หลกั สตู รโรงเรียนมาตรฐานสากล
โรงเรียนเชยี งกลาง“ประชาพัฒนา”
จังหวัดน่าน ดว้ ยหลกั 3RSP
สำนักงำนเขตพืน้ ที่กำรศึกษำมธั ยมศึกษำน่ำน
สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขนั้ พืน้ ฐำน
กระทรวงศึกษำธิกำร
คำนำ
การจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนมาตรฐานสากล มงุ่ เน้นการเสริมสร้างความรู้ ความสามารถและ
คณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงคข์ องผ้เู รยี นในศตวรรษท่ี 21 สอดคลอ้ งกับหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา ขัน้
พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 และเป็นไปตามปฏญิ ญาว่าดว้ ยการจดั การศกึ ษาของ UNESCO ได้แก่
Learning to know, Learning to do , Learning to live with the others และ Learning to
be ทัง้ นีเ้ พื่อพฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีคุณภาพ ทั้งในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก เทียบเคียงไดก้ ับนานา
อารยประเทศ
หลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากลเป็นหลักสูตรทใ่ี ช้เป็นเป้าหมายและทิศทางในการยกระดับการ
จดั การศึกษาของทงั้ โรงเรียน โดยการออกแบบหลกั สตู รจะตอ้ งสอดคล้องกบั หลักการและแนวคิดของ
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ซึง่ ผู้เรยี นจะได้รับการพฒั นาคณุ ภาพบรรลุ
ตามมาตรฐานการเรียนรขู้ องกลมุ่ สาระการเรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระ และกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียนท่กี าหนด มี
การพัฒนาต่อยอดลักษณะที่เทียบเคยี งกบั มาตรฐาน
หลักสตู รโรงเรยี นมาตรฐานสากลในโรงเรยี นเชยี งกลาง“ประชาพฒั นา” เล่มนี้ จดั ทาตามกรอบแนว
ทางการจดั การเรียนการสอนของโรงเรียนมาตรฐานสากล ฉบับปรบั ปรุง ในการดาเนนิ งานคร้งั นีค้ ณะผู้จดั ทา
ขอขอบคณุ คณะครูทกุ ท่านทใ่ี ห้ความรว่ มมือ ให้ข้อมูลและเปน็ กาลงั ใจ ในการปรบั ปรงุ หลักสตู รเล่มนจี้ นสาเรจ็
สมบูรณ์ อนั จะนาไปสู่การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนประโคนชยั พทิ ยาคม ใหม้ ีคณุ ภาพได้
มาตรฐานเป็นท่ียอมรบั ของชุมชนตอ่ ไป
โรงเรียนเชยี งกลาง“ประชาพัฒนา”
สำรบญั
หนำ้
ตอนท่ี 1 สว่ นนา 1
ตอนที่ 2 หลักสูตรและการเรียนการสอนในโรงเรยี นมาตรฐานสากล 13
ตอนที่ 3 การจัดหลกั สตู รโรงเรียนมาตรฐานสากล 20
โครงสร้างการจัดหลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากลของโรงเรยี นเชยี งกลาง“ประชาพัฒนา” 22
ตอนท่ี 4 การจัดการเรียนรู้ในโรงเรยี นมาตรฐานสากลระดับมธั ยมศึกษา 29
ตอนที่ 5 การวัดและประเมนิ ผล 110
ตวั อยำ่ งกำรจัดโครงสรำ้ งและหนว่ ยกำรเรยี นรู้
ในรำยวิชำเพิม่ เติม
กำรศกึ ษำคน้ คว้ำและกำรสร้ำงองคค์ วำมรู้
1
ตอนท่ี 1
ส่วนนำ
หลักกำรและเหตผุ ลของกำรจดั โรงเรียนมำตรฐำนสำกล
กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลยี่ นแปลงของโลกทีเ่ กิดข้ึนอยา่ งรวดเร็ว ทาให้แตล่ ะประเทศไม่
สามารถเปิดตวั อยู่ไดโ้ ดยลาพัง จะต้องร่วมมือและพึ่งพาอาศัยซง่ึ กันและกนั แต่ละประเทศมีการติดต่อ
สื่อสารซ่งึ กนั และกนั มากข้ึน มีความร่วมมือในการปฏิบัตภิ ารกจิ และแกป้ ญั หาต่าง ๆ ร่วมกันมากข้ึน ใน
ขณะเดียวกันสังคมโลกในยุคปัจจุบันก็เต็มไปดว้ ยข้อมูลข่าวสาร ทาให้คนต้องคิด วเิ คราะห์ แยกแยะและมกี าร
ตดั สินใจที่รวดเรว็ เพ่ือให้ทนั กับเหตกุ ารณใ์ นสังคม ท่ีมีความสลับซับซ้อนมากข้ึน ซึ่งนาไปสู่สภาวการณข์ อง
การแขง่ ขันทางเศรษฐกจิ การค้าและอตุ สาหกรรมระหว่างประเทศอย่างหลีกเลีย่ งไม่ได้ จึงเป็นแรงผลักดัน
สาคัญทที่ าให้แต่ละประเทศต้องปฏิรูปการศึกษาเพ่ือเตรยี มความพร้อมเขา้ สศู่ ตวรรษท่ี 21 และศักยภาพใน
การแขง่ ขนั ในเวทีโลก ประเทศที่จะอยูร่ อดได้หรือคงความไดเ้ ปรยี บ ก็คอื ประเทศทม่ี ีอานาจทางความรู้
และเป็นสงั คมแห่งการเรยี นรู้ ( Learning Society)
นอกจากนัน้ คนทั่วโลกยงั ต้องเผชญิ กับวกิ ฤตการณ์ทางธรรมชาตแิ ละสภาพแวดลอ้ มรว่ มกัน แต่
ละประเทศต้องเตรยี มคนรุน่ ใหม่ทม่ี ที ักษะและความสามารถในการปรับตัวรูเ้ ท่าทันสงบสันติ มคี วามสุข
และมคี ุณภาพชีวิตที่ดเี หมาะสมการจดั หลักสตู รการเรียนการสอนตอ้ งมีความเปน็ พลวัต ก้าวทันกบั
ส่ิงตา่ ง ๆ ทีเ่ ปลีย่ นแปลง
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาตปิ รบั เปลย่ี นแนวคดิ เพอ่ื เพม่ิ ศกั ยภาพการจัดการศกึ ษา
ไทยให้พรอ้ มสาหรับการแข่งขันในเวทีโลกในยุคศตวรรษที่ 21 ดงั นี้
1. โรงเรยี นเปน็ หนว่ ยบริการทางการศกึ ษาในมติ ิท่ีกวา้ งขน้ึ โรงเรยี นแต่ละแห่งจะต้องมี
การแขง่ ขันดา้ นคุณภาพมากข้ึน และจะต้องพัฒนาใหเ้ ปน็ หน่วยบริการทางการศึกษาท่มี คี ุณภาพ เพ่ือ
รองรับการแข่งขันท่จี ะเกิดขน้ึ จากการเปิดเสรีทางการศึกษาซง่ึ เป็นผลจากการเขา้ สปู่ ระชาคมอาเซยี น ในปี
พ.ศ. 2558
2. หลกั สตู รการเรยี นการสอนมีความเปน็ สากล สรา้ งคนท่มี ีศักยภาพหลายดา้ น รวมทง้ั
ความสามารถด้านภาษาต่างประเทศ การคดิ วิเคราะห์ การสือ่ สาร คณุ ลกั ษณะในการเปน็ พลโลก
โรงเรยี นควรหาภาคเี ครือข่ายในการจดั หลกั สตู รนานาชาติ หลกั สูตรสมทบ หรือหลักสูตรร่วมกบั สถาบนั
ตา่ งประเทศเพอ่ื ความเปน็ สากลทางการศึกษา
2
3. การพฒั นาทกั ษะการคดิ การเรยี นการสอนควรเนน้ ให้ผู้เรียนคดิ ส่ิงใหม่ ๆ มากกวา่
การให้ผู้เรยี นคิดตามส่งิ ทผี่ สู้ อนปอ้ นความรู้
4. การปลกู ฝงั คุณธรรมจริยธรรม ปรัชญาการจดั การศึกษาต้องให้ความสาคัญกับ
การพัฒนาบุคคลในองคร์ วมทั้งมิตขิ องความรู้และคุณธรรมคกู่ ัน เพ่ือให้เกิดการพฒั นาอย่างย่ังยนื และ
ประชาคมโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสขุ
5. การสอนภาษาต่างประเทศในโลกยุคไร้พรมแดนน้นั ผมู้ คี วามรู้ด้านภาษาตา่ งประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาที่ใชส้ ื่อสาร เช่น ภาษาองั กฤษหรือภาษาจนี ย่อมมีความได้เปรยี บในการ
ตดิ ตอ่ สื่อสาร การเจรจาตอ่ รองในเรื่องตา่ ง ๆ ตลอดจนการประกอบอาชีพ การจดั การเรยี นการสอนควร
สง่ เสริมให้ผ้เู รียนได้มโี อกาสพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศดว้ ย
จากแนวคดิ ดงั กลา่ วข้างตน้ กระทรวงจงึ ปรับปรงุ หลักสตู รและไดป้ ระกาศใช้หลกั สูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เพ่ือเป็นกรอบทิศทางในการพฒั นาเยาวชนของชาตเิ ข้าสู่โลกยคุ
ศตวรรษท่ี 21 โดยมุ่งสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนมีคณุ ธรรม รกั ความเป็นไทย ใหม้ ีทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ สรา้ งสรรค์
มีทกั ษะด้านเทคโนโลยี สามารถทางานรว่ มกับผู้อน่ื และสามารถอยู่รว่ มกับผอู้ ่ืนในสงั คมโลกได้อย่างสนั ติ
อันจะส่งผลตอ่ การพฒั นาประเทศแบบย่งั ยืน โดยมจี ุดหมายคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสาคัญ
และมาตรฐานการเรยี นร้เู ปน็ เปา้ หมายการพัฒนาผเู้ รยี นให้มีความรู้ ทักษะและมีคณุ ธรรมบนพ้ืนฐานความ
เป็นไทยควบคกู่ บั ความเป็นสากล โดยหลกั สูตรได้มุง่ เนน้ ความสามารถในการสือ่ สาร การคดิ การแกป้ ัญหา
การใชเ้ ทคโนโลยแี ละมีทักษะชีวิต เพ่อื ให้ผเู้ รยี นมศี ักยภาพเทยี บเคียงกบั นานาอารยประเทศ เปน็ การเพิ่ม
ขดี ความสามารถใหค้ นไทยก้าวทนั ต่อความเปลย่ี นแปลงและความกา้ วหนา้ ของโลก มีศักยภาพในการ
แข่งขันในเวทโี ลก
ผลจากการติดตามการใชห้ ลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 พบว่า
กระบวนการจัดการเรยี นรใู้ นโรงเรยี นส่วนใหญใ่ นปจั จบุ ัน ยงั ไม่สามารถพฒั นาผเู้ รียนให้เกดิ คุณภาพตาม
เจตนารมณข์ องหลกั สูตรแกนกลางได้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในดา้ นทักษะการคดิ วเิ คราะห์ การฝึกใช้ความคดิ
และแสวงหาความรู้ ผู้เรียนยังขาดโอกาสในการลงมือปฏิบัติจรงิ การทดลอง การคดิ วเิ คราะห์ด้วยตนเอง
สงิ่ เหล่านจ้ี ะเกดิ ขน้ึ ได้กต็ อ่ เมื่อครูต้องมีความรู้ความเขา้ ใจในเปา้ หมายของหลกั สูตรและกระบวนการ
จดั การเรียนรอู้ ยา่ งถ่องแท้ สามารถนาไปถา่ ยทอดแกผ่ เู้ รียนและสามารถประยุกต์ใชส้ อ่ื อุปกรณ์ต่าง ๆ
ตลอดจนนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ ๆ ทเี่ อ้ือต่อการเรยี นรู้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐานได้เล็งเห็นความจาเป็นอย่างเรง่ ด่วนทจ่ี ะต้อง เร่งหา
วิธกี ารท่มี ปี ระสทิ ธิภาพในการพัฒนาทกั ษะและความสามารถตา่ ง ๆ ดงั กลา่ ว ให้เกดิ ขน้ึ กับผู้เรยี นเพ่ือให้
เป็นพ้นื ฐานทจี่ ะเติบโตเป็นคนไทยท่ีมคี วามคิดเปน็ สากล มีความสามารถในการรว่ มมือทางานและแข่งขนั
3
กับนานาชาตไิ ด้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพเพราะส่ิงเหลา่ นจ้ี ะทาให้ประเทศไทย สามารถดารงอย่ใู นเวที
นานาชาตไิ ดอ้ ย่างรู้เท่าทนั สมศักดิ์ศรี เคียงบ่าเคียงไหล่ ไม่ถูกเอารดั เอาเปรียบ ได้รับประโยชน์ในสงิ่ ทค่ี วร
จะได้รับและมีคณุ ภาพชีวติ ท่ีดี สามารถคารงชีวิตอยรู่ ว่ มกันอยา่ งสงบสันติ ถ้อยทีถ้อยอาศยั และช่วยเหลอื
ซ่ึงกนั และกัน
โรงเรียนมาตรฐานสากล (World – class standard school) จงึ เป็นนวัตกรรมการจัด
การศึกษาท่ีสานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน นามาใช้เป็นมาตรการเร่งด่วนในการยกระดบั
การจดั การศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าสากล ซึง่ เริ่มดาเนนิ การกบั โรงเรยี นนาร่องจานวน 500
โรงเรยี นในปีการศึกษา 2553 ด้วยการให้โรงเรียนในโครงการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและจดั
กระบวนการเรยี นรู้ใหผ้ ู้เรยี นบรรลุคุณภาพตามมาตรฐานท่ีกาหนดตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั
พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และเพิม่ เติมสาระการเรียนรู้ความเปน็ สากล ไดแ้ ก่ ทฤษฎีความรู้ ความเรยี ง
ขนั้ สูง โลกศกึ ษาและจดั กิจกรรมสรา้ งสรรค์ จากผลการติดตามได้พบปัญหาอปุ สรรคในการปฏบิ ัตบิ าง
ประการ ไดแ้ ก่ ความซ้าซ้อนของสาระเพม่ิ เติมกับหลักสตู รนานาชาตขิ องประเทศและการจดั หลกั สตู ร
สถานศกึ ษาหลายแห่งในส่วนของสาระการเรียนร้เู พิ่มเติมขาดความสอดคลอ้ งกบั โครงสร้างเวลาเรียนท่ี
กาหนดในหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 และจากเสียงสะท้อนของสงั คม
ทว่ั ไป บง่ ช้ีใหเ้ หน็ วา่ ทักษะและความสามารถทจ่ี าเป็นที่จะช่วยทาให้เด็กและเยาวชนไทยสามารถพฒั นา
ตนเองไปสู่ความเป็นสากล ไดแ้ ก่ การคดิ วเิ คราะห์ สรา้ งสรรค์ การแสวงหาความรู้ ทักษะด้านเทคโนโลยี
และความสามารถในการทางานร่วมกบั ผู้อื่นยงั ไม่อยู่ในระดับทนี่ ่าพอใจ
สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐานจงึ ได้พิจารณาทบทวนจุดทเี่ ปน็ ปัญหาในการ
ดาเนินงานของโรงเรยี นมาตรฐานสากล และพัฒนาปรับปรุงแนวปฏิบตั สิ าหรบั ให้สถานศึกษาใช้ใน
การจดั หลกั สตู รการเรยี นการสอน โดยเริ่มต้นใช้ในปกี ารศึกษา 2555 ทัง้ น้เี พอื่ ใหก้ ารพัฒนาคณุ ภาพ
ผเู้ รียนในโรงเรียนมาตรฐานสากลเป็นไปอย่างมีประสิทธภิ าพย่งิ ขึ้น
ลกั ษณะของโรงเรยี นมำตรฐำนสำกล
โรงเรียนมาตรฐานสากล (World – class standard school) หมายถงึ โรงเรยี นทพี่ ัฒนา
หลักสูตรและจัดการเรียนการสอนอย่างมคี ุณภาพเทยี บเคียงมาตรฐานสากล รวมทงั้ มีการบรหิ ารจัดการ
ด้วยระบบคณุ ภาพ เพ่ือให้ได้ผู้เรยี นที่มคี ณุ ภาพ คอื เปน็ ผู้ทม่ี ีความรู้ ความสามารถ และคุณลักษณะ
(Learner Profile) เทยี บเคียงมาตรฐานสากล (World class standard) และมศี ักยภาพเป็นพลโลก
(World citizen) สอดคล้องกบั เจตนารมณ์ของหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช
2551 ท่มี ุ่งเนน้ การพัฒนาคุณภาพเยาวชนสาหรบั ยุคศตวรรษท่ี 21 อีกทงั้ เป็นไปตามปฏญิ ญาวา่ ดว้ ยการ
4
จดั การศกึ ษาของ UNESCO คือ Learning to know, Learning to do, Learning to live with
the others, Learning to be
จดุ ม่งุ หมำยและทศิ ทำงในกำรดำเนินกำรของโรงเรียนมำตรฐำนสำกล
การดาเนินการของโรงเรยี นมาตรฐานสากลนนั้ จะประสบความสาเรจ็ ได้จะตอ้ งมกี ารพัฒนา
หลายมติ ไิ ปพร้อม ๆ กัน และต้องดาเนินการทง้ั ระบบ คือด้านหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน การ
บริหารจดั การ มิใช่เปน็ การจัดการศกึ ษาเปน็ บางส่วนของโรงเรยี น หรอื จดั เปน็ แผนการเรยี น
มาตรฐานสากล การจัดการศึกษาในโรงเรยี นมาตรฐานสากลจะต้องมีจดุ มุ่งหมายและทศิ ทางท่ีชัดเจน คือ
1) พัฒนาผเู้ รียนใหม้ ีศักยภาพเป็นพลโลก (World citizen) สร้างวิถีแหง่ การรู้แจ้ง สร้าง
แรงกระต้นุ ใหม่ ๆ ใหผ้ เู้ รยี นเกิดความมุ่งมนั่ รักและเพลิดเพลนิ ในการแสวงหาความรู้ สามารถวเิ คราะห์
และสรปุ องคค์ วามรู้ มีความสามารถในการส่อื สารอย่างมีประสทิ ธภิ าพ มจี ิตสาธารณะและสานกึ ในการ
