1
วจิ ยั ในชนั้ เรียน เร่ือง การพฒั นาการสร้างโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ
ของนักเรียนระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โดยใช้ชุดฝกึ ทักษะ
จดั ทำโดย
นางสาว ภาณินี ขบวน รหัสนกั ศกึ ษา 62031280134
นางสาว มรกต วงศ์ถา รหสั นกั ศกึ ษา 62031280136
นางสาว สุรดา แสงปญั ญา รหสั นกั ศึกษา 62031280154
นางสาว สุรสั วดี เขม็ ทอง รหัสนักศกึ ษา 62031280155
สาขาการประถมศึกษา
กล่มุ เรียน 02
อาจารย์ผสู้ อน
อาจารย์ อิสระ ทับสีสด
คณะครุศาสตร์บัณฑิตชน้ั ปที ี่ 3 รายวชิ า วิจยั และสมั มนาปัญหาในชน้ั เรียน
ระดบั ประถมศึกษา รหสั วชิ า 1104903 ภาคเรยี นที่ 2
ปกี ารศกึ ษา 2564 มหาวิทยาลัยราชภฏั อุตรดติ ถ์
ก
ชอ่ื วจิ ัย การพัฒนาการสร้างโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ของนักเรียนระดบั ชั้นประถมศึกษา
ปที ่ี 2 โดยใช้ชดุ ฝึกทกั ษะ
ผูว้ จิ ยั นางสาว ภาณนิ ี ขบวน รหสั นักศกึ ษา 62031280134
นางสาว มรกต วงศถ์ า รหสั นักศกึ ษา 62031280136
นางสาว สรุ ดา แสงปัญญา รหัสนักศกึ ษา 62031280154
นางสาว สุรสั วดี เขม็ ทอง รหสั นักศกึ ษา 62031280155
สาขาวิชา การประถมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อตุ รดติ ถ์
ปีการศึกษา 2564
บทคัดย่อ
การวจิ ัยครง้ั นี้กระทำกับกลุม่ เปา้ หมายเดียวทีถ่ ูกคดั เลือกโดยวิธีเจาะจงจากนักเรียนระดบั ช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบ้านเหล่า อำเภอสูงเม่น จังหวดั แพร่ วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัยเพือ่ 1) พัฒนาชดุ ฝึก
ทกั ษะ กิจกรรมการเรยี นร้แู บบสาธติ ร่วมกับเทคนคิ Think-Pair-Share เรือ่ ง การพฒั นาการสร้างโจทยป์ ัญหา
การบวก และการลบ 2) เพ่ือทดลองและศึกษาผลการทดลองใชช้ ดุ ฝึกทักษะ กิจกรรมการเรียนรูแ้ บบสาธิต
รว่ มกบั เทคนิค Think-Pair-Share เร่อื ง การพัฒนาการสรา้ งโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ของนักเรียนช้นั
ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 โดยใช้ชุดฝึกทักษะ และ 3) เพ่ือศึกษาระดับความพงึ พอใจของนักเรยี นระดับชน้ั
ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 ที่มีต่อการทดลองใชช้ ดุ ฝึกทักษะ กิจกรรมการเรียนรู้แบบสาธติ ร่วมกบั เทคนิค Think-
Pair-Share จดั กิจกรรมการเรียนรเู้ รอ่ื งพฒั นาการสรา้ งโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ ของนักเรยี นระดับชนั้
ประถมศกึ ษาปีที่ 2 โดยใช้ชุดฝึกทักษะ ระเบยี บวิธกี ารวิจยั เปน็ แบบก่ึงทดลอง เคร่อื งมอื การวิจัยซึง่ ผ่านการหา
ประสิทธิภาพแล้วประกอบดว้ ย แผนการสอนการเรยี นรู้ ชุดฝึกทักษะ ประเมินความเทีย่ งตรงเชงิ เนื้อหาของ
แบบทดสอบชุดฝึกทักษะ ประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบวัดประเมินความพึงพอใจ แบบประเมินความ
เหมาะสมของชดุ ฝึกทักษะ และ แบบวดั ระดบั ความพงึ พอใจ วเิ คราะหข์ ้อมลู ด้วยคา่ เฉลย่ี ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
และ Paired - Sample t Test ผลการวจิ ัยพบวา่
ชุดฝึกทกั ษะ สรา้ งขึน้ ตามแนวคดิ ทฤษฎี หลกั การ ชดุ ฝึกทักษะ กิจกรรมการเรียนรูแ้ บบ
สาธิต รว่ มกับเทคนคิ Think-Pair-Share น้ัน ภายหลังทดลองใช้จดั กิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ ง การพัฒนาการ
สร้างโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ของนกั เรียนระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 2 โดยใชช้ ดุ ฝกึ ทกั ษะ เพื่อการ
พัฒนาทักษะดา้ นการสร้างโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ แลว้ นำผลมาเปรียบเทยี บกับทักษะด้านพัฒนาการ
สร้างโจทยป์ ญั หา การบวก และการลบ ท่ีอยู่เดิมด้วยแบบทดสอบก่อน – หลังการใชน้ วตั กรรม ด้วยวธิ ีการ
ดังกล่าวพัฒนาทักษะด้านการสรา้ งโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ ของกลุ่มตวั อย่างทีม่ ีอยู่เดมิ อยทู่ ร่ี ะดับ มาก
เมื่อเทยี บกับเกณฑ์ของ สพฐ.และจากการทดลองใช้ชุดฝกึ ทกั ษะ วธิ กี ารของกิจกรรมการเรียนรู้
ข
บทคดั ย่อ (ต่อ)
แบบสาธิต ร่วมกบั เทคนิค Think-Pair-Share อย่ทู ่รี ะดบั มาก เม่ือเทียบกับเกณฑ์เดียวกัน และเมอ่ื วิเคราะห์
เปรียบเทยี บด้วย Paired –Sample t Test ชุดฝึกทักษะ วิธกี ารของกิจกรรมการเรียนรแู้ บบสาธิต รว่ มกับ
เทคนิค Think-Pair-Share สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 สูงกวา่ ที่มีอยเู่ ดิมอย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ิที่ 0.05 หรือท่ี
ระดับความเชื่อมัน่ 95 % มีความพึงพอใจต่อเฉพาะการทดลองใช้ ชดุ ฝึกทักษะ วธิ ีการของกิจกรรมการเรียนรู้
แบบสาธติ ร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share ทร่ี ะดบั มากท่สี ุด
ค
กติ ตกิ รรมประกาศ
วิจัยในชั้นเรยี น เร่อื ง การพัฒนาการสร้างโจทยป์ ัญหา การบวก และการลบ ของนักเรยี นระดับชน้ั
ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โดยใช้ชุดฝึกทกั ษะ ฉบบั นี้สำเรจ็ ลุล่วงไปไดด้ ้วยดี เนือ่ งจากได้รับความกรุณาให้คำปรกึ ษา
คำแนะนำทเ่ี ปน็ ประโยชน์ ตลอดจนคอยช่วยเหลือแก้ไขขอ้ บกพร่องซงึ่ เปน็ ประโยชน์ต่องานวจิ ัยนจ้ี ากอาจารย์
ทป่ี รึกษา วจิ ยั ในช้ันเรยี น อาจารยอ์ ิสระ ทบั สีสด ผู้วจิ ยั รูส้ กึ ซาบซ้งึ ในความกรณุ าเป็นอยา่ งยิง่ และ ขอกราบ
ขอบพระคุณเปน็ อยา่ งสูงมา ณ ที่นี้
ขอขอบพระคุณ ผศ.ดร.พิมผกา ธรรมสทิ ธิ์ อาจารย์ สุภตั รา สาขา และอาจารยด์ ร.รงุ่ ทิวา ปราบริปู
ทก่ี รุณาเป็นผ้เู ชยี่ วชาญประเมินความเที่ยงตรงเชงิ เน้ือหาของเครื่องมอื การวิจยั คำแนะนำ และเสยี สละเวลา
สำหรบั การตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมือ
ขอขอบพระคุณ คุณครจู งจติ ร พันธยุทธ์ ครชู ำนาญการพิเศษ (ค.ศ.3) คณุ ครู ครรชติ จนั ทรก์ วี ครู
ชำนาญการพเิ ศษ (ค.ศ.3) และคณุ ครดู วงเดอื น อานิชสรรย์ ครูชำนาญการพเิ ศษ (ค.ศ.3) ท่กี รุณาเปน็
ผูเ้ ชยี่ วชาญประเมนิ ความเหมาะสมของนวตั กรรม
ขอกราบขอบพระคุณพ่อแม่และครอบครัวทคี่ อยสนับสนุนและให้กำลงั ใจ คอยชว่ ยเหลือ สนับสนุน
เปน็ อยา่ งดี
สุดท้ายน้ีหากผลสำเร็จของวิจัยในช้นั เรียน เล่มนีม้ สี ิ่งใดเปน็ ประโยชนท์ างการศกึ ษาหรือ การนำไปใช้
จริง ผ้วู ิจัยขอมอบคุณค่าและคณุ ประโยชน์ทม่ี าจากงานวิจัยฉบับนี้ทั้งหมดแดผ่ ู้มีพระคุณทกุ ทา่ น
คณะผูจ้ ัดทำ
ง
สารบญั
หน้า
บทคัดย่อ……………………………………………………………………………………………………………………...ก
กติ ติกรรมประกาศ......................................................................................................................ค
สารบญั …………………………………………………………………………………………………………………….…..ง
สารบัญตาราง……………………………………………………………………………………………………………....ฉ
สารบัญรูป…………………………………………………………………………………………………………………....ช
บทท่ี 1 บทนำ............................................................................................................................1
ความสำคัญและความเปน็ มาของการวิจยั …………………………………………………………………..1
คำถามการวจิ ยั ……………………………………………………………………………………………………….4
วตั ถุประสงค์การวิจยั ……………………………………………………………………………………………….4
ผลและประโยชนท์ ่คี าดว่าจะได้รับ…………………………………………………………………………….5
ขอบเขตการวิจัย……………………………………………………………………………………………………..5
นยิ ามศัพท์เฉพาะ…………………………………………………………………………………………………….6
กรอบแนวคิดการวิจยั ………………………………………………………………………………………………8
สมมติฐานการวจิ ัย………………………………………………………………………………………………….8
บทที่ 2 การทบทวนเอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้อง………………………………………………………...10
การวิจัยในชัน้ เรียน………………………………………………………………………………………………...10
ความจำเป็นท่ีครูตอ้ งทำวจิ ัยในช้ันเรยี น…………………………………………………………………….11
นวตั กรรมทางการศึกษา………………………………………………………………………………………....12
เคร่ืองมือการวจิ ยั …………………………………………………………………………………………………...21
ระดบั ความพึงพอใจ………………………………………………………………………………………………..24
ผลสมั ฤทธ์กิ ารเรียนรู้……………………………………………………………………………………………....27
งานวจิ ัยท่เี กย่ี วข้อง……………………………………………………………………………………………….…28
จ
สารบญั (ต่อ)
หน้า
บทท่ี 3 วธิ ีดำเนินการวจิ ยั …………………………………………………………………………………………………..33
ระเบียบวิธีวจิ ยั …………………………………………………………………………………………………………….33
แหล่งข้อมลู การวิจัย……………………………………………………………………………………………………..33
เครอื่ งมอื รวบรวมข้อมลู ………………………………………………………………………………………………..36
การดำเนินการรวบรวมข้อมูล………………………………………………………………………………………...40
การวิเคราะห์ข้อมลู ………………………………………………………………………………………………………36
การนำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู …………………………………………………………………………….…..41
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………………………….…42
ผลการพฒั นาชุดฝึกทักษะการสรา้ งโจทย์บวกและการลบ……………………………………………….…42
การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์การเรียนรู้………………………………………………………………………………….….44
ผลการพัฒนาชุดฝกึ ทักษะการสร้างโจทยป์ ญั หาการบวกและการลบ……………………………….….47
บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ……………………………..……………………………..……………….…53
สรปุ ผลการวิจัย………………………………………………………………………………………………………….…53
อภปิ รายผลการวจิ ยั ………………………………………………………………………………………………….…..53
ขอ้ เสนอแนะ………………………………………………………………………………………………………………..56
บรรณานกุ รม…………………………………………………………………………………………………………………….57
ภาคผนวก…………………………………………………………………………………………………………………………59
ภาคผนวก ก รายนามผเู้ ชีย่ วชาญตรวจสอบเครอ่ื งมอื ในการวจิ ัย………………………………………..60
ภาคผนวก ข หนงั สอื ทใ่ี ช้ในวิจยั ……………………………………………………………………………………..62
ภาคผนวก ค การหาคุณภาพเครอ่ื งมือ…………………………………………………………………………….75
ภาคผนวก ง เครือ่ งมอื ที่ใช้ในการวิจัย……………………………………………………………………………..83
ภาคผนวก จ เอกสารเพ่ิมเติม…………………………………………………………………………………………128
ประวตั ิยอ่ ผู้วิจยั ………………………………………………………………………………………………………………….160
ฉ
สารบัญตาราง
ตาราง หนา้
1 ตารางแสดงจำนวนผู้เชย่ี วชาญและค่าการยอมรบั ข้ันต่ำ…………………………………………………..19
2 ตารางท่ี 1: แสดงผลการประเมนิ ความเหมาะสมของชุดฝกึ ทกั ษะ……………………………………..43
3 ตารางที่ 2: แสดงคะแนนผลสมั ฤทธ์ิการเรยี นรู้…………………………………………………………….....44
4 ตารางที่ 3: แสดงผลการเปรยี บเทยี บระดับผลสัมฤทธ์ิการเรียนรู้…………………………………….…46
5 ตารางท่ี 4: แสดงคะแนนจากทำแบบทดสอบก่อน และ หลังการทดลอง………………………….…47
6 ตารางที่ 5: แสดงผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อน-หลงั การทดลอง…………………………….……...49
7 ตารางท่ี 6: แสดงระดับความพงึ พอใจของนักเรียนระดับชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 2…………...……...50
ช
สารบญั ตาราง
รปู ภาพ หน้า
กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ………………………………………………………………………………………………..8
1
บทที่ 1
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมาของการวจิ ัย
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 บญั ญตั ิความตามมารตา 22 ว่า การจัดการศึกษาต้อง
ยึดหลักวา่ ผเู้ รียนทุกคนมีความสามารถเรียนร้แู ละพฒั นาตนเองได้ และถือวา่ ผ้เู รียนมีความสำคัญท่ีสุด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องสง่ เสริมให้ผเู้ รียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศกั ยภาพ ตามมาตา
24 ว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ ใหส้ ถานศกึ ษาและหน่วยงานท่เี ก่ียวข้องดำเนินการ (1) บญั ญัติวา่ จดั
เนือ้ หาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผเู้ รยี น โดยคำนงึ ถึงความแตกตา่ ง
ระหวา่ งบคุ คล และ (5) บญั ญัติวา่ ผู้สอนสามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดล้อม สอ่ื การเรียนและอำนวยความ
สะดวกเพ่ือให้ผูเ้ รยี นเกดิ การเรยี นรแู้ ละมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใชก้ ารวจิ ยั และ มาตรา 30 วา่ ให้
สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มปี ระสทิ ธิภาพรวมทง้ั การส่งเสริมใหผ้ ูส้ อนสามารถวจิ ัยเพอ่ื
พฒั นาการเรยี นรู้ทีเ่ หมาะสมกบั ผ้เู รยี นในแตล่ ะระดับการศึกษา สง่ เสริมให้ผสู้ อนสามารถวิจัย เพ่อื พฒั นาการ
เรียนรเู้ หมาะสม กับนักเรยี น ในแต่ละสถานศึกษา จากมาตราดังกล่าว วิธกี ารท่ีผู้สอนจดั กจิ กรรม การเรยี นรู้
สาระเรียนใดๆ วธิ ีและเทคนิคการสอนวิธกี าร เม่ือทำการวดั และประเมินผล จำนวนนักเรียนทง้ั ช้นั เรยี น
จำนวนนักเรียนส่วนมากของช้ันเรยี น หรอื นกั เรยี นจำนวนส่วนนอ้ ยมีผลสัมฤทธติ์ ำ่ กว่าเกณฑข์ องผ้สู อน
ผลสัมฤทธ์ิการเรยี นรู้ของนกั เรียนไมผ่ า่ น และถูกตัดสนิ ตก ดังน้นั การเรียนรู้นั้น ผู้สอนต้องตระหนักที่นักเรยี น
พัฒนาการเรียนรู้ อาจเพราะ วิธสี อนและเทคนิคการสอนท่ีผสู้ อนนำกิจกรรมการเรียนรไู้ ม่สอคคล้องกับความ
ถนัด ความสนใจของนักเรียน การทำวิจัยของผ้วู จิ ยั มหี ลักฐานยนื ยันวา่ วธิ ีสอน และเทตนิคใหม่ ที่ผูว้ จิ ัยนำมา
จักกจิ กรรมการเรยี นรู้ มีการพฒั นาการเรยี นรูห้ รือไร เพ่ือเปรียบเทยี บเทคนิคการสอนเดิม จงึ ทำวิจยิ เพื่อ
พฒั นาการสอนและแก้ปัญหานกั เรียน
ค 1.1 ป.2/4 มาตรฐาน เขา้ ใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การดำเนินการ
จำนวนผลที่เกิดขน้ึ จากการดำเนนิ การ สมบัตขิ องการดำเนินการและนำไปใช้ ตวั ชีว้ ัด หาคา่ ของตวั ไม่ทราบคา่
ในประโยคสญั ลกั ษณแ์ สดงการบวกและประโยคสญั ลักษณ์แสดงการลบของจำนวนไมเ่ กิน 1,000 และ 0
สอดคล้องกบั สาระการเรียนรู้แกนกลาง คือ การแก้โจทย์ปัญหาและสร้างโจทยป์ ัญหา พร้อมหาคำตอบ
(สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน. 2551) สาระการเรียนรู้แกนกลางกำหนดอย่ใู นหนงั สือ รายวิชา
พนื้ ฐาน คณิตศาสตร์ ป.2 เล่ม 1 โดยมีชื่อเรอื่ ง การสร้างโจทย์ปญั หาการบวกและโจทยป์ ัญหาการลบ หนงั สอื
ดังกล่าวจัดทำโดยสถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยีหรอื สสวท. (สสวท. 2554)
การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้รายวิชาคณิตศาสตร์ ให้กับนักเรียนระดับช้นั ปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นเหล่า ท่เี คย
เปน็ มาพบวา่ เฉพาะเรือ่ ง ค 1.1 ป.2/4 ใหน้ ักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 จะจัดสาระการเรยี นรตู้ ามหนังสือ
เรียนรายวิชา รายวชิ าพืน้ ฐาน คณิตศาสตร์ ป.2 เล่ม 1 กล่มุ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง การสร้างโจทย์
ปญั หาการบวกและโจทยป์ ญั หาการลบ การสอนนั้นเทคนิคการสอนวธิ เี ดมิ ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ดังกล่าว
2
จะจัดกิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ารเรียนตามหนังสือ สว่ นการประเมนิ ผลการเรยี นรู้จะประเมนิ 3 ด้านรวมกัน
คอื ดา้ นความรู้ (K) ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) และด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A) และกำหนดระดบั ผล
การการเรียนรทู้ ีป่ ระเมินเป็น 4 ระดบั ตามเกณฑป์ ระเมนิ ของสำนกั งานการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน คอื ระดบั ดเี ยยี่ ม
มรี อ้ ยละของคา่ คะแนนเฉลี่ย 80 – 100 ระดับดี รอ้ ยละ 65 – 79 ระดับพอใช้(ผา่ น) ร้อยละ 50 -64 และ
ระดับตอ้ งปรับปรงุ (ไม่ผา่ น) ตำ่ กว่าร้อยละ 50 สำหรบั เกณฑก์ ารประเมนิ ผา่ นเฉพาะรายบุคคลน้ัน นกั เรียนแต่
ละคนต้องมีผลการเรยี นรตู้ ั้งแต่ระดับ ดี สว่ นเกณฑก์ ารประเมินผา่ นท้งั ช้ันเรียนนั้น ต้องมีนกั เรยี นอย่างน้อย
รอ้ ยละ 70 ของจำนวนทั้งหมด มผี ลการเรยี นรตู้ ัง้ แตร่ ะดบั ดี จากการจดั กิจกรรมการเรียนรเู้ รือ่ ง การสรา้ ง
