26
เอกสารอา้ งอิง
ก. เอกสารชน้ั ปฐมภูมิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . (2543). พระไตรปิฎกและอรรถกถา ฉบบั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย.
(พิมพค์ รัง้ ท่ี 4). กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลยั .
_______. (2518). อรรถกถาอฏั ฐสาลินี ตอนท่ี 2. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั .
_______. (2518). อภธิ ัมมัตถวภิ าวนิ ิยา ปฐมภาค. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวิทยาลัย.
_______. (2506). อภิธัมมัตถสังคหบาลีและอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกาฉบับแปลเป็นไทย. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย.
ข. เอกสารช้นั ทุตยิ ภูมิ
ทองเปลือง อภยั วงศ์. (2548). “การบาบดั รกั ษาผูป้ ุวยในทางไสยเวทกบั แนวคิดทางพทุ ธปรชั ญา”.
สารนพิ นธ์ศาสนศาสตรมหาบัณฑิต. บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย.
บญุ ศรี ประภาศริ ิ. (2509). อนุสรณ์ พระยาโกษากรวจิ ารณ์. กรงุ เทพฯ: เจริญสินการพิมพ์.
วธิ าน ฐานะวฑุ ฒ์. (2547). บายพาสอารมณ.์ กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พศ์ ยาม.
วรรณสทิ ธิ ไวทยะเสวี. (มปป). พระอภธิ ัมมตั ถสังคหะ ปริเฉทท่ี 3. กรงุ เทพฯ: ทพิ ย์วิสทุ ธิ์.
วิธาน สุชีวคปุ ต.์ (2549). อภปิ รัชญา. (พมิ พค์ ร้งั ท่ี 2). กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์มหาวทิ ยาลยั
รามคาแหง.
พร รตั นสวุ รรณ. (2536). อภญิ ญา เลม่ 2. กรุงเทพฯ: สานักค้นควา้ ทางวิญญาณ.
พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยตุ โต). (2531). พจนานุกรมพทุ ธศาสนฉ์ บับประมวลศัพท์. (พมิ พค์ รั้งที่ 4).
กรุงเทพฯ: บริษัทด่านสุทธาการพมิ พ์จากัด.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). (2545). พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. (พมิ พ์
ครง้ั ที่ 13). กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั เอส .อาร์. พรน้ิ ติ้ง แมส โปรดักส์ จากัด.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). (2545). พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพฯ:
ส่ือตะวัน.
_______. (2544). พทุ ธธรรม. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ธรรมสภา.
พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ติ วณฺโณ ภิกฺขุ). (2549). จิตวิทยาในพระอภิธรรม. (พิมพ์คร้ังท่ี 5).
กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั .
_______. (2550). แบบไหว้พระสวดมนต์และหลักธรรมในการเจริญวิปัสสนา. (พิมพ์คร้ังท่ี 13).
กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท ชวนพิมพ์ จากัด.
_______. วิปัสสนาภาวนา. (2546). (พมิ พ์ครัง้ ท่ี 5). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลยั .
พระสทั ธมั มโชติกะ ธมั มาจริยะ. (2525). สมถกรรมฐานทปี นี ปริเฉท 9 เล่ม 1. กรุงเทพฯ: โรง
พมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .
พระอาจารยป์ ระเดิม (โกมโลภกิ ขุ). (2499). อธบิ ายพระปรมัตถธรรม. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พบ์ ริษทั
คณะชา่ งจากดั .
27
พระอรยิ คุณาธาร (เส็งปสุ โฺ ส ป.ธ. 6). (2535). ทพิ ยอานาจ. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราช
วทิ ยาลยั .
พรี ศกั ด์ิ วรสนุ ทโรสถ. (2545). รอยไอยรา 8. กรุงเทพฯ: ศรเี มอื งการพมิ พ.์
ลออง มเี ศรษฐ.ี (2504). พจนานุกรมลาดับสระ. กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พ์จงเจริญ.
สตีเฟนฮอวก์ ิง้ , รอฮีมปรามาส (แปล). (2546). ประวัตยิ อ่ ของกาลเวลา. (พมิ พค์ รงั้ ที่ 5).
กรุงเทพฯ: มตชิ น.
สมเด็จพระญาณสงั วร (เจรญิ สุวฑฒฺ โน). (2540). ลักษณะพระพุทธศาสนา. (พิมพ์ครัง้ ท่ี 7).
กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวิทยาลัย.
สฤษฎ์ ธราธชั กญุ ชร. (2550). “การศึกษาเรอื่ งพุทธานภุ าพ”. สารนพิ นธศ์ าสนศาสตรมหา
บณั ฑิต. บัณฑติ วิทยาลยั . มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลยั .
สาโรจน์ เกษมสุขโชตกิ ลุ . (2538, พฤศจิกายน). “วิญญาณมีจรงิ หรือ ?” Update, 10 (113):
47.
หลวงเทพดรณุ านุศษิ ฏ์ (ทวี ธรมธชั ป. 9). (2540). ธาตุปฺปทปี ิกา หรอื พจนานกุ รม บาลี-ไทย.
(พมิ พค์ ร้ังท่ี 7). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย.
แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 2
บทที่ 2 พลังจิตทางวทิ ยาศาสตร์
หัวข้อ
2.1 ปรจติ วทิ ยา(parapsychology)
2.2 พลงั จิตอเี อสพี (ESP)
2.3 การสะกดจติ (hypnotism)
2.4 ภาพถ่ายเกอรเ์ ลยี น (Kirlian photography)
2.5 เอกภพคูข่ นาน (parallel universe)
2.6 ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ : อวกาศและเวลา (special theory of relativity : space and
time)
2.7 สารพเิ ศษแทนทาลัม (tantalum)
2.8 คล่นื สมองกับพลังพเิ ศษในตัวมนษุ ย์
2.9 บทสรปุ
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
1. นักศึกษาสามารถอธิบายความสาคญั พลงั ทางจติ ในทรรศนะวทิ ยาศาสตร์ได้
2. นักศึกษาสามารถวิเคราะห์และตีความการฝกึ จิต โดยเขยี นแผนผังความคดิ ได้
3. นกั ศกึ ษาสามารถอธิบายแลกเปลีย่ นเรยี นรู้กับผสู้ อนในช้ันเรียนได้
กิจกรรมการเรียนการสอน
1. นักศึกษาทุกคนร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความคิดเห็นเกี่ยวกับพลังทางจิตทรรศนะ
วทิ ยาศาสตร์
2. อาจารย์มอบหมายให้นักศึกษาดงู านสปั ดาห์มหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งประเทศไทย พร้อม
จดบันทกึ หรือสัมภาษณ์สาระสาคัญ การสัมมนา การเสวนา ผลงานวิจัย ในรูปเล่มรายงานพร้อมเสนอหน้าชั้น
เรยี นเพ่ือแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ระหว่างเพ่ือนในชนั้ เรียน
3. นักศึกษาร่วมกันสังเคราะห์วิเคราะห์ความสาคัญพลังทางจติ ในทรรศนะวทิ ยาศาสตร์
4. นักศึกษาแต่ละคนตรวจสอบความพร้อมของตนเองโดยซักซ้อมทาความเข้าใจเน้ือหาและเพื่อน
ร่วมหอ้ ง
5. อาจารย์สรุปความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องพลังทางจิตโดยให้หลักการพื้นฐานและ
ยกตัวอย่างประกอบเพอ่ื ความเข้าใจและแจ้งประจักษต์ ่อตวั นักศึกษาเอง
สือ่ การเรยี นการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. หนังสอื อ่านประกอบ (บรรณานุกรม)
3. สือ่ มัลติมีเดีย
29
4. สอื่ ออนไลน์
การวัดผลและประเมินผล
1. การเข้าช้ันเรียน
2. ทาแบบฝึกหัดทา้ ยบท
3. ความมีสว่ นร่วมในชนั้ เรยี น เช่น การสอบถาม การแลกเปล่ียนความรู้
4. การอภิปรายหนา้ ชน้ั เรียน
บทที่ 2
พลังจติ ทางวิทยาศาสตร์
ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี กายภาพ ตลอดจนวัตถุต่าง ๆ ล้วนเกิดจาก
พฒั นาการความรจู้ ากวิทยาศาสตรท์ ั้งสิ้น ซ่ึงเป็นความรู้ในขอบเขตด้านวัตถุหรือกายภาพ แต่ขอบเขต
ด้านจิตใจ ความรู้และความก้าวหน้าท่ีวิทยาศาสตร์วิจัยค้นพบและรวบรวมข้อมูลนั้นมีน้อยมาก และ
ยงั ไมไ่ ดร้ บั เปน็ ทีย่ อมรับในระดับสากลและเชิงวิชาการมากนัก แต่ความรู้ความก้าวหน้าท่ีมีมานานนับ
2,600 ปี หลงั พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนและวงการวิชาการ นักปราชญ์
บัณฑติ และวิทยาศาสตร์วา่ ขอบเขตความรู้เร่ืองจิตใจของมนุษย์น้ันมีมากมายและตัวอย่างเหตุการณ์
ที่พรอ้ มพิสจู นอ์ ยา่ งกวา้ งขวาง ฉะน้นั จึงจาเป็นที่วิทยาศาสตร์ต้องพัฒนาศักยาภาพทางวิชาการในการ
ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ให้ขยายขอบเขตความรู้ทางจิตให้มากข้ึน
และสร้างความเจริญความก้าวหน้าอันเป็นผลจากการค้นพบความรู้ด้านจิตใจของมนุษย์ โดยมี
รายละเอียดแต่ละหวั ข้อดังตอ่ ไปน้ี
2.1 ปรจติ วทิ ยา (parapsychology)
2.2 พลังจิตอเี อสพี (ESP - extrasensory perception)
2.3 การสะกดจติ (hypnotism)
2.4 ภาพถา่ ยเกอรเ์ ลียน (Kirlian photography)
2.5 เอกภพคขู่ นาน (parallel universe)
2.6 ทฤษฎสี มั พัทธภาพพเิ ศษ : อวกาศและเวลา (special theory of relativity :
space and time)
2.7 สารพิเศษแทนทาลัม (tantalum)
2.8 คลน่ื สมองกับพลงั พเิ ศษในตัวมนุษย์
2.9 บทสรุป
ปรจิตวิทยา (parapsychology)
ปรจติ วิทยา (parapsychology) คอื การศึกษาค้นคว้าพลังจิตและพลังลึกลับของมนุษย์
ในเชิงวิทยาศาสตร์ คาว่า psychic จะเก่ียวข้องกับเรื่องจิตและส่ิงลึกลับที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของ
ธรรมชาติหรือวิทยาศาสตร์ท้ังปวง ดังนั้นปรจิตวิทยา(parapsychology) จึงเป็นสาขาหนึ่งของ
วิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของจิตเหนือธรรมชาติ (paranormal ability) ซึ่งตรงกับ "อภิญญา" ใน
พระพุทธศาสนา (paranormal knowledge ; PK)
ในความคิดของนักปรจิตวิทยาจะเช่ือว่าสิ่งที่คนไทยเรียกว่า ผีหรือวิญญาณ นั้นเป็น
พลังงานรูปหน่ึงท่ีสามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ และการใช้พลังจิตก็มิใช่การแสดงอิทธิฤทธิ์
ป า ฏิ ห า ริ ย์ แ ต่ อ ย่ า ง ใ ด แ ต่ ส า ม า ร ถ อ ธิ บ า ย ไ ด้ ด้ ว ย เ ช่ น กั น เ พ ร า ะ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ มี
วิธีการ (methods) หรือบริบท (context) เป็นไปอย่างมีระบบและเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์
อย่างชดั เจนในธรรมชาตขิ องศาสตร์แหง่ วทิ ย์
ทศวรรษที่ 70 ศาสตราจารย์ นพ.ดร.เอียน สตีเวนสัน ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาแห่ง
มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียมาเมืองไทยครั้งแรก (เพ่ืองานวิจัยเร่ืองการระลึกชาติ) โดยมีสมาคมวิจัยทาง
31
จิตแห่งประเทศไทย (Society of Psychical Research of Thailand) (ไทยโพสต์. 2555:
Online) ซึ่งเป็นที่ต่ืนตาตื่นใจมากท่ีท่านได้มาวิจัยในประเทศไทยเก่ียวกับคนระลึกชาติได้ แต่ต่อมา
ภายหลังกระแสการวิจัยเกี่ยวกับคนระลึกชาติได้น้ัน ได้หดหายลดลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งถือได้ว่าท่านเป็นผู้
บกุ เบิกวทิ ยาศาสตร์สายปรจิตวิทยาใหก้ บั ประเทศต่าง ๆ ท่ัวโลก รวมถงึ ประเทศไทย
มีการทดลองทางจิตในกระบวนการวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจและมีร่องรอยหลักฐานใน
อดีตและเป็นรากฐานของปรจิตวิทยาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การทดลองพลังจิตในสหภาพโซเวียต จน
สามารถจัดประเภทของพลังจิตในทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นมรดกให้กับวงการ
วิทยาศาสตรอ์ นุชนรนุ่ หลังตอ่ ไปท่ตี อ้ งการขยายขอบเขตความรู้ทางด้านจิตใจต่อไป
1. อาวุธพลังจิตในโซเวยี ต (แรงบันดาลใจ. 2555: Online)
จากพยานหลักฐานซึ่งรวบรวมได้จากอดีตจารชนเคจีบีของโซเวียตที่แปรพักตร์ และจาก
แหล่งข่าวองค์การข่างกรองทางทหาร หรือ ดีไอเอ (De Inteligence Agency DIA) เป็นท่ีม่ันใจอย่าง
แนน่ อนวา่ ตลอดเวลาเกอื บครึ่งศตวรรษท่ีผ่านมา โซเวียตได้พยายามอย่างหนักในที่จะศึกษาวิจัยเพื่อ
นาเอาปรากฏการณ์ทางจิตหรอื พลงั จติ มาใช้ในการหาส่ิงที่ตนเองต้องการหรอื ค้นหาข้อมูลของฝุายตรง
ขา้ ม โดยตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่ผ่านมาน้ี สหรัฐอเมริกา มีหลักฐานทางทหารยืนยันว่า โซเวียตได้มี
การทดลองใช้อาวุธพลังจิตน้ีกับสหรัฐอเมริกา อย่างน้อยสุด 4 ครั้ง และที่ผ่านมานี้ ประมาณ พ.ศ.
2526 องค์การวิจัยของรัฐสภา (Congressional Research Service) ของสหรัฐอเมริกา ก็ได้สืบ
ทราบว่า รัฐบาลโซเวียตได้ให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัยด้าน ปรจิตวิทยา (parapsychology) เพื่อ
พัฒนาการประยุกต์ใชพ้ ลังจติ ทางทหารถึง 250 ลา้ นบาทต่อปี
จากหลักฐานทางวัตถุและจากคาบอกเล่าของเคจีบี เป็นที่คาดกันว่าหากการพัฒนาเพ่ือ
ใชพ้ ลังจิตในการทหารนส้ี าเร็จละก็ ต่อไปมันก็ไม่แน่ว่าบรรดานักรบพลังจิตของมอสโคว์อาจจะใช้การ
นั่งทางในท่ีเครมลินพิสูจน์ทราบตาแหน่งท่ีต้ังของไซไลเก็บขีปนาวุธในเนบราสก้าบนดินแดนของ
สหรฐั อเมรกิ า ได้หรือไม่เช่นนั้นก็ใช้พลงั แพ่งข้ามทวีปมาลบความจาทางแม่เหล็กของคอมพิวเตอร์ทาง
ทหาร และอาจจะใช้กระแสจิตบังคับควบคุมจิตใจของผู้นาสหรัฐอเมริกาให้เป็นฝุายโซเวียต และก็
อาจจะถึงข้ันแช่งชักหักกระดูกทางกระแสจิตให้เจ้าหน้าท่ีระดับสูงของสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งเหล่านี้
สหรฐั อเมริกามหี ลักฐานและพยานว่าเรื่องนี้มีความเป็นเป็นไปได้ และอาจเป็นจริงข้ึนมาสักวันหน่ึงใน
อนาคตขา้ งหน้าน้ีหากโซเวยี ตไม่วางมอื ก่อน จากข้อมูลที่ไดจ้ ากการสอบถามชาวโซเวียตท่ีอพยพไปอยู่
ในสหรัฐอเมริกาก็เป็นที่เชื่อแน่ชัดว่า ฝุายทหารของโซเวียตนั้นมีความสนใจในเรื่องพลังจิตนี้มาเป็น
เวลาอย่างน้อยที่สุด ประมาณ 30 ปี แล้ว แต่เนื่องจากว่าการทาวิจัยในเรื่องนี้โซเวียตปกปิดเป็น
ความลับ ฉะนั้น จึงมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องน้ีออกมาน้อยมาก ข้อมูลและหลักฐานท่ีสหรัฐอเมริกา
มีอยู่ในเวลาน้ี ส่วนหน่ึงก็ถูกเก็บเงียบอยู่ในกระทรวงกลาโหมหรือเพนตากอนของสหรัฐอเมริกา และ
นอกนั้นบางส่วนก็อาจจะพบได้จากเอกสารการวิจัยที่มีการลักลอบออกมาจากโซเวียต ซ่ึงแน่นอนว่า
หากอยู่ในมือของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็หมายใจได้ว่าต้องถูกเก็บเป็นความลับจนสาธารณชนไม่
สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อีกเป็นเวลานานอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามสาหรับสื่อมวลชนหรือนัก
สืบสวน นักเขียนที่มีความกระตือรือร้นต้องการหาคาตอบในประเด็นที่สาธารณชนอยากรู้ในเรื่องนี้ก็
ยังพอท่ีจะแสวงหาข้อมูลจากนักจิตวิทยาชาวโซเวียตสายลับหรือนักวิทยาศาสตร์ด้านอื่น ๆ ของโซ
เวียตท่ีได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการวิจัยเหล่านี้ ซ่ึงปัจจุบันนี้ก็มีเจ้าหน้าท่ีของโซเวียตดังกล่าวได้ขอล้ีภัย
มาอยู่ในคา่ ยตะวนั ตกเป็นจานวนมาก
32
2. พัฒนาการอาวุธพลังจติ (Natcha. 2012: Online)
ขอ้ มูลเก่ียวกับเบื้องหลังความเป็นมาของการพัฒนาใช้พลังจิตในการทหารของโซเวียตน้ี
สว่ นใหญ่กไ็ ดม้ าจากการให้สัมภาษณข์ องนักจิตวิทยาชาวโ ซเวียตที่มนี ามวา่ นโิ คโล โคคลอฟ (Nikolai
Khokholv) ซ่ึงเป็นบุคคลท่ีได้ใกล้ชิดในการค้นคว้าวิจัยเร่ืองน้ีมากที่สุดผู้หนึ่งปัจจุบันน้ีเขาได้ขอล้ีภัย
อยู่ในสหรฐั อเมริกา และเข้าทางานอยู่มหาวทิ ยาลัยแหง่ รฐั แคลฟิ อร์เนยี ซานเบอร์นาร์ดิโน เมื่อปี พ.ศ.
2484 โคคลอฟเคยทางานให้กับองค์การ เอ็นเควีดี (NKVD) ซ่ึงเป็นต้นกาเนิดขององค์การเคจีบีใน
ปจั จุบันน้ี ซ่ึงในตอนนัน้ เขาอายุได้ 19 ปี เขาได้เริ่มงานสายลับด้วยการปลอมเป็นนักบันเทิงอาชีพ ที่มี
นามว่า นิโคโล โวลิน เพือ่ หลอกลอ่ ทหารเยอรมนั เข้าไปสังหารในห้องชมคอนเสิรต์ และต่อมาก็เปล่ียน
นามใหม่เป็น อเล็กซี คริลอฟ เพ่ือทาหน้าที่เป็นทหารปฏิบัติการหลังแนวข้าศึกหลังจากนั้นอีกไม่นาน
ด้วยหน้าท่ีจารชนก็จาต้องเปล่ียนชื่อเป็นร้อยตรี ออตโต วิตต์แกนสไตน์ จนกระทั่งมาปฏิบัติการคร้ัง
สุดท้าย เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ให้คุมลูกสมุนไปสังหารนาย จีออร์กีเอสโอโคโรวิช ซ่ึงเป็นหัวหน้า
ต่อต้านคอมมิวนิสต์ในแฟรงเฟิร์ตของเยอรมนีตะวันตก ซ่ึงปรากฏว่าทางานไม่สาเร็จและไม่อาจจะ
บากหน้ากลับประเทศได้กเ็ ลยขอลภ้ี ัยในเยอรมนี
ในช่วง 2-3 ปีแรกหลังจากล้ีภัยน้ันโคคลอฟว่างงาน จึงเดินทางท่องเที่ยวไปใน
สหรัฐอเมรกิ า และยุโรปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง จนกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้สมัครเข้าเรียนปริญญา
เอกในสาขาจิตวิทยา และสิ่งนี้เองท่ีเป็นเหตุให้เขาได้พบกับหัวหน้างานด้านปรจิตวิทยาของอเมริกา
และในปี พ.ศ. 2511 เขาก็ได้เขียนเอกสารสัมมนาเรื่อง “ความสัมพันธ์ระหว่างปรจิตวิทยากับค่าย
คอมมิวนิสต์” (The Relationship of Parapsychology to communism) ในเอกสารสัมมนาฉบับ
นี้ โคคลอฟได้กล่าวอธิบายไว้ว่า ก่อนยุคที่จะมีการศึกษาด้าน ปรจิตหรือพลังจิตอย่างจริงจังนั้น ชาว
รัสเซียมีความเช่ือในเรื่องผีสางและเวทมนตร์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว เช่นมีความเชื่อว่าหมอผี
สามารถรกั ษาคนเจ็บให้หายได้โดยการวางมือแตะลงไปเพียงครงั้ เดยี ว พอมาถึงในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี
19 ก็ปรากฏวา่ องค์การข่าวกรองและหน่วยงานทางวทิ ยาศาสตร์ต่าง ๆ ของรัสเซียได้หยิบยกเร่ืองของ
พลังจิต การสะกดจิต และปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ มาศึกษาวิจัยกันอย่างจริงจัง จนกระท่ังในปี
พ.ศ. 2440 นักประสาทวิทยาของโซเวียตชื่อ วี.เอ็ม เบคห์เทอเรฟ ได้ก่อต้ัง สถาบันจิตประสาท
(Psychomeural Institute) ข้ึนโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะศึกศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิทยาและ
ปรจิตวิทยาจนเกิดการปฏิวัติข้ึนในปี พ.ศ. 2460 การศึกษาค้นคว้าในเรื่องนี้ก็ต้องหยุดชะงักและ
เปล่ียนโฉมหนา้ ไปอยา่ งส้ินเชิง ท้งั น้ีเพราะลทั ธมิ าร์กซสิ น้นั ปฏิเสธทีจ่ ะยอมรับเร่อื งปรากฏการณ์ลึกลับ
ของจติ หรอื เรอื่ งวญิ ญาณ และผู้นาโซเวียตในสมัยน้ันเช่ือว่า เรื่องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเหล่าน้ี
เป็นเรื่องท่ีเหลวไหลไร้สาระ แต่อย่างไรก็ตาม งานศึกษาด้านพลังจิตก็ยังดาเนินต่อไป และมาฟูเฟ้ือง
อีกครั้งหนึ่งในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี 20 เมื่อ ดร.เลโอนิค วาซิลิเอฟ ซ่ึงเป็นลูกศิษย์ของเบคห์เทอเรฟ
แห่งสถาบันวิจัยสมองเลนินกราด (Leningrad Institute of Brani Research) ได้ทาการวิจัยการส่ง
โทรจิต (teltpathe) ระยะไกล แต่อย่างไรก็ดี เน่ืองจากกลัวเกรงความผิดของกฎหมาย เขาจึงปกปิด
งานวิจยั ชิ้นนเ้ี งียบไว้จนกระท่งั สตาลนิ ถงึ แก่อสัญกรรม จึงได้เปิดเผยออกมา จึงได้รู้ว่า ซิลิเอฟ ได้แอบ
ทาการทดลองในเรอื่ งนี้ไปแล้วนบั รอ้ ยครง้ั ทีเดียว
วาซิลิเอฟเปิดเผยว่า ในการทดลองคร้ังหนึ่ง เขาได้ผู้นาร่วมทดลองไปน่ังในห้องที่ได้รับ
การปูองกันกระแสไฟฟูา และให้นักจิตวิทยาหรือนักพลังจิตเพ่งกระแสจิตไปบังคับให้ผู้ร่วมทดลอง
ดังกล่าวง่วงนอนและหลับไปในที่สุด ในการทดลองอีกคร้ังหนึ่ง เขาก็ได้จับนักพลังจิตขังได้ท่ีเลนินิ
กราดในขณะที่นาผู้ร่วมทดลองท่ีเป็นเหยื่อไปอยู่ท่ีเมืองเซวาสโตพอล ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 1,000ไมล์
33
ซ่ึงผลการทดลองก็ปรากฏว่า เหยื่อถูกสะกดจิตทางไกลให้นอนหลับและปลุกให้ต่ืนได้ในเวลาตรงกัน
กบั ที่นักเพ่งพลงั จติ สง่ กระแสจติ ออกมา
หลงั จากทีส่ ตาลินตายไปแลว้ นั้น นอกจากจะมีการเปิดเผยผลงานวิจัยของวาซิลิเอฟแล้ว
ก็ปรากฏว่ามีนักวิจัยของรัสเซียอีกเป็นจานวนมากได้เผยแพร่ผลงานวิจัยของตนออกมา และพอโซ
เวียตเปลี่ยนผู้นาใหม่เป็นครุชเซฟ ในราวปี พ.ศ. 2498 ดินแดนหมีก็กลับฟูเฟ่ือง และรุ่งเรืองในด้าน
พลงั จติ อกี ครง้ั หน่งึ เพราะผู้นาคนใหมข่ องโซเวยี ตชอบเร่ืองนี้และก็บ้าโยคะถึงขนาดบินไปอินเดีย เพื่อ
ศกึ ษาเร่ืองนี้เพ่ือนามาฝึกสอนให้กับชาวโซเวียต ซึ่งพอกลับจากอินเดียแล้ว ครุชเชฟก็มีคาสั่งว่า “เรา
ตอ้ งมีโยคีของเราเองให้ได้..ในวันพรงุ่ น้ี”
การประกาศให้ความสนับสนุนของครุชเชฟในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 50 น้ี มีผลต่อ
การพัฒนาอาวุธพลังจิตของโซเวียตอย่างมาก เพราะหลังจากน้ันคณะกรรมการกลางของพรรค
คอมมิวนิสต์โซเวียตก็ได้เร่ิมทาการ ระดมนักวิทยาศาสตร์จัดตั้งห้องปฏิบัติการปรจิตวิทยาขึ้นอีกคร้ัง
หนงึ่ แต่ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์ โซเวียตก็ฮึกเหิมอยู่ได้ไม่นานก็ต้องหุบ เพราะในราวปี พ.ศ. 2503
นติ ยสารของฝรง่ั เศส ชื่อ Science et Vie ได้รายงานว่า กระทรวงกลาโหมของอเมริกันก็ได้มีการวิจัย
เร่ืองพลังจิตเช่นกัน กล่าวคือ ทหารสหรัฐอเมริกา ได้ทาการทดลองการส่งข่าวสารทางโทรจิตจาก
ห้องปฏิบัติการเวสติงเฮาส์ใกล้บัล ติมอร์ไปยังลูกเรือบนเรือดาน้านอร์ติลุสซ่ึงดาน้าอยู่ใต้น้าแข็งทวีป
