93 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (ดนตรี) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การขับร้อง และบรรเลงเครื่องดนตร เวลา 8 ชั่วโมง เรื่อง สีสัน และน้ำเสียงของเครื่องดนตรีไทย เวลา 2 ชั่วโมง วันที่สอน วันจันทร์ ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 โรงเรียนเทศบาล 5 สีหรักษ์วิทยา มาตรฐานการเรียนรู้ ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าดนตรีถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดต่อดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ตัวชี้วัด ม.1 (1/2) เปรียบเทียบเสียงร้องและเสียงของเครื่องดนตรีที่มาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน สาระสำคัญ เครื่องดนตรีถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ สำหรับใช้บรรเลงให้เกิดเสียงที่ตรงทำนองตามที่ นักคนตรีต้องการ เครื่องดนตรีที่สร้างขึ้นในแต่ละวัฒนธรรมนั้น มีการจำแนกประเภทแตกต่างกันตามวิธีการเล่น จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถเข้าใจความหมายของสีสันและน้ำเสียงของดนตรีไทยได้ (K) 2. นักเรียนสามารถอธิบายได้ว่าน้ำเสียงของเครื่องดนตรีไทยได้(P) 3. นักเรียนมีความตั้งใจเรียนขณะครูสอน (A) สาระการเรียนรู้ สีสันและน้ำเสียงของดนตรีไทย สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
94 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน ภาระงาน/ชิ้นงาน ใบงาน คำถามสำคัญ นักเรียนรู้ไหมว่าความหมายของสีสันและน้ำเสียงของดนตรีไทยเป็นอย่างไร กระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำ 1. ครูกล่าวทักทายนักเรียน 2. ครูได้นำรูปเครื่องดนตรีไทย มาติดไว้ให้นักเรียนดู แล้วสอบถามจากประสบการณ์ของนักเรียน ว่ารู้จักเครื่องดนตรีชิ้นนั้นหรือไม่ เพื่อเป็นการดึงความสนใจของนักเรียน 3. ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนรู้จักไหมว่าเสียงของเครื่องดนตรีเหล่านี้มีลักษณะอย่างไร ขั้นสอน 1. ครูอธิบายสีสัน การเกิดเสียงโดยธรรมชาติให้นักเรียนฟัง 2. ครูแจกใบความรู้ให้นักเรียน 3. นักเรียนศึกษาสีสันและน้ำเสียงของดนตรีไทยตามใบความรู้ ว่าเครื่องดนตรีไทยนั้นเรียงแบบ ถูกวิธี จะต้องเรียงว่าตี เป่า ดีด สี 4. ครูเปิดวีดิทัศน์พร้อมทั้งคลิปเสียงในนักเรียนฟังพร้อมทั้งอธิบาย 5. ครูแจกใบงานที่ 11 ให้นักเรียนทำส่งท้ายชั่วโมง ขั้นสรุป ครูและนักเรียนช่วยกันอภิปราย ถึงเรื่องสีสัน และ น้ำเสียงของเครื่องดนตรีไทย ว่ามีสีสันอย่างไร ครูอธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่เห็นว่ายังไม่ดี สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 1. ใบความรู้ 2. วีดิทัศน์
95 กระบวนการวัดและการประเมินผล เครื่องมือ 1. ใบงาน 2. แบบประเมินพฤติกรรมรายบุคคล วิธีการ 1. ตรวจใบงาน 2. ประเมินพฤติกรรมรายบุคคล เกณฑ์ 1. ผ่านเกณฑ์ 70% 2. ผ่านเกณฑ์ 70%
96
97
98 ใบความรู้ เรื่อง สีสัน และ น้ำเสียงของเครื่องดนตรีไทย ประวัติการเกิดของประเภทของดนตรีไทย ตี เป่า ดีด สี สีสันและน้ำเสียงของเครื่องดนตรีไทยเกิดจากแหล่งกำเนิดเสียง โดยธรรมชาติของเครื่องดนตรี ที่มีการกระทำให้เกิดเสียงนั้น เพราะมีการทำให้วัตถุสั่นสั่นสะเทือนด้วยการดีด สีตีเป่า ตัวการที่ทำให้เกิด สีสันของเสียงจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดความกว้าง ยาว ตื้น ลึก ของกล่องเสียง ทรวดทรงที่ปรากฏมีรางระนาด ตัวจะเข้ กะโหลก กระบอกซอ หุ่นกลอง เลาปี่ เลาขลุ่ย เป็นต้น ชนิดของสายหรือเส้นที่ขึงบนเครื่องดนตรีชนิดของไม้แผ่นหนังหรือวัตถุต่าง ๆ ที่นำมาประกอบเป็น เครื่องดนตรีกระทบ ดีด สีตี และเป่า ที่ลงน้ำหนักผ่อน ยาว เบา แรง เป็นปัจจัยให้คุณภาพของเครื่องดนตรี มีระดับของความดัง ค่อยมีสีสันและธรรมชาติของเสียงที่แตกต่างกันออกไป
99 ใบงาน เรื่อง สีสันและน้ำเสียงของเครื่องดนตรีไทย คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. ประเภทของเครื่องดนตรีไทย มีกี่ประเภทอะไรบ้าง คือ 2. เรียงตามการเกิดของเครื่องดนตรีไทย ว่า ประเภทใดเกิดก่อนและเกิดที่หลัง ได้แก่ 3. การเกิดเสียงเกิดจากวัตถุมีการสั่นสะเทือนแต่ถ้าวัตถุนั้นไม่มีการสั่นสะเทือนจะเกิดเสียงได้หรือไม่เพราะเหตุใด ชื่อ-สกุล.......................................................................................... ชั้น............... เลขที่.... ...............
100 แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรายบุคคล คำชี้แจง : ให้ผู้ประเมินสังเกตพฤติกรรมการทำงานและการเรียนของนักเรียนเป็นรายบุคคลตามเกณฑ์ การให้คะแนนข้างล่างแล้วบันทึกคะแนนลงในตารางให้ตรงช่องคะแนนนั้น ๆ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติบ่อยครั้ง สังเกตเห็นได้ชัดเจน 1 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติเป็นบางครั้ง 0 คะแนน หมายถึง ไม่ได้ปฏิบัติ สังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจน พฤติกรรม เลขที่-ชื่อ ความสนใจใน การเรียนและ การตรงต่อเวลา ความร่วมมือใน การทำงานตาม ขั้นตอน ยอมรับฟัง ความคิดเห็น ของเพื่อน มีน้ำใจ ช่วยเหลือเพื่อน ในการทำงาน มีความ รับผิดชอบงานที่ ได้รับมอบหมาย คะแนนรวม ผลการประเมิน ระดับ 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 10 เกณฑ์การประเมินรายบุคคล [ ] ระดับ ดี ได้คะแนน 8 - 10 คะแนน ลงชื่อ…………............……………. [ ] ระดับ พอใช้ ได้คะแนน 5 - 7 คะแนน (…….....……………......…..) [ ] ระดับ ปรับปรุง ได้คะแนน 0 - 4 คะแนน ผู้ประเมิน ………./………/…….
