44
การออกแบบการวดั ผลประเมินผล (ตอ่ )
เกณฑก์ ารประเมนิ ภาระงาน / ชน้ิ งาน (ระบปุ ระเดน็ ประเมนิ )
- ความหลากหลายของแหล่งข้อมลู
- กระบวนการรวบรวมมีระบบชดั เจน สะดวกตอ่ การใช้ ตรวจสอบได้
- ความน่าเชอื่ ถือของแหล่งข้อมลู ท่สี บื คน้
- ความถูกต้อง / ครบถว้ นสมบูรณข์ องข้อมูล
รอ่ งรอยการเรียนรอู้ ่ืน ๆ
- การตอบคาถามและการอภิปราย
- แบบบนั ทกึ ต่าง ๆ ท่เี กย่ี วกบั การรวบรวมข้อมลู
- แบบบนั ทึกการตรวจสอบคุณภาพของข้อมลู
- แบบบันทกึ เก่ยี วกบั กระบวนการทางาน
- แบบบันทกึ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์
การวางแผนการเรยี นรู้
กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. นักเรียนทบทวนเกย่ี วกบั โครงรา่ งการศกึ ษาค้นคว้าเกีย่ วกบั ประเด็นท่สี นใจ สมมติฐาน และวธิ ีการ
รวบรวมขอ้ มลู
2. ครถู ามคาถามว่า “การศึกษา คน้ ควา้ แสวงหาความรู้มวี ิธีการอยา่ งไร” และ “การตรวจสอบ
ความนา่ เชื่อถือของข้อมลู มวี ิธีการอยา่ งไร” นกั เรยี นตอบคาถาม
3. แบ่งนักเรียนเปน็ กลุ่มศึกษาวิธีการคน้ ควา้ แสวงหาความรเู้ กย่ี วกับประเด็นที่ศกึ ษา วิธีการ
ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมลู จากแหลง่ การเรียนรทู้ ่หี ลากหลาย และตวั อย่างการเกบ็ รวบรวม
ข้อมลู ท่ีเป็นระบบ
4. ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายสรุปวิธกี ารศกึ ษาค้นควา้ แสวงหาความร้แู ละวธิ กี ารตรวจสอบข้อมูล
5. แบ่งนักเรยี นเป็นกลมุ่ ฝึกทักษะการตรวจสอบขอ้ มูล / สารสนเทศ
6. นกั เรยี นแตล่ ะคนวางแผนจดั เก็บข้อมูลในประเด็นท่ีศกึ ษา และดาเนนิ การเกบ็ ขอ้ มลู ในประเดน็ ที่
สนใจ
7. นักเรียนตรวจสอบความน่าเชื่อถอื ของข้อมลู และรวบรวมขอ้ มลู ใหเ้ ป็นระบบ เตรยี มขอ้ มลู
สาหรบั การวเิ คราะห์
8. ครูถามคาถาม “จะเลอื กใชส้ ถิตทิ ีเ่ หมาะสมในการวเิ คราะห์ข้อมลู ได้อยา่ งไร” นกั เรียนตอบคาถาม
และแบง่ กลมุ่ นักเรียนศึกษาสถิติพนื ฐานในการวเิ คราะหข์ ้อมลู และตวั อยา่ งการเลือกสถติ ิพืนฐานที่
เหมาะสมกบั ข้อมูลที่วิเคราะห์ ครูและนักเรียนช่วยกันสรปุ วิธีการเลือกใช้สถติ ิพืนฐานในการวิเคราะห์
ข้อมูล
9. นักเรยี นเลือกสถติ ิพนื ฐานท่เี หมาะสมกบั ข้อมูลที่วิเคราะห์ และวเิ คราะหข์ ้อมลู ด้วยโปรแกรม
คอมพิวเตอร์
45
การวางแผนการเรียนรู้ (ตอ่ )
10. ครูและนักเรยี นร่วมกนั ตรวจสอบผลการวิเคราะห์ข้อมูล และวพิ ากษ์ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลจาก
การตรวจสอบ
11. นกั เรยี นนาผลการวิเคราะห์และวิพากษ์ข้อมลู มาปรับปรุงข้อมลู ของตนเอง
12. นกั เรียนรวบรวมผลการวิเคราะห์ข้อมลู โดยจัดทาเป็นแฟม้ สะสมผลงานทเ่ี กิดจากการศึกษา
ค้นควา้ จากแหล่งเรียนรู้ เพื่อนาไปสังเคราะห์สรุปเป็นองค์ความรู้
สือ่ / แหลง่ เรียนรู้
1. ตวั อย่างการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ทีเ่ ปน็ ระบบ
2. แหล่งค้นคว้าอา้ งองิ เช่น อนิ เทอร์เน็ต หนังสอื บุคคล ฯลฯ
3. เคร่อื งคอมพวิ เตอร์
46
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3
รอบรแู้ ละเหน็ คุณคา่
วชิ าเพิ่มเติมโรงเรียนมาตรฐานสากล รายวชิ าเพิ่มเติมท่ี 1 รหสั วชิ า I20201 รายวิชา การศกึ ษาคน้ ควา้
และการสรา้ งองคค์ วามรู้ : IS1 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 10 ช่ัวโมง
ผลการเรียนรู้ (เปา้ หมายการเรยี นรู้ )
7. สงั เคราะห์สรุปองค์ความรู้ดว้ ยกระบวนการกล่มุ
8. เสนอแนวคดิ การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วยองคค์ วามรจู้ ากการคน้ พบ
9. เหน็ ประโยชน์และคณุ คา่ ของการศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง
สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด (ความเขา้ ใจท่คี งทน) คาถามสาคญั
การสังเคราะห์และสรปุ องค์ความรู้จากประเด็นปัญหา - การสงั เคราะห์ สรุปองค์ความร้มู ีวธิ ีการ
ท่สี นใจจะชว่ ยใหไ้ ด้ข้อสรุปของประเด็นปญั หาท่สี นใจ อย่างไร
และชว่ ยในการเสนอแนวคิด การแก้ปัญหาอยา่ งเปน็ - การเสนอแนวคดิ การแกป้ ัญหาอย่างเปน็
ระบบ จากองคค์ วามรู้ทค่ี ้นพบ และชว่ ยให้เห็น ระบบมีวิธีการอยา่ งไร
ประโยชน์และคณุ ค่าของการศกึ ษา คน้ คว้าดว้ ยตนเอง - การศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง มปี ระโยชน์
และมีคุณคา่ อย่างไร
สาระการเรยี นรู้ (ผเู้ รียนรอู้ ะไร ) ทกั ษะ / กระบวนการ (ผู้เรียนทาอะไรได้ )
- ทฤษฎขี องกลมุ่ สาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ - เปรียบเทยี บ / เชอ่ื มโยงองคค์ วามรู้
- การเปรยี บเทยี บ / เชอื่ มโยงองค์ความรู้ สงั เคราะห์ และสรปุ องค์ความรู้ทไ่ี ด้จากการ
- การสังเคราะห์ สรุปองคค์ วามรู้ ค้นพบ
- การเสนอแนวคิด การแกป้ ัญหาอยา่ งเปน็ ระบบ - เสนอแนวคดิ การแกป้ ัญหาอยา่ งเป็นระบบ
จากองคค์ วามรู้ท่คี ้นพบ จากองค์ความรู้ท่ีคน้ พบ
- ประโยชนแ์ ละคุณคา่ ของการศกึ ษาคน้ ควา้ ด้วย - สรุปประโยชน์และคณุ คา่ ของการศึกษา
ตวั เอง ค้นควา้ ดว้ ยตวั เอง
คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
1. มีวนิ ยั 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. มุง่ มั่นในการทางาน
ภาระงานรวบยอด / ช้นิ งาน
- แผนผงั ความคิด (Mind Map) สรปุ องค์ความรทู้ ี่ไดจ้ ากการศึกษาค้นควา้ และประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ของ
การศกึ ษาค้นคว้าด้วยตนเอง
- รายงานการนาเสนอแนวคิด การแกป้ ัญหาจากการศึกษาคน้ ควา้ เกณฑ์การประเมินภาระงาน / ชินงาน
(ระบปุ ระเดน็ ประเมิน)
- ความถกู ต้อง ครบถ้วนสมบูรณข์ องข้อมลู / สารสนเทศ - กระบวนการรวบรวมมรี ะบบชดั เจน
47
ร่องรอยการเรยี นรูอ้ ืน่ ๆ
- การตอบคาถามและการอภิปราย
- แบบบนั ทึกการตรวจสอบคุณภาพงานเขยี น
- แบบบันทึกเกี่ยวกับกระบวนการทางาน