อารก์ ติกท่ีลึกถึง 4 ไมลแ์ ตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ผูเ้ ชีย่ วชาญฝาุ ยตะวนั ตกก็ปฏิเสธบทความรายงานการทดลอง
ในครั้งน้ี “เราไม่รู้เรื่องใด ๆ เก่ียวกับการทดลองนี้เลย” เกลนน์ บราวน์ ผู้จัดการด้านติดต่อสื่อสารที่
ศูนย์เวสติงเฮาส์ดีเฟนซ์ แอนด์ อิเล็กทรอนิกส์ (Westing house Defense and Electronics
Center) ในบัลติมอร์กล่าว และเขายังกล่าวต่อไปอีกว่า ทางบริษัทก็ไม่เคยทาการวิจัยทางจิตวิทยา
ดงั กลา่ วนแี้ ตอ่ ยา่ งใด
ในปี พ.ศ. 2505 หลังจากท่ีโซเวียตได้ทราบข่าวว่า สหรัฐอเมริกา กาลังทาการวิจัยใน
เร่ืองน้ีไล่กวดอยู่ ก็รีบตีกรรเชียงหนีห่างด้วยการมอบอานาจให้วาซิลิเอฟ ควบคุมห้องปฏิบัติการลับ
ในเลนินิกราดและพอถึงช่วงกลางคริสต์ทศวรรษท่ี 60 รัฐบาลเครมลินก็ประกาศต้ังห้องปฏิบัติการ
สาหรับศึกษาวิจัยและประยุกต์ใช้ พลังจิตเพิ่มข้ึนอีกเป็นจานวนมาก รายละเอียดเก่ียวกับงานวิจัยลับ
ของโซเวียตน้ี ส่วนหน่ึงก็ได้มาจากคาบอกเล่าของนาย อับราฮิม ซิฟริน ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่ปรึกษา
กระทรวงยุทธาการของโซเวียต แต่ในปัจจุบันน้ีขอล้ีภัยอยู่ในอิสราเอล เขาได้ทางานกับรัฐบาลโซ
เวียตอยู่จนกระท่ังปี พ.ศ. 2496 ก่อนที่จะถูกพิพากษาให้ส่งตัวไปยังค่ายกักกันในข้อหาทาจารกรรม
และที่เคยกักกันน้ีเขาได้รู้จักกับนักปรจิตวิทยาของโซเวียต และ กูรู หรือผู้นาทางศาสนาจากธิเบต
เขาเล่าว่า พวกเขาท้ังสามคนได้รวมหัวกันวิจัยเรื่องโยคะ ซึ่งก็ทาให้ได้รับความสนใจจากเจ้าหน้าท่ี
ระดับสูงของสถาบันวิจัยลับ หลังจากที่ชิฟรินถูกปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2506 เขาก็ถูกชวนให้เข้าทางาน
ในห้องปฏิบัติการลับแห่งหน่ึงซ่ึงต้ังอยู่บนถนน โบล ชายา คอมมิวนิสติชิสกายา ในใจกลางกรุงมอส
โคว์ ณ ที่แห่งนี้เองทาให้เขาได้รู้จักกับ ดมิตริเมอร์ซา ซึ่งเป็นผู้อานวยการบริหารและ โซโลมอน เกล
เลอร์สไตน์ ซ่ึงเป็นอานวยการด้านวิทยาศาสตร์ของห้องปฏิบัติการ บุรุษท้ังสองท่านนี้ได้บอกเขาว่า
ห้องปฏิบัติการแห่งนี้ต้ังข้ึนในช่วงกลาง คริสต์ทศวรรษท่ี 50 หลังจากท่ีครุชเชฟไปทัวร์อินเดีย
งานวิจัยท่ีน่ีเป็นงานลับสุดยอด เจ้าหน้าที่ท่ีทางานในนี้ก็มีท้ังนักวิทยาศาสตร์ นักพลังจิตหรือแม้แต่
หมอวเิ ศษทีไ่ ปควานหาตัวมาจากท่ัวประเทศ ชิฟรินกล่าววา่ “พวกเขาบอกว่าถา้ ผมมาร่วมงานกับพวก
เขา ผมจะได้รับเงินเดอื นและแฟลตดี ๆ อยู่” ในดนิ แดนคอมมิวนิสต์รฐั บาลเสนอขอดใี ห้อย่างนี้ไม่รับก็
โง่ละ ดังนั้นชิฟรินก็เลยรับข้อเสนอยอมทางานในห้องปฏิบัติการแห่งนั้นซ่ึงก็ให้เขา ได้ทางานใกล้ชิด
34
กับนักวิทยาศาสตร์ของโซเวียต ชิฟรินเล่าต่อไปว่า มีอยู่คร้ังหนึ่งที่เกลเลอร์สไตน์ปุวยต้องไปนอน
โรงพยาบาล และวนั หน่งึ ขณะทเี่ ขาข้าไปเยีย่ มก็ได้พบว่ามีนักบินอวกาศโซเวียตสามคนมาเย่ียม “ผมก็
เลยถามเกลเลอร์สไตน์ว่า ทาไมเขาถึงให้ความสาคัญถึงขนาดท่ีนักบินอวกาศต้องมาเย่ียม “ชิฟรินเล่า
ถึงความหลงั ” และเขากต็ อบผมวา่ “เขาเปน็ ผูฝ้ ึกโทรจติ ใหก้ ับนกั บนิ อวกาศเหลา่ นัน้ ”
จากการตรวจสอบในเวลามาพบว่า เร่ืองท่ีชิฟรินเล่าน้ีเป็นความจริง ซึ่งตรงกับข่าวท่ีได้
จากแหล่งข่าวแหง่ หนึ่งท่บี อกวา่ นายเกลเลอรส์ ไตน์ได้ตพี ิมพ์หนังสือเก่ยี วกบั การฝึกสอนนักบินอวกาศ
ในการทานายหรือพยากรณ์เหตุการณ์ล่างหน้า (precognition) และจากบทความท่ีตีพิมพ์ในวารสาร
“โซเวียตมาริไทม์ นิวส์” (Soviet Maritime News) ได้ยืนยันว่า “การฝึกทางพลังจิตดังกล่าวน้ีได้รับ
การบรรจุเข้าใว้ในหลักสูตรการฝกึ นักบิน อวกาศของโซเวยี ตแลว้ ”
จากการสืบทราบขององค์การข่าวกรองทางทหารของ สหรัฐอเมริกา พบว่า
ห้องปฏิบัติการลับทางพลังจิตของเกลเลอร์สไตน์นี้ ไม่ใช่เป็นห้องปฏิบัติการเพียงแห่งเดียวท่ีอยู่ในโซ
เวียต แต่ยังมีงานวิจัยลับทางพลังจิตท่ีวิจัยอยู่ตามสถาบันอ่ืนด้วย อาทิเช่น สถาบันปฏิบัติการทาง
ประสาทข้ันสูง (Pavlov Institute of Higher Neurons Activity) ในมอสโคว์. สถาบัน ดูรอฟ
(Durov Institute) และสถานีทดลองในไซบีเรีย และมาเม่ือปี พ.ศ. 2518 นี้รายงานข่าวกรองท่ีจั่วหัว
วา่ การวจิ ัยปรจิตวิทยาของโซเวียต และเชคโกสโลวาเกีย" ก็ได้เปิดเผยให้ทราบว่า ยังมีห้องปฏิบัติการ
วิจัยด้านพลังจิตอยู่ โคคลอฟได้เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ของการพัฒนาอาวุธพลังจิตของ โซเวียตว่า
พวกเขามจี ุดมุ่งหมายที่จะ “ควบคมุ จิตใจ” ของมนษุ ยใ์ ห้ได้ ซึ่งคากลา่ วนไี้ ดร้ ับการยืนยันจาก ลาริสซา
วเิ ลนสกายา ซึ่งเป็นแหล่งข่าวด้านการค้นคว้าพลังจิตของโซเวียตว่าเป็นความจริง เรื่องราวเขย่าขวัญ
ของวิเลนสกายาเกดิ ขึน้ ในปี พ.ศ. 2511 เมื่อหล่อนไดร้ บั มอบหมายใหท้ างานล่วงเวลาที่ห้องปฏิบัติการ
ไบโออินฟอร์เมช่ัน (bioniformation) ของสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวิทยุอิเล็กทรอนิกส์
และสื่อสาร เอ.เอส.โปปอฟ (A.S.Popov Scientific and Technological Society of
Radioelectronics and Communication) ซ่ึงเพ่ิงต้ังข้ึนใหม่ในกรุงมอสโคว์ห้องปฏิบัติการแห่งนี้มี
ดร.อิปโพลิต บี.โคแกน เป็นผู้อานวยการ มีคนทางานทั้งในเวลาปกติ 5 คน และมีเจ้าหน้าท่ีทางาน
ลว่ งเวลาและอาสาสมคั รชว่ ยงานอกี เป็นจานวนถึง 300 คน วเิ ลนสกายาเปดิ เผยว่า หวั ขอ้ ของการวิจัย
ของหอ้ งปฏิบตั ิการแห่งน้ีมีท้งั การศกึ ษาใช้พลังจิตในการ รกั ษาโรค,การทานายเหตุการณ์ล่วงหน้า การ
น่ังทางในมองตรวจการณ์ระยะไกล (remote viewing) และรวมทั้งการศึกษาการใช้ผิวหนังในการ
แยกสีและภาพโดยใช้เพียงการสัมผัส แต่ทางการโซเวียตก็อ้อมแอ้มบอกว่าเปูาหมายของการวิจัย
ต้องการเพยี งแค่หาหลัก การทางฟสิ กิ สง์ า่ ย ๆ มาอธิบายปรากฏการณท์ างจติ เท่าน้ัน..แต่อย่างไรก็ตาม
ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาว่า นักวิจัยของห้องปฏิบัติการแห่งน้ีได้รับคาสั่งให้ทาการทดลองควบคุม
จิตใจ มนุษย์ด้วย ซ่ึงก็สร้างความไม่พอใจแก่นักวิจัยอย่างมาก และในที่สุดในปี พ.ศ. 2518
ห้องปฏบิ ตั ิการแหง่ นก้ี ็ถกู ปดิ จนกระทั่งในอกี สามปตี อ่ มา ทางการโซเวียตได้มีคาสั่งให้เปิดหน่วยงานที่
เรียกวา่ “ชวี อิเล็กทรอนิกส์” (Bioelectronice) แทนหอ้ งปฏบิ ัติการดงั กล่าว และคราวน้ีปรากฏว่าใน
คณะกรรมการอานวยการทงั้ หมด 25 คนมที หารรวมอยู่ด้วย 3 คน “ในขณะท่ีห้องปฏิบัติการไบโออิน
ฟอร์เมชันเปิดใหใ้ ช้ได้อย่างอิสระ” วเิ ลนสกายากล่าว “ห้องปฏิบัติการชีวอิเล็กทอรนิกส์อันใหม่นี่กลับ
ค่อนข้างจะเข้ไปได้ยาก เพราะมีการควบคุมอย่างเข้มงวด คุณจะต้องมีบัตรผ่านพิเศษจึงจะเข้าไปใน
นั้นได้” หล่อนอธิบายต่อไปอีกว่า หลังจากที่ห้องปฏิบัติการแห่งน้ีเปิดแล้ว คณะทางานซ่ึงอยู่ภายใต้
การควบคุมของทหารก็ได้เร่ิมการคัดเลือกคนเป็นจานวน นับร้อย ๆ คน เพ่ือใช้ในการทดลองพลังจิต
ซ่ึงการวางแผนทดลองอันใหม่นี้จะเน้นหนักไปท่ีการควบคุมจิตใจ วิเลนสกายาได้หนีออกมาจาก
35
สหภาพโซเวียตในปี พ.ศ. 2522 หลังจากน้ันก็ใช้ชีวิตอยู่ในอิสราเอลสองปี ก่อนที่จะอพยพไปอยู่
สหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2524 ปัจจุบันน้ีเธอประกอบอาชีพเป็นครูสอนวิชาเดินลุยไฟในซานฟรานซิส
โก และก็เป็นบรรณาธิการวารสาร “ไซ รีเสิร์ช” (Psi Research) ซึ่งบทความส่วนใหญ่ท่ีตีพิมพ์ลงใย
วารสารเล่มนี้ก็เป็นบทความที่เธอแปลจาก เอกสารการวิจัยพลังจิตท่ีเธอขโมยออกมาจากโซเวียต
หล่อนคาดว่าในขณะน้ี โซเวียตคงมีองค์การพลังจิตอยู่อย่างน้อยท่ีสุด 12 องค์การ และมีคนทางาน
เตม็ เวลาไม่นอ้ ยกวา่ 100 คน
วิเลนสกายา ให้ข้อสังเกตว่าการวิจัยด้านพลังจิตในช่วงหลังน้ี โซเวียตมีเปูาหมายที่จะ
นาไปใชใ้ นทางท่ีช่วั ร้ายหรอื ไปใชใ้ นทางทหารมากข้นึ ยกตัวอย่างเชน่ นักพลังจิตวทิ ยาช่อื วลาอิล คาส
นาเซเยฟ ไดร้ ายงานถึงการใช้พลังจิตช่วยแพร่เช้ือจากเซลล์เช้ือโรคไปยังเซลล์ดีที่ถูก แยกจากกันด้วย
แผน่ ควอร์ตซ์ รายงานอีกชิ้นหนึ่งก็ช้ีให้เห็นว่า โซเวียตกาลังพยายามจะสร้างอาวุธหรือเคร่ืองจักรพลัง
จิตที่สามารถเหน่ียวนา การเต้นของหัวใจได้ ผู้เช่ียวชาญของสหรัฐอเมริกา ให้ความเห็นในเร่ืองนี้ว่า
ถา้ โซเวยี ตทาโครงการทวี่ ่าน้ีสาเร็จแล้วละก็ พวกเขาก็คงจะทาตามวิถีทางของโซเวียต คือใช้ไปในทาง
ที่ชั่วร้ายเหมือนพวกพ่อมดหมอผีอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ดี พวกลัทธิมาร์กซิสอย่างโซเวียตนั้น ไม่
เช่ือเรื่องไสยศาสตร์เลย ดังนั้นนักปรจิตของโซเวียตจะต้องค้นหาวิธีทางฟิสิกส์มาอธิบายเรื่องการเดิน
ทางของข่าวสารทางกระแสจิต ซ่ึงทฤษฎีของโซเวียตในปัจจุบันน้ีก็เชื่อว่า แม่เหล็กไฟฟูาเป็นกุญแจ
สาคญั ในการท่จี ะไขปญั หาในเร่อื งนี้ “มนั เปน็ ความคิดทีร่ วบรัดเกนิ ไปแตม่ ันกด็ เู หมือนว่าจะเป็นไปได้”
นักฟิสิกส์นิวเคลียร์ ผู้มีนาวกรว่า เอลิซาเบธรอสเชอร์ ซึ่งเป็นอาจารณ์สอนวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ
อยู่ที่มหาวิทยาลัยจอรห์นเอฟ.เคนเน ดี ในโอรินดา แคลิฟอร์เนียกล่าว คลื่นสมองประกอบด้วย
พลังงานทางแม่เหล็กไฟฟูาและสมองของคนเราก็เปรียบเสมือน สายอากาศทรงกลมขนาดใหญ่ที่ส่ง
คลื่นแม่เหล็กไฟฟูาออกไปทุกทิศทุกทาง หากมีคนรับคล่ืนพลังจิตน้ีได้ละก็ เราก็เรียกว่า “การส่งโทร
จติ ” หลักฐานท่ียนื ยนั ว่า โซเวยี ตเชอื่ ในแบบจาลองทางทฤษฎีน้ีก็ได้มาจากเครื่องไม้เคร่ืองมืท่ีนัก วิจัย
พลังจิตของโซเวียตใช้งานอยู่เป็นประจานั่งเอง ยกตัวอย่างเช่น “เครื่องไบโอพลาสโมกราฟ”
(bilplasmograph) ซึ่งใช้ผลึกของเหลวชนิดพิเศษท่ีใช้สาหรับวัด “สนามชีวะ” (biofield) รอบๆ ตัว
มนุษย์ นายพล เจนนาดิเอ เซอร์เจเยฟ แห่งกองทัพเรือโซเวียตซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องมือน้ีข้ึนมาก
กล่าวว่าเครอ่ื งไบโอพลาสโมกราฟสามารถจะใช้วัด "การเปลี่ยนแปลงแรงแม่เหล็ก" ท่ีอยู่รอบๆ ตัวนัก
พลังจติ ได้
นอกจากนแ้ี ล้วก็มรี ายงานว่าโซเวียตก็ยังมีเคร่ืองจักร (อาวุธ) พลังจิตอีกช้ินหนึ่งมีเช่ือว่า
ลิดา (Lida) ซึ่งเป็นเครื่องมือท่ีใช้หลักการทางแม่เหล็กไฟฟูาในการเปลี่ยนสภาวะความนึก คิดหรือ
จิตสานึก ซ่ึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์สาขาประสาทวิทยาของสหรัฐอเมริกา ช่ือ ดับบลิว. รอสส์
เอดยี ์ ซึ่งทางานอย่ทู ีศ่ ูนยบ์ ริการแพทย์ทหารผ่านศึก (Veterans Adiministration Medical) ในโลมา
ลินดาซงึ่ มีขนาดเทา่ กล่องใสร่ องเทา้ น้ีทดลองกับแมว กป็ รากฏผลว่าสามารถชักนาจิตใจของเจ้าแมวให้
หลับไดเ้ ป็นเวลานาน ยง่ิ ไปกว่านั้น โคคลอฟยงั ได้เปิดเผยกบั นกั เขียนของ ออมนิ อีกว่า ขณะนี้โซเวียต
ไดพ้ ัฒนาใช้คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟูาดังกลา่ วน้เี พื่อควบคมุ คนทั้ง โลกกันแลว้ โดยตลอดช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่าน
มาน้ี โซเวยี ตได้ยงิ คลืน่ ไมโครเวฟใส่สถานฑตู สหรัฐอเมริกา ในกรงุ มอสโควอ์ ยเู่ ป็นประจา ซ่ึงคาดกันว่า
คงมีจุดประสงค์ที่จะรบกวนจิตใจหรือสร้างพฤติการอันไม่พึง ประสงค์ให้แก่นักกรทูตสหรัฐอเมริกา
และต้ังแต่ปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา โซเวียตก็ขยายการปฏิบัติการรุนแรงข้ึนถึงข้ันงัดเอาอาวุธพลังจิต
ขนาดใหญ่ออก มายิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟูาในย่านความถ่ี 2-20 เฮิรตซ์ เขาใส่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เกือบท้ังประเทศ ซ่ึงคาดว่าคงเพ่ือจุดประสงค์เดียวกันกับที่ทากับสถานทูตสหรัฐอเมริกาในมอสโคว์
36
อยา่ งไรก็ดี ถงึ แมว้ า่ รัฐบาลสหรัฐอเมริกา จะยอมรับว่า ได้ตรวจพบคลื่นดังกล่าวที่ยิ่งไปยังสหกรัฐฯ น้ี
จริง และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่าโซเวียตยิงคลื่นไมโครเวฟใส่สถานทูต
สหรัฐอเมริกา จริง ๆ ก็ตาม เจ้าหน้าท่ีในรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา บางคนก็ไม่เชื่อว่าการกระทา
เหล่านี้จะมีจุดประสงค์ดังที่นายโคคลอฟกล่าวอ้าง ทั้งนี้เพราะโซเวียตอาจจะมีเปูาหมายหลักเพื่อ
ขัดขวางการส่งวิทยขุ องสหรฐั อเมรกิ า ก็ได้ และส่วนคลื่นท่ีสารวจพบในดินแดนสหรัฐอเมริกา นั้นก็ย่ิง
มาจากเรดาร์เหนือขอบฟูาซ่ึงเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้าของโซเวียต ท่ีมีไว้เพื่อใช้ตรวจจับขีปนาวุธ
ของสหรฐั อเมริกา “จริงอยู่ท่ีคนรัสเซียมีนิสัยโหดร้าย แต่พวกเขาคงไม่บ้าพอท่ีจะทาอะไรโง่ๆ หรอก”
แหล่งข่าวโตแย้งในเรื่องนี้กล่าวรัสเซลล์ ทาร์ก ซ่ึงเป็นนักฟิสิกส์ท่ีศึกษางานด้านพลังจิตของโซเวียตที่
สาคัญคนหน่ึงของฝุาย ตะวันตก มีความคิดเป็นเก่ียวกับการวิจัยของโซเวียตว่า ความจริงแล้วรัสเซีย
นั้นมุ่งวิจัยเก่ียวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเพ่ือใช้ ในทางสันติส่วนเรื่องท่ีโคคลอฟและวิเลนสกา
ยาเล่าและให้ทัศนะนั้นเป็นงาน วิจัยเพียงส่วนน้อยนิดเท่าน้ันพวกเขาไม่ได้รู้เร่ืองน้ีท้ังหมด ทาร์กเป็น
นกั วิทยาศาสตร์ทมี่ ีความเชีย่ วชาญในการมองระยะไกล ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2515 ถึง 2525 เขาได้
ทางานกับสถาบันวิจัยสแนฟอร์ดซึ่งได้รับว่าจ้างจากกระทรวงกลาโหมของ สหรัฐอเมริกา ให้ช่วย
พัฒนา “สายลับพลังจิต” (psychic spies) ให้ ซึ่งงานน้ีทาให้เขารู้สึกไม่พอใจ
ในปี พ.ศ. 2525 หลงั จากทเี่ ขาได้ลาออกจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ดเพราะว่างานวิจัยพลังจิตนี้ หนัก
ไปทางทหารมากเกินไปแล้ว เขาก็ได้จักตั้งบริษัทเดลฟี แอสโซซิเอท (Delphi Associaties) ซึ่งเป็น
บริษัทที่ปรึกษาในด้านพลังจิตข้ึนมาและหลังจากน้ันไม่นาน ทาร์กก็ถูกสภาวิทยาศาสตร์ของโซเวียต
เชญิ ไปเยย่ี มสถาบันวิจยั พลงั จติ ของรัส เซยี ซ่งึ เมอื่ สองปที ผี่ ่านมาน้ี ทารก์ กไ็ ดไ้ ปเยอื นรสั เซียถึงสองครั้ง
จากการไปเยือนนี้ทาให้เขาได้พบปะนักวิจัยด้านจิตของโซเวียตมากกว่านักวิทยา ศาสตร์ชาวมะริกัน
ทกุ คน “ผมไม่สามารถยืนยนั ไดว้ ่า โซเวียตได้ใชพ้ ลังจติ ในการทหารหรือไม่ แต่ที่รู้ ๆ ก็คืองานของพวก
เราเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์” ทาร์กกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม การไปเยือนรัสเซียของคุณพี่ทาร์กน้ีก็ได้
สหรัฐอเมริกา ได้ทราบข่าวคราวเกี่ยวกับงานวิจัยของโซเวียตมากข้ึนทีเดียว ในช่วงท่ีไปรัสเซียน้ีเขาก็
ได้รู้จักกับ อิปโพลิต โคแกน ซึ่งเป็นอดีตเจ้านายของวิเลนสกายา ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้ทางานอยู่ที่
สถาบันเรดิโอเทคโนโลยีและเอ็นจิเนียร่ิง (Institute of Rsdiotechology and Engineering) ในเล
นินกราด และเม่ือปีที่แล้วนี้ โคแกน ก็ได้ตีพิมพ์หนังสือเก่ียวกับปรากฏการณ์ทางพลังจิตออกมาเล่ม
หน่ึง ซ่ึงในหนังสือน้ีเขาได้เสนอว่าพลังจิสามรถจะอธิบายได้ด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟูาความถี่ต่าและ
นอกจากนี้แล้ว ทาร์กก็ยังได้ยินข่าวของ วิกเตอร์ อินยูชิน ท่ีรายงานข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา อ้าง
ถึงเขาว่าเป็นผู้สร้างเคร่ืองควบคุมจิตใจท่ีมีช่ือเรียกว่า “เคร่ืองกาเนิดไซโคทรอนิก (psychotronic
generator)” ว่าทุกวันนี้อินยูชินกาลังทาการทดลองการใช้เลเซอร์ในการปรับปรุงผลทางการ เกษตร
และการใช้เคร่ืองถ่ายภาพเคอร์เลียน (Kirlian) เพ่ือใช้ในวินิจโรคทางการแพทย์ หลังจากที่ทาร์กกลับ
มาบ้านแล้วเขาและเพ่ือนชาวรัสเซียก็ได้จัดการสาธิต “การมองระยะไกล” ข้ามทวีประหว่างมอสโคว์
กับซานฟรานซิสโกขึ้น การทดลองครั้งน้ีก็มีขึ้นท่ีอพาร์ตเมนต์ของดจูนา ดาวิตาชวิลี ซ่ึงเป็นหมอนวด
หญิงของโรงพยาบาลจอร์เจียน (Georgian hospital) และเคยทาให้รัฐบาลโซเวียตประหลาดในกับ
การใชพ้ ลงั จิตรกั ษาผ้ปู วุ ยทแี่ พทยล์ ง ความเห็นวา่ รกั ษาไม่ไดใ้ ห้หายได้ ทากเปิดเผยผลจากการทดลอง
ว่า ดาวิตาชวิลีสามารถอธิบายถึงม้าหมุนที่ตั้งอยู่ตรงท่าเรือประมงของศาลฟรานซิ สโกได “มันเป็น
การมองระยะไกลที่ประสบความสาเร็จท้ังในด้านระยะทางและเวลา (คาดการณ์ล่วงหน้า)” ทาร์กก
ล่าว แต่อย่างไรก็ดีในเร่ืองนี้ก็มีนักวิทยาศสาตร์หลายคนไม่เช่ือในผลการทดลองน้ี แต่ทาร์กก็โต้แย้ง
และยนื ยันวา่ นไ่ี ม่ใช่การทดลอง แต่เป็นการสาธิตและถา้ เป็นไปได้ เขาจะทาการทดลองใหด้ ูอีกทกี ็ได้
37
“พลังจิต (กาลังภายใน) ฆ่าคนหรือสัตว์ได้จริงหรือ ???” ปริศนานี้เป็นสิ่งท่ีใคร ๆ ก็
อยากจะรู้ โดยเฉพาะพวกทหารท่ีต้องการจะพัฒนาอาวุธใหม่ๆ ท่ีมีอานาจการทาลายสูง แต่ตัวเอง
ปลอดภัยคือต้องการอาวุธท่รี ู้วา่ ใครเป็น ศัตรู และก็ฆ่าเฉพาะเจ้าศัตรูน้ันเสีย หากอย่ากรู้คาตอบและ
ข้อเท็จจริงในเรื่องน้ีก็ต้องถามนาย ออกัสต์ สเทิร์น ซ่ึงเป็นนักฟิสิกส์ ชาวโซเวียตที่ล้ีภัยมาอยู่ในค่าย
ตะวันตกเม่ือปี พ.ศ. 2518 เขาเรียนจบท้ังทางด้านคอมพิวเตอร์ ประสาทสรีรวิทยา และคณิตศาสตร์
ประยุกต์ด้วยและเป็นผู้หน่ึงท่ีได้รู้รู้เห็นการวิจัยอาวุธ พลังจิตพิฆาตของรัฐบาลโซเวียต สเทิร์นเคย
ทางานอยใู่ นหน่วยราชการการลบั ในไซบเี รียของโซเวยี ต “สเปเชียงดพี ารต์ เมนต์ 8" ซึง่ ทาให้เขาได้รู้ได้
เห็นการทาวิจัยอาวุธพลังจิตของรัสเซีย การทดลองคร้ังหน่ึงท่ีสเทิร์นเล่าให้ฟังก็คือมีการจับลูกไก่อายุ
2-3 วัน ใสก่ ลอ่ งโลหะ แล้วนาลงไปไว้ใตถ้ ุนตึกสว่ นตัวแม่ก็เอาไว้ท่หี ้องทดลองบนช้ัน 3 และก็มีการต่อ
สายระโยระยางจากหวั ของแมไ่ กเ่ ข้าเคร่อื งวัดคล่ืนสมอง (electroencephalograph) การทดลองเริ่ม
ขึ้นด้วยการปล่อยกระแสไฟฟูาผ่าน เข้าไปในกล่องโลหะ จนเจ้าลูกไก่เต้นและสั่นงันงกด้วยความ
เจ็บปวดเช่นเดียว กับลูกของมัน นี่แสดงให้เห็นว่า แม้จะอยู่ไกลกัน ไก่แม่ลูกคู่น้ีก็ยังสามารถรับรู้
ความรู้สึกของกันและกันได้ เหตุท่ีเป็นเช่นน้ีเพราะท้ังสองมีการถ่ายทอดกระแสจิตไปให้กันและกัน นี่
เป็นตัวอย่างการทดลองเพียงเบาะ ๆ เท่าน้ัน สเทิร์นบอกว่า ท่ีโหดร้ายย่ิงกว่านี้ก็มี อาทิเช่น ในช่วง
กลางคริสต์ทศวรรษที่ 60 สเทิร์นได้เห็นการทดลองอันมหาโหดในห้องปฏิบัติการของทหารโซเวียต
คือ ครั้งหนึ่งพวกเขาพยายามจะใชพ้ ลังจติ บังคบั ใหศ้ ัตรูตกรถเมล์ อีกครั้งหน่งึ ก็พยายามที่จะฆ่าสัตว์ตัว
เล็ก ๆ ท่ไี มร่ ู้อโิ หนอ่ เิ หน่จากระยะไกล สเทิร์นเล่าถึงเหตุการณ์ในการทดลองในครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่า
พวกนักพลังจิตของโซเวียตได้จับเอาแมวตัวหน่ึงไปขังไว้ในอีกห้องหน่ึง แล้วจากนั้นก็พยายามจะใช้
พลังจติ ฆา่ มันเสีย "ตอนนั้นผมมองว่ามันเป็น เรื่องง่ีเง่า" สเทิร์นราพึงถึงความหลัง แต่แล้วในภายหลัง
เขากพ็ ูดไมอ่ อก เพราะปรากฏโซเวียตมีคนตายทกุ คนื .. “มันเหมอื นกับอธิบายเร่ืองเฟรงเกนสไตน์ยังไง
ยงั งน้ั ” ทางกระแส ปัจจุบนั นี้ก็ทางานอยู่ที่ห้องปฏบิ ตั ิการนี้ สเทิร์นไดมีโอกาสทาวิจัยในโครงการลับน้ี
เหมือนกัน งานของเขาในคร้ังนั้นก็คือการค้นหาหลักการทางฟิสิกส์ที่จะไขปัญหา ปรากฏการณ์ทาง
พลงั จติ เสทริ น์ กเ็ หมือนนักวจิ ยั ของโซเวยี ตคนอ่ืนๆ คือ เช่ือว่าพลังจิตอาจจะเป็นพลังงานหรืออนุภาค
อนั ใดอันหน่ึงทีเ่ รารจู้ ักกัน อยแู่ ล้วดังน้ันสเทริ น์ จึงเลอื กเอา "นวิ ตรโิ น" ซึ่งเป็นอนุภาคที่ไม่มีประจุไฟฟูา
ไม่มมี วลวง่ิ ดว้ ยความเรว็ เทา่ แสง และสามารถทะลุทะลวงทุกสิ่งทุกอย่างได้ ฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่า นิวต
ริโนเปน็ ตัวนาคลนื่ พลังจิตหรือกระแสจิตและคนท่ีมีความไวต่อนิวตริโนก็ เรียกคนนั้นว่ามีพลังจิตหรือ
เป็นนักพลงั จติ หากสมมติฐานนี้ถกู ต้อง ต่อไปไม่แน่ว่าโซเวียตก็อาจจะสามารถสร้างอาวุธพลังจิตมหา
ประลัยท่ีสามารถบัญชาการให้ใครต่อใครเป็นตามความต้องการของโซเวียต หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะ
แช่งชักให้หัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมอง (ของผู้นาประเทศศัตรู) แตกตายก็ได้..แต่ก็เป็นท่ีน่ายินดี
ครับว่าอาวุธมหาประลัยนี้ยังไม่เกิดเป็น ตัวเป็นตนขึ้นเพราะห้องปฏิบัติการดีพาร์ตเมนต์ 8 ที่สเทิร์น
ทางายอยู่ถูกส่ังปิดในปี พ.ศ. 2512 และหลังจากน้ันอีก 6 ปีต่อมาสเทิร์นก็เผ่นมาอยู่กับฝุายโลกเสรี
ประเภทของพลงั จติ ในทางวทิ ยาศาสตร์
Telepathy คือ การอ่านความคิดคนอื่นได้ และ ส่งความคิด ถึงคนอ่ืนได้ (รวมถึง
สิ่งมีชีวิตท่ีเคยชิน) เช่น การอ่านใจและเห็นคาพูดในความคิดคนอื่น และอาจมีการส่งคาพูดจาก
ความคดิ ของตนเขา้ ไปในสมองผู้อน่ื โดยตรง เปน็ ตน้
Psychometry คือ การอ่านความทรงจาท่ีคนอื่นได้ (อ่านความทรงจาท่ีฝังอยู่จาก