101 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 12 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (ดนตรี) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรี เวลา 8 ชั่วโมง เรื่อง ร้องและบรรเลงดนตรีประกอบเพลงพื้นบ้าน เวลา 2 ชั่วโมง วันที่สอน วันจันทร์ ที่ 13 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 โรงเรียนเทศบาล 5 สีหรักษ์วิทยา มาตรฐานการเรียนรู้ ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าดนตรีถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดต่อดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ตัวชี้วัด ม.1 (1/3) ร้องเพลงและใช้เครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการร้องเพลงด้วยบทเพลงที่หลากหลาย สาระสำคัญ ลักษณะของบทเพลงไทยมีหลากหลายลักษณะ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือเพลงขับร้อง และเพลงบรรเลง จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถบอกลักษณะการขับร้องในแต่ละภูมิภาคได้ (K) 2. นักเรียนสามาถเขียนอธิบายความแตกต่างของเพลงไทยในแต่ละภูมิภาคได้(P) 3. นักเรียนตั้งใจฟังเมื่อครูอธิบายเนื้อหาที่สอน (A) สาระการเรียนรู้ ลักษณะการขับร้องในแต่ละภูมิภาค สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
102 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน ภาระงาน/ชิ้นงาน ใบงาน คำถามสำคัญ นักเรียนรู้ไหมว่าความแตกต่างของเพลงไทยในแต่ละภูมิภาคเป็นอย่างไร กระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำ 1. ครูกล่าวทักทายนักเรียน 2. ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนรู้จักลักษณะของบทเพลงไทยหรือไม่ ลักษณะของบทเพลงไทย ที่นักเรียนรู้จักเป็นอย่างไร ขั้นสอน 1. ครูอธิบายความหมายลักษณะของบทเพลงไทยให้นักเรียนฟัง 2. ครูแจกใบความรู้แล้วให้นักเรียนศึกษา การขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบเพลง พื้นบ้าน 3. ขณะทำการสอน ครูเปิดวีดิทัศน์ประกอบในแต่ละหัวข้อ 4. แบ่งกลุ่มนักเรียน 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มได้หัวข้อเพลงพื้นบ้านในแต่ละภาค (เหนือ ใต้ กลาง อีสาน) และให้แต่ละกลุ่มช่วยกันศึกษาลักษณะเพลงในหัวข้อที่กลุ่มตัวเองได้รับว่ามีลักษณะของบทเพลงไทย ว่ามีลักษณะอย่างไร 5. ครูแจกแบบทดสอบให้นักเรียนคนละชุด ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุป การขับร้องกับการบรรเลงว่ามีลักษณะอย่างไร สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 1. ใบความรู้ 2. วีดิทัศน์
103 กระบวนการวัดและการประเมินผล เครื่องมือ 1. แบบฝึกหัด 2. แบบประเมินพฤติกรรมรายบุคคล วิธีการ 1. นักเรียนทำแบบฝึกหัด 2. ประเมินพฤติกรรมรายบุคคล เกณฑ์ 1. ผ่านเกณฑ์ 70 % 2. ผ่านเกณฑ์ 70 %
104
105
106 ใบความรู้ ดนตรีเพลงและการขับร้องเพลงไทยสำหรับประกอบการแสดง ดนตรีเพลง และการขับร้องเพลงไทยสำหรับประกอบการแสดง สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ดนตรีที่ใช้ ประกอบการแสดงนาฎศิลป์ไทย และเพลงไทยสำหรบประกอบการแสดงนาฎศิลป์ไทย และเพลงไทยสำหรับ ประกอบการแสดงนาฎศิลป์ไทย 1.ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงนาฎศิลป์ไทย ประกอบด้วย 1.1 ดนตรีประกอบการแสดงโขน - ละคร วงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงโขนและละครของไทย คือ วงปี่พาทย์ซึ่งมีขนาดของวงเป็นแบบวง ประเภทใดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของการแสดงนั้น ๆ ด้วย เช่น การแสดงโขนนั่งราวใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า 2 วง การแสดงละครในอาจใช้วงปี่พาทย์เครื่องคู่ หรือการแสดงละครดึกดำบรรพ์ต้องใช้วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์เป็นต้น 1.2 ดนตรีประกอบการแสดงรำและระบำมาตรฐาน การแสดงรำและระบำที่เป็นชุดการแสดงที่เรียกว่า รำมาตรฐานและระบำมาตรฐานนั้น เครื่องดนตรีที่ ใช้ประกอบการแสดง จะใช้วงปี่พาทย์บรรเลง อาจมีการนำเครื่องดนตรีบางชนิดเข้ามาประกอบตามลักษณะ ความจำเป็นของการแสดง เช่น ระบำกฤดาภินิหาร อาจนำเครื่องดนตรี ขิมหรือซอด้วง ม้าล่อ กลองต้อก และ กลองแต๋ว มาบรรเลงในช่วงท้ายของการรำที่เป็นเพลงเชิดจีนก็ได้ 1.3 ดนตรีประกอบการแสดงพื้นเมือง ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงพื้นเมืองภาคต่างๆ ของไทยจะเป็น วงดนตรีพื้นบ้าน ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณค่าของแต่ละภูมิภาค ได้แก่ 1.3.1 ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ มีเครื่องดนตรี เช่น พิณเปี๊ยะ ซึง สะล้อ ปี่แน ปี่กลาง ปี่ก้อย ปี่ตัด ปี่เล็ก ป้าดไม้ (ระนาดไม้) ปาดเหล็ก (ระนาดดอกเหล็ก) ป้าดฆ้อง (ฆ้องวงใหญ่) ฆ้องหุ้ย ฆ้องเหม่ง กลองหลวง กลองแดว กลองปูเจ่ กลองปูจา กลองสะบัดไชย กลองมองเชิง กลองเต่งทิ้ง กลองม่านและกลองตะโล้ดโปด เมื่อนำมารวมเป็นวง จะได้วงต่าง ๆ คือ วงสะล้อ ซอ ซึง วงปูเจ่ วงกลองแอว วงกลองม่าน วงปี่จุม วงเต่งทิ้ง วงกลองปูจาและวงกลองสะบัดไชย 1.3.2 ดนตรีพื้นเมืองภาคกลาง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเดียวกับวงดนตรีหลักของไทย คือ วงปี่พาทย์และเครื่องสาย ซึ่งลักษณะในการนำมาใช้อาจนำมาเป็นบางส่วนหรือบางประเภท เช่น กลองตะโพน และเครื่องประกอบจังหวะนำมาใช้ในการเล่นเพลงอีแซว เพลงเกี่ยวข้าว กลอง รำมะนาใช้เล่นเพลงรำตัด กลองยาวใช้เล่นรำเถิดเทิง กลองโทนใช้เล่นรำวงและรำโทน ส่วนเครื่องเดินทำนองก็นิยาใช้ระนาด ซอหรือปี่ เป็นต้น 1.3.3 ดนตรีพื้นเมืองภาคอีสาน มีเครื่องดนตรีที่สำคัญ ได้แก่ พิณ อาจเรียกต่างกันไปตาม ท้องถิ่น เช่น ซุง หมากจับปี่ หมากตับเต่ง และหมากต๊ดโต่ง ซอ โปงลาง แคน โหวด กลองยาวอีสาน กลองกันตรึม
107 ซอกันตรึม ซอด้วง ซอตรัวเอก ปิ่อ้อ ปี่เตรียง ปี่สไน เมื่อนำมาประสมวงแล้วจะได้วงดนตรีพื้นเมือง คือ วงโปงลาง วงแคน วงมโหรีอีสานใต้ วงทุ่มโหม่ง และวงเจรียงเมริน 1.3.4 ดนตรีพื้นเมืองภาคใต้ มีเครื่องดนตรีที่สำคัญ ได้แก่ กลองโนรา (กลองชาตรีหรือกลองตุ๊ก) กลองโพน กลองปืด กลองทับ โทน รำมะนา โหม่ง (ฆ้องคู่) ปีกาหลอ ปี่ไหน กรับพวงภาคใต้ (แกระ) และนำ เครื่องดนตรีสากลเข้ามาผสม ได้แก่ ไวโอลิน กีตาร์เบนโจ แอคคอร์เดียน ลูกแซ็ก ส่วนการประสมวงนั้น เป็นการ ประสมวงตามประเภทของการแสดงแต่ละชนิด 2. เพลงไทยสำหรับประกอบการแสดงนาฎศิลป์ไทย 2.1 เพลงไทยประกอบการแสดงโขน ละคร รำ และระบำมาตรฐาน เพลงไทยที่ใช้บรรเลงและขับร้องประกอบการแสดงนาฎศิลป์ไทย โขน ละคร รำ และระบำที่เป็น มาตรฐานนั้น แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ เพลงหน้าพาทย์ ได้แก่ เพลงที่ใช้บรรเลงหรือขับร้องประกอบอากัปกิริยาของตัวโขน ละคร เช่น การเดินทาง ยกทัพ สู้รับ แปลงกาย และเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ในการรำและระบำ เช่น รัว โคมเวียน ชำนาญ ตระบองกัน เป็นต้น เพลงขับร้องรับส่ง คือ เพลงไทยที่นำมาบรรจุไว้ในบทโขน-ละคร อาจนำมาจากเพลง ตับ เพลงเถา หรือเพลงเกร็ด เพื่อบรรเลงขับร้องประกอบการรำบทหรือใช้บทของตัวโขน ละคร หรือเป็นบทขับร้อง ในเพลงสำหรับการรำและระบำ เช่น เพลงช้าปี่ เพลงขึ้นพลับพลา เพลงนกกระจอกทอง เพลงลมพัดชายเขา เพลงเวสสุกรรม เพลงแขกตะเขิ่ง เพลงแขกเจ้าเซ็น เป็นต้น 2.2 เพลงไทยประกอบการแสดงพื้นเมือง เพลงไทยที่ใช้ประกอบการแสดงนำศิลป์พื้นเมือง เป็นบทเพลง พื้นบ้านที่ใช้บรรเลงแลละขับร้องประกอบการแสดงนาฎศิลป์พื้นเมือง โดยแบ่งออกตามภูมิภาคได้ ดังนี้ เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฎศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ เพลงบรรเลงประกอบการฟ้อนเล็บ ได้แก่ เพลงแหย่งหลวง ฟ้อนเทียน เพลงลาวเสี่ยงเทียน ฟ้อนสาวไหม ได้แก่ เพลงปราสาทไหวและเพลงลาวสมเด็จ ระบำซอ ได้แก่ ทำนองซอยิ๊และซอจ๊อยเชียงแสน บรรเลง เพลงลาวจ้อย ต้อยตลิ่งและลาวกระแช เป็นต้น เพลงบรรเลงและขับร้อง แระกอบนาฎศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง เพลงบรรเลงประกอบการเล่นเต้น กำรำเคียว ได้แก่ เพลงระบำชาวนา เป็นต้น เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฎศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ เพลงบรรเลงประกอบการแสดงลิเก ป่า นิยมใช้เพลงประกอบการแสดงเซิ้งโป่งลาง บรรเลงเพลงลายโป่งลาง เซิ้งภูไทบรรเลงลายลำภูไทย เป็นต้น เพลงบรรเลงและขับร้องประกอบนาฎศิลป์พื้นเมืองภาคใต้เพลงบรรเลงประกอบการแสดงลิเก ป่า นิยมใช้เพลงตะลุ่มโปง เพลงสร้อยสน เพลงดอกดิน การแสดงชุดรองเง็ง บรรเลงเพลงลาฆูดูวอ เพลงมะอีนังลา มา เพลงลานัง เป็นต้น
108 ใบงาน เรื่อง การขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบพื้นบ้าน คำชี้แจง จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ให้นักเรียนเขียนอธิบายดนตรีเพลงและการขับร้องเพลงไทยสำหรับประกอบการแสดงของแต่ละภาค โดยยกตัวอย่างมาภาคละ 1 การแสดง ตอบ 2. บอกความแตกต่างของลักษณะเพลงไทยในแต่ละภูมิภาค มาพอเข้าใจ ตอบ ชื่อ…………………………………................……………………………….. เลขที่……………………….. ชั้น……………..……..