การวางแผนการเรยี นรู้
กิจกรรมการเรยี นรู้
1. ครูถามคาถาม “การสงั เคราะห์ สรุปองค์ความรมู้ ีวิธกี ารอย่างไร” และ “การนาเสนอแนวคิด
การแกป้ ัญหาอยา่ งเปน็ ระบบมวี ธิ กี ารอยา่ งไร” นักเรยี นตอบคาถาม ครูแบ่งนกั เรยี นเป็นกล่มุ ศกึ ษาวิธีการสรปุ
องค์ความรู้ และวธิ ีการเสนอแนวคดิ การแก้ปัญหาอยา่ งเป็นระบบจากแหลง่ การเรยี นรู้ต่าง ๆ
2. นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ นาเสนอผลการศึกษาคน้ ควา้ ครูและนักเรยี นร่วมกันอภปิ รายเกย่ี วกับวิธกี ารสรปุ
องค์ความรู้ และวธิ ีการเสนอแนวคิด การแก้ปัญหาอย่างเปน็ ระบบ
3. นักเรียนแต่ละกลุม่ นาผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู มาสงั เคราะห์และสรุปองคค์ วามรู้
4. ครถู ามคาถาม “การศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเองมปี ระโยชน์และมีคุณคา่ อย่างไร” นักเรียนตอบคาถาม
และแบง่ นักเรยี นเปน็ กลุ่มจัดทาแผนผังความคดิ (Mind Map) เก่ยี วกบั ประโยชน์และมีคุณค่าของการศึกษา
คน้ คว้าดว้ ยตนเอง
5. นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลงาน ครูและนักเรียนอภิปรายสรุปองค์ความรู้ท่ีได้จากการศึกษาคน้ คว้า
ประโยชน์และคุณค่าของการศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
สื่อ / แหล่งเรียนรู้
1. แหลง่ คน้ ควา้ อ้างอิง เช่น อินเทอร์เน็ต หนงั สือ บุคคล ฯลฯ
2. เคร่ืองคอมพิวเตอร์
48
3. โครงสร้างรายวิชาเพ่ิมเตมิ I30201 การศกึ ษาค้นคว้าและสร้างองคค์ วามรู้
:IS1 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1
หน่วยที่ ช่อื หน่วยการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั
คะแนน
1 เปิดประเด็นปัญหา 1. ตังประเดน็ ปญั หา จาก - การตังประเด็น 10
25
สถานการณป์ จั จุบันและสงั คม ปญั หา และการ
50
โลก ตังคาถาม
25
2. ตังสมมติฐานและให้เหตผุ ลที่ - การตงั สมมติฐาน
สนับสนุน หรอื โตแ้ ย้งประเด็น และใหเ้ หตผุ ล
ความร้โู ดยใช้ความร้จู าก - การออกแบบ
สาขาวชิ าตา่ ง ๆ และมีทฤษฎี วางแผนใช้
รองรอบ กระบวนการ
3. ออกแบบ วางแผนใช้ รวบรวมข้อมูล
กระบวนการรวบรวมข้อมูล
อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
2 ค้นควา้ แสวงหา 4. ศึกษา ค้นควา้ แสวงหา - การศกึ ษา คน้ ควา้ 20
คาตอบ ความรูเ้ กี่ยวกบั ประเดน็ ท่เี ลือก แสวงหาความรู้
จากแหลง่ เรียนรู้ทีม่ ี จากแหล่งการ
ประสทิ ธภิ าพ เรียนรู้
5. ตรวจสอบความนา่ เชือ่ ถือของ - การตรวจสอบ
แหล่งทีม่ าข้องขอ้ มลู ความน่าเชอื่ ถือ
6. วิเคราะหข์ ้อคน้ พบด้วยสถิตทิ ี่ ของแหลง่ ท่ีมาของ
เหมาะสม ข้อมูล
- การวิเคราะห์
ข้อมลู
3 รอบคอบมปี ัญญา 7. สงั เคราะห์สรุปองค์ความรู้ดว้ ย - การสงั เคราะห์ 10
กระบวนการกลมุ่ ข้อมลู
8. เสนอแนวคิด การแก้ปัญหา - การสรุปองค์
อยา่ งเปน็ ระบบด้วยองค์ความรู้ ความรู้
จากการคน้ พบแผนการทางาน - การแสดงความคิด
ของนักเรียน และการแก้ปัญหา
รวม 40 100
49
4) การออกแบบหน่วยการเรียนรู้
หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 1
เปดิ ประเดน็ ปัญหา
วิชาเพิม่ เติมโรงเรยี นมาตรฐานสากล รายวิชาเพิ่มเติมท่ี 1 รหสั วิชา I30201 รายวิชา การศกึ ษาคน้ คว้า
และการสร้างองค์ความรู้ : IS1 ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา 10 ชั่วโมง
ผลการเรยี นรู้ (เปา้ หมายการเรยี นรู้ )
1. ตังประเด็นปญั หา จากสถานการณ์ปจั จบุ นั และสงั คมโลก
2. ตังสมมตฐิ านและให้เหตุผลทีส่ นบั สนนุ หรอื โต้แย้งประเดน็ ความรู้ โดยใช้ความรู้จากสาขาวชิ าต่าง ๆ
และมที ฤษฎีรองรับ
3. ออกแบบ วางแผน ใชก้ ระบวนการรวบรวมข้อมลู อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด (ความเข้าใจที่คงทน ) คาถามสาคญั
ตังประเด็นปญั หาจากสถานการณป์ จั จุบันและสังคม - จะตงั ประเด็นปญั หาจากสถานการณ์ปัจจบุ นั
โลก การตังสมมตฐิ านและให้เหตผุ ลสนบั สนนุ หรอื และสังคมโลกได้อย่างไร
โตแ้ ย้งประเดน็ ความรู้ โดยใชค้ วามรูจ้ ากศาสตร์ต่าง ๆ - การตังสมมติฐานและให้เหตุผลสนบั สนนุ
และมที ฤษฎรี องรบั ออกแบบ วางแผน ใช้ หรือโต้แยง้ โดยใช้ความรู้จากศาสตรส์ าขาตา่ ง ๆ มี
กระบวนการรวบรวมข้อมลู อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพจะช่วย วิธีการอย่างไร
ใหก้ ารศึกษา คน้ คว้า แสวงหาคาตอบประสบผลสาเร็จ - จะออกแบบวางแผน ใชก้ ระบวนการ
รวบรวมขอ้ มลู ทีม่ ีประสิทธิภาพได้อยา่ งไร
สาระการเรยี นรู้ (ผู้เรยี นรูอ้ ะไร) ทักษะ / กระบวนการ (ผู้เรยี นทาอะไรได้)
- ทฤษฎขี องกล่มุ สาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ - การตงั ประเด็นคาถามจากสถานการณ์และ
- การตงั ประเด็นคาถามจากสถานการณ์และสงั คม สงั คมโลก
โลก - การตงั สมมติฐานและให้เหตุผลสนบั สนุน
- การตงั สมมตฐิ านและใหเ้ หตผุ ลสนบั สนนุ หรอื หรือโตแ้ ย้ง
โตแ้ ยง้ - การออกแบบ วางแผน กระบวนการ
- การออกแบบ วางแผน กระบวนการรวบรวม รวบรวมข้อมลู
ข้อมลู - การคิดเชอ่ื มโยง
- ทางานร่วมกบั ผู้อ่ืนตามกระบวนการกลุ่ม
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. ใฝ่เรยี นรู้ 2. ม่งุ มัน่ ในการทางาน
50
การออกแบบการวัดผลประเมินผล
ภาระงานรวบยอด / ช้นิ งาน
- แผนผังความคิด (Mind Map) ตงั ประเด็นปัญหาจากสถานการณ์ปัจจุบันและสงั คมโลกการ
ตงั สมมติฐานและการใหเ้ หตุผลสนับสนนุ หรอื โตแ้ ยง้
- โครงรา่ งการศกึ ษาคน้ ควา้
เกณฑก์ ารประเมินภาระงาน / ชิ้นงาน (ระบุประเด็นประเมนิ )
- ความถูกต้องของแผนผงั ความคดิ
- ความครบถ้วนสมบรู ณ์ของขอ้ มูล
- กระบวนการรวบรวมมรี ะบบชัดเจน สะดวกต่อการใช้ ตรวจสอบได้
ร่องรอยการเรยี นร้อู ืน่ ๆ
- การตอบคาถาม
- แบบบันทกึ เกยี่ วกบั กระบวนการทางาน
การวางแผนการเรียนรู้
กิจกรรมการเรยี นรู้