บรกิ ารสังคม
2) ยกระดบั การจัดการเรยี นการสอนเทยี บเคียงมาตรฐานสากล (World – class
standard) ซง่ึ มภี มู ิปญั ญา ความสามารถ และความถนดั แตกต่างกนั มีการจัดการเรียนร้ทู ่เี หมาะสมใน
การเพิ่มพนู ศกั ยภาพของผู้เรยี น ส่งเสริมพหปุ ญั ญาของเด็ก บนพ้ืนฐานของความเข้าใจ รูใ้ จ และมีการ
ใชก้ ระบวนการคัดกรองในระบบดแู ลช่วยเหลือผเู้ รยี นเปน็ รายบุคคลเพ่ือให้พฒั นาไปสูจ่ ุดสงู สดุ แหง่
ศักยภาพ
3) ยกระดับการบริหารจัดการด้วยคุณภาพ (Quality System Management) พฒั นา
ศกั ยภาพขององคก์ รให้ไดม้ าตรฐานสากล สอดคลอ้ งเหมาะสมกบั บรบิ ทของตนเอง สามารถระดม
ทรัพยากรจากแหล่งต่าง ๆ และศึกษาแนวทางจากแบบอย่างความสาเร็จท่หี ลากหลายเพ่ือปรับใชไ้ ด้อย่าง
เหมาะสม รวมทั้งมีการสรา้ งเครอื ข่ายในการจดั การศึกษาในทุกระดับ ซ่ึงอาจจะเริ่มต้นจาก
การประสานความร่วมมือในชุมชน ท้องถิน่ ไปส่ภู มู ภิ าค จนกระทั่งถึงเครอื ข่ายระดับชาติและนานาชาติใน
ที่สุด ท้งั น้ีเพราะคุณภาพของเยาวชน คอื อนาคตของชุมชน ความหวังของชาติและของมวลมนุษยชาติ
ตัวช้ีวัดควำมสำเร็จโรงเรียนมำตรฐำนสำกล
ดำ้ นผเู้ รยี น
เป้ำหมำย
1. นักเรียนมผี ลสัมฤทธ์ิการเรียนผ่านการประเมินระดับชาติอยู่ในระดับดี เปน็ ทยี่ อมรับ
จากสถาบันนานาชาติ
2. นกั เรียนมีความสามารถ ความถนดั เฉพาะทางเปน็ ที่ประจักษ์ สามารถแข่งขันใน
ระดับชาตแิ ละนานาชาติ
5
3. นกั เรยี นสามารถเขา้ ศึกษาต่อในระดบั ทส่ี งู ขน้ึ จนถึงระดบั อุดมศึกษา ท้ังในประเทศและ
ตา่ งประเทศได้ในอัตราสงู ขนึ้
4. นักเรยี นมีผลการเรยี นทสี่ ามารถถ่ายโอนกับสถานศึกษาระดับตา่ ง ๆ ในนานาชาติได้
5. นกั เรียนใชภ้ าษาไทย/ภาษาอังกฤษ และภาษาต่างประเทศอืน่ ๆ ในการสื่อสารไดด้ ี
6. นกั เรียนสามารถสอบผ่านการวัดระดับความสามารถทางภาษาจากสถาบันภานานาชาติ
7. นักเรยี นสร้างกิจกรรมแลกเปล่ียนเรียนรู้และจดั ทาโครงงานทีเ่ สนอแนวคดิ เพ่ือสาธารณะ
ประโยชน์ร่วมกับนกั เรยี นนานาชาติ
8. นักเรยี นมคี วามคิดสร้างสรรค์ กลา้ เผชิญความเสย่ี ง สามารถใช้ความคดิ ระดบั สูง มี
เหตุผลและวางแผนจดั การสู่เปา้ หมายท่ตี ้ังไว้ได้
9. นักเรียนสามารถสรา้ งสรรค์ความคิดใหม่ ๆ เพ่ือประโยชน์ต่อตนเอง สงั คมและ
ประเทศชาติ
10. นกั เรยี นมีความสามารถประเมนิ แสวงหา สังเคราะห์ และใชข้ อ้ มูลขา่ วสารอย่างมี
ประสิทธิผล โดยการนาเทคโนโลยีมาใชม้ าใช้ในการดาเนนิ การให้สาเร็จ
11. นกั เรียนมีความรอบรดู้ ้านทัศนภาพ (ภาษาภาพ สญั ลักษณ์ สญั รปู ) รู้จักตคี วาม สรา้ ง
สื่อในการพฒั นาการคิด การตัดสนิ ใจและการเรียนรู้ใหก้ ้าวหน้าขน้ึ
12. นักเรียนมีผลงานการประดิษฐ์ สรา้ งสรรค์ และออกแบบผลงานเข้าแข่งขนั ในเวที
ระดบั ชาตแิ ละนานาชาติ
13. นักเรยี นสามารถใชเ้ ทคโนโลยใี นการเรยี นรู้ ออกแบบ สร้างสรรค์งาน สอื่ สาร นาเสนอ
เผยแพร่และแลกเปลย่ี นผลงานได้ในระดบั ชาตแิ ละระดับนานาชาติ
14. นกั เรียนมคี วามตระหนักในสภาวการณ์ของโลก สามารถเรียนร้แู ละจดั การกบั
สภาวการณท์ ีม่ คี วามซับซ้อน
15. นักเรยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจและตระหนักในความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ขนบธรรมเนียมประเพณีของนานาชาติ
16. นกั เรียนมีความสามารถระบุประเดน็ ทางเศรษฐศาสตร์ วเิ คราะหผ์ ลกระทบของ
การเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและนโยบายสาธารณะ เปรียบเทียบคา่ ใช้จ่ายและผลตอบแทนได้
17. นักเรยี นมคี วามรับผดิ ชอบต่อสงั คมและเปน็ พลเมืองดี สามารถจัดการและควบคุม
การใช้เทคโนโลยี เพอ่ื ส่งเสริมใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อสาธารณะและปกป้องคุ้มครองสง่ิ แวดล้อม และ
อุดมการณป์ ระชาธปิ ไตย สงั คมไทยและสงั คมโลก
6
ตัวชี้วดั
ระดับมัธยมศกึ ษำตอนตน้
1. ร้อยละของนักเรยี นทม่ี ีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นผา่ นการประเมินระดับชาติอยู่ในระดับดี
ขน้ึ ไป
2. ร้อยละของนักเรียนท่ีได้รบั รางวัลเหรียญทองในการแข่งขันศิลปหัตถกรรมระดับภาค
หรอื ระดับชาติ
3. จานวนรางวัลท่นี ักเรยี นไดร้ บั จากการเขา้ รว่ มการแข่งขันในระดบั นานาชาติ
4. นกั เรียนมีค่าเฉลี่ยผลการทดสอบด้วยเคร่ืองมือประเมินระดับนานาชาติ เชน่ PISA
หรือ TIMMS ไม่น้อยกวา่ ค่าเฉลย่ี ของระดับนานาชาติ
5. รอ้ ยละของนักเรียนทีม่ ีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนกลมุ่ สาระภาษาไทยและภาษาองั กฤษ
ผา่ นการประเมินระดับชาติอยู่ในระดับดีขน้ึ ไป จากเครื่องมือทโ่ี ครงการพฒั นาขึน้
6. จานวนนกั เรยี นที่เข้ารับการทดสอบภาษาองั กฤษด้วยเครื่องมือมาตรฐานระดบั
นานาชาติ (เช่น IELS TOFEL เป็นต้น) เพิ่มมากขน้ึ
7. รอ้ ยละของนักเรยี นทีส่ ามารถสื่อสารได้อย่างน้อย 2 ภาษา คอื ภาษาไทยและ
ภาษาองั กฤษ
8. รอ้ ยละของนักเรยี นที่สามารถตั้งคาถาม ต้ังสมมติฐาน และศกึ ษาคน้ คว้าอยา่ งอิสระดว้ ย
ตนเอง เพ่ือหาคาตอบและสรุปองค์ความรู้ได้
9. รอ้ ยละของนักเรียนที่สามารถสอ่ื สาร เขยี น และนาเสนอผลการศึกษาค้นคว้าโดยใช้ส่ือ
ทีเ่ หมาะสม ทม่ี แี หลง่ อ้างองิ ที่เช่อื ถอื ได้
10. รอ้ ยละของนกั เรยี นทสี่ ามารถประยุกตอ์ งค์ความรู้ท่ีไดจ้ ากการศกึ ษาคน้ คว้าด้วยตนเอง
ไปสู่การปฏบิ ตั หิ รอื นาไปใช้เพ่ือประโยชนแ์ กส่ งั คม
11. จานวนกจิ กรรมที่จดั ให้นักเรียนได้นามาเสนอผลงานร่วมกันในกล่มุ ประเทศอาเซยี น
12. จานวนนักเรียนแลกเปลย่ี นระหวา่ งโรงเรียนในโครงการกบั โรงเรียนของประเทศตา่ ง ๆ
ในกลมุ่ อาเซยี น
13. รอ้ ยละของนักเรียนที่มีความรบั ผิดชอบต่อสังคมและเป็นพลเมอื งดี สามารถจัดการ
และควบคุมการใชเ้ ทคโนโลยี เพ่ือส่งเสรมิ ให้เกดิ ประโยชน์ต่อสาธารณะและปกปอ้ งคมุ้ ครองสังคม
สิง่ แวดล้อม และอดุ มการณ์ประชาธิปไตย
14. รอ้ ยละของนักเรยี นทม่ี ีความคดิ สรา้ งสรรค์ กล้าเผชิญความเสีย่ ง สามารถใช้ความคดิ
ระดับสูง มีเหตุผล และวางแผนจดั การสเู่ ปา้ หมายท่ีตัง้ ไว้ได้
7
ระดบั มัธยมศกึ ษำตอนปลำย
1. รอ้ ยละของนักเรยี นที่มผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นผา่ นการประเมินระดบั ชาตอิ ยู่ในระดับดี
ขน้ึ ไป
2. ร้อยละของนักเรียนที่ได้รบั รางวัลเหรียญทองในการแข่งขนั ศิลปหัตถกรรมระดบั ภาค
หรือระดบั ชาติ
3. จานวนรางวัลทนี่ กั เรยี นไดร้ ับจากการเขา้ ร่วมการแขง่ ขนั ในระดบั นานาชาติ
4. นกั เรยี นมีคา่ เฉลย่ี ผลการทดสอบด้วยเครื่องมือประเมนิ ระดับนานาชาติ เช่น PISA
หรอื TIMMS ไม่น้อยกวา่ ค่าเฉล่ียของระดับนานาชาติ
5. ร้อยละของนักเรยี นท่ีมีผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนกลุ่มสาระภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ผา่ นการประเมินระดับชาติอยู่ในระดบั ดีขนึ้ ไป จากเคร่ืองมือทโี่ ครงการพฒั นาขนึ้
6. จานวนนักเรยี นที่เขา้ รบั การทดสอบภาษาอังกฤษดว้ ยเครื่องมอื มาตรฐานระดับ
นานาชาติ (เชน่ IELS TOFEL เป็นต้น) เพมิ่ มากข้นึ
7. รอ้ ยละของนักเรียนทสี่ ามารถสื่อสารได้อย่างน้อย 2 ภาษา คือภาษาไทยและ
ภาษาอังกฤษ
8. ร้อยละของนักเรียนทส่ี ามารถตง้ั คาถาม ตงั้ สมมติฐานและศึกษาคน้ คว้าอยา่ งอสิ ระด้วย
ตนเอง เพ่ือหาคาตอบและสรุปองค์ความรไู้ ด้
9. รอ้ ยละของนักเรียนทีส่ ามารถส่ือสาร เขียนและนาเสนอผลการศกึ ษาคน้ ควา้ โดยใชส้ ือ่
ท่เี หมาะสม ทีม่ ีแหลง่ อ้างองิ ที่เชื่อถือได้ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ
10. รอ้ ยละของนักเรียนที่สามารถประยุกต์องค์ความรทู้ ่ีได้จากการศึกษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง
ไปสกู่ ารปฏบิ ตั หิ รอื นาไปใชเ้ พ่ือประโยชนแ์ กส่ งั คม
11. จานวนกิจกรรมทจ่ี ดั ใหน้ ักเรียนได้นามาเสนอผลงานรว่ มกันในกลุม่ ประเทศอาเซยี น
12. จานวนนกั เรียนแลกเปล่ียนระหว่างโรงเรียนในโครงการกับโรงเรยี นของประเทศตา่ ง ๆ
ในกลมุ่ อาเซยี น
13. จานวนโครงงานของนักเรียนท่ีสง่ แขง่ ขนั ระดับนานาชาติ
14. จานวนนกั เรียนท่เี ขา้ ศกึ ษาตอ่ ในมหาวิทยาลยั ชั้นนาทงั้ ในประเทศและตา่ งประเทศ
15. ร้อยละของนักเรยี นที่มีความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คมและเป็นพลเมืองดี สามารถจัดการ
และควบคุมการใช้เทคโนโลยี เพ่ือสง่ เสรมิ ใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ สาธารณะและปกปอ้ งค้มุ ครองสงั คม
ส่ิงแวดลอ้ ม และอุดมการณป์ ระชาธปิ ไตย
16. รอ้ ยละของนักเรียนทม่ี ีความคิดสรา้ งสรรค์ กล้าเผชญิ ความเสีย่ ง สามารถใชค้ วามคิด
8
ระดับสงู มเี หตผุ ล และวางแผนจดั การสเู่ ป้าหมายที่ต้ังไว้ได้
ดำ้ นหลักสตู รและกำรเรยี นกำรสอน
เป้ำหมำย
1. โรงเรียนจดั หลักสูตรสถานศึกษาท่เี ทียบเคยี งกับหลกั สูตรมาตรฐานสากล
2. โรงเรยี นจัดหลกั สูตรที่ส่งเสรมิ ความเปน็ เลศิ ตอบสนองต่อความถนัดและศักยภาพตาม
ความตอ้ งการของผู้เรียน
3. โรงเรียนจัดการเรยี นการสอนสาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์และวิทยาศาสตร์ดว้ ย
ภาษาองั กฤษ
4. โรงเรยี นจดั การเรียนรูส้ าระการเรยี นรู้ การศึกษาคน้ คว้าและสร้างองคค์ วามรู้
(Research and Knowledge Formation) การสอ่ื สารและการนาเสนอ (Communication and
Presentation) และกิจกรรมสรา้ งสรรค์และบริการสงั คม (Global Education and Social Service
Activity)
5. โรงเรียนใชห้ นังสอื ตาราเรยี น และสอื่ ท่มี ีคณุ ภาพตามมาตรฐานสากล
6. โรงเรียนใช้ระบบการวัดและประเมนิ ผลแบบมาตรฐานสากล โดยประเมนิ จากการสอบ
ข้อเขยี น สอบปากเปลา่ สอบสมั ภาษณ์ การลงมือปฏิบัติ และสามารถเทียบโอนผลการเรยี นกบั
สถานศกึ ษาระดับตา่ ง ๆ ท้ังในและต่างประเทศ
ตัวชี้วดั
1. รอ้ ยละของโรงเรียนทจ่ี ัดหลักสูตรสถานศึกษาเทยี บเคยี งกับหลักสตู รมาตรฐานสากล
2. รอ้ ยละของโรงเรยี นจัดหลักสูตรทส่ี ่งเสริมความเป็นเลิศตอบสนองตอ่ ความถนัดและ
ศกั ยภาพตามความตอ้ งการของผูเ้ รียน
3. ร้อยละของโรงเรยี นทจ่ี ดั การเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ การศึกษาคน้ คว้าและสร้างองค์
ความรู้ (Research and Knowledge Formation) การสอ่ื สารและการนาเสนอ (Communication
and Presentation) และกจิ กรรมสร้างสรรคแ์ ละบรกิ ารสังคม (Global Education and Social
Service Activity)
ด้ำนบรหิ ำรจัดกำรด้วยระบบคุณภำพ (Quality System Management)
1. ดำ้ นคุณภำพบุคลำกร
คณุ ภำพของผบู้ รหิ ำรโรงเรียน
เปำ้ หมำย
1. ผบู้ รหิ ารมวี ิสัยทัศนแ์ ละสามารถนาโรงเรียนส่กู ารเป็นมาตรฐานสากล
9
2. ผบู้ รหิ ารจัดการดว้ ยระบบคุณภาพ
3. ผบู้ ริหารมีภาวะผู้นาทางวิชาการ (Academic Leadership) มีผลงานปรากฏเปน็ ทีย่ อมรบั
4. ผ้บู ริหารมีความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยใี นการสือ่ สารและบริหารจัดการ
5. ผบู้ ริหารสามารถใช้ภาษาต่างประเทศในการสื่อสาร
6. ผบู้ รหิ ารมปี ระสบการณ์ อบรม ศึกษาดูงาน แลกเปลย่ี นเรยี นรใู้ นการจัดการศกึ ษานานาชาติ
ตัวช้ีวัด
1. ร้อยละของผู้บริหารที่จดั การศกึ ษาไดเ้ ทยี บเคียงมาตรฐานสากล
2. ร้อยละของผบู้ รหิ ารที่ผ่านเกณฑก์ ารประเมินทเี่ กย่ี วข้องกับ TQA
3. รอ้ ยละของผู้บรหิ ารท่ีสามารถใชเ้ ทคโนโลยีในการบริหารจดั การ
4. ร้อยละของผู้บรหิ ารสามารถใชภ้ าษาต่างประเทศในการส่อื สาร
5. รอ้ ยละของผู้บรหิ ารมีประสบการณ์ อบรม ศึกษาดงู าน แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ ในการจัดการศกึ ษา
นานาชาติ
คุณภำพของครู
เปำ้ หมำย
1. ครผู สู้ อนมีความรู้ ความสามารถ และความเชยี่ วชาญเฉพาะทางด้านวชิ าการ ผ่านการประเมนิ
ในระดบั ชาติ
2. ครสู ามารถใช้ภาษาต่างประเทศในการสอ่ื สาร
3. ครูใชห้ นงั สอื ตาราเรียนและส่อื ที่เป็นภาษาตา่ งประเทศในการจัดการเรยี นการสอน
4. ครใู ช้สื่ออเิ ล็กทรอนิกส์ (ICT) ในการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล
และการเผยแพร่ผลงาน ท้ังระบบออนไลน์ (online) และออฟไลน์ (offline)
5. ครูสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ ในการจดั การเรียนการสอนกับนานาชาติ
6. ครูใชก้ ารวิจัย ส่อื นวตั กรรมเพ่อื พัฒนาผู้เรียนอย่างตอ่ เนื่อง
ตัวช้ีวดั
1. รอ้ ยละของครูดา้ นวชิ าการทีผ่ ่านการประเมนิ ความเช่ียวชาญเฉพาะทางระดับชาติ
2. ร้อยละของครทู ม่ี ีผลงานวิจยั โครงงาน หนงั สือ บทความ หรือเป็นวทิ ยากร
3. อัตราการเพม่ิ ของครทู ส่ี ามารถใช้ภาษาตา่ งประเทศในการส่อื สาร
4. ร้อยละของครูทสี่ ามารถใชเ้ ทคโนโลยกี ารจัดการเรยี นการสอน
5. รอ้ ยละทเี่ พ่มิ ข้ึนของครูทีเ่ ข้าร่วมกิจกรรมที่จัดให้มีการแลกเปลยี่ นเรยี นรกู้ บั นานาชาติ
10
2. ดำ้ นระบบกำรบรหิ ำรจดั กำร
เป้ำหมำย
1. โรงเรียนบรหิ ารจดั การดว้ ยระบบคุณภาพท่ีได้รบั การรับรองจากองค์กรมาตรฐานสากล
ระดับโลก
