76
หน่ึงส่วนอวัยวะด้านซ้ายแล้วให้เพ่งสมาธิไปที่จุดกลางฝุาเท้า – วินาทีคํานวณโดยใช้การนับ 1 – 7
เมื่อนบั ครบแล้ว ให้ทวนคําวา่ ผอ่ นคลายยอ้ นกลบั ขนึ้ ไปตามอวยั วะตา่ ง ๆ จนถงึ จดุ กลางกระหมอ่ ม
ส่วนทสี่ ี่ ด้านขวาให้ตั้งสมาธิที่จุดกลางกระหม่อมแล้วเร่ิมผ่อนคลายจากใบหน้าข้างขวา
คอไหล่ข้างขวาแขนขวาท้ังแขนรักแร้ชายโครงเอวสะโพกขาขวาทั้งขาโดยในขณะท่ีผ่อนคลายก็ให้
ภาวนาคําว่า“ผ่อน” เวลาหายใจเข้าและคําว่า“คลาย” เวลาหายใจออก 2 – 3 เท่ียวต่อหน่ึงส่วน
อวัยวะหลังจากผ่อนคลายทุกส่วนของอวัยวะด้านขวาแล้วให้เพ่งสมาธิไปที่จุดกลางฝุาเท้า 7 วินาที
คาํ นวณโดยใช้การนับ 1 – 7 เม่ือนับครบแล้วให้ทวนคําว่าผ่อนคลายย้อนกลับข้ึนไปตามอวัยวะต่างๆ
จนถึงจุดกลางกระหม่อมหลังจากผ่อนคลายครบทุกส่วนแล้วให้เพ่งจุดสมาธิไปที่สะดือแล้วผ่อนคลาย
กล้ามเนอ้ื ทกุ ส่วนของร่างกาย
แสงสวา่ งแหลง่ พลงั คลังชีวิต ตามหลกั ฮวงจยุ้ (วารสารสอื่ ชุมชน. 2553: Online)
ตามหลักฮวงจุ้ย เช่อื ว่าแสงสว่างจากพลงั แห่งดวงอาทิตย์ สามารถช่วยกระจายพลังชีวิต
ปลุกความสดช่ืน และเสริมสร้างพละกําลังให้กับผู้อยู่อาศัยในบ้าน ส่วนหลักวิทยาศาสตร์ พลังงาน
ความร้อนจากแสงแดดยังชว่ ยฆ่าเช้ือโรคได้อีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรเปิดบ้านเพื่อรับแสงจากธรรมชาติ
ให้มาก เพ่ือรับพลังและสร้างสุขลักษณะที่ดีในบ้านเรา แถมยังช่วยประหยัดค่าไฟฟูาได้อีกทางหน่ึง
นอกจากแสงอาทิตย์แล้ว แสงสว่างจากหลอดไฟภายในบ้านยังช่วยสร้างบรรยากาศและความรู้สึกท่ี
แตกต่างกนั ไปในแต่ละห้องอีกด้วย เช่น แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือหลอดนีออน ซ่ึงเป็นแสง
จ้า เหมาะสําหรบั ห้องทํางาน หอ้ งอ่านหนังสือ โถงทางเดิน ลานจอดรถ และบริเวณระเบียง ในขณะท่ี
แสงสีเหลืองส้มนวลตานั้นเหมาะสําหรับห้องนอน ซ่ึงจะช่วยให้ร่างกายเราผลิตสารเมลาโทนินซึ่งเป็น
สารท่ที ําให้เรานอนหลบั สนิทสดช่ืนเตม็ ที่
เสียงพล้ิวไหว จุดประกายพลัง ตามหลักฮวงจุ้ยกล่าวไว้ว่า บ้านไร้เสียง คือบ้านไร้โชค
เหมือนไร้พลังชีวิต ดงั น้นั เพียงแค่เราลองหาโมบายระฆังเล็ก ๆ หรือกังสดาลจิ๋ว มาแขวนรับลมไว้ที่ริม
ระเบียงหรอื รอบ ๆ บา้ น เสยี งกรงุ๊ กริง๊ ทเ่ี กิดจะชว่ ยทาํ ใหบ้ รรยากาศรอบบา้ นมีชวี ติ ชวี าข้ึน และยังช่วย
กล่อมเกลาจิตใจที่ว้าวุ่นหรือเหน่ือยล้าให้เยือกเย็นและสงบลงได้ เกิดปัญญาและสมาธิในการคิดอ่าน
ทําสง่ิ ใด ๆ ได้อยา่ งมีสตริ อบคอบมากขึน้
สสี นั พลงั จิต สะกิดใจ ปัจจุบันวงการแพทย์ยอมรับว่าสีมีผลและอิทธิพลต่อจิตใจมนุษย์
อีกทั้งต่อมไพเนียลในร่างกายท่ีควบคุมจังหวะการดําเนินชีวิตในแต่ละวัน เช่น การกิน การนอน ก็มี
ปฏิกิริยาตอบสนองต่อสีในลักษณะท่ีแตกต่างกันไป และส่งผลต่อความรู้สึก จิตใจ และอารมณ์ใน
ร่างกายเราในขณะน้ันด้วยเช่นกัน เช่น สีฟูา สีเขียว สีชมพู เป็นสีที่ทําให้คนมองแล้วรู้สึกผ่อนคลาย
ส่วนในห้องทํางาน ห้องทํากิจกรรมของครอบครัว หรือในห้องครัวควรเลือกสีผนังเป็นสีส้มหรือสีแดง
เพ่ือสร้างความรู้สึกกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า ขณะท่ีโทนสีนี้ยังช่วยกระตุ้นให้รู้สึกเจริญอาหาร
อกี ดว้ ย
ต้นไม้ชุ่มช่ืน คืนพลังชีวิต ชาวจีนเชื่อกันว่าต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตถ้ามีต้นไม้ใน
บริเวณบา้ นจะชว่ ยเพิ่มพลังชีวิตให้สดใสขึ้น ส่วนทางวิทยาศาสตร์ก็พบว่าต้นไม้สามารถดูดซับสารพิษ
ไดเ้ ช่นกัน โดยการปลูกต้นไม้ภายในอาคาร ควรเลือกต้นไม้ที่ต้องการแสงน้อย เพ่ือการดูแลรักษาง่าย
เช่น ตน้ หมากเหลอื ง ปาลม์ ไผ่ พลดู า่ ง สาวนอ้ ยประแปูง กล้วยไม้ หน้าววั สับปะรดสี ฯลฯ
สําหรับต้นไม้ท่ีปลูกในห้องน้ํา นอกจากจะช่วยดูดความช้ืนแล้ว ยังช่วยสร้างบรรยากาศ
แบบธรรมชาติท่ีสดช่ืนสดใสให้กับชั่วโมงส่วนตัวของเราใน ห้องนํ้าอีกด้วย แต่สิ่งที่ต้องคํานึงถึง คือ
77
ควรเปดิ รับแสงอาทิตย์ใหส้ ่องผา่ นเข้าไปได้ เพื่อใหต้ น้ ไมไ้ ด้รับไออุ่นจากแสงแดด และช่วยให้ห้องนํ้าไม่
อับชนื้ และเปน็ แหล่งสะสมของเช้ือโรค
รูปภาพปลุกจินตนาการ สานพลัง วิธีการแต่งบ้านให้สวยงามที่ง่ายและเป็นท่ีนิยมกัน
มากท่ีสุด คือ การแขวนกรอบรูป หรือภาพบนผนัง ขอแนะนําให้ติดภาพวิวทิวทัศน์ไว้ในห้องรับแขก
ซึ่งมักจะอยู่ส่วนหน้าสุดของบ้าน เพ่ือสร้างความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย สบายใจ สบายตา ให้กับผู้อยู่
อาศยั และแขกทม่ี าเยอื นนับตง้ั แต่ก้าวแรก ส่วนหอ้ งนอน ควรติดภาพดอกไม้สวยๆ หรือสวนดอกไม้ที่
มสี สี นั สวยงามเพอ่ื สร้างความรสู้ ึกสดชน่ื นุม่ นวล อ่อนโยน เหมาะตอ่ การพกั ผ่อนอย่างสขุ สงบ
ท้ังหมดนี้เป็นบางวิธีง่าย ๆ ในการส่งเสริมและเพ่ิมพลังชีวิตให้เราโดยการลุกข้ึนมา
ปรบั เปลีย่ นหรือแตง่ เตมิ บ้านอกี เล็ก ๆ น้อย ๆ ใหน้ า่ อยยู่ งิ่ ข้ึน
การฝกึ ฝนบม่ เพาะพลงั ชีวิตดว้ ยการฝกึ ชกี่ ง (มลู นิธินวชวี ัน. 2554: Online)
การฝึกฝนบ่มเพาะพลังชีวิต หรือการฝึกชี่ หรือช่ีกง เพื่อให้ได้ผลด้านสุขภาพอย่าง
แทจ้ ริง จะมีองคป์ ระกอบหลักท่ีขาดไม่ได้อยู่ 3 ประการ คือ การปรับร่างกาย (ธาตุพื้นฐานท้ัง 5 ตาม
หลักแพทย์แผนจีนโบราณ คือ ดิน ทองหรือโลหะ น้ํา ไม้ และไฟ) จะเป็นการหย่อนคลายร่างกาย
และเคล่ือนไหวรา่ งกายอย่างเปน็ ธรรมชาติ เคล่อื นไปอย่างสบายๆ สม่ําเสมอ ไม่เกรง็ ไมต่ ึงเครียด
1. การปรับลมหายใจ จะเป็นการหายใจให้ยาวและลึกถึงท้องน้อย ซึ่งเป็นวิธีหายใจ
ที่เป็นรากฐานของสุขภาพ เม่ือฝึกจนชํานาญ จะสามารถหายใจเข้า-ออกได้อย่างยาว ๆ ช้า ๆ เบา ๆ
และสมาํ่ เสมอเป็นธรรมชาติ โดยไมอ่ ดึ อัดหรอื ฝนื
2. การปรบั จิตใจ ซงึ่ ถือเป็นส่วนสําคัญท่ีสุด จิต จะต้องเป็นสมาธิ ไม่คุย ไม่วอกแวก
และอาจสรา้ งจนิ ตภาพหรอื จนิ ตนาการควบคไู่ ปกบั การฝึก
การฝึกชี่ที่ถูกต้องจะต้องมีครบท้ัง 3 ส่วน เมื่อมีองค์ประกอบท้ัง 3 ส่วนครบถ้วนและ
เกิดพลงั ชขี่ น้ึ โดยพลงั ชีท่ ่เี กดิ มีความพอเหมาะ ก็จะสง่ ผลใหร้ ่างกายแข็งแรงขึน้ เราจึงต้องบ่มเพาะและ
สรา้ งเสรมิ พลงั ช่ี เพ่ือใหม้ ีความพอเหมาะสําหรับการบําบัดอาการปุวยและขจัดโรคต่างๆ แต่ทุกสรรพ
สิ่งในโลกย่อมเป็นไปตามทางสายกลาง พลังช่ีท่ีมากเกินไปจึงสามารถให้ผลลบกับร่างกายได้เช่นกัน
บางลักษณะก็ปรากฏเปน็ อาการข้างเคียงท่รี ุนแรงหลงั การฝึกชีไ่ ด้ (อย่างในหนังจีนกําลังภายในที่มีการ
ฝึกพลังจนเสียสมดุล เกิดอาการกระอักเลือดจากภาวะธาตุไฟตีกลับ เป็นต้น) การฝึกช่ีจึงต้อง
ระมัดระวัง และควรเริ่มฝึกฝนกับผู้ท่ีรู้จริง เพื่อความปลอดภัยกับตัวเอง และให้ได้รับผลดีจากการฝึก
อย่างเตม็ ที่
การฝึกชี่โดยทั่วไป การปรับร่างกายและลมหายใจมีความสําคัญอย่างละราว 10-15%
สําหรับการปรับจิตใจ (การกําหนดจิต) มีความสําคัญถึง 70-80% ถ้าทําได้ไม่ถูกต้อง ก็จะมีผลเป็น
เพียงการออกกําลังกายธรรมดาๆ เทา่ นนั้ คอื ไม่ได้ชี่ ซึง่ เป็นหัวใจและเปูาหมายของการฝึก ดังเช่นการ
ฝึกราํ มวยไทเกก๊ ส่วนใหญใ่ นสมัยนท้ี ่ีมกั เห็นไดว้ ่าเปน็ การออกกาํ ลงั กายเท่านั้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการ
ถา่ ยทอดวชิ าความรู้จากรุน่ ส่รู นุ่ ไม่ได้สอนหลกั วธิ ีการฝึกท่ถี กู ตอ้ ง ทําให้การฝึกกลายเป็นเพียงการออก
กําลังกายธรรมดา ไม่ได้รับผลดีจากพลังของชี่ เพราะไม่มีพลังช่ีเกิดข้ึนจากการฝึก บางครั้งก็ไม่ได้
แม้แตป่ ระโยชนท์ ่ีควรไดจ้ ากการออกกําลงั กายธรรมดาดว้ ยซํ้า ซ่ึงเป็นเร่ืองทน่ี า่ เสยี ดายอยา่ งย่ิง
78
พลังมหัศจรรย์แห่งดนตรี กระตุ้นสมองหล่ังสารแห่งความสุข (ไทยรัฐ. 2553:
Online)
มหศั จรรยข์ องเสียงดนตรมี มี ากกว่าท่คี ดิ ทงั้ นจ้ี ากการเปิดเผยของ นายแพทย์อุดม เพชร
สังหาร ผู้บริหารบริษัท รักลูก กรุ๊ป จํากัด และจิตแพทย์ผู้เช่ียวชาญด้านพัฒนาสมองเด็ก เปิดเผยว่า
สุนทรียศาสตรเ์ ป็นส่วนสําคญั ในการใชช้ ีวติ ของคนเราในปจั จบุ นั และแทรกซึมอยูใ่ นชีวิตประจําวัน ไม่
เว้นแม้แตผ่ หู้ ญิงท่ีเป็นแม่ ซึ่งมักมีอาการซึมเศร้าหลังคลอด หรือแม้ตอนต้ังครรภ์ ผลจากการวิจัยจาก
The College of Nursing at Kaohsiung Medical University in Taiwan ระบุว่า ดนตรีถือเป็น
สุนทรียศาสตร์อย่างหน่ึงท่ีสามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าของแม่ท่ี ตั้งครรภ์ได้ นอกจากน้ี ยังมีการ
ศึกษาวิจัยอีกว่า เซลล์สมองส่วน Nucleus Accumbens (NAc) ซึ่งเป็นเซลล์ตัวสําคัญที่มีผลต่อ
ความรู้สึกทุกข์สุขของคนเรา เป็นหัวใจของอารมณ์ซึมเศร้า เสมือนเกตเวย์ท่ียิงสัญญาณไปสู่ที่ต่างๆ
อาการซึมเศร้าท่เี กิดขน้ึ เปน็ ผลมาจากเกตเวย์บกพรอ่ ง
นายแพทย์อุดมบอกอีกว่า คุณแม่หลังคลอด 1 ใน 4 จะมีเซลล์นิวเคลียส แอคคัมเบนส์
บกพรอ่ งและไม่สามารถรักษาด้วยการใช้ยาได้ เนื่องจากจะส่งผลต่อการให้นมบุตร หากใช้ยาเด็กอาจ
มีโอกาสพิการได้ ดังน้ันการใช้ดนตรีมาช่วยรักษาอาการซึมเศร้า จึงเป็นการค้นพบคร้ังสําคัญ เซลล์
สมองส่วนนี้จะถูกกระตุ้นให้ทํางานได้ดว้ ยดนตรี และส่งผลให้หายจากโรคซึมเศร้า
โดยบทเพลงที่เหมาะกับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์นั้น จากการวิจัยพบว่า เพลงบรรเลงคลาสสิก
เหมาะกับคุณแม่ท่ีท้องมากท่ีสุด เน่ืองจากเพลงคลาสสิกมีโครงสร้างที่แข็งแรงมีความสมมาตร
(Symmetry) ที่ไปกระตุ้นการทํางานของ Reward Circuit ในสมองทําให้เกิดความสมดุลทางเคมีใน
ร่างกาย หรอื ทเ่ี รยี กกนั ว่าสารแห่งความสขุ
นอกจากนี้ ดนตรียังส่งผลต่อการส่งเสริม พัฒนาการของเด็ก โดยคุณหมออุดมบอกว่า
การใช้ดนตรีมีผลอย่างชัดเจนต่อการเกิด ความจํา สมาธิ และความคิดแบบเช่ือมโยง คือเมื่ อ
เสียงดนตรเี ข้าไปในหูจะไปกระทบกับเซลล์ตัวท่ีหน่ึงท่ีได้ยินแล้วกระ ทบเป็นลูกโซ่ ทําให้เซลล์อีกเป็น
ล้านๆตัวทํางานพร้อมกันเหมือนกับการปูอนสัญญาณ เข้าไปในคอมพิวเตอร์ตัวท่ีหน่ึง แล้วสัญญาณ
ไปกระทบกบั คอมพวิ เตอร์อีกลา้ นตวั ให้ทาํ งานสอดคลอ้ ง พร้อมเพรยี งกัน อีกท้ังความมีสุนทรียะเป็น
ตัวการทําให้คนเราเกดิ คุณธรรม ดงั น้ันดนตรจี งึ เปน็ ส่อื ท่ีสง่ ผลให้มนุษยเ์ รามีความอ่อนโยน
ดนตรีมีผลต่อสุขภาพของบุคคลท้ังด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ กลไกของดนตรี
ต่อบุคคลยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เช่ือว่ามีผลต่อบุคคลจากการรวมตัวของคล่ืนเสียงและความถี่พ้ืนฐาน
ของร่างกายจากการเต้นของหัวใจ ทําให้เกิดการส่ันสะเทือนจากอะตอมไปยังทุกส่วนของร่างกาย
รวมทงั้ การรบั เสยี งดนตรที างหเู ขา้ ส่รู ะบบประสาท และกระบวนการทางเคมีในร่างกาย ทําให้ดนตรีมี
ผลต่อสุขภาพของบุคคลและรวมถึงเกิดการรักษาถึงระดับจิต ในการใช้ดนตรีบําบัดควรมีการเลือก
เพลงและใช้ระดับเสียงท่ีเหมาะสมและคํานึงถึงปัจจัยด้านต่าง ๆ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพของดนตรีใน
การส่งเสริมสุขภาพของบุคคล (ศศธิ ร พุมดวง, 2548: 186)
ข้ันตอนการทา้ ดนตรีบ้าบัด (Guzzetta CE. 1997: 196-204)
- ก่อนใชด้ นตรบี ําบัด ควรมีการประเมนิ ผทู้ ่ีต้องการใช้ดนตรี ดงั น้ี
1. ความชอบดนตรี ประเภทของดนตรที ่ชี อบ และไมช่ อบ
2. ดนตรที ฟ่ี งั แล้วรสู้ กึ มีความสุข ผอ่ นคลาย ตื่นเตน้ หรือเศรา้
3. ชว่ งเวลาท่ีฟังดนตรี ความถี่ในการฟัง รวมทงั้ การผอ่ นคลายอน่ื ๆ ร่วมดว้ ย
ในขณะฟังดนตรี
79
4. ปฏกิ ริ ิยาของร่างกายและจิตใจจากการฟงั ดนตรีเช่น อารมณ์ดี แจ่มใสขน้ึ
อยา่ งไรก็ตามไม่ควรใช้ดนตรีกับผู้ทม่ี ปี ระวตั ชิ กั เคยได้รับอุบัติเหตุทศี่ รี ษะ34 หรอื ผดิ ปกติ
อน่ื ๆ เชน่ มปี ัญหาหูอื้อ ปัญหาการมองและการทรงตวั 35 เป็นต้น
- การทําดนตรบี าํ บดั สงิ่ แวดลอ้ มในการทําดนตรีบําบัดต้องเงียบสงบ ผู้รับการบําบัด
ควรอยใู่ นท่าทีส่ ุขสบาย และเพ่งความสนใจมาทด่ี นตรี อาจใชเ้ ทคนิคผ่อนคลายอื่นๆ ร่วมด้วย1, 5และ
ควรปฏิบตั ิตามข้นั ตอนต่างๆ ดงั นี้
1. อธบิ ายวตั ถุประสงค์ ของดนตรบี าํ บัดเพ่ือชว่ ยในการผอ่ นคลายและรกั ษา
ตวั เอง
2. อธบิ ายระยะเวลาในการทาํ โดยปกตมิ ักทําครงั้ ละ 20-30 นาที วันละ 2 ครง้ั
เช้าเย็น
3. แนะนาํ ใหผ้ ู้รบั การบําบัดถอดแว่น หรือ contactlenses และควรหรไี่ ฟลง
4. บอกให้ผูร้ ับการบําบัดน่ัง หรอื นอนในท่าสบาย อาจเอาหมอนเล็กๆ รองเข่า
เพ่ือลดการปวดหลัง และมผี า้ ห่มให้ถา้ รสู้ กึ หนาว
5. แนะนาํ ให้ผ้รู บั การบําบดั หลบั ตา และหายใจลึก ๆ รวมท้ังการผอ่ นคลาย
รา่ งกาย
6. ให้ฟงั ดนตรี การใช้ดนตรีต้องแนใ่ จว่าระดับเสยี งเหมาะสม เครื่องมอื
อุปกรณ์ที่ใชม้ คี ุณภาพ
7. ประเมินผลการใช้วา่ เป็นอย่างไรและอาจทําดนตรบี ําบดั ซํ้าได้
นักวิทยาศาสตร์หลายคนมีความเช่ือว่าในสมองของมนุษย์นั้น มีการวางรากฐานทาง
ดนตรีไวก้ อ่ นแลว้ ทําจิตแพทย์หญงิ ชาวแคนาดา Sandra Drehub ได้การทดลองนําเด็กทากรท่ียังไม่รู้
ภาษา เขา้ ไปอย่ใู นห้องท่ีมขี องเลน่ หลากหลายชนิด ในขณะท่ีเดก็ กาํ ลังเพลินกับของเล่น ก็จะเปิดเพลง
เด็กในทํานองเดี่ยวให้เด็กฟังเป็นระยะๆ โดยทิ้งช่วงห่างบ้าง ถ่ีบ้าง ปรากฏว่าเด็กทารกจะชะงัก และ
หนั ไปทางสาํ โพงทุกครัง้ ที่ไดย้ ินเสียงทาํ นองแปลกปลอม ไมเ่ ข้าจังหวะกบั เพลงเดมิ
สิ่งสําคัญที่เหมือนเป็นโครงสร้างของดนตรี คือ จังหวะ ตามศัพท์ของคนรักดนตรี Beat
คือ จังหวะดนตรี แต่ในคําแปลตามพจนานุกรม Beat คือ จังหวะการเต้นของหัวใจ จํานวนคร้ังใน 1
นาที จังหวะของบทเพลงแต่ละเพลงจึงมีผลต่ออัตรการเต้นของหัวใจ ชีพจร ความดันโลหิต และอ่ืนๆ
ได้ 70 bpm เปน็ จังหวะท่ที ําใหร้ า่ งกายบรรเทาความทกุ ข์กังวลใจได้ดที ีส่ ุด เช่น ดนตรีคลาสสิกของโม
สาร์ท โชแปง 100-120 bpm เป็นจังหวะท่ีกระตุ้นร่างกาย ทั้งทางอารมณ์และร่างกายให้แข็งแรงสม
บรุ ณ์ท่สี ุด เชน่ จังหวะชะชะช่า วอลท์ โพลก้า และ 120 bpm ข้ึนไป เป็นจังหวะท่ีกระตุ้นอารมณ์จน
ตอ้ งลกุ ขนึ้ มาเตน้ ระบําให้คลายเครยี ดดและไดเ้ หงือ่
ดนตรีเร่ิมมีบทบาททางการแพทย์อย่างจริงจัง ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งท่ีสอง เมื่อ
กลุ่มนักดนตรีชาวอเมริกันทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพได้รวมตัวกันบรรเลงเพลงขับกล่อมทหารท่ี
ได้รับบาดเจบ็ จากสงคราม ผลปรากฎว่าผู้ปุวยเหล่านั้นมีผลตอบสนองที่ดีต่อเสียงดนตรี จนทําให้ต้อง
มีการว่าจ้างนักดนตรีให้มาช่วยในการฟื้นฟูสภาพร่างการและจิตใจของเหล่าทหารผ่านศึก จากน้ันจึง
ได้มีการนําดนตรีบําบัดมาเป็นหลักสูตรการศึกษาครั้งแรกที่ Michigan State University ปี ค.ศ.
1944 และก่อตั้ง American Music Therapy Association ในปี พ.ศ. 2510 (แพง ชินพงศ์, 2551:
Online) ดนตรสี ่วนประกอบทส่ี ําคญั อยา่ งหนงึ่ ของมนษุ ย์ ไมว่ า่ มสี ง่ิ ใดที่เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่
ส่ิงหนึ่งที่คงอยู่คู่กับโลกเรานนั่ คอื ดนตรี ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนใดของโลก ทุกคนสามารถส่ือสารกันได้ด้วย
80
เสยี งดนตรี… สิง่ มหัศจรรยข์ องเสียงดนตรีอกี อยา่ งหน่งึ คือ การรักษาโรค วิธีการบําบัดโรคแบบแพทย์
แผนใหม่ ด้วยดนตรีบําบัด (Music Therapy) จากรายงานสถิติผู้ปุวยของกรมสุขภาพจิตระบุว่า โรค
ทุกโรคสามารถรักษาได้ด้วยดนตรี โรคหัวใจ เบาหวาน ไมเกรน เซ็กซ์เส่ือม ยกเว้นโรคท่ีมีเชื้อโรค
รวมถึงอาการสุดฮอต โรคสุดฮิต ที่ต้องได้รับการบําบัดด้วยเสียงดนตรี หดหู่ เหงา ซึมเศร้า เบ่ือ นอย
ชวี ติ ฯลฯ ตอ้ งรกั ษาด้วยวธิ ที างการแพทย์ชนิดอื่น การรักษาและการดูแลเป็นส่ิงที่ดําเนินอยู่ควบคู่กับ
การดํารงชีวิตของมนุษย์ทุกคน ในส่วนความหมายของดนตรีบําบัด (Music Therapy) วิธีการบําบัด
โรคแบบแพทย์แผนใหม่ ด้วยดนตรีบําบัด (Music Therapy) เป็นศาสตร์ท่ีว่าด้วยการนําดนตรี หรือ
องค์ประกอบอื่น ๆ ทางดนตรี มาประยุกต์ใช้ เพ่ือปรับเปล่ียน พัฒนา รักษาความสมดุลในส่วนที่
แตกต่างกันของรระบบร่างกาย รวมถึงสุขภาวะทางด้านจิตใจ อารมณ์ การมีส่วนร่วมทางสังคม ส่ิง
เหล่าน้ีเป็นจุดประสงค์หลักของการใช้ดนตรีบําบัด (Music Therapy) ท่ีนักดนตรีบําบัดต้อง
ดาํ เนนิ การปฏิบตั ิหนา้ ทต่ี ามกฏเกณฑ์ โครงสรา้ ง เพ่ือไปสู่เปูาหมายหลักในการรักษาอาการ โรคต่างๆ
ที่เกิดอาการปุวยทั้งต่อสภาพร่างกาย และสภาพจิตใจ จากการศึกษาวิจัยพบว่า ดนตรีบําบัด (Music
Therapy) สามารถรักษาอาการดา้ นร่างกาย และด้านจิตใจ
- รักษาอาการด้านร่างกาย
สามารถทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราการหายใจ อัตราการเต้นของชีพจร ความ
ดันโลหิต การตอบสนองในการควบคุมคําส่ังของสมอง นอกจากนี้ดนตรียังสามารถทําให้เกิดการ
เปล่ียนแปลงของอัตราการเต้นของหวั ใจ ความผิดปกติของการหายใจ อัตราจังหวะการเต้นของชีพจร
ความดันโลหติ การไหลเวยี นของโลหติ การตอบสนองของม่านตา ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ซึ่งการ
ใช้ดนตรบี ําบดั จะช่วยทําให้คุณมีระบบสภาวะการตอบสนองทางส่วนต่างๆของร่างกาย มีการทํางาน
ในอยใู่ นภาวะปกติ สอดรบั กับสภาพแวดลอ้ มรอบตัวทเ่ี กดิ ขน้ึ
- รกั ษาอาการด้านจิตใจ
การใชด้ นตรีบาํ บดั (Music Therapy) สง่ ผลตอ่ การรกั ษาอาการด้านจิตใจ มีส่วนช่วยใน
การสรา้ งจินตนาการ การพัฒนาทางด้านการทํางานของระบบประสาท เป็นส่วนช่วยเสริมการพัฒนา
คณุ ภาพชวี ติ ใหด้ ยี ่งิ ขึน้ การรกั ษาอาการซมึ เศร้า ขจัดความเครียดให้ไกลออกจากตัวเรา การขับกล่อม
ด้วยเสียงดนตรีจึงเป็นส่วนหน่ึงท่ีสําคัญชีวิตได้อย่างดีทีเดียว โดยการเลือกเสียงดนตรีที่มีจังหวะ และ
การเลอื กการใช้เพลงใหเ้ ขา้ กับแต่ละชว่ งอายุ จะสง่ ผลใหเ้ กดิ การรกั ษาท่ีไดผ้ ลมากยิง่ ข้นึ
ดังน้ัน ดนตรีจึงเป็นส่ือมหัศจรรย์ที่มีผลต่อร่างกาย สมอง ความคิด จิตใจและอารมณ์
ของมนุษย์ ทําใหร้ ู้สึกมีความสุข ทําใหห้ ดหู่สิ้นหวงั ก็ได้ ช่วยให้เกิดการพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ ก็ได้
สามารถเติมเร่ียวแรงพลังใจในการดําเนินชีวิตก็ได้ อยู่ท่ีว่าเราจะเลือกนําดนตรีไปใช้ในทางไหน
ต่างหาก ในฐานะท่ผี ้เู ขียนเปน็ นักดนตรคี นหน่ึง อยากให้ดนตรีช่วยให้ทุกคนมีความสุขและมีความหวัง
ในชีวิต เมื่อท้อแท้ให้ดนตรีช่วยปลอบประโลมใจ เมื่อรู้สึกขุ่นมัวใช้ดนตรีเป็นเคร่ืองผ่อนคลายอารมณ์
เมอ่ื มีความสุขใชด้ นตรีสรา้ งรอยย้มิ ใหก้ วา้ งขึน้ น่ันแหละคอื การใชด้ นตรีให้มปี ระโยชน์ได้อย่างแท้จรงิ
81
บทสรปุ
การเสริมสร้างพลังจิตแห่งชีวิตด้วยพลังธาตุ สามารถเสริมด้วยพลังธาตุจากส่ิงท่ีอยู่
โดยรอบตัวประจําท้องถิ่นให้ระบบชีวิตสมดุลและสอดคล้องกับธรรมชาติ ซ่ึงศึกษาได้จาก การหายใจ
อย่างเพิ่มพลัง การเสริมสร้างพลังด้วยแม่เหล็ก การเสริมสร้างพลังด้วยไฟฟูา การเสริมสร้างพลังด้วย
แสง ซง่ึ การบริโภคอาหารอย่างเหนืออาหารด้วยสภาวะจิตว่างและมีปัญญาต่ออาหารน้ัน โดยกําหนด
จิตเป็นสมาธิในความว่างที่ปล่อยวางสบาย ๆ แล้วพิจารณาว่า “อาหารเหล่าน้ี สักแต่ว่าเป็นธาตุ
เทา่ นน้ั กําลงั เปน็ ไปตามเหตุตามปัจจยั มิใชส่ ตั ว์ มใิ ชบ่ คุ คล ขา้ พเจ้ามิได้บริโภคอาหารนี้ด้วยความเมา
มัน หรือเพ่ือประดับตกแต่ง แต่บริโภคอาหารน้ีเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป เพ่ือนุเคราะห์แก่การพัฒนา
ตน เพื่อขจัดเวทนาเก่าและไม่ยังเวทนาใหม่ให้เกิดข้ึน ด้วยการพิจารณาโดยแยบคายอย่างนี้ ความ
ผาสกุ จักมแี กเ่ รา” แลว้ บริโภคอาหารไปดว้ ยใจเปน็ กลาง
การหายใจให้มีพลัง คือ การหายใจให้ลึกถึงก้นปอด โดยก้นปอดจะอยู่ราวชายโครง
เมื่อหายใจลึกถึงก้นปอด ชายโครงจะพองปุองออกมา ท่านลองออกไปยืนในที่อากาศบริสุทธ์ิแล้ว
หายใจให้ลึกจนลมเต็มปอด แล้วผ่อนออกช้า ๆ สักสองสามครั้ง จะสังเกตได้ว่ากําลังวังชา ความ
กระปรกี้ ระเปรา่ เกิดข้ึนทนั ที
การเสรมิ สรา้ งพลังด้วยแมเ่ หล็ก สามารถศึกษาได้จากจักรวาล ซ่ึงพบว่าจักรวาลดํารงอยู่
ได้ด้วยสนามแม่เหล็ก ดวงดาวท้ังหลายหมุนเวียนกันอย่างเป็นระบบมีระเบียบ ด้วยอํานาจแม่เหล็ก
แห่งเอกภพ แรงดงึ ดดู ระหว่างมวลทาํ ให้เกิดสนามแมเ่ หลก็ สนามแม่เหล็กโลกดงึ ดดู ร่างกายทําให้เรามี
น้ําหนัก ทําให้เซลล์รวมหน่วยเป็นอวัยวะได้ นอกจากน้ันยังทําให้ระบบไหลเวียนตามกลไก เส้นเลือด
ในสนามแม่เหล็กก็เสมือนขดลวดในสนามแม่เหล็ก ท่ีทําให้ประจุเคล่ือนที่ไป ฉะนั้นเราสามารถเสริม
พังด้วยแมเ่ หลก็ ดว้ ยองค์ความรู้ที่ได้พบดังกล่าวโดยการนอนอย่างสอดคล้องกับพลังแม่เหล็กโลก การ
ใชแ้ ม่เหลก็ เฉพาะอาการ และการนวดเฟูน เหลา่ น้ีใหห้ นั ทิศตรงกับการไหลเวยี นทศิ ทางแม่เหลก็ โลก
การเสริมสร้างพลังด้วยไฟฟูา สามารถนําพลังไฟฟูามาใช้จะต้องคํานึงถึงการเข้ากันได้
ของประจุท่ีบรรจุเข้าไป ทั้งพิจารณาระบบวงจรให้เป็นระเบียบต่อเนื่องกันด้วย มิฉะนั้นจะเกิดปัญหา
เส้นประสาทโปุงพอง หรือปัญหาไฟฟูาช้อตเพราะลัดวงจรขึ้นมาได้ โดยเสริมสร้างพลังด้วยไฟฟูาด้วย
การใช้ไฟฟูากับร่างกายนั้น อาจใช้ได้เฉพาะท่ีร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง มีการเจริญเติบโตของเซลล์ที่
ผิดปกติ และต้องการยับย้ัง อาจใช้กระแสไฟฟูาอ่อน ๆ สัก 12 โวลท์ บรรเทาอาการได้ หรืออวัยวะ
ส่วนใดส่วนหน่ึงไม่ทํางาน อาจใช้ไฟฟูาอ่อน ๆ กระตุ้นให้ทางานได้ แต่ผลได้นี้มีผลเสียข้างเคียงด้วย
โดยหลกี เลย่ี งไมไ่ ด้
การเสริมสร้างพลังด้วยแสง สามารถเสริมพลังด้วยการดูดซับพลังจากดวงอาทิตย์ การ
เพง่ แสงสวา่ งสีต่าง ๆ และ การฉายแสงทีอ่ วัยวะ
การฝกึ จิตดว้ ยแกว้ นํ้าด้วยแบบฝึกหัดทงั้ 4 ข้ันนี้ เพือ่ ใหจ้ ิตเปน็ สมาธิและเพ่ิมพลังอํานาจ
ของจิตให้จิตมีความหนักแน่นม่ันคงและแข็งแรง ควรฝึกหัดคร้ังละ 7 วันหรือใช้เวลา 15 วัน สําหรับ
ฝึกขน้ั ท่ี 1 และขัน้ ท่ี 2 สลับกันไปแล้วจงึ ฝึกข้นั ท่ี 3 และขั้นที่ 4 ขนั้ ละ 7 วนั แล้วจะเห็นผลเพียงแค่ 7
วนั แรก จะรสู้ กึ วา่ มีอะไรดีขึ้นทั้งทางกาย และทางใจ ท่านทําแบบฝึกหัดน้ีครบ 4 สัปดาห์ ยิ่งเห็นผลดี
มากข้นึ ถา้ ท่านเปน็ คนท่ีมักตื่นเต้นตกใจง่าย ลักษณะน้ันก็จะหายไป ถ้าท่านกลัวอะไรโดยไม่มีเหตุผล
หรือสะดุ้งหวาดกลัวอยู่เป็นนิตย์ลักษณะอันน้ีจะลดน้อยลง และถ้าท่านฝึกหัดต่อไปอีกก็จะเห็นผลดี
มากขึ้นจนถึงจุดหนึ่งจิตจะไม่สะดุ้งสะเทือนไม่หว่ันไหวเมื่อมีอะไรเกิดข้ึนไม่ว่า ทางดีหรือทางร้ายไม่
เศร้าโศกไม่ขุ่นหมองปลอดโปร่งอยู่เสมอเปน็ มงคลอันสงู สดุ
82
การเพ่มิ พลังชีวิตทีน่ ่าสนใจ เป็นพลงั ชีวติ ของคนเรา โดยข้นึ อยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
ด้วยตง้ั แต่การนอนการกินการขบั ถา่ ยการทางานการออกกําลงั กายการหายใจรบั อากาศท่ีบริสุทธิ์ และ
อารมณ์มีผลต่อพลังชีวิตการมีจิตเมตตากรุณาการคิดช่วยเหลือผู้อ่ืนการให้ทาน รักษาศีล ประพฤติ
ปฏิบัติธรรม การงดเว้นอาหารเน้ือสัตว์ การสวดมนต์ไหว้พระ มีผลอย่างมีนัยสําคัญกับพลังชีวิตและ
พลังจิต และสามารถเสริมพลังชีวติ ด้วยเสน้ พลงั หลกั ซง่ึ มที ้ังหมด 24 เส้น ว่ิงผ่านเย่ือหุ้มหัวใจหัวใจตับ
ไตไส้พุงม้ามกระเพาะอาหารกระเพาะปัสสาวะถุงนํ้าดี โดยเส้นพลังหลักอยู่ด้านซ้ายของร่างกาย 12
เส้นด้านขวาของร่างกาย 12 เส้น และเสริมพลังชีวิตด้วยการฝึกผ่อนคลายร่างกาย โดยมีทั้งหมด 4
ส่วน คือ ด้านหน้าด้านหลังด้านซ้ายและด้านขวาแล้วยังแบ่งแต่ละด้านออกเป็นส่วนย่อย ๆ อีกหลาย
ส่วนจากบนลงล่าง ซ่ึงทั้ง 4 ส่วนดังกล่าวจําเป็นต้องนวดเพ่ือผ่อนคลายร่างกายให้ตรงตําแหน่งจักระ
หลัก ๆ ซึ่งร่างกายมีจักระหลัก ๆ ท้ังหมด 7 ตําแหน่ง ฉะน้ันจึงจําเป็นต้องนวดอย่างถูกวิธีและ
เหมาะสมตามตําแหนง่ จกั ระดังกล่าวเพอ่ื เสรมิ พลังชีวติ อย่างสมบรู ณ์
การเสรมิ สร้างพลงั ธรรมชาตดิ ว้ ยศาสตรฮ์ วงจยุ้ หรอื พลังช่ี ซึง่ ทงั้ สองศาสตรน์ ี้เป็นมรดก
ภมู ปิ ัญญาของโลกตะวนั ออก ไดแ้ ก่ ประเทศจีน ซ่ึงเน้นให้มนุษย์หลอมรวมเป็นหน่ึงเดียวกับธรรมชาติ
โดยต้องเรม่ิ ตน้ ให้มนุษย์รูจ้ กั ธรรมชาติใหเ้ ขา้ ใจถ่องแทเ้ สียกอ่ น แลว้ นําธรรมชาติรอบตัวมาประยุกต์ให้
หลอมรวมเป็นหน่ึงเดียวกับธรรมชาติ เช่น การฝึกพลังชี่ด้วยลมหายใจ หรือแม้กระทั่งการ จัด
สง่ิ แวดล้อมภายในบา้ นใหเ้ ข้ากบั สภาพดินฟูาอากาศและทิศทางต่าง ๆ ใหส้ มดุลกบั ธรรมชาติ
ดนตรี จัดได้ว่าเป็นส่ือมหัศจรรย์ที่มีผลต่อร่างกาย สมอง ความคิด จิตใจและอารมณ์
ของมนษุ ย์ ทําให้รสู้ กึ มคี วามสุข ทาํ ใหห้ ดหู่ส้ินหวังกไ็ ด้ ชว่ ยให้เกิดการพัฒนาศักยภาพด้านต่าง ๆ ก็ได้
สามารถเติมเรี่ยวแรงพลังใจในการดําเนินชีวิตก็ได้ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกนําดนตรีไปใช้ในทางไหน
ตา่ งหาก ในฐานะท่ผี ูเ้ ขยี นเปน็ นักดนตรคี นหนึง่ อยากใหด้ นตรีช่วยให้ทุกคนมีความสุขและมีความหวัง
ในชีวิต เม่ือท้อแท้ให้ดนตรีช่วยปลอบประโลมใจ เมื่อรู้สึกขุ่นมัวใช้ดนตรีเป็นเคร่ืองผ่อนคลายอารมณ์
เม่ือมีความสขุ ใช้ดนตรสี รา้ งรอยย้มิ ใหก้ ว้างขึ้น นนั่ แหละคือการใช้ดนตรใี หม้ ปี ระโยชน์ไดอ้ ย่างแทจ้ ริง
การฝึกพลังจติ ทางวิทยาศาสตรม์ กั เน้นไปทางการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวโดยมีอุปกรณ์
หรือ เคร่ืองมือเป็นอุบายช่วยให้จิตเกิดสมาธิ เม่ือเกิดสมาธิแล้วจะทําให้มีพลังทางจิตได้โดยวัดผ่าน
เครอ่ื งมอื ทางวทิ ยาศาสตร์เป็นผลการทดสอบวา่ ประสบผลสําเรจ็ หรือลม้ เหลว สว่ นใหญ่สงั เกตได้ว่าจะ
ใช้ลมหายใจเป็นปัจจัยท่ีสําคัญในการฝึกพลังจิตในทางวิทยาศาสตร์เพ่ือให้เกิดประสิทธิผลท่ีสมบูรณ์
จึงไม่แปลกที่คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนายกย่องว่าการเจริญอานาปานสติให้อานิสงส์มาก สามารถ
เจริญได้ทุกจรติ เป็นต้น
การเสริมพลังด้วยเทคนิคทางวิทยาศาสตร์มีมากมายท่ีได้รับความนิยมจากแวดวงสุข
ภาวะองค์รวมหรือชีวจิต เช่นการเสริมพลังด้วยแสง เสียง ไฟฟูา แม่เหล็ก ลมหายใจ และการล้างพิษ
เป็นต้น ซึง่ อาศัยเครอื่ งจากภายนอกดงั กลา่ วเป็นปัจจยั สาํ คัญ เพราะสามารถทดลอง พิสูจน์ และจูงใจ
เชิงประจักษ์ อนึ่งเป็นการแสดงเชิงสะท้อนเชิงชีวภาพโดยเคร่ืองมือ ทางวิทยาศาสตร์หรือ
Biofeedback จึงได้มีศาสตร์ต่าง ๆ มากมายท่ีเป็นอานิสงส์จากการศึกษาวิทยาศาสตร์ทางจิต เช่น
มายาจิต สะกดจิต ปรจิตวิทยา โทรจติ จิตวทิ ยา เป็นต้น
83
ค้าถามท้ายบท
1. การฝึกหายใจเพิ่มพลังชีวิตระหว่างวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนามีความสอดคล้องกันอย่างไร
บ้าง จงยกตวั อยา่ งประกอบ
แนะแนวค้าตอบ ศึกษาการบริหารสมองหรือแนวคิดทางจิตวิทยา (ทางวิทยาศาสตร์) และศึกษาอา
นาปานสติของพระพทุ ธศาสนา
2. การฝกึ พลังจติ ดว้ ยแกว้ นํา้ ไดป้ ระโยชนอ์ ะไรบ้าง
แนะแนวคา้ ตอบ ศกึ ษาเอกสารประกอบการสอนประจํารายวชิ าพลังมหัศจรรยแ์ ห่งชวี ติ ประกอบ
3. การเสริมพลังด้วยแม่เหล็กที่แพร่หลายในประเทศไทย มีองค์กรหรือสํานักใดบ้างท่ีสนใจเร่ืองน้ี
และมีประโยชนอ์ ย่างไรต่อการรักษาสขุ ภาพ
แนะแนวค้าตอบ ศึกษาจากงานวิทยาศาสตร์ทางจิตประจําปีต่าง ๆ และสมาคมวิทยาศาสตร์ทางจิต
แห่งประเทศไทย เป็นตน้
4. การเสริมพลงั ชวี ิตด้วยไฟฟูาโดยมาตรฐานใชก้ โ่ี วลท์ เพราะเหตุใด
แนะแนวคา้ ตอบ ศึกษาความรู้ทีไ่ ดจ้ ากชวี ฟิสกิ ส์ และวทิ ยาศาสตร์ทางจติ
5. การเสรมิ พลงั ดว้ ยแสง สามารถแสดงภาวะพลังชีวติ ของมนษุ ยไ์ ด้อยา่ งไรบ้าง
แนะแนวค้าตอบ ศกึ ษาเอกสารประกอบการสอนประจํารายวชิ าพลงั มหัศจรรย์แหง่ ชวี ติ
ประกอบ และวารสารวทิ ยาศาสตร์ทางจิตจากสถาบนั ตา่ ง ๆ
6. การเสริมพลังดว้ ยดนตรี สามารถชว่ ยบาํ บดั อาการปุวยทางจิตของมนุษยไ์ ด้อย่างไรบ้าง
แนะแนวคา้ ตอบ ศกึ ษาเอกสารประกอบการสอนประจํารายวิชาพลงั มหัศจรรย์แห่งชีวติ
ประกอบ และวารสารสงขลานครินทร์เวชสาร
84
เอกสารอา้ งอิง
ก. เอกสารช้ันปฐมภูมิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหา
จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั .
ข. ชัน้ ทุติยภมู ิ
ไชย ณ พล. (2540). การเสริมสร้างพลงั อ้านาจแห่งชีวติ . กรุงเทพฯ: เคลด็ ไทย.
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต). (2545). พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม. กรุงเทพฯ:
สอื่ ตะวนั .
_______. (2544). พทุ ธธรรม. กรุงเทพฯ: สาํ นักพิมพ์ธรรมสภา.
พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ. (2545). รอยไอยรา 8. กรุงเทพฯ: ศรีเมอื งการพิมพ.์
ศศิธร พมุ ดวง. (2548, พฤศจกิ ายน). “ดนตรีบําบดั ”. สงขลานครินทร์เวชสาร, 23 (3):
186.
Guzzetta CE. (1997). Music therapy. In: Dossey BM, editor. Core curriculum for
holistic nursing. Gaithersburg: an Aspen.
ไทยรฐั ออนไลน์. (2553). พลงั มหัศจรรย์แห่งดนตรี กระต้นุ สมองหลัง่ สารแห่งความสุข.
[ออนไลน์]. เขา้ ถึงไดจ้ าก: https://www.thairath.co.th/content/life/125331. วนั ท่ี
สืบค้น 2553, พฤศจิกายน. 10.
แพง ชินพงศ.์ (2551). ดนตรเี พิม่ พลังสมอง . [ออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก:
http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9510000093735.
วันที่สบื คน้ 2551, พฤศจกิ ายน. 2.
มูลนธิ ินวชีวัน. (2554). พลังชวี ิตกับสขุ ภาพ ? บทท่ี 2: พลังชีวติ มาจากไหน. [ออนไลน์]. เข้าถงึ
ไดจ้ าก: http://www.nawachione.org/2012/10/28/life-energy-and-health-02/.
วันทส่ี ืบค้น 2554, ตลุ าคม. 28.
วารสารสอ่ื ชมุ ชน. (2553). บ้าน... จุดเร่ิมเพ่ิมพลังชวี ิต. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ได้จาก: http://
www.vcharkarn.com/varticle/42785. ว ันท่ีสืบคน้ 2553, กันยายน. 5.
สารชมรมศาสนาและการกุศล. (2553). การเพิม่ พลงั ชีวติ ทนี่ ่าสนใจ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:
http:// www.mongkoldham.com/text%5CsanRMC_59.pdf. ว ันท่สี บื คน้ 2553,
กนั ยายน. 5.
หลวงวจิ ิตรวาทการ. (2553). เรื่องของจิต. [ออนไลน์]. เข้าถงึ ได้จาก: http://
www.homebankstore.com/dl/psy/048.pdf. ว ันท่สี บื คน้ 2553, กนั ยายน. 10.
85
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 4
บทท่ี 4 การวัดพลงั รงั สีออรา่ ของมนษุ ย์
หัวขอ้
4.1 ความหมายออรา่
4.2 รงั สีมนษุ ย์
4.3 สีของออร่าและความหมาย
4.4 แสงกายทพิ ย์
4.5 ความสาคญั ของออรา่
4.6 บทสรุป
จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม
1. นักศกึ ษาสามารถใชเ้ ครื่องฉายรังสีออร่าทงั้ แบบกลอ้ งและคอมพิวเตอร์ได้
2. นักศึกษาสามารถอธิบายค่าความหมายของสีออรา่ ที่ได้จากหลงั ถา่ ยภาพได้
3. นกั ศกึ ษาสามารถแนะแนวทางการปรับเปลย่ี นทา่ ทีตอ่ การใชช้ ีวติ ท่ดี ี ประกอบกบั ใช้หลักการ
พฒั นาตนเองได้ หลังจากทฉ่ี ายเครื่องรงั สีออร่าแลว้
4. นักศกึ ษาสามารถเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างระหวา่ งจริตตา่ งๆ ได้
5. นกั ศกึ ษาแลกเปลีย่ นเรยี นรรู้ ะหว่างเพือ่ นรว่ มช้นั ในประเด็นสาคญั ๆ ได้
6. นักศึกษาสามารถนาหลกั พุทธธรรมประยุกต์กบั แนวคดิ วทิ ยาศาสตร์ได้อย่างสัมพนั ธส์ อดคล้อง
กจิ กรรมการเรียนการสอน
1. นกั ศึกษาทุกคนรว่ มกันแลกเปล่ียนประสบการณ์การใชเ้ คร่ืองฉายรังสีออร่า
2. นกั ศกึ ษาเรยี นรู้หลกั การใชเ้ คร่ืองมือวดั รงั สีออร่าทง้ั แบบถ่ายภาพและแบบคอมพวิ เตอร์
3. นักศกึ ษาทดลองฉายภาพรงั สีออร่าระหวา่ งเพ่ือนด้วยกนั
4. นกั ศกึ ษาอ่านคา่ สตี ่างๆ หลังจากถ่ายภาพรังสีออร่าของเพอื่ นร่วมชนั้ เรยี นแลว้
5. นักศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพื่อนในชั้นเรียนถึงความถูกต้องระหว่างผลของค่าสีที่ได้ฉาย
ภาพแลว้ กับประสบการณ์ชีวติ จริงของเพ่อื นรว่ มชน้ั เรยี นท่ีถูกฉายภาพรงั สอี อร่า
6. อาจารย์สรุปเทคนคิ และการอา่ นค่าสีตา่ งๆ
7. นกั ศกึ ษาและอาจารย์ร่วมกันแสดงความคิดเห็นถึงการนาไปใช้ประโยชน์หลังจากท่ีได้ทากิจกรรม
รว่ มกนั ในชนั้ เรียน
สอื่ การเรยี นการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. หนังสืออา่ นประกอบ (บรรณานกุ รม)
3. ส่อื มัลติมเี ดยี
4. ส่อื ออนไลน์
86
5. เคร่ืองฉายรังสอี อรา่ ทัง้ แบบดิจติ ัลและแบบฟิล์ม
การวดั ผลและประเมนิ ผล
1. การเขา้ ชัน้ เรียน
2. ทาแบบฝกึ หัดท้ายบท
3. ความมสี ่วนร่วมในชนั้ เรยี น เชน่ การสอบถาม การแลกเปลี่ยนความรู้
4. การอภปิ รายหนา้ ชัน้ เรยี น
บทท่ี 4
การวดั พลงั รงั สอี อรา่ ของมนษุ ย์
การศึกษาการวัดพลังรังสีออราของมนุษย์นั้น มีความจาเป็นตองทาความเขาใจและรู
รอบในธรรมชาติของออรา มนษุ ย์เป็นพื้นฐาน หากขาดความรูความเขาใจที่มาและความจริงของออรา
ในมนุษย์แลว จะทาใหผูศึกษาหรือผูสนใจไมเขาใจหรือไมรูทั่วถึงในบริบทท่ีจะศึกษา อีกทั้งทาใหขาด
แกนความรูทแ่ี ทจริงของออราในมนุษย์ เพราะฉะนั้นการไดท ราบธรรมชาติของออราในมนุษย์น้ัน เป็น
การเปิดประตูไปสูองค์ความรูของออราในมนุษย์ท่ีแทจริงได ดังน้ันจึงจาเป็นตองศึกษาพลังมหัศจรรย์
แหงแสงออรามนุษย์วามีรูปแบบลักษณะพลังออราในรางกายมนุษย์มีลักษณะอยางไร โดยเฉพาะ
ความพิเศษของวิวัฒนาการสูงสุดของส่ิงมีชีวิตอยางสปีชีส์มนุษย์ เพราะพลังออราในรางกายมนุษย์มี
ความสลับซบั ซอน การทาความเขาใจในพลังออราน้นั จาเป็นตอ งเขา ใจในหลายมิติ
ดังน้ัน จึงจาเป็นตองศึกษาใหรอบดานเกี่ยวกับพลังรังสีออราของมนุษย์ ทั้งนี้เพื่อใหผู
ศึกษาหรอื ผูส นใจ ที่เกิดความอยากรูอยากเห็น หรือสงสัยน้ัน ไดพบกับความจริงและความมหัศจรรย์
แหงแสงออราในมนุษย์จนเกิดความเล่ือมใสศรัทธา เกิดปีติแรงกลาเรากุศลธรรมใหยิ่ง ๆ ข้ึนไป และ
สามารถนาไปประยุกต์ใชประโยชน์จากออราในชีวิตประจาวันไดจริง ซึ่งเป็นเร่ืองใกลตัวและทุกคน
สามารถทาไดในทุกท่ีทุกเวลา เพียงแตเราตองรูวาจะใชอยางไร มีประโยชน์ตรงไหน และท่ีสาคัญมี
สาระสาคัญนาไปประยุกต์เรื่องตาง ๆ ท่ีเกี่ยวของในชีวิตประจาวันอยางไร คาตอบจากคาถามเหลานี้
ผูเขยี นจึงไดก าหนดหวั ขอตา ง ๆ ดงั ตอ ไปนี้
4.1 ความหมายออรา
4.2 รังสมี นุษย์
4.3 สขี องออราและความหมาย
4.4 แสงกายทพิ ย์
4.5 ความสาคญั ของออรา
4.5 บทสรุป
ความหมายออรา่
คาวา “ออรา” เป็นคาเรียกช่ือของแสงสีตาง ๆ ที่เปลงรัศมีออกจากเรือนกายหรือวัตถุ
นน้ั ๆ ออกมาไดหลายลกั ษณะ หรอื เป็นพลังหรือรัศมีทอี่ อกมาจากคนหรือสิง่ ของ
คาวา ออรา ในภาษาลาติน แปลวา อากาศ ซ่ึงมาจากภาษากรีก แปลวา ลมหายใจแสง
ออราอาจจะเป็นแสงสีตาง ๆ กัน ซึ่งตาเปลามองเห็นหรือเป็นรังสีแสงท่ีตาเปลามองไมเห็น แต
สามารถมองเห็นไดดว ย “ทิพย์จกั ษ”ุ
“ออรา” (aura) หรือการเปลงรงั สแี สง หรือรัศมีเรืองรองบางอยางออกมารอบตัว กลาว
กนั วา การเปลงรศั มีเหลานี้ มีความเขมขนแตกตางกันไปในแตละบุคคล โดยเฉพาะอยางย่ิงจะปรากฏ
เขมขนเฉิดฉายมากในบุคคลท่ีมีพัฒนาการทางจิตอยางสูง และรองลงมาจะมีรังสีแจมใสกระจางใน
บุคคลทม่ี ีจติ ใจอยใู นสภาวะปีติเบิกบานอยเู สมอ ๆ
ภาษาอังกฤษ คาวา aura (ออ'ระ) n., (pl. auras, aurae) แปลวา กลิ่นไอ, รัศมี, กลด,
กระแสลม, ไฟฟูา, แสงสวา ง, ความรูสกึ สงั หรณ์ (aural-adj.) (Longdodict, 2555: Online)
88
ออรา คือ สิ่งที่ดารงอยูในธรรมชาติ ในภาษาวิทยาศาสตร์ คือ พลังแมเหล็กไฟฟูาท่ี
สภาพเหมือนกับแคปซูลท่ีคลุมอยูรอบตัวเรา ออรา สามารถเปลี่ยนแปลงได อาจจะขยายใหญขึ้น
อาจจะเขมขนข้ึนหรืออาจะเบาบางลงก็ได ซ่ึงในผูปุวยท่ีใกลจะเสียชีวิต จะตรวจพบวา พลังออราจะ
ลดต่าลงไปมากจนเกือบไมม ี และเม่อื เสยี ชวี ิต พลงั ออราก็จะหมดไปจากรางกาย
ออรา คือ รังสีกายทิพย์ มีสภาพเป็นคล่ืนไฟฟูาหอหุมรอบตัวเราอยู คล่ืนรังสีนี้มีอยูเป็น
ปกติในสิ่งมีชีวิตตาง ๆ ท้ังมนุษย์ สัตว์ พืช หรือแมแตส่ิงมีชีวิตเม่ือตายไปใหม ๆ เชน ใบไมถูกตัด
บริเวณบางสวน เม่ือรุกจากที่น่ัง เป็นตน ฉะนั้นแสงออราสามารถเปล่ียนแปลงได ขึ้นกับหลายเหตุ
ปัจจัย แตก็สามารถบงบอกนิสัย บุคลิกของคนๆ นั้นในชวงเวลาขณะนั้นอยางคราวๆ ได หรืออาจบง
บอกถึงโรคภัยไขเจ็บทางกายได ซึ่งก็ไมแปลกนัก เพราะเคร่ืองฉายภาพรังสีออรานั้นเป็นรุนแรกๆ ท่ี
พัฒนามาพรอมกับเคร่ืองตรวจสแกนรางกาย อาทิเชน เคร่ือง CT-SCAN (Computed
Tomography) , MRI (Magnetic Resonance Imaging) โดยความเห็นสวนตัวของผูเขียนแลว เห็น
วาแสงออราเป็นเรื่องธรรมชาติ สวนการถายรูปออราดวยกลองเกอร์เลี่ยนเป็นรูปแบบหนึ่งทาง
วิทยาศาสตร์ท่ีชวยพิสูจน์ใหมนุษย์ไดรูในสิ่งท่ีปกติไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา อยางไรก็ตามก็
เชอ่ื วา หากคนเราปฏิบตั ิตนอยูใ นคุณงามความดี แมไมใชผูปฏิบัติธรรมภาวนาอะไร แตมีสานึกท่ีพูดดี
คดิ ดี ทาด.ี .กไ็ มต องไปสนใจวาแสงออรา ของตนจะมีสีสันสวาง สดใส สะอาด แถบสีเนื้อละเอียดเป็นไป
แนวเดียวกัน ไมมีรองรอยฉีกขาดหรือสอดแทรกจากภายนอก ซึ่งตางจากผูมีจิตใจเศราหมองหรือผูที่
อยูส ภาพแวดลอ มไมดี สีท่ีปรากฏมกั จะหมองคล้า ทึบ ไมสะอาดสดใส ไมเป็นระเบียบ มีรอยแยกหรือ
ฉกี ขาดใหเ ห็น เปน็ ตน (เบริ ธ์ ณ ภัทรดิศ, 2549: Online)
เพราะฉะนั้น ออราของมนุษย์ คือ สนามพลังแหงชีวิตที่มีวิวัฒนาการตามธรรมชาติข้ัน
สูงสุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกใบน้ี และเป็นสิ่งบงบอกถึงคุณลักษณะ ศักยภาพในดานตาง ๆ
สุขภาวะองค์รวมของมนุษย์ทกุ คน
จากที่กลาวมาท้ังหมดทาใหเราไดทราบวา ออรา คือ รังสีรอบกายทั้งส่ิงมีชีวิตและไมมี
ชีวิต ซึ่งรัศมีหรอื แสงท่ฉี ายออกมาจากสิง่ มชี วี ติ ออกมาไดหลายลักษณะ โดยท่ีแสงออราเป็นการแผรังสี
แมเ หล็กไฟฟูาของอนุภาคภายในสสาร เหมือนกับท่ีดาวฤกษ์บนทองฟูาสองแสงตางกัน เพราะอนุภาค
พ้ืนฐานบนดาวฤกษ์เหลาน้ันแตกตางกัน แสงออรามีคุณสมบัติท่ีสาคัญประการหน่ึงก็คือ เราสามารถ
ตีความขอมูลเก่ียวกับสสารจากแสงออราประจาตัวได เชนเดียวกันกับที่นักดาราศาสตร์สามารถระบุ
อุณหภูมิท่ีพื้นผิวของดาวฤกษ์ไดโดยการสังเกตสีน่ันเอง อยางไรก็ตามแสงออราของส่ิงมีชีวิตจะ
เปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลาไดอยางรวดเร็ว ในขณะท่ีแสงออราของสิ่งไมมีชีวิตจะคอนขางคงที่ ซ่ึง
เรยี กวา Kirlian Effect
รังสีมนุษย์
จากรองรอยหลักฐานภาพวาดตามถ้า โบราณวัตถุ-โบราณสถาน หรือหลักฐานทาง
โบราณคดตี า ง ๆ ในอารยธรรมมนษุ ย์ตัง้ แตอ ดีตจนถึงปัจจบุ ันนั้น เราจะพบเหมอื นกนั วา แสงออรานั้น
มนษุ ยเ์ รารจู กั มนั มาต้งั แตโบราณกาลแลวหรือแรกเร่ิมท่ีมีมนุษย์ถือกาเนิดข้ึน พิสูจน์ไดจากรัศมีท่ีออก
จากเรือนกายของมนุษย์หรือวัตถุสิ่งของตาง ๆ หรือส่ิงศักด์ิสิทธ์ิท่ีมนุษย์เหลานั้นบูชาอยู ซ่ึงมีใหเห็น
อยูทัว่ ทกุ มมุ โลกเหมอื นกนั จงึ ไมแปลกใจนักท่ีมนุษย์สมัยโบราณมักมีพิธีกรรมทางศาสนาติดตอกับส่ิง
ศักดิ์อยูเสมอ อาจเป็นไปไดวาสมัยโบราณมนุษย์มีความใกลชิดกับธรรมชาติมากและจิตใจ
89
ละเอียดออน เขาถึงธรรมชาติของชีวิตไดงายกวา เหตุปัจจัยทั้งหมดนี้จึงสามารถเห็นแสงออราไดงาย
กวามนุษย์ในสมัยปัจจุบัน (ยุคดิจิตอล) ซึ่งตองคลุกคลีกับเทคโนโลยีสารสนเทศและความ
เจริญกาวหนาทางดานวตั ถดุ วยอิทธิพลวทิ ยาศาสตร์
แสงออรา ของคนเป็นแสงรัศมีท่ีลอมรอบกายหยาบอยูทุกทิศทุกทาง แสงออรามีสามมิติ
คนท่มี สี ขุ ภาพแข็งแรง แสงอออราจะเป็นรูปกลมรีหรือรูปไขลอมรอบกายหยาบ คนทั่วไปจะมีแสงออ
ราลอมรอบกายหยาบในระยะแปดถงึ สิบฟุต ซึ่งผูมีบุญญาธิการหรือมีบารมีสูงแสงออราจะแผรัศมีไกล
หลายกิโลเมตรเลยทีเดียว และไมแปลกใจเลยที่ผูมีบุญญาธิการหรือผูมีบารมีสูง (มักจะเป็นศาสดา
หรือผูนาศาสนา หรือเกจิอาจารย์) ทาใหเหลาสานุศิษย์จากทั่วทุกสารทิศตางหลั่งไหลเขามามากมาย
ในบริเวณที่เขาเดินทางไปหรือประจาทองท่ีน้ันๆ ซึ่งเรามักเห็นภาพผูนาศาสนาในสมัยโบราณจะ
ปรากฏแสงรัศมีที่คนสวนใหญมองเห็นไดงายอยูเสมอ เพราะฉะน้ันผูท่ีมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตดี
มากเทาไหร แสงออราก็ยิ่งจะมีแรงสั่นสะเทือนมากและแผรัศมีไดไกลมากขึ้นเทาน้ัน แสงออรายิ่งมี
แรงสน้ั สะเทือนมาก เราจะย่ิงมีพลังทาส่ิงที่ตองทาและอยากทามากขึ้น ยิ่งแสงออราแรงมาก เราก็จะ
ยิง่ ไดร บั ผลกระทบจากพลงั ภายนออกนอยลง ซึง่ บง ชี้วา มคี วามเขม แข็งของเรา แสดงความเป็นตัวของ
ตัวเองมากขนึ้ อสิ ระมากข้นึ
แสงออราย่ิงออนก็จะยิ่งทาใหพลังภายนอกเขามากอกวนเรางายข้ึน ทาใหเราถูก
ครอบงาและรูสึกเหน็ดเหน่ือยมากข้ัน แสงออราที่ออนแออาจสงผลใหเรารูสึกลมเหลว เจ็บปุวย และ
ไมประสบความสาเร็จในชีวิต การควบคุมสภาพแวดลอมเร่ิมดวยการควบคุมพลังของตนเองกอน เรา
จะไดเ รยี นรูวธิ เี พ่ิมความแขง็ แกรงและขยายรัศมีของแสงออรา ไดต ามความตองการได
ดังน้ัน ออราหรือการเปลงรังสีแสงเรืองสีตาง ๆ หรือรัศมีเรืองรองบางอยางออกมา
รอบตัวซึ่งอาจเป็นแสงเรืองสีตาง ๆ กัน โดยสามารถมองดวยตาเปลาเห็นได หรือเป็นรังสีแสงที่ไม
สามารถมองเห็นไดดว ยตาเปลา แตสามารถมองเห็นไดด ว ยตาทิพย์ (ทพิ ยจักขุ) ก็อาจเป็นได ดังนั้นเรา
จะเห็นวาการเปลงรัศมีเหลาน้ีมีความเขมขนแตกตางกันไปในแตละบุคคล โดยเฉพาะอยางยิ่งจะ
ปรากฏสีเขมขนชัดใสเจิดจรัสเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอยางสูง และรองลงมาจะมี
รศั มีแสงสแี จม กระจางหรือสีสดใสในบุคคลท่ีมีจิตใจอยูในสภาวะปิติเบิกบานอยูเสมอ ๆ สวนรัศมีแสง
สีที่หมนหมอง มืดคล้า ไมกระจางใส ดูลักษณะขุนมัวหรือพลา แสดงใหเห็นชัดเจนในบุคคลที่เต็มได
ดวยปญั หาวกิ ฤตทิ างจติ ใจและสขุ ภาพ
มีเรื่องกลาวขวัญล้าลือกันมามายเกี่ยวกับผูทรงศีล นักบุญ นักบวช ทั้งของตะวันออก
และตะวนั ตกที่สามารถเปลงรังสอี อราออกจากรางกายจนทาใหคนธรรมดาสามารถมองเห็นไดดัวยตา
เปลา เร่ืองราวน้ีมีมูลความจริงอยูบาง เพราะมีปรากฏอยูในบันทึกและคาใหการจากผูที่เชื่อถือได
ดังเชนจากบันทึกของโปฺบ เบเนติคท่ี 14 และดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ
parapsychologis ไดอ ธิบายไววาพวกนักบญุ และผชู านาญการศาสนาทางตะวันตกไดจาแนกลักษณะ
ของออรา ไว 4 แบบ ดวยกัน กลา วคอื
1. แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มีออราแผออกมาในลักษณะคลายการ “ทรงกลด”
เปน็ รัศมีทรงกลมรอบศรี ษะ
2. แบบ ฮาโล (Halo) เป็นแบบการแผรังสีท่ีมีลักษณะคลายวงแหวนแผออกมารอบ
ศีรษะเหมอื นกัน
3. แบบ ออรีโอลา (Aureola) เปน็ แบบลกั ษณะแผร งั สี คลา ยเปลวเพลงิ ทรงกลด
4. แบบ กลอรี (Glory) เป็นลกั ษณะแสงเรอื งเปลง ปลั่งเรอื งรองแผอ อกมารอบรางกาย
90
แสงออราไมใชเรื่องใหมหลายๆ คนอาจจะมองออราไมเห็น แตทุกคนสามารถรับขอมูล
และความรสู กึ จากแสงออรา ของผูอน่ื ได จากประสบการณด์ ังนี้
1. รสู กึ สดชน่ื หรอื หอ เหยี่ ว เมอื่ ไดยนิ เสยี งใครบางคน
2. รสู กึ วาเพ่อื นคุณสวยหรือหลอ เปน็ พเิ ศษ เมื่อสวมเสือ้ ผาสใี ดสหี นึ่ง
3. รสู ึกวาคุณสดช่ืนขนึ้ เมือ่ สวมเสื้อผา สใี ดสหี นง่ึ
4. รูสึกวา มคี นจอ งมองอยู เมือ่ เหลียวกลับไปก็มคี นจองอยูจรงิ
5. รูสกึ ชอบหรือเกลยี ดข้ีหนา คนบางคน ทัง้ ๆ ทีเ่ พงิ่ พบกนั เปน็ ครง้ั แรก
6. รสู กึ โกรธหรือสงบเมื่อยางเทา เขาไปในสถานทบ่ี างแหง
7. รสู กึ วาคนท่ีคยุ ดว ยไมจรงิ ใจกับคุณ และภายหลังคุณพบวาความรูส กึ นัน้ ถกู ตอ ง
สาหรับแสงออราน้ัน บุคคลที่มีความคิดดี มีสมาธิดี มีสติปัญญา มีความขยันหม่ันเพียร
มีความสดช่ืน สดใส แสงออราก็จะแผกวางออก ย่ิงมีพลังมากก็จะแผกวางมากหรือรัศมีเป็นวงกวาง
มากน่นั เอง หากบุคคลใดที่ไมมีสมาธิ ขาดสติปัญญา แสงออราก็จะนอยไมมีพลังหรือรัศมีเป็นวงกวาง
นอ ย
ความจริงเก่ียวกับธรรมชาติของเปลวแสงท่ีหอหุมอยูรอบตัวมนุษย์บางคน หรือรังสีที่
เปลงออกมารอบศีรษะของคนบางคนน้ี ไมเหมือนกบั เปลวไฟ เพราะมันไมพ ริ้วสะบัดขึ้นขางบน แตมัน
พร้ิวสะบัดออกไปเป็นรัศมีรอบทิศทาง เปลวแสงนี้มิไดเกิดขึ้นอยู แคภายในรางกายของคนแลวเปลง
ประกายแผออกมา แตบางครั้งยังเกิดข้ึนไดกับส่ิงของเครื่องใชซ่ึงเป็นของคนคนนั้น หรือเป็นส่ิงของท่ี
อยูใ กลชิดตัวคนคนน้นั หรอื เป็นสิ่งของท่ีคนคนนนั้ ไดส มั ผัส
ในทางวิทยาศาสตร์ พสิ ูจนไ์ ดวา สมองของคนเราน้ันจะมีคลื่นพลังไฟฟูาชนิดหนึ่งท่ีเปลง
รศั มเี ป็นพลังอานาจออกมา ขนาดความกวางและความสวา งของแสงน้นั ขึ้นอยูกับคล่ืนพลังสมองของผู
น้นั โดยแสงสีท่ีเกิดจากเซลล์ตาง ๆ และอวยั วะสว นสมองของเราจึงบง บอกถงึ สภาวะจติ ความรูสึกนึก
คดิ สุขภาพรางกายของเราวาเป็นอยางไร ใครมีความคิดดี มีสมาธิดี มีสติปัญญาความขยันหมั่นเพียร
มีความสดชื่นสดใส แสงออราก็จะแผกวางออก ย่ิงมีพลังมากก็จะแผกวางมาก ใครท่ีไมมีสมาธิ ขาด
สตปิ ัญญา แสงออราก็จะนอยไมมีพลัง เพราะฉะน้ันออราจึงเป็นรัศมีสนามพลังงานไฟฟูาชีวภาพชนิด
หน่ึงที่ลอมรอบสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไมเฉพาะมนุษย์อยางเราเทานั้น แตออรายังเปลงรัศมีท้ังสิ่งมีชีวิต
ท้งั หลายและสิ่งไมม ชี วี ติ เม่อื กลา วถึงสิ่งมชี วี ิตท้ังหลายนั้น ลวนมีน้าเป็นองค์ประกอบสาคัญอยูภายใน
รางกายสิ่งมีชีวิตตาง ๆ ทั้งสิ้น โดยอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์ท่ีแผออกมาเป็นคล่ืนชีวภาพ ทาให
โมเลกุลน้าเกิดการสั่นสะเทือน จนเกิดพลังงานในท่ีสุด แรงส่ันสะเทือนน้ีสงผลทาใหโครงสรางของ
อะตอมท่ีประกอบดวยโปรตรอน อิเล็กตรอนท่ีเคลื่อนนี้อยูนั้น ซึ่งภายในรางกายจะมีอิเล็กตรอนเป็น
ประจุลบ และโคจรรอบนิวเคลียส สวนโปรตรอน เป็นประจุบวกกอใหเกิดการกระตุนเป็นพลังงาน
ออกมา กลายเปน็ รัศมีเรืองแสง หรือออรานั่นเอง ซึ่งนักคนควาสมอง นายแพทย์สตานิสลัฟ ผูคนควา
เรอื่ งสมองในงานช่ือ Beyond the Brain เมือ่ ปี ค.ศ.1985 และ อลั เบิรต์ ไอนส์ ไตน์ ตางใหความเห็น
เดียวกันวา การส่ันสะเทือนของความถ่ีในเซลล์สมองจะกระตุนสมองกลีบขมับหรือTemporal lobe
หรือการส่ันไหวทางอารมณ์ มีผลทาใหเกิดสนามแมเหล็กไฟฟูาที่มีคล่ืนความเขมขนสูง และเกิดการ
เปลง แสงสีหลากหลายรัศมอี อกมานั่นเอง
เพราะฉะน้ัน ปจั จุบันนีเ้ ราทราบจากการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์แลววา รังสีท่ีเปลงออก
จากวัตถุหรือสะทอนจากวัตถุทุกชนิดลวนเกิดจากการส่ันสะเทือนของอะตอมหรือการเคลื่อนไหว
เปลยี่ นแปลงอะตอมนั้น ๆ ซ่ึงทางพระพทุ ธศาสนาก็คือรังสีเกิดภายใตกฎไตรลักษณ์โดยเฉพาะในท่ีน้ีก็
91
คือ หลักอนิจจตาภายในอะตอมน่ันเอง โดยสอดคลองกับคาอธิบายของนีล บอห์ร “อะตอมจะไม
สามารถใหแสงสูภายนอกได ตราบใดท่ีอิเล็กตรอนท่ีอยูลอมรอบยังคงหมุนอยูในวงโคจรเดิม การ
เปลงแสงออกมาจากอะตอม จะทาใหเกิดการสูญเสียพลังงาน ซึ่งจะถูกทดแทนในทางใดทางหนึ่ง
เพราะในระบบที่วัตถุสามารถหมุนไดนั้น อิเล็กตรอนจะถูกรักษาระดับไวที่ระดับพลังงานหนึ่ง โดย
อิเล็กตรอนที่อยูภายนอกเหมือนเปลือกหุมนั้น จะถูกยกข้ึนสูวงโคจรใหม ซ่ึงใชเวลาประมาณ 1 ใน
100 ลานวนิ าที และเมอ่ื อเิ ลก็ ตรอนกระโดดกลบั มายงั วงโคจรเดิม พลงั งานทที่ าใหมันไตข้ึนไปอยูในวง
โคจรใหมจะถูกปลอยออกมาอีกคร้ัง และกลายเป็นพลังงานท่ีกลายเป็นคล่ืนแมเหล็กไฟฟูาที่สามารถ
มองเห็นไดนั่นคือ รังสีแหงแสงสีท่ีถูกเปลงออกมา” โจฮันน์ จาคอบ บาล์มเมอร์ นักคณิตศาสตร์และ
นกั ฟิสกิ สช์ าวสวิตเซอร์แลนด์ ไดพ ัฒนาสูตรที่ใชในการทานายสเปกตรัมสีแหงไฮโดรเจน ขึ้นในปี พ.ศ.
2428 และบาล์มเมอร์ยังพบความเช่ือมโยงกันระหวางความยาวคลื่นตาง ๆ หรือลาแหงคล่ืนแสง ซ่ึง
สามารถทอนลงมาเป็นสูตรที่เรียกวา “เสนบาล์มเมอร์” ซึ่งชวยใหนักฟิสิกส์สามารถถอดรหัสสาคัญ
ของการสนั่ สะเทอื นของสีได (มอร์ตัน วอล์คเกอร์, 2538: 59-60)
นักวิทยาศาสตร์เชื่อวา รางกายของมนุษย์นั้นมีสนามแมเหล็กเชนเดียวกับโลก มีข้ัวอยู
ระหวางฝุาเทาและจุดสูงสุดของศีรษะทุก ๆ คนตองการพลังงานท่ีมีประโยชน์ของกระแสและ
สนามแมเหล็กไฟฟูาของโลกมาใชอานวยความสะดวกในการส่ือสารทางเมตาโบลิกของแตละคนเชน
ระหวางเซลล์ ระบบภูมิคุมกัน สัญญาณประสาท การแลกเปล่ียนไอออนของกระแสเลือดและ
ของเหลวในเนอ้ื เยอ่ื โดยแมเ หลก็ ของแตละบคุ คลจะอยูร อบ ๆ รางกายในรูปของรัศมีสีที่แปรเปลี่ยน
ไดที่เรียกวา “ออรา” ที่เป็นกายแอสทรัลของแตละบุคคล ซ่ึงประกอบดวยช้ัน 3 ชั้นคือ กายอีเทอร์
กายวญิ ญาณ และกายจติ วญิ ญาณ ซึ่งลวนเกิดจากการส่ันสะเทือน โดยมีกายจิตวิญญาณเป็นกายท่ีสูง
ท่ีสุด ออราจะมีรูปทรงเป็นทรงกลม แบงออกเป็น 3 สวนคือ สวนศีรษะ สวนรางกาย และสวนของ
อวัยวะท่ีเกี่ยวของกับการเคล่ือนไหวเชนขา โดยในแตละสวนจะมีออราแยกการกระทาออกจากกัน
และมีสีที่แตกตางกัน สีของออราน้ันจะมีอยู 6 ชั้นคือ ใกลกับรางกายท่ีสุดเป็นสีขาว ตามดวยสีแดง
เพลิง สีเหลืองสด สีเขียว สีน้าเงิน และสีมวงหรือครามอยูเป็นช้ันนอกสุด เม่ือรางกายอยูในสภาวะ
สมดุลทางสรีระ ออราน้ันจะขยายออกและสดใส แตหากรางกายเผชิญความทุกข์ ความไมสบายกาย
สบายใจ ออราเหลาน้ันจะหดเขามาใกลรางกายและยากท่ีจะเปลงประกายเจิดจาออกมาได (มอร์ตัน
วอล์คเกอร์, 2538: 159-162)
แนวคิดเร่ืองพลังงานออรานี้ มีความคลายคลึงกับทฤษฎีเรดิโอนิกส์ ท่ีไดเร่ิมพัฒนามา
ตั้งแตตนทศวรรษท่ี 1900 โดยนายแพทย์ อัลเบิร์ต อาบรัมส์ ชาวซานฟรานซิสโก ซึ่งไดต้ังสมมติฐาน
วาทุกสวนของรางกายมนุษ์และสัตว์นั้น จะแผพลังงานออกมาในระดับที่แนนอน หากพลังงานน้ันอยู
ในระดับที่เหมาะสม กายอีเทอร์ขอคนผูนั้นจะอยูในภาวะสมดุล (กายอีเทอร์คือเน้ือแทของวิญญาณ
ของรางกาย เป็นนามธรรมจับตองไมได ดูภายนอกจะเห็นเป็นสีของออรา) หากระดับพลังงานสูงหรือ
ตา่ เกนิ ไป กายอีเทอรจ์ ะเกิดภาวะไมสมดุลและสง ผลใหร างกายเจบ็ ปวุ ยได โดยตามทฤษฎีเรดิโอนิกส์นี้
เชื่อวา รางกายเราจะไมเป็นอะไรเลยหากไมมีอะไรเกิดข้ึนกับรางอีเทอร์กอน ดังน้ัน อาบรัมส์จึง
ต้ังสมมติฐานวา ความปุวยไขนั้นสามารถวินิจฉัยไดจากคารังสีท่ีวัดไดจากรางกาย โดยเขาไดประดิษฐ์
เครื่องมือท่ีเรียกวา “ออสซิลโลคลาสต์” เพื่อใชวัดรังสีตาง ๆ อีกดวย (มอร์ตัน วอล์คเกอร์, 2538:
101-103)
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์อธิบายปรากฏการณ์ออรา (Aura) เกิดจากการท่ีอะตอมของ
สารตาง ๆ เกิดการส่ันสะเทือนโดยอิเล็กตรอนที่ว่ิงรอบ ๆ แกนอะตอม และเมื่อมีการเคล่ือนที่ก็มีการ
92
รับและสงพลังงานออกมาเพื่อใหตัวเองมีเสถียรภาพ พลังงานท่ีปลอยออกมาจะออกมาในรูปแสงและ
คล่ืนเสียง ออราเป็นผลพวงจากกระบวนการดังกลาวในปัจจุบัน มีการบันทึกภาพออราดวย
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรียกวา เทคนิคแบบเกอร์เลี่ยน ท่ีนักวิทยาศาสตร์อธิบายปรากฏการณ์
ออราไดน้ี ก็เพราะมีเหตุปัจจัยดังนี้ ในปี ค.ศ. 1939 เซมยอน เดวิโดวิช เกอร์เลียน (Semyon
Davidovich Kirlian) นกั วศิ วกรไฟฟาู ชาวรัสเซียท่มี ชี ื่อเสียงแหงเมืองคราสโนดาร์ (Krasnodar) เมือง
หลวงของรัฐคูบานซ่ึงอยูทางตอนใตของดินแดนสหภาพโซเวียตรัสเซีย ไดคนพบวิธีการถายภาพซ่ึง
สามารถถายภาพรัศมีพลังแสงที่หอหุมส่ิงมีชีวิตโดยอาศัยสนามคล่ืนไฟฟูาที่มีความถี่สูงไดสาเร็จจาก
การท่ีเกอร์เลียนไปชมการสาธิตการใชเคร่ืองมือรักษาโรคดวยไฟฟูาจากเครื่องท่ีมีความถ่ีสูงที่
สถาบันวิจัยโรคแหงหนึ่งเขาสังเกตเห็นแสงแวบออกมาตรงระหวางอิเล็กโทรด (electrode) หรือ
ขั้วไฟฟูาท่ีแปะติดไวกับผิวหนังคนไขจึงเกิดความคิดวาหากใสโฟโตกราฟฟิคเพลท (photographic
plate) หรือแผนกระจกถายภาพที่เคลือบดวยเย่ือไวแสงสอดใสระหวางอิเล็กโทรดกับผิวหนังของ
ผูปุวยจะเกิดอะไรขึ้นดังนั้นเขาจึงแปะอิเล็กโทรดที่เป็นโลหะติดเขากับมือตัวเองแลวเปิดสวิตช์ไฟ
เครอ่ื งมือเขารูส กึ วามอื ชารอ นและเจ็บปวดมากเวลาผานไปสองสามนาทีเขาจึงปิดสวิตช์เครื่องมือแลว
รบี นาโฟโตเพลทใสล งไปในอา งนา้ ยาเคมผี สมภายในหองมืดทันทีปรากฏเป็นภาพรอยฝุามือที่มีรัศมีแผ
กระจายโดยรอบทาใหเกอร์เลียนรูสึกตื่นเตนมากเพราะเป็นการถายภาพท่ีแตกตางกับวิธีอื่นท่ีอาศัย
แสงรังสีเอกซเรย์หรือกัมมันตภาพรังสีอยางใดอยางหนึ่งชวย ตอมา เกอร์เลียนไดพยายามถายภาพ
ประกายแสงนั้นดวยกลองถายภาพพิเศษเพ่ือนาไปศึกษาวาเป็นประจุไฟฟูาแบบใดและเกิดขึ้นได
อยางไร เกอร์เลียนคนพบวาการถายภาพประกายแสงนั้นทาไดดวยการนาฟิล์มไปวางไวใตแผน
อเิ ล็กโทรดโดยไมจาเป็นตองใชกลองถายภาพเม่ือเกิดประกายแสงข้ึนภาพก็จะไปปรากฏบนแผนฟิล์ม
ไดเ องในท่ีสุดเขาก็คนพบวิธีถายภาพแบบใหมโดยใชฟิล์มไวแสงระหวางวัตถุท่ีตองการจะถายภาพกับ
แผน อิเล็กโทรดทตี่ อ เขากับกระแสไฟฟาู ความถีส่ งู (ศุภกาญจน์ วิชานาติ, 2556: 42-43)
เกอร์เลียนและวาเลนตินาผูเป็นภรรยาใชเวลาสรางกลองเกอร์เลียนนานถึง 13 ปี จน
สามารถใชงานไดดีและใชถายภาพวัตถุมากมายดังเชนภาพถายใบไมสดเต็มใบแตตัดสวนปลายออก
และรีบถายโดยเร็วภาพท่ีถายไดยังปรากฏเป็นใบไมเต็มใบซ่ึงสวนท่ีถูกตัดออกเห็นเป็นภาพแสงเลือน
ราง เกอร์เลยี นจงึ ใหช อื่ วา “ภาพปีศาจ” และเมื่อนาใบไมแหงมาถายภาพก็พบวาแสงที่ออกมาจะออน
ลงนอกจากน้ีเมื่อถายน้ิวมือมนุษย์ก็พบวามีการเปลงแสงไดอีกดวยโดยในสภาวะจิตใจตางๆ กันแสงก็
จะปรากฏใหเหน็ ตางกัน (สาโรจน์ เกษมสุขโชติกลุ , 2538: 47)
จากภาพถายเกอร์เลียนจึงเกิดสมมติฐานที่วา ส่ิงมีชีวิตอาจจะมีกายสองรูปซอนกันอยู
คือ กายจริงหรือกายแหงธรรมชาติที่สามารถมองเห็นไดกับกายแหงพลังหรือกายเทียมซึ่งไมสามารถ
มองเห็นไดดวยตาเปลานอกจากใชวิธีการถายภาพเกอร์เลียนเทาน้ัน กายจริงจะสะทอนใหเห็นสิ่งท่ี
เกิดขึ้นภายในออกมาแตกายแหงพลงั นนั้ เกดิ จากพลงั ลกึ ลับที่ผานเขาและออกภายในกายจริงซึ่งจะแผ
รังสีออกมาหอหุมกายจริงอีกทีหนึ่งไมใชเป็นการแผจากกายจริงตามที่เขาใจกันถาเกิดความไมสมดุล
ในกายแหงพลังพชื ข้ึนก็จะชี้ใหเ หน็ ถึงการเกดิ โรคและกายจริงกจ็ ะสะทอ นใหเห็นการเปลี่ยนแปลงทีละ
นอยซึ่งปรากฏการณ์ดังกลาวน้ีเกิดกับมนุษย์ดวย นอกจากน้ีกายแหงพลังน้ันเป็นรูปกายท่ี
ประกอบดวยวัตถุธาตุหรือ “พลาสมาที่มีชีวิต” (bioplasma body) หรือท่ีรูจักกันในช่ือวา
“วญิ ญาณ”
สาหรับการวจิ ยั คน ควา ถายภาพเกอร์เลียนในสหรัฐอเมริกา เริ่มตนจากการท่ี ดร.เทลมา
มอส (Dr.Telma Moss) นักจิตวิทยาการแพทย์แหงสถาบันประสาทและจิตเวช มหาวิทยาลัย
93
แคลิฟอร์เนียไดไปดูงานการทดลองถายภาพเกอร์เลียนในรัสเซียเม่ือกลับมาก็ไดวิจัยคนควาอยาง
จริงจงั โดยการเปิดหลักสตู รพเิ ศษเปน็ วิชาเลือกของวชิ าปรจิตวทิ ยาในมหาวิทยาลยั ทาใหภ าพถายเกอร์
เลยี นเป็นท่รี จู ักแพรหลายมากย่งิ ข้ึน
ผลของการถายภาพเกอร์เลียนสามารถนาไปประยุกต์ใหกับวิทยาการดานตางๆ ซ่ึงมี
ประโยชน์ตอวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยเฉพาะอยางยิ่งทางดานการแพทย์มีการทดลอง
ถายภาพคนไขท่ีปุวยดวยโรคเก่ียวกับระบบหายใจเก่ียวกับลาไสและเก่ียวกับทางจิตเป็นตนปร ากฏวา
พลังแสงจากภาพถายของคนปุวยเหลานี้จะเปลงแสงรัศมีออกมาแตกตางกันทาใหแพทย์สามารถ
วินิจฉัยตรวจโรคและใหการบาบัดรักษาไดเป็นอยางดี นอกจากนี้ภาพถายเกอร์เลียนยังสามารถ
ตรวจสอบความเจริญของเน้ือเย่ือและการเจริญเติบโตของเซลล์ภายในรางกายของคนไขซึ่งมี
ประโยชน์ตอ การวิเคราะห์รายละเอียดภาพถา ยเนื้อเยือ่ มะเรง็
ปจั จบุ ันไดพัฒนาเทคนิคนี้ จนเปน็ ที่ยอมรบั โดยนกั วทิ ยาศาสตร์ไดใชภาพถายเกอร์เลี่ยน
น้ีในการศึกษา พลังของส่ิงตาง ๆ โดยเฉพาะพลังอานาจของชีวิต เชน ใชในการวิเคราะห์โรค ตรวจ
อานาจหรือคุณสมบัติบางประการในวัตถุหรือสสาร (วิเคราะห์จากสเปคตัม) ความหมายของสีออรา
ในวัตถุที่มีชีวิตและไมมีชีวิตลวนก็มีพลังงานทั้งส้ิน ฉะน้ันจึงมีผลตอคล่ืนแมเหล็กไฟฟูาโลก สีออราที่
แผรศั มีออกจากวัตถุน้ัน จะเปน็ การสื่อวาวัตถุชนิดน้ัน ๆ มีสภาพเป็นเชนไร จึงมีการจาแนกสีเพ่ือเป็น
เครื่องชี้วัดใหเกิดความเขาใจถึงสถานภาพของวัตถุน้ัน ๆ และสังเกตไดวาท่ีเราสัมผัสแสงออราของ
ส่ิงมีชีวิตไดงายกวาสิ่งไมมีชีวิต เน่ืองจากสิ่งที่มีโครงสรางอะตอมจะมีแสงออรา อะตอมของสสารทุก
อยางประกอบดวยโปรตอนและอิเล็กตรอนซึ่งเคล่ือนที่อยูตลอดเวลา โปรตอนและอิเล็กตรอนนี้เป็น
แรงสั้นสะเทือนของพลังแมเหล็กไฟฟูา อะตอมของสิ่งมีชีวิตจะเคล่ือนท่ีและสั่นสะเทือนแรงกวา
ส่ิงไมมีชีวิต ดังน้ันเราจึงสังเกตและสัมผัสแสงออราของสิ่งมีชีวิตไดงายกวานั้นเอง (Ted Andrews,
2542: 3-4)
สขี องออรา่ และความหมาย
การศึกษาลักษณะพลังออราในรางกายมนุษย์ตามสี สามารถพิจารณาไดทั้งในระดับท่ี
เป็นสพี ื้นฐานและสีสวนประกอบ แสงออรานั้นเต็มไปดวยสีสัน แตหากพิจารณาแสงออราทั้งหมด จะ
เห็นวามีสีใดสีหน่ึงเดนชัดที่สุดในแสง โดยสีน้ีจะปรากฏอยูตามท่ีตางๆ และมีสีอ่ืนเขามาเจือปน สีท่ี
เดนชัดท่ีสุดน้ีคือสีพ้ืนฐานแหงออรา และสีอ่ืนเป็นสีสวนประกอบ สีพื้นฐานแหงออราเป็นสีท่ีไมมีการ
เปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต มันจะบงบอกถึงศักยภาพของบุคคลนั้น ๆ (Dora Von Gelder Kunz,
1996: 149)
สีของออรา แล ะก ารแ ปล ควา มห มา ยของสี ออร าจ าเ ป็นต อง อาน สีออร าดว ยค วา ม
รอบคอบอยางมีสติ เพราะสีแตละสีมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง และโทนสีจะทาใหลักษณะเหลานั้น
เปล่ียนไปเลก็ นอ ย เราตอ งพิจารณาถึงตาแหนงท่ีสีปรากฏ ความเขม แมแตรูปรางของสีดวย และควร
ดูแตสีหลกั ๆ พลังที่สนี ัน้ แสดงออกมาในเรอื่ งสภาพของรางกายและอ่ืน ๆ ตามปกติ ซึ่งเป็นจุดเริ่มให
เขา ใจถึงนัยแหงสี ดังนั้นจงึ แบง ประเภทสีของออราโดยตีความคา ของสีออรา ได 2 ประเภท ดงั น้ี
1. สขี องความคิดและอารมณ์
มลี ักษณะเป็นหมอกมีความไหลปรากฏเป็นหยอม ๆ จะเห็นไดชัดเจนบริเวณรอบศีรษะ
และเหนอื บา มสี สี นั ตาง ๆ เชน
94
1.1 สีชมพู หมายถึง พลังที่แจมใสเต็มไปดวยความรักอารมณ์ขันถอมตนสามารถ
ปลอบประโลมผอู ืน่ โรแมนติกขอ เสยี คือมกั จะใจคอโลเล
1.2 สีแดง เป็นสีท่ีแสดงถึงความทะเยอทะยานเต็มไปดวยพลังงานมีความ
กระฉับกระเฉงและมีพลังทางเพศถาเป็นสีแดงมืดอาจหมายถึงอารมณ์รุนแรงถาเป็นสีแดงสดใส
หมายถึง ความภาคภูมใิ จและทะเยอทะยานในทางที่ถกู ท่ีควรถาสแี ดงขุน เปน็ พวกใจคอโหดราย
1.3 สีส้ม / แสด เป็นสีของความกระฉับกระเฉงวองไวมีความสุขสุขภาพท่ีเต็มไป
ดวยพลงั ถา มีแสงสนี ม้ี ากเกินไปจะกลายเป็นคนเยอหย่ิงสีน้ียังเป็นสีท่ีควบคุมการทางานของกลามเนื้อ
ดวย สีสมมัวหมนหรือสม ปนนา้ ตาลแสดงถงึ ปัญญาตา่ ถาสสี มแดงหมายถงึ เยอ หยิง่ อวดฉลาด
1.4 สเี หลือง เป็นสที ม่ี องเห็นงายที่สดุ ในออรา เป็นสีของความฉลาดความเมตตามอง
โลกในแงดีรักเพ่ือนมนุษย์ นอกจากนั้นยังเป็นสีของภูมิคุมกันโรคสีเหลืองอมสมแสดงถึงความฉลาด –
ปราดเปรือ่ งสีเหลอื งขนุ คนแสดงถึงความอจิ ฉาริษยาหรือความคลางแคลงใจ
1.5 สีเขียว เป็นสีของจิตใจที่ละเอียดออนมีความเขาใจผูอ่ืนนอกจากนั้นยังเป็นสี
ของความรักการเปลี่ยนแปลงการรักษาโรคความสามารถในการใชมือและยังเป็นสีท่ีแสดงถึงความ
สมดลุ ถาเปน็ สีเขียวสดใสแสดงวาเป็นคนปรับตัวเกงใจดีชอบอิสระถาเป็นสีเขียวมืดจะเป็นพวกข้ีโกงข้ี
อิจฉาถาเป็นสีเขียวอมฟูาเป็นพวกชอบชวยเหลือผูอื่นไววางใจไดเขาอกเขาใจผูอ่ืนและแสดงถึง
ความสามารถในการรกั ษาโรคถาเปน็ สีเขยี วขมี้ า เปน็ พวกชอบหลอกลวงตมตนุ๋ ขโ้ี กงและขเ้ี หนยี ว
1.6 สนี า้ เงิน เป็นสีของความสงบและสัจจะเป็นสีของการส่ือสารพลังจิตความฉลาด
ความมีอุดมคติขยันขันแข็งความสาเร็จสามารถยืนหยัดอยูบนขาของตัวเองมีความเช่ือมั่นในตนเอง
ซื่อตรงจริงใจและชอบชวยเหลือผูอ่ืนมักจะเป็นพวกสมถะแตใจคอหงุดหงิดงายสีน้าเงินขุนแสดงวา
ทศั นะวิสยั ถกู ปดิ กนั้ กลายเป็นคนขีก้ ังวลและขี้ลมื
1.7 สีคราม เปน็ สขี องพลังจติ สัมผสั ที่ 6 โทรจติ ความฉลาดลา้ ลึกความคิดสรางสรรค์
และความเป็นหนึง่ เดยี วกบั ธรรมชาติมคี วามจรงิ ใจชอบคนหาสัจจะความจรงิ ของชีวติ
1.8 สีม่วง เป็นพวกจิตละเอียดออนเป็นตัวของตัวเองมีสัมผัสที่ 6 ชอบทางสมาธิ
และโนมเอียงไปทางศาสนาชอบเร่ืองลี้ลับคนสวนใหญมักจะไมคอยมีสีนี้ผูที่มีสีน้ีมักจะมีพลังจิตสูงแต
อาจมีปญั หาเกีย่ วกับบรเิ วณทองเน่ืองจากจกั ระชว งบนพัฒนาลา้ หนาจักระชวงลาง
1.9 สีน้าตาล เป็นสีที่แสดงถึงความคิดแคบ ๆ ไมยอมรับฟังความคิดเห็นของผูอื่น
เหน็ แกตัวชอบคยุ แตเ ร่ืองตัวเองเป็นคนนาเบื่อสีน้าตาลยังเป็นสีของจักระเทาพลังธรณีและอดีตท่ีผาน
มาขอดีของสีนี้ คือ เป็นสีของความขยันขันแข็งความมีระเบียบและอาจหมายถึงความมุงมั่นที่จะใหสู
จุดมงุ หมายและความสาเรจ็
1.10 สีด้า หมายถึงการสิ้นสุดซึ่งในที่น้ีหมายถึงการส้ินสุดของสถานการณ์หน่ึงเพ่ือ
เปดิ โอกาสใหสถานการณใ์ หมเขา มาอาจหมายถึงการเกิดใหมหรือความลาชาก็ไดบางคร้ังอาจหมายถึง
โรครา ยแรงหรือโรคเรือ้ รงั อทิ ธิพลมืดบางคร้ังอาจหมายถึงการปกปูองตัวเองจากพลังภายนอกหรือคน
ผูนั้นอาจจะมีความลับถาสีดาเกิดปะปนอยูกับสีอื่น ๆ เชน สีแดงแสดงถึงความโกรธเกลียดอาฆาต
พยาบาทสเี หลืองแสดงถงึ ความคดิ ช่วั รายสเี ขยี วหมายถึงความคิดหกั หลงั อิจฉา
1.11 สีขาว เป็นสีท่ีมีความสมดุลและสมบูรณ์แบบมากท่ีสุดจะปรากฏกับพวก
นักบุญพระหรือผูฝึกสมาธิวิปัสสนาสม่าเสมอถาปรากฏเป็นเสนแสงสีขาวผานเขามาในแสงอาจ
หมายถึงขาวสารจากมิติอ่ืนเขามาพวกท่ีเขาทรงจะมีสีขาวเขามาในแสงระหวางการเขาทรงผูที่มีสีขาว
95
ปรากฏอยูในออรา หมายถงึ กายแสงไดรับการชาระและฟอกใหบริสุทธิ์ หรืออาจหมายถึงสภาพจิตใจท่ี
เตม็ ไปดวยความคดิ สรางสรรค์และบรสิ ทุ ธ์ิ
1.12 สีเงิน หมายถึง แรงบันดาลใจหรือขาวสารขอมูลจากโลกวิญญาณหรือจากมิติ
อืน่
1.13 สีทอง เป็นพลังของจักรวาลหรือพลังจากเทพท่ีเขามาชวยถายโรคออกจาก
รางกาย
1.14 สเี ทา เป็นพวกขาดจนิ ตนาการคร่าครึหวั โบราณยึดถือความคิดตนเป็นใหญเจา
ระเบยี บถาเปน็ สีเทามืดยง่ิ มืดทึบมากย่ิงแสดงถึงอารมณ์ท่ีเหี่ยวเฉาสลดหดหูคนพวกน้ีมักจะวาเหว ถา
มีจุดมืดสีนี้ในแสง แสดงถึงโรคอวัยวะท่ีมีปัญหาหรืออิทธิพลมืด ถามีจุดสีแดงอยูในเงามืดของแสง
แสดงถึงความคิดแงลบไดแกความเกลียดเคียดแคนหรือแมแตอารมณ์ฆาตกรสีเทาคอนไปทางสีเงิน
แสดงถึงวาสมองซีกขวาไดรับการกระตุนกอใหเกิดจินตนาการและสัมผัสท่ี 6 สีท่ีไมคอยปรากฏอยู
ดวยกันคือสีน้าเงินกับสีแสด ถาใครมีสองสีนี้อยูดวยกันจะเป็นคนที่นาอิจฉาเพราะสีน้าเงินเป็นสีของ
ความสงบและสแี ดงเป็นสีของความสุขคุณจะมแี ตความสงบสขุ ทางจติ ใจ
สีที่อยูใกลรางกายท่ีสุด จะบอกสภาพของรางกาย และยังบอกถึงพลังท่ีเก่ียวของกับชีวิต
ของเราในปัจจุบัน สีและพลังท่ีอยูไกลออกไปบอกถึงพลังที่คนผูนั้นจะเขาไปเก่ียวของดวย การฝึกจะ
ทาใหเ ราดชู วงเวลาของพลังของสบี างชนดิ และตาแหนงท่สี ปี รากฏ
2. สีพืนฐานของออรา่
จะทราบอยางไรวาเรามีสีพ้ืนฐานของออราเป็นสีอะไร สามารถคานวณตามสูตรนาวัน
เดอื นปีค.ศ. ทีเ่ กิดมาบวกกันสมมติวา เกดิ วันท่ี 5 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1960 กน็ าเลขท้ังหมดมาบวก
กันคือ 5 + 5 + 1960 = 1970 จากน้นั กแ็ ยกตัวเลขออกมาบวกกันอีกครัง้
จะไดเปน็ 1 + 9 + 7 + 0 = 17 กน็ ามาแยกบวกอีกจนกวาจะไดเ ลข 1 ตวั
จะไดเป็น 1 + 7 = 8 เมื่อไดผลลัพธ์เป็นเลขตัวเดียวแลวขอใหดูวาตัวเลขที่ไดตรงกับสี
พนื้ ฐานสีอะไรมีความหมายวา อยางไรแตถ าเลขบวกกันแลวไดผลเป็น 11 และ 22 ไมตองแยกบวกอีก
เพราะเปน็ พวกพเิ ศษกวาพวกอนื่
1. สีแดงศกั ยภาพ : ผนู้ า้
พวกมสี ีแดงเปน็ สีพื้นฐานจะมีความกระตือรือรนเป็นผูนาเต็มไปดวยพลังกระฉับกระเฉง
มีเสนห์สามารถพูดจาโนมน้าวจิตใจผูอ่ืนไดดีเป็นคนสนุกสนานโอบออมอารีกลาหาญทะเยอทะยาน
มองโลกในแงดีชอบการแขงขันเป็นสีท่ีนามาซ่ึงความสาเร็จคุณควรหาอะไรท่ีทาทายความสามารถทา
แตอยาใหถึงกับวาคุณว่ิงไมเร็วแตคุณสรางโครงการทาทายความสามารถโดยฝันท่ีจะเป็นนักกีฬา
โอลิมปิกอยางนีม้ นั เกนิ ความสามารถมากไปตองพจิ ารณาใหพ อเหมาะสม
ขอเสียมักจะขี้กังวลต่ืนตระหนกและอาจหลงตัวเองรวมทั้งอาจจะบางานมากไปจน
เครยี ดควรรูจักพักผอ นและคลายความเครียด
2. สสี ม้ /แสดศกั ยภาพ : มนุษยสมั พนั ธด์ ี
คุณเป็นคนอบอุนนาคบเขากับคนงายชอบเป็นท่ีปรึกษาปัญหาใหใครตอใครชอบ
ชว ยเหลือและทาตัวใหเป็นประโยชน์อยูเสมอมีจิตใจเป็นสมถะชอบปิดทองหลังพระคุณควรคบกับคน
ที่มีนสิ ัยคลา ยคลึงกันไมง ้ันคนอื่นจะเอาเปรียบคุณขอเสยี ขี้เกียจใจนอ ยมักถกู คนอื่นเอาเปรยี บ
96
นอกจากน้ี สีสม ยงั บงบอกถึงความไมส มดลุ ทางอารมณ์ และความกระวนกระวายใจ โทนสี
สม ทขี่ ุนมวั บางสจี ะบอกถึงความภาคภมู ิใจ การโออ วด ความวิตกกังวล และความหยงิ่ ยโส
3. สเี หลืองศักยภาพ : มคี วามคิดสร้างสรรคฉ์ ลาด
คณุ เปน็ คนคิดอะไรรวดเร็วมีความกระตือรือรนอยูเสมอเขาสังคมงายปรับตัวเกงชอบคุย
ถกเถยี งปญั หาชอบเรยี นรู และทาอะไรหลาย ๆ อยางในเวลาเดียวกันมีพรสวรรค์ดานการพูดงานท่ีทา
ควรเกี่ยวกับการพูดเป็นส่ือ เชน ครู เซลล์แมน นักการทูต ท่ีปรึกษา ฯลฯ หรืองานอาชีพที่ตองใช
คาพดู เปน็ หลักเปน็ คนฉลาดหลกั แหลมและเรยี นรอู ะไรไดร วดเรว็
ขอเสียจับจดขี้อายโกหกเกง หากออราเป็นสีเหลืองสมแสดงถึงความฉลาดปราดเปรื่อง
หากออราเป็นสีเหลืองขุนขนแสดงถึงความอิจฉาริษยาหรือความคลางแคลงใจ นอกจากนี้ออราสี
เหลอื งยงั เปน็ สีของภูมิคุมกันโรค
สีเหลือง เป็นสีแรกในกระบวนสีท่ีเห็นไดกอนเพ่ือน สีเหลืองออนรอบวงผม บงบอกวา
เป็นคนมองโลกในแงดี เป็นสีท่ีเกี่ยวกับกิจกรรมทางจิตและวันใหม บงบอกถึงโอกาสในการเรียนรูส่ิง
ใหม ความปราดเปรียวปัญญาและความเฉลียวฉลาด โทนสีท่ีออนเย็นตาจะบงบอกถึงความ
กระตอื รอื รน ตอบางสงิ่ บางอยา งในชวี ิตพลงั ความคิด และการพัฒนาจิตวิญญาณ (โดยเฉพาะอยางย่ิงสี
เหลอื งซีดจนถงึ สเปกตรัมสีขาว) สีเหลืองเป็นตัวแทนแหงพลังความคิดและการปลุกความสามารถทาง
จติ
โทนสเี หลืองเขมและขุน บง บอกถงึ การคิดหรือการวิเคราะห์มากเกินไป และยังบงบอกถึง
การถกู วิพากษ์วิจารณ์เป็นอยางมาก ความรูสึกถูกกีดกันไมใหเป็นท่ียอมรับ และการถือทิฐิในความคิด
ของตน
4. สีเขียวศกั ยภาพ : รักษาโรค (สเี ขยี วเปน็ สีของการรักษาโรค)
คุณเป็นคนรักสงบชอบชวยเหลือผูอ่ืนจิตใจดีมีพลังจิตไววางใจไดคุณอาจมีลักษณะ
ภายนอกหงิม ๆ หรือเรียบงายแตสวนลึกแลวด้ือนาดูคุณเป็นพวกสูงานหนักเอาเบาสูขอเสียด้ือร้ันไม
รับฟงั ความคดิ เห็นของผูอื่น ความสามารถในการใชมือ และยังเป็นสีที่แสดงถึงความสมดุล หากออรา
เปน็ สเี ขียวสดใสแสดงวาเป็นคนปรบั ตวั เกง ใจดี ชอบอิสระ หากเปน็ สีเขยี วมืดจะเป็นพวกขี้โกงขี้อิจฉา
หากเป็นสีเขียวอมฟูา เป็นพวกชอบชวยเหลือผูอ่ืนไววางใจไดเขาอกเขาใจผูอ่ืน และแสดงถึง
ความสามารถ ในการรักษาโรค หากเป็นสีเขียวขี้มาเป็น พวกชอบหลอกลวง ตมตุ๋น ข้ีโกง และขี้
เหนยี ว
สีเขียว เป็นสีของอารมณ์ที่ออนไหวและความสงสาร บงบอกถึงความเจริญเติบโต
ความเห็นอกเห็นใจ ความสงบ และยังบงบอกวาเป็นคนที่เช่ือถือได พึ่งพิงได และเปิดเผย สีเขียวสดที่
อยใู กลแ สงออราสีน้าเงินบงบอกวามีความสามารถในการรักษาพยาบาล เพราะสีเขียวเป็นสีแหงความ
อดุ มสมบรู ณ์ ความแขง็ แรงและความเป็นมิตร
5. สนี า้ เงินศกั ยภาพ : เปน็ ไดท้ กุ อยา่ ง
คุณเป็นพวกมองโลกในแงดีแมชีวิตจะลุมๆดอนๆไปบางแตยังย้ิมสูเสมอแสงออราของ
คุณจึงกวางและสวางไสวเสมอทาใหกระชุมกระชวยดูออนกวาวัยคุณมีความจริงใจซื่อสัตย์ปากกับใจ
ตร งกั นรั กก าร ผจ ญ ภัย มีค วา มคิ ดส รา ง สร รค์ แล ะมี จิน ต นา กา รช อบ พบ ปะ ผู คน แล ะส นใ จก า ร
แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมมีพรสวรรค์หลาย ๆ ดานนอกจากนั้นยังเป็นพวกชีพจรลงเทา และขาดความ
อดทนอีกดว ย
97
โทนสีน้าเงินออนบงบอกถึงจินตนาการและการับรูโดยสัมผัสตรงไดอยางดี สีน้าเงินเขม
บงบอกถึงความรูสึกโดดเด่ียวอางวาง ซึ่งเมื่อเขาสูระดับหน่ึงแลวจะบงบอกถึงการแสวงหาพระเจาอยู
ช่ัวชีวิตนี้ สีเขมมากบงบอกถึงระดับของความจงรักภักดี สีน้าเงินสด (royal blue) บงบอกถึงความ
ซือ่ สัตย์ การวินิจฉัยท่ดี แี ละแสดงวาคนผูน ้ันไดงานหรือกาลงั จะไดงานทเี่ ลือกไว
โทนสีน้าเงินคล้าบงบอกถึงการรับรูท่ีเกิดจากประสาทสัมผัส หรือจิตที่ถูกปิดก้ัน ภาวะ
จติ ใจหดหู ความเรง รีบและความวิตกกังวล การใชอ านาจบาตรใหญ ความเคารพยาเกรง ความขี้หลงข้ี
ลืม และความรสู ึกทไี่ วเกนิ ไป
6. สคี รามศกั ยภาพ : มีความรับผดิ ชอบสงู
คุณชอบงานดานสังคมสงเคราะห์ชวยเหลือผูอื่นชอบรับผิดชอบงานจิตใจโอบออมอารี
เป็นที่พึ่งของผูอ่ืนไดไมเห็นแกตัว มีพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิต มีความฉลาดล้าลึก และความคิด
สรา งสรรค์ ตลอดจนความเปน็ หนึ่งเดียวกบั ธรรมชาติ ชอบคนหาสจั จะความจริงของชีวิต
แตม ขี อเสีย คอื เป็นคนปฏเิ สธใครไมเ ป็น ควรหาเวลาเป็นตัวของตัวเองบาง มีมาตรฐาน
การทางานสงู จงึ มกั หงุดหงดิ กับสงิ่ ที่ไมไ ดตามมาตรฐานของตนเอง
7. สีม่วงศักยภาพ : ฉลาดลา้ ลกึ และสันโดษ
คุณมีจิตใจละเอียดออนสนใจในศาสตร์ลึกลับจนบางคร้ังดูเหมือนเป็นคนลึกลับคุณมี
ประสาทสัมผัสท่ี 6 รักสันโดษจนดูเหมือนคุณจะเขากับใครไมไดขอเสียมักดูถูกความคิดผูอื่นและเก็บ
ความรสู กึ มากเกนิ ไป
8. สชี มพศู กั ยภาพ : นักบรหิ ารนักธรุ กิจ
คุณเป็นคนมีความต้ังใจจริงแตคอนขางดื้อร้ันวางมาตรฐานตัวเองไวสูงมีความเด็ดเดี่ยว
และมุงมั่นท่ีจะใหบรรลุเปูาหมายและความสาเร็จอาชีพของคุณจึงตองเกี่ยวกับการบริหารและความ
รับผิดชอบในสวนลึกเป็นคนโรแมนติคและถอมตนรักความสงบมีเมตตาขณะเดียวกันจะยืนหยัดตอสู
อยางไมยอมถอยถา คณุ รูว า เปน็ ฝาุ ยถูกขอเสยี มงุ านมากเกนิ ไปจนเครยี ดควรหางานอดเิ รกคลายเครยี ด
สีชมพูเป็นสีแหงความสงสารเห็นใจ ความรักและความสะอาดบริสุทธ์ิ ความสนุกสนาน
ความสบายและความรูสึกมีมิตรภาพอันแนบแนน สีชมพูในแสงออราบงบอกถึงความสงบ ความเป็น
คนออ นนอมถอ มตน รวมท้ังมีความรักในศิลปะและความงาม
โทนสีชมพูโดยเฉพาะโทนขุนจะบงบอกถึงความเยาว์วัย และยังแสดงถึงความซ่ือสัตย์
หรอื ความไมซ่ือสัตยก์ ไ็ ด นอกจากนี้ยังบง บอกถงึ ชว งเวลาแหงรักใหมและมมุ มองใหม ๆ
9. สีทองเหลอื งศกั ยภาพ : นกั สงั คมสงเคราะห์
คุณเป็นคนออนโยนชอบชวยเหลือผูอ่ืนเป็นทั้งนักปราชญ์และเป็นคนมีคุณธรรมเต็ม
เป่ียมคุณมีความสุขมากท่ีสุดเมื่อไดชวยเหลือผูอื่นโดยไมหวังผลตอบแทนเป็นคนมีความสุขและมอง
โลกในแงดี ขอเสยี ปฏิเสธใครไมเ ป็นจงึ ถูกเอาเปรียบบอย ๆ ควรรจู ักปฏิเสธบา ง
11. สีเงินศักยภาพ : นักอุดมคติ คุณมีประสาทสัมผัสท่ี 6 มีศักยภาพสูงในหลาย ๆ
ดานเต็มไปดวยความคิดแปลก ๆ ใหม ๆ ชอบฝันหวานแตคุณมักจะฝันมากกวาลงมือทาจริง ๆ เป็น
คนซ่ือสัตยม์ ีความเชื่อมน่ั ในตัวเองมองโลกในแงดีถามุมานะสรางความฝันใหเป็นความจริงคุณจะไปได
ไกลมากทีเดียว ขอเสียข้ีเกียจและบางคร้ังจะเครียดจนใครๆไมกลาเขาใกลควรหาเวลาพักผอนฝึก
สมาธหิ รือโยคะ
แสงเงินออน ๆ ระยิบระยับเป็นการบงบอกถึงหลายส่ิงหลายอยาง แสงน้ีเป็นสัญลักษณ์
ของการสรางสรรค์ และความอุดมสมบูรณ์ เม่ือปรากฏในแสงออรา จะแสดงวาเกิดการสรางสรรค์อัน
98
ยิ่งใหญในชีวิตของคนผูนั้น อยางไรก็ตามการสรางสรรค์และความอุดมสมบูรณ์ในชีวิตของผูนั้นมัก
ปรากฏออกมาหลายรูปแบบ
เมื่อเราพัฒนาความสามารถในการมองสีของแสงออรา เราก็จะสามารถกาหนดสีหลัก
ของแสงออรา ไดดวยการวัดความไวของแสง
22. สีทองศักยภาพ : ไมม่ ขี อบเขตจา้ กดั
คุณสามารถทาเร่ืองใหญใหกลายเป็นเร่ืองเล็กหรือทางานใหญใหกลายเป็นเรื่องปอก
กลวยเขาปากคุณจะประสบความสาเร็จไปแทบทุกเรื่องเป็นคนมีเสนห์จูงใจทางานหนักเอาเบาสูมี
เปาู หมายในการทางานทแี่ นน อนมอี ดุ มคติและความสามารถสงู เป็นผูน าสามารถโนมนา้ วจิตใจผอู ่ืนได
สีทอง เป็นสีแหงจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยมไปดวยพลัง และการไดรับพลังอยางแทจริง บง
บอกถึงพลังแหงความจงรักภักดีเป็นอยางมาก และการกลับคืนสูความสงบสุข แสดงถึงความ
กระตือรือรน อยา งสูง แรงบนั ดาลใจอันมหาศาล และเวลาเพ่อื การฟ้นื ฟพู ลัง
โทนสีทองที่ขุนบงบอกวากาลังอยูในขั้นตอนของการปลุกเรา การเบิกความสวางทาง
สตปิ ัญญาในระดับทส่ี งู ข้ึน ซงึ่ ยังไมไดแสดงออกมาในชีวิตของคนผูน้ัน บงบอกวาการเปล่ียนแปลงธาตุ
กาลงั ดาเนนิ ไป เชนผนู ้นั กาลังเปลี่ยนธาตุตะกวั่ ในตัวเองใหเ ปน็ ธาตทุ อง
แสงกายทพิ ย์
รา งกายมนุษย์ประกอบดวยเซลล์ตาง ๆ เป็นพันลานเซลล์กลุมเซลล์จะจับกลุมประกอบ
กันเป็นอวัยวะตาง ๆ เชน ปอด ตับ มาม หัวใจ ฯลฯ ซึ่งจะทางานสัมพันธ์กันเป็นระบบรางกายท่ี
สมบูรณ์ดีมีพลังชีวิตเพื่อความเป็นอยูที่ปรกติ แตเม่ือใดที่เซลล์เกิดบกพรองเส่ือมเสียบิดเบี้ยวผิดปกติ
อวยั วะนน้ั กจ็ ะทางานไมสมบรู ณไ์ มดีทาใหรา งกายเจ็บปุวยไมสบายซ่ึงจะสะทอนออกมาเป็นสีและแสง
ของ “กายทิพย์” ปรากฏใหเ หน็ เมือ่ ถายดวยกลอ งถายภาพพิเศษ
กายสีทอง : มีสขุ ภาพดีมากสดชนื่ มีชีวติ ชีวาชอบชว ยเหลือ
กายสีขาว : จิตบริสุทธิห์ ลดุ พน ปลอยวาง
กายสมี ว ง : สมาธิต้งั ม่นั มีญาณวิเศษเขา ถงึ ธรรมสุขภาพดี
กายสคี ราม : มีคุณธรรมนาจติ หนกั แนน มั่นคงนา เคารพนบั ถอื
กายสีเหลอื ง : ฉลาดเฉลียวมปี ญั ญาขนั้ สงู เกง ศกึ ษาคนความสี ขุ ภาพดี
กายสีแดง : ทะเยอทะยานมุงมน่ั ตอสูเ พ่อื ตนวตั ถนุ ิยม
กายสเี ขยี ว : ขาดอิสรภาพถกู กดดันจิตใจไมส บายสุขภาพไมด ี
กายสีเทา-ดา: สขุ ภาพรา งกายไมดีสง่ิ แวดลอ มไมดีจติ ใจไมด มี ีทุกข์
กายทพิ ย์และออร่า
เม่ือเราไดเรียนรูฝึกการดูออราและกายทิพย์ซึ่งท้ังสองสวนน้ีมีความประสานสัมพันธ์กัน
และเปน็ เหตุเป็นผลซ่ึงกันและกันเราก็สามารถเขาใจในสภาพรางกายจิตใจความเป็นมนุษย์ของเราได
อยางชดั แจง มากยิง่ ข้ึน
ลักษณะของแสงออราท่ีอยูรอบรางกายน้ันยังมีลักษณะตาง ๆ ท่ีสามารถบอกความโนม
เอียงหรือความนาจะเป็นท่ีเก่ียวของกับบุคคลอ่ืนหรือส่ิงแวดลอมรอบขางไดซ่ึงมีรูปลักษณะของแสง
แตกตา งกนั ดงั น้ี
99
- มีแสงเรืองรอบกายในลักษณะกระจายออกในทิศทางตาง ๆ แสดงถึงความเป็นผูมีพลัง
จติ ดเี ป็นคนดีมคี ณุ ธรรม
- มีแสงกระจายออกเป็นหยอมๆเหมือนเมฆเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเองขาดความ
กลา ใจเสาะ
- มีแสงกระจายแหลมออกเหมือนขนเมนเป็นคนคิดแตเร่ืองของตัวเองเห็นแกตัวไม
ชว ยเหลอื ใคร
- มแี สงเหมือนลักษณะแสงฟูาผา เปน็ คนมักมากในกามารมณ์ฮสิ ทเี รีย
- มแี สงหลบขาง ๆ ตวั เปน็ คนชอบหลบซอ นตัวไมก ลาสูความจริงพดู ไมจริง
- มีแสงหุมตัวเหมือนเปลือกแข็งเป็นคนหนักแนนม่ันคงม่ันใจในตัวเอง- มีแสงเหมือน
ตะขอเกี่ยวเบด็ ตกปลาเปน็ คนชอบฉวยโอกาสเอาเปรยี บผอู ่ืน
- มแี สงเหมอื นหนวดปลาหมึกเป็นคนเหน็ แกต ัวมักไดไ มย อมเสียสละ
เมื่อผูศึกษาสามารถดูลักษณะสีแสงรูปแบบและอารมณ์ของกายทิพย์และออราไดดวย
การเรียนรูฝึกฝนก็สามารถอานคนออกวาเป็นคนอยางไรมีความรูสึกนึกคิดอยางไรเมื่อมาพบเราหรือ
มาเกย่ี วของกับเราจะเป็นอยางไรเชน คนบางคนเมอ่ื เราพบหรอื อยใู กลเ ขาเราจะรูสึกสบายใจอยากรูจัก
แตบางคนเพียงสบตากันก็รูสึกไมชอบไมถูกชะตาเลยสาเหตุเพราะเกิดการกระทบกันระหวางแสงออ
ราระหวางเขากับเราผลกระทบจะบอกวาไปกันไดหรือไมไดการฝึกดูแสงออราและกายทิพย์มีสอน
ทว่ั ไปในสหรฐั อเมริกาอินเดียและอีกหลายประเทศในแถบตะวันตกมีตาราออกมามากมายซึ่งนาสนใจ
มากสาหรับดูแลตนเองและผูใกลชิดและยังเป็นประโยชน์ตอการประกอบธุรกิจการงานการเรียน
สุขภาพความสุขของชีวิตฯลฯเพราะเราสามารถใชตรวจสอบทางจิตและรูกอนวาหุนสวนเขากาลังคิด
อะไรเป็นคนข้ีโกงเห็นแกตัวหรอื ไมหรอื เพือ่ นรวมงาน, ลูกนองเปน็ คนอยา งไร เป็นตน
ท่ีน้ีในการจาแนกสีของแสงออรา มีขอแนะนาท่ีพึงจดจาไวดังนี้ (Ted Andrews, 2542:
88-102)
1) สีที่อยูใกลร างกายท่ีสดุ มักบง บอกถงึ สภาพและพลังของรางกาย สีที่อยูหางออกไปบง
บอกถงึ อารมณจ์ ติ ใจ และจิตวิญญาณทีส่ งผลกระทบตอ สขี องรางกายได
2) สียิ่งสดใสและเย็นตาก็ย่ิงดี สีย่ิงหนาทึบและขุนมัวก็ย่ิงแสดงถึงความไมสมดุล การ
ทางานมากเกนิ ไป และปญั หาท่เี ป็นไปไดอ ่นื ๆ ตรงตาแหนง ทสี่ ีนนั้ ปรากฏอยู
3) สีเขม ๆ แตสดในก็บงบอกถึงระดับพลังท่ีสูงไดเชนกัน การมีสีเขมไมจาเป็นตองไมดี
เสมอไป ดงั นนั้ จงึ อยา ดวนสรปุ
4) แสงออรามักมีมากกวาหน่ึงสี โดยสีแตละสีจะบอกถึงเรื่องที่แตกตางกันไป เราตอง
เรียนรวู าสีทีต่ า งกนั น้ีสงผลอยางไร และผลของสที ผ่ี สมกันเปน็ อยา งไร ซึง่ ตอ งใชเ วลาและการฝึกฝน
5) เม่ือเราเริ่มมองเห็นแสงออราของผูอื่น ใหจาไววาเรากาลังมองเขาผานแสงออราของ
เราเอง และการจะอานแสงออราของผูอื่นน้ัน จาเป็นตองรูจักแสงออราของตัวเองกอน การใชแบบฝึก
ดวงตาท่ีผานมา ชวยใหเรามองแสงออราของตัวเองดวยกระจกได ถาแสงออราของเรามีสีเหลืองเป็น
สว นใหญและของคนอ่ืนมสี ีน้าเงิน เราก็อาจเห็นเปน็ สีเขียว เพราะสีเหลืองผสมกับสีน้าเงินจึงกลายเป็น
สีเขยี ว จติ ใตสานกึ รเู รื่องเหลาน้จี งึ ปรบั เปล่ยี นไปตามธรรมชาติ แตเราตองไมดวนสรุป
6) สิ่งสาคัญ คือ อยาตัดสินคนดวยส่ิงท่ีเห็นจากแสงออรา เพราะส่ิงที่เห็นกับวิธีอาน
ความหมายตอ งใชภาวะจติ ในเวลาน้ันๆ เป็นอยางมาก ใหพิจารณาดูขอดีและขอเสียของส่ิงท่ีเก่ียวของ
100
กับสีรวมท้ังตาแหนงที่ปรากฏดวย เราไมมีสิทธิ์บอกผูอ่ืนใหทาส่ิงน้ันส่ิงน้ี ใหอธิบายความสาคัญเทาที่
เป็นไปได แลว ใหผูน ้ันตัดสินใจและเลอื กดว ยตัวเอง
7) เรยี นรูท่ีจะใชก ารรบั รูด วยจติ อานแสงออรา ถามคาถามเก่ียวกับสิ่งท่ีเรากาลังสังเกต
และสิ่งท่ีเราคิดวาอาจเกี่ยวของดวย การทาเชนน้ีโดยรับฟังผลท่ีเกิดข้ึนกับผูอื่นดวย จึงจะชวยใหเรา
พฒั นาหลกั ในการอา นแสงออราได จาไวว าสี และความชัดเจนบงบอกถึงส่ิงท่ีแตกตางกันไดท้ังส้ิน งาน
ของเราคือเรียนรทู ี่จะหาขอสรุปใหได
8) แสงออราเปล่ียนแปลงอยูบอยครั้ง ในวันหนึ่งๆ สีที่อยูใกลเรือนกาย (แผรัศมีออกไป
ในระยะหนึ่งหรอื สองฟตุ ) เปลี่ยนแปลงไปไดห ลายคร้ัง อารมณร์ นุ แรง การใชรางกายและจิตอยางหนัก
สงผลตอแรงสั่นสะเทือนของสีและแสงออรา แสงออราเปลี่ยนแปลงไปเม่ือเราอายุมากขึ้นดวยเชนกัน
เม่ือเราพัฒนาความสามารถในการมองแสงออรา เราจะพบวาในแสงออราของแตละคนมีสีเดนเพียงสี
เดียวหรือหลายสี (แมโทนสีอาจเปลี่ยนไป) ที่ปรากฏใหเห็นอยางตอเน่ือง สีที่รองลงมา และความ
เกีย่ วขอ งกันของสหี ลกั และสีรอง
9) สีหรือโทนสีแรกท่ีเห็นมักเป็นสีเทาหรือน้าเงินออน (light blue) อยาทอถอยหากยัง
มองไมเ หน็ สี หากฝึกไปเรื่อยๆ กจ็ ะมองเหน็ เอง เรมิ่ แรกเรามักเอาจรงิ เอาจังโดยหวังวาเม่ือฝึกไปสักพัก
แลว จะเห็นผล เมอ่ื เกดิ ผลไมท นั ใจหรอื ชัดเจนพอภายในชว งเวลาทค่ี ดิ ไวก ็จะเริ่มทอ ถอย
ดังนั้นอยากาหนดเวลาใหตัวเอง แตควรฝึกทุกวัน เพราะการฝึกทุกวันเทาน้ันจึงจะเกิด
ผลดี การฝึกเพียงสองสามวันจากน้ันก็เวนไปเป็นอาทิตย์ แลวกลับมาทาใหม จะไมเกิดผล เราตองฝึก
อยางตอ เนอื่ ง จึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในส่ีถึงหกสัปดาห์ ซึ่งอยางนอยท่ีสุดเราจะเร่ิมมองเห็น
แสงออรา แมวาจะยังไมเห็นสีก็ตาม คนสวนใหญท่ีผูเขียนเห็นมาจะฝึกไดผลดีในหนึ่งถึงหกเดือน และ
ใชเ วลาพิสูจนว์ าไดผลจรงิ อีกเพียงหนึง่ เดอื นเทา น้ัน
10) เมื่อเราเร่ิมพัฒนาความสามารถในการมองแสงออรา ก็จะเร่ิมเห็นแสงออราของทุก
คนและสิ่งของทุกอยาง ซึ่งจะทาใหรูสึกวาวุนได แบบฝึกในหนังสือเลมนี้คิดคนมาเพ่ือใหเราพัฒนา
ความสามารถในการมองแสงออราในยามท่ีตองการเทาน้ัน จาไววาเราไมมีสิทธ์ิที่จะเขาไปยุงกับพลัง
ของผูอื่นโดยไมไดรับอนุญาต ซึ่งในหลายกรณีจะเหมือนกับการอานจดหมายของคนอ่ืน แมเราจะ
มองเห็นบางสิ่งบางอยาง แตเราก็ไมมีสิทธิ์บอกออกมาหากไมไดรับอนุญาตเสียกอน เราตองใช
ความสามารถในการมองแสงออราอยา งมีความรบั ผิดชอบ
สวนการมองแสงออราเป็นรูปธรรมท่ีชัดแจงกวาเรื่องเหนือธรรมชาติอ่ืน ๆ ไมวาใครก็
เรียนรูที่จะมองแสงออราได แตสิ่งที่ยากย่ิงกวาการมองเห็นก็คือการอานความหมายจากแสงน้ัน
เพราะเปน็ เรื่องท่เี กยี่ วขอ งกบั การรบั รูจ ากการสัมผัสตรงและเหนอื ธรรมชาติ
เรามองแสงออราไดสองวิธี คือ มองดวยจิตและมองดวยตา และจะไมมีวิธีไหนดีไปกวา
กันตราบเทาที่เราอานส่ิงที่มองเห็นไดถูกตอง ทั้งสองวิธีนี้ใชไดผลดี แมวาการมองแสงออราดวยตาจะ
ชว ยใหเ ราขจดั ความ “สงสัยไมแนใจ” ออกไปจากใจดวย
สาหรบั การมองดวยจติ นัน้ เราจะมองแสงออราดวยตาทิพย์มากกวามองดวยตาเนื้อ เป็น
การเรียนรูท่ีจะผอนคลายและมองผูอ่ืนดวยจิตของเรา เราตองถามจิตเกี่ยวกับพลังแสงออราของคนผู
นั้น เชน สที ่ีมองเห็นชดั ท่สี ดุ ของคนน้ันเป็นสีอะไร มีสีอะไรอีกและบริเวณใดมีสีเขมที่สุด สีเหลานี้บอก
ถงึ สภาพของรางกาย อารมณ์ จิตใจและจิตวิญญาณ อยา งไรบา ง
101
ถาอานความหมายไดถกู ตอ งแลว การมองดวยจิตก็จะมีความแมนยาและใกลเคียงกับการ
มองดวยตาอยูไมนอย ดังน้ันการมองแสงออราดวยวิธีใดก็ไมดีไปกวาหรือใหผลมากกวากัน อยางไรก็
ตามการมองดวยตา ทาใหเราสามารถรไู ดแ นชดั กวาวา แสงออรา มจี รงิ
การมองแสงออราของผอู ่ืนดว ยจติ จะงายกวาการมองแสงของเราเอง เพราะเราจะหลอก
ตัวเองไดงายและสรางภาพท่ีอยากเห็นในแสงออรามากกวาที่จะเห็นส่ิงที่มีอยูจริง จึงเป็นการดีท่ีจะมี
ขอ ยนื ยนั หรือขอ สนบั สนนุ สาหรับการมองดว ยจิต
อปุ กรณ์เครื่องมอื วัดแสงออรา่ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร
เครื่องวดั แสงออรา ที่ผูเ ขยี นไดใ ชแ ละตดิ ต้งั ทม่ี หาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนคร วิทยาลัยพุทธ
ศาสตร์และปรัชญา หรือพุทธวิชชาลัยน้ัน มีอยู 2 เคร่ือง ไดแก Win Aura ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ กับ
Aura Cam 6000 โดยมีรายละเอยี ดของเครอื่ งดังกลา วดังน้ี
รายละเอยี ดคุณลักษณะ ประกอบดวย
1. กลอ งจัดโฟกัสแสงออรา จานวน 1 เครื่อง
1.) กลองสามารถจับโฟกัสแสงออราของตัวบุคคลที่ใชเคร่ืองแสดงผลบน
แผนฟิล์มได
2.) สามารถสัมผสั หนาจอคอมพวิ เตอร์ได
3.) สามารถสแกนนว้ิ มือและทัง้ ตัวได
4.) กลองถายออราภาพมีความละเอียดสูงและสามารถถายสาเนาลงแผน
ซีดีได
2. เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ชนิดพกพา จานวน 1 เคร่ือง
3. เครื่องพิมพส์ าหรบั คอมพิวเตอร์ จานวน 1 เครอื่ ง
4. กลอ งวดี ีโอ จานวน 1 เครื่อง
5. โปรแกรมซอฟแวร์ อยางละ 1 โปรแกรม ไดแก
5.1 The Aura Analyzer
5.2 Win Aura Program
5.3 IRUV Software
5.4 Halo Vision Software
5.5 3D View Software
5.6 WDM Compatible software driver ใชกบั กลอ งถา ยวดี ีโอแคมป
6. เครื่องสแกนไบโอเซนเซอร์ (ทว่ี างมือ) พรอมอุปกรณ์เสริมครบชุด จานวน 1
เครื่อง
เมือ่ วางมือแลวพลังจากมือจะถา ยทอดเขา สรู ะบบแลว แสดงแสงออรา ปรากฏทาง
คอมพิวเตอร์แลวสามารถแยกออกมาเปน็ สว น ๆ
7.อุปกรณป์ ระกอบอน่ื ๆ
7.1 ชุดอปุ กรณ์เสริมทีม่ าพรอมกบั การผลติ ครบชุด
7.2 ชอ งปลกั๊ เสยี บเคสชนิดพกพา ไมน อยวา 2 ชุด
7.3 กระดาษพมิ พส์ าหรับใชกับกลองถายรปู ไมน อยกวา 10 กลอง
(กลอ งละ 10 แผน )
102
ภาพท่ี 4.1 รปู แสดงกลอง Aura Cam 6000
ทีม่ า: Philippe Van Lieu. (1998-2014): CD.
Aura Cam 6000 แพ็คเกจประกอบดวยองคป์ ระกอบตอไปนี้
1. กลองรา งกายจับที่พลงั สภาวะจิตของแตละบคุ คลในทนั ทลี งบนแผนฟิล์ม (ฟจู ิ FP-
100C หรือ Polaroid)
2. เป็นคูมือ sensors เก็บรวบรวม biofeedback สัญญาณ (biofeedback วดั
อุปกรณ์)
3. ออรา Analyzer (ซอฟต์แวร์) โดยพมิ พ์เขยี นวิเคราะห์ของออรา บนภาพถา ย
4. สาหรบั ภาพถา ย-สละเคาน์เตอร์ (สารตั ถรบั ประกนั โมดูล) นับจานวนของภาพถา ยยดึ
และเปดิ ใชสละ 500 หนวยหรอื ภาพถาย
5. เพาเวอรซ์ ัพพลายแพค็
6. พกพาแบกกรณี
7. ฝกึ อบรมวดิ ีโอและคมู ือ
8. สง เสรมิ การขายสัญญาณและวัสดแุ ละ
9. เตม็ ทางเทคนคิ และการตลาดท่ีสนับสนนุ
10. เพิ่มโบนสั : Win Aura โปรแกรมที่มีคณุ ลักษณะตอไปน้ี
1) วิจัยดู: แสดงขัน้ พนื้ ฐานสขี องกระแสลม
2) ใชงานกระแสลม: ขยายสีของกระแสลม, ดสี าหรบั กระแสลมศกึ ษาเซสชัน
3) สดกระแสลมดู: การแสดงผลงานของการย่ืนออกพลังงานในกลิ่นอายของหัว
เรือ่ งบุคคล
4) ชวยเหลือเครื่องสแกนมือดู: แสดงปฏิสัมพันธ์ของกระแสลมสองคนดีสาหรับ
พลงั งานโตตอบเซสชัน
103
5) ภาพถาย Stablizer : stabilizes กระแสลมสาหรับที่สละภาพถาย มีความไว
สงู : ดี
ภาพที่ 4.2 รูปแสดงกลอง Win Aura
ที่มา: Philippe Van Lieu. (1998-2014): CD.
สาหรับออรา ศึกษาเซสชันหรอื บนั ทึกเซสชนั : บันทึกกระแสลมโดยตรงไปยงั อุปกรณ์
เกบ็ ขอมูลขอมูลเชน ซดี ี
11. ชวยเหลอื สแกนมอื : เชอื่ มตอพลงั งานแรงงานเกนิ ไปดังนนั้ ชว ยเหลือมือดสู ามารถ
แสดงกล่ินอายของพลังงานในระหวา งการกลายเป็นพลังงานโตตอบเซสชนั
12. IRUV ซอฟตแ์ วร์: แสดงซอ นเรน แจม ใส Ultra วสิ ยั ทัศน์ของกระแสลม
13. ประภามณฑลวิสยั ทัศน์ซอฟต์แวร:์ ทรงกลดแสดงวสิ ัยทัศน์ของกระแสลม
14. 3D ท่ดี ูซอฟต์แวร:์ แสดง 3D ท่ดี ูของกระแสลม
15. คอมพวิ เตอร์: แล็ปท็อปหรอื เดสก์ท็อปกับขอกาหนด คอื โปรเซสเซอร์: 1 GHz หรอื
เรว็ กวาของ Intel หรือ AMD ตามพซี ีกับ Windows XP ทเี่ รว็ กวา ท่ีดี หนว ยความจา: 1.0 กิกะไบต์
หรอื สูงกวา แรม
16. กลอ งถายวีดโี อ: Win Aura คอื ท่ีสุดโมเดม็ ยูเอสบี-port ได "เวบแคม" กลอง
17. พมิ พ:์ แคนอน PIXMA 1 ชุด
ความสา้ คัญของออร่า (ศุภกาญจน์ วิชานาติ, 2556: 267-353)
สงั คมปัจจุบันทกุ วันนี้มีความสลับซับซอน อายตนะภายในและภายนอกกระทบตอสิ่งเรา
มากมาย หากเราไมมีภูมิคุมกันทางกายและจิตใจแลว เรามักจะถูกกระแสโลกพัดไปซ่ึงบางรายอาจ
สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองได และดวยความกาวหนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไดเขามามี
อิทธิพลตอวถิ ีชีวิตเราอยา งแยกกันไมออก ทาใหคนสวนใหญมีทัศนคติจนฝากชีวิตและจิตใจใหกับสิ่งที่
มองเห็นพิสูจน์ได และยิ่งสังคมปัจจุบันฝากความหวังใหกับวิทยาศาสตร์ดวยแลว การถูกกระทบจาก
พลงั ภายนอกกย็ ิ่งมอี ทิ ธิพลตอชีวติ เรามาก ทาใหระบบพลังภายในตัวเราออนแอหรือไมสมดุลระหวาง
จิตและกาย หากปลอยใหระบบพลังของเราถูกรบกวนและรุกรานอยูเชนนี้ทุกวัน หากเราละเลยไม
เรยี นรูเทาทนั จากผัสสะที่กระทบอายตนะภายนอกเหลาน้ี และมีการจัดการปูองกันตัวเองจากการบุก
รุกหลากหลายรูปแบบ เราจะพบแตความยุงยากสลับซับซอน ประสบแตสภาพทุกข์ทนไดยากอยู
ตลอดจนขาดอิสรภาพภายในทแี่ ทจ ริงของเราเอง
104
ดังนั้นคนเราทุกคนตางก็มีประสบการณ์ที่พลังของเราถูกกระทบจากอายตนะภายนอก
ไมว า จะเปน็ รูป รส กล่ิน เสียง สัมผัสทางกาย (โผฏฐัพพะ) และอารมณ์ที่เกิดกับใจ (ธรรมารมณ์) ใน
รูปแบบตางๆ อยูเสมอ คนอื่นก็มักรบกวนพลังของเราอยูดวยเชนกัน เมื่อเราอยูกับโลกเรามักถูกโลก
ธรรมกระทบอยางหลีกเลี่ยงไมได ไมวาจะเป็นคาเสียงนินทา หรือชักจูงใหเราสูญเสียความเป็นตัวของ
ตัวเอง บางคร้ังรูสึกเหน็ดเหนื่อยภายหลังท่ีเราพบปะพูดคุยกับใครบางคน ลักษณะดังกลาวท่ี
ยกตัวอยางมาทั้งหมด คือ การถูกออราคนอื่นหรืออายตนะภายนอกเขามามีอิทธิพลหรือรุกรานออรา
ภายในตวั เราอยางไมรตู วั
หัวใจสาคัญในการปกปูองพลังภายในของเราอยูแสงออรา เม่ือแสงออรามีพลัง
สั่นสะเทือนมาก พลังท่ีไมดีและไมสมดุลก็จะเขามาทาอะไรไมได การรักษาพลังของแสงออราไมใช
เร่อื งยาก สงิ่ ท่เี ปน็ ผลดกี ับแสงออรา คือ การรักษาสมดุลระหวา งรา งกายกับจิตใจ สุขภาวะองค์รวมที่ดี
และย่ังยืน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหมใหเขากับธรรมชาติ โดยการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์แต
พอดีกับรางกายและตามกาลเวลาที่เหมาะสม เพราะรางกายมีวงจรนาฬิกาชีวิตของเขาอยู อยางเชน
ชวงเวลาที่รางกายตองการสารอาหารท่ีจาเป็นมากท่ีสุดหลังจากรางกายไดพักผอนมาเป็นร ะยะเวลา
ยาวนาน (ตอนกลางคืน) พอต่ืนเชามาน้ันเราตองรับประทานอาหารท่ีมีสารอาหารครบ 5 หมู ไมควร
ขาดหรือเร่ิมตนรับประทานอาหารตอนกลางวันหรือบาย ๆ เย็น ๆ ซ่ึงสังคมปัจจุบันมักเรงรีบจนไมมี
เวลาใหอาหารตอนเชาแกรางกาย ทาใหรางกายเราไมสมดุล มีผลทาใหเราหงุดหงิดงาย สมาธิส้ัน
ความจาไมดี รางกายไมสดชื่น เป็นตน เป็นท่ีนาแปลกที่ผูเขียนเป็นนักวิชาการมักจะไดยินวา ครู
อาจารย์ หรือผูสอนใหความรูในรูปแบบตางๆ มีผลวิจัยพบวามีความถ่ีท่ีเป็นโรคความจาเส่ือมหรืออัล
ไซเมอรเ์ พิ่มสูงขน้ึ รายงานผลวจิ ยั ใหเหตผุ ลเชิงบริบทวา เปน็ เพราะสายอาชพี ทางวชิ าการเหลานี้มักไม
มีเวลา เรงรีบ และมักจะใหความสาคัญกับงานมากกวารางกาย จึงทาใหไมมีเวลารับประทานอาหาร
ตอนเชาซึ่งพบมากกวาคร่ึง ดวยเหตุผลดังกลาว ทาใหอาชีพสายวิชาการจึงมีความเสี่ยงเป็นโรค
ความจาเส่ือมสูงขึ้นมาก สวนการออกกาลังกายก็สาคัญไมนอยกวาอาหารเลย เพราะการขยับ
เคล่ือนไหวรางกายนานติดตอกันมากกวาคร่ึงช่ัวโมงตอวัน ก็ถือไดวาเป็นการออกกาลังกายแลว แต
สังคมปัจจุบันมักไมคอยมีเวลาใหจึงทาใหมองขามส่ิงเหลาน้ีไป เป็นไปไดอยูในหองทางานก็สามารถ
เหว่ยี งแขนเชา กลางวัน เย็น หรือเวลาตอนใดก็ไดท ี่วา มา ทาตอนละไมน อยกวา ๓๐๐ ครั้ง โดยเหว่ียง
แขนท้งั สองขางข้นึ ถงึ ระดับหนาผากแลว ท้งิ แขนตามแรงโนมถวงของโลกใหแ ขนท้งิ ตัวตามธรรมแลวให
มือท้ังสองเลยสะโพกไปเล็กนอย ทาอยางน้ีตอนละไมนอยกวา 300 ครั้ง ทุกวัน ซึ่งพบวาการทา
ลักษณะดังกลาวเทียบเคียงไดกับการวิ่งออกกาลังกายเป็นกิโลเมตรเลยทีเดียว ผูแนะนาผูเขียน ทาน
เป็นพระราชาคณะชั้นพรหมและจบการศึกษาชั้นสูงสุดทั้งทางโลกและทางธรรม ทานแนะนาวาเป็น
ศาสตร์ที่คนจีนถายทอดองค์ความรูน้ีมาตั้งแตอดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นท่ีนิยมอยู ดังเราจะเห็นตาม
สวนสาธารณะที่คนจีนออกกาลังกายมีการเหว่ียงแขนไปมาอยูกันมากมาย ซึ่งถือไดวาเป็นทาบริหาร
ออกกาลังกายพื้นฐานของคนจีนที่ไมสามารถหลีกเลี่ยงไปไดเลย จึงเป็นภูมิปัญญาของคนจีนเขาไป
แลว สวนสุดทายเราตองอาศัยอยูกับสิ่งแวดลอมที่ดี อากาศบริสุทธ์ิ ทาใหรางกายมีออราเพ่ิมพลัง
ใหกับเรามาก ซ่ึงเรามักพบในผลงานวิจัยเรื่องสุขภาพระหวางคนเมืองที่เต็มไปดวยมลพิษทางอากาศ
และคนชนบททเี่ ตม็ ไปดวยอากาศบริสุทธ์ิ พบวาคนเมืองมีปัญหาสุขภาพทางระบบหายใจมากกวาคน
ชนบทอยางมีนัยสาคัญทางสถิติ ซึ่งไมแปลกท่ีผลวิจัยรายงานเชนนั้น เพราะฉะน้ันแสงออราของเราก็
ถูกอิทธิพลจากสิ่งแวดลอมโดยเฉพาะทางอากาศอยางหลีกเลี่ยงไมได ดังน้ันเราตองเลือกสถานท่ีให
เหมาะกบั วถิ ีชีวติ ของเรา
105
นอกจากนี้ อารมณ์และจิตใจสามารถมีเหตุปัจจัยสงผลตอแสงออราดวยเชนกัน ซึ่ง
มากกวาท่ีคนสวนใหญคิดไว ความเครียดเรื้อรังหรือไมเกรนเรื้อรัง ความบอบช้าทางอารมณ์ ความ
ผดิ ปกติหรอื ความไมสมดลุ ทางจติ ใจ การเปลย่ี นแปลงอยา งรุนแรง ความวติ กกังวล ความกลัว อารมณ์
และทัศนคติมองโลกในแงราย โรคจิตซึมเศราซึ่งสังคมไทยเรามีมากขึ้นเรื่อยจากขอมูลกรมสุขภาพจิต
กระทรวงสาธารณสุขและท่ีสาคัญพบวาคนท่ีเป็นโรคจิตซึมเศราไดใน แพทย์ ครู อาจารย์ ผูพิพากษา
ซ่ึงเป็นสายอาชีพท่ีไมนาจะเป็นไปไดแตก็พบอยูมากไมแพกับสายอาชีพอ่ืนเลย ลักษณะดังกลาวมา
ทั้งหมดนี้ทาใหแสงออราออนแอและสงผลใหพลังถูกดูดออกไป เราจึงเหน็ดเหน่ือยงายมาก และถา
เกิดเป็นระยะเวลายาวนานออกไปจะเกิดรอยรูโหวและรอยฉีกขาดขึ้นภายในแสงออรา (แสงออรา
รอบตัวเราเป็นช้ัน ๆ อยู 7 ช้ัน) ปัญหาสุขภาพทางกายและความไมสมดุลก็จะแสดงออก ปรากฏให
เห็นลกั ษณะของแสงออราท่ีออนแอ โดยมีรบู ริเวณทดี่ าคลา้ และรปู แบบของความไมสมดลุ
การมองและเสริมพลังใหแสงออราทาไดงายๆ หลายวิธี แสงแดดทาใหแสงออรามีพลัง
มากข้ึนเหมือนกับการออกกาลังกาย การสูดดมอากาศบริสุทธิ์ การรับประทานอาหารแตพอดีมี
ประโยชน์ท่ีจาเป็นตอรางกาย เหลาน้ีทาใหแสงออราแข็งแรงและมีความสมดุลยิ่งข้ึน การรักษาลาไส
ใหสะอาด การดีทอกซ์ลาไสและตับอยูเสมอ ก็มีสวนชวยใหแสงออราแข็งแรงสดชื่นมีกาลังกายและ
ฟื้นฟูคืนสูสภาพเดิม การด่ืมน้าดางหลีกเล่ียงอาหารท่ีเต็มไปดวยกรด ก็มีสวนชวยทาใหรางกายอยูใน
ภาวะที่สมดลุ เพราะรางกายคนเรามีสภาวะเปน็ ดาง การท่เี ราบริโภคอาหารที่เป็นกรดมากเกินไป เชน
เน้ือสัตว์ เครื่องดื่มน้าอัดลม อาหารจานดวน เป็นตน มีผลทาใหรางกายขาดความสมดุลแลวนาไปสู
การสรางสารอนุมูลอิสระอันเป็นเหตุปัจจัยใหรางกายปุวยเป็นโรคภัยไขเจ็บตามมา ไมวาจะเป็น
โรคมะเร็ง โรคแทรกซอนตางๆ ภาวะไตวาย โรคหัวใจ โรคความดัน โรคเบาหวาน โรคกรดไหลยอน
และโรคทางระบบสมองและประสาท เป็นตน ซ่ึงโรคเหลาน้ีเป็นโรคยอดฮิตกับสังคมปัจจุบันและพบ
มากตามโรงพยาบาลตาง ๆ จนทาใหเกิดกระแสการทาประกันภัยสุขภาพตามโรคตางๆ ที่วามา มีให
พบเห็นมากมาย ลักษณะเหลาน้ีบงชี้ถึงการทาลายออราภายในตัวเราเองท่ีเกิดจากการบริโภคที่ผิด
ธรรมชาติ จนเกดิ ภาวะไมส มดลุ ตอรา งกาย
การทาสมาธิสามารถชว ยเสรมิ พลังและปูองกันแสงออราไปในตัว ซ่ึงการทาสมาธิไมตอง
เครง เครยี ดหรอื ใหท าตามรปู แบบทุกข้ันตอนอยา งเครงครดั ตามที่สานกั หรือวดั ตาง ๆ แนะนามา ซึ่งใน
ชีวิตประจาวันเราเองสามารถทาสมาธิไดงายๆ และถูกตองตามหลักพระพุทธศาสนาไมผิดเพี้ยนเลย
กอนอ่ืนเราตองเห็นถึงความสาคัญของการทาสมาธิในชีวิตประจาวันกอน การท่ีเราทุกคนจาเป็นตอง
รับประทานอาหาร ซึ่งพูดภาษาชาวบานวา รางกายจาเป็นตองการอาหารท่ีเกิดจากการบริโภคเขาไป
ในรางกาย อยางนอยหามขาดเกิน 7 วัน หรือน้าหามขาดเกิน 3 วัน มิเชนนั้นตาย ตามมาตรฐาน
กาหนดทางการแพทยเ์ ขาบอกมาอยา งนี้ เราจงึ จาเปน็ ตองรับประทานหรือบริโภคอาหารทุกวันซ่ึงเป็น
สวนหน่ึงของชีวิตไปเลย ทานเคยนึกหรือไหมวา แลวเมื่อรางกายตองการอาหารจากท่ีเราบริโภคเขา
ไปทุกวันดงั กลา ว แลวจิตใจละ เขาก็ตองการอาหารใหกับจิตใจเหมือนกัน ถามวาแลวอาหารจิตใจคือ
อะไร ทางพระพุทธศาสนาก็ตอบไดทันทีเลยวา อาหารทางจิตใจก็คือ ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร
และวญิ ญาณาหาร ซงึ่ โดยรวมอาหารทางจิตใจทงั้ 3 น้นั ก็คอื ภาวะความสงบสุขทางจิตใจที่เกิดจาการ
ทาสมาธินั้นเอง เพราะฉะนั้นอาหารทางจิตใจก็คือความสงบสุขท่ีเกิดขึ้นจากการระงับนิวรณ์ทั้ง 5 ได
ในภาวะนั้นๆ ถึงแมช่ัวคราวก็ตาม เพราะเจานิวรณ์ ๕ (เครื่องกีดขวางการทาความดี หรือส่ิงที่ก้ันจิต
ไมใ หเ จรญิ หนาในคุณธรรมตา งๆ หรอื ตวั รบกวนจติ ไมใ หป กต)ิ เมื่อเทียบกับตวั ไมดีของอาหารที่จาเป็น
และเป็นประโยชน์ตอสุขภาพแลวก็คือ มะเร็งทางใจน้ันเอง เพราะฉะนั้นเราไมอยากใหชีวิตทางกาย
106
เกิดโรคมะเร็งตาง ๆ แลว จิตใจเราก็ไมอ ยากเปน็ มะเรง็ ทางใจ จึงจาเป็นตองทาสมาธิในชีวิตประจาวัน
อยเู ปน็ ปกตินสิ ยั ใหเ หมอื นกบั เรารบั ประทานอาหารทุกวัน
ดนตรีก็มีผลดีตอแสงออราดวยเชนกัน กลาวคือ การรองเพลงท่ีใชในทางคริสต์ศาสนา
ตามโบสถ์ตางๆ การสวดมนต์ของพระพุทธศาสนา เหลาน้ีจะชวยชาระลางพลังไมไดในแสงออราหรือ
ในสภาพแวดลอมได ซึ่งระยะเวลาสวดมนต์ของพระพุทธศาสนาข้ันต่าเพียง 10 นาที ก็สามารถชาระ
ลางพลังไมดีออกไปได ยืนยันโดยการทดลองมาซารุ อิโมโตะ ท่ีทานทดลองกับน้าเดียวกันแลวนามา
ทดลองแยกระหวา งน้าไวเฉย ๆ กบั นา้ แหลงเดียวกันนผ้ี านการสวดมนต์เป็นระยะเวลา 10 นาที แลว
นาน้าท้ังสองนี้ไปแชเย็นที่อุณหภูมิติดลบ 20 องศาเซลเซียส จากน้ันดูผลึกปรากฏวา น้าธรรมดาท่ีไว
เฉยๆ (ตัวแปรควบคุม) ผลึกน้าเป็นรูปหกเหล่ียมธรรมดารูปรางปกติตามน้าท่ัวไป แตน้าจากแหลง
เดียวกันนี้ที่ผานการสวดมนต์ 10 นาทีน้ี ปรากฏวาเป็นน้าผลึกหกเหล่ียมมีแฉกรูปรางสวยงามมาก ดู
เหมือนกับผลึกของเกล็ดหิมะที่มีแฉกตามมุมของหกเหลี่ยมมองดูแลวสวยงามจับใจมาก ซึ่งผลึกท่ี
สวยงามนี้มันสามารถทะลุทะลวงเซลตางๆ ในรางกายไดดีและท่ีสาคัญงานของมาซารุ ไดเขียน
อภิปรายเพิ่มเติมวา น้าสามารถรับสารและสงสารจากภายนอกได (Masaru Emoto, 1999: 1-19)
เพราะฉะนั้นปัจจัยภายนอกสามารถสงผลและมีอิทธิพลตอภายในไดเฉกเชนน้ันท่ีเป็นพยานจาก
หลักฐานการทดลองนี้ ซึ่งในพระพุทธศาสนาก็มีการกลาวมาต้ังแตคร้ังในสมัยพุทธกาลแลว โดยศึกษา
ไดจากพระสูตรช่ือรตนสูตร (ขุ.ข. 25/1-18/9-14) วาดวยรัตนอันประณีต ดังสรุปใจความสาคัญวา
พระอานนท์เรียนมนต์จากพระพุทธเจาเสร็จแลว พระอานนท์ก็สวดรตนสูตรน้ีไปที่น้าแลวรดใหท่ัว
กาแพงเมืองไพศาลี หลังจากน้ันทุพภิกขภัย (ขาวยากหมากแพง) อมนุษยภัย (ภัยจากพวกอมนุษย์)
และพยาธิภัย (ภัยที่เกิดจากโรคระบาด) ไดอันตรธานหายไปทันที เม่ือเราไดศึกษาเน้ือความในรตน
สูตร จะเห็นไดวา พระพุทธเจาไดพรรณนาถึงความประเสริฐบริสุทธิ์และสรรเสริญพระรัตนตรัย มี
พระพุทธเจา เป็นตน แลวเอยดวยสัจจวาจาที่กลาวมาแลวนี้ขอใหความสวัสดีมีผลตออมนุษย์ทั้งหลาย
ทีม่ าประชมุ กนั อยู ณ ที่นี้ นา้ กร็ ับขอ มูลจากรตนสตู รนไี้ ปใหก ับอมนุษย์ทม่ี าประชุมมา ณ ที่น้ี หลังจาก
อมนุษยไ์ ดร ับขอมูลขา วสารนี้จากน้าแลว กไ็ ดรบั คายืนยันจากสจั จวาจาของพระพทุ ธเจาอันมีผลทันตา
เห็นโดยสวัสดีท่ัวหนากัน เหลาอมนุษย์ลากลับไปอยู ณ ท่ีสมควรของตนตอไป ทาใหโยนิโสมนสิการ
ตอไปไดวา การทาความดีจนเกิดคุณธรรมบารมีขึ้นน้ัน สามารถเอยวาจาอันมีสัจจะความจริงเป็น
เบอื้ งตนมาเป็นพยานใหบันดาลเกดิ ผลกับกรณหี รอื สถานการณต์ า ง ๆ ไดทันตาเห็น ซึ่งก็ไมแปลกนักที่
ผูสนใจและผูศึกษาทางพระพุทธศาสนาจะเห็นอยูเป็นปกติท่ีการบาเพ็ญบารมีของพระพุทธเจามักจะ
พบสัจจวาจาที่กลาวอางมานี้ จงบันดาลใหเกิดผลตามประสงค์ดวย ซ่ึงก็เกิดขึ้นตามประสงค์จริง ๆ
ผูเขียนจึงขอเป็นกาลังใจและแรงจูงใจใหกับผูอานไดเรงขวนขวายกระทาความดี ส่ังสมบุญบารมี อัน
เป็นปัจจัยตอการบรรลุมรรคผลนิพพานตอไป แตอยาไปติดบุญบารมี เพราะความเป็นนิพพานยอม
เหนอื บุญ เอาแคเ ป็นปจั จยั เกือ้ หนนุ ตอ การบรรลุมรรคผลนพิ พานก็พอ
เราจะเห็นไดอยางชัดเจนวา ในพระพุทธศาสนาไดกลาวถึงน้าสามารถสงสารได และ
ไมใชแครองรอยหลักฐานที่มีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเพียงแคสูตรเดียวเทานั้น ยังพบพระสูตร
มากมายเชนกัน เชน อานิสงส์การใหทานดวยน้า (ขุ.อป. 32/19/341) หรือในวนโปสูตร
(2/243/302) วาดวยการปลูกปุารักษาตนน้าลาธารเป็นบุญกุศลตลอดเวลา, พระธรรมเทศนา
อุปมาอปุ ไมยเกยี่ วกบั นา้ (ขุ.อิติ. 14/109/489) หรือนารูปแบบสัญลักษณ์ความศรัทธาเล่ือมใสผนวก
เขา กับน้า เชน เรื่องพระแมธรณบี บี มวยผม การกรวดน้าอทุ ิศสวนกุศล เป็นตน
107
สาหรับดนตรีที่ผลดีตอแสงออราโดยรอ งเพลงศาสนานน้ั ๆ ในศาสนสถาน หรือสวดมนต์
ดังที่ไดกลาวมาแลวน้ัน หากจะมีบุคคลใดหรือผูที่ไมไดนับถือศาสนาหรือไมมีศาสนาแลวก็ตาม เขา
เหลานั้นสามารถฟังเพลงคลาสสิค หรือเสียงดนตรีบรรเลง เชน Water Music ของแฮนเดล ,
Pastoral ของบีโธเฟน, สายธารธรรม Morality Stream ของจารัส เศวตาภรณ์ เป็นตน ซ่ึงจาก
ผลงานวิจัยตางๆ พบวา คลื่นเสยี งเหลาน้มี ผี ลตอการกระตนุ สมองและเซลตาง ๆ ภายในรางกาย ทา
ใหส มองหลั่งสารเอน็ โดฟนิ เซโรโทนนิ โกรทฮอร์โมน และโดพามีน เป็นตน อันเป็นผลดีตอรางกายทา
ใหร า งกายผอนคลาย สดชื่น เบกิ บาน โปรงโลง เรียนรูไดดีขึ้นกวาเดิม ฯลฯ ซ่ึงยกตัวอยางของไทยเรา
จากผลงานวิจัย ศ.นพ.ดร. วิจิตร บุณยะโหตระ และคณะ (นิสิตระดับปริญญาโท สาขาเวชศาสตร์
ชะลอวยั และฟืน้ ฟูสุขภาพ สานกั วชิ าเวชศาสตรช์ ะลอวยั และฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแมฟูาหลวง)
ทดลองเรื่องผลของเสียงและแสงของออดิโอสโทรบตอคลื่นสมอง ผลการวิจัยพบวา การใชเสียงและ
แสงจากเครอ่ื งออดโิ อสโทรบ โหมดสมาธิสามารถกระตุนคลื่นสมองใหอยูในชวงความถี่แอลฟามากข้ึน
ซึ่งสามารถใชห ลักการนใ้ี นการลดความเครียดผอนคลายและทาใหเกดิ สมาธไิ ด
สว นเร่ืองกล่ินหอมก็สามารถเสริมพลังใหกับแสงออราในตัวเราไดเชนกัน การรมควันไล
แมลงถือเป็นเร่ืองธรรมดาของชาวบานทองถ่ิน แตในที่นี้เป็นการใชควันและกล่ินหอมของสมุนไพร
หลายชนิดเพ่ือชาระลางแสงออราหรือสิ่งแวดลอม กล่ินหอมไมวาจะเป็นเครื่องหอม หรือน้ามันหอม
ยอ มสงผลตอ แสงออราและพลังแหงธรรมชาติ อารมณ์และจิตใจ น้ามันและเคร่ืองหอมใชเพ่ือตอสูกับ
เชอ้ื โรคและความเจ็บปุวยทงั้ ทางรา งกาย อารมณ์จิตใจ และจิตวญิ ญาณ
หญา หางหนผู สมกบั หญา หวานเป็นท่รี ูจกั กนั ดี เพราะกลิ่นหอมสามารถชาระลางและทา
ใหแสงออราเกิดความสมดุล กายานเป็นกล่ินหอมอีกชนิดท่ีทาความสะอาดและปกปูองออรา แมวา
บางคนจะไมไ ดผล เพราะเก่ยี วขอ งกับศาสนาคริสต์ อยางไรก็ตามกลิ่นหอมน้ีมีแรงสั่นสะเทือนมากจน
เกิดผลได สาหรับผูที่ทางานดานการรักษาพยาบาลและใหคาปรึกษา กลิ่นการ์ดิเนียใหผลดีมาก ชวย
ปกปูองเราไวจ ากการเขาไปพัวพันกับปัญหาของผูอ่ืนมากเกินไป ชวยเสริมพลังชองแสงออราเพื่อผลดี
ดานอารมณ์ การตรวจสอบเพียงเล็กนอยจะทาใหเห็นผลไดอยางชัดเจน (Ted Andrews, 2542:
117-118)
หินและคริสตัลก็เป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่งที่เพิ่มความแข็งแกรงใหแสงออรา โดยพลัง
ไฟฟูาท่ีมีอยูในคริสตัลจะชวยเพิ่มพลังและเสริมพลังใหแสงออรา การทดสอบที่ดีอีกวิธีหนึ่งคือการวัด
แสงออรา ขณะถือและไมถือคริสตัล แมจะเป็นคริสตัลกอนเล็กๆ ขนาดน้ิวเดียวก็สามารถทาใหแสงออ
ราขยายรัศมีออกไปอีกสามถึงส่ีฟุต คริสตัลปลายแหลมสองขางเพิ่มพลังแสงออราเป็นอยางมาก
คริสตัลทพ่ี กใสกระเปา เสอ้ื ไวจ ะชวยใหแ สงออรามีเสถยี รภาพ ซึง่ ใหผลมากโดยเฉพาะอยางยิ่งในยามท่ี
เรารูวา เรากาลังอยูใ นภาวะตึงเครียดหรือเหน็ดเหน่ือย คริสตัลจะชวยปกปูองเราไวจากแรงกดดันและ
ความเหน็ดเหนื่อยท่ีมากเกินไป ซึ่งในชวงทายของวันเมื่อเราพบวา ตัวเองเหน็ดเหนื่อยเพียงแต
ตอ งการฟื้นฟูระดับพลัง ใหน่ังหรือยืนถือคริสตัลปลายแหลมท้ังสองขางไวในมือ ใหผอนคลายและนึก
ภาพวา คริสตลั กาลังบรรจพุ ลงั ใหร างกายของเราและเตมิ พลังใหแสงออรา การหายใจเป็นจังหวะก็ชวย
ได ทาเพียงหาถึงสิบนาทีก็จะชวยใหพลังของเราเกิดความสมดุลและแข็งแกรงข้ึน และยังชวยเปลี่ยน
ภาวการณ์ทางานของจิตใจใหผอนคลายย่ิงขึ้น ชวยใหเราปลอยวางงานไวที่ทางาน เพราะคริสตัลจะ
ชาระลางซากขยะในแสงออราที่เรานาออกมาจากท่ีทางาน (Ted Andrews, 2542: 118-119) ซึ่ง
เม่ือกลาวถึงท่ีทางานผูเขียนขอแนะนาใหผูอานนาถานไมสีดามาสักสามส่ีกอนใสไวภาชนะที่รองรับไว
แลววางไวที่หลังคอมพิวเตอร์ ไวที่ใกล ๆ กับคลื่นแมเหล็กไฟฟูา เชน เตาเสียบปล๊ักไฟฟูา
108
เครื่องใชไ ฟฟาู สานักงานตางๆ เปน็ ตน ถา นไมด าน้จี ะดดู ซบั พลังงานลบ (คล่ืนแมเหล็กไฟฟูา) ไวกับตัว
ถานไมดา ทาใหเราไมไดรับผลกระทบจากออราภายนอกเขามาในรางกายเรา หรือทาใหพลังงานลบ
เหลาน้นั เบาบางลงทม่ี ากระทบตอออราภายในตวั เรา
บทสรุป
ความหมายของคาวา “ออรา” ในภาษาวิทยาศาสตร์ คือ พลังแมเหล็กไฟฟูาท่ีสภาพ
เหมอื นกับแคปซลู ท่ีคลุมอยรู อบตวั เรา ซง่ึ สามารถเปลยี่ นแปลงได อาจจะขยายใหญข้ึน อาจจะเขมขน
ขึน้ หรืออาจะเบาบางลงก็ได ในผูปุวยท่ีใกลจะเสียชีวิตจะตรวจพบวาพลังออราจะลดต่าลงไปมากจน
เกือบไมมี และเม่ือเสียชีวิต พลังออราก็จะหมดไปจากรางกาย หรือในความหมายทางวิทยาศาสตร์
ประยุกต์คาที่ใชเรียกแทน“ออรา” ก็คือ รังสีกายทิพย์ ซ่ึงมีสภาพเป็นคล่ืนไฟฟูาหอหุมรอบตัวเราอยู
คล่ืนรังสีนีม้ ีอยูเ ป็นปกติในสิ่งมีชีวิตตาง ๆ ท้ังมนุษย์ สัตว์ พืช หรือแมแตส่ิงมีชีวิตไมมีชีวิตหรือตายไป
แลวกต็ าม
รังสีมนุษย์ หรือการเปลงรังสีแสงเรืองสีตาง ๆ หรือ รัศมีเรืองรองบางอยางออกมา
รอบตัว ซ่ึงอาจเป็นแสงเรืองสีตาง ๆ กัน โดยสามารถมองดวยตาเปลาเห็นได หรือเป็นรังสีแสงที่ไม
สามารถมองเหน็ ไดด วยตาเปลา แตสามารถมองเห็นไดด ว ยตาทพิ ย์ (ทิพยจักขุ) ก็อาจเป็นได ดังน้ันเรา
จะเห็นวาการเปลงรัศมีเหลาน้ีมีความเขมขนแตกตางกันไปในแตละบุคคล โดยเฉพาะอยางยิ่งจะ
ปรากฏสีเขมขนชัดใสเจิดจรัสเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอยางสูง และรองลงมาจะมี
รัศมีแสงสแี จมกระจางหรือสีสดใสในบุคคลที่มีจิตใจอยูในสภาวะปิติเบิกบานอยูเสมอ ๆ สวนรัศมีแสง
สีท่ีหมนหมอง มืดคล้า ไมกระจางใส ดูลักษณะขุนมัวหรือพลา แสดงใหเห็นชัดเจนในบุคคลที่เต็มได
ดว ยปัญหาวิกฤตทิ างจติ ใจและสุขภาพ
จากบันทึกของโปฺบ เบเนติคท่ี 14 และดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ
parapsychologis ไดอธบิ ายไวว า พวกนกั บุญและผชู านาญการศาสนาทางตะวันตกไดจาแนกลักษณะ
ของออราไว 4 แบบ ดวยกนั กลา วคือ
1. แบบ นมิ บสั (Nimbus) คือแบบที่มีออราแผออกมาในลักษณะคลายการ “ทรงกลด”
เปน็ รัศมีทรงกลมรอบศรี ษะ
2. แบบ ฮาโล (Halo) เป็นแบบการแผรังสีท่ีมีลักษณะคลายวงแหวนแผออกมารอบ
ศีรษะเหมอื นกัน
3. แบบ ออรโี อลา (Aureola) เป็นแบบลกั ษณะแผร งั สี คลา ยเปลวเพลงิ ทรงกลด
4. แบบ กลอรี (Glory) เปน็ ลักษณะแสงเรอื งเปลงปลัง่ เรืองรองแผออกมารอบรา งกาย
สีของออราและความหมาย สามารถแบงไดเป็น 2 ประเภท ไดแก สีของความคิดและ
อารมณ์ และ สีพื้นฐานของออรา
สีของออรา แล ะก ารแ ปล ควา มห มา ยของสี ออร าจ าเ ป็นต อง อาน สีออร าดว ยค วา ม
รอบคอบอยางมีสติ เพราะสีแตละสีมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง และโทนสีจะทาใหลักษณะเหลาน้ัน
เปลีย่ นไปเล็กนอ ย เราตอ งพจิ ารณาถึงตาแหนงท่ีสีปรากฏ ความเขม แมแตรูปรางของสีดวย และควร
ดแู ตส หี ลกั ๆ พลังที่สนี ัน้ แสดงออกมาในเรื่องสภาพของรางกายและอื่น ๆ ตามปกติ ซ่ึงเป็นจุดเร่ิมให
เขา ใจถึงนัยแหงสี
109
แสงออรา คือ รศั มีแสงสีรอบกายมนุษย์หรือแสงในสนามพลังงานในมนุษย์ตามสี ดังนั้น
สีพน้ื ฐานของออราสามารถสรุปเป็นตาราง ดังตอไปนี้
แสงสอี อร่าและความหมาย
สอี อรา่ คา่ ความหมายของสี ประยุกต์ / อาชีพ
สีแดง
ภาวะมุงม่ัน ผูนา ทรงพลัง ทะเยอทะยาน กระฉับกระเฉง โอบ ความเป็นผูนา
สชี มพู
ออ มอารี กลา หาญ คิดบวก และพลังทางเพศ
สสี ม้ /แสด
พลังท่ีแจมใส เต็มไปดวยความรัก อารมณ์ขัน ถอมตน ปลอบ นักธรุ กิจ
สีเหลือง
ประโลมผูอื่น ต้งั ใจจริง โรแมนตกิ
จิตอาสา กระฉับกระเฉงวองไว เต็มไปดวยพลัง ฉลาด ซ่ือสัตย์ มนุษยสมั พันธ์
รบั ผดิ ชอบ เชื่อมัน่ ตนเอง ปดิ ทองหลังพระ
ความฉลาด เมตตา ซ่ือสัตย์ มองโลกในแงดี รักเพ่ือนมนุษย์ เขา ความคิดสรางสรรค์
สงั คมงา ย ปรับตวั เกง พรสวรรค์ในการพดู
สีทองเหลอื ง คนออนโยน ชอบชวยเหลือผูอ่ืน เป็นนักปราชญ์และเปี่ยมดวย นักปราชญ์
คุณธรรม มีความสุขเม่ือไดชว ยเหลือผอู ่นื คิดบวก
สเี ขียว รักสงบ มีระเบียบวินัย ชอบชวยเหลือผูอ่ืน จิตใจดี สูงาน ดู แพทย์/ พยาบาล/
ภายนอกเรียบงายแตภ ายในด้ือนาดู จิตใจท่ีละเอียดออน มีความ จิตเวช/ครูอาจารย์
เขา ใจผอู ่นื ความรกั การรกั ษาโรค ความสมดลุ ฤทธ์อิ านาจ
สีนา้ เงนิ ความสงบและสัจจะ การส่ือสาร พลังจิต ความฉลาด ความมี ทุกอาชีพ
อุดมคติ ขยันขันแข็ง มองโลกในแงดี จริงใจ ซ่ือสัตย์สุจริต ปาก
กับใจตรงกัน ชอบผจญภัย เชื่อมั่นในตนเอง ชอบพบปะผูคน
ขยัน มอี ดุ มคติ มีความคดิ สรา งสรรคแ์ ละจนิ ตนาการ
สคี ราม ไมเห็นแกตัว โอบออมอารี มีความจริงใจ รับผิดชอบงาน ชอบ มีความรบั ผดิ ชอบ
งานสังคมสงเคราะห์ มีพลังจิต สัมผัสท่ี6 โทรจิต ความฉลาดล้า สงู
ลึก ความคิดสรางสรรค์ ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ชอบ
คน หาสัจจะความจรงิ ของชีวติ
สีมว่ ง สนั โดษ จติ ละเอยี ดออน เป็นตัวของตัวเอง มีสัมผัสท่ี 6 ชอบทาง ฉลาด/สมาธิ
สมาธแิ ละศาสนา ชอบเร่ืองล้ลี ับ
สนี า้ ตาล ความคิดแคบ ไมยอมรับฟังความคิดเห็นของผูอ่ืน เห็นแกตัว ควรพัฒนาตน
ชอบคยุ แตเรอื่ งตัวเอง
สีด้า การส้ินสุด ภาวะสับสน ทุกข์ระทม มีปัญหาสุขภาพ หมกมุนใน ควรรบี ปรับปรงุ /
กาม จมอยใู นความผดิ พลาด หรือความลา ชา รักษาสุขภาพทันที
สขี าว ความสมดุล สมบูรณ์แบบมากที่สุด จะปรากฏกับนักบุญ พระ ฌานสมาบตั /ิ
ปฏิบัตดิ ี หรือผูฝ กึ สมาธวิ ิปสั สนาสม่าเสมอ หรือสภาพจิตใจท่ีเต็ม สมาธิสงู
ไปดว ยความคดิ สรางสรรคแ์ ละบรสิ ทุ ธิ์
110
แสงสอี อรา่ และความหมาย
สีออร่า ค่าความหมายของสี ประยกุ ต์ / อาชพี
สีเงิน มีประสาทสัมผัสที่ 6 คิดแปลกใหม/แรงบันดาลใจ ซื่อสัตย์ นกั อดุ มคติ
เช่ือมนั่ ในตัวเอง มองโลกในแงด ี มีศักยภาพหลายดา น
สที อง พลังของจักรวาล บุญฤทธ์ิ หรือพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธ์ิซึ่งสามารถ ไมมีขอบเขตจากัด
ชวยถา ยโรคออกจากรางกาย
สเี ทา ขาดจินตนาการ คร่าครึ หัวโบราณ ยึดถือความคิดตนเป็นใหญ ควรพัฒนาตน
เจา ระเบียบ
หมายเหตุ: สีทปี่ รากฏทางดานขวามอื (อดตี ), สปี รากฏทางดานตรงกลางกระหมอม (ปจั จุบนั ) และ
สที ่ีปรากฏทางดา นซายมือ (อนาคต)
: สีราบเรียบหรือเปน็ เน้ือเดียวกนั , ลกั ษณะวงรอบสมบูรณ์ไมมีรอยขาดหรือรอยยัก และสี
สดใส แสดงถึงความสมบูรณแ์ ละลักษณะไปในทางที่ดีหรือแงบวก เชน สีแดงสด หรือสีเหลืองอราม ดู
สีแลว เย็นตา สีใหความอบอุน ใสชัด เปน็ ตน
: สีไมราบเรียบหรือไมเป็นเน้ือเดียวกัน, ลักษณะวงรอบไมสมบูรณ์ มีรอยขาดหรือรอยยัก
และสีไมสดใส แสดงถึงความไมสมบูรณ์และลักษณะไปในทางที่ไมดีหรือแงลบ เชน สีแดงคล้า/เศรา
หมอง/ชา้ เลอื ด สเี หลืองขุน ดสู ีแลวสหี มองคล้า ไมเยน็ ตา ทบึ หมน หมอง ไมชดั เปน็ ตน
การศึกษาเร่ืองแสงออรามีการศึกษากันมานานแลวในแวดวงวิทยาศาสตร์ และมนุษย์ก็
เชอ่ื อยใู นจติ ใจแลว วาตอ งมี เพราะฉะนั้นการพิสูจน์ดวยเคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์จึงยืนยันการศึกษา
ที่มีกันมานานรวมท้ังความเช่ือดวย ดังเห็นไดจากเคร่ืองมือวัดแสงออราที่มีกันใชอยูในปัจจุบัน เชน
Win Aura , The AuraCam 6000 เป็นตน
การศึกษาผลจากการใชเครื่องออราฉายแสงแลวปรากฏผลออกมาเป็นสีตาง ๆ นั้น เป็น
ประโยชน์ตอการนาไปประยุกต์ใชในชีวิตแตละคนได เพราะเป็นเครื่องสะทอนความคิด เจตคติ
อารมณ์ สภาพจิตใจ ไดเป็นอยางดี ทาใหบุคคลน้ันคิดโดยแยบคายท่ีจะไมประมาท มีการพัฒนา
ตนเองอยูเสมอ และสรางความเลื่อมใสกับผูพบเห็นความเปลี่ยนของแสงออราที่ตีคาความหมายสีที่ดี
ขน้ึ ตามลาดับ
ปัจจุบันการศึกษาแสงออรามักใชไปในทางตอบสนองอารมณ์ความรูสึกและใครรู แต
ไมไดนามาพัฒนาตนเองหรอื แรงเสริมใหชีวิตตนดีข้ึน เพราะฉะน้ันการใชเครื่องมือดังกลาวตองรูจักใช
โดยปัญญาแลวจักเกดิ ประโยชน์
111
คา้ ถามทา้ ยบท
1. รังสีมนษุ ยม์ ีกี่ประเภท ไดแกอะไรบาง
แนะแนวค้าตอบ ศึกษาเอกสารประกอบการสอนประจารายวิชาพลังมหัศจรรย์แหงชีวิตประกอบ
และวารสารวทิ ยาศาสตร์ทางจติ ประกอบ
2. พระพุทธเจา มแี สงออรา กี่ประเภท ไดแ กอ ะไรบา ง
แนะแนวคา้ ตอบ ศึกษาคัมภีรพ์ ระพุทธศาสนา
3. นกั ศกึ ษามีอารมณ์ประเภทใด และนา จะปรากฏแสงออรา ในเรอื นกายนกั ศึกษาไดแกส ีใด
แนะแนวค้าตอบ ศึกษาเอกสารประกอบการสอนประจารายวิชาพลังมหัศจรรย์แหงชีวิตประกอบ
และวารสารวทิ ยาศาสตร์ทางจติ ประกอบ
4. การศกึ ษาแสงออรามีประโยชนอ์ ยา งไรบา ง
แนะแนวคา้ ตอบ ศึกษาเอกสารประกอบการสอนประจารายวิชาพลังมหัศจรรย์แหงชีวิตประกอบ
และการประยกุ ต์ใชใ นชวี ิตประจาวันจริงของนักศึกษาโดยสังเกตจากการสารวจตัวเอง การอยูรวมกับ
ผูอ ่นื และการฝกึ ฝนพฒั นารา งกายและจติ ใจใหผลดีอยา งไรโดยเขยี นวิเคราะห์ทางกายและจิตใจ
5. นักศกึ ษาคดิ วาสามารถตรวจหาแสงออราในตัวเราเองไดหรือไม โดยไมพึ่งเครื่องตรวจวัดรังสีออรา
เพราะเหตใุ ด
แนะแนวค้าตอบ ศึกษาเอกสารประกอบการสอนประจารายวิชาพลังมหัศจรรย์แหงชีวิตประกอบ
และเอกสารอางองิ ทายบทสามารถขยายขอบเขตความรูจ ากคาถามนไ้ี ด
112
เอกสารอา้ งอิง
ก. เอกสารชนั ปฐมภมู ิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหา
จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย.
ข. ชันทตุ ยิ ภูมิ
มอรต์ ัน วอลค์ เกอร์. (2538). พลงั แห่งสีสัน. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท ซีเอ็ดยูเคช่ัน จากดั .
ศภุ กาญจน์ วิชานาติ. (2556). ออร่าในพระพทุ ธศาสนา. กรุงเทพฯ: บรษิ ทั พเี ค พร้ินต้งิ จากดั .
สาโรจน์ เกษมสขุ โชติกลุ . (2538, พฤศจิกายน). “วิญญาณมจี รงิ หรอื ?”. Update, 10 (113):
47.
Dora Von Gelder Kunz. (1996). The personal aura. Wheaton, IL, USA: Theosophical
Publishing House.
Masaru Emoto. (1999, Decembe). “Messages from Wate r”. Paperback , 1 (11):
1-19.
Ted Andrews, อันเวส (แปล) . (2542). ออร่าแสงแห่งเรือนกาย. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์เรอื น
บุญ.
Philippe Van Lieu. (1998-2014). Win Aura Program. PROGEN Aura Imaging Systems
[CD]. CA.: Redwood City.
เบิร์ธ ณ ภัทรดศิ . (2549). ออร่าคืออะไร. [ออนไลน์]. เขาถงึ ไดจ าก:
http://www.triplusgroup.com/gzone.html. วันทีส่ ืบคน 2555, พฤศจกิ ายน. 22.
Longdodic. (2555). Aura. [ออนไลน์]. เขา ถงึ ไดจาก: http://dict.longdo.com/search/aura.
วนั ทีส่ บื คน 2555, กนั ยายน. 10.
113
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 5
บทที่ 5 ประโยชน์การฝึกจติ ระหวา่ งพระพทุ ธศาสนากบั วิทยาศาสตร์
หัวข้อ
5.1 ผลของการฝึกจติ ในพระพุทธศาสนาเถรวาท
5.1.1 ผลต่อวิถีชวี ติ และบุคลิกภาพ
5.1.2 เป็นวธิ ีการพักผ่อนอยา่ งสุขสบายในปัจจุบัน (ทฏิ ฐธรรมสขุ วหิ าร)
5.1.3 เปน็ บาทหรอื เปน็ ฐานแห่งอภิญญา
5.1.4 ทาใหไ้ ด้ภพวเิ ศษ
5.2 การบาบดั โรคทางกายด้วยจิต
5.3 อิทธปิ าฏิหาริยใ์ นพระพุทธศาสนาเถรวาท
5.4 บทสรปุ
จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
1. นกั ศกึ ษาสามารถอธิบายเหตุผลประกอบจากอานสิ งส์การฝึกจติ ได้
2. นักศึกษาสามารถนาผลทไี่ ด้จากการฝึกจติ แล้วมาแสดงหน้าช้ันเรียนได้
3. นักศึกษาแลกเปลย่ี นเรียนร้รู ะหว่างเพอื่ นรว่ มชั้นในประเด็นสาคัญ ๆ ได้
4. นกั ศกึ ษาเกิดแรงจูงใจหรือความใฝ่ฝันต้องการเป็นพุทธศาสนิกชนทมี่ ีคุณภาพและเป็นกาลังสาคัญ
ทางพระพุทธศาสนา
กจิ กรรมการเรยี นการสอน
1. นักศึกษาทุกคนร่วมกันแลกเปล่ียนประสบการณ์แนวคิดท่ีตนเองรู้จักท่ีมีความคิดเห็นระหว่าง
วิทยาศาสตร์และพระพทุ ธศาสนาได้
2. นักศึกษาร่วมกันสังเคราะห์วิเคราะห์ต่อยอดทางความคิดระหว่างวิทยาศาสตร์และ
พระพุทธศาสนา โดยอาจารย์ให้ใบกิจกรรมจาลองสถานการณ์ให้นักศึกษาได้ร่วมกันแสดงหน้า
ช้ันเรียน
3. นักศึกษาเขียนแผนผังความคิดตามท่ีอาจารย์มอบหมายให้หัวข้อและระดมความคิดเห็นภายใน
กลมุ่ แลว้ นาเสนอหน้าชั้นเรยี น เพอ่ื อภปิ รายระหว่างกลุ่มหนา้ ช้นั เรยี น
4. อาจารย์สรุปความคิดรวบยอดระหว่างวิทยาศาสตร์กับพระพุทธศาสนาแต่ละแนวคิดของบุคคล
สาคัญท่ีมีตอ่ วงการวทิ ยาศาสตร์และพระพุทธศาสนา
ส่ือการเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอน
2. หนังสืออ่านประกอบ (บรรณานกุ รม)
3. ส่อื มัลตมิ ีเดีย
4. สือ่ ออนไลน์
114
การวัดผลและประเมินผล
1. การเขา้ ช้ันเรียน
2. ทาแบบฝึกหดั ท้ายบท
3. ความมีส่วนรว่ มในชั้นเรยี น เชน่ การสอบถาม การแลกเปลี่ยนความรู้
4. การอภปิ รายหน้าช้นั เรียน
บทที่ 5
ประโยชน์การฝึกจติ ระหว่างพระพทุ ธศาสนากับวทิ ยาศาสตร์
การประยุกต์ใช้ประโยชน์จากการฝึกจิตในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องใกล้ตัวและทุก
คนสามารถทำไดใ้ นทุกท่ีทุกเวลา เพียงแตเ่ ราตอ้ งรู้วา่ จะใช้อยา่ งไร มีประโยชน์ตรงไหน และท่ี
สำคัญมีสาระสำคัญนำไปประยุกต์เรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันอย่างไร ดังนั้นการ
นำความรู้ระหว่างพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์บูรณาการให้เข้ากับตนเองนั้นจะเป็นการ
เติมเต็มให้ชีวิตจิตใจบริบูรณ์และเกื้อหนุนเหตุปัจจัยในการดำรงชีวิตและก่อ ให้เกิดประโยชน์
อย่างสมบูรณ์ โดยมหี ัวขอ้ ท่นี า่ สนใจตา่ ง ๆ ดังตอ่ ไปนี้
5.1 ผลของการฝึกจติ ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท
5.1.1 ผลตอ่ วิถีชวี ติ และบุคลกิ ภาพ
5.1.2 เป็นวิธีการพักผ่อนอย่างสุขสบายในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมสุข
วิหาร)
5.1.3 เปน็ บาทหรอื เปน็ ฐานแห่งอภญิ ญา
5.1.4 ทำให้ได้ภพวเิ ศษ
5.2 การบำบัดโรคทางกายด้วยจิต
5.3 อิทธปิ าฏิหาริย์ในพระพุทธศาสนาเถรวาท
5.4 บทสรปุ
ผลของการฝึกจิตในพระพุทธศาสนาเถรวาท
ผลของการฝึกจิตในพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นผลที่เกิดจากเหตุในการ
ฝึกจิตเจริญสมาธิจนสามารถละนิวรณ์ 5 หรือเกิดระดับสมาธิตั้งแต่ อุปจารสมาธิ ถึง
อปั ปนาสมาธิ ซึง่ ผลการฝึกจติ นนั้ เป็นลกั ษณะการบรรลฌุ าน
ผลของการบรรลุฌานนั้นมีอานิสงส์มากมายหลายประการดังที่พอจะสรุป
ไดเ้ ปน็ หวั ข้อมดี งั น้ี
1. ผลต่อวิถชี ีวติ และบุคลกิ ภาพ
2. เปน็ วิธีการพักผอ่ นอยา่ งสขุ สบายในปจั จบุ นั (ทิฏฐธรรมสขุ วิหาร)
3. เปน็ บาทหรอื เปน็ ฐานแหง่ อภญิ ญา
4. ทำใหไ้ ดภ้ พวิเศษ
ดงั แสดงรายละเอยี ดของแต่ละประการได้ตอ่ ไปน้ี
ผลต่อวถิ ีชีวติ และบุคลกิ ภาพ
116
พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตฺโต) (2544: 834–835) ได้ประมวลผลของการ
บรรลุฌานหรือประโยชน์ของสมาธิไว้ว่าประโยชน์ในด้านสุขภาพจิตและการพัฒนา
บุคลิกภาพเช่นทำให้เป็นผู้มีจิตใจและมีบุคลกิ ลกั ษณะเข้มแข็งหนักแน่นมั่นคงสงบเยือก
เย็นสุภาพนิ่มนวลสดชื่นผ่องใสกระฉับกระเฉงกระปร้ีกระเปร่าเบิกบานงามสง่ามีเมตตา
กรุณามองดูรู้จักตนเองและผู้อื่นตามความเป็นจริงเตรียมจิตให้อยู่ในสภาพพร้อมและ
ง่ายต่อการปลูกฝังคุณธรรมต่างๆและเสริมสร้างนิสัยที่ดีรู้จักทำใจให้สงบและสะกดยั้ง
ผ่อนเบาความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจได้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันเช่นใช้ช่วยทำให้จิตใจ
ผ่อนคลายหายเครียดเกิดความสงบหายกระวนกระวายยั้งหยุดจากความกลัดกลุ้มวิตก
กังวลเป็นเครื่องพักผ่อนกายให้ใจสบายและมีความสุขเช่นบางท่านทำอานาปานสติ
(กำหนดลมหายใจเข้าออก) ในเวลาที่จำเป็นต้องรอคอยและไม่มีอะไรที่จะทำเหมือนดั่ง
เวลานั่งติดในรถประจำทางหรือปฏิบัติสลับแทรกในเวลาทางานใช้สมองหนักเป็นต้น
หรืออย่างสมบูรณ์แบบได้แก่ฌานสมาบัตทิ ี่พระพทุ ธเจ้าและพระอรหันตท์ ัง้ หลายใชเ้ ป็น
ที่พักผ่อนกายใจเป็นอยู่อย่างสุขสบายในโอกาสว่างจากการบำเพ็ญกิจซึ่งมีคำเรียก
เฉพาะว่าเพอ่ื เป็นทิฏฐธรรมสขุ วหิ าร
เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการทางานการเล่าเรียนและการทำกิจทุก
อย่างเพราะจิตที่เป็นสมาธิแน่วแน่อยู่กับสิ่งที่กำลังกระทำไม่ฟุ้งซ่านไม่วอกแวกไม่เลื่อน
ลอยเสียย่อมช่วยให้เรียนให้คิดให้ทางานได้ผลดีการงานก็เป็นไปโดยรอบคอบไม่
ผิดพลาดและป้องกันอุบัติเหตุได้ดีเพราะเมื่อมีสมาธิก็ย่อมมีสติกำกับอยู่ด้วยดังที่ท่าน
เรียกวา่ จติ เป็นกัมมนียะหรอื กรรมนีย์แปลวา่ ควรแกง่ านหรือเหมาะแกก่ ารใช้งาน
ช่วยเสริมสุขภาพกายและใช้แก้ไขโรคได้ร่างกายกับจิตใจอาศัยกันและมี
อิทธิพลต่อกันปุถุชนทั่วไปเมื่อกายไม่สบายจิตใจก็พลอยอ่อนแอเศร้าหมองขุ่นมัวครั้น
เสียใจไม่มีกำลังใจก็ยิ่งซ้ำให้โรคทางกายนั้นทรุดหนักลงไปอีกแม้ในเวลาที่ร่างกายเป็น
ปกติพอประสบเรื่องราวให้เศร้าเสียใจรุนแรงก็ล้มป่วยเจ็บไข้ไปได้ส่วนผู้ที่มีจิตใจ
เข้มแข็งสมบูรณ์(โดยเฉพาะท่านที่มีจิตหลุดพ้นเป็นอิสระแล้ว) เมื่อเจ็บป่วยกายก็ไม่
สบายอยู่แค่กายเท่านั้นจิตใจไม่พลอยป่วยไปด้วยยิ่งกว่านั้นกลับใช้ใจที่สบายมีกำลังจิต
เขม้แข็งนั้นหันกลับมาส่งอิทธิพลบรรเทาหรือผ่อนเบาโรคทางกายได้อีกด้วยอาจทำให้
โรคหายง่ายและไวขนึ้ หรอื แม้แตใ่ ชก้ ำลงั สมาธริ ะงับทุกขเวทนาทางกายไวก้ ็ได้ในด้านดผี ู้
มีจิตใจผ่องใสเบิกบานย่อมช่วยให้กายเอิบอิ่มผิวพรรณผ่องใสสุขภาพกายดีเป็นภูมิต้าน
ทำนโรคไปในตัวความสัมพันธ์นี้มีผลต่ออัตราส่วนของความต้องการและการเผาผลาญ
ใช้พลังงานของร่างกายด้วยเช่นจิตใจที่สบายผ่องใสสดชื่นเบิกบานนั้นต้องการอาหาร
น้อยลงในการที่จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์ผ่องใสเช่นคนธรรมดามีเรื่องดีใจปลาบปลื้มอิ่ม
ใจไมห่ วิ ข้าวหรอื พระที่
117
บรรลธุ รรมแล้วมปี ีตเิ ปน็ ภักษาฉันอาหารวนั ละม้ือเดยี วแต่ผวิ พรรณผ่องใส
เพราะไม่หวนละห้อยความหลังไมเ่ พ้อหวังอนาคตไมเ่ ฉพาะจติ ใจดีชว่ ยเสรมิ ใหส้ ขุ ภาพดี
เท่านั้นโรคกายหลายอย่างเป็นเรื่องของกายจิตสัมพันธ์เกิดจากความแปรปรวน ทาง
จิตใจเช่นความมักโกรธบ้างความกลุ้มกังวลบ้างทำให้เกิดโรคปวดศรีษะบางอย่างหรือ
โรคแผลในกะเพาะอาหารอาจเกิดได้เป็นต้นเมื่อทำจิตใจให้ดีด้วยวิธีอย่างใดอย่างหนึ่งก็
ช่วยแก้ไขโรคเหล่านั้นได้ประโยชนข์ ้อนี้จะสมบรู ณ์ต่อเม่ือมีปัญญาที่รู้เท่าทันสภาวธรรม
ประกอบอยู่ดว้ ย
เพราะฉะนั้นการเจริญสมถกรรมฐานมีผลให้จิตมีความเข้มแข็ง ตั้งม่ัน
และแน่วแน่จดจ่อกับสิ่งที่ตนเองสนใจ ทำให้ร่างกายมีความสดชื่น เบิกบาน เป็นสุข
ผิวพรรณผ่องใส สงบไม่สะดุ้งหวาดผวาต่ออันตรายหรือมรณภัยต่าง ๆ หรือตกใจ มีสติ
รอบคอบอยู่เสมอ ครั้นจะทำอะไรก็ไม่ขาดตกบกพร่องและงานที่ทำนั้นก็สำเร็จโดยไม่มี
ที่ติอีกด้วย
เปน็ วธิ กี ารพกั ผอ่ นอยา่ งสขุ สบายในปจั จบุ ัน (ทิฏฐธรรมสุขวิหาร)
ข้อนี้เป็นอานิสงส์ของสมาธิขั้นอัปปนา (คือระดับฌาน) สำหรับพระ
อรหันต์ซึ่งเป็นผู้ทำกิจเพื่อความหลุดพ้นเสร็จสิ้นแล้วไม่ต้องใช้ฌานเพื่อบรรลุภูมิธรรม
อันใดๆต่อไปอีกพระอรหันต์หรือพระอนาคามีผูไ้ ดส้ มาบตั ิ 8 แล้วทำให้เสวยความสุขอยู่
ไดโ้ ดยไม่มจี ิตตลอดเวลา 7 วันดงั ตวั อยา่ งท่ปี รากฏในคัมภีรอ์ รรถกถาธรรมบทว่า
พระขานุโกณทัญญะท่านได้อยู่ในป่าช้าปฏิบัติ
กัมมัฏฐานวันหนึ่งคิดอยากเฝ้าพระพุทธเจ้าท่านจึงเดินทางไป
ในระหว่างหนทางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจึงแวะข้างทางนั่งเข้าฌาน
สมาบัติบนศิลาดาดแห่งหนึ่งท่ีนั้นได้มีโจร 500 คน ได้ปล้น
ชาวบ้านแล้วนำสิ่งของห่อเทินศรีษะไปพอไปไกลได้พอสมควร
จึงพากันแวะพักเหนื่อยใกล้ศิลาดาดเหล่าโจรเห็นพระเถระคิด
ว่าเป็นตอไม้จึงพากันเอาสิ่งของที่ปล้นมาได้ทั้ง 500 คนวาง
บนศรีษะของพระเถระบ้างข้างพระเถระบ้างห้อมล้อมพระ
เถระแล้วพากันนอนพอตื่นขึ้นมาตอนเช้าเห็นพระเถระคิดว่า
เป็นอมนุษย์ก็พากันตกใจกลัวพระเถระกล่าวว่าอย่ากลัวเลย
อาตมาเป็นบรรพชิตพวกโจรจึงพากันหมอบลงใกล้เท้าให้พระ
เถระยกโทษให้พวกโจรทั้งหมดเกิดความเลื่อมใสจึงขอบวชกัน
พระเถระ (ขุ.ธ.อ. 4/129–130)
พระพุทธองค์ทรงปรารภเรื่องที่พระขานุโกณทัญญะนั่งพักผ่อนด้วยการ
เข้าฌานจงึ ตรสั พระคาถาวา่
118
“ก็ผู้ใดมีปัญญาทรามมีใจไม่ตั้งมั่นพึงเป็นอยู่100ปีความเป็นอยู่วันเดียว
ของผมู้ ีปัญญา
มฌี านประเสรฐิ กวา่ (ความเป็นอยขู่ องผ้นู ้นั )” (ข.ุ ธ.อ. 4/197–198)
เห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ทํากิจเพื่อความ
หลุดพ้นเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ต้องใช้ฌานเพื่อบรรลุภูมิธรรมใด ๆ ต่อไปอีก อ้างพุทธพจน์ว่า
“ฌานเหล่าน้ีเรียกว่าเป็นทิฏฐธรรมสุขวิหารในอริยวินัย (ระบอบของอริยชน หรือแบบ
แผนของพระอริยะ)” จึงนิยมใช้ฌานเป็นที่พักผ่อนกายใจเป็นอยู่อย่างสุขสบายใน
โอกาสว่างจากการบำเพ็ญกิจซึ่งมีคำเรียกเฉพาะว่าเพื่อเป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร ซึ่ง
หลักธรรมนี้ เป็นอานิสงส์ของสมาธิขั้นอัปปนา (คือ ระดับฌาน) (ขุ.ธ.อ. 4/198) อีกทั้ง
ยงั ช่วยเสริมสขุ ภาพกาย และใช้แก้ไขโรคได้ รา่ งกายกบั จติ ใจอาศัยกัน และมีอิทธพิ ลต่อ
กัน ปุถุชนทั่วไป เมื่อกายไม่สบาย จิตใจก็พลอยอ่อนแอเศร้าหมองขุ่นมัว ครั้นเสียใจ ไม่
มีกําลังใจ ก็ยิ่งซ้ำใหโ้ รคทางกายนั้นทรุดหนักลงไปอีก แม้ในเวลาที่ร่างกายเป็นปกติ พอ
ประสบเรื่องราวให้เศร้าเสียใจรุนแรง ก็ล้มป่วยเจ็บไข้ไปได้ ส่วนผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง
สมบูรณ์ (โดยเฉพาะท่านที่มีจิตหลุดพ้นเป็นอิสระแล้ว) เมื่อเจ็บป่วยกาย ก็ไม่สบายอยู่
แค่กายเท่านั้น จิตใจไม่พลอยป่วยไปด้วย ยิ่งกว่านั้น กลับใช้ใจที่สบาย มีกําลังจิต
เขม้ แขง็ นั้น หนั กลับมาสง่ อทิ ธพิ ลบรรเทา หรือผ่อนเบาโรคทางกายไดอ้ ีกดว้ ย อาจทําให้
โรคหายงา่ ยและไวขนึ้ หรอื แม้แตใ่ ชก้ าํ ลังสมาธริ ะงบั ทุกขเวทนาทางกายไว้กไ็ ด้ ในดา้ นดี
ผู้มีจิตใจผ่องใสเบิกบาน ย่อมช่วยให้กายเอิบอิ่ม ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายดี เป็นภูมิ
ต้านทานโรคไปในตัว ความสัมพันธ์นี้ มีผลต่ออัตราส่วนของความต้องการ และการเผา
ผลาญใช้พลังงานของร่างกายด้วย เช่น จิตใจที่สบายผ่องใสสดชื่นเบิกบานนั้นต้องการ
อาหารน้อยลง ในการที่จะทําให้ร่างกายสมบูรณ์ผ่องใส เช่น คนธรรมดามีเรื่องดีใจ
ปลาบปลื้มอิ่มใจ ไม่หิวข้าว หรือพระที่บรรลุธรรมแล้ว มีปีติเป็นภักษา ฉันอาหารวันละ
มื้อเดียว แต่ผิวพรรณผ่องใส เพราะไม่หวนละห้อยความหลัง ไม่เพ้อหวังอนาคต ไม่
เฉพาะจิตใจดี ช่วยเสริมให้สุขภาพกายดีเท่านั้น โรคกายหลายอย่าง เป็นเรื่องของกาย
จิตสัมพันธ์ เกิดจากความแปรปรวนทางจิตใจ เช่น ความมักโกรธบ้าง ความกลุ้มกังวล
บ้าง ทําให้เกิดโรคปวดศีรษะบางอย่าง หรือโรคแผลในกระเพาะอาหารอาจเกิดได้ เป็น
ต้น เมื่อทําจติ ใจให้ดีด้วยวธิ ีอย่างใดอยา่ งหน่ึง ก็ชว่ ยแก้ไขโรคเหล่านั้นได้
เปน็ บาทหรอื เปน็ ฐานแห่งอภิญญา
เป็นบาทหรือเป็นฐานแห่งอภิญญาอภิญญาในที่นี้ ได้แก่ โลกียอภิญญา
คือ การใช้สมาธิระดับฌานสมาบตั ิเป็นฐานทำให้เกิดฤทธิ์และอภิญญาขั้นโลกีย์อย่างอ่ืน
ๆ คือ หทู พิ ย์ ตาทพิ ย์ ทายใจคนอน่ื ได้ ระลกึ ชาตไิ ด้ ข้อนีเ้ ปน็ อานิสงส์ของสมาธิขั้นอปั ป
119
นา สำหรับผู้ได้สมาบัติ 8 แล้ว เมื่อต้องการอภิญญาก็อาจทำให้เกิดขึ้นได้ ดังเช่นพระ
พุทธพจน์ว่า
“เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่มีกิเลสเพียง
ดังเนินปราศจากความเศร้าหมองอ่อนเหมาะแก่การงานตั้งม่ัน
ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ภิกษุนั้นน้อมจิตเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติ
ญาณระลกึ ชาตกิ อ่ นได้หลายชาต”ิ (ม.อ.ุ 14/14/24)
ฌานจึงเป็นบาท หรือเป็นฐานแห่งอภิญญา เป็นความสามารถชนิดต่าง ๆ
ท่ีเกิดขน้ึ จากการได้บรรลุฌานสมาบตั อิ ภญิ ญานัน้ มีอยู่ 5 ประการด้วยกนั คือ
1. อทิ ธวิ ธิ ีแสดงฤทธต์ิ ่าง ๆ ได้ คือ คนเดยี วแสดงเปน็ หลายคนได้หลายคน
แสดงเปน็ คนเดยี วได้
2. ทิพพโสตหูทิพย์สามารถได้ยินเสียง 2 ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียง
มนุษยท์ ง้ ทั อ่ี ย่ใู กล้และอยไู่ กล
3. เจโตปรยิ ญาณกำหนดใจหรอื ความคดิ ของผอู้ น่ื ได้ (ขุ.ป. 31/101/162)
4. ทิพพจักขุหรือจุตูปปาตญาณตาทิพย์หรือรู้การจุติและอุบัติของสัตว์
ทัง้ หลายตามกรรมของตน (ขุ.ป. 31/101/163)
5. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณการระลึกชาติก่อนได้หลายชาติ คือ 1 ชาติ
บ้าง 2 ชาตบิ า้ ง พรอ้ มทงั้ ลักษณะท่วั ไป และชีวประวตั อิ ยา่ งน้ี (ม.อ.ุ 14/159/207)
ฌานจึงจัดว่าเป็นบาทหรือเป็นฐานแห่งอภิญญาอภิญญาคือความรู้ยิ่งเปน็
ความสามารถชนิดตา่ ง ๆ ท่เี กดิ ขึน้ จากการไดบ้ รรลุฌานสมาบตั ดิ ังทก่ี ลา่ วมาแล้วขา้ งต้น
ซึ่งลัทธินอกพระพุทธศาสนาก็สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ ทางพระพุทธศาสนาจึงจัดฌาน
สมาบัติอยู่ในประเภทของจิตขน้ั โลกยี สมบัติหรอื ข้นั อยกู่ ับโลกข้ึนกบั โลกนั้นเอง
ทำให้ได้ภพวเิ ศษ
ผู้ที่บรรลุรูปฌาน 4 และ อรูปฌาน 4 ทำให้เกิดในภพที่ดีที่สูง ได้แก่
พรหมโลก 20 ชั้น เมื่อเจริญสมถกรรมฐานจนสามารถบรรลุฌานสมาบัติ คุณธรรม 4
ประการ คือ ฉนั ทะ วริ ยิ ะ จติ ตะ วิมังสาอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ท่เี ปน็ อธบิ ดี ก็จะเกดิ ขนึ้ ความ
เปน็ อธิบดีของธรรมนั้น ถ้าเปน็ ไปในขณะนั้นอย่างสามัญมีกำลังอ่อน ฌานที่เกิดข้ึนน้ันก็
เป็นปริตตฌาน ถ้าเป็นไปมากปานกลางมีกำลังปานกลาง ฌานที่เกิดขึ้นนั้นเป็นมัชฌิม
ฌาน ถ้าเป็นไปมากเข้มแข็งมีกำลังเข้มแข็งฌานที่เกิดขึ้นนั้น เป็นปณีตฌานฌานที่
เกิดขึ้นแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นปริตตะ ชั้นมัชฌิมะ และชั้นปณีตะ มีอำนาจสูงต่ำกว่ากัน
ฉะนั้นเมื่อจะให้ผลไปบังเกิดในพรหมโลกจึงให้ผลแตกต่างกัน (พระธรรมธีรราชมหามุนี
(วิลาสญาณวโร), 2535: 225–226)
120
สำหรับปุถุชนผู้บำเพ็ญพรตจนได้บรรลุฌานแล้ว และฌานมิได้เสื่อมไป
เสียทำให้ได้เกิดในพรหมโลก 20 ชั้น ซึ่งสามารถแบ่งเป็นรูปภพ 16 ชั้น และอรูปภพ 4
ชั้น ผทู้ ีเ่ กดิ ในภพเหล่าน้ี ปกติเรยี กว่า พรหม เพราะเกดิ ขนึ้ ด้วยผลแห่งการปฏบิ ตั พิ ัฒนา
จติ ใจจนไดบ้ รรลุรปู ฌานและอรปู ฌาน
รูปภพ หมายถึง ภูมิที่เป็นรูปาวจรเป็นภพไม่เกีย่ วข้องด้วยกามคณุ อยู่ดว้ ย
ปตี ิสุขแบ่ง ตามลำดับของฌานทไี่ ด้บรรลเุ ปน็ ภพของท่านทีไ่ ดบ้ รรลรุ ูปฌาน รูปภพมี 16
ชนั้ คือ (พระธรรมธีรราชมหามนุ ี (วลิ าสญาณวโร), 2535: 227)
1. พรหมปารสิ ัชชา 2. ภูมิพรหมปุโรหติ าภมู ิ
3. มหาพรหม 4. ภมู ปิ รติ ตาภาภูมิ
5. อปั ปมาณาภมู ิ 6. อาภสั สราภมู ิ
7. ปริตตสุภาภมู ิ 8. อปั ปมาณสภุ าภมู ิ
9. สุภกิณหาภมู ิ 10. เวหัปผลาภมู ิ
11. อสัญญสัตตา 12. อวหิ าสทุ ธาวาสภมู ิ
13. อตปั ปาสทุ ธาวาสภมู ิ 14. สุทสั สาสทุ ธาวาสภมู ิ
15. สุทสั สีสทุ ธาวาสภูมิ 16. อกนิฏฐสทุ ธาวาสภมู ิ
อรปู ภพหมายถึงภพเป็นทอ่ี ย่ขู องปถุ ุชนท่ไี ด้บรรลุอรปู ฌานแบง่ เป็น 4 ชั้น
คือ
1. อากาสานญั จายตนภูมิ
2. วญิ ญาณัญจายตนภูมิ
3. อากิญจญั ญายตนภมู ิ
4. เนวสญั ญานาสญั ญายตนภูมิ
คำว่า “เนวสัญญา” แปลว่า มีสัญญาก็ไม่ใช่นั้นหมายถึงไม่มีสัญญาหยาบ
นาสัญญาหมายถึงไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่นั้นคือมีสัญญาละเอียดประณีตรวมกันเป็นเนว
สัญญานาสญั ญาแปลวา่ มีสัญญากไ็ ม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไมใ่ ช่คอื พระพรหมพวกน้ีไม่มีสัญญา
อย่างหยาบมีแต่สัญญาประณีตละเอียดหรือมีสัญญาเหลือน้อยเต็มที (พระธรรมธีรราช
มหามนุ ี (วลิ าสญาณวโร), 2535: 227)
ดังนั้น ผู้ฝึกจิตได้ถึงขั้นได้ฌานมีหวังได้เกิดพรหมโลก อีกทั้งร่างกาย
สามารถได้พักผ่อนเต็มที่ ซึ่งเทียบได้กับวิทยาศาสตร์ก็คือการจำศีลของสัตว์นั้นเอง
ลกั ษณะดงั กลา่ วมีผลดีตอ่ ร่างกายหลาย ๆ สว่ น โดยเฉพาะระบบเมตาบอลิซมึ และระบบ
เผาผลาญพลังงานในร่างกายไม่สี่ยงต่อการเกิดอนุมูลอิสระที่เกิดจากการสันดาปหรือ
ระบบสรีระร่างกายมีการทำปฏิกิริยาทางชีวเคมีกัน หรืออันเป็นที่มาของโรคมะเร็งหรือ
โรคภยั ไข้เจบ็ ทางร่างกาย
121
การบำบัดโรคทางกายดว้ ยจติ
การบำบัดโรคทางกายดว้ ยจิตจะเนน้ การรกั ษาตัวคนไขม้ ใิ ช่การรกั ษาตัว
โรคหรือมุง่ ในการฆ่าเชื้อโรค มีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้ (มงคล กริชตทิ ายาวุธ , 2549: 1-
13)
- Mind and Body Medicine หรือ MBM. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ
Complementary and Alternative Medicine หรือ CAM. ซึ่งเป็นการรักษาระบบ
แพทย์ทางเลือกโดยมลี กั ษณะตรงขา้ ม กบั Scientific Medicine
- การรักษาโรคระบบแพทย์ทางเลือกที่เป็น MBM. นั้นมีปรากฏในจีน
อินเดียและกรีกโบราณเมื่อประมาณ 2,000 – 3,000 ปี ก่อนโดยจีนก็ใช้วิธีการรำมวย
ไท้เก๊ก ชี่กง ฝังเข็ม ส่วนอินเดียจะรักษาโรค โดยใช้แบบอายุรเวท ส่วนกรีกเริ่มในยุค
ฮิปโปเครตีส ก่อนค.ศ.ประมาณ 460 ปี เปน็ ตน้
- ความเชื่อในเรื่องกายกับจิตมีหลายทฤษฎี เช่น “จิตกับกายคู่กัน”
“จิตและกายแยกกันอยู่คนละส่วน” “การและจิตพูดกันคนละภาษา” “กายและจิตมี
สองภาษาแตแ่ ทจ้ ริงคือสง่ิ เดยี วกนั ” “จติ เป็นส่วนหนง่ึ ของกาย” เป็นต้น
- ความเชื่อเรื่องจิตวิทยาและระบบประสาท
- มที ัง้ เช่ือทฤษฎีจติ วเิ คราะหข์ องซิกมันดฟ์ รอยด์
- มที ้งั เชือ่ ทฤษฏมี นษุ ยนิยมของมาสโลว์
- มีทงั้ เช่อื ทฤษฎพี ฤติกรรมนิยมของสกนิ เนอร์
- มีท้ังเชอ่ื ทฤษฎี “สมองกับความเครยี ดมผี ลเชื่อมโยงกนั ” ฯลฯ เปน็ ต้น
- น.พ.เฮนร่ี บีเชอร์ ได้เคยทดลองผลเกี่ยวกับความเชื่อของจิตว่ามีพลัง
เพียงไรโดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่2ทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบขาดมอร์ฟีน ซึ่งเป็น
ยาช่วยระงับความปวดได้ดีมาก ดังนั้นหมอจึงจำเป็นต้องฉีดน้ำเกลือให้แก่ทหาร
ผไู้ ดร้ ับบาดเจ็บแทนโดยบอกว่า “เป็นยาทด่ี ีกวา่ มอรฟ์ นี ” ผลปรากฏว่า ทหารหลายราย
หายปวดเจ็บได้แสดงว่าพลังความเชื่อความศรัทธามีผลอย่างมากต่อการรักษาอาการ
ปวด / เจบ็ ท้ัง ๆ ส่งิ ท่ีฉดี ให้ไมม่ ีตัวยารักษาอาการปวดเจ็บเลย
- ในชว่ งหลังสงครามโลกครัง้ ท่ี 2 การทำสมาธแิ บบ T.M. มกี ารเผยแพร่
อยา่ งกว้างขวาง ทั้งในองั กฤษและสหรัฐอเมรกิ า โดยเฉพาะวงบที เทิล่ นำวธิ ีการทำสมาธิ
แบบ T.M. ไปแตง่ เพลงและร้องเพลง สง่ ผลทำใหค้ นยุโรปใหค้ วามสนใจและนำเรื่องการ
ทำสมาธิไปฝึกฝนแพร่หลายมากยิง่ ขึ้น อน่ึงมหาวทิ ยาลยั รชิ ช่ี รฐั โคโรลาโดของ
สหรัฐอเมริกา ได้นำวิธกี ารทำสมาธิแบบ T.M. บรรจเุ ขา้ เป็นสว่ นหนง่ึ ของหลักสตู ร
ระดบั ปรญิ ญาโท และระดับปริญญาเอก ซง่ึ รปู แบบการทำสมาธแิ บบ T.M. ดังกล่าว
เน้นการผสมผสานระหว่างศาสตรต์ ะวนั ออกของอินเดีย และพระพุทธศาสนาแบบ
122
วัชรยานของธิเบตเขา้ ด้วยกนั แต่ผ้เู ขียนไดม้ ปี ระสบการณเ์ ข้าไปเรยี นคอร์สหนึ่ง จึงได้
ทราบวา่ ในประเทศไทยกม็ ีสถาบนั การศึกษาได้นำวิธกี ารทำสมาธิแบบ T.M. เข้าไปสอน
ในวิทยาลัยรัชตภ์ าคย์เทคโนโลยแี ละการจดั การอยา่ งเปน็ ทางการแลว้
- ในช่วงที่ประธานาธิบดีนิกสันเดิน ทางไปเยือนประเทศจีน
ประธานาธิบดีนิกสันพูดดูถูกวิธีการรักษาโรคของจีนในรูปแพทย์ทางเลือกว่า “โบราณ/
ลา้ สมยั ” ซงึ่ ฝา่ ยจนี ฟังภาษาอังกฤษท่ีนิกสนั พดู กับคนสนทิ ของเขาเข้าใจดแี ตก่ ็มิได้โกรธ
หรือต่อว่าอะไรในความไม่รู้ (ความโง่) ของประธานาธิบดีนิกสัน รักษากิริยาวาจาโดย
สุภาพแต่รีบจัดรายการแทรกขอเชิญให้ประธานาธิบดีนิกสันไปดูการผ่าตัดสมองใช้วิธี
ฝังเขม็ ผปู้ ว่ ยสามารถนอนคยุ กับแพทย์ผทู้ ำการผ่าตัดขณะผา่ ตดั ไดซ้ ่ึงแพทย์แผนปัจจุบนั
ชั้นหนึ่งไม่สามารถกระทำได้ในลักษณะดังกล่าวได้ เมื่อประธานาธิบดีนิกสันกลับ
สหรฐั อเมริกา ก็จดั ประชมุ อาจารย์แพทย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์หลายแหง่ ในสหรัฐโดย
ขอให้ส่งทีมแพทย์เดินทางไปศึกษาดูงานวิธีการรักษาโรคและวิธีการผ่าตัดด้วยวิธีการ
ฝังเขม็ ของจนี และแนวทางของแพทยท์ างเลือกของจีนเพื่อจะไดน้ ำมาทำการวจิ ัยและนำ
วิทยาการแขนงตะวันออกมาปรับใช้ในสหรัฐอเมริกาบ้าง จึงทำให้ชาวอเมริกันได้รู้จัก
วิธีการรักษาโรคแบบตะวันออกเป็นครั้งแรกจากจีนและเพิ่มความสนใจในแขนงแพทย์
ทางเลือกมากขึ้น
- ในยุโรปและอเมริกาดร.ปฐมพงษ์ฯ ได้พบว่า มีชิ้นงานวิจัยที่เป็น
รูปธรรมเชิงประจักษในทางวิชาการมากกวา่ 500 ชน้ิ งานวจิ ัยสามารถใชส้ มาธิหรอื พลัง
จิตในการรักษาโรคทางกายได้โดยพลังสมาธิมีส่วนสำคัญในการสร้าง T-Cells หรือเพ่ิม
ภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายของมนุษย์ช่วยลดค่ารักษาพยาบาลได้มาก ซึ่งไม่แปลกเลยที่
ชาวตะวันตกช่วงหลังทศวรรษที่ 70 หันมาสนใจการทำสมาธิของตะวันออกมากมาย
โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา นิกายวัชรยานของธิเบต ได้รับการตอบรับมากที่สุดและถือ
ได้ว่าเป็นกลุ่มศาสนาแรกของตะวันออกที่บุกเบิกโลกตะวันตก จึงได้พบร่องรอย
หลกั ฐานทางวชิ าการวิจยั เกย่ี วกับการรกั ษาโรคทางกายด้วยพลงั สมาธิ
- ในช่วงปี 1970 – 1990 ปรากฏว่า ชาวยุโรปสนใจการทำสมาธิแบบ
พทุ ธเพิม่ มากข้ึนมีวัดพทุ ธเพิม่ ข้นึ มากอย่างมนี ยั สำคัญ โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษจาก
ผลการสำรวจทำสถิติในช่วงปี 1973 (พ.ศ.2516) มีวัดพุทธ 34 วัน ในช่วงปี 2004
(พ.ศ.2547) มีวัดพุทธ 370 วัด นั่นคือชว่ งระยะประมาณ 30 ปี มีวัดพุทธเพิ่มในองั กฤษ
มากกวา่ 10 เท่าตวั และจากการศึกษาพระธรรมทูตของไทยเรานัน้ ได้ให้ข้อมูลเพ่ิมเติม
เกยี่ วกบั ความตอ้ งการผู้ท่สี ำเร็จการศกึ ษาทางพระพทุ ธศาสนา สายสมาธิภาวนาหรือฝึก
สมาธิจิต โดยมีพยานประจักษ์พบว่าประเทศอังกฤษมีกฎหมายให้โรงพยาบาลทุกแห่งมี
แผนกการรักษาแบบพุทธจิตวิทยาให้คำปรึกษาแล้ว ซึ่งผู้ที่รักษาไม่จำเป็นต้องสำเร็จ
การศึกษาแพทย์ แต่ได้ผ่านหลักสูตรการทำสมาธิแบบพุทธและเชี่ยวชาญทางด้าน
123
จิตวิทยาในสายวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน โดยทางประเทศอังกฤษให้เหตุผลว่า ผู้ป่วย
หรือมนุษย์มีปัญหาสุขภาพนั้น สมมติฐานของโรคไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของ
ร่างกายอย่างเดียว แต่มีสาเหตุจากจิตใจร่วมด้วย เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องแก้ไขท่ี
สาเหตทุ ี่จติ ใจไปพร้อมกนั ดว้ ย
- วยั รนุ่ ปจั จบุ ันของชาวยุโรป แม้มพี ่อแมเ่ ปน็ คริสต์หนั มาให้ความสนใจ
พระพุทธศาสนามากขึ้น จนปรากฏว่ากิจกรรมชาวพุทธในปัจจุบันมีมากกว่ากิจกรรม
ของชาวคริสต์ โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ และ
มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ เป็นต้น เมื่อเขาสนใจกิจกรรมชาวพุทธแล้ว เขาทำตนเป็นพุทธ
มามกะที่น่านับถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจริงจังมากกว่าคนไทยมาก สามารถพบเห็นได้
ในหลายประเทศ เช่นอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และพบเห็นได้ในออสเตรเลียและ
นิวซีแลนด์ทุกแห่ง ปรากฏว่ามีการปฏิบัติเคร่งกว่าชาวไทยพุทธหลายเท่าตัว ซึ่งปรากฏ
คำทำนายของพระอริยสงฆ์ของไทยหลายท่านว่าแสงอรุณพระพุทธศาสนาจะขึ้นทิศ
ตะวันตกในอนาคต
- ผลการวิจัยในผู้ป่วยผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูงหลังจากทำสมาธิแล้ว
ความดันโลหิตต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการฝึกลมหายใจให้หายใจช้าลง โดย
ต้องฝึกหายใจเข้า-ออกให้ได้น้อยกว่า 10 ครั้งต่อนาที หากได้สัก 6 ครั้งต่อนาทีชีวิต จะ
ยืนยาว ซึ่งชมรมอยู่ร้อยปีชีวีมีสุขก็แนะนำในลักษณะน้ี (น.พ.เฉกชนะสิริ อดีตประธาน
ชมรมอยรู่ ้อยปชี วี ีมสี ุข)
- ผลการศึกษาวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญและจากมหาวิทยาลยั
ที่มีชื่อเสียงของโลกหลายแห่งเช่นดร.เดวิดสันอาร์เจผู้นำกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ได้ยืนยัน
เมื่อปี2000ว่าผลการวิจัยพบกว่าสมาธิมีผลต่อการเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคได้สูงอย่างมี
นัยสำคัญชดั เจนไมม่ ขี ้อกงั ขาหรอื สงสยั อีกต่อไป
- ในปี 2002 ดร.เอเดรียล ไวท์ แห่งมหาวิทยาลัยเซ็คเตอร์ ประเทศ
อังกฤษ ได้เขียนผลงานวิจัยว่าการทำสมาธิมีผลทำให้ระบบการทางานของสมองและ
การเพมิ่ T-Cells ภายในรา่ งกายของคนเพม่ิ ขึน้ มากอย่างมีนยั สำคัญ
- ในปี 2003 มีผลงานวิจยั อีกหลายชนิ้ ทที่ ำการวิจยั โดยนกั วทิ ยาศาสตร์
จากแคลิฟอร์เนียร์ซานฟรานซิสโกเมดิคัลเซนเตอร์และจากมหาวิทยาลัยเมดิสัน มลรัฐ
วิสคอนซิล ได้ค้นพบว่าเด็กที่ทำสมาธิสมองซีกซ้ายจะทางานได้ดีมากเป็นเด็กอารมณ์ดี
ใจเยน็ มเี หตุผลควบคุมตนเองไดด้ ี อกี ท้ังมีผลการเรียนดมี ากคือเป็นเดก็ เกง่ และเดก็ ดี
- ในเดือนกรกฎาคม ปี 2005 (กลางปี 2548) ชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ
เดวิดลั้นช์ ทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อต้องการระดมเงินทุนให้ได้ 7,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
อเมริกันหรือประมาณ280,000ล้านบาท เพื่อใช้เป็นกองทุนฝึกสอนวัยรุ่นอเมริกันทั้ง
124
ประเทศให้ทำสมาธิเป็นเพื่อเพิ่มศักยภาพคนอเมริกันรุ่นใหม่ให้เป็นผู้นำที่มีศักยภาพใน
อนาคตอย่างต่อเนือ่ ง
- ดังนั้นอาจสรุปได้จากผลงานวิจัยของบรรดานักวิทยาศาสตร์
ชาวตะวนั ตกในหลายประเทศ และในหลายมหาวทิ ยาลยั ช่อื ดงั ของโลกวา่ “เรื่องของจิต
และพลังจิตมีจริงมีผลต่อสุขภาพร่างกายได้โดยตรง ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับในวงการ
แพทย์ในยุโรปและอเมริกาอย่างกว้างขวาง สุขภาพจิตที่ดีมีผลต่อสุขภาพร่างกายถ้า
สุขภาพจิตไม่ดีย่อมมีผลต่อสุขภาพร่างกายที่ไม่ดีแต่การเจ็บป่วยของมนุษย์เป็นเรื่อง
ธรรมดามีเกิดก็ต้องมีทั้งแก่ทั้งเจ็บและทั้งตาย ดังนั้นการเจ็บป่วยย่อมไม่มีผู้ใดหลีกหนี
พน้ หลกั การดังกล่าวได้
อย่างไรกด็ เี มอ่ื ป่วยเจ็บแล้วการใช้พลังจติ พลงั ใจในการชว่ ยเหลือเยยี วยา
เปน็ เรือ่ งทีม่ ีผลอยา่ งมนี ยั สำคญั มากขึ้นมใิ ชไ่ ม่มีผลเหมอื นนกั วิทยาศาสตร์หรอื แพทย์
บางสว่ นท่ีมีจติ คบั แคบที่ไมส่ นใจศึกษาค้นควา้ และเข้ามาสัมผัสความจริงอีกดา้ นหนึ่งท่มี ี
อยู่จริงก็พดู ต่อต้านโจมตีเสียกอ่ น
- ข้อความเกี่ยวกับการรักษาโรคมีปรากฏในพระไตรปิฎกหลายแห่ง
หลายตอนโดยเฉพาะใน “พระวนิ ยั ปิฎก” แม้กระท่งั จรรยาแพทย์ เชน่
- ต้องจัดยาให้ถูกต้องตามอาการของผูป้ ่วยโดยไม่อคติ 4 หรือจัดยาตาม
ความรู้สกึ ของตนเอง
- ต้องรู้อาการของผู้ป่วยอย่างแจ้งชัดและรู้วิธีการทำให้ผู้ป่วยมีอาการดี
ขึ้น - ต้องไมร่ งั เกยี จอุจจาระปัสสาวะและเสมหะของผ้ปู ่วย
- ต้องรู้จักปลุกใจคนป่วยให้เข้าใจหลักธรรมะและใฝ่ธรรมะเป็นช่วงๆ
เป็นต้น มีการแนะนำให้ผู้ป่วยรักษาอาการของโรคโดยใช้สิ่งที่มีอยู่ในสมัยนั้น เช่น เนย
ใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อยรับประทานผักผลไม้แทนเนื้อสัตว์และการเดินจงกรม เป็นต้น
เนื่องจากว่าระบบสรีระร่างกายของมนุษย์มีค่า pH เป็นด่าง อาหารประเภทผักผลไม้
หรือปลาล้วนมีค่า pH เป็นด่างทั้งสิ้น จึงจะเหมาะสมต่อร่างกาย หากรับประทาน
อาหารที่มีค่า pH เป็นกรดซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์ที่ไม่ใช่ปลา (วัว หมู ไก่ เป็ด เป็นต้น)
เนย น้ำตาลทรายขาว นมววั เคร่อื งในสัตว์ ชีส นำ้ อดั ลม เปน็ ตน้ อาหารเหล่านล้ี ้วนเปน็
สาเหตุให้เกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกายมนุษย์ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และ
ก่อให้เกิดความผิดปกติ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง จนทำให้ร่างกายอ่อนแอ ไม่ปกติสุขในที่สุด
จึงเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจท่ีพระพุทธศาสนาให้ความสำคัญต่อการบริโภคแต่พอดี โดยก่อน
บริโภคอาหารต้องพิจารณาว่าอาหารที่เราจะบริโภคเป็นไปเพื่อสาระกา รดำรงชีพต่อ
การพัฒนาตนเองอย่างไร และพบในบรรพชิตหรือนักบวชพระพุทธศาสนามีวินัยสงฆ์
ห้ามบริโภคอาหารอันเป็นสารก่อโรคภัยไข้เจ็บ เช่น สุราเมรัย เนื้อสัตว์ต้องห้าม 10
125
ชนิด ห้ามบริโภคในเวลาวิกาลหรือเลยเที่ยงวัน เหล่านี้แสดงถึงอัจฉริยภาพของ
พระพทุ ธเจ้าท่ีทรงมองเห็นการณ์ไกลตอ่ ภัยคกุ คามในชีวิตมนุษย์
- ในทางพระพทุ ธศาสนาเชอ่ื ว่ากายและจติ มสี ่วนสัมพันธ์กันอยา่ งใกล้ชิด
“ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว” ใจสั่งการอย่างไรกายก็ต้องทำตามเสมอกายโดยอาศัยจิต
และจิตก็อาศัยกายต้องไปด้วยกันแยกกันเมื่อไรความตายก็มาเยือนทันที เพราะฉะน้ัน
หากช่วงเวลาใดของชีวิตสภาพจิตใจถูกโลกธรรมกระทบกระเทือนแล้ว ต้อง
ประคับประคองจิตใจไม่ให้ตกไปสู่อกุศลธรรมหรือนิวรณ์ 5 หากสภาพจิตใจไหลลงสู่
อกุศลธรรมหรือนิวรณ์ดังกล่าวแล้วย่อมฉุดร้ังให้ร่างกายทรุดโทรมลงไปด้วย ดังจะเห็น
ได้จากคนรกั ท่อี กหกั จากแฟน คนนอนไมห่ ลับจากทจุ ริตในท่ีทางาน เปน็ ต้น
- การทำวิปัสสนากรรมฐานในทางพระพุทธศาสนาเน้นให้เห็นสามัญ
ลักษณะ คือ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาหรือความไม่เที่ยง ทนอยู่สภาพเดิม
ตลอดเวลามิได้ มีการแปรเปลี่ยนในที่สุดก็แตกดับ มิใช่ตัวตนที่แน่นอนคงที่ตลอดไป
หากมนุษย์ฝึกจิตโดยใช้วิปัสสนากรรมฐานได้ถูกต้องแล้วย่อมเครื่องหมายความมั่นคง
ทางจิตใจไม่เลือนหายหรือลดน้อยถอยลงไปอย่างแน่นอน เพราะผู้ที่เจริญวิปัสสนา
กรรมฐานยอ่ มเป็นการฝกึ จิตใจให้เกดิ ปัญญา โดยวิปสั สนากรรมฐานเป็นแบบฝึกหัดของ
ชีวิตที่เหมาะสมมากสำหรับสังคมยุคดิจิตอลหรือยุคปัจจุบันนี้ที่ไม่ค่อยมีเวลาหรือถูก
กระแสสังคมให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนไม่มีเวลาเหมือนสมัยก่อน ฉะนั้นการฝึก
วิปัสสนากรรมฐานมีแบบฝึกหัดในชีวิตประจำวันเพียงให้ เห็นจิตอยู่ภายในจิตหรือ
ภายในกายเรา อย่าส่งจิตออกนอกเราหรือร่างกายเรา แล้วน้อมใจให้มาพิจารณากาย
และจิตภายในตัวเราโดยความเป็นไตรลักษณ์ดังที่แปลความหมายมาแล้วข้างต้น เพียง
เท่านี้ก็จะสามารถทำให้จิตใจของเรามั่นคงไม่หวั่นไหวต่อกระแสโลกธรรมมาก
กระทบกระเทือนชีวิตเราได้ เช่น หากวันหน่ึงเราถูกแฟนท้ิง หรือญาติเสียชีวิตกะทันหัน
ถ้าเราได้ฝึกวิปสั สนากรรมฐานมาก่อน เราก็จะไม่ทุกข์ใจจนทำให้ร่างกายทรุดโทรมตาม
ไปดว้ ย เพราะเราไดร้ ู้อยู่กอ่ นแลว้ (มีภมู คิ มุ้ กันทางจิตมากอ่ น) ว่า ทกุ สิง่ ทกุ อย่างบนโลก
ใบนี้ แม้กระทั่งตวั เรากเ็ อาไปไมไ่ ด้ ทุกคนตอ้ งวางไวใ้ ห้กบั โลกนี้ท้ังร่างกายและทรัพย์สิน
ที่อุตสาห์หามาทั้งชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างพิจารณาดีแล้วไม่มีใครเป็นเจ้าอย่างแท้จริง ไม่
สามารถบงั คบั บัญชาได้ แม้กระท่ังเจ้าของเรือนรา่ งกายของเราเองกไ็ ม่สามารถบังคบั ได้
ให้ลองพิจารณาดูให้ดี เช่น เราเคยเข้าใจว่าร่างกายนี้ของเรา เราเป็นเจ้าของ หากวัน
หนึ่งเราเกิดเป็นหวัดหรือป่วยด้วยโรคทางร่างกาย ให้เราลองบังคับบัญชาร่างกายนี้ว่า
เจา้ รา่ งกาย ขา้ เปน็ เจ้าของรา่ งกายนะ เจา้ ร่างกายจงทำตามคำสั่งของเราวา่ ให้หายป่วย
เดี๋ยวนี้ทันที เมื่อสิ้นคำสั่งปรากฏว่าร่างกายไม่ได้ทำตามเลย มีแต่จะดำเนินไปตามเหตุ
ปัจจัยอันเป็นสภาพของโรคนัน้ ๆ ตอ่ ไป เพราะฉะนน้ั ไม่ต้องหวงั ใจว่าสงิ่ ท่ีอยู่นอกตวั เรา
จะบังคับบญั ชาตามคำสั่งของเราได้ ท่กี ลา่ วมาทงั้ หมดนี้ เพราะทุกสิ่งทกุ อย่างไม่มีตัวตน