126
การที่มีตัวตนนั้น ตัวตนย่อมรับคำสั่งและทำตาม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งร่างกาย
ของเราไม่มีตัวตน จึงไม่มีตนไหนรับคำสั่งจากเรา ฉะนั้นจึงไม่มีตัวตนนั่นเอง และ
สัญลักษณ์ของทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตน หรือ อนัตตาในไตรลักษณ์นั้นก็คือ ไม่สามารถ
บงั คับบญั ชาได้ หรอื ไมอ่ ยู่ในอำนาจของใครใด ๆ ทั้งส้ิน
- ในช่วงปี 1990 – 2000 มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับโรคทางกายที่คณะ
นักวิทยาศาสตร์และคณะแพทย์ในยุโรป และอเมริกา ค้นพบว่า มีเหตุเกิดแต่จิต
มากมายหลายโรค และโรคหลายโรคเกิดจากภาวะความเครียดความข่นุ มัวของจิตทำให้
ร่างกายอ่อนแอภูมิคุ้มกันโรคของร่างกายอ่อนแอ T-Cells ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเชื้อ
โรคต่าง ๆ ก็โจมตีสุขภาพร่างกายของคนเราได้ ในปัจจุบันอาหารและอากาศมีผลทำให้
คนเป็นมะเรง็ มากข้ึนในสิง่ แวดลอ้ มของคนมีไวรัสและแบคทเี รยี ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
ตลอดเวลาเพียงแต่ภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายคนยังดีอยู่อาการป่วยเจ็บก็ไม่ปรากฏแต่
เม่อื ไรภมู ิคุ้มกนั ลดลงอาการปว่ ยเจบ็ ก็จะปรากฏออกมาให้เหน็ และรู้สกึ ได้ทนั ที
- สังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบันมีความเสื่อมโทรมมากและจะปรากฏชัดใน
ทุกสังคมแบบทุนนิยมในปัจจุบันปรากฏผลในยุโรปและอเมริกามากขึ้นเกี่ยวกับ one
night tradition หรือ one night stand คือ ชาย – หญิงที่ได้พบกันครั้งแรกเพียงคืน
เดียวไม่ว่าชาย – หญิงนั้นจะมีภริยาหรือมีสามีอยู่ในปัจจุบันก็ตาม หากสบตากันแล้ว
หรือมีโอกาสพูดคุยกันหน่อยกจ็ ะไปร่วมหลับนอนกันรุ่งเช้าต่างกแ็ ยกย้ายไปทางานหรอื
กลับไปหาครอบครัวสามี / ภรรยาของตนตามปกติหลายคู่สามี / ภริยาต่างฝ่ายต่าง
เข้าใจไม่คิดว่าเป็นเรื่องเสียหายวิ่งเข้าหาสุภาษิตที่ว่า “หินตกลงไปในแหนจะหาแผลได้
ที่ไหน” ทฤษฎีเปลี่ยนคู่นอนหรือการสำส่อนกลับมีความแพร่หลายมากขึ้นสำหรับ
คู่ครองที่เห็นว่าการนอกใจหลังแต่งงานถือเป็นเรื่องสำคัญก่อนแต่งงานใครจะผ่านชาย
ผ่านหญิงมามากมายเพียงไรไม่สำคัญหลังแต่งเธอต้องเป็นของฉันคนเดียวถ้าทั้ง 2 คน
คิดเช่นว่าก็จะปรากฏผลการหย่าร้างทันทีซึ่งจากสถิติปัจจุบันชาวยุโรปและอเมริกันมี
การหย่าร้างสูงถึง 50% (มงคล กริชติทายาวุธ , 2549: 8) แม้ในสังคมไทยเอง
ปรากฏผลการสำรวจว่าเด็กมัธยมต้น – ปลายเริ่มจับคู่มีเพศสัมพันธ์กันเกินร้อยละ 40
ส่วนเด็กระดับอาชีวะจับคู่นอนและพักอาศัยอยู่ด้วยกันเกินร้อยละ 60 มีเด็กวัยรุ่นเป็น
เอดส์ในปัจจุบันมากกว่า 30,000 คน ส่วนผลสำรวจตัวเลขคนเป็นเอดส์ในไทยที่เป็น
ทางการเมื่อปี 2542 คือ มีคนไทยเป็นเอดส์แล้วมากกว่า 500,000 คน เป็นชายไทย
346,363 คน เปน็ หญงิ ไทย 172,995 คน (มงคล กรชิ ติทายาวุธ , 2549: 9)
- การฝึกสมาธิในระยะแรก ๆ ไม่ต้องทำนานวันละ 5 – 10 นาทีก็
เพียงพอแล้วทำจนชำนิชำนาญจึงค่อย ๆ เพิ่มเวลาให้มากขึ้น แต่ควรทำเป็นประจำการ
ฝึกสมาธิมีหลายวิธีบางวิธีเหมาะสมกับบางคน มิใช่วิธีใดวิธีหนึ่งจะดีกับทุกคนเป็นไป
127
ตามจริตของแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนจะต้องหาวิธีท่ีดีท่ีสุดทีเ่ กิดประโยชน์เฉพาะตนจงึ จะ
ประสบความสำเรจ็ ในการฝกึ
- คนที่ไม่เคยฝึกสมาธิมาก่อนเลยเวลาใกล้ตายญาติพี่น้อง / ลูกหลาน /
พ่อแม่ / ปู่ย่าตายายแนะให้ทำสมาธิแนะให้ตั้งสติจะทำไม่ได้แน่นอนยิ่งอยู่ในภาวะมี
ทุกข์เวทนาด้วยแล้วอาจมีแต่คำสบถคำด่าเพราะความเจ็บปวดทรมานยิ่งกลับเป็นเหตุ
ให้จิตดำดิ่งลงสู่อบายภูมิทุคคติภูมิจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องฝึกฝนกันตั้งแต่บัดนี้เพราะไม่
มีผู้ใดรู้วันเวลาและสถานที่จะตายแน่นอน (ยกเว้นผู้บรรลุฌานสมาบัติแก่กล้าพอ
เทา่ นนั้ )
การฝกึ จิตให้ร้จู กั ความตายกอ่ นตายจึงเป็นเร่ืองท่ีมคี วามสำคัญมากโดยให้
ตั้งสติให้มั่นคงและคิดว่าถ้าพรุ่งนี้เราต้องตายวันนี้และเดี๋ยวนี้เราจะต้องทำอะไรก่อน –
หลงั จากนัน้ จงรบี ทำทกุ เรือ่ งใหห้ มด – ทำให้เสรจ็ ทา่ นจะพบว่าท่านสามารถยกระดับจิต
ของท่านใหส้ งู ขนึ้ ได้
- ความเจ็บป่วยมีมากมายหลายสาเหตุเช่นเกิดจากตัวเองกระทำหรือ
เกดิ จากคนอนื่ กระทำ เช่น การทคี่ นป่วยมีนิวรณ์ 5 ขอ้ ซึ่งทำให้ปว่ ยเจ็บได้
- นิวรณ์ 5 (องฺ.ปญจฺ ก. 22/51/72) ได้แก่
1. กามฉันทะ คือ มีความพอใจในกามมากเกินไปการมีเพศสัมพันธ์ สำ
สอ่ น
2. พยาบาท คือ มีความผูกโกรธผูกเกลียดผูกความโมโหติดแน่นในคนอ่ืน
และในเรอื่ งตา่ ง ๆ นานา
3. ถีนมิทธะ คือ มีความหดหู่ความเซื่องซึมหรือความเคลิบเคล้ิม
ตลอดเวลา
4. อุทจั จะกุกกจุ จะ คือ มีความฟุ้งซ่านรำคาญใจกลมุ้ ใจตลอดเวลา
5. วิจิกิจฉา คือ มีความลังเลสงสัยไม่แน่ใจในเรื่องต่าง ๆ ตกลงใจมิได้
ตลอดเวลา
สิ่งต่าง ๆ เหล่าน้ี ล้วนมีผลทำให้บุคลิกภาพเบี่ยงเบนมีผลให้เสียชื่อเสียง
เสียต่อหน้าที่การงานเกิดปัญหาครอบครัวเกิดปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งเกิดปัญหา
อาชญากรรมเกิดปัญหาสังคมได้ตลอดเวลานำทางไปสู่อบายภูมินำทางให้ไปเกิดเป็น
สตั ว์เดรฉานเปรตและอสูรกาย เปน็ ตน้
- การรักษาโรคทางพุทธที่นิยมมากก็คอื การสวดโพชฌงคปริตรหรอื สวด
รัตนปริตรแต่ผลที่จะได้นั้นจะต้องเกิดแต่เหตุของผู้สวดว่ามีพลังจิตพลังสมาธิที่ดีมีจิต
ปรารถนาให้ผู้ป่วยหายป่วยเจ็บอย่างมีเมตตากรุณาหรือไม่เป็นเรื่องสำคัญมากหากเป็น
การสวดโดยสงฆ์ผู้ทุศีลสงฆ์ผู้เก้อยากสงฆ์ที่ศีลขาดหรือเป็นการสวดแบบนกแ ก้ว
128
นกขุนทองมิได้สวดด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความมีเมตตากรุณาที่มีกระแสจิตปรารถนาให้
ผู้ป่วยมคี วามสุขพน้ จากความทกุ ขแ์ ล้วยอ่ มไมไ่ ด้ผลจากการสวดมากนกั
- การแผ่เมตตาจิตก็ต้องฝึกฝนเช่นกันสามารถแผ่เมตตาเฉพาะเจาะจงท่ี
เรียกว่าการอุทิศส่วนกุศลก็ได้หรือไม่เจาะจงโดยแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อน
รว่ มทกุ ข์รว่ มเกิดแกเ่ จบ็ ตายทัง้ ทอี่ ยู่ในโลกใบนใี้ นจักรวาลและอนันตจักรวาลก็ได้ในทาง
ช้างเผือกมีดาวฤกษ์ถึงแสนล้านดวงแต่ละดวงของดาวฤกษ์ก็มีดาวเคราะห์ที่เป็นบริวาร
อยู่อกี หลายดวงระบบสรุ ิยะจักรวาลเปน็ เพียง 1 ระบบในแสนล้านระบบ ถา้ แต่ละระบบ
มีสิ่งที่มีชีวิตอยู่เพียงดวงเดียวก็จะมีสิ่งมีชีวิตนอกโลกบนดาวเคราะห์อื่นอีกถึง1แสนดวง
อย่างหลงคิดว่าดาวโลกซึ่งเป็นดาวดวงหนึ่งภายในระบบสุริยะจักรวาลคือดาวดวงเดียว
ที่มีสิ่งที่มีชีวิตอยู่ในเดือนหน้าผู้เขียนจะนำความเห็นของดร.อาจองชุมสายณอยุธยา
นักวิทยาศาสตร์มือหนึ่งของโลกซึ่งเป็นคนไทยที่องค์การนาซ่าจารึกชื่อบนหอเกียรติยศ
ขององค์การนาซ่าซ่ึงทา่ นได้ใหค้ วามเห็นเรื่องดงั กล่าวท่ชี ดั เจน
- นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเคยมีการทดลองแบ่งกลุ่ม
อาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม โดยวัดคา่ T-Cells ก่อนการทดสอบ
กลุ่มแรกดูภาพยนตร์สงครามที่มีแต่การทำลายล้างด้วยความเหี้ยมโหด
สว่ น
กลุ่มสองให้ดูภาพยนตร์ที่เป็นผลงานของแม่ชีเทเรซ่านักบุญผู้มีเมตตา
ธรรมสูงอุทิศตนให้ความช่วยเหลือแก่ผู้คนด้วยจิตใจที่ดีงามเมื่อชมภาพยนตร์จบลงก็วัด
ค่า T-Cells ใหม่ผลปรากฏว่ากลุ่มแรกค่า T-Cells ลดต่ำลงแต่กลุ่มที่สองค่า T-Cells
เพิ่มสูงขึ้นจากนั้นอีกสัปดาห์ก็สลับกลุ่มดูภาพยนตร์กันผลก็ปรากฏเช่นเดียวกันคือผู้ที่
ชมภาพยนตร์อีกกลุ่มหน่ึงเมื่อได้มาชมภาพยนตร์ทีม่ แี ตค่ วามเมตตาสงสารคดิ ปรารถนา
ดีทจ่ี ะชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู คนอนื่ ค่า T-Cells จะเพ่ิมสูงข้ึน
ทง้ั นี้ มีการทดลองซำ้ ๆ กันอีกหลายสบิ ครั้งผลที่ได้ออกมามีคา่ นัยสำคญั ท่ี
คงท่ีนักวิทยาศาสตรก์ ลมุ่ นจี้ งึ สรุปผลการทดลองได้ว่า “จติ ใจที่มีความเมตตากรุณาคือมี
จิตที่คิดปรารถนาดีต่อผู้อื่นที่ต้องการให้ผู้อื่นได้มีความสุข (มีเมตตา) และจิตที่ต้องการ
ให้ผู้อื่นได้พ้นจากความทุกข์ (มีกรุณา) อยู่เสมอจิตของบุคคลดังกล่าวจะมีผลให้เพิ่มค่า
T-Cells หรอื มีภูมิตา้ นทำนโรคสูงกว่าบุคคลโดยท่วั ไปทำให้หายปว่ ยเจบ็ ได้โดยเร็ว”
อย่างไรก็ตามการมีเมตตากรุณามิใช่เพียงแต่ทำการแผ่เมตตาด้วยวาจา
โดยการเปลง่ เสยี งออกมาโดยใจมิได้กำกับเสียงที่เปลง่ ออกมาวิธีการทีไ่ ด้ผล คือ “เปล่งที
ละคำฟังทีละเสียงด้วยจิตที่จดจ่อในคำแผ่เมตตาและจิตคล้อยตามเสียงพูดที่เปล่ง
ออกมาจึงจะมีสัมฤทธิ์ผลนีเ้ ป็นเคล็ดวิชาสำคัญที่ง่ายแต่มักถูกหลงลืมและมักมิไดก้ ระทำ
กันแม้ในหมู่ภิกษุสามเณรชีและผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายมากกว่าร้อยละ 95 เปล่งเสียง
129
ออกมาโดยจิตมิได้คล้อยตามเปล่งออกมาเหมือนนกแก้วนกขุนทองคือไม่รู้ความหมาย
และจติ มิได้จดจอ่ อยูจ่ ึงมกั จะไมไ่ ด้ผลเหมอื นคนอื่น ๆ
- นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดอีกกลุ่มมีการทำวิจัยผู้ป่วยด้วย
โรคมะเร็งกไ็ ดผ้ ลการตดิ ตามอาการผปู้ ว่ ยอยา่ งต่อเนื่องไดผ้ ลสรุปวา่ “ผปู้ ว่ ยทเี่ ป็นมะเรง็
ในระยะอาการของโรคระยะเดียวกันกลุ่มที่ทำสมาธิที่มีจิตแจ่มใสมีความเข้าใจในหลัก
ของสรรพสิ่งว่าเป็นเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตามีความปล่อยวางคลายควา มทุกข์คลาย
ความกังวลมีอายุยืนยาวกว่าผู้ป่วยมะเร็งในระยะเดียวกันไม่น้อยกว่า 10เท่า” (เรื่อง
ทำนองนี้ก็มีปรากฏมากมายแม้พี่ชายของผู้เขียนเองเป็นมะเร็งลำไส้ถูกแพทย์ตัดลำไส้
ทิ้งถึง 3 ครั้ง โดยมีชีวิตหลังทราบว่าเป็นมะเร็งลำไส้มีชีวิตอยู่ได้มาอีก 19 ปีเศษ จึงจะ
ถึงแก่กรรมทั้งๆที่ขณะทราบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ก็ปรากฏมะเร็งลุกลามไปแล้วหรือกรณี
เรื่องของคุณพ่อของแพทย์หญิงวิไลธนสารวิไลแพทย์ประจำโรงพยาบาลรามาธิบดีและ
โรงพยาบาลสมติ เิ วชซ่ึงมาออกรายการเจาะใจกบั คุณสญั ญาคณุ ากรกไ็ ดเ้ ล่าเรื่องใหฟ้ ังว่า
“บดิ าเปน็ มะเร็งทกี่ ระเพาะอาหารซึ่งเมอื่ ทราบวา่ เป็นมะเร็งก็ปรากฏวา่ มะเร็งได้ลุกลาม
กระจายไปในอวัยวะอื่นในวงกว้างแล้วโดยแพทย์หญิงวิไลฯได้ให้อาจารย์หมอ 3
โรงพยาบาลช่วยตรวจซ้ำเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ผิดพลาดในผลการตรวจซึ่งผลตรงกันคือเปน็
มะเร็งขั้นสุดท้ายคงจะมีอายุอีกไม่นานจะผ่าตัดก็คงทำไม่ได้เพราะมีโ รคหัวใจและโรค
ความดันโลหติ สูงคงยากท่ีจะชว่ ยให้รอดชีวิต” แพทยห์ ญงิ วไิ ลฯจงึ ปลงใจและเพ่ือให้คุณ
พ่อได้พบแสงธรรมแห่งชีวิตก่อนยุติชีวิตในชาติปัจจุบันจึงพาคุณพ่อไปเข้าหลักสูตร
“วิปัสสนากรรมฐาน” ทั้ง ๆ ที่สุขภาพค่อนข้างแย่เดินก็ไม่ได้ดวงตาก็ฝ้าฟางมองไม่เห็น
แต่ผลของการเข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐานติดต่อกัน 3 – 4 ครั้งคุณพ่อของแพทย์หญิง
วิไลฯ ก็สามารถเดินด้วยตนเองได้สายตาก็มองเห็นสิ่งต่างๆดีเมื่อแพทย์หญิงวิไลฯ นำ
คุณพ่อไปฉายแสงตรวจหาเซลมะเร็งก็ปรากฏว่าเซลมะเร็งฝ่อตัวโดยมิได้ทำเคมีบำบัด
(ทำคีโมฯ) เนื่องจากแพทย์หญิงวิไลฯไม่ต้องการให้คุณพ่อได้รับผลกระทบที่เป็นผลข้าง
เดียวจากการทำเคมีบำบัดดังนั้นจึงสรุปเป็นกรณีศึกษาได้ว่า “วิปัสสนากรรมฐาน” แม้
มิใช่วิธีการรักษาโรคใดๆแต่ผลดีที่เป็นผลข้างเคียงคือทำให้เซลมะเร็งฝ่อตัวลงได้ค่า T-
Cells ซึ่งเป็นภูมิต้นทำนโรคในร่างกายเพิ่มข้ึนอย่างมีนัยสำคัญผู้เขียนไม่แนใ่ จว่าคุณพ่อ
ของแพทย์หญิงวิไลฯได้มีชีวิตอยู่ต่อมาอกี กี่ปีหรอื ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบนั แต่ยืนยนั ไดว้ ่ามี
ชีวิตยืนยาวมาอีกนานทีเดียวปัจจุบันแพทย์หญิงวิไลธนสารวิไลก็ได้แบ่งเวลามาทุ่มเท
ให้แก่งานช่วยคุณแม่ดร.สิริกรินชัยสอนวิปัสสนากรรมฐานด้วยนอกเหนือจากภารกิจ
เปน็ แพทย์ประจำอยูถ่ งึ 2 โรงพยาบาลใหญด่ ังน้ันจงึ อยากให้ท่านผู้อ่านได้หาโอกาสบอก
ต่อ ๆ กันไปว่าฝรั่งที่เป็นนักวิทยาศาสตรข์ องมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเขายืนยนั ผลการวิจัย
แล้วว่าได้ผลเหมือนดั่งบทความที่ผู้เขียนได้เคยเขียนเผยแพร่เม่ือปี 2539 หรือเมื่อ10ปี
130
ก่อนวา่ ผลการทำสมาธภิ าวนาและวิปัสสนาภาวนามีผลตอ่ การเพิ่มค่า T-Cells หรือเพมิ่
ภูมคิ ุ้มกันโรคในรา่ งกายมนษุ ย์ได้
- ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกมีรายละเอียดในการทำ
สมาธิภาวนาและหรือวิปัสสนาภาวนาว่าระดับที่จะมีผลในการเพิ่มค่า T-Cells อย่างมี
นัยสำคัญนั้นการปฏิบัติจะต้องถึงองค์ประกอบของการมีจิตที่สมบูรณ์มีศักยภาพตรง
หลกั พระพุทธศาสนาซึ่งเรยี กวา่ สมาธิ 5 (สํ.สฬ. 18/665-673) ไดแ้ ก่
1. มีจติ ใจช่นื บาน (เกดิ ปราโมทย)์
2. มจี ติ ที่อม่ิ เอิบเพราะเห็นว่าเดนิ มาถกู ทางแล้ว (เกิดปตี )ิ
3. มีความสงบกายสงบใจรูส้ ึกผอ่ นคลาย (เกิดปสั สทั ธิ)
4. มีความสบายใจมีความสุข (เกิดสุข)
5. มจี ติ ที่สงบมนั่ คง (เกิดสมาธิ)
- แต่ถ้าฝึกฝนสมาธิภาวนามากขึ้นไปก็จะได้ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติย
ฌาน และจตุตถฌาน หรือ ได้ฌาน 1, ฌาน 2, ฌาน 3 และฌาน 4 ตามลำดับ ซึ่งจะ
กำจัดนิวรณ์ 5 ได้ชั่วคราวจากนั้นก็จะมีอาการเกิดโอภาส (แสงสว่าง) เกิดญาณ (การรู้
แจ้ง) เกิดอธิโมกข์ (มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ปฏิบัติ) ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นเพียงโลกียฌาน
เท่านั้นจะต้องประคับประคองจิตใจมิให้หลงใหลไปกับการได้อาการตาทิพย์หูทิพย์รู้
เหตุการณ์ล่วงหน้ารู้เหตุการณ์ย้อนหลังไปในอดีตหรือการระลึกชาติได้ตลอดจนการรู้
วาระจิตของผู้อื่นซึ่งเรื่องเหล่านี้บรรดาโยคีฤาษีต่าง ๆ โดยทั่วไปที่มีวิชาจริง ๆ สามารถ
ทำได้ ทั้งนั้นจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีสติประคองจิตให้ดีมิให้โลภะจริตราคะจริตโมหะจริต
มาครอบงำจะต้องทำใหเ้ กิด “ธรรมจรติ ” ในตัวเราให้ได้
อทิ ธปิ าฏิหารยิ ใ์ นพระพุทธศาสนาเถรวาท
ปาฏหิ ารยิ ์ 3 คือ วธิ กี ารสอน 3 แบบ (อง.ตกิ . 20/217/500)
1. อทิ ธิปาฏิหาริย์
2. อาเทสนาปาฏิหารยิ ์
3. อนสุ าสนีปาฏิหารยิ ์
ปาฏิหาริย์ คือ สิ่งอัศจรรย์อันเหลือวิสัยของมนุษย์ธรรมดา ตรงกับ
ภาษาอังกฤษว่า Suppernatural power ซึ่งคนธรรมดาเห็นเป็นของแปลกประ
มหัศจรรย์ แต่เป็นธรรมดาของผู้ที่ทำได้
1. อิทธิปาฏิหาริย์ หมายถึง การแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ เช่นคนเดียวทำ
เป็นหลายคน หลายคนทำเป็นคนเดียว เหาะไปในอากาศ ดำดิน เดินน้ำ และทำ
131
อะไรอื่น ๆ อีกได้ด้วยอำนาจจิต (Psychic power) อันตนได้ฝึกฝนอบรมมาอย่างดี
แลว้ เชน่ แบบอทิ ธิปาฏิหารยิ ์
- ทรงบันดาลไมใ่ หเ้ ศรษฐเี หน็ บุตร
- ทรงโปรดชฎิลสามพี่น้อง
- ทรงแกค้ วามสงสัยของเสลพราหมณ์
- ทรงแสดงพระองค์ช่วยพระสาวก
- ทรงโปรดโจรองคุลิมาลฯ
2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ คือ การดักใจคนอื่นได้ว่าเขาคิดอย่างไร หรือ
เพียงแต่เห็นเครื่องหมายบางอย่างก็ทำนายได้ว่า จิตใจของผู้นั้นผู้นี้เป็นอย่างไร รวม
ความว่าสามารถกำหนดรู้วาระจิตของผู้อื่นได้ ตัวอย่างแบบอาเทสนาปาฏิหาริย์ (ดักใจ
,เดาใจผฟู้ ัง,คาดคะเน, ประเมิน) เช่น
- ทรงปราบความหัวดอ้ื ของพระปญั จวคั คีย์
- ทรงทำให้ชายหนมุ่ 30 คนได้คิด
- ทรงสะกดองคลุ มิ าลดว้ ยคำพูด (ทง้ึ , กระตุกดว้ ยคำพดู )
- ทรงสอนพาหิยะอยา่ งยอ่ ๆ
- การสอนแบบไมพ่ ดู แต่ให้ลงมอื ทำ เชน่ ทรงให้จูฬปนั ถกลบู ผา้ ขาว,
ทรงให้นางกีสาโคตรมรี จู้ ักหรือเข้าใจเรอ่ื งความตายเอง
3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ การสอนให้ผู้อื่นได้รู้ได้เห็นสภาพชีวิตตาม
ความเป็นจริง สอนให้รู้จักนึกคิด ให้รู้จักสนใจสิ่งอันควรสนใจให้ละสิ่งควรละ บำเพ็ญ
สิ่งควรบำเพ็ญ พระพุทธเจ้าทรงโปรดรูปแบบอนุสาสนีปาฏิหาริย์มากที่สุดเพราะ
พระองคท์ รงพิจารณาร้จู กั จริต ภูมิปัญญาและภมู ิหลังของผฟู้ ังและเกดิ ผลทย่ี ั่งยืนมากกวา่
ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป เหตุผลของการใช้วิธีการนี้มากกว่าตัวอย่างปาฏิหาริย์ทั้งสองอย่าง
เพราะว่า
1. ทรงพิจารณาจนรู้จักจริต ภูมิปัญญาและภูมิหลังของผู้ฟัง
เชน่
- ทรงตรวจดสู ัตว์โลกดว้ ยพุทธจักษุ (วิ.ม. 4/12)
- ทรงเลอื กสอนคนประเภทต่าง ๆ (ส.ส.ํ 18/345-346)
- ทรงสอนตามจริตของคน (อุ.ข. 25/127)
- ทรงสอนตามภมู ิสติปัญญาของคนฟัง (ข.ุ ธ. 237-238)
- ทรงสอนตามภมู ิหลังผูฟ้ ัง (วิ.ม. 4/59)
- ทรงระมัดระวงั ในการใช้ภาษา (ส.อ.ํ 23/44–45)
- ทรงใชภ้ าษางา่ ย ๆ ภาษาของคนฟงั
รปู แบบการสอนของพระพทุ ธเจา้ ท้งั 3 วธิ ี
132
พระพทุ ธเจา้ ตรัสถามสงั คารวพราหมณว์ า่ บรรดาปาฏหิ ารยิ ์ทั้ง 3 อย่าง
นี้ อย่างไหนดีกว่า ประณีตกว่า พราหมณ์ทูลตอบว่า 2 อย่างแรกไม่ประเสริฐ เพราะ
ใครทำก็ได้แก่คนนั้น และเป็นสิ่งอันอาจเป็นมายาได้ ส่วนประการสุดท้ายคือ
อนสุ าสนปี าฏิหาริย์น้ันดี ประณีต ข้าแต่พระโคดม ! จะมีภกิ ษอุ ื่นสกั รูปหน่ึงไหม เว้น
พระโคดมทป่ี ระกอบพร้อมด้วยปาฏหิ ารยิ ์ทง้ั 3 ประการนี้
พระพทุ ธเจา้ : มีมากกวา่ 500 ทเี ดยี ว พราหมณ์ !
พราหมณ์ : ภิกษุเหล่าน้นั อยไู่ หนนะ พระโคดม
พระพทุ ธเจ้า : อย่ใู นหม่ภู กิ ษนุ เี่ อง, พราหมณ์
ยังมขี อ้ ความสนับสนุนรูปแบบการสอนของพระพุทธเจ้า 3 วิธีนั้นเก่ียวกับ
อย่างใดดีกว่า ประณีตกว่า ดูเหมือนว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงโปรดอาเทสนาวิธี อาจจะ
เป็นเพราะว่า อาจก่อให้เกิดความรู้ได้ระดับทิฏฐิเป็นส่วนมาก และใช้ได้ผลกับคนบางคน
เท่านั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่โปรดวิธีดักใจนี้ ทรงได้ตรัสไว้ในเกวัฏฏสูตรมีใจความว่า การ
ทายใจนั้นมีทั้งแง่ดีและแงร่ ้าย ใจผมู้ ีจติ ศรัทธากอ็ าจจะวา่ ดี ผูไ้ มม่ ศี รัทธาก็อาจจะเยาะ
เย้ยว่าไม่ใช่ของแปลกอะไร เพราะคนธรรมดาที่เรียนวิชาทีเรียกว่า “มณิกา” ก็อาจ
ทายใจคนได้เช่นกัน เพราะฉะนัน้ “เราเลง็ เห็นโทษของอาเทสนาปาฏิหาริยอ์ ย่างนี้แล จึงไม่
มีประสงค์ท่ีจะใช้วิธนี ”ี้ (ท.ี สี. 9/349)
แม้แต่อิทธิปาฏิหาริย์ คือ การใช้ความสามารถพิเศษแบบฤทธิเดชนั้น
พระพุทธองค์ก็ทรงใช้เฉพาะในรายที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น พระพุทธองค์แสดงท่าทีต่อ
อิทธิปาฏิหาริย์ไว้ว่า“ดูก่อนสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เมื่อเราได้กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ท่ี
เป็นธรรมยิ่งยอดของมนุษย์หรือมิไดก้ ระทำก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้ย่อมนำผู้ประพฤติ
ให้สิ้นทุกข์โดยชอบเช่นน้ี เธอจะปรารถนาการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ไปทำไม” (ม.ม.
11/3)
นอกจากน้ีแล้ว พระพทุ ธองคย์ ังไดต้ รสั ไวใ้ นอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาตอีกวา่
“อานนท์ การแสดงธรรมใหค้ นอนื่ ฟงั มิใชส่ ิ่งท่ีกระทำได้งา่ ย ผูแ้ สดงธรรมแก่คนอืน่ พึงต้งั
หลักการองค์แห่งธรรมกถึก 5 อย่างไว้ในใจ (องฺ.ปญฺจกฺก. 22/159/205)
คอื
1. เราจกั กลา่ วชี้แจงไปตามลำดบั
2. เราจกั กลา่ วชแ้ี จงยกเหตผุ ลมาแสดงให้เข้าใจ
3. เราจักแสดงดว้ ยอาศัยเมตตา
4. เราจะไมแ่ สดงดว้ ยเหน็ แก่อามสิ
5. เราจะแสดงไปโดยไมก่ ระทบตนและผอู้ นื่
ผู้สอนธรรม คือ ผู้ทำหน้าที่เหมือนราชทูตอ่านราชสาส์นของพระราชา ผู้
กลา่ วธรรม ผเู้ ทศน์ ปาฐกถา บรรยายธรรมะนน้ั จะตอ้ งตระหนักในประเด็นนี้ ทเี่ ปน็
133
หน้าที่ของพระธรรมกถึก ซึ่งต้องมีคุณสมบัติสามารถแสดงออกถึงพระคุณ 3 ประการ
ของพระพุทธเจ้า คือ ปัญญาคุณ บริสุทธิคุณ และมหากรุณาคุณ เป็นการโดยเสด็จตาม
รอยยคุ ลบาทของพระพทุ ธเจา้ คือ
1. แสดงธรรมไปโดยลำดับ ไมต่ ดั คัดให้ขาดความ
การแสดงธรรมะนั้น ลำดับความเป็นอย่างไร ก็แสดงไปตามนั้น เป็นการ
ชี้แจงอรรถาธิบายจากง่ายไปหายาก จากใกล้ไปหาไกล จากตื้นไปหาลึก จากหยาบไปหา
ละเอียด จากรูปธรรมไปหานามธรรมจากสิ่งที่เขารู้แล้วไปหาสิ่งที่เขาไม่รู้ โดยพูดให้จบ
ถ้วนกระบวนความท่ยี กขึ้นมาในแตล่ ะเร่อื ง
2. อ้างเหตผุ ล ชีแ้ จง แนะนำ ใหผ้ ้ฟู ังเกดิ ความเขา้ ใจ
มีเรื่องอันมากที่จะต้องยกตัวอย่าง อุปมาอุปไมย เทียบเคียง มีนิทาน
เปรียบเทียบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจแก่บุคคลเหล่านั้น ผู้กล่าวธรรมะจะต้องตั้งปัญหา
ว่าจะแสดงอะไร จะแสดงแก่ใคร แสดงอย่างไร เมื่อแสดงไปแล้วเขาจะรับประโยชน์
อะไร ฉะนั้นอุปกรณ์ที่ใช้เป็นสื่อในการสั่งสอนจึงต้องมีความหลากหลาย ให้สอดคล้อง
กับพื้นฐานของผู้ฟัง การอาศัยสิ่งที่เขาคุ้นเคยเป็นตัวอย่าง มาเป็นอุปมา มาเป็น
เครือ่ งมอื ในการเทียบเคยี งจงึ มีความจำเปน็
3. ตั้งจิตเมตตาปรารถนาทีจ่ ะใหเ้ กดิ ประโยชน์แก่ผฟู้ ัง
การทางานตามโครงสร้างหลักที่กล่าวไว้แล้ว คือ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชน
เป็นอันมากเพื่อเป็นการอนุเคราะห์ต่อชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่
เทวดาและมนษุ ย์ทั้งหลาย การแสดงธรรมะจงึ ตอ้ งงามท้ังตอนตน้ ตอนกลาง และก็ตอน
ปลาย ผู้ฟังมีพื้นฐานที่จะรับรู้ได้โดยวิธีใดก็ใช้วิธีการเหล่านั้นอธิบายเหมือนการสอน
หนงั สือเดก็ ท่ีมีพื้นฐานวุฒิภาวะแตกตา่ งกนั ครูก็ต้องยกั ยา้ ยเปลีย่ นแปลงไปเรื่อย ๆ แม้
จะพูดเรื่องเดียวกัน แต่วิธีการใช้สื่อในการพูดให้เกิดความเข้าใจนั้น จะใช้แตกต่างกัน
ตามพ้ืนฐานทเ่ี ธอสามารถจะรบั รู้ไดโ้ ดยมุ่งประโยชน์ตอ่ ผฟู้ ังเปน็ ทตี่ ง้ั
พระผู้มีพระภาคเจา้ ได้รบั ยกย่องว่า ทรงแสดงธรรมะเหมือนหงายของ
ที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ส่องประทีปในที่มืด เพื่อให้คนมีตาได้เห็น
แสงสว่าง เพราะทรงแสดงธรรมด้วยการตรวจสอบพื้นเพจริงอัธยาศัยของผู้ฟังมาก่อน
ดูว่าเขามีภูมิหลังอย่างไร มีอะไรเป็นพื้นฐาน วาสนาบารมี และแสดงธรรมอะไร แสดง
อยา่ งไร แสดงไปแลว้ เขาจะไดร้ บั ผลอะไร มีการศกึ ษาขอ้ มูล ประเมลิ ผล และสรุปผลไว้
เสร็จก่อนที่จะทรงแสดงธรรม ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ต่างๆที่เกิดขึ้น เมื่อพระพุทธเจ้า
ทรงแสดงธรรมน้ัน ท่จี รงิ แลว้ สำหรบั พระองค์ไมใ่ ช่เปน็ เรื่องอศั จรรย์ เป็นปกตธิ รรมดา
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่จะต้องเป็นเช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงมีหลักการในการ
แสดงธรรมอยู่ 4 ประการ (ท.ี สี. 9/198/161) ใหญ่ ๆ คือ
134
1) สันทัสสนา คือ แสดงเรื่องนั้นอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง ซึ่งผู้รับฟัง
สามารถรู้สามารถเขา้ ใจได้
2) สมาทปนา คือ มีการเชิญชวน ชักชวน ให้เห็นคล้อยตาม และ
ติดตามเรอ่ื งเหลา่ น้ันไปด้วยความสนใจ
3) สมุตเตชนา คือ ปลุกเร้าให้เกิดความอาจหาญ เชื่อมั่นในตนเอง
มคี วามพรอ้ มทีจ่ ะศึกษาและประพฤตปิ ฏิบัติตาม
4) สัมปหังสนา คือ ผู้ฟังรู้สึกเพลิดเพลิน บันเทิง ปลื้มใจ ในการ
แสดงธรรมะทุกครั้งของพระพุทธเจ้า ในตอนท้ายแห่งพระสูตรจะจบลงด้วยคำว่าภิกษุ
ท้งั หลาย มีความเพลิดเพลนิ ชน่ื ชมยินดีในธรรมเทศนาของพระพุทธเจา้
เพราะฉะนั้นการตั้งจิตเมตตาปรารถนาที่จะให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง
จึงต้องโดยเสด็จการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า และยิ่งขึ้นไปกว่านั้น หลักการแสดง
ธรรมของพระพทุ ธเจา้ (ท.ี ปา. 11/312/291) มีอยู่ 4 วธิ ี คอื
1). เอกังสพยากรณ์ ทรงแสดงไปโดยนัยะเดียว เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่ว
ได้ชั่ว ความเกิดเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ จะไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ ทำนอง
เดียวกับการพูดถึงไฟว่าร้อนและมีแสงสว่าง แสงสว่างและความร้อนมิอาจที่จะแยก
จากไฟได้ เมอื่ พดู ถึงไฟก็ต้องมคี วามร้อน เหมอื นเมือ่ พดู ถึงเกลือกต็ ้องมีความเค็ม พดู
โดยนยั เดียวยืนยันเป็นอยา่ งนน้ั ตลอดไป
2). วภิ ชั ชพยากรณ์ มกี ารจำแนกแบ่งแยกช้ปี ระเด็นเพอื่ ให้เกิดความรู้
ความเขา้ ท่ีชดั เจน เช่นถามวา่ เมล็ดพชื เมล็ดน้ปี ลูกงอกหรอื ไม่ ในแง่ของความเป็นจริงก็
ไมส่ ามารถตอบได้ทันที เพราะต้องดูเงื่อนไขของความเป็นเมลด็ พชื เหล่าน้ันกอ่ นว่า แห้ง
กรอบแล้วหรือยัง หน่อถูกทำลายแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่แห้งกรอบ หน่อยังไม่ถูกทำลาย
เม่ือเมล็ดพืชเหลา่ นน้ั ไดอ้ ุณหภูมทิ ่เี หมาะสมกง็ อกได้ จึงจะชแี้ จงว่างอกได้ แต่ถ้าหากวา่
องค์ประกอบ 3 ประการน้ัน อย่างใดอย่างหน่ึงไม่มี เมล็ดพืชนั้นก็ปลกู งอกไมไ่ ด้ อย่างท่ี
คนพูดกันว่า คนเราตายแล้วไปไหน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยจำแนกก็คือว่าใครตาย คนตาย
นั้นยังมีกิเลสอยู่หรือไม่ ถ้ามีกิเลสก็ต้องไปตามกรรมของเขา ถ้าไม่มีกิเลสก็ไม่มีการเกิด
เพราะไม่มีตัวท่ีจะทำให้เกดิ เนื่องจากเหตุให้เกิดได้ถูกทำลายไปแล้ว ทำนองเมล็ดพืชได้
แห่งกรอบแลว้ แม้จะไดอ้ ุณหภูมิท่ีเหมาะสมอยา่ งไร ก็งอกขึน้ มาไม่ได้
3). ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ตอบด้วยการย้อนถามเป็นการถามความ คิด
ของเขา แล้วเอาความคิดของเขานั้นเองถามย้อน ถามเข้าไปหาเขาเมื่อถามไปโดยลำดบั
ก็จะออกมาเป็นคำตอบ ส่วนมากจะใช้กับคนที่หัวดื้อถือดี ให้ความสำคัญแก่ตัวเอง
เขา้ ใจวา่ ตวั เองเปน็ นักปราชญ์
4). ฐปนียะนิ่งไว้ไม่ตอบเพราะพูดไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร คล้าย ๆ
กับเด็กเล็กๆมาถามสูตรทางเคมี จะอธิบายอย่างไรก็อธิบายไม่ได้ ต้องรอให้เจริญเติบโต
135
เสียก่อน ปัญหาบางอย่างเป็นปัญหาที่จะต้องใช้ระบบ กระบวนการในการชี้แจง และ
เมื่อฐานความเข้าใจเกี่ยวกับระบบหรือขบวนการนั้น ยังไม่มีอยู่ภายในใจบุคคลเหล่าน้นั
ขนื พูดไปก็เสียเวลาเปลา่ จึงทง้ิ ไว้ไม่ตอบ
ทา่ ทีที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม 3
พระพุทธเจ้าทรงโปรดรูปแบบอนุสาสนีปาฏิหาริย์มากที่สุดพระองค์ทรง
พจิ ารณาร้จู ักจริต ภมู ิปญั ญาและภูมิหลังของผู้ฟังและเกิดผลที่ยงั่ ยนื มากกว่าเพราะว่า
1. ทรงแสดงธรรมเพื่อใหผ้ ู้ฟงั ได้รู้เห็นสิง่ ทค่ี วรรคู้ วรเหน็ (อภิญญาย)
2. ทรงแสดงธรรมมีเหตุผลทอี่ าจตรองตามใหเ้ หน็ จรงิ ได้ (สนิทำนํ)
3. ทรงแสดงธรรมมีปาฏหิ าริย์ คือ ผปู้ ฏบิ ตั ิตามย่อมได้รับประโยชน์
ควรแกก่ ารปฏิบตั ิ (สปปฺ าฏหิ ารยิ )ํ (อง.ติก. 20/356/565)
พระศาสดาทรงทราบใจของบรรพชิตเหล่านั้นจึงตรัสสุตตันตะนี้ คือ
โคตรมกสูตรซึ่งในการทรงแสดงธรรมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีหลักอาการหรือ
หลักการ วธิ ีการเผยแผธ่ รรม 3 ประการ (ม.ม.ู อ. 1/13/62-65) คือ
1. ทรงแสดงธรรมเพื่อความรู้เห็นสิง่ อันควรรู้ควรเห็นนั้น คือ ทรงแสดง
เท่าที่จำเปน็ แก่การระงับดบั ทกุ ข์ แม้จะทรงรธู้ รรมทง้ั ปวง (สพั พัญญู) ทรงเห็นสง่ิ ท้ังปวง
(สัพพทัสสาวี) แต่สิ่งใดไม่จำเป็นเพื่อกำจัดทุกข์ก็ไม่ทรงแสดง ดังที่ทรงเปรียบว่า ธรรม
ที่ทรงแสดงแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายเหมือนใบไม้ในกำพระหัตถ์ ส่วนที่ทรงรู้แล้วแต่ยังมิได้
ทรงแสดงเหมือนใบไม้ในป่าที่ไม่ทรงแสดงเพราะทรงเห็นว่าไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น
ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความรู้ยิ่ง เห็นจริง ในธรรมที่เขาควรรู้ ควรเห็น และใน
ขณะเดียวกัน คนเหล่านั้นต้องมีพื้นฐานทางสติปัญญาบารมี ที่ช่วยให้เขาสามารถรู้
สามารถเห็นความจริง ตามที่ทรงแสดงไว้ด้วย ทำให้การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า
อาจจำแนกได้ 3 ลักษณะคอื
1) อาณาเทศนาเป็นบทบัญญัติทรงแต่งตั้งขึ้น บัญญัติขึ้น เพื่อเป็น
หลักในการประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสม แก่สถานภาพของความเป็นพุทธบริษัทใน
หมู่นั้น ๆ มีบทกำหนดเป็นโทษแก่ผู้ล่วงละเมิดข้อที่ทรงห้ามและไมท่ ำตามขอ้ ท่ีทรงประ
ทำนพุทธานญุ าติไว้
2) อนุโลมเทศนา หรือ โวหารเทศนา เป็นพระธรรมเทศนาที่ทรง
หลากหลาย คล้อยตามพื้นเพจริต อัธยาศัย วาสนา บารมีของคนฟัง คนฟังในขณะน้ัน
สามารถได้รบั ผลดว้ ยธรรมเทศนาระดบั ใด กจ็ ะทรงแสดงในระดบั นนั้
3) ปรมัตถเทศนา เป็นการแสดงความจริงที่แท้จริงขององค์ธรรม 4
ประเภท คือ จิต เจตสิก คือ กุศล อกุศล และอัพยากฤต ที่เกิดขึ้นปรุงแต่งจิตของคน
ให้เปลี่ยนแปลงตามอำนาจของธรรมเหล่านั้น รูป คือ สิ่งที่คนสามารถสัมผัสได้ด้วย ตา
หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งหยาบ กลาง ละเอียด เลว ประณีต ไกล ใกล้ นิพพาน คือ ผลสูงสุด
136
ในทางพระพุทธศาสนาที่พัฒนาจิตเข้าถึงความดับเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์ได้อย่าง
แทจ้ รงิ
2. ทรงแสดงธรรมมีเหตุที่ผู้ฟัง ศึกษา พิจารณา ปฏิบัติ และจะ
เห็นจริงตามที่ทรงแสดงไว้ แม้จะมีการยักยา้ ยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตามนั้น คือ การ
แสดงเหตุเพื่อให้เกิดผลเป็นปัญญา ความบริสุทธิแ์ ละความเมตตากรุณาขึ้นภายในจิตใจ
ของผู้ฟังเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ในการแสดง จึงได้รับการยกย่อง
จากผู้ฟังในสมัยนั้น ๆ ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเหมือน “หงายของที่คว่ำไว้
เปิดของที่ปิดไว้ บอกทางแก่คนที่หลงทาง และส่องประทีปในที่มืด เพื่อให้คนที่ตาไม่
บอดได้เห็นแสงสว่างในสถานที่นั้น ๆ ” ทรงแสดงธรรมมีเหตุผลนั้น ไม่ใช่งมงาย
เลื่อนลอย และธรรมที่ทรงแสดงแล้วผู้ฟังย่อมตรองตามให้เห็นจริงได้ เหมาะสมกับภูมิ
ปญั ญาของผู้ฟังแตล่ ะท่าน แตล่ ะกลุม่ ดว้ ย (ปจฺจตตฺ ํ เวทิตพโฺ พ วิญญฺ ูห)ิ
พระธรรมของพระตถาคตเจ้านั้นไม่ยากเกินไปจนตรองแล้วก็ไม่เห็น
เหตุผล และไม่ง่ายเกนิ ไปจนไม่ตอ้ งตรองกม็ องเห็น(โยนิโสมนสิการ)
เทียบให้เห็น เช่น ข้อสอบยากเกินไป เด็กคิดเท่าไรก็ตอบไม่ได้
ข้อสอบง่ายเกินไป เด็กไม่ต้องคิดก็ทำได้ แต่ข้อสอบที่พอดี ไม่ยากไม่ง่ายนั้น ต้องคิดจึง
เหน็ ทำได้ ไมค่ ดิ ไมเ่ หน็ ทำไม่ได้
พระธรรมของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ไม่ยากไม่ง่าย พอดี ๆ สำหรับ
มนษุ ยท์ ั่วไป หม่ันตรึกหมั่นตรองกจ็ ะเห็นเหตุผลท่ีพระองค์ตรัสไว้ (ยถา ภตู ํ ปชานาติ)
3. ทรงมีคำสอนเป็นอัศจรรย์ คือ ผู้ประพฤติปฏิบัติตามจะได้รับผล
ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์อย่างอื่น แสดงให้เห็นว่าเป็นคุณ
เป็นโทษอย่างไร เมื่อใครปฏิบัติตามที่ทรงสอน ล่วงละเมิดในข้อที่ทรงสั่งห้ามไว้ เขาจะ
ประสบคุณแห่งกุศลธรรม และโทษจากอกุศลธรรม ตรงตามที่ทรงแสดงไว้เสมอ ใคร
ปฏบิ ัติชอบมากย่อมได้รบั ผลมาก ปฏิบัตินอ้ ย ไดร้ บั ผลน้อย (ธมมฺ านุธมมฺ ปฏิปตตฺ ิ)
บทสรปุ
การฝึกจติ ปาฏิหารยิ ์จะเกิดผลได้น้นั จะตอ้ งเกดิ จากฝึกจิตจนเป็นสมาธิ
มีความสงบ ผ่องใสมีความแน่วแน่ปราศจากกิเลสขุ่นมัวต่างๆ มารบกวน จิตเกิดพลัง
สมควรแก่การงานและจิตก็จะบรรลุถึงฌานขั้นต่าง ๆ ผู้ที่ได้ฌานก็จะสามารถน้อมจิต
แสดงปรากฏการณ์ออกมาให้ผู้ฝึกกระทำการประการใดประการหนึ่งได้ตามความ
ปรารถนาของจิต ซึ่งฤทธ์บิ ังเกดิ ข้ึนกับผฝู้ ึกจติ ไดแ้ ก่
1) ฤทธทิ์ ีอ่ ธิษฐาน
2) ฤทธทิ์ ่ีแสดงไดต้ ่างๆ
137
3) ฤทธ์ทิ ีส่ ำเร็จดว้ ยใจ
4) ฤทธท์ิ แี่ ผไ่ ด้ดว้ ยญาณ
5) ฤทธ์ทิ ่ีแผ่ไปดว้ ยสมาธิ
6) ฤทธขิ์ องพระอริยะ
7) ฤทธท์ิ เ่ี กดิ จากผลกรรม
8) ฤทธขิ์ องทา่ นผมู้ ีบญุ
9) ฤทธ์ทิ ี่สำเร็จมาจากวชิ ชา
10) ชื่อว่าฤทธิ์เพราะมีสภาวะสำเร็จด้วยการประกอบโดยชอบ
ในส่วนนั้น ๆ เป็นปัจจัย
ปาฏิหารยิ ์ในพระพุทธศาสนาทป่ี รากฏมี 3 ประเภท คือ
1) อทิ ธปิ าฏิหารยิ ์ คอื การแสดงฤทธต์ิ า่ ง ๆ ได้
2) อาเทสนาปาฏิหาริย์ คือ การทายจิต ทายความรู้สึกของคน
อ่นื ได้
3) อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ การใช้คำสอนที่สามารถทำให้คน
หมดกิเลสพน้ ทกุ ข์ได้
อิทธิปาฏิหาริย์ในพระพุทธศาสนาพบว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญอง
อย่างแรกเพราะอิทธิฤทธิ์ทั้งสองมีลักษณะเป็นอามิสฤทธิ์ เพราะการแสดงเพื่อให้มี
ความสำเร็จในทางวัตถุหรือการแสดงฤทธิ์ในทางธรรมซึ่งอาจจะมองเป็นผลสำเร็จได้ใน
บางอย่างบางด้านซึ่งไม่มั่นคงถาวร เพราะถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้นการแสดงฤทธิ์ก็แสดง
บ่อยขึ้นอาจส่งผลเสียก็ได้ เพราะฤทธิ์บางทีก็เสื่อมได้ เพราะเป็นเพียงฌานโลกียะ ส่วน
อาเทสนาปาฏหิ ารยิ น์ ัน้ แม้วา่ ผู้มีฤทธ์ิจะสามารถกำหนดจติ รจู้ ิตของผูอ้ นื่ ได้อย่างแม่นยำ
เพียงไรก็ตาม หากว่ามีคนมากขึ้นก็อาจจะทำให้ยุ่งยากในการกำหนดจิตผู้อื่นมากข้ึน
เกินกวา่ ความจำเป็นและทำใหค้ นขาดการพึ่งตนเอง
ส่วนอนสุ าสนปี าฏหิ ารยิ ์ พระพทุ ธองค์ทรงสรรเสรญิ ยกย่องวา่ เป็นเลิศกว่า
สองอย่างแรก ซึ่งอนุสาสนีปาฏิหาริย์สามารถทำให้คนหมดกิเลสพ้นทุกข์ได้ เพราะเป็น
เป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือพระนิพพาน ซึ่งพระพุทธองค์เน้นการปฏิบัติด้วย
หลักเพียรพยายามโดยเป็นตัวชี้ไปถึงผล หากคนใดไม่ปฏิบัติด้วยตัวเองก็จะไม่พบหลัก
แห่งความจริง เพราะการปฏิบัติในหลักธรรมยอ่ มจะพบกับความเป็นจริงอยูแ่ ล้ว เพราะ
การผา่ นข้นั ตอนการปฏบิ ัตขิ องผู้รคู้ วามจริงย่อมได้ประโยชนม์ ากกว่าการพ่ึงฤทธ์ิ
ผู้ฝึกจิตดำเนินชีวิตตามหลกั ปฏิบัติอยา่ งถูกต้องสามารถสร้างพลังงานทาง
จิตใจ เกิดสมาธิเป็นการเข้าถึงความสงบสุขที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นความสุขที่เยือกเย็น
เพราะจิตที่เป็นสมาธิ (ขั้นอุปจารสมาธิขึ้นไป) สามารถข่มนิวรณ์ 5 ได้ และถ้าอยู่ใน
138
ระดับฌานก็สามารถบรรเทาความโลภ โกรธ หลง ความมีมานะถือตัวถือตน ลดอัตตา
จนกระทั่งทำให้กิเลสเบาบางลง เมื่อผู้ฝึกจิตสามารถเข้าในระดับฌานต่าง ๆ ก็สามารถ
นำมาใช้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ เช่น สามารถขจัดปัญหาอุปสรรคจากหน้าที่
การงาน ขจัดความเหน็ ผิดจากกระแสโลกธรรม มคี วามสงบสุขสันตภิ ายใน
ประโยชน์การฝึกจิตทำให้เกิดความสุขแก่ผู้ปฎิบัติแล้ว ยังสามารถทำให้ผู้
ปฏิบัติเกิดฤทธิ์ต่าง ๆ แก่ผู้ปฏิบัติและทำให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แม้จะไม่เกิด
อิทธิปาฏิหาริย์ขึ้น ก็ยังเชื่อว่า ช่วยพัฒนาจิตให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกและ
ชีวติ อนั เปน็ ไปตามสังขตธรรม สลัดความยึดมัน่ ถือม่ันวา่ เป็นของเรา ตัวเรา ลงไปไม่มาก็
น้อยขณะเดียวกันสามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมมด้วยความองอาจ เพราะไม่หวั่นไหวต่อ
โลกธรรมทั้งแปด เมื่อมองเห็นเช่นนี้ได้ก็สามารถเข้าใจความหมายของชีวิตและ
หลักธรรมคำสอนในพระพทุ ธศาสนาได้อย่างถูกต้องถูกวิธี
คำถามท้ายบท
1. ผลของการฝึกจิตระหว่างพระพทุ ธศาสนากบั วิทยาศาสตร์มีด้านใดสอดคลอ้ งกนั บ้าง
แนะแนวคำตอบ ศึกษาผลของจิตในทางพระพุทธศาสนาศึกษาได้จากคัมภีร์
พระพุทธศาสนา เช่น พระไตรปิฎกเล่มที่ 9 , 11 , และ 21 อรรถกถา และพจนานุกรม
พุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ส่วนผลของการฝึกจิตทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาได้จาก
วารสารวจิ ัยทางวิทยาศาสตร์ ผลงานวจิ ยั ทางการแพทย์ และมหาวิทยาลยั ริชช่ี
2. เป้าหมายท่ีแทจ้ รงิ ของการฝึกจติ ในทรรศนะวทิ ยาศาสตร์คืออะไร
แนะแนวคำตอบ ศึกษาปรัชญาวิทยาศาสตร์และการนำไปใช้ในแวดวงวทิ ยาศาสตร์
3. พระพุทธเจ้าทรงยกย่องสรรเสริญปาฏิหาริย์ประเภทใด เพราะเหตุใด ยกตัวอย่าง
ประกอบ
แนะแนวคำตอบ ศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะพระไตรปิฎก ส่วนของพระ
สตุ ตันตปิฎก ฉบับภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั
4. ชีวิตประจำวันนักศึกษาได้ฝึกจิตแล้วได้อะไรบ้าง มีลักษณะใดบ้างตรงกับเนื้อหาใน
บทท่ี 5 ท่ีนักศึกษาไดศ้ ึกษา
แนะแนวคำตอบ ศึกษาตัวเองและเอกสารประกอบการสอนประจำรายวิชาพลัง
มหศั จรรยแ์ ห่งชวี ติ ประกอบการพจิ ารณา
5. นักศึกษามีความคิดเห็นอย่างไรต่อผลการฝึกจิต และทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้
อยา่ งไร
แนะแนวคำตอบ ศึกษาเอกสารประกอบการสอนประจำรายวิชาพลังมหัศจรรย์แห่ง
ชวี ติ ประกอบ และศกึ ษาประสบการณ์ของตนเอง
139
เอกสารอ้างอิง
ก. เอกสารชั้นปฐมภมู ิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .
มหามกฏุ ราชวิทยาลยั . (2543). พระไตรปฎิ กและอรรถกถา ฉบบั มหามกุฏราช
วทิ ยาลัย. (พิมพค์ ร้ังท่ี 4). กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั .
_______. (2518). อรรถกถาอัฏฐสาลนิ ี ตอนท่ี 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกฏุ ราช
วิทยาลัย.
_______. (2518). อภธิ มั มตั ถวิภาวินิยา ปฐมภาค. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกุฏ
ราชวิทยาลยั .
_______. (2506). อภธิ มั มัตถสังคหบาลีและอภธิ ัมมตั ถวิภาวนิ ีฎีกาฉบับแปลเป็นไทย.
กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวิทยาลยั .
ข. เอกสารชนั้ ทตุ ิยภูมิ
ไชย ณ พล. (2540). การเสรมิ สรา้ งพลังอำนาจแหง่ ชวี ิต. กรงุ เทพฯ: เคลด็ ไทย.
ทองเปลือง อภยั วงศ์. (2548). “การบำบดั รกั ษาผู้ป่วยในทางไสยเวทกับแนวคิดทาง
พทุ ธปรชั ญา”. สารนพิ นธศ์ าสนศาสตรมหาบัณฑิต. บัณฑติ วทิ ยาลัย:
มหาวทิ ยาลัยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย.
ทิพากาญจน์ ประภารัตน์. (2551). “การศึกษาวิเคราะห์เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ใน
พระพุทธศาสนาเถรวาท”. พุทธศาสตรบัณฑิต (พระพุทธศาสนา). บัณฑิต
วิทยาลยั : มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย.
บุญศรี ประภาศิริ. (2509). อนุสรณ์ พระยาโกษากรวิจารณ์. กรุงเทพฯ: เจริญสิน
การพมิ พ.์
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). (2545). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวล
ธรรม. กรงุ เทพฯ: สอ่ื ตะวัน.
_______. (2544). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ธรรมสภา.
พระธรรมธีรราชมหามุนี (วลิ าสญาณวโร) . (2535). โลกทีปนี. กรงุ เทพฯ:
สำนักพิมพ์ดอกหญา้ .
มงคล กริชติทายาวธุ . (2549). การบำบัดโรคทางกายด้วยจติ . กรงุ เทพฯ: สาร
ชมรมศาสนาและการกศุ ล.
140
บรรณานุกรม
ก. เอกสารชั้นปฐมภมู ิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย. กรุงเทพฯ:
โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย.
มหามกุฏราชวิทยาลยั . (2543). พระไตรปิฎกและอรรถกถา ฉบับมหามกุฏราช-
วิทยาลยั . พมิ พค์ ร้งั ท่ี 4. กรงุ เทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั .
_______. (2518). อรรถกถาอฏั ฐสาลินี ตอนที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราช-
วทิ ยาลยั .
_______. (2518). อภิธมั มัตถวภิ าวินยิ า ปฐมภาค. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกฏุ -
ราชวิทยาลัย.
_______. (2506). อภธิ ัมมตั ถสงั คหบาลีและอภธิ ัมมัตถวภิ าวินีฎีกาฉบบั แปลเปน็ ไทย.
กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทิ ยาลยั .
ข. เอกสารชน้ั ทุติยภูมิ
จารุเดช วาดวิไล. (2539). “การหาปริมาณสิ่งเจือปนบางชนิดในสารประกอบ
แทนทาลัมความบริสุทธิ์สูงโดยวิธีแอกติเวชันด้วยนิวตรอนพลังงาน 14 เมกะ
อิเล็กตรอนโวลตจ์ ากเคร่อื งกำเนิดนวิ ตรอน”. วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาวิศวกรรม
ศาสตรมหาบัณฑิต. ภาควิชานิวเคลียร์เทคโนโลยี บัณฑิตวิทยาลัย:
จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ชัยวัฒน์ คุประตกุล. (2524). วิทยาศาสตร์ในนิยายวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: ต้น
หมาก.
_______. (2539). มนษุ ย์กับจกั รวาล. กรงุ เทพฯ: สารคด.ี
_______. (2545). วถิ ีแห่งปญั ญา. กรุงเทพฯ: สถาบนั วิถีทรรศน์.
_______. (2543). ไอนส์ ไตนผ์ ู้พลกิ จกั รวาล. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรงุ เทพฯ: สารคด.ี
_______. (2543). A – Z ภาษาวิทยาศาสตร์. กรุงเทพฯ: สารคด.ี
ไชย ณ พล. (2540). การเสริมสร้างพลังอำนาจแห่งชวี ติ . กรุงเทพฯ: เคลด็ ไทย.
ทองเปลอื ง อภยั วงศ.์ (2548). “การบำบดั รักษาผปู้ ว่ ยในทางไสยเวทกบั แนวคิดทาง
พทุ ธปรัชญา”. สารนพิ นธศ์ าสนศาสตรมหาบัณฑติ . บณั ฑิตวทิ ยาลัย:
มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั .
141
ทิพากาญจน์ ประภารัตน์. (2551). “การศึกษาวิเคราะห์เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ใน
พระพุทธศาสนาเถรวาท”. พุทธศาสตรบัณฑิต (พระพุทธศาสนา). บัณฑิต
วทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย.
บรรยง บุญฤทธิ์. (2526). เบื้องหลังการค้นคว้าพลังจิตและพลังลึกลับของโลก
ตะวนั ตกและโลกหลงั มา่ นเหล็ก. กรุงเทพฯ: ธนบรรณ.
บุญศรี ประภาศิริ. (2509). อนุสรณ์ พระยาโกษากรวิจารณ์. กรุงเทพฯ: เจริญสิน
การพิมพ.์
ปาริฉัตต์ ศังขะนันทน.์ (2549). คลนื่ สมองกับพลังพเิ ศษในตัวคณุ . กรงุ เทพฯ:
ศนู ยส์ ารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี
พร รตั นสวุ รรณ. (2536). อภิญญา เลม่ 2. กรงุ เทพฯ: สำนักคน้ คว้าทางวิญญาณ.
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต). (2531). พจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์.
(พิมพค์ รัง้ ท่ี 4). กรงุ เทพฯ: บรษิ ัทดา่ นสทุ ธาการพมิ พจ์ ำกดั .
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต). (2545). พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวล
ธรรม. (พมิ พค์ รัง้ ท่ี 13). กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท เอส .อาร์. พรน้ิ ต้ิง แมส โปรดกั ส์
จำกดั .
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตฺโต). (2545). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวล
ธรรม. กรงุ เทพฯ: สอื่ ตะวัน.
_______. (2544). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ: สำนกั พมิ พธ์ รรมสภา.
พระธรรมธีรราชมหามนุ ี (วลิ าสญาณวโร) . (2535). โลกทีปนี. กรงุ เทพฯ:
สำนกั พิมพ์ดอกหญา้ .
พระธรรมวิสุทธิกวี (พิจิตร ิตวณฺโณ ภิกฺขุ). (2549). จิตวิทยาในพระอภิธรรม.
(พมิ พค์ รั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลยั .
_______. (2550). แบบไหว้พระสวดมนต์และหลักธรรมในการเจริญวิปัสสนา.
(พมิ พ์ครงั้ ท่ี 13). กรุงเทพฯ: บริษทั ชวนพิมพ์ จำกัด.
_______. วิปสั สนาภาวนา. (2546). (พมิ พ์ครั้งที่ 5). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หามกุฏ
ราชวทิ ยาลัย.
พระสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ. (2525). สมถกรรมฐานทีปนี ปริเฉท 9 เล่ม 1.
กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั .
พระอาจารย์ประเดิม (โกมโลภิกขุ). (2499). อธิบายพระปรมัตถธรรม. กรุงเทพฯ:
โรงพมิ พบ์ ริษัทคณะชา่ งจำกดั .
พระอริยคุณาธาร (เส็งปุสฺโส ป.ธ. 6). (2535). ทิพยอำนาจ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์
มหามกุฏราชวิทยาลัย.
พรี ศกั ดิ์ วรสนุ ทโรสถ. (2545). รอยไอยรา 8. กรุงเทพฯ: ศรีเมอื งการพมิ พ.์
142
มงคล กริชตทิ ายาวุธ. (2549). การบำบัดโรคทางกายดว้ ยจติ . กรุงเทพฯ: สาร
ชมรมศาสนาและการกุศล.
มอร์ตนั วอล์คเกอร.์ (2538). พลังแหง่ สสี นั . กรุงเทพฯ: บริษทั ซีเอ็ดยเู คชน่ั จำกดั .
ลออง มีเศรษฐ.ี (2504). พจนานุกรมลำดบั สระ. กรงุ เทพฯ: สำนกั พมิ พ์จงเจริญ.
วรรณสิทธิ ไวทยะเสวี. (มปป). พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริเฉทที่ 3. กรุงเทพฯ:
ทพิ ยว์ ิสุทธ.ิ์
วธิ าน ฐานะวฑุ ฒ.์ (2547). บายพาสอารมณ.์ กรุงเทพฯ: สำนกั พิมพ์ศยาม.
วิธาน สุชีวคุปต์. (2549). อภิปรัชญา. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลยั รามคำแหง.
ศศธิ ร พุมดวง. (2548, พฤศจกิ ายน). “ดนตรบี ำบัด”. สงขลานครินทรเ์ วชสาร, 23
(3): 186.
ศุภกาญจน์ วิชานาต.ิ (2556). ออรา่ ในพระพุทธศาสนา. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั พเี ค พร้นิ
ติ้ง จำกดั .
สตีเฟน ฮอว์กิ้ง, รอฮีม ปรามาส (แปล). (2546). ประวัติย่อของกาลเวลา. (พิมพ์
ครง้ั ท่ี 5). กรุงเทพฯ: มตชิ น.
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน). (2540). ลักษณะพระพุทธศาสนา. (พิมพ์
คร้งั ที่ 7). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวิทยาลยั .
สฤษฎ์ ธราธัชกุญชร. (2550). “การศึกษาเรื่องพุทธานุภาพ”. สารนิพนธ์ศาสน –
ศาสตรมหาบัณฑิต. บณั ฑิตวทิ ยาลยั . มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลัย.
สาโรจน์ เกษมสุขโชติกุล. (2538, พฤศจิกายน). “วิญญาณมีจริงหรือ ?” Update,
10 (113): 47.
สำนกั พมิ พม์ ตชิ น. (2529). ประเดน็ ทน่ี ่าสนใจเกีย่ วกับแทนทาลัม. กรงุ เทพฯ : โรง
พมิ พ์พฆิ เณศ.
หลวงเทพดรุณานุศิษฏ์ (ทวี ธรมธัช ป. 9). (2540). ธาตุปฺปทีปิกา หรือพจนานุกรม
บาลี-ไทย. (พิมพค์ รง้ั ท่ี 7). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทิ ยาลยั .
Brian Greene, อรรถกฤต ฉัตรภูติ (แปล). (2552). ทอถักจักรวาล (The Fabric
of the Cosmos). (พมิ พ์ครั้งที่ 2). กรงุ เทพฯ: สำนกั พมิ พม์ ตชิ น.
Ted Andrews, อนั เวส (แปล) . (2542). ออรา่ แสงแหง่ เรอื นกาย. กรุงเทพฯ:
สำนกั พมิ พเ์ รอื นบญุ .
143
A.T.Collect and Eugene Chiappetta. (2009). Science Instruction in the
Middle and Secondary Schools: Developing Fundamental
Knowledge and Skills. C.A.: Pearson Education.
Dora Von Gelder Kunz. (1996). The personal aura. Wheaton, IL, USA:
Theosophical Publishing House.
George S. Elrick. (1978). Science Fiction Handbook For Readers And
Writers. Chicago: Chicago Review Press, Inc.
Guzzetta CE. (1997). Music therapy. In: Dossey BM, editor. Core
curriculum for holistic nursing. Gaithersburg: an Aspen.
John Clute and Peter Nicholls, ed. (1993). “ESP”. New York: The
Encyclopedia of Science Fiction.
Masaru Emoto. (1999). “Messages from Water”. Tokyo: Decembe
Paperback. 1 (11): 1-19.
Richard P. Brennan. (1992). Dictionary of Scientific Literature. New
York : John Wiley.
ชมรมคนใจสบาย. (2549). ภาวะของคลนื่ สมอง. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก:
http://www.websamba.com/mindbody. วนั ทสี่ บื คน้ 2549, กนั ยายน.
25.
_______. (2549). Brain Waves. [ออนไลน]์ . เข้าถงึ ไดจ้ าก:
http://web.lemoyne.edu/~Hevern/psy340.09.02.stages.sleep.html.
วนั ท่ีสบื ค้น 2549, ตุลาคม. 3.
เบริ ์ธ ณ ภทั รดศิ . (2549). ออรา่ คืออะไร. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก:
http://www.triplusgroup.com/gzone.html. วนั ท่สี บื คน้ 2555,
พฤศจิกายน. 22.
ปารฉิ ัตต์ ศังขะนันทน.์ (2549). คลื่นสมองกับพลังพเิ ศษในตวั คุณ. [ออนไลน์].
เข้าถงึ ได้จาก:
http://www.novabizz.com/NovaAce/Physical/Brainwave.htm.
วันทสี่ บื คน้ 2549, กนั ยายน. 20.
ไทยโพสต์ซันเดย์. (2552). ปรจติ วทิ ยา-อภิญญาคอื วิทยาศาสตรจ์ รงิ ๆ. [ออนไลน]์ .
เขา้ ถึงได้จาก: http://www.thaipost.net/sunday/140209/262. วนั ท่ี
สบื ค้น 2552, ตลุ าคม. 3.
144
ไทยรฐั ออนไลน.์ (2553). พลงั มหศั จรรยแ์ หง่ ดนตรี กระตนุ้ สมองหล่งั สารแหง่
ความสขุ .[ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก:
https://www.thairath.co.th/content/life/125331. วันท่สี ืบคน้ 2553,
พฤศจิกายน. 10.
นพ.วธิ าน ฐานะวุฑฒ์. (2549). จิตตปัญญาศกึ ษากบั คลื่นสมอง. [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก: http://ww.siamsewana.org/. วันทส่ี บื ค้น 2549,
กันยายน. 20.
แพง ชนิ พงศ.์ (2551). ดนตรเี พม่ิ พลงั สมอง . [ออนไลน์]. เข้าถึงไดจ้ าก:
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=951000
0093735. วนั ทีส่ ืบค้น 2551, พฤศจิกายน. 2.
มูลนิธนิ วชีวัน. (2554). พลังชวี ิตกับสุขภาพ ? บทท่ี 2: พลังชวี ติ มาจากไหน.
[ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก:
http://www.nawachione.org/2012/10/28/life-energy-and-health-
02/. วันทีส่ ืบคน้ 2554, ตลุ าคม. 28.
มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร. (2552). วิทยาลัยพทุ ธศาสตร์และปรัชญา.
[ออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก: http://www.cbp-pnru.com/. วนั ที่สืบคน้
2552, มนี าคม. 20.
ร่งุ โรจน์ หนูขลบิ . (2556). ทฤษฎีของแสง. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ได้จาก: http://
edltv.vec.go.th/courses/37/10160004.pdf. วนั ทีส่ บื คน้ 2555, เมษายน.
2.
แรงบันดาลใจ. (2555). สายลบั พลงั จิต. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ไดจ้ าก:
http://elfin1234.blogspot.com/2013/05/blog-post.html. วันที่สบื ค้น
2555, พฤษภาคม. 22.
วารสารสอ่ื ชุมชน. (2553). บา้ น... จดุ เรมิ่ เพ่มิ พลังชีวิต. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ไดจ้ าก:
http:// www.vcharkarn.com/varticle/42785. วนั ท่ีสบื ค้น 2553,
กนั ยายน. 5.
สารชมรมศาสนาและการกศุ ล. (2553). การเพมิ่ พลงั ชวี ิตทน่ี า่ สนใจ. [ออนไลน์].
เขา้ ถงึ ได้จาก:
http://www.mongkoldham.com/text%5CsanRMC_59.pdf. วันท่ี
สบื คน้ 2553, กนั ยายน. 5.
หลวงวจิ ิตรวาทการ. (2553). เรอ่ื งของจติ . [ออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก: http://
www.homebankstore.com/dl/psy/048.pdf. วนั ทีส่ บื ค้น 2553,
กนั ยายน. 10.
145
Christen and Junker. (2004). Cyberlink Mindmouse: Application of
Brain Wave Computer Control. [ออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก:
http://www.dinf.ne.jp/doc/english/Us_Eu/conf/csun_99/session02
44.html. วนั ท่ีสบื ค้น 2552, พฤศจกิ ายน. 1.
Longdodic. (2555). Aura. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก:
http://dict.longdo.com/search/aura. วนั ท่สี บื ค้น 2555, กนั ยายน. 10.
Natcha. (2013). Psychic weapons development. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ได้จาก:
http://www.gwu.edu/~nsarchiv/NSAEBB/NSAEBB54/st36.pdf
วนั ทส่ี บื คน้ 2555, ตลุ าคม. 1.
Philippe Van Lieu. (1998-2014). Win Aura Program. PROGEN Aura
Imaging Systems [CD]. CA.: Redwood City.
146
ประวตั ิผู้เขยี น
ชอ่ื – นามสกลุ : รองศาสตราจารย์ ดร.ศภุ กาญจน์ วชิ านาติ
ท่ีทำงานปัจจบุ ัน : 9 พทุ ธวิชชาลัย มหาวิทยาลัย
ราชภัฏพระนคร ถนนแจง้ วัฒนะ แขวงอนสุ าวรยี ์เขต
การศกึ ษา บางเขน จังหวัดกรุงเทพมหานคร
พ.ศ. 2545 :
ปริญญาตรี วิทยาศาสตรบณั ฑิต
พ.ศ. 2548 : (ชีววทิ ยา) มหาวทิ ยาลัยศร-ี นครินทรวโิ รฒ
ปริญญาโท พุทธศาสต-
พ.ศ. 2554 : มหาบณั ฑิต(พระพุทธศาสนา) มหาวทิ ยาลัยมหา
จุฬาลงกรณ-ราชวิทยาลยั
พ.ศ. 2552 : ประกาศนยี บัตรบัณฑิตวิชาชีพ
พ.ศ. 2553 : ครู มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พระนคร
พ.ศ. 2554 : ธรรมศึกษาชน้ั ตรี
พ.ศ. 2555 : ธรรมศกึ ษาชั้นโท
ธรรมศึกษาชนั้ เอก
ศาสนศกึ ษาดุษฎีบัณฑิต(พุทธ-
ศาสนศ์ ึกษา) มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั
การทำงาน
พ.ศ. 2560 - 2564 : ประธานหลักสูตรและกรรมการบริหาร
หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา
พระพทุ ธศาสนา มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนคร
พ.ศ. 2560 - ปจั จบุ ัน : กรรมการสอบดุษฎนี ิพนธ์ บัณฑติ วิทยาลัย
สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา และพทุ ธศาสน์
ศกึ ษา มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราช
วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราช
วิทยาลัยบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
พ.ศ. 2557 - ปัจจบุ นั : ผทู้ รงคุณวุฒิอา่ นบทความทางวิชาการ
ประจำวารสารวทิ ยาลยั นครราชสีมา มหาวทิ ยาลยั
147
สวุ รรณภูมิ มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนคร
พ.ศ. 2555 - พ.ศ. 2557 : เลขานุการและกรรมการบรหิ ารหลกั สูตร
ครุศาสตรบัณฑิตและหลักสูตรศิลปศาสตร
บณั ฑติ มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนคร
พ.ศ. 2554 - พ.ศ. 2557 : หวั หนา้ ฝา่ ยวิชาการประจำพทุ ธวิชชาลัย
มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนคร
พ.ศ. 2549 : อาจารยป์ ระจำ
ถงึ 2555 วทิ ยาลัยพทุ ธศาสตร์และ
ปรัชญา(พุทธวิชชาลัย) มหาวิทยาลัยราชภัฏพระ
นคร
พ.ศ.2553 : หัวหนา้ ฝา่ ยประกันคุณภาพ
การศกึ ษา
พ.ศ.2550 : กรรมการและเลขานุการประจำ
หลักสตู รศิลปศาสตรบณั ฑิต(พระพทุ ธศาสนา)
ผลงานทางวชิ าการ
เอกสารประกอบการสอน วิชาความจริงของชวี ิต (Truth of Life)
เอกสารประกอบการสอน วิชาวทิ ยาศาสตร์เชงิ พุทธ (Buddhist Science)
เอกสารประกอบการสอน วิชาธรรมบทและชาดกศึกษา (Dhammapada and
Jataka Studies)
เอกสารประกอบการสอน วิชาวปิ สั สนากมั มฏั ฐาน 1 (Insight Meditation 1)
เอกสารประกอบการสอน วิชาสหวทิ ยาการพระพทุ ธศาสนา
(Interdisciplinary Buddhism)
ศุภกาญจน์ วชิ านาต.ิ (2560). เอกสารคำสอน รายวิชาหลกั พุทธธรรมทางการศกึ ษา
(Buddhism Principles of Education). กรงุ เทพฯ : บริษัท แดเนก็ ซ์
อินเตอร์คอร์ปอเรช่นั จำกัด.
ศุภกาญจน์ วิชานาติ และคณะ. (2558). เอกสารประกอบการสอน วิชาความจรงิ กับ
การพัฒนาชวี ติ (Truth and Development of Life). กรุงเทพมหานคร
: มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร.
ศภุ กาญจน์ วิชานาต.ิ (2556). เอกสารประกอบการสอน วชิ าพลงั มหัศจรรย์แห่งชีวติ
(Miracle Power of Life) . กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พระ
นคร.
148
ผลงานวจิ ัย
พ.ศ. 2552 : วิจัย “โครงการศกึ ษารอ่ งรอยการเสด็จทรงหว่านข้าวของสอง
กษัตริย์ ณ บางเขน”
พ.ศ. 2553 : วิจัยในชั้นเรยี น เรอื่ ง “ความพงึ พอใจของนักศกึ ษา
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนครท่มี ีต่อกจิ กรรมทำบญุ ตักบาตร
ในรายวิชาวัฒนธรรมเพื่อชีวิต 1 ประจำภาคการศึกษาท่ี 2/
2553”
พ.ศ. 2554 : วิจัย “ผลของการใชก้ จิ กรรมฝึกโยนโิ สมนสกิ ารแบบอรยิ สจั
4 (ญาณ 3 อาการ 12) ในการพฒั นากระบวนการในการ
แก้ปญั หาของนกั ศึกษาชน้ั ปที ่ี 1”
พ.ศ. 2555 : วจิ ัย “การศึกษาความเหมาะสมของเวลาเปดิ และปดิ ภาค
เรียนในสถาบนั การศกึ ษาทุกระดบั เพื่อรองรบั การ
เปดิ เสรที างการศึกษาในอาเซยี นปี 2558”
พ.ศ. 2556 : วิจยั “การศกึ ษาเชิงวิเคราะหผ์ ลของสนามพลังรอบกายมนุษย์
โดยผา่ นเครื่อง Win Aura : กรณศี กึ ษากจิ กรรมสวดมนตห์ มู่
ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร”
พ.ศ. 2556 : ศุภกาญจน์ วิชานาติ. (2556). ความพึงพอใจของนักศึกษา
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครที่มีต่อกิจกรรมทำบุญตักบาตรใน
รายวิชาวัฒนธรรมเพื่อชีวิต 1 ประจำภาคการศึกษาที่ 2/2553.
ราชบุรี : มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านจอมบึง. นำเสนอประชุมวิชาการ
ระดับชาติราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงวิจัย ครั้งที่ 1 “สร้างสรรค์ภูมิปัญญา
เพ่ือพัฒนาส่อู าเซยี น”.
พ.ศ. 2557 : ศุภกาญจน์ วิชานาติ. (2557). “การศึกษาเชิงวิเคราะห์ผลของสนามพลัง
รอบกายมนุษย์โดยผ่านเครื่อง Win Aura : กรณีศึกษากิจกรรมสวดมนต์
หมู่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร”. วารสารปณิธาน
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ปีที่ 10 ฉบับที่ 14-15 ฉบับพิเศษ (มกราคม-
ธันวาคม) : 108-116. (TCI Teir 1)
พ.ศ. 2559 : ศุภกาญจน์ วิชานาติ. (2559). แนวคิดพุทธจริยศาสตร์ผ่านผลวิจัยออ
ร่า. คยา : มหาวิทยาลัยมคธ. บทความวิชาการ นำเสนอในการประชุม
วิชาการทางปรัชญาระดับนานาชาติ “Indian Philosophical Congress
the 90th Session” Magadh University, India.
พ.ศ. 2559 : ศุภกาญจน์ วิชานาติ. (2559). Understanding of Tilakkhana in Daily
Life. หลวงพระบาง : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.นำเสนอในการประชุมทาง
149
วิชาการระดับนานาชาติ ณ หลวงพระบาง ประเทศลาว จัดโดย Political
Science Association of Kasetsart University (Thailand)
พ.ศ. 2561 : ศุภกาญจน์ วิชานาติ และวัชระ งามจิตรเจริญ. (2561). “การศึกษา
เปรียบเทียบรูปขันธ์กับความจริงทางวิทยาศาสตร์”. วารสารศูนย์พุทธศาสน์
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ปที ี่ 25 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม) : 7-28.
พ.ศ. 2562 : ศุภกาญจน์ วชิ านาติ และวชั ระ งามจติ รเจริญ. (2562).
“เปรยี บเทียบกำเนดิ และพฒั นาการของชีวติ มนุษยใ์ นครรภ์ระหวา่ ง
พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร”์ .วารสารมหาจฬุ าวิชาการ.
ปีที่ 6 ฉบับท่ี 2. (กรกฎาคม-ธันวาคม 2562), หน้า 1-16.
พ.ศ. 2563 : ปญั ญา คล้ายเดช อำพล บุดดาสาร และศภุ กาญจน์ วชิ านา
ติ. (2563). “การพฒั นา เครือข่ายการจดั การศึกษาคณะสงฆ์ เพือ่ รองรบั
การพัฒนาสงั คมไทยในศตวรรษท่ี 21” วารสารสถาบันวิจัยพิมลธรรม.
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น ปที ่ี 7
ฉบับที่ 2. (กรกฎาคม-ธนั วาคม 2563), หนา้ 135-148.
5.2 บทความวิชาการ
ศุภกาญจน์ วิชานาติ และจุฬารัตน์ วิชานาติ.(2562). “แนวคิดการจัดการเรียนรู้
พระพุทธศาสนาโดยใช้สติและสมาธิเป็นฐาน : ความท้าทายสำหรับครูสอน
พระพุทธศาสนา”. การประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 3 มหาวิทยาลัยราช
ภัฏสวนสนุ นั ทา. วนั ท่ี 23 พฤศจิกายน 2562, หน้า 443-452.
ศุภกาญจน์ วิชานาติ, ประยูร ป้อมสุวรรณ์ และจุฬารัตน์ วิชานาติ. (2564).“แนวคิด
การจัดการเรียนรู้พระพุทธศาสนาโดยใช้ฐานสมรรถนะเชิงรุก : การจัดการ
เรียนร้แู บบเบญจขนั ธ์”. การประชุมวชิ าการระดับชาติ ครงั้ ที่ 3 มหาวิทยาลยั
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . วนั ที่ 26 มนี าคม 2564, หน้า 1-11.
ศุภกาญจน์ วิชานาติ และจุฬารัตน์ วิชานาติ (2563). “คุณค่าดนตรีเชิงปรัชญา”. การ
ประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 2 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย.
วนั ที่ 1 กันยายน 2563, หนา้ 207-216.
ศุภกาญจน์ วิชานาติ และคณะ. (2564). “การบูรณาการการจัดการเรียนรู้วิชา
พระพุทธศาสนา”. วารสารปณิธาน. ปีที่ 17 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม
2564, 233-256.
จุฑารัตน์ พวงสมบตั ,ิ ศภุ กาญจน์ วิชานาต.ิ (2564). “ประสทิ ธิภาพการจดั การเรยี นการ
สอนออนไลน์ โดยใช้สื่อ วิดีทัศน์ เรื่อง มรรยาทชาวพุทธ ของนักเรียนช้ัน
150
ประถมศึกษาปีที่ ๕ วัดไตรรัตนาราม (ชื่นชูใจราษฎร์อุทิศ) กรุงเทพมหานคร”.
การประชุมวิชาการระดับชาติครั้งที่ 3 พุทธศาสนาและปรัชญา : แนวคิด
มุมมอง สังคมยุคหลังโควิด 19. (พฤษภาคม 2564) วิธีการเผยแพร่โดย
นำเสนอบทความทางวิชาการ.
หนงั สอื
ศุภกาญจน์ วิชานาติ. (2561). วิทยาศาสตร์แนวพุทธ. พิมพ์ครั้งที่ 2.
กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั แดเนก็ ซ์ อินเตอร์คอรป์ อเรชน่ั จำกัด.
ศุภกาญจน์ วิชานาติ. (2556). ออร่าในพระพุทธศาสนา (Aura in
Budddhism). กรงุ เทพมหานคร : บีเคพร้นิ ติง้ จำกดั .
รายวิชาที่รับผิดชอบ หลักพทุ ธธรรมทางการศกึ ษา
ธรรมะภาคปฏิบตั ิ 3
(1) 1521403 ธรรมะภาคปฏิบตั ิ 4
(2) 1522107 การวิจยั ทางพระพทุ ธศาสนา
(3) 1522108 ชาดกศกึ ษา
(4) 1521404 พทุ ธสาวกและพทุ ธสาวิกา
(5) 1521407 ธรรมบทศึกษา
(6) 1521220 พระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ เป็นต้น
(7) 1521406
(8) 1521807