สง่ิ ของและสงิ่ มีชีวิตทกุ อย่าง) โดยเฉพาะจะเห็นชัดกับความทรงจาท่ีฝังแน่น เช่น คนท่ีเจ้าคิดเจ้าแค้น
38
หรือแผ่ความคิดบางอย่างออกมาอย่างรุนแรง สถานที่ท่ีเกิดอุบติเหตุบ่อย ๆ หรือสถานที่ท่ีมีความนึก
คิดของคนท่ีฆ่าตัวตายด้วยความเศร้าอย่างรุนแรง เป็นต้น ปกติมักจะอ่านจากการ แตะ สัมผัส หรือ
การเพ่งความรู้สกึ สมั ผสั ส่งิ ท่ี อา่ น ได้อาจจะมีทงั้ ภาพ เสยี ง หรอื เป็นแรงของจิตสัมผสั
Telepathy คือ การอ่านความคิดคนอ่ืนได้ และ ส่งความคิด ถึงคนอื่นได้ (รวมถึง
ส่ิงมีชีวิตที่เคยชิน) เช่น การอ่านใจและเห็นคาพูดในความคิดคนอ่ืน และอาจมีการส่งคาพูดจาก
ความคดิ ของตนเข้าไปในสมองผู้อ่ืนโดยตรง เป็นตน้
Psychometry คือ การอ่านความทรงจาท่ีคนอื่นได้ (อ่านความทรงจาท่ีฝังอยู่จาก
สงิ่ ของ และสิ่งมชี วี ติ ทุกอย่าง) โดยเฉพาะจะเห็นชดั กับความทรงจาท่ีฝังแน่น เช่น คนท่ีเจ้าคิดเจ้าแค้น
หรือแผ่ความคิดบางอย่างออกมาอย่างรุนแรง สถานที่ที่เกิดอุบติเหตุบ่อยๆ หรือสถานที่ที่มีความนึก
คิดของคนท่ีฆ่าตัวตายด้วยความเศร้าอย่างรุนแรง เป็นต้น ปกติมักจะอ่านจากการ แตะ สัมผัส หรือ
การเพ่งความรู้สึกสัมผัส ส่ิงท่ี อ่าน ได้อาจจะมีทั้งภาพ เสียง หรือเป็นแรงของจิตสัมผัส
Clairvoyance คือ การมีตาทิพย์ การมองเห็นในลักษณะพิเศษเหนือประสาทสัมผัสท้ัง
หา้ (six sense) เช่น การมองเหน็ เหตุการณ์ คน สตั ว์ สง่ิ ของ หรือสถานที่ท่ีไม่เคยไป หรือรู้จักมาก่อน
เป็นตน้ หรอื การมองเหน็ ในส่ิงท่ีคนปกตไิ มเ่ หน็ ได้ เช่นสิ่งของท่ีถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด หรือสิ่งของ หรือ
สถานทที่ ีอ่ ย่ไู กลมาก ๆ เป็นตน้
Clairaudience คือ หูทิพย์ การได้ยินในลักษณะพิเศษ เช่น การได้ยินเสียงอื่นในหัว
สมอง การได้ยินคาเตือนในสมอง หรือการได้ยินจากภายนอก เช่น การแยกเสียงต่างๆออกได้อย่าง
ชัดเจนเช่นเสียงพูดเสียงดนตรี การได้ยินเสียงท่ีไกลมาก ๆ เกินกว่าคนทั่วไปจะได้ยิน หรือเสียงที่เบา
มากจนแมอ้ าจจะเบากวา่ ระดบั Estinoหรือจนเกือบจะเงยี บ เปน็ ตน้
Clairsentience, Intuition คือ การรู้สึกสัมผัสถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว หรือสิ่งที่รับรู้ได้
นอกเหนือจากประสาทท้ังห้าอย่างชัดเจน เช่น การไปในโบราณสถานก็จะสัมผัสบางอย่างได้ หรือ
บรเิ วณที่เปน็ สนามรบเกา่ โดยไม่รูต้ วั กจ็ ะร้สู กึ อึดอัด เปน็ ต้น และอาจมกี ารรู้สึกแบบเป็นสีในจิตใจ เช่น
มองเห็นบางคนก็สัมผัสความเศร้าหมองได้เป็นสีมืด ๆ ออกมาจากคนน้ันๆ การเห็นคนร่าเริงแล้ว
สมั ผัสเป็นสีทส่ี ดใสออกมาจากคนนัน้ ๆ เป็นต้น ส่ิงที่สัมผัสได้มักเป็นสิ่งท่ีคนทั่วไปไม่สามารถรับรู้ หรือ
เปน็ สงิ่ ทถี่ ูกปิดซอ่ นเอาไว้ หรือสง่ิ ทถี่ กู ลืมลบเลือนไปแล้ว
Empathy คือ การสมั ผสั ความต้องการกระทาของคนอื่น หรือส่ิงมีชีวิตอื่น ส่วนใหญ่จะ
เป็นไปในทางบวก เช่น การเข้าใจจิตใจผู้อื่นและทราบความต้องการของผู้อื่น (แต่ไม่สามารถ “อ่าน”
ได้) ในทางกลับกันก็สามารถรู้ การประสงค์ร้าย หรือการโจมตีได้ด้วยการจับ คล่ืนจิต ของผู้อื่นได้
(เช่นระดับความรู้สึกท่ีผิดไปจากปกติ อาจคล้ายกับจิตสังหารชั่ววูป) เป็นต้น บางระดับอาจจะคล้าย
กับ Aura Reading กเ็ ปน็ ได้
Precognition คอื การเห็น “ก่อน” การ อ่าน อนาคตหรอื เหน็ ภาพฉาย ของอนาคตท่ี
ควรจะเป็น หรือที่อาจจะกาลังเกิดข้ึน (*ขอให้ทาความเข้าใจว่าผู้ใช้พลังจิตประเภทนี้ ไม่สามารถเห็น
ไดท้ กุ รายละเอยี ดของอนาคต หรอื สิง่ ทอ่ี ยากรู้ เช่น มกั จะมีคาถามจากคนท่ัวไปว่า ให้อ่านอนาคตเช่น
ดเู ลขล็อตเตอรี่ หรอื ทายแตม้ การพนนั ในบ่อนพนันไม่ได้เหรอ ซึ่งขัดต่อหลักของพลังชนิดน้ี) แต่ภาพที่
เห็นเป็นเพียงอนาคตที่ควรจะเป็น อาจมีการแก้ไขเปล่ียนแปลงได้ (บางที Psychometry ก็มองเห็น
อนาคตแบบน้ีได้เหมือนกัน) ส่วนใหญ่มักจะเห็นเร่ืองไม่ดีที่อาจจะเกิด มีต้ังแต่ระดับเบาบางถึง
39
ระดับแจ่มชัด เช่น การมีลางสังหรณ์ว่าวันนั้นๆจะเกิดเรื่องไม่ดี การฝันเห็นอนาคตเช่นอุบัติเหตุ
ลว่ งหนา้ และความสามารถระดับสงู เช่นการ อา่ น ภาพอนาคตได้เลย (แต่มักจะ อ่าน ไม่ได้ดั่งใจ) เป็น
ต้น บางทีอาจอ่านอนาคตได้ไม่ชัดเจนโดยเฉพาะอนาคตของตัวผู้ใช้เอง แต่มักจะมีกลไกซ้อนในการ
ปูองกันตวั เองเช่นการรู้โดยสัญชาติว่าต้องหลีก เลี่ยงสิ่งไหน หรือต้องไปทาอะไรในท่ีไหนเมื่อไหร่ โดย
ไม่รู้เหมือนกนั วา่ ทาไม
Psychokinesis, Telekinesis คือ พลังยก เคลื่อนย้ายสิ่งของ หรือทาสิ่งต่าง ๆ โดย
ปราศจากเงือ่ นไขทางฟสิ กิ ส์ เช่นการงอชอ้ น การยกสิง่ ของลอยในอากาศ เปน็ ตน้
Levitation คือ การลอยตัวในอากาศได้โดยปราศจากการช่วยเหลือทางฟิสิกส์ เช่น
การเหาะเหนิ เดินอากาศ ลอยขนึ้ ได้ดั่งใจ
Teleportation คือ การมีพลังในการเคล่ือนย้ายส่ิงของหรือตนเองจากที่หนึ่งไปอีกท่ี
หนึง่ โดยการแทน ท่ีในฉับพลัน เช่น การวารป์ จากจุดหนง่ึ ไปอกี จุดหน่ึงในทันที หรือ การสลับที่สิ่งของ
โดยไมต่ อ้ งแตะตอ้ งหรือเคล่อื นย้ายดว้ ยวิธีทางฟิสิกส์ หรือ ยกขน้ึ ด้วยพลงั จติ แบบTelekinesis
Time Traveller คือ ผู้มีความสามารถเกี่ยวกับเวลา หรือนักท่องเวลา อาจมี
ความสามารถแตกต่างกันไป เช่น ผู้มีพลังในการย้อนเวลา หนีจากปัจจุบันหรืออนาคตเพ่ือกลับไป
แก้ไขให้เกิดความเหมาะสมต่อตัวเองหรือ เพ่ือความต้องการของตัวเอง ผู้มีพลังในการลบเวลา คล้าย
กับนกั ย้อนเวลา สามารถลบเวลาในส่วนเกินท่ีไม่ต้องการออกได้ นักข้ามเวลาคือผู้ท่ีสามารถข้ามเวลา
ไปมาระหว่างคู่ขนานของอดีต อนาคต และปัจจุบันได้ ผู้มีความสามารถหยุดเวลาคือเดินทางข้ามมิติ
ของเวลาไปบนมิติเวลาที่หยุดนิ่ง ได้ แต่การเป็นนักท่องเวลา มักไม่ก่อผลดีต่อส่วนของผลรวมของ
เหตุการณ์และเวลา ซงึ่ มักมีคาเตือนเกี่ยวกับผู้ใช้เวลาที่ต้องระวังไว้หลายข้อ เช่นนักย้อนเวลา อาจจะ
ทาให้เกดิ ชอ่ งว่างของมิติคู่ขนานเวลา เช่นการหนีจากปัจจุบันที่มีเหตุการณ์ร้ายร่วมกับผู้อ่ืนกลับไปใน
อดีต เหตุการณ์ร้ายน้นั จะดาเนินตอ่ ไปดงั เดมิ ในคู่ขนานอ่ืน ไมม่ ีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกจากปราศจากผู้
ทีห่ นมี า หรือนักลบเวลาที่อาจจะทาให้เกิดช่องว่างของมิติเวลานับไม่ถ้วน หรือนักท่องเวลารวมท้ังนัก
หยุดเวลาทีอ่ าจหลงทางในเวลาจนลมื ไปไดว้ า่ ปจั จบุ ันคอื เวลาไหน และการใช้พลังเก่ียวกับเวลามักก่อ
เกิดผลเสียต่ออายขุ ัยและรา่ งกายของผ้ใู ช้เองด้วย
Invisibility คือ มีพลังในการล่องหนหายตัว ผู้ใช้พลังน้ีมีหลายประเภท โดยปกติมัก
เป็นผู้ท่ีสามารถหักเหแสงบิดเบือนการสะท้อนการมองเห็น แต่มีบางประเภทท่ีลบตัวตนและจิตของ
ตวั เองออกไปจากการสัมผัสได้ของผ้อู ่นื จน หมดส้นิ ไดเ้ ลย
Animal Telepathy คือ การอ่านภาษาของสัตว์หรือส่ิงมีชีวิตอื่นและสามารถ ส่ือจิต
ถึงสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตเหล่าน้ันได้ เป็นภาษาที่คุยกันด้วยจิต (ในcaseท่ีรองลงมาคือสามารถส่ือจิตเป็น
ภาษาทเี่ ข้าใจได้ดว้ ยจิตกับมนษุ ย์ที่ ใช้ภาษาพดู กนั คนละภาษา)
Channelling คือ มีพลังในการติดต่อส่ือสารกับ ชีวิต หรือจิต เหนือธรรมชาติ เช่น
ภตู ผวี ญิ ญาณ เทวดา หรอื อาจจะมนษุ ย์ตา่ งดาวนอกโลก
Automatic Writing คือ ความสามารถเขียนบางส่ิงบางอย่างที่ผิดไปจากปกติ โดย
ไม่ได้ใช้ความคิดหรือแม้แต่การมองเห็นหรือควบคุมด้วยจิตใจของตนเอง หรือกับถูกบางส่ิงบางอย่าง
สิงท่มี อื ไปชวั่ ขณะ
40
Aura Reading คือ การมองเห็นออร่าหรือพลังชีวิต ของส่ิงมีชีวิตต่างๆ ถ้าจะ
จินตนาการให้เหน็ ภาพคงคลา้ ยกับเคร่ืองมืออินฟาเรดตรวจจับความร้อนของ ร่างกาย และผู้ท่ีเขียนก็
มักจะไม่รู้ว่าส่ิงที่เขียนคืออะไรจนกว่าจะเขียนเสร็จ ส่วนใหญ่มักเจอในcaseของคาทานายหรือ
ภาพวาดท่สี อ่ื ความหมายเกีย่ วกับสังหรณ์ ในทางรา้ ย
Divination คือ ผู้ทานายอนาคตแบบต่างๆ เหมารวมกัน เช่น precognition,
fortune telling, prophesy, predicter หรืออะไรกต็ ามท่มี ีจดุ ประสงค์เกยี่ วกบั อนาคต
Astral Projection คือ การถอดจิต โดยทิ้งร่างเปล่าไว้ และ ท่อง ไปในท่ีที่ร่างกาย
ไม่ไดต้ ามไปด้วย
Bi-Location คือ เป็นเทคนิคข้ันสูงของ Astral Projection ท่ีนอกจากจะถอดจิตออก
มาแล้วยังสามารถสรา้ งจิตนาการของร่างแยกของตนเองขึ้นมา โดยสมบูรณ์เป็นตัวเองอีกคนให้คนอ่ืน
เหน็ ในคนละสถานท่ีกบั ทท่ี ี่ร่างกายจริงอยู่
Mind Over Body คือ ผู้ที่สามารถปลดปล่อยร่างกายปราศจากความต้องการพื้น
ฐานเชน่ การดื่มน้า กินข้าว นอนหลับ ฯลฯ แต่ยังสามารถมีชีวิตทนอยู้ได้เหนือกว่าคนปกติ เช่น พระ
ฤๅษี โยคี เป็นต้น
Mind Control คือ ความสามารถควบคุมจิตใจของส่ิงมีชีวิตอ่ืน รวมทั้งอาจจะสร้าง
ภาพลวงตาขึ้นมาหลอกการเห็นของผู้อน่ื ได้ จนถงึ อาจจะยิงภาพเขา้ ไปในสมองโดยตรงได้เลย
Hypnotic Control คือ การสะกดให้ผู้อ่ืนหลับได้ด้วยพลังจิต คล้ายกันกับ Mind
Control
Mental Invisibility คือ การซ่อนเร้นจิตของตนเองจากการรับรู้ของผู้อ่ืน มักมีใน
สัญชาตญาณของพวกสัตว์นักล่า ที่จะอาพรางจิตของตนไม่ให้ผู้อ่ืนรับรู้ถึงการมีอยู่ เช่นงู เสือสิงโต
หรอื หมาปุา ในขณะซมุ่ ดกั ล่าเหยื่อ หรอื พวกสตั ว์ที่หนแี ละหลบซ่อนอาพรางจติ
ประเภทพลงั จติ สายควบคุม ไดแ้ ก่
Echokinesis คือ ความสามารถเลียนแบบการเคลื่อนไหวของผู้อื่นได้ไม่ผิดเพ้ียนจาก
การมองเหน็ แม้แตก่ ารเคลื่อนไหวท่ีเกนิ ความสามารถของตนเอง
Photokinesis คือ การมีพลังในการควบคุมแสงและพลังงานที่เป็นไปตามกฏทาง
ฟิสกิ ส์ แตใ่ ช้จติ ควบคุม
Pyrokinesis คือ การมีพลังในการควบคุมไฟ สามารถจุดไฟ และควบคุมการเกิดไฟ
และทิศทางของไฟได้ด้วยจิตเพียงอย่างเดียว (ในพระไตรปิฏกมีบันทึกไว้ว่าพระพุทธเจ้าเคยใช้พลังน้ี
พระไตรปิฎก เลม่ ท่ี 31 พระสตุ ตันตปิฎก เลม่ ที่ 23 ขทุ ทกนิกาย ปฏิสมั ภิทามรรค)
Aquakinesis, Hydrokinesis คือ การมีพลังในการควบคุมน้า ให้เกิดการเคลื่อนไหว
และรูปร่าง รวมถึงมวลของน้าได้ดั่งใจ (ในพระไตรปิฏกมีบันทึกไว้ว่าพระพุทธเจ้าเคยใช้พลังน้ี
พระไตรปฎิ ก เล่มที่ 31 พระสุตตันตปฎิ ก เลม่ ที่ 23 ขุททกนิกาย ปฏิสมั ภทิ ามรรค)
41
Cryokinesis คือ การมีพลังในการควบคุมความเย็นได้ เช่นการเปลี่ยนอุณภูมิใน
บริเวณที่ต้องการสู่จุดเยือกแข็งหรือตากว่าน้ัน หรือทาให้เกิดผลึกน้าแข็งบนน้า หรือเลือดบนร่างกาย
ได้ และอาจก่อผลึกน้าแขง็ ไดจ้ ากนา้ ในอากาศไดต้ ามต้องการ
Thermokinesis คือ ความสามารถควบคุมอุณภูมิความร้อน ของธาตุต่างๆ สิ่งของ
ต่างๆได้ เปน็ คนละอย่างกับ Pyrokinesis
Aerokinesis สามารถ ควบคุมเกีย่ วกับ ลม และ กา๊ ซ อากาศรอบๆตัว หรือเรียกให้เกิด
ลม หรือความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและคุณสมบัติของก๊าซได้ อาจรวมไปถึงความดันของ
บรรยากาศรอบๆดว้ ย
Geokinesis, Terrakinesis สามารถควบคุมธาติดินให้เกิดความแปรผันได้ด่ังใจ อาจ
รวมไปถงึ ของแขง็ ชนิดตา่ งๆทอี่ ยรู่ วมกบั ธาตดุ นิ ด้วย
Electrokinesis สามารถควบคุมประจุไฟฟูา และสายฟูาได้ดังใจ ในกรณีเดียวกับ
Pyrokinesis ทีเ่ ป็นผูค้ วบคุมไฟ
Atmokinesis สามารถควบคุมฟูาฝน บรรยากาศ และลักษณะอากาศได้ เป็น
ความสามารถรว่ มกนั ของ Thermokinesis, Aerokinesis และ Electrokinesis
Atmoskinesis สามารถควบคุมธาตุหลักทั้งส่ีได้คือ ดิน น้า ลม ไฟ และอาจควบคุม
รวมไปถึง ไฟฟูาได้ด้วย เป็นความสามารถรวมๆของPyrokinesis,Hydrokinesis, Geokinesis,
Aerokinesis และอาจจะ Electrokinesis
Biokinesis คลา้ ยกับ Atmoskinesis แต่อาจจะรวมลึกลงไปถึงการควบคุมลักษณะและ
ความเจรญิ เติบโตทาง DNA ไดเ้ ลย เช่นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของธาตุและ DNA ของตนเองให้เกิด
ความสามารถพิเศษที่ต้องการ Gravitokinesis คล้าย กับ Psychokinesis สามารถควบคุมเกี่ยวกับ
แรงโน้มถ่วง และน้าหนัก ของส่ิงที่ต้องการได้ดั่งใจ(แต่ไม่สามารถบังคับให้เคล่ือนที่ไปได้ด้วยแรงใน
ทิศอนื่ นอกจากทิศโน้มถว่ ง)
Magnokinesis คือ ความสามารถในการควบคุม แรงแม่เหล็กและสนามแม่เหล็กใน
บริเวณท่ตี ้องการได้ รวมท้งั อาจใชแ้ รงแมเ่ หลก็ นี้ในการควบคมุ โลหะใหเ้ คล่อื นทีไ่ ดด้ ่ังใจด้วย
Vitakinisis คือ การรักษาตัวเองให้หายจากการบาดเจ็บ โดยมักจะอ้างว่าเป็นการยืม
พลังจิตจากธรรมชาติ หรอื ดูดพลงั จิตจากธรรมขาตเิ ชน่ พชื หรอื สิง่ มีชวี ติ
Audiokinesis คือ ความสามารถควบคุมลักษณะคล่ืนเสียง และบิดผัด หรือก่อกาเนิด
คลนื่ เสยี งได้ดว้ ยจิต อาจมคี วามสามารถของ Clairaudience รวมอยู่ในตัวด้วย
Hemokinesis คือ ความสามารถควบคุมรูปแบบของเซลล์เม็ดเลือดได้ รวมทั้งการ
ถา่ ยเทเลอื ดด้วย คลา้ ยกบั การควบคุมแบบ Hydrokinesis
Particle Manipulation คือ ความสามารถควบคุมส่วนย่อยของส่ิงต่างๆในระดับ
อะตอมหรอื โมเลกลุ ทาให้หยุดอนภุ าคย่อยๆเหลา่ นนั้ หรอื ทาให้เกิดการระเบดิ ออกมาก็ได้
42
พลงั จิตอเี อสพี (ESP - extrasensory perception)
พลังจิตอีเอสพี (ESP) ย่อมาจาก extrasensory perception เป็นความเชื่อเกี่ยวกับ
พลังพิเศษที่มิใช่ประสาทสัมผัสท้ังห้าของมนุษย์ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์
(Richard P. Brennan, 1992: 100) ผู้ที่ริเริ่มศึกษาค้นคว้าอีเอสพีจนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายคือดร.
เจ.บ.ี ไรน์ (Dr. J.B. Rhine 1895-1980) ซึง่ ไดพ้ ยายามจัดกลุ่มความคิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์สัมผัสที่
หกในเชิงวทิ ยาศาสตร์ (John Clute and Peter Nicholls, ed., 1993: 390)
ปรากฏการณ์เกี่ยวกับพลังจิตอีเอสพีมีหลายชนิดแต่ท่ีรู้จักกันดีและเป็นที่กล่าวถึงกัน
มากมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ เทเลพาที (telepathy) เทเลไคเนซิส (telekinesis) และเทเลพอร์เทชัน
(teleportation)
เทเลพาทีซึ่งในภาษาไทยเรียกว่าโทรจิตเป็นอานาจจิตพิเศษในการส่งข่าวสารติดต่อถึง
กันไม่ใช่การส่ือสารโดยวิธีที่คนทั่วไปใช้กันคือด้วยวาจาหรือการแสดงออกทางอื่นเช่นการเขียน
ตัวอย่างหนง่ึ ของเทเลพาทีทร่ี ูจ้ ักกนั ดีก็คือ “การอ่านใจ” ของคนบางคนได้
เทเลไคเนซิส คือ การบังคับหรือควบคุมการเคล่ือนไหวของวัตถุและการทาให้วัตถุ
เปล่ียนสภาพหรือเปล่ียนรูปร่างลักษณะโดยอานาจจิต เช่น การทาให้โต๊ะเก้าอี้ลอยขึ้นการทาให้วัตถุ
บางอย่างเคลื่อนท่ีการบังคับให้ลูกเต๋าขึ้นหน้าหรือแต้มที่ต้องการรวมทั้งการบังคับให้คนลอยข้ึนจาก
พ้ืนดินดังเช่นการเหาะเหินเดินอากาศ คาว่า เทเลไคเนซิสน้ี มีเรียกกันในอีกชื่อหนึ่งที่ใช้กันบ่อย คือ
ไซโคไคเนซสิ (psychokinesis หรอื เรียกย่อว่า PK)
เทเลพอร์เทชันคือการเคล่ือนย้ายวัตถุรวมทั้งร่างกายมนุษย์จากตาแหน่งหน่ึงไปยังอีก
ตาแหน่งหน่งึ ในทนั ทที ันใดซึ่งจะมีผลปรากฏเป็นเสมือนกับความสามารถในการล่องหนหายตัวทีเดียว
(ชยั วัฒน์ คปุ ระตกุล, 2524: 79-80)
การล่องหนหายตัวพร้อมกับการย้ายท่ี หรือ หายตัวจากจุดหน่ึงแล้วไปปรากฏตัวอีกจุด
หน่ึง โดยตัวอย่างภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ชุด STAR TREK จากยานอวกาศลงสู่ดาวเคราะห์ดวงหน่ึง
โดยอาศัยเทคโนโลยีท่ีเรียกว่า เครื่องทรานสปอร์เตอร์ (transporter) และภาพยนตร์เร่ือง The Fly
ฉบับคลาสสกิ (ขาว-ดา) ออกฉายปี ค.ศ.1958 ซึ่งเป็นเรื่องการทดลองย้ายสาร (ตัวนาวิทยาศาสตร์ใน
เรือ่ ง) จากตาแหน่งหน่งึ ไปยังอีกตาแหน่งหนึ่ง แต่เกิดการผิดพลาดเม่ือบังเอิญมีแมลงวันหลงเข้าไปอยู่
ในเครอื่ งย้ายสสารดว้ ย ทาให้นกั วทิ ยาศาสตรก์ บั แมลงวันสลบั หวั กัน
ในวงการวิทยาศาสตร์เรยี กเหตกุ ารณ์หรือปรากฏการณ์การเคลื่อนย้ายวัตถุจากตาแหน่ง
หน่ึงไปยังอีกตาแหน่งหนึ่งในทันทีทันใดว่า เทเลพอร์เทชัน (teleportation) ที่หมายถึง การขนย้าย
ทางไกล ซ่ึงเทเลพอรต์ เตช่ันในโลกของควอนตัมน้ีเป็นการเคลื่อนย้ายประเภทท่ีว่าตัววัตถุเอง “สลาย
ร่าง” แล้วอะตอมกับโมเลกุลของมันจะถูกส่งไปพร้อม ๆ กับแบบพิมพ์เขียวที่ใช้ในการประกอบพวก
มันขึ้นมาเป็นวัตถุก้อนเดิมอีกคร้ังหน่ึง หรือเป็นประเภทท่ีว่าอะตอมและโมเลกุลที่อยู่ ณ บริเวณ
เคร่ืองรับนั้นถูกนามาประกอบขึ้นเป็นวัตถุอีกช้ินหนึ่ง ซ่ึงเป็นเหมือนสาเนาท่ีถอดแบบมาจากวัตถุช้ิน
เดมิ ท้งั น้ีขนึ้ กบั รายละเอียดทแี่ ตกตา่ งกนั (Brian Greene, อรรถกฤต ฉตั รภตู ิ (แปล), 2552: 465)
การทดลองกบั อนุภาคของแสงเพ่ือแสดงให้เห็นว่าการย้ายสสาร เร่ิมต้นจากอนุภาคของ
แสง คือ โฟตอน สามารถจะทาให้เกิดข้ึนได้จากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่า ควอนตัมเอน
แทนเกลเมนต์ (Quantum Entanglelment) หรอื ความพวั พนั เชงิ ควอนตมั ซ่ึงปัจจุบัน เร่ืองของเทเล
พอร์เทชนั ท่สี ามารถเกิดข้นึ ได้แล้วด้วยกระบวนการของ ควอนตมั เอนแทนเกลเมนต์ เทา่ น้นั
43
ควอนตัมเอนแทนเกลเมนต์ เป็นปรากฏการณ์เชิงควอนตัมของอนุภาค 2 ชนิด หรือ 2
ตัว ท่ีเกดิ ข้นึ มาพรอ้ ม ๆ กนั โดยกระบวนการของการสลายตัวของพลังงาน เช่น โฟตอน แล้วเกิดเป็นคู่
ของอนุภาคขึ้นมา คือ คู่ของอนุภาคกับปฏิอนุภาค (antiparticle) หรือเกิดเป็นคู่ของอนุภาคแสง
หรอื โฟตอน ขึ้นมา แล้วอนุภาคทเ่ี กิดขน้ึ กจ็ ะเคลอื่ นทห่ี นอี อกจากกันในทิศทางตรงขา้ มทนั ที
คู่ของอนภุ าคกับปฏอิ นุภาค เช่น อเิ ลก็ ตรอนกับโพซติ รอน ก็จะเป็นคู่อนุภาคที่พัวพันกัน
เชงิ ควอนตัม แบบควอนตมั เอนแทนเกลเมนต์
คู่ของอนุภาคท่ีพัวพันกันอย่างควอนตัมเอนแทนเกลเมนต์ จะมีคุณสมบัติเชิงควอนตัมที่
เปน็ คกู่ ัน โดยในปี ค.ศ.1982 คณะนักวทิ ยาศาสตรม์ หาวทิ ยาลยั ปารีส นาโดย อเลน แอสเปกต์ (Alain
Aspect) ได้ทาการทดลองให้เห็นเป็นคร้งั แรกว่า สาหรับคู่ของอนภุ าคแบบนี้ ถ้าอนภุ าคหนึ่งถูกกระทา
จากภายนอก เช่น ถูกสังเกตหรือวัดโดยนักวิทยาศาสตร์ ทาให้มีสถานภาพเชิงควอนตัมแบบหนึ่ง จะ
เกดิ ผลวา่ อนุภาคอีกตัวหน่ึงที่เป็นคู่กัน จะมีสถานภาพเชิงควอนตัมที่เป็นไปได้ตามหลักของควอนตัม
เอนแทนเกลเมนต์ขึน้ มาทันทีซงึ่ เปน็ ไปโดยรปู ธรรม กล่าวคอื เม่อื นกั วทิ ยาศาสตร์กาหนดให้อนุภาคตัว
หนง่ึ มสี ภาพเชงิ ควอนตัมแบบหนึง่ ในทนั ทีทันใดอนุภาคท่ีเป็นคู่แบบควอนตัมเอนแทนเกลเมนต์กัน ก็
จะมีสถานภาพเชิงควอนตัมแบบหนึ่งไม่ว่าอนุภาคทั้งสองจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหน เช่น อยู่ในห้อง
เดียวกัน หรืออยู่กันคนละซีกโลก หรืออยู่ต่างกาแล็กซี ซ่ึงจริง ๆ แล้วสถานการณ์แบบนี้เองที่
ไอนส์ ไตนเ์ คยยกเปน็ กรณีตวั อยา่ ง ต้งั แต่ปี ค.ศ. 1935 เพื่อแสดงถึง ปัญหา หรือความไม่สมบูรณ์ ของ
ทฤษฎคี วอนตมั ทไ่ี อนส์ ไตน์ไม่ชอบ
กรณีตัวอย่าง เป็นการทดลองในความคิดของไอน์สไตน์ เรียกการทดลองอีพีอาร์ (EPR
EXPERIMENT) โดยที่ E หมายถงึ ไอนส์ ไตน์ P และ R หมายถึง เพ่ือนนักฟิสิกส์ของไอน์สไตน์ท่ีศึกษา
เร่ืองน้ีกันอีก 2 คน คือ บอริส โพดอลสกี (Boris Podolsky : ค.ศ.1896-1966) และ นาธาน โรเซน
(Nathan Rosen : ค.ศ. 909-1995) ตามลาดบั
หลักการทดลองอีพีอาร์ (ในจินตนาการของไอน์สไตน์) ถ้าอะตอมหรืออนุภาคหน่ึง
สลายตวั เกดิ เป็นอนุภาคใหม่ 2 อนุภาค ซ่ึงจะเคล่ือนท่ีหนีออกจากกัน โดยท่ีอนุภาค 2 อนุภาค จะมี
สถานภาพเชงิ ควอนตัมทเี่ ปน็ ไปได้ ซ่ึงผ้สู ังเกตจะทราบโดยภาพรวม แต่จะไม่ทราบว่าอนุภาคตัวไหนมี
สภาพเชิงควอนตัมแบบใดแน่ จนกว่าจะมี “การสังเกต” ซึ่งผลของการสังเกต ก็จะทราบหรือทาให้
อนุภาคที่ถูกสังเกต มีสถานภาพเชิงควอนตัมแบบหนึ่งที่แน่นอน จากนั้นไอน์สไตน์ช้ีให้เห็นว่า ถ้า
ทฤษฎีควอนตมั ถกู ตอ้ ง เมอ่ื อนุภาคท่ีถูกสังเกตมีสถานภาพเชิงควอนตัมแบบหนึ่ง อนุภาคอีกตัวหน่ึงก็
จะมีสถานภาพเชงิ ควอนตัมท่ีแน่นอนแบบหนงึ่ ข้ึนมาทนั ที
การศึกษาเรื่องพลังจิตตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างจริงจังซึ่งแยกออกจากเร่ืองของไสย
ศาสตร์เริ่มมีข้นึ เมอื่ ประมาณหนึ่งร้อยกว่าปีมาน้ีคือเร่ิมจากการก่อต้ังสมาคมการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ช่ือ Society For Psychical Research (มีช่ือย่อว่า SPR) ในลอนดอนประเทศอังกฤษเมื่อปีค.ศ.
1882อีกสามปีต่อมากม็ ีการต้ังสมาคม SPR ในสหรฐั อเมรกิ าขน้ึ มาด้วยเช่นกัน
ผู้ท่ีมีบทบาทสาคัญทาให้การศึกษาเรื่องพลังจิตเป็นที่ยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์มาก
ข้ึนว่าเป็นเร่ืองที่มีสาระและสมควรจะได้รับการศึกษาตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงคือดร .เจ.บี.