โจทย์ปัญหาการบวกและโจทย์ปัญหาการลบ โดยวธิ ีสอนและเทคนิคการสอนวธิ เี ดิมให้กับนกั เรยี น ระดับชัน้
ประถมศกึ ษาปีที่ 2 กอ่ นปีการศึกษา 2564 พบว่า การวัดและประเมินผลการเรียนร้ขู องนักเรยี น เรอ่ื ง การ
สรา้ งโจทย์ปัญหาการบวกและโจทย์ปญั หาการลบ ไมบ่ รรลุตามจดุ ประสงคข์ องผูส้ อนที่กำหนดไว้ การทำ
ความเขา้ ใจ การใชว้ ิธแี ละเทคนคิ การสอนวิธเี ดิมไม่สามารถส่ือหมายให้มีความเข้าใจตรงกนั ระหว่างผู้สอนกบั
นกั เรียน
จากการวัดและประเมนิ ผลรวมท้ังช้ันเรียนเรื่องการสร้างโจทยป์ ญั หาการบวกและโจทยป์ ัญหาการลบ
นกั เรยี นระดับชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 2 ตามเกณฑ์การประเมินผ่านพบวา่ นกั เรียนท่ีมผี ลการเรยี นรรู้ ะดบั ดี คดิ
เป็นร้อยละ 66.00 ซงึ่ ตำ่ กวา่ เกณฑ์ประเมินผา่ นทกี่ ำหนดคือร้อยละ 70 จากการสมั ภาษณ์นักเรียนพบว่า มผี ล
การเรยี นต่ำกวา่ เกณฑ์ท่ผี ู้กำหนด สาเหตทุ ีท่ ำใหผ้ ลการเรียนรูต้ ำ่ กว่าเกณฑก์ ารประเมนิ ผ่านที่กำหนดเปน็
เพราะว่า นักเรยี นส่วนมากไม่เขา้ ใจเน้อื หาการสร้างโจทยป์ ัญหาการบวกและโจทย์ปัญหาการลบ มีการสบั สน
ระหวา่ งการสร้างโจทย์ปัญหาการบวกและการลบ เชน่ นางจนั ทร์รัศมี กนกรัศมี (ครูประจำชัน้ พฤษจิกายน
2564) ให้เหตผุ ล สงั เกตจากแบบฝกึ หดั นกั เรียน พบว่า นักเรยี นส่วนมาก ไม่เข้าใจในเร่ือง การสรา้ งโจทย์
ปญั หาการบวกและโจทย์ปัญหาการลบ สร้างอย่างไร ใหถ้ ูกต้องตามหลักการสรา้ งโจทย์ปญั หาการบวกและการ
ลบ เชน่ เดยี วกบั ด.ญ.ชตุ กิ าญจน์ แววนลิ (นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 2564) ท่ีกล่าวว่า ทำไมการสรา้ ง
โจทยป์ ญั หา มีหลายข้นั ตอน และสังเกตอยา่ งไร ว่าเปน็ โจทย์การบวกหรือโจทยล์ บ และเชน่ กับ ด.ช.กิตติพงษ์
วงค์มาก (นักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 2 2564)ที่กล่าวว่า ทำไมการสร้างโจทยท์ ยี่ าว ซบั ซ้อนหลายขั้นตอน
และไมม่ ีความน่าสนใจ สรุปไดว้ า่ การกิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง การสรา้ งโจทย์ปัญหาการบวกและโจทยป์ ัญหา
การลบ ด้วยวธิ ีการสอนและเทคนคิ แบบเดิมไม่สอดคลอ้ งกับความถนดั และความสนใจของนกั เรยี น ทำให้
นักเรียนมกี ารเรยี นร้ตู ่ำ
จากสาเหตขุ องปญั หาและความสำคญั ของการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอื่ งการสรา้ งโจทย์ปัญหาการ
บวกและโจทย์ปญั หาการลบ นักเรยี นระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 2 ดงั กล่าวก่อนหน้า ผู้วิจยั จงึ ตอ้ งทำการวิจยั
เพ่ือพฒั นา/ปรบั ปรงุ ผลการเรียนรู้เร่อื งดังกล่าวของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบา้ นเหลา่
อำเภอสูงเม่น จงั หวัดแพร่
วธิ กี ารสอนสาธิต คือ กระบวนการทผ่ี ้สู อนใชใ้ นการช่วยให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรตู้ ามวตั ถุประสงคท์ ี่
กำหนด โดยการแสดงหรือทำสง่ิ ที่ต้องการให้ผูเ้ รียนไดเ้ รยี นรู้ ให้ผู้เรียนสังเกตดูแลว้ ให้ผเู้ รียนซกั ถาม อภปิ ราย
และสรุปการเรียนรู้ท่ีไดจ้ ากการสงั เกตการสาธิต ทิศนา แขมมณี (2550 : 330) อธบิ ายการสาธิตเปน็ การแสดง
3
ใหด้ ู ซึง่ อาจเป็นการแสดงใหเ้ หน็ ถึงขัน้ ตอน วิธกี าร ผลทจี่ ะเกิดขึน้ หรือทา่ ทางต่าง ๆ โดยอาจทำในรปู ของการ
สาธิตทดลอง หรือสาธิตปฏิบัติ วิธีสอนแบบสาธิต อาจนำไปใชร้ ว่ มกบั วิธสี อนแบบอ่นื ได้ เช่น สาธติ
ประกอบการบรรยาย สาธิตประกอบการอธิปราย เปน็ ต้น ไสว ฟกั ขาว (2544 : 98) การสอนดว้ ยวธิ ีการสาธิต
เป็นท่นี ิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในหมู่ผสู้ อน ไมว่ า่ จะเปน็ การสอนนกั เรียนในระดบั ใด โดยเฉพาะเม่ือผู้สอน
พบวา่ การอธิบายบทเรยี นเพียงอย่างเดียวมีข้อจำกัด กลา่ วคือผ้เู รยี นเกิดความไม่เข้าใจอย่างถอ่ งแทใ้ น
เน้อื หาวิชานนั้ ๆ ไม่เกิดมโนมติหรอื สามารถสรุปเน้ือหาท่ีเรียนไปแลว้ ได้ หลังจากท่ผี ้สู อนสอนเนื้อหาดังกลา่ ว
จบแล้ว (สิรวิ รรณ ศรพี หล และพันทิพา อทุ ัยสขุ , 2540 : 79) สรุปได้ว่า การสอนแบบสาธิตเป็นกระบวนการ
สอนทีท่ ำใหผ้ ู้เรียนไดเ้ ห็นภาพและขนั้ ตอน วธิ ีการต่างๆ เพ่ือให้นักเรยี นไดร้ บั ประสบการณ์ตรงจากการสังเกต
และการซักถาม ทำให้ ผู้เรยี นเขา้ ใจในบทเรยี น และผูเ้ รียนได้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถปุ ระสงคท์ ี่กำหนดไว้
ตัวอยา่ งวจิ ยั เชน่ วิภาวี จำปาแกว้ (2560) ทำการวจิ ยั เรอ่ื ง การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เรอ่ื ง การ
บาดเจบ็ และการปฐมพยาบาล กบั นักเรียนระดับชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนบ้านท่าขอนยาง โดยทดลอง
ใชแ้ บบสาธิต ผลการวจิ ยั พบว่า นักเรยี นมผี ลการเรยี นรู้ทร่ี ะดบั α .05
เทคนิค Think-Pair-Share จะมีขน้ั ตอนสำคัญ ดงั น้ี ขน้ั ที่ 1 แบ่งผูเ้ รียนเปน็ กล่มุ เล็กๆ แบบคละ
ความสามารถกลุ่มละ 2 - 4 คน ขน้ั ที่ 2 ครูต้ังประเดน็ สัน้ ๆ หรือโจทยค์ าํ ถาม ข้ันท่ี 3 ผเู้ รียนแตล่ ะคนคดิ หา
คําตอบด้วยตนเองสัก 1-2 นาที ข้นั ท่ี 4 ให้ผู้เรยี นจบั คู่กับเพ่อื นแลกเปลี่ยนความคิดผลดั กนั เล่าความคิด หรอื
คาํ ตอบของตนให้เพื่อนฟงั จนไดข้ ้อสรุปทีเ่ หน็ พ้องกนั ขนั้ ที่ 5 ผเู้ รยี นคนใดคนหนึ่งสามารถอธิบายคําตอบให้
เพอ่ื นฟงั ทั้งช้ันไดห้ รือ ครูสุม่ บางคมู่ ารายงานหนา้ ชน้ั เรียน ขจรศกั ดิ์ หลักแก้ว (2551) ตัวอยา่ งวจิ ยั รชั นี ภู่
พชั รกลุ (2551) ทำการวิจัยเรอื่ ง การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นคณติ ศาสตร์ของนกั เรยี น กับนกั เรียน
ระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนชมุ ชนบ้านปาดงั โดยทดลองใชเ้ ทคนิคเพื่อนคคู่ ิด ผลการวจิ ัยพบวา่
นกั เรยี นมผี ลการเรียนรทู้ รี่ ะดับ α .01
ชุดฝกึ ทกั ษะชว่ ยสอนสามารถสนองความต้องการในการเรยี นรู้ทคี่ ำนึงถึงความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล
ไดอ้ ย่างดี และเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นตามเวลาทสี่ ะดวก ตามความสนใจของผเู้ รยี น และทีส่ ำคัญท่ีสุดคือ
ชดุ ฝกึ ทักษะชว่ ยสอนมีการประเมนิ ผลในตนเอง เพ่ือให้ผูเ้ รียนเหน็ ผลสำเร็จ เห็นความเจรญิ ก้าวหน้าของตนใน
การเรียนรใู้ นแต่ละตอนแต่ละหน่วยการเรยี นสามารถเรียนไดด้ ้วยตนเอง นอกจากนี้ชดุ ฝึกทกั ษะสอนยัง
สามารถชว่ ยแกป้ ญั หาการขาดแคลนผู้สอนได้ ดว้ ยเพราะสามารถใชส้ อนแทนครูและสอนผู้เรียนไดจ้ ำนวน
มากๆในเวลาเดยี วกัน (บรู ณะ สมชยั 2542:14) ตัวอยา่ งวจิ ัย ธญั ญก์ มน โพธพ์ิ นั ธ์ (2562) ทำการวจิ ยั เรือ่ ง
การศึกษาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าคณติ ศาสตร์ของนกั เรยี น ระดับชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนชมุ ชนวัด
โพธ์ทิ อง โดยทดลองใช้แบบฝึกหัดเสรมิ ทักษะผลการวจิ ยั พบวา่ นกั เรยี นมีผลการเรยี นรู้ทีร่ ะดับ α .05 จากผล
การทบทวนตัวอย่างงานวิจัยทีจ่ ดั กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้ ชุดฝึกทักษะ เมอ่ื วิเคราะห์โดยภาพรวมนักเรียนมี
ระดบั ผลการเรยี นรทู้ ง้ั 3 ด้านรวมกนั คือ ดา้ นความรู้ (K) ด้านผลผลติ /กระบวนการ (P) และดา้ นคณุ ลักษณะ
อนั พึงประสงค์ (A) ทร่ี ะดับดี
4
จากทีก่ ลา่ วมาจะเห็นวา่ เมื่อวิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ ของวธิ ีการสอนแบบสาธติ เทคนิค Think-Pair-
Share โดยใช้ชดุ ฝึกทกั ษะนนั้ อีกท้งั ยังมีผลงานวิจัยสนับสนนุ ให้เหน็ ว่า การจดั กิจกรรมการเรยี น ชดุ ฝึกทกั ษะ
ท่พี ฒั นาข้นึ สามารถทำใหน้ กั เรยี นเรียนรู้ส่งิ ท่ีเปน็ นามธรรมมาสคู่ วามเปน็ รปู ธรรมมีผลต่อการพัฒนา
ผลสมั ฤทธ์กิ ารเรียนร้แู ละความพึงพอใจของนักเรยี น ดงั นัน้ จากสภาพปัญหาทน่ี ักเรยี นระดบั ช้นั ประถมศึกษา
ชัน้ ปีที่ 2 การเรยี นรู้เรื่อง การพฒั นาการสรา้ งโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่
กำหนดข้นึ ดว้ ยบทบาทหน้าท่ขี องผ้สู อน ตามพ.ร.บ. การศกึ ษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 มาตรา ท่ี 22 มาตรา ที่ 24
วงเล็บ 5 มาตราท่ี 30 และจากสภาพของปัญหาและความสำคญั ของการจัดกิจกรรมการเรยี นรเู้ รอื่ ง การสร้าง
โจทย์ปัญหา การบวก และการลบ ผูส้ อนจงึ มีแนวคิดทจี่ ะทำวิจยั การพัฒนาการสรา้ งโจทย์ปัญหา การบวก
และการลบ ของนักเรียนระดับช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 2 โดยใช้ชุดฝึกทักษะ ผลการวจิ ยั จะทำให้นักเรียนชน้ั
ประถมศึกษาปที ่ี 2 มผี ลการเรียนร้เู รือ่ ง การสร้างโจทยป์ ญั หา การบวก และการลบ ดังกลา่ ว
คำถามการวิจัย
1. พัฒนาชดุ ฝึกทักษะ กิจกรรมการเรียนรู้แบบสาธิต ร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share เรือ่ ง การ
พัฒนาการสร้างโจทยป์ ญั หา การบวก และการลบ ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใชช้ ุดฝกึ ทักษะ
โรงเรียนบ้านเหลา่ อำเภอสงู เม่น จังหวัดแพร่ ทำอยา่ งไร
2. ผลการทดลองใช้ชุดฝกึ ทักษะ กิจกรรมการเรียนรู้แบบสาธิต ร่วมกับเทคนคิ Think-Pair-Share
เรอ่ื ง การพฒั นาการสรา้ งโจทยป์ ัญหา การบวก และการลบ ของนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใชช้ ดุ ฝึก
ทักษะ โรงเรียนบา้ นเหล่า อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ เป็นอย่างไร
3. ระดบั ความพึงพอใจของนักเรียนระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบ้านเหลา่ อำเภอสูงเม่น
จงั หวัดแพร่ ทีม่ ตี ่อการทดลองใช้ชดุ ฝึกทกั ษะ กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบสาธติ รว่ มกบั เทคนคิ Think-Pair-Share
จดั กิจกรรมการเรียนรู้เรือ่ งพัฒนาการสรา้ งโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ เปน็ อยา่ งไร
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. พัฒนาชุดฝึกทักษะ กิจกรรมการเรียนรู้แบบสาธิต รว่ มกับเทคนคิ Think-Pair-Share เรื่อง การ
พฒั นาการสรา้ งโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ของนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใช้ชุดฝึกทกั ษะ
โรงเรยี นบา้ นเหล่า อำเภอสูงเมน่ จังหวัดแพร่
2. เพอื่ ทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้ชดุ ฝกึ ทักษะ กิจกรรมการเรียนร้แู บบสาธิต ร่วมกับเทคนิค
Think-Pair-Share เร่ือง การพฒั นาการสรา้ งโจทยป์ ญั หา การบวก และการลบ ของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษา
ปีท่ี 2 โดยใช้ชดุ ฝึกทกั ษะ โรงเรียนบ้านเหล่า อำเภอสงู เม่น จังหวดั แพร่
3. เพ่อื ศกึ ษาระดบั ความพึงพอใจของนักเรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบ้านเหล่า อำเภอ
สงู เม่น จงั หวดั แพร่ ทีม่ ีตอ่ การทดลองใช้ชุดฝึกทักษะ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบสาธิต ร่วมกับเทคนิค Think-
Pair-Share จดั กิจกรรมการเรยี นร้เู ร่ืองพัฒนาการสรา้ งโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ของนักเรียน
ระดบั ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใช้ชุดฝกึ ทกั ษะ
5
ผลและประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รับ
1. มีชุดฝึกทักษะที่ใช้ กิจกรรมการเรียนรแู้ บบสาธิต รว่ มกับเทคนิค Think-Pair-Share สำหรับการจดั
กจิ กรรมเรียนรู้เร่ือง การสร้างโจทยป์ ัญหา การบวก และการลบ ใหก้ ับนักเรียนระดบั ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
โรงเรยี นบ้านเหล่า
2. นักเรยี นระดับชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 2 ทง้ั ช้ันเรียน โรงเรียนบา้ นเหล่า มีการพฒั นาเรียนรู้ เรอื่ งการสร้าง
โจทยป์ ัญหา การบวก และการลบ ท่คี ุณภาพระดับดี ข้นึ ไป เม่ือใช้ชุดฝึกทักษะ กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบสาธติ
ร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share จัดกิจกรรมการเรียนรู้แทนวิธีสอนและเทคนิคการสอนเดิม
3. ความสำเร็จของงานวจิ ยั สามารถใชเ้ ป็นแนวทางการพฒั นาเรยี นรู้ ของนักเรียนกลุ่มสาระการเรยี นรู้อ่ืนๆ
ขอบเขตการวิจยั
1. ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล
1.1 กลุ่มเปา้ หมาย คือนักเรียนระดับช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านเหล่า อำเภอสงู เมน่
จังหวดั แพร่ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน 20 คน ใชว้ ิธกี ารคดั เลอื กแบบเจาะจง
2. ขอบเขตดา้ นตวั แปร
2.1 ตวั แปรอิสระ
1. การจัดกิจกรรมการเรยี นรูเ้ ร่ืองการพัฒนาการสรา้ งโจทยป์ ัญหา การบวก และการลบ ของ
นักเรยี นระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรยี นบ้านเหล่า อำเภอสงู เมน่ จังหวดั แพร่ โดยทดลองใช้วิธีสอนและ
เทคนคิ การสอนวิธีเดมิ
2. เรื่องการพัฒนาการสร้างโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ของนักเรียนระดับช้นั
ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบ้านเหลา่ อำเภอสงู เม่น จงั หวัดแพร่ โดยทดลองใช้การพัฒนาการสร้างโจทย์
ปญั หา การบวก และการลบ ของนักเรียนระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใชช้ ุดฝกึ ทกั ษะ
2.2 ตัวแปรตาม
1. ระดบั ผลการเรียนร้เู ร่อื งการสรา้ งโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ จากการจดั กิจกรรม
การเรยี นร้กู บั นกั เรียนระดบั ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นเหลา่ อำเภอสงู เมน่ จังหวัดแพร่ โดยทดลองใช้
วิธีสอนและเทคนิคการสอนวธิ เี ดิม
2. ระดบั ผลการเรียนรู้เรอ่ื งพัฒนาการสร้างโจทยป์ ัญหา การบวก และการลบ ของนักเรียน
ระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านเหล่า อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ โดยทดลองใช้การพัฒนาการสรา้ ง
โจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ของนกั เรยี นระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใชช้ ดุ ฝกึ ทักษะ
3. ระดับความพงึ พอใจของนักเรียนระดับชน้ั ระดบั ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบา้ นเหล่า
อำเภอสงู เมน่ จังหวัดแพร่ ทม่ี ีต่อการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้เรอื่ งการสร้างโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ
โดยทดลองใช้ชุดฝึกทกั ษะ
6
3. ขอบเขตด้านเน้อื หา
การจัดกจิ กรรมการเรียนรเู้ ร่ืองการสร้างโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ ตามตัวชวี้ ดั ที่ ป.2/4
หาคา่ ของตวั ไม่ทราบค่าในประโยคสัญลกั ษณ์แสดงการบวกและประโยคสญั ลักษณ์แสดงการลบของจำนวนไม่
เกนิ 1,000 และ 0 มาตรฐานการเรยี นรู้ ค1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การ
ดำเนนิ การจำนวนผลทีเ่ กิดขน้ึ จากการดำเนินการ สมบตั ิของการดำเนนิ การและนำไปใช้
4. ขอบเขตดา้ นระยะเวลาและสถานท่ี
ดำเนนิ การวิจยั ระหวา่ งเดือน ธนั วาคม ถงึ เดือน เมษายน พ.ศ. 2565ทำวิจัยที่โรงเรยี นบ้านเหลา่
อำเภอสูงเม่น จงั หวดั แพร่
นยิ ามคำศพั ทเ์ ฉพาะ
1. นกั เรยี นระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 2 หมายถึง นักเรียนระดบั ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 2
โรงเรยี นบ้านเหล่า อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่
2. ชุดฝกึ ทกั ษะ หมายถึง ชุดฝกึ ทักษะทีใ่ ช้วธิ ีการสอนแบบสาธติ ร่วมกับเทคนิครว่ มมือ แบบThink-
Pair-Share
3. วธิ ีการสอนแบบสาธติ หมายถงึ วิธสี อนท่คี รมู หี น้าท่ีในการวางแผนการเรียนการสอนเป็นสว่ นใหญ่
โดยมกี ารแสดงหรือการกระทำให้ดเู ปน็ ตัวอย่าง นักเรยี นจะเกดิ การเรียนรู้จากการสังเกต การฟงั การกระทำ
หรอื การแสดง
4. เทคนิค (Think-Pair-Share) เป็นเทคนคิ การเรยี นแบบร่วมมือ โดยเป็นวิธีการจบั คู่เพ่ือให้ผูเ้ รยี น
ทำกิจกรรมการเรยี นร่วมกนั เพอ่ื ให้คำแนะนำปรึกษาหรอื แลกเปล่ียนความรปู้ ระสบการณ์ และรว่ มมือกนั ทำ
กจิ กรรมตามกระบวนการเรียนจนคน้ พบข้อสรปุ ข้อความรู้หรอื คำตอบร่วมกนั ขน้ั ตอนกิจกรรมได้เสนอ