109 แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรายบุคคล คำชี้แจง : ให้ผู้ประเมินสังเกตพฤติกรรมการทำงานและการเรียนของนักเรียนเป็นรายบุคคลตามเกณฑ์การให้ คะแนนข้างล่างแล้วบันทึกคะแนนลงในตารางให้ตรงช่องคะแนนนั้น ๆ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติบ่อยครั้ง สังเกตเห็นได้ชัดเจน 1 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติเป็นบางครั้ง 0 คะแนน หมายถึง ไม่ได้ปฏิบัติ สังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจน พฤติกรรม เลขที่-ชื่อ ความสนใจใน การเรียนและ การตรงต่อเวลา ความร่วมมือใน การทำงานตาม ขั้นตอน ยอมรับฟัง ความคิดเห็น ของเพื่อน มีน้ำใจ ช่วยเหลือเพื่อน ในการทำงาน มีความ รับผิดชอบงานที่ ได้รับมอบหมาย คะแนนรวม ผลการประเมิน ระดับ 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 10 เกณฑ์การประเมินรายบุคคล [ ] ระดับ ดี ได้คะแนน 8 - 10 คะแนน ลงชื่อ……........…………………. [ ] ระดับ พอใช้ ได้คะแนน 5 - 7 คะแนน (………….....…………..) [ ] ระดับ ปรับปรุง ได้คะแนน 0 - 4 คะแนน ผู้ประเมิน ………./………/…….
110 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 13 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (ดนตรี) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรี เวลา 8 ชั่วโมง เรื่อง ร้องและบรรเลงดนตรีเพลง Happy birthday เวลา 2 ชั่วโมง วันที่สอน วันจันทร์ ที่ 20 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 โรงเรียนเทศบาล 5 สีหรักษ์วิทยา มาตรฐานการเรียนรู้ ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าดนตรีถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดต่อดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ตัวชี้วัด ม.1 (1/3) ร้องเพลงและใช้เครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการร้องเพลงด้วยบทเพลงที่หลากหลายรูปแบบ สาระสำคัญ การขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบคือการทำให้เกิดเสียงดนตรีจากเสียงและเสริมด้วยถ้อยคำ ทั้งระบบเสียงสูงต่ำและจังหวะ คนที่ขับร้องเพลงเรียกว่านักร้อง และนักร้องจะแสดงการขับร้องเพลงประกอบกับ การบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบเพื่อเป็นการเพิ่มสีสันให้กับบทเพลงทำให้เพลงมีมิติ ไพเราะน่าฟัง และยังสามารถ แสดงอารมณ์ได้ในหลากหลายรูปแบบ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายลักษณะหลักการขับร้องเพลงที่ดีได้(K) 2. นักเรียนสามารถร้องเพลง Happy Birthday ได้(P) 4. นักเรียนตั้งใจเรียนขณะครูสอนในชั้นเรียน (A) สาระการเรียนรู้ 1. ลักษณะหลักการขับร้องเพลงที่ดี 2. แบบฝึกร้องเพลงสากลเพลง Happy Birthday
111 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน ภาระงาน/ชิ้นงาน ใบงาน คำถามสำคัญ นักเรียนรู้ไหมว่าลักษณะหลักการขับร้องเพลงที่ดีเป็นอย่างไร กระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำ 1. ครูกล่าวทักทายนักเรียนพร้อมถามนักเรียนว่า นักเรียนชอบร้องเพลงหรือไม่ 2. ครูแจ้งนักเรียนว่าจะสอนเรื่อง การขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบ (เพลง Happy birthday) ขั้นสอน 1. ครูสาธิตการขับร้องเพลงและการบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบให้นักเรียนฟังพร้อมแจก ใบความรู้ให้นักเรียน 2. นักเรียนฟังเพลง Happy Birthday พร้อมทั้งดูโน้ตจากใบความรู้ประกอบประมาณ 2 - 3 รอบ 3. นักเรียนฝึกอ่านเนื้อเพลงให้ถูกต้องตามสำเนียงเจ้าของภาษาโดยฝึกอ่านตามครู 4. นักเรียนฟังครูสาธิตการอ่านโน้ตเพลงพร้อมทั้งดูโน้ตเพลงประกอบไปด้วยแล้วให้นักเรียน ฝึกอ่านโน้ตตามครูทีละวรรคเพลงจนจบเพลง 5. นักเรียนฝึกร้องเพลงพร้อม ๆ กันประมาณ 3 รอบโดยมีครูคอยควบคุมจังหวะและชี้แนะ เพิ่มเติม 6. ครูแจกโน้ต Cajon ในรูปแบบจังหวะอย่างง่ายให้นักเรียน พร้อมสาธิตและอธิบายประกอบ 7. ครูสุ่มนักเรียน 5 คนออกมาทดสอบความเข้าใจในการตีCajon 8. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 - 5 คน มาร้องเพลงและตี Cajon ประกอบ หน้าชั้นเรียน ให้ครูและเพื่อนฟังทีละกลุ่มจนครบทุกกลุ่ม 9. ครูแจกใบงานที่ 13 ให้นักเรียนทำส่งก่อนเลิกเรียน
112 ขั้นสรุป 1. ครูถามถึงนักเรียนว่ามีตรงไหนที่ไม่เข้าใจพร้อมอธิบายเพิ่มเติม 2. ครูและนักเรียนช่วยกันอภิปรายและสรุปคุณค่าของการร้องเพลง Happy Birthday ประกอบ กับการตี Cajon สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 1. เพลง Happy birthday 2. ใบความรู้เรื่อง การขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบเพลง Happy birthday กระบวนการวัดและการประเมินผล เครื่องมือ 1. แบบสังเกตการมีส่วนร่วมและสนใจในการร้องเพลง 2. ใบงานที่ 13 เรื่อง การขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบเพลง Happy birthday 3. เครื่องดนตรี Cajon 4. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล วิธีการ 1. สังเกตพฤติกรรมการฝึกขับร้อง 2. นักเรียนทำใบงาน 3. สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล เกณฑ์ 1. ผ่านเกณฑ์ 50 % 2. ผ่านเกณฑ์ 70 % 3. ผ่านเกณฑ์รายบุคคล 60 %
113
114
115 ใบความรู้ เรื่องการขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบ(เพลง Happy birthday) การขับร้อง คือ การร้องเพลงซึ่งประกอบด้วยคำร้องหรือเนื้อร้อง ทำนอง จังหวะ การร้องเพลงสามารถ ร้องเดี่ยวโดยไม่มีดนตรีประกอบและมีดนตรีประกอบก็ได้ การที่จะร้องเพลงให้มีความไพเราะน่าฟังนั้น จะต้อง อาศัยองค์ประกอบหลายประการ เช่น เสียงของผู้ร้อง การฝึกหัดที่ถูกวิธี สุขภาพและอารมณ์ของผู้ร้อง เป็นต้น ลักษณะของการขับร้องเพลงที่ดีต้องมีระดับเสียงสูงต่ำตามเสียงที่ผู้แต่งได้แต่งไว้ จังหวะถูกต้องแม่นยำ ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจนตามอักขรวิธี เช่น ตัว ร ล และคำควบกล้ำอื่น ๆ แบ่งวรรคตอนของเนื้อร้องให้ได้ ความหมายถูกต้องใส่อารมณ์ไปตามเนื้อร้องและทำนองของเพลง แสดงบุคลิกภาพและท่าทางได้อย่างเหมาะสม เพลง Happy Birthday เป็นบทเพลงสำหรับอวยพรอีกเพลงหนึ่งที่นิยมนำมาบรรเลงและขับร้องกันมาก โดยเฉพาะในการเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิด ปัจจุบันมีผู้นำมาแต่งเนื้อร้องเป็นภาษาไทย เวลาขับร้องจะร้องทั้ง เนื้อร้องที่เป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทยเพลง Happy Birthday เป็นบทเพลงประเภท 3 จังหวะและอยู่ในบันได เสียง G Major
116 ใบงาน เรื่องการขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบ(เพลง Happy birthday) คำสั่ง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. การขับร้อง คือ 2. ลักษณะของการขับร้องเพลงที่ดีมีกี่ข้ออะไรบ้าง 3. เพลง Happy Birthday อยู่ในบันไดเสียงใด 4. นักเรียนได้อะไรบ้างจากการฝึกร้องเพลง Happy Birthday และบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบ ชื่อ – สกุล………………………………………………………………… เลขที่…………………. ชั้น……………………….