ไรน์แห่งมหาวิทยาลัยดุ๊ค (Duke University) รัฐคาร์โรไลนาเหนือดร.ไรน์เป็นคนท่ีคิดคาว่าอีเอสพี
(ESP) จาก extrasensory perception ขึ้นมาและคานี้ก็เป็นท่ียอมรับใช้กันอย่างกว้างขวาง
จนกระทั่งทกุ วันนี้
44
จากการที่ชัยวัฒน์ คุประตกุลได้ศึกษาข้อมูลเก่ียวกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของพลังจิต
อีเอสพีตามหลักวิทยาศาสตร์พบว่าพลังจิตอีเอสพีมีอยู่จริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังจิตเทเลพาทีส่วน
พลังจิตเทเลไคเนซิสหรือไซโคไคเนซิสก็มีข้อมูลว่าอาจจะมีจริงแต่ไม่มากเท่ากับพลังจิตเทเลพาที
สาหรับพลังจติ เทเลพอรเ์ ทชันน้ันยงั มีขอ้ มลู น้อยเกนิ ไปทจ่ี ะสรปุ ไดว้ ่ามจี ริงหรือไมต่ ามรายละเอยี ดดังนี้
การทดลองพลังจิตเทเลพาทมี ักจะให้ผู้ทดลองอ่านใจของคนอื่นเก่ียวกับไพ่ (การทายไพ่)
การวาดรปู ความคิดคานึงบางเร่ืองและการส่งข่าวสารถึงกันเป็นต้นการทดลองที่ได้ผลมากคือการให้ผู้
ทดลองสองคนอาจเผชญิ หนา้ กันหรืออยู่ห่างไกลกันหลายสิบไมล์แล้วให้คนหนึ่งวาดภาพและพยายาม
ส่งกระแสจิตไปถึงอีกคนหนึ่งปรากฏว่าอีกคนหนึ่งก็สามารถวาดภาพตามได้สาเร็จนอกจากนี้ยังมีการ
ทดสอบด้วยการทายไพ่ชุดพิเศษท่ีเรียกว่าไพ่ซีเนอร์ (Zener cards) หรือเรียกอีกอย่างว่าไพ่อีเอสพี
(ESP cards) ซ่ึงมีเพียง 5 ใบเป็นภาพที่แสดงภาพเขียนง่าย ๆ 5 แบบ ได้แก่ กากบาทเส้นโค้งงอสาม
เส้นขนานกันรูปสามเหลี่ยมรูปวงกลมและรูปส่ีเหล่ียมผู้ท่ีทดสอบจะต้องทายว่าอีกคนหนึ่งที่อยู่ตรง
ข้ามกันมีฉากก้ันหรืออยู่คนละห้องหรืออยู่ห่างไกลกันเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์น้ันช้ีไพ่หรือจับไพ่
อะไรจากข้อมูลและผลการทดลองปรากฏค่อนข้างชัดเจนว่าการติดต่อส่ือสารกันโดยกระแสจิตหรือ
เทเลพาทีมักจะเกิดข้ึนระหว่างผู้ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษเช่นพ่อแม่กับลูกสามีกับ
ภรรยาระหวา่ งคู่รักหนมุ่ สาวและระหวา่ งเพอ่ื นสนทิ กนั เปน็ ต้น สาหรับการทดลองพลังจิตเทเลไคเนซิส
หรือไซโคไคเนซิสก็มีข้อมูลและผลการทดลองมากพอสมควรแม้จะไม่มากเท่ากับการทดลองพลังจิต
เทเลพาทกี ารทดลองซ่ึงเป็นทีร่ ้จู ักมากทีส่ ุด คือความสามารถที่ทาให้วัตถุงอหรือเปลี่ยนรูปร่างลักษณะ
ด้วยการใช้พลังจิตโดยไม่มีการสัมผัสวัตถุน้ันแม้จะมีการสัมผัสแต่ก็เห็นชัดว่าไม่มีการออกแรงกระทา
ต่อวัตถุน้ันแต่อย่างใดวัตถุที่ใช้ทดสอบมีทั้งเป็นโลหะไม้พลาสติกกระดาษแข็งซ่ึงพลังจิตเทเลไคเนซิส
มักจะมีผลกับวตั ถทุ ท่ี าด้วยโลหะมากท่สี ุดเชน่ ชอ้ นสอ้ มโลหะเปน็ เส้นหรือเปน็ แทง่ เล็กยาวเปน็ ตน้
ยูริเกลเลอร์ (Uri Geller) นักพลังจิตชาวอิสราเอลเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีพลังจิต
สูงทง้ั เทเลพาทแี ละเทเลไคเนซสิ ไดแ้ สดงพลงั จติ เทเลไคเนซสิ ท้งั ในห้องทดลองและต่อหน้าผู้คนจานวน
มากเช่นการจับส้อมในมือและเพ่งมองส้อมเหมือนกับใช้พลังจิตกระทาต่อส้อมจากนั้นส้อมก็จะโค้งงอ
อยา่ งเห็นได้ชดั บางครงั้ เขาก็ใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสตรงกลางส้อมทาให้ส้อมนั้นงอโดยท่ีเขาไม่ได้ออกแรง
ดัดส้อมเลยซง่ึ นา่ จะเป็นการยนื ยันถึงการมอี ยู่จริงของพลงั จิตเทเลไคเนซิส
การแสดงพลังจิตเทเลไคเนซิสอีกแบบหนึ่งคือการบังคับให้วัตถุเคล่ือนไหวหรือเคลื่อนท่ี
โดยใชพ้ ลงั จติ เช่นการบงั คับให้เข็มนาฬิกาหยุดเดินการให้เข็มทิศช้ีไปในบางทิศทางการทาให้วัตถุท่ีทา
ด้วยโลหะต่าง ๆ เคลือ่ นไหวเป็นต้น (John Clute and Peter Nicholls, ed., 1993: 83-92)
เนลยามิเคลโอวา (Nelya Mikhailova) นักพลังจิตหญิงผู้มีชื่อเสียงชาวรัสเซียก็เป็นอีก
คนหน่ึงที่ได้ผ่านการทดสอบว่าสามารถใช้พลังจิตเทเลไคเนซิสบังคับวัตถุให้เคล่ือนท่ีได้ดังเช่นในการ
ทดลองคร้ังหน่ึงเธอใช้พลังจิตบังคับเข็มทิศให้หมุนทวนเข็มนาฬิกาและทาให้วัตถุอื่นท่ีอยู่บนโต๊ะไม่ว่า
จะเปน็ บหุ ร่กี ลอ่ งไมข้ ดี กา้ นไมข้ ดี สัน่ สะเทือนและเคลื่อนไหวไปมาได้
ดร.เจนาดเี ซอรก์ ีเยฟ (Dr.Genady Sergeyev) แห่งสถาบนั สรีรศาสตร์ เอ.เอ.อัคทอมสกี
(A.A - Uktomski Physiological Institute) ซ่ึงเป็นศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกเลนินกราดได้นา
เครอ่ื งมือตรวจสอบพลังสนามทางชีวภาค (พลังไฟฟูาและแม่เหล็ก) มาตรวจสอบพลังจิตของเนลยามิ
เคลโอวาพบว่าสมองของเธอสามารถทาให้เกิดพลังกระแสไฟฟูาในสมองส่วนด้านหลังมากกว่า
ด้านหน้าถึง50เท่าในขณะท่ีคนส่วนใหญ่จะเกิดพลังไฟฟูาในสมองส่วนด้านหลังมากกว่าด้านหน้า
ประมาณแค่ 3 – 4 เทา่ ซึ่งลกั ษณะสมองของเธอเช่นน้ปี รากฏเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ในสมองของคนทั่วไป
45
เท่าน้ันจึงแสดงให้เห็นว่าพวกที่มีลักษณะแบบน้ีมีพลังจิตดีกว่าพลังจิตของคนทั่วไป (บรรยง บุญฤทธ์ิ,
2526: 124-126)
จากตวั อยา่ งข้างต้นน่าจะยืนยันได้ว่าเทเลไคเนซสิ เป็นพลังจิตที่สามารถแสดงให้เห็นหรือ
มีคุณสมบัติท่ีทาให้เกิดเหตุการณ์ข้ึนได้สาหรับพลังจิตเทเลพอร์เทชันนั้นยังมีรายงานและข้อมูลที่จะ
พจิ ารณาตามหลักวิทยาศาสตร์จริง ๆ น้อยเกินกว่าจะสรุปว่ามีจริงแต่ก็ได้รับความสนใจในแง่เก่ียวกับ
ปรากฏการณ์ท่ีมีคนหายไปอย่างลึกลับบางคนไปปรากฏตัวณอีกจุดหรือยังอีกตาแหน่งหนึ่งแต่บางคน
กห็ ายสาบสญู ไปโดยไม่ปรากฏตัวใหเ้ ห็นอีกเลยซึ่งมักจะเกิดณบริเวณใดบริเวณหน่ึงมากเป็นพิเศษเช่น
ท่ีบริเวณเขากลาสตันบิวรี (Glaston Bury) ในสหรัฐอเมริกาเกิดเหตุการณ์คนหายไปอย่างไม่มี
ร่องรอยอยู่หลายรายมีการสืบสวนสอบสวนจนกระทั่งฝุายเจ้าหน้าที่มั่นใจว่าไม่ใช่หายไปเพราะถูก
ฆาตกรรมหรอื จงใจหนีหายไปด้วยเหตุผลอื่นใดมีบางกรณีที่คนหายไปจากจุดหนึ่งแล้วไปปรากฏตัวยัง
อกี จดุ หนงึ่ ท่ไี กลจากจุดเดมิ มากโดยไม่รู้สึกตัวเช่นชายชาวอังกฤษหมดสติไปขณะที่อยู่ในกรุงลอนดอน
แล้วฟื้นขึ้นมาท่ีแอฟริกาหรือหญิงชาวอเมริกันหมดสติไปแล้วฟื้นขึ้นมาท่ีออสเตรเลียเป็นต้นอย่างไรก็
ตามการหายตัวไปของบุคคลเหล่าน้ันมิได้เกิดจากการกระทาหรือความต้องการของบุคคลที่เก่ียวข้อง
จึงไม่อาจสรปุ ได้ว่าเป็นพลังจติ เทเลพอรเ์ ทชันในลักษณะท่ีเข้าใจกัน (ชัยวัฒน์ คุประตกุล, 2524: 95-
97)
การสะกดจิต (hypnotism)
การสะกดจิต หมายถึง ความสามารถในการทาให้บุคคลอีกบุคคลหนึ่งหรือตัวเองตกอยู่
ในสถานะยอมรับการเสนอแนะตามปกติแล้วผู้ถูกสะกดจิตจะมีอาการง่วงซึมก่อนแล้วจึงมีการผ่อน
คลายความตึงเครียดทางกายจากนั้นก็จะมีสมาธิหรือความตั้งใจรับคาแนะนาหรือคาสั่งบังคับแล้ว
แสดงพฤติกรรมตอบสนอง
ด้านปรจิตวิทยา นักปรจิตวิทยาบางคนกล่าวว่าการสะกดจิตเป็นวิทยาศาสตร์ในสาขา
จิตวทิ ยาเริ่มแรกไม่ถอื เป็นวิทยาศาสตร์แต่หลังจากได้มีการศึกษาค้นคว้ามากขึ้นก็กลายมาเป็นศาสตร์
ที่มีกฎเกณฑม์ คี วามจรงิ และพิสูจน์ทดลองได้
โดยทวั่ ไปแลว้ การสะกดจิตมีอยู่ 2 ประเภท (บรรยง บุญฤทธ์ิ, 2526: 77-78) ไดแ้ ก่
1. การสะกดจิตในเชิงแนะแนวหรอื แนะนาให้แสดงพฤติกรรมตามการสะกดจิตแบบนี้
นิยมใช้กนั ในวงการแพทย์วงการจติ วิทยาตลอดจนวงการธรุ กจิ อน่ื ๆ อีกมาก
2. การสะกดจิตในเชิงบังคับการสะกดจิตวิธีนี้เป็นวิธีท่ียากมากผู้ท่ีมีความสามารถ
กระทาไดจ้ ะตอ้ งเป็นผู้ฝกึ พลงั จิตมากและต้องอาศยั ความชานาญพอสมควรนักพลังจิตบางคนสามารถ
ออกกาลังบังคับจิตของบุคคลอื่นซ่ึงอยู่ห่างไกลได้อย่างไม่น่าเช่ือนอกจากน้ีบางแห่งยังสามารถรักษา
โรคทางใจตลอดจนโรคอื่นบางชนิดหายได้โดยอัตโนมัติท้ังท่ีอุปกรณ์ในการรักษาไม่มีอะไรเพียงแต่ใช้
น้ิวมือช้ีไปตามร่างกายหรือใช้ฝุามือจับที่ศีรษะหรือไหล่ของผู้ปุวยเท่าน้ันในประเทศรัสเซียมีการ
ทดลองการสะกดจิตในเชิงบังคับด้วยกระแสจิตมากมายผู้ท่ีมีความสามารถในการสะกดจิตมีหลา ยคน
ด้วยกันในปี ค.ศ. 1924 ดร.พลาโตนอฟ (Dr.Platonov) ได้แสดงการสะกดจิตมิสซิสเอ็ม. (Mrs. M.)
ให้ล้มลงนอนอย่างสงบน่ิงและสะกดจิตให้ฟื้นขึ้นมาได้อีกหลายคร้ังในการประชุมบรรดาแพทย์
ผู้เช่ียวชาญทางโรคประสาท ดร.พลาโตนอฟยังได้ค้นพบวิธีการรักษาโรคนอนไม่หลับด้วยการใช้พลัง
จิตสะกดจิตเขาสามารถบังคับให้คนนอนหลับหรือตื่นด้วยพลังการส่งกระแสจิตจากระยะใกล้ ๆ เพียง
46
สองสามหลาจนกระท่ังถึงบุคคลท่ีอยู่ห่างไกลออกไปเป็นพันไมล์ได้ซ่ึงวิธีของเขายังมีผู้นามาทดลอง
ภายในศูนยป์ ฏบิ ัติการในกรงุ มอสโกและเลนินกราดจนถึงปจั จุบนั น้ี
ต่อมาในปี ค.ศ. 1962 ดร.ลีโอนิดแอล. วาซิลีเอฟ (Dr.Leonid L. Vasiliev) นัก
ประสาทสรีรวิทยาชาวรัสเซียและทีมงาน ได้แก่ ไอ.เอฟ. ทอมมาสเช็ฟสกี (I.F. Tomaschevsky) นัก
สรีรศาสตร์และดร.เอ.วี. ดูบรอฟสกี (Dr.A.V. Dubrovsky) จิตแพทย์ผู้มีช่ือเสียงได้ทดสอบการสะกด
จิตหญิงวัย 25 ปี สองคน คอื อวิ าโนวา (Ivanova) กับ เฟโดโรวา (Fedorova) ท้ังสองต่างก็เป็นคนไข้
โรคประสาทของดร.ดูบรอฟสกีเขาสร้างห้องพิเศษที่สามารถปูองกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟูาและได้ทดลอง
ส่งพลังจิตเข้าไปสะกดจิตอิวาโนวาในห้องน้ันผลปรากฏว่าพลังจิตของเขาสามารถผ่านเข้าไปได้
ตามปกติ ต่อมาเขาก็สร้างห้องตะกั่วพิเศษแบบใหม่เพื่อปูองกันการแผ่พลังคลื่นอย่างเต็มท่ีโดยมี
หลังคาโค้งปิดและฉาบปรอทปิดตามรอยต่อจนแน่ใจว่าไม่มีคล่ืนชนิดใดผ่านเข้าออกห้องพิเศษน้ีได้
และให้เฟโดโรวาอยู่ในหอ้ งน้ีผลการทดลองก็ยังสามารถสะกดจิตให้เธอหลับและตื่นได้ตามคาสั่งบังคับ
ทางจิตไม่ว่าผู้สะกดจิตจะอยู่นอกห้องห่างไกลกันเพียงใดก็ตามจึงสรุปได้ว่าไม่มีวัตถุชนิดใดท่ีสามารถ
ต่อตา้ นหรอื ขัดขวางพลงั จิตได้
นอกจากนี้ ดร.วาซิลีเอฟยังได้ทดลองการสะกดจิตบุคคลที่อยู่ห่างไกลกันเป็นพันไมล์
โดยให้ทอมมาสเช็ฟสกเี ดินทางไปยงั อีกเมืองหนึ่งเพื่อเป็นผู้ส่งกระแสจิตไปสะกดอิวาโนวาที่คลินิกของ
ดร.ดบู รอฟสกที ี่อยหู่ ่างไกลกันเป็นพันไมล์เม่ือถึงเวลาทอมมาสเช็ฟสกีก็เพ่งสมาธิดึงใบหน้าของอิวาโน
วาและออกคาส่ังพุ่งตรงไปยังคลนิ กิ ทนั ทีโดยทีอ่ วิ าโนวาไม่รวู้ ่าจะมกี ารสะกดจิตเธอปรากฏว่าอิวาโนวา
ห ม ด ส ติ ทั น ที ข ณ ะ ที่ ก า ลั ง พู ด คุ ย อ ยู่ กั บ ด ร .ดู บ ร อ ฟ ส กี จ า ก ก า ร ท ด ล อ ง ค รั้ ง นี้ พิ สู จ น์ ไ ด้ ว่ า ค ลื่ น
แม่เหล็กไฟฟูาไม่ได้เปน็ ตวั นาหรือตัวพาพลงั จิต
ภาพถา่ ยเกอรเ์ ลยี น (Kirlian photography)
ภาพถ่ายเกอร์เลียนเป็นภาพถ่ายรัศมีของแสงจากพลังงานหรือสนามพลังแม่เหล็กไฟฟูา
ที่เปลง่ ออกมาหอ่ หมุ้ สิง่ มีชวี ิตท้ังพืชสัตว์และมนษุ ย์ หรือแม้กระท่งั ส่งิ ไม่มีชีวิต ซ่ึงรอบขอบของภาพน้ัน
ไดแ้ สดงแสงสีตา่ ง ๆ กันตามความถ่คี ล่นื นนั้ ๆ
ในปี ค.ศ. 1939 เซมยอนเดวิโดวิชเกอร์เลียน (Semyon Davidovich Kirlian) นัก
วิศวกรไฟฟูาชาวรัสเซียที่มีช่ือเสียงแห่งเมืองคร้าสโนดาร์ (Krasnodar) เมืองหลวงของรัฐคูบานซ่ึงอยู่
ทางตอนใต้ของดินแดนสหภาพโซเวียตรัสเซียได้ค้นพบวิธีการถ่ายภาพซ่ึงสามารถถ่ายภาพรัศมีพลัง
แสงท่ีห่อหุ้มส่ิงมีชีวิตโดยอาศัยสนามคลื่นไฟฟูาที่มีความถี่สูงได้สาเร็จจากการท่ีเกอร์เลียนไปชมการ
สาธิตการ ใช้เคร่ืองมือรักษาโรคด้ว ยไฟฟูาจ ากเคร่ือ งที่มีควา มถี่สูงท่ีส ถาบันวิจั ยโรคแห่ งหนึ่งเขา
สังเกตเห็นแสงแวบออกมาตรงระหว่างอิเล็กโทรด (electrode) หรือข้ัวไฟฟูาที่แปะติดไว้กับผิวหนัง
คนไข้จึงเกดิ ความคดิ วา่ หากใสโ่ ฟโตกราฟฟิคเพลท (photographic plate)หรอื แผ่นกระจกถ่ายภาพท่ี
เคลือบด้วยเย่ือไวแสงสอดใส่ระหว่างอิเล็กโทรดกับผิวหนังของผู้ปุวยจะเกิดอะไรขึ้นดังน้ันเขาจึงแปะ
อเิ ล็กโทรดท่เี ปน็ โลหะตดิ เขา้ กับมอื ตวั เองแล้วเปิดสวิตช์ไฟเคร่ืองมือเขารู้สึกว่ามือชาร้อนและเจ็บปวด
มากเวลาผ่านไปสองสามนาทีเขาจึงปิดสวิตช์เครื่องมือแล้วรีบนาโฟโตเพลทใส่ลงไปในอ่างน้ายาเคมี
ผสมภายในห้องมืดทันทีปรากฏเป็นภาพรอยฝุามือท่ีมีรัศมีแผ่กระจายโดยรอบทาให้เกอร์เลียนรู้สึก
ตื่นเต้นมากเพราะเป็นการถ่ายภาพที่แตกต่างกับวิธีอ่ืนที่อาศัยแสงรังสีเอกซเรย์หรือกัมมันตภาพรังสี
อยา่ งใดอย่างหน่งึ ชว่ ย (บรรยง บญุ ฤทธ์ิ, 2526: 222-223)
47
ต่อมาเกอร์เลียนได้พยายามถ่ายภาพประกายแสงนั้นด้วยกล้องถ่ายภาพพิเศษเพื่อนาไป
ศกึ ษาว่าเปน็ ประจุไฟฟูาแบบใดและเกดิ ขน้ึ ได้อย่างไรเกอรเ์ ลยี นค้นพบว่าการถ่ายภาพประกายแสงนั้น
ทาได้ด้วยการนาฟิล์มไปวางไว้ใต้แผ่นอิเล็กโทรดโดยไม่จาเป็นต้องใช้กล้องถ่ายภาพเมื่อเกิดประกาย
แสงขึ้นภาพก็จะไปปรากฏบนแผ่นฟิล์มได้เองในท่ีสุดเขาก็ค้นพบวิธีถ่ายภาพแบบใหม่โดยใช้ฟิล์มไว
แสงระหว่างวัตถทุ ่ตี ้องการจะถา่ ยภาพกับแผ่นอเิ ล็กโทรดทตี่ ่อเข้ากับกระแสไฟฟาู ความถี่สูง
เกอร์เลียนและวาเลนตินาผู้เป็นภรรยาใช้เวลาสร้างกล้องเกอร์เลียนนานถึง 13 ปี จน
สามารถใช้งานได้ดีและใช้ถ่ายภาพวัตถุมากมายดังเช่นภาพถ่ายใบไม้สดเต็มใบแต่ตัดส่วนปลายออก
และรีบถ่ายโดยเร็วภาพที่ถ่ายได้ยังปรากฏเป็นใบไม้เต็มใบซ่ึงส่วนท่ีถูกตัดออกเห็นเป็นภาพแสงเลือน
รางเกอรเ์ ลียนจึงให้ช่ือว่า “ภาพปีศาจ” และเมื่อนาใบไม้แห้งมาถ่ายภาพก็พบว่าแสงที่ออกมาจะอ่อน
ลงนอกจากนี้เม่ือถ่ายนิ้วมือมนุษย์ก็พบว่ามีการเปล่งแสงได้อีกด้วยโดยในสภาวะจิตใจต่างๆกันแสงก็
จะปรากฏให้เหน็ ตา่ งกัน (สาโรจน์ เกษมสุขโชตกิ ุล, 2538: 47)
จากภาพถ่ายเกอรเ์ ลียนจึงเกิดสมมติฐานที่ว่าสิ่งมีชีวิตอาจจะมีกายสองรูปซ้อนกันอยู่คือ
กายจริงหรือกายแห่งธรรมชาติท่ีสามารถมองเห็นได้กับกายแห่งพลังหรือกายเทียมซึ่งไม่สามารถ
มองเห็นได้ด้วยตาเปล่านอกจากใช้วิธีการถ่ายภาพเกอร์เลียนเท่านั้นกายจริงจะสะท้อนให้เห็นส่ิงท่ี
เกดิ ขน้ึ ภายในออกมาแตก่ ายแห่งพลงั น้นั เกดิ จากพลงั ลกึ ลับท่ีผ่านเข้าและออกภายในกายจริงซึ่งจะแผ่
รังสีออกมาห่อหุ้มกายจริงอีกทีหน่ึงไม่ใช่เป็นการแผ่จากกายจริงตามที่เข้าใจกันถ้าเกิดความไม่สมดุล
ในกายแหง่ พลงั พืชขนึ้ ก็จะชใ้ี ห้เห็นถงึ การเกดิ โรคและกายจรงิ ก็จะสะทอ้ นให้เห็นการเปล่ียนแปลงทีละ
น้อยซ่งึ ปรากฏการณด์ งั กลา่ วนเ้ี กดิ กับมนษุ ยด์ ้วย (บรรยง บญุ ฤทธิ์, 2526: 227)
นอกจากนี้กายแห่งพลังน้ันเป็นรูปกายท่ีประกอบด้วยวัตถุธาตุหรือ “พลาสมาที่มีชีวิต”
(bioplasma body)หรอื ทีร่ ู้จักกันในชอ่ื วา่ “วิญญาณ” (สาโรจน์ เกษมสุขโชติกุล, 2538: 47)
สาหรับการวิจัยค้นคว้าถ่ายภาพเกอร์เลียนในสหรัฐอเมริกาเร่ิมต้นจากการที่ดร .เทลมา
มอส (Dr.Telma Moss) นักจิตวิทยาการแพทย์แห่งสถาบันประสาทและจิตเวชมหาวิทยาลัย
แคลิฟอร์เนียได้ไปดูงานการทดลองถ่ายภาพเกอร์เลียนในรัสเซียเม่ือกลับมาก็ได้วิจัยค้นคว้าอย่าง
จริงจังโดยการเปดิ หลกั สูตรพิเศษเปน็ วิชาเลอื กของวชิ าปรจิตวทิ ยาในมหาวิทยาลยั ทาให้ภาพถ่ายเกอร์
เลียนเปน็ ทีร่ จู้ กั แพร่หลายมากยิง่ ขนึ้
ผลของการถ่ายภาพเกอร์เลียนสามารถนาไปประยุกต์ให้กับวิทยาการด้านต่าง ๆ ซ่ึงมี
ประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยเฉพาะอย่างย่ิงทางด้านการแพทย์มีการทดลอง
ถา่ ยภาพคนไข้ที่ปุวยด้วยโรคเกี่ยวกับระบบหายใจเกี่ยวกับลาไส้และเกี่ยวกับทางจิตเป็นต้นปรากฏว่า
พลังแสงจากภาพถ่ายของคนปุวยเหล่านี้จะเปล่งแสงรัศมีออกมาแตกต่างกันทาให้แพทย์สามารถ
วินิจฉัยตรวจโรคและให้การบาบัดรักษาได้เป็นอย่างดีนอกจากนี้ภาพถ่ายเกอร์เลียนยังสามารถ
ตรวจสอบความเจริญของเนื้อเยื่อและการเจริญเติบโตของเซลล์ภายในร่างกายของคนไข้ซึ่งมี
ประโยชน์ต่อการวิเคราะหร์ ายละเอยี ดภาพถ่ายเนอ้ื เย่อื มะเร็ง (บรรยง บญุ ฤทธ์ิ, 2526: 233-235)
เอกภพคขู่ นาน (parallel universe)
เอกภพคู่ขนานหรือบางคร้ังมีผู้ใช้คาว่าโลกคู่ขนาน (parallel world) หมายถึง เอกภพ
หนึ่งที่อยเู่ คียงข้างหรอื ซ้อนไปกับเอกภพที่เราดารงอยู่ความคิดน้ีมาจากการเคล่ือนท่ีหรือย้ายตาแหน่ง
ไปในทิศทางเดยี วกับมติ ิที่ 4 ในที่ว่างหรืออวกาศมกั จะถูกกลา่ วถงึ ในนวนิยายวทิ ยาศาสตร์ว่าเป็น “มิติ
48
อีกมิติหนึ่ง” หรือ “มิติอ่ืน ๆ ” (John Clute and Peter Nicholls,ed., 1993: 907-908)
นอกจากนี้ยังมีความคิดที่ว่าอาจมีเอกภพจานวนมากมายซ้อนกันอยู่ถึงแม้ว่าแต่ละเอกภพจะแยกตัว
กันด้วยห่วงหรือช่วงของกาลเวลาเราก็อาจจะพบตัวเองในเอกภพอ่ืน ๆ ได้ (George S. Elrick,
1978: 30)
คาว่า “เอกภพ” และ “จักรวาล” ต่างก็มาจากคาภาษาอังกฤษว่า universe
เช่นเดียวกันโดยทั่วไปคาว่า “จักรวาล” นิยมใช้กันมากกว่าแต่คาว่า “เอกภพ” จะเป็นคาแปลท่ีใช้ใน
วงวชิ าการ (ชัยวัฒน์ คุประตกุล, 2539: 95)
มิติ หรือ dimension มีหลายความหมายท้ังในเชิงวิทยาศาสตร์และนวนิยาย
วิทยาศาสตร์ความหมายประการหนึ่งคือระบบท่ีอาจเป็นตัวบอกสภาพความเป็นอยู่และความเป็นไป
(ตลอดทั้งความเป็นมา) ของทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติโดยท่ัวไปที่คุ้นเคยกันเป็นโลกที่มี4มิติคือเป็น
มติ บิ อกตาแหนง่ (กวา้ งยาวสงู หรอื x, y, z) 3 มติ ิและเปน็ มติ ิบอกเวลา (มักใช้สัญลักษณ์ t แทน time
= เวลา) 1 มิติ ดังน้ันจึงทราบตาแหน่งของสิ่งที่ถูกระบุอย่างชัดเจนแน่นอนทั้งในมิติของตาแหน่งและ
มิติของเวลาสาหรับโลกวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มีมิติได้ทั้งน้อยกว่าและมากกว่า 4 มิติมักเรียก
เป็น N มิติโดยที่ N เป็นตัวเลขจานวนเต็มต้ังแต่ 1, 2, 3, … เรื่อยไปปัจจุบันมีทฤษฎีใหม่เกิดขึ้นซ่ึงมี
ความคิดว่าอาจมีจักรวาลของโลก 9 มิติ อีกความหมายหน่ึงของมิติคือโลกหรือจักรวาลถ้าเป็นโลก
หรือจักรวาลท่ีมนุษย์คุ้นเคยก็เป็นมิติของเรา แต่ถ้าเป็นโลกหรือจักรวาลอ่ืนท่ีมนุษย์ไม่คุ้นเคยหรือไม่
รู้จักซึ่งอาจมีอยจู่ ริงหรอื ไมก่ ไ็ ด้เรยี กว่าเป็นมิตอิ ่นื (ชยั วัฒน์ คุประตกลุ , 2539: 129-130)
เดวิด ดอยซ์ (David Deutsch) นักทฤษฎีทางฟิสิกส์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดประเทศ
อังกฤษคิดว่ามีความเป็นไปได้ท่ีจะมีเอกภพคู่ขนานเขาอธิบายจากทฤษฎีควอนตัม ซ่ึงทฤษฎีควอนตัม
ถูกคิดค้นข้ึนโดยมักซ์พลางค์ (Max Planck) ในปี ค.ศ. 1900 จากการศึกษาและเสนอเป็นทฤษฎีการ
รับและปล่อยพลงั งานในรูปของรังสีของ “วัตถุดา” (black body radiation) ว่าวัตถุดาจะปล่อยหรือ
รับพลังงานในลักษณะเป็นช่วงๆเรียกว่า “ควอนตา” (quanta)เท่าน้ันมิใช่จะปล่อยหรือรับพลังงาน
อยา่ งต่อเนื่องดงั ฟสิ ิกส์ยุคเก่าทฤษฎีควอนตมั เปน็ ทฤษฎหี ลกั ของฟิสิกส์ยุคใหม่คู่กับทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ของไอน์สไตน์ซง่ึ มีความสาคญั อยา่ งยง่ิ ตอ่ วิทยาศาสตรย์ คุ ใหมท่ ุกสาขารวมทัง้ ดาราศาสตร์และจักรวาล
วิทยา (cosmology) (ชัยวัฒน์ คุประตกุล, 2544: 26-27) เรื่องอนุภาค-อะตอม-ปรมาณูใน
ปรากฏการณ์บางอย่างท่ีบ่งถึงการเกิดขึ้นของอนุภาคผกผันในช่วงระยะเวลา นับได้ว่าเป็น
ปรากฏการณ์น่าศกึ ษาและกอ่ ใหเ้ กดิ ความมหัศจรรย์แห่งชีวิตอันเป็นความท้าทายของนักวิทยาศาสตร์
จากปัจจุบนั สอู่ นาคตไดเ้ ปน็ อย่างมาก และเป็นการเปลย่ี นโฉมหนา้ บนโลกใบนี้อกี ดว้ ย
ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ : อวกาศและเวลา (special theory of relativity : space and
time)
อลั เบริ ์ตไอนส์ ไตน์ (Albert Einstein) เป็นผูค้ ดิ ค้นทฤษฎสี ัมพทั ธภาพ โดยทั่วไปมักใช้คา
วา่ “ทฤษฎสี ัมพทั ธภาพ” โดยต้ังเป็นทฤษฎสี ัมพัทธภาพพิเศษ (special theory of relativity) ขึ้นใน
ปี ค.ศ. 1905 ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอวกาศ (space) หรือการวัดตาแหน่งกับเรื่องของกาล
หรือเวลา (time) กล่าวได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ของมิติตาแหน่ง 3 มิติ ได้แก่ ความกว้างความยาวและ
ความสูงและมิตขิ องเวลา1มิติซ่งึ เป็นมติ ิที่ 4 (ชยั วัฒน์ คุประตกุล, 2539: 102)
49
ไอน์สไตน์เสนอหลักการพ้ืนฐานสาคัญของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษว่าแสงเคล่ือนท่ี (ใน
สุญญากาศ) ด้วยความเร็วคงที่เสมอไม่ขึ้นอยู่กับสภาพการเคล่ือนท่ีของแหล่งกาเนิดแสงและผู้
สังเกตการณไ์ อนส์ ไตน์แสดงใหเ้ หน็ ว่าอวกาศและเวลา (space and time) หรือตาแหน่งและเวลาของ
เหตุการณ์ใด ๆ มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกจากกันไม่ได้ปริมาณการวัดทุกอย่างท้ังขนาดและ
เวลาของเหตุการณ์และวัตถุใดๆล้วนแต่มีค่าไม่คงท่ีขึ้นอยู่กับสภาพการเคลื่อนที่ของผู้วัดและ
เหตุการณ์หรือวัตถุนอกจากนีม้ วล (mass) ของวัตถหุ รือของอนุภาคใด ๆ ก็มีค่าไม่คงที่ข้ึนอยู่กับขนาด
ของความเร็วสมั พทั ธ์ดว้ ย
สรุปได้ว่า วัตถุใด ๆ ซ่ึงเคลื่อนที่เร็วข้ึนวัตถุนั้นจะมีขนาดเล็กลงแต่จะมีมวลเพิ่มมากข้ึน
จนกระทั่งท่ีความเร็วเท่ากับแสงวัตถุจะมีขนาดเป็นศูนย์คือหายไปเลยแต่มีมวลมหาศาลเป็นอนันต์ซึ่ง
เป็นไปไม่ได้ดังน้ันจึงไม่มีวัตถุหรืออนุภาคใดยกเว้นอนุภาคของแสงเอง (เพราะแสงก็เป็นอนุภาคคือ
เป็นสสารด้วยที่เรียกว่าโฟตอน) ที่จะมีความเร็วเท่ากับแสงได้ความเร็วแสง (ในสุญญากาศ) จึงเป็น
“ความเร็วต้องหา้ ม” ไป
จากทฤษฎีสมั พัทธภาพพิเศษของไอน์สไตน์มีผลเกี่ยวกับ “เวลา” สรุปได้ว่าการเคล่ือนที่
ของเวลาเป็นสิ่งที่ไม่คงท่ีขึ้นอยู่กับสภาพการเคล่ือนท่ีของเหตุการณ์เช่นกัน กล่าวคือ ย่ิงความเร็ว
สมั พัทธ์มคี า่ มากขน้ึ ช่วงเวลาของเหตุการณ์หน่ึงก็จะย่ิงผ่านไปอย่างช้าลงน่ันคือนาฬิกาท่ีเคลื่อนท่ีด้วย
ความเร็วสูงจะเดินชา้ กวา่ นาฬกิ าเรอื นเดยี วกันเมื่ออยู่กับท่ี
ผลของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษต่อเวลาก่อให้เกิดปรากฏการณ์ “ปัญหาพิศวงแฝดคู่”
(twin paradox) ซ่ึงมีสาระสาคัญว่าสมมติว่ามีแฝดสาวเหมือนกันทุกประการคู่หน่ึงบนโลกแล้วให้คน
หน่งึ ข้ึนไปบนยานอวกาศและเดนิ ทางไปในอวกาศอยา่ งรวดเรว็ ดว้ ยความเร็วสูงจากนน้ั กก็ ลับมายังโลก
หลังจากที่เวลาบนโลกผ่านไปถึง 50 ปี หากตอนที่แฝดคนหน่ึงเร่ิมออกเดินทางแฝดทั้งสองคนมีอายุ
20 ปี ดังน้ัน เม่ือคนแฝดคนที่เดินทางไปในอวกาศเดินทางกลับมาถึงโลกคู่แฝดที่อยู่บนโลกจะมีอายุ
70 ปี แต่คนทเ่ี ดินทางจะยังเป็นสาวอยู่เพราะเวลาของเธออาจผ่านไปเพียง 5 ปี เท่านั้น เม่ือเทียบกับ
คนทอี่ ยู่บนโลก
นอกจากน้ียังมีหลักฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ท่ีสนับสนุนทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของ
ไอน์สไตน์เร่ืองผลของความเร็วสัมพัทธ์ต่อช่วงเวลาเช่นมีการทดลองเปรียบเทียบการเดินทางของ
นาฬิกาอะตอมสองเรือนให้เรือนหนึ่งตั้งอยู่บนพื้นโลกอีกเรือนหน่ึงอยู่ในเครื่องบินท่ีบินด้วยความเร็ว
สูงรอบโลกผลปรากฏว่านาฬิกาเรือนที่เคลอ่ื นท่ีอยู่ในเคร่ืองบินเดินช้ากว่านาฬิกาเรือนท่ีอยู่บนพ้ืนโลก
จรงิ (ชัยวฒั น์ คปุ ระตกุล, 2543: 36-38)
ตามทฤษฎีสมั พัทธภาพของไอน์สไตน์แสงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่เสมอในสุญญากาศ
คือประมาณ 300,000 กิโลเมตร/วินาที หรือ 186,000ไมล์/วินาที และไอน์สไตน์ยังเช่ือว่าความเร็ว
ของแสงในสุญญากาศเป็นทั้งความเร็วต้องห้ามและขีดจากัดสูงสุดความเร็วของวัตถุและสัญญาณใดๆ
อีกด้วยกล่าวคือไอน์สไตน์ สรุปว่า อนุภาคหรือวัตถุสามารถจะเคล่ือนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆได้แต่จะไม่มี
อนภุ าคหรือวตั ถุชนิดใดที่จะเคล่อื นที่ดว้ ยความเรว็ เทา่ กับความเร็วแสงได้ยกเว้นอนุภาคของแสงคือโฟ
ตอนเอง ข้อสรุปน้ีมาจากผลของทฤษฎีสัมพัทธภาพภาคพิเศษว่า เมื่ออนุภาคหรือวัตถุใดๆเคลื่อนท่ี
เร็วขึ้นขนาดจะเล็กลงมวลจะเพ่ิมมากข้ึนและเวลาจะช้าลง ความเปล่ียนแปลงตามความเร็วน้ีจะ
เกิดขึ้นได้เรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขีดต้องห้ามคือ ความเร็วเท่ากับแสงเพราะถ้าอนุภาคหรือวัตถุชนิดใด
เคลื่อนท่ีด้วยความเร็วเท่ากับแสงผลท่ีจะเกิดข้ึน คือ ขนาดจะเป็นศูนย์ (หายไปเลย) ในขณะที่มวล
จะเพ่ิมมากเป็นอนันต์ (infinity) และเวลาจะหยุดนิง่
50
ต่อมาในทศวรรษท่ีหกสิบนักฟิสิกส์บางคนเสนอความคิดใหม่ว่าความเร็วแสงถึงแม้จะ
เป็นความเร็วต้องห้ามอยู่แต่มิใช่ขีดจากัดความเร็วสูงสุดของอนุภาคทุกชนิดเพราะโดยทฤษฎีแล้ว
อนุภาคซึ่งเคลื่อนท่ีด้วยความเร็วมากกว่าแสงมีอยู่ได้หรือดารงอยู่ได้โดยไม่ขัดกับทฤษฎีสัมพัทธ
ภาพของไอน์สไตน์แต่อย่างใดและอนุภาคซึ่งเคลื่อนท่ีเร็วกว่าแสงหรือเตคีออน (tachyon) นี้
ไอน์สไตน์ก็ยอมรับว่ามีอนุภาคที่เคลื่อนที่เร็วกว่าแสงได้โดยไม่ขัดกับทฤษฎีของเขาอย่า งไรก็ตาม
นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถค้นพบเตคีออนได้สาเร็จจนกระท่ังปัจจุบันน้ี (ชัยวัฒน์ คุประตกุล,
2545: 21-23)
ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ระบุว่าไม่มีส่ิงใดเดินทางได้เร็วกว่าแสง ดังนั้น หากส่งยาน
อวกาศไปยังดาว Alfa Centauri ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ท่ีอยู่ใกล้ระบบสุริยะมากที่สุดซึ่งอยู่ห่างจากโลก
ประมาณ 4 ปี แสงยานอวกาศต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อย 8 ปี จึงเดินทางกลับมายังโลก แต่ถ้าส่ง
ยานอวกาศไปสารวจใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือก จะต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 แสนปี แต่
ทฤษฎีสัมพัทธภาพมที างออก เน่อื งจากไม่มีเวลามาตรฐานที่เป็นหน่ึงเดียวผู้สังเกตการณ์แต่ละคนต่าง
ก็มมี าตรฐานเวลาของตนเอง ดังนั้น จึงเป็นไปได้ท่ีเวลาของผู้ที่อยู่บนยานอวกาศจะส้ันกว่าเวลาของผู้
ทีอ่ ยู่บนโลก ตามทฤษฎสี ัมพทั ธภาพชี้เปน็ นยั วา่ หากมนษุ ยส์ ามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสงก็จะสามารถ
เดนิ ทางขา้ มเวลาได้
หลักการสาคัญอยู่ท่ีว่า ผู้สังเกตการณ์แต่ละคนมีเวลามาตรฐานที่ไม่ตรงกันแต่ละคนจะ
วัดค่าเวลาได้แตกตา่ งกันขน้ึ อยูก่ บั ความเรว็ ในการเคล่ือนที่สมมติให้สองเหตุการณ์ ได้แก่ เหตุการณ์ A
เป็นการแข่งขันวิ่ง 100 เมตรรอบชิงชนะเลิศกีฬาโอลิมปิกปี2010 และเหตุการณ์ B เป็นการเปิด
ประชุมรัฐสภาแห่งดาว Alfa Centauri มีจรวดท่ีเดินทางด้วยระดับความเร็วต่ากว่าความเร็วแสงจาก
เหตุการณ์ A ไปยังเหตุการณ์ B ผู้สังเกตการณ์ทุกคนจะลงความเห็นตรงกันว่าเหตุการณ์ A เกิดก่อน
เหตุการณ์ B แต่ถ้ายานอวกาศใช้ความเร็วเหนือแสงเพื่อนาผลเหตุการณ์ A ไปแจ้งต่อสถานท่ีเกิด
เหตุการณ์ B ผู้สังเกตการณ์ที่เคลื่อนท่ีด้วยความเร็วต่างกันจะเห็นไม่ตรงกันว่าเหตุการณ์ A เกิดก่อน
เหตกุ ารณ์ B หรอื เหตกุ ารณ์ B เกดิ ก่อนเหตุการณ์ A สาหรบั ผสู้ ังเกตการณ์บนโลกจะเห็นว่าเหตุการณ์
A เกิดก่อนเหตุการณ์ B ดังนั้น จึงคิดว่ายานอวกาศท่ีเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสงน่าจะนาผลการ
แข่งขันไปแจ้งต่อท่ีประชุมได้ทันแต่ผู้สังเกตการณ์ที่อยู่บนดาว Alfa Centauri ซึ่งเคล่ือนที่ออกห่าง
จากโลกด้วยความเร็วใกล้ระดับความเร็วแสงจะเห็นเหตุการณ์ B เกิดข้ึนก่อนเหตุการณ์ A ดังนั้น ผู้
สังเกตการณ์ท่ีเคล่ือนท่ีด้วยความเร็วสูงจะระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเดินทางจาเหตุการณ์ B การ
ประชุมรัฐสภาไปยังเหตุการณ์ A การแข่งขันว่ิงแข่ง 100 เมตร ถ้าหากการเดินทางเร็วกว่าแสงทาได้
และ ถ้าหากใช้ความเร็วสูงข้ึนอีกนิดก็จะสามารถเดินทางไปถึงก่อนหน้าการแข่งขันจะเริ่มขึ้นได้ (สตี
เฟน ฮอว์ก้ิง, 2546: 193-195)
ทฤษฎีนี้ยังกล่าวถึงความแตกต่างในเร่ืองของเวลาโดยอธิบายเรื่องมิติของเวลาว่า
โดยท่ัวไปมิติท่ี 4 หมายถึงเวลาแต่ในวงการวิทยาศาสตร์เวลาเป็นเพียงหนึ่งในความหมายของมิติท่ี 4
เพราะมติ ทิ ี่ 4 มีความหมายถงึ มติ ิอยา่ งอืน่ ที่มิใช่เวลาได้เชน่ กัน
คาว่า dimension ทภ่ี าษาไทยแปลว่า “มติ ”ิ มาจากรากศพั ท์ภาษาละตินว่า dimensio
ซึ่งมาจากคาว่า di แปลวา่ “หา่ งกัน” กับคาวา่ metiori แปลว่า “การวดั ” เม่ือนาสองคามารวมกันจะ
ได้คาวา่ dimension แปลวา่ “การวดั ระยะห่าง” ซง่ึ หมายถงึ “การบอกตาแหนง่ ”
การบอกตาแหน่งสิ่งใดก็ตามที่ไม่มีการเคลื่อนที่หรืออยู่กับท่ีตลอดเวลาผู้บอกสามารถ
บอกตาแหน่งให้ผู้อื่นเข้าใจโดยใช้ตัวเลขบอกตาแหน่งสามตัวเรียกว่า 3มิติได้แก่กว้างยาวและสูงหรือ
51
เป็นสัญลักษณ์ (x, y, z) แต่หากจะบอกตาแหน่งของสิ่งท่ีมีการเคลื่อนที่จะต้องเพ่ิมมิติที่ 4 คือ เวลา
เขา้ ไปด้วยเป็น (x, y, z, t) โดยท่ี t เป็น time (เวลา) ดงั น้ันการบอกตาแหน่งจะสมบูรณ์รับรู้เข้าใจกัน
ด้วย “จักรวาลส่ีมิติ” มักเรียกเป็น space-time dimension หรือ space-time universe แต่ใน
วงการวิทยาศาสตร์ไม่มีขีดจากัดของมิติซึ่งอาจจะมีจักรวาลตั้งแต่ 5 มิติได้เร่ือยไปและมักเรียกเป็น
“จักรวาล n-มิติ” ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์มิติท่ี 4 ท่ีหมายถึงเวลา (t) เก่ียวพันกับอีก3
มติ แิ รกทหี่ มายถึงตาแหนง่ (x, y, z) อยา่ งแยกกันไม่ได้ (ชยั วฒั น์ คุประตกลุ , 2545: 164-167)
สารพเิ ศษแทนทาลมั (tantalum)
นักเคมีชาวสวีเดนช่ืออังเดรเอก้ีเบิร์ก (Andres Ekeberg) เป็นผู้ค้นพบแทนทาลัมในปี
ค.ศ. 1802 เขาพยายามทดลองหากรรมวิธีผลิตสารตัวใหม่นี้จากสินแร่หลายครั้งแต่ก็ประสบความ
ล้มเหลวจนต้องล้มเลิกความตั้งใจและตั้งช่ือธาตุใหม่ที่ค้นพบว่าแทนทาลัมในช่วงเวลาเดียวกันชาร์ลส์
แฮทเซต็ นักเคมชี าวองั กฤษก็ค้นพบธาตุโคลัมเบียนที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับแทนทาลัมในปีค.ศ.1801
ทาให้เป็นท่ีถกเถียงกันว่าธาตุท้ังสองชนิดน่าจะเป็นธาตุเดียวกันต่อมาในปี ค.ศ.1844 เฮนริคโรส
(Heinrich Rose) นักเคมีชาวเยอรมันก็ได้พิสูจน์ว่าแทนทาลัมและโคลัมเบียนเป็นธาตุคนละชนิดกัน
และไดเ้ รียกธาตโุ คลัมเบยี นใหมใ่ นชอื่ ว่านิโอเบยี ม (พรี ศักด์ิ วรสนุ ทโรสถ, 2545: 51-52)
แทนทาลัมมีสัญลักษณ์ว่า Ta เป็นธาตุท่ี 73 ในตารางธาตุมีมวลอะตอม เท่ากับ 180.9
จัดอยู่ในกลุ่มทรานสิชันหมู่ 5 (BV) มีวานาเดียมและไนโอเบียมอยู่ร่วมหมู่เดียวกันแทนทาลัมมี 2
ไอโซโทป คือ มี Ta – 181 อยู่ 99.988 % และ Ta – 182 อยู่ 0.012 % และ มีไอโซโทปรังสี
ประมาณ 22 ไอโซโทป คุณสมบัติที่แตกต่างกับธาตุอื่น ๆ คือ จะไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยาของกรดแก่
หลายชนดิ ที่มีอณุ หภูมิตา่ กว่าจุดเดือดของกรดเหล่านน้ั มกี ารนาแทนทาลัมไปใช้ในเชิงพาณิชย์คร้ังแรก
ในรูปของลวดไส้หลอดไฟฟูาในปี ค.ศ. 1902 ก่อนถูกแทนท่ีด้วยทังสเตนในราวปี ค.ศ. 1909
จนกระท่ังถึงปี ค.ศ. 1922 มีการใช้แทนทาลัมในวงจากัดเฉพาะทางทันตแพทย์และใช้เป็นเคร่ืองมือ
ผ่าตัดเท่าน้ันต่อมาจึงค้นพบคุณสมบัติทางไฟฟูาของแทนทาลัมและนาไปผลิตตัวเก็บประจุซึ่งเป็น
อุปกรณส์ าคญั ในอุตสาหกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกจนถึงปจั จบุ นั นี้ (จารุเดชวาดวิไล, 2539: 5)
แทนทาลัมเป็นโลหะที่มีจุดหลอมสูงประมาณ 3,000 องศาเซลเซียส มีความแข็งมาก
และ ทนความร้อนสูงทนต่อการกัดกร่อนของกรดได้ทุกชนิดท่ีอุณหภูมิปกติยกเว้นกรดกัดแก้ว (กรด
ไฮโดรฟลูออริก) นอกจากนี้ แทนทาลัมยังเป็นโลหะท่ีเก็บประจุไฟฟูาได้ดีกว่าทองแดงและได้ราคาสูง
กว่าทองแดงด้วยคุณสมบัติดังกล่าวจึงมีการนาแทนทาลัมมาใช้ประโยชน์ในวงการอุตสาหกรรม
มากมายดังเช่นในอุตสาหกรรมไฟฟูานามาเป็นตัวเก็บประจุไฟฟูาที่เรียกว่าแคพาซีเตอร์ (capacitor)
ใ ช้ ใ น เ ค ร่ื อ ง รั บ โ ท ร ทั ศ น์ ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ เ ค ร่ื อ ง ใ ช้ ไ ฟ ฟู า ร ะ บ บ อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ เ ค ร่ื อ ง มื อ ส่ื อ ส า ร ใ น
อตุ สาหกรรมเหลก็ กลา้ นาไปเปน็ แทนทาลมั คาไบดเ์ พ่อื ตดั กลงึ เหล็กกล้า และโลหะชนิดความต้านทาน
พิเศษในอุตสาหกรรมเคมีใชแ้ ทนทาลมั ทนการกัดกรอ่ นสารเคมหี รอื กรดนานาชนิด
นอกจากนี้ แทนทาลัมยังสามารถใช้รักษาโรคโดยถูกนาเข้าไปเป็นส่วนหน่ึงของร่างกาย
มนุษย์เพื่อผลบางประการเช่นการนาแทนทาลัมมาใช้อุดฟันชนิดโลหะและดามกระดูกที่หักภายใน
รา่ งกายมนุษย์ อกี ทั้งยงั ใชเ้ ป็นโลหะต่อกระดูกและเชื่อมต่อกะโหลกศีรษะที่แตกของมนุษย์ด้วยเพราะ
แทนทาลัมจะไม่ทาให้ผิวหนังและเนื้อมนุษย์ระคายเคืองและยอมรับเข้ากับเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้
อยา่ งดีแทนทาลัมใช้เย็บกล้ามเนื้อทฉี่ กี เสยี หายให้เกาะเข้ากันใชค้ ีมแทนทาลัมหนีบต่อเส้นเลือดและใช้
52
ซอ่ มแซมร่างกายของมนุษย์ได้ดีอีกด้วย (สานักพิมพ์มติชน, 2529: 21) แต่สารแทนทาลัมมีข้อจากัด
ในเรื่องสารตกค้าง และ ผลสะท้อนกลับของไอโซโทปท่ียังไม่สามารถควบคุมได้อย่างปลอดภัย
นักวิทยาศาสตร์จึงมีความกังวลและคานึงถึงความปลอดภัยของผู้ปุวย ซึ่งในปัจจุบันไม่เป็นท่ีนิยม
เหมอื นในอดตี ท่มี คี วามตืน่ เต้นและชวนพิศวงตอ่ สารแทนทาลัมซ่ึงเป็นสารค้นพบใหมใ่ นเวลาน้นั
คล่นื สมองกบั พลังพิเศษในตัวมนุษย์
จากการศึกษาเรื่องคลื่นสมองของมนุษย์ในอดีต เคยเชื่อกันว่าคล่ืนสมองและสารที่หลั่ง
จากสมองนั้นเป็นสิ่งท่ีมนุษย์ไม่สามารถบังคับหรือควบคุมกระบวนการได้ แต่ปัจจุบันได้มีการทดลอง
และตรวจวัดคลืน่ สมองดว้ ยวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ พบว่า มนุษย์สามารถควบคุมคลื่นสมอง และสาร
ท่ีหล่ังจากสมองได้หากมีการฝึกฝนทางจิตให้ควบคุมสภาวะอารมณ์และจิตใจได้ สิ่งเหล่าน้ีไม่ใช่เรื่อง
เหนือธรรมชาตหิ รือเรน้ ลบั หาคาอธบิ ายไม่ได้ แตเ่ ปน็ เรอื่ งทีท่ กุ คนสามารถฝึกฝนได้ในขณะท่ีเราดาเนิน
ชวี ิตประจาวันตามปกตใิ นชวี ิตประจาวัน
พนื้ ฐานความเข้าใจเรื่องคลื่นสมองและกลไกการทางานท่ีเกี่ยวข้องกันน้ีจะเป็นจุดเร่ิมต้น
ที่ทาให้เราได้เรียนรู้โลกภายในตัวเองและมองเห็นประโยชน์ของการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกและ
ความคดิ ของเรานับเป็นศิลปะในการดารงชีวิตทที่ ุกคนทาได้ท่านทราบหรือไม่ว่าภาวะของคลื่นสมองท่ี
เหมาะสมจะชว่ ยเปดิ พ้นื ท่ีการเรียนรใู้ นสมองของเราส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ความสามารถในการ
เรยี นรสู้ ิง่ ตา่ ง ๆ และรบั ข้อมลู ปรมิ าณมากได้อย่างรวดเร็วทาให้มนุษย์มีประสิทธิภาพสูงมากในการทา
กิจกรรมหรือสร้างสรรค์ผลงานจึงเป็นเร่ืองน่าสนใจอย่างย่ิงสาหรับแหล่งกาเนิดพลัง งานชีวิตที่
ธรรมชาตใิ หม้ าในตวั ตนของพวกเราทกุ คน
สัญญาณคล่ืนสมองเปนรูปแบบหน่ึงของสัญญาณแบบตาง ๆ ที่วัดไดจากรางกายมนุษย
ซึ่งเรียกรวมกันวาสัญญาณไบโอเมดิคอล (Biomedical Signal) โดยรูปแบบของสัญญาณน้ีอาจอยูใน
ลักษณะของสัญญาณไฟฟา (เชนสัญญาณคลื่นสมอง) สัญญาณคลื่นแมเหล็กไฟฟา หรืออยูในลักษณะ
ของรูปภาพและภาพเคล่ือนไหวเชน ภาพอัลตราซาวนด (Ultrasound) ภาพซีทีสแกน (CT Scan)
ภาพการเปล่ียนแปลงของอุณหภูมิในรางกาย (positron emission tomography) เปนตน
(Christen and Junker, 2004)
ภาพที่ 2.1 ภาวะคลื่นสมองในมนุษย์
ทม่ี า: Christen and Junker, 2004: Online.
53
คลื่นสมองเปน็ คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟาู ซง่ึ ได้มาจากการส่งสัญญาณเคมีทางชีวภาพในร่างกาย
มนุษย์การวัดพลังงานไฟฟูาบริเวณสมองด้วยเคร่ืองมือ Electroencephalogram (EEG) ทาให้
นักวิจัยทางประสาทวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงว่าการเลือกตอบสนองต่อปัจจัย
ภายนอกมีผลโดยตรงตอ่ สภาวะภายในท่ีเปน็ คลื่นสมองเราสามารถอ่านค่าผลของการวัดและแบ่งคลื่น
สมองของมนุษย์ตามระดับความสั่นสะเทือนหรือความถ่ีได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ (ปาริฉัตต์ ศังขะ
นันทน์, 2549: มปน)
ภาพท่ี 2.2 สญั ญาณออี จี ี (EEG)
ที่มา: ปาริฉัตต์ ศงั ขะนนั ทน์, 2549: Online.