2. โรงเรียนมีระบบการจดั การความรู้ (KM) และการสรา้ งนวัตกรรมเผยแพร่ทง้ั ในประเทศ
และต่างประเทศ
3. โรงเรยี นนาวิธีปฏิบตั ิที่เปน็ เลิศ (Best Practice) มาใช้ในการบริหารจดั การ
ครอบคลุมภารกิจทุกดา้ นของโรงเรียน
4. โรงเรียนมีการแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ การบรหิ ารจดั การทัง้ ในประเทศ/ต่างประเทศ
5. โรงเรยี นมีการบริหารดา้ นบุคลากรอยา่ งมีอิสระและคลอ่ งตัว โดยสามารถกาหนด
อัตรากาลัง สรรหา บรรจุ จดั จ้าง ส่งเสริม และพัฒนา
6. โรงเรียนสามารถแสวงหา ระดมทรพั ยากรดา้ นตา่ ง ๆ เพ่ือพัฒนาความเปน็ เลิศในการ
จดั การศกึ ษา โดยสามารถบริหารจัดการได้อยา่ งคล่องตัวตามสภาพความคล่องตัวและจาเป็น
ตวั ชี้วดั
1. ร้อยละของโรงเรยี นทบี่ ริหารจัดการดว้ ยระบบคณุ ภาพ
2. ร้อยละของโรงเรียนที่มีการบริหารด้านบุคลากรอยา่ งมีอิสระและคลอ่ งตัวในการ
กาหนดอัตรากาลงั สรรหา บรรจุ จัดจา้ ง ส่งเสรมิ และพัฒนา
3. รอ้ ยละของโรงเรยี นท่ีมกี ารระดมทรัพยากรด้านตา่ ง ๆ เพ่ือพัฒนาความเปน็ เลิศในการ
จัดการศึกษา โดยสามารถบริหารจัดการได้อยา่ งคลอ่ งตวั ตามสภาพความคลอ่ งตวั และจาเปน็
3. ด้ำนปจั จยั พนื้ ฐำน
เปำ้ หมำย
1. โรงเรียนมขี นาดช้ันเรียนทเ่ี หมาะสม โดยมจี านวนนักเรียนต่อห้อง (มธั ยมศึกษา
35 คน : หอ้ ง) โดยมจี านวนครูท่มี ีความร้ตู รงสาขาที่สอนเพียงพอ และมีอตั ราสว่ นครู 1 คน ตอ่
นักเรยี นไม่เกิน 20 คน
2. ภาระงานสอนของครู มีความเหมาะสมไม่เกนิ 20 ช่วั โมงต่อสปั ดาห์
3. โรงเรียนจดั ใหม้ หี นงั สอื /ตาราเรียนทมี่ ีคุณภาพระดับมาตรฐานสากล เพ่อื ให้นักเรียนได้
ใช้เรยี นอย่างเพยี งพอ
4. โรงเรียนมคี อมพวิ เตอรพ์ กพา สาหรับนักเรียนทกุ คน
5. โรงเรยี นมีเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ แบบความเร็วสูงเชอ่ื มโยงครอบคลุมพื้นที่ของโรงเรยี น
11
6. โรงเรยี นมหี อ้ งเรยี นอเิ ลก็ ทรอนิกสม์ ลั ติมเี ดีย (Electronic Multi - Media
Classroom) ห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการและมีอุปกรณ์เทคโนโลยีท่ีทันสมัย เน้นความเป็นเลิศของ
นักเรียนตามกลุ่มสาระอย่างพอเพียง และสามารถเชื่อมโยงเครือข่าย เพ่ือการเรียนรู้และสืบค้นข้อมูลได้
รวดเร็ว
7. โรงเรยี นมหี อ้ งสมดุ แหล่งเรยี นรู้ ศูนย์วทิ ยบรกิ าร (Resource Center) ที่มี
สภาพแวดลอ้ ม บรรยากาศเออื้ ตอ่ การใชบ้ ริการ มีส่อื ทพ่ี อเพียงเหมาะสมทันสมัย มีกิจกรรมท่สี ง่ เสรมิ
การอ่าน การเรียนรู้และการคน้ ควา้ อย่างหลากหลาย
ตวั ช้วี ัด
1. ร้อยละของโรงเรียนท่ีมหี อ้ งอเิ ล็กทรอนิกส์มลั ตมิ ีเดยี
2. ร้อยละของโรงเรียนที่มหี อ้ งทดลอง หอ้ งปฏิบตั ิการพร้อมอุปกรณ์ท่ีทันสมัยเป็นไปตามเกณฑ์
3. รอ้ ยละของโรงเรียนท่ีมหี อ้ งสมดุ ศนู ยวิทยบรกิ าร (Resource Center) ทมี่ กี าร
บรกิ ารด้วย ระบบเทคโนโลยีท่ที นั สมยั
4. รอ้ ยละของครู/นักเรียนที่มีความพงึ พอใจในการใช้หอ้ งสมดุ ศนู ยว์ ทิ ยบริการ
5. รอ้ ยละของโรงเรียนที่มีขนาดหอ้ งเรยี นและอัตราส่วนครูต่อนกั เรยี นอยู่ในระดับเหมาะสม
4. ด้ำนเครือข่ำยรว่ มพัฒนำ
1. โรงเรียนมีสถานศึกษาที่จัดการศึกษาในระดับเดียวกันเป็นเครือข่ายร่วมพัฒนา ท้ังในระดับ
ท้องถ่ิน ภมู ภิ าค ระดบั ประเทศและระหว่างประเทศ
2. โรงเรยี นจดั กิจกรรมการเรยี นรูแ้ ลกเปล่ียนประสบการณ์และทรัพยากรระหวา่ งเครอื ข่าย
โรงเรยี นรว่ มพัฒนา
3. โรงเรยี นมเี ครือขา่ ยสนบั สนุนจากสถาบนั อดุ มศึกษาและองคก์ รอ่นื ๆ ท่ีเก่ยี วข้องทงั้
ภาครัฐ และเอกชน ทั้งในประเทศและตา่ งประเทศ
4. นกั เรยี นและครมู ีเครอื ขา่ ยแลกเปลีย่ นเรียนรกู้ ับบุคคลอื่นทง้ั ในประเทศและต่างประเทศ
ตัวชี้วดั
1. ร้อยละของโรงเรียนท่ีมีเครือข่ายร่วมพัฒนา ท้ังในระดับท้องถิ่นภูมิภาค ระดับประเทศและ
ระหว่างประเทศ
2. ร้อยละของครู/นักเรยี นท่ีมีเครอื ข่ายเรยี นรกู้ บั บุคคลอน่ื ทงั้ ระดับประเทศและระหว่างประเทศ
12
5. ด้ำนกำรวจิ ยั และกำรพฒั นำ
เป้ำหมำย
โรงเรียนดาเนินการจัดทาวิจัยและพัฒนาการจัดการศึกษาด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และใช้
ผลการวิจัยเพือ่ ยกระดบั คุณภาพการศึกษาเทยี บเคียงมาตรฐานสากล
ตวั ชี้วัด
รอ้ ยละของโรงเรียนท่มี ีผลการวิจยั เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาอยา่ งนอ้ ยปีการศึกษาละ
1 เร่อื ง
13
ตอนท่ี 2
หลกั สูตรและการเรยี นการสอนในโรงเรยี นมาตรฐานสากล
คณุ ลักษณะและศกั ยภาพผูเ้ รียนที่เปน็ สากล
การจัดการเรยี นรูใ้ นโรงเรียนมาตรฐานสากล มงุ่ เนน้ การเสริมสร้างความรู้ ความสามารถและ
คณุ ลักษณะที่พึงประสงค์ของผ้เู รียนในศตวรรษท่ี 21 สอดคล้องกับหลกั สตู รแกนกลางการศึกษา ข้ัน
พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 และเปน็ ไปตามปฏญิ ญาว่าดว้ ยการจัดการศึกษาของ UNESCO ได้แก่
Learning to know หมายถึง การเรียนเพ่ือให้มีความรใู้ นสิ่งตา่ ง ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อไป
ได้แก่ การรู้จกั การแสวงหาความรู้ การตอ่ ยอดความรูท้ มี่ ีอยู่และรวมทัง้ การสร้างความรู้ขึ้นใหม่
Learning to do หมายถึง การเรียนเพื่อการปฏบิ ตั หิ รือลงมือทา ซ่ึงนาไปสู่การประกอบอาชพี
จากความรูท้ ี่ได้ศึกษามารวมท้ังการปฏบิ ัติเพ่ือสรา้ งประโยชนใ์ ห้สงั คม
Learning to live with the others หมายถงึ การเรียนรู้เพอ่ื การดาเนินชวี ติ อยรู่ ่วมกบั คนอนื่
ไดอ้ ยา่ งมีความสุข ทง้ั การดาเนินชวี ิตในการเรียน ครอบครัว สังคมและการทางาน
Learning to be หมายถงึ การเรียนร้เู พื่อใหร้ ู้จกั ตวั เองอย่างถอ่ งแท้ รูถ้ งึ ศักยภาพ ความถนัด
ความสนใจของตนเอง สามารถใช้ความรู้ ความสามารถของตนเองใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อสังคมเลือกแนว
ทางการพัฒนาตนเองตามศกั ยภาพ วางแผนการเรยี นต่อ การประกอบอาชพี ทส่ี อดคล้องกับศกั ยภาพ
ตนเองได้
ทั้งนเี้ พ่ือพัฒนาผเู้ รียนใหม้ ีคุณภาพทงั้ ในฐานะพลเมอื งไทยและพลโลกเทยี บเคียงไดก้ บั นานา
อารยประเทศ โดยมุ่งเนน้ ใหผ้ ู้เรยี นมีศักยภาพท่ีสาคัญ ดังน้ี
1) ความร้พู น้ื ฐานในยุคดิจิทลั (Digital-Age Literacy) มีความรพู้ ้นื ฐานทจ่ี าเปน็
ทางวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี ร้ภู าษา ข้อมูล และทัศนภาพ (Visual & Information) รูพ้ หุ
วัฒนธรรมและมคี วามตระหนัก สานึกระดบั โลก (Multicultural literacy & Global Literacy)
2) ความสามารถคิดประดิษฐอ์ ย่างสรา้ งสรรค์ (Inventive Thinking) มี
ความสามารถในการปรับตวั สามารถจัดการกับสภาวการณท์ ี่มีความซับซ้อน เป็นบุคคลท่ใี ฝร่ ู้ สามารถ
กาหนด/ตงั้ ประเดน็ คาถาม (Hypothesis Formulation) เพ่ือนาไปสู่การศึกษาคน้ คว้า แสวงหาความรู้
มีความสามารถในการคดิ วิเคราะห์ คดิ สงั เคราะห์ ข้อมูล สารสนเทศและสรปุ องค์ความรู้ (Knowledge
formation ) ใชข้ ้อมูลเพ่ือการตัดสินใจเก่ยี วกบั ตนเองและสังคมได้อยา่ งเหมาะสม
14
3) ทักษะการส่ือสารอย่างมีประสทิ ธผิ ล (Effective Communication )
ความสามารถในการรับและส่งสาร การเลอื กรับหรือไม่รับข้อมลู ขา่ วสารด้วยหลักเหตผุ ลและความถูกต้อง
มวี ฒั นธรรมในการใชภ้ าษา ถา่ ยทอดความคิด ความรู้ ความเขา้ ใจ ความร้สู กึ และทัศนะของตนเอง
เพ่ือแลกเปลีย่ นข้อมลู ขา่ วสารและประสบการณ์ อันจะเป็นประโยชน์ตอ่ การพัฒนาตนเองและสงั คม
รวมทัง้ มีทักษะในการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปญั หาความขัดแย้งตา่ งๆ ตลอดจนสามารถเลอื กใช้
วิธีการส่อื สารทมี่ ีประสิทธิภาพโดยคานงึ ถึงผลกระทบท่ีมีต่อตนเองและสังคม
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต ความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้
ในการดาเนนิ ชีวติ ประจาวัน การเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง การเรียนรู้อยา่ งต่อเน่อื ง เข้าใจความสมั พนั ธแ์ ละการ
เปลยี่ นแปลงของเหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ในสังคม สามารถจัดการปัญหาและความขดั แย้งตา่ ง ๆ อยา่ งเหมาะสม
และนาไปสู่การปฏบิ ตั ิ/นาไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อสังคม บริการสาธารณะ(Public Service ) ซ่งึ หมายถงึ
การเปน็ พลเมืองไทยและพลเมอื งโลก (Global Citizen)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี การสืบคน้ หาความรู้จากแหล่งเรียนรู้และวิธกี ารที่
หลากหลาย (Searching for Information) เลือกและใชเ้ ทคโนโลยดี า้ นตา่ ง ๆ และมีทักษะกระบวนการ
ทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนาตนเองและสังคม ในดา้ นการเรียนรู้ การสื่อสาร การทางาน การแก้ปัญหา
อย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม
การจดั ทาหลักสตู รและการจัดการเรยี นการสอนสู่สากล
การทผี่ ู้เรยี นจะได้รับการพฒั นาให้มคี ุณภาพดงั กล่าวข้างต้นยอ่ มต้องอาศัยหลักสตู รสถานศึกษาที่
เหมาะสม คือ จะตอ้ งไดร้ ับการออกแบบอย่างดี มีเป้าหมายและกระบวนการดาเนนิ งานท่ีเป็นระบบ ด้วย
ความร่วมมอื ของบคุ ลากรทกุ ฝา่ ยในโรงเรียน หลักสตู รสถานศึกษาของโรงเรยี นมาตรฐานสากลเป็น
หลักสูตรท่ใี ชเ้ ป็นเป้าหมายและทศิ ทางในการยกระดบั การจัดการศึกษาของท้งั โรงเรยี น มิใช่การจัดใน
ลกั ษณะของแผนการเรยี นสาหรับผูเ้ รยี นเพียงบางสว่ นโดยการออกแบบหลกั สูตรจะต้องสอดคลอ้ งกับ
หลกั การและแนวคดิ ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ซง่ึ ผเู้ รยี นจะได้รับ
การพฒั นาคุณภาพบรรลตุ ามมาตรฐานการเรียนรู้ของกลุม่ สาระการเรยี นรู้ 8 กลุม่ สาระ และกจิ กรรม
พฒั นาผูเ้ รียนทก่ี าหนด มีการพฒั นาต่อยอดลักษณะที่เทียบเคยี งกบั สากลท้ังในระดับประถมศึกษา
มัธยมศกึ ษาตอนต้นและมธั ยมศึกษาตอนปลายโดยโรงเรยี นพจิ ารณาใหส้ อดคล้องเหมาะสมกับสภาพความ
พร้อม และจดุ เน้นของโรงเรียนซ่งึ มคี วามแตกต่างกัน
15
กระบวนการพัฒนาผ้เู รียนส่คู ุณภาพที่คาดหวงั
ในการจดั การเรยี นสอนเพ่ือใหผ้ ู้เรยี นมคี ุณลกั ษณะและศกั ยภาพความเป็นสากลดังท่รี ะบุไว้
ขา้ งตน้ คือ เปน็ บคุ คลทม่ี ีคณุ ภาพ มที ักษะในการคน้ คว้าแสวงหาความรู้และมคี วามรู้พืน้ ฐานทีจ่ าเปน็
สามารถคดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ สรา้ งสรรค์ สามารถสอื่ สารอย่างมปี ระสทิ ธิผลตลอดจนมที กั ษะชวี ติ
ร่วมมอื ในการทางานกบั ผอู้ นื่ ได้เปน็ อยา่ งดีน้ันจะต้องมีกระบวนการจัดการเรยี นร้อู ย่างต่อเนอ่ื ง มลี าดับ
ขั้นตอนอยา่ งเหมาะสมและสอดคล้องกบั พัฒนาการของผ้เู รยี นในแตล่ ะระดบั ชั้น โดยมีกระบวนการสาคัญ
ในการจดั การเรยี นรู้ ท่ีอาจกลา่ วได้ว่าเป็น “บันได 5 ขัน้ ของพฒั นาผู้เรียนสู่มาตรฐานสากล (Five
steps for student development)” ได้แก่
1. การตงั้ คาถาม/สมมตุ ิฐาน (Hypothesis Formulation) เป็นการฝกึ ให้ผเู้ รียนรจู้ กั คดิ
สังเกต ต้ังคาถามอย่างมีเหตุผลและสร้างสรรค์ ซงึ่ จะส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรใู้ นการตงั้ คาถาม
(Learning to Question)
2. การสืบคน้ ความรู้และสารสนเทศ (Searching for Information) เป็นการฝกึ แสวงหา
ความรู้ ข้อมลู และสารสนเทศ จากแหลง่ เรียนรู้อยา่ งหลากหลาย เชน่ ห้องสมดุ อนิ เทอรเ์ นต็ หรือจากการ
ฝึกปฏิบตั ิ ทดลอง เปน็ ต้น ซึ่งจะส่งเสรมิ เกิดการเรียนร้ใู นการแสวงหาความรู้ (Learning to Search)
3. การสร้างองค์ความรู้ (Knowledge Formation) เป็นการฝึกใหผ้ เู้ รยี นนาความรูแ้ ละ
สารสนเทศทไี่ ดจ้ ากการแสวงหาความรู้ มาถกแถลง อภิปราย เพอื่ นาไปส่กู ารสรุปและสร้างองค์ความรู้
(Learning to Construct)
4. การสื่อสารและการนาเสนออย่างมปี ระสิทธภิ าพ (Effective Communication) เปน็ การ
ฝึกให้ผเู้ รยี นนาความรทู้ ี่ไดม้ าส่ือสารอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ซ่ึงจะส่งเสรมิ ให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรแู้ ละมี
ทกั ษะในการสอ่ื สาร (Learning to Communicate)
5. การบรกิ ารสังคมและจิตสาธารณะ (Public Service) เปน็ การนาความรสู้ ู่การปฏิบตั ิ
ซง่ึ ผู้เรียนจะต้องเช่ือมโยงความรูไ้ ปสู่ การทาประโยชน์ให้กับสงั คมและชุมชนรอบตัวตามวุฒภิ าวะของ
ผูเ้ รียนและจะส่งผลใหผ้ ู้เรยี นมจี ิตสาธารณะและบรกิ ารสังคม (Learning to Serve)
การศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent Study : IS) เคร่อื งมอื สาคัญในการพัฒนา
การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามบนั ได 5 ขั้น ดังกลา่ ว สามารถดาเนนิ การได้หลากหลายวิธี
และการใหผ้ ้เู รียนได้ เรยี นรู้สาระการศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง “Independent Study : IS” นับเป็น
วธิ ีการทม่ี ีประสทิ ธิภาพวิธีหน่ึงทใี่ ช้กันอย่างกวา้ งขวางในการพัฒนาผู้เรยี น เพราะเปน็ การเปิดโลกกว้างให้
