6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว ไม่เคลือบคลุม ตามคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โดยการครอบครองได้กล่าวว่าผู้ร้องทั้งสองครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ขอให้ศาลไต่สวนและ มีคำสั่งรับรองกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองอันเป็นการจะต้องใช้สิทธิทางศาล ผู้ร้องทั้งสองไม่ได้กล่าวว่ามีบุคคลใด โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องทั้งสอง อันจะต้องทำเป็นคำฟ้องบุคคลผู้โต้แย้งสิทธิการทำเป็นคำร้องขอจึง ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188 แล้ว ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของ ป. ต่อมามีการจด ทะเบียนโอนขายกันหลายทอด จนเมื่อปี2504 ด. ในฐานะเจ้าของที่ดินพิพาทได้จดทะเบียนจำนองที่ดินแปลง นี้แก่ผ. ปี2509 จึงได้ไถ่ถอนจำนอง แล้วจดทะเบียนขายฝากแก่จ. ในปีเดียวกัน จนปี2511 จึงจดทะเบียน ไถ่ถอนการขายฝากแล้วจดทะเบียนขายฝากให้แก่ ส. กับพวก อีกทีหนึ่งโดยมิได้ไถ่ถอนการขายฝาก ปี2512 ส. กับพวกได้จดทะเบียนโอนขายคืนให้แก่ ด. ในปีเดียวกัน ด. ได้จดทะเบียนขายฝากแก่ล. โดยไม่มี การไถ่ถอนการขายฝากปี2514 ล. ได้จดทะเบียนขายให้แก่ช. ปี2519 ช. ได้จดทะเบียนแบ่งขายบางส่วน ของที่ดินพิพาทให้แก่กรมทางหลวงเพื่อทำเป็นถนนสาธารณะ ปี2522 ช. ได้จดทะเบียนโอนขายส่วนที่เหลือ ให้แก่ ม. และปีเดียวกันนั้น ม. ได้จดทะเบียนโอนขายให้แก่ผู้คัดค้านอีกต่อหนึ่ง การที่มีการจดทะเบียนเกี่ยว สิทธิในที่ดินตลอดมาเกือบทุกปีนับแต่ที่ฝ่าย ผู้ร้องอ้างว่าได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาท การอ้างว่าได้เข้า ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจึงถูกกระทบสิทธิมาตลอด ไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยความสงบด้วย เจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาสิบปีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การ ครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากผู้คัดค้านจดทะเบียนรับโอนมาจนถึงวันยื่นคำร้องก็ยังไม่ครบสิบปีแม้ฝ่ายผู้ร้อง ได้ครอบครองทำกินในที่ดินพิพาทมาโดยตลอด ผู้ร้องทั้งสองก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ปรปักษ์เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองจึงไม่จำต้องวินิจฉัยตาม ฎีกาของผู้ร้องทั้งสองว่าผู้คัดค้านว่าโอนที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่ และผู้รับโอนคนก่อน ๆ ต่อจากผู้ คัดค้านรับโอนมาโดยสุจริตหรือไม่ *ฎีกาที่ 3864/2554 (น่าสนใจ) การครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 นั้น จะต้องหมายความว่า ครอบครองอยู่ได้โดยไม่ถูกกำจัดให้ออกไป การที่เพียงแต่โต้เถียงสิทธิ กันนั้น ยังไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยไม่สงบได้การที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอของผู้ร้องเมื่อ วันที่ 27 สิงหาคม 2541 จึงเป็นเพียงโต้เถียงสิทธิกันเท่านั้น อีกทั้งเมื่อศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีในคดีเดิม แล้วก็ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้ฟ้องขับไล่ผู้ร้องแต่อย่างใด คงปล่อยให้ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทต่อมา สิทธิครอบครองของผู้ร้องหาได้ถูกกำจัดให้ออกไปไม่ จึงมิใช่เป็นการรบกวนสิทธิครอบครองของผู้ร้องอัน จะถือว่าผู้ร้องไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบแล้วได้การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอแสดงสิทธิ์ในที่ดิน พิพาทต่อศาลชั้นต้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2541 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเนื่องจากผู้ร้อง ไม่ชำระค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่กำหนดนั้น ก็ไม่อาจหมายความได้ว่าผู้ร้องไม่ประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ใน ที่ดินพิพาทโดยการร้องขอครอบครอบปรปักษ์ต่อไป ทั้งไม่มีผลต่อการนับระยะเวลาครอบครองที่ดินพิพาทของ ผู้ร้องด้วย ดังนั้น นับแต่ผู้คัดค้านได้สิทธิในที่ดินพิพาท คือ วันที่ 13 สิงหาคม 2533 จนถึงวันที่ผู้ร้องยื่นคำ ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทต่อศาลชั้นต้นวันที่ 25 มิถุนายน 2544 เป็นเวลาเกิน 10 ปีผู้ร้องจึงได้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382
7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 17573/2555 ผู้ร้องครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท โดยอาศัยสิทธิในฐานะผู้ค้ำ ประกันที่ขอไถ่ถอนจำนองและชำระหนี้แทน ส. ผู้กู้แล้วขอรับโฉนดที่ดินแปลงพิพาทจากเจ้าหนี้มายึดถือเอาไว้ การครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้อง ไม่ว่าจะนานเพียงใดก็ไม่ใช่การครอบครองโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนา เป็นเจ้าของ แม้ส. เจ้าของที่ดินพิพาทถึงแก่ความตาย ต้องถือว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของ ส. อยู่ตลอดไปจนกว่าผู้ร้องจะได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังเจ้าของที่ดินพิพาทว่าไม่เจตนา จะยึดถือแทนต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 แม้ทายาทโดยชอบด้วยกฎหมายของ ส. จะไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน การครอบครองของผู้ร้อง ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะของการครอบครองต่อ ทายาทของ ส. แล้ว ฎีกาที่ 15676/2556 (อาจารย์บอกว่าถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดี) ป. มารดาผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าของ ที่ดินพิพาทคนก่อนทำหนังสือร้องเรียนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับที่ดินพิพาท เป็นเพียง การอ้างความเป็นเจ้าของที่ดินของ ป. โดยผู้ร้องก็ยังคงครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องเป็นการ ครอบครองโดยความไม่สงบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ป. จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจำนอง และไถ่ถอนจำนอง แล้วจดทะเบียนยกที่ดินให้แก่ผู้คัดค้าน ไม่เป็นเหตุให้ผู้ร้องเสียสิทธิที่มีอยู่ในที่ดินพิพาท เพียงแต่ไม่อาจยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอก ผู้ได้สิทธิมา โดยเสียค่าตอบแทน และโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตาม มาตรา 1299 วรรคสอง การที่ผู้ คัดค้านรับโอนที่ดินพิพาทจาก ป. โดยไม่ได้เสียค่าตอบแทน ไม่อาจถือว่าการครอบครองของผู้ร้องเป็นการ ครอบครองโดยความไม่สงบ เมื่อผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบ และโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็น เจ้าของติดต่อกันเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามมาตรา 1382 ฎีกาที่ 5238/2546 จำเลยสร้างฐานรากของโรงเรือนซึ่งเป็นส่วนที่ฝังอยู่ใต้ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดิน ของโจทก์โดยมีเจตนาเพื่อซ่อนเร้นปกปิดการกระทำที่ไม่ชอบของตน จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดิน ส่วนที่รุกล้ำของโจทก์โดยเปิดเผยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ประกอบมาตรา 1401 แม้จะมีการครอบครองมานานเท่าใด จำเลยก็ไม่ได้สิทธิภารจำยอมในที่ดินดังกล่าว นักศึกษาครับ การครอบครองปรปักษ์นั้นแท้จริงแล้วมีหลักเกณฑ์ตามที่ตัวบทได้กล่าวอย่างครอบคลุม แล้ว แต่เนื่องจากว่าหากนักศึกษาที่สอบขาอาญาด้วย อาจเกิดความสงสัยว่า กรณีเช่นนี้ การเข้าไปครอบครอง ปรปักษ์ที่ของขนอื่น โดยหวังจะเอามาเป็นของตน หรือกล่าวให้โดยง่ายว่า “เจตนาที่จะแย่งกรรมสิทธิ์โดยอาศัย สิทธิตามอายุความที่กฎหมายให้ความรับรอง” ไว้นั้น ก็เปรียบเสมือนการกระทำความผิดฐานบุกรุก อันเป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานหนึ่ง เช่นกันนั่นเองครับ โดยมีประเด็นทางกฎหมายที่สามารถหยิบ ยกขึ้นต่อสู้ได้ในทางอาญาว่า หากโต้แย้งว่าการบุกรุกดังกล่าว เป็นไปโดยการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งผู้บุกรุกนั้น ได้กรรมสิทธิ์ในฐานะผู้ครอบครองปรปักษ์เรียบร้อยแล้ว เช่นนี้ย่อมถือเป็นแนวทางการต่อสู้อีกประการหนึ่ง สำหรับทนายความ เมื่อกล่าวมาถึงส่วนนี้ อาจารย์ขออธิบายเพิ่มเติมสำหรับกรณีคำว่า “เจตนาเป็นเจ้าของ” เพื่อให้ นักศึกษาเข้าใจโดยกระจ่างจากคำพิพากษาฎีกามากยิ่งขึ้นนะครับ
8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เจตนาเป็นเจ้าของ นั้นมีหลักคล้ายกับการยึดถือเพื่อตนตามมาตรา 1367 แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์นั่นเองครับ เพียงแต่ว่าคำว่าเจตนาเป็นเจ้าของนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่า เพราะจุดประสงค์เลย คือ ต้องการแย่งกรรมสิทธิ์ หรือกล่าวโดยง่ายว่าต้องการจะแย่งของของคนอื่นเขานั่นเอง ซึ่งเรามาศึกษาจากคำ พิพากษาศาลฎีกาเพิ่มเติมกันนะครับ ฎีกาที่ 1808/2500 โจทก์ซื้อที่ดินมีโฉนดแล้ว แต่มิได้ไปทำหนังสือซื้อขายหรือจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ได้เข้าตัดฟื้นเก็บพุทรา และให้คนเช่าที่เพื่อเก็บพุทราไปขาย แต่ไม่ได้เพาะปลูกสิ่งใด เพิ่มขึ้น คงทิ้งให้ที่รกรุงรังอย่างเจ้าของเดิมเคยปล่อยไว้เช่นนี้ถือว่าโจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทตามนัยแห่ง ประมวลแพ่งฯ มาตรา 1382 แล้ว เมื่อครอบครองมาเกิน 10 ปีก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ ฎีกาที่ 1915/2520 โจทก์ฟ้องว่า ในการซื้อขายที่พิพาท ได้ตกลงกันว่าจำเลยจะต้องไปจดทะเบียน โอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ด้วย โดยจำเลยจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์หลังจากที่จำเลยแบ่งแยกที่ พิพาทออกจากโฉนดแล้ว ดังนี้การซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยมิใช่เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แต่ เป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย การที่โจทก์และจำเลยตกลงจะซื้อจะขายที่พิพาทกัน แล้วโจทก์เข้าครอบครองที่ พิพาทนั้น เป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลยตามสัญญาจะซื้อขาย อันเป็นการยึดถือที่พิพาท แทนจำเลย มิใช่เป็นการ ยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของ ทั้งไม่ปรากฏว่าต่อมาโจทก์เปลี่ยนแปลงลักษณะ แห่ง การยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์มาตรา 1381 ดังนั้น แม้จะฟังว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีโจทก์ก็ ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ฎีกาที่ 7142/2556 การที่โจทก์ยินยอมให้ ก. และ จำเลย เข้าอาศัยและปลูกบ้านในที่ดินที่ขายโดย แจ้งว่าหาก ก. และจำเลยมีเงินพอที่จะชำระราคาที่ดินเมื่อใดก็จะขายให้ แสดงว่าโจทก์ยังไม่ได้มีเจตนาที่จะ มอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ ก. และจำเลย จนกว่าบุคคลทั้งสองจะนำเงินมาชำระค่าที่ดินให้ครบถ้วน การ ครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลยจึงเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ แม้ครอบครองเกิน 10 ปีก็ไม่ได้ กรรมสิทธิ์ ฎีกาที่ 344/2534 โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจาก ฉ. เพราะมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้ขุดเป็นทางระบายน้ำเข้าที่ดิน ของโจทก์แม้โจทก์จะไม่ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาท แต่การที่โจทก์ได้เข้าทำประโยชน์โดยปลูกต้นไม้ขุดคูน้ำ ทำทางเดินไปทำนา และโจทก์คงใช้ประโยชน์ดังกล่าวในที่ดินพิพาทติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน กรณีเช่นนี้ย่อมถือว่า โจทก์มีเจตนายึดถือครอบครองที่ดินพิพาท สัญญาจะซื้อจะขายมีข้อตกลงจะจดทะเบียนโอน เมื่อแบ่งแยกโฉนด เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าโจทก์กับ ฉ. จะปล่อยเวลาล่วงเลยไปนาน มิได้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดในเวลาอันสมควรเพื่อ แบ่งแยกโฉนด โดย ฉ. ยอมให้โจทก์เข้าทำประโยชน์แสดงตนเป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ แสดงว่าทั้งโจทก์และ ฉ. มิได้ คำนึงถึงการที่จะทำการจะทะเบียนโอนกรรมสิทธิที่ดินพิพาทให้ถูกต้องตามกฎหมายกันต่อไป ถือได้ว่า ฉ. สละ การครอบครอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยเด็ดขาด การครอบครองของโจทก์จึงเป็นการครอบครองอย่างเป็น เจ้าของหาใช่ครอบครองตามสัญญาจะซื้อจะขาย ดังนี้เมื่อครบสิบปีโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ ฎีกาที่ 344/2534 โจทก์ได้ทำการยกที่ดินให้โดยมีข้อตกลงว่าให้ผู้รับ (จำเลย) ไปไถ่ถอนจำนองจาก ธนาคารแล้วจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ กรณีเช่นนี้ตราบใดที่จำเลยยังไม่ไปไถ่ถอนจำนอง ย่อมถือได้ว่า ผู้รับครอบครองแทนโจทก์
9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 5352/2539 จำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์เพราะเข้าใจว่าเป็นที่ดินของ บุตรสาวที่ยินยอมให้จำเลยอยู่อาศัย แสดงว่าจำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทเป็นการชั่วคราวโดยไม่ได้ เจตนาเป็นเจ้าของ แม้ครอบครองติดต่อกันนานเกินกว่า 10 ปีก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ตลอดเวลาที่ยังอยู่ในที่ดินนั้น คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้รื้อถอนบ้านออกไป จึงไม่ ขาดอายุความ ฎีกาที่ 3016/2547 (อาจารย์บอกว่าเคยออกข้อสอบแล้ว) การที่จำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาท โดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของกรมชลประทาน และรับว่าหากกรมชลประทานจะเอาคืน จำเลยก็จะคืนให้เช่นนี้การ ครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงมีลักษณะเป็นการครอบครองชั่วคราวเท่านั้น มิได้ครอบครองด้วยเจตนา เป็นเจ้าของ อีกทั้งที่ดินที่บุคคลจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ต้องเป็นที่ดินซึ่งบุคคลอื่นมี กรรมสิทธิ์อยู่ เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 7107 ซึ่งทางราชการเพิ่งออกโฉนดที่ดินให้แก่ บริษัท ท. ระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจึงต้องเริ่มนับเมื่อทางราชการออกโฉนดที่ดินให้แก่ เจ้าของที่ดิน แต่จำเลยมิได้บอกกล่าวไปยังบริษัท ท. ว่าตนเองเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสุจริตอย่างเป็น เจ้าของ ต่อมาบริษัท ท. โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ค. จำเลยกลับมีหนังสือขอ ซื้อที่ดินไปยังบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ค. พฤติการณ์ของจำเลยจึงเท่ากับเป็นการยอมรับว่าบริษัทเงินทุน หลักทรัพย์ค. เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ดังนั้น การอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลย จึงมีลักษณะ เป็นการอยู่โดยอาศัยสิทธิของผู้อื่น ซึ่งตราบใดที่จำเลยมิได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังเจ้าของ ที่ดินว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1381 จำเลยย่อมไม่มีสิทธิ ครอบครอง แม้จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 10 ปีจำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการ ครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมาย ฎีกาที่ 5794/2551 การที่ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยมีลักษณะเป็นการครอบครองเพื่อตน อย่างเป็นเจ้าของ ทั้งปรากฏว่าที่ดินที่ครอบครองนั้นเป็นที่ดินมีโฉนดที่บุคคลมีสิทธิเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้แม้ จะเป็นการครอบครองโดยเข้าใจว่าเป็นของตน โดยไม่ทราบว่าเป็นที่ดินมีโฉนดของบุคคลอื่น ก็ถือได้ว่าเป็นการ ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ หาใช่เป็นเรื่องถือไม่ได้ว่าผู้ร้องไม่มีเจตนาเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทไม่ เมื่อ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 2401 ตลอดมาด้วย ความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ และทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ผู้ร้อง ตั้งแต่ปี2521 โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ระยะเวลาที่ผู้ร้องครอบครองจนถึงวันยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ ที่ดินต่อศาลเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครอง ปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 3. ต้องครอบครองติดต่อกัน 5 ปี, 10 ปี (แล้วแต่กรณี) นักศึกษาครับ กรณีนี้อาจารย์อยากให้นักศึกษา ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติม สักเล็กน้อย กล่าวคือ ในกรณีที่ ที่ดินประเภทใดมีประกาศของทางราชการว่าด้วยเรื่องของประการการห้ามโอน กรณีนี้เช่นนี้แม้ว่าได้เข้าไป ครอบครองที่ดินในระยะเวลาดังกล่าว จะเอาระยะเวลาเช่นว่านั้นมานับรวมกันเป็น 5 ปี หรือ 10 ปี ไม่ได้นะครับ
10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 1307/2537 ที่ดินพิพาทมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยโจทก์ได้รับมาตาม พ.ร.บ. จัดที่ดิน เพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ดังนั้น สิทธิของโจทก์ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์จะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ. จัดที่ดินเพื่อ การครองชีพ พ.ศ. 2511 ซึ่งตามกฎหมายดังกล่าวมีข้อบังคับว่า ภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันได้รับโฉนด ที่ดิน ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินไปยังผู้อื่นมิได้นอกจากการตกทอดทางมรดก หรือโอนไปยัง สหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณีดังนั้น แม้ส. บุตรจำเลยจะซื้อที่ดินพิพาทจาก ผ. สามีโจทก์และรับ มอบการครอบครองตั้งแต่วันที่ซื้อตลอดมา จนกระทั่งจำเลยรับโอนครอบครอง ทำประโยชน์ต่อเนื่องมาถึงวันที่ ยื่นคำร้องขอต่อศาลขอแสดงกรรมสิทธิ์ก็ตาม แต่จำเลยจะนำระยะเวลาก่อนวันที่พ้นระยะเวลาห้ามโอนตาม กฎหมายมาเป็นระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 หาได้ไม่แม้จำเลยจะมีคำสั่ง ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแสดงว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและไม่ใช่คู่ความในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง (2) โจทก์จึงสามารถพิสูจน์ได้ ว่าโจทก์ยังคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยโต้แย้งกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตน โจทก์จึงชอบที่จะนำคดีมาฟ้องศาลได้ไม่เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตแต่อย่าง ใด คำสั่งศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่อาจถูกเพิกถอน ได้การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นด้วยจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษายืน แต่ไม่เพิก ถอนคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว ข้อสังเกตเพิ่มเติม การนับระยะเวลา 5 ปี หรือ 10 ปีดังกล่าว ในกรณีที่ดินมือเปล่านั้น จะนับตั้งแต่ระยะเวลาที่มีการออกโฉนดที่ดิน ข้อควรระวัง ทั้งนี้การครอบครองติดต่อกันดังกล่าวข้างต้น มีข้อยกเว้นของการครอบครองติดต่อกัน ตามกฎหมายอยู่นะครับ กล่าวก็คือ มาตรา 1384 และ มาตรา 1385 ซึ่งมาตราดังกล่าวนี้หากนักศึกษา พอจะจำได้ เป็นมาตราที่อาจารย์ชอบนำมาออกข้อสอบในระดับชั้นปริญญาตรีนะครับ เช่น ครอบครองไป 9 ปี แล้วน้ำท่วมที่ดิน ไป 1 ปี หลังจากนั้น กลับมาครอบครองใหม่ อีก 2 ปี เป็นต้น มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัครและได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่ วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง” มาตรา 1385 “ถ้าโอนการครอบครองแก่กัน ผู้รับโอนจะนับเวลาซึ่งผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้น รวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้ ถ้าผู้รับโอนนับรวมเช่นนั้น และถ้ามีข้อบกพร่องในระหว่างครอบครอง ของผู้โอนไซร้ ท่านว่าข้อบกพร่องนั้นยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้” ทั้งนี้ หากอธิบายองค์ประกอบของมาตรา 1385 ให้เข้าใจโดยละเอียด กล่าวคือ ก. การครอบครองครั้งก่อน ๆ ต้องด้วยมาตรา 1382 ข. ต้องเป็นการโอนการครอบครอง ค. ถ้าก่อนโอนมีข้อบกพร่องอย่างไร ย่อมตกทอดมายังผู้รับโอนด้วย ข้อสังเกตเพิ่มเติม 1. นิติบุคคลครอบครองปรปักษ์ได้