1. คล่ืนเบต้า (Beta brainwave) มีความถี่ประมาณ 14-21 รอบต่อวินาที (Hz) เป็น
ช่วงคล่ืนสมองที่เร็วที่สุดเกิดขึ้นในขณะที่สมองอยู่ในภาวะของการทางานและควบคุมจิตใต้สานึก
(Conscious Mind) ในขณะตื่นและรู้ตัวเช่นการน่ังยืนเดินทางานหรือกิจกรรมต่างๆในกรณีที่จิตมี
ความคิดมากมายหลายอย่างจากภารกิจประจาวันวุ่นวายใจสับสนหรือฟูุงซ่านและสั่งการสม องอย่าง
ไม่เป็นระเบียบความถี่ของคลื่นช่วงน้ีอาจสูงขึ้นได้ถึง 40 Hz โดยเฉพาะคนในที่มีความเครียดมากอยู่
ในภาวะเร่งรีบบีบค้ันต่ืนเต้นตกใจอารมณ์ไม่ดีโกรธหรือดีใจมากๆสมองจะมีการทางานในช่วงคลื่น
54
เบต้ามากเกินไปในขณะที่หากไม่มีคลื่นเบต้าเกิดขึ้นเลยมนุษย์จะไม่สามารถเรี ยนรู้หรือทาหน้าที่ได้
สมบรู ณ์ในโลกภายนอก
ปกติสมองคนเราจะมีเส้นทางอัตโนมัติในการรับรู้ความรู้สึกที่ทาให้สั่งการได้โดยไม่ต้อง
ใช้เวลาในการใคร่ครวญมากนักความเป็นอัตโนมัตินี้ส่วนใหญ่จะมีประโยชน์อยู่ในระดับหน่ึงและเป็น
เรื่องกลาง ๆ สาหรับชีวิตช่วยย่นย่อจดจาเร่ืองราวจาเจท่ีต้องทาซ้า ๆ เป็นประจาให้ดาเนินไปได้
บางสว่ นเปน็ ไปเพ่อื ประโยชน์ต่อการรอดพ้นจากอนั ตรายในสถานการณ์คับขันเช่นการดึงมือออกทันที
เมื่อบังเอิญไปสัมผัสของร้อนจัด แต่ส่ิงท่ีน่าสนใจ คือ “อารมณ์ของมนุษย์” ก็มีเส้นทางอัตโนมัติ
เช่นเดียวกัน แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ควบคุมและปล่อยให้ความเป็นอัตโนมัตินี้ทางานมากเกินไป
จากความเคยชินในการปูอนข้อมูลซ้า ๆ ของเราเองโดยมากเป็นความอัตโนมัติในทางลบที่มีมาก
เกินไปทาให้ข้อมูลเหล่าน้ีถูกส่งผ่านเข้าไปสู่การทางานของส่วนรับความรู้สึกในสมองที่เรียกว่า “อะมิ
กดาลา” (Amygdala) ซึ่งเป็นสมองชั้นกลางใกล้กับก้านสมองและมีความสามารถในการเก็บข้อมูล
ด้านอารมณ์จานวนมาก ๆ ไว้ ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับว่าเราใส่ข้อมูลด้าน “บวก”หรือ “ลบ” มากน้อยแค่
ไหนก็จะทาให้สมองจดจาและตอบสนองในทิศทางน้ันหากเราปล่อยให้ความอัตโนมัตินี้ทางานตาม
ลาพังโดยไมฝ่ กึ กาหนดร้กู จ็ ะทาใหเ้ ราตดิ กับดักของอารมณ์ท่ีไม่ดีอยู่ตลอดเวลาสมองของเราจะทางาน
อยู่แต่ในเฉพาะช่วงคลื่นเบต้า ซ่ึงในโหมดนี้ถือว่าเป็นโหมดปกปูองมีท้ังเบต้าอ่อนและแก่ หมายถึง
ความถีส่ งู มีผลให้ความคดิ ถดถอยจากสภาวะปกติและทางานอยู่ในฐานความกลัว มีลักษณะต้านทาน
ความเปลี่ยนแปลงบางคนจะหยุดและปิดการเรียนรู้เพราะเกิดความเครียดสภาวะนี้สมองจะหล่ัง
ฮอรโ์ มนด้านลบออกมามากเกนิ ไปนาไปสู่ปฏิกิริยาเคมีท่ีทาร้ายส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเป็นลูกโซ่ต่อไป
เร่อื ย ๆ เชน่ อะดรนี าลีนคอรต์ ซิ อล เป็นตน้
2. คล่ืนอัลฟ่า (Alpha brainwave) มีความถี่ประมาณ7-14 รอบต่อวินาที (Hz)
ความถขี่ องคลื่นทีต่ า่ ลงมาน้ี คอื คล่ืนสมองทป่ี รากฏบ่อยในเด็กที่มีความสุขและในผู้ใหญ่ที่มีการฝึกฝน
ตนเองให้สงบน่ิงมากข้ึนอาจหมายถึงสภาวะท่ีจิตสมดุลอยู่ในสภาวะสบาย ๆ มีการช้าลงด้วยการ
ใคร่ครวญไม่ด่วนตอบสนองต่อส่ิงเร้าด้วยอารมณ์อันรวดเร็วเวลาที่ความถ่ีน้อยลงหมายถึงว่าเราจะคิด
ช้าลงเป็นจังหวะเป็นท่วงทานองคมชัดให้เวลาแก่จิตในการไตร่ตรองและมีความคิดเป็นระบบข้ึน
สภาวะท่ีสมองทางานอยใู่ นคลื่นอลั ฟาุ ยังพบอยู่ในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น ขณะท่ีกล้ามเนื้อหรือร่างกาย
ผอ่ นคลายช่วงเวลาท่ีง่วงนอนก่อนหลับหรือหลับใหม่ ๆ เวลาทาอะไรเพลินๆจนลืมสิ่งรอบ ๆ ตัวเวลา
สบายใจเวลาอา่ นหนังสอื หรือจดจอ่ กับกจิ กรรมใด ๆ อย่างต่อเนอื่ งในระยะเวลาหน่ึงและการเข้าสมาธิ
ในระดับภวังค์ทไ่ี ม่ลกึ มาก
จากลักษณะดังกล่าวช่วงคลื่นอัลฟุาจะเป็นประตูไปสู่การทาสมาธิในระดับลึกและถือว่า
เป็นช่วงที่ดีท่ีสุดในการปูอนข้อมูลให้แก่จิตใต้สานึกสมองสามารถเปิดรับข้อมูลได้อย่างเต็มที่และ
เรยี นรูไ้ ด้อย่างรวดเร็วมีความคิดสรา้ งสรรคเ์ ป็นสภาวะท่ีจิตมีประสิทธิภาพสูงในทางการแพทย์และจิต
ศาสตร์เองก็ถือว่าสภาวะน้ีเป็นหัวใจของการสะกดจิตเพ่ือการบาบัดโรคโดยหากจะตั้งโปรแกรมจิตใต้
สานึกกค็ วรทาในชว่ งทีค่ ลน่ื สมองเป็นอัลฟุาในคนท่วั ไปเองกค็ วรฝกึ ฝนตนเองให้สมองทางานอยู่ในช่วง
คลื่นอัลฟุาเป็นประจาเช่นเดียวกันเพราะจะช่วยสร้างความผ่อนคลายร่างกายจะไม่ทางานอยู่บนฐาน
แห่งความกลัวหรือวิตกกังวลแต่จะมองชีวิตอย่างสนุกสนานมีความรู้สึกอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หรือ
อยากสารวจโลกแบบเด็ก ๆ แต่คนส่วนใหญ่มักจะขาดการฝึกฝนให้ตนเองมีคลื่นสมองชนิดน้ีและมัก
ปล่อยให้อารมณ์อัตโนมัติตอบสนองต่อส่ิงเร้าต่างๆอย่างรวดเร็วขาดการคิดใคร่ครวญด้วยระยะเวลา
อันเหมาะสมก่อนหากเรามกี ารฝกึ ฝนจติ ใหต้ ่นื รู้เชน่ เดียวกนั กับแนวทางการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา
55
คล่นื อลั ฟุานีจ้ ะถกู บ่มเพาะใหเ้ ข้มแขง็ ข้ึนสามารถรื้อโปรแกรมอัตโนมัติเก่าสร้างโปรแกรมอัตโนมัติใหม่
ๆ ได้
3. คลื่นเธต้า (Theta brainwaves) มีคล่ืนความถ่ีประมาณ 4 – 11 รอบต่อวินาที
(Hz) เป็นช่วงคลื่นท่ีสมองทางานช้าลงมากพบเป็นปรกติในช่วงท่ีคนเราหลับหรือมีความผ่อนคลาย
อย่างสูงแต่ในภาวะที่ไม่หลับคลื่นชนิดนี้ก็เกิดขึ้นได้เช่นกันเช่นขณะอยู่ในการภาวนาสมาธิท่ีลึกใน
ระดับหน่ึงการเข้าสู่สภาวะน้ีจะใกล้เคียงกับคลื่นสมองในสภาวะอัลฟุา คือ มีความสุขสบายลืมความ
ทกุ ขแ์ ตจ่ ะมีความปิตสิ ุขมากกว่าสภาวะนี้มีความเช่ือมโยงกับการเห็นภาพต่างๆสมองในช่วงคล่ืนเธต้า
จะเปรียบเสมือนแหล่งเก็บแรงบันดาลใจความคิดสร้างสรรค์ที่อยู่ในความจิตใจส่วนลึกของเราจึงเป็น
คลื่นสมองท่ีสะท้อนการทางานของจิตใต้สานึก (Subconscious Mind) อันเป็นการทางานของเน้ือ
สมองส่วนใหญ่ของมนุษย์ระดับพฤติกรรมภายใต้ความถี่ของของคล่ืนเธต้าเป็นลักษณะท่ีบุคคลคิด
คานึงเพ่ือแก้ปัญหาพบได้ทั้งลักษณะที่รู้สานึกและไร้สานึกปรากฏออกมาเป็นความคิดสร้างสรรค์เกิด
ความคิดหยั่งเห็น (Insight) มีความสงบทางจิตและมองโลกในแง่ดีเกิดสมาธิแน่วแน่และเกิดปัญญา
ญาณมีศกั ยภาพสาหรับความจาระยะยาวและการระลึกรู้
4. คลื่นเดลต้า (Delta brainwaves) มีความถ่ีประมาณ 0 – 4 รอบต่อวินาที (Hz)
เป็นคลื่นสมองท่ชี า้ ทสี่ ุด สภาวะน้จี ะทาให้รา่ งกายเกดิ ความผ่อนคลายในระดับที่สูงมากเป็นคล่ืนสมอง
ท่ีทางานเชื่อมต่อกับส่วนท่ีเป็นจิตไร้สานึก(Unconscious mind) เช่น ในขณะท่ีร่างกายหลับลึกโดย
ไม่มีการฝันหรือเกิดจากการเข้าสมาธิลึก ๆ ในระดับฌาน ในช่วงนี้คล่ืนสมองแสดงให้เห็นว่าร่างกาย
กาลังด่ืมด่ากับการพักผ่อนลงลึกอย่างเต็มที่เปรียบได้กับการประจุพลังงานเข้าสู่ร่างกายใหม่ผู้ท่ีผ่าน
การหลับลึกในช่วงเวลาท่ีพอเหมาะพอดีจะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นกระป้ีกระเปร่ามากเป็นพิเศษเม่ือ
เปรียบเทียบกับผู้ท่ีนอนหลับไม่ค่อยสนิทและสาหรับผู้ท่ีทาสมาธิอยู่ในระดับฌานลึก ๆ เมื่อออกจาก
สมาธแิ ล้วกจ็ ะยงั คงติดรสแห่งปิติสุขทาให้เกิดความสุขใจมีใบหน้าผ่องใสเต็มอ่ิมไปด้วยความสุขสดช่ืน
เช่นเดียวกนั
นอกจากน้ีสมองยังแบ่งการทางานออกเป็นซีกซ้ายและซีกขวา และคลื่นสมองทั้งสอง
ดา้ น ยงั มกี ารขนึ้ ลงเปน็ อิสระตอ่ กันทาให้ความถ่ีแตกต่างกันแต่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่าในระหว่าง
การฝกึ จิตทาสมาธิจะส่งผลต่อการปรบั ความถีข่ องสมองทัง้ สองด้านให้ข้ึนลงเหมือนกัน กราฟของคลื่น
สมองทั้งสองด้านมีรูปร่างคล้ายตุ๊กตา เป็นลักษณะที่เรียกว่า Synchronization ซึ่งการเกิด
Synchronization นี้จะทาให้เกิดพลังจิตท่ีเพ่ิมข้ึนในมนุษย์เป็นภาวะพิเศษแห่งการตื่นรู้ของจิต
(Awakened Mind) นักวิชาการทางการแพทย์และผู้ศึกษาและพัฒนาจิตเพ่ือสุขภาพกล่าวว่า “เม่ือ
เราสามารถเข้าไปสู่ ’จิตใตส้ านึก’ หรือถึงระดับ ’จิตไร้สานึก’ ได้บ่อยๆโดยท่ีมี ‘จิตสานึก’ กากับอยู่ก็
จะ ‘ จาได้ ’ และสามารถลงไปสู่แหล่งข้อมูลมหาศาลได้บ่อยมากข้ึนเร็วมากข้ึนข้อมูลที่ได้จาก ’จิตใต้
สานกึ ’ และ ’จติ ไรส้ านกึ ’ นน้ั เป็นขอ้ มลู ท่ถี กู ต้องแมน่ ยาจะออกมาในลักษณะที่เรียกว่า ‘ญาณทัศนะ’
(Intuition) หรือ ‘ ปิ๊งแว๊บ ’ หรือ ‘ ยูเรก้า ’ ซ่ึงเป็นชุดภาษาอีกแบบหนึ่งท่ีอาจจะไม่ใช่คาพูดแต่มี
ความพอเหมาะพอดีแบบที่คาดไมถ่ ึง เราไดเ้ รียนรวู้ ่าขณะที่สมองทางานอย่ใู นชว่ งคลื่นอัลฟุาเธต้า และ
เดลต้าจะช่วยให้เราผ่อนคลายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่สภาวะปัจจุบันเกือบทุกส่ิงรอบตัวต่างเต็ม
ได้ด้วยความเร่งด่วนนับตั้งแต่ลืมตาต่ืนขึ้นมาในตอนเช้าเราก็อยู่ในโลกแห่งความเร่งรีบเสียแล้วชีวิตมี
แต่การบ่มเพาะว่าทุกอย่างต้องรวดเร็วหากช้าจะไม่ทันการณ์สมองของคนส่วนใหญ่จึงทางานอยู่ใน
เฉพาะช่วงคลื่นเบต้าเป็นหลักในขณะเดียวกันเราก็ปล่อยให้การสั่งการของโปรแกรมอัตโนมัติทาง
อารมณ์ทางานไปตามยถากรรมแบบดบี ้างไม่ดีบ้างคุม้ ดคี ุ้มร้ายสุดแต่ว่าจะมีอะไรเข้ามากระทบเราขาด
56
การฝึกฝนจิตให้มีความชานาญในการคิดอย่างใคร่ครวญก่อนตอบสนอง (ปาริฉัตต์ ศังขะนันทน์,
2549: Online)
จะเหน็ วา่ ในทางปฏบิ ตั เิ รื่องสาคัญอันดบั แรกที่จะทาให้เราปรับคลื่นสมองได้ คือ เราต้อง
รู้ตัวและฝึกการรับรู้อารมณ์ให้ได้ก่อนมีเทคนิคท่ีสามารถนามาใช้ได้ตลอดเวลาในการดาเนิน
ชีวิตประจาวันของเราจากหนังสือช่ือ “บายพาสอารมณ์” ของ นพ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ได้ให้แนวคิดว่า
ตลอดเวลาท่ีเราต่ืนกันอยู่ประมาณ 16 ชั่วโมงต่อวันน้ัน เราเคยสนใจลมหายใจของเราหรือไม่ง่าย ๆ
แค่วา่ รูต้ ัวว่าเราหายใจเข้ารู้ตัวว่าเราหายใจออกก็นับเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางใหม่ของปฏิกิริยาชีวเคมีใน
สมองแล้วการฝึกรับรู้ลมหายใจนี้เป็นแบบฝึกหัดเริ่มต้นแบบง่าย ๆ ในขณะท่ีการฝึกรับรู้อารมณ์จะ
ยากกว่า แต่ถ้าเราฝึกตัวรู้เร่ืองลมหายใจได้ก็เสมือนได้พัฒนาช่องทางการรับรู้อ่ืนด้วย ดังน้ันไม่ว่าจะ
เป็นพระพทุ ธศาสนา หรือโยคะ หรือซี่กง จะเน้นความสาคัญเร่ืองการฝึกลมหายใจเหมือนกัน ส่วนใน
การฝึกรับรู้อารมณ์น้ี นพ.วิธาน แนะนาว่าให้ลองเฝูาดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยใช้วิธีสมมติว่า มีตัวเราอีก
คนหนึ่งกาลังเฝูาดูตัวเราคนท่ีท่ีกาลังมีอารมณ์นั้น ๆ หากเป็นอารมณ์ในทาง “บวก” หรืออารมณ์
“กลาง” ๆ กใ็ ห้เฝูาดูและดื่มด่ากบั อารมณน์ ี้อย่างร้ตู ัวไม่หลงระเรงิ ไปกบั มนั แต่ถ้าเป็นอารมณ์ “ลบ” ก็
เพยี งเฝูาดอู กี เช่นกันเสมือนหนึ่งการชาเลืองดูลูกน้อยที่กาลังทาผิดโดยที่ไม่ไปทะเลาะด้วยพยายามให้
ความสาคัญกับตัวเราคนที่เฝูาดูอย่าไปโฟกัสกับตัวเราคนที่กาลังเกิดอารมณ์โกรธวิตกกังวลหรือ
อารมณ์ไม่ดีอยู่ในขณะน้ันด้วยหลักการของพลังงานมีข้ึนลงไม่จาเป็นต้องระเบิดเพื่อระบายอารมณ์ใน
ที่สุดตวั เราคนท่ีกาลงั โกรธจะคอ่ ย ๆ คลายไปเองการสร้างเสน้ ทางใหม่ของอารมณ์นี้จะค่อย ๆ เปล่ียน
พลงั ดา้ นลบออกไปเปน็ พลงั ดา้ นบวกเพียงเฝูาดูแบบยิ้มๆเทา่ นเี้ องวธิ ีน้ีทางพุทธศาสนามีมากว่าสองพัน
ปแี ล้วและเป็นเส้นทางท่ีได้ผลดีมาก แต่เราต้องใช้ความพยายามในการฝึกฝนบ่อย ๆ ต้องใช้เวลาอาจ
ได้บ้างไม่ได้บ้างในระยะแรกๆแต่ถ้าทาบ่อยๆจะเกิดความชานาญขึ้นเองโดยนพ.วิธานให้ข้อคิดว่าทุก
วันนี้เราต่างมีเวลาสร้างส่ิงต่างๆให้เกิดขึ้นมากมายถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะสร้างเส้นทางใหม่ให้กับ
อารมณ์ของเราเองและเทคนิคในการเฝูาดูอารมณ์ของตนเองนี้เปรียบเสมือนการ “ล้างพิษหรือดีท็
อกซ์”ของจิตใจท่ีดมี ากวิธีหน่งึ (วธิ าน ฐานะวุฑฒ์, 2547: มปน.)
ความเข้าใจกลไกการทางานแห่งโลกภายในตนเองมีส่วนอย่างมากในการช่วยให้มนุษย์
สามารถพัฒนาจิตใจและคุณภาพภายในและเป็นเรื่องที่ไม่ได้แยกขาดจากการดาเนินชีวิตของเราแต่
อย่างใดเม่ือนาไปประกอบกับวิชาความรู้ที่เราศึกษาเพิ่มเติมจากโลกภายนอกจะทาให้ความรู้ของ
มนุษยเ์ กิดความสมดุลสามารถระลึกรแู้ ละใช้ปัญญากากับได้ดังน้ันไม่ว่าใครจะมีบทบาทอยู่ในหน้าท่ีใด
ในสังคมก็จะสามารถเลือกใช้วิชาการต่างๆที่เป็นประโยชน์มาประสานเช่ือมโยงกันอย่างชาญฉลาด
ภายใต้ความเมตตาและจติ สานึกตอ่ สว่ นรวม
บทสรปุ
ปรจิตวิทยา เป็นศาสตร์หน่ึงของวิทยาศาสตร์ท่ีมีการยอมรับในกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับขอบเขตความรู้ทางด้านจิตใจของมนุษย์ แต่ก็มีข้อจากัดมากมายในด้าน
ความกา้ วหนา้ ทางเคร่ืองมือวทิ ยาศาสตร์ท่ีจะเจาะลึกถึงแดนรับรู้ทางด้านจิตใจ ส่วนร่องรอยหลักฐาน
ทางศาสตร์ด้านปรจิตวิทยาน้ัน ได้มีการทดลองและวิจัยอย่างจริงจังเมื่อไม่กี่ทศวรรษน้ีเอง ดังปรากฏ
หลักฐาน ได้แก่ การวจิ ัยของศาสตราจารย์ นายแพทย์เอียน สตีเวนสัน ที่ได้มีการวิจัยคนระลึกชาติได้
ท่ัวโลก และมกี ารทดลองจนเปน็ ท่ียอมรบั ไปท่วั โลกถงึ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกใน
วงการวทิ ยาศาสตรถ์ งึ การทดลองทางจิตใจของมนษุ ยใ์ นด้านการระลึกชาติ
57
ด้านการทดลองของสหภาพโซเวียต มีการทดลองที่หลากหลายในทางปรจิตวิทยา และ
ถือได้ว่าเป็นรากฐานสาคัญของปรจิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็นการจัดประเภทของพลังจิตในทาง
วิทยาศาสตร์ รูปแบบการทดลองต่าง ๆ ที่อยู่ในกรอบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และได้มอบมรดกสืบ
ทอดให้กบั นักวทิ ยาศาสตรร์ ่นุ หลังได้คน้ คว้าตอ่ ยอดทดลองต่อไป
พลังจิตอีเอสพี (ESP) ย่อมาจาก extrasensory perception เป็นความเชื่อเก่ียวกับ
พลังพิเศษที่มิใช่ประสาทสัมผัสท้ังห้าของมนุษย์ซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึง
พลังจิตอีเอสพีมีหลายชนิดแต่ท่ีรู้จักกันดีและเป็นท่ีกล่าวถึงกันมากมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ เทเลพาที
(telepathy) เทเลไคเนซสิ (telekinesis) และเทเลพอร์เทชนั (teleportation)
เทเลพาที หรือโทรจิต จดั ได้วา่ เปน็ อานาจจติ พเิ ศษในการสง่ ข่าวสารตดิ ตอ่ ถงึ กัน
เทเลพอร์เทชัน คือ การเคล่ือนย้ายวัตถุรวมท้ังร่างกายมนุษย์จากตาแหน่งหนึ่งไปยังอีก
ตาแหนง่ หนึ่งในทันทที นั ใดซงึ่ จะมีผลปรากฏเปน็ เสมือนกบั ความสามารถในการล่องหนหายตวั
เทเลไคเนซิส คือ การบังคับหรือควบคุมการเคลื่อนไหวของวัตถุและการทาให้วัตถุ
เปลย่ี นสภาพหรือเปลยี่ นรปู รา่ งลกั ษณะโดยอานาจจติ
การสะกดจิต หมายถึง ความสามารถในการทาให้บุคคลอีกบุคคลหน่ึงหรือตัวเองตกอยู่
ในสถานะยอมรับการเสนอแนะ ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ได้มีการยอมรับองค์ความรู้ท่ีได้รับจากการ
พัฒนาการสะกดจติ ได้แก่ การสง่ั จิตใตส้ านกึ หรอื การนาจิตใตส้ านึกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่าง ๆ ไม่ว่า
จะเปน็ การนาไปประยกุ ต์ใช้ในหน่วยงานตา่ ง ๆ ของฝุายบริหารทรัพยากรบุคคลในองค์กร สถาบันต่าง
ๆ การกฬี า การแพทย์และสาธารณสุข จติ บาบัด เป็นต้น
ภาพถา่ ยเกอรเ์ ลยี น เป็นภาพถา่ ยรัศมขี องแสงจากพลังงานหรือสนามพลังแม่เหล็กไฟฟูา
ท่ีเปล่งออกมาห่อหุม้ สงิ่ มชี ีวติ ท้ังพืชสตั วแ์ ละมนษุ ย์ หรือแม้กระทงั่ ส่ิงไม่มีชีวิต ซึ่งรอบขอบของภาพน้ัน
ได้แสดงแสงสีต่าง ๆ กันตามความถ่ีคล่ืนน้ัน ๆ ซึ่งผลของการถ่ายภาพเกอร์เลียนสามารถนาไป
ประยุกต์ให้กับวิทยาการด้านต่าง ๆ ซ่ึงมีประโยชน์ต่อวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยเฉพาะ
อย่างย่ิงทางด้านการแพทย์มีการทดลองถ่ายภาพคนไข้ท่ีปุวยด้วยโรคเกี่ยวกับระบบหายใจเก่ียวกับ
ลาไส้และเก่ียวกับทางจิตเป็นต้นปรากฏว่าพลังแสงจากภาพถ่ายของคนปุวยเหล่าน้ีจะเปล่งแสงรัศมี
ออกมาแตกต่างกันทาให้แพทย์สามารถวินิจฉัยตรวจโรคและให้การบาบัดรักษาได้เป็นอย่างดี
นอกจากน้ีภาพถ่ายเกอร์เลียนยังสามารถตรวจสอบความเจริญของเน้ือเย่ือและการเจริญเติบโตของ
เซลล์ภายในรา่ งกายของคนไข้ซง่ึ มีประโยชนต์ อ่ การวิเคราะห์รายละเอยี ดภาพถา่ ยเน้ือเยื่อมะเร็ง
เอกภพคู่ขนานหรือบางครั้งมีผู้ใช้คาว่าโลกคู่ขนาน (parallel world) หมายถึง เอกภพ
หนึ่งทีอ่ ยเู่ คียงขา้ งหรอื ซอ้ นไปกับเอกภพท่ีเราดารงอยู่ความคิดนี้มาจากการเคลื่อนท่ีหรือย้ายตาแหน่ง
ไปในทิศทางเดยี วกับมติ ทิ ี่ 4 ในท่ีว่างหรอื อวกาศมักจะถูกกล่าวถึงในนวนยิ ายวิทยาศาสตร์ว่าเป็น “มิติ
อีกมติ ิหนึ่ง” หรอื “มติ ิอืน่ ๆ ”
ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ : อวกาศและเวลา เป็นความสัมพันธ์ของมิติตาแหน่ง 3 มิติ
ได้แก่ ความกว้างความยาวและความสูงและมติ ิของเวลา1มติ ิซึ่งเปน็ มิติที่ 4
แทนทาลัมมีสัญลักษณว์ ่า Ta เป็นธาตุที่ 73 ในตารางธาตุคณุ สมบัติที่แตกต่างกับธาตุอื่น
ๆ คือ จะไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยาของกรดแก่หลายชนดิ ท่มี ีอุณหภมู ติ า่ กว่าจุดเดือดของกรดเหล่าน้ันมีการ
นาแทนทาลัมไปใช้ในเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในรูปของลวดไส้หลอดไฟฟูามีการใช้แทนทาลัมในวงจากัด
เฉพาะทางทันตแพทย์และใช้เป็นเคร่ืองมือผ่าตัดเท่าน้ันต่อมาจึงค้นพบคุณสมบัติทางไฟฟูาของ
แทนทาลมั และนาไปผลิตตัวเก็บประจุซง่ึ เปน็ อปุ กรณ์สาคญั ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกจนถึงปัจจุบัน
58
นี้ นอกจากนี้ แทนทาลัมยังสามารถใช้รักษาโรคโดยถูกนาเข้าไปเป็นส่วนหน่ึงของร่างกายมนุษย์เพ่ือ
ผลบางประการเชน่ การนาแทนทาลัมมาใช้อุดฟนั ชนิดโลหะและดามกระดูกที่หักภายในร่างกายมนุษย์
อีกทัง้ ยังใช้เปน็ โลหะตอ่ กระดูกและเช่ือมตอ่ กะโหลกศรี ษะทแี่ ตกของมนษุ ยด์ ้วยเพราะแทนทาลัมจะไม่
ทาให้ผวิ หนงั และเนอ้ื มนษุ ยร์ ะคายเคอื งและยอมรบั เขา้ กับเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้อย่างดีแทนทาลัม
ใชเ้ ยบ็ กลา้ มเน้ือท่ีฉีกเสยี หายให้เกาะเข้ากันใช้คีมแทนทาลัมหนีบต่อเส้นเลือดและใช้ซ่อมแซมร่างกาย
ของมนษุ ยไ์ ดด้ อี ีกดว้ ย
คลืน่ สมองเป็นคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟูาซึ่งได้มาจากการส่งสัญญาณเคมีทางชีวภาพในร่างกาย
มนุษย์การวัดพลังงานไฟฟูาบริเวณสมองด้วยเครื่องมือ Electroencephalogram (EEG) ทาให้
นักวิจัยทางประสาทวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงว่าการเลือกตอบสนองต่อปัจจัย
ภายนอกมีผลโดยตรงตอ่ สภาวะภายในที่เปน็ คล่นื สมองเราสามารถอ่านค่าผลของการวัดและแบ่งคล่ืน
สมองของมนุษย์ตามระดับความส่ันสะเทือนหรือความถี่ได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ คลื่นเบต้า คลื่น
อัลฟุา คล่ืนเธต้า คล่ืนเดลต้า ซ่ึงคล่ืนอัลฟุาเป็นคลื่นท่ีมีประสิทธิภาพมากที่สุดในด้านการทากิจกรรม
ในชีวิตประจาวัน และเป็นช่วงคล่ืนที่สมองทาหน้าท่ีอย่างสมบูรณ์ในการทางานตามระบบสรีระวิทยา
แต่ในทางพระพุทธศาสนาสมองมนุษย์ในช่วงคลื่นเดลต้าน้ันมีประสิทธิภาพในแง่พลังจิตมากที่สุด
เพราะอยู่ในช่วงคล่ืนท่ีทาให้เกิดฌานหรืออภิญญาได้ (สามารถแสดงความมหัศจรรย์ได้มากมาย เช่น
การแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่าง ๆ การแสดงความสามารถเหนือมนุษย์ การรักษาสรีระร่างกายให้
สมดุลหรือชาร์จพลังงานเหมือนกับกบจาศีล เป็นต้น) ซ่ึงในช่วงคลื่นนี้เองที่เหล่าพระอริยสงฆ์ที่
ต้องการพักผ่อนหลังจากเหน่ือยเม่ือยล้ามาท้ังวัน ก็จะมักเข้าฌานสมาบัติให้สมองเกิดในช่วงคลื่น
เดลต้าน้เี อง
เพราะฉะน้ัน ในทางวิทยาศาสตร์ พลังจิตที่เกิดจากองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีมี
หลักฐานพิสูจน์มากมายในรายละเอียดท้ังหมดในบทที่ 2 น้ี จึงเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปแล้วว่าเป็น
ข้อมูลท่ีเป็นจริงซึ่งมีการทดลองในประเทศตะวันตกและได้พิมพ์ผลการทดลองเป็นเอกสารเผยแพร่
และข้อมูลสมมติซ่ึงเป็นแรงกระตุ้นและจูงใจให้ชาวตะวันตกหันมาสนใจเรื่องการฝึกพลังทางจิต อย่าง
มากมายหลายสานัก โดยเฉพาะทางด้านเซนและทิเบต ซ่ึงเกี่ยวเน่ืองกับพระพุทธศาสนา โดย
ปรากฏการณ์ดังกล่าวน้อมจิตใจให้คิดตามหลักโยนิโสมนสิการในด้านคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม ซ่ึงเป็น
โอกาสให้ชาวพุทธศาสนาสายเถรวาทได้ต่ืนตัวและหันมาใส่ใจเพื่อประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาอย่าง
แท้จริงซึ่งเป็นไปเพ่ือเก้ือกูลต่อการพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง แต่ในทางวิทยาศาสตร์การฝึกพลังจิตนั้นเพื่อ
ตอบสนองอัตตา และตัณหา ซึ่งผลเสียย่อมตามมาภายหลัง อีกท้ังยังส่งผลเสียตามในภายหลัง ฉะนั้น
จาเป็นท่ีผู้ศึกษาต้องรู้เท่าทันต่อความจริงที่เกิดข้ึนต่อผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทางจิต ว่ามีเจตนา
บรสิ ทุ ธหิ์ รอื ไม่อย่างไร และการนาไปใช้ประโยชน์ท่ีแทจ้ ริงหรือไม่
59
คาถามทา้ ยบท
1. การศึกษาเรอ่ื งพลงั ทางจิตประเภทใดในทางวิทยาศาสตร์ทไ่ี ดร้ ับการยอมรบั
แนะแนวคาตอบ ผลงานทดลองที่นาไปใช้ประโยชนใ์ นปัจจุบัน โดยเฉพาะวงการแพทยแ์ ละการศึกษา
2. ภาวะคล่ืนสมองประเภทใด ที่เหมาะพัฒนาปญั ญามากทส่ี ุด เพราะเหตุใด
แนะแนวคาตอบ ศึกษาความถ่ีของคลื่นสมองและการดารงชีวิตในปัจจุบันที่ให้ประโยชน์ในการ
แก้ปญั หาตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจาวันได้
3. การถา่ ยภาพเกอร์เลียนสามารถนาไปประยุกต์ให้กับวิทยาการดา้ นใดบา้ ง
แนะแนวคาตอบ ศึกษาวารสารหรือเอกสารวิจัยวิทยาศาสตร์ทางจติ
4. ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์มีความสอดคล้องกับภพภูมิในทรรศนะพระพุทธศาสนาอย่างไร
จงอธบิ ายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ
แนะแนวคาตอบศึกษาทฤษฎีสัมพัทธภาพท่ัวไปและพิเศษของไอน์สไตน์ และศึกษาเรื่องภพภูมิใน
คัมภรี ท์ างพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะเรอ่ื งมติ เิ วลาเปน็ ต้น
5. จงเปรียบเทยี บเปูาหมายของการศึกษาเรอ่ื งพลงั ทางจิตระหว่างวทิ ยาศาสตรก์ ับพระพุทธศาสนา
แนะแนวคาตอบ ศกึ ษาการนาไปใช้ระหว่างวิทยาศาสตรก์ ับพระพุทธศาสนา
60
เอกสารอ้างอิง
ก. เอกสารชั้นปฐมภูมิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหา
จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั .
ข. ชนั้ ทุติยภมู ิ
จารุเดช วาดวไิ ล. (2539). “การหาปรมิ าณสงิ่ เจือปนบางชนิดในสารประกอบแทนทาลมั ความ
บริสุทธิ์สูงโดยวิธีแอกติเวชันด้วยนิวตรอนพลังงาน 14 เมกะอิเล็กตรอนโวลต์จากเคร่ือง
กาเนิดนิวตรอน”. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิศวกรรมศาสตรมหาบัณฑิต. ภาควิชานิวเคลียร์
เทคโนโลยี บณั ฑติ วทิ ยาลยั : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
ชยั วัฒน์คุประตกุล. (2524). วิทยาศาสตรใ์ นนิยายวิทยาศาสตร์. กรงุ เทพฯ: ต้นหมาก.
_______. (2539). มนุษย์กับจกั รวาล. กรุงเทพฯ: สารคด.ี
_______. (2545). วิถีแห่งปญั ญา. กรงุ เทพฯ: สถาบนั วิถที รรศน์.
_______. (2543). ไอนส์ ไตน์ผู้พลกิ จักรวาล. (พมิ พ์ครัง้ ท่ี 3). กรงุ เทพฯ: สารคด.ี
_______. (2543). A – Z ภาษาวทิ ยาศาสตร์. กรงุ เทพฯ: สารคดี.
ทองเปลือง อภยั วงศ์. (2548). “การบาบัดรกั ษาผปู้ ุวยในทางไสยเวทกับแนวคิดทางพุทธปรชั ญา”.
สารนิพนธศ์ าสนศาสตรมหาบัณฑติ . บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย.
บรรยง บญุ ฤทธิ์. (2526). เบอ้ื งหลังการคน้ ควา้ พลังจิตและพลงั ลึกลับของโลกตะวันตกและโลก
หลงั มา่ นเหลก็ . กรุงเทพฯ: ธนบรรณ.
ปารฉิ ัตต์ ศังขะนันทน์. (2549). คล่ืนสมองกับพลังพเิ ศษในตวั คณุ . กรุงเทพฯ: ศูนย์สารสนเทศ
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี.
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต). (2545). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรงุ เทพฯ:
สือ่ ตะวนั .
_______. (2544). พุทธธรรม. กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พธ์ รรมสภา.
พีรศกั ด์ิ วรสนุ ทโรสถ. (2545). รอยไอยรา 8. กรุงเทพฯ: ศรเี มืองการพิมพ.์
วิธาน ฐานะวฑุ ฒ์. (2547). บายพาสอารมณ์. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์ศยาม.
สาโรจน์ เกษมสุขโชตกิ ลุ . (2538, พฤศจกิ ายน). “วญิ ญาณมจี ริงหรือ ?”. Update, 10 (113):
47.
สตเี ฟน ฮอว์ก้ิง, รอฮมี ปรามาส (แปล). (2546). ประวัตยิ อ่ ของกาลเวลา. (พมิ พ์คร้ังท่ี 5).
กรุงเทพฯ: มติชน.
สานักพิมพ์มติชน. (2529). ประเด็นท่ีน่าสนใจเกีย่ วกบั แทนทาลัม. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพพ์ ิฆเณศ.
Brian Greene, อรรถกฤต ฉัตรภตู ิ (แปล). (2552). ทอถกั จกั รวาล (The Fabric of the
Cosmos). (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พม์ ติชน.
61
A.T.Collect and Eugene Chiappetta. (2009). Science Instruction in the Middle and
Secondary Schools: Developing Fundamental Knowledge and Skills. C.A.:
Pearson Education.
George S. Elrick. (1978). Science Fiction Handbook For Readers And Writers.
Chicago: Chicago Review Press, Inc.
Richard P. Brennan. (1992). Dictionary of Scientific Literature. New York :
John Wiley.
John Clute and Peter Nicholls, ed. (1993). “ESP”. New York : The Encyclopedia of
ScienceFiction.
ชมรมคนใจสบาย. (2549). ภาวะของคล่นื สมอง. [ออนไลน์]. เข้าถึงไดจ้ าก:
http://www.websamba.com/mindbody. วันที่สบื ค้น 2549, กนั ยายน. 25.
_______. (2549). Brain Waves. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก: http://web.lemoyne.edu/~
Hevern/psy340.09.02.stages.sleep.html. วนั ทส่ี ืบค้น 2549, ตลุ าคม. 3.
ไทยโพสต์ซันเดย์. (2552). ปรจติ วทิ ยา-อภิญญาคือวทิ ยาศาสตร์จริง ๆ. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้
จาก: http://www.thaipost.net/sunday/140209/262. วนั ทส่ี บื คน้ 2552, ตุลาคม.
3.
นพ.วธิ าน ฐานะวุฑฒ์. (2549). จิตตปญั ญาศึกษากับคลน่ื สมอง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:
http://ww.siamsewana.org/. วนั ทส่ี ืบคน้ 2549, กนั ยายน. 20.
ปารฉิ ตั ต์ ศังขะนันทน์. (2549). คลนื่ สมองกบั พลังพิเศษในตัวคุณ. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก:
http://www.novabizz.com/NovaAce/Physical/Brainwave.htm. วันท่สี บื คน้ 2549,
กันยายน. 20.
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนคร. (2552). วิทยาลัยพุทธศาสตรแ์ ละปรชั ญา. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ได้
จาก: http://www.cbp-pnru.com/. วนั ทีส่ ืบค้น 2552, มนี าคม. 20.
รุ่งโรจน์ หนูขลบิ . (2556). ทฤษฎขี องแสง. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก: http://
edltv.vec.go.th/courses/37/10160004.pdf. ว ันท่สี บื ค้น 2555, เมษายน. 2.
แรงบนั ดาลใจ. (2555). สายลับพลงั จติ . [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:
http://elfin1234.blogspot.com/2013/05/blog-post.html. ว ันทสี่ ืบค้น 2555,
พฤษภาคม. 22.
Christen and Junker. (2004). Cyberlink Mindmouse: Application of Brain Wave
Computer Control. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:
http://www.dinf.ne.jp/doc/english/Us_Eu/conf/csun_99/session0244.html
วันทส่ี ืบคน้ 2552, พฤศจิกายน. 1.
Natcha. (2013). Psychic weapons development. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก:
http://www.gwu.edu/~nsarchiv/NSAEBB/NSAEBB54/st36.pdf
วนั ที่สืบคน้ 2555, ตลุ าคม. 1.