117 แบบบันทึกคะแนนรายบุคคลการขับร้อง คำชี้แจง : ให้ผู้ประเมินบันทึกผลคะแนนเป็นรายบุคคล ขีดเครื่องหมาย () ลงในช่องคะแนนให้เหมาะสมและ บันทึกคะแนนลงในช่องรวม เกณฑ์การบันทึกคะแนนรายบุคคล ลงชื่อ…………........………………… เกณฑ์การผ่านร้อยละ 50 (………....…………………….) คะแนน 1 - 4 เท่ากับ ไม่ผ่าน ผู้ประเมิน คะแนน 5 - 10 เท่ากับ ผ่าน ………./………./………. ลำดับ ชื่อ - สกุล ตรง ทำนอง ตรง จังหวะ เสียงดัง ฟังชัด เสียงต่ำ-สูง ถูกต้อง จังหวะ คงที่ รวม 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 10 1 2 3 4 5 6 7 8 9
118 แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรายบุคคล คำชี้แจง : ให้ผู้ประเมินสังเกตพฤติกรรมการทำงานและการเรียนของนักเรียนเป็นรายบุคคลตามเกณฑ์การให้ คะแนนข้างล่างแล้วบันทึกคะแนนลงในตารางให้ตรงช่องคะแนนนั้น ๆ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติบ่อยครั้ง สังเกตเห็นได้ชัดเจน 1 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติเป็นบางครั้ง 0 คะแนน หมายถึง ไม่ได้ปฏิบัติ สังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจน พฤติกรรม เลขที่-ชื่อ ความสนใจใน การเรียนและ การตรงต่อเวลา ความร่วมมือใน การทำงานตาม ขั้นตอน ยอมรับฟัง ความคิดเห็น ของเพื่อน มีน้ำใจ ช่วยเหลือเพื่อน ในการทำงาน มีความ รับผิดชอบงานที่ ได้รับมอบหมาย คะแนนรวม ผลการประเมิน ระดับ 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 10 เกณฑ์การประเมินรายบุคคล [ ] ระดับ ดี ได้คะแนน 8 - 10 คะแนน ลงชื่อ….........……………………. [ ] ระดับ พอใช้ ได้คะแนน 5 - 7 คะแนน (….....…………………..) [ ] ระดับ ปรับปรุง ได้คะแนน 0 - 4 คะแนน ผู้ประเมิน ………./………/…….
119 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (ดนตรี) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรี เวลา 8 ชั่วโมง เรื่อง หลักการบรรเลงเครื่องดนตรีไทย (ขลุ่ยเพียงออ) เวลา 2 ชั่วโมง วันจันทร์ ที่ 27 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2566 โรงเรียนเทศบาล 5 สีหรักษ์วิทยา มาตรฐานการเรียนรู้ ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าดนตรีถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดต่อดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ตัวชี้วัด ม.1 (1/1) อ่าน เขียน ร้องโน้ตไทยและสากล สาระสำคัญ การบรรเลงเครื่องดนตรีไทย (ขลุ่ยเพียงออ) จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับชิ้น ส่วนอุปกรณ์ ของเครื่องดนตรีรวมไปถึงลักษณะวิธีการบรรเลงและวิธีการเป่า จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถบอกส่วนประกอบและลักษณะการจับของขลุ่ยเพียงออได้(K) 2. นักเรียนสามารถเป่าขลุ่ยเพียงออเพลงช้างได้ (P) 3. นักเรียนสนใจในการเรียนเป่าขลุ่ยเพียงออ (A) สาระการเรียนรู้ 1. ส่วนประกอบของขลุ่ยเพียงออ 2. ลักษณะการจับขลุ่ยเพียงออ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน
120 ภาระงาน/ชิ้นงาน แบบทดสอบ คำถามสำคัญ นักเรียนรู้ไหมว่าลักษณะการจับของขลุ่ยเพียงออเป็นอย่างไร กระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำ 1. ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนชอบเครื่องดนตรีไทยอะไรบ้าง 2. ครูนำขลุ่ยเพียงออมาให้นักเรียนดู และถามว่า ใครรู้จักเครื่องดนตรีชนิดนี้บ้าง มันคืออะไร ขั้นสอน 1. แจกใบความรู้เรื่องหลักการบรรเลงเครื่องดนตรีไทย (ขลุ่ยเพียงออ) และโน้ตเพลงช้าง 2. ครูอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของขลุ่ยพร้อมอธิบายส่วนประกอบ ลักษณะการจับ และ สาธิตวิธีการเป่าเพลลงเช้าพร้อมอธิบายการใช้ลม 3. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม จากนั้นให้นักเรียนช่วยกันซ้อมเป่าเพลงช้าง แล้วมาสอบ เป็นกลุ่ม 4. ครูแจกแบบทดสอบ เรื่อง หลักการบรรเลงเครื่องดนตรีไทย (ขลุ่ยเพียงออ) ให้นักเรียนทำ ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหา เรื่อง หลักการบรรเลงเครื่องดนตรีไทย (ขลุ่ยเพียงออ) นักเรียนสรุปความรู้ที่ได้เรียน จดบันทึกลงในสมุดแล้วให้นักเรียนนำไปต่อยอดความรู้จากแหล่งต่าง ๆ แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้และสามารถนำความรู้นั้นไปถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ ใบความรู้เรื่อง หลักการบรรเลงเครื่องดนตรีไทย (ขลุ่ยเพียงออ) กระบวนการวัดและการประเมินผล เครื่องมือ 1. แบบทดสอบ เรื่อง หลักการบรรเลงเครื่องดนตรีไทย 2. แบบประเมินการเป่าเพลงช้าง 3. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล
121 วิธีการ 1. นักเรียนทำแบบทดสอบ 2. ประเมินการเป่าขลุ่ยเพียงออเพลงช้าง 3. สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล เกณฑ์ 1. ผ่านร้อยละ 70 2. ผ่านร้อยละ 60 3. ผ่านร้อยละ 60
122
123