11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 295/2501 การที่เจ้าของที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่จัดสร้างวัดขึ้นในที่ดิน แล้ว ถวายให้เป็นวัด และทางราชการได้ประกาศตั้งให้เป็นสำนักสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์แล้ว ก็ต้องถือว่า เป็นวัดตามกฎหมาย วัดย่อมเป็นนิติบุคคลซึ่งมีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์วัดจึงอาจได้ที่ดินมาโดยทางครอบครองได้เจ้าของที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญมอบการครอบครอง ที่ดินที่สร้างวัดและสิ่งปลูกสร้างถวายให้เป็นของวัด และวัดเข้าครอบครองแล้ว ก็ถือได้ว่าเจ้าของที่ดินสละการ ครอบครองไม่ต้องทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองให้แต่ประการใด เมื่อเจ้าของที่ดินที่ยังไม่ มีหนังสือสำคัญสละการครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างถวายวัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว เจ้าของ ที่ดินนั้นก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่หรือห้ามพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เป็นเจ้าอาวาสได้ 2. การนับระยะเวลาดูฝ่ายผู้ครอบครอง (โดยคำพิพากษาฎีกาที่ 1088/2519 นั้น สำหรับ อาจารย์แล้วถือว่าเป็นฎีกาหลักเลยนะครับ) ฎีกาที่ 1088/2519 การนับระยะเวลาครอบครองติดต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 กล่าวไว้เฉพาะด้านผู้ครอบครองว่าถ้าผู้ครอบครองได้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ตาม หลักเกณฑ์และครบ 10 ปีแล้ว ย่อมได้กรรมสิทธิ์มิได้คำนึงถึงฝ่ายผู้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูก ครอบครองแต่อย่างใด แม้จะบัญญัติว่าต้องเป็นการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น คำว่า “ผู้อื่น” ย่อม หมายถึง บุคคลทั่วไปซึ่งมิใช่ผู้ครอบครองปรปักษ์ฉะนั้น ในการนับเวลาครอบครองติดต่อกันตามมาตรานี้จึง ถือเอาระยะเวลาครอบครองของฝ่ายผู้ครอบครองเท่านั้น ไม่ต้องพิจารณาถึงตัวเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ ถูกครอบครอง ว่าจะได้โอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกครอบครองให้แก่ผู้ใดหรือไม่ ทั้งไม่จำต้อง ถือเอาทางฝ่ายเจ้าของอสังหาริมทรัพย์แต่ละคนที่รับโอนกรรมสิทธิ์มาเป็นเกณฑ์ในการเริ่มนับระยะเวลาใหม่ ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนตัวเจ้าของ ฎีกาที่ 5432/2536 ผู้ร้องได้ซื้อที่ดินพิพาทจาก ส. เจ้าของโฉนดเดิมตามสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ผู้ร้องได้ชำระราคาครบถ้วนแล้วและผู้ขายได้มอบที่ดินพิพาทให้ผู้ ร้องครอบครองปลูกบ้านอยู่อาศัยตลอดมาเมื่อผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบ และเปิดเผย ด้วย เจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่าสิบปีผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแล้ว การนับระยะเวลา ครอบครองติดต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ถือเอาระยะเวลาครอบครองของผู้ ครอบครองเท่านั้น ไม่ต้องพิจารณาถึงตัวเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกครอบครองว่าจะได้โอนกรรมสิทธิ์ใน อสังหาริมทรัพย์ที่ถูกครอบครองให้แก่ผู้ใดหรือไม่ (คำพิพากษาฎีกาฉบับนี้ อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1088/2519 เช่นกัน) ต่อมา มีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจดังต่อไปนี้นะครับ ข้อเท็จจริง ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง จำเลยครอบครองที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง จนได้การครอบครองปรปักษ์ ตามมาตรา 1382 แล้ว หากแต่ยังไม่จดทะเบียน ต่อมาปรากฏว่าจำเลยถึงแก่กรรม ที่ดินดังกล่าวตกทอดไปยัง ทายาทของจำเลย ซึ่งคือ นายจันทร์ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏต่อไปว่า นายจันทร์ได้นำที่ดินดังกล่าวไปขายฝาก ให้กับนายอังคาร เมื่อครบกำหนดตามระยะเวลาขายฝากปรากฎว่านายจันทร์ไม่ได้ไปไถ่ถอน นายอังคารจึงโอน
12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ขายที่ดินดังกล่าวไปให้ยังโจทก์ อันเป็นที่มาของประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีว่า โจทก์ กับ จำเลย ใครมีสิทธิดีกว่า กัน (เหตุที่ต้องพิจารณาสิทธิของจำเลย เพราะนายจันทร์ทายาทจำเลยเป็นผู้สืบสิทธิ) คำตอบ สิทธิการครอบครองปรปักษ์ของผู้ครอบครองปรปักษ์นั้นขาดตอนไปแล้ว ตั้งแต่มีผู้รับโอน ทางทะเบียนคนแรก แม้ผู้รับโอนต่อมา (ณ ที่นี้คือ โจทก์) จะสุจริตหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญ ฎีกาที่ 868/2512 เจ้าของโฉนดจดทะเบียนขายฝากที่ดินแก่บุคคลภายนอกจนหลุดเป็น กรรมสิทธิ ผู้ครอบครองปรปักษ์มิได้ต่อสู้ว่าผู้รับซื้อฝากไม่สุจริต ย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่า ผู้รับซื้อฝากนั้นเป็นผู้สุจริต ผู้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดจนได้กรรมสิทธิ์แล้วนั้น เมื่อยังมิได้จดทะเบียนจะ ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้รับโอนทางทะเบียน โดยเสียค่าตอบแทน และโดยสุจริต และได้จดทะเบียน สิทธิโดยสุจริตแล้ว หาได้ไม่ผู้รับโอนที่ดินมีโฉนดเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ซึ่งมีสิทธิดีกว่าผู้ ครอบครองปรปักษ์นั้นถ้ามีผู้รับโอนทางทะเบียนต่อจากนั้นมาอีกภายใน 10 ปีนับแต่วันโอนครั้งแรก ผู้รับโอน ต่อ ๆ มาจะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่ ผู้ครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจยกสิทธิของตนขึ้นใช้ยันผู้รับโอนคนใหม่ ได้ เพราะสิทธิของผู้ครอบครองปรปักษ์ขาดตอนไปแล้วตั้งแต่มีผู้รับโอนทางทะเบียน โดยสุจริตคนแรกแม้ผู้ ครอบครองปรปักษ์จะยังคงครอบครองที่ดินตลอดมา เมื่อการครอบครองในช่วงหลังยังไม่ครบ 10 ปี ก็จะ ถือว่ามีการครอบครองปรปักษ์กับเจ้าของใหม่จนครบเวลาได้กรรมสิทธิ์แล้วหาได้ไม่ ทั้งนี้ อาจารย์ขอให้นักศึกษาอ่านคำพิพากษาฎีกา 868/2512 และทำความเข้าใจให้ดีนะครับ เพราะ ถือเป็นเรื่องพื้นฐานของการครอบครองปรปักษ์ ฎีกาที่ 6663/2538 โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลา 19 ปีแต่มิได้ดำเนินการจดทะเบียน เปลี่ยนแปลงทางทะเบียน เมื่อ ค. ซื้อที่ดินพิพาทมาจากเจ้าของเดิมโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต แล้วโจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยัน ค. ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรคสอง เมื่อจำเลยรับโอนที่ดินพิพาทจาก ค. จำเลยจะรับโอนโดยสุจริตหรือไม่อย่างไร โจทก์ผู้ ครอบครองปรปักษ์ก็ไม่อาจยกสิทธิของตนขึ้นใช้ยันจำเลยผู้รับโอนต่อมาได้เพราะสิทธิของผู้ครอบครอง ปรปักษ์ขาดตอนไปแล้วตั้งแต่ผู้รับโอนทางทะเบียนโดยสุจริตตอนแรก แม้โจทก์จะยังครอบครองที่ดินพิพาท ตลอดมา แต่ครอบครองในช่วงหลังที่ ค.และจำเลยรับโอนกรรมสิทธิ์มายังไม่ครบ 10 ปีจะถือว่ามีการ ครอบครองปรปักษ์ต่อจำเลยครบเวลาได้กรรมสิทธิ์แล้วด้วยหาได้ไม่ ฎีกาที่ 9158/2539 ตามคำฟ้องคำให้การคดีฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจาก ส. เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2532 และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แล้ว จำเลยให้การเพียงว่าจำเลยครอบครองปรปักษ์ ที่ดินพิพาทมากกว่า 10 ปีแล้ว มิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่บุคคลภายนอกและซื้อที่ดินที่พิพาทโดยไม่สุจริต ดังนี้โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 6 ว่ากระทำการโดยสุจริต แม้ข้อเท็จจริง จะเป็นไปตามที่จำเลยให้การว่าจำเลยได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ก่อนที่โจทก์จะจด ทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทก็ตาม แต่เมื่อจำเลยมิได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจึงยกเอาสิทธิที่ได้มาอยู่ก่อนและยังมิได้จดทะเบียนขึ้นใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดย เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง และแม้จำเลย จะยังครอบครองที่ดินพิพาทต่อมา ก็ต้องเริ่มต้นนับระยะเวลาการครอบครองใหม่ เมื่อยังไม่ถึง 10 ปีสิทธิของ