62
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 3
บทที่ 3 การเสรมิ สร้างพลังจติ ในรูปแบบตา่ งๆ
หวั ขอ้
3.1 การเสรมิ สรา้ งพลงั แห่งชีวติ ดว้ ยพลงั ธาตุ
3.1.1 การเลอื กบริโภคอาหาร
3.1.2 การหายใจอยา่ งเพ่ิมพลัง
3.1.3 การเสริมสรา้ งพลังดว้ ยแมเ่ หล็ก
3.1.4 การเสริมสร้างพลงั ดว้ ยไฟฟ้า
3.1.5 การเสรมิ สรา้ งพลงั ดว้ ยแสง
3.2 การฝกึ จติ ดว้ ยแก้วน้า
3.3 การเพ่ิมพลงั ชวี ิตทน่ี า่ สนใจ
3.4 บทสรุป
จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
1. นักศึกษาสามารถอธบิ ายพลังแห่งชวี ิตดว้ ยพลงั ธาตุต่าง ๆ ได้
2. นักศกึ ษาสามารถฝกึ จติ ดว้ ยตนเองได้ เช่น แกว้ น้า หรอื อปุ กรณ์เคร่ืองทางวิทยาศาสตรต์ ่างๆ ได้
อยา่ งน้อย 1 ประเภท
3. นักศึกษาสามารถชกั ชวนใหเ้ พ่ือนรว่ มชัน้ เรียนเกิดความสนใจและเรยี นรกู้ ารฝกึ จติ ในรูปแบบ
ตา่ งๆ ได้
4. นักศกึ ษาแลกเปล่ยี นเรียนรู้ระหว่างเพอื่ นรว่ มชนั้ ในประเด็นสา้ คัญๆ ได้
5. นกั ศกึ ษาสามารถนา้ หลกั พุทธธรรมประยกุ ต์กบั แนวคดิ องค์รวมไดอ้ ยา่ งสัมพันธส์ อดคล้อง
กจิ กรรมการเรียนการสอน
1. นักศกึ ษาทกุ คนรว่ มกนั แลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกจิตในรูปแบบต่างๆ ได้
2. นกั ศกึ ษารว่ มกันสังเคราะห์วิเคราะห์การฝึกจิตในรูปแบบต่างๆ โดยอาจารย์ให้ใบกิจกรรมจ้าลอง
สถานการณใ์ ห้นักศึกษาไดร้ ่วมกนั แสดงหน้าชน้ั เรยี น
3. นักศึกษาแต่ละคนเขียนแผนผังความคิด โดยอาจารย์ให้คนละหัวข้อ แล้วแสดงหน้าชั้นเรียน และ
ให้เพื่อนร่วมช้ันเรียนได้ร่วมแสดงความคดิ เหน็ แลกเปลี่ยนองคค์ วามรู้
4. อาจารย์สรุปความคดิ รวบยอดการฝกึ จิตแนววิทยาศาสตร์
สือ่ การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. หนงั สืออ่านประกอบ (บรรณานุกรม)
3. สอื่ มัลติมเี ดยี
4. สื่อออนไลน์
63
การวัดผลและประเมนิ ผล
1. การเข้าช้นั เรียน
2. ทา้ แบบฝึกหดั ทา้ ยบท
3. ความมสี ่วนรว่ มในชั้นเรยี น เช่น การสอบถาม การแลกเปล่ียนความรู้
4. การอภิปรายหน้าชัน้ เรียน
บทที่ 3
การเสริมสร้างพลงั จติ ในรูปแบบต่าง ๆ
การฝึกพลังจิตเป็นการวิจัยทางศาสนาโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นที่ยอมรับใน
สังคมโลกปัจจุบัน ดังเห็นได้จากหลายมหาวิทยาลยั เปดิ สอนวิธีการฝึกจิตกนั มากมายหลายหลักสูตร ท่ี
อาร์วารด์ เปดิ สอนหลักสูตรการฝึกจติ เบ้ืองต้นเป็นเวลา 5 วัน ซ่ึงเก็บค่าเรียนสูงมาก มหาวิทยาลัยนโร
ปะ (Naropa) ทีโ่ คโรราโดเปิดสอนการวิปัสสนา (Contemplative Psychology) เป็นหลักสูตรระดับ
ปริญญาโท มหาวิทยาลัยWarwick ในอังกฤษเปิดสอนพุทธศาสนาและการฝึกจิตเพ่ือสุขภาพจิต
และมหาวิทยาลัยริชชี่ ในอเมริกาก็ได้เปิดสอนหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาเก่ียวกับ การฝึกจิต
โดยเฉพาะ ซึ่งมีอัตลักษณ์ในการฝึกแบบTranscendental Meditation (TM) โดยได้รับการถ่ายทอด
มากจากทา่ นมหาริชช่ี (Maharishi Mahesh)
เห็นไดว้ ่า มหาวทิ ยาลัยโลกตะวันตกซ่ึงถือว่ามีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี รวมถึงนวัตกรรมการศึกษาหันมาสนใจการศาสนาและการพัฒนาจิตใจกันอย่างจริงจัง
(ผลงานวิจยั ตีพมิ พ์วารสารมากมาย) จนกลายเป็นกระแสโลกยุคใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะฉะน้ัน
โลกตะวันออกโดยเฉพาะประเทศไทยนน้ั ซึ่งถอื ได้วา่ เปน็ ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแห่งโลก ควรแล้วท่ี
ต้องหันกลับมาศึกษาและใช้ให้เกิดประโยชน์โดยเฉพาะเร่ืองพลังจิต ซึ่งเป็นพลังท่ีมีคุณเอนกอนันต์
และสามารถพฒั นาศักยภาพดา้ นตา่ ง ๆ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
ในบทนจี้ ะได้เรียนรู้การเสริมสร้างพัฒนาศักยภาพในความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยการ
ฝกึ จิตในรูปแบบตา่ ง ๆ โดยมีรายละเอยี ดแต่ละหวั ขอ้ ดงั ตอ่ ไปน้ี
3.1 การเสริมสรา้ งพลงั แห่งชวี ติ ดว้ ยพลังธาตุ
3.2 การฝกึ จติ ดว้ ยแกว้ นา้ํ
3.3 การเพ่ิมพลงั ชวี ิตทนี่ ่าสนใจ
3.4 บทสรปุ
การเสริมสรา้ งพลังแห่งชีวิตด้วยพลังธาตุ
การเสรมิ สร้างพลังแห่งชีวติ ด้วยพลงั ธาตุมหี ลากหลายองคค์ วามรูท้ ้งั วทิ ยาศาสตร์และภูมิ
ปญั ญาบรรพบุรุษทสี่ ั่งสมสืบทอดมรดกทางปญั ญา โดยมีประเด็นทีน่ ่าสนใจในแตล่ ะหัวข้อดงั ตอ่ ไปน้ี
1. การเลอื กบริโภคอาหาร
ปัจจุบันกระแสสังคมนิยมสนใจบริโภคอาหารเพ่ือสุขภาพมากข้ึน ดังจะเห็นได้จาก
ร้านอาหารที่มีโปรโมชั่นอาหารเพื่อสุขภาพ ร้านนวดสปาด้วยสมุนไพร คลีนิคเสริมความงามด้วย
สมุนไพร เป็นต้น เพราะเห็นว่าในส่วนของร่างกายน้ันจะใช้ธาตุต่าง ๆ เป็นวัตถุดิบปูอนเข้าสู่
กระบวนการต่าง ๆ เพ่ือผลิตพลังงานต่าง ๆ ในการดําเนินชีวิต ทั้งอาหาร อากาศ น้ํา ความร้อน แสง
เสียง แม่เหล็ก ไฟฟูา เพือ่ เสรมิ สรา้ งพลังแหง่ ชีวิตใหท้ รงอานุภาพยงิ่ ข้นึ
อาหารเปน็ ปจั จยั หนงึ่ ของชีวติ มนษุ ยท์ ีข่ าดไมไ่ ด้ เมอ่ื เรารับประทานอาหารแล้ว หาก
อาหารไดท้ ําหน้าท่คี รบวงจร บคุ คลผูบ้ ริโภคจะมีพลงั แหง่ ชีวิตอนั เกิดจากอาหารอย่างสมบูรณ์ แต่หาก
65
คุณค่าแห่งอาหารลดลงไปท่ีขั้นตอนใดข้ันตอนหน่ึง เช่น เสียเลือดมาก เนื้อเย่ือขาด กระดูกหลุด ไข
กระดูกเส่ือม เสียน้ําอสุจิ การนอนดึกโดยไม่พักผ่อน วงจรพลังก็จะไม่ครบถ้วน จะทําให้ร่างกายอ่อน
แรง ชีวติ ไมม่ ีความสมบูรณ์ ส่งผลให้จติ ใจห่อเหีย่ ว พลังสรา้ งสรรค์ถดถอยลง
ดังน้ัน การรักษาวงจรพลังให้ครบถ้าน จะทําให้ได้รับประโยชน์จากสารอาหาร
สมบูรณ์ แตก่ ระนัน้ ก็มิไดห้ มายความว่าอาหารทุกชนิดจะเป็นประโยชน์เสมอไป อาหารแต่ละชนิดอาจ
เกดิ โทษได้ด้วยเหตุ ได้แก่ สกปรก ปรุงผิดวิธี ส่วนผสมมีพิษ บรรจุภาชนะเป็นภัย ปริมาณมากเกินไป
อณุ หภมู ไิ ม่เหมาะสม ผู้บริโภคแพ้อาหารชนดิ นั้น ๆ เปน็ ตน้
เช้อื โรคและแบคทเี รียทีม่ อี ยู่ในอาหาร เช่น ในเน้ือสัตว์ทุกชนิดจะมีจุลินทรีย์อยู่ จาก
การวิจัยในห้องทดลองพบว่า เนื้อโค กระบือมีจุลินทรีย์มากท่ีสุด รองลงมาคือเนื้อสุกรและเนื้อสุนัข
รองลงมาคอื เป็ดและไก่ และรองลงมาคอื สัตวท์ ะเล
สัตว์ที่ถกู ฆา่ ทงั้ หลายจะหลง่ั สารพษิ เพราะความกลัว ชื่ออดรินิน ซ่ึงเป็นสารอันตราย
เมื่อบริโภคสตั ว์ทถ่ี กู ฆ่าก็จะได้รับสารพษิ น้นั ดว้ ย ในสมยั โบราณจงึ บริโภคเฉพาะสตั วท์ ตี่ ายเองเท่านนั้
ดงั น้ัน หลกั ปฏบิ ตั ปิ ระการแรกเก่ยี วกับการเลอื กรบั ประทานอาหาร ควรรับประทาน
อาหารท่ีสุกใหม่ ๆ หรือ เก็บไว้อย่างถูกสุขลักษณะเท่านั้น และหาบริโภคเนื้อสัตว์ ถ้าเป็นไปได้ ควร
รบั ประทานอาหารเฉพาะสัตวท์ ต่ี ายเองตามธรรมชาติ
หลักประการที่สองเก่ียวกับการรับประทานอาหาร คือ ควรปรุงอาหารให้สุก แต่ไม่
ไหม้เกรียม ถ้าเกรียมต้องขูดส่วนที่เกรียมทิ้งเสียก่อน อาหารประเภทผักผลไม้ถ้าจะทําให้สุก ไม่ควร
เคี่ยวจนเป่ือย ยกเว้นเป็นการปรุงสําหรับคนฟันไม่ดี หรือมีระบบย่อยชํารุด การใส่มะนาวหรือผล
ประเภทส้ม ควรใส่เมื่ออาหารอุ่นหรือใกล้เย็นแล้ว การปรุงอาหารที่อุดมด้วยวิตามินดี ควรปรุงในมื้อ
เชา้ หรือกลางวัน ไม่ควรดื่มกาแฟเวลาท้องวา่ ง และถา้ เปน็ ไปได้ ควรเลือกรับประทานอาหารไทยเป็น
หลัก เพราะการดํารงชวี ิตประจําทอ้ งถิ่นมกั มีพืชพันธ์ุธัญญาหารประจาํ ทอ้ งถิ่นนั้นด้วยที่ร่างกายมนุษย์
มีวิวัฒนาการและการปรับตัวทางพันธุกรรมให้เหมาะสมกับสภาพท้องถ่ินท่ีบรรพบุรุษได้บริโภคและ
ประจําอาศัยมาหลายชั่วอายุคน เพราะฉะนั้นการบริโภคอาหารที่มีสารอาหารเหมือนกัน การดูดซึม
หรือระบบสรีระร่างกายนําไปใช้จึงต่างกัน เช่น คนไทยบริโภคผักผลไม้ อาทิ ส้มเขียวหวานพันธ์ุ
สายน้ําผึ้ง ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซี กับคนอังกฤษบริโภคส้มเขียวหวานพันธุ์สายนํ้าผ้ึงเหมือนกัน ผล
ปรากฏว่า ร่างกายของคนไทยสามารถนําวิตามินซีไปใช้ได้ดีกว่าคนอังกฤษ ในทางกลับกัน คนไทย
บริโภคผักบรอกโคลี่ (broccoli) หรือกะหล่ําดอกอิตาลีซ่ึงอุดมไปด้วยบีตา-แคโรทีน (beta-
carotene) กับคนอังกฤษบริโภคผักบรอกโคลี่ ผลปรากฏว่า ร่างกายของคนอังกฤษสามารถนํา
สารอาหารบีตา-แคโรทนี ได้ดกี ว่าคนไทย
อาหารหลักท้ังห้าหมู่และนํ้านั้นการได้บริโภคอาหารครบถ้วนมิได้หมายความว่า ต้อง
บรโิ ภคอาหารสาํ เรจ็ รปู ตามหลักน้นั เสมอไป เชน่ หมูโ่ ปรตนี ท่ีมีเนือ้ สตั ว์เปน็ ส่วนประกอบในหมู่นี้ โดย
ปกติสัตว์ทุกชนิดสามารถสังเคราะห์โปรตีนได้ แต่หากบริโภคโปรตีนประเภทเน้ือสัตว์ สมรรถนะ
เหล่าน้ีจะใช้ไม่ได้และจะค่อยๆ เสื่อมไปในที่สุด ตัวอย่างเช่น ช้างและปลาวาฬ บริโภคพืชผักเป็น
อาหาร แต่สามารถสังเคราะห์โปรตีนได้จึงมีร่างกายที่ใหญ่มาก ส่วนสัตว์ที่บริโภคเน้ือสัตว์เป็นอาหาร
เชน่ ปลาฉลาม งู เสือ เปน็ ต้น รา่ งกายจงึ เล็ก ตัวลีบ ไม่มขี นาดใหญ่
พระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนําให้บริโภคอาหารอย่างเหนืออาหารด้วยสภาวะจิตว่างและมี
ปัญญาต่ออาหารน้ัน โดยกําหนดจิตเป็นสมาธิในความว่างท่ีปล่อยวางสบาย ๆ แล้วพิจารณาว่า
“อาหารเหล่าน้ี สักแตว่ ่าเป็นธาตเุ ท่านั้น กําลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล ข้าพเจ้า
66
มิได้บริโภคอาหารนี้ด้วยความเมามัน หรือเพื่อประดับตกแต่ง แต่บริโภคอาหารน้ีเพ่ือยังอัตภาพให้
เป็นไป เพ่ือนุเคราะห์แก่การพัฒนาตน เพ่ือขจัดเวทนาเก่าและไม่ยังเวทนาใหม่ให้เกิดข้ึน ด้วยการ
พจิ ารณาโดยแยบคายอย่างนี้ ความผาสุกจักมีแก่เรา” แล้วบริโภคอาหารไปด้วยใจเป็นกลาง (ไชย ณ
พล, 2540: 53-54)
2. การหายใจอย่างเพิ่มพลัง
การหายใจอยา่ งถกู ตอ้ งจะช่วยเพม่ิ พลังในตนได้มาก เพราะเหตสุ ามประการ คือ
ประการแรก การหายใจเปน็ การปั๊มออกซิเจนเข้าไปช่วยในการเผาผลาญสารอาหาร ทํา
ใหอ้ าหารที่รับประทานเขา้ ไปเปน็ ประโยชน์ นําไปใชก้ อ่ ให้เกดิ พลังได้
ประการที่สอง ลมหายใจเป็นท่ีตั้งแห่งสติท่ีดีและง่าย เมื่อหายใจลึกและแรงจะเรียก
สตสิ มั ปชัญญะกลับมาอยกู่ ับเน้ือกบั ตวั ได้อยา่ งรวดเร็ว
ประการที่สาม ในบรรยากาศอันประณีตมีพลังปราณแทรกซึมอยู่ ควรฝึกฝนการหายใจ
ให้ได้พลังธาตุอย่างที่ควรจะได้ก่อน ด้วยการหายใจในบรรยากาศที่สะอาด การหายใจลึก และการ
หายใจแรงในบางโอกาส
การหายใจในบรรยากาศท่ีสะอาด ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมท่ีเต็มได้ด้วยอากาศบริสุทธิ์
อุดมด้วยอ๊อกซิเจน และไม่มีมลพิษทางอากาศ เพ่ือเพ่ิมพลังในตัวเอง ควรอยู่ในที่ท่ีต้นไม้มาก ๆ จะ
ไดร้ บั อากาศบรสิ ุทธเ์ิ ปน็ ประจาํ ยิ่งทใ่ี ดทมี่ รี ถยนตแ์ ละโรงงานมาก ท่ีน้ันจะต้องปลูกต้นไม้ให้มากกว่าที่
อื่น ๆ ดังจะเห็นได้จากกฎหมายชุมชนของผู้ท่ีเจริญแล้วย่อมกําหนดให้สองข้างถนนและรอบ ๆ
โรงงานต้องมีต้นไมใ้ หญ่ที่มคี วามหนาแนน่ อยา่ งไดส้ ัดส่วนกันกบั มลพิษท่ีเกดิ ขึ้นในบริเวณน้ัน ๆ ซ่ึงตรา
เป็นกฎหมายโดยเฉพาะ
การหายใจลึก ๆ คนจํานวนมากหายใจไม่เต็มปอด/ไม่ทั่วปอด จากการสํารวจพบว่า คน
ที่เครียดมากจะหายใจเพียงหน่ึงในสี่ของปอด คนท่ีมีความวิตกกังวลจะหายใจเพียงคร่ึงปอด ซ่ึงคน
ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพนี้ เม่ือหายใจไม่เต็มปอด การถ่ายเทอากาศในปอดก็ไม่ทั่วถึง จึงมีอากาศเก่า
ตกคา้ งอยกู่ ้นปอด ซึง่ ฝุนละอองและสารผสมโมเลกลุ หนกั กจ็ ะตกตะกอนอยู่ ทําให้เกิดมลภาวะในปอด
นอกจากน้ันยงั เปน็ การใชป้ อดอย่างไมเ่ ตม็ ประสทิ ธภิ าพ เม่อื การถา่ ยเทอากาศไมเ่ ต็มท่ี น่ันหมายความ
ว่าการขนส่งออ๊ กซเิ จนก็ดาํ เนนิ ไปนอ้ ยกวา่ ท่สี ามารถทําได้ดว้ ย (ไชย ณ พล, 2540: 55)
ดังนัน้ การหายใจให้มีพลังอีกวิธีหนึ่ง คือ การหายใจให้ลึกถึงก้นปอด โดยก้นปอดจะอยู่
ราวชายโครง เมื่อหายใจลึกถึงก้นปอด ชายโครงจะพองปุองออกมา ท่านลองออกไปยืนในท่ีอากาศ
บรสิ ุทธ์แิ ลว้ หายใจใหล้ กึ จนลมเต็มปอด แล้วผ่อนออกช้า ๆ สักสองสามครั้ง จะสังเกตได้ว่ากําลังวังชา
ความกระปรก้ี ระเปรา่ เกิดขน้ึ ทันที
การหายใจแรงในบางโอกาส ในบางขณะท่ีเพลียมาก ๆ จนอ่อนแรงไป การหายใจแรงๆ
สกั ระยะหน่ึง จะช่วยป๊ัมอ๊อกซิเจนได้มากขึ้น กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้เร็วข้ึน และทําให้กลับมามี
กําลังวังชาโดยฉับพลัน แต่พึงระวังคือ การหายใจแรงนานจนเกินไป ปริมาณแคลเซ่ียมในเลือดจะ
เพิม่ ขน้ึ สงู จะรู้สกึ ชาตามตวั เมือ่ นนั้ ให้ผอ่ นคลาย กลับมาหายใจตามปกติ อาการก็จะหายไป
3. การเสริมสร้างพลังด้วยแมเ่ หล็ก
จักรวาลทั้งจักรวาลคงอยู่ได้ด้วยสนามแม่เหล็ก ดวงดาวทั้งหลายหมุนเวียนกันอย่างเป็น
ระบบมีระเบียบ ด้วยอํานาจแม่เหล็กแห่งเอกภพ แรงดึงดูดระหว่างมวลทําให้เกิดสนามแม่เหล็ก
67
สนามแมเ่ หล็กโลกดึงดดู รา่ งกายทําให้เรามนี ํ้าหนัก ทําใหเ้ ซลลร์ วมหน่วยเป็นอวัยวะได้ นอกจากนั้นยัง
ทําให้ระบบไหลเวียนตามกลไก เส้นเลือดในสนามแม่เหล็กก็เสมือนขดลวดในสนามแม่เหล็ก ที่ทําให้
ประจเุ คลื่อนทไ่ี ป
แม้ในตัวเราทุกคนก็มีสนามแม่เหล็กอยู่ซึ่งสามารถนํามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองได้
วิธพี ิสูจน์สนามแม่เหลก็ ในตัวเองง่ายๆ สามารถทาํ ได้โดยการลบู ไลย้ ้อนและตามวงจรพลงั ดงั นี้
ขน้ั ที่ 1 ยกแขนข้างที่ถนัดขึ้น เหยียดตรงขนานกับพื้น ตงั้ ฉากกบั ลําตัวแล้วให้ใครลองกด
แขนของท่านลง
ข้ันที่ 2 ให้ใครก็ได้ลองลูบแขนของท่านจากปลายแขนย้อนขึ้นมาที่ต้นแขนทิศทางเดียว
สค่ี รั้งรอบแขน แล้วใหใ้ ครลองกดแขนของท่านลง
ทา่ นจะเห็นได้ว่าพลงั ของท่านหายไปมากๆ ไม่สามารถต้านการกดแม้เบา ๆ ของผู้อ่ืนได้
ท้งั ท่ีในขั้นที่ 1 ทา่ นมีแรงมากกว่านี้ และสามารถต้านไดบ้ า้ ง
ขั้นที่ 3 หากปล่อยไว้ดังนี้ พลังแขนของท่านจะอ่อนแอต่อไป และอาจมีอาการผิดปกติ
ได้ ดังน้ันต้องบูรณะพลังในแขนท่านใหม่ ด้วยการให้ใครก็ได้หรือตัวท่านเองก็ได้ ลูบไล้แขนจากต้น
แขนไปที่ปลายแขนหลาย ๆ ครัง้ จนกระท่ังรู้สึกมีกําลังเดิม แล้วลองให้ใครกดแขนท่านอีกคร้ังเหมือน
ภาพข้ันที่ 1 หากพลังยังไม่เหมือนเดิมให้ลูบแขนจากต้นแขนสู่ปลายแขนพร้อมนวดคลําเบาๆ สักครู่
ท่านจะมีพลงั ดงั เดิม หรืออาจยง่ิ กว่า
เหตุเป็นเช่นนี้ เพราะในร่างกายของเรามีสนามแม่เหล็กอยู่และมีวงจรพลังงานอยู่ตาม
แนวการไหลเวียนของนํ้าเล้ียงประสาทและกระแสโลหิต ดังนั้น เม่ือเอาฝุามือ ซึ่งก็มีสนามแม่เหล็
หนาแน่นลูบไล้แขนย้อนวงจรพลังงาน จะทําให้กระบวนการส่งถ่ายพลังงานหยุดชะงัก แขนของท่าน
จึงอ่อนแรง แต่เมื่อลูบไล้ตามแนววงจรพลัง พลังงานจึงไหลเวียนดีอีกครั้ง แขนของท่านจึงมีกําลัง
ข้ึนมา เมื่อจักรวาลมีสนามแม่เหล็ก โลกก็มีสนามแม่เหล็ก ตัวเราก็มีสนามแม่เหล็ก และสิ่งเหล่านี้ถ้า
รู้จักใช้ก็ไดป้ ระโยชน์ ดังน้ันเราควรฉลาดใชพ้ ลังธรรมชาตทิ ม่ี อี ยนู่ ี้ให้เกิดประโยชน์โดยสมควรด้วย
1) การนอนอยา่ งสอดคลอ้ งกบั พลังแม่เหล็กโลก
2) การใช้แม่เหล็กเฉพาะอาการ
3) การนวดเฟนู
4. การเสรมิ สร้างพลังด้วยไฟฟ้า
ไฟฟูาท่ีเราใช้กันตามบ้านเรือน โรงงาน และบนถนนนั้น เป็นไฟฟูากระแสท่ีวิ่งกันอย่าง
เปน็ ระเบยี บตั้งแตต่ น้ ทางถงึ ปลายทาง วงจรของใครของมัน ไม่มีการพาดข้ามวงจรกัน หากมีการพาด
ขา้ มวงจร จะเกิดปรากฏการณล์ ัดวงจรขนึ้ ระบบท้งั ระบบจะรวนและเสยี ไป
ในรา่ งกายมนุษย์มีทั้งไฟฟูาสถิตย์ และไฟฟูากระแสอยู่ แต่กระแสไฟฟูาในตัวมนุษย์เป็น
กระแสประจุบวกตา่ งกับไฟฟาู ทีเ่ ราใช้ภายนอกซง่ึ เป็นกระแสประจุลบ และกระแสไฟฟูาในตัวคน เป็น
กระแสไฟฟาู ในวงจรของมัน การเอากระแสไฟฟูาจากภายนอกเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นกระแสอิ
ออนต่างประเภทกันจะทําให้ช็อคได้ เพราะน้ําเลี้ยงประสาท (neurotransmitter) เป็นประจุบวก
การใส่ไฟฟูาประจุลบเข้าไป อิออนลบจะจับคู่กับอิออนบวก เม่ือจับคู่กันหมด จะทําให้เส้นประสาท
แข็งตัว ระบบไมไ่ หลเวยี น ตวั แข็ง เคล่ือนไหวไมไ่ ด้ ตายสถานเดียว คนที่โดนไฟฟูาช้อต หรือโดนฟูาผ่า
จึงตายในสภาพแขง็ ทือ่
68
การใช้ไฟฟูากับรา่ งกายนั้น อาจใชไ้ ดเ้ ฉพาะท่ี รา่ งกายส่วนใดสว่ นหนงึ่ มีการเจริญเติบโต
ของเซลล์ท่ีผิดปกติ และต้องการยับย้ัง อาจใช้กระแสไฟฟูาอ่อน ๆ สัก 12 โวลท์ บรรเทาอาการได้
หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหน่ึงไม่ทํางาน อาจใช้ไฟฟูาอ่อน ๆ กระตุ้นให้ทางานได้ แต่ผลได้นี้มีผลเสีย
ข้างเคียงด้วยโดยหลีกเลยี่ งไม่ได้
ยกเว้นเสียแต่ว่าต่อไปนักวิทยาศาสตร์จะหันมาสนใจการพัฒนามนุษย์มากกว่าการ
พฒั นาสง่ิ ต่าง ๆ ภายนอก และสร้างเครอ่ื งผลิตกระแสไฟฟาู เหมือนท่ีรา่ งกายสร้างและใช้อยู่ได้ จึงอาจ
นําความรู้ด้านเทคโนโลยี ประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์น้ัน มาเสริมสร้างพลังในตัวมนุษย์ได้ การจะนําพลัง
ไฟฟูามาใช้ จะต้องคํานึงถึงการเข้ากันได้ของประจุที่บรรจุเข้าไป ทั้งพิจารณาระบบวงจรให้เป็น
ระเบียบต่อเน่ืองกันด้วย มิฉะน้ันจะเกิดปัญหาเส้นประสาทโปุงพอง หรือปัญหาไฟฟูาช็อตเพราะ
ลดั วงจรขึ้นมาได้
5. การเสริมสรา้ งพลังดว้ ยแสง
แท้จริงแล้วทุกส่ิงในสกลจักรวาลคือพลังงานในต่างคล่ืนความถี่ โดยแสงคืออนุภาคโฟ
ตอน ปรากฏออกมาให้ตามนุษย์รับความแตกต่างได้เจ็ดสีตามระดับความแตกต่างของความถี่ แสงท่ี
ความถี่สูงเกินกว่าท่ีมนุษย์จะมองเห็นแต่เครื่องมือสามารถตรวจจับได้เรียกว่ารังสีเหนือม่วง แสงที่
หยาบกว่าสีแดงเกินกว่าที่ตามนุษย์จะมองเห็น แต่เคร่ืองมือสามารถตรวจจับได้ เรียกว่ารังสีใต้แดง
เม่ือสรรพสิ่งเกิดมาจากรังสีในทุกสิ่งจึงมีแสงสว่างในตัวเอง ซึ่งจากการถ่ายภาพด้วยกล้องระบบเคอร์
เลยี น พบว่าในตวั มนุษย์ ใบไม้ ตัวสตั ว์ แมเ้ ลก็ น้อยมีแสงอยู่ แมใ้ นอวัยวะทุกสว่ นล้วนมีแสงอยู่ทั้งเจ็ดสี
แตอ่ วัยวะสําคัญแตล่ ะอย่างจะมสี ที โ่ี ดดเด่นต่างกัน คือ
1) ปอดมสี ขี าวมากกว่าสอี ่นื
2) หวั ใจมีสีแดงมากกว่าสอี ื่น
3) กระเพาะมสี ีเหลืองมากกว่าสอี ืน่
4) ตับมสี เี ขียวมากกวา่ สีอืน่
5) ไตมสี ดี ํามากกวา่ สีอ่ืน
6) สมองมสี ฟี ูามากกว่าสอี ืน่
คนท่ีมพี ลังมาก แสงในตัวของเขาจะเปล่งปล่ัง คนที่มีพลังน้อยแสงในตัวของเขาจะเศร้า
หมอง ถ้า ณ อวัยวะส่วนใด หมองคล้ําไป อวัยวะส่วนน้ัน ๆ จะอ่อนกําลัง ไร้ภูมิต้านทาน และกําลัง
ผิดปกติด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง หากทราบสาเหตุ การแก้ไขเหตุ ปรับปัจจัยอย่างถูกต้องจะทําให้อาการ
ผิดปกติน้ันหายไป ถ้าอยู่ในวิสัยท่ีจะแก้ไขปรับปรุงได้ การปรับปัจจัยประการหน่ึง คือ การเพ่ิมพลัง
แสง ณ อวัยวะส่วนที่มีปัญหาน้ัน ในบรรดาแสงทั้งหลาย แสงจิตเป็นแสงท่ีวิเศษที่สุด แต่หากจิตบาง
คนอ่อนแอเพราะไมไ่ ดฝ้ กึ หรอื ในขณะนัน้ พลงั จติ ตกตาํ่ เพราะความผิดปกติปวุ ยไข้ ก็สามารถเสริมพลัง
ไดด้ ว้ ยพลงั แสงอันเป็นอนุภาคภายนอก ดว้ ยวิธี
1) การดูดซบั พลังจากดวงอาทิตย์
2) การเพ่งแสงสว่างสตี ่าง ๆ
3) การฉายแสงทีอ่ วัยวะ
การทําท้ังสามวิธีที่กล่าวมานี้จะทําให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายแข็งแรงท่านมีพลังแสง
เพียงพอ ทจ่ี ะเห็นชดั ทงั้ ในภาวะธาตุ ภาวะทิพย์ และสามารถใช้พลังแสงเพ่ือการบําบัดอาการผิดปกติ
ได้ กระน้ันมิได้หมายความว่าการรับแสงทุกชนิดทุกภาวะจะได้ประโยชน์เสมอไป แสงบางชนิด บาง
69
ภาวะนํามาซึ่งโทษ เช่น แสงท่ีไร้ระเบียบ แปรปรวนจ้าจัด ดังท่ีใช้กันในดิสโก้เทค มีผลทําให้ประสาท
ตาเส่ือม หรือแสงดวงอาทิตย์ยามเที่ยง เป็นอันตรายต่อเน้ือเย่ือตา แสงจ้าหรือแสงท่ีเข้มเกินไป เช่น
แสงใช้ในการถ่ายภาพยนตร์ หรอื แสงจากการอ๊อกเช่ือมโลหะ เป็นอันตรายต่อม่านปรับตัวของม่านตา
ควรหลีกเลี่ยงการจ้องมอง หากจําเป็นต้องมองก็ควรมีเคร่ืองกรองแสงที่มีประสิทธิภาพ น่ันคือการ
เสริมพลังอาํ นาจดว้ ยแสง
การฝกึ จิตด้วยแก้วน้า (หลวงวจิ ติ รวาทการ. 2553: Online)
ขั้นต้นดูความราบเรียบจิตของท่านว่ามีความราบเรียบเพียงใดและสามารถใช้วิธีการ
ตอ่ ไปนเ้ี พาะกาํ ลงั ของจิตใหเ้ พิ่มขึ้นได้
ข้ันท่ี 1 เอาน้ําใส่ถ้วยแก้วให้เต็มหรือเกือบเต็มถ้วยถือถ้วยแก้วด้วยมือขวานั่งตัวตรงชู
ถ้ว ยแ ก้ว ให้ สูง เ ท่า ระดับ สา ยต า เพ่ งต าดู ถ้ว ยแ ก้ วจ ะเ ห็น คว าม ห ว่ั น ไห วข อง น้ํา ที่ ส่ัน สะเทื อน อยู่
ตลอดเวลาขอให้ตั้งใจบังคับนํ้าบังคับให้นิ่งมือถือถ้วยให้น่ิงต้ังใจบังคับแขนบังคับมือและบังคับนํ้าใน
ถ้วยให้น่ิงด้วยการนึกเป็นคําพูดว่านิ่งนิ่งน่ิงความส่ันสะเทือนของน้ําจะลดน้อยลง ทําเพียงหนึ่งนาที
หยุดแล้วทําใหม่เปลี่ยนท่าด้วยมือซ้ายบ้างและสังเกตว่ามือซ้ายกับมือขวาของเราข้างไหนมีความ
ราบเรยี บดีกว่า
ภาพท่ี 3.1 การฝึกจติ ด้วยแก้วนา้ํ ข้ันตอนท่ี 1
ที่มา: หลวงวิจิตรวาทการ. 2553: Online.
ข้ันท่ี 2 ทําแบบเดียวกับขั้นท่ี 1 แต่ให้ยืนและใช้ใบไม้แห้งเล็ก ๆ ลอยไว้ในแก้วตั้งใจ
บังคับแขนบังคับมือบังคับน้ําบังคับใบไม้ด้วยการนึกเป็นคําพูดว่าน่ิงนิ่งนิ่งทําเพียงหน่ึงนาทีแล้วหยุด
และทําใหมเ่ ปล่ียนทําแขนซา้ ยบา้ งแขนขวาบ้าง
ทาํ แบบฝึกหดั ขั้นท่ี 1 และขน้ั ที่ 2 น้ี จนกว่าจะไดผ้ ลเป็นที่พอใจ คือ น้ํานิ่งมากท่ีสุดท่ีจะ
น่ิงได้แล้วจงึ คอ่ ยทาํ
70
ภาพที่ 3.2 การฝกึ จติ ดว้ ยแก้วน้ํา ขนั้ ตอนท่ี 2
ท่ีมา: หลวงวิจิตรวาทการ, 2553: Online.
ขั้นที่ 3 ใช้ถ้วยแก้วใส่นํ้าเต็มถึงขอบปากถ้วยและใส่ใบไม้แห้งเหมือนข้ันที่ 2 แต่แทนที่
จะถือถว้ ยแกว้ น่งิ อยเู่ ฉยให้เคลื่อนมือที่ถือถ้วยแก้วเป็นวงกลม ขณะที่เคลื่อนมือนั้นต้องบังคับน้ําให้น่ิง
แม้จะเคลื่อนไปมาก็ให้ความสั่นสะเทือนน้ําน้อยที่สุด ฝึกหัดท้ังสองมือเมื่อได้ผลเป็นท่ีพอใจแล้วจึงไป
ขั้นท่ี 4
ขั้นที่ 3
ภาพท่ี 3.3 การฝกึ จติ ดว้ ยแก้วน้ํา ข้ันตอนท่ี 3
ทม่ี า: หลวงวจิ ิตรวาทการ, 2553: Online.
71
ข้ันท่ี 4 ใช้ถ้วยแก้วใส่น้ําและใบไม้เหมือนข้ันท่ี 2 และ 3 มือถือถ้วยแก้วน่ังยอง ๆ บน
พ้ืนต้ังใจบังคับนํ้าให้นิ่งแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนโดยพยายามให้นํ้ามีความส่ันสะเทือนน้อยท่ีสุดยืนแล้ว
กลับลงน่งั ๆ แล้วกลับยืนสลับกันคราวนี้ ขยายเวลาจาก 1 นาที เป็น 2 นาทีแล้วหยุดเป็นพัก ๆ ส่วน
ใจบังคับน้ันในข้ันที่ 4 นี้ ต้องต้ังใจบังคับท่ัวตัวเราว่ามีความหนักแน่นราบเรียบไม่ใช่บังคับแต่มือและ
แขนต้องนึกบงั คับท่ัวรา่ งกาย
ภาพที่ 3.4 การฝึกจติ ด้วยแก้วน้าํ ข้ันตอนท่ี 4
ทม่ี า: หลวงวจิ ิตรวาทการ, 2553: Online.
การฝึกจิตด้วยแก้วนํ้ามีแบบฝึกหัดท้ัง 4 ขั้นนี้ เพ่ือให้จิตเป็นสมาธิและเพ่ิมพลังอํานาจ
ของจิตให้จิตมคี วามหนกั แน่นม่นั คงและแข็งแรง ควรฝึกหัดครงั้ ละ 7 วันหรอื ใชเ้ วลา15 วัน สําหรับฝึก
ข้ันที่ 1 และข้ันท่ี 2 สลับกันไปแล้วจึงฝึกขั้นที่ 3 และขั้นที่ 4 ข้ันละ 7 วัน แล้วจะเห็นผลเพียงแค่ 7
วันแรก จะรู้สึกว่ามีอะไรดีข้ึนทั้งทางกาย และทางใจ ท่านทําแบบฝึกหัดนี้ครบ 4 สัปดาห์ ก็ยิ่งเห็น
ผลดีมากข้ึน ถ้าท่านเป็นคนที่มักต่ืนเต้นตกใจง่าย ลักษณะน้ันก็จะหายไป ถ้าท่านกลัวอะไรโดยไม่มี
เหตุผลหรือสะดุ้งหวาดกลวั อยูเ่ ปน็ นติ ยล์ กั ษณะอันน้ีจะลดน้อยลง และถ้าท่านฝึกหัดต่อไปอีกก็จะเห็น
ผลดีมากขึ้นจนถึงจุดหน่ึงจิตจะไม่สะดุ้งสะเทือนไม่หว่ันไหวเม่ือมีอะไรเกิดข้ึนไม่ว่า ทางดีหรือทางร้าย
ไมเ่ ศรา้ โศกไมข่ ่นุ หมองปลอดโปร่งอยู่เสมอเป็นมงคลอันสงู สุดดังทีป่ รากฏในมงคลสูตร ว่า “จิตของผู้ที่
ถูกโลกธรรมกระทบแล้วไม่หว่ันไหว จิตไม่เศร้าโศก จิตปราศจากธุลี และจิตเกษมนี้เป็นมงคลสูงสุด”
(ข.ุ ขุ. 25/35/7-8)
การเพ่ิมพลังชวี ติ ทีน่ ่าสนใจ (สารชมรมศาสนาและการกุศล. 2553: Online)
พลังชีวติ หมายถงึ พลงั งานท่ีแทรกอย่ใู นส่งิ ที่มีชวี ิต โดยมีคาํ ทีใ่ ช้แทนตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่
- พลังสนามแมเ่ หลก็ ในรา่ งกาย
- พลังไฟฟาู สากลจักรวาล
- พลังจกั รวาล
- พลังปราณหรอื ลมปราณ (อนิ เดีย)
- พลังคิ (ญ่ีปนุ )
- พลงั ชี่ (จนี )
- พลงั สมาธิ (พระพุทธศาสนา)
72
- พลังจติ (วิทยาศาสตร)์
- พลงั หยิน-หยาง (ลทั ธเิ ต๋า)
พลงั ชวี ิต มีบางสาํ นกั หาวิธีการวัดความเข้มข้นของคลื่นสนามแม่เหล็กหรือคล่ืนพลังชีวิต
ของแต่ละคนว่ามีอยู่มากน้อยเพียงไรโดยมีหน่วยวัดความเข้มข้นต่อพ้ืนท่ีผิวหนัง 1 ตารางเซ็นติเมตร
เรยี กว่า เกาส์ (Gauss) หากมีเกาสส์ งู กจ็ ะประสบผลสําเรจ็ ในการฝกึ ฝนมาก (ผูเ้ ขยี นไดผ้ า่ นการวัดจาก
ผู้เชี่ยวชาญโดยแจ้งผลว่ามีความเข้มข้นเท่ากับ 428 เกาส์ จริงเท็จต้องสอบถามผู้เช่ียวชาญในแขนง
ดังกลา่ วโดยได้มอบหลักฐานเป็นหนังสอื ใหไ้ ว้แกผ่ ้เู ขียนวา่ มคี วามเขม้ ข้นของพลงั จํานวน 428 เกาส)์
พลังชีวิตของคนเร าข้ึนอยู่ กับส่ิงแวดล้อมรอบตัวเร าด้ วย ตั้งแต่การน อน การ กิน การ
ขบั ถ่ายการทางานการออกกําลังกายการหายใจรบั อากาศท่บี ริสุทธิ์ และอารมณ์มีผลต่อพลังชีวิตการมี
จิตเมตตากรุณาการคิดช่วยเหลือผู้อื่นการให้ทาน รักษาศีล ประพฤติปฏิบัติธรรม การงดเว้นอาหาร
เน้ือสัตว์ การสวดมนต์ไหว้พระ มีผลอย่างมีนัยสําคัญกับพลังชีวิตและพลังจิต ซึ่งในประเทศญ่ีปุนมี
การศกึ ษาค้นควา้ เรื่องพลังจติ อยา่ งจรงิ จงั โดยการนําน้ําธรรมดา ๆ มาหลายแกว้ เช่น
- น้าน้าแก้วท่ี 1 ไปไวใ้ นห้องท่มี กี ารสวดมนตเ์ ป็นประจํา หรอื สวดมนต์ลงในแก้วนํ้า (ที่
เรยี กว่านํ้ามนตใ์ นบา้ นเมอื งของเรา) หรือนาํ ไปไวใ้ นหอ้ งท่ีมกี ารน่ังสมาธิภาวนาหรือวปิ สั สนาภาวนา
- น้าน้าแก้วที่สอง ไปไว้อีกสถานท่ีหน่ึงท่ีมีแต่ความวุ่นวายสับสนมีแต่ความชุลมุนมีแต่
ความเครียดมีปัญหาที่ต้องโต้เถียงหรือชิงดีชิงเด่นแก่งแย่งช่วงชิงความได้เปรียบกันตลอดเวลาเช่นใน
หอ้ งท่ีมกี ารประมลู ซ้อื ขายเกง็ กาํ ไรราคาน้ํามนั หรอื ซื้อขายสนิ คา้ ล่วงหนา้
- นา้ น้าแก้วทสี่ าม ไปไว้อีกห้องหน่ึงแล้วให้อาสาสมัครผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปด่าว่าพูดจา
หยาบคายพูดแต่สิ่งเลวร้ายพูดแต่สิ่งอัปมงคลต่าง ๆ พูดจาสาปแช่งต่าง ๆ นานา จากน้ันนําน้ําท้ัง 3
แก้วไปเทใส่ภาชนะแบนราบเหมือน ๆ กนั แล้วนาํ ไปเข้าตู้แชแ่ ขง็ หลังจากแขง็ ตัวแล้วนํามาส่องดูกล้อง
จุลทรรศน์ ผลปรากฏออกมาเป็นส่ิงอัศจรรย์มาก คือ ผลึกของน้ําแข็งแก้วแรกเป็นผลึกท่ีมีความ
สวยงามเป็นระเบียบระยิบระยับแต่ผลึกของน้ําแข็งแก้วที่สองและแก้วท่ีสามจะไม่เป็นรูปทรงมี
ลักษณะแตกร้าวไม่เป็นระเบียบโดยมีการทําซํ้า ๆ กันหลายร้อยครั้งโดยมีผลออกมาในลักษณะคงท่ี
อย่างมีนัยสําคัญเป็นบทพิสูจน์กับสิ่งที่พวกเรา โดยท่ัวไปถือว่าเป็นส่ิง “ไม่มีชีวิตหรือไม่มีจิต
วิญญาณ” ด้วยซ้ํา และมีการพิสูจน์กับสิ่งที่มีชีวิตท่ีเป็นต้นพืช เช่น ต้นข้าวถ่ัวงอกและไม้ดอกไม้
ผลต่าง ๆ แม้ในเมืองไทยก็เคยมีการทดลองพิสูจน์ท่ีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โดย ดร.อาจองชุมสาย ณ อยุธยา หรือ ศาสตราจารย์ นายแพทย์อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม เคยทดลอง
พิสูจน์มาแล้ว โดยผลการพสิ ูจน์ได้ผลไปในทศิ ทางเดียวกนั เหมือน“ฝนตกลงมาน้าไหลเป็นทาง” คือมี
ผลเหมือนกันโดยยอมรบั ในพลังท่มี อี ยจู่ ริงในธรรมชาติ
ดังนั้น สรุปได้ว่า“พลังงานท่ีเข้ามาในชีวิต” น้ันมีแน่นอนแม้จะมองไม่เห็นได้ด้วยตา
เปล่าก็ตาม
เส้นพลงั ชวี ิตในรา่ งกายของเรา จะมีท้ังเส้นพลังหลักและเส้นพลังย่อยเส้นพลังหลักน้ัน
อยู่ส่วนในของร่างกายเป็นเส้นแกนหลักส่วนเส้นพลังย่อยจะกระจายไปท่ัวร่างกายเชื่อมกับอวัยวะ
ภายในเอน็ กระดกู กล้ามเนื้อและแมก้ ระทั่งผวิ หนังของเรา
เส้นพลังหลัก มีทั้งหมด 24 เส้นว่ิงผ่านเยื่อหุ้มหัวใจหัวใจตับไตไส้พุงม้ามกระเพาะ
อาหารกระเพาะปัสสาวะถุงนํ้าดี โดยเส้นพลังหลักอยู่ด้านซ้ายของร่างกาย 12 เส้นด้านขวาของ
ร่างกาย 12 เส้น
73
การฝึกให้พลังชีวิตเข้มแข็ง หรือจะเรียกว่าฝึกให้มีพลังลมปราณดีก็ได้มีหลักการที่
สําคญั ที่ควรปฏิบัติ เชน่
1. ไม่ควรฝึกขณะอิ่มหรือขณะหิว ควรฝึกหลังมื้ออาหารแล้วไม่น้อยกว่า 30 นาที หาก
หลงั มอ้ื อาหารได้ 1 ชว่ั โมง ดกี ว่า
2. ควรใส่เสื้อผ้าหลวมๆ สบาย ๆ
3. หากยืนบนพ้ืนหญา้ ด้วยเท้าเปลา่ ไดย้ ง่ิ ดีใหญ่ แต่ถา้ หาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรยืนหรือนั่งท่ีใดก็
ได้
4. หากฝึกในท่อี ากาศถ่ายเทหรือกลางแจ้งไดจ้ ะดีกว่าในห้องที่มีพื้นท่ีจํากัดแต่ถ้าสถานที่
ไม่อํานวยก็ไมเ่ ปน็ ไรดีกวา่ ไม่ฝกึ เลย
5. ควรฝึกด้วยความเช่ือมั่นว่าเราจะได้พลังชีวิตท่ีจะมาช่วยให้ร่างกายเราหายจากโรค
รา้ ยต่าง ๆ หรอื ช่วยให้สุขภาพเราสมบูรณแ์ ข็งแรงมากกว่าเดมิ จริงก็จะมีสัมฤทธิผลมากยงิ่ ข้นึ
6. จะต้องตั้งใจฝึกอย่างต่อเน่ืองอย่างน้อย 45 วันติดต่อกันจะเห็นผลค่อนข้างชัดโดย
อาจฝึกฝนในวนั หนึง่ ๆ มากกว่า 1 – 2 ครัง้ ก็ได้
7. ต้องพยายามฝึกฝนตามข้อแนะนาํ อยา่ งจริงจัง
8. ขณะฝึกอาจเกิดปรากฏการณ์ผิดปกติของร่างกายบ้างก็ไม่ต้องเอะใจหรือแปลกใจมัน
เป็นของมนั เช่นนน้ั เอง
9. หลังจากฝึกทุกครั้งควรด่ืมนํ้าอุ่นอย่างน้อย1แก้วห้ามด่ืมนํ้าเย็นห้ามอาบน้ําเย็นห้าม
ล้างมือหลังการฝกึ หากจาํ เป็นจริง ๆ ตอ้ งใชน้ ํา้ อ่นุ ลา้ งมอื ลา้ งตวั แตถ่ า้ เว้นระยะได้อย่างน้อย 20 นาที
จะเป็นการดี
10. หลงั การฝึกจะตอ้ งเก็บพลังหรือประจุพลงั ชวี ิตทุกครัง้
11. การฝึกทาํ ได้ทั้ง 3 ทา่ คอื ท่านง่ั ท่านอนและท่ายืน
11.1 ทา่ นง่ั
- ควรนั่งบนเก้าอท้ี ่ไี มม่ ที ่ีท้าวแขน
- ฝุาเทา้ ทงั้ สองตดิ พ้นื กางออก 1 คบื
- หลังตรงคอต้ังตรง
11.2 ทา่ นอน
- นอนกางขากว้าง1ชว่ งไหลป่ ลายเท้าต้ังขึน้
- แขนทัง้ สองอยขู่ า้ งลาํ ตวั ในลกั ษณะควํา่ ฝาุ มือ
- ศีรษะตั้งตรง
11.3 ท่ายืน
- ยืนกางขาออก 1 ชว่ งไหล่
- ปลายเท้าชต้ี รงเปน็ เลข 11
- ย่อเข่าลงเลก็ น้อย
12. ท่าพนื้ ฐาน
ทา่ พนื้ ฐานจะช่วยกระตุ้นให้พลงั ชีวติ ไหลเวยี นได้ดีขน้ึ มที ัง้ หมด 8 ทา่
ท่าท่ี 1 มือท้ังสองข้างทํานิ้วช้ีและนิ้วหัวแม่มือให้เป็นรูปตัว C ควํ่านํามาชนกัน 36 คร้ัง
โดยจุดท่ีชนกันคือรูปตัว C หรือหน้าตัดน้ิวช้ีและข้อของนิ้วหัวแม่มือนั่นเองท่าน้ีจะมีผลต่อลําไส้ใหญ่
หากใครท่ีมปี ญั หาท้องผกู ก็ทํา 72 ครัง้ จะสามารถช่วยได้
74
ทา่ ท่ี 2 หงายมือท้งั สองข้างงอนิ้วก้อยเล็กน้อยเมื่อดูรวมกับสันมือจะเป็นรูปตัว C นํามือ
ทั้งสองมาชนกันนบั 36 ครงั้ โดยจุดที่ชนกัน คอื รูปตวั C หรือบริเวณสันมือถึงน้ิวก้อยนั่นเองท่านี้จะมี
ผลตอ่ ลําไสเ้ ล็กทาํ ใหล้ ําไสเ้ ล็กแขง็ แรง
ท่าที่ 3 ต้ังมือทั้งสองข้างขึ้นหงายมือออกให้เป็นรูปดอกบัว แล้วใช้อุ้งมือตีกันนับ 36
ครง้ั ทา่ น้มี ีผลตอ่ เย่อื หุม้ หวั ใจทําให้เยอื่ หุ้มหวั ใจแขง็ แรง
ทา่ ที่ 4 กางนวิ้ มอื ทั้งสองข้างออกแล้วสอดเขา้ หากันบีบนิ้วมือท้ังสองข้างเล็กน้อยแล้วดึง
ออกทาํ 36 ครัง้ ใหม้ ีเสยี งดงั ฝึบ ๆ ท่านี้มผี ลต่อระบบภมู ิต้านทาํ นโรคทําใหม้ ภี ูมิตา้ นทาํ นโรคมากขึ้น
ท่าท่ี 5 กางมือซ้ายออกไม่ต้องเกร็งแล้วใช้น้ิวชี้และนิ้วหัวแม่มือของมือขวามาหนีบแล้ว
ดึงตรงกลางเข้ามาในฝุามือระหว่างนิ้วช้ีและน้ิวหัวแม่มือมือซ้ายนับ 36คร้ังและสลับข้างทํา36ครั้ง
เชน่ กนั ท่านีม้ ผี ลต่อปอดซา้ ยและปอดขวาทาํ ใหป้ อดข้างซ้ายและข้างขวาแข็งแรง
ท่าที่ 6 ให้กํามือขวาและกางมือซ้ายออกจากนั้นให้เอาสันหมัดนวดอุ้งมือซ้ายไม่ให้มี
เสียงนับ 36 ครงั้ และสลับข้างทํานับ 36 คร้ัง เช่นเดียวกันท่าน้ีจะเป็นการบริหารกล้ามเน้ือหัวใจเป็น
การนวดหัวใจซา้ ยและขวานน่ั เอง
ท่าท่ี 7 ให้หงายมือขวาข้ึนมือซ้ายคว่ําลงให้หลังมือกระทบกันทํา 36 ครั้งและสลับข้าง
ทาํ นบั 36ครง้ั เชน่ เดียวกันท่านจี้ ะเปน็ การบรหิ ารไตขวาและไตซา้ ยใหแ้ ข็งแรง
ท่าที่ 8 ให้กางมือซ้ายออกจากนั้นใช้น้ิวหัวแม่มือขวาหมุนตามเข็มนาฬิกาคือบริเวณ
เหนือกลางฝุามือขึ้นไปค่อนไปทางน้ิวหัวแม่มือนับ 36 รอบและสลับข้างทํานับ 36 รอบ เช่นเดียวกัน
ทา่ นีจ้ ะมีผลต่อการกระตนุ้ เส้นลมปราณให้แขง็ แรง
13. ขัน้ ตอนยุตกิ ารฝึกและเก็บพลงั
เม่อื ยตุ กิ ารฝกึ จะตอ้ งเกบ็ พลงั โดยให้ปฏบิ ัตติ ามขน้ั ตอนดงั ต่อไปนี้
- หนั หลังมอื ทงั้ สองใหช้ นกนั แล้วหมุนข้อมือเขา้ หาลาํ ตัว 3 รอบโดยให้ข้อนิ้วไล่สัมผัสกัน
ทง้ั หมดต้งั แตน่ วิ้ ก้อยนว้ิ นางนว้ิ กลางน้วิ ชี้ และนวิ้ หัวแมม่ อื ตามลาํ ดับ
- ผู้ชายมือขวาทับมือซ้ายปิดทับสะดือหมุนรอบสะดือเป็นวงกลมโดยหมุนตามเข็ม
นาฬกิ าเปน็ รปู ก้นหอยจากเล็กไปหาใหญ่จาํ นวน 9 รอบแล้วหมนุ ยอ้ นกลบั จากใหญ่มาหาเลก็ อีก9รอบ
- ผู้หญิงมือซ้ายทับมือขวาปิดทับสะดือหมุนรอบสะดือเป็นวงกลมโดยหมุนทวนเข็ม
นาฬกิ าเปน็ รูปก้นหอยจากเล็กไปหาใหญ่จํานวน 9 รอบแลว้ หมุนยอ้ นกลบั จากใหญ่มาหาเลก็ อกี 9รอบ
- เปิดปิดตา 3 ครัง้ เปน็ อันเสรจ็ ในการเกบ็ พลงั
14. การผอ่ นคลายร่างกาย
การผอ่ นคลายร่างกายหมายถงึ การผอ่ นคลายทุกสว่ นในร่างกายด้วยการปลดเปล้ืองพลัง
ที่มีมากเกินไปในร่างกายออกโดยมีหลักสําคัญคือการสงบนิ่งและต้องเป็นธรรมชาติการสงบนิ่ง
หมายถงึ การทําสมาธิให้จิตใจสงบเป็นธรรมชาติหมายถึงทุกอย่างต้องดําเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติท้ัง
การหายใจอริ ยิ าบถและทา่ ทาง
การผ่อนคลายที่ถูกต้องจะให้ผลลัพธ์คือชีพจรเต้นช้าลงการหายใจช้าลงความดันเลือด
ลดลงฝาุ มือฝุาเทา้ มีอุณหภูมิสูงข้ึน ซง่ึ เปน็ ตัวบ่งบอกถึงการไหลเวยี นของเลือดและการหมุนเวียนของซี่
หรือพลังลมปราณที่มีประสิทธิภาพน่ันเองการผ่อนคลายท่ีไม่ถูกต้อง เนื่องจากตั้งใจมากเกินไปจนทํา
ให้ร่างกายไมผ่ อ่ นคลายเกรง็ และเครยี ด ผลลัพธ์คือจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิท่ีฝุามือฝุาเท้า
หรือ ถ้าเกร็งมาก ๆ กลับทําให้มือเท้าเย็นลงการหายใจเร็วถ่ีขึ้นความดันเลือดเพ่ิมขึ้นชีพจรเต้นเร็ว
ดังน้ันการผ่อนคลายจึงไม่ควร “ตั้งใจหวัง” สมควรเป็นไปโดยธรรมชาติไม่ใช่การบีบบังคับคล้ายกับ
75
การนอนหลบั ทหี่ ากไมค่ ิดว่าจะหลับกลับหลับได้โดยง่าย หากคนื ไหนต้ังใจและใชค้ วามพยายามกลับไม่
ยอมหลับ เทคนิคที่สําคัญที่ช่วยนําร่างกายเข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย คือ การหายใจการหายใจท่ีมีความ
ธรรมชาติหายใจเข้าท้องพองหายใจออกท้องยุบ จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซ่ึง
เปน็ ระบบประสาทอัตโนมัติแบบระบบผ่อนคลายทําให้ร่างกายผ่อนคลายง่ายข้ึนอีกท้ังการกําหนดลม
หายใจ ยังเป็นอุบายในการช่วยให้เกิดความสงบน่ิงอันเป็นหลักสําคัญของการผ่อนคลายร่างกายการ
ผอ่ นคลายทกุ สว่ นในรา่ งกาย หมายถึง การทาํ ให้ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย เช่น ศีรษะใบหน้าลําตัวแขน
ขาเส้นเอน็ ผวิ หนังกล้ามเนอ้ื และข้อกระดูกตา่ ง ๆ ทว่ั ร่างกายผ่อนคลายไปหมด
การผ่อนคลายร่างกายเกี่ยวข้องกับปัจจัยสําคัญสองอย่างคือบทบาทภายในกับ
สภาพแวดล้อมภายนอกบทบาทภายในหมายถึงจิตใจต้องผ่อนคลายให้สบายก่อนแล้วให้ ประสาท
ส่วนกลางส่ังการให้ท่ัวร่างกายผ่อนคลายส่วนสภาพแวดล้อมภายนอก หมายถึง อากาศถ่ายเทได้
สะดวกมีแสงสว่างพอเหมาะไม่มีเสียงอึกทึก หรือ มีแต่เสียงต้องไม่ดังมากผู้ท่ีเข้าสู่สภาวะสงบมักจะมี
หนา้ ตาเบิกบาน และมีรอยอมยิม้ อยู่บนใบหนา้
การฝึกผอ่ นคลายร่างกาย
การฝึกผ่อนคลายร่างกายต้องเพ่งความสนใจไปทุกส่วนของร่างกาย พร้อมท้ังภาวนาคํา
ว่า“ผ่อนคลาย” ไปด้วยและค่อยปรับร่างกายให้สบายผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติขจัดความเครียด
ทิ้งไปเพ่ือให้ความเครียดกับการผ่อนคลายค่อยๆปรับสมดุลและต้องฝึกสมาธิขจัดความคิดฟูุงซ่านให้
หมดไปการฝึกเพ่ือผ่อนคลายร่างกายมีท่าฝึกทั้งหมด 3 ท่าคือท่ายืนท่าน่ังบนเก้าอ้ีและท่านอนการ
หายใจส่วนมากจะใช้วิธีการหายใจแบบธรรมดาหรือแบบหน้าท้องเวลาหายใจจะต้องให้ทุกส่วนของ
ร่างกายผ่อนคลายส่วนเวลาหายใจเข้าให้ภาวนาคําว่า“ผ่อน” เวลาหายใจออกให้ภาวนาคําว่า
“คลาย”
วธิ กี ารผ่อนคลาย
ให้นึกแบ่งร่างกายออกเป็น 4 ส่วน คือ ด้านหน้าด้านหลังด้านซ้ายและด้านขวาแล้วยัง
แบง่ แต่ละดา้ นออกเปน็ ส่วนยอ่ ย ๆ อีกหลายส่วนจากบนลงล่าง ดงั นี้
สว่ นทหี่ น่ึง ด้านหน้าใหต้ ง้ั สมาธิทจ่ี ุดจักระกลางกระหมอ่ มแลว้ เรม่ิ ผอ่ นคลายจากใบหน้า
คอหน้าอกท้องต้นขาหัวเข่าหน้าแข้งหลังฝุาเท้า โดยในขณะผ่อนคลายก็ให้ภาวนาคําว่า“ผ่อน” เวลา
หายใจเข้า และ คําว่า “คลาย” เวลาหายใจออก 2 – 3 เที่ยวต่อหน่ึงส่วนอวัยวะหลังจากผ่อนคลาย
ทุกส่วนของอวัยวะด้านหน้าแล้วให้เพ่งสมาธิไปที่จุดกลางฝุาเท้า 7 วินาที คํานวณโดยการนับ 1 – 7
เม่ือนับครบแล้วให้ทวนคําว่า“ผ่อน” คลายย้อนกลับข้ึนไปตามอวัยวะต่าง ๆ จนถึงจุดจักระกลาง
กระหมอ่ ม
สว่ นทส่ี อง ดา้ นหลงั ให้ต้ังสมาธิที่จุดจักระกลางกระหม่อม แล้วเริ่มผ่อนคลายจากศีรษะ
ด้านหลังต้นคอหัวไหล่แผ่นหลังเอวสะโพกต้นขาด้านหลังข้อพับหัวเข่าน่องส้นเท้า โดยในขณะที่ผ่อน
คลาย ให้ภาวนาคําว่า “ผ่อน” เวลาหายใจเข้าและคําว่า “คลาย” เวลาหายใจออก 2 – 3 เท่ียวต่อ
หนง่ึ สว่ นอวัยวะหลังจากผ่อนคลายทุกส่วนของอวัยวะด้านหลังแล้วให้เพ่งสมาธิไปที่จุดกลางฝุาเท้า 7
วนิ าที คํานวณโดยใชก้ ารนับ 1 – 7 เมอ่ื นับครบแล้วใหท้ วนคําว่าผ่อนคลายย้อนกลับข้ึนไปตามอวัยวะ
ตา่ ง ๆ จนถึงจุดจักระกลางกระหมอ่ ม
ส่วนทีส่ าม ดา้ นซ้ายให้ตั้งสมาธิท่ีจุดจกั ระกลางกระหม่อมแล้วเร่ิมผ่อนคลายจากใบหน้า
ข้างซ้ายคอไหล่ข้างซ้ายแขนข้างซ้ายทั้งแขนรักแร้ชายโครงเอวสะโพกขาซ้ายทั้งขาโดยในขณะที่ผ่ อน
คลายก็ให้ภาวนาคําว่า “ผ่อน” เวลาหายใจเข้าและคําว่า“คลาย” เวลาหายใจออก 2 – 3 เที่ยวต่อ