124 ใบความรู้ หลักการบรรเลงเครื่องดนตรีไทย (ขลุ่ยเพียงออ) ประวัติความเป็นมาของขลุ่ย ขลุ่ย เป็นเครื่องดนตรีที่ไม่มีลิ้น ทำจากไม้รวกปล้องยาว ๆ ด้านหน้าเจาะรูเรียงกัน สำหรับปิดเปิดเพื่อ เปลี่ยนเสียง ตรงที่เป่าไม่มีลิ้นแต่มีดาก ซึ่งทำด้วยไม้อุดเหลาเป็นท่อนกลมๆยาวประมาร 2 นิ้ว สอดลงไปอุด ที่ปากของขลุ่ย แล้วบากด้านหนึ่งของดากเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เราเรียกว่าปากนกแก้ว เพื่อให้ลมส่วนหนึ่ง ผ่านเข้าออกทำให้เกิดเสียงขลุ่ยลมอีกส่วนจะวิ่งเข้าไปปลายขลุ่ยประกอบกับ นิ้วที่ปิดเปิดบังคับเสียงเกิดเป็น เสียงสูงต่ำตามต้องการใต้ปากนกแก้วลงมา เจาะ 1 รูเรียกว่ารูนิ้วค้ำ เวลาเป่าต้องใช้หัวแม่ มือค้ำปิดเปิดที่รู นี้บางเลาด้านขวาเจาะเป็นรูเยื่อปลาย เลาขลุ่ยมีรู4 รูเจาะตรงกันข้ามแต่เหลื่อมกันเล็กน้อย ใช้สำหรับ ร้อยเชือกแขวนเก็บหรือคล้องมือจึงเรียกว่ารูร้อยเชือกรวมขลุ่ยเลาหนึ่ง มี14 รูด้วยกัน รูปร่างของขลุ่ยเมือพิจารณาแล้วจะเป็นเครื่องดนตรี ที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่ง จากหลักฐานที่พบขลุ่ย ในหีบศพภรรยาเจ้าเมืองไทยที่ริมฝั่งแม่น้ำ ฮวงเหอ ซึ่งมีหลักฐานจารึกศักราชไว้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ปีปัจจุบัน ขลุ่ยมีราคาสูง เนื่องจากไม้รวกชนิดที่ทำขลุ่ยมีน้อยลงและใช้เวลาทำมากจึงใช้วัตถุอื่นมาเจาะรูซึ่งรวดเร็ว กว่า เช่นท่อพลาสติกไม้เนื้อแข็ง แต่คุณภาพเสียงไม่ดีเท่าขลุ่ยไม้ขลุ่ยที่มีเสียงไพเราะมากส่วนใหญ่จะเป็นขลุ่ย ผิวไม้แห้งสนิท ขลุ่ยใช้เป่าในเครื่องสายไทย วงมโหรีและในวงปี่พาทย์ไม้นวม วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ส่วนประกอบของขลุ่ย - เลาขลุ่ย คือ ตัวขลุ่ย มีขนาดแตกต่างกันไปตาม ชนิดของขลุ่ย มักนิยมประดิษฐ์ลวดลายต่าง ๆ ลงบนตัวขลุ่ย เช่น ลายดอกพิกุล ลายหิน และลายลูกระนาด เป็นต้น ถ้า เป็นขลุ่ยไม้ไผ่ นิยมจะทำลวดลายลงบนเลาขลุ่ย แต่ถ้าเป็นไม้ เนื้อแข็ง เช่น ไม้ชิงชัน ไม้พยุง ไม้งิ้วดำ ฯลฯ จะไม่นิยม ทำลายลงบนเลาขลุ่ย แต่อาจจะมีการลงรัก ประกอบมุก ประกอบงา แทน - ดาก คือ ไม้อุดปากขลุ่ย นิยมใช้ในไม้สักทอง เหลา กลมให้คับแน่นกับร่องภายในของปากขลุ่ย ฝานให้เป็ช่องว่าง ลาดเอียงตลอดชิ้นดาก ให้เป่าลมผ่านไปได้ - รูเป่า เป็นรูสำหรับเป่าลมเข้าไป - รูปากนกแก้ว เป็นรูที่เจาะร่องรับลม จากปลายดากภายในขลุ่ย อยู่ด้านเดียวกับรูเป่า อยู่สุดปลาย ดากพอดีเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า รูปากนกแก้วนี้ทำให้เกิดเสียง เทียบได้กับลิ้นของขลุ่ย - รูเยื่อ เป็นรูสำหรับปิดวัสดุที่ทำให้เสียงสั่นพริ้ว มักใช้เยื่อไม้ไผ่ หรือเยื่อหัวหอมปิด อยู่ด้านขวามือ * ในปัจจุบัน หาขลุ่ยที่มีรูเยื่อไม่ค่อยได้แล้ว - รูค้ำ หรือรูนิ้วค้ำ เป็นรูสำหรับให้นิ้วหัวแม่มือปิด เพื่อบังคับเสียง และประคองเลาขลุ่ยขณะเป่า อยู่
125 ด้านล่างเลาขลุ่ย ต่อจากรูปากนกแก้วไปทางปลายเลาขลุ่ย - รูบังคับเสียง เป็นรูที่เจาะเรียงอยู่ด้านบนของเลาขลุ่ย มีอยู่ 7 รู ด้วยกัน - รูร้อยเชือก มี 4 รู หรือ 2 รูก็ได้ อยู่ทางส่วนปลายของเลาขลุ่ย โดยการเจาะทะลุบน-ล่าง และ ซ้าย-ขวา ให้เยื้องกันในแต่ละคู่ช่างบางคนได้กล่าวไว้ว่า ความจริงจุดประสงค์หลักไม่ได้ไว้ร้อยเชือก ที่จริงทำ เพื่อให้เสียงของขลุ่ยได้ที่นั่นเอง การฝึกเป่าขลุ่ยเพียงออเบื้องต้น ขลุ่ยเพียงออ เป็นเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องเป่าที่ไม่มีลิ้น ทำด้วยไม้ไผ่แต่ในปัจจุบันมีการนำวัสดุ อื่นๆ มาทำเช่น ไม้เนื้อแข็ง ท่อพลาสติก เป็นต้น วิธีการฝึกหัดเป่าขลุ่ยเบื้องต้น ผู้เรียนต้องรักในดนตรี ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนจนชำนาญ มีความอุตสาหะ มีสุขภาพร่างกายที่ แข็งแรงสมบูรณ์ บากบั่นพยายามในการเรียนรู้ มีการวิเคราะห์เครื่องดนตรี รู้ขั้นตอนในการฝึกฝนตนเองอย่าง เป็นประจำ การฝึกหัดเป่าขลุ่ยมีวิธีการคือ ต้องรู้จักขลุ่ยเพียงออ เลือกขลุ่ยที่ดี เรียนรู้กลวิธีการเป่าขลุ่ย ท่านั่ง การจับขลุ่ยที่ถูกลักษณะ เป่าให้เป็นเสียง เป่าเป็นเพลงขลุ่ย เป่าขลุ่ยเข้ากับวงดนตรีไทยต่างๆ โดยมีวิธีการฝึก ดังนี้ 1. จับขลุ่ยทั้งสองมือ ใช้หัวแม่มือบนปิดรูค้ำก่อน มือบนใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางปิดรู ด้านบน และ มือล่างใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางและนิ้วก้อยปิดรูด้านล่าง และให้หัวแม่มือล่าง ประคองขลุ่ยไว้ด้านล่างของเลาขลุ่ย 2. ให้สัมผัสปลายนิ้วมือปิดรู้นิ้วให้สนิท เพื่อให้เสียงเป่าไม่ผิดเพี้ยน 3. เมื่อปิดนิ้วมือสนิทดีแล้วทุกนิ้วมือก็เริ่มเป่าออกเสียง 4. เมื่อรู้ระดับเสียงต่ำจนถึงเสียงสูงสุดแล้ว หัดปิดเปิดไล่นิ้วจากต่ำไปสูง ไล่จากเสียง สูงลงต่ำ ไล่เสียงไปกลับจนคล่องจึงฝึกสลับนิ้ว 5. ฝึกเป่าสลับนิ้ว สลับข้ามเสียงกัน เช่น โด มี ซอล ที ฯลฯ 6. ฝึกต่อเพลง จากเพลงที่มีความคุ้นเคยก่อน แล้วเริ่มเพิ่มเพลงให้มีความยากขึ้น เรื่อย ๆ การฝึกปฏิบัติขลุ่ยเพียงออ เพื่อให้เข้าใจและสามารถฝึกปฏิบัติขลุ่ยเพียงออได้ถูกต้อง ขอให้ศึกษารายละเอียดในหัวข้อต่อไปนี้ ลักษณะโน้ตของขลุ่ยเพียงออ โดยปกติทั่วไปโน้ตของขลุ่ยเป็นโน้ตบรรทัดเดียว ใช้ได้ทั้งตัวเลขและตัวอักษรแต่ในที่นี้จะใช้เฉพาะโน้ต ตัวอักษร โดยเขียนเป็นตัวย่อดังนี้ ด ร ม ฟ ซ ล ท เสียงสูงใช้เครื่องหมาย ( ํ) ด้านบนตัวโน้ต เช่น ดํ รํ ตำแหน่งเสียงและการใช้นิ้วมือปิด - เปิด เสียงขลุ่ยเพียงออ ปกติขลุ่ยเพียงออจะทำเสียงได้12 เสียง เป็นเสียงธรรมดาหรือเสียง"ต้อ" 7 เสียง คือ จากเสียง โด - ที และทำ เสียงแหบได้อีก 5 เสียง คือจากเสียง โดสูง (ดํ) ถึงเสียง ซอลสูง (ซํ) ศึกษาการทำให้เป็นเสียงต่าง ๆ จาก ภาพประกอบ