1. ครนู าเสนอตวั อยา่ งประเด็นความรู้จากสถานการณ์ปัจจุบันและสงั คมโลก
2. นักเรยี นรว่ มกนั วิเคราะห์ประเดน็ ความรู้ท่ีมีความเช่อื มโยงในศาสตร์หลายสาขาทเี่ กี่ยวข้องกับ
สถานการณ์ปัจจบุ ันและสงั คมโลกทีม่ คี วามท้าทาย
3. ครูถามคาถาม “จะตังประเด็นปญั หาจากสถานการณ์ปัจจุบันและสงั คมโลกได้อยา่ งไร” นกั เรียนตอบ
คาถาม ครูและนักเรยี นรว่ มกันอภิปรายเกี่ยวกบั การตงั ประเดน็ ปญั หา และแบ่งกลมุ่ ให้นักเรียนตังประเด็น
ปญั หาจากสถานการณ์ปัจจุบันและสังคมโลก
4. ครูถามคาถาม “การตงั สมมติฐานและให้เหตผุ ลสนบั สนนุ หรือโต้แยง้ โดยใชค้ วามรู้จากศาสตรส์ าขา
ต่าง ๆ มวี ธิ ีการอยา่ งไร” นักเรยี นตอบคาถาม ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเก่ียวกับการตงั สมมตฐิ าน
และการให้เหตุผลสนบั สนุน หรือโตแ้ ยง้ เก่ยี วกบั ประเด็นปัญหา
5. แบ่งนกั เรียนเปน็ กล่มุ ฝึกตังสมมตฐิ านและขอ้ สนั นิษฐานของประเดน็ ความรู้ทสี่ นใจจากสถานการณ์
ปจั จุบนั และสงั คมโลก
6. ครตู งั คาถามกระตุ้นให้นักเรยี น แสดงความคิดที่ต่างมุมโดยใช้สาขาวิชาตา่ ง ๆ ใช้วธิ กี ารสนบั สนนุ
หรอื โตแ้ ยง้ คดั คา้ น และใหเ้ หตุผลตามความรู้ของศาสตร์ หรอื ทฤษฎีความรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรทู้ ่ี
สนใจจากการศึกษาจากแหลง่ การเรียนรทู้ ี่หลากหลาย
7. นักเรยี นเขยี นแผนผงั ความคดิ (Mind Map) การตังประเด็นปญั หาจากสถานการณ์ปจั จุบันและสงั คม
โลก การตังสมมตฐิ านและการใหเ้ หตุผลสนบั สนนุ หรือโตแ้ ยง้ เก่ียวกับประเดน็ ความรทู้ ่ีสนใจจาก
สถานการณ์ปัจจบุ นั และสังคมโลก
51
การวางแผนการเรยี นรู้ (ต่อ)
กจิ กรรมการเรยี นรู้
8. ครูถามคาถาม “จะออกแบบวางแผน ใชก้ ระบวนการรวบรวมขอ้ มูลที่มปี ระสิทธภิ าพไดอ้ ยา่ งไร”
นกั เรยี นตอบคาถาม ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายสรปุ เกยี่ วกับการวางแผน ใช้กระบวนการรวบรวม
ขอ้ มลู เพื่อหาคาตอบของประเดน็ ปัญหาที่สนใจและคน้ คว้าขอ้ มูลเพม่ิ เติมจากแหล่งเรียนรู้ตามสาขาวิชา
ต่าง ๆ
9. ครูและนักเรยี นรว่ มตรวจสอบการออกแบบ วางแผน ใชก้ ระบวนการรวบรวมข้อมลู ของแตล่ ะกลุ่ม
และวิพากษก์ ารออกแบบ วางแผน ใชก้ ระบวนการรวบรวมข้อมลู ของแตล่ ะกลุ่ม
10. นักเรียนนาข้อวิพากษ์มาปรบั ปรงุ ผลงานของกล่มุ
11. นกั เรียนแตล่ ะคนนาแนวทางการออกแบบ วางแผน ใช้กระบวนการรวบรวมข้อมูลมาจดั ทาเปน็
โครงร่างการศึกษาค้นคว้าเปน็ รายบคุ คล
ส่อื / แหล่งเรียนรู้
1. ตัวอย่างประเด็นความรูจ้ ากสถานการณป์ ัจจบุ ันและสงั คมโลก
2. แหล่งค้นควา้ อ้างอิง เชน่ หอ้ งสมดุ อนิ เทอรเ์ นต็ หนงั สอื บคุ คล ฯลฯ
52
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2
ค้นคว้าแสวงหาคาตอบ
วิชาเพม่ิ เติมโรงเรยี นมาตรฐานสากล รายวชิ าเพ่ิมเติมท่ี 1 รหสั วิชา I30201 รายวชิ า การศึกษาคน้ คว้า
และการสร้างองคค์ วามรู้ : IS1 ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 20 ชั่วโมง
ผลการเรยี นรู้ (เป้าหมายการเรยี นรู้ )
4. ศกึ ษา คน้ ควา้ แสวงหาความรเู้ กยี่ วกบั ประเดน็ ที่เลือกจากแหล่งเรยี นรู้ที่มีประสิทธิภาพ
5. ตรวจสอบความนา่ เช่ือถือของแหลง่ ทม่ี าของข้อมูล
6. วิเคราะห์ขอ้ คน้ พบดว้ ยสถิตทิ ี่เหมาะสม
สาระสาคญั / ความคิดรวบยอด (ความเข้าใจท่ีคงทน) คาถามสาคญั
การศึกษา คน้ คว้า แสวงหาความรเู้ กยี่ วกับประเดน็ - จะศกึ ษา คน้ ควา้ แสวงหาความรู้เกย่ี วกบั
ทส่ี นใจจากแหลง่ การเรยี นรูท้ ี่หลากหลาย ประเด็นท่สี นใจให้มปี ระสทิ ธิภาพได้อยา่ งไร
การตรวจสอบความนา่ เชื่อถือของแหลง่ ทีม่ าของข้อมูล - จะมวี ิธกี ารตรวจสอบความนา่ เช่ือถอื ของ
และการใช้สถิติที่เหมาะสมในการวิเคราะห์จะช่วยให้ได้ แหล่งท่ีมาของข้อมูลได้อยา่ งไร
ขอ้ มูลที่มคี วามน่าเชอื่ ถือและมคี ุณภาพ - จะเลอื กใช้สถิตทิ ่ีเหมาะสมในการวิเคราะห์
ขอ้ มลู ได้อย่างไร
สาระการเรียนรู้ (ผเู้ รียนร้อู ะไร) ทักษะ / กระบวนการ(ผูเ้ รยี นทาอะไรได้ )
- ทฤษฎขี องกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ - ศกึ ษา ค้นคว้า รวบรวมความร้เู กย่ี วกับประเด็น
- วธิ ีการศึกษาค้นควา้ ความรู้และสารสนเทศจาก ทีเ่ ลือกจากแหลง่ เรียนรูท้ ี่มีประสิทธภิ าพ
แหลง่ ขอ้ มูลปฐมภมู ิและทตุ ิยภมู ิ - ทางานรว่ มกับผู้อ่นื ตามกระบวนการกล่มุ
- การตรวจสอบความน่าเช่ือถอื ของขอ้ มลู - ตรวจสอบและวพิ ากษ์ความน่าเชอ่ื ถือของ
- สถิติท่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู แหล่งทม่ี าของขอ้ มลู
- เทคนคิ การวเิ คราะหข์ ้อมลู - กระบวนการวิเคราะห์
- เลือกสถติ ทิ เี่ หมาะสมในการวิเคราะห์ข้อมูล
- วเิ คราะหข์ ้อมลู ด้วยโปรแกรมทเ่ี หมาะสม
คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
1. มีวนิ ัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มงุ่ ม่ันในการทางาน
53
การออกแบบการวัดผลประเมินผล
ภาระงานรวบยอด / ชน้ิ งาน
- แฟม้ สะสมผลงานที่เกดิ จากการศกึ ษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั ประเด็นปัญหาท่สี นใจและผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
เกณฑ์การประเมนิ ภาระงาน / ช้ินงาน (ระบปุ ระเดน็ ประเมิน)
- ความน่าเชือ่ ถือขอ้ มลู
- กระบวนการรวบรวมมรี ะบบชดั เจน สะดวกต่อการใช้ ตรวจสอบได้
ร่องรอยการเรยี นรอู้ นื่ ๆ
- การตอบคาถามและการอภิปราย
- แบบบนั ทกึ ต่าง ๆ ที่เกีย่ วกบั การรวบรวมข้อมูล
- แบบบันทึกการตรวจสอบคุณภาพของข้อมูล
- แบบบนั ทกึ เก่ียวกบั กระบวนการทางาน
การวางแผนการเรียนรู้
กจิ กรรมการเรียนรู้
1. ครถู ามคาถาม “จะศกึ ษา คน้ ควา้ แสวงหาความร้เู ก่ยี วกบั ประเด็นทสี่ นใจให้มปี ระสิทธิภาพได้อย่างไร”
นักเรียนตอบคาถามและชว่ ยกนั สืบคน้ วธิ ีการศึกษา คน้ คว้า แสวงหาความร้ทู ม่ี คี ุณภาพจากแหลง่ การเรียนรู้
ต่าง ๆ
2. แบง่ นกั เรียนเปน็ กลุ่มจัดทาแผนผังความคิด (Mind Map) วธิ ีการศกึ ษา ค้นคว้า แสวงหาความรู้ทม่ี ี
คุณภาพจากแหล่งการเรียนร้ตู ่าง ๆ และร่วมกันอภปิ รายสรุปวิธกี ารศกึ ษา คน้ คว้า แสวงหาความรู้เกี่ยวกับ
ประเดน็ ท่สี นใจให้มีประสิทธิภาพ
3. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มศกึ ษา ค้นควา้ แสวงหาความรู้เกี่ยวกบั ประเดน็ ท่สี นใจจากแหลง่ การเรียนรู้ปฐมภมู ิ
และทตุ ยิ ภมู ติ ามโครงร่างการศึกษาค้นคว้าท่วี างไว้
4. ครถู ามคาถาม “จะมวี ิธกี ารตรวจสอบความนา่ เช่อื ถอื ของแหลง่ ท่ีมาของข้อมูลไดอ้ ย่างไร” นักเรียนตอบ
คาถามและฝึกทักษะการตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วน และความน่าเช่อื ถอื ของตัวอย่างขอ้ มลู และแหล่งทีม่ า
ของขอ้ มลู ทก่ี าหนดให้
5. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายและสรุปวธิ กี ารตรวจสอบความน่าเชอื่ ถือของแหลง่ ที่มาของข้อมลู
6. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มศึกษา คน้ คว้า แสวงหาความรู้ ข้อมลู / สารสนเทศในประเด็นเดยี วกันจาก
แหลง่ ข้อมูลท่หี ลากหลายและตรวจสอบความนา่ เช่อื ถอื ของแหลง่ ทมี่ าของขอ้ มูล / สารสนเทศดว้ ยตนเอง
7. นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ จัดหมวดหมขู่ องข้อมลู / สารสนเทศ และเรยี งลาดบั ตามท่ีวางแผนอย่างเปน็ ระบบ
และตรวจทานและวพิ ากษค์ วามถกู ต้อง ครบถ้วนของข้อมูล
54
การวางแผนการเรียนรู้ (ตอ่ )
กจิ กรรมการเรยี นรู้
8. นักเรยี นแตล่ ะคนวางแผนจดั เก็บข้อมลู ในประเด็นที่ศึกษา และดาเนนิ การเกบ็ ข้อมูลในประเดน็ ท่ีสนใจ
9. นกั เรียนตรวจสอบความน่าเช่ือถอื ของข้อมูล และรวบรวมข้อมูลใหเ้ ป็นระบบ เตรยี มขอ้ มลู สาหรับการ
วเิ คราะห์
10. ครูถามคาถาม “จะเลือกใช้สถติ ิทเ่ี หมาะสมในการวเิ คราะห์ข้อมลู ได้อย่างไร” นักเรียนตอบคาถาม
และแบง่ กลมุ่ นักเรยี นศกึ ษาสถติ พิ นื ฐานในการวเิ คราะหข์ ้อมูล เทคนคิ การวเิ คราะห์ขอ้ มูล และตวั อย่าง
การเลือกสถติ พิ ืนฐานที่เหมาะสมกบั ข้อมลู ท่ีวเิ คราะห์
11. ครแู ละนกั เรยี นช่วยกันสรุปวธิ ีการเลอื กใช้สถติ ิพนื ฐานในการวิเคราะหข์ ้อมูล
12. นกั เรยี นแตล่ ะคนเลอื กสถติ พิ นื ฐานท่เี หมาะสมกับข้อมูลทีว่ ิเคราะห์ แลละวเิ คราะห์ข้อมลู ด้วยโปรแกรม
คอมพิวเตอร์
13. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั ตรวจสอบผลการวเิ คราะห์ข้อมูลและวพิ ากษผ์ ลการวิเคราะห์ขอ้ มลู จากการ
ตรวจสอบ
14. นักเรยี นนาผลการวิเคราะหแ์ ละวพิ ากษ์ข้อมูลมาปรบั ปรุงข้อมลู ของตนเอง
15. นักเรยี นรวบรวมผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยจดั ทาเป็นแฟม้ สะสมผลงานท่ีเกดิ จากการศกึ ษาค้นควา้ จาก
แหล่งเรียนรู้ เพื่อนาไปสังเคราะห์สรุปเป็นองค์ความรู้
ส่ือ / แหลง่ เรียนรู้
1. ตวั อย่างข้อมลู และแหลง่ ที่มาของข้อมลู
2. ตัวอย่างการเลอื กสถิติพนื ฐานทีเ่ หมาะสมกับข้อมูลทีว่ ิเคราะห์
3. แหล่งค้นคว้าอา้ งองิ เชน่ ห้องสมดุ อินเทอร์เน็ต หนังสอื บุคคล ฯลฯ
4. คอมพวิ เตอร์
55
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3
รอบคอบมีปญั ญา
วชิ าเพิม่ เติมโรงเรยี นมาตรฐานสากล รายวชิ าเพิ่มเตมิ ที่ 1 รหัสวชิ า I30201 รายวิชา การศกึ ษาคน้ คว้า
และการสร้างองคค์ วามรู้ : IS1 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 10 ช่ัวโมง
ผลการเรียนรู้ (เปา้ หมายการเรยี นรู้ )
7. สังเคราะห์สรปุ องคค์ วามรู้ด้วยกระบวนการกลุม่
8. เสนอแนวคิด การแก้ปัญหาอยา่ งเป็นระบบด้วยองคค์ วามรู้จากการค้นพบแผนการทางานของนกั เรยี น
สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด (ความเข้าใจท่ีคงทน ) คาถามสาคัญ
การสังเคราะห์ สรปุ องค์ความรจู้ ากประเดน็ ปัญหาท่ี - จะสรปุ องคค์ วามรู้จากประเด็นปญั หาทค่ี ้นพบ
สนใจจะชว่ ยให้ได้ข้อสรปุ ของประเดน็ ปญั หาทส่ี นใจ ได้อย่างไร
และช่วยในการเสนอแนวคดิ การแก้ปัญหาอย่างเป็น - การนาเสนอแนวคิด การแกป้ ัญหาอย่างเปน็
ระบบ จากองค์ความรทู้ ี่ค้นพบและแผนการทางานของ ระบบมีวธิ ีการอยา่ งไร
ตนเอง - แผนการทางานในการศึกษาคน้ คว้ามี
ความสาคัญและมปี ระโยชนต์ ่อนกั เรยี นอยา่ งไร
สาระการเรยี นรู้ (ผู้เรียนรู้อะไร ) ทกั ษะ / กระบวนการ (ผเู้ รยี นทาอะไรได)้
- ทฤษฎีของกลมุ่ สาระการเรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระ - การเปรยี บเทยี บ / เช่อื มโยงองค์ความรูก้ าร
- การเปรยี บเทยี บ / เชื่อมโยงองค์ความรู้ สงั เคราะห์ สรปุ องค์ความรู้ที่ไดจ้ ากการคน้ พบ
- การสงั เคราะห์ สรุปองคค์ วามรู้ - การเสนอแนวคิด การแก้ปัญหาอย่างเป็น
- การเสนอแนวคิด การแกป้ ัญหาอย่างเป็นระบบ ระบบจากองค์ความรู้ที่ค้นพบ
จากองค์ความรู้ที่ค้นพบ - จัดทาแผนการทางานในการศึกษา ค้นควา้
- แผนการทางานในการศึกษา ค้นควา้ ด้วยตนเอง ดว้ ยตนเอง
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. มีวนิ ัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มุ่งมน่ั ในการทางาน
การออกแบบการวัดผลประเมนิ ผล
ภาระงานรวบยอด / ชนิ้ งาน
- แผนผังความคดิ (Mind Map) สรุปองค์ความรทู้ ่ีไดจ้ ากการศึกษาคน้ คว้า
- ป้ายนิเทศนาเสนอแผนการทางานและแนวคดิ การแกป้ ัญหาจากการศกึ ษาคน้ ควา้
56
การออกแบบการวดั ผลประเมินผล (ตอ่ )
เกณฑ์การประเมนิ ภาระงาน / ชิ้นงาน (ระบุประเด็นประเมิน)
- ความถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณข์ องข้อมลู / สารสนเทศ
- กระบวนการรวบรวมมีระบบชัดเจน
รอ่ งรอยการเรียนร้อู นื่ ๆ
- การตอบคาถามและการอภิปราย
- แบบบันทกึ การตรวจสอบคุณภาพงานเขียน
- แบบบนั ทึกเก่ยี วกับกระบวนการทางาน
การวางแผนการเรียนรู้
กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. ครถู ามคาถาม “จะสรุปองค์ความรูจ้ ากประเด็นปญั หาท่คี ้นพบได้อย่างไร” และ “การนาเสนอแนวคิด
การแก้ปัญหาอยา่ งเปน็ ระบบมวี ธิ กี ารอย่างไร” นักเรียนตอบคาถาม ครแู บ่งนักเรียนเป็นกลุม่ ศกึ ษาวิธกี ารสรุป
องค์ความรู้ และวธิ ีการเสนอแนวคดิ การแกป้ ัญหาอยา่ งเปน็ ระบบจากแหล่งการเรียนรู้ตา่ ง ๆ
2. นักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการศึกษาค้นควา้ ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายเกยี่ วกับวิธกี ารสรุป
องค์ความรู้ และวธิ ีการเสนอแนวคดิ การแก้ปัญหาอย่างเปน็ ระบบ
3. นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ นาผลการวิเคราะห์ข้อมูลมาสังเคราะหแ์ ละสรุปองคค์ วามรู้ และจัดทาเปน็ แผนผัง
ความคิด (Mind Map) ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับองค์ความร้ทู ี่สรปุ
4. ครูถามคาถาม “แผนการทางานในการศกึ ษาค้นควา้ มคี วามสาคญั และมปี ระโยชนต์ อ่ นักเรยี นอยา่ งไร”
นักเรียนตอบคาถาม และร่วมกนั อภปิ รายเกย่ี วกับความสาคัญและประโยชน์ของแผนการทางานในการศึกษา
ค้นควา้ ท่มี ตี ่อตนเอง
5. ครูและนักเรียนอภิปรายสรุปองค์ความรู้ท่ีไดจ้ ากการศึกษาค้นคว้า
6. แบง่ นกั เรียนเปน็ กล่มุ จัดทาป้ายนเิ ทศนาเสนอแผนการทางานและแนวคดิ การแกป้ ญั หาจากการศกึ ษา
ค้นคว้า และนาเสนอผลงาน ครูและนกั เรยี นร่วมกนั ตรวจผลงาน
สื่อ / แหลง่ เรียนรู้
1. แหลง่ คน้ คว้าอ้างอิง เช่น ห้องสมดุ อนิ เทอร์เน็ต หนงั สือ บุคคล ฯลฯ
2. เครอื่ งคอมพิวเตอร์
3. ป้ายนเิ ทศ
4. อุปกรณ์สาหรบั จัดปา้ ยนิเทศ
57
2. ตัวอยา่ งการจดั โครงสรา้ งและหน่วยการเรยี นรู้ใน
รายวชิ าเพม่ิ เติมท่ี 2 การส่อื สารและการนาเสนอ
(Communication and Presentation : IS2)
58
1) ตัวอย่างโครงสรา้ งรายวิชาเพม่ิ เติมที่ 2 รายวชิ า การส่ือสารและการนาเสนอ: IS2
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2
หน่วยท่ี ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ ชวั่ โมง น้าหนกั
คะแนน
1 วางโครงรา่ ง 1. วางโครงร่างการเขยี นตาม - ความรู้เบอื งต้นเกี่ยวกบั 10 25
การเขียน หลักเกณฑ์ องค์ประกอบ การเขยี นโครงรา่ ง
และวิธีการเขยี นโครงร่าง - หลักเกณฑ์
องคป์ ระกอบและ
วธิ กี ารเขียนโครงรา่ ง
2 เรยี นร้กู ารสรา้ ง 2. เขียนรายงานการศึกษา - การเขียนรายงาน 18 45
ผลงาน คน้ คว้าเชิงวชิ าการภาษาไทย การศึกษาค้นควา้ เชงิ
ความยาว 2,500 คา วิชาการภาษาไทย
3 สรา้ งสรรค์การ 3. นาเสนอขอ้ คน้ พบ ข้อสรปุ - การนาเสนอและการ 12 30
นาเสนอ จากประเดน็ ทีเ่ ลือกใน เผยแพรผ่ ลงานจาก
รูปแบบเดี่ยว (Oral การศึกษาค้นคว้า
Individual Presentation) - การเลอื กรูปแบบและส่ือ
หรอื รูปแบบกลุ่ม (Oral ประกอบการนาเสนอ
Panel Presentation) โดย ผลงาน
ใชส้ ่อื อุปกรณใ์ นการนาเสนอ - คุณคา่ ของการ
ไดอ้ ย่างเหมาะสม สรา้ งสรรคง์ านและ
4. เผยแพร่ผลงานสู่สาธารณะ ถ่ายทอดสง่ิ ที่เรียนรู้
5. เหน็ ประโยชน์และคณุ ค่าใน
การสรา้ งสรรค์งานและ
ถา่ ยทอดส่ิงทเ่ี รยี นรู้แก่
สาธารณะ
รวม 40 100
59
2) ตวั อยา่ งการออกแบบหน่วยการเรียนรู้
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1
วางโครงรา่ งการเขียน
วิชาเพ่ิมเติมโรงเรียนมาตรฐานสากล รายวิชาเพิ่มเติมท่ี 2 รหสั วิชา I20202 รายวิชา การสื่อสารและ
การนาเสนอ : IS2 ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 10 ชั่วโมง
ผลการเรียนรู้ (เปา้ หมายการเรียนรู้)
1. วางโครงรา่ งการเขยี นตามหลกั เกณฑ์ องค์ประกอบและวิธกี ารเขียนโครงรา่ ง
สาระสาคัญ /ความคดิ รวบยอด (ความเขา้ ใจทีค่ งทน ) คาถามสาคัญ
การเขยี นโครงร่างรายงานเชงิ วิชาการ เปน็ การ - จะเชือ่ มโยงและถา่ ยทอดองคค์ วามรทู้ ่ีคน้ พบสู่
เชื่อมโยงและถ่ายทอดองค์ความร้ทู ค่ี น้ พบ โดยวาง งานเขยี นได้อยา่ งไร
แผนการเขียนอย่างเป็นระบบ มีองค์ประกอบ คือ - โครงรา่ งรายงานเชงิ วิชาการคอื อะไร และมี
ช่ือเร่อื ง ความนา วัตถุประสงค์ สมมตฐิ าน ขอบเขต องคป์ ระกอบอะไรบ้าง
การศึกษา เนอื หา วิธกี ารศึกษาและการเก็บรวบรวม - การเขียนองคป์ ระกอบโครงร่างรายงานเชิง
ข้อมลู และการตรวจสอบการเขียน ซึง่ จะช่วยใหก้ าร วิชาการมีวิธกี ารเขยี นอย่างไร
เขยี นรายงานเชงิ วชิ าการมีความถูกต้องและสมบูรณ์ - โครงร่างรายงานเชิงวชิ าการทีส่ มบรู ณ์มี
ลักษณะอยา่ งไร
สาระการเรยี นรู้ (ผเู้ รยี นรูอ้ ะไร ) ทกั ษะ / ทักษะกระบวนการ (ผูเ้ รียนทาอะไรได้ )
- การเชอ่ื มโยงและการถา่ ยทอดองคค์ วามรู้ - สรุปความหมายและองค์ประกอบของโครงร่าง
- การเขียนโครงร่าง การเขียนรายงานเชงิ วิชาการ รายงานเชงิ วชิ าการ
- องคป์ ระกอบของโครงรา่ ง ไดแ้ ก่ - ออกแบบและวางโครงรา่ งรายงานเชิงวชิ าการ
* ช่อื เร่อื ง - ตรวจสอบงานเขียนโครงรา่ งเชิงวิชาการ
* ความนา - วพิ ากษ์งานเขียนโครงรา่ งของผ้อู ่นื
* วตั ถปุ ระสงค์ - นาขอ้ วพิ ากษ์มาปรับปรุงงานเขียนโครงร่าง
* สมมติฐาน ของตน
* ขอบเขตการศึกษาค้นควา้ - การเช่ียมโยงและการถ่ายทอดองคค์ วามรู้
* เนอื เรื่อง - ทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นตามกระบวนการกลุม่
* วิธีการศึกษาและเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
- การตรวจสอบการเขียนโครงร่าง
คุณลักษณะทพี่ ึงประสงค์
1. ใฝเ่ รยี นรู้
2. มงุ่ มน่ั ในการทางาน
60
การออกแบบการวดั ผลประเมินผล
ภาระงานรวบรวม / ชน้ิ งาน
โครงร่างรายงานเชงิ วิชาการ
เกณฑก์ ารประเมินภาระงาน / ชน้ิ งาน (ระบปุ ระเด็นประเมิน)
- การเช่ียมโยงและการถ่ายทอดองค์ความรู้อยา่ งเปน็ ระบบ
- ความครบถว้ นขององคป์ ระกอบโครงรา่ งรายงานเชิงวชิ าการ
- ความถกู ต้องสมบูรณ์ของโครงร่างรายงานเชงิ วชิ าการ
รอ่ งรอยการเรียนรู้อน่ื ๆ
- การตอบคาถามและการอภิปราย
- แบบประเมนิ การเขียนโครงร่างรายงานเชิงวิชาการ
- แบบบันทึกต่าง ๆ ทีเ่ กีย่ วกับการตรวจสอบงานเขยี น
- แบบบนั ทึกเกี่ยวกับกระบวนการทางาน
การวางแผนการเรยี นรู้
กิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูสนทนากับนกั เรยี นและใหน้ กั เรียนทบทวนเก่ียวกับการเรยี นรู้ เรื่อง การศึกษาคน้ คว้าและการ
สรา้ งองค์ความรู้
2. ครถู ามคาถาม “จะเชือ่ มโยงและถา่ ยทอดองค์ความรู้ท่ีคน้ พบสงู่ านเขยี นได้อยา่ งไร” นักเรยี นตอบ
คาถาม ครูให้นกั เรียนสังเกตตัวอยา่ งการเขียนรายงานเชงิ วชิ าการ และชว่ ยกันระดมความคดิ วา่ จะเขยี น
รายงานเชงิ วิชาการได้อยา่ งไร
3. ครูถามคาถาม “โครงรา่ งรายงานเชงิ วิชาการคืออะไร และมีองค์ประกอบอะไรบ้าง” นกั เรยี นตอบ
คาถาม และแบ่งนักเรียนเป็นกลุม่ ศกึ ษาเก่ยี วกบั โครงรา่ งรายงานเชิงวิชาการและองค์ประกอบของโครงร่าง
รายงานเชิงวชิ าการ
4. นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ นาเสนอผลการศึกษา ครแู ละนกั เรยี นชว่ ยกันสรปุ ความหมายและองค์ประกอบ
ของโครงรา่ งรายงานเชงิ วิชาการ
5. แบง่ นักเรยี นเปน็ กลุ่มฝึกเขียนองคป์ ระกอบของโครงรา่ งรายงานเชงิ วิชาการ โดยนาประเด็นที่สนใจ
จากการศึกษาค้นควา้ และสรา้ งองค์ความรู้มาเขยี น และนาเสนอผลงาน
6. นกั เรียนแตล่ ะกลุม่ พิจารณาและอภิปรายเก่ยี วกบั การเขยี นองคป์ ระกอบของโครงร่างรายงานเชิง
วชิ าการ และสรปุ ผลการอภิปรายเกี่ยวกบั การเขียนองค์ประกอบของโครงร่างรายงานเชงิ วชิ าการของกลมุ่
7. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มจดั ทาโครงร่างรายงานเชงิ วิชาการท่ีสมบรู ณ์ แลว้ นาเสนอผลงานและรว่ มกัน
ตรวจสอบและวิพากษ์ความสมบรู ณ์ของโครงร่างรายงานเชิงวชิ าการ
61
การวางแผนการเรียนรู้ (ตอ่ )
กิจกรรมการเรียนรู้
8. ครูถามคาถาม “โครงร่างรายงานเชิงวชิ าการที่สมบูรณ์มลี กั ษณะอยา่ งไร” นักเรียนตอบคาถาม และ
ใหน้ กั เรียนศึกษาตวั อย่างการเขยี นโครงร่างรายงานเชงิ วิชาการทส่ี มบูรณ์ ครูและนักเรยี นรว่ มกนั อภิปราย
สรปุ ลกั ษณะโครงร่างรายงานเชิงวิชาการที่สมบูรณ์ นักเรียนแต่ละกล่มุ ปรับปรงุ โครงรา่ งรายงานเชิงวิชาการ
ให้สมบรู ณ์
9. นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ปรบั ปรุงโครงรา่ งรายงานเชงิ วชิ าการให้สมบรู ณ์
10. นกั เรียนแต่ละคนวางแผนและจัดทาโครงรา่ งรายงานเชงิ วิชาการ โดยนาประเดน็ ที่สนใจจาก
การศกึ ษาค้นคว้าและสรปุ องคค์ วามรขู้ องตนเองมาเขียน
11. ครแู ละนักเรียนช่วยกนั พิจารณาและวิพากษ์ความสมบูรณ์ของโครงรา่ งรายงานเชิงวิชาการ นกั เรียน
แต่ละคนปรับปรุงงานเขยี นของตนเองให้สมบูรณ์
สอ่ื / แหล่งเรียนรู้
1. ตวั อย่างการเขียนโครงรา่ งรายงานเชงิ วชิ าการ
2. แหล่งคน้ ควา้ อา้ งองิ เชน่ อนิ เทอร์เน็ต หนงั สือ บุคคล ฯลฯ
62
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 2
เรยี นร้กู ารสร้างผลงาน
วชิ าเพ่ิมเติมโรงเรยี นมาตรฐานสากล รายวิชาเพิ่มเติมที่ 2 รหัสวชิ า I20202 รายวิชา การสื่อสารและ
การนาเสนอ : IS2 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 18 ชัว่ โมง
ผลการเรียนรู้ (เป้าหมายการเรียนรู้ )
2. เขียนรายงานการศึกษาค้นควา้ เชงิ วชิ าการภาษาไทย ความยาว 2,500 คา
สาระสาคัญ /ความคดิ รวบยอด (ความเข้าใจทคี่ งทน ) คาถามสาคัญ
การเขียนรายงานการศึกษาค้นควา้ เชิงวชิ าการ - การเขยี นรายงานเชงิ วชิ าการมวี ิธกี ารเขยี น
ภาษาไทยหรือภาษาองั กฤษ เป็นงานเขยี นรูปแบบหนึ่ง อยา่ งไร
ท่ีใช้ในการถ่ายทอดองค์ความร้จู ากการศึกษา คน้ ควา้ - องคป์ ระกอบของรายงานเชิงวชิ าการมี
และข้อคน้ พบการเขียนรายงานเชิงวชิ าการทมี่ ี อะไรบา้ ง และแตล่ ะองคป์ ระกอบมวี ธิ กี ารเขยี น
องคป์ ระกอบครบถว้ นและถูกตอ้ งตามหลกั วิชาการจะ อย่างไร
ช่วยใหก้ ารสื่อสารมปี ระสทิ ธิภาพ - การตรวจสอบงานเขยี นมวี ิธีการตรวจสอบ
และใช้สัญลกั ษณ์ในการตรวจสอบอย่างไร
- มารยาทในการเขียนมีอะไรบา้ ง
สาระการเรยี นรู้ (ผู้เรียนรู้อะไร ) ทักษะ / ทกั ษะกระบวนการ (ผเู้ รยี นทาอะไรได้ )
- การถ่ายทอดองค์ความรู้จากการศึกษาค้นควา้ - ถ่ายทอดองค์ความรจู้ ากการศึกษาคน้ ควา้ เปน็
- การเขยี นรายงานเชิงวชิ าการ รายงานเชงิ วิชาการท่มี คี วามสมบรู ณ์
- องคป์ ระกอบของรายงานเชิงวชิ าการ ไดแ้ ก่ - การวเิ คราะห์ความสมั พนั ธ์เชงิ เหตุผลของ
1) องค์ประกอบส่วนหนา้ องค์ประกอบของงานเขียน
- ปกนอก ปกใน - ทางานรว่ มกบั ผู้อ่นื ตามกระบวนการกลมุ่
- บทคดั ยอ่ กิตติกรรมประกาศ - ตรวจสอบงานเขียนเชิงวชิ าการและใช้
- สารบัญ สารบัญตาราง สารบญั ภาพ สัญลักษณใ์ นการตรวจสอบ
2) องค์ประกอบสว่ นเนอื เร่ือง - มมี ารยาทในการเขียน
- ความนา วัตถปุ ระสงค์ สมมตฐิ าน ขอบเขต
- เนือเร่อื ง
- วิธกี ารรวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มลู
- ผลการศึกษา
- บทสรปุ และอภปิ รายผล
63
สาระการเรยี นรู้ (ผเู้ รยี นรู้อะไร ) ตอ่
3) องคป์ ระกอบส่วนท้าย
- บรรณานกุ รม ภาคผนวก
- ประวตั ิผจู้ ัดทา
- การวิเคราะห์ความสมั พนั ธเ์ ชิงเหตผุ ลของ
องคป์ ระกอบของงานเขยี น
- การตรวจงานเขยี นและการใชส้ ัญลกั ษณใ์ นการ
ตรวจสอบ
- มารยาทในการเขยี น
คณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์
1. มวี ินัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุง่ มั่นในการทางาน
การออกแบบการวดั ผลประเมนิ ผล
ภาระงานรวบรวม / ช้ินงาน
- แผนผงั ความคดิ (Mind Map) การเขยี นรายงานเชิงวิชาการและมารยาทในการเขียน
- รายงานการศึกษาคน้ ควา้ เชงิ วชิ าการภาษาไทย ความยาว 2,500 คา
เกณฑก์ ารประเมนิ ภาระงาน / ชิ้นงาน (ระบุประเด็นประเมนิ )
- ความครบถ้วนขององค์ประกอบรายงาน
- ความสัมพันธ์เชงิ เหตุผลขององค์ประกอบ
- ความถูกต้องตามหลักวชิ าการและความสมบรู ณข์ องรายงาน
รอ่ งรอยการเรยี นรู้อ่ืน ๆ
- การตอบคาถามและการอภิปราย
- แบบประเมนิ องค์ประกอบและความสมบรู ณร์ ายงานเชงิ วชิ าการ
- แบบบันทึกเกย่ี วกบั กระบวนการทางาน
64
การวางแผนการเรียนรู้
กิจกรรมการเรยี นรู้
1. ครูสนทนากบั นักเรียนเกยี่ วกับการนาโครงร่างรายงานเชงิ วิชาการไปสกู่ ารเขียน และถามคาถาม
“การเขียนรายงานเชงิ วิชาการมีวิธกี ารเขยี นอยา่ งไร” และ “องค์ประกอบของรายงานเชิงวชิ าการมี
อะไรบา้ ง และแต่ละองคป์ ระกอบมีวธิ กี ารเขยี นอย่างไร” นักเรียนตอบคาถาม
2. นกั เรยี นศึกษาตวั อยา่ งรายงานเชิงวชิ าการทม่ี ีความสมบรู ณ์ แล้วชว่ ยกนั ระดมความคดิ วเิ คราะห์
องคป์ ระกอบของรายงาน และอภิปรายองค์ประกอบของรายงานท่ีความสมบูรณว์ า่ ควรจะมีองค์ประกอบ
อะไรบา้ ง
3. นกั เรียนฝกึ วิเคราะห์ความสัมพนั ธ์เชิงเหตผุ ลขององค์ประกอบของตวั อย่างรายงานเชงิ วิชาการ
4. แบง่ นักเรยี นเปน็ กลมุ่ ประเมินตัวอย่างรายงานเชิงวิชาการ แล้วนาเสนอจดุ เดน่ และจุดบกพร่องของ
ตวั อยา่ งรายงานเชงิ วิชาการท่ีประเมิน
5. นักเรยี นศึกษาวิธีการเขยี นรายงานเชิงวชิ าการแตล่ ะองคป์ ระกอบ และฝึกเขยี นองค์ประกอบของ
รายงานเชิงวชิ าการแตล่ ะองค์ประกอบ
6. ครูถามคาถาม “การตรวจสอบงานเขยี นมวี ิธีการตรวจสอบและใชส้ ญั ลกั ษณ์ในการตรวจสอบอย่างไร”
นกั เรยี นตอบคาถาม และศึกษาวธิ กี ารตรวจสอบงานเขียนและสญั ลักษณ์ทใ่ี ช้ในการตรวจสอบจากแหล่งการ
เรียนรู้ตา่ ง ๆ นักเรยี นช่วยกนั ตรวจงานเขยี นและปรบั ปรุงแก้ไข
7. นกั เรียนนาองค์ประกอบแต่ละส่วนมาเรียงลาดบั เป็นรายงานฉบับรา่ งและทบทวนการแกไ้ ขรายงาน
ฉบบั ร่าง
8. ครูถามคาถาม “มารยาทในการเขียนมีอะไรบ้าง” นักเรยี นตอบคาถาม และช่วยกันระดมความคิด
เกย่ี วกับมารยาทในการเขียน
9. นกั เรียนจดั ทาแผนผงั ความคดิ (Mind Map) การเขียนรายงานเชงิ วิชาการและมารยาทในการเขียน
10. นกั เรียนแตล่ ะคนนาโครงรา่ งการเขียนรายงานเชงิ วชิ าการมาเขยี นเปน็ รายงานการศึกษาค้นควา้ เชงิ
วชิ าการภาษาไทย ความยาว 2,500 คา ฉบบั สมบรู ณ์ที่มอี งคป์ ระกอบครบถ้วน
11. ครูและนักเรียนช่วยกนั ตรวจผลงานและปรับปรุงแก้ไขผลงานให้สมบรู ณ์ และจดั ทาเป็นรปู เลม่
รายงานทส่ี มบรู ณ์
สื่อ / แหลง่ เรียนรู้
1. ตวั อยา่ งรายงานเชิงวิชาการ
2. สญั ลักษณใ์ นการตรวจสอบงานเขยี น
3. แหลง่ ค้นควา้ อา้ งองิ เช่น อนิ เทอรเ์ น็ต หนังสือ บคุ คล ฯลฯ
65
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 3
สร้างสรรค์การนาเสนอ
วิชาเพมิ่ เติมโรงเรยี นมาตรฐานสากล รายวิชาเพิ่มเตมิ ท่ี 2 รหัสวิชา I20202 รายวิชา การส่อื สารและ
การนาเสนอ : IS2 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 12 ชวั่ โมง
ผลการเรยี นรู้ (เปา้ หมายการเรยี นรู้ )
3. นาเสนอข้อค้นพบ ข้อสรุปจากประเดน็ ท่ีเลอื กในรปู แบบเด่ียว (Oral Individual Presentation)
หรอื แบบกลมุ่ (Oral Panel Presentation) โดยใช้ส่ืออุปกรณใ์ นการนาเสนอไดเ้ หมาะสม
4. เผยแพร่ผลงานสู่สาธารณะ
5. เห็นประโยชนแ์ ละคุณค่าในการสร้างสรรค์งานและถา่ ยทอดสงิ่ ทเ่ี รียนรู้แก่สาธารณะ
สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด (ความเข้าใจท่ีคงทน ) คาถามสาคัญ
การเลอื กรูปแบบในการนาเสนอและใชส้ ่ืออุปกรณ์ - จะเลอื กวิธกี ารนาเสนอและใช้ส่ือในการ
ประกอบการนาเสนออยา่ งเหมาะสม และการเห็น นาเสนอข้อค้นพบ ขอ้ สรปุ แก่สาธารณะให้ประสบ
ประโยชน์และคณุ คา่ ในการสรา้ งสรรค์งานและถ่ายทอด ผลสาเรจ็ ไดอ้ ย่างไร
ส่ิงที่เรยี นรู้แก่สาธารณะ จะช่วยใหก้ ารนาเสนอข้อ - การนาเสนอผลงานวชิ าการแบบปากเปล่า
ค้นพบ ข้อสรปุ ของประเด็นท่ีสนใจ จาก ในรปู แบบเดี่ยว (Oral Individual Presentation)
การศกึ ษา คน้ คว้า ประสบผลสาเรจ็ หรือแบบกลมุ่ (Oral Panel Presentation) คอื
อะไร และวิธีการ หรอื ขนั ตอนอย่างไร
- การสร้างสรรค์งานและถา่ ยทอดสิง่ ท่เี รียนรู้แก่
สาธารณะมปี ระโยชนแ์ ละคุณคา่ อยา่ งไร
สาระการเรยี นรู้ (ผู้เรยี นรูอ้ ะไร ) ทกั ษะ / ทกั ษะกระบวนการ (ผเู้ รียนทาอะไรได้ )
- การนาเสนอและรูปแบบการนาเสนอ - อธบิ ายวธิ กี ารนาเสนอและรปู แบบการ
- ขนั ตอนในการนาเสนอ นาเสนอ และขันตอนในการนาเสนอ
- ประเภทของการนาเสนอแบบปากเปล่า - นาเสนอผลงานวชิ าการแบบปากเปลา่ ใน
* รปู แบบเดีย่ ว (Oral Individual รูปแบบเด่ยี ว (Oral Individual Presentation)
Presentation) หรือรปู แบบกลุ่ม (Oral Panel Presentation)
* รูปแบบกลมุ่ (Oral Panel Presentation) - การใช้สือ่ ประกอบการนาเสนอ
- ขันตอนและเทคนคิ การนาเสนอแบบปากเปล่า - วพิ ากษ์แสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับ
- การใชส้ ่ือประกอบการนาเสนอ การนาเสนอ
- การวพิ ากษ์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั - เหน็ ประโยชน์และคณุ คา่ ในการสรา้ งสรรคง์ าน
การนาเสนอ และถ่ายทอดส่งิ ทเี่ รยี นรู้แกส่ าธารณะ
- ประโยชน์และคณุ ค่าในการสรา้ งสรรค์งานและ - ทางานรว่ มกับผ้อู ่ืนตามกระบวนการกล่มุ
ถ่ายทอดส่งิ ที่เรียนร้แู กส่ าธารณะ
66
คุณลกั ษณะที่พึงประสงค์
1. มีวนิ ัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. ม่งุ มัน่ ในการทางาน
4. ซื่อสตั ยส์ ุจริต
การออกแบบการวดั ผลประเมินผล
ภาระงานรวบรวม / ชน้ิ งาน
การนาเสนอผลงานวชิ าการท่ีศกึ ษา คน้ คว้า ด้วยรูปแบบปากเปล่า ในรปู แบบเดย่ี ว (Oral Individual
Presentation) หรอื รปู แบบกลุ่ม (Oral Panel Presentation)
เกณฑก์ ารประเมินภาระงาน / ชิน้ งาน (ระบปุ ระเด็นประเมนิ )
- ขนั ตอนของการนาเสนอแบบปากเปล่า
- ความชัดเจนของการนาเสนอ
- เทคนคิ วธิ ีการนาเสนอ
- การมปี ฏสิ ัมพันธก์ บั ผฟู้ ัง
รอ่ งรอยการเรยี นรู้อ่นื ๆ
- การตอบคาถามและการอภิปราย
- แผนการนาเสนอและรา่ งการนาเสนอผลงาน
- แบบบันทึกเกย่ี วกบั กระบวนการทางาน
การวางแผนการเรยี นรู้
กิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูสนทนากบั นักเรยี นเก่ียวกบั การนาเสนอผลงานวชิ าการในรปู แบบตา่ ง ๆ และถามคาถาม “จะ
เลอื กวธิ กี ารนาเสนอและใชส้ ื่ออย่างไรในการนาเสนอขอ้ ค้นพบ ขอ้ สรปุ แก่สาธารณะให้ประสบผลสาเรจ็ ”
นักเรยี นตอบคาถาม
2. แบง่ นกั เรยี นเป็นนักศึกษาวิธีการนาเสนอและรปู แบบการนาเสนอ และขันตอนในการนาเสนอจาก
แหล่งการเรียนตา่ ง ๆ และนาเสนอผลงาน
3. ครูถามคาถาม “จะเลอื กเป็นวิธกี ารนาเสนอและใช้สื่อในการนาเสนอขอ้ คน้ พบ ข้อสรปุ แกส่ าธารณะ
ใหป้ ระสบผลสาเรจ็ ได้อย่างไร” นักเรยี นตอบคาถาม ครูและนักเรียนชว่ ยกันสรปุ วิธกี ารเลือกวิธกี ารนาเสนอ
และใช้สอ่ื ในการนาเสนอข้อค้นพบ ขอ้ สรปุ แก่สาธารณะให้ประสบผลสาเร็จ
67
การวางแผนการเรยี นรู้ (ตอ่ )
กจิ กรรมการเรยี นรู้
4. นักเรียนชมวีดีทัศนต์ ัวอย่างการนาเสนองานวิชาการแบบปากเปลา่ ในรูปแบบเดยี่ ว (Oral Individual
Presentation) หรอื รูปแบบกลุ่ม (Oral Panel Presentation) และช่วยกนั วเิ คราะห์รูปแบบและวธิ ีการใน
การนาเสนอ
5. แบ่งนกั เรยี นเป็นกลมุ่ ศึกษารูปแบบ ขันตอน วิธกี ารนาเสนอผลงานแบบปากเปล่า และการวิพากษ์
แสดงความคดิ เห็นเก่ยี วกับการนาเสนอจากแหลง่ การเรียนต่าง ๆ และช่วยกันอภิปรายสรปุ ผลการศึกษา
6. นกั เรียนฝึกปฏบิ ัติตามขันตอนการนาเสนอผลงาน และสะท้อนผลการฝึกปฏิบัติการนาเสนอผลงาน
7. นักเรียนนาเสนอรายงานเชิงวิชาการและใชส้ อื่ ประกอบการนาเสนอ และช่วยกนั วิพากษ์แสดงความ
คดิ เหน็ เกยี่ วกับการนาเสนอ
8. ครถู ามคาถาม “การสร้างสรรค์งานและถา่ ยทอดสิ่งทีเ่ รยี นรู้แกส่ าธารณะมปี ระโยชนแ์ ละคุณคา่
อยา่ งไร” นกั เรียนตอบคาถาม ครูและนกั เรียนช่วยกนั สรุปประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ในการสร้างสรรค์งานและ
ถา่ ยทอดสงิ่ ทเี่ รยี นร้แู กส่ าธารณะ
9. นกั เรียนนาผลงานไปเผยแพร่ในโรงเรียน
สื่อ / แหล่งเรียนรู้
1. วดี ิทศั น์ ตัวอย่างการนาเสนอผลงานวิชาการแบบปากเปลา่
2. รูปแบบและขันตอนวธิ ีการนาเสนอผลงาน
3. ตัวอยา่ งคาพูดท่ีจะนาเสนอในแต่ละขนั ตอน
4. แหลง่ คน้ ควา้ อ้างองิ เช่น อนิ เทอร์เน็ต หนังสอื บคุ คล ฯลฯ
68
3) ตัวอย่างโครงสรา้ งรายวิชาเพมิ่ เตมิ ที่ 2 รหสั วิชา I30202 รายวิชา การสื่อสารและ
การนาเสนอ : IS2 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5
หน่วยที่ ช่อื หน่วยการ ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั ชว่ั โมง นา้ หนัก
เรยี นรู้ คะแนน
1 Design Outline 1. วางโครงร่างการเขียน - การเขียนโครงร่าง 10 25
ตามหลักเกณฑ์ รายงานการศึกษา
องค์ประกอบและวิธีการ คน้ ควา้ เชงิ วิชาการ
เขยี นโครงรา่ ง - หลกั เกณฑ์
องคป์ ระกอบและ
วธิ ีการเขียนโครงร่าง
2 Writing Report 2. เขียนรายงานการศึกษา - การเขยี นรายงาน 18 45
คน้ ควา้ เชงิ วิชาการ การศึกษา คน้ ควา้
ภาษาไทยความยาว เชงิ วิชาการ
4,000 คา หรือ ภาษาไทย หรอื
ภาษาอังกฤษความยาว ภาษาอังกฤษ
2,500 คา
3 Show and 3. นาเสนอข้อคน้ พบ - การนาเสนอและการ 12 30
Share ขอ้ สรปุ จากประเดน็ ท่ี เผยแพร่ผลงานการ
เลือกในรูปแบบเดยี่ ว เขียนรายงาน
(Oral Individual การศึกษาคน้ คว้า
Presentation) หรอื - การเลือกรูปแบบและ
รูปแบบกลุ่ม (Oral ส่อื ประกอบการ
Panel Presentation) นาเสนอผลงาน
โดยใช้ส่อื เทคโนโลยี ที่ - คุณคา่ ของการ
หลากหลาย สร้างสรรคง์ านและ
4. เผยแพร่ผลงานสู่ ถ่ายทอดสิ่งทีเ่ รยี นรู้
สาธารณะ โดยใช้การ
สนทนา / วิพากษ์ผา่ น
ส่อื อิเลก็ ทรอนิกส์ เช่น
e-conference ,
social media online
69
หน่วยท่ี ชือ่ หน่วยการ ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ ช่วั โมง น้าหนัก
เรยี นรู้ คะแนน
5. เหน็ ประโยชนแ์ ละ
คณุ ค่าในการ 40 100
สร้างสรรค์งานและ
ถ่ายทอดสงิ่ ทีเ่ รียนรู้
แกส่ าธารณะ
รวม
70
4) ตัวอย่างการออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1
Design Outline
วชิ าเพม่ิ เติมโรงเรียนมาตรฐานสากล รายวชิ าเพ่ิมเตมิ ที่ 2 รหัสวิชา I30202 รายวิชา การสื่อสาร
และการนาเสนอ : IS2 ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 10 ช่วั โมง
เป้าหมายการเรยี นรู้ (ผลการเรียนร)ู้
1. วางโครงรา่ งการเขยี นตามหลักเกณฑ์ องค์ประกอบและวธิ กี ารเขยี นโครงร่าง
สาระสาคัญ /ความคดิ รวบยอด (ความเข้าใจที่ คาถามสาคัญ
คงทน) - จะเชอ่ื มโยงและถา่ ยทอดองคค์ วามรทู้ ่ี
การเขยี นโครงรา่ งรายงานเชิงวชิ าการ เปน็ การ คน้ พบสู่งานเขียนได้อยา่ งไร
เชือ่ มโยงและถ่ายทอดองคค์ วามรู้ท่ีคน้ พบ โดยวาง - โครงร่างรายงานเชงิ วชิ าการคืออะไร และ
แผนการเขียนอยา่ งเปน็ ระบบ มีองค์ประกอบ คือ มอี งคป์ ระกอบอะไรบ้าง
ช่อื เร่อื ง ความนา วัตถุประสงค์ สมมติฐาน - การเขยี นองคป์ ระกอบโครงร่างรายงานเชงิ
ขอบเขตการศึกษา เนือหา วิธกี ารศึกษาและการเก็บ วิชาการมีวธิ ีการเขยี นอยา่ งไร
รวบรวมขอ้ มลู และการตรวจสอบการเขียน ซึ่งจะ - โครงร่างรายงานเชงิ วิชาการท่สี มบูรณ์มี
ชว่ ยให้การเขียนรายงานเชิงวิชาการมคี วามถูกต้อง ลักษณะอย่างไร
และสมบรู ณ์
สาระการเรียนรู้ (ผเู้ รียนรู้อะไร) ทกั ษะ / ทักษะกระบวนการ (ผูเ้ รียนทาอะไรได้ )
- การเช่อื มโยงและการถา่ ยทอดองคค์ วามรู้ - สรปุ ความหมายและองคป์ ระกอบของโครง
- การเขยี นโครงรา่ ง การเขยี นรายงานเชงิ ร่างรายงานเชงิ วชิ าการ
วชิ าการ - ออกแบบและวางโครงร่างรายงานเชงิ
- องค์ประกอบของโครงร่างได้แก่ วิชาการ
* ชื่อเร่อื ง - ตรวจสอบงานเขียนโครงรา่ งเชงิ วชิ าการ
* ความนา - วิพากษง์ านเขยี นโครงรา่ งของผู้อน่ื
* วตั ถุประสงค์ - นาข้อวพิ ากษม์ าปรับปรุงงานเขยี นโครงรา่ ง
* สมมตฐิ าน ของตน
* ขอบเขตการศึกษาค้นควา้