ขน้ั ตอนของการจัดการเรยี นรแู้ บบ รว่ มมอื ด้วยเทคนคิ Think-Pair-Share จะมีข้นั ตอนสำคญั ดงั นี้
ขั้นท่ี 1 แบง่ ผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ แบบคละความสามารถกลุ่มละ 2 - 4 คน
ขั้นที่ 2 ครตู ัง้ ประเดน็ สัน้ ๆ หรอื โจทยค์ าํ ถาม
ขั้นท่ี 3 ผู้เรียนแตล่ ะคนคิดหาคาํ ตอบดว้ ยตนเองสกั 1-2 นาที
ขนั้ ท่ี 4 ใหผ้ เู้ รยี นจับคู่กับเพื่อนแลกเปล่ียนความคิดผลัดกันเล่าความคดิ หรือคาํ ตอบของตนให้
เพื่อนฟงั จนไดข้ ้อสรุปทีเ่ ห็นพ้องกัน
ขัน้ ที่ 5 ผเู้ รยี นคนใดคนหน่งึ สามารถอธิบายคําตอบใหเ้ พ่อื นฟงั ท้ังชัน้ ไดห้ รอื ครูสุ่มบางคู่มารายงาน
หนา้ ชน้ั เรยี น
5. ผลการเรียนรู้ หมายถงึ พฤติกรรมที่ผู้เรยี นสามารถแสดงออกเป็นรูปธรรมและสามารถวดั และ
ประเมินผลได้ ผลลัพธก์ ารเรยี นรู้เป็นความสำเรจ็ ของผ้เู รยี นหลังจากจบการเรยี นร้ใู นแต่ละบทเรียน ผลลพั ธ์
การเรยี นรูท้ ี่นอกจากจะต้องเป็นพฤติกรรมที่ผเู้ รียนต้องทำได้ สามารถวัดและประเมินผลได้
7
5.1 คา่ คะแนนเฉล่ยี รวมผลการเรียนร้ขู องนักเรียนระดบั ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบ้านเหล่า
อำเภอสงู เม่น จังหวัดแพร่ โดยใช้ทดลองใชว้ ิธีสอนและเทคนิคการสอนวธิ ีเดิม
5.2 ค่าคะแนนเฉลย่ี รวมผลการเรียนรขู้ องนักเรียนระดับชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบ้านเหลา่
อำเภอสูงเมน่ จังหวดั แพร่ โดยทดลองใช้วิธีชดุ ฝกึ ทักษะ จำนวน 20 คนจากการวัดและประเมนิ ผลภายหลงั
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ืองการสร้างโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ โดยทดลองใชช้ ุดฝึกทกั ษะ
6. ระดับผลการเรยี นรู้ หมายถึง ระดบั ผลการเรียนรทู้ ่ีกำหนดตามเกณฑ์วดั และประเมนิ ผลของ
สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐานหรือ สพฐ.(2550) ดังนี้
ดเี ย่ียม มีค่าร้อยละของคา่ คะแนนเฉลย่ี 80-100
ดี มคี ่ารอ้ ยละของคา่ คะแนนเฉลยี่ 65-79
พอใช้ (ผ่าน) มีค่าร้อยละของค่าคะแนนเฉล่ยี 50-64
ตอ้ งปรับปรงุ (ต่ำกวา่ เกณฑ์) มคี า่ รอ้ ยละของค่าคะแนนเฉล่ียตำ่ กว่า 50
7. การพัฒนาผลการเรียนรู้ หมายถึง ผลการเปรียบเทียบระดับผลการเรียนรูข้ องนักเรยี นระดับชัน้
ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรยี นบ้านเหลา่ อำเภอสูงเมน่ จงั หวัดแพร่ ปกี ารศึกษา 2564 ระหวา่ งจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้เร่อื งการสร้างโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ โดยทดลองใช้ชดุ ฝกึ ทักษะ ท่เี พม่ิ ข้นึ อย่างมนี ยั สำคญั
ทางสถิติท่ี α = 0.05 ผลการเรยี นรู้ระดบั ดี เปรียบเทียบการพัฒนาการเรยี นรูเ้ รื่อง การสร้างโจทยป์ ัญหา การ
บวก และการลบ วธิ ีสอนและเทคนิคการสอนวิธเี ดิม กับ การพัฒนาการสรา้ งโจทยป์ ัญหา การบวก และการลบ ของ
นกั เรยี นระดับชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 2 โดยใชช้ ุดฝึกทักษะ
8. ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความพึงพอใจของนกั เรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้าน
เหลา่ อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ท่ีมตี ่อการจัดกจิ กรรมการเรียนรเู้ ร่ือง การสรา้ งโจทยป์ ัญหา การบวก และการ
ลบ โดยทดลองใช้โดยใช้ชดุ ฝึกทกั ษะ
9. ระดับความพึงพอใจ หมายถึง ระดบั ความพงึ พอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดย
เรยี งลำดับจากระดับมากทส่ี ุดถงึ นอ้ ยท่สี ดุ 5 ระดบั คอื มีความพึงพอใจมากทส่ี ดุ มีความพงึ พอใจมาก มีความ
พงึ พอใจปานกลาง มีความพึงพอใจค่อนข้างน้อย และมีความพึงพอใจน้อยที่สุด แต่ละระดับดังกล่าว
กำหนดโดยเกณฑ์ตามชว่ งค่าเฉลี่ยของ บญุ ชม ศรีสะอาด(2545) ดงั นี้
ระดับความพึงพอใจ ระดับคา่ เฉลย่ี
ระดับมากทส่ี ุด 4.51-5.00
ระดบั มาก 3.51-4.50
ระดบั ปานกลาง 2.51-3.50
ระดับน้อย 1.51-2.50
ระดับนอ้ ยทีส่ ดุ 1.00-1.50
กรอบแนวคดิ การวจิ ัย 8
ชุดฝกึ ทักษะท่ีใช้วิธกี ารสอนแบบสาธิต การสรา้ งโจทยป์ ญั หา การบวก และการลบ
เทคนิค Think-Pair-Share ของนักเรยี นระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2
สมมติฐานการวิจยั
สมมติฐานการวจิ ัยที่ 1
จากการจัดกจิ กรรมการเรยี นรเู้ รอื่ งการพัฒนาการสร้างโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ของ
นกั เรียนระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โดยใช้ชุดฝกึ ทกั ษะ โรงเรียนบ้านเหล่า อำเภอสงู เม่น จังหวัดแพร่ พบว่า
เมอื่ เทียบกบั ระดบั ผลการเรียนร้ตู ามเกณฑข์ อง สพฐ. นักเรียนจำนวนท้ังหมดมผี ลการเรียนร้ทู ่ีระดบั ดี ซง่ึ ตำ่
กว่าเกณฑ์ประเมนิ ผ่านคือต้องผา่ นอย่างน้อยร้อยละ 70 สาเหตุเปน็ เพราะ การกิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง การ
สร้างโจทยป์ ัญหาการบวกและโจทย์ปัญหาการลบ ดว้ ยวิธีการสอนและเนคนิคแบบเดิมไม่สอดคล้องกับความ
ถนัดและความสนใจของนักเรยี น ทำใหน้ ักเรียนมีการเรียนรู้ตำ่ จากสาเหตุของปญั หาและความสำคัญของการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรือ่ งการสรา้ งโจทย์ปัญหาการบวกและโจทยป์ ัญหาการลบ นักเรยี นระดับช้นั
ประถมศกึ ษาปีที่ 2 ดงั กลา่ วก่อนหน้า ผู้วิจยั จึงต้องทำการวิจัยเพื่อพัฒนา/ปรับปรุงผลการเรียนรูเ้ ร่ืองดงั กล่าว
ของนักเรยี นระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านเหลา่ อำเภอสูงเมน่ จงั หวดั แพร่ จากการทบทวน
เอกสารและงานวิจยั ทเี่ ก่ยี วข้องพบวา่ วภิ าวี จำปาแกว้ (2560) ทำการวจิ ยั เรือ่ ง การพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการ
เรยี น เรอ่ื ง การบาดเจ็บและการปฐมพยาบาล กบั นักเรยี นระดับชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านทา่ ขอน
ยาง โดยทดลองใช้แบบสาธติ ผลการวิจยั พบว่า นกั เรียนมผี ลการเรยี นรู้ท่ีระดบั α .05 รัชนี ภพู่ ชั รกุล (2551)
ทำการวจิ ยั เรอ่ื ง การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นคณิตศาสตร์ของนกั เรียน กบั นกั เรียนระดบั ชนั้
ประถมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรยี นชมุ ชนบา้ นปาดงั โดยทดลองใช้เทคนคิ เพ่อื นคู่คิด ผลการวิจัยพบว่า นกั เรยี นมผี ล
การเรียนรู้ทีร่ ะดับ α .01 ธัญญ์กมน โพธพิ์ นั ธ์ (2562) ทำการวิจยั เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชา
คณิตศาสตร์ของนกั เรยี น ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชมุ ชนวัดโพธิ์ทอง โดยทดลองใชแ้ บบฝึกหัด
เสรมิ ทกั ษะผลการวิจยั พบวา่ นักเรยี นมผี ลการเรยี นรู้ทีร่ ะดับ α .05 จากการสนับสนุนดว้ ยชดุ ฝกึ ทกั ษะและ
ผลการวจิ ยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง ดงั กลา่ ว ผู้วจิ ัยจงึ กำหนดสมมตฐิ านท่ี 1 จากว่าการจัดกจิ กรรมการเรยี นร้ดู ้วยชุดฝกึ
ทกั ษะ กิจกรรมการเรียนรู้แบบสาธติ รว่ มกับเทคนิค Think-Pair-Share มผี ลต่อการพัฒนาการเรียนร้เู รอ่ื ง
การพฒั นาการสร้างโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ของนกั เรยี นระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใช้ชดุ ฝกึ
ทกั ษะ
9
สมมติฐานการวจิ ัยท่ี 2
จากการทบทวนเอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้องพบว่า วิภาวี จำปาแก้ว (2560) ทำการวิจัยเรือ่ ง การ
พฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรอื่ ง การบาดเจบ็ และการปฐมพยาบาล กบั นักเรียนระดับชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี
3 โรงเรยี นบา้ นทา่ ขอนยาง โดยทดลองใชแ้ บบสาธติ พบวา่ นักเรียนมคี วามพงึ พอใจตอ่ การจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ท่ีระดับ ดีมาก รชั นี ภ่พู ชั รกลุ (2551) ทำการวิจัยเร่ือง การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน
คณติ ศาสตร์ของนกั เรยี น กับนกั เรียนระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนชุมชนบ้านปาดัง โดยทดลองใช้
เทคนคิ เพือ่ นคู่คดิ ผลการวิจัยพบวา่ นกั เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนร้ทู ร่ี ะดับ ดีมาก ธญั ญ์
กมน โพธิพ์ ันธ์ (2562) ทำการวจิ ยั เร่ือง การศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาคณติ ศาสตร์ของนักเรียน
ระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนชมุ ชนวัดโพธิ์ทอง โดยทดลองใชแ้ บบฝึกหดั เสรมิ ทักษะผลการวิจยั พบวา่
นกั เรยี นมีความพงึ พอใจตอ่ การจดั กจิ กรรมการเรียนรูท้ ่รี ะดับ ดีมาก การจัดกจิ กรรมการเรียนรดู้ ว้ ยชดุ ฝึก
ทกั ษะ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบสาธิต รว่ มกับเทคนิค Think-Pair-Share มีผลต่อการพฒั นาการเรียนรู้เร่ือง
การพฒั นาการสร้างโจทยป์ ญั หา การบวก และการลบ ของนักเรียนระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 โดยใช้ชุดฝึก
ทกั ษะ
10
บทที่ 2
การทบทวนเอกสารและงานวิจัยทเี่ ก่ียวข้อง
การทำวจิ ยั ในชน้ั เรียนเรอ่ื ง การพัฒนาการสรา้ งโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ ของนักเรยี น
ระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ชดุ ฝึกทกั ษะผู้วจิ ัยขอเสนอผลการทบทวนเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกีย่ วขอ้ ง
ประกอบด้วยหัวข้อหลกั ตามลำดบั ดังน้ี
1. การวิจัยในชน้ั เรยี น
2. ความจำเปน็ ทคี่ รูตอ้ งทำวจิ ัยในชั้นเรยี น
3. นวัตกรรมทางการศึกษา
4. เคร่ืองมอื การวิจัย
5. ระดับความพึงพอใจ
6. ผลสมั ฤทธิ์การเรยี นรู้
7. งานวจิ ัยที่เก่ยี วข้อง
แตล่ ะหวั ข้อหลักดังกลา่ ว นำเสนอรายละเอียดตามลำดบั ข้ัน ดังน้ี
การวจิ ยั ในช้นั เรยี น
1. ความหมายของการวจิ ัยในชนั้ เรยี น
การวจิ ัยในชนั้ เรียน หมายถึงการวจิ ัยที่ทำในบริบทของชั้นเรียน และมงุ่ นำผลการวิจัยมาใชใ้ นการ
พัฒนาการเรยี นการสอนของตน เปน็ การนำกระบวนการวิจัยไปใชใ้ นการพฒั นาครูให้ไปส่คู วามเปน็ เลศิ และมี
อิสระทางวิชาการ (ทิศนา แขมมณี 2540: 5)
การวจิ ยั ในช้ันเรยี น คอื กระบวนการแสวงหาความรอู้ ันเปน็ ความจริงทเี่ ชอ่ื ถือได้ ในเนื้อหาเก่ียวกบั การ
พัฒนาการจัดการเรียนการสอน เพือ่ การพฒั นาการเรยี นร้ขู องนักเรียนในบรบิ ทของชนั้ เรียน (สุวัฒนา สุวรรณ
เขตนคิ ม 2540: 3)
การวิจัยในชัน้ เรียน คอื การวจิ ยั ทที่ ำโดยครูผู้สอนในห้องเรยี น เพ่ือแกไ้ ขปญั หาที่เกิดข้ึนในหอ้ งเรยี น
และนำผลมาใช้ปรับปรุงการเรยี นการสอนเพือ่ ประโยชนส์ ูงสดุ แกผ่ ู้เรียน เปน็ การวจิ ยั ที่ต้องทำอย่างรวดเรว็ นำ
ผลไปใชท้ นั ทแี ละสะท้อนข้อมูลเกย่ี วกับการปฏิบตั งิ านตา่ ง ๆ ของตนเอง ให้ท้งั ตนเองและกลุ่มเพอ่ื นร่วมงาน
(สวุ ิมล ว่องวานิช 2543: 163)
สรปุ ได้วา่ การวจิ ยั ในชัน้ เรียนเปน็ พฒั นาการเรยี นการสอน ของนักเรยี น เพ่ือแกป้ ัญหาการเรยี นของ
นักเรยี นที่มปี ญั หา ปรับปรุงการเรยี นการสอน กระบวนการวางแผน ปฏบิ ตั ติ ามแผน สงั เกตผลที่เกิดข้ึน
สะทอ้ นความคดิ เพ่ือให้นกั เรียนเกดิ ประโยชนต์ ่อการเรยี นรู้ และพฒั นาการจดั การเรียนการสอนของผสู้ อน
ด้วย
11
2. ประเภทของการวจิ ัยในช้ันเรยี น
(สริ ิลักษณ์ ตีรณธนากูล. 2554 ) การใช้ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั เป็นเกณฑ์การแบ่งการวิจยั นยิ มใชก้ ันมาก
แบง่ ไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ
1.1 การวจิ ัยเชิงประวัตศิ าสตร์ (Historical Research) เปน็ การวิจัยเพ่อื ค้นหาความรู้ความจริง
จากเรอื่ งราวในอดตี โดยวธิ ีการศกึ ษาเปน็ การรวบรวม ตรวจสอบ และวิเคราะห์เหตุการณจ์ ากหลักฐาน
เอกสาร คำบอกเล่าทเี่ ก่ียวกับเรื่องราวในอดีต วตั ถุโบราณ เชน่ ศึกษา การปกครองสมัยรชั กาลท่ี 5
1.2 การวจิ ัยเชิงบรรยาย (Descriptive Research) เป็นการวิจยั เพอื่ คน้ หาความรู้ ความจรงิ ใน
สภาพปจั จบุ ัน เชน่ การสำรวจความคดิ เห็น การศึกษาความสมั พันธข์ องตัวแปร การศึกษาการพฒั นาการ
การศึกษารายกรณี
1.3 การวจิ ยั เชงิ ทดลอง (Experimental Research) เปน็ การวิจยั เพื่อค้นหาความรู้ความจรงิ
เฉพาะตัวแปร เพื่อทราบว่าตัวแปรใดเป็นสาเหตุทท่ี ำให้เกิดผล ผลทไ่ี ด้เกดิ จากตวั แปรท่ีศึกษาหรือไม่ การวิจยั
ประเภทนี้ เป็นการศกึ ษาความสัมพันธ์เชงิ เหตุผลและผลที่ต้องมีการจัดกระทำ (Treatment) ตวั แปรที่จะ
ศึกษา และควบคุมตัวแปรที่ไม่ต้องการจะศึกษา เช่น การเปรยี บเทียบวิธีสอน 2 วธิ ี ท่ีมผี ลตอ่ การเรยี นวชิ า
ภาษาไทย
3. ความจำเปน็ ทีค่ รตู ้องทำการวจิ ัยในชน้ั เรียน
พระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ (2542) บัญญัติความตามมารตา 22 วา่ การจัดการศึกษาต้อง
ยึดหลักวา่ ผู้เรยี นทุกคนมีความสามารถเรียนร้แู ละพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผ้เู รยี นมคี วามสำคัญที่สุด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศกั ยภาพ
ตามมารตา 24 วา่ การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศกึ ษาและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องดำเนนิ การ (1) บัญญตั ิ
ว่า จัดเนอื้ หาสาระและกจิ กรรมให้สอดคล้องกบั ความสนใจและความถนดั ของผู้เรียน โดยคำนึงถงึ ความ
แตกต่างระหว่างบุคคล และ (5) บัญญตั ิว่า ผสู้ อนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม สอื่ การเรียนและ
อำนวยความสะดวกเพื่อใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมท้ังสามารถใชก้ ารวิจัย มาตรา 30 วา่ ให้
สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนท่ีมปี ระสทิ ธิภาพรวมท้ังการส่งเสรมิ ใหผ้ สู้ อนสามารถวจิ ัยเพ่อื
พฒั นาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกบั ผูเ้ รยี นในแตล่ ะระดบั การศึกษา ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้สอนสามารถวจิ ยั เพ่ือพฒั นาการ
เรยี นร้เู หมาะสม กับนกั เรียน ในแต่ละสถานศกึ ษา
4. ประโยชน/์ ความสำคัญของการวจิ ัยในชั้นเรียน
ครุรักษ์ ภริ มยร์ กั ษ์ (2544) กลา่ ววา่ อยา่ งน้อยที่สุดการวจิ ัยปฏบิ ัติการในชนั้ เรียนจะมปี ระโยชน์ ดังน้ี
1. ชว่ ยใหค้ รูมีพลงั อำนาจในการแกป้ ัญหาในช้ันเรียนเพมิ่ มากข้นึ สามารถแกป้ ัญหาในชั้นเรยี นได้
ทันท่วงทีและมปี ระสิทธภิ าพ
2. ชว่ ยใหค้ รมู คี วามมนั่ ใจในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนมากขึน้ และจัดกิจกรรมการเรยี นการ
สอนได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
3. ช่วยให้ครูทำงานได้อยา่ งเป็นระบบข้ึน ประสบความสำเร็จในการทำงาน มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ
และภาคภูมิใจในวิธีการท่นี ำมาใช้
12
4. ช่วยใหโ้ รงเรียนสามารถกำหนดกำหนดนโยบาย หรอื มาตรการต่างๆเก่ยี วกบั การพัฒนาหลกั สตู ร
และการเรยี นการสอนได้อย่างเหมาะสมโดยมผี ลการวิจยั รองรบั
5. ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนไดร้ บั การแก้ไขปญั หาและพัฒนาอย่างสมบูรณเ์ ต็มศักยภาพทงั้ ในด้านความรู้
ความสามารถ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์
นวัตกรรมทางการศกึ ษา
1. ความหมาย
ชุดฝกึ ทักษะ หมายถงึ ชดุ ฝึกทักษะท่ีใชว้ ธิ ีการสอนแบบสาธติ ร่วมกับเทคนิครว่ มมือ แบบThink-
Pair-Share
วิธีการสอนแบบสาธติ หมายถึง วิธสี อนทีค่ รูมหี นา้ ท่ใี นการวางแผนการเรียนการสอนเป็นสว่ น
ใหญ่ โดยมีการแสดงหรือการกระทำให้ดเู ปน็ ตวั อย่าง นกั เรียนจะเกดิ การเรียนรจู้ ากการสังเกต การฟัง การ
กระทำหรือการแสดง
เทคนิค (Think-Pair-Share) เป็นเทคนคิ การเรียนแบบร่วมมือ โดยเปน็ วิธีการจับคเู่ พ่ือใหผ้ ู้เรยี น
ทำกจิ กรรมการเรียนร่วมกัน เพ่อื ให้คำแนะนำปรกึ ษาหรอื แลกเปลย่ี นความรูป้ ระสบการณ์ และรว่ มมือกันทำ
กจิ กรรมตามกระบวนการเรียนจนค้นพบข้อสรปุ ข้อความรู้หรอื คำตอบร่วมกัน ขัน้ ตอนกิจกรรมได้เสนอ
ขนั้ ตอนของการจัดการเรยี นรู้แบบ ร่วมมอื ดว้ ยเทคนคิ Think-Pair-Share จะมขี ัน้ ตอนสำคญั ดังน้ี