126 ภาพแสดงตำแหน่งเสียงและการใช้นิ้วมือปิด-เปิดเสียงขลุ่ยเพียงออ วิธีจับขลุ่ยเพียงออ มือบนจับเลาขลุ่ย 3รูด้วยนิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนาง อยู่ในลักษณะที่พร้อมจะปิด-เปิดรูบังคับเสียง (ซึ่งอยู่ ด้านบนของเลาขลุ่ย) เรียงลงมาตามลำดับตั้งแต่รูที่อยู่บนสุดถึงรูที่สาม นิ้วหัวแม่มือปิดรูค้ำด้านหลังไว้พร้อมทั้ง ใช้นิ้วก้อยประคองด้านล่างของเลาขลุ่ยไว้ มือล่างจับเลาขลุ่ยส่วนล่าง 4 รู ด้วยนิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลางและนิ้วก้อย เรียงลงมาตามลำดับ นิ้วหัวแม่มือยันขลุ่ยด้านหลังจับเลาขลุ่ยให้แขนส่วนปลายทั้งขวาและซ้ายได้ฉากกับเลาขลุ่ยพอประมาณโดยกาง ข้อศอกพองาม ลักษณะการวางนิ้ว ลักษณะการวางนิ้วของมือซ้ายและมือขวา ให้วางลักษณะขวางกับเลาขลุ่ยโดยนิ้วอยู่เหนือรูบังคับเสียง ประมาณ 1 เซนติเมตรและใช้นิ้วบริเวณผิวหนังส่วนที่นูนใต้ปลายนิ้วเป็นส่วนที่ใช้ ปิด-เปิด รูบังคับเสียง การวางนิ้วเพื่อปิดรูบังคับเสียงต้องพยายามปิดรูให้สนิท มิฉะนั้นจะทำให้สียงขลุ่ยที่เป่าออกมา ดังผิดเพี้ยน โดยเฉพาะเสียงโด (ด) เป็นเสียงที่เป่ายากที่สุด วิธีเป่าขลุ่ยเพียงออ ให้เผยริมฝีปากด้านบนและล่างจรดลงบนรูปากเป่า จัดเลาขลุ่ยให้ตั้งได้มุม ประมาณ 45 องศา กับลำตัวโดยทอดแขนไว้ข้างลำตัวพองาม (ไม่กางศอกมากจนเกินไป) เป่าลมให้เหมาะสม ไม่เบาและแรงจนเกินไป
127 ขั้นตอนการฝึกเป่าขลุ่ยเพียงออ ให้ฝึกเป่าไล่เสียง ขึ้น - ลง เพื่อฝึกใช้นิ้ว ในเสียงต่าง ๆ ให้ชำนาญ ตามโน้ตต่อไปนี้อย่างช้า ๆ – – – ด – – – ร – – – ม – – – ฟ – – – ซ – – – ล – – – ท – – – ดํ – – – ดํ – – – ท – – – ล – – – ซ – – – ฟ – – – ม – – – ร – – – ด วิธีการเก็บบำรุงรักษาขลุ่ย โน้ตเพลงช้าง I- - - - I - - - ซ I- - - ซI - - - ซI- - - -I - ซ - มI- ร - ม I- ซ - ดI I- - - - I - ซ - มI –ร- มI- ด - รI- ด- ลI- ด – ดI - ล- ซ I - - ด -I I- ด -ลI- - ด ด I -ล - ซI- ด - -I- ซ - ลI- ซ - ม I- - - ร I- - - ด I เนื้อเพลงช้าง ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า ช้างมันก็ตัวไม่เบา จมูกยาว ๆ เรียกว่า งวง สองเขี้ยวใต้งวง เรียกว่า งา มีหู มีตา หางยาว
128 แบบทดสอบ เรื่อง หลักการบรรเลงเครื่องดนตรีไทย (ขลุ่ยเพียงออ) คำชี้แจง : จงทำเครื่องมาย x ทับตัวอักษร ก ข ค หรือ ง หน้าคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ถ้าเราปิดรูขลุ่ยเพียงออทุกรูจะเป็นเสียงอะไร ก. เสียงซอล ข. เสียง เร ค. เสียง มี ง. เสียง โด 2. ถ้าเราเปิดรู 2 รู ด้านล่างจะได้เสียงอะไร ก. เสียง โด ข. เสียง เร ค. เสียง มี ง. เสียงฟา 3. ถ้าเราต้องการเสียงฟา จะต้องเปิดนิ้วกี่นิ้ว ก. 1นิ้ว ข. 2 นิ้ว ค. 3 นิ้ว ง. 4 นิ้ว 4. ถ้าต้องการเป่าให้เสียงต่อเนื่องเรามีวิธีทำ อย่างไร ก. เป่าดัง ๆ หายใจเร็ว ๆ ข. เป่าเบา ๆ หายใจลึก ๆ ค. เป่าตามอารมณ์เก็บลมไว้ให้มากที่สุด ง. เก็บลมไว้ให้มากที่สุด 5. นิ้วก้อยที่ปิดรูขลุ่ยเป็นมือที่จับช่วงไหน ก. มือล่าง ข. มือบน ค. ทั้งสองมือ ง. ไม่ใช้นิ้วก้อยเลย 6. รูบังคับสียงมีหน้าที่อย่างไร ก. บังคับเสียงและประคองเลาขลุ่ยในขณะเป่า ข. บังคับให้เสียงของขลุ่ยที่เป่าออกมาเป็นเสียง สูง-ต่ำ ระดับต่างๆ ค. รับลมที่ออกมาจากช่องตอนปลายของดากขลุ่ย ง. ช่วยปรับระดับเสียงของขลุ่ย 7. ถ้าต้องการเป่าเสียงขลุ่ย โดยเปิดนิ้วหมดยกเว้น นิ้วชี้ มือบน และเปิดรูนิ้วค้ำจะเป็นเสียงโน้ต ตัวใด ก. เสียง ฟา ข.เสียง โด สูง (ดํ) ค. เสียง โด ง. เสียง เร 8. ข้อเสียของขลุ่ยที่ทำด้วยไม้คือ ก. สีจางเร็ว ข. เสียงไม่ดี ค. แตกง่าย ง. เล็กเกินไป 9. เราควรเก็บรักษาขลุ่ยอย่างไร ก. ใช้ผ้าเปียกเช็ดแล้วตากแห้ง ข. ใช้ผ้าแห้งเช็ดแล้วใส่ถุงเก็บให้ดี ค. ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดบ่อย ๆ ง. นำขลุ่ยแช่น้ำไว้นาน ๆ 10. ข้อใดไม่ใช่วิธีการเก็บดูแลรักษาขลุ่ย ก. แช่น้ำผึ้งหรือน้ำตาลสด ข. ใช้แอลกอฮอล์เช็ด ค. นำขลุ่ยมาซ้อมบ่อย ๆ ง. แช่ในอ่างน้ำสะอาดนาน ๆ
129 เฉลยแบบทดสอบ เรื่อง หลักการบรรเลงเครื่อง ดนตรีไทย(ขลุ่ยเพียงออ) 1. ถ้าเราปิดรูขลุ่ยเพียงออทุกรูจะเป็นเสียงอะไร ก. เสียงซอล ข. เสียง เร ค. เสียง มี ง. เสียง โด 2. ถ้าเราเปิดรู 2 รู ด้านล่างจะได้เสียงอะไร ก. เสียง โด ข. เสียง เร ค. เสียง มี ง. เสียงฟา 3. ถ้าเราต้องการเสียงฟา จะต้องเปิดนิ้วกี่นิ้ว ก. 1นิ้ว ข. 2 นิ้ว ค. 3 นิ้ว ง. 4 นิ้ว 4. ถ้าต้องการเป่าให้เสียงต่อเนื่องเรามีวิธีทำ อย่างไร ก. เป่าดังๆ หายใจเร็วๆ ข. เป่าเบาๆ หายใจลึกๆ ค. เป่าตามอารมณ์ ง. เก็บลมไว้ให้มากที่สุด 5. นิ้วก้อยที่ปิดรูขลุ่ยเป็นมือที่จับช่วงไหน ก. มือล่าง ข. มือบน ค. ทั้งสองมือ ง. ไม่ใช้นิ้วก้อยเลย 6. รูบังคับสียงมีหน้าที่อย่างไร ก. บังคับเสียงและประคองเลาขลุ่ยในขณะเป่า ข. บังคับให้เสียงของขลุ่ยที่เป่าออกมาเป็นเสียง สูง-ต่ำ ระดับต่าง ๆ ค. รับลมที่ออกมาจากช่องตอนปลายของดากขลุ่ย ง. ช่วยปรับระดับเสียงของขลุ่ย 7. ถ้าต้องการเป่าเสียงขลุ่ย โดยเปิดนิ้วหมดยกเว้น นิ้วชี้ มือบน และเปิดรูนิ้วค้ำจะเป็นเสียงโน้ต ตัวใด ก. เสียง ฟา ข.เสียง โด สูง (ดํ) ค. เสียง โด ง. เสียง เร 8. ข้อเสียของขลุ่ยที่ทำด้วยไม้คือ ก. สีจางเร็ว ข. เสียงไม่ดี ค. แตกง่าย ง. เล็กเกินไป 9. เราควรเก็บรักษาขลุ่ยอย่างไร ก. ใช้ผ้าเปียกเช็ดแล้วตากแห้ง ข. ใช้ผ้าแห้งเช็ดแล้วใส่ถุงเก็บให้ดี ค. ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดบ่อย ๆ ง. นำขลุ่ยแช่น้ำไว้นาน ๆ 10. ข้อใดไม่ใช่วิธีการเก็บดูแลรักษาขลุ่ย ก. แช่น้ำผึ้งหรือน้ำตาลสด ข. ใช้แอลกอฮอล์เช็ด ค. นำขลุ่ยมาซ้อมบ่อย ๆ ง. แช่ในอ่างน้ำสะอาดนาน ๆ
130 แบบประเมิน การเป่าขลุ่ยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ลำดั บ ชื่อ-สกุล (นักเรียน) เกณฑ์ รวม หมายเหตุ ถูกต้อง (10) ไพเราะ (10) การหายใจ (10) ความมั่นใจ (10) 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 19 20 21 22 23 24 25
131 แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรายบุคคล คำชี้แจง : ให้ผู้ประเมินสังเกตพฤติกรรมการทำงานและการเรียนของนักเรียนเป็นรายบุคคลตามเกณฑ์การให้ คะแนนข้างล่างแล้วบันทึกคะแนนลงในตารางให้ตรงช่องคะแนนนั้น ๆ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติบ่อยครั้ง สังเกตเห็นได้ชัดเจน 1 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติเป็นบางครั้ง 0 คะแนน หมายถึง ไม่ได้ปฏิบัติ สังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจน พฤติกรรม เลขที่-ชื่อ ความสนใจใน การเรียนและ การตรงต่อเวลา ความร่วมมือใน การทำงานตาม ขั้นตอน ยอมรับฟัง ความคิดเห็น ของเพื่อน มีน้ำใจ ช่วยเหลือเพื่อน ในการทำงาน มีความ รับผิดชอบงานที่ ได้รับมอบหมาย คะแนนรวม ผลการประเมิน ระดับ 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 10 เกณฑ์การประเมินรายบุคคล [ ] ระดับ ดี ได้คะแนน 8-10 คะแนน ลงชื่อ………………………. [ ] ระดับ พอใช้ ได้คะแนน 5-7 คะแนน (……………………..) [ ] ระดับ ปรับปรุง ได้คะแนน 0-4 คะแนน ผู้สังเกตประเมิน ………./………/…….
132 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 15 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (ดนตรี) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรี เวลา 8 ชั่วโมง เรื่อง ขับร้องและบรรเลงดนตรีประกอบเพลงไทยเดิม เวลา 2 ชั่วโมง วันที่สอน วันจันทร์ ที่ 4 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 โรงเรียนเทศบาล 5 สีหรักษ์วิทยา มาตรฐานการเรียนรู้ ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าดนตรีถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดต่อดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ตัวชี้วัด ม.1 (1/3) ร้องเพลงและใช้เครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการร้องเพลงด้วยบทเพลงที่หลากหลายรูปแบบ สาระสำคัญ ลักษณะของบทเพลงไทยมีหลากหลายลักษณะ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือเพลงขับร้อง และเพลงบรรเลง จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายการขับร้องและการบรรเลงมีความแตกต่างกันได้ (K) 2. นักเรียนสามารถตอบลักษณะเพลงไทยเดิมได้ (P) 3. นักเรียนตั้งใจเรียนขณะครูสอนในชั้นเรียน (A) สาระการเรียนรู้ 1. การขับร้องและการบรรเลง 2. ลักษณะของบทเพลงไทยเดิม สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
133 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. มุ่งมั่นในการทำงาน ภาระงาน/ชิ้นงาน แบบทดสอบ คำถามสำคัญ นักเรียนรู้ไหมว่าลักษณะของบทเพลงไทยเดิมเป็นอย่างไร กระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำ ครูถามนักเรียนว่า นักเรียนรู้จักลักษณะของบทเพลงไทยเดิมหรือไม่ ลักษณะของบทเพลงไทย เดิมที่นักเรียนรู้จักเป็นอย่างไร ขั้นสอน 1. ครูอธิบายความหมายลักษณะของบทเพลงไทยเดิมให้นักเรียนฟัง 2. ครูอธิบายประเภทของบทเพลงไทยเดิมให้นักเรียนฟังโดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เพลงขับร้อง และเพลงบรรเลง พร้อมเปิดวีดีทัศน์ประกอบในแต่ละหัวข้อ 3. นักเรียนศึกษาลักษณะของบทเพลงไทยเดิม เพิ่มเติมจากหนังสือ และสื่อวิดีทัศน์ 5. นักเรียนทำแบบทดสอยคนละชุดที่ครูแจกให้ ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายหาข้อสรุปว่า การขับร้องบทเพลงไทยกับการบรรเลง สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 1. ใบความรู้ 2. วีดิทัศน์
134 กระบวนการวัดและการประเมินผล เครื่องมือ 1. แบบทดสอบ 2. แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล วิธีการ 1. ตรวจแบบทดสอบ 2. สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล เกณฑ์ 1. ผ่านเกณฑ์ 70 % 2. ผ่านเกณฑ์ 60 %
135
136
137 ใบความรู้ การขับร้อง และบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบเพลงไทยเดิม เพลงไทยเดิม สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ 1. ประเภทของเพลงไทย 1.1 เพลงขับร้อง เพลงขับร้อง คือเพลงที่ประพันธ์ ขึ้นสำหรับดนตรีบรรเลงร่วมกับการขับร้องได้แก่ - เพลงเถา หมายถึง เพลง ๆ เดี่ยวที่บรรเลงหรือขับร้องติดต่อกัน โดยมีอัตราจังหวะ ลดหลั่นกันตั้งแต่อัตราจังหวะลดหั่นกัน ตั้งแต่อัตราจังหวะ 3 ชั้น (ช้า) 2 ชั้น (ปานกลาง) ชั้นเดียว (เร็ว) เช่น เพลงชาตรีประดับดาวเถา เป็นต้น - เพลงตับ หมายถึง เพลงหลาย ๆ เพลงที่นำมาบรรเลง หรือขับร้องต่อเนื่องกัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ตับเพลง หมายถึง เพลงที่นำมาบรรเลง ควรต้องเป็นเพลงมีอัตรา จังหวะเดียวกัน ตับเรื่อง หมายถึง เพลงที่นำมาบรรเลงหรือขับร้องต่อเนื่องกันต้องมีบทร้องเป็น เรื่องราวเดียวกัน - เพลงเกร็ด หมายถึง เพลงที่นำมาบรรเลง หรือขับร้องอิสระ ไม่จำเป็นต้องบรรเลงหรือ ขับร้องร่วมกับเพลงอื่น ๆ ส่วนใหญ่เป็นเพลงที่มีบทร้องบรรยายธรรมชาติ ชมความงาน อวยพร หรือเป็นคติสอนใจ 1.2. เพลงบรรเลง เพลงบรรเลง คือเพลงที่ประพันธ์ขึ้นเฉพาะสำหรับเครื่องดนตรีไว้บรรเลงได้แก่ - เพลงโหมโรง หมายถึง เป็นเพลงแรกที่ใช้บรรเลง หรือการแสดงจะเริ่มขึ้น - เพลงหน้าพาทย์ หมายถึงเพลงที่ใช้บรรเลงในพระราชพิธี หรืองานที่ต้องแสดงถึงความ ศักดิ์สิทธิ์ -เพลงเรื่อง หมายถึง เพลงหลายๆเพลงนำมาบรรเลงติดต่อกันใช้บรรเลงประกอบพิธี ต่างๆ - เพลงหางเครื่อง หมายถึง เพลงที่ใช้ บรรเลงต่อจากเพลงใหญ่ - เพลงออกพรรษา หมายถึง เพลงที่มีสำเนียงภาษาต่างๆ ที่ใช้บรรเลงต่อจาก เพลง แม่บท - เพลงลูกหมด หมายถึง เพลงที่มีทำนองสั้นๆจังหวะเร็ว นิยมใช้บรรเลงต่อท้ายเพลงเถา
138 2. บทร้องเพลงไทย บทร้องเพลงไทยที่นิยมนำมาใช้ขับร้องประกอบการบรรเลง นิยมใช้คำประพันธ์ประเภทกลอนแปด บทร้องเพลงไทยใช้กับการร้องส่งร้องประกอบระบำ รำ ฟ้อน ประกอบการแสดงโขน ละคร และการละเล่นต่าง ๆ บทร้องที่ใช้ในลักษณะต่าง ๆ ข้างต้น จำแนกได้ 3 ประเภท ดังนี้ 2.1 บทร้องที่คัดเลือกและตัดตอนมาจากบทละครหรือบทวรรณคดีบทร้องที่คัดเลือกกลอน และตัดตอน มาจากบทละครหรือบทวรรณคดีเป็นบทกลอนที่มีการนำมาเป็นบทร้องมากกว่า 2.2 บทร้องที่เป็นบทของเก่า และไม่ทราบนามผู้แต่งเช่น เพลงสากิกาชนเดือน 2.3 บทร้องที่มีการประพันธ์ขึ้นใหม่
139 แบบทดสอบ เรื่อง การขับร้องและบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบเพลงไทยเดิม คำชี้แจง จงเลือกข้อที่ต้องมากที่สุด 1. “เพลงไทยเดิม” ถูกแบ่งออกเป็นกี่ประเภท ก. 1 ประเภท ข. 2 ประเภท ค. 3 ประเภท ง. 4 ประเภท 2. “เพลงตับ” มีหมายความว่าอะไร ก. เป็นเพลงของพี่เท่ง ข. เป็นชื่อของเพลง ค. นำเพลงมาเล่นต่อกันในจังหวะที่เท่ากัน ง. ไม่มีข้อถูก 3. “ลูกหมด” มีหมายความว่าอะไร ก. ใช้บรรเลงในท่อนท้าย ข.เป็นส่วนท้ายเพลง ค. เล่นเพลงที่เร็ว ง. โชว์ความสามารถ 4. “บทร้องเพลงไทย” ถูกแบ่งออกเป็นกี่ประเภท ก. 5 ประเภท ข. 4ประเภท ค. 3ประเภท ง. 2 ประเภท 5. “บทร้องเพลงไทย” ส่วนใหญ่ได้นำมาจากแนวคิดมาจากอะไร ก. แต่งขึ้นเอง ข. วรรณคดี ค. มีอยู่ไม่ทราบที่มา ง. ถูกทุกข้อ
140 เฉลยแบบทดสอบ 1. “เพลงไทยเดิม” ถูกแบ่งออกเป็นกี่ประเภท ก. 1 ประเภท ข. 2 ประเภท ค. 3 ประเภท ง. 4 ประเภท 2. “เพลงตับ” มีหมายความว่าอะไร ก. เป็นเพลงของพี่เท่ง ข. เป็นชื่อของเพลง ค. นำเพลงมาเล่นต่อกันในจังหวะที่เท่ากัน ง. ไม่มีข้อถูก 3. “ลูกหมด” มีหมายความว่าอะไร ก. ใช้บรรเลงในท่อนท้าย ข. เป็นส่วนท้ายเพลง ค. เล่นเพลงที่เร็ว ง. โชว์ความสามารถ 4. “บทร้องเพลงไทย” ถูกแบ่งออกเป็นกี่ประเภท ก. 5 ประเภท ข. 4 ประเภท ค. 3 ประเภท ง. 2 ประเภท 5. “บทร้องเพลงไทย” ส่วนใหญ่ได้นำมาจากแนวคิดมาจากอะไร ก. แต่งขึ้นเอง ข. วรรณคดี ค. มีอยู่ไม่ทราบที่มา ง. ถูกทุกข้อ
141 แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรายบุคคล คำชี้แจง : ให้ผู้ประเมินสังเกตพฤติกรรมการทำงานและการเรียนของนักเรียนเป็นรายบุคคลตามเกณฑ์การให้ คะแนนข้างล่างแล้วบันทึกคะแนนลงในตารางให้ตรงช่องคะแนนนั้น ๆ เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติบ่อยครั้ง สังเกตเห็นได้ชัดเจน 1 คะแนน หมายถึง ปฏิบัติเป็นบางครั้ง 0 คะแนน หมายถึง ไม่ได้ปฏิบัติ สังเกตเห็นได้ไม่ชัดเจน พฤติกรรม เลขที่-ชื่อ ความสนใจใน การเรียนและ การตรงต่อเวลา ความร่วมมือใน การทำงานตาม ขั้นตอน ยอมรับฟัง ความคิดเห็น ของเพื่อน มีน้ำใจ ช่วยเหลือเพื่อน ในการทำงาน มีความ รับผิดชอบงานที่ ได้รับมอบหมาย คะแนนรวม ผลการประเมิน ระดับ 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 2 1 0 10 เกณฑ์การประเมินรายบุคคล [ ] ระดับ ดี ได้คะแนน 8 - 10 คะแนน ลงชื่อ………………........………. [ ] ระดับ พอใช้ ได้คะแนน 5 - 7 คะแนน (…….....………………..) [ ] ระดับ ปรับปรุง ได้คะแนน 0 - 4 คะแนน ผู้ประเมิน ………./………/…….
142 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 16 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (ดนตรี) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การขับร้อง และบรรเลงเครื่องดนตรี เวลา 8 ชั่วโมง เรื่อง บทเพลงประสานเสียง 2 แนว เวลา 2 ชั่วโมง วันที่สอน วันจันทร์ ที่ 11 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 โรงเรียนเทศบาล 5 สีหรักษ์วิทยา มาตรฐานการเรียนรู้ ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าดนตรีถ่ายทอด ความรู้สึก ความคิดต่อดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ตัวชี้วัด ม.1 (1/3) ร้องเพลงและใช้เครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการร้องเพลงด้วยบทเพลงที่หลากหลาย รูปแบบ สาระสำคัญ การขับร้องประสานเสียง 2 แนว เป็นการขับร้องที่ต้องมีทำนองเพลง 2 ทำนอง ร้องไปพร้อม ๆ กัน โดยมีทำนองหลักทำนองหนึ่ง ส่วนอีกทำนองหนึ่งเป็นทำนองประสาน จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถบอกความหมายการร้องประสานเสียง 2 แนวได้ (K) 2. นักเรียนสามารถร้องเพลงประสานเสียง 2 แนวบทเพลงหนูมาลีได้(P) 3. นักเรียนตั้งใจเรียนขณะครูสอนในชั้นเรียน (A) สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายการร้องประสานเสียง 2 แนว 2. ความหมายของเสียงประสาน 3. การร้องเพลงประสานเสียง 2 แนวบทเพลงหนูมาลี สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต