทั้งจะต้องปรับปรุงเพื่อให้มีสภาพเป็นทางอีกด้วย แม้ทางจำเป็นจะเป็นถนนซึ่งเป็นสาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้น และตกอยู่ในภาระจำ ยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร ซึ่งกฎหมายห้ามผู้จัดสรรที่ดินทำนิติกรรมกับบุคคลใดก่อให้เกิดภาระแก่ที่ดิน นั้นก็ตาม แต่เมื่อถนนดังกล่าวตกอยู่ภายใต้สิทธิเรียกร้องที่โจทก์จะขอเปิดทางจำเป็นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 ฎีกาที่ 7322/2550 แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกจะติดแม่น้ำ บางปะกง แต่ก็ได้ความว่า ปัจจุบันแม่น้ำบางปะกงไม่ได้ใช้เป็นทางสัญจร คงมีแต่เรือหาปลา ไม่มีเรือโดยสาร โดยกิจการเรือโดยสารได้เลิกมาหลายสิบปีแล้ว เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วก็ได้ใช้เส้นทางพิพาทออกสู่ ทางสาธารณะ ซึ่งเส้นทางพิพาทมีความกว้างประมาณ 3 เมตร ดังนี้ กรณีที่ดินโจทก์จึงต้องตามบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสอง คือ ที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แต่ต้องข้ามสระ บึง ทะเล


pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง หรือสภาพยากลำบากในทำนองเดียวกัน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเพื่อขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินจำเลยทั้งสามออกสู่ ทางสาธารณะได้ เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ที่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์อยู่แบ่งแยกออกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ 1638 ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเหตุให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ไม่มีทางบนบกออกสู่ทางสาธารณะได้โจทก์ก็ ย่อมมีสิทธิใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะได้เช่นกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 สิทธิในทางจำเป็นย่อมเกิดขึ้นโดยอำนาจของกฎหมายตามสภาพความเป็นจริงของที่ดินในปัจจุบัน ข้ออ้างของฝ่ายจำเลยทั้งสามที่ว่าโจทก์สมัครใจซื้อที่ดินซึ่งไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ ทำให้ซื้อในราคาถูกกว่า ปกติ ส่อเจตนาว่าจะไม่ใช้ทางพิพาทเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะนั้น มิได้ทำให้สิทธิในทางจำเป็นของโจทก์ ระงับสิ้นไปแต่อย่างใด ฎีกาที่ 3892/2549 แม้ทางจำเป็นที่โจทก์ขอผ่านที่ดินจัดสรรของจำเลย เป็นถนนซึ่งเป็น สาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรได้จัดให้มีขึ้นและตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร ซึ่งมี พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดินฯ มาตรา 43 วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามมิให้ผู้จัดสรรที่ดินกระทำการใดอันเป็นเหตุให้ประโยชน์ แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก แต่เมื่อจำเลยรับว่าถนนดังกล่าวตกอยู่ภายใต้สิทธิที่โจทก์จะขอ เปิดทางจำเป็นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นไปโดยผลของกฎหมาย มิใช่เป็นเรื่องที่ผู้จัดสรร ที่ดินทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระแก่ที่ดินที่ตกเป็นสาธารณูปโภค จึงหาได้ขัดต่อกฎหมายดังกล่าวไม่ และ หากการที่จำเลยเปิดทางจำเป็นให้แก่โจทก์ทำให้จำเลยต้องเสียหาย จำเลยย่อมมีสิทธิเรียกค่าทดแทนเพื่อ ความเสียหายจากโจทก์ได้ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เปิดทางพิพาทที่จำเลยสร้างรั้วกำแพงปิดกั้น เพื่อใช้เป็น ทางเข้าออกและจัดวางท่อระบายน้ำ สายไฟฟ้า สายโทรศัพท์สู่ทางสาธารณะได้ เมื่อทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแล้ว โจทก์มีสิทธิใช้ทางดังกล่าวได้โดยอำนาจของกฎหมายตาม ป. พ.พ. มาตรา 1349 จึงไม่จำต้องให้จำเลยไปจดทะเบียนทางจำเป็นตามคำขอของโจทก์อีก ฎีกาที่ 3408/2551 การที่จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 มาใช้บังคับได้ ต้องเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงเดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว เมื่อแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุ ให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตาม มาตรา 1349 ได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน เดิมที่ดินของโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ต้องอาศัยที่ดินของผู้อื่นเดินผ่านเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะ แต่การที่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดิน ของผู้อื่นได้เพราะเขายินยอม มิใช่เป็นสิทธิตามกฎหมายต้องถือว่าไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ จึงไม่เข้า หลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350 แต่เป็นกรณีที่ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทาง สาธารณะ โจทก์สามารถที่จะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ตามมาตรา 1349 โจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้หลายทางโดยผ่านทางที่ดินของบุคคลอื่นที่มิได้หวงห้ามโจทก์ การที่โจทก์จะขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อความสะดวกของโจทก์ แต่ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องเดือดร้อน


pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง และเสียหาย และถ้าหากให้จำเลยที่ 1 เปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จะทำให้จำเลยที่ 1 ต้องรื้อบริเวณ หลังบ้านด้านทิศตะวันออก อันจะทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเป็นอย่างมาก และไม่ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสาม การกระทำของโจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ฎีกาที่ 4197/2564 แม้ที่ดินข้างเคียงอื่นให้เจ้าของที่ดินแปลงตาบอดเข้าออกได้ก็ไม่ใช่เป็นสิทธิ ตามกฎหมาย ยังคงถือว่าที่ดินดังกล่าวไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะมีสิทธิเรียกร้องทางจำเป็นตามมาตรา 1349 หรือ 1350 แล้วแต่กรณีได้ แม้มิได้ใช้ทางจำเป็นออกสู่ทางสาธารณะนานเพียงใด ก็ไม่ทำให้สิทธิเรียกร้องทางจำเป็นหมดไป เพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย ทางจำเป็นตามมาตรา 1350 ก็ยังต้องฟ้องเรียกที่ดินที่แบ่งแยกแปลงที่เสียหายน้อยที่สุดตาม มาตรา 1349 วรรคสาม ฎีกาที่ 4714/2555 ที่ดินทั้ง 3 แปลงของโจทก์ทั้งสามเป็นที่ดินที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ทั้งสามจึงเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกปิดล้อมย่อมสามารถใช้ทางผ่านที่ดิน ที่ล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้และทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่านโดย คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายน้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสาม เมื่อทางพิพาท ที่ผ่านที่ดินของจำเลยมีระยะทางใกล้และใช้พื้นที่น้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ทางผ่านที่ดินที่ล้อมรอบ อยู่ทางด้านที่ดินของ ส. และของ จ. ที่มีระยะทางยาวกว่าและใช้พื้นที่มากกว่า ทางพิพาทจึงเป็น ทางพอสมควรแก่ความจำเป็นของโจทก์ทั้งสามที่จะผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะ โดยเสียหายแก่ที่ดิน ที่ปิดล้อมอยู่น้อยที่สุด การที่โจทก์ทั้งสามเคยใช้ทางออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินของ ส. และ จ. มาก่อนเพราะ ส. และ จ. เจ้าของที่ดินให้ความยินยอม ไม่ใช่เป็นสิทธิตามกฎหมาย ต้องถือว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสามไม่มีทางออก สู่ทางสาธารณะ โจทก์ทั้งสามจึงสามารถใช้ทางผ่านที่ดินของจำเลยที่ปิดล้อมเป็นทางจำเป็นออกสู่ทาง สาธารณะได้ ฎีกาที่ 6372/2550 โจทก์ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและภาระจำยอม ศาลชั้นต้นกำหนด ประเด็นข้อพิพาทว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือทางภาระจำยอมหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าทางพิพาท มิใช่ทางภาระจำยอมโดยอายุความก็ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ ตามที่ได้กำหนด ประเด็นข้อพิพาทไว้ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ ทั้งที่ทางพิจารณาอาจเป็นได้ทั้งทางจำเป็นและทางภาระจำยอมในขณะเดียวกันได้จึงเป็นการไม่ชอบ ดังนี้หาก ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่า ทางพิพาทไม่ใช่ทางภาระจำยอมโดยอายุความ และข้อเท็จจริงในสำนวน เพียงพอที่จะวินิจฉัยในเรื่องทางจำเป็น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มีอำนาจวินิจฉัยในเรื่องทางพิพาท ว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่ได้ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น เนื่องจากโจทก์มีคำขอมาตั้งแต่ต้นแล้ว


pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มิฉะนั้น โจทก์คงต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่ ทั้งโจทก์ จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมก็ต้องนำสืบถึงข้อเท็จจริงซ้ำใน เรื่องที่เคยนำสืบมาแล้ว จึงหาชอบด้วยความยุติธรรมไม่ เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 45810 ของโจทก์และที่ดินโฉนดเลขที่ 45821 ของจำเลยที่ 2 เป็นที่ดินแปลง เดียวกันต่อมามีการแบ่งแยกที่ดินออกเป็น 2 แปลงดังกล่าว แต่เมื่อทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก ของที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยเป็นทางเดินเท้าซึ่งตามแผนที่พิพาทระบุว่าทางด้าน ทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์กว้างประมาณ 1.10 เมตร ไม่สามารถใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อผ่านเข้าออก ได้นั้น ก็เป็นเรื่องความสะดวกของโจทก์เท่านั้นหาใช่ว่า โจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิ ขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นในที่ดินโฉนดเลขที่ 45821 ของจำเลยที่ 2 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 และ 1350 เพราะที่ดินโจทก์ไม่ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อมจนไม่สามารถออกไปสู่ทางสาธารณะได้ 2. คำว่า “ทางสาธารณะ” มิได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะทางบก แต่ยังหมายความรวมถึงทางน้ำ เช่น แม่น้ำลำคลองด้วย ฎีกาที่ 1313/2493 ตามธรรมดาถือว่าคลองเป็นสาธารณะ เพราะเป็นทางอาศัยสัญจรไปมาใน ทางน้ำ ที่ดินอันมีเขตติดคลอง ซึ่งเป็นทางสาธารณะแล้ว เจ้าของที่ดินจะอ้างว่าไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1349 ย่อมฟังไม่ได้ ที่ดินในลักษณะเช่นที่กล่าวนี้ เจ้าของจะเรียกร้องขอทางจำเป็น จากเจ้าของที่ดินติดต่อไม่ได้ ฎีกาที่ 1768/2548 แม้คลองมหาชัยจะมีเขื่อนกั้นอยู่บริเวณปากคลอง แต่มิได้ปิดกั้นตลอดเวลา เป็นการปิดกั้นเพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุน คลองมหาชัยยังเป็นคลองที่ประชาชนใช้ในการสัญจรไปมาอยู่ใน ปัจจุบัน จึงเป็นทางสาธารณะตามความหมายของ ป.พ.พ. มาตรา 1349 การที่ปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่มิได้ ใช้เป็นทางสัญจรทางน้ำ เนื่องจากไม่สะดวกเท่าการสัญจรทางบก หาได้ทำให้คลองมหาชัยสิ้นสภาพการเป็น ทางสาธารณะไปไม่ เมื่อที่ดินของโจทก์ทั้งสองอยู่ติดคลองมหาชัย ซึ่งเป็นทางสาธารณะอยู่แล้ว โจทก์ทั้งสองจึง ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นได้ ฎีกาที่ 5792/2551 ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่น ล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทาง สาธารณะได้" ทางสาธารณะมิได้จำกัดเฉพาะทางบกเท่านั้น ทางน้ำเช่นแม่น้ำนครชัยศรี ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ ก็เป็นทางสาธารณะ แม้การสัญจรทางแม่น้ำนครชัยศรีจะไม่สะดวกไม่สอดคล้องกับความเจริญรุ่งเรือง ของบ้านเมืองเท่าการสัญจรทางบกดังที่โจทก์ทั้งสองอ้าง ก็หาทำให้แม่น้ำนครชัยศรีสิ้นสภาพการเป็น ทางสาธารณะไปไม่ ทั้งที่ดินของโจทก์ทั้งสองตลอดแนวด้านทิศตะวันออกติดแม่น้ำนครชัยศรี โดยไม่ปรากฏ ข้อเท็จจริงว่าการเข้าออกจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองสู่แม่น้ำนครชัยศรี ต้องข้ามสระ บึง หรือมีที่ชันอันมีระดับ ที่ดินกับแม่น้ำนครชัยศรีซึ่งเป็นทางสาธารณะสูงกว่ากันมาก อันจะถือเป็นเหตุอนุโลมเสมือนว่าที่ดินของโจทก์ ทั้งสองไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสอง


pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 1935/2544 ที่ดินของโจทก์ที่ 6 ถึงที่ 13 ทั้ง 4 แปลงอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งปัจจุบัน ยังมีการใช้สัญจรตามปกติจึงเป็นทางสาธารณะ ที่ดินของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่เป็นที่ดินที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง บ้านบางหลังของฝ่ายโจทก์เป็นบ้านยกพื้น อยู่สูงกว่าระดับน้ำในแม่น้ำประมาณ 70 เซนติเมตร แสดงให้เห็นว่า ระดับน้ำในแม่น้ำกับริมตลิ่งย่อมจะน้อยกว่า 70 เซนติเมตร กรณีไม่ถือว่าเป็นที่ชันอันระดับ ที่ดินกับทางสาธารณะอยู่สูงกว่ากันมากตามความหมายของมาตรา 1349 วรรคสอง เมื่อที่ดินของโจทก์ที่ 6 ถึงที่ 13 ทั้ง 4 แปลงอยู่ติดทางสาธารณะ แม้ฝ่ายโจทก์ไม่ได้ใช้ทางสาธารณะ นี้สัญจรไปมาเป็นเวลานานแล้ว ก็ไม่ทำให้โจทก์ทั้งสิบสามมีสิทธิที่จะใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยทั้งเจ็ด โดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นได้ ที่ดินของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 และโจทก์ที่ 8 ถึงที่ 13 แปลงอื่น ซึ่งไม่ได้ติดทางสาธารณะโดยตรงนั้น เป็นที่ดินแบ่งแยกมาจากที่ดินที่ติดทางสาธารณะ หากโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 และโจทก์ที่ 8 ถึงที่ 13 จะเรียกร้อง เอาทาง ก็ต้องเรียกร้องเอาจากที่ดินแปลงเดิมที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกัน ไม่อาจที่จะเรียกร้องขอใช้ทาง พิพาทได้ 3. ทางสาธารณะที่ขาดความสะดวกที่จะใช้สอยเป็นทางสาธารณะได้ตามปกติธรรมดา ก็ไม่ถือ ว่าเป็นทางสาธารณะตามความหมายของมาตรา 1349 ฎีกาที่ 465/2518 คลองซึ่งถ้าฝนตกน้อยเรือเดินไม่ได้หลายวัน ถนนคันคลองมีคลองและ คูแยกขนานเป็นตอนๆ ไม่มีสภาพใช้เป็นทางสาธารณะตามมาตรา 1350 ที่ไม่ให้ใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินที่ล้อม อยู่ ศาลพิพากษาให้เปิดทางได้โดยโจทก์ไม่จำต้องขอจ่ายค่าทดแทนก่อน ฎีกาที่ 2043/2530 ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ส่วนที่ดินของจำเลย อยู่ทางเหนือของที่ดินโจทก์และติดกับทางสาธารณะทางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลย อาจใช้เป็นทางจากที่ดิน ของโจทก์ไปออกสู่ทางสาธารณะได้ใกล้ที่สุดทางหนึ่ง แม้จะปรากฏว่าทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินโจทก์ ซึ่งติดกับที่ดินอีกแปลงหนึ่งของโจทก์จะติดกับคลองสาธารณะ แต่ก็ปรากฏว่าคลองดังกล่าวในฤดูฝนน้ำจะท่วม ฝั่งไหลเชี่ยวมาก ฤดูแล้งก็แห้งติดกับคลอง ไม่มีประชาชนใช้สัญจรไปมาประมาณ 20 ปีแล้ว สภาพของคลอง แม้จะเป็นคลองสาธารณะก็ถือไม่ได้ว่าเป็นทางสาธารณะตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 กรณีถือได้ว่าที่ดิน ของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ ย่อมมีสิทธิขอผ่านทางพิพาทไปสู่ทางสาธารณะได้ ฎีกาที่ 800-801/2544 คลองบางไผ่น้อยบริเวณพิพาท แม้ใช้เรือสัญจรเข้าออกได้ แต่ก็ขาด ความสะดวกที่จะใช้สอยเป็นทางสาธารณะได้ตามปกติ จึงยังไม่พอที่จะถือได้ว่าเป็นทางสาธารณะ ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1349 โจทก์จึงมีความจำเป็นที่จะต้องผ่านที่ดิน ของจำเลยซึ่งล้อมอยู่ ไปสู่ทางสาธารณะโดยใช้ทางเดินพิพาทผ่านเข้าออกเป็นทางจำเป็นได้ โจทก์ได้ใช้ทางเดินพิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะสืบทอดมาตั้งแต่ ครั้งบรรพบุรุษของโจทก์และจำเลย ที่เป็นญาติใกล้ชิดมาแต่เดิม จนกระทั่ง ปลายปี 2528 น้ำท่วมทางพิพาท ทางฝ่ายโจทก์จึงได้จัดสรรสร้าง


pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สะพานไม้ ข้ามคูน้ำในทางเดินพิพาท โดยบิดาจำเลยยินยอมให้ดำเนินการในลักษณะของความอะลุ่มอล่วย ฉันเครือญาติ จึงเป็นการแสดงออกโดยแจ้งชัดว่า โจทก์ได้ใช้ทางเดินพิพาทด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย โดยถือว่าเป็นกันเอง อย่างเช่น เครือญาติที่ผูกพันกันมานานสืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ อันเป็นการใช้ ทางเดินพิพาทโดยถือวิสาสะและเอื้อเฟื้อต่อกัน ทางเดินพิพาท จึงไม่ตกเป็นภาระจำยอมโดยอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ฎีกาที่ 7322/2550 แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกจะติด แม่น้ำบางปะกง แต่ก็ได้ความว่า ปัจจุบันแม่น้ำบางปะกงไม่ได้ใช้เป็นทางสัญจร คงมีแต่เรือหาปลา ไม่มีเรือโดยสาร โดยกิจการเรือโดยสารได้เลิกมาหลายสิบปีแล้ว เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วก็ได้ ใช้เส้นทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งเส้นทางพิพาทมีความกว้างประมาณ 3 เมตร ดังนี้ กรณีที่ดินโจทก์ จึงต้องตามบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสอง คือ ที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แต่ต้อง ข้ามสระ บึง ทะเล หรือสภาพยากลำบากในทำนองเดียวกัน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเพื่อขอเปิดทางจำเป็น ผ่านที่ดินจำเลยทั้งสามออกสู่ทางสาธารณะได้ เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ที่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์อยู่แบ่งแยกออกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ 1638 ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเหตุให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ไม่มีทางบนบกออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะได้เช่นกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 สิทธิในทางจำเป็น ย่อมเกิดขึ้นโดยอำนาจของกฎหมายตามสภาพความเป็นจริงของที่ดินในปัจจุบัน ข้ออ้างของฝ่ายจำเลยทั้งสามที่ว่าโจทก์สมัครใจซื้อที่ดินซึ่งไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ ทำให้ซื้อในราคาถูกกว่า ปกติ ส่อเจตนาว่าจะไม่ใช้ทางพิพาทเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะนั้น มิได้ทำให้สิทธิในทางจำเป็นของโจทก์ ระงับสิ้นไปแต่อย่างใด 4. ตามมาตรา 1349 วรรคสอง ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ แต่ถ้าต้องข้ามสระ บึง หรือ ทะเล หรือมีที่ชันสูงต่ำกว่าทางสาธารณะมากก็อนุโลมเสมือนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ จึงมีสิทธิผ่าน ที่ดินที่ล้อมอยู่ได้ ฎีกาที่ 3428/2525 ที่ดินที่ถูกล้อมมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ แต่ต้องข้ามคูน้ำกว้าง ประมาณ 4-5 เมตร มิใช่สระหรือบึงกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสอง เจ้าของที่ดินดังกล่าวจึงฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็นหาได้ไม่ ฎีกาที่ 15419/2555 ที่จำเลยอ้างมาในฎีกาว่าโจทก์สามารถจัดหาเรือและใช้เรือเป็นยานพาหนะ เข้าออกที่ดินของโจทก์โดยใช้แม่น้ำท่าจีนได้โดยสะดวกนั้น เห็นว่าการขอทางจำเป็นกฎหมายมิได้กำหนดให้เป็น ภาระแก่โจทก์ถึงเพียงนั้น เมื่อสภาพเดิมเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีเรือข้ามฟากให้โจทก์ใช้สัญจรไปมาอีกต่อไป การที่จะให้โจทก์ใช้แม่น้ำท่าจีนเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะ ย่อมเป็นเรื่องยากลำบากแก่โจทก์เกินกว่าที่ควรจะ คาดคิด ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่อาจรับฟัง ดังนี้ กรณีที่ดินของโจทก์จึงต้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสอง คือ ที่ดินโจทก์มีการออกสู่ทางสาธารณะได้ แต่ต้องข้ามสระ บึง


pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ทะเล หรือสภาพยากลำบากทำนองเดียวกัน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเพื่อขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลย แปลงดังกล่าวเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ 5. ผู้มีสิทธิฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็นจำต้องเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมเท่านั้น บุคคลอื่น เช่น ผู้ครอบครองผู้อาศัย ผู้เช่าไม่มีสิทธิฟ้อง ฎีกาที่ 2196/2514 เจ้าของร่วมใช้ทางเดินผ่านที่ดินกรรมสิทธิ์รวมเป็นการใช้ตามอำนาจกรรมสิทธิ์ จะใช้ทางนั้นมาช้านานเท่าใดก็ไม่ได้ภาระจำยอม ผู้ที่จะได้สิทธิใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ออกไปสู่ทางสาธารณะนั้น ต้องเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งถูกล้อม หากเป็นเพียงเจ้าของโรงเรือน แม้จะถูกที่ดินอื่นล้อมอยู่ก็หามีสิทธิเรียกร้องทางจำเป็นไม่ ฎีกาที่ 5740/2551 ทางจำเป็นนั้น กฎหมายบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าของที่ดินที่ถูกปิดล้อม โดยเฉพาะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง ดังนั้น เจ้าของที่ดินเท่านั้นที่จะมีสิทธิฟ้องขอให้เปิด ทางจำเป็นได้ โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ใช่เจ้าของที่ดินแต่เป็นเพียงผู้ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินเท่านั้น แม้ที่ดินดังกล่าว ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อม โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็น โจทก์ที่ 4 ที่ 5 ส. น. และ ม. เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 439 โดยมิได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดว่าผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินส่วนใด ความเป็น เจ้าของของแต่ละคนจึงครอบที่ดินทั้งแปลง เจ้าของร่วมคนใดคนหนึ่งจึงอาจใช้สิทธิในฐานะเป็นเจ้าของร่วม ครอบที่ดินทั้งแปลงเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอกได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 การที่โจทก์ที่ 4 และที่ 5 ใช้สิทธิ ฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางจำเป็นจึงเป็นการใช้สิทธิแทนเจ้าของร่วมอื่นซึ่งรวมถึง ส. ด้วย กล่าวคือหากโจทก์ที่ 4 และที่ 5 มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็นได้ ทางดังกล่าวย่อมได้ประโยชน์แก่เจ้าของร่วมทุกคน แต่ ส. เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2528 ซึ่งด้านหนึ่งติดถนนสาธารณะอีกด้านหนึ่งติดกับที่ดินตามหนังสือ รับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 439 ส. จึงไม่มีสิทธิขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็นสำหรับที่ดินตาม หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 439 ได้ เพราะ ส. สามารถเข้าออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่าน ที่ดินโฉนดเลขที่ 2528 ของตนเอง การที่ ส. ปลูกสร้างอาคารในที่ดินโฉนดเลขที่ 2528 โดยเว้นทางเข้าออก ด้านที่ติดกับของจำเลยไว้เพียง 1 เมตร เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 4 และที่ 5 ไม่สามารถนำรถยนต์ผ่านเข้าออกได้ แต่ยังคงเดินเข้าออกได้นั้น เป็นเพียงทำให้ความสะดวกของโจทก์ที่ 4 และที่ 5 ในการเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ลดลงเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 439 ไม่มีทางออกสู่ทาง สาธารณะ โจทก์ที่ 4 และที่ 5 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็น 6. ผู้มีสิทธิผ่านที่ดินผู้อื่นจะต้องใช้ค่าทดแทนเป็นค่าใช้ที่ดิน แต่การฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็น ไม่จำเป็นต้องเสนอชดใช้ค่าทดแทน เป็นหน้าที่ของเจ้าของที่ดินที่จะต้องเรียกร้องขึ้นมาเอง ฎีกาที่ 629/2522 ทางจำเป็นโดยไม่ต้องใช้ค่าทดแทนตาม มาตรา 1350 เป็นกรณีแบ่งที่ดิน ทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ไม่ใช่ทางสาธารณะเกิดขึ้นภายหลังแบ่งแยกที่ดินแล้ว ค่าทดแทนตาม มาตรา 1349 เมื่อโจทก์ไม่ได้เสนอขอชดใช้ในคดีนี้ จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเป็นอีกคดีหนึ่ง


pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 3241/2522 ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินของบุคคลอื่นล้อมอยู่ ทางออกสู่ทางสาธารณะ อีก 3 ทาง มีลักษณะคดเคี้ยว ระยะทางไกลกว่าทางพิพาทต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นหลายแปลง และต้องผ่าน ที่นามีน้ำเจิ่งเต็มทางพิพาทมีความเหมาะสมกว่า ทั้งยังความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุด โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้ ป.พ.พ. มาตรา 1349 มิได้บังคับว่าผู้ร้องขอใช้ทางจำเป็นต่อศาลจะต้องเสนอขอจ่ายค่าทดแทน ความเสียหายให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มาพร้อมกับคำขอด้วย เพียงแต่ระบุให้ผู้ร้องมีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทน เท่านั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ขอจ่ายค่าทดแทนมาในฟ้อง แต่โจทก์ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะจ่าย จำเลยยังคงมีสิทธิที่จะ เรียกร้องเอาค่าทดแทนดังกล่าวจากโจทก์ได้อยู่ จึงไม่เป็นเหตุที่จะบังคับตามคำขอของโจทก์ไม่ได้ ฎีกาที่ 74/2540 ทางพิพาทเกิดขึ้นหลังจาก ส. ขายที่ดินให้จำเลยแล้วต่อมา ส. ปักเสาไฟฟ้า โดยได้รับอนุญาตจากจำเลยจึงเกิดเป็นถนนสายเล็กๆขึ้นโดยปริยายประมาณ 10 ปีเศษ ทางพิพาทจึงไม่ใช่ ทางสาธารณะแต่เป็นที่ดินของจำเลยซึ่งโจทก์เป็นบุคคลอื่นอาศัยสัญจรโดยถือวิสาสะ หาเข้าลักษณะเป็นการใช้ สิทธิโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ไม่ แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทผ่านที่ดิน ของจำเลยมากกว่า 10 ปีทางพิพาทก็ไม่ตกเป็นภาระจำยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1349 จะกำหนดให้ผู้มีสิทธิใช้ทางจำเป็น มีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทนแก่ผู้เปิดทางให้ก็ตาม แต่ก็มิได้บังคับให้ใช้ค่าทดแทนก่อนจึงจะใช้สิทธิได้ ในทางตรงกันข้ามเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ มีหน้าที่ต้องเปิดทางให้ผ่านและมีสิทธิเรียกค่าทดแทนเช่นเดียวกัน เมื่อโจทก์ไม่เสนอค่าทดแทนแก่จำเลยและจำเลยมิได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจากโจทก์คดีจึงไม่มีประเด็น เรื่องค่าทดแทน จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเอากับโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ฎีกาที่ 6270/2559 โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านทางพิพาทอันเป็นทางจำเป็น โจทก์มีหน้าที่ต้องใช้ ค่าทดแทนให้แก่จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคท้าย แต่โจทก์ไม่ได้ เสนอค่าทดแทนแก่จำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจากโจทก์ ทั้งโจทก์และจำเลย ทั้งสองไม่ได้นำสืบในส่วนค่าทดแทนว่ามีจำนวนเพียงใด ดังนี้ ศาลฎีกาไม่อาจกำหนดค่าทดแทนที่เหมาะสม ให้แก่จำเลยทั้งสองได้ ฎีกาที่ 2605/2562 แม้โจทก์ไม่ได้เสนอค่าทดแทนแก่จำเลยและจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้ง เรียกค่าทดแทนจากโจทก์แต่ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบเพียงพอที่จะพิจารณากำหนดค่าทดแทนให้ได้ ศาลฎีกาสมควรวินิจฉัยกำหนดค่าทดแทนที่โจทก์ต้องใช้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคท้าย ไปเสียทีเดียว 7. ผู้มีสิทธิใช้ทางจำเป็นมิใช่มีสิทธิแต่เพียงเดินผ่านเท่านั้น แต่มีสิทธิใช้ยานพาหนะผ่าน ทางจำเป็นได้ด้วย


pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 653/2516 สภาพแห่งทางจำเป็นนั้น เมื่อที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อม โจทก์ย่อมได้รับ ความคุ้มครองถึงการใช้ยานพาหนะผ่านทางในสภาพที่เป็นถนนได้ มิได้จำกัดเฉพาะให้ใช้ทางเดินด้วยเท้า อย่างเดียว ฎีกาที่ 1370/2520 ทางจำเป็นต้องเลือกทำพอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน โดยให้เสียหายแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุด เปิดทางกว้าง 5 เมตร เหมาะสมแล้ว จะนำประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ให้เปิดทางกว้าง 8 เมตร มาอ้างไม่ได้ 8. ทางจำเป็นกฎหมายมิได้บัญญัติว่าต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายสำคัญ ของมาตรา 1349 ก็เพื่อให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้น ดังนั้น การขอให้เปิด ทางจำเป็นปลายทางดังกล่าวหาจำต้องติดทางสาธารณะเสมอไปไม่ ฎีกาที่ 5281/2531 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 มิได้บัญญัติ ว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายสำคัญของมาตราดังกล่าวก็เพื่อให้ที่ดิน ที่ถูกล้อมอยู่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้น ดังนั้นการขอให้เปิดทางจำเป็นปลายทางดังกล่าว หาจำต้องติดทางสาธารณะเสมอไปไม่ โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางพิพาทโดยอ้างว่าเป็นทางจำเป็นในที่ดิน ของจำเลยเพื่อผ่านออกไปสู่ที่ดินของ ช. ซึ่งเป็นทางที่ติดกับทางสาธารณะ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่สามารถใช้ ที่ดินของ ช. ได้เพราะ ช. ไม่ยอมให้ใช้เช่นนี้ ทางพิพาทจึงไม่ใช่ทางจำเป็น ฎีกาที่ 5336/2539 ที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินจำเลย เป็นเหตุให้ไม่มีทางออกไปสู่ ทางสาธารณะ โจทก์ออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินจำเลย จำเลยปิดกั้นที่ดินโจทก์ด้านที่ติด กับทางพิพาท โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องขอใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1350 แม้จำเลยจะได้รับโอนที่ดินที่แบ่งแยกรวมทั้งส่วนที่เป็นทางพิพาทมาภายหลังก็ตาม จะปฏิเสธสิทธิของโจทก์ในการขอใช้ทางจำเป็นหาได้ไม่ และทางจำเป็นหาจำต้องเชื่อมต่อกับทางสาธารณะ โดยตรงไม่ แต่โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยเปิดทางจำเป็นบนที่ดินของบุคคลอื่นซึ่งมิใช่คู่ความในคดีด้วยหาได้ไม่ ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 9. ทางจำเป็นอาจเป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความได้ ถ้าใช้ทางเป็นปรปักษ์กับเจ้าของ ฎีกาที่ 7600/2540 เดิมโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยผ่านที่ดินของ น.และบ.ไปออกถนนสาธารณะ เพื่อขนส่งผลิตผลการเกษตร แต่ที่ดินของ น.และ บ. เป็นนาลึกฤดูฝนน้ำท่วมถึงอก ส่วนหน้าแล้งสามารถ เดินด้วยเท้า รถยนต์ไม่สามารถผ่านได้เพราะเป็นที่นา นอกจากทางพิพาทนี้แล้วโจทก์ไม่มีทางอื่นที่จะออกสู่ทาง สาธารณะดังนี้ เมื่อที่ดินของโจทก์มีที่ดินของผู้อื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้และเส้นทางพิพาท ซึ่งผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 มีระยะทางสั้นเพียง 40 เมตร การใช้ทางพิพาทดังกล่าวผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการใช้ที่ดินส่วนน้อยไม่ทำให้จำเลยที่ 1 รับภาระเกินไป และจำเลยที่ 1 ไม่ได้ปลูกสร้างสิ่งใด ในบริเวณนั้น อีกทั้งเป็นบริเวณที่โจทก์เคยใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 โจทก์ได้ใช้เส้นทางพิพาทเข้าออกมาประมาณ 30 ปี


pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แล้วโดยใช้มาก่อนมีการสร้างผนัง กั้นน้ำเค็ม ซึ่งได้ทำขึ้นทับเส้นทางเดิม หลังจากสร้างผนังกั้นน้ำเค็ม แล้วก็ได้ ใช้ทางพิพาทบนผนังกั้นน้ำเค็ม ตลอดมา เมื่อโจทก์ใช้ทางพิพาทมาเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาท จึง เป็นภาระจำยอมด้วย ซึ่งทางพิพาทนี้เป็นทั้งทางจำเป็นและเป็นทางภาระจำยอมในขณะเดียวกันได้ ฎีกาที่ 2605/2562 แม้โจทก์ไม่ได้เสนอค่าทดแทนแก่จำเลยและจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้ง เรียกค่าทดแทนจากโจทก์ แต่ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบเพียงพอที่จะพิจารณากำหนดค่าทดแทนให้ได้ ศาลฎีกา สมควรวินิจฉัยกำหนดค่าทดแทนที่โจทก์ต้องใช้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคท้าย ไปเสียทีเดียว 10. ทางจำเป็นเป็นทรัพยสิทธิทั่วไปไม่ต้องจดทะเบียน ฎีกาที่ 8221/2542 ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ ความจำเป็นของโจทก์ คือมีทางเดินออกสู่ทางสาธารณะ ประกอบกับทางพิพาทในสภาพปัจจุบันซึ่งมีความกว้างประมาณ 80 ถึง 90 เซนติเมตร ซึ่งพอสมควรแก่การที่จะใช้เป็นทางจำเป็นสำหรับเดินผ่านในสภาพสำหรับเป็นทางเดินได้แล้ว เมื่อข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทางพิพาทมีความกว้างแน่นอนเท่าใด การที่จะเปิดทางจำเป็น ให้กว้างประมาณ 1 เมตร โดยจำเลยจะต้องทุบผนังบ้านจำเลยออก 1 ด้านนั้น เมื่อคำนึงถึงความเสียหาย ของจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ กรณีจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลย ให้มีความกว้างถึง 1 เมตร ศาลฎีกาจึงกำหนดให้ทางจำเป็นมีความกว้างประมาณ 80 ถึง 90 เซนติเมตร ตามสภาพที่ใช้เป็นทางเดินในปัจจุบันเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนทางจำเป็นแก่โจทก์ หากไม่ดำเนินการให้ ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เมื่อทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแล้ว โจทก์มีสิทธิใช้ทาง ดังกล่าวได้โดยอำนาจของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 จึงไม่จำเป็นต้องไป จดทะเบียนทางจำเป็นตามคำขอของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องโดยให้ยกคำขอของโจทก์ ในส่วนที่ขอให้จำเลยไปดำเนินการจดทะเบียนทางจำเป็นแก่โจทก์เสีย ฎีกาที่ 251/2542 โจทก์ฟ้องว่า ทางพิพาทบนที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็น หรือทางจำเป็น อันตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ เป็นคำฟ้องที่ให้ศาลเลือกวินิจฉัยเอาจากพยานหลักฐานที่คู่ความ นำสืบว่าจะเป็นทางประเภทใด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าทางพิพาทตกเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ โดยโจทก์ ไม่ต้องเสียค่าตอบแทน จึงไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปว่าทางพิพาท เป็นทางภาระจำยอมหรือไม่นั้น เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้พิจารณาข้อเท็จจริงในสำนวนและใช้ดุลพินิจเลือกวินิจฉัยว่าทางพิพาท เป็นทางจำเป็นตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ข้อใดข้อหนึ่ง อันเป็นการตรงตามความประสงค์ของโจทก์แล้ว ไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไปอีกว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น อันตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือไม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 บัญญัติรับรองให้สิทธิแก่เจ้าของที่ดินซึ่งแบ่งแยก หรือแบ่งโอนมาจากที่ดินแปลงเดิมแล้วไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ให้มีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินบนที่ดิน


pg. 12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางจำเป็นบนที่ดินของจำเลย โดยอำนาจของกฎหมาย จำเลยไม่ต้องไปจดทะเบียนทางจำเป็นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีก ฎีกาที่ 4686/2560 คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิใช้ที่ดินของจำเลยร่วม เป็นทางจำเป็น เพื่อเป็นทางออกจากที่ดินของโจทก์ไปสู่ทางสาธารณะ ซึ่งติดต่อกับที่ดินของจำเลยร่วม โจทก์ ย่อมมีสิทธิใช้ทางในที่ดินของจำเลยร่วมด้วยอำนาจแห่งกฎหมาย ทางจำเป็นจึงเป็นสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สิน และสามารถใช้ยันแก่บุคคลทั่วไป แม้จำเลยร่วมจะโอนที่ดินให้แก่ ส. แล้ว ส. ขายที่ดินให้แก่ผู้ร้องและผู้ร้องจะ ซื้อที่ดินโดยสุจริตก็ตาม โจทก์ก็ยังคงมีสิทธิใช้ทางจำเป็นในที่ดินอยู่นั่นเอง ผู้ร้องจะขอให้เพิกถอนการบังคับคดี เพื่อมิให้โจทก์ใช้ทางเป็นทางจำเป็นหาได้ไม่ แม้ผู้ร้องอ้างว่าทางจำเป็นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็เป็นเรื่องที่ ผู้ร้องต้องไปว่ากล่าวกันต่างหากจะยกขึ้นมาอ้าง เพื่อเพิกถอนการบังคับคดีของโจทย์มิให้โจทก์ใช้ทางจำเป็น ตามคำพิพากษาหาได้ไม่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสี่ ผู้มีสิทธิจะผ่านจะต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดิน เมื่อชั้นบังคับคดีผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินที่เป็นทางจำเป็น ผู้ร้องในฐานะเจ้าของที่ดินย่อมมีสิทธิรับเงินค่าทดแทน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้ 11. ทางจำเป็นเกิดขึ้นและมีอยู่ตามความจำเป็น ถ้าหมดความจำเป็นไปก็ขอเปิดทางจำเป็น ไม่ได้ ฎีกาที่ 811-812/2540 ทางจำเป็นมิใช่สิทธิที่ติดกับที่ดินที่จะโอนไปพร้อมกับที่ดิน แต่ทางจำเป็น เกิดขึ้นและมีอยู่ตามความจำเป็น เมื่อไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทางแล้ว ก็ขอเปิดทางจำเป็นไม่ได้ โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 32684 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 12194 ของโจทก์โดยโจทก์ สามารถเดินออกสู่ถนนสาธารณะผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 12194 ได้ แม้เดิมผู้อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 32684 ที่โจทก์รับโอนมาจะมีสิทธิใช้ทางในที่ดินโฉนดเลขที่ 32688 ของจำเลยในฐานะทางจำเป็นก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทางนั้น เพราะโจทก์สามารถใช้ที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 12194 ออกสู่ ทางสาธารณะได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทผ่านที่ดินโฉนด เลขที่ 32688 เป็นทางจำเป็นไม่ว่าจะเป็นกรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 หรือมาตรา 1350 ฎีกาที่ 5672/2546 การที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่โจทก์รับโอนมามีสิทธิใช้ทางพิพาทในที่ดิน ของจำเลยในฐานะทางจำเป็นมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า โจทก์จะได้สิทธิในทางพิพาทนั้นด้วย อย่างภาระจำยอม เพราะทางจำเป็นมิใช่สิทธิที่ติดกับที่ดินที่จะโอนไปพร้อมกับที่ดินด้วยทั้งเป็นการจำกัด และลิดรอนอำนาจกรรมสิทธิ์ที่ดินของบุคคลอื่น จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด เมื่อที่ดินซึ่งโจทก์รับโอนมา มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินอีกแปลงหนึ่งของโจทก์ซึ่งอยู่ติดกัน แม้ส่วนที่ดินที่ติดกันกว้างเพียง 1.16 เมตร และทางเดินออกสู่ทางสาธารณะกว้างเพียง 1.35 เมตร ไม่สามารถใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ เพื่อผ่านเข้าออกได้ก็เป็นเรื่องความสะดวกของโจทก์เท่านั้น หาใช่ว่าโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็น


pg. 13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 12. มาตรา 1349 วรรคสาม หมายความรวมถึงการที่เจ้าของที่ดินให้ย้ายทางจำเป็นได้ ฎีกาที่ 10177/2556 ทางจำเป็นเป็นการได้สิทธิโดยอำนาจแห่งกฎหมายและไม่ต้องมีการจด ทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อข้อเท็จจริงยุติแล้วว่าโจทก์ได้ทางจำเป็นผ่านที่ดินจำเลยออกสู่ทางสาธารณะ จึงไม่จำต้องพิจารณาว่าการใช้ทางจำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากจำเลยหรือไม่ ซึ่งทางจำเป็นดังกล่าวยังคงเป็น ที่ดินของจำเลย ส่วนการกำหนดทางจำเป็นนั้นต้องเลือกให้พอสมควรแก่ความจำเป็นของโจทก์ โดยคำนึงถึง ประโยชน์การใช้สอยที่ดินจำเลยให้เสียหายน้อยที่สุด ทั้งจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ทางจำเป็นผ่านอาจเปลี่ยน ย้ายทางจำเป็นได้ ถ้าไม่ทำให้ผู้มีสิทธิที่จะผ่านต้องเสียความสะดวกในการออกสู่ทางสาธารณะ 13. แม้ที่ดินที่ทางจำเป็นผ่านเป็นที่ธรณีสงฆ์ก็ขอเปิดทางจำเป็นได้ ฎีกาที่ 4069/2562 ทางจำเป็นตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1349 นั้น เป็นเรื่องข้อจำกัด สิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมายหาใช่เกิดขึ้นโดยนิติกรรมไม่ จำเลยในฐานะ เจ้าของที่ดินแปลงที่ล้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 5764 ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ ห.ไว้ จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ ต้องยอมให้ผู้มีสิทธิในที่ดินโฉนดเลขที่ 5764 ผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ ทางสาธารณะ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้มีสิทธิในที่ดินโฉนดเลขที่ 5764 โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ห. จึงมีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายได้ กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) ซึ่งออกตามความใน พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 กำหนดให้การกันที่ดินซึ่งเป็นที่วัด ให้เป็นที่จัดประโยชน์จะกระทำได้ต่อเมื่อกรมการศาสนาเห็นชอบและได้รับอนุมัติจากมหาเถรสมาคมและ กำหนดให้การเช่าที่ธรณีสงฆ์ที่กัลปนาหรือที่วัดที่กันไว้เป็นที่จัดประโยชน์ มีกำหนดระยะเวลาเช่าเกิน 3 ปี จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากกรมการศาสนา และตามมติมหาเถรสมาคมที่ 221/2540 กำหนดให้การเช่าที่ดินวัดหรือที่ธรณีสงฆ์ของวัด เพื่อเป็นทางจะต้องทำเป็นสัญญา ภาระจำยอมและต้องได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการพิจารณางบประมาณศาสนสมบัติกลางประจำ (พศป.) กฎหมายและมติมหาเถรสมาคมเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับกับกรณีการทำนิติกรรมที่มีผลผูกพันทรัพย์สิน ของจำเลย ส่วนสิทธิในการใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย จึงไม่อยู่ในบังคับ ของกฎหมายและมติมหาเถรสมาคมดังกล่าว มาตรา 1350 บัญญัติว่า “ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ ทางสาธารณะไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดิน แปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน” เรื่องทางจำเป็นนั้น เป็นเรื่องของการจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ เพราะฉะนั้น ตามหลัก ของความเป็นธรรม ถ้าที่ดินแปลงใดมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว ต่อมาแบ่งออกเป็นแปลงย่อย ที่ดินแปลงย่อยที่แบ่งตอนหลังก็ควรจะต้องขอผ่านทางออกในที่ดินแปลงเดิมก่อนแบ่งแยก โดยไม่ต้อง ไปขอผ่านที่ดินแปลงอื่น และไม่ต้องเสียค่าทดแทน


pg. 14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ข้อสังเกต 1. ต้องเป็นที่ดินแปลงเดียวกันมาก่อน ฎีกาที่ 4176/2535 เดิมที่ดินของโจทก์ เป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ซึ่งมี จำเลยเป็นเจ้าของ อยู่ติดถนนสาธารณะ ต่อมาโจทก์ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวบางส่วนเนื้อที่ 3 งาน ซึ่งอยู่ด้านหลัง ก่อนแบ่งแยกหรือแบ่งโอนจำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์ว่าจะเปิดทางเดินกว้าง 2.5 เมตร ให้โจทก์ทั้งสอง เดินออกสู่ทางสาธารณะได้แต่ต่อมาจำเลยได้ปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ปิดกั้นด้านหน้า ทำให้โจทก์ไม่สามารถ ออกสู่ทางสาธารณะได้ หากจะออกสู่ทางสาธารณะด้านหลังจะต้องอาศัยทางในที่ดินของผู้อื่น และโจทก์ไม่มี สิทธิใช้ทางดังกล่าวได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินของโจทก์อยู่ในที่ล้อมจึงมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยที่แบ่งแยก หรือแบ่งโอนไปสู่ทางสาธารณะได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 การยกเลิกสัญญาที่จำเลยยินยอมให้โจทก์ ใช้ทางผ่านดังกล่าวเป็นข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ต้องทำนิติกรรมเป็นหนังสือและจดทะเบียน กับพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1338 วรรคสอง เพียงแต่ตกลงยกเลิกข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของ อสังหาริมทรัพย์ด้วยปากเปล่าจึงไม่มีผลผูกพัน และเมื่อเป็นทางจำเป็นโดยผลของกฎหมายจึงไม่จำต้องไป จดทะเบียน โจทก์มีสิทธิเดินผ่านที่ดินของจำเลยได้เมื่อจำเลยปิดทางเดินทำให้โจทก์ไม่มีทางออกสู่ ทางสาธารณะโจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้เปิดทางได้โดยไม่มีอายุความ ฎีกาที่ 119/2552 ป.พ.พ. มาตรา 1350 เป็นบทบัญญัติที่กฎหมายกำหนดให้เจ้าของที่ดิน แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันซึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ มีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ไปสู่ทาง สาธารณะได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น จะเรียกร้องเอาทางเดินผ่านจากที่ดิน แปลงอื่นหาได้ไม่ทั้งกฎหมายก็หาได้กำหนดถึงการสิ้นสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินผ่านไว้แต่อย่างใด ดังนั้น แม้โจทก์และบริวารจะได้ใช้ที่ดินของ บ. เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะ ก็หาทำให้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะ เอาทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งเป็นที่ดินที่ได้แบ่งแยกมาจากที่ดินของโจทก์ ตามมาตรา 1350 ดังกล่าว หมดไปไม่ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจากที่ดินของจำเลยได้ 2. ที่ดินแปลงย่อยถูกบังคับให้เปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินแปลงเดิมที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกัน เท่านั้น จะเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินแปลงอื่นไม่ได้ ฎีกาที่ 417/2553 การที่โจทก์ใช้ทางพิพาทมาเป็นเวลา 30 ปีเศษ โดยได้รับความยินยอม จากจำเลยตลอดมา แม้จะใช้เป็นเวลานานเท่าใด โจทก์ก็ไม่ได้สิทธิในทางภาระจำยอมจากจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1387 เพราะการใช้ทางพิพาทของโจทก์มิได้ประสงค์จะใช้ทางพิพาทอย่างเป็นปรปักษ์ต่อสิทธิ ในทางพิพาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 บัญญัติว่า ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มี ทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดิน แปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกัน ดังนั้น การที่ที่ดินโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงเดิมของ ข. และ ห. ทำให้