13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จำเลยจึงยกขึ้นต่อสู้โจทก์ไม่ได้คดีจึงไม่มีความจำเป็นต้องสืบพยานต่อไป การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและ พิพากษาคดีไปจึงชอบแล้ว ต่อมา เรามาดูคำพิพากษาฎีกาอีกแนวหนึ่งกันนะครับ ฎีกาที่ 5801/2544 จำเลยครอบครองและได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทอยู่ก่อนแต่เมื่อ ส. ขอ ออกโฉนดที่ดินจำเลยไม่ได้คัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินให้แก่ ส. ที่ดินตามโฉนดที่ดินซึ่งรวมทั้ง ที่ดินพิพาทย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส. ต้องเริ่มนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ตั้งแต่วันที่ออกโฉนด ที่ดิน คือ วันที่ 24 กุมภาพันธ์2524 เป็นต้นไป ต่อมามีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของโจทก์เมื่อ วันที่ 20 มิถุนายน 2533 เนื่องจากโจทก์ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ซึ่งยังไม่ถึง 10 ปีเมื่อ โจทก์เป็นบุคคลภายนอกได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์มาตรา 1299 วรรคสอง การครอบครองปรปักษ์ที่มีอยู่ก่อนนั้นจึงสิ้นไปแม้จำเลยครอบครอง ต่อมาก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาการครอบครองใหม่ตั้งแต่ปี2533 จนถึงวันที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้วันที่ 7 มิถุนายน 2539 ยังไม่ถึง 10 ปีจำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามมาตรา 1382 ฎีกาที่ 8700/2550 จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของ ช. เมื่อ ช. ขายที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บิดาโจทก์ทั้งห้าก่อนจำเลยทั้งสองครอบครองครบ กำหนดสิบปีจำเลยทั้งสองไม่อาจยกการครอบครองดังกล่าวขึ้นยันบิดาโจทก์ทั้งห้าได้การครอบครองที่ดิน พิพาทของจำเลยทั้งสองจึงขาดตอนตั้งแต่บิดาโจทก์ทั้งห้าได้รับโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนแล้ว จำเลยทั้งสอง จะต้องเริ่มนับระยะเวลาครอบครองที่ดินพิพาทใหม่จะนำระยะเวลาที่จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินของ ช. มา นับรวมด้วยไม่ได้เมื่อจำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทหลังจากบิดาโจทก์ทั้งห้าได้กรรมสิทธิ์มายังไม่ครบสิบ ปีจำเลยทั้งสองจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ฎีกาที่ 6147/2554 (บรรณาธิการ สมัยที่ 66) ถึงแม้จำเลยจะได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่วันที่ จำเลยซื้อที่ดินแปลงอื่นเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2530 เป็นต้นมาก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2533 บริษัท ค. ซื้อที่ดินมีโฉนดแปลงพิพาทจากเจ้าของเดิมโดยจดทะเบียนซื้อขายและเสีย ค่าตอบแทนโดยสุจริต จำเลยจึงไม่อาจอ้างสิทธิการครอบครองปรปักษ์ในช่วงระยะเวลาก่อนหน้านั้นขึ้นอ้างยัน ต่อบริษัท ค. ได้ทั้งนี้เป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง การนับระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ ของจำเลยจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2533 เป็นต้นมา ซึ่งนับถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้คือ วันที่ 31 ตุลาคม 2543 ยังไม่ครบระยะเวลา 10 ปีจำเลยจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการ ครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 นักศึกษาครับ กลุ่มคำพิพากษาฎีกาส่วนหลังนี้ ได้มีการหยิบยกมาตรา 1299 วรรคสองมาตัดสิทธิ ซึ่ง โดยส่วนตัวอาจารย์แล้ว มีความเห็นว่าการอ้างมาตรา 1299 นั้นทำให้สับสน ไม่ควรนำมาอ้าง เพราะก่อให้เกิด ความสับสน ดังนั้น สำหรับหลักดังกล่าวที่แตกต่างทั้ง 2 ประการนั้น อาจารย์ขอให้นักศึกษาวิเคราะห์คำพิพากษา ฎีกาปี 2564 นะครับว่ามีความเห็นว่าอย่างไร
14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 346/2564 ผ. ขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง เมื่อการครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องไม่ปรากฏ ว่ามีบุคคลใดโต้แย้งคัดค้าน การเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของผู้ร้องเป็นการเข้าครอบครองโดยความสงบ และ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 การนับ ระยะเวลาในการครอบครองติดต่อกันตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ถือเอา ระยะเวลาครอบครองของฝ่ายผู้ครอบครองเท่านั้น การที่ ผ. เจ้าของที่ดินนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียน จำนอง หามีผลกระทบต่อการนับระยะเวลาในการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทไม่ เมื่อผู้ร้องครอบครอง ที่ดินพิพาทมาจนถึงวันฟ้องเป็นระยะเวลาติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องย่อมได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดิน พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อกล่าวมาถึงส่วนนี้สำหรับอาจารย์เองแล้วมีความเห็นว่า การครอบครองปรปักษ์นั้นควรถูกตัดตอน ตั้งแต่มีผู้รับโอนทางทะเบียนคนแรก โดยไม่ต้องคำนึงว่าคนต่อมาสุจริตหรือไม่ หรือ กล่าวคือ สำหรับอาจารย์ นั้นอาจารย์ถือเอาคำพิพากษาฎีกาที่ 1088/2519 เป็นคำพิพากษาฎีกาหลัก ซึ่งส่วนนี้ก็ยังถือว่าเป็นส่วนที่ ถกเถียงกันอยู่ในทางวิชาการนะครับ สำหรับวันนี้เวลาก็หมดลงเพียงเท่านี้นะครับ โดยคราวหน้าอาจารย์จะบรรยายในส่วนของภาระจำยอม และส่วนอื่น ๆ ตามเวลาอันสมควร สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ ***จบการบรรยาย*** สรุปโดย A09 ตรวจทาน P5
pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายทรัพย์ - ที่ดิน (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์สมจิตร์ ทองศรี บรรยายวันที่ 5 กันยายน 2566 (ครั้งที่ 15) (สัปดาห์ที่ 16) สวัสดีครับนักศึกษา วันนี้เป็นการบรรยายวิชากฎหมายทรัพย์และที่ดิน ครั้งที่ 15 ตรงกับวันอังคารที่ 5 กันยายน 2566 ครั้งที่แล้วเราได้พูดกันถึงเรื่องครอบครองปรปักษ์ แต่ก็ยังไม่ได้จบไปอย่างสมบูรณ์ แต่ได้ พูดถึงหลักการอะไรไว้แล้ว อาจารย์คิดว่าส่วนที่เหลือในวันนี้ก็จะพูดในเรื่องของภาระจำยอม ส่วนทรัพยสิทธิ อื่นๆ ก็อาจจะไม่ได้ลงในรายละเอียด แต่อย่างน้อยนักศึกษาก็คงจะทราบแล้วว่าในประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ได้ออกแบบเกี่ยวกับเรื่องของทรัพยสิทธิอย่างไรไว้บ้าง ภาระจำยอม มาตรา 1387 อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรม บางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น เพราะฉะนั้น ในเรื่องของภาระจำยอม คำๆ นี้ ก็คือ ภาระที่เจ้าของที่ดินต้องจำยอม ภาระจำยอม กฎหมายไม่ได้ให้คำจำกัดความไว้ ในเรื่องของภาระจำยอมเราเคยพูดมาแล้วในมาตรา 1299 ว่า ภาระจำยอม เป็นทรัพยสิทธิที่ตัดทอนอำนาจกรรมสิทธิ์ หลักเกณฑ์ 1. ต้องมีอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่สองอสังหาริมทรัพย์ขึ้นไป และอสังหาริมทรัพย์ไม่จำต้องติดกัน ฎีกาที่ 5927/2552 โจทก์ทั้งสี่ใช้ลำรางพิพาทในการชักน้ำเข้านาที่ดินพิพาท แล้วขุดเป็นบ่ออยู่ใน ที่ดินแปลงดังกล่าว จากนั้นโจทก์ทั้งสี่ใช้ระหัดวิดน้ำหรือใช้เครื่องสูบน้ำชักน้ำเข้าไปยังที่ดินแปลงอื่นของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ด้วยความสงบและเปิดเผย ด้วยเจตนาให้ได้มาซึ่งภาระจำยอมเกินกว่า 10 ปี แล้ว แม้จะได้ ความว่ามีลำรางพิพาทถึงที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น ส่วนที่ดินแปลงอื่น ๆ ดังกล่าวของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีการชักน้ำเข้าไปโดยการใช้ระหัดวิดน้ำหรือเครื่องสูบน้ำจากที่ดินพิพาทแต่ก็อยู่ในลักษณะที่ ลำรางพิพาทในที่ดินของจำเลยทั้งสามต้องรับกรรม หรือรับภาระเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 และที่ดินของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ที่อยู่ถัดไปด้วยเช่นกัน เพราะสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ไม่จำเป็นต้อง อยู่ติดกัน ถ้าการที่ต้องภาระจำยอมนั้นมีลักษณะเป็นภาระแก่อสังหาริมทรัพย์อื่น จะเป็นแปลงหนึ่งหรือหลาย แปลงก็ดี จะมีอสังหาริมทรัพย์อื่นคั่นอยู่ก็ดี ก็ตกเป็นภาระจำยอมได้ ที่ดินของจำเลยทั้งสามจึงตกเป็นภาระจำ ยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ทั้งหกแปลงในการใช้ลำรางพิพาทโดยอายุความ สิทธิตามความหมายของ ป.พ.พ. มาตรา 1299 ต้องเป็นสิทธิในประเภทเดียวกันแต่ภาระจำยอมเป็น สิทธิในประเภทรอนสิทธิ ส่วนกรรมสิทธิ์เป็นสิทธิในประเภทได้สิทธิ ซึ่งเป็นสิทธิคนละประเภทกัน เมื่อโจทก์ทั้ง
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สี่ได้สิทธิภาระจำยอมลำรางพิพาทในที่ดินของจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามจะต้องรับรู้ถึงสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1387 จึงไม่อาจนำมาตรา 1299 วรรคสองมาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้ ฎีกาที่ 1004/2536 ทางภาระจำยอมนั้นสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกัน ดังนี้ แม้จะมีคลองสาธารณะคั่นอยู่ก็อาจเป็นทางภาระจำยอมได้ โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ ที่ดินของโจทก์ที่ 1 ดังนั้น การที่จำเลยฎีกาว่าทางพิพาทไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 จึงไม่เป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย 2. อสังหาริมทรัพย์ต้องมีเจ้าของต่างกัน และการเป็นเจ้าของต่างกันถือตามความเป็นจริง ฎีกาที่ 890/2520 โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดโดยการครอบครองที่ดินนอกนั้น เป็นของจำเลยล้อมรอบที่ดินส่วนของโจทก์อยู่ แม้ที่ดินของโจทก์จำเลยอยู่ในโฉนดเดียวกันแต่เมื่อโจทก์จำเลย แยกครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินคนละแปลงเป็นส่วนสัดทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยย่อมตกเป็นทาง ภาระจำยอม แก่ที่ดินส่วนของโจทก์โดยอายุความได้ ฎีกาที่ 2056/2556 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 บัญญัติว่า อสังหาริมทรัพย์ อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอม อันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ดังนั้น ภาระจำยอมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประกอบด้วยหลักเกณฑ์ประการหนึ่งด้วย คือ อสังหาริมทรัพย์ทั้งสอง อสังหาริมทรัพย์จะต้องเป็นเจ้าของต่างคนกัน ถ้าเป็นเจ้าของเดียวกันไม่มีทางจะเกิดภาระจำยอมได้ เมื่อ ข้อเท็จจริงและฟังได้ว่า ว. เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 41234 และในขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าของรวมในที่ดิน พิพาท ซึ่งสิทธิในการใช้ทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมต้องไม่ขัดต่อสิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น เช่นนี้ การใช้สิทธิใช้ทางเดินทางออกสู่ทางสาธารณะของ ว. จึงเป็นเพียงการใช้สิทธิในฐานะเจ้าของรวมไม่ใช่เป็นการ ใช้โดยปรปักษ์ที่จะขัดต่อสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่นได้ ดังนั้น เมื่อ ว. ยังเป็นเจ้าของรวมในที่ดินพิพาทอยู่ภาระ จำยอมจึงไม่เกิด 3. ภารยทรัพย์ต้องยอมรับกรรมหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่าง เพื่อประโยชน์แก่ สามยทรัพย์ ข้อสังเกต 1. ถ้าเป็นเพียงประโยชน์เพื่อส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ไม่เกิดภาระจำยอม 2. บุคคลที่อยู่บนสามยทรัพย์ก็สามารถที่จะใช้สอยภารยทรัพย์ได้ 3. ผู้ที่จะฟ้องบังคับภาระจำยอมต้องเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ฎีกาที่ 307/2552 ป.พ.พ. มาตรา 1387 บัญญัติให้ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้ง ขึ้นสำหรับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ฉะนั้นผู้ที่จะฟ้องบังคับภาระจำยอมจำต้องเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้น โจทก์ที่ 2 เป็นเพียงผู้ดำเนินกิจการโรงเรียน จ. ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 จึงไม่ใช่เจ้าของ ที่ดิน ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้เปิดทาง
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 4. เจ้าของภารยทรัพย์ขายภารยทรัพย์ได้ ฎีกาที่ 2058/2549 ภาระจำยอมนั้นเพียงแต่ทำให้เจ้าของภารยทรัพย์ต้องยอมรับกรรมบางอย่าง ซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อ ประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น และห้ามเจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใด ๆ อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่ง ภาระจำยอมลดไป หรือเสื่อมความสะดวกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1387 และ 1389 เท่านั้น เจ้าของภารยทรัพย์ คงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดห้ามเจ้าของภารยทรัพย์ขายหรือจำหน่ายจ่ายโอนกรรมสิทธิ์แต่ อย่างใด จำเลยในฐานะเจ้าของที่ดินพิพาทจึงมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจึงไม่เป็น โมฆะ ฎีกาที่ 6006/2561 โจทก์อ้างว่าแนวเขตระหว่างที่ดินของโจทก์กับจำเลยที่ 1 คือ แนวต้นยูคา ลิปตัส จำเลยที่ 1 โต้แย้งว่าแนวเขตของโจทก์กับจำเลยที่ 1 คือหลักหมุดใหม่ เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังคง โต้เถียงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกันอยู่เช่นนี้จึงเป็นเรื่องทางแพ่ง การกระทำของจำเลยทั้งสอง ไม่มีมูลความผิดฐานบุกรุก ที่ดินอันตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 เพียงแต่ทางภาระจำ ยอมนี้ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตนหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิ บางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์นั้นเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1387 โดยจำเลยที่ 1 ยังมีสิทธิในทางภาระจำยอมอันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 เช่นเดิม เพียงแต่มาตรา 1390 ห้ามเจ้าของ ภารยทรัพย์ประกอบกรรมใด ๆ อันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก เท่านั้น การใช้สิทธิเหนือที่ดินส่วนที่เป็นทางภาระจำยอมในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงยังคงเป็นของจำเลยที่ 1 ต่อไป แม้หากจำเลยทั้งสองก่อสร้างกำแพงคอนกรีต โครงเหล็กเป็นโรงจอดรถยนต์และบันไดคอนกรีตอันจะ เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก ก็เป็นการกระทำลงบนที่ดินของจำเลยที่ 1 เองหาใช่เป็นการเข้าไปกระทำในที่ดินของโจทก์ไม่ หากโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไรชอบที่จะไปว่ากล่าวกัน ในทางแพ่ง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่มีมูลในความผิดฐานบุกรุก ฎีกาที่ 1188/2556 ที่ดินอันตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย เพียงแต่ทางภาระจำยอมนี้ทำให้จำเลยต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตนหรือต้องงดเว้น การใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1387 โดยจำเลยยังมีสิทธิในทางภาระจำยอมอันเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยเช่นเดิม เพียงแต่มาตรา 1390 ห้ามเจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใด ๆ อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความ สะดวกเท่านั้น การใช้สิทธิเหนือที่ดินส่วนที่เป็นทางภาระจำยอมในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์จึงยังคงเป็นของ จำเลยต่อไป การที่ศาลชั้นต้นห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับทางดังกล่าวจึงมิชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้น วินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง การได้มาซึ่งภาระจำยอม 1. การได้มาโดยนิติกรรม ฎีกาที่ 6208/2545 จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์ โดยมีข้อตกลงกันในวันกำหนด โอนที่ดินที่จะซื้อจะขายดังกล่าวว่า จำเลยยินยอมที่จะจดทะเบียนภาระจำยอมเพื่อให้โจทก์มีสิทธิในการใช้ถนน เข้า - ออก จากที่ดินของโจทก์ในที่ดินที่เป็นถนนทุกแปลงที่จำเลยมีกรรมสิทธิ์ เป็นสัญญาอย่างหนึ่งซึ่งก่อให้เกิด บุคคลสิทธิขึ้นในอันที่จะเรียกร้องบังคับกันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลย แม้โดยสัญญานี้โจทก์จะไม่ได้มาซึ่งทรัพย์ สิทธิในทางภารจำยอมโดยบริบูรณ์ เพราะไม่ได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง แต่บทมาตรานี้ก็หาได้บัญญัติให้เป็นผลไปถึงว่านิติกรรม หรือสัญญานั้นเป็นโมฆะเสียเปล่าไปไม่ สัญญาดังกล่าว จึงยังคงมีผลก่อให้เกิดบุคคลสิทธิในอันที่จะเรียกร้อง บังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญาและเมื่อที่ดินของจำเลยต้องตกอยู่ในภาระจำยอม ภาระจำยอมดังกล่าวจะสิ้นไป ก็ด้วยเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1397 หรือมาตรา 1399 เมื่อภาระจำยอมยังไม่สิ้น ไป โจทก์จึงมีสิทธิขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมตามข้อตกลงท้ายสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวได้ ฎีกาที่ 3333/2549 สาเหตุที่โจทก์ที่ 3 ชักชวนโจทก์อื่นกับชาวบ้านในหมู่ที่ 3 ทำทางพิพาทตั้งแต่ แม่น้ำนครชัยศรีถึงทางสาธารณะสายวัดไร่ขิง - ทรงคนอง ก็เนื่องจากหมู่บ้านหมู่ที่ 3 ไม่มีทางรถยนต์เข้าออกสู่ ทางสาธารณะ ทำให้โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดและชาวบ้านมีความเดือดร้อนในการสัญจรไปมาติดต่อกับท้องถิ่นอื่นและ ขนส่งพืชผลทางเกษตรกรรมออกไปจำหน่ายในท้องตลาด จึงได้มีการเจรจากับจำเลยขอใช้ที่ดินของจำเลยเป็น ทางผ่านออกสู่ทางสาธารณะสายวัดไร่ขิง - ทรงคนอง เมื่อจำเลยตกลงแล้ว จึงเป็นการให้สิทธิแก่ที่ดินของโจทก์ ทั้งยี่สิบเอ็ดเหนือที่ดินของจำเลยอันเป็นเหตุให้จำเลยต้องยอมรับกรรมบางอย่าง เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของ โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด ข้อตกลง ดังกล่าวเป็นการก่อตั้งภาระจำยอม แม้มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นเพียงทำให้การได้มาซึ่งภาระ จำยอมนั้นไม่บริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะหรือเสีย เปล่าแต่อย่างใด ยังคงใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่กรณี โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดย่อมบังคับให้จำเลยจดทะเบียนภาระจำ ยอมได้ 2. การได้มาโดยอายุความ ฎีกาที่ 3059/2545 การได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 ประกอบ มาตรา 1382 นั้น กฎหมายมุ่งประสงค์ให้ถือเอาการใช้ประโยชน์ของเจ้าของสามยทรัพย์เป็นสำคัญ โดยไม่ได้ คำนึงว่าภารยทรัพย์นั้นจะเป็นของผู้ใดหรือเจ้าของสามยทรัพย์จะต้องรู้ตัวว่าใครเป็นเจ้าของภารยทรัพย์นั้น ดังนั้น แม้โจทก์จะใช้ประโยชน์ในทางพิพาทกว้าง 2 เมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมีโฉนดของจำเลยรวมไปกับ ทางสาธารณะกว้าง 2 เมตร โดยเข้าใจว่าเป็นทางสาธารณะทั้งหมด ก็ต้องถือว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทในลักษณะ จะให้ได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าวแล้ว
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 1684/2558 การที่จะได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา1401 ประกอบ มาตรา1382 นั้นต้องปรากฏว่ามีการใช้ทางพิพาทโดยสงบและเปิดเผยโดยมี เจตนาให้ทางพิพาทดังกล่าวเป็นภาระจำยอม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยเข้าใจว่าทางพิพาทดังกล่าวเป็นทางสาธารณะ เช่นนี้ยัง ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทโดยมีเจตนาจะให้ทางพิพาทดังกล่าวเป็นภาระจำยอม ดังนั้น แม้โจทก์จะใช้ทางพิพาทเป็นเวลาเกินกว่าสิบปี ทางพิพาทก็ไม่เป็นภาระจำยอมของ อสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ ฎีกาที่ 800/2502 ภาระจำยอมจะสิ้นไปก็แต่เมื่อภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์สลายไปทั้งหมดหรือ มิได้ใช้สิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1397,1399 และในลักษณะซื้อขายตาม มาตรา 480 ก็ยังบัญญัติว่า"ถ้าอสังหาริมทรัพย์ต้องแสดงว่าตกอยู่ในบังคับแห่งภาระจำยอมโดยกฎหมายไซร้ ท่านว่า ผู้ขายไม่ต้องรับผิด เว้นแต่ผู้ขายจะได้รับรองไว้ในสัญญาว่าทรัพย์นั้นปลอดจากภาระจำยอมอย่างใดๆ ทั้งสิ้น หรือปลอดจากภาระจำยอมอันนั้น" ตาม มาตรา 1299 หมายถึง แต่กรณีที่บุคคลได้มาโดยสุจริตซึ่งทรัพย์สิทธิอันเดียวกันกับสิทธิที่ยัง ไม่ได้จดทะเบียน ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งมีภาระจำยอมติดอยู่ หาได้สิทธิในภาระจำยอมไปด้วยแต่อย่างไร ไม่ สำหรับที่ดินอันเป็นภารยทรัพย์นั้น ภาระจำยอมที่มีอยู่เป็นแต่การรอนสิทธิตาม มาตรา 480 เท่านั้น ผู้รับ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภาระจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินนั้น ต้องสิ้นไปหาได้ไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2502) ฎีกาที่ 2355/2560 โจทก์ทั้งสองใช้ทางพิพาทมานานเกินสิบปีเเล้วโดยความสงบเเละโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาให้ทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมเเก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองเเละเป็นปรปักษ์กับจำเลย ประกอบกับ การที่จำเลยทำรั้วกั้นตามเเนวทางพิพาทในภายหลังจากได้รับมรดกที่ดินต่อจากบิดา ถือว่าจำเลยยอมรับถึงการ ที่โจทก์ทั้งสองใช้ทางพิพาทในที่ดินจำเลยโดยกันที่ดินของจำเลยให้เป็นส่วนสัด ไม่ให้ฝ่ายโจทก์ทั้งสองเข้าไปใน ที่ดินของจำเลย เเละการที่จำเลยปักป้ายว่าทางส่วนบุคคลก็เพื่อสงวนสิทธิทางพิพาทไม่ให้ต้องตกเป็นทาง สาธารณะอันจะกลายเป็นทรัพย์สินของเเผ่นดินเท่านั้น มิใช่เป็นการหวงห้ามไม่ให้ฝ่ายโจทก์ทั้งสองเเละบริวาร ใช้ที่ดินพิพาท ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองเเละบริวารใช้ทางพิพาทโดยถือวิสาสะ โจทก์ทั้งสองย่อมได้สิทธิ ในทางภาระจำยอมโดยอายุความ ฎีกาที่ 7011/2547 ภาระจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่ก่อตั้งขึ้นด้วยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายตาม ป. พ.พ. มาตรา 1298 และการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 แม้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของถนนพิพาทจะทำหนังสือยินยอมให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ใช้ถนน พิพาทเป็นทางเข้าออกได้ และต่อมาเมื่อถนนพิพาทตกเป็นของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ก็ทำหนังสืออนุญาตให้ โจทก์ทั้งสี่ใช้ถนนพิพาทได้ก็ตาม แต่เมื่อข้อตกลงตามหนังสือยินยอมและอนุญาตให้โจทก์ทั้งสี่ใช้ถนนพิพาท
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงไม่เป็นทรัพยสิทธิและถนนพิพาทไม่ตกเป็นทางภาระจำยอม ตามกฎหมาย การที่โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิใช้ถนนพิพาทได้ก็โดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่ดินยินยอมและอนุญาตให้ใช้ แม้ โจทก์จะใช้ถนนพิพาทมานานเกินกว่า 10 ปีแล้ว แต่มิใช่เป็นการใช้ถนนโดยเจตนาที่จะให้ได้ภาระจำยอม จึงไม่ อาจได้ภาระจำยอมโดยอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 ฎีกาที่ 1325/2556 การได้ภาระจำยอมโดยอายุความตามป.พ.พ. มาตรา 1401 ให้นำบทบัญญัติ ว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลมซึ่งก็คือให้นำมาตรา 1382 มาใช้บังคับโดยอนุโลม กล่าวคือ การที่โจทก์ทั้งสองจะได้ภาระจำยอมโดยอายุความในฐานะที่เป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงอันเป็นสามทรัพย์ต้องใช้ทางในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่10 ของจำเลยทั้งสี่โดยปรปักษ์ ต่อเจ้าของที่ดินเพื่อให้ได้ทางภาระจำยอมโดยสงบเปิดเผยเป็นเวลา 10 ปีซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้กฎหมายมุ่ง ประสงค์ให้ถือเอาการใช้ประโยชน์ของเจ้าของสามยทรัพย์เป็นสำคัญโดยไม่ได้คำนึงว่าภารยทรัพย์นั้นจะเป็น ของผู้ใดหรือเจ้าของสามยทรัพย์จะต้องรู้ว่าใครเป็นเจ้าของสามยทรัพย์นั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสอง มีเจตนาถือเอาทางพิพาทโดยสงบโดยเปิดเผยเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แม้โจทก์ทั้งสองจะสำคัญผิดว่าทางพิพาท อยู่ในเขตที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 37098 ของผู้อื่นแต่เมื่อกฎหมายมุ่งประสงค์ที่ให้ถือเอาการใช้ประโยชน์ของ เจ้าของสามยทรัพย์เป็นสำคัญแล้วทางพิพาทในที่ดินจำเลยทั้งสี่ตามแผนที่พิพาทจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดิน โจทก์ทั้งสอง 3. การได้มาโดยกฎหมายกำหนด ก็อย่างเช่นตามที่เราได้ศึกษากันมาแล้วในมาตรา 1312 มาตรา 1339 ถึง 1343 หรือมาตรา 1352 สิทธิหน้าที่ของเจ้าของสามยทรัพย์ 1. เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิที่จะทำการใดให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ ตามมาตรา 1388 ฎีกาที่ 865/2523 ทางภาระจำยอมกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 60 เมตร ซึ่งเจ้าของ สามยทรัพย์มีเจตนาโดยชัดแจ้งที่จะให้ใช้ทางนี้เป็นทางเดินเข้าเท่านั้น และโจทก์ผู้เป็นเจ้าของภารยทรัพย์ก็รู้ เจตนาดังกล่าวดีอยู่แล้ว ดังนี้ การที่โจทก์จะใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกในทางภาระจำยอมอันจะต้องใช้ทางกว้างขึ้น จึงเป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ แม้ต่อมาภายหลังโจทก์จะมีรถยนต์เป็นเหตุให้โจทก์มีความ จำเป็นต้องใช้รถยนต์ผ่านทางภาระจำยอมโจทก์ ก็ไม่มีสิทธิจะทำเช่นนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 1388 และ 1389 ฎีกาที่ 1023/2546 การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. จัดจำหน่ายที่ดินพร้อมตึกแถวซึ่งมีสภาพติดต่อกัน เป็นแปลงย่อยมีจำนวนตั้งแต่ 10 แปลง ขึ้นไปโดยมีทางเท้าและถนนผ่านตึกหน้าโครงการ เป็นการแสดงออก โดยปริยายว่าจะจัดให้มีสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณะ ถือได้ว่าเป็นการจัดสรรที่ดิน ดังนั้นทางเท้าและ ถนนซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินจึงต้องตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินที่จัดสรรทุกแปลง ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ข้อ 1 และข้อ 30 โจทก์ซื้อที่ดินจากผู้ที่รับโอนที่ดินมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. ภาระจำยอมจึงตกติดไป
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ยังโจทก์ด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของทางภาระ จำยอมที่ตกแก่ที่ดินที่จัดสรรทุกแปลงรวมทั้งที่ดินของจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและห้ามมิให้ จำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทได้ ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทางเท้าตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของจำเลย จำเลยมีสิทธิที่จะใช้ทางเท้าและกัน สาดปูนซึ่งมีสภาพติดกับตึกแถวมาแต่แรกโดยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ แต่วัสดุผ้าใบกันฝนที่จำเลยนำมาติดตั้งไว้ หน้าตึกแถว เป็นการกระทำขึ้นภายหลัง จำเลยไม่มีสิทธิกระทำให้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินซึ่งเป็นภารยทรัพย์ เพราะ ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ จำเลยจึงต้องรื้อออกไป แม้จะมีการติดตั้งผ้าใบกันฝนที่ตึกแถวของจำเลย แต่โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายจากจำเลยไม่ได้ ฎีกาที่ 851/2552 จำเลยเพียงต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า โจทก์เป็นเพียงเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับ บุคคลอื่น และฟ้องคดีโดยไม่ได้รับมอบอำนาจหรือได้รับความยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่นเท่านั้น ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินโฉนดตราจองเลขที่ 183 ของโจทก์แบ่งแยกมาจากตราจองเลขที่ 22 แล้วตราจอง เลขที่ 22 ได้มีการแบ่งแยกในนามเดิมและแบ่งหักเป็นสาธารณประโยชน์อีก จึงมีปัญหาว่าทางภาระจำยอมที่ พิพาทกันอยู่ในเขตโฉนดตราจองเลขที่ 183 ของโจทก์หรือไม่ และทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าหลักฐาน แน่ชัดว่าทางภาระจำยอมที่พิพาทอยู่ในโฉนดตราจองเลขที่ 183 ของโจทก์ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นเรื่องนอก ประเด็น และเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตามบันทึกข้อตกลงเรื่องภาระจำยอมระบุไว้ว่า ที่ดินของโจทก์ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของจำเลย ในเรื่องทางเดินซึ่งหมายความว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิใช้ทางภาระจำยอมซึ่งเป็นทางเท้าติด กับตึกแถวของจำเลยเดินผ่านหรือเดินเข้าออกไปยังถนนสาธารณะหรือที่อื่นใดก็ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะไปหวง ห้ามมิให้เดินผ่าน เมื่อจำเลยนำวัสดุก่อสร้างมาวางจำหน่ายบนทางภาระจำยอม ก่อสร้างกันสาดหลังคา อะลูมิเนียมเป็นการถาวร นำชั้นมาวางของขายและนำรถยนต์มาจอดบนทางเท้าและทำประตูเปิดปิด ทำให้ โจทก์และประชาชนอื่นไม่สามารถเดินผ่านทางภาระจำยอมไปได้โดยสะดวก การกระทำของจำเลยซึ่งเป็น เจ้าของสามยทรัพย์เป็นการก่อภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ ตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1388 อันเป็น การละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงต้องรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยที่อยู่บนทางภาระจำยอมออกไป ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์และต้องรื้อถอน ออกไปตามฟ้องหรือไม่ จึงรวมถึงการที่จำเลยนำสิ่งของวัสดุก่อสร้างมาวางไว้บนทางภาระจำยอมและจะต้อง ขนย้ายออกไปด้วย ฎีกาที่ 172/2540 การจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินของโจทก์ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเป็นภาระจำยอม เรื่องทางเดินทั้งแปลง การวางท่อระบายน้ำ ระบบประปา ไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคอื่น การที่จำเลยทั้งสี่ จ้างรถบรรทุกดินเข้ามาถมที่ดินของจำเลยทั้งสี่ ซึ่งมีจำนวนหลายไร่ ถือได้ว่าเป็นการใช้ทางภาระจำยอมเกิน ควรกว่าปกติ ย่อมทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิที่จะทำ
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ได้การที่โจทก์นำหลักปักกีดขวางมิได้รถบรรทุกดินแล่น่านที่ภารยทรัพย์เข้าไปถมที่ดินของจำเลยทั้งสี่จึงไม่เป็น การละเมิดต่อจำเลยทั้งสี่ 2. เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการใดๆ เพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมได้โดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ตามมาตรา 1391 ฎีกาที่ 3217-3218/2537 ทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในภาระจำยอมแก่ที่ดินของ จำเลยทั้งสองเพียงให้คนและยานพาหนะผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะเท่านั้น ฉะนั้นการก่อสร้างหลังคาคลุม ทางพิพาทก็ดี การทำประตูปิดกั้นทางพิพาทก็ดี หาใช่การอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมไม่จำเลยทั้ง สองจึงไม่มีสิทธิที่จะปลูกสร้างหลังคาคลุมและทำประตูปิดกั้นทางพิพาท และแม้เจ้าของที่ดินที่เป็นภารยทรัพย์ คนเดิมจะอนุญาตให้จำเลยทั้งสองก่อสร้างหลังคาคลุมและทำประตูปิดกั้นทางพิพาทได้ การอนุญาตดังกล่าวก็ หาได้มีข้อผูกพันให้มีผลอยู่ตลอดไปไม่ดังนั้น เจ้าของที่ดินเดิมหรือโจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของที่ดินเดิม จะถอนการอนุญาตเสียในเวลาใดก็ย่อมได้ ฎีกาที่ 446/2541 เดิม ค.สามีโจทก์ที่ 1 และโจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางเดินบนที่ดินของ พ.ทางด้านทิศ ตะวันออกออกสู่ทางสาธารณะโดยสงบและเปิดเผยติดต่อกันเกินกว่า10 ปี ที่ดินของ พ.ดังกล่าวจึงตกเป็น ภาระจำยอมแก่ที่ดินของ ค.ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1401 ประกอบกับมาตรา 1382 ต่อมา พ.ขอให้ ค.ย้ายทาง ภาระจำยอมเดิมมายังทางพิพาทเพื่อประโยชน์ของ พ. ซึ่งประสงค์จัดสรรที่ดินขาย ทางพิพาทจึงตกเป็นภาระ จำยอมแทนทางเดิม ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1392 เมื่อโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินสามยทรัพย์มาจาก ค. และโจทก์ที่ 2 ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสามยทรัพย์มาจากโจทก์ที่ 1 โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลย ทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินจาก พ.ซึ่งมีทางพิพาทอันเป็นภารยทรัพย์ให้เปิดทางพิพาทและจดทะเบียนภาระจำ ยอมให้แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองได้ เพราะการจดทะเบียนภาระจำยอมนั้นถือว่าเป็นการอันจำเป็นเพื่อรักษา และใช้ภาระจำยอมประการหนึ่ง ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1391วรรคแรก โจทก์ทั้งสองใช้ทางเดินในที่ดินของ พ.โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำ ยอมมิใช่ถือวิสาสะ จนได้ภาระจำยอมโดยอายุความแล้ว แม้โจทก์ที่ 1 จะทราบหรือไม่ทราบระหว่างโจทก์ที่ 1 หรือ ค.เจ้าของที่ดินเดิมที่โจทก์ที่ 1 รับโอนที่ดินมา ผู้ใดเป็นผู้ได้สิทธิภาระจำยอมตามกฎหมาย ก็ไม่ใช่ สาระสำคัญ เหตุที่ พ.ขอให้ ค.ย้ายทางภาระจำยอมนั้นเนื่องจาก พ.จะนำที่ดินแปลงที่เป็นภารยทรัพย์มาจัดสรร ขาย ดังนั้นการย้ายทางภาระจำยอมไปใช้ทางพิพาทจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ พ. การย้ายทางภาระจำยอม ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ และการที่ ค.เจ้าของที่ดินแปลงที่ เป็นสามยทรัพย์ตกลงจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ พ.ก็เป็นค่าตอบแทนในส่วนที่ค.จะได้ใช้ทางพิพาทกว้างขึ้นจาก เดิมนั้น คู่กรณีย่อมสามารถตกลงกันด้วยความสมัครใจได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1392 โจทก์ทั้งสองจึงสามารถ สืบพยานบุคคลถึงข้อตกลงดังกล่าวเพื่ออธิบายประกอบให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของคู่กรณีได้
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โจทก์ทั้งสองได้ใช้ทางพิพาทจนได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินของจำเลยโดยอายุความ และโจทก์ฟ้อง โดยอาศัยสิทธิที่ได้ภาระจำยอมในทางพิพาทโดยอายุความ มิใช่ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาประนีประนอม ยอมความระหว่าง ค.กับโจทก์ แม้ว่า ค.จะผิดสัญญาการชำระเงินหรือไม่ก็ตาม ก็หาทำให้สิทธิภาระจำยอม ในทางพิพาทของโจทก์ทั้งสองที่มีอยู่สิ้นไปไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองทุกแปลง ตาม รายละเอียดในแผนที่เอกสารหมาย จ.1 ที่โจทก์อ้างส่ง แต่ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ระบุเลขโฉนดที่ดินของ โจทก์ที่ 1 ไม่ครบทุกแปลงโดยไม่ระบุที่ดินตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 ด้วย ย่อมทำให้คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ใน ส่วนที่ดินของโจทก์ที่ 1 แปลงดังกล่าวนั้นไร้ผล เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาล ฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5) สิทธิและหน้าที่ของเจ้าของภารยทรัพย์ 1. เจ้าของภารยทรัพย์จะทำการใดอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมเสื่อมความสะดวกไปมิได้ ฎีกาที่ 1250/2533 ที่ดินของโจทก์และจำเลยมีเขตติดต่อกันโดยที่ดินโจทก์อยู่ทางทิศเหนือของ ที่ดินจำเลย โจทก์ใช้ทางพิพาทเข้าออกจากที่ดินโจทก์ผ่านที่ดินจำเลยนานเกิน 10 ปี ทางพิพาทจึงเป็นทาง ภาระจำยอมโจทก์ย่อมมีสิทธิใช้ทางพิพาททั้งเวลากลางวันและกลางคืน จำเลยไม่มีสิทธิปิดกั้นให้แคบลง กว่าเดิมและปิดในเวลากลางคืน เพราะเป็นการประกอบกรรมอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดไป หรือเสื่อมความสะดวก ฎีกาที่ 447/2549 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลูกเพิงบนถนนพิพาท และจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำสิ่งของต่าง ๆ จำพวกยางรถยนต์และเศษไม้มาวางบนถนนพิพาทซึ่งเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ การกระทำของ จำเลยทั้งสองจึงเป็นการขัดขวางมิให้โจทก์และบริวารของโจทก์ได้รับความสะดวกในการใช้ถนนพิพาท ถือได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือขาดความสะดวกแก่โจทก์แล้วโจทก์จึงเป็น ผู้เสียหาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้ แม้โจทก์หรือบริวารของโจทก์สร้างราวตากผ้าในถนนพิพาท ด้วย ก็หาทำให้การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดไม่ ทั้งการที่ โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็เพราะจำเลยทั้งสองทำให้ประโยชน์แห่งถนนพิพาทซึ่งเป็นทางภาระจำยอมลดไปหรือขาดความ สะดวกแก่โจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต แม้จำเลยทั้งสองปลูกสร้างเพิงและวางสิ่งของจำพวกยางรถยนต์และเศษไม้จำนวนมากบนถนนพิพาท ตั้งแต่ปี 2533 คิดถึงวันฟ้องวันที่ 30 ตุลาคม 2540 อันเป็นวันฟ้องเกิน 1 ปีแล้ว แต่เมื่อเพิงและสิ่งของต่าง ๆ ที่จำเลยทั้งสองกระทำขึ้นยังมีอยู่บนถนนพิพาทตลอดมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ สิทธิในการฟ้องขอให้รื้อ ถอนเพิงและขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ออกไปจากถนนพิพาทซึ่งเป็นทางภาระจำยอมจึงยังคงมีอยู่ตลอดไป คดีของ โจทก์ไม่ขาดอายุความ
pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 2. เจ้าของภารยทรัพย์มีสิทธิขอย้ายภารยทรัพย์ไปยังส่วนอื่นของภารยทรัพย์ได้ตามมาตรา 1392 ฎีกาที่ 2583/2537 การที่โจทก์ใช้ทางพิพาทกว่า 10 ปี ทางพิพาทดังกล่าวจึงตกเป็นทางภาระจำ ยอมแก่ที่ดินของโจทก์ ต่อมาเมื่อจำเลยขอให้โจทก์ย้ายทาง-ภาระจำยอมมายังส่วนอื่นของที่ดินจำเลยเพื่อ ประโยชน์ของจำเลยเจ้าของภารยทรัพย์ ทางเส้นใหม่นี้จึงตกเป็นทางภาระจำยอมแทนทางเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1392 ฎีกาที่ 7153/2553 ป.พ.พ. มาตรา 1392 มิได้ระบุระยะเวลาที่อาจเรียกให้ย้ายภาระจำยอมไว้ว่า จะต้องกระทำภายในระยะเวลาใด และต้องกระทำก่อนคดีถึงที่สุดหรือไม่ เพียงแต่ะระบุให้เจ้าของภารยทรัพย์ ที่ขอย้ายต้องแสดงให้เห็นได้ว่าการย้ายนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนและรับจะเสียค่าใช้จ่ายหากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ทั้งจะต้องไม่ทำให้ความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง ก็เพียงพอที่จะเรียกให้ย้ายทางภาระจำยอม ได้แล้ว ประกอบกับเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาตราดังกล่าวก็เพื่อต้องการให้เป็นหลัก ประนีประนอมอันดีระหว่างประโยชน์ของเจ้าของภารยทรัพย์และความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์โดยไม่ ถือเคร่งครัดตามสิทธิเกินไปด้วย ดังนั้นตราบใดที่การบังคับคดียังไม่เสร็จสิ้น การขอย้ายทางภาระจำยอมก็ย่อม สามารถกระทำได้แม้จะมีคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นที่สุดแล้วก็ตาม ลักษณะสำคัญของภาระจำยอม 1. ภาระจำยอมตกติดไปกับสามยทรัพย์ตามมาตรา 1393 2 ภาระจำยอมย่อมตกติดไปกับภารยทรัพย์เสมอไป ไม่ว่าภารยทรัพย์จะโอนไปเป็นของผู้ใด ฎีกาที่ 800/2502 ภาระจำยอมจะสิ้นไปก็แต่เมื่อภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์สลายไปทั้งหมดหรือ มิได้ใช้สิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1397,1399 และในลักษณะซื้อขายตาม มาตรา 480 ก็ยังบัญญัติว่า"ถ้าอสังหาริมทรัพย์ต้องแสดงว่าตกอยู่ในบังคับแห่งภาระจำยอมโดยกฎหมายไซร้ ท่านว่า ผู้ขายไม่ต้องรับผิด เว้นแต่ผู้ขายจะได้รับรองไว้ในสัญญาว่าทรัพย์นั้นปลอดจากภาระจำยอมอย่างใดๆ ทั้งสิ้น หรือปลอดจากภาระจำยอมอันนั้น" ตาม มาตรา 1299 หมายถึงแต่กรณีที่บุคคลได้มาโดยสุจริตซึ่งทรัพย์สิทธิอันเดียวกันกับสิทธิที่ยัง ไม่ได้จดทะเบียน ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งมีภาระจำยอมติดอยู่ หาได้สิทธิในภาระจำยอมไปด้วยแต่อย่างไร ไม่ สำหรับที่ดินอันเป็นภารยทรัพย์นั้น ภาระจำยอมที่มีอยู่เป็นแต่การรอนสิทธิตาม มาตรา 480 เท่านั้น ผู้รับ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภาระจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินนั้น ต้องสิ้นไปหาได้ไม่ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2502) ฎีกาที่ 6459/2551 แม้โจทก์จะซื้อที่ดินโดยสุจริตจากการขายทอดตลาด แต่ก่อนเวลาที่โจทก์จะ ได้มาซึ่งที่ดินดังกล่าวจำเลยได้ใช้ที่ดินตลอดมาโดยสงบ โดยเปิดเผยและด้วยเจตนาให้ได้สิทธิภาระจำยอม ติดต่อกันเกิน 10 ปี จำเลยในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ย่อมได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1401 มิใช่เพียงรุกล้ำใช้อย่างสภาพทางจำเป็น แม้จำเลยจะยังไม่จดทะเบียนสิทธิภาระจำยอมก็หาทำ
pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ให้สิทธิดังกล่าวสิ้นไป เพราะทรัพย์วัตถุแห่งสิทธิเป็นประธานภาระจำยอมมีลักษณะเป็นสิทธิประเภทรอนสิทธิ มิใช่การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ จึงไม่อยู่ในบังคับหลักกฎหมายที่ว่าสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียน มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอนแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ฎีกาที่ 3262/2548 คดีก่อน บ. เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 คนก่อนได้ฟ้อง ข. เจ้าของที่ดิน โฉนดเลขที่ 5340 คนก่อน ให้ขนย้ายและรื้อถอนสิ่งกีดกั้นออกจากทางพิพาทกับจดทะเบียนทางพิพาทเป็น ภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาให้บังคับตามคำขอของ บ. ส่วนคดีนี้โจทก์ ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5340 ให้รื้อถอนสิ่งกีดขวางกับสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยกระทำขึ้นใหม่ ภายหลังจากมีคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวแล้ว กับจดทะเบียนทางพิพาทเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนด เลขที่ 5342 และ 15764 ของโจทก์ ดังนั้นเหตุที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางกับสิ่งปลูกสร้างในคดี นี้จึงเป็นคนละเหตุกับที่ บ. ฟ้อง ข. ในคดีก่อน โจทก์ไม่อาจมีคำขอให้บังคับจำเลยในคดีก่อนได้ ทั้งคดีก่อน บ. ก็มิได้ดำเนินการบังคับคดีให้มีการจดทะเบียนภาระจำยอมจนพ้นกำหนดเวลาบังคับคดีไปแล้ว แม้โจทก์จะเป็น ผู้สืบสิทธิในที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 จาก บ. โจทก์ก็มีสิทธินำคดีมาฟ้องได้ ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ คดีก่อนศาลฎีกาพิพากษาว่า ทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15764 โดยอายุ ความ อันเป็น ทรัพยสิทธิที่ติดไปกับตัวทรัพย์ กรณีหาใช่เป็นภาระจำยอมโดยนิติกรรมซึ่งยังมิได้จดทะเบียนอัน เป็นบุคคลสิทธิดังที่จำเลยฎีกาไม่ จำเลยหาอาจอ้างว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5340 โดยเสีย ค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริต จึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรค สอง ได้ไม่ เพราะสิทธิตามความหมายในบทบัญญัติดังกล่าวต้องเป็นสิทธิในประเภทเดียวกัน แต่ภาระจำยอม เป็นสิทธิในประเภทรอนสิทธิ ส่วนกรรมสิทธิ์เป็นสิทธิในประเภทได้สิทธิ เป็นสิทธิคนละประเภทกัน ทั้งโจทก์ และจำเลยเป็นผู้สืบสิทธิจากคู่ความในคดีก่อน คำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลย แม้ทางพิพาทจะเกิดจากข้อตกลงระหว่าง พ. กับ บ. ที่ตกลงให้กันที่ดินของแต่ละฝ่ายไว้เพื่อใช้เป็น ทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อ บ. และผู้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 และ 15764 จาก บ. ตลอดมา จนถึงโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินออกสู่ทางสาธารณะโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาจะให้ได้สิทธิภาระ จำยอมติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปี ก็ย่อมได้ภาระจำยอมโดยอายุความได้เช่นกัน คำว่า ภาระจำยอมหมดประโยชน์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1400 วรรคหนึ่ง หมายความว่าไม่สามารถ ใช้ภารยทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่สามยทรัพย์ได้อีกต่อไป หากภารยทรัพย์ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อยู่แม้ไม่มี การใช้ภารยทรัพย์นั้น ก็หาใช่ภาระจำยอมหมดประโยชน์ตามความหมายของบทกฎหมายดังกล่าวไม่ ดังนั้น แม้ ที่ดินของโจทก์อันเป็นสามยทรัพย์จะมีทางออกทางอื่นสู่สาธารณะและโจทก์ใช้ทางดังกล่าวนี้เป็นหลัก แต่เมื่อ ทางพิพาทยังมีสภาพเป็นทางเดินคงเดิม ทางภาระจำยอมจึงยังไม่หมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ ภาระจำยอม ยังไม่สิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1400 วรรคหนึ่ง
pg. 12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ปัญหาว่าการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตหรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอ้างในศาล ชั้นต้น จำเลยก็ยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้เพราะเป็นเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะปลูกสร้างอาคารในที่ดินโฉนดเลขที่ 5342 ซึ่งเป็นที่ดินส่วนที่ บ. กันไว้เป็นทางออกสู่ซอยวัดยางสุทธารามตามที่ตกลงกับ พ. แต่ที่ดินแปลงนี้อยู่ด้านในไม่เป็นประโยชน์แก่ที่ดิน ของจำเลยที่จะออกสู่ซอยวัดยางสุทธาราม ที่ พ. ทำข้อตกลงกับ บ. ให้ บ. กันที่ดินของ บ. ดังกล่าวก็เพื่อ ประโยชน์แก่ที่ดินของ พ. แปลงอื่นซึ่งอยู่ด้านในเท่านั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจึงมิใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต 3. การแบ่งแยกภารยทรัพย์หรือแบ่งสามยทรัพย์ หากส่วนที่แบ่งแยกยังติดภาระจำยอมยังเป็น ประโยชน์แก่สามยทรัพย์ที่แบ่งแยก ภาระจำยอมก็ไม่สิ้นไปตามมาตรา 1394 และมาตรา 1395 ความระงับขึ้นไปแห่งภาระจำยอม 1. เมื่อนิติกรรมตกลงให้ระงับตามมาตรา 1299 มาตรา 1301 ฎีกาที่ 356/2516 เดิมจำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้อง ด. เจ้าของเดิมของที่พิพาทว่า ในที่พิพาทมีทาง จำเป็น ด. ยอมให้จำเลยใช้มากว่าสิบปี ตกเป็นภาระจำยอม ด. ต่อสู้ว่าทางในที่พิพาทไม่ใช่ทางภาระจำยอม หรือทางจำเป็น คดียังไม่มีการสืบพยานจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ ด. มีข้อความว่าด. ยอม ให้จำเลยเช่าทางพิพาทตามสภาพเดิม ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 100 บาท จำเลยตกลงเช่า.ดังนี้ ข้อพิพาทซึ่งมี อยู่ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ครั้นต่อมา ด.ขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์บอกเลิกการเช่า แล้วโจทก์มาฟ้องขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับ ที่พิพาท จำเลยจะอ้างสิทธิอันมีมาก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นข้อต่อสู้ฟ้องแย้งขอแสดงว่ามีทาง อันเป็นภารจำยอมในที่พิพาทอีกหาได้ไม่ สิทธิในภาระจำยอมอาจสิ้นสุดลงได้ด้วยเหตุหลายประการ ไม่เฉพาะที่บัญญัติไว้ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1397,1399 เท่านั้น ภาระจำยอมอาจสิ้นสุดลงโดยนิติกรรมระหว่าง เจ้าของสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ตกลงกันให้ภาระจำยอมที่มีอยู่ระงับสิ้นไปก็ได้ โดยทำเป็นหนังสือและจด ทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1299 และ1301 เมื่อจำเลยทำสัญญาประนีประนอม ยอมความระงับข้อพิพาทเรื่องภาระจำยอมกับ ด. เจ้าของที่พิพาทเดิม จนศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว จำเลยและ ด. ย่อมจะต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีนั้น เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิอ้างทางภาระจำยอมมายัน ด.จำเลยย่อมจะ อ้างทางภาระจำยอมมายันโจทก์ผู้รับโอนที่พิพาทจาก ด. ไม่ได้ด้วย 2. ภาระจำยอมที่ได้มาโดยนิติกรรมกำหนดเวลาไว้ ระงับเมื่อครบกำหนดเวลา 3. กรณีแบ่งแยกภารยทรัพย์หรือแบ่งแยกสามยทรัพย์ ตามมาตรา 1394 มาตรา 1395 4. เมื่อภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์สลายไปทั้งหมด
pg. 13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สำหรับวันนี้ก็ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ ก็ขอให้นักศึกษาโชคดีในการสอบทุกท่านนะครับ สรุป a04 ตรวจทาน c06
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ขายสิทธิแม้ไม่ทำเป็นหนังสือ แต่เมื่อได้มีการชำระหนี้เนื่องในการซื้อขายกันบ้างแล้ว ย่อมมีผลผูกพันระหว่าง กัน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับตามข้อตกลงดังกล่าวได้ ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา คำพิพากษาฎีกาวางหลักไว้ว่าไม่ว่าจะเป็นลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมาย การค้าต่างๆ ไม่สามารถครอบครองปรปักษ์ได้ เพราะทรัพย์สินเหล่านี้เป็นแนวคิดที่มนุษย์สร้างระบบขึ้น เพื่อที่จะหวงกันบางอย่าง ดังนั้นแม้ครอบครองนานเพียงใดก็ไม่ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ ฎีกาที่ 9544/2542 เครื่องหมายการค้าไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ ครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ ฎีกาที่ 6466/2538 เครื่องหมายการค้าครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ ฎีกาที่ 846/2534 ลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินแต่ไม่อาจจัดเป็นทรัพย์สินในประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์บรรพ 4 จึงครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ ทรัพย์แบ่งได้และทรัพย์แบ่งไม่ได้ มาตรา141 มาตรา142 1.ทรัพย์แบ่งได้ 2.ทรัพย์แบ่งไม่ได้ โดยสภาพและโดยอำนาจของกฎหมาย เช่น หุ้นมาตรา 1118 ส่วนควบมาตรา 144วรรคสอง ภาระจำยอม สิทธิจำนอง กรรมสิทธิ์ในห้องชุด ฎีกาที่ 8314-8315/2551 การแบ่งแยกที่ดินที่จำนองโฉนดเลขที่ 685 ออกเป็นหลายแปลงตาม โฉนดเลขที่ 55728 ถึง 55735 ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดี เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ในฐานะผู้รับจำนองได้ตกลง ยินยอมให้จำเลยทำการแบ่งแยกที่ดินที่จำนองออกไปโดยปลอดจากการจำนอง ต้องถือว่าการจำนองยังคง ครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นหมดทุกส่วนที่แบ่งแยกออกไปด้วยกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 717 ทรัพย์นอกพาณิชย์ มาตรา 143 ทรัพย์นอกพาณิชย์ หมายความว่า ทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้ และทรัพย์ที่โอนแก่กันมิได้โดยชอบ ด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นการต้องห้ามโอนโดยเด็ดขาด เช่น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน มาตรา 1305 ค่าอุปการะเลี้ยงดู มาตรา1598/41 แต่ถ้าเป็นเรื่องที่มีเงื่อนเวลาห้ามโอนไว้ไม่ใช่ทรัพย์นอกพาณิชย์ วันนี้เรื่องสำคัญคือต้องเข้าใจคำว่าอสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สิน เพื่อจะเป็นฐานต่อไป คราวหน้าจะพูด เรื่องส่วนของทรัพย์ให้จบและคราวถัดไปจะพูดเรื่องบรรพ 4 สวัสดีครับ ***จบการบรรยาย***