ขั้นท่ี 1 แบง่ ผูเ้ รยี นเป็นกลุ่มเล็กๆ แบบคละความสามารถกลมุ่ ละ 2 - 4 คน
ขน้ั ท่ี 2 ครตู ้งั ประเดน็ ส้ันๆ หรือโจทย์คําถาม
ขน้ั ที่ 3 ผู้เรียนแตล่ ะคนคดิ หาคาํ ตอบดว้ ยตนเองสกั 1-2 นาที
ขนั้ ที่ 4 ให้ผู้เรียนจบั คู่กับเพื่อนแลกเปลยี่ นความคิดผลัดกันเล่าความคิด หรอื คําตอบของตนให้
เพ่อื นฟังจนไดข้ ้อสรุปทเี่ ห็นพ้องกัน
ขัน้ ท่ี 5 ผเู้ รยี นคนใดคนหนง่ึ สามารถอธบิ ายคาํ ตอบให้เพอ่ื นฟังทงั้ ชนั้ ไดห้ รือ ครูสุ่มบางคู่มารายงาน
หนา้ ชน้ั เรยี น
2. การจำแนกประเภท
- กิจกรรมการเรียนรู้แบบสาธิต(Demonstration Method) รว่ มกับเทคนิค เพื่อนคู่คิด
- ชดุ ฝึกทกั ษะ
3. ความสำคัญ
-กิจกรรมการเรียนรู้แบบสาธติ (Demonstration Method) รว่ มกับเทคนิค เพ่ือนคู่คิด
ชว่ ยใหน้ กั เรยี นสามารถเรียนรู้ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ บรรลเุ ป้าหมายของจุดประสงค์มราตัง้
ไว้ได้จากการเรยี นแบบสาธติ ร่วมกบั เทคนิคเพื่อนคู่คดิ ทำใหน้ กั เรยี นเกดิ การสรา้ งองคค์ วามรู้
13
- ชดุ ฝกึ ทักษะ
การใชช้ ุดฝกึ ทักษะรว่ มกบั กจิ กรรมการเรียนรจู้ ะทำใหน้ ักเรียนนน้ั ไดล้ งมือทำฝึกฝนและ
นักเรยี นจะสามารถเขา้ ใจในเรื่องการสรา้ งโจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ เร่อื งการบวกและการลบได้
นวตั กรรมเฉพาะ
ซง่ึ ชดุ ฝกึ ทกั ษะ กล่าวโดยละเอียด ดงั น้ี
1. แนวคดิ /ทฤษฎ/ี หลกั การ/วิธีการ
ชดุ ฝึกทักษะชว่ ยสอนสามารถสนองความต้องการในการเรียนรูท้ ่คี ำนึงถึงความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล
ไดอ้ ย่างดี และเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นได้เรียนตามเวลาทส่ี ะดวก ตามความสนใจของผูเ้ รยี น และที่สำคัญทสี่ ุดคือ
ชุดฝกึ ทักษะช่วยสอนมีการประเมนิ ผลในตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนเห็นผลสำเร็จ เหน็ ความเจริญกาวหนา้ ของตนใน
การเรยี นรใู้ นแตล่ ะตอนแต่ละหนว่ ยการเรียนสามารถเรยี นไดด้ ว้ ยตนเอง นอกจากนี้ชุดฝกึ ทักษะสอนยงั
สามารถช่วยแกปญั หาการขาดแคลนผ้สู อนได้ ดว้ ยเพราะสามารถใชส้ อนแทนครูและสอนผูเ้ รียนไดจ้ ำนวน
มากๆในเวลาเดยี วกนั (บูรณะ สมชัย 2542:14)
2. องค์ประกอบ/โครงสรา้ ง/ลำดบั ขนั้
สำลี รักสทุ ธี (ม.ป.ป., หนา้ 34) กล่าวถึง ข้นั ตอนการสร้างแบบฝกึ ทักษะ ดังนี้
1. สำรวจปัญหา สาระ ตัวบ่งชี้ที่เปน็ ปัญหาและความตอ้ งการ เพ่ือจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนไป
แลว้ ครผู ้สู อนย่อมทราบดวี ่า บรรลตุ ามจดุ ประสงค์หรือไม่ รวบรวมปัญหาและความต้องการในการแกป้ ญั หา
หรือความต้องการท่ีจะพฒั นาการเรยี นการสอนในแต่ละตวั บ่งชี้
2. กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝกึ ทักษะ ให้ชัดเจนตรงตามตัวบง่ ชี้ทีเ่ ปน็ ปัญหา เพื่อตอบ
คำถาม วา่ สรา้ งแบบฝกึ เพื่ออะไร ต้องการใหผ้ ูเ้ รียนรู้อะไร และเป็นอย่างไร
3. วิเคราะหป์ ญั หาท่เี รียนในแตล่ ะจดุ ประสงค์ วา่ ประกอบด้วยอะไร
4. ศึกษาจิตวทิ ยาการเรยี นรู้ จิตวทิ ยาการอา่ นของผูเ้ รียนในแต่ละชัน้ วา่ เดก็ แต่ละคนมีความสนใจ
เรือ่ งอะไร เชน่ จติ วิทยาการอ่านท่นี ำไปใช้แบบฝกึ ทักษะ ประกอบด้วย
4.1 ความใกลช้ ิด คือ ถา้ ใชส้ ่ิงเรา้ และตอบสนองเกดิ ข้ึนในเวลาใกล้เคยี งกนั จะสร้างความพอใจ
ให้แกผ่ ู้เรียน
4.2 การฝึกหดั คือ การให้ผูเ้ รียนได้ทำซ้ำๆ เพ่ือสรา้ งความรู้ ความเข้าใจท่ีแม่นยำ
4.3 กฎแห่งผล คือ การใหผ้ ูเ้ รยี นไดท้ ราบผลการทำงานของตนดว้ ยการเฉลย
คำตอบ จะช่วยให้ผ้เู รยี นไดท้ ราบข้อบกพร่องเพอ่ื ปรบั ปรุงแกไ้ ขและเป็นการสรา้ งความพอใจแก่
ผู้เรียนได้
4.4 การจงู ใจ คือ การจดั แบบฝึกหัดเรียงตามลำดบั จากแบบฝึกที่ง่ายและสน้ั และสู่เรื่องยาวและ
ยากขึ้น ควรมภี าพประกอบและหลายรปู แบบ
5. กำหนดกรอบการสร้างแบบฝึกวา่ ควรประกอบด้วยเรอ่ื งอะไรบา้ ง แต่ละเรอ่ื งควรมีกจิ กรรม
อะไรบา้ ง มีความยาวเพียงใด จะนำเสนอโดยใช้ภาพประกอบหรือไม่
6. ลงมือเขยี นแบบฝกึ แต่ละชุด
14
7. นำแบบฝกึ นัน้ ไปให้ผชู้ ำนาญการตรวจสอบความถกู ต้อง ความตรงตามเนื้อหา เช่น ครูสอน
ภาษาไทยที่มีประสบการณ์ ศึกษานเิ ทศก์ เปน็ ต้น หรือนำไปทดลองกบั ผูเ้ รยี นจำนวน 1-5 คน เพ่ือนำไป
รวบรวมขอ้ มลู เพ่ือแกไ้ ขข้อบกพร่อง
8. จดั พมิ พ์หรืออัดสำเนาแบบฝกึ เพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นนำไปใช้
สรุปได้วา่
4. ข้อดี
สำลี รกั สทุ ธี (ม.ป.ป., หน้า 31-32) ได้กล่าวถึง ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี มีดังนี้
1. มคี ำส่งั ชัดเจน เขา้ ใจ เหมาะสมกบั วัยเด็ก
2. มีตวั อย่างประกอบ ตวั อยา่ งท่ดี ีควรใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความคิดหลาย ๆ แนวคดิ
3. มีตวั อยา่ งประกอบเพื่อดึงดูดความสนใจและสื่อความหมาย
4. มีเนื้อทีส่ ำหรบั เขียน เว้นให้มขี นาดเหมาะสมกับคำทน่ี กั เรียนตอ้ งการเขียน
5. การวางรปู แบบทีด่ ี จะทำใหเ้ กดิ ความเรยี บร้อย สวยงามและประหยดั
6. ควรบันทึกวิธกี ารสอนที่สอดคลอ้ งกบั จดุ มงุ่ หมายของแบบฝกึ ไวใ้ นคู่มือ
พินจิ จันทร์ซา้ ย (2546, หนา้ 92) กล่าวถึง ลกั ษณะของแบบฝกึ ทด่ี ี ประกอบด้วยเน้อื หาต้องชัดเจน มี
รูปแบบ เร้าความสนใจ ตอบสนองการเรียนรู้ของผู้เรียน และทำให้ผเู้ รยี นมี
ความสขุ ในการเรียน
ปราณี จิณฤทธ์ิ (2552, หนา้ 32) ได้กลา่ วว่า ลักษณะของแบบฝกึ ที่ดตี ้องสร้างให้เกี่ยวข้องกับบทเรยี น
เปน็ แบบฝึกสำหรบั เด็กเกง่ และใชซ้ ่อมเสริมเด็กอ่อนได้มคี วามหลากหลายในแบบฝึกชดุ หนง่ึ ๆ มีคำส่งั ท่ชี ัดเจน
เปดิ โอกาสใหผ้ ู้ฝึกได้คดิ ท้าทายความสามารถมคี วามเหมาะสมกบั วัย ใช้เวลาฝึกไมน่ าน ผู้ฝึกสามารถนำ
ประโยชน์จากการทำแบบฝึกไปประยุกตป์ รบั เปลีย่ นนำมาใช้ในชวี ติ ประจำวนั ได้
สรปุ ไดว้ า่ การใชค้ ำต้องมีความชดั เจน เข้าใจงา่ ย มีการยกตัวอย่างประกอบ สรา้ งความดึงดดู นกั เรียน
อย่างต่อเนอ่ื ง ตอ้ งมีภาพทส่ี สี ันสวยงาม และสร้างบทเรียนให้เหมาะสมกบั วัย
5. วธิ ีการใช้
ใช้ประกอบในการจดั การจดั กิจกรรมการเรียนรูใ้ นข้ันตอนเพื่อนคู่คดิ ใหน้ ักเรียนจบั คชู่ ่วยกันคิด
และทำชุดฝกึ ทกั ษะตามเรื่องทเี่ รยี น
วิธีการสอน
1. ความหมาย
หมายถงึ วิธีสอนที่ครูมหี น้าท่ีในการวางแผนการเรียนการสอนเปน็ ส่วนใหญ่ โดยมกี ารแสดงหรือการ
กระทำให้ดูเป็นตวั อย่าง นักเรียนจะเกิดการเรียนรูจ้ ากการสังเกต การฟงั การกระทำหรือการแสดง
2. แนวคิด/ทฤษฎ/ี หลกั การ/วิธกี าร
กระบวนการทผี่ ู้สอนใชใ้ นการช่วยใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรียนรตู้ ามวตั ถุประสงค์ที่กำหนด โดยการแสดง
หรอื ทำสิง่ ท่ตี ้องการใหผ้ เู้ รยี นได้เรียนรู้ ใหผ้ เู้ รียนสังเกตดูแลว้ ใหผ้ ู้เรียนซกั ถาม อภปิ ราย และสรปุ การเรียนรูท้ ี่
ได้จากการสงั เกตการสาธติ
15
ทศิ นา แขมมณี (2550 : 330) อธบิ ายการสาธติ เปน็ การแสดงให้ดู ซึง่ อาจเปน็ การแสดงใหเ้ ห็นถึง
ขั้นตอน วธิ ีการ ผลท่ีจะเกิดขึ้นหรอื ทา่ ทางตา่ ง ๆ โดยอาจทำในรปู ของการสาธิตทดลอง หรือสาธิตปฏิบัติ วิธี
สอนแบบสาธิต อาจนำไปใช้ร่วมกับวิธีสอนแบบอ่นื ได้ เช่น สาธติ ประกอบการบรรยาย สาธติ ประกอบการอธปิ
ราย เป็นตน้
ไสว ฟักขาว (2544 : 98) การสอนด้วยวธิ กี ารสาธิต เป็นท่ีนยิ มใช้กนั อย่างแพร่หลายในหม่ผู สู้ อน ไมว่ า่
จะเปน็ การสอนนักเรยี นในระดบั ใด โดยเฉพาะเมื่อผสู้ อนพบวา่ การอธบิ ายบทเรยี นเพยี งอยา่ งเดียวมีขอ้ จำกัด
กล่าวคือผเู้ รยี นเกิดความไมเ่ ข้าใจอยา่ งถอ่ งแทใ้ นเนื้อหาวิชานน้ั ๆ ไม่เกดิ มโนมติหรือสามารถสรปุ เน้ือหาทีเ่ รยี น
ไปแล้วได้ หลงั จากท่ีผู้สอนสอนเนอ้ื หาดังกล่าวจบแล้ว
สรุปไดว้ า่ การสอนแบบสาธติ เป็นกระบวนการสอนท่ีทำให้ผ้เู รียนได้เหน็ ภาพและขน้ั ตอน วิธีการต่างๆ
เพ่อื ให้นกั เรียนไดร้ บั ประสบการณ์ตรงจากการสังเกตและการซกั ถาม ทำให้ ผ้เู รยี นเขา้ ใจในบทเรยี น และ
ผู้เรยี นได้เกดิ การเรยี นรู้ตามวัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไว้
3. องค์ประกอบ/โครงสร้าง/ลำดบั ข้นั
1. ขน้ั เตรยี มการสอน
2. ข้ันเตรียมการสาธิต
3. ข้ันสาธิต
4.ขอ้ ด/ี ข้อเสยี
ชูศรี สนิทประชากร.(2534)
ข้อดี
1. เป็นวธิ ีสอน อุปกรณแ์ ละค่าใช้จ่าย หากใช้ทดแทนการทดลอง
2. เป็นวิธีสอนท่ีช่วยประหยัดเวลา จำนวนมาก
3. เปน็ วิธีทสี่ ามารถสอนผู้เรยี นไดท้ ี่ช่วยใหผ้ ู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง เห็นส่ิงท่เี รียนรู้อยา่ งเปน็
รปู ธรรม ทำใหเ้ กิดความเข้าใจและจดจำ ในเรื่องที่สาธิตได้ดีและนาน
ข้อเสีย
1. เปน็ วิธีทผ่ี ูเ้ รียนอาจไม่สงั เกตเห็นการสาธติ อยา่ งชัดเจน ท่ัวถงึ หากเปน็ กลมุ่ ใหญ่
2. เปน็ วิธที ผ่ี สู้ อนเป็นผู้สาธติ จงึ อาจไม่เห็นพฤติกรรมของผู้เรียน
3. เปน็ วธิ ที ่ีผู้เรียนอาจมสี ว่ นรว่ มไม่ทว่ั ถึง และมากพอ
4. เปน็ วธิ ีทผ่ี เู้ รียนไมไ่ ดล้ งมือทำเองจงึ อาจไมเ่ กดิ ความรู้ทีล่ กึ ซ้ึงเพียงพอ
16
เทคนิคการสอน
1. ความหมาย
เป็นเทคนคิ การเรียนแบบร่วมมือ โดยเป็นวธิ ีการจบั คเู่ พ่ือให้ผูเ้ รยี นทำกจิ กรรมการเรยี นร่วมกัน
เพอ่ื ใหค้ ำแนะนำปรึกษาหรือ แลกเปลี่ยนความรปู้ ระสบการณ์ และร่วมมือกันทำ กจิ กรรมตามกระบวนการ
เรยี นจนคน้ พบข้อสรปุ ข้อความรหู้ รือคำตอบร่วมกนั ข้นั ตอนกจิ กรรมได้เสนอข้ันตอนของการจัดการเรียนรู้
แบบ รว่ มมือด้วยเทคนคิ Think-Pair-Share
2. แนวคิด/ทฤษฎี/หลกั การ/วิธีการ
เทคนคิ Think-Pair-Share จะมีขน้ั ตอนสำคัญ ดงั นี้ ข้ันที่ 1 แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ แบบคละ
ความสามารถกลมุ่ ละ 2 - 4 คน ข้ันท่ี 2 ครตู ั้งประเด็นสัน้ ๆ หรอื โจทย์คําถาม ขน้ั ท่ี 3 ผูเ้ รียนแตล่ ะคนคิดหา
คําตอบดว้ ยตนเองสกั 1-2 นาที ขนั้ ท่ี 4 ใหผ้ ู้เรียนจับคู่กบั เพอ่ื นแลกเปลี่ยนความคดิ ผลัดกนั เล่าความคิด หรือ
คําตอบของตนให้เพ่อื นฟังจนได้ข้อสรปุ ที่เหน็ พ้องกนั ขัน้ ที่ 5 ผเู้ รยี นคนใดคนหน่งึ สามารถอธิบายคาํ ตอบให้
เพื่อนฟงั ทั้งชัน้ ไดห้ รือ ครูส่มุ บางคู่มารายงานหนา้ ช้ันเรียน ขจรศกั ด์ิ หลกั แก้ว (2551)
3.องค์ประกอบ/โครงสรา้ ง/ลำดบั ขั้น
ขจรศักดิ์ หลักแกว้ (2551: online)
ข้นั ท่ี 1 แบง่ ผเู้ รยี นเป็นกลมุ่ เล็กๆ แบบคละความสามารถกลมุ่ ละ 2 - 4 คน
ขัน้ ที่ 2 ครตู ัง้ ประเดน็ ส้นั ๆ หรือโจทยค์ าํ ถาม
ขนั้ ที่ 3 ผเู้ รยี นแต่ละคนคิดหาคาํ ตอบดว้ ยตนเองสัก 1-2 นาที
ขนั้ ที่ 4 ใหผ้ ้เู รยี นจับคู่กับเพ่ือนแลกเปล่ียนความคิดผลัดกันเลา่ ความคิด หรอื คาํ ตอบของตนใหเ้ พื่อน
ฟงั จนได้ขอ้ สรุปทเี่ หน็ พ้องกัน
ขั้นท่ี 5 ผ้เู รียนคนใดคนหน่ึงสามารถอธบิ ายคําตอบให้เพ่อื นฟงั ทั้งชั้นได้หรือ ครูสุม่ บางคู่มารายงาน
หน้าช้นั เรยี น
4.ข้อดี/ข้อเสยี
Eison (2008: online) ได้สรุปถึงข้อดีของเทคนิค Think-Pair-Share ดังน้ี
1. สามารถนำมาใช้ไดอ้ ยา่ งมีศกั ยภาพในทุกช้ันเรยี นที่มขี นาดใหญ่
2. สง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นมีการโต้ตอบในเน้ือหารายวิชา
3. ทำใหน้ กั เรียนประมวลความคดิ ของตนเองกอ่ นนําไปแบ่งปนั กับคนอน่ื
4. สามารถนำมาใช้เพ่ือพัฒนาทกั ษะการคดิ ในระดบั ท่สี ูงขึ้นได้
5. ทำใหร้ วมความสนใจของนักเรียนทั้งชั้นเรยี น และทำใหน้ กั เรียนท่ีไม่กลา้ แสดงออก สามารถตอบ
คาํ ถามได้โดยไม่ต้องลกุ ข้นึ ต่อหนา้ เพ่ือนร่วมชั้นเรยี น
6. ครูสามารถเขา้ ใจนักเรียนด้วยการฟงั นักเรียนกลุม่ ต่างๆ ระหวา่ งการทำกิจกรรมและจากการ
รวบรวมคาํ ตอบในตอนทา้ ยช่ัวโมงเรียน
7. ครสู ามารถทำกิจกรรมท่ีใชห้ ลักแบบเพื่อนค่คู ิดไดห้ น่งึ ครงั้ หรอื หลายๆ คร้ัง ในระยะเวลา 1 คาบ
เรยี น
17
วิธกี ารสรา้ งและหาคุณภาพของนวัตกรรม
1.วิธีการสร้างชุดฝกึ ทกั ษะ
ดวงมณี กันทะยอม(2551:29) ได้กลา่ วถงึ การสร้างชดุ ฝึกทักษะไว้ดังนี้
1.สำรวจสภาพปญั หาความต้องการทจ่ี ะพัฒนาการเรียนการสอนแต่ละจุดประสงค์
2.กำหนดจดุ ประสงคใ์ นการสรา้ งแบบฝึกหัดใหช้ ัดเจนคือฝึกอะไรต้องการให้นักเรียนเปน็ อย่างไร
3. วเิ คราะห์เนอื้ หาทเี่ รียนในแตล่ ะจุดประสงคว์ า่ ประกอบด้วยอะไรมปี ัญหาในการอ่านการเขียน
อยา่ งไรแลว้ สรปุ ปัญหารวบรวมไว้
4. ศึกษาจิตวทิ ยาการเรียนร้กู ารอา่ นการเขยี นประกอบดว้ ยการใช้ส่งิ เรา้ เพ่ือตอบสนองความพอใจการ
ฝึกหัดทำสามสรา้ งความร้คู วามเข้าใจความแม่นยำและการใหผ้ ูเ้ รยี นไดท้ ราบผลการทำงานของตนเองขอ้ ดี
ข้อบกพร่องเพื่อปรบั ปรงุ แก้ไข
5. กำหนดกรอบการสร้างแบบฝกึ ว่าควรประกอบดว้ ยเรอื่ งอะไรบ้างมลี ักษณะอยา่ งไรมีกิจกรรม
อะไรบ้างนำเสนอในรปู แบบไหนระบใุ หช้ ัดเจน
6. ลงมือเขียนและสร้างแบบฝึกแต่ละชุด
7. นำแบบฝกึ ทสี่ รา้ งไปใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญตรวจความถูกต้องความตรงตอ่ เนื้อหาเชน่ ครูผ้สู อนที่มี
ประสบการณ์ศึกษานิเทศเปน็ ต้นเพ่ือนำมาปรับปรงุ แก้ไขข้อบกพร่องก่อนนำไปทดลองกบั นักเรียน
8.จดั พมิ พห์ รืออาจสำเนาเพ่ือฝึกให้นกั เรียนได้ทดลองใช้
พรรณี ชูทยั (2555:142) ได้กลา่ วถงึ หลกั ความสำคัญและทฤษฎีการเรยี นรู้ทางจิตวทิ ยาเพ่อื
นาํ มาสรา้ งชุดฝกึ ทักษะ ดงั นี้
1. ความใกลช้ ดิ หมายถึง กรณที วี่ ่าถ้าใชส้ ิ่งเร้าและการตอบสนองที่เกดิ ขนึ้ ในเวลาใกลเ้ คียงกนั
จะสรา้ งความพอใจใหแ้ กผ่ เู้ รยี นเป็นอย่างมาก
2. การฝึก เปน็ การกระทำให้ผ้เู รยี นได้ทำซา้ํ ๆ เพื่อสรา้ งความรู้ความเขา้ ใจท่แี มน่ ยํา
3. กฎแหง่ ผล คือ การเรยี นรูไ้ ดท้ ราบผลปฏบิ ตั ิงานของตนด้วยมกี ารเฉลยคําตอบใหจ้ ะชว่ ย ให้
นักศกึ ษาทราบขอ้ บกพรอ่ งเพ่ือปรบั ปรุงตนเองเปน็ การสร้างความพอใจให้เกดิ ข้ึนแกผ่ ้เู รียน
4. กฎการจูงใจ คือ การจดั ชุดฝึกเรียงลำดับจากชดุ ที่งา่ ยไปหาชดุ ท่ยี ากขน้ึ ควรมภี าพประกอบและมี
หลายรสหลายรูปแบบ
Harless (2526-2-3) ไดแ้ นะนําว่า ชดุ ฝกึ ทกั ษะควรสร้างโดยใช้หลกั จติ วิทยาในการเรา้ และ
ตอบสนอง ดังนี้
1. เรา้ ใจใหน้ กั ศึกษาเกดิ ความสนใจโดยการทำชุดฝึกทักษะหลาย ๆ ชนิด
2. ใหน้ กั ศึกษามโี อกาสตอบสนองต่อสิ่งเรา้ ด้วยการแสดงออกทางความสามารถและความ เข้าใจใน
ชดุ ฝึกทกั ษะ
จากแนวคิดการสรา้ งชุดฝึกทักษะสรุปได้วา่ ในการสรา้ งชุดฝกึ ทกั ษะต้องคำนึงถงึ ปัญหาที่เกดิ ขึน้ อนั ดบั
แรกและสรา้ งใหต้ อบสนองการเรยี นร้ขู องนักเรยี นให้มากท่ีสดุ ทำใหเ้ ข้าใจง่าย มีจุดประสงคแ์ ละเน้ือตามเร่ือง
ท่ีจะจดั ทำชุดฝกึ ทกั ษะ
18
2. การหาคณุ ภาพ
2.1 การหาคุณภาพเชงิ เหตผุ ล
2.1.1 ความหมาย คือ กระบวนการหาประสิทธภิ าพโดยใช้หลกั ของความรู้และเหตุ
ผลในการตัดสนิ คุณคา่ ของสื่อการเรยี นการสอนโดยอาศยั ผู้เชี่ยวชาญเปน็ ผ้พู ิจารณาตดั สนิ คณุ ค่าซ่ึงเปน็ การหา
ความเที่ยงตรงเชงิ เน้ือหา (Content Validity) และความเหมาะสมในด้านความถูกต้องของการนำไปใช้
(Usability) ผลจากการประเมนิ ของผู้เช่ียวชาญแตล่ ะคนจะนำมาหาประสิทธิภาพโดยใช้สูตร
2.1.2 วิธกี าร
เมื่อ CRV แทน ประสิทธภิ าพเชงิ เหตุผล
Ne แทน จำนวนผู้เชีย่ วชาญทยี่ อมรับ
N แทน จำนวนผเู้ ช่ยี วชาญทง้ั หมด
ผู้เชย่ี วชาญจะประเมนิ สอื่ การสอนตามแบบการประเมนิ ท่สี รา้ งขึ้นในลักษณะของแบบสอบถามชนิด
มาตราสว่ นประมาณคา่ (Rating Scale) (นิยมใช้มาตราส่วน 5 ระดับ) นำคา่ เฉลย่ี ทีไ่ ดจ้ ากแบบประเมนิ ของ
ผเู้ ช่ียวชาญแต่ละคนไปแทนค่าในสูตร สำหรับค่าเฉลีย่ ของผู้เชี่ยวชาญทีย่ อมรบั จะต้องอยู่ในระดับมากขึ้นไป
คือ คา่ เลีย่ นตั้งแต่ 3.50-5.00 ค่าท่ีคำนวณได้ต้องสงู กวา่ คา่ ที่ปรากฏตามตารางจำนวนของผ้เู ช่ยี วชาญจงึ จะ
ยอมรับว่าสื่อมีประสิทธิภาพถ้าไดค้ ่าไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดต้องปรบั ปรงุ แกไ้ ขส่อื หรือนวตั กรรมและนำไปให้
ผู้เชีย่ วชาญพิจารณาใหม่
ตัวอย่างเช่น ผูเ้ ช่ยี วชาญทป่ี ระเมนิ เคร่ืองมอื หรือส่ือนวัตกรรมการสอนจำนวน 5 คน แต่ละคนคำนวนค่าเฉล่ยี
ได้ ดงั น้ี 4.15 3.89 4.67 4.32 และ 4.75
เมื่อพิจารณาคา่ เฉล่ียของผ้เู ช่ียวชาญแต่ละคน พบว่าไดค้ า่ เฉลยี่ นตัง้ แต่ 3.50 ทุกคน Ne จึงมคี ่า
เท่ากบั 5 ด้วยผลการแทนค่าในสูตร ไดด้ ังนี้
19