pg. 15 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์จะฟ้องเรียกร้องทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งมิใช่ที่ดินแปลงเดิมที่ถูก แบ่งแยกหรือแบ่งโอนหาได้ไม่ ฎีกาที่ 2930/2562 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 บัญญัติให้เจ้าของที่ดิน แปลงที่ถูกแบ่งแยกหรือแบ่งโอนมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตรา 1349 ได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้ แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน ซึ่งเป็นบทบัญญัติบังคับแก่กรณีทางจำเป็นโดยเด็ดขาดมิได้ คำนึงว่าจะมีทางเข้าออกอื่นที่สะดวกกว่าหรือไม่ เมื่อที่ดินของโจทก์ทั้งสี่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนด เลขที่ 1700 แม้เป็นเวลานานมีการแบ่งแยกเป็นที่ดินแปลงย่อยหลายแปลงและมีการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ บุคคลอื่นก็ตาม โจทก์ทั้งสี่ไม่อาจฟ้องเรียกร้องทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งมิใช่ที่ดินแปลงเดิมที่ถูกแบ่งแยก หรือแบ่งโอนไปโดยไม่จำต้องคำนึงว่าการผ่านเข้าออกในที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 1700 จะมีระยะไกลกว่าทาง พิพาทหรือไม่สะดวกเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการที่จะผ่านเข้าออกที่ดินแปลงพิพาทหรือไม่ ฎีกาที่ 2662/2562 ป.พ.พ. มาตรา 1350 เป็นกรณีที่เจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อม สามารถใช้สิทธิเรียกร้องผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ซึ่งเป็นการตัดสิทธิของเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัดจะแปลความโดยอนุโลมหาได้ไม่ ดังนั้น เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 147482 ของโจทก์ทั้งสองถูกแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 138212 แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ 138212 จะเคยเป็นที่ดิน แปลงเดียวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 59172 ของจำเลยมาก่อนก็ตาม จะถือโดยอนุโลมว่าที่ดินโฉนด เลขที่ 147482 ของโจทก์ทั้งสองแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 59172 ของจำเลยด้วยหาได้ไม่ กรณีของโจทก์ทั้งสองจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะฟ้องจำเลย ซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 59172 ให้เปิดทาง จำเป็น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 ที่ดินโฉนดเลขที่ 138212 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงคงและที่ดินแปลงอื่นที่แบ่งแยกในคราวเดียวกันไม่ได้ อยู่ติดต่อกับทางสาธารณะ (ถนนสายบางแวก) ย่อยทำให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถใช้ที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ จึงเป็นกรณีที่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออก สู่ทางสาธารณะ โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ ในฐานะทางจำเป็นตาม มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง เท่านั้น เมื่อปรากฏว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 591172 ของจำเลยมีสภาพเป็นถนน ใช้เข้าออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว การผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 59172 ดังกล่าวของโจทก์ทั้งสองสองมิได้ทำให้ จำเลยเสียหายเกินสมควรเนื่องจากไม่ต้องสร้างถนนขึ้นอีก การที่โจทก์ทั้งสองขอผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 59172 ของจำเลยออกสู่สาธารณะจึงเป็นทางจำเป็นที่สะดวกที่สุดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยน้อยที่สุด ที่จะเป็นไปได้ ขณะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 147482 โจทก์ทั้งสองทราบในข้อสัญญาอยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิใช้ทางพิพาท ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางของจำเลย หากจะใช้ทางพิพาทต้องมาติดต่อขออนุญาตจากจำเลยก่อนนั้น เป็นเพียง ข้อกำหนดในสัญญาที่ผู้ขายทำกับโจทก์ทั้งสอง ไม่ใช่เงื่อนไขของกฎหมายที่บัญญัติห้ามไว้ใช้ในเรื่องขอใช้ ทางจำเป็นแต่อย่างใด เพราะสิทธิในการใช้ทางจำเป็นเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย


pg. 16 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 4495/2564 ป.พ.พ. มาตรา 1350 เป็นกรณีที่เจ้าของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นปิดล้อม สามารถใช้สิทธิเรียกร้องผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ ซึ่งเป็นการตัดสิทธิของเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัดจะแปลโดยอนุโลมหาได้ไม่ ถึงแม้ที่ดินของ โจทก์ทั้งสี่และที่ดินของจำเลยจะเคย เป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินของ ห. แต่ไม่ปรากฏว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสี่แบ่งแยกมาจากที่ดินของจำเลย กรณีที่ดินของโจทก์ทั้งสี่จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะฟ้องจำเลยให้เปิดทางจำเป็นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 โจทก์ทั้งสี่ จึงมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งล้อมอยู่ไปทางสาธารณะในฐานะทางจำเป็นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคหนึ่ง เท่านั้น โจทก์ทั้งสี่จึงต้องใช้ค่าทดแทนแก่จำเลย แม้โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้เสนอค่าทดแทน แก่จำเลย และจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจากโจทก์ทั้งสี่ ซึ่งศาลมีอำนาจกำหนดค่าทดแทนที่โจทก์ ทั้งสี่ต้องใช้แก่จำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคท้าย ได้ก็ตาม แต่คู่ความจะต้องนำสืบให้ปรากฏ ข้อเท็จจริง ที่เพียงพอแก่การกำหนดค่าทดแทน เมื่อโจทก์ทั้งสี่และจำเลยต่างมิได้นำสืบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับสภาพทำเลที่ตั้ง และราคาของที่ดินแปลงพิพาทว่าค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็นที่พิพาทที่เหมาะสมควร มีจำนวนเพียงใด ทั้งโจทก์ทั้งสี่และจำเลยต่างฎีกาโต้แย้งกัน ในเรื่องค่าทดแทนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กำหนด ศาลฎีกาจึงไม่อาจกำหนดค่าทดแทน ที่เหมาะสมและเป็นธรรมให้ได้ สมควรให้คู่ความไปว่ากล่าวกัน เป็นอีกคดีต่างหาก (อาจารย์ให้ข้อสังเกตว่าเป็นการวางหลักขึ้นมาใหม่หรือไม่) 3. ที่ดินแปลงใหญ่ (เดิม) ต้องมีทางออกทางสาธารณะอยู่แล้ว ฎีกาที่ 3408/2551 การที่จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 มาใช้บังคับได้ ต้องเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงเดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว เมื่อแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้ แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตรา 1349 ได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน เดิมที่ดินของโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ได้ ต้องอาศัยที่ดินของผู้อื่นเดินผ่านเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะ แต่การที่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดิน ของผู้อื่นได้เพราะเขายินยอม มิใช่เป็นสิทธิตามกฎหมายต้องถือว่าไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ จึงไม่ เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350 แต่เป็นกรณีที่ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทาง สาธารณะ โจทก์สามารถที่จะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ตามมาตรา 1349 โจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้หลายทาง โดยผ่านทางที่ดินของบุคคลอื่นที่มิได้หวงห้ามโจทก์ การที่โจทก์จะขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อความสะดวกของโจทก์ แต่ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องเดือดร้อน และเสียหาย และถ้าหากให้จำเลยที่ 1 เปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จะทำให้จำเลยที่ 1 ต้องรื้อบริเวณ หลังบ้านด้านทิศตะวันออก อันจะทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนเป็นอย่างมาก และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสาม การกระทำ ของโจทก์จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต


pg. 17 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 4. ถ้าเป็นที่ดินคนละแปลง แม้เป็นเจ้าของเดียวกันก็ไม่ใช่กรณีตามมาตรา 1350 ฎีกาที่ 1407/2493 เป็นเจ้าของที่ดินอยู่แปลงหนึ่งแล้ว ต่อมาได้รับโอนที่ดินมาอีกแปลงหนึ่ง แม้ที่ดินที่ได้รับโอนมาใหม่จะมีเขตติดต่อกับที่ดินแปลงเดิมก็ย่อมต้องถือว่า เป็นที่ดินคนละแปลง ฉะนั้นเมื่อโอน ขายที่ดินแปลงที่ได้รับโอนมาภายหลังให้แก่คนอื่นไปทั้งแปลง ดังนี้จะถือว่าเป็นที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอน จากที่ดินแปลงเดิมของเจ้าของตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1350 ไม่ได้ เพราะเป็นที่ดินต่างแปลงกันมาแต่เดิมเมื่อ ปรากฏว่าที่ดินแปลงหลังถูกล้อมไม่มีทางออกก็จะนำมาตรา 1350 มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องใช้มาตรา 1349 บังคับ 5. แม้กรณีต้องด้วยมาตรา 1350 แต่ถ้าหมดความจำเป็นที่จะต้องใช้ทาง ก็ขอเปิดทางตาม มาตรา 1350 ไม่ได้ ฎีกาที่ 6229/2551 การอ้างสิทธิที่จะผ่านที่ดินของบุคคลอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 ที่ดิน ที่แบ่งแยกออกมานั้นจะต้องไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยทางอื่นได้ แม้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 12253 แบ่งแยกหรือแบ่งโอนมาจากที่ดินแปลงใหญ่โฉนดเลขที่ 81 ทำให้ที่ดินแปลงนี้ถูกที่ดินที่แบ่งแยกใน คราวเดียวกันปิดล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ก็ตาม แต่ในเวลานั้น ฉ. ซึ่งเป็นเจ้าของผู้ได้รับที่ดินจาก การแบ่งแยกยังเป็นเจ้าของที่ดินอีกแปลงหนึ่ง ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินแปลงที่ได้รับการแบ่งแยกทางทิศตะวันตก เฉียงใต้ คือที่ดินโฉนดเลขที่ 17419 (ก่อนการแบ่งแยกตามคำพิพากษาศาลฎีกา) และที่ดินโฉนด เลขที่ 17419 เดิมนั้น มีทางพิพาทกว้างประมาณ 10 เมตร เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะซึ่ง ฉ. สามารถใช้ ทางพิพาทในที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะของที่ดินโฉนดเลขที่ 12253 ได้ จึงถือได้ว่าที่ดิน โฉนดเลขที่ 12253 ที่แบ่งแยกออกมานั้นมีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยทางอื่นได้อยู่แล้ว สิทธิเรียกร้อง เอาทางจำเป็นบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกมาในคราวเดียวกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 ย่อมหมดไปตั้งแต่นั้น แล้ว แม้ต่อมาที่ดินโฉนดเลขที่ 17419 เดิมจะถูกบังคับให้แบ่งแยกและบังคับให้โอนขายแก่จำเลยตาม คำพิพากษาของศาลฎีกา ทำให้ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 12253 ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะอีกครั้ง โจทก์ผู้เป็น เจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 12253 ก็จะกลับไปใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นบนที่ดินแปลงที่แบ่งแยกมา ด้วยกันในครั้งก่อนตามมาตรา 1350 อีกไม่ได้ คงมีสิทธิที่จะผ่านที่ดินแปลงใดแปลงหนึ่งซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ ทางสาธารณะได้ในฐานะทางจำเป็นตามมาตรา 1349 เท่านั้น เมื่อโจทก์นำสืบฟังได้ว่า การใช้ทางพิพาท บนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 79060 ของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะซึ่งโจทก์เคยใช้ผ่านมาก่อนมีระยะทางเพียง 50 เมตร แต่หากใช้เส้นทางอื่นผ่านที่ดินแปลงที่แบ่งแยกมาด้วยกันในครั้งก่อน เพื่อออกทางถนนราชมรรคา ต้องใช้ระยะทางถึง 100 เมตรเศษ ซึ่งไกลกว่ากันถึงหนึ่งเท่าตัวเช่นนี้ทางพิพาทย่อมสะดวก และเหมาะสมที่จะ เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 12253 ของโจทก์กว่าทางอื่น โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เปิดทางพิพาทในที่ดิน โฉนดเลขที่ 79060 ของจำเลยเป็นทางจำเป็น เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 12253 ของโจทก์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กำหนดให้จำเลยเปิดทางกว้าง 2.50 เมตร นั้น ก็เพื่อที่จะให้โจทก์ได้ใช้ รถยนต์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบันแล่นเข้าออกได้โดยสะดวก การที่จำเลยจะขอให้เปิดทางให้โจทก์กว้าง


pg. 18 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เพียง 2 เมตร ย่อมทำให้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้ไม่สะดวกรวดเร็วซึ่งเป็นการไม่เหมาะสมแก่สภาพการณ์ และความเจริญของบ้านเมืองในปัจจุบันที่ต้องการความรวดเร็ว การกำหนดให้จำเลยเปิดทางพิพาทซึ่งเป็น ทางจำเป็นมีขนาดกว้าง 2.50 เมตร เพื่อให้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้จึงน่าจะเหมาะสมแล้ว สำหรับวันนี้ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ ตรวจทานC4


pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์ – ที่ดิน (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์สมจิตร์ ทองศรี บรรยายวันที่ 22 สิงหาคม 2566 (ครั้งที่ 13 )(สัปดาห์ที่ 14 ) สวัสดีครับ วันนี้เราจะพูดกันในเรื่องของครอบครองนะครับ ซึ่งในบรรพ 4 นั้น อย่างที่นักศึกษาได้ ทราบมาแล้วเพราะเราได้พูดคุยกันมาแล้วว่า บรรพ 4 เป็นเรื่องของทรัพยสิทธิ ซึ่งนักวิชาการเห็นว่าในเรื่อง ของครอบครองหรือสิทธิครอบครองนั้นถือว่าเป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้นในบรรพ 4 ไม่ว่าจะเป็นกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง ภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกินหรือภาระติดพัน ในอสังหาริมทรัพย์ นับว่าเป็นทรัพยสิทธิ เพียงแต่ว่าในเรื่องบทบัญญัติของเรื่องครอบครองนั้น รูปแบบของการ บัญญัติกฎหมายค่อนข้างที่จะแตกต่างกับตัวทรัพยสิทธิอื่นๆ พอสมควรแต่กฎหมายบ้านเราก็นับว่าเป็น ทรัพยสิทธิ และอาจารย์ก็เห็นว่าเป็นทรัพยสิทธิอย่างหนึ่ง ทีนี้หากเราพิจารณาภาพรวมของบทบัญญัติในลักษณะ 3 ของบรรพ 4 ในเรื่องครอบครอง เราจะเห็น ได้นะครับว่าตั้งแต่มาตรา 1367 ถึงมาตรา 1386 นั้น หากจะแบ่งกลุ่มเพื่อสะดวกในการศึกษาเราจะเห็นได้ ว่าบทบัญญัติในมาตรา 1367 ถึงมาตรา 1368 นั้นบัญญัติว่าด้วยการได้สิทธิครอบครองว่าเราจะได้สิทธิ ครอบครองมาอย่างไรบ้าง ส่วนมาตรา 1369 ถึงมาตรา 1373 ว่าด้วยข้อสันนิษฐานต่างๆเพื่อประโยชน์ของ ผู้ครอบครอง ซึ่งตรงจุดนี้เวลาที่นักศึกษาเรียนเรื่องกฎหมายลักษณะพยานก็ถือว่าในส่วนนี้สามารถนำไปใช้ใน กฎหมายลักษณะพยานพอสมควร ว่าบุคคลใดมีภาระในการพิสูจน์เช่น บุคคลที่ครอบครองที่ดินอยู่กับบุคคล ที่มีชื่อในโฉนดที่ดินหรือมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งในกลุ่มที่ 3 ก็จะเห็นบทบัญญัติในมาตรา 1374 ถึงมาตรา 1376 ตรงจุดนี้ได้บัญญัติถึงขอบ อำนาจแห่งสิทธิครอบครองโดยขอบอำนาจของสิทธิครอบครองนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1335 ถึง 1336 ถือว่าเป็นสิทธิที่รองลงมาจากกรรมสิทธิ์ส่วนมาตรา 1377 เป็น เรื่องของการสิ้นสุดแห่งการครอบครอง โดยในตัวบทมาตรา 1377 นั้น ได้กล่าวถึงการสูญสิ้นแห่งการ ครอบครอง ส่วนมาตรา 1378 ถึง 1380 นั้นว่าด้วยการโอนการครอบครอง มาตรา 1381 บัญญัติเกี่ยวข้อง กับมาตรา 1368 ในเรื่องของฐานะของผู้ถือทรัพย์สินไว้แทนว่า หากตนเองต้องการจะเปลี่ยนสถานะในการ ยึดถือทรัพย์สินไว้แทนบุคคลอื่นจะต้องบอกกล่าวการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังผู้ที่เป็นเจ้าของเหล่านี้ เป็นต้น ก็จะทำให้สถานะของการถือแทนไว้นั้นเป็นการถือเพื่อเจตนาเพื่อตนเหล่านี้เป็นต้น ส่วนในกลุ่มของมาตรา 1382 ถึงมาตรา 1386 จะบัญญัติถึงเรื่องของการครอบครองปรปักษ์ กล่าวคือเป็นการบัญญัติว่าหากใครไปครอบครองและเข้าเงื่อนไขก็จะได้กรรมสิทธิ์ซึ่งจะเรียกว่าบัญญัติให้ ครอบครองอยู่ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโดยอายุความ เพราะฉะนั้นเวลาไปศึกษา ไปอ่านตัวบทพยายามดูกลุ่มมาตรานะครับ


pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สิทธิครอบครอง มาตรา 1367 บัญญัติว่า “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้น ได้ซึ่งสิทธิครอบครอง” เพราะฉะนั้นในเรื่องสิทธิครอบครองถ้าจะดูความหมายสั้นๆ คือ สิทธิที่จะยึดถือทรัพย์สินไว้เพื่อตน ซึ่งนักกฎหมายมองว่าสิทธิอันนี้ยิ่งใหญ่รองมาจากกรรมสิทธิ์ เพราะเจ้าของสิทธิครอบครองมีอำนาจในการ ใช้สอยทรัพย์นั้น มีอำนาจขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครอง มีอำนาจในการเรียกเอาคืน ซึ่งการครอบครอง ได้ดอกผล อะไรเหล่านี้ทำนองเดียวกับมาตรา 1336 ในเรื่องกรรมสิทธิ์ หลักเกณฑ์การได้สิทธิครอบครอง 1.มีการยึดถือทรัพย์สิน หมายถึง การเข้าไปครอบครองทรัพย์สิน เข้าไปยึดถือ หรือเข้าไปทำอะไรก็ตามที่แสดงให้เห็นว่าตัวเอง เข้าไปครอบครอง การยึดถือครอบครองนั้นไม่จำเป็นต้องเข้าไปยึดถืออย่างจริงจัง เพียงเข้าไปแสดงอำนาจหรือ การกระทำบางอย่างที่ให้เห็นว่าเราเข้าไปยึดถือทรัพย์สินนั้นก็พอ และในมาตรา 1368 ได้บัญญัติว่า บุคคล อาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้ เพราะฉะนั้นมาตรา 1368 คนอื่นยึดถือการครอบครองไว้ แทนเราก็ได้ ยกตัวอย่าง โจทก์กู้เงินจำเลยแล้วมอบที่นาให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย อย่างนี้การที่จำเลย ครอบครองที่ดินทำกินในนาแปลงพิพาทเป็นการครอบครองแทนโจทก์ ก็คือคนหนึ่งก็ยึดถือทรัพย์สินหรือ ครอบครองแทนได้ หรือว่าที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็คือจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะผู้จัดการมรดก อย่างนี้ก็ ต้องถือว่าเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นด้วย เพราะฉะนั้นในส่วนของการยึดถือครอบครองนั้น ครอบครองด้วยตนเองแล้วยังมีการยึดถือครอบครองแทนด้วย การครอบครอง ในตำราอธิบายว่าเป็นเรื่องของการเข้าไปยึดถือทรัพย์สินนั้น เช่น ถ้าพูดถึงเรื่อง การครอบครองที่ดิน เราเข้าไปปลูกต้นไม้ ต้นยางพารา ต้นปาล์ม ต้นสัก ทำสวนผลไม้ อย่างนี้เป็นการเข้าไป ยึดถือครอบครองแล้ว เพราะฉะนั้นประเด็นเวลาเกิดปัญหาว่าตัวโจทก์มีสิทธิครอบครองหรือไม่นั้น จะต้อง ดูก่อนว่าเป็นการเข้าไปยึดถือทรัพย์สินนั้นหรือไม่ ฎีกาที่ 6142/2544 โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่มีเอกสาร ภ.บ.ท.5 แต่ยังไม่ได้ครอบครอง ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท การที่โจทก์นำเจ้าหน้าที่ที่ดินเข้าไปในที่ดินพิพาทเพื่อรังวัดและนำเสาซีเมนต์ไปปัก ไว้ 2 ต้น ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท ส่วนการเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับ ที่ดินพิพาท ไม่ใช่หลักฐานที่แสดงว่าโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทหรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท นอกจากนี้ภริยาโจทก์ซึ่งลงชื่อเป็นผู้ซื้อที่ดินก็ไม่เคยเข้าไปดูแลหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท โดยมอบหมายให้ โจทก์ไปดูแลแทนหรือกระทำแทนเท่านั้น เช่นนี้โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โจทก์ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฎีกาที่ 3277/2553 ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การที่มีชื่อโจทก์เป็น เจ้าของเป็นเพียงข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 เท่านั้น ส่วนความจริงผู้ใดจะมีสิทธิครอบครองจะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานว่าผู้ใดเข้า ยึดถือครอบครองการทำประโยชน์ในที่ดิน โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนจึงจะได้สิทธิครอบครองตาม


pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มาตรา 1367 ดังนั้น การที่โจทก์มิได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทเพียงแต่มีชื่อในหนังสือรับรอง การทำประโยชน์ จึงไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ข้อสังเกต ข้อเท็จจริงฎีกานี้ เจ้าของที่ดิน น.ส. 3 ก. ขายที่ดินโดยการส่งมอบการครอบครองให้จำเลย จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ได้สิทธิครอบครองตามมาตรา 1367 ประกอบมาตรา 1368 หลังจากนั้นคนที่ขายโดยการส่งมอบหรือที่ศาลฎีกาเรียกว่า ขายตามความเป็นจริงกลับนำ น.ส. 3 ก. ไปจดทะเบียนขายให้คนอื่น แล้วคนอื่นที่มีชื่อในทะเบียนมาจำนองประกันหนี้ให้สหกรณ์และตกลงโอนที่ดิน พิพาทนี้ตีชำระหนี้ให้สหกรณ์ หมายความว่า คนที่มีชื่อในน.ส. 3 ก. ยังไม่ได้เข้าไปครอบครอง และสหกรณ์ยัง ไม่ได้เข้าไปครอบครอง จะเห็นว่าฎีกานี้หลักของสิทธิครอบครองนั้นจะต้องเข้าไปยึดถือทรัพย์สินหรือเข้าไป ครอบครองทรัพย์สินทำประโยชน์ให้เห็น ถ้าได้แต่เพียงชื่อในทะเบียนซึ่งได้รับประโยชน์ตามข้อสันนิษฐาน มาตรา 1373 ซึ่งไม่ใช่เป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาดซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งสามารถสืบพยานหักล้างได้ ก็ไม่ได้สิทธิ ครอบครอง 2.เจตนายึดถือทรัพย์สินไว้เพื่อตน หมายความว่า เจตนาครอบครองเพื่อประโยชน์ในการใช้สอยของตนเอง ตำราบอกว่าแต่ไม่ถึงกับว่า ต้องเจตนาอย่างเป็นเจ้าของทรัพย์ เช่น ผู้เช่าเช่าที่ดินไว้ทำนาถือว่าผู้เช่าเข้ายึดถือครอบครองแล้ว และการเช่า เข้าไปยึดถือครอบครองนั้นถือว่าเข้าไปเพื่อประโยชน์ของตนเองที่จะเข้าไปใช้สอยคือทำนาตลอดระยะเวลาใน สัญญาเช่า ฉะนั้นผู้เช่าจึงได้สิทธิครอบครอง ข้อสังเกตในเรื่องสิทธิครอบครอง 1.ที่ดินที่ทางราชการยังควบคุมอยู่ ผู้เข้าครอบครองไม่ได้สิทธิครอบครอง ตามประมวลกฎหมายที่ดิน การที่รัฐจัดสรรที่ดินให้ชาวบ้านเข้าไปทำกินนั้น หลักการของรัฐคือ ไม่ต้องการให้ชาวบ้านซึ่งได้เอกสารสิทธิที่รัฐออกให้นั้นจำหน่ายจ่ายโอนไปให้คนอื่น จะเห็นได้ว่าที่ดินน.ส. 3 เมื่อทางราชการออกเอกสารสิทธิน.ส.3 ให้ บางกรณีทางราชการห้ามโอน 5 ปี บางกรณีทางราชการห้ามโอน 10 ปี ซึ่งคนที่มีชื่อในเอกสารสิทธินั้นมีสิทธิครอบครอง แต่ถ้าคนนั้นไปโอนขายให้คนอื่นที่ไม่มีชื่อในเอกสาร สิทธิ ที่ไม่ใช่ทายาทภายในเวลาที่ห้ามโอนก็จะไม่มีสิทธิครอบครอง ฎีกาที่ 5596/2536 จำเลยได้ขายและมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้ ฉ. และได้ขายและมอบ การครอบครองที่พิพาทให้โจทก์ แต่การซื้อขายที่พิพาททั้งสองครั้งดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และที่พิพาทเป็นที่ดินที่ทางราชการห้ามโอนภายในสิบปีการซื้อขายที่พิพาทระหว่าง จำเลยกับ ฉ.และระหว่าง ฉ. กับโจทก์จึงไม่ถูกต้องตามแบบและเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามชัดแจ้ง โดยประมวล กฎหมายที่ดินฯ มาตรา 31 ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 แต่เมื่อจำเลย ได้ขนย้ายออกไปจากที่พิพาทจึงถือว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองโดยไม่ยึดถือที่พิพาทอีกต่อไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 วรรคแรก การที่ ฉ. กับโจทก์ได้ซื้อและยึดถือที่พิพาท โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนต่อมาในระยะเวลาห้ามโอน ฉ. กับโจทก์ก็ยังไม่ได้สิทธิครอบครอง เนื่องจากถูกจำกัด โดยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายที่ดินดังกล่าวแต่เมื่อโจทก์ยังคงครอบครองที่พิพาทตลอดมาจนล่วงเลย ระยะเวลาห้ามโอนแล้ว โจทก์ย่อมได้ซึ่งสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367


pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง นับแต่วันพ้นกำหนดห้ามโอนนั้น จำเลยไม่มีสิทธิเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทอีก และเมื่อสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ โจทก์จึงบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ไม่ได้ ฎีกาที่ 4542/2542 บ.ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาก่อนแล้วต่อมาทางราชการ ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ โดยมีข้อกำหนดห้ามโอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ โจทก์ผู้รับโอนที่ดินจาก บ. ในระหว่างระยะเวลาห้ามโอนจะได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่เพียงใด เมื่อครบกำหนดห้ามโอนแล้วนั้น ต้องแล้วแต่ข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ยึดถือที่ดินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนหรือไม่ โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทนับตั้งแต่ซื้อจาก บ. ตลอดมาแม้ในระหว่างระยะเวลาห้ามโอนโจทก์จะยังไม่ได้ สิทธิครอบครอง เนื่องจากถูกจำกัดโดยบทบัญญัติ มาตรา 58 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แต่เมื่อโจทก์ยัง ครอบครองที่ดินพิพาท ตลอดมาจนล่วงเลยระยะเวลาห้ามโอนแล้วเป็นเวลานานถึง 10 ปีเศษ และเสียภาษี บำรุงท้องที่ในนามของโจทก์ตลอดมา โดยไม่มีผู้อื่นเข้าไปยุ่งเกี่ยวแย่งการครอบครอง การครอบครองที่ดิน พิพาท ของโจทก์จึงเป็นการยึดถือที่ดินพิพาทโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนโจทก์ย่อมได้ซึ่งสิทธิครอบครอง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1367 ฎีกาที่ 12473/2553 (ประชุมใหญ่) การที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินให้แก่ ป. โดยมอบการครอบครอง ที่ดินพิพาทให้แก่ ป. โดยมิได้กลับเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินอีก แสดงว่าจำเลยที่ 1 สละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือ ที่ดินพิพาทอีกต่อไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 วรรคหนึ่งแล้ว แม้ ป. จะได้ซื้อที่ดินและยึดถือทำประโยชน์ เพื่อตนในระยะเวลาห้ามโอน ป. ไม่ได้สิทธิครอบครองเนื่องจากถูกจำกัดสิทธิโดยบทบัญญัติแห่ง ป.ที่ดิน มาตรา 58 ทวิ แต่เมื่อ ป. และโจทก์ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยากับ ป. ได้ร่วมกันครอบครองที่ดินตลอดมาจนเลย เวลาห้ามโอนแล้ว ก็ยังครอบครองที่ดินอยู่ จึงถือได้ว่า ป. และโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 นับแต่วันพ้นกำหนดระยะเวลาห้ามโอน จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทไม่อาจ นำที่ดินพิพาทไปแบ่งแยกโอนให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 จึงไม่มีสิทธิเข้าไปในที่ดินของโจทก์ และจำเลยที่ 9 ไม่อาจนำที่ดินพิพาทบางส่วนไปจดทะเบียนจำนอง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับศาลล่างทั้งสอง ที่วินิจฉัยว่า ป. และโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 (ประเด็นนี้วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่) สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตกเป็นโมฆะเพราะต้องห้ามตามกฎหมายที่มิให้โอนที่ดินพิพาท การที่ ป. ได้สิทธิ ครอบครองในที่ดินเป็นการได้ตามผลของกฎหมาย จึงหาอาจเรียกให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาท ให้แก่ ป. ได้ไม่ 2.ปัญหาเรื่องสิทธิครอบครองส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ดินมือเปล่า ที่ดินมือเปล่า มี 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่เอกสารสิทธิกับกลุ่มที่ไม่มีเอกสารสิทธิ ฉะนั้นสิทธิครอบครองถ้าเป็น ที่ดินมือเปล่าที่ไม่มีเอกสารสิทธิ น.ส. 3, น.ส. 3 ก. เช่น ที่ดินส.ค. 1 หรือที่ดินที่เอกชนเข้าไปครอบครอง ก็ได้สิทธิครอบครอง ส่วนที่ดินมือเปล่าที่มีเอกสารสิทธิ น.ส. 3, น.ส.3 ก. คนที่มีชื่อในเอกสารสิทธิ เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ฉะนั้นเวลาที่เราพูดถึงการโอนสิทธิครอบครองต้องนึกอยู่เสมอว่าเป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิหรือไม่มี เอกสารสิทธิ ถ้าเป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ น.ส. 3 หรือ น.ส. 3 ก. การโอนการครอบครองประมวลกฎหมาย ที่ดินมาตรา 4 ทวิบัญญัติไว้ชัดเจนว่า การโอนที่ดินน.ส. 3 หรือ น.ส. 3 ก. หรือที่ดินมีโฉนดต้องทำเป็นหนังสือ


pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ที่ดินมือเปล่าไม่มีสารบัญทะเบียนที่จะให้มาจดทะเบียนแสดงออก ทางทะเบียน 3.สิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่ามีซ้ำกันได้ สิทธิครอบครองมี 2 สถานะคือ สิทธิครอบครองในสถานะที่ตนเข้าไปครอบครองเพื่อจะใช้ประโยชน์ กับสิทธิครอบครองที่ตัวเองเป็นเจ้าของ เช่น ก. เข้าไปเช่าที่ดินของ ข. เพื่อทำนา ก. เข้าไปยึดถือครอบครอง เจตนาเพื่อจะได้ประโยชน์ ก. ได้สิทธิครอบครองตามมาตรา 1367 แต่สิทธิครอบครองของ ก. เป็นประเภท สิทธิครอบครองในสถานะที่ตนเข้าไปครอบครองเพื่อจะใช้ประโยชน์ ส่วน ข. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ตัวเอง เป็นเจ้าของ 4.การยึดถือทรัพย์สินมีมาตรา 1369 สันนิษฐานไว้ว่ายึดถือเพื่อตน มาตรา 1369 บัญญัติว่า “ บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลนั้นยึดถือ เพื่อตน ” เพราะฉะนั้น เบื้องต้นถ้าเข้าไปยึดถือครอบครองทำกินในที่ดิน 5 ไร่ ไม่มีข้อเท็จจริงเพิ่มก็ได้ประโยชน์ จากข้อสันนิษฐานมาตรา 1369 ว่าเป็นการยึดถือไว้เพื่อตน ไม่ได้ยึดถือแทนคนอื่น ฎีกาที่ 1015/2507 พ. ฟ้อง บ. หาว่าบุกรุกที่นามือเปล่าของตน ขอให้ห้ามมิให้เกี่ยวข้อง บ. ต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของ บ. ในระหว่างพิจารณาศาลสั่งให้ประมูลค่าเช่านาพิพาทสำหรับปีนั้น (พ.ศ. 2496) ฝ่ายใดให้ ค่าเช่าสูงก็จะได้ทำนา ให้นำเงินค่าเช่ามาวางศาลไว้ชำระให้ผู้ชนะคดี พ.เป็นฝ่ายประมูลได้ ได้เข้าทำนาพิพาท ปีต่อมา พ.ก็ทำนาพิพาทอีกโดยไม่ยอมประมูลค่าเช่าและเป็นฝ่ายทำนาพิพาทตลอดมา ศาลอ่านคำพิพากษา ศาลฎีกาเมื่อ พ.ศ. 2500 ซึ่งวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าที่พิพาทเป็นของ พ. พิพากษายืนให้ยกฟ้อง วันที่ 10 ตุลาคม 2503 บ. จึงร้องต่อศาลว่า พ.ยังไม่ออกจากที่พิพาท ขอให้เรียกมาว่ากล่าว พ.แถลงว่าที่พิพาทเป็นของ พ. โดย ทางครอบครองปรปักษ์แล้วตั้งแต่วันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลให้ บ. ทราบ ดังนี้การที่ พ. ครอบครอง ที่ พิพาทในระหว่างเป็นความกันอยู่ จะถือว่าครอบครองโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนไม่ได้ การที่ได้เข้าครอบครอง ใน พ.ศ.2496 ก็โดยการประมูลทำนาได้คือ โดยความยินยอมของ บ. ค่าเช่าที่วางศาลก็เพื่อให้แก่ผู้ชนะคดี จึง ถือว่าเข้าครอบครองแทนผู้ชนะคดีนั่นเอง เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษายกฟ้องของ พ. แม้จะไม่ได้ชี้ว่าที่ พิพาทเป็นของ บ. แต่ พ. ก็ เถียงไม่ได้ว่า บ. ไม่ได้เป็นเจ้าของที่พิพาท เพราะผลของคำพิพากษาย่อมผูกพัน พ. ว่า บ. มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่า การที่ พ. ครอบครองที่พิพาทภายหลังจากวันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ก็เป็นการครอบครองสืบต่อมาจากการครอบครองในระหว่างคดี ต้องถือว่าครอบครองแทน บ.ผู้ชนะคดีอยู่ นั่นเอง จะครอบครองช้านานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ในเมื่อ พ. มิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการ ยึดถือหรืออาศัยอำนาจใหม่จากบุคคลภายนอก พ. จะอ้างอายุความการแย่งการครอบครองตามมาตรา 1375 มาใช้ยัน บ.ไม่ได้ บ.มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง การที่ พ. เข้าทำนาพิพาทนับแต่ พ.ศ. 2497 นั้น มิได้ตกลงประมูลค่าเช่ากับ บ. อีกจึงไม่ใช่เนื่องจาก สัญญา แต่ก็ไม่เป็นการละเมิด เพราะเข้าครอบครองทำนาพิพาทด้วยความยินยอมของ บ. มาแต่ พ.ศ. 2496 และการครอบครองในปีต่อๆ มา ก็ถือได้ว่าเป็นการครอบครองแทน บ.ผู้ชนะคดี การที่ บ. ฟ้องเรียกเงิน ผลประโยชน์ในการที่ พ. ได้ครอบครองที่พิพาทตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2497 เป็นต้นไปนั้น จึงต้องปรับด้วยประมวล


pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 เพราะการที่ พ. ได้รับประโยชน์จากการเข้าทำนาพิพาท ซึ่งศาล พิพากษาว่าเป็นของ บ. นั้น เป็นการได้ทรัพย์มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ แต่ บ.ต้องฟ้องเรียก เอาภายใน กำหนด 1 ปี นับแต่สิ้นฤดูเก็บเกี่ยวของแต่ละปี ซึ่ง บ. ย่อมจะรู้ได้แล้วว่าผู้ทำนาได้รับประโยชน์ จากการทำนาเท่าใด ส่วนเงินผลประโยชน์สำหรับระยะเวลาที่พ้นกำหนด 1 ปีแล้ว ย่อมขาดอายุความเรียกคืน 5.บทสันนิษฐานตามมาตรา 1373 มาตรา 1373 บัญญัติว่า “ ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ” ก่อนปี 2538 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามาตรา 1373 มุ่งถึงอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนออกโฉนด เป็นกรรมสิทธิ์แล้ว ไม่ใช้กับที่ดินน.ส.3 ต่อมามีคำพิพากษาฎีกาวางหลักใหม่ คือ ฎีกาที่ 3565/2538 ที่พิพาทซึ่งจำเลยครอบครองอยู่เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3 ก. ที่โจทก์ มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1373 ว่าโจทก์ซึ่งมีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ข้อสันนิษฐานตามบทบัญญัติดังกล่าวรวมถึงที่ดินที่มี น.ส.3 หรือ น.ส.3 ก. ด้วย ที่ดินที่มีแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนตามมาตรา 1373 ส.ค.1 เป็นแต่เพียงเอกสารที่บอกว่าคุณครอบครองส่วนนั้นเท่านั้น สรุป มาตรา 1373 เฉพาะที่ดินที่มีโฉนดและที่ดินที่มีน.ส.3 ส่วนที่ดินที่รัฐมีกฎหมายพิเศษจัดให้มี สิทธิเข้าไปทำกินนั้น ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานตามมาตรา 1373 6.บทสันนิษฐานมาตรา 1373 ประกอบมาตรา 1369 ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าเข้าข้อสันนิษฐานทั้งมาตรา 1373 และได้ข้อสันนิษฐานตามมาตรา 1369 คือใครยึดถือครอบครองอยู่ให้สันนิษฐานว่ายึดถือไว้เพื่อตน ยกตัวอย่างใครมีสิทธิดีกว่ากัน ก. เข้าครอบครอง ที่ดินมีโฉนดของ ข. ในเบื้องต้นต้องสันนิษฐานว่า ก. มีเจตนายึดถือที่ดินนั้นเพื่อตนตามมาตรา 1369 แต่ขณะเดียวกันที่ดินมีโฉนดนั้นเป็นชื่อของ ข. ได้ข้อสันนิษฐานจากมาตรา 1373 ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ถามว่าแบบไหนมีสิทธิในระดับที่สูงกว่ากัน มาตรา 1369 กฎหมายบอกว่ายึดถือไว้เพื่อตน แต่มาตรา 1373 บอกว่าผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ฉะนั้นมาตรา 1373 ก็คงใหญ่กว่ามาตรา 1369 แน่นอน ฎีกาที่ 3485/2553 โจทก์ทั้งห้ามีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน โจทก์ทั้งห้าย่อมเป็น ผู้ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1373 มิใช่ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองแล้วจำเลยที่ 1 จะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามมาตรา 1369 และ 1370 ภาระการพิสูจน์ในประเด็นข้อนี้จึงตกอยู่แก่จำเลยที่ 1 ฎีกาที่ 5773/2562 แม้ผู้ร้องทั้งสองกล่าวอ้างในคำร้องขอว่าผู้ร้องทั้งสองเป็น ผู้ครอบครองที่ดิน พิพาท ทำให้ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง แต่ผู้คัดค้านเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทก็ได้รับ ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ว่าเป็นผู้มีสิทธิ


pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ครอบครองเช่นกัน แต่มาตรา 1367 เป็นเพียงบทบัญญัติทั่วไป เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดทะเบียนไว้ในทะเบียนที่ดิน กฎหมายต้องการให้แสดงออกซึ่งกรรมสิทธิ์ในทาง ทะเบียนยิ่งกว่าการครอบครอง กรณีต้องบังคับตามมาตรา 1373 ภาระการพิสูจน์ตกแก่ผู้ร้องทั้งสอง ฎีกาที่ 911/2565 และ ฎีกาที่ 1216/2565 วินิจฉัยวางหลักว่า แม้จะเป็นข้อสันนิษฐาน ตาม มาตรา 1373 ก็ตามแต่ข้อสันนิษฐานนี้ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาด 7.การยึดถือทรัพย์สินแทนผู้อื่นตามมาตรา 1368 สันนิษฐานว่า ยึดถือแทนผู้อื่นตลอดไปจนกว่า จะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา 1381 ฎีกาที่ 3315/2552 ค. บิดาโจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 139 ซึ่งรวมที่ดินพิพาทด้วยแก่ บ. ภริยาจำเลยแล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนด สิทธิในที่ดินพิพาทจึงตก เป็นของ บ. แม้ ค. ครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาเป็นเวลานานเพียงใดก็เป็นการครอบครองแทน และโดยอาศัยสิทธิของ บ. หาได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทไม่ และหลังจาก ค. ถึงแก่ความตาย โจทก์ได้เข้า ครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็น ผู้จัดการมรดกของ ค. แล้ว โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ค. จึงไปไถ่ถอนจำนองจากธนาคาร และโอนใส่ชื่อ โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครอง การครอบครองและรับโอนที่ดินพิพาทเป็นการสืบสิทธิของ ค. โจทก์ย่อมไม่มี สิทธิดีกว่า ค.ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยัง บ. หรือจำเลยผู้ครอบครอง ว่าโจทก์ไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 แต่อย่างใด แม้โจทก์จะยึดถือ ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลานานเพียงใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง ฎีกาที่ 3179-3181/2552 โจทก์ทั้งสองยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสามเพื่อใช้สร้างวัด จำเลยทั้ง สามมิได้ได้ที่ดินพิพาทมาโดยการซื้อขาย จำเลยทั้งสามครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ทั้งสองเพื่อรอการส่ง มอบให้แก่วัด เมื่อวัดนั้นได้จัดตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วกรณียังถือไม่ได้ว่าการครอบครองที่ดินพิพาทของ จำเลยทั้งสามเป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์ทั้งสอง เพราะไม่ได้ความว่าจำเลยทั้งสามได้เปลี่ยนลักษณะ แห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ทั้งสองแต่ประการใด ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสามจะครอบครองที่ดินพิพาท นานเท่าใด จำเลยทั้งสามก็ไม่ได้สิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท การฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสองจึง มิใช่กรณีการฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสองเมื่อจนถึงปัจจุบันวัด ม. หรือสำนักสงฆ์ ม. มิได้เป็นวัดตามกฎหมาย กรณีจึงยังไม่มีวัดซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จะถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน พิพาทตามเจตนารมณ์ของโจทก์ทั้งสอง เมื่อโจทก์ทั้งสองทวงถามที่ดินพิพาทคืน จำเลยทั้งสามจึงต้องคืนที่ดิน ให้แก่โจทก์ทั้งสอง 8.ผู้ครอบครองตามมาตรา 1381 คือ ผู้มีสิทธิครอบครอง มาตรา 1381 บัญญัติว่า “ บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะ เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สิน แทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก ” ผู้ครอบครองตามมาตรา 1381 หมายถึง ผู้ที่มีสิทธิครอบครองในฐานะเจ้าของ


pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง การที่คนอื่นเข้าครอบครองทรัพย์ของเราจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การเปลี่ยนลักษณะ แห่งการยึดถือนั้น หลักก็คือต้องมีเจตนาเปลี่ยนจริง ๆ คือการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ ถือว่าเป็นการแย่ง ทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นที่ดินมือเปล่าก็เป็นการแย่งที่ดินอย่างหนึ่ง ก็คือเจตนาที่จะไม่ยึดถือแทนเขาแล้ว ส่วนตอนท้ายที่บอกว่า “ตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก” เช่น ก. ครอบครองที่ดินมือเปล่าแทน ข. ต่อมา ค. นำส.ค.1 มาบอก ก. ว่า ข. เจ้าของได้ขายให้ ค. แล้ว ก. เชื่อว่า ค. ซื้อที่ดินแปลงนั้นมาแล้ว ก. จึงซื้อที่ดินแปลงนั้นจาก ค. นับตั้งแต่ ก. ซื้อจาก ค. ก็ถือว่า ก. ครอบครองโดยสุจริตเพื่อตนเองถือว่าเป็นการบอกกล่าวแห่งการยึดถือตามมาตรา 1381 ตอนท้ายแล้ว 9.การเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ หลักคือ ต้องมีเจตนาเปลี่ยนการยึดถือจริงๆ ถ้าไม่มีเจตนาเปลี่ยนการยึดถือจริงๆก็จะถือว่าเปลี่ยน ลักษณะแห่งการยึดถือไม่ได้ การเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไม่มีแบบ ทำโดยวาจาก็ได้ ทำโดยภาษากาย อากัปกิริยาก็ได้ หรือทำเป็นหนังสือก็ได้ แต่การแสดงเจตนาพวกนี้ต้องทำโดยตรงต่อผู้เป็นเจ้าของ ฎีกาที่ 45/2522 จำเลยครอบครองทำนาทางดอกเบี้ยเงินกู้เมื่อผู้กู้ขอไถ่คืนจำเลยไม่ยอมให้ไถ่ ถือว่านาเป็นของจำเลย ถือได้ว่าได้บอกกล่าวไม่ยึดถือแทนต่อไป ฎีกาที่ 1623/2522 ผู้เช่านาไม่ยอมเสียค่าเช่าไม่ยอมออกจากที่เช่า และไม่ยอมให้เก็บค่าเช่าที่นา เป็นการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแล้ว ฎีกาที่ 1150/2531 ผู้ครอบครองทรัพย์สินแทนผู้อื่นจะแย่งการครอบครองทรัพย์สินนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ได้ก็ต่อเมื่อได้มีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะ แห่งการยึดถือตามมาตรา 1381 เสียก่อน การที่ ห. ผู้ครอบครองที่ดินและบ้านซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ ร. แทนทายาทของ ร. แจ้งการครอบครองที่ดินพิพาท แล้วต่อมาได้ขอและทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการ ทำประโยชน์ให้ ยังถือไม่ได้ว่า ห. ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินและบ้านพิพาทโดยบอกกล่าวไปยัง ทายาทของ ร.ว่าตนไม่มีเจตนาที่จะยึดถือที่ดินและบ้านพิพาทไว้แทนอีกต่อไป แต่การที่ ห.เอาที่ดินและ บ้านพิพาททั้งหมดไปจำนองธนาคารในเวลาต่อมา แล้ว ส. ทายาทของ ร.ซึ่งเป็นสามีโจทก์ที่ 1 และบิดาโจทก์ ที่ 2 ไปไถ่ถอนจำนองให้แล้วรับจำนองต่อเสียเองนั้น ถือได้ว่า ห. ได้บอกกล่าวโดยการกระทำต่อ ส.ตั้งแต่วันที่ จำนองที่ดินและบ้านพิพาทกับ ส. แล้วว่าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือจากการยึดถือครอบครองแทน ส. เป็นการยึดถือครอบครองเพื่อตนเอง ซึ่งเข้าลักษณะแย่งการครอบครอง เมื่อ ส.และโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นทายาท ของ ส. มิได้ฟ้องคดีเพื่อเรียกคืน ซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์ประธานภายในกำหนด 1 ปี ตาม มาตรา 1375 บ้านพิพาทซึ่งเป็นส่วนควบก็ย่อมตกเป็นของ ห. ด้วย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอา คืนที่ดินและบ้านพิพาทได้ ข้อสังเกต เรื่องนี้ตัวผู้ครอบครองที่ดินแทนเจ้ามรดกถือว่าเขาครอบครองแทนตลอดไป ต่อมาวันหนึ่ง เขาไปขอออกเอกสารสิทธิน.ส.3 ในชื่อของตัวเอง ศาลฎีกาบอกว่าคุณไม่ได้ทำต่อทายาทคนอื่นๆที่เป็นเจ้าของ ที่ดินแปลงนี้ ไม่ใช่การเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ ต้องถือว่าที่ดินแปลงนี้เปลี่ยนจากส.ค.1 หรือที่ดินไม่มี เอกสารสิทธิมาเป็นน.ส.3 นั้น ยังเป็นของทายาทอยู่ แต่ข้อเท็จจริงต่อมาปรากฏว่าได้นำที่ดินนั้นไปจำนองคน


pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง อื่น ทายาทเห็นว่าที่ดินนั้นเป็นมรดกจึงไปไถ่ถอนจำนอง ศาลฎีกาบอกว่าข้อเท็จจริงตอนหลังนี้เป็นการเปลี่ยน ลักษณะแห่งการยึดถือแล้ว ฎีกาที่ 1054/2519 จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าที่พิพาทบางส่วนของโจทก์ได้ 1 เดือน 4 วัน แล้วจำเลย ที่ 1 ไปแจ้งการครอบครองว่าที่พิพาทเป็นของตน ต่อมาอีก 1 เดือน 8 วัน จำเลยที่ 1 ยื่นคำขอรับรองการทำ ประโยชน์ที่พิพาท การยื่นคำขอต่อนายอำเภอเพียงเท่านี้แม้โจทก์ทราบและคัดค้าน ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ บอกกล่าวไปยังโจทก์แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่าต่อไป จำเลยหาได้ เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ไม่ เมื่อโจทก์คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคำคัดค้านของโจทก์หรือได้กระทำ อย่างใดในทางที่เป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ แม้จำเลยทั้งสองจะยังคงครอบครองที่พิพาทเรื่อยมาก็ถือว่า จำเลยได้ ครอบครองแทนโจทก์ตามสัญญาเช่า ซึ่งยังไม่สิ้นอายุการเช่านั้นเอง ไม่ถือว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองอัน จะต้องฟ้องเพื่อเอาคืนภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ฎีกา 35/2531 โจทก์มอบที่พิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย การที่จำเลยได้ไปยื่นขอรับรอง การทำประโยชน์ที่พิพาทเมื่อปี พ.ศ. 2520 และโจทก์ได้ยื่นคำคัดค้านเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2520 เจ้าหน้าที่จึงมิได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลย กรณีเช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่า จำเลยได้เปลี่ยนลักษณะ แห่งการถือที่พิพาทโดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ว่าตนไม่เจตนาที่จะยึดถือที่พิพาทไว้แทนโจทก์อีกต่อไป ดังที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 จึงต้องถือว่าจำเลยยังคงยึดถือครอบครอง ที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์อยู่ ฎีกาที่ 8286/2544 ครั้งแรกที่ ล.โอนที่ดินมรดกของ ท. มาเป็นของตนในฐานะผู้จัดการมรดก เป็นการครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่นทุกคน แม้จะมีการโอนที่ดินมรดกดังกล่าวมาเป็นของ ล. ในฐานะส่วนตัวแล้วก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าได้เปลี่ยนเจตนาการครอบครองที่ดินมรดกแทนทายาททุกคน มาเป็นการครอบครองในฐานะส่วนตัวโดยเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว เพราะ ล. ยังมิได้บอกกล่าวไปยังทายาท ทุกคนว่าไม่มีเจตนายึดถือทรัพย์แทนทายาททุกคนต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ทั้งปรากฏว่าก่อนหน้านี้ ล. ได้ถูก ป. ยื่นฟ้องในอีกคดีหนึ่งของศาลชั้นต้นเรื่องขอแบ่งมรดก คดีถึงที่สุด ตามคำ พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ว่า ล. ครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกับ ส. กับ ป. ทายาทผู้ตาย ต้องถือว่า ครอบครองแทนทายาทของ ส. คำพิพากษาจึงผูกพันล. และจำเลยซึ่งเป็นทายาทของ ล. ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ต้องถือว่า ล. ครอบครองทรัพย์มรดกแทนทายาทอื่นอยู่เช่นเดิม ล. ยังคงมี หน้าที่จะต้องจัดแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนตามสิทธิของทายาท ที่กฎหมายกำหนดไว้ ดังนั้น การ จัดการมรดกยังมิได้เสร็จสิ้นจึงจะนำอายุความ 5 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1733 วรรค สอง มาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ ฎีกา 3869/2554 ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีตามที่โจทก์ฎีกาเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยบอกกล่าว เปลี่ยนการยึดถือแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของร่วม โดยไม่ได้บอกกล่าวแก่นาย บ. ด้วย ถือเป็นการบอกกล่าวที่ชอบ ด้วยกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 แล้วหรือไม่ เห็นว่าโจทก์กับนาย บ. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมใน ที่ดินพิพาท โจทก์และนาย บ. คนใดคนหนึ่งย่อมมีสิทธิจัดการดูแลที่ดินพิพาททั้งหมด ดังนี้การที่จำเลยบอก


pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนการยึดถือที่ดินพิพาทไปยังโจทก์ ก็ย่อมมีผลเป็นการบอกกล่าวที่สมบูรณ์ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 แล้ว โดยไม่จำต้องบอกกล่าวไปยังเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ให้ครบทุกคน ฎีกาที่ 11901/2557 จำเลยได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแปลงนี้ทั้งแปลง เนื่องจากได้ครอบครอง การทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้มาเกิน 1 ปีแล้ว หรือไม่ เห็นว่าตามคำให้การของจำเลยอ้างว่าจำเลย ครอบครองการทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้โดยนางเซ่วยุดยกให้จำเลย จึงไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงว่ามีการ เปลี่ยนลักษณะการยึดถือครอบครองโดยแจ้งไปยังทายาทคนอื่นๆ เพราะการจะเปลี่ยนลักษณะการยึดถือ ครอบครอง จำเลยจะต้องยอมรับว่าที่ดินพิพาทมิใช่ของตนเสียก่อน ดังนั้น ที่ดินพิพาทจึงไม่ตกเป็นของจำเลย โดยเหตุผลที่จำเลยอ้างดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรอง การทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 166 ให้แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 1 ใน 18 ส่วนของที่ดินโดยวินิจฉัยให้เหตุผล มาโดยละเอียดนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ และฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ผลของการมีสิทธิครอบครอง 1.มีสิทธิให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1374 มาตรา 1374 บัญญัติว่า “ ถ้าผู้ครอบครองถูกรบกวนในการครอบครองทรัพย์สิน เพราะมีผู้สอด เข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนนั้นได้ ถ้าเป็น ที่น่าวิตกว่าจะยังมีการรบกวนอีก ผู้ครอบครองจะขอต่อศาลให้สั่งห้ามก็ได้ การฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกรบกวน ” มาตรา 1374 เป็นบทบัญญัติรับรองสิทธิเช่นเดียวกับมาตรา 1336 คือ มีสิทธิขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นเข้า เกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาที่ 1456/2537 ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า น. สละการครอบครองและจำเลยทั้งสองเข้า ครอบครองที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตน จำเลยทั้งสองได้สิทธิครอบครองแล้วนั้น ฎีกาประเด็นดังกล่าว จำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แม้การได้มาซึ่งสิทธิ ครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์จะตกอยู่ในบังคับตามเงื่อนไขห้ามโอนตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติจัดที่ดิน เพื่อการเกษตร พ.ศ. 2511 ก็ตาม โจทก์คงมีสิทธิยึดถือครอบครองที่ดินดังกล่าวได้ ส่วนจะได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ เพียงใดเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับโจทก์ แต่ราษฎรด้วยกันโจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ปลดเปลื้องการรบกวน การ ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1374 ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมออกจากที่ดิน พิพาทอันเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง 2. มีสิทธิเรียกร้องเอาการครอบครองคืนจากผู้แย่งการครอบครองโดยมิชอบตามมาตรา 1375 มาตรา 1375 บัญญัติว่า “ ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่า ซึ่งจะเป็น เหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้


pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลา ถูกแย่งการครอบครอง ” การแย่งการครอบครอง มี 2 กรณีคือแย่งโดยตรง กับ แย่งโดยเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การฟ้องเอาคืนต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่ถูกแย่ง และระยะเวลา 1 ปีนี้ไม่ใช่อายุความ แม้จำเลย ไม่ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ 3. มีสิทธิได้ดอกผลตามมาตรา 1376 มาตรา 1376 บัญญัติว่า “ ถ้าจะต้องส่งทรัพย์สินคืนแก่บุคคลผู้มีสิทธิเอาคืนไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติ มาตรา 412 ถึง 418 แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับโดยอนุโลม ” ฎีกาที่ 3445/2562 การซื้อขายที่ดินพิพาทอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งไม่มีข้อตกลงว่าจะไปจด ทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จ เด็ดขาด เมื่อไม่ได้จดทะเบียนย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ วรรคหนึ่ง และเมื่อเป็นที่ดินมือเปล่าที่ไม่มีเอกสารสิทธิใด มีเพียงสิทธิครอบครอง การซื้อขายย่อมอาจสมบูรณ์ได้โดยการส่งมอบการครอบครอง แต่เมื่อไม่มีการส่งมอบ สัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์ คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมโดยคืนทรัพย์แก่กันฐานลาภมิควรได้ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๔๑๒ จำเลยที่ ๑ ต้องคืนเงินค่าที่ดินที่รับไว้ ทั้งหมดแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย 4. มีสิทธิโอนสิทธิครอบครองได้ มาตรา 1377 บัญญัติว่า “ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง หรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้ การครอบครองย่อมสุดสิ้นลง ถ้าเหตุอันมีสภาพเป็นเหตุชั่วคราวมีมาขัดขวางมิให้ผู้ครอบครองยึดถือทรัพย์สินไซร้ ท่านว่าการ ครอบครองไม่สุดสิ้นลง” ฎีกาที่ 142/2492 ทำสัญญากู้เงินมอบที่นาให้ทำกินต่างดอกเบี้ย กำหนดไถ่ถอนภายใน 1 ปี เมื่อพ้นกำหนดแล้วไม่ไถ่ ดังนี้ ในข้อวินิจฉัยที่ว่าจะเป็นการแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครองหรือเป็นเรื่อง ระยะเวลาชำระหนี้นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวแก่การวินิจฉัยหรือตีความตามข้อตกลงแ ห่งสัญญา ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าข้อตกลงเพียงเท่านี้ยังแปลไม่ได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาสละสิทธิครอบครอง แปลได้เพียงว่า เป็นกำหนดระยะเวลาชำระหนี้หรือกำหนดเวลาการไถ่ถอน ฎีกาที่ 1176/2530 สัญญากู้ระบุว่าเมื่อครบ 6 เดือนนับแต่วันกู้เงิน หากผู้กู้ไม่นำเงินมาชำระ ผู้กู้ยอมให้ที่นา ส.ค. 1 ตกเป็นของผู้ให้กู้ โดยเหตุนี้เมื่อสัญญากู้ครบกำหนดตามที่ระบุไว้ในสัญญา ผู้กู้ไม่นำ เงินกู้มาชำระ การครอบครองที่นาของผู้ให้กู้จึงเป็นการครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ โดยถือว่าผู้กู้เจ้าของเดิม สละการครอบครองแล้ว ผู้ให้กู้ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่นาดังกล่าว เมื่อโจทก์ทั้งสองครอบครองที่นานั้น ต่อมาจากผู้ให้กู้ซึ่งถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งสองย่อมได้สิทธิครอบครองในที่นาด้วย มาตรา 1378 บัญญัติว่า “ การโอนไปซึ่งการครอบครองนั้นย่อมทำได้โดยการส่งมอบทรัพย์สิน ที่ครอบครอง ”


pg. 12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกา 1078/2520 จำเลยขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ร้อง และ สละเจตนาครอบครองที่พิพาทให้ผู้ร้องแล้วตั้งแต่วันทำสัญญา ดังนี้ การครอบครองของจำเลย ย่อมสิ้นสุดลง ผู้ร้องเข้ายึดถือที่พิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตน จึงได้สิทธิครอบครองทันทีที่จำเลยสละเจตนา ครอบครอง การโอนโดยข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 นั้น มีผลบังคับ กันได้ ไม่ต้องมีแบบอยู่ในตัว การที่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนหาทำให้การซื้อขายเป็นโมฆะไม่ ฎีกาที่ 137/2535 จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ การซื้อขายตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ครอบครองที่พิพาท หลังจากซื้อจากจำเลย โจทก์ย่อมได้ซึ่งสิทธิครอบครองจากการโอน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377, 1378 โดยไม่ต้องทำตามแบบนิติกรรม จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมที่จะต้องจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทให้โจทก์ ข้อสังเกต มีข้อคิดอยู่ว่าการโอนที่ดินซึ่งมีเอกสารสิทธิ์เป็นนส. 3 หรือ นส. 3 ก. โดยไม่ได้ไป จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดินก็ดี หรือไม่ได้ทำตามแบบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น ถ้าเป็นกรณีซื้อขายก็ดี เมื่อศาลฎีกาบอกว่าทำได้ตามมาตรา 1377 และ 1378 ผู้รับโอนได้สิทธิ ครอบครองตามมาตรา 1367 แล้ว การซื้อขายโดยความเป็นจริงโดยการโอนการครอบครองนั้นสิทธิครอบครองอยู่ที่ผู้รับโอนแล้ว เรื่องนี้มีแนวคิดที่ต่างกันอยู่ อาจารย์บอกว่าต่อไปศาลฎีกาน่าจะประชุมใหญ่ออกหลักมาว่า กรณีแบบนี้มี ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4 ทวิเขียนไว้ว่า ที่ดินมือเปล่าที่มีเอกสารสิทธิ น.ส.3 และน.ส. 3ก ต้องอยู่ ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4 ทวิคือต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ ถ้าไม่ทำตามแบบการโอนจะตกเป็นโมฆะ มีคำพิพากษาฎีกาอีก 2 เรื่องจะมาพูดในคราวหน้านะครับ และคราวหน้าจะพูดเรื่องครอบครอง ปรปักษ์ครับ ***จบการบรรยาย*** สรุปโดย A08 ตรวจทานC4


1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต สมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์และที่ดิน (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ. สมจิตร์ ทองศรี บรรยายวันที่ 29 สิงหาคม 2566 (ครั้งที่ 14) (สัปดาห์ที่ 15) สำหรับวันนี้เรามาศึกษากันต่อในเรื่องของการครอบครองปรปักษ์หรือที่กล่าวให้เข้าใจได้โดยง่าย คือ การแย่งการครอบครองโดยให้ได้กรรมสิทธิ์ของคนอื่นโดยวิธีการอาศัยอายุความนั่นเองนะครับ มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนา เป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครอง ติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์” นักศึกษาครับ เหตุผลที่กฎหมายไทยบัญญัติไว้เช่นนี้ เนื่องจากเปรียบเสมือนมาตรการลงโทษอย่างหนึ่ง มิให้เจ้าของที่ดินทอดทิ้งที่ดิน โดยที่ดินเปรียบเสมือนทรัพยากรที่นับวันเริ่มมีจำกัด หากที่ดินดังกล่าวได้มีการ ทำกิน แน่นอนว่าย่อมมีประโยชน์กว่าปล่อยทิ้งให้รกร้าง อย่างไรก็ตามนั้น หากนักศึกษาพิจารณากฎหมายที่ดิน มาตรา 6 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นี้ จะเห็นได้ว่า กฎหมายมีเจตนารมณ์ตรงกัน เพื่อไม่ให้มีการทอดทิ้งที่ดินอันเป็นทรัพย์สินโดยเปล่าประโยชน์นั่นเองครับ ทั้งนี้ เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจหลักหัวใจ มาตรา 1382 ได้ชัดเจนมากขึ้น อาจารย์จะขอสรุปหลัก กฎหมายจากคำพิพากษาต่าง ๆ เพื่อให้นักศึกษาทำความเข้าใจได้โดยง่ายขึ้น ดังนี้นะครับ หลักเกณฑ์ของ มาตรา 1382 นั้น กล่าวคือ 1. ต้องครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นที่มีกรรมสิทธิ์ ฎีกาที่ 538/2536 โจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในโฉนดที่ดินแทน แล้วโจทก์ทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ปรปักษ์ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แม้การบรรยายฟ้องและคำ ขอบังคับของโจทก์ทั้งสองมุ่งในเรื่องการครอบครองปรปักษ์แต่การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 จะต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของตนเองได้โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องซึ่งข้อนี้เป็นปัญหา เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ฎีกาที่ 5359/2556 คำร้องของ ช. ในตอนแรก เป็นเรื่องที่ช. แสดงข้อเท็จจริงให้เห็นเหตุที่มาแห่ง การที่ ช. ได้ที่ดินพิพาทไว้ในครอบครองเท่านั้น คำร้องถัดมาอ่านแล้วเข้าใจได้ว่า เมื่อมีการออกหนังสือแสดง สิทธิในที่ดินทั้งแปลงของ ย. รวมถึงที่ดินพิพาทเป็นโฉนดที่ดินแล้ว ช. ก็ยังคงครอบครองที่ดินพิพาทโดยความ สงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกันเรื่อยมา ช. จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ ที่ดินพิพาทได้ ช. ฎีกาต่อไปว่า ช. ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อนับ ระยะเวลาการครอบครองตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 2507 ถึงวันยื่นคำร้องขอเป็นเวลา 44 ปีแล้ว ช.ย่อมได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทนับแต่วันที่ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีแล้ว


2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ดินมีโฉนด เนื้อที่ 42 ตารางวา ตกเป็นของ ช. โดยการครอบครองปรปักษ์ ฎีกาที่ 4714/2564 ผู้ร้องบรรยายมาในคำร้องขอว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 19415 เป็นที่ดินมือ เปล่า ไม่มีเอกสารสิทธิเมื่อปี2460 ก. ซึ่งเป็นย่าผู้ร้องซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาจาก ว. โดยมิได้จดทะเบียนกัน ที่สำนักงานที่ดิน ต่อมาเมื่อปี2480 ก. แบ่งที่ดินให้บุตรทุกคนปลูกบ้านพักอาศัยอย่างเป็นส่วนสัด ท. ซึ่งเป็น บิดาผู้ร้องได้ส่วนแบ่งเป็นที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ทางด้านทิศใต้โดยมิได้จดทะเบียนโอนกรรม สิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน ต่อมาประมาณปี2529 ท. ยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง แล้วผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดย เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลากว่า 30 ปีขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ดังนี้ข้ออ้างตามคำร้องขอดังกล่าวเป็นการยืนยันว่า ย่าของผู้ร้องเป็นผู้ ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ที่ดินดังกล่าวยังไม่มีเอกสารสิทธิต่อมาได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่บิดาผู้ร้อง หลังจาก นั้นบิดาผู้ร้องยกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง ซึ่งการยกให้ที่ดินพิพาทดังกล่าวในขณะเป็นที่ดินมือเปล่า ย่อมมีผลเป็น การโอนสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1378 และที่ผู้ร้องบรรยายในคำร้องขอต่อไปว่า ย. ซึ่งเป็นผู้มีชื่อ อยู่ในโฉนดที่ดิน เป็นเพียงผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนทายาทของ ก. ย่าของผู้ร้อง ก็แปลความได้ว่า ผู้ร้องซึ่งได้รับโอน ที่ดินต่อมามีส่วนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เมื่อผู้ร้องบรรยายคำร้องขอเป็นการยืนยันความเป็นเจ้าของสิทธิ ครอบครองในที่ดินพิพาทมาเช่นนี้ผู้ร้องย่อมไม่อาจอ้างการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1382 ได้เพราะการครอบครองปรปักษ์จะเกิดขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่น เท่านั้น ผู้ร้องจึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ปรปักษ์ ฎีกาที่ 5384-5385/2564 (ประชุมใหญ่) คำร้องขอบรรยายว่า ก่อนผู้ร้องซื้อที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 416 นายหนูผู้มีชื่อใน น.ส. 3 ก. ขายให้นายสันติ ต่อมานายสันติขายให้นายฉลอง และในปี 2545 นายฉลองขายให้ผู้ร้องโดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่มีการส่งมอบการครอบครองต่อ ๆ กันมา และผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาหลังจากที่ออกโฉนดที่ดินพิพาทแล้ว ผู้ร้องก็ยังครอบครองที่ดิน พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจนาเป็นเจ้าของ รวมเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งผู้ร้อง เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ข้ออ้างตามคำร้องเป็นการยืนยันว่า ผู้ร้องเป็นผู้ครองครอง ที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ที่ดินมีเอกสารสิทธิ เป็น น.ส. 3 ก. เมื่อผู้ร้องบรรยายคำร้องขอเป็นการยืนยันความเป็น เจ้าของสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของผู้ร้องมาตั้งแต่ต้นเช่นนี้ จึงไม่อาจอ้างการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทโดยการ ครอบครองปรปักษ์ตาม มาตรา 1382 ได้ ส่วนนี้อาจารย์ขออธิบายเพิ่มเติมว่า คำพิพากษาฎีกาปี 5359/2556 และ ปี 4714/2564 ข้างต้น นั้นได้วินิจฉัยว่าการครอบครองที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิ หรือ ที่ดิน น.ส. 3 ก็ดี จนภายหลังรัฐบาลได้มี การออกโฉนด ผู้ครอบครองจึงไปขอออกโฉนดได้นั้น แต่เดิม สามารถทำได้ เพราะศาลพิจารณาข้อเท็จจริงที่มี การบรรยายฟ้องว่า ที่ดินมือเปล่าแต่เดิม ยังไม่ถือว่าเป็นของผู้ร้องขอครอบครองปรปักษ์ แต่ปัจจุบันนั้น ตาม ความเข้าใจของอาจารย์ อาจารย์เข้าใจว่าฎีกาประชุมใหญ่ 5384-5385/2564 นั้นได้กลับคำพิพากษาฎีกา ที่ 5359/2556 และ ฎีกาที่ 4714/2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น สำหรับนักศึกษาที่ประกอบอาชีพ


3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ทนายความ หากจะต้องนำเสนอคดีต่อชั้นศาลในลักษณะดังกล่าว นักศึกษาต้องพิจารณาฎีกาประชุมใหญ่ ข้างต้นนะครับ ข้อสังเกต มิใช่ว่าทรัพย์ทุกประเภทจะสามารถครอบครองปรปักษ์ได้ทั้งหมด ทุกกรณีนะครับ ทรัพย์สินที่ครอบครองปรปักษ์ไม่ได้นั้น กล่าวคือ ก. สาธารณสมบัติของแผ่นดิน (มาตรา 1306) ข. ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ ค. พ.ร.บ. กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. 2542 (มาตรา 8/1) ง. ทรัพย์สินที่พระเจ้าแผ่นดินห้ามจำหน่าย จ่าย โอน จ. สาธารณูปโภคในโครงการจัดสรรตาม พ.ร.บ. จัดสรรที่ดินฯ ทั้งนี้ ขอให้นักศึกษาศึกษาคำพิพากษาต่อไปนี้ เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นนะครับ ฎีกาที่ 1346/2535 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานที่ดินพิพาทให้ร. โดย มีพระบรมราชโองการให้ใช้ที่ดินเป็นฮวงซุ้ย ฝังศพบุคคลในตระกูลของ ร. ตลอดไป ไม่พึงประสงค์ให้ บุคคลภายนอกคนใดคนหนึ่งละเมิดสิทธิทำลายรื้อถอนสิ่งที่บุคคลในตระกูลของ ร. ก่อสร้างในที่ดินดังกล่าว และต่อมา ร. ได้ทำพินัยกรรมแสดงเจตนารมณ์ว่าให้ผู้สืบตระกูล ต่างมีสิทธิร่วมกันในที่ดินพิพาทไม่ให้โอนขาย จำหน่ายที่ดินดังกล่าว อันเป็นการไม่ประสงค์ให้ที่ดินพิพาทเปลี่ยนมือ โดยมีพระบรมราชโองการของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรับรองความถูกต้องของพินัยกรรม และมีพระราชประสงค์ให้ที่ดิน ดังกล่าวเป็นที่ฝังศพของบุคคลในตระกูลของ ร. เป็นการถาวรดั่งข้อความในพินัยกรรม หากมีบุคคลใดก็ตาม ฟ้องร้องว่ากล่าวเพื่อบังคับเอาที่ดินพิพาทไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็ห้ามมิให้ผู้พิพากษารับฟ้องรับวินิจฉัยคดีให้ผิด ไปจากพินัยกรรม ดังนี้พระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช มีผล เด็ดขาดตามกฎหมายเมื่อมิได้มีพระบรมราชโองการของพระองค์ท่านเองหรืออำนาจเด็ดขาดอื่นใด อันมี เจตนารมณ์ยกเลิกเพิกถอน โดยเฉพาะแล้วพระบรมราชโองการนั้นย่อมมีผลอยู่ ซึ่งพระบรมราชโองการ ดังกล่าวมีพระราชประสงค์รวมถึงการห้ามมิให้ฟ้องร้องเอาที่ดินพิพาทโดยการอ้างการครอบครองปรปักษ์ด้วย ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจยกอายุความการครอบครองปรปักษ์ที่พิพาทขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ร. ได้ ฎีกาที่ 13041/2558 โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดสรรที่ดินในโครงการเป็นผู้สร้างรั้วปิดกั้นที่ดินพิพาทเอง เมื่อ จำเลยมิได้ปิดกั้นที่ดินพิพาท จำเลยจึงมิได้เป็นฝ่ายกระทำละเมิดต่อโจทก์กรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อถอนรั้ว ที่ปิดกั้นที่ดินพิพาท จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทั้งการที่โจทก์ไม่จัดให้มีที่กลับรถเป็นการแก้ไข เปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการที่มีที่กลับรถเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 32 เป็น การที่โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดให้โจทก์ต้องกระทำการดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ตาม พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 มาตรา 43 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า สาธารณูปโภคที่ผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มี ขึ้นเพื่อการจัดสรรที่ดินตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาตเช่น ถนน สวน สนามเด็กเล่น ให้ตกอยู่ในภาระ จำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรร และเป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินที่จะบำรุงรักษาสาธารณูปโภคดังกล่าวให้ คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นนั้นต่อไป และจะกระทำการใดอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือ


4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เสื่อมความสะดวกมิได้ประกอบกับมาตรา 33 วรรคหนึ่ง ยังกำหนดห้ามมิให้ผู้จัดสรรที่ดินทำนิติกรรมกับ บุคคลใดอันก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ที่ดินอันเป็นสาธารณูปโภคและที่ดินที่ใช้เพื่อบริการสาธารณะ ทั้งนี้พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 เป็นกฎหมายเฉพาะบัญญัติขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองประโยชน์ของผู้ซื้อที่ดิน จัดสรรและประชาชนทั่วไป จึงไม่สามารถนำบทบัญญัติเกี่ยวกับการสิ้นไปของภาระจำยอมที่เกิดขึ้นตาม ป.พ.พ. ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับแก่ภาระจำยอมที่เกิดขึ้น และยังเป็นประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรตาม พ.ร.บ. การ จัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะได้โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดสรรที่ดินก่อสร้างรั้วปิดกั้นที่ดินพิพาทที่ได้ กันไว้เป็นที่กลับรถ อันเป็นสาธารณูปโภคประเภทถนนของโครงการ แต่ที่ดินพิพาทอยู่ภายในรั้วบ้านของจำเลย ก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของอันจะทำให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ได้ส่วนความเสียหายที่จำเลยได้รับ ชอบที่จะไปฟ้องร้องว่ากล่าวเอาแก่ โจทก์เป็นอีกคดีหนึ่ง เนื่องจากจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้มาด้วย ต่อมา เรามาดูหลักเกณฑ์ประการต่อ ๆ ไปของมาตรา 1382 กันนะครับ 2. ต้องครอบครองด้วยความสงบ เปิดเผย โดยเจตนาเป็นเจ้าของ ฎีกาที่ 17094/2555 คำให้การของจำเลยตอนต้นเป็นการกล่าวให้เห็นที่มาของการเข้าครอบครอง ที่ดินพิพาท ว่าเนื่องมาจากการซื้อจากบุคคลภายนอกโดยมิได้ทำสัญญาซื้อขายกัน เพื่อให้เห็นเหตุและเจตนาใน การเข้าครอบครอง ส่วนที่ให้การต่อมาว่า จากนั้นจำเลยและครอบครัวจึงเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 40 ปีก็เพื่อให้เห็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ใน ที่ดินนั้นแล้วโดยการครอบครอง อันเป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกับโจทก์คำให้การของจำเลย ดังกล่าวจึงไม่ถือว่าขัดแย้งกัน หากแต่เป็นการลำดับที่มาของการเข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่แรกจนได้ กรรมสิทธิ์โดยชัดแจ้ง เมื่อศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทหรือไม่ศาล อุทธรณ์ภาค 7 จึงต้องวินิจฉัยตามประเด็นดังกล่าว ซึ่งจะต้องพิจารณาข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าจำเลยได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองแล้วหรือไม่ด้วย เพราะหากจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเสียแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 จึงมิได้วินิจฉัยนอกประเด็น ฎีกาที่ 6756/2544 แม้จำเลยจะเข้าใจผิดว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 2749 ที่จำเลยซื้อมา ตั้งแต่ปี2472 ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ที่ดินแปลงดังกล่าว จึงไม่ใช่การครอบครองที่ดินของตนเอง อันจะอ้างครอบครองปรปักษ์ไม่ได้เมื่อจำเลยครอบครองที่ดินซึ่งเป็นของโจทก์อันเป็นการครอบครองที่ดินของ ผู้อื่น ลักษณะครอบครองของจำเลยแสดงออกโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปี แล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และการนับระยะเวลาครอบครองนั้นนับตั้งแต่เวลาที่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินตลอดมา หาใช่นับแต่วันที่ทำการรังวัดแล้วทราบว่าครอบครองที่ดินสลับแปลงกันไม่ ฎีกาที่ 2641/2550 การครอบครองที่ดินโดยมีเจตนาเป็นเจ้าของ แม้จะเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเอง ก็ถือเป็นการครอบครองที่สามารถนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ได้มิใช่นับแต่ที่จำเลยรู้ว่าที่ดินพิพาทที่ จำเลยครอบครองนั้นเป็นที่ดินของโจทก์ เพราะถือว่าเป็นการครอบครองโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็น เจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 แล้ว


5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ต่อมา เคยมีข้อสงสัยที่น่าสนใจว่า การครอบครองปรปักษ์นั้น จะต้องเป็นการครอบครองโดยสุจริต หรือไม่ ซึ่งมีคำตอบอยู่ในคำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้นะครับ ฎีกาที่ 1981/2556 ท. ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นบางส่วนของที่ดินที่จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันกว่าสิบปีแล้ว ท. ย่อมได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง เมื่อ ท. ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ในปี2547 และโจทก์ครอบครอง ที่ดินพิพาทติดต่อกันมาโดยตลอดมิได้ขาดตอนโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แสดงว่า ท. เจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โจทก์จึงมีสิทธิครอบครอง และย่อมนับระยะเวลาที่ ท. ครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกับระยะเวลาที่โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเข้าด้วยกันได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1385 เมื่อนับเวลาการครอบครองที่ดินพิพาทของ ท. รวมเข้าด้วยแล้วโจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดย การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ป.พ.พ. มาตรา 1382 ไม่ได้บัญญัติว่า การได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครอง จะต้องเป็นการครอบครองโดยเจตนาที่สุจริต คงบังคับไว้แต่เพียงว่าให้ผู้ครอบครองนั้นครอบครองโดยความ สงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ แม้ผู้ครอบครองจะรู้ว่าที่ดินที่ครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่น ก็ตาม ฎีกาที่ 12746/2555 ผู้คัดค้านขายที่ดินโฉนดเลขที่ 31186 ให้ผู้ร้องแล้ว โดยมิได้สนใจที่ดินพิพาท อีกแปลงหนึ่งของผู้คัดค้านซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 31186 อีกเลย คงปล่อยให้ผู้ร้องเข้าครอบครองโดย เก็บค่าเช่าจากผู้เช่าบ้านที่ปลูกไว้ในที่ดินพิพาทรวมทั้งรื้อถอนบ้านเช่าออกไป แล้วถมดินปรับปรุงพื้นที่และปลูก สร้างอาคารอู่ซ่อมรถให้ผู้อื่นเช่าเสมือนหนึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทติดต่อกันเรื่อยมาโดยผู้คัดค้านไม่เคยโต้แย้ง แม้ผู้คัดค้านได้นำเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาท แต่ก็เป็นการกระทำหลังจากที่ผู้ร้องได้ ครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการ ครอบครองปรปักษ์โดยไม่คำนึงว่าผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทโดยสุจริตหรือไม่ เพราะการได้กรรมสิทธิ์ใน ทรัพย์สินของผู้อื่นโดยการครอบครองปรปักษ์มิได้กำหนดเงื่อนไขว่าต้องเป็นการครอบครองโดยสุจริต ฎีกาที่ 772/2505 เมื่อได้ครอบครองที่พิพาทมามากกว่า 10 ปีโดยได้เข้าอยู่ในที่นั้น ปลูกเรือนอยู่ ปลูกต้นมะพร้าวเป็นเขต ย่อมแสดงว่าได้ครอบครองโดยสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ย่อมได้ กรรมสิทธิ์ตาม มาตรา 1382 คำว่า “โดยสงบ” ใน มาตรา 1382 นั้น หมายความว่า ครอบครองอยู่ได้โดยไม่ได้ถูกกำจัดให้ออกไป หรือไม่ได้ฟ้องร้องเพียงแต่โต้เถียงกันยังไม่หมายความถึงไม่สงบ ฎีกาที่ 2902/2535 ผู้ร้องทั้งสองได้กล่าวไว้ในคำร้องขอให้แสดงสิทธิครอบครองปรปักษ์ในที่ดิน พิพาทว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 2645 ตำบลบางเพรียง อำเภอบางบ่อ จังหวัด สมุทรปราการ จึงมีความหมายว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาททั้งโฉนด โดยไม่จำต้องระบุถึง เนื้อที่ดิน ความกว้างยาว หรืออาณาเขต หรือแนบสำเนาโฉนดมาในท้ายคำร้องขอ และที่ผู้ร้องทั้งสองกล่าวว่า ได้ครอบครองเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว ก็มีความหมายว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมา จนถึงวันยื่นคำร้องขอเกินกว่าสิบปีเป็นการเริ่มครอบครองเมื่อก่อนสิบปีเป็นคำร้องขอที่ชัดแจ้งตามประมวล


Click to View FlipBook Version