ผเู้ รียนได้ศกึ ษาคน้ คว้าอย่างอิสระในเรื่องหรือประเดน็ ที่ตนสนใจ เริ่มตัง้ แต่การกาหนดประเดน็ ปญั หา
ซ่งึ อาจเปน็ Public Issue และ Global Issue และดาเนินการคน้ ควา้ แสวงหาความรู้จากแหลง่ ข้อมลู
16
ท่ีหลากหลาย มีการวิเคราะห์ สงั เคราะห์ การอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ เพื่อนาไปสกู่ ารสรุปองค์
ความรู้ จากนัน้ ก็หาวธิ ีท่ีเหมาะสมในการส่ือสารนาเสนอให้ผอู้ น่ื ไดร้ บั ทราบและสามารถนาความรู้ทไี่ ด้
จากการศึกษาคน้ คว้าไปทาประโยชนแ์ กส่ าธารณะ ซง่ึ สิง่ เหลา่ นีเ้ ปน็ กระบวนการท่ีเชอื่ มโยงต่อเน่ืองกัน
ตลอดแนวภายใต้ “การศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง (Independent Study : IS) ” ซงึ่ จัดแบ่งเปน็ สาระการ
เรียนรู้ 3 สาระ ประกอบด้วย
IS1 - การศึกษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (Research and Knowledge formation) เปน็ สาระ
ทม่ี งุ่ ให้ผเู้ รียนกาหนดประเดน็ ปัญหา ต้งั สมมุติฐาน ค้นควา้ แสวงหาความร้แู ละฝึกทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์
สังเคราะห์ และสรา้ งองค์ความรู้
IS2 - การส่อื สารและการนาเสนอ (Communication and Presentation) เป็น
สาระท่มี งุ่ ให้ผูเ้ รยี นนาความรู้ทีไ่ ดร้ บั มาพฒั นาวธิ ีการถ่ายทอด/สอื่ สารความหมาย/แนวคิด ขอ้ มลู องค์
ความรูด้ ว้ ยวิธีการนาเสนอที่เหมาะสมหลากหลายรปู แบบและมีประสิทธิภาพ
IS3 - การนาองคค์ วามร้ไู ปใชบ้ ริการสังคม (Social Service Activity) เปน็ สาระท่ีมุ่งให้
ผเู้ รียนนา/ประยุกต์องค์ความรู้ไปสกู่ ารปฏิบตั ิ หรอื นาไปใช้เกดิ ประโยชน์ตอ่ สังคม เกดิ บรกิ ารสาธารณะ
(Public Service)
โรงเรยี นตอ้ งนาสาระการเรียนรู้ การศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง(Independent
Study:IS) ไปสกู่ ารเรียนการสอน ดว้ ยการจัดทารายวชิ า ออกแบบหน่วยการเรยี นรู้และกิจกรรมพฒั นา
ผเู้ รยี นตามแนวทางทกี่ าหนดโดยพิจารณาใหส้ อดคลอ้ งกับบรบิ ท วยั และพัฒนาการของผู้เรยี น ซง่ึ อาจแตกต่าง
กนั ในระดับมธั ยมศึกษาตอนต้นและมธั ยมศึกษาตอนปลาย ตัวอย่างรายละเอยี ดนาเสนอในบทท่ี 4
เป้าหมายคุณภาพผูเ้ รียนในการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
การพัฒนาผ้เู รยี นผา่ นการศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง (Independent Study) นน้ั
ครูผู้สอนจะต้องพจิ ารณาให้เหมาะสมกับวยั และพฒั นาการของผู้เรียน กิจกรรมการเรียนรู้
ความยาก ง่ายของชิน้ งาน ภาระงานท่ีปฏบิ ตั ิจะตอ้ งเหมาะสม เป้าหมายคุณภาพผู้เรียนแตล่ ะระดับท่ี
กาหนดนี้ เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางทค่ี รจู ะใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและ
การประเมินผล
17
เปา้ หมายคุณภาพผู้เรยี นในการศึกษาคน้ คว้าด้วยตนเอง
คณุ ภาพผเู้ รยี น ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย
- ต้งั ประเด็น/คาถามเก่ียวกับ
1. การตงั้ ประเด็นคาถาม/ - ตัง้ ประเด็น/คาถามในเรื่องที่ตน สถานการณป์ จั จุบนั และสงั คมโลก
สมมุติฐานอยา่ งมเี หตผุ ล สนใจโดยเร่มิ จากตัวเองเชื่อมโยง - ตงั้ สมมุตฐิ านและให้เหตุผลที่
สนบั สนุนหรือโตแ้ ยง้ ประเด็นความรู้
(Hypothesis Formulation) กับชุมชน ทอ้ งถนิ่ ประเทศ จากสาขาวชิ าต่างๆ และมีทฤษฎี
รองรบั
- ต้งั สมมตุ ฐิ านและให้เหตุผล โดย - ศกึ ษา ค้นคว้า หาความรู้ ข้อมลู
และสารสนเทศ โดยระบุ แหลง่
ใช้ความรูจ้ ากสาขาวชิ าต่างๆ เรยี นรู้ ทง้ั ปฐมภมู ิ และทุตยิ ภูมิ
2. การสืบคน้ ความรู้จาก - ศกึ ษา คน้ ควา้ แสวงหา - ออกแบบ วางแผนรวบรวม
แหลง่ เรียนรแู้ ละสารสนเทศ ความร้เู ก่ยี วกบั สมมตุ ิฐานทตี่ ้ังไว้ ข้อมลู โดยใชก้ ระบวนการ
หรือจากการปฏิบัติ ทดลอง จากแหลง่ เรียนรู้หลากหลาย (เช่น รวบรวมขอ้ มูลอย่างมปี ระสิทธิภาพ
(Searching for Information) ห้องสมดุ แหลง่ เรยี นรูท้ าง - ใชก้ ระบวนการกล่มุ แลกเปล่ียน
ออนไลน์ วารสาร การปฏิบตั ิ ความคิดเหน็ โดยใชค้ วามรูจ้ ากวชิ า
ทดลอง หรืออื่นๆ) สาขาต่างๆ และพจิ ารณาความรู้
- ออกแบบ วางแผน รวบรวม อย่างมีวิจารณญาณเพื่อให้ได้ข้อมลู
ขอ้ มลู โดยใชร้ ะบวนการรวบรวม ทีค่ รบถว้ นสมบูรณ์
ขอ้ มูลอยา่ งมีประสิทธิภาพ - ทางานบรรลผุ ลตามเป้าหมาย
- ใชก้ ระบวนการกลุม่ ในการ อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพโดยคาแนะนา
แลกเปลย่ี นความคิดเหน็ โดยใช้ ของครูท่ีให้คาปรึกษาอย่างต่อเนื่อง
ความรู้จากวิชาสาขาตา่ งๆ เพื่อให้
ได้ข้อมลู ท่ีครบถ้วนสมบูรณ์ - วเิ คราะหข์ ้อมูลโดยใชว้ ธิ ที ี่
เหมาะสม
- ทางานบรรลุผลตามเปา้ หมาย - สังเคราะหแ์ ละสรุปองค์ความรู้
ภายในกรอบการดาเนินงานที่ อภปิ รายผลและเปรียบเทยี บ
กาหนด โดยการกากบั ดูแล เชื่อมโยงความรู้
ช่วยเหลอื ของครูอย่างต่อเนื่อง
18
คุณภาพผู้เรยี น ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย
3. การสรุปองค์ความรู้ - วิเคราะหข์ ้อมลู โดยใช้ - อธบิ ายความเปน็ มาของ
(Knowledge Formation) วิธีการทเ่ี หมาะสม ศาสตรห์ ลกั การ และวิธีคิดใน
- สังเคราะหแ์ ละสรปุ องค์ ส่ิงท่ีศกึ ษาค้นคว้า
4. การสอื่ สารและ ความรู้ อภปิ รายผลและ - วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้
การนาเสนออย่างมี เปรียบเทยี บเชอ่ื มโยงความรู้ วิธกี ารท่ีเหมาะสม
ประสิทธภิ าพ (Effective - เสนอแนวคิด วธิ ีแก้ปญั หา - สังเคราะหแ์ ละสรปุ องค์
Communication) อย่างเป็นระบบ ความรูอ้ ภปิ รายผล
เปรียบเทียบเช่อื มโยงความรู้
- เรียบเรียงและถา่ ยทอด - เสนอแนวคดิ วิธีแก้ปัญหา
ความคดิ อยา่ งชดั เจน เปน็ อยา่ งเป็นระบบ
ระบบ - เรียบเรียงและถ่ายทอด
- นาเสนอในรปู แบบเด่ียว ความคดิ อย่างสร้างสรรค์ เป็น
(Oral Individual) หรอื กลุ่ม ระบบ
(Oral Panel Presentation) - นาเสนอในรูปแบบเดยี่ ว
โดยใชส้ ือ่ ประกอบหลากหลาย (Oral Individual) หรือกลุม่
- เขยี นรายงานการคน้ คว้า (Oral Panel Presentation)
ศกึ ษาค้นควา้ เชงิ วิชาการความ เปน็ ภาษาไทย หรอื
ยาว 2,500 คา ภาษาองั กฤษโดยใช้สื่อ
- อ้างอิงแหล่งความรทู้ เ่ี ช่ือถือ เทคโนโลยี ที่หลากหลาย
ไดอ้ ย่างหลากหลาย - เขยี นรายงานการศึกษา
- เผยแพร่ผลงานสู่สาธารณะ คน้ คว้าเชิงวชิ าการเป็น
ภาษาไทยความยาว 4,000
คา หรอื ภาษาองั กฤษความ
ยาว 2,000 คา
- อา้ งองิ แหลง่ ความรู้ทเี่ ชื่อถือ
ไดท้ ้งั ในและตา่ งประเทศ
- ใชก้ ารสนทนา/วพิ ากษ์ผา่ น
ส่อื อิเลก็ ทรอนิกส์ เชน่
e-conference,
social media online
19
คุณภาพผู้เรียน ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย
5. การนาความรู้ไปใช้บริการ - นาความร้ไู ปประยุกต์ - นาความรูไ้ ปประยุกต์
สังคม สร้างสรรค์ประโยชนต์ อ่ สรา้ งสรรคป์ ระโยชน์ต่อสงั คม
โรงเรียนและชุมชน และโลก
- เผยแพร่ความรู้และ - เผยแพร่ความร้แู ละ
ประสบการณ์ทไี่ ดจ้ าก ประสบการณ์ทไ่ี ดจ้ าก
การลงมอื ปฏิบัตเิ พ่ือประโยชน์ การลงมือปฏบิ ตั เิ พื่อประโยชน์
ตอ่ โรงเรียนและชมุ ชน ตอ่ สงั คมและโลก
การจดั หลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากลของโร
ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้
ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 (2564) ชนั้ มัธย
ภาคเรยี นที่ 1 ภาคเรยี นที่ 2 ภาคเรียนที่ 1
วิชา นก. วิชา นก. วิชา นก
I20201 การศกึ ษาคน้ ควา้ 1.0
และสร้างองค์ความรู้ : IS1
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 (2564) ชั้นมัธยม
ภาคเรียนท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 ภาคเรยี นท่ี 1
วิชา นก. วชิ า นก. วิชา น
I30201 การศึกษาคน้ ควา้ 1
และสร้างองค์ความรู้ : IS1
การนาองคค์ วามรู้ไปใช้
บริการสงั คม : IS3 (บูรณาการ
กับกจิ กรรมเพื่อสงั คมและ
สาธารณประโยชน)์
ภาษาตา่ งประเทศทส่ี อง
รงเรยี นเชียงกลาง“ประชาพัฒนา” พุทธศักราช 2564
ยมศึกษาปีท่ี 2 (2565) นก. ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 (2566)
ภาคเรยี นท่ี 2 1.0 ภาคเรยี นท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2
วชิ า นก. วิชา นก.
ก. วชิ า
0 I20202 การส่ือสารและ
การนาเสนอ : IS2
การนาองคค์ วามรู้ไปใช้
บรกิ ารสงั คม : IS3 (บูรณาการ
กับกิจกรรมเพ่ือสังคมและ
สาธารณประโยชน)์
มศกึ ษาปีท่ี 5 (2565) ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 6 (2566)
ภาคเรียนที่ 2 ภาคเรียนท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 2
นก. วชิ า นก. วชิ า นก. วชิ า นก.
1.0 I30202 การสื่อสารและ 1.0
การนาเสนอ : IS2
การนาองคค์ วามรู้ไปใช้
บรกิ ารสงั คม : IS3 (บูรณาการ
กับกิจกรรมเพื่อสังคมและ
สาธารณประโยชน์)
ภาษาต่างประเทศทส่ี อง ภาษาตา่ งประเทศทสี่ อง
ภาษาญ่ีปุน่ และภาษาจนี 0
ห้อง 3
2
0.5 ภาษาญป่ี นุ่ และภาษาจีน 0.5 ภาษาญ่ปี ุน่ และภาษาจีน 0.5
ห้อง 3 ห้อง 3
20
ตอนที่ 3
การจัดหลักสตู รของโรงเรียนเชียงกลาง“ประชาพฒั นา”
ตามโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล
การนาสาระ การศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง (Independent Study : IS) ไปจัดทาหลกั สูตร
สถานศึกษาของโรงเรยี นมาตรฐานสากล สามารถดาเนินการไดด้ งั นี้
ระดับมัธยมศกึ ษา ให้จดั เปน็ รายวิชาเพ่ิมเติม 2 รายวิชา และกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียน ดงั นี้
รายวิชาเพ่มิ เติมนัน้ ให้จดั ภาคเรยี นละ 1 รายวชิ า ในชัน้ ปใี ดปีหนึง่ ของระดับชัน้ มธั ยมศึกษาตอนต้นและ
ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาตอนปลาย
1. รายวิชาเพม่ิ เติมที่ 1 ใช้ชื่อรายวชิ า การศึกษาค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้
(Research and Knowledge Formation : IS1) (1- 1.5 หนว่ ยกิต) ในรายวิชาน้ีผู้เรยี นจะไดร้ บั การ
พัฒนาใหเ้ กิดความรู้และทักษะตาม IS1 ผ้เู รียนเลอื กประเดน็ ทสี่ นใจในการเรยี นรู้ เพ่ือกาหนดประเดน็
ปัญหา ตงั้ สมมุติฐาน ค้นคว้าแสวงหาความรจู้ ากแหลง่ ขอ้ มลู ต่างๆ และฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์
สงั เคราะห์ และสร้างองคค์ วามรู้
2. รายวชิ าเพมิ่ เติมท่ี 2 ใช้ช่อื รายวิชา การสื่อสารและการนาเสนอ (Communication
and Presentation: IS2) (1 – 1.5 หน่วยกิต) เปน็ การเรียนร้ทู ่ีตอ่ เน่ืองจากรายวชิ าแรก โดยผเู้ รียน
นาส่งิ ท่ไี ด้ศกึ ษาค้นควา้ จากรายวิชา การศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรมู้ าเขียนรายงานหรือเอกสาร
ทางวิชาการ และนาเสนอ เพอ่ื สื่อสารถ่ายทอดขอ้ มลู ความรู้ใหผ้ อู้ ื่นเข้าใจ
(รอ่ งรอยหลกั ฐานในการเรยี นรู้ ได้แก่ ผลงานการเขยี นทางวิชาการ 1 ชนิ้
และการสื่อสารนาเสนอส่ิงที่ไดจ้ ากการศกึ ษาค้นควา้ ในระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น เป็นภาษาไทย 2,500
คา ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลายเป็น ภาษาไทย 4,000 คา หรือภาษาองั กฤษ 2,000 คา)
3. กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น ใหจ้ ัดในกิจกรรมเพือ่ สังคมและสาธารณประโยชน์ โดยใหผ้ ้เู รยี น
นาสงิ่ ทเ่ี รยี นรู้หรอื ประสบการณ์จากรายวิชาเพ่ิมเติมท้ัง 2 รายวชิ าข้างต้น ไปประยุกตใ์ ชใ้ นการทา
ประโยชนต์ อ่ สังคม
4. ในการจดั กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น (กจิ กรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชน์) หลกั สตู รแกนกลาง
การศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ซง่ึ โรงเรยี นทกุ แห่งรวมทงั้ โรงเรียนมาตรฐานสากลต้องจัดเพอื่
พฒั นาผู้เรยี น ในสว่ นของโรงเรยี นมาตรฐานสากลทส่ี ถานศึกษาต้องจัดกิจกรรมสาระ IS3 นัน้ ควรจดั
กจิ กรรมในชัน้ ที่ผเู้ รยี นได้เรยี นรู้ IS2 ซ่ึงเป็นกจิ กรรมที่ต่อเนอ่ื งเช่อื มโยงกัน
21
โครงสรา้ งหลักสตู รโรงเรยี นมาตรฐานสากล
เวลาเรียน ช่ัวโมง (หนว่ ยกติ )
กลมุ่ สาระการเรยี นร/ู้ กจิ กรรม มธั ยมศกึ ษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย
ม. 1 ม. 2 ม. 3 ม. 4 – ม. 6
รายวชิ าพืน้ ฐาน
ภาษาไทย
คณิตศาสตร์
วทิ ยาศาสตร์
สังคมศึกษาฯ
ประวัตศิ าสตร์
สุขศึกษาและพลศึกษา
ศิลปะ
การงานอาชพี ฯ
ภาษาตา่ งประเทศ
รวมเวลาเรียน (พื้นฐาน) 880(21 นก.) 880(21 นก.) 880(21 นก.) 1640 (41 นก.)
รายวิชาเพ่มิ เตมิ 5 นก. 5 นก. 5 นก. 40 นก.
การศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ จดั สอนในชั้นปีใดปีหนง่ึ จดั สอนในช้ันปใี ดปีหน่ึง
ความรู้ (IS1) (Research and (1-1.5 นก.) (1-1.5 นก.)
Knowledge Formation)
การสือ่ สารและการนาเสนอ จดั สอนในชัน้ ปใี ดปีหน่ึง จดั สอนในชั้นปใี ดปหี นึง่
(IS2) (Communication and (1-1.5 นก.) (1-1.5 นก.)
Presentation)
กิจกรรมพฒั นาผเู้ รียน 120 ชว่ั โมง 120 ชัว่ โมง 120 ช่วั โมง 360 ชว่ั โมง/3 ปี
-กิจกรรมแนะแนว
-กิจกรรมนกั เรียน (ลกู เสอื
เนตรนารี ยุวกาชาด ผบู้ าเพ็ญฯ)
-ชมรม ชุมนุม
-กิจกรรมเพือ่ สังคมและ (จดั กิจกรรมสาระ IS3) (จดั กิจกรรมสาระ IS3) ในชน้ั ที่
สาธารณประโยชน์ ในชนั้ ท่เี รียนรายวิชาเพ่ิมเติม การส่ือสารและ เรยี นรายวิชาเพิ่มเตมิ การสื่อสาร
การนาเสนอ (สาระ IS2) และการนาเสนอ (สาระ IS2)
รวมเวลาเรียนทั้งหมด ไมน่ อ้ ยกวา่ 1,200 ชม./ปี รวม 3 ปี ไม่น้อยกว่า 3,600 ชม.
หมายเหตุ : การจดั การเรียนการสอน IS1 และ IS2 ควรจัดสอนตอ่ เนือ่ งกนั ในชน้ั ปใี ดปีหนึง่ หรือจดั สอน
ในภาคปลายของระดับชน้ั หนึง่ ตอ่ เนือ่ งกบั ภาคต้นในระดับชั้นตอ่ ไปกไ็ ด้
22
I20201 การศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้ : IS1
(Research and Knowledge Formation : IS1)
รายวิชาเพมิ่ เติม ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 จานวน 1.0 หน่วยกติ
..............................................
ศกึ ษา วเิ คราะห์ ฝึกทกั ษะตงั้ ประเด็นปญั หา/ตั้งคาถามในเร่ืองท่ีสนใจโดยเรมิ่ จากตนเอง
เชือ่ มโยงจากชมุ ชน ทอ้ งถิ่นและประเทศ ตัง้ สมมตุ ฐิ านและให้เหตุผลโดยใชค้ วามรูจ้ ากศาสตรส์ าขาต่างๆ
คน้ คว้าแสวงหาความรู้เกี่ยวกับสมมตุ ฐิ านทีต่ ั้งไวจ้ ากแหลง่ เรียนรู้ทห่ี ลากหลาย ออกแบบวางแผน
รวบรวมขอ้ มลู วเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยใช้วิธกี ารทเ่ี หมาะสม ทางานบรรลุผลตามเป้าหมายภายในกรอบการ
ดาเนินงานท่ีกาหนด โดยการกากับดูแล ชว่ ยเหลือของครูอยา่ งต่อเนอ่ื ง สังเคราะห์สรุปองค์ความรแู้ ละ
รว่ มกับเสนอแนวคดิ วธิ กี ารแก้ปญั หาอยา่ งเป็นระบบ ดว้ ยกระบวนการคดิ กระบวนการสืบค้นข้อมลู
กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการปฏิบตั ิและกระบวนการกลมุ่
ในการวิพากษ์ เพ่ือใหเ้ กิดทักษะในการค้นควา้ แสวงหาความรู้ เปรียบเทยี บเชือ่ มโยงองคค์ วามรู้
สังเคราะห์ สรปุ อภิปราย เพ่อื ให้เห็นประโยชน์และคุณค่าของการศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง
ผลการเรยี นรู้
1. ตง้ั ประเด็นปญั หา โดยเลอื กประเด็นที่สนใจ เริ่มจากตนเอง ชุมชน ท้องถ่นิ และประเทศ
2. ต้ังสมมุติฐานประเดน็ ปัญหาทต่ี นเองสนใจ
3. ออกแบบ วางแผน และใชก้ ระบวนการรวบรวมข้อมลู อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
4. ศกึ ษา ค้นคว้า แสวงหาความร้เู กย่ี วกบั ประเด็นที่เลือกจากแหลง่ เรยี นรู้ทห่ี ลากหลาย
5. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหลง่ ท่มี าของข้อมลู
6. วเิ คราะห์ข้อคน้ พบดว้ ยสถิติทเ่ี หมาะสม
7. สังเคราะห์สรุปองคค์ วามรู้ดว้ ยกระบวนการกลมุ่
8. เสนอแนวคิด การแกป้ ัญหาอย่างเปน็ ระบบด้วยองค์ความรู้จากการค้นพบ
9. เหน็ ประโยชน์และคุณคา่ ของการศกึ ษาค้นคว้าดัวยตนเอง
รวมทั้งหมด 9 ผลการเรยี นรู้
23
I20202 การสื่อสารและการนาเสนอ : IS2
(Communication and Presentation : IS2 )
รายวิชาเพมิ่ เติม ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ภาคเรยี นที่ 2 จานวน 1.0 หน่วยกิต
เง่อื นไขการเรียน: ผู้เรียนต้องผ่านการเรียนรายวิชา การศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ มาก่อน
..............................................
ศกึ ษา เรียบเรียง และถ่ายทอดความคิดอย่างชัดเจน เป็นระบบจากขอ้ มูลองค์ความรูจ้ าก
การศกึ ษาค้นควา้ ในรายวชิ าศึกษาคน้ คว้าและสร้างองคค์ วามรู้ (Research and Knowledge
Formation) โดยเขยี นโครงร่าง บทนา เนอื้ เรื่อง สรปุ ในรูปของรายงานเชงิ วิชาการ โดยใช้คาจานวน
2,500 คา มกี ารอา้ งอิงแหล่งความรู้ท่ีเชอ่ื ถือได้อยา่ งหลากหลาย เรียบเรยี งและถ่ายทอดอย่างชดั เจน
เปน็ ระบบ มกี ารนาเสนอในรูปแบบเดี่ยว (Oral Presentation) หรือกลุ่ม (Oral Panel
Presentation) โดยใช้สือ่ ประกอบท่หี ลากหลาย และเผยแพร่ผลงานสสู่ าธารณะ เพื่อใหเ้ กดิ ทกั ษะ ใน
การเขยี นรายงานเชงิ วิชาการ และทกั ษะการสอื่ สารอย่างมีประสทิ ธิภาพ เห็นประโยชนแ์ ละคุณคา่ ในการ
สร้างสรรคง์ านและถ่ายทอดส่ิงทเ่ี รียนรู้ใหเ้ ปน็ ประโยชน์แก่สาธารณะ
ผลการเรยี นรู้
1. วางโครงรา่ งการเขยี นตามหลกั เกณฑ์ องค์ประกอบและวิธีการเขยี นโครงร่าง
2. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าเชงิ วิชาการ ภาษาไทยความยาว 2,500 คา
3. นาเสนอข้อค้นพบ ข้อสรุปจากประเดน็ ที่เลอื กในรปู แบบเดี่ยว (Oral Individual
Presentation) หรอื กล่มุ (Oral panel presentation) โดยใชส้ ่อื อุปกรณใ์ นการนาเสนอได้อยา่ ง
เหมาะสม
4. เผยแพร่ผลงานสูส่ าธารณะ
5. เหน็ ประโยชน์และคุณค่าในการสรา้ งสรรคง์ านและถ่ายทอดสิง่ ท่ีเรยี นรู้แก่สาธารณะ
รวมทั้งหมด 5 ผลการเรยี นรู้
24
กจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น (กิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์
: การนาองค์ความรู้ไปใชบ้ ริการสงั คม : IS3 )
ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ภาคเรยี นท่ี 2
..............................................
เปน็ กิจกรรมท่ีนาความรู้ หรือประยุกต์ใชค้ วามรหู้ รือประสบการณ์จากสิ่งทศ่ี ึกษาค้นควา้ และ
เรยี นร้จู ากรายวิชาเพิ่มเติม การศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (Research and Knowledge
Formation-IS1) และการส่อื สารและการนาเสนอ (Communication and Presentation-IS2) ไปส่กู าร
ปฏิบัติในการสร้างสรรคโ์ ครงงาน/โครงการตา่ งๆ ทก่ี ่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะหรือบรกิ ารสังคม
ชมุ ชน ประเทศหรอื สงั คมโลก มีการกาหนดเปา้ หมาย วัตถปุ ระสงค์ วางแผนการทางาน และตรวจสอบ
ความกา้ วหนา้ วเิ คราะห์ วิจารณ์ผลที่ได้จากการปฏิบัติกจิ กรรมหรือโครงงาน/โครงการโดยใช้
กระบวนการกลุ่มเพอื่ ใหผ้ ูเ้ รียนมีทักษะการคิดสร้างสรรค์ เปน็ กจิ กรรมจิตอาสาท่ีไมม่ ีค่าจา้ งตอบแทน
เปน็ กิจกรรมที่ให้มีความรตู้ ระหนกั รู้ มสี านึกความรบั ผดิ ชอบต่อตนเองและต่อสังคม
เปา้ หมายการดาเนินกจิ กรรม
1. วิเคราะห์องคค์ วามรู้หรือประสบการณ์จากการเรยี นในสาระ IS1 และ IS2 เพ่อื กาหนด
แนวทางไปสู่การปฏบิ ัติใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ สงั คม (Public service)
2. เขียนเป้าหมาย/วัตถปุ ระสงค์ เคา้ โครง กจิ กรรม/โครงงานและแผนปฏิบัติโครงงาน/
โครงการ
3. ปฏบิ ัตติ ามแผนและตรวจสอบความก้าวหน้าทางการปฏิบัติโครงงาน/โครงการ
4. รว่ มแสดงความคดิ เห็น วเิ คราะห์ วิพากษ์ การปฏบิ ตั โิ ครงงาน/โครงงาน
5. สรุปผลการปฏิบัติกจิ กรรม/โครงงาน/โครงการ และแสดงความรสู้ กึ ความคดิ เหน็
ตอ่ ผลการปฏบิ ตั ิงานหรือกจิ กรรม ซงึ่ แสดงถึงการตระหนักรู้ มสี านกึ ความรบั ผดิ ชอบต่อตนเองและสงั คม
การดาเนินกิจกรรมเพอ่ื สงั คมและสาธารณประโยชน์ สามารถปรบั ใหเ้ หมาะสมกับ
ความสนใจ ระดับชั้นของผเู้ รียน และบริบทความพรอ้ มของสถานศกึ ษาแตล่ ะแห่ง
25
I30201 การศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้ : IS1
(Research and Knowledge Formation: IS1)
รายวชิ าเพ่ิมเติม ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 จานวน 1.0 หน่วยกิต
..............................................
ศึกษา วเิ คราะห์ ฝึกทักษะต้ังประเดน็ ปัญหา/ตง้ั คาถามเก่ียวกับสถานการณป์ ัจจุบนั และสงั คม
โลก ตง้ั สมมุตฐิ านและใหเ้ หตุผลทส่ี นับสนุนหรือโตแ้ ยง้ ประเดน็ ความรู้ โดยใช้ความรู้จากศาสตร์สาขา
ต่างๆ และมีทฤษฏีรองรบั ออกแบบวางแผน รวบรวมข้อมูล ค้นควา้ แสวงหาความรู้เก่ียวกบั สมมตุ ิฐาน
ทีต่ ง้ั ไวจ้ ากแหลง่ เรยี นรูท้ ั้งปฐมภูมิ ทุตยิ ภมู ิ และสารสนเทศ อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ และพจิ ารณาความ
นา่ เชอ่ื ถือของแหลง่ เรยี นรู้อย่างมีวิจารณญาณ เพื่อใหไ้ ด้ข้อมลู ท่ีครบถว้ นสมบูรณ์ วเิ คราะหข์ ้อมูลโดยใช้
วธิ กี ารทีเ่ หมาะสม สังเคราะห์สรปุ องคค์ วามรู้ร่วมกนั มีกระบวนการกลุ่มในการวิพากษ์ แลกเปล่ยี น
ความคิดเห็น โดยใชค้ วามรูจ้ ากวิชาสาขาต่างๆ เสนอแนวคดิ วธิ กี ารแก้ปญั หาอยา่ งเป็นระบบ ดว้ ย
กระบวนการคดิ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการปฏิบัติ เพือ่ ให้เกิดทักษะในการค้นควา้ แสวงหา
ความรู้ สงั เคราะห์ สรุป อภิปรายผลเปรยี บเทียบเชอ่ื มโยงความรู้ ความเปน็ มาของศาสตร์ เขา้ ใจ
หลักการและวิธคี ิดในส่ิงท่ศี ึกษา เห็นประโยชนแ์ ละคุณค่าของการศึกษาดว้ ยตนเอง
ผลการเรียนรู้
1. ตงั้ ประเด็นปัญหา จากสถานการณ์ปัจจบุ นั และสังคมโลก
2. ต้งั สมมตุ ฐิ านและใหเ้ หตผุ ลที่สนบั สนุนหรอื โตแ้ ย้งประเดน็ ความรูโ้ ดยใช้ความรจู้ ากวชิ า
สาขาตา่ งๆ และมที ฤษฏีรองรบั
3. ออกแบบ วางแผน ใช้กระบวนการรวบรวมขอ้ มลู อยา่ งมีประสิทธิภาพ
4. ศกึ ษา ค้นคว้า แสวงหาความรเู้ กย่ี วกบั ประเดน็ ที่เลือก จากแหล่งเรยี นรทู้ ่ีมี
ประสทิ ธิภาพ
5. ตรวจสอบความนา่ เช่ือถือของแหล่งท่ีมาของขอ้ มลู
6. วเิ คราะหข์ ้อคน้ พบด้วยสถิติท่ีเหมาะสม
7. สงั เคราะห์ สรปุ องค์ความรู้ด้วยกระบวนการกลุ่ม
8. เสนอแนวคดิ การแก้ปัญหาอย่างเปน็ ระบบด้วยองค์ความรู้จากการค้นพบ
รวมท้ังหมด 8 ผลการเรยี นรู้
26
รายวิชา I30202 การส่อื สารและการนาเสนอ : IS2
(Communication and Presentation: IS2)
รายวชิ าเพ่มิ เติม ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 จานวน 1.0 หน่วยกติ
เงื่อนไขการเรียน: ผเู้ รยี นต้องผ่านการเรียนรายวิชา การศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรู้ มาก่อน
..............................................
ศึกษา เรียบเรยี ง และถา่ ยทอดความคิดอย่างสรา้ งสรรค์จากรายวชิ า IS1 (Research and
Knowledge Formation) เกยี่ วกบั สถานการณป์ ัจจบุ ันและสงั คมโลก โดยเขยี นโครงร่าง บทนา เนอ้ื
เรื่อง สรปุ ในรูปของรายงานการศึกษาคน้ คว้าเชงิ วิชาการเปน็ ภาษาไทยความยาว จานวน 4,000 คา
หรือเปน็ ภาษาอังกฤษ ความยาว 2,000 คา มีการอา้ งอิงแหลง่ ความรูท้ เ่ี ช่ือถือได้อย่างหลากหลาย
เชอ่ื ถือไดท้ ั้งในประเทศและต่างประเทศ เรียบเรยี งและถ่ายทอดส่อื สาร นาเสนอความคดิ อยา่ งชัดเจน
เปน็ ระบบ มีการนาเสนอในรูปแบบเดี่ยว (Oral Individual Presentation) หรือกลมุ่ (Oral Panel
Presentation) โดยใช้สื่อเทคโนโลยที ีห่ ลากหลายและมีการเผยแพร่ผลงานสสู่ าธารณะ เพือ่ ใหเ้ กดิ ทักษะ
ในการเขียนรายงานเชิงวิชาการ และทกั ษะการสื่อสารอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ เหน็ ประโยชน์และคณุ คา่ ใน
การสรา้ งสรรค์งานและถา่ ยทอดสิง่ ท่เี รยี นรูใ้ ห้เปน็ ประโยชน์แก่สาธารณะ
ผลการเรียนรู้
1. วางโครงร่างการเขยี นตามหลักเกณฑ์ องค์ประกอบและวธิ กี ารเขยี นโครงร่าง
2. เขยี นรายงานการศกึ ษาค้นคว้าเชงิ วิชาการเป็นภาษาไทยความยาว 4,000 คา หรือ
ภาษาองั กฤษความยาว 2,500 คา
3. นาเสนอข้อค้นพบ ขอ้ สรปุ จากประเดน็ ทเี่ ลอื กในรปู แบบเดี่ยว (Oral Individual
Presentation) หรอื กลุม่ (Oral Panel Presentation) โดยใช้ส่อื เทคโนโลยีที่หลากหลาย
4. เผยแพรผ่ ลงานสสู่ าธารณะ โดยใช้การสนทนา/วิพากษผ์ ่านส่ืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ เช่น
e-conference, social media online
5. เห็นประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ในการสร้างสรรคง์ านและถ่ายทอดสิง่ ทีเ่ รยี นรู้ให้เป็นประโยชน์
รวมทั้งหมด 5 ผลการเรียนรู้
27
กิจกรรมพฒั นาผเู้ รียน (กิจกรรมเพอื่ สังคมและสาธารณประโยชน์
: การนาองคค์ วามรู้ไปใช้บริการสังคม : IS3 )
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 2
..............................................
เปน็ กิจกรรมทีน่ าความรู้ หรือประยุกตใ์ ชค้ วามรู้หรือประสบการณ์จากส่ิงท่ศี ึกษาคน้ คว้าและ
เรยี นร้จู ากรายวิชาเพิ่มเติม การศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (Research and Knowledge
Formation-IS1) และการสื่อสารและการนาเสนอ (Communication and Presentation-IS2) ไปสูก่ าร
ปฏิบตั ิในการสร้างสรรค์โครงงาน/โครงการต่างๆ ทก่ี ่อใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ สาธารณะหรือบรกิ ารสงั คม
ชมุ ชน ประเทศหรอื สังคมโลก มีการกาหนดเปา้ หมาย วตั ถุประสงค์ วางแผนการทางาน และตรวจสอบ
ความกา้ วหน้า วเิ คราะห์ วิจารณ์ผลทไ่ี ด้จากการปฏบิ ัติกิจกรรมหรอื โครงงาน/โครงการโดยใช้
กระบวนการกลุ่มเพอื่ ให้ผเู้ รยี นมที กั ษะการคดิ สร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมจติ อาสาที่ไม่มีค่าจ้างตอบแทน
เป็นกิจกรรมทีใ่ ห้มีความรู้ตระหนักรู้ มสี านกึ ความรับผดิ ชอบตอ่ ตนเองและตอ่ สงั คม
เป้าหมายการดาเนนิ กิจกรรม
6. วิเคราะหอ์ งค์ความรู้หรือประสบการณ์จากการเรียนในสาระ IS1 และ IS2 เพือ่ กาหนด
แนวทางไปสู่การปฏิบัติใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ สังคม (Public service)
7. เขยี นเป้าหมาย/วัตถปุ ระสงค์ เคา้ โครง กจิ กรรม/โครงงานและแผนปฏิบตั โิ ครงงาน/
โครงการ
8. ปฏบิ ตั ิตามแผนและตรวจสอบความกา้ วหน้าทางการปฏบิ ัตโิ ครงงาน/โครงการ
9. ร่วมแสดงความคิดเห็น วเิ คราะห์ วพิ ากษ์ การปฏิบตั โิ ครงงาน/โครงงาน
10. สรปุ ผลการปฏิบัติกจิ กรรม/โครงงาน/โครงการ และแสดงความร้สู ึก ความคิดเห็น
ตอ่ ผลการปฏิบตั งิ านหรือกิจกรรม ซ่ึงแสดงถึงการตระหนักรู้ มสี านกึ ความรับผดิ ชอบต่อตนเองและสงั คม
การดาเนินกิจกรรมเพอื่ สังคมและสาธารณประโยชน์ สามารถปรบั ให้เหมาะสมกับ
ความสนใจ ระดับชน้ั ของผ้เู รียน และบรบิ ทความพรอ้ มของสถานศึกษาแตล่ ะแหง่
29
ตอนท่ี 4
การจัดการเรียนร้ใู นโรงเรียนมาตรฐานสากลระดบั มธั ยมศึกษา
แนวทางการจดั การศึกษาตามพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พทุ ธศักราช 2542
พระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาตพิ ทุ ธศกั ราช 2542 (ฉบับปรับปรุง พทุ ธศักราช 2545)
ได้กาหนดใหม้ ีการปฏริ ูปการศึกษาทั้งในด้านโครงสร้างการบริหาร การปฏริ ูปการเรียนรู้ ในหมวด 4
มาตรา 24 ไดร้ ะบุชัดเจนในเร่ืองการจดั กระบวนการเรียนรใู้ หส้ ถานศกึ ษาและหน่วยงานท่ีเกย่ี วข้อง
ดาเนนิ การดังต่อไปน้ี
1. จัดเน้ือหาสาระและกจิ กรรมให้สอดคล้องกบั ความสนใจและความถนัดของผู้เรยี น
โดยคานึงถึงความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล
2. ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจดั การ การเผชญิ สถานการณแ์ ละการประยุกต์
ความรูม้ าใช้เพอ่ื ป้องกนั และแกป้ ัญหา
3. จดั กิจกรรมให้ผ้เู รียนได้เรียนรู้จากประสบการณจ์ ริง ฝึกการปฏิบตั ใิ หท้ า ไดค้ ดิ เปน็
และทาเปน็ รกั การอ่านและเกดิ การใฝ่รู้อย่างต่อเน่ือง
4. จดั การเรียนการสอนโดยผสมผสานความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดสว่ นสมดุลกัน
รวมทัง้ ปลูกฝงั คุณธรรม ค่านิยมท่ดี ี และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ไว้ในทกุ วิชา
5. ส่งเสรมิ สนับสนนุ ให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดลอ้ ม ส่อื การเรยี น
และอานวยความสะดวกเพื่อใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรียนร้แู ละมีความรอบรู้ รวมท้ังสามารถใช้การวจิ ัยเปน็
ส่วนหนงึ่ ของกระบวนการเรียนรู้ ท้ังน้ีผสู้ อนและผเู้ รียนอาจเรยี นรู้ไปพร้อมกนั จากสอ่ื การเรียนการสอนและ
แหล่งวทิ ยาการประเภทต่างๆ
6. จัดการเรียนร้ใู ห้เกิดขน้ึ ไดท้ ุกเวลา ทกุ สถานท่ี มีการประสานความรว่ มมือกับบดิ า
มารดา ผปู้ กครองและบคุ คลในชุมชนทกุ ฝ่าย เพ่ือรว่ มกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ
อาจกล่าวไดว้ า่ สถานศกึ ษาควรจัดการศึกษาโดยจัดเนื้อสาระ กจิ กรรมใหส้ อดคล้องกับ
ความสนใจและความถนดั ของผูเ้ รยี น ฝึกให้เกิดทกั ษะการคิด การจดั การ ค่านิยมและคุณลกั ษณะ
ฝกึ ปฏิบัตจิ ากสภาพจริง มีการผสมผสานความรูด้ า้ นตา่ งๆ ปลกู ฝงั คุณธรรม คา่ นิยมและ
คุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ ตลอดจนสนับสนนุ ใหผ้ ู้สอนจดั สภาพตา่ งๆ ท่เี อ้ือตอ่ การเรียนรู้ของผ้เู รยี น
ชุมชนท่เี กีย่ วขอ้ งกับผู้เรยี นเพ่ือความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษา พฒั นาศักยภาพของผ้เู รียนและ
30
สามารถให้ผเู้ รียนนาสิง่ ตา่ งๆ ทีไ่ ด้จากการเรยี นรู้ไปประยุกต์ใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนต์ อ่ ตนเอง ชุมชน
และสังคมได้ตามวัย ความรู้ที่นาไปใช้ บรบิ ทจริงจะชว่ ยให้ผู้เรยี นเข้าใจสิ่งท่เี รยี น เข้าใจตนเอง และ
เข้าใจสงั คม เกิดการเรยี นรู้ที่แทจ้ รงิ
ธรรมชาติของผู้เรียนระดับมัธยมศึกษา
ผูเ้ รียนแตล่ ะคนจะมีคณุ ลักษณะสาคญั และธรรมชาตทิ ี่เหมือน หรือคลา้ ยกัน และมีความแตกตา่ ง
กันไปตามช่วงวยั การเข้าใจคุณลกั ษณะที่สาคัญและธรรมชาติของผู้เรียนจะช่วยให้การจัดการเรียนรู้
ประสบผลสาเรจ็ ซง่ึ ผู้เรียนระดบั มธั ยมศึกษามีคุณลักษณะสาคัญและธรรมชาติ ดงั นี้
ผู้เรียนมัธยมศึกษาตอนตน้ เปน็ วัยของการเจรญิ เติบโตอยา่ งรวดเรว็ เป็นวยั ของการเปลยี่ นแปลง
ของร่างกาย อารมณ์ และสังคม สนใจและให้ความสาคัญกับเพื่อน อยากลอง ชอบความทา้ ทาย
ชอบอสิ ระ เชื่อมน่ั ในตนเอง ชอบแสวงหาความรู้ รู้จักใช้เทคโนโลยใี หมๆ่ มีทกั ษะทางภาษา
วิเคราะห์และเลือกใช้ข้อมลู อย่างเหมาะสม มที ักษะการคิดข้นั สงู มที ักษะชวี ิต รจู้ ักความสามารถ
ของตนเอง รักและเห็นคุณค่าของตนเอง รจู้ ักและเลอื กอาชีพตา่ งๆ
ผู้เรียนมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เป็นวัยของการเจรญิ เติบโตส่กู ารเป็นผ้ใู หญ่ มคี วามเป็นตวั
ของตัวเองและชือ่ ม่ันในตวั เองสูง ชอบอสิ ระและความท้าทาย สนใจและให้ความสาคญั กบั เพ่ือน
ต้องการความยอมรบั จากเพื่อน มคี วามคดิ เป็นเหตุเป็นผล ชอบแสวงหาความรู้ ร้จู กั ใชเ้ ทคโนโลยี
ใหม่ๆ มที ักษะในการสื่อสารภาษาไทยและภาษาองั กฤษ มที กั ษะการคดิ ขัน้ สูง มีทกั ษะชีวิต มี
ทกั ษะในงานอาชพี
การจดั การเรยี นร้ใู นโรงเรียนมาตรฐานสากลเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีศกั ยภาพเป็นพลโลก
นอกจากจะต้องคานึงถงึ คุณลักษณะสาคัญและธรรมชาติของผเู้ รยี นแตล่ ะคนในแตล่ ะชว่ งวยั แลว้ ควร
คานึงถงึ หลักการทางานของสมอง ธรรมชาติ การจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศในการเรยี นรู้
ความต้องการ ความสนใจของผ้เู รียน และปจั จัยอน่ื ที่เก่ยี วข้อง เชน่ สภาพความพร้อม จุดเน้น
บรบิ ทของโรงเรยี น ฯลฯ ซึ่งจะช่วยใหจ้ ดั กิจกรรมได้อย่างเหมาะสม สง่ ผลถงึ คุณภาพผ้เู รยี นตาม
มาตรฐาน และตามเป้าหมายของการจัดการเรยี นรู้ในโรงเรียนมาตรฐานสากล
การจัดการเรยี นรตู้ ้องเนน้ การทางานของสมอง
การท่จี ะจดั การเรยี นการสอนแกผ่ เู้ รยี นเพื่อใหเ้ กิดความรู้ที่แท้จริงน้ัน ตอ้ งเข้าใจระบบ
การทางานของสมอง วูฟสว์ (Wolfe. 2001 หน้า 103-108) พบวา่ การเรยี นรทู้ ่เี กีย่ วขอ้ งกับ
ปัญหาหรอื สภาพการดาเนินชีวิต จะมีความหมายต่อผเู้ รยี น เน่อื งจากผู้เรียนมโี อกาสเรียนรผู้ า่ น
ระบบประสาทสมั ผัสทร่ี บั ข้อมูลผ่านชอ่ งทางต่างๆ (Ways of knowing) ท้งั การเห็น สมั ผัส ไดย้ นิ
31
ได้กลนิ่ และรับรส ทาใหส้ มองจดั กระทาข้อมลู อยา่ งเป็นระบบโดยการจัดการข้อมูล เปรียบเทียบ
จัดกลมุ่ หาความสมั พันธ์เชอื่ มโยง หาแบบรูป (pattern) ของสิ่งต่างๆ สรปุ เป็นหลักการดว้ ย
ตนเอง เม่ือนาหลกั การความคดิ รวบยอดจากศาสตร์แขนงต่างๆ ไปใช้อธบิ ายหรือลงมือแกป้ ัญหากรณี
ตวั อย่างมากขึ้น ความรู้กย็ ง่ิ ถักทอเป็นระบบคิดท่ีกว้างขึ้น ซับซอ้ นขน้ึ ผู้เรียนจึงสามารถใช้ความรู้
จากมุมมองทแ่ี ตกตา่ งเหลา่ น้ี ใช้การอธบิ าย ตดั สินใจ หรอื แกป้ ัญหา อาจกล่าวได้วา่ ผูเ้ รียนได้
พฒั นาทัง้ ระบบวิธคี ิดอย่างมีวิจารณญาณและสรา้ งองค์ความรูไ้ ปพร้อมๆ กนั จงึ เข้าใจลุ่มลกึ และจาได้
คงทนกว่าการเรียนรูท้ ่ีไมเ่ ชอ่ื มโยงผ้เู รยี นกบั บริบทรอบตวั
ในด้านความสอ่ื สารการคิดของผเู้ รียน ซึง่ เปน็ นามธรรมนั้นต้องถ่ายทอดออกมาเป็นรปู ธรรม
ด้วยการพูดและการเขยี น โดยทวั่ ไปแล้วการพดู อธบิ ายความคดิ ง่ายกวา่ การเขียน เน่ืองจาก
การเขียนเป็นการถอดรหัสความคิดซ่งึ เป็นนามธรรมให้ออกมาในรูปสญั ลักษณข์ องภาษาหนง่ึ ๆ
การเขียนจึงเปน็ การแสดงความคดิ ที่มีความซบั ซ้อนทส่ี ุดเพราะตอ้ งมีท้ังความเขา้ ใจส่งิ ท่ีเรียนรู้ ต้อง
เรียบเรียงความคดิ และต้องใช้ภาษาสัญลกั ษณแ์ ทนความคิดให้ผ้อู ่ืนรบั รู้และตีความสงิ่ ท่ีสือ่ สารได้
ตรงกัน
ดงั น้ันการออกแบบการสอนหรืออกแบบการเรยี นรู้จึงเปน็ สิ่งสาคญั ในการทาให้การเรียนรู้มี
ความหมายและนาไปใชไ้ ด้ จึงตอ้ งเข้าใจระบบการทางานของสมอง ความคดิ รวบยอดหรือแบบแผน
ของความคดิ ท่อี ยู่ในหวั เร่อื งท่ีจะสอน ต้องเลือกวธิ สี อน เพอื่ ให้นักเรยี นเกิดการเรยี นรู้ท่มี ีความหมาย
และนาไปใช้ได้ ซึง่ เป็นคณุ ภาพท่คี าดหวังของหลักสตู รและมาตรฐานของกลุ่มสาระการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎกี ารสร้างความรู้ (Constructivism)
ทฤษฎกี ารสรา้ งความรู้ (Constructivism) มีพ้นื ฐานมาจากทฤษฎีการพัฒนาการทาง
สติปญั ญาของเพยี เจต์ (Piaget) ทฤษฎีการสรา้ งความรู้นีเ้ ป็นทแ่ี พร่หลายในสหรัฐอเมริการาวๆ
60 ปกี อ่ น แต่งานเขียนของเพยี เจตใ์ นชว่ ง 15 ปกี ่อนทเ่ี ขาจะเสยี ชีวติ เป็นงานเขยี นท่ีวางพื้นฐาน
แนวคิด Constructivism ซงึ่ เน้นกลไกการเรียนรูท้ น่ี าไปสู่การสร้างความรู้ (Fosnot ,1996.
หนา้ 11) เพียเจต์ (Piaget) ไดอ้ ธบิ ายเกย่ี วกบั สมดลุ ทางปัญญา (cognitive equilibrium) ซงึ่ เปน็
กระบวนการท่เี ป็นพลวตั ว่าเมื่อบุคคลปะทะสมั พันธก์ ันประสบการณ์หน่ึงๆ ถ้าขอ้ มูลหรือ
ประสบการณ์น้นั สัมพนั ธ์กับความรหู้ รอื โครงสร้างทางปญั ญาทมี่ อี ยู่แล้วจะเกิดกระบวนการซึมซับ
(assimilation) เข้ากับโครงสรา้ งทางปญั ญาท่ีมีอยเู่ ดมิ แต่ถา้ ข้อมูลหรอื ประสบการณไ์ ม่สมั พนั ธ์กบั
ความร้หู รอื โครงสรา้ งทางปัญญาที่มีอยู่แล้ว จะเกิดภาวะไม่สมดลุ (accommodation) โครงสร้าง
ทางปัญญาขนึ้ ใหม่ เกิดเปน็ ความรู้ใหมข่ องบคุ คลน้นั
32
ประเดน็ สาคญั ทีท่ าให้ (Constructivism) ต่างจากทฤษฎีทางปญั ญาอ่นื ๆ คือ ความเช่ือ
เกย่ี วกับความรู้ว่าเปน็ การปรับความรทู้ ี่เกิดจากการเรยี นรใู้ นโลกของความเปน็ จรงิ ผู้เรียนแต่ละคน
ต้องสร้างโครงสร้างความคดิ รวบยอดเอง ดังน้นั แมผ้ ้เู รยี นจะเขา้ ใจความหมายของส่งิ เดียวกัน และ
แลกเปลีย่ นความคิดและประสบการณ์กัน ผเู้ รยี นแต่ละคนไม่สามารถนาความรู้ของผู้อนื่ มาเปน็ ของ
ตน แต่ต้องพยายามคิดเพื่อให้เกิดความเขา้ ใจและสร้างความคิดรวบยอด (conceptual
construct) ข้ึนเอง จึงทาให้โครงสรา้ งความคิดของแต่ละคนแมจ้ ะเป็นเรื่องเดียวกัน แตก่ ไ็ ม่
เหมอื นกนั ทเี ดียว (Glasersfeld) (1996) ทฤษฎี (Constructivism) นาไปสูห่ ลักการในการจดั
การเรยี นรู้ทวี่ า่ ผ้เู รยี นต้องลงมอื เรียนและคดิ ดว้ ยตนเอง โดยการปะทะสมั พันธก์ ับประสบการณ์
ตา่ งๆ และมีการแลกเปลยี่ นเรียนรจู้ งึ จะทาให้ผเู้ รียนมีข้อมลู มมุ มองหลากหลายขึน้ นาไปสู่การปรับ
โครงสรา้ งความรู้ ความคิดรวบยอด หรอื หลักการสาคญั ที่ตนสรา้ งข้ึนมาก่อน ดงั นน้ั การจดั
การศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง (Independent Study) จงึ เป็นแนวทางท่สี นองความแตกตา่ งระหว่าง
บคุ คลทั้งในแง่ของความสนใจ ประสบการณเ์ ดิม วธิ เี รยี นรู้ และการให้คุณค่าความร้ทู ผ่ี ูเ้ รียน
แต่ละคนสร้างขน้ึ อยา่ งมีความหมายเพื่อนาไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ตอ่ ตนเอง ชุมชน และสังคมโลก
แมว้ ่า Piaget (1970. อา้ งใน Fosnot หน้า 18-21) ให้ความสาคัญว่าการเรยี นรู้เกดิ ในบริบท
ของสังคม ซ่ึงมีปฏสิ ัมพันธท์ างสังคม ภาษา และวฒั นธรรมเปน็ ปัจจัยสาคญั แนวคดิ น้ีสมั พันธก์ บั
แนวคิดของ Vygotsky (1962) ท่ีว่า ผู้เรียนมีการสรา้ งความคดิ รวบยอดในเร่ืองต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
มาก่อน ซึง่ เกดิ จากการปะทะสมั พันธ์ตามธรรมชาติ (spontaneous concept) เม่ือเข้าเรยี นใน
ระบบโรงเรียน การสอนจะชว่ ยให้นกั เรยี นสรา้ งความคิดรวบยอดทเี่ ป็นทางการมากกว่า และเปน็ ท่ี
เข้าใจกนั ในกลุ่มสงั คมของผูเ้ รียน (scientific concept) ดงั น้ันกระบวนการสอนชว่ ยยกระดับ
ความคิดรวบยอดท่เี กิดขึ้นในการเรียนการสอนเกิดจากปฏิสัมพนั ธใ์ นการเรียน ครูค่อย ๆ พานกั เรยี น
สรา้ งโครงสรา้ งความคดิ รวบยอดของตนทลี ะนอ้ ย ๆ (scaffolding) ประดจุ นงั่ ร้านของช่างก่อสร้าง
การจัดหาโอกาสให้กบั เด็กได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเรยี นรทู้ ่ีจะนาไปสู่การสร้างสรรคต์ ่อสังคม จงึ เป็น
เสมอื นวัตถุดบิ ท่นี าไปสู่กระบวนการสรา้ งความร้ทู ีม่ ีคุณคา่ ดังนน้ั Pappert (19--)ทข่ี ยายแนวคดิ น้ี
ไปสู่ทฤษฎีการจัดการเรียนรู้ Constructionism โดยให้ผู้เรียนท้งั เรยี นรจู้ ากการปะทะสัมพนั ธก์ ับ
ปญั หาและบริบทของสังคมแลว้ ยังจัดโอกาสใหใ้ ชเ้ ทคโนโลยีในการสืบค้น สร้างความรู้ สรา้ งสรรค์
ผลงาน รวมท้งั ผลผลติ อืน่ ๆ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถา่ ยทอดความรู้น้นั ออกมาอย่างเป็นรูปธรรม
Pappert เช่อื วา่ ผเู้ รียนจะพฒั นาคิดอย่างเป็นระบบเม่ือตอ้ งทางาน ใช้คาส่ังคอมพวิ เตอร์ Pappert
เน้นว่า “การเรยี นรู้ท่ีดีไม่ไดม้ าจากการหาวธิ ีการทดี่ กี วา่ สาหรบั ครูนาไปใช้สอน แต่มาจากการท่ีครูให้
โอกาสทดี่ ีกวา่ แก่ผู้เรยี นในการสร้างความรู้” ดงั นัน้ การจัดกระบวนการเรียนรู้ตาม “บันได 5 ขัน้ ของ
33
การจัดการเรียนการสอนในโรงเรยี นมาตรฐานสากล” จงึ เป็นการให้โอกาสและให้อสิ ระแกผ่ ูเ้ รยี นใน
การพัฒนาทักษะกระบวนการเรียนรู้ การสืบค้น สอ่ื สารความรู้และใช้ความรใู้ นทางสรา้ งสรรค์ตอ่
ตนเองและสงั คม
การศึกษาคน้ ควา้ ด้วนตนเอง
การศกึ ษาค้นควา้ ดว้ ยตนเอง (Independent Study : IS) หมายถึง การคิดคน้ สิง่ ใหม่ ๆ
หรือการพัฒนาส่ิงเดมิ ใหม้ อี งคค์ วามรู้มากยง่ิ ขึ้น เปน็ ทักษะสาคญั ของการศึกษา ภายใตส้ ภาพ
ความเจริญก้าวหน้าท่ีมกี ารเปลย่ี นแปลงอยู่ตลอดเวลา
อาจกลา่ วไดว้ า่ การศึกษาค้นควา้ ดว้ ยตนเอง เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้กนั อยา่ ง
กวา้ งขวางในโรงเรียนและสถาบันการศึกษาตา่ ง ๆ ท่เี ปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นกับครผู ูส้ อนตกลงเกยี่ วกบั
หวั เรอ่ื งและขอบขา่ ยท่ีต้องการศกึ ษา แลว้ นักเรียนแสวงหาความรตู้ ามความต้องการ ความสนใจ
สาหรบั ในระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้นอาจมีการกาหนดหวั ข้อต่าง ๆ ใหเ้ ลือกศกึ ษาหาคาตอบ แลว้ จึง
ผลติ ผลงานและนาเสนอการศึกษาด้วยตนเอง เป็นเคร่ืองมือสาคญั ของแนวคดิ ในการศึกษาตลอดชีวิต
ความสนใจกระตือรือรน้ แสวงหาขอ้ เทจ็ จรงิ การยอมรับข้อเท็จจริง ตลอดจนการคิดวิเคราะหท์ ี่
เปน็ เหตุผล อกี ทงั้ พฒั นาความสามารถในการควบคุมตนเอง ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรยี นรู้ และ
เปน็ ผูส้ รา้ งองค์ความรูด้ ว้ ยตนเอง ผลที่เกดิ จากการเรียนรทู้ ี่นกั เรยี นศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเองจงึ ขน้ึ อยู่
กับสภาพแวดลอ้ มของการเรียนรู้ ความรู้และประสบการณ์เดิมของผเู้ รียน
การศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองมีความมุ่งหมายเกี่ยวกับการพัฒนาการเรยี นรู้ของนกั เรยี น
เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง เกย่ี วกบั ประเด็นท่ีอยู่ในความตอ้ งการและความสนใจ
อย่างเป็นระบบ เพ่มิ พนู ความร้คู วามเขา้ ใจ อกี ทง้ั ไดพ้ ฒั นาทักษะกระบวนการคดิ เปน็ แนวทางและ
วธิ กี ารศึกษาคน้ คว้าดว้ นตนเองอยา่ งเป็นระบบ ตระหนักถึงความสาคัญของกระบวนการและวธิ กี าร
ของการศึกษาดว้ ยตนเอง และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้ตลอดชวี ติ ได้
แนวทางการจดั การเรยี นรู้ท่ีผู้เรียนศกึ ษาค้นควา้ ดว้ ยตนเอง
หลักการจัดการเรียนรู้ทผี่ ูเ้ รยี นศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วยตนเองมีความสอดคลอ้ งกบั พระราชบัญญตั ิ
การศกึ ษาแหง่ ชาติ พุทธศกั ราช 2542 (ฉบบั ปรบั ปรุง พทุ ธศักราช 2545) เป็นไปตามหลกั การ
จัดการเรยี นรู้ ที่ผู้เรยี นสร้างสรรคค์ วามรดู้ ว้ ยตนเอง และหลักการทางานของสมอง ผ้สู อนและ
ผเู้ รียนจึงต้องมีความเชอ่ื ร่วมกันเกีย่ วกับความรู้ว่ามิได้เป็นส่ิงท่มี ีคาตอบตายตวั ความรเู้ กย่ี วกับ
ประเด็นหรือปัญหามีหลายมิติ มีความไม่แนน่ อน เนื่องจากเกิดขนึ้ สมั พันธก์ ับกระบวนการทไี่ ด้มา
และทง้ั ตวั ผสู้ ร้างความรู้ ที่ได้ตีความหมายข้อมลู ของตน ดงั นน้ั ความรู้ในเรื่องหนึ่ง ๆ จึงยงั เปดิ
โอกาสให้สบื คน้ และสร้างองค์ความรใู้ หม่ตอ่ ไปอีก
34
เมอ่ื ผู้สอนและผเู้ รยี นมคี วามเช่อื ร่วมกันเชน่ นี้ ผ้เู รียนจะเปลีย่ นบทบาทจากการเปน็ ผรู้ ับ
ความรูไ้ ปเปน็ ตระหนักในความสาคญั ของกระบวนการศกึ ษาค้นคว้าของตน เห็นคุณค่า
การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ และนาความรไู้ ปใช้ ผลจากการนาความรไู้ ปใช้จะชน้ี าประเด็นใหม่ ๆ ใน
การศึกษาของตนเองอยา่ งต่อเนื่อง จงึ อาจกลา่ วได้วา่ ผเู้ รียนมไิ ด้เห็นว่าครูผ้สู อนเปน็ ผู้บอกความรู้ แต่
เหน็ วา่ แหล่งเรียนรูม้ ีมากมายและครูผู้สอนเป็นสว่ นหนง่ึ ของแหล่งเรยี นรู้ ดังนน้ั ครูผูส้ อนจงึ เป็นผ้ทู ตี่ น
จะแลกเปลี่ยนความคิด ขอความช่วยเหลือในเม่อื ศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง
การกาหนดหวั ข้อในการศึกษา
การกระตนุ้ ผูเ้ รียนใหส้ นใจประเด็นปัญหาต่างๆท่เี กีย่ วกับชุมชน และสังคมไปจนถงึ ชุมชน
โลก นน้ั ผ้สู อนสามารถ “จดุ ประกาย” หรอื เปิดประตู ความสนใจของนักเรยี นสโู่ ลกกว้างด้วยการ
นาเรอื่ งราวในสังคมมานาเสนอแก่นักเรียนในรปู แบบทีน่ า่ สนใจ หรอื นานกั เรียนสารวจ ศึกษาสภาพ
จรงิ เพือ่ ใหน้ ักเรยี นมหี ัวข้อทชี่ ัดเจนในการศึกษาและเห็นภาพปลายทางวา่ ส่ิงท่ีตนศึกษา จะสามารถ
นาไปใช้ประโยชนแ์ กผ่ ู้อ่นื ในสังคมได้อยา่ งไร อันเป็นการเชื่อมโยงผ้เู รียนกับชุมชน และสงั คม
ในฐานะพลเมอื งของโลก โดยใชค้ รู ใชก้ ิจธรรมตา่ งๆ เชน่ การเลา่ เร่ืองตา่ งๆ การชวนสนทนา
การอ่าน/ฟงั ข่าวจากหนงั สอื พิมพ์ ใหผ้ ู้เรยี นซักถามหรือตัง้ ประเดน็ ต้งั คาถาม การใชส้ ่ือต่างๆ เช่น
คลปิ วีดิทศั น์ ภาพนิง่ ให้ผู้เรียนชมและตดิ ตาม การกระตุ้นความสนใจดว้ ยเกม เพลง ภาพ
การยกตวั อย่างคาพงั เพย บทกวี ฯลฯ เพอ่ื ให้ผ้เู รยี นตงั้ ประเดน็ ท่ีอยากรู้ หรอื ผู้สอนและผเู้ รยี น
ร่วมกนั กาหนด หรือการตัง้ ประเดน็ ความรู้ (Knowledge issues) หรอื หัวข้อ (Topics) เกย่ี วกับ
Public issues หรอื Global issues
การสรา้ งทศั นคติและเพิม่ พูนทกั ษะในการศกึ ษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง
ผ้สู อนควรจดั กจิ กรรมการเรยี นร้ชู ่วยให้ผ้เู รยี นตระหนกั เกย่ี วกับแหลง่ เรยี นรู้ท่ีหลากหลาย
และวธิ กี ารทผ่ี เู้ รียนรบั ข้อมลู ผ่านอวัยวะรบั สัมผัสต่างๆ โดยการอ่าน/ดู ดม ฟงั ชิม สัมผัส และ
การตีความสิ่งท่รี ับร้แู ตกต่างกันตามประสบการณแ์ ละความรู้เดิม หรอื พ้ืนฐานความคดิ ความเชือ่ ที่มี
มาก่อน กจิ กรรมแหล่งนจี้ ะช่วยให้ผ้เู รยี น ตระหนกั เก่ียวกับความสามารถในการรับรู้ และวิธีการ
เรียนรขู้ องตน รวมถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลในการรับรู้ เชน่ รสชาตอิ าหาร การแปล
ความหมายท่าทาง สัญลักษณ์ เป็นต้น
เพ่อื ให้นกั เรียนมีทกั ษะเพยี งพอที่จะศึกษาค้นคว้าไดด้ ว้ ยตนเอง ในรายวิชาเพม่ิ เติม IS ครู
ควรจัดกิจกรรมท่ีมีการฝึกทักษะย่อยของกระบวนการเหลา่ นัน้ เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รยี นเข้าใจสามารถทาได้
เช่น ทกั ษะการสบื ค้นจากแหลง่ เรยี นรตู้ า่ ง ๆ การสมั ภาษณ์ผรู้ ู้ ปฏิบตั กิ ารค้นหา (ทดลอง สบื เสาะ
สังเกต สารวจ) แสดงความคิดเห็น การให้เหตผุ ลโตแ้ ย้ง การเขยี นอา้ งองิ ฯลฯ
35
ผูส้ อนควรใช้เทคนคิ การจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ไดแ้ ก่ การระดมสมอง การอภิปรายกลุ่ม
สถานการณ์จาลอง และการใช้ผังกราฟกิ เป็นเครือ่ งมือในการเปรียบเทียบ เรยี งลาดบั วเิ คราะห์
ฯลฯ
ในการส่ือสารความรูใ้ หม่ท่ผี ูเ้ รียนสรา้ งขึน้ ผ่านงานเขียน ผูส้ อนควรใช้เทคนิคการพัฒนาการ
สือ่ สารและการนาเสนอ โดยใหผ้ ู้เรยี นถา่ ยทอดความคดิ ออกมาเปน็ รปู ธรรมดว้ ยการใชแ้ ผนผงั
ความคดิ แผนผงั โครงร่างการเขยี น นอกจากนค้ี วรให้ผูเ้ รียนได้นาความคดิ จากงานเขียนนาเสนอโดย
ใชเ้ ทคโนโลยี เพ่ือเสนอผ่านรูปแบบอนื่ ๆ เชน่ คลปิ ภาพยนตร์ส้ัน แผงโครงงานนาเสนอโครงงาน/
โครงการท่ีผเู้ รียนคดิ คน้ /ประดษิ ฐข์ นึ้ การบรรยาย การจัดนทิ รรศการ การสาธิต การโตว้ าที ฯลฯ
การศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วยตนเองมีจุดเนน้ ประการหนึ่งคือ พฒั นาการควบคุมและประเมินตนเอง
ของผเู้ รยี นเม่ือไดอ้ สิ ระในการเรียนรู้ จงึ ให้ความสาคญั กับการวางแผน และการบรหิ ารจัดการตนเอง
ให้งานเป็นไปตามแผน/ข้ันตอนท่กี าหนดไว้ นอกจากนยี้ ังสง่ เสริมการประเมินตนเอง ท้งั ดา้ น
กระบวนการเรียนรู้และประเมินความรู้ ความคิดใหมท่ ่ผี เู้ รียนสรา้ งขนึ้ ด้วยการใชป้ ระเด็นประเมนิ
ตนเอง และด้วยการนาองค์ความรู้ การปฏบิ ตั ทิ ี่พฒั นาข้นึ ผลผลติ ท่สี รา้ งขึ้นนน้ั ไปสอื่ สาร/นาเสนอ/
หรือนาไปปฏบิ ตั ใิ ห้เกิดประโยชนต์ อ่ ตนเอง ผอู้ นื่ ชุมชน และสงั คม จงึ ช่วยให้ผู้เรยี นประเมนิ ได้วา่
องค์ความรู้หรือการเรยี นรู้น้นั จงึ มีความหมายสาคัญและมปี ระโยชน์เพยี งใดต่อตนเองและผูอ้ ่นื
Dewey กลา่ ววา่ ประสบการณต์ ่าง ๆ อาจไม่เป็นประสบการณเ์ รียนรูท้ ี่นาไปสทู่ ่ีความ
เขา้ ใจศาสตรต์ ่าง ๆ จงึ ควรเลือกประสบการณท์ ่ชี ่วยใหผ้ ูเ้ รียนพัฒนาการคดิ วเิ คราะห์ ไตรต่ รอง
และเกิดเปน็ หลักการท่ถี ่ายโยงไปใช้ปรับเปล่ยี นการกระทาในอนาคต David Kolb (1984) ไดน้ า
แนวคิดของ Dewey มากาหนดกรอบในการสะทอ้ นความคิดเกย่ี วกับการเรียนรู้จากประสบการณ์
การบริการสังคมไว้ 4 มิติ (Kolb’s experimental learning cycle) ได้แก่ 1) การสะท้อน
ความคดิ เกยี่ วกับประสบการณท์ ี่เป็นรูปธรรม 2) การสะท้อนข้อสงั เกต 3) ความคิดรวบยอด 4)
การนาความคิดไปทดสอบอย่างกระตือรือรน้
บทบาทของผู้สอน
ผู้สอนมีบทบาทเปน็ ผพู้ ฒั นาทักษะทีจ่ าเปน็ ในการศึกษาดว้ ยตนเอง และเอ้ืออานวย
การเรยี นรู้ เชน่
- เปิดโอกาสให้ผู้เรียนปะทะสัมพนั ธก์ บั ประเดน็ ปัญหาของสงั คมดว้ ยวิธีการตา่ ง ๆ เพ่ือให้
สามารถเห็นบรบิ ทของปัญหา และความร้ทู จี่ าเปน็ ในการแกป้ ญั หา รวมถึงชอ่ งทางการนาความรู้
ไปใชใ้ นการแกป้ ญั หาอยา่ งชัดเจน
36
- มปี ฏสิ มั พนั ธ์กับผู้เรยี น แนะนา ถามให้คิด เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นคน้ พบ หรอื สรา้ งความรู้
ความเข้าใจไดด้ ว้ ยตนเอง
- สร้างแรงจูงใจใฝร่ ู้ ชว่ ยให้ผเู้ รียนคดิ ค้นต่อไปฝึกให้ผู้เรยี นมีทักษะการทางานเป็นกลมุ่
- เปน็ ผชู้ ี้แนะ กระตน้ ให้ผู้เรียนคดิ มากกว่าการบอกความรู้
- ร่วมประเมนิ ผู้เรยี น ใชค้ าถามกระตุ้นการสะท้อนคิด จัดบรรยากาศทผ่ี ู้เรยี นรู้สกึ ม่นั คง
ปลอดภัยทีจ่ ะเรียนรู้และลงมือปฏิบตั ิ
บทบาทของผเู้ รียน
นกั เรียนมบี ทบาทสาคญั มากในการศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง เน่อื งจากนกั เรียนมคี วามเป็น
เจ้าของการเรียนรู้และลงมอื คิด ลงมอื ทา จนสามารถนาเสนอและนาผลการศกึ ษาไปใช้ประโยชน์
นักเรียนจงึ มีบทบาท เชน่
- กาหนดจดุ หมายและวางแผนตลอดแนวในการศึกษาคน้ คว้าแสวงหาความรู้ ฝึกฝนวธิ กี าร
เรยี นรู้ด้วยตนเอง
- กระตือรือร้นในการเรยี นรู้ กลา้ แสดงออก กลา้ นาเสนอความคิดอยา่ งสร้างสรรค์
- สรา้ งปฏสิ มั พันธท์ ี่ดรี ะหว่างผเู้ รียนด้วยกัน ผูเ้ รยี นและผู้สอน ร่วมแลกเปล่ยี นเรยี นรู้
ยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ของผู้อืน่ ฝกึ ความเปน็ ผนู้ า ผ้ตู ามทด่ี ี
- มีทกั ษะทางสงั คม เคารพกติกาทางสังคม รับผิดชอบต่อส่วนรวม
- พฒั นาความสามารถในการเชอื่ มโยงความรู้เดิมเขา้ กบั ความรู้ใหม่
- พัฒนาทักษะการทางานรว่ มกนั เป็นกลุ่ม
- สร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียน รักการอ่าน กลา้ ซกั ถาม
- บนั ทึกความรู้อยา่ งเปน็ ระบบ สามารถนาความรสู้ กู่ ารปฏบิ ตั ไิ ด้จริง
การจัดการเรียนรูใ้ นโรงเรยี นมาตรฐานสากลระดับมธั ยมศึกษา
การพฒั นาผเู้ รียนให้มคี ุณภาพตามทม่ี าตรฐานสากลกาหนด สถานศึกษาควรส่งเสริมให้
ครผู ู้สอนทุกกลมุ่ สาระการเรยี นร้ใู นโรงเรียนมาตรฐานสากลออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ หรือหน่วย
การเรยี นรู้ท่สี ง่ เสริมให้ผูเ้ รยี นได้เรยี นรู้ตามกระบวนการ 5 ขน้ั ตอน หรอื บันได 5 ขัน้ ของการจดั
การเรยี นรู้ในโรงเรียนมาตรฐานสากล ทัง้ รายวิชาพ้นื ฐาน รายวชิ าเพม่ิ เติม และกิจกรรมพฒั นา
ผ้เู รยี นซ่งึ กระบวนการ 5 ขน้ั ตอน หรือบันได 5 ข้ันของการจดั การเรียนรู้ในโรงเรียนมาตรฐานสากล
เปน็ กระบวนการทมี่ ีความตอ่ เนอื่ ง ได้แก่
1. การต้ังประเดน็ คาถาม/สมมุติฐาน
2. การสืบค้นความร้จู ากแหล่งการเรยี นรู้และสารสนเทศ
37
3. การสรปุ องคค์ วามรู้
4. การส่อื สารและการนาเสนออย่างมปี ระสิทธภิ าพ
5. การบรกิ ารสังคมและจติ สาธารณะ
กระบวนการดังกลา่ วจะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรยี นรู้อย่างต่อเน่อื งและเปน็ ระบบ และได้รับ
การพฒั นาอย่างเต็มตามศกั ยภาพ บรรลุตามเปา้ หมายของการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียน
มาตรฐานสากล
การจดั การเรยี นรู้ IS ((Independent Study) ในโรงเรยี นมาตรฐานสากล ระดบั
มัธยมศกึ ษาสามารถจดั ได้ 2 ลกั ษณะ คือ จัดเป็นรายวชิ าเพิ่มเติม 2 รายวชิ าได้แก่ 1) รายวิชา
การศกึ ษาคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ (Research and Knowledge formation : IS1) เป็น
การพัฒนาให้ผเู้ รยี นเกิดความรู้และทกั ษะตาม IS1 ผูเ้ รยี นเลอื กประเดน็ ทสี่ นใจในการเรียนรู้ เพื่อ
กาหนดประเด็นปญั หา ต้ังสมมตุ ิฐาน ค้นคว้า แสวงหาความรจู้ ากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ฝึกทักษะ
การคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์และสรา้ งองค์ความรู้ และ 2) รายวิชาการสื่อสารและการนาเสนอ
(Communication and Presentation : IS2) เปน็ การเรยี นรตู้ ่อเน่ืองจากรายวชิ า IS1 ผเู้ รียนนา
สงิ่ ทไี่ ดศ้ ึกษาคน้ คว้าจากรายวิชาการศึกษาคน้ ควา้ และสร้างองค์ความรมู้ าเขียนรายงาน หรือเอกสาร
ทางวชิ าการ และนาเสนอเพ่ือสื่อสารถ่ายทอดข้อมลู ความรนู้ ้ันใหผ้ ู้อื่นเข้าใจ โดยจดั ทาเป็นผลงาน
การเขยี นทางวิชาการ 1 ชิน้ และการนาสือ่ สารนาเสนอส่ิงท่ไี ดจ้ ากการศึกษาค้นควา้ ในระดบั
มัธยมศึกษาตอนต้น เปน็ ภาษาไทย 2,500 คา มัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นภาษาไทย 4,000 คา
หรอื ภาษาอังกฤษ 2,000 คา และจดั เปน็ กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียนในกจิ กรรมเพื่อสงั คม
และสาธารณประโยชน์ โดยจดั กจิ กรรมการนาองคค์ วามรู้ไปใช้บรกิ ารสงั คม (Social Service
Activity: IS3) ซง่ึ เป็นการนาส่งิ ทเ่ี รยี นรูจ้ ากรายวิชาเพมิ่ เติมทั้ง 2 รายวชิ าข้างต้น ไปประยกุ ตใ์ ช้ใน
การทาประโยชน์ต่อสงั คม
ท้ังนี้ ตวั อยา่ งการจดั โครงสรา้ งและหนว่ ยการเรยี นร้ใู นรายวิชาเพม่ิ เตมิ รายวชิ าการศึกษา
ค้นควา้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ (Research and Knowledge formation : IS1) รายวชิ าการสื่อสารและ
การนาเสนอ (Communication and Presentation : IS2) และกิจกรรมการนาองค์ความรู้
ไปใช้บรกิ ารสงั คม (Social Service Activity: IS3) เปน็ เพียงตวั อย่างในการจัดการเรียนรู้เทา่ นัน้
สถานศึกษาสามารถปรับรายละเอียดและกิจกรรมใหส้ อดคล้องเหมาะสมกับความสนใจ ความถนัด
และความสามารถของผู้เรียน รวมทั้งพิจารณาถึงศักยภาพความพร้อมของสถานศึกษาและครผู สู้ อน
38
1. ตวั อย่างการจัดโครงสรา้ งและหนว่ ยการเรียนรู้
รายวชิ าเพ่ิมเติมท่ี 1 การศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองค์
ความรู้ (Research and Knowledge Formation
: IS1)
39
1. โครงสร้างรายวชิ าเพ่ิมเตมิ ท่ี 1 รหสั วชิ า I20201 รายวิชา การศึกษาค้นคว้าและ
สรา้ งองคค์ วามรู้ : IS1 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ภาคเรยี นที่ 1
หน่วยที่ ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา นาหนกั
คะแนน
1 ประเด็นทฉ่ี ันสนใจ 1. ตังประเดน็ ปญั หา โดยเลือก - การตังประเด็น 10 25
ประเด็นท่สี นใจ เริม่ จากตนเอง ปัญหา และการตัง
ชมุ ชน ทอ้ งถ่นิ ประเทศ คาถาม
2. ตังสมมตฐิ านประเด็นปญั หาท่ี - การตงั สมมติฐาน
ตนเองสนใจ - กระบวนการ
3. ออกแบบ วางแผนใช้ รวบรวมขอ้ มลู
กระบวนการรวบรวมข้อมูล
อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
2 ไปแสวงหาคาตอบ 4. ศกึ ษา คน้ ควา้ แสวงหาความรู้ - การศึกษา คน้ คว้า 20 50
เกีย่ วกับประเดน็ ท่ีเลือกจาก แสวงหาความรจู้ าก
แหล่งเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลาย แหล่งการเรยี นรู้
5. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของ - การตรวจสอบ
แหลง่ ทม่ี าของข้อมูลได้ ความนา่ เช่อื ถือของ
6. วิเคราะห์ขอ้ คน้ พบด้วยสถิตทิ ี่ แหล่งท่มี าของ
เหมาะสม ขอ้ มูล
- การวิเคราะห์ข้อมูล
3 รอบรู้และเหน็ คุณค่า 7. สงั เคราะหส์ รุปองค์ความรู้ดว้ ย - การสังเคราะห์ข้อมลู 10 25
กระบวนการกลุ่ม - การสรุปองค์ความรู้
8. เสนอแนวคดิ การแก้ปัญหา - การแสดงความคดิ
อยา่ งเปน็ ระบบด้วยองค์ความรู้ และการแก้ปญั หา
จากการคน้ พบ - คุณคา่ ของ
9. เหน็ ประโยชน์และคุณคา่ ของ การศึกษาคน้ ควา้
การศกึ ษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง ด้วยตนเอง
รวม 40 100
40
2) การออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1
ประเด็นท่ฉี ันสนใจ
วิชาเพ่มิ เติมโรงเรียนมาตรฐานสากล รายวิชาเพมิ่ เติมที่ 1 รหสั วิชา I20201 รายวิชา การศกึ ษาค้นควา้
และการสร้างองค์ความรู้ : IS1 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 10 ชั่วโมง
ผลการเรียนรู้ (เปา้ หมายการเรียนร)ู้
1. ตงั ประเดน็ ปญั หา โดยเลือกประเด็นทส่ี นใจเร่ิมจากตนเอง ชมุ ชน ท้องถิ่น ประเทศ
2. ตงั สมมตฐิ านประเดน็ ปญั หาท่ีตนเองสนใจ
3. ออกแบบ วางแผนใช้กระบวนการรวบรวมขอ้ มูลอยา่ งมีประสิทธภิ าพ
สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด (ความเข้าใจท่ีคงทน) คาถามสาคญั
การตงั ประเดน็ ปัญหาท่ีชัดเจนโดยเลอื กประเดน็ ที่ - จะตังประเดน็ ปญั หาท่สี นใจไดอ้ ยา่ งไร
สนใจเริม่ จากตนเอง ชุมชน ท้องถ่ิน ประเทศ - การตงั สมมตฐิ านประเด็นปัญหาท่ีสนใจมี
การตงั สมมตฐิ าน โดยใช้ความรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ วธิ ีการอยา่ งไร
และออกแบบ วางแผนใช้กระบวนการรวบรวมข้อมูล - การออกแบบ วางแผน และใช้
อยา่ งมีประสิทธภิ าพจะช่วยใหก้ ารศึกษา ค้นควา้ กระบวนการรวบรวมข้อมลู มีวิธกี ารอย่างไร
แสวงหาคาตอบประสบผลสาเรจ็
สาระการเรียนรู้ (ผเู้ รยี นร้อู ะไร) ทักษะ/กระบวนการ (ผู้เรยี นทาอะไรได้ )
- การกาหนดประเดน็ ความรู้ - ตงั ประเด็นปญั หา โดยเลือกประเด็นที่
- ธรรมชาตขิ องความรู้ สนใจเร่มิ จากตนเอง ชุมชน ทอ้ งถิ่น ประเทศ
- ลักษณะของความรู้ - ตงั สมมติฐานประเด็นปญั หาทตี่ นเองสนใจ
- แหลง่ เรียนรู้ - ออกแบบ วางแผนใช้กระบวนการรวบรวม
- วิธีการสร้างความรู้ ขอ้ มูลอย่างมีประสิทธภิ าพ
1) การสร้างความรูจ้ ากความรู้สกึ - การคิดเชื่อมโยง
2) การสรา้ งความร้จู ากภาษา - กระบวนการปฏบิ ตั ิ
3) การสร้างความรูจ้ ากเหตผุ ล - กระบวนการกลมุ่
4) การสรา้ งความรู้จากอารมณ์
- ทฤษฎขี องกล่มุ สาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ
- ศาสตร์ / สาขาวิชาของความรู้
- นักคดิ / บิดาของศาสตรแ์ ตล่ ะสาระการเรียนรู้
- หลักการตงั วตั ถปุ ระสงค์และสมมติฐาน
- วธิ ีการนาเสนอ
41
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
1. ใฝเ่ รียนรู้
2. มุ่งมั่นในการทางาน
การออกแบบการวัดผลประเมินผล
ภาระงานรวบยอด / ช้ินงาน
โครงร่างการศึกษาคน้ คว้า
เกณฑ์การประเมินภาระงาน / ชนิ้ งาน (ระบุประเดน็ ประเมิน)
1. มอี งคป์ ระกอบครบ (ขอบเขตของข้อมลู แผนการจดั เก็บข้อมลู เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการเก็บข้อมลู )
2. มีความสมั พนั ธ์กันอย่างสมเหตสุ มผลระหวา่ งขอบเขตของข้อมูล แผนการจดั เก็บข้อมลู เครอื่ งมือทีใ่ ช้
ในการเก็บขอ้ มูล
ร่องรอยการเรียนรูอ้ ่ืน ๆ
การตอบคาถาม
การวางแผนการเรียนรู้
กิจกรรมการเรียนรู้
1. ครสู นทนากับนักเรียนเกีย่ วกบั ส่ิงที่สนใจ ข้อสงสัย หรอื เรื่องทน่ี กั เรียนยังไม่ทราบคาตอบ และถาม
คาถามว่า “นักเรยี นจะตังประเด็นปัญหาทสี่ นใจได้อยา่ งไร” นักเรยี นตอบคาถามวิธีการตงั ประเด็นปญั หา
ของตนเอง
2. นักเรยี นศกึ ษาตัวอยา่ งประเดน็ ความร้จู ากสาระการเรยี นรทู้ เ่ี ปน็ รายวิชาพนื ฐาน และช่วยกนั วิเคราะห์
ประเด็นความรู้
3. ครแู ละนักเรียนช่วยกันสรุปวิธีการตงั ประเด็นปัญหา
4. นักเรยี นฝึกการตงั ประเด็นปญั หาในเรอ่ื งทส่ี นใจ โดยเริ่มจากตนเอง ชมุ ชน ทอ้ งถ่ิน และประเทศ
ครูและนกั เรยี นชว่ ยกนั ตรวจสอบการตังประเด็นปัญหา
5. ครถู ามคาถาม “การตงั สมมตฐิ านประเด็นปัญหาทีส่ นใจมวี ธิ กี ารอย่างไร” นักเรยี นตอบคาถามและ
ฝึกตงั สมมตฐิ านและข้อสันนิษฐานของประเด็นความรู้
6. ครูใช้การตังคาถามกระตุ้นใหน้ กั เรียนให้เหตผุ ล ความคิดตา่ งมุม เพื่อแก้ไขปัญหาโดยใชส้ าขาวขิ า
ต่าง ๆ โดยใชว้ ิธกี ารโตแ้ ยง้ สนับสนุนและโตแ้ ย้งคัดค้าน
7. ครูและนกั เรยี นชว่ ยกนั ตรวจสอบการตงั ประเดน็ ปัญหา
42
กจิ กรรมการเรยี นรู้ (ตอ่ )
8. แบง่ นกั เรยี นเป็นกลมุ่ ศึกษาใบความรู้พนื ฐานเก่ยี วกบั ประเด็นต่อไปนี
- การกาหนดประเด็นความรู้ - ธรรมชาติของความรู้
- ลกั ษณะของความรู้ - แหล่งเรยี นรู้
- วธิ กี ารสร้างความรู้
1) การสรา้ งความรจู้ ากความรสู้ ึก 2) การสรา้ งความรจู้ ากภาษา
3) การสร้างความรจู้ ากเหตุผล 4) การสรา้ งความร้จู ากอารมณ์
- ทฤษฎีของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระ - ศาสตร์ / สาขาวชิ าของความรู้
- นกั คดิ / บดิ าของศาสตรแ์ ตล่ ะสาระการเรียนรู้ - หลกั การตังวัตถุประสงคแ์ ละสมมติฐาน
- วธิ ีการนาเสนอ
9. นักเรียนแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการศึกษาใบความร้แู ละร่วมกันอภิปรายสรปุ ความรู้
10. ครูถามคาถาม “การออกแบบ วางแผน และใช้กระบวนการรวบรวมข้อมูลวธิ กี ารอยา่ งไร”
นกั เรียนตอบคาถามและแบ่งนกั เรียนเป็นกลมุ่ ฝึกตงั ประเด็นปัญหา ตงั สมมติฐานประเด็นท่สี นใจ และ
ออกแบบ วางแผนใชก้ ระบวนการรวบรวมขอ้ มลู เพื่อหาคาตอบของประเด็นปัญหาทส่ี นใจและคน้ คว้าข้อมลู
เพิ่มเติมจากแหล่งการเรยี นรตู้ ามสาขาวชิ าตา่ ง ๆ
11. นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอโครงร่างการศกึ ษาคน้ คว้าเกี่ยวกับประเดน็ ทส่ี นใจ สมมติฐาน และ
วิธกี ารรวบรวมข้อมลู
12. ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภิปรายเกีย่ วกบั แผนการศึกษาคน้ ควา้ และชว่ ยกนั ปรับปรุงโครงรา่ งฯ ให้
สมบรู ณ์
ส่ือ / แหลง่ เรียนรู้
1. ตัวอย่างประเด็นความรู้
2. ใบความรพู้ นื ฐานเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่เกย่ี วข้อง เชน่ การกาหนดประเดน็ ความรู้ วธิ ีการสรา้ ง
ความรู้ หลกั การตงั วตั ถปุ ระสงค์ และสมมตฐิ าน ฯลฯ
3. แหล่งการเรยี นรู้ เชน่ หอ้ งสมดุ อินเทอรเ์ น็ต ฯลฯ
43
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2
ไปแสวงหาคาตอบ
วิชาเพ่ิมเติมโรงเรียนมาตรฐานสากล รายวิชาเพมิ่ เติมที่ 1 รหสั วชิ า I20201 รายวิชา การศกึ ษาค้นควา้
และการสร้างองค์ความรู้ : IS1 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา 20 ชั่วโมง
ผลการเรยี นรู้ (เป้าหมายการเรยี นรู้ )
4. ศกึ ษา ค้นคว้า แสวงหาความร้เู ก่ียวกบั ประเด็นทเ่ี ลือกจากแหล่งเรียนรูท้ ่ีหลากหลาย
5. ตรวจสอบความน่าเชือ่ ถือของแหลง่ ที่มาของข้อมลู ได้
6. วเิ คราะห์ข้อคน้ พบด้วยสถิติท่ีเหมาะสม
สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด (ความเข้าใจท่ีคงทน) คาถามสาคัญ
การศึกษา ค้นคว้า แสวงหาความรู้เกยี่ วกบั ประเดน็ - การศึกษา ค้นคว้า แสวงหาความร้มู ี
ท่ีศกึ ษาจากแหลง่ การเรยี นรู้ท่ีหลากหลาย การตรวจสอบ วิธีการอยา่ งไร
ความน่าเช่อื ถือของข้อมลู และการเลอื กใชส้ ถติ ิที่ - การตรวจสอบความนา่ เช่อื ถอื ของขอ้ มลู มี
เหมาะสมในการวเิ คราะหจ์ ะช่วยให้ไดข้ ้อมลู ท่ีมีคณุ ภาพ วธิ ีการอยา่ งไร
- จะเลือกใช้สถิติที่เหมาะสมในการวเิ คราะห์
ขอ้ มลู ไดอ้ ย่างไร
สาระการเรียนรู้ (ผู้เรยี นรู้อะไร) ทกั ษะ / กระบวนการ (ผู้เรยี นทาอะไรได้ )
- ทฤษฎีของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กล่มุ สาระ - คน้ ควา้ ความรู้ในประเดน็ ท่ีศกึ ษาจากแหล่ง
- วิธกี ารศึกษาค้นควา้ จากแหล่งการเรียนรทู้ ี่ การเรียนรทู้ หี่ ลากหลาย
หลากหลาย - ทางานร่วมกับผอู้ ืน่ ตามกระบวนการกลุ่ม
- การตรวจความนา่ เชื่อถือของข้อมลู - ตรวจสอบความนา่ เชอื่ ถือของข้อมลู ที่
- การใช้สถติ ิพืนฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล ศกึ ษาคน้ คว้า
- วพิ ากษค์ วามน่าเช่ือถือของขอ้ มูล
- กระบวนการวิเคราะห์
- ใชส้ ถติ พิ นื ฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. มวี ินัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มงุ่ มั่นในการทางาน
การออกแบบการวดั ผลประเมินผล
ภาระงานรวบยอด / ช้นิ งาน
แฟ้มสะสมผลงานทเี่ กดิ จากการศกึ ษาค้นคว้าจากแหล่งเรยี นรู้