แสดงว่าเครอื่ งมือหรือสือ่ นวตั กรรมการสอนมีประสิทธภิ าพเชิงเหตุผล จงึ นำไปใชไ้ ด้ (เพราะเปน็ คา่ ที่
สงู กวา่ คา่ การยอมรบั ขั้นต่ำในตาราง)
ตารางแสดงจำนวนผู้เช่ียวชาญและค่าการยอมรับขั้นต่ำ
จำนวนผเู้ ช้ยี วชาญท้งั หมด ค่าการยอมรบั ขน้ั ตำ่
(N of Panelists) (Minimum Value of Acceptance)
3
5 .99
6 .99
7 .99
8 .99
9 .78
10 .75
11 .62
12 .59
13 .56
14 .54
15 .51
.49
2.2 การหาคณุ ภาพเชงิ ประจกั ษ์
2.2.1 ความหมาย คือ วิธีการนจี้ ะนําสื่อไปทดลองใช้กับกลุ่มนักเรียนเป้หมายการหา
ประสิทธภิ าพของหนงั สือ เช่น บทเรยี นคอมพิวเตอร์ (CAI) บทเรียนโปรแกรม เอกสารประกอบการเรยี น
แผนการสอน แบบฝึกทกั ษะ ชดุ ฝกึ ทักษะ เปน็ ตน้ สว่ นมากใชว้ ิธกี ารหาประสิทธิภาพดว้ ยวธิ ีนี้ประสิทธิภาพที่
วดั สว่ นใหญจ่ ะพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์การทำแบบฝึกหัดหรือกระบวนการเรียนหรือแบบทดสอบย่อยโดยแสดง
เปน็ ค่าตัวเลข 2 ตวั เชน่ E1 / E2 = 80/ 80, E1 / E2 = 85/ 85, E1 / E2 = 90/ 90 เป็นตน้
2.2.2 วธิ ีการ คือ เกณฑป์ ระสทิ ธภิ าพ (E1/E2) มีความหมายแตกตา่ งกันกลายลักษณะในที่นี้
จะยกตวั อย่าง E1/E2 = 80/80 ดังน้ี
1. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายท่ี 1 ตวั เลข 80 ตวั แรก (E1) คอื นักเรยี นทัง้ หมดทำแบบฝึกหดั หรอื
แบบทดสอบย่อยได้คะแนนเฉล่ียร้อยละ 80 ถือเปน็ ประสทิ ธิภาพของกระบวนการสว่ นตวั เลข 80 ตวั หลงั (E2)
คือนักเรียนทง้ั หมดท่ีทำแบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test) ได้คะแนนเฉลยี่ ร้อยละ 80 ส่วนการหาคา่ E1 และ
E2 ใชส้ ตู รดังน้ี
20
เมอ่ื E1 แทน ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยทน่ี ักเรียนท้ังหมดทำแบบฝึกหดั หรอื แบบทดสอบย่อยทุกชดุ
รวมกัน
∑x แทน คะแนนของแบบฝึกหดั หรือของแบบทดสอบยอยทุกชุดรวมกนั
A แทน คะแนนเตม็ ของแบบฝึกหดั ทุกชดุ รวมกนั
n แทน จำนวนนกั เรียนทั้งหมด
เมอ่ื E2 แทน รอ้ ยละของคะแนนเฉลย่ี ทน่ี ักเรยี นทั้งหมดทำแบบทดสอบหลงั เรยี น
∑y แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบหลงั เรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลงั เรยี น
n แทน จำนวนนักเรียนท้งั หมด
2. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 2 ตวั เลข 80 ตัวแรก (E1) คือ จำนวนนกั เรยี นร้อยละ 80 ทำ
แบบทดสอบหลังเรยี น (Post-test) ไดค้ ะแนนร้อยละ 80 ทุกคน สว่ นตัวเลข 80 หลงั (E2) คือ นกั เรียน
ทงั้ หมดทำแบบทดสอบหลงั เรียนครง้ั นัน้ ได้คะแนนเฉลี่ยรอ้ ยละ 80
เชน่ มีนักเรียน 40 คน รอ้ ยละ 80 ของ นกั เรียนทัง้ หมด คือ 32 แตล่ ะคนได้คะแนนจากการทดสอบ
ก่อนเรยี นถึงรอ้ ยละ 80 (E1) สว่ น 80 ตวั หลัง (E2) คือ ผลการทดสอบหลงั เรียนของนักเรยี นทัง้ หมด (40 คน)
ไดค้ ะแนนเฉลยี่ ร้อยละ 80
3. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายท่ี 3 ตวั เลขตัวแรก (E1) คือ จำนวนนกั เรียนท้ังหมดทำแบบทดสอบ
หลังเรยี น (Post-test) ไดค้ ะแนนเฉลยี่ รอ้ ยละ 80 ส่วน ตัวเลข 80 ตวั หลงั (E2) คือ คะแนน เฉลีย่ รอ้ ยละ 80
ทนี่ ักเรยี นท้งั หมดทำแบบทดสอบหลังเรียน ตวั เลข 80 ตัวหลัง (E2) สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ ดังนี้
สมมติว่า นักเรยี นทัง้ หมดทำแบบทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test) ไดค้ ะแนนเฉลีย่ รอ้ ยละ 10 แสดงว่า
แตกต่างจากคะแนนเต็ม(ร้อยละ100) เท่ากบั 90 ถา้ นักเรยี นท้งั หมดทำแบบทดสอบหลงั เรียน (Post- test) ได้
คะแนนเฉลย่ี รอ้ ยละ 85 แสดงวา่ มคี วามแตกตา่ งของการสอบ 2 ครง้ั นี้ (ก่อนเรียนและหลังเรยี น) เท่ากบั 85-
10 = 75 ดงั น้นั คา่ ของ =(75/90)×100 = 83.33% ถือวา่ สูงว่าเกณฑ์ทกี่ ำหนดไว้ (E ํ2 = 80) 4. เกณฑ์
80/80 ในความหมายที่ 4 ตวั เลข 80 ตัวแรก (E1) คอื นักเรียนท้งั หมดทำแบบทดสอบทดสอบหลังเรียนได้
คะแนนเฉลย่ี ร้อยละ 80 สว่ นตวั เลข 80 ตวั หลงั (E2) หมายถึง นักเรยี นทง้ั หมดทำแบบทดสอบหลังเรยี นแตล่ ะ
ขอ้ ถูกมจี ำนวนร้อยละ 80 (ถ้านักเรียนทำข้อสอบข้อใดถูกมีจำนวนนกั เรียนไม่ถงึ รอ้ ยละ 80 แสดงว่าส่ือไม่มี
ประสทิ ธภิ าพและช้ีใหเ้ ห็นว่าจดุ ประสงคท์ ่ีตรงกับข้อน้นั มคี วามบกพร่อง)
21
กล่าวโดยสรปุ ไดว้ า่ เกณฑ์ในการหาประสิทธภิ าพของสือ่ การเรียนการสอนจะนยิ มตง้ั เป็นตวั เลข 3
ลักษณะ คอื 80/80, 85/85, และ90/90 ทง้ั น้ีข้ึนอยู่กบั ธรรมชาตขิ องวชิ าและเนอื้ หาท่นี าํ มาสรา้ งสือ่ นนั้ ถ้าเป็น
วชิ าทคี่ อ่ นข้างยากก็อาจตั้งเกณฑไ์ ว้ 80/80 หรอื 85/85 สำหรบั วิชาทม่ี เี น้ือหางา่ ยก็อาจตัง้ เกณฑไ์ ว้ 90/90
เมอ่ื คํานวณแลว้ ค่าท่ีถอื ว่าใช้ไดค้ อื 87.50/87.50 หรือ 87.50/90 เป็นตน้
เครอ่ื งมอื การวจิ ัย
1. ความหมาย
คือเคร่ืองมอื อุปกรณ์หรือส่ิงที่ใชเ้ ปน็ สอื่ สำหรบั นกั วจิ ัย ใชใ้ นการรวบรวมข้อมลู ตามตัวแปรในการ
วจิ ยั ที่ กำหนดไว้ ขอ้ มลู ดังกล่าว อาจเป็นได้ทั้งข้อมลู เชงิ ปริมาณ และ ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพ
2. การจำแนกประเภท
1. แบบทดสอบ (test) คือ ชุดของคำถาม งานหรือสถานการณ์ที่กำหนดขนึ้ เพ่อื ใชเ้ ป็นส่ิงเร้าให้บคุ คล
แสดงพฤตกิ รรมตอบสนองออกมาซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวน้ีมีความหมายครอบคลุมท้ังดา้ นพุทธพิ ิสัย จติ พสิ ัยและ
ทกั ษะพิสัยแบบทดสอบ(ข้อสอบ)เปน็ เครอ่ื งมอื หลักท่ีครูต้องใชว้ ัดผลการเรยี นของผเู้ รยี นมาโดยตลอด
2. แบบสงั เกต (observation form) คือ เครือ่ งมือท่ีใช้ประกอบการสงั เกตเป็นชุดของพฤติกรรมที่
ผวู้ ิจยั ต้องการศึกษาแบบสงั เกตมหี ลายชนดิ เช่น ระเบียนพฤติกรรมแบบตรวจสอบรายการ (checklist) และ
แบบจัดอันดับคุณภาพ (rating scale) การสังเกตเป็นวิธีการซึ่งใช้ประสาทสัมผัสของผสู้ ังเกต โดยเฉพาะตา
และหเู พื่อตดิ ตามศึกษาพฤติกรรมทบี่ ุคคลทแ่ี สดงออกได้ทุกดา้ นแบบสังเกตเป็นเคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ท่ี
ผูว้ ิจัยสามารถใช้ได้ตลอดเวลา
3. แบบสัมภาษณ์ (Interview form) คือ เครอื่ งมือทใี่ ชป้ ระกอบการสมั ภาษณ์จะเป็นแบบบันทึกคำให้
สัมภาษณซ์ ึ่งผูส้ ัมภาษณ์สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการรวบรวมข้อมลู ลกั ษณะของแบบสัมภาษณ์
อาจจะคล้ายกับแบบสอบถามนอกจากนีย้ งั มเี คร่ืองมอื ที่ใชป้ ระกอบในการสมั ภาษณเ์ ป็นสื่อประเภทเครอื่ ง
บันทึกเสยี งซ่งึ ใช้อำนวยความสะดวกในการบันทึกรายละเอียดของข้อมูลช่วยใหผ้ สู้ มั ภาษณ์พจิ ารณาย้อนทวน
ขอ้ มูลไดแ้ ละสามารถสรปุ ข้อมลู ได้อย่างถูกต้องชัดเจน
4. แบบสอบถาม (questionnaire) คือ เครื่องมือทีใ่ ชว้ ดั พฤตกิ รรมภายในของบุคคลเกีย่ วกบั
ความรสู้ ึก ความคิดเห็น เจตคติ ความสนใจ ซึ่งกล่าวไดว้ า่ เปน็ พฤติกรรมด้านจติ พิสัยน่ันเองนอกจากนยี้ ัง
เหมาะสำหรับศึกษาข้อมลู สว่ นตวั ของบุคคลดว้ ยแบบสอบถามมีลักษณะเปน็ ชดุ ของคำถามท่สี ร้างขึ้น เพื่อให้
ศกึ ษาหาข้อมลู ตามจุดประสงค์
5. แบบประเมินการปฏบิ ตั ิ (performance assessment form) คอื เครื่องมือทใ่ี ชป้ ระกอบการ
ประเมินการใหป้ ฏิบตั ิจรงิ มักเปน็ แบบบันทกึ ผลการปฏบิ ัตติ ลอดกระบวนการโดยการให้ปฏบิ ัติเปน็ รปู
แบบหรอื วิธกี ารที่กำหนดขึ้นเพอื่ วดั ความสามารถในการปฏิบตั งิ านหรอื ปฏิบัติกิจกรรมท่จี ัดเป็นพฤติกรรมด้าน
ทกั ษะพสิ ัย เช่น เรม่ิ วดั ตง้ั แต่ความสามารถในการเตรียมงานวดั การลงมือปฏบิ ัติในแต่ละข้ันตอนวัดผลงานและ
วดั พฤติกรรมดา้ นจติ พสิ ัยบางประการ
22
3. ขั้นตอนการหาคณุ ภาพ
3.1 การหาคา่ ความเทย่ี งตรงเชิงเนอ้ื หา (Content Validity)
3.1.1 ความหมาย หมายถึง เนอ้ื หาคำถามตรงตามกับสง่ิ ที่ต้องการจะวัดหรือวตั ถุ
ประสงคแ์ ละเป็นไปตามสดั ส่วนของความสำคญั ในแตล่ ะเน้ือหาด้วย โดยการหาความสอดคลอ้ งกนั ระหว่างขอ้
คำถามแต่ละขอ้ กับจุดประสงค์ (Index of Item - Objective Congruence หรอื IOC)
สูตรคำนวณ IOC = ER/N
เม่ือ ER แทน ผลรวมของคะแนนการพิจารณาของผู้เชีย่ วชาญ
N แทน จำนวนผเู้ ชย่ี วชาญ
เกณฑ์การตัดสินค่า IOC ถา้ มีค่า 0.50 ข้ึนไปแสดงวา่ ข้อคำถามนน้ั วดั ได้ตรงจุดประสงค์นั้นสรุปว่าข้อคำถามข้อ
นน้ั ใช้ได้
3.1.2 วิธีการหาคา่ ความเทย่ี งตรง
1. การประเมินคา่ ดรรชนคี วามสอดคล้อง (Index of item objective congruence : IOC )
จากสตู ร
IOC คือ ดัชนคี วามสอดคล้องA
R คือ คะแนนการพจิ ารณาของผ้เู ช่ยี วชาญ
คอื ผลรวมของคะแนนพจิ ารณาของผเู้ ชย่ี วชาญ
N คอื จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
กำหนดคะแนนของผ้เู ชีย่ วชาญเป็น +1 หรอื 0 หรอื -1 ดังน้ี
+1 คือ แน่ใจว่าข้อสอบข้อนนั้ วัดจุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมท่ีระบุไวจ้ ริง
0 คอื ไมแ่ นใ่ จว่าข้อสอบนน้ั วัดจดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรมท่ีระบไุ ว้
-1 คอื แนใ่ จว่าข้อสอบขอ้ น้นั ไม่ไดว้ ดั จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมท่ีระบุ
เกณฑ์การแปลความหมาย
ค่าดัชนีความสอดคล้องทีย่ อมรบั ไดต้ ้องมคี ่าต้งั แต่ 0.50 ขนึ้ ไป
2. การหาดัชนีความเท่ยี งตรงของเนื้อหา (Content Validity Index: CVI)
การหาคา่ ดัชนีความเทย่ี งตรงเชงิ เนอื้ หา เวลาส่งไปให้ผเู้ ช่ียวชาญพจิ ารณาประเมนิ ความสอดคล้องจะ
มี 4 ระดบั คือ 1 – ไม่สอดคล้อง (not relevant ) 2 – สอดคล้องบางสว่ น (somewhat relevant) 3 -
ค่อนข้างสอดคล้อง (quite relevant) 4 – มคี วามสอดคล้องมากเวลานำไปคำนวณหาคา่ ดัชนคี วามเท่ียงตรง
เชงิ เน้ือหาข้อที่ได้รบั การประเมนิ 3 หรือ 4 เท่านน้ั จงึ จะนบั ว่ามคี วามเท่ียงตรงเชงิ เน้ือหาดังน้นั ในลักษณะการ
คำนวณจริง จงึ มีลกั ษณะเป็นข้อมูลทวิ (dichotomous) คือ ไมส่ อดคล้อง (1 หรือ 2) และสอดคล้อง (3 หรือ
23
4) ในการหาความเท่ยี งตรงเชิงเนอ้ื หาจะต้องใช้ผเู้ ชย่ี วชาญเป็นประเมนิ โดยควรใชอ้ ย่างน้อยจำนวน 3 คน แต่
ไมค่ วรเกนิ 10 คน เพราะถือว่าเกินความจำเป็น(Lynn,1986)
การคำนวณ การหาดชั นีความเท่ยี งตรงรายข้อ (Item content validity ; I-CVI) หาไดจ้ ากจำนวน
ผเู้ ช่ยี วชาญทป่ี ระเมินข้อความถามน้ันในระดบั ความสอดคล้อง (ประเมินระดบั 3 หรอื 4 ) หารด้วยจำนวน
ผเู้ ชย่ี วชาญท้งั หมดให้พจิ ารณาจากตวั อย่าง
สูตรคำนวณ CVI = I-CVI =Nc
N
เมือ่ Nc แทน จำนวนผู้เชย่ี วชาญท่ีประเมินข้อคำถามในระดบั สอดคล้อง
N แทน จำนวนผ้เู ชยี่ วชาญทง้ั หมด
3. การหาอัตราส่วนความเท่ียงตรงของเนื้อหา (Content Validity Ratio: CVR)
(Lawshe : 1975) กลา่ วไวว้ า่ เปน็ วธิ ีประเมนิ ความตรงของขอ้ คำถามแต่ละขอ้ ของแบบวัดให้
ผู้ทรงคุณวฒุ ิประเมินโดยใชม้ าตรวดั 3 ระดับ คอื
1 หมายถึง จำเป็น
2 หมายถึง เป็นประโยชนแ์ ต่ไมจ่ ำเป็น
3 หมายถึง ไม่จำเป็น
สูตรคำนวณ CVR = ne – N/2
N/2
เม่อื Ne แทน จำนวนผทู้ รงคุณวฒุ ิท่ีตอบ “จำเป็น”
N แทน จำนวนผทู้ รงคุณวฒุ ทิ ง้ั หมด
3.2 การหาคา่ ความเชอื่ ม่ัน (Reliability)
3.2.1 ความหมาย หมายถึง ความคงท่ีความมั่นคงหรือความสม่ำเสมอของผลการวัด เช่น
ถ้านาํ แบบทดสอบไปวัดสิ่งเดียวกันสองคร้งั แล้วได้ผลไมแ่ ตกต่างกนั ถือว่ามคี วามคงที่ของผลคะแนนท่ีไดส้ งู อกี
กรณหี นง่ึ ก็คอื ถ้าให้ทำแบบทดสอบฉบบั เดียวกนั สองคร้ังในเวลาต่างกันและได้คะแนนเกือบเท่ากนั ทงั้ สองครง้ั ก็
จะหมายความว่าแบบทดสอบน้นั มีความเชื่อมน่ั สงู ค่าของความเชื่อมนั่ แสดงเป็นตวั เลขที่มีคา่ ไม่เกนิ 1.00 หรอื
100% ซ่ึงเรยี กว่า สมั ประสิทธ์ิ (Coefficient) ถ้าแบบทดสอบมคี ่าสมั ประสิทธส์ิ งู ก็แสดงว่ามคี วามเชื่อมนั่ สงู
24
3.2.2 วิธกี ารหาคา่ ความเชอื่ มน่ั
1. การทดสอบซำ้ (Test-Retest Reliability) เป็นการทดสอบหาความเช่ือมั่นของแบบทดสอบโดย
การทำแบบทดสอบฉบับเดยี วกัน 2 ครง้ั ในเวลาต่างกันหลงั จากน้นั จึงนําค่าทีไ่ ด้จากการทดสอบท้งั 2 คร้ังไปหา
ค่าสหสมั พันธ์เพื่อหาความสอดคล้องของผลการทดสอบโดยใช้ สูตรของเพยี ร์สัน (PearsonProduct-
Moment Correlation) ค่าสมั ประสทิ ธทิ์ ีค่ ํานวณได้ เรยี กว่า สัมประสทิ ธ์ขิ องความคงท่ีถ้าได้ค่าสมั ประสทิ ธิส์ ูง
กห็ มายความว่าแบบทดสอบฉบบั นีม้ คี วามเชอ่ื ม่ันสงู ปัญหาของการทดสอบเพ่ือหาคา่ ความเช่ือมนั่ วธิ นี ี้ก็ คอื
ระยะห่างของเวลาการทดสอบท้ัง 2 ครัง้ ถา้ ระยะเวลาใกล้กันมากเกนิ ไปการทดสอบครั้งแรกก็ย่อมส่งผลถงึ
การทดสอบคร้ังหลังเน่ืองจากผู้สอบยังจำข้อสอบได้อยู่ซงึ่ มีผลต่อคา่ สหสัมพันธ์ที่ได้แต่ถ้าระยะเวลาห่างกนั มาก
กจ็ ะให้ผลที่ตรงกนั ข้าม
สูตรท่ใี ช้ในการหาค่าสหสัมพันธ์ของเพยี ร์สัน
2.วิธกี ารแบบคู่ขนาน (Parallel Form Method
3.วิธีการแบบแบ่งคร่งึ ฉบับ (Split – Half Method)
4.วิธกี ารของคูเดอร์-รชิ าดสนั (Kuder – Richardson)
5.วธิ ีหาสมั ประสิทธิแ์ อลฟา (α- Coefficient)
ระดับความพงึ พอใจ
1. ความหมาย
คอื ระดับ ความร้สู ึกของบุคคลวา่ รสู้ ึกพอใจ ถูกใจ หรือผดิ หวัง อนั เป็นผลมาจากการเปรียบเทียบ
ระหว่าง ผลงานทีไ่ ดร้ ับร้จู ากสินค้าหรือบริการกับความคาดหวังของบคุ คลนัน้ ๆ ดงั น้ันระดบั ความพึงพอใจ จะ
สมั พันธ์กับความแตกตา่ งระหว่างผลงานท่ีไดร้ บั รู้ความคาดหวงั
2. เครื่องมือวัดระดับความพึงพอใจ
1. การใช้แบบสอบถาม โดยผอู้ อกแบบสอบถาม ต้องการทราบความคิดเห็นซึ่งสามารถกระทำได้
ในลกั ษณะกำหนดคำตอบใหเ้ ลือก หรือตอบคำถามอิสระ คำถามดังกล่าว อาจถามความพอใจในด้านต่าง ๆ
เพือ่ ให้ผูต้ อบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดยี วกัน มกั ใช้ในกรณีทตี่ อ้ งการข้อมลู กลุ่มตวั อยา่ งมาก ๆ วธิ ีน้นี ับเป็นวิธีท่ี
นยิ มใชก้ นั มากทส่ี ุดในการวัดทศั นคติ รปู แบบของแบบสอบถามจะใชม้ าตรวดั ทัศนคติ ซึ่งที่นยิ มใช้ในปัจจบุ ันวธิ ี
หน่ึง คอื มาตราสว่ นแบบลิเคิร์ท ประกอบด้วยข้อความทีแ่ สดงถึงทศั นคตขิ องบุคคลที่มตี ่อส่งิ เรา้ อยา่ งใดอย่าง
หนึง่ ทม่ี คี ำตอบทแ่ี สดงถึงระดับความรู้สกึ 5 คำตอบ เช่น มากท่ีสดุ มาก ปานกลาง น้อย น้อยทสี่ ดุ
25
2. การสัมภาษณ์ เป็นวธิ ีการท่ผี ้วู ิจยั จะต้องออกไปสอบถามโดยการพดู คุย โดยมกี ารเตรยี ม
แผนงานลว่ งหน้า เพ่ือให้ได้ข้อมลู ที่เป็นจรงิ มากที่สดุ
3. การสงั เกต เปน็ วธิ วี ัดความพึงพอใจ โดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายไมว่ า่ จะ
แสดงออกจากการพูดจา กริยา ท่าทาง วธิ ีนต้ี ้องอาศัยการกระทำอย่างจริงจงั และสงั เกตอยา่ งมีระเบียบแบบ
แผน วธิ นี ้ีเปน็ วธิ ีการศึกษาทเ่ี ก่าแก่ และยงั เป็นท่ีนยิ มใชอ้ ย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน
3. วธิ กี ารสรา้ งเคร่ืองมือวดั ระดับความพึงพอใจ
3.1 แบบสอบถาม เปน็ เคร่ืองมือวิจยั ชนิดหน่งึ ทนี่ ยิ มกันมาก เพราะการเก็บรวมรวมข้อมูลสะดวก
และสามารถใช้วดั ได้อย่างกวา้ งขวาง การเก็บข้อมูลดว้ ยแบบสอบถามสามารถทาได้ดว้ ยการสมั ภาษณ์ด้วย
ตวั เองหรอื ให้ผตู้ อบตอบดว้ ยตนเอง
หลักการสรา้ งแบบสอบถาม
1. สอดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์การวิจัย
2. ใช้ภาษาทเ่ี ข้าใจงา่ ย เหมาะสมกับผ้ตู อบ
3. ใช้ข้อความทส่ี ้ัน กะทดั รัด ได้ใจความ
4. แต่ละคำถามควรมีนัย เพียงประเด็นเดียว
5. หลกี เล่ียงการใช้ประโยคปฏเิ สธซ้อน
6. ไม่ควรใช้คำย่อ
7. หลกี เลี่ยงการใช้คำทเี่ ปน็ นามธรรมมาก
8. ไมช่ ้นี ำการตอบใหเ้ ป็นไปแนวทางใดแนวทางหนึ่ง
9. หลีกเลย่ี งคำถามทีท่ ำให้ผูต้ อบเกดิ ความลำบากใจในการตอบ
10. คำตอบทม่ี ีใหเ้ ลือกต้องชัดเจนและครอบคลุมคำตอบที่เปน็ ไปได้
11. หลีกเล่ยี งคำทส่ี ื่อความหมายหลายอย่าง
3.2การสรา้ งสัมภาษณ์
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังน้ี
1) การสัมภาษณแ์ บบไมม่ ีคำถามแนน่ อน (Unstructured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ท่ี
ไม่มีกำหนดคำถามทแ่ี น่นอนตายตวั หรอื หากมีการกำหนดไว้บ้างก็เปน็ คำถามประเด็นหลัก ในการสัมภาษณ์ก็
ไม่จำเปน็ ต้องใชค้ ำถามเหมือนกัน การเรียงลำดบั คำถามก็ไมต่ ้องเหมอื นกนั ผู้ถามสามารถปรบั เปลย่ี นให้เหมาะ
กับสถานการณ์และผู้ตอบ เป็นการสมั ภาษณ์ทยี่ ดื หยนุ่ และเปิดกวา้ ง ผู้ถามมอี ิสระในการถามเพื่อให้ได้คำตอบ
ตามจดุ มุง่ หมายของการวจิ ยั ข้อมูลที่ได้รบั ไมน่ ยิ มเอามาเปรยี บเทียบกนั ไมไ่ ด้มุง่ เอามาพิสูจน์สมมุติฐาน
นอกจากน้คี ำถามที่ใชแ้ ละคำตอบที่ได้รบั อาจนำมาใช้ประโยชนใ์ นการสรา้ งแบบสมั ภาษณ์ สำหรับใชใ้ นการ
สมั ภาษณ์แบบมคี ำถามที่แน่นอนในครัง้ ต่อ ๆ ไปได้
26
2) การสัมภาษณ์แบบมีคำถามท่ีแน่นอน (Structured Interview) เป็นการสมั ภาษณ์ท่ีมีการ
กำหนดข้อคำถามไว้ล่วงหนา้ และในการสัมภาษณ์ผ้ตู อบแต่ละคนจะต้องไดร้ บั การถามเช่นเดยี วกัน และใน
ลำดบั ข้ันตอนเดียวกนั ด้วย ดงั นน้ั การสัมภาษณ์แบบนจ้ี ำเป็นตอ้ งใช้แบบสมั ภาษณ์ท่ีจัดเตรยี มไวก้ ่อน การ
สัมภาษณ์แบบมีคำถามแน่นอนช่วยให้ผถู้ าม ถามตรงประเด็นท่ตี อ้ งการ ไม่ออกนอกเร่ือง ไม่เกินขอบเขตที่
กำหนดไว้ และข้อมูลท่ีได้รับสามารถนำมาเปรยี บเทียบกนั ได้
วธิ ีการสร้าง
การสร้างแบบสมั ภาษณ์มีขน้ั ตอนน้อยกว่าประเภทอื่นๆ เพราะมักเปน็ คำถามกวา้ งๆให้ผูต้ อบ ตอบ
โดยอสิ ระและได้ข้อมูลทเี่ ปน็ ความจริงมากทส่ี ุด ซ่ึงมี 3 ข้ันตอนสำคญั คือ
1. ศกึ ษาทฤษฎี หลักการ ตัวแปร หรอื ประเด็นสำคญั ที่ต้องการทราบข้อมลู
2. สรา้ งข้อคำถามให้สัมพนั ธก์ ับประเด็นหรอื คำสำคญั ทีต่ ้องการทราบข้อมลู โดยยดึ หลกั ดังนี้
2.1 ไม่ใช้คำถามท่ีเป็นการชีน้ ำให้เกดิ คำตอบท่ีต้องการ
2.2 ไมใ่ ชค้ ำถามทท่ี ำใหผ้ ูต้ อบรสู้ กึ ต่อต้าน หรือทำให้เกดิ อคติในการตอบข้อมลู
2.3 ไม่ใชค้ ำถามทเ่ี ป็นความขัดแยง้ ค่านิยมของสังคม เพราะผ้ตู อบจะตอบตามคา่ นิยมทำให้
ไมไ่ ดร้ ับความจรงิ
3. นำแบบสมั ภาษณ์ที่ออกแบบข้อคำถามไปตรวจสอบความตรงเชิงเนอื้ หา
4. นำแบบสัมภาษณท์ ี่ผ่านการทดสอบความตรงทดลองใช้กบั ผูท้ ม่ี ีลักษณะใกล้เคยี ง
3.3 การสร้างแบบสังเกต
1. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรดู้ ้านทกั ษะพิสยั ที่ต้องการประเมินให้ชัดเจน ขนั้ ตอนท่ี
2. เลอื กงานหรอื กิจกรรมที่เป็นตัวแทนของพฤตกิ รรมตามจุดประสงค์การเรยี นรทู้ ่ตี ้องการประเมิน
ขั้นตอนท่ี
3. พจิ ารณาจากงานท่ีเลือกว่าควรประเมินลกั ษณะใด ระหว่างประเมนิ กระบวนการ ประเมนิ ผล
งาน หรอื ประเมนิ ทงั้ กระบวนการและผลงาน
4. การประเมินระดบั ความพึงพอใจดว้ ยคา่ เฉลย่ี
ในการวจิ ยั หรือการทาโครงงาน การวเิ คราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถาม แบบสำรวจ โดยการ
วเิ คราะห์ค่าเฉลยี่ คาตอบของกลุ่มตัวอยา่ งการหาค่าเฉลยี่ ของกลมุ่ ตัวอย่างแต่ละข้อ หาได้โดยการเฉลี่ยจากคา่
น้ำหนักของข้อมลู ท่ีได้เพราะข้อมูลท่ีได้มคี ่าน้ำหนกั ต่างกนั จงึ ต้องใช้สตู รจากการคานวณทางสถติ ิ คือ
mean x = (w1x1+w2x2+w3x3+...+wnxn)/n
27
ผลสัมฤทธก์ิ ารเรียนรู้
1. ความหมาย
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ผลทเี่ กดิ จากกระบวนการเรยี นการสอนท่จี ะทำให้ นักเรยี นเกดิ
การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรม และสามารถวดั ได้โดยการแสดงออกมาทงั้ 3 ดา้ น คือ ดา้ นพุทธพิ ิสยั ด้าน จิตพิสัย
และด้านทักษะพิสยั การวดั และประเมินผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิทยาศาสตร์
2.2 การจำแนกประเภท
2.2.1 ดา้ นความรู้ (Knowledge: K)
แบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภทคือ
(1.1) เนือ้ หาสาระของวิชานกั คิด คือ สาระวิชาที่ผเู้ รยี นตอ้ งเรียนรู้ ประกอบด้วยเครอ่ื งมือช่วยคดิ
กระบวนการคดิ ทกั ษะการคิด
(1.2) ความรู้บรู ณาการ คอื สาระเร่ืองราวต่าง ๆ ที่เป็นสภาพการณท์ ่ีกำหนดสภาพแวดลอ้ มรอบตัว
ปัญหาในชีวิตประจำวัน ทีถ่ กู นำมาคิด ซ่งึ เนื้อหาจะเป็นสาระของวิชาใดก็ได้ จึงเปน็ ความร้เู ชงิ บรู ณาการ
2.2.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (Process/Product: P
คอื กระบวนการจัดการเรยี นการสอนเพอื่ พัฒนากระบวนการคดิ ทเ่ี น้นการฝึกปฏิบตั ิจรงิ ไดส้ ร้างผ้เู รียนใหเ้ กิด
ทักษะชีวติ พน้ื ฐาน ๗ ประการ ได้แก่
(1) ทกั ษะการรูจ้ กั ตนเอง
(2) ทกั ษะการคิด การตัดสนิ ใจและการแก้ปัญหา
(3) ทักษะการแสวงหาข้อมลู ขา่ วสาร ความรู้
(4) ทกั ษะการปรับตัว
(7) ทักษะการสอื่ สารและสร้างสมั พันธภาพ
(8) ทักษะการวางแผน และการจดั การ
(9) ทักษะการทำงานเป็นทมี
2.2.3 ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์(Attribute: A) คุณลักษณะที่ปลูกฝงั ของรายวชิ า
ไดแ้ ก่ ใจกว้าง ขยนั ใฝ่เรยี นใฝร่ ู้ กระตือรือร้นช่างคดิ ผสมผสาน ขยนั ตอ่ สู้ อดทน เปน็ ธรรม มัน่ ใจในตนเอง
ชา่ งวเิ คราะห์ กล้าคิดกล้าเสี่ยง มีน้ำใจ น่ารกั นา่ คบ เปน็ ต้น จากองคค์ วามรขู้ องการจัดการเรียนการสอนเพอ่ื
พฒั นากระบวนการคิดดังกล่าว ได้เปน็ แนวทางให้ ครผู ู้สอนดำเนนิ การจดั การเรียนการสอน โดยการจดั
ประสบการณ์ สภาพการณห์ รือสิง่ เร้ามากระตุ้นให้ผู้เรียนได้เกิดการคิดตามองค์ประกอบของความคิดอัน
ประกอบดว้ ย เครอ่ื งมือช่วยคดิ ทักษะการคดิ คณุ สมบัติทเ่ี ออ้ื ต่อการคิดเพื่อให้ผเู้ รียนมีด้านความรู้
28
2.3 วธิ /ี เคร่ืองมือวัดและประเมนิ ผล
2.3.1 ด้านความรู้ (Knowledge: K
1. ข้อสอบแบบถกู -ผิด (True-false)
2. ขอ้ สอบแบบจับคู่ (Matching)
3. ข้อสอบแบบเลอื กตอบ (Multiple choice)
4. ข้อสอบแบบตอบส้นั (Short answer)
5. ข้อสอบแบบความเรียง (Essay)
2.3.2 ด้านทกั ษะกระบวนการ (Process/Product: P
1. แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น (Achievement test)
2. แบบทดสอบวินจิ ฉยั (Diagnostic test)
3. แบบทดสอบวัดเชาวน์ปัญญาและความถนดั (Intelligence and aptitude test)
2.3.3 ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์(Attribute: A
1. แบบสงั เกต (Observation form) เป็นเครื่องมือทีส่ ามารถวัดไดต้ รงกบั สภาพความเป็นจริง
มากท่ีสดุ เปน็ วิธีการวัดท่ีให้ผู้อนื่ ประเมนิ แบง่ ออกได้เปน็ 2 รปู แบบคือ
1.1 แบบสงั เกตที่มีโครงสร้าง (structured observation form) เป็น
แบบสังเกตทีป่ ระกอบดว้ ยรายการข้อคำถาม
1.2 แบบตรวจสอบรายการ (check-list) จะประกอบดว้ ย รายการทใ่ี หผ้ ู้สังเกตระบเุ พียงสอง
ทางเลอื กเช่น มีหรอื ไม่มี เกดิ หรอื ไม่เกิด ใชห่ รอื ไม่ใช่ รวมทั้งการระบคุ วามถีข่ องการวัด
งานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง
1. งานวจิ ยั ที่ทำการทบทวน
การทำวิจัยในชน้ั เรียนเรื่อง การพฒั นาการสรา้ งโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ ของนักเรยี น
ระดับช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใช้ชดุ ฝกึ ทกั ษะทำการทบทวนงานเฉพาะวจิ ยั ท่เี กย่ี วข้องหรือสอดคล้องกับการ
ใช้ชดุ ฝึกทกั ษะ วธิ ีการสอนแบบสาธติ เทคนิค Think-Pair-Share พฒั นา/แก้ปัญหาผลสมั ฤทธิก์ ารเรียนรู้เรื่อง
การพัฒนาการสรา้ งโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ของนักเรียนระดับชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 2 โดยใชช้ ดุ ฝึก
ทักษะ ของนักเรียนระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 อำเภอสงู เมน่ จงั หวดั แพร่ ผลการทบทวนดงั กลา่ วนำเสนอ
ตามลำดับ ดังน้ี
1.1 นางสาววันนิสา คลงั คนเก่า (2563) ทำการวิจยั เรอ่ื งการใชช้ ดุ ฝึกทักษะเรื่องการคณู ทมี่ ีต่อ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนวัดมณฑลประสิทธ์ิ (อาจธวชั ประชานกุ ลู )
โดยมวี ัตถุประสงค์การวจิ ยั เพ่ือ1) ศึกษาผลของการใช้ชุดฝกึ ทักษะ เรื่องการคณู ทมี่ ีต่อผลการเรยี นของ
นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบา้ นปากถัก 2)เปรียบเทียบผลการเรียนก่อนและหลังเรียน เรอื่ งการ
คูณของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรยี นวดั มณฑลประสทิ ธิ์ (อาจธวัชประชานกุ ูล)
ผลการวิจัยพบวา่ ชดุ ฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรือ่ งการคูณทำใหน้ กั เรยี นมผี ลสมั ฤทธิ์ ทางกาเรยี นสงู ขึ้น ดูจากผล
29
การทดสอบก่อนเรยี นจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ได้คะแนนเฉลย่ี 12 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 6.89 คดิ เป็น
รอ้ ยละ 60 ผลการทดสอบหลังเรยี นจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ไดค้ ะแนนเฉลยี่ 14.09 ส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน 9.49 คิดเปน็ ร้อยละ 74.81 เพ่ิมขนึ้ ร้อยละ 14.09 ซึ่งพบวา่ ผลการเรียนรหู้ ลังเรียนสงู กว่าผลการ
เรียนรู้กอ่ นเรียน เมื่อนา ไปคำนวณหาคา่ T ใน ตารางนั้นคะแนนทดสอบหลงเั รียนมีคา่ มากกว่า ทดสอบก่อน
เรียน มคี า่ สถติ ทิ ่ีได้เท่ากบั 1.147
1.2 นางสาวพิสมร ชเู อม(2561) ทำการวิจยั เร่ืองการพัฒนาความสามารถในการพดู ของนักเรียน
ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการใชเ้ ทคนคิ เพือ่ นค่คู ิดกับนกั เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นโรงเรยี น
เซนต์ฟรงั ซีสซาเวยี รค์ อนแวนต์ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการพูดของ
นกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรดู้ ้วยการใชเ้ ทคนคิ เพื่อนคู่คดิ 2) ศึกษาความ
คดิ เห็นของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 4 ที่มีตอ่ การจดั การเรียนรู้ดว้ ยเทคนคิ เพ่ือนคู่คิด ผลการวจิ ยั พบว่า
1.ความสามารถในการพูดของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 หลังการจัดการเรยี นร้ดู ว้ ยการใช้เทคนิค
เพ่อื นคคู่ ิด มีคะแนนเฉล่ยี สงู กวา่ ก่อนการจดั การเรียนรู้อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05
2.ความคดิ เห็นของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ที่มีตอ่ การจดั การเรยี นรู้ดว้ ยเทคนิคเพ่ือนคู่คิดอย่ใู น
ระดับมาก
1.3 เยาวมาลย์ อรัญ (2561) ทำการวจิ ยั เรอื่ ง การพัฒนาชดุ กิจกรรมการเรียนโดยใชเ้ ทคนคิ
เดย่ี ว-คดิ ร่วมกัน(Think-Pair-Share) เพือ่ ส่งเสรมิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ สำหรบั นักเรียนชน้ั
ประถมศึกษาปีที่ 6 กบั นักเรยี นระดบั ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรยี นบา้ นบอ่ พระ โดยมีวัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย
เพอื่ 1) พัฒนาชดุ กจิ กรรมการเรียนรวู้ ิชาวทิ ยาศาสตร์ โดยใชเ้ ทคนคิ คิดเดีย่ ว -คิดคู่ - คดิ รว่ มกัน (Think-Pair-
Share)นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 6 2)ส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรยี นช้นั
ประถมศกึ ษาปีที่ 6 3) เพื่อศึกษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6
4) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนกั เรยี นต่อชุดกิจกรรมการเรยี นรูว้ ชิ าวทิ ยาศาสตร์ โดยใช้ เทคนิคคดิ เดี่ยว-คิด
ค-ู่ คดิ ร่วมกนั (Think-Pair-Share) ผลการวจิ ยั พบว่า ) 1) ประสิทธภิ าพของชดุ กิจกรรมการเรยี นกบั เทคนิคคดิ
เดยี่ ว-คดิ คูค่ ดิ รว่ มกัน (Think-Pair-Share) มคี ่าเท่ากบั 80.33/80.00 2) ภาพโดยรวมนกั เรียนสว่ นใหญ่มี
ทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตรอ์ ยใู่ นระดบั ดีมาก และพฤติกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้เทคนิคคิดเดีย่ ว-คิด คิด
รว่ มกัน (Think-Pair-Share) นักเรียนทกุ คนมีคะแนนพฤติกรรมการเรียนร้รู ะดบั ดีมาก 3) นักเรยี นมีผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนหลงั ใชช้ ุดกิจกรรมการเรียน ผา่ นเกณฑ์ไม่ตำ่ กว่ารอ้ ยละ 80 จำนวน 14 คน คิดเปน็ ร้อยละ 70
และมีนักเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 6 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 30 4) นักเรยี นมีความพึงพอใจต่อชดุ กจิ กรรมการ
เรียน โดยใชเ้ ทคนิคคิดเด่ยี ว-คดิ คู่-คิดร่วมกนั (Think Pair-Share) ภาพโดยรวมอยู่ในระดบั มากทส่ี ุด (Mean =
4.70, SD = 0.495)
30
1.4 วรรณาภรณ์ พระเมเด (2561) ทำการวิจยั เรอ่ื งการพัฒนาชุดฝึกทกั ษะการอานและการเขยี น
ภาษาไทย เพ่ือแกป้ ัญหาการอ่านไม่ออกเขยี นไม่ได้ ของนกั เรยี นระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรยี นเตรียม
บัณฑิต โดยมีวัตถปุ ระสงค์การวจิ ัยเพ่อื 1) สํารวจคาํ พ้ืนฐานภาษาไทยทเี่ ป็นปัญหาต่อการอ่านออกเขยี นไดข้ อง
นักเรียนระดับช้ันนประถมศึกษาปีท่ี 5 อำเภอบุณฑริก จังหวัดอบุ ลราชธานี 2) พฒั นาชดุ ฝึกทกั ษะการอ่านและ
เขยี นภาษาไทย ระดับช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 5 ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 3) ศกึ ษาผลการใช้ชดุ ฝกึ
ทักษะการอ่านและการเขยี นภาษาไทย ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 ผลการวิจยั พบวา่ 1) คำพ้นื ฐานภาษาไทย
ทเ่ี ปน็ ปญั หาต่อการอา่ นออกเขียนไดข้ องนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 มากท่สี ุด มีจำนวน 150 คำ 2) ชดุ ฝึก
ทักษะการอา่ นและการเขยี นภาษาไทย ประกอบดว้ ยชดุ ฝกึ ทักษะจำนวน 15 ชดุ ฝกึ โดยมคี วามเหมาะสม อยู่
ระหว่าง 4.27-4.58 โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅ =4.54, S.D. = 0.61) และมี
ประสทิ ธิภาพเทา่ กับ 80.72/80.33 3) นักเรยี นท่ีเรยี นรู้ด้วยชุดฝึกทกั ษะมผี ลคะแนนทักษะการอา่ นหลงั เรยี น
( ̅= 12.76, S.D. = 1.32) และทักษะการเขียนหลงั เรยี น ( ̅=14.27, S.D. = 1.13) สูงกวา่ ทกั ษะการอ่านการ
เขยี นก่อนเรียน อยา่ งนัยสำคัญทางสถิติ ทร่ี ะดบั .01 และผลการประเมินความเหมาะสมของชดุ ฝกึ ทักษะ โดย
ครูผสู้ อนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5 โดยรวมอยูร่ ะดับมากทส่ี ุด ( ̅=4.63, S.D. = 0.48)
1.5 นางสาว วิภาวี จำปาแกว้ (2560) ทำการวจิ ยั เร่ือง การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง
การบาดเจบ็ และการปฐมพยาบาล โดยใชก้ ารจัดการเรยี นรู้แบบสาธิต ร่วมกับสอื่ ประสม กบั นักเรียนระดบั ช้นั
ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรยี น บา้ นทา่ ขอนยาง โดยมวี ัตถปุ ระสงคก์ ารวิจยั เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรยี นรู้
เร่ือง การบาดเจบ็ และการปฐมพยาบาล โดยใชก้ าร จดั การเรียนรแู้ บบสาธิต ร่วมกบั สอื่ ประสม ระดับชน้ั
ประถมศกึ ษาปีที่ 3 ท่ีมปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 2) ศึกษาค่าดัชนปี ระสิทธิผลของการจดั การเรยี นรู้ เรอ่ื ง การ
บาดเจบ็ และการปฐม พยาบาล โดยใชก้ ารจดั การเรยี นรู้แบบสาธิต ร่วมกับส่ือประสม ระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปี
ที่ 3 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง การบาดเจบ็ และการปฐมพยาบาล โดยใช้การ จัดการเรยี นรแู้ บบสาธิต
รว่ มกับสือ่ ประสม ระดบั ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 3 ระหวา่ งก่อนเรียนและ หลังเรียนผลการวจิ ัยพบว่า 1) การ
จัดการเรียนรู้ เร่ือง การบาดเจ็บและการปฐมพยาบาล โดยใช้การ จดั การเรยี นร้แู บบสาธิต ร่วมกับสื่อประสม
ระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากบั 84.66/81.00 เป็นไปตามเกณฑ์ทก่ี ำหนด ค่าดชั นี
ประสทิ ธผิ ลของการจัดการเรียนรู้ เร่ือง การบาดเจบ็ และการปฐมพยาบาล โดยใชก้ ารจัดการเรยี นรู้แบบสาธิต
ร่วมกบั สื่อประสม มคี า่ เทา่ กับ 0.7233 แสดงวา่ นักเรยี นมีความกา้ วหน้าทางการเรียนรู้คิดเป็นร้อยละ 72.33
3) ผลสมั ฤทธิท์ างการ เรยี นรู้ เร่อื ง การบาดเจ็บและการปฐมพยาบาล ของนักเรยี นหลงั ใช้ โดยใชก้ ารเรียนรู้
แบบสาธติ ร่วมกบั สอ่ื ประสม สูงกว่ากอ่ นเรยี น อย่างมนี ยั สำคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05
1.6 กมลทิพย์ บริบรู ณ์ (2557) ทำการวิจยั เร่อื ง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เร่อื ง อัตรา
การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี โดยใชว้ ิธีสอนแบบสาธติ สำหรับนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 กบั นักเรยี นระดบั ชั้น...
โรงเรียนโพนทองวิทยายน โดยมวี ัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1)พัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 2)ศึกษา
ความก้าวหนา้ ทางการเรียน 3) ศกึ ษาความพึงพอใจของนกั เรยี นหลงั เรียน โดยการจดั การ เรยี นรูด้ ้วยเทคนิค
การสอนแบบสาธติ ผลการวิจัยพบว่า มผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนทีค่ า่ เฉลีย่ ระหวา่ งก่อนเรียนและหลงั เรยี นดว้ ย
31
นัยสำคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั 05 ความกา้ วหน้าทางการเรียนท้ังช้ันเรยี นอยูใ่ นระดับสูง (คา่ เทา่ กบั 0.71) นกั เรียน
มีความพึงพอใจ ระดบั มากที่สุดต่อเทคนคิ การสอนแบบสาธิต (ค่าเฉลีย่ เทา่ กบั 4.54)
2. การสรุปประเด็น
จากงานวิจยั ที่ผู้วิจัยทำการทบทวนทัง้ ส้ินจำนวน 6 เรอ่ื ง ขอสรปุ ประเด็นความรู้เก่ียวกับผลการ
ทบทวนดังกลา่ วเปน็ รายข้อ ดังนี้
1.1 นางสาววันนิสา คลังคนเกา่ (2563) ทำการวจิ ยั เร่อื งการใชช้ ดุ ฝึกทักษะเร่ืองการคูณทีม่ ีตอ่
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 โรงเรยี นวดั มณฑลประสิทธิ์ (อาจธวัชประชานุกลู )
ผลการวจิ ัยพบวา่ ชุดฝึกทกั ษะคณิตศาสตร์ เรือ่ งการคณู ทำให้นักเรยี นมผี ลสมั ฤทธิ์ ทางกาเรียนสงู ข้ึน ดูจากผล
การทดสอบก่อนเรยี นจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ไดค้ ะแนนเฉลยี่ 12 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 6.89 คดิ เปน็
ร้อยละ 60 ผลการทดสอบหลังเรียนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน ไดค้ ะแนนเฉลี่ย 14.09 สว่ นเบ่ยี งเบน
มาตรฐาน 9.49 คิดเป็นร้อยละ 74.81 เพิ่มขน้ึ ร้อยละ 14.09 ซ่ึงพบวา่ ผลการเรยี นรหู้ ลังเรยี นสงู กว่าผลการ
เรียนรกู้ อ่ นเรยี น เมื่อนา ไปคำนวณหาคา่ T ใน ตารางนั้นคะแนนทดสอบหลงเั รยี นมีคา่ มากกว่า ทดสอบก่อน
เรยี น มีคา่ สถติ ทิ ี่ได้เท่ากบั 1.147
1.2 นางสาวพสิ มร ชูเอม (2561) ทำการวิจัยเร่ืองการพฒั นาความสามารถในการพูดของนกั เรียน
ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 ดว้ ยการใช้เทคนคิ เพ่ือนคคู่ ดิ กบั นักเรียนระดับชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโรงเรียน
เซนต์ฟรังซีสซาเวยี ร์คอนแวนต์ ผลการวจิ ัยพบว่า 1.ความสามารถในการพดู ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4
หลงั การจดั การเรียนรดู้ ว้ ยการใช้เทคนคิ เพ่ือนคูค่ ิด มีคะแนนเฉลีย่ สงู กวา่ ก่อนการจดั การเรียนร้อู ย่างมี
นัยสำคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05 2.ความคดิ เห็นของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ท่ีมีตอ่ การจดั การเรียนรดู้ ้วย
เทคนิคเพื่อนคู่คิดอยูใ่ นระดบั มาก
1.3 เยาวมาลย์ อรญั (2561) ทำการวจิ ยั เรือ่ ง การพัฒนาชดุ กิจกรรมการเรยี นโดยใชเ้ ทคนิค
เดี่ยว-คดิ รว่ มกนั (Think-Pair-Share) เพือ่ ส่งเสรมิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ สำหรับนกั เรยี นชัน้
ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 กับนักเรียนระดบั ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรยี นบา้ นบ่อพระ ผลการวิจัยพบวา่ ) 1)
ประสิทธิภาพของชุดกจิ กรรมการเรียนกบั เทคนคิ คดิ เดีย่ ว-คดิ ค่คู ดิ รว่ มกนั (Think-Pair-Share) มีคา่ เท่ากับ
80.33/80.00 2) ภาพโดยรวมนักเรียนสว่ นใหญ่มีทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อยู่ในระดบั ดมี าก และ
พฤติกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้เทคนิคคิดเด่ยี ว-คิด คิดรว่ มกนั (Think-Pair-Share) นักเรียนทกุ คนมคี ะแนน
พฤติกรรมการเรยี นร้รู ะดบั ดีมาก 3) นกั เรยี นมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลงั ใชช้ ดุ กิจกรรมการเรยี น ผ่านเกณฑ์
ไม่ต่ำกวา่ ร้อยละ 80 จำนวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 70 และมีนักเรยี นไมผ่ ่านเกณฑ์ จำนวน 6 คน คดิ เป็นร้อย
ละ 30 4) นักเรียนมคี วามพึงพอใจตอ่ ชดุ กจิ กรรมการเรียน โดยใชเ้ ทคนคิ คดิ เดี่ยว-คดิ ค-ู่ คิดร่วมกนั (Think
Pair-Share) ภาพโดยรวมอยใู่ นระดับมากท่ีสุด (Mean = 4.70, SD = 0.495)
1.4 วรรณาภรณพ์ ระเมเด (2561) ทำการวิจัยเรื่องการพฒั นาชุดฝกึ ทักษะการอานและการเขยี น
ภาษาไทย เพื่อแก้ปญั หาการอ่านไม่ออกเขยี นไม่ได้ ของนกั เรยี นระดบั ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนเตรียม
บณั ฑิต ผลการวิจัยพบวา่ 1) คำพืน้ ฐานภาษาไทยท่ีเป็นปญั หาตอ่ การอ่านออกเขียนไดข้ องนกั เรยี นช้นั
ประถมศึกษาปที ี่ 5 มากท่สี ุด มีจำนวน 150 คำ 2) ชดุ ฝกึ ทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย ประกอบด้วย
32
ชดุ ฝึกทกั ษะจำนวน 15 ชุดฝกึ โดยมีความเหมาะสม อยูร่ ะหว่าง 4.27-4.58 โดยรวมมีความเหมาะสมอยูใ่ น
ระดับมากที่สุด ( ̅ =4.54, S.D. = 0.61) และมีประสทิ ธิภาพเทา่ กับ 80.72/80.33 3) นักเรียนทีเ่ รียนร้ดู ว้ ย
ชดุ ฝึกทักษะมีผลคะแนนทักษะการอ่านหลงั เรียน ( ̅= 12.76, S.D. = 1.32) และทกั ษะการเขียนหลงั เรยี น
( ̅=14.27, S.D. = 1.13) สงู กวา่ ทกั ษะการอ่านการเขียนก่อนเรยี น อยา่ งนยั สำคญั ทางสถติ ิ ท่ีระดบั .01 และ
ผลการประเมนิ ความเหมาะสมของชดุ ฝึกทักษะ โดยครูผสู้ อนชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 โดยรวมอยู่ระดบั มากทส่ี ุด
( ̅=4.63, S.D. = 0.48)
1.5 นางสาว วิภาวี จำปาแกว้ (2560) ทำการวิจัยเรือ่ ง การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เร่อื ง
การบาดเจบ็ และการปฐมพยาบาล โดยใชก้ ารจดั การเรียนรู้แบบสาธิต ร่วมกับสอื่ ประสม กบั นกั เรยี นระดับชน้ั
ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรียน บ้านท่าขอนยาง ผลการวิจัยพบว่า 1) การจดั การเรียนรู้ เรื่อง การบาดเจบ็ และ
การปฐมพยาบาล โดยใช้การ จัดการเรียนรูแ้ บบสาธิต ร่วมกบั ส่อื ประสม ระดับช้ันประถมศึกษาปที ่ี 3 มี
ประสทิ ธิภาพเท่ากับ 84.66/81.00 เปน็ ไปตามเกณฑ์ท่ีกำหนด ค่าดัชนีประสิทธผิ ลของการจัดการเรียนรู้ เรื่อง
การบาดเจบ็ และการปฐมพยาบาล โดยใชก้ ารจัดการเรียนรู้แบบสาธิต รว่ มกบั สอ่ื ประสม มคี า่ เทา่ กับ 0.7233
แสดงว่านักเรยี นมคี วามก้าวหนา้ ทางการเรยี นรู้คิดเป็นร้อยละ 72.33 3) ผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนรู้ เร่ือง การ
บาดเจบ็ และการปฐมพยาบาล ของนักเรียนหลังใช้ โดยใชก้ ารเรียนรูแ้ บบสาธติ รว่ มกบั สือ่ ประสม สงู กวา่ กอ่ น
เรยี น อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติท่ีระดบั .05
1.6 กมลทิพย์ บริบูรณ์ (2557) ทำการวจิ ัยเร่ือง การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรอ่ื ง อัตรา
การเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยใช้วิธสี อนแบบสาธติ สำหรบั นกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 กบั นักเรียนระดบั ช้นั ...
โรงเรียนโพนทองวทิ ยายน ผลการวิจยั พบวา่ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นท่คี ่าเฉลย่ี ระหว่างก่อนเรยี นและหลัง
เรียนด้วยนัยสำคญั ทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ความกา้ วหนา้ ทางการเรียนทง้ั ช้ันเรยี นอยู่ในระดับสงู (คา่ เท่ากบั
0.71) นักเรียนมีความพงึ พอใจ ระดบั มากทีส่ ุดตอ่ เทคนิคการสอนแบบสาธิต (คา่ เฉลีย่ เท่ากบั 4.54)
3. ประเด็นท่ีทำการวิจัยต่อยอด
จากการสรุปประเดน็ ความรเู้ กยี่ วกบั ผลการทบทวนงานวิจัยทเ่ี กย่ี วข้องดังกล่าวเป็นรายข้อก่อน
หน้าแล้วพบวา่ การทำวจิ ยั ในชั้นเรียนเร่อื งการพฒั นาการสรา้ งโจทยป์ ัญหา การบวก และการลบ ของนกั เรียน
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ชดุ ฝึกทกั ษะ มีประเด็นความรู้ท่แี ตกต่างจากการสรุปประเดน็ ดังกลา่ วคอื
1. มีการใชเ้ ทคนิคการสอนร่วมกับวธิ กี ารสอนทีใ่ ชแ้ ก้ปัญหาการสรา้ งโจทย์ปัญหาการบวกและ
โจทย์ปญั หาการลบ ด้วยวธิ ีการสอนและเทคนิคแบบเดมิ ไม่สอดคล้องกับความถนัดและความสนใจของ
นกั เรียน ทำให้นักเรียนมกี ารเรียนรตู้ ่ำ
2. งานวจิ ัยนี้ยังไมม่ ีนักวจิ ยั ท่านใดใชว้ ิธแี กป้ ญั หา เลยมีความสนใจในเรื่องนี้
33
บทท่ี 3
วธิ ดี ำเนินการวจิ ัย
การวิจัยเร่อื ง การพัฒนาการสรา้ งโจทย์ปญั หา การบวก และการลบ ของนกั เรยี นระดับชั้น
ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โดยใช้ชดุ ฝึกทกั ษะ ผ้วู ิจยั ดำเนินการวจิ ัยตามกรอบของหวั ข้อต่าง ๆ ดังน้ี
ระเบียบวิธีวิจยั
ดำเนนิ การวจิ ัยโดยใชร้ ะเบยี บวธิ กี ารวจิ ยั กึง่ ทดลอง (Quasi Experiment Research) ร่วมกับวจิ ัยเชิง
ปฏิบตั ิการ (Action Research) วเิ คราะห์ข้อมูลจากข้อมูลเชิงปริมาณ (Qualitative Data) ร่วมกบั ข้อมูลเชิง
คณุ ภาพ (Quantitative Data)
1. แหล่งข้อมูลการวิจัย
1. กลมุ่ เปา้ หมาย คอื นักเรยี นระดับชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรียนบ้านเหล่า อำเภอสูงเม่น จังหวัด
แพร่ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 20 คน ใชว้ ิธีการคัดเลอื กแบบเจาะจง
2. นวัตกรรม
2.1 เครอื่ งมือท่เี ปน็ นวัตกรรม นวตั กรรมท่ีสร้างหรอื พฒั นาต่อยอดจากนวตั กรรมเดิมเพื่อทดลองใช้
จัดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ำหรับการพฒั นาทกั ษะดา้ นการสร้างโจทยป์ ญั หา การบวก และการลบ สำหรบั นกั เรยี น
ระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2 คือ ชดุ ฝกึ ทักษะ กจิ กรรมการเรยี นร้แู บบสาธติ ร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share
2.2 วิธีการสร้างและหาประสิทธภิ าพ ดำเนินการสร้างและหาประสทิ ธิภาพทง้ั เชงิ เหตุผล(Rational
Approach) และเชิงประจักษ์ (Empirical Approach) ตามแนวคิดของ เผชญิ กิจระการ (2544) ดังนี้
การสร้างและหาประสิทธิภาพเชงิ เหตผุ ล ให้ดำเนินการตามลำดบั ข้ัน
1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ้ งเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วิธีการทีเ่ กีย่ วขอ้ ง
กบั การสรา้ งชดุ ฝกึ ทกั ษะ กิจกรรมการเรยี นรู้แบบสาธิต ร่วมกบั เทคนิค Think-Pair-Share ซง่ึ การวิจยั นี้จะ
สรา้ งหรือพัฒนาโดยอ้างอิงตามแนวคดิ ทฤษฎี หลักการ วิธกี ารของ ทำการทบทวนเอกสารและงานวจิ ยั ท่ี
เกีย่ วข้องเพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลกั การ
วิธีการของวิธีการสอนสาธติ คือ กระบวนการท่ีผสู้ อนใช้ในการชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นเกิดการเรียนรตู้ าม
วัตถุประสงค์ทกี่ ำหนด โดยการแสดงหรอื ทำส่งิ ทตี่ ้องการให้ผเู้ รียนได้เรยี นรู้ ใหผ้ ู้เรียนสงั เกตดูแล้วให้ผ้เู รยี น
ซักถาม อภปิ ราย และสรปุ การเรียนรูท้ ี่ไดจ้ ากการสงั เกตการสาธิต ทศิ นา แขมมณี (2550 : 330)
เทคนคิ Think-Pair-Share จะมขี ้นั ตอนสำคัญ ดังนี้ ขนั้ ท่ี 1 แบง่ ผเู้ รยี นเป็นกลุม่ เล็กๆ แบบคละ
ความสามารถกลุ่มละ 2 - 4 คน ขนั้ ท่ี 2 ครูตั้งประเด็นสน้ั ๆ หรอื โจทย์คําถาม ขั้นท่ี 3 ผเู้ รียนแต่ละคนคิดหา
คาํ ตอบด้วยตนเองสัก 1-2 นาที ขน้ั ท่ี 4 ใหผ้ เู้ รยี นจบั คู่กับเพ่อื นแลกเปล่ียนความคิดผลัดกันเลา่ ความคิด หรอื
34
คําตอบของตนใหเ้ พื่อนฟังจนไดข้ ้อสรปุ ที่เหน็ พ้องกนั ขน้ั ท่ี 5 ผู้เรยี นคนใดคนหนึ่งสามารถอธิบายคาํ ตอบให้
เพ่อื นฟังทั้งช้ันได้หรอื ครสู ุ่มบางคู่มารายงานหนา้ ชน้ั เรยี น ขจรศักด์ิ หลักแก้ว (2551)
ชุดฝกึ ทักษะช่วยสอนสามารถสนองความต้องการในการเรียนรู้ทีค่ ำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบคุ คล
ได้อย่างดี และเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้เรยี นตามเวลาทีส่ ะดวก ตามความสนใจของผเู้ รียน และทสี่ ำคัญทีส่ ดุ คือ
ชดุ ฝึกทักษะชว่ ยสอนมกี ารประเมินผลในตนเอง เพ่ือใหผ้ ู้เรียนเหน็ ผลสำเร็จ เห็นความเจรญิ ก้าวหน้าของตนใน
การเรยี นร้ใู นแต่ละตอนแต่ละหน่วยการเรยี นสามารถเรยี นได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ชดุ ฝึกทกั ษะสอนยัง
สามารถชว่ ยแกป้ ญั หาการขาดแคลนผูส้ อนได้ ดว้ ยเพราะสามารถใชส้ อนแทนครูและสอนผ้เู รยี นได้จำนวน
มากๆในเวลาเดียวกนั (บรู ณะ สมชัย 2542:14)
2. สรา้ งฉบับรา่ งชุดฝึกทักษะ กิจกรรมการเรียนร้แู บบสาธิต รว่ มกบั เทคนิค Think-Pair-Share โดย
อ้างอิงจากผลการศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ งดงั กล่าวขอ้ 1 ก่อนหนา้
3. สรา้ งแบบประเมินความเหมาะสมของชุดฝกึ ทักษะ กจิ กรรมการเรียนร้แู บบสาธติ รว่ มกับเทคนคิ
Think-Pair-Share เพ่ือให้ผู้เชียวชาญประเมนิ ประสิทธิภาพเชงิ เหตุผล แบบประเมนิ ความเหมาะสมท่ีสร้าง
แสดงแล้วในภาคผนวกที่ ข
4. สร้างแบบประเมินค่าดรรชนีความสอดคล้อง (Index of Item –Objective
Congruence: IOC) ของแบบประเมินความเหมาะสมเพื่อให้ผู้เชยี วชาญทำการประเมินค่าความเท่ยี งตรง
เชงิ เน้ือหา (Content Validity) ของแตล่ ะข้อคำถาม(Item) ของแตล่ ะประเดน็ แบบประเมนิ ค่า IOC
กล่าวในภาคผนวกท่ี ข
5. นำแบบประเมินค่า IOC ของแบบประเมินความเหมาะสมของ ชุดฝกึ ทกั ษะ กิจกรรมการเรยี นรู้
แบบสาธติ ร่วมกบั เทคนิค Think-Pair-Share ให้ผเู้ ชี่ยวชาญด้านภาษา ด้านเทคโนโลยีการศึกษา และด้านการ
วิจัยหรือการวัดประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหาของแต่ละขอ้ คำถามของแตล่ ะ
ประเดน็ แตล่ ะข้อคำถามท่ีประเมินต้องมีค่าเฉล่ยี อย่างน้อย 0.66 หรือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เหน็ วา่ มี
ความตรง จึงจะตัดสนิ ว่า ขอ้ คำถามนัน้ มีความเทยี่ งตรง
ผลการประเมนิ พบวา่ แต่ละข้อคำถามของแบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวัตกรรม
มีคา่ IOC ระหว่าง 0.66 ถงึ 1.00 หรือผู้เชี่ยวชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเหน็ ว่ามีความตรง จึงลงข้อสรปุ วา่
แบบสอบถามเพื่อวดั ความเหมาะสมของนวัตกรรมมีความเทยี่ งตรง ผลการประเมินความเทย่ี งตรงของแต่ละข้อ
คำถามของแบบสอบถามวัดความเหมาะสมของนวัตกรรมในภาคผนวกที่ ข
6. นำ ชดุ ฝึกทกั ษะ กจิ กรรมการเรียนรู้แบบสาธติ รว่ มกบั เทคนคิ Think-Pair-Share ทส่ี ร้างฉบบั ร่าง
แลว้ ไปใหผ้ ้เู ชย่ี วชาญดา้ นเทคโนโลยีการศึกษา ดา้ นภาษา และดา้ นการวิจยั หรอื การวดั ประเมินผลด้านละ 1 คน
รวมทงั้ ส้นิ จำนวน 3 คน ทำการประเมินความเหมาะสมด้วยแบบประเมิน แต่ละข้อคำถามของแตล่ ะประเด็นที่
ประเมินต้องมคี ่าเฉลย่ี อยา่ งน้อย 3.50 จึงจะตดั สินวา่ ข้อคำถามท่ปี ระเมิน มีความเหมาะสม
7. นำชดุ ฝึกทักษะ กจิ กรรมการเรียนรูแ้ บบสาธติ ร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share ที่ผ่าน
การประเมินดังกล่าวข้อ 6 มาแก้ไขปรบั ปรุงตามคำแนะนำของผเู้ ช่ยี วชาญ
35
8. จัดทำรูปเลม่ ชดุ ฝกึ ทักษะ กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบสาธิต รว่ มกบั เทคนคิ Think-Pair-
Share ทีผ่ า่ นการสร้างและหาคณุ ภาพเชงิ เหตผุ ลแล้ว
การสรา้ งและหาประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ ดำเนินการต่อจากผลการหาประสิทธภิ าพเชงิ
เหตผุ ล
1. นำชุดฝกึ ทกั ษะ กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบสาธติ ร่วมกบั เทคนิค Think-Pair-Share ท่ีจัดทำ
เป็นรูปเล่มแล้วมาทดลองใช้เพื่อหาประสิทธภิ าพเชงิ ประจักษ์กับนักเรยี นระดับชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรยี น
บ้านเหล่า อำเภอสงู เมน่ จงั หวดั แพร่ ซง่ึ เปน็ คนละกลุ่มกับกลมุ่ เป้าหมายการวจิ ยั
การหาประสทิ ธภิ าพจะใช้วธิ กี ารเทียบกับเกณฑ์ประสิทธภิ าพ E /E = 70/70
12
เมื่อ
E หมายถึง ร้อยละของคะแนนรวมทั้งหมดจากการทำกจิ กรรม และการทดสอบย่อย
1
ระหว่างการทดลองใช้ชุดฝึกทักษะ กจิ กรรมการเรียนรู้แบบสาธติ รว่ มกับเทคนคิ Think-Pair-Share ซ่ึงเกณฑ์
ประเมินผา่ นคือ ร้อยละ70
E หมายถงึ รอ้ ยละของคะแนนรวมทัง้ หมดจากการทำแบบทดสอบภายหลังสิน้ สุดการ
2
ทดลองใช้ชดุ ฝกึ ทักษะ กิจกรรมการเรียนรแู้ บบสาธิต ร่วมกับเทคนคิ Think-Pair-Share ซ่ึงเกณฑ์ประเมินผา่ น
คอื รอ้ ยละ 70
การตัดสินประสิทธิภาพจากการทดลองใช้ชดุ ฝึกทักษะ กจิ กรรมการเรียนรู้แบบสาธิต รว่ มกับ
เทคนิค Think-Pair-Share เม่ือเทยี บกบั เกณฑ์ประสทิ ธิภาพท่ีกำหนดขนึ้ ว่า ถ้าค่าร้อยละของคะแนนท่ีคำนวณ
ของ E = 70±2.55 แสดงว่า ประสทิ ธิภาพของ E เปน็ ไปตามเกณฑร์ อ้ ยละ 70 แต่ถา้ มากกวา่ หรือน้อยกว่า70
11
±2.5 แสดงว่า ประสทิ ธภิ าพของ E สูงกวา่ หรือ นอ้ ยกว่าเกณฑ์ทีต่ ้ัง ต้องปรับนวัตกรรมให้เทา่ กับเกณฑ์ที่ต้ังคือ
1
70 /70 สว่ นการตดั สินประสิทธิภาพของ E ทำเช่นเดียวกบั E และถ้าร้อยละของคะแนนระหว่าง E และ E
21 12
ตา่ งกันมากกวา่ ร้อยละ 5 แสดงวา่ ประสิทธิภาพของวธิ ีการสอนแบบสาธิต เทคนิค Think-Pair-Share มี
ประสิทธิภาพไมเ่ ป็นไปตามเกณฑ์ ตอ้ งทำการปรับปรุงใหม่
2. จัดทำรูปเล่มชุดฝึกทักษะ กจิ กรรมการเรียนรู้แบบสาธิต ร่วมกบั เทคนิค Think-Pair-
Share พรอ้ มสำหรับการนำไปทดลองใช้กบั นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซ่ึงเป็นกลมุ่ ที่เป้าหมายการวจิ ยั
ขอ้ ตกลง เน่อื งด้วยปจั จยั จำกัดบางประการคือโรงเรยี นบ้านเหลา่ เป็นโรงเรยี นขนาดเล็ก/
ขนาดกลางซึ่งสำหรบั นักเรยี นระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 2 แลว้ เปดิ การเรียนการสอนเพียงชัน้ เรยี นเดียวและมี
นักเรียนจำนวนทงั้ ส้ิน 20 คน ดงั น้นั ดว้ ยปจั จัยจำกัดดงั กลา่ ว จึงสรา้ งขอ้ ตกลงว่า การทำวิจัยคร้ังนี้จะขอละเวน้
การหาประสทิ ธิภาพเชิงประจักษข์ องชดุ ฝกึ ทักษะ กจิ กรรมการเรียนรู้แบบสาธิต รว่ มกับเทคนคิ Think-Pair-
Share
36
2. เครือ่ งมือรวบรวมข้อมลู
2.1 ชนดิ ของเครอ่ื งมือ เคร่ืองมอื ที่ใชร้ วบรวมขอ้ มลู ประกอบดว้ ยแบบประเมินความเหมาะสมของ
นวัตกรรม แบบวดั ระดับความพงึ พอใจ แบบประเมนิ ความเท่ยี งตรงเชงิ เนอื้ หา แบบประเมินค่าความเทยี่ งตรง
ของนวตั กรรม (IOC)
2.2 วิธีการสรา้ งและหาประสิทธิภาพ ดำเนนิ การสรา้ งและหาประสิทธภิ าพทงั้ เชิงเหตผุ ลและเชงิ
ประจกั ษ์ดังนี้
การสร้างและหาประสิทธิภาพเชงิ เหตผุ ล ดำเนินการตามลำดับขั้น
1. ทำการศึกษาเอกสารและงานวิจัยทีเ่ กีย่ วขอ้ งเพื่อศึกษาแนวคดิ ทฤษฎี หลกั การ วิธีการทีเ่ ก่ียวข้อง
กบั การสร้างแบบประเมินความเหมาะสมของนวตั กรรม แบบวัดระดับความพึงพอใจ แบบประเมินความ
เท่ยี งตรงเชงิ เน้อื หา แบบประเมินคา่ ความเทย่ี งตรงของนวตั กรรม (IOC) เคร่ืองมือรวบรวมขอ้ มูลแตล่ ะชนิดจะ
สร้างตามแนวคิด ทฤษฎี หลักการ วธิ กี ารต่าง ๆ ดงั น้ี
1.1 แบบวัดระดบั ความพึงพอใจ สรา้ งตามแนวคดิ ทฤษฎีของ หลักการ วิธกี ารทางการของระดับ
ความพึงพอใจแบบประมาณค่า (Likert Scale) โดยเรียงลำดบั จากระดับมากที่สุดถงึ น้อยทีส่ ดุ 5 ระดับคือ มี
ความพงึ พอใจมากท่ีสดุ มีความพึงพอใจมาก มีความพงึ พอใจปานกลาง มคี วามพึงพอใจค่อนขา้ งน้อยและมี
ความพึงพอใจนอ้ ยท่ีสุด แต่ละระดับดังกล่าวกำหนดโดยเกณฑ์ตามชว่ งค่าเฉลี่ยของ บญุ ชม ศรีสะอาด(2545)
ดังนี้
ระดับความพงึ พอใจ ระดับคา่ เฉลี่ย
ระดบั มากทสี่ ุด 4.51-5.00
ระดับมาก 3.51-4.50
ระดบั ปานกลาง 2.51-3.50
ระดับนอ้ ย 1.51-2.50
ระดบั น้อยทส่ี ุด 1.00-1.50
37
1.2 แบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวัตกรรม สรา้ งตามแนวคิด ทฤษฎีของ หลักการ วธิ ีการ
ประกอบดว้ ยรายการประเมนิ ทัง้ 3 ดา้ น คอื ทกั ษะการแก้ปญั หา ทกั ษะความคดิ สร้างสรรค์และการสร้างสรรค์
ข้ึนงาน รวมถึงทักษะการส่อื สารและความร่วมมือ ซงึ่ ในรายการประเมินกำหนดระดับคะแนน 5 ระดบั ตาม
เกณฑ์ บญุ ชม ศรีสะอาด(2545) ดงั นี้
5 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับมากท่สี ุด
4 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดบั มาก
3 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมในระดบั ปานกลาง
2 หมายถงึ มีความความเหมาะสมในระดับน้อย
1 หมายถงึ มีความเหมาะสมในระดบั น้อยทส่ี ุด
1.3 แบบประเมินค่าความเท่ียงตรงของนวตั กรรม (IOC)สร้างตามแนวคิด ทฤษฎขี อง
หลกั การ วิธกี าร ค่าความเท่ยี งตรงของแบบสอบถาม หรือค่าสอดคล้องระหวา่ งขอ้ คำถามกับวัตถุประสงค์ หรือ
เนอ้ื หา (IOC : Index of item objective congruence) ปกตแิ ล้วจะให้ผเู้ ชีย่ วชาญตรวจสอบตัง้ แต่ 3 คนขึ้น
ไปในการตรวจสอบโดยใหเ้ กณฑ์ในการตรวจพจิ ารณาข้อคำถาม ผศ.สุรพงษ์ คงสัตย์ อ. ธรี ชาติ ธรรมวงค์
(2551)
ให้คะแนน +1 ถ้าแน่ใจวา่ ข้อคำถามวัดได้ตรงตามวตั ถุประสงค์
ใหค้ ะแนน 0 ถา้ ไม่แน่ใจวา่ ขอ้ คำถามวดั ไดต้ รงตามวัตถปุ ระสงค์
ให้คะแนน -1 ถ้าแน่ใจว่าข้อคำถามวดั ได้ไม่ตรงตามวตั ถุประสงค์
แล้วนำผลคะแนนท่ีได้จากผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาคา่ IOC ตามสูตร
เกณฑ์
1. ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50-1.00 มีคา่ ความเท่ียงตรง ใชไ้ ด้
2. ขอ้ คำถามที่มคี า่ IOC ตำ่ กว่า 0.50 ตอ้ งปรบั ปรุง ยังใช้ไมไ่ ด้
1.4 แบบประเมินความเทีย่ งตรงเชิงเน้ือหา เคร่ืองมือที่สามารถวัดได้ตามเนอ้ื หาท่ี
ตอ้ งการวัด และในการพจิ ารณาความเท่ียงตรงชนดิ นีจ้ ะใช้การวเิ คราะห์อยา่ งมีเหตุผล ในท่นี ้ีได้เสนอวธิ กี ารหา
คา่ โดยใช้ค่าการวิเคราะหด์ ัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบกับจดุ ประสงค์ (IOC : Index of Item
Objective Congruence) ซ่ึงเป็นสูตรของโลวเิ นลลี และแฮมเบลตนั (Rowinelli & Hambleton, 1977 ล้วน
สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543) มีการหาคณุ ภาพของแบบทดสอบ ดังนี้
38
1. นำแบบทดสอบกบั จุดประสงค์ให้ผู้เชย่ี วชาญหรือผ้รู ้ดู า้ นการวัดผลและเนอื้ หา 3 คน พิจารณาวา่
แบบทดสอบสอดคล้องจุดประสงคห์ รือไม่ โดยกำหนดคะแนนความเห็น ดังนี้
+1 แนใ่ จวา่ แบบทดสอบสอดคล้องจดุ ประสงค์
0 ไมแ่ น่ใจว่าแบบทดสอบสอดคลอ้ งจุดประสงค์
-1 แน่ใจวา่ แบบทดสอบไมส่ อดคลอ้ งจดุ ประสงค
2. สร้างฉบับร่างแบบประเมนิ ความเหมาะสมของนวตั กรรม แบบวดั ระดบั ความพงึ พอใจ แบบ
ประเมินความเท่ยี งตรงเชิงเน้ือหา แบบประเมนิ ค่าความเที่ยงตรงของนวตั กรรม (IOC) โดยอา้ งองิ ผล
การศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ยี วข้องดงั กลา่ วขอ้ ย่อยข้อ1 ก่อนหนา้
3. สรา้ งแบบประเมินค่า IOC เพ่ือใหผ้ เู้ ชียวชาญทำการประเมินความเทย่ี งตรงเชิงเนื้อหา แตล่ ะข้อคำถาม
ของแต่ละประเดน็ ของเครอื่ งมอื รวบรวมข้อมูลแตล่ ะชนดิ แบบประเมินค่า IOC ของเครื่องมือรวบรวมข้อมูลแต่
ละชนิดกล่าว
4. นำแบบประเมินคา่ IOC ของเคร่ืองมือรวบรวมข้อมูลแต่ละชนิดที่สร้างฉบับร่างไปให้ผเู้ ชี่ยวชาญ
ด้านภาษา ด้านเทคโนโลยกี ารศึกษา และดา้ นการวจิ ัยหรือการวดั ประเมินผลด้านละ 1 คน ทำการประเมนิ ความ
เท่ยี งตรงเชิงเนื้อหาของแตล่ ะข้อคำถามของแต่ละประเดน็ ด้วยแบบประเมิน IOC แตล่ ะข้อคำถามของแต่ละ
ประเดน็ ที่ประเมนิ ต้องมีคา่ เฉล่ยี อยา่ งน้อย 0.5 หรือ ผูเ้ ช่ียวชาญจำนวน 2 ใน 3 คน เหน็ ว่ามคี วามตรง จึงจะ
ตัดสินวา่ ขอ้ คำถามนั้นมีความเทีย่ งตรง ผลการประเมินพบวา่
4.1 แต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบมีค่าดรรชนคี วามสอดคล้องระหวา่ ง 0.66 ถงึ 1.00
ผูเ้ ชีย่ วชาญจำนวน 2 ใน 3 คนเหน็ วา่ มีความตรง จึงลงข้อสรุปวา่ แต่ละข้อของแบบทดสอบสอบมี
ความเที่ยงตรง ผลการประเมินความเท่ียงตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบทดสอบ
4.2 แต่ละข้อคำถามของแบบสอบถามวัดระดับความพึงพอใจมีค่าดรรชนีความ
สอดคล้องระหวา่ ง 0.66 ถึง 1.00 หรือผู้เชยี่ วชาญจำนวน 2 ใน 3 คนจึงลงข้อสรปุ วา่ แบบสอบถามวดั
ระดับความพึงพอใจมีความเท่ียงตรง ผลการประเมินความเท่ียงตรงของแตล่ ะข้อคำถามของแบบถามวดั
ระดับความพึงพอใจ
4.3 แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินค่าความเท่ียงตรงของนวัตกรรม (IOC) สอดคล้อง
ระหวา่ ง 0.66 ถงึ 1.00 หรือผเู้ ช่ียวชาญ จำนวน 2 ใน 3 คนจึงลงขอ้ สรปุ ว่า แบบสอบถามวัดระดับ
ความพึงพอใจมคี วามเท่ยี งตรง ผลการประเมินความเที่ยงตรงของแตล่ ะข้อคำถามของแบบถามวัดระดับ
ความพึงพอใจ
4.4 แต่ละข้อคำถามของแบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา สอดคล้องระหวา่ ง 0.66
ถงึ 1.00 หรือผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 2 ใน 3 คนจงึ ลงขอ้ สรุปว่า แบบสอบถามวดั ระดบั ความพึงพอใจมี
ความเทีย่ งตรง ผลการประเมินความเทย่ี งตรงของแต่ละข้อคำถามของแบบถามวัดระดับความพึงพอใจ
5. นำเคร่ืองมือรวบรวมข้อมลู แต่ละชนดิ ท่ีผา่ นการประเมินดังกล่าวข้อ 4 มาแก้ไขปรับปรุงตาม
คำแนะนำของผูเ้ ช่ยี วชาญ
39
6. จดั ทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมขอ้ มูลแตล่ ะชนดิ ท่ีทำการแก้ไขแล้วตามคำแนะนำของ
ผูเ้ ชยี่ วชาญ
การสรา้ งและหาประสิทธิภาพเชงิ ประจักษ์ ดำเนนิ การต่อจากผลการหาประสิทธภิ าพเชงิ
เหตผุ ล
1. นำเครือ่ งมอื รวบรวมข้อมูลแต่ละชนดิ ทจ่ี ัดทำเป็นรูปเล่มแล้วมาหาค่าความเชื่อมน่ั
(Reliability) โดยทดลองใช้กับนกั เรียนระดบั ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรียนบ้านเหลา่ อำเภอสูงเม่น จงั หวดั
แพร่ ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มท่เี ป็นเป้าหมายการวจิ ัย การหาค่าความเชื่อมนั่ ใช้วธิ ีการหาคา่ สัมประสิทธิแ์ อลฟา
ของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยมีเกณฑป์ ระเมินผ่านทั้งฉบบั ท่ี 0.7 ถ้าน้อยกวา่ ต้องทำ
การปรับปรุงเครื่องมือใหม่
2. ปรบั ปรงุ เครอ่ื งมอื รวบรวมข้อมลู แต่ละชนดิ หากพบวา่ ค่าสมั ประสิทธิ์แอลฟาต่ำกวา่ 0.7
3. ยกเว้นแบบทดสอบ จัดทำรูปเล่มเครื่องมือรวบรวมข้อมลู แต่ละชนิด พร้อมสำหรับการนำไป
ทดลองใชก้ ับนักเรยี นระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นเหลา่ อำเภอสูงเม่น จงั หวดั แพร่ ซึ่งเปน็
กลุ่มเป้าหมายการวจิ ยั สำหรับแบบทดสอบนนั้ เมือ่ ทำการประเมินความเท่ียงตรงและความเชอื่ มนั่ แลว้ ก่อน
นำไปทดลองใช้กบั นักเรียนระดับชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 2 ซงึ่ เปน็ กลุ่มท่ีเป้าหมายการวจิ ยั ต้องดำเนนิ การตอ่ จาก
ขอ้ 3 เพื่อหาคา่ ความยากง่าย และคา่ อำนาจ การจำแนก
4. นำแบทดสอบแต่ละข้อมาวิเคราะห์ความยากงา่ ยด้วยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์สำเรจ็ รูป คำถามทดี่ ี
ของแบบทดสอบประเภท 4 ตัวเลือกจะมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.80 (สุมาลี จันทรช์ ะลอ. 2542)
ถ้าเป็นประเภทแบบถูก-ผดิ จะมีคา่ ความยากง่ายระหว่าง 0.60–0.95 (Nunnally.1967; อา้ งถงึ ใน เยาวดี ราง
ชยั กลุ วิบลู ย์ศรี. 2552)
5. นำแบบทดสอบแต่ละข้อมาวเิ คราะห์คา่ อำนาจการจำแนกโดยใช้ โปรแกรมสำเรจ็ รปู
6. จดั ทำรูปเล่มของแบบทดสอบ พร้อมสำหรบั การนำไปทดลองใชก้ บั นักเรียนระดบั
ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบา้ นเหลา่ อำเภอสงู เมน่ จงั หวดั แพร่ ซึ่งเปน็ กลุ่มเป้าหมายการวิจัย
ข้อตกลง เน่อื งดว้ ยปัจจยั จำกัดบางประการเชน่ เดยี วกับดงั กลา่ วแล้วในหวั ข้อ “วิธกี ารสร้าง
และหาคุณภาพของนวัตกรรม” จึงสรา้ งขอ้ ตกลงวา่ การวิจัยครัง้ นีจ้ ะละเว้นการหาประสิทธภิ าพ เชงิ ประจักษ์
ซง่ึ ประกอบดว้ ย การหาค่าความเชื่อมัน่ ของเคร่อื งมือรวบรวมขอ้ มลู ทุกชนิด การหาคา่ ความยากง่าย และคา่
อำนาจการจำแนกซ่ึงเฉพาะสำหรับแบบทดสอบ
40
การดำเนินการรวบรวมข้อมลู
แหลง่ ข้อมลู การวจิ ยั
1. ทำหนงั สือถงึ คณบดีคณะบดีคณะครุศาสตร์เพ่ือร้องขอให้ออกหนังสือราชการถึงผู้อำนวยการ
โรงเรียนบา้ นเหล่า อำเภอสูงเมน่ จังหวดั แพร่ เพื่อขออนญุ าตทดลองใช้ ชุดฝึกทักษะ กิจกรรมการเรียนรู้แบบ
สาธติ รว่ มกบั เทคนิค Think-Pair-Share จัดกจิ กรรมการเรียนรเู้ รื่องการสรา้ งโจทย์ปัญหา การบวก และการ
ลบ นกั เรียนระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 2
2. ประชุม ชแี้ จง และสรา้ งข้อตกลงกบั นักเรียนระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 2 อำเภอสูงเม่น จังหวัด
แพร่ เก่ียวการทดลองใช้ ชดุ ฝึกทักษะ กิจกรรมการเรียนรแู้ บบสาธิต รว่ มกบั เทคนคิ Think-Pair-Share จัด
กจิ กรรมการเรยี นรูเ้ รือ่ งการสร้างโจทยป์ ัญหา การบวก และการลบ
3. จัดกจิ กรรมการเรียนรเู้ ร่ืองการสรา้ งโจทยป์ ัญหา การบวก และการลบ กบั นกั เรยี นระดับชัน้
ประถมศึกษาปีที่ 2 อำเภอสูงเม่น จงั หวัดแพร่ โดยทดลองใช้ชดุ ฝึกทักษะ กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบสาธติ
รว่ มกบั เทคนิค Think-Pair-Share
4. ทำการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 อำเภอสูงเมน่
จังหวัดแพร่ภายหลงั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องประถมศึกษาปีท่ี 2 อำเภอสูงเม่น จังหวดั แพร่ โดยทดลอง
ใช้ชุดฝกึ ทกั ษะ กิจกรรมการเรียนร้แู บบสาธติ รว่ มกับเทคนิค Think-Pair-Share
5. ให้นักเรยี นระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ตอบแบบสอบถามวดั ระดับ
ความพึงพอใจจากการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้เรอ่ื งการสร้างโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ ทดลองใช้ชดุ ฝึก
ทักษะ กิจกรรมการเรียนรแู้ บบสาธิต ร่วมกบั เทคนิค Think-Pair-Share
การวเิ คราะห์ข้อมูล
1. การวิเคราะห์ข้อมลู เพ่ือหาคุณภาพและประสทิ ธิภาพของเครอ่ื งมอื การวิจยั
1. ความเหมาะสมของนวัตกรรมท่สี ร้างหรือพัฒนา วิเคราะห์ดว้ ยคา่ เฉลีย่ และ ส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน วธิ ีการวิเคราะหใ์ ชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป
2. ประสิทธภิ าพเชิงประจกั ษ์ของนวัตกรรมท่ีสร้างหรือพัฒน วิเคราะห์ด้วยเกณฑ์
ประสิทธภิ าพ E /E วธิ กี ารวเิ คราะห์ใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ ำเร็จรูป
12
3. ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของเคร่ืองมือรวบรวมขอ้ มลู แต่ละชนิด วเิ คราะหด์ ้วยค่า
ดรรชนีความสอดคล้องหรือ IOC วธิ กี ารวเิ คราะห์ใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ ำเรจ็ รปู
41
4. ความเช่ือมั่นของเครือ่ งมือรวบรวมขอ้ มูลแตล่ ะชนดิ วิเคราะห์ด้วยค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟาของครอ
นบาค วธิ ีการวเิ คราะห์ใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ ำเร็จรูป แต่ตามข้อตกลงทีส่ ร้างข้ึน จะยกเวน้ การหาคา่ ความ
เช่ือม่ันดังกลา่ ว
5. ความยากง่ายของแบบทดสอบแต่ละข้อ วิธีการวเิ คราะห์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป แต่ตาม
ข้อตกลงทสี่ รา้ งข้ึน จะยกเวน้ การหาคา่ ความยากงา่ ยดังกล่าว
6.ค่าอำนาจการจำแนกของแบบทดสอบแตล่ ะข้อวิธีการวิเคราะห์ใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเรจ็ รปู แต่
ตามข้อตกลงที่สร้างข้ึน จะยกเว้นการหาคา่ อำนาจการจำแนกดังกลา่ ว
2. การวิเคราะห์ข้อมลู การวิจัย
1. ผลการเรียนรู้ของนักเรยี น วิเคราะหด์ ้วยค่าคะแนนเฉลี่ย และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
2. ระดบั ผลการเรยี นร้ขู องนกั เรยี น วิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบกบั ระดับผลการเรยี นรู้ตามเกณฑ์
ของ สพฐ.
3. ผลการทดลองใช้ชุดฝกึ ทักษะ กิจกรรมการเรียนรู้แบบสาธิต ร่วมกบั เทคนคิ Think-Pair-Shar
วเิ คราะห์ด้วยวธิ ีการทางสถิติ Two -Sample t Test ท่ีระดับนัยสำคัญทางสถติ ทิ ่ี α 0.05 หรอื ที่ระดบั ความ
เชือ่ ม่ัน 95% วิธีการวเิ คราะห์ใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ ำเร็จรปู
4. ระดับความพึงพอใจ วเิ คราะห์ด้วยค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วธิ ีการวเิ คราะหใ์ ช้
โปรแกรม คอมพิวเตอรส์ ำเรจ็ รปู
5. เกณฑ์ประเมินระดบั ความพงึ พอใจของนักเรยี น วเิ คราะหด์ ้วยช่วงระดบั ค่าเฉล่ีย
การนำเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู
นำเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลดว้ ยตาราง พร้อมทง้ั บรรยายเปน็ ความเรียงประกอบ
42
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
การวิจัยเรอื่ ง การพัฒนาการสรา้ งโจทยป์ ัญหา การบวก และการลบ ของนกั เรียนระดับชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใชช้ ุดฝกึ ทกั ษะ ผวู้ ิจัยเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมูลตามประเด็นของวตั ถปุ ระสงค์การ
วจิ ัย ดงั น้ี
1. พฒั นาชดุ ฝกึ ทักษะ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบสาธิต ร่วมกับเทคนิค Think-Pair-Share เร่ือง การ
พฒั นาการสรา้ งโจทยป์ ญั หา การบวก และการลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใชช้ ุดฝกึ ทกั ษะ
โรงเรียนบา้ นเหล่า อำเภอสงู เมน่ จังหวัดแพร่
2. เพ่อื ทดลองและศึกษาผลการทดลองใชช้ ดุ ฝึกทักษะ กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบสาธิต รว่ มกับเทคนิค
Think-Pair-Share เร่ือง การพฒั นาการสรา้ งโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ ของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษา
ปีที่ 2 โดยใชช้ ดุ ฝกึ ทกั ษะ โรงเรยี นบ้านเหลา่ อำเภอสูงเม่น จงั หวดั แพร่
3. เพ่อื ศกึ ษาระดบั ความพงึ พอใจของนักเรียนระดับชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นเหลา่ อำเภอ
สงู เมน่ จังหวัดแพร่ ทม่ี ีต่อการทดลองใชช้ ุดฝกึ ทักษะ กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบสาธติ รว่ มกบั เทคนิค Think-
Pair-Share จดั กิจกรรมการเรียนรเู้ ร่อื งพัฒนาการสร้างโจทย์ปัญหา การบวก และการลบ ของนักเรียน
ระดับชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โดยใชช้ ุดฝกึ ทกั ษะ
ผลการพฒั นาชุดฝกึ ทักษะการสรา้ งโจทยบ์ วกและการลบ
1. นวัตกรรมทีส่ ร้าง ชดุ ฝึกทักษะการสรา้ งโจทยบ์ วกและการลบ โดยใช้กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบสาธิต
ร่วมกบั เทคนิคเพื่อนคู่คิดในชุดฝึกทกั ษะประกอบไปด้วย แบบกอ่ นเรยี น-แบบทดสอบหลังเรยี นและชุดฝกึ
ทักษะท่ี1 เร่ืองการสร้างโจทย์ปญั หาการบวก ชุดฝกึ ทักษะที่ 2 เรื่องการสรา้ งโจทย์ปญั หาการบวก ชุดฝกึ ทกั ษะ
ท3่ี เรือ่ งการสร้างโจทยป์ ญั หาการลบ ชดุ ฝกึ ทกั ษะที่4 เรอ่ื งการสร้างโจทย์ปัญหาการลบ ใชเ้ วลาในการทำ
ทั้งหมด4ชวั่ โมง
รายละเอยี ดของชุดฝึกทกั ษะการสร้างโจทย์บวกและการลบแสดงแล้วดงั ภาคผนวกที่ ข
2. การหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม
2.1 การหาประสิทธิภาพเชงิ เหตุผล (Rational Approach) เม่ือประเมินความเหมาะสมของ
ชดุ ฝึกทกั ษะการสรา้ งโจทยบ์ วกและการลบ ดว้ ยแบบประเมินความเหมาะสมจากผู้เช่ียวชาญจำนวน 3 คน ผล
การประเมนิ แสดงดังตารางท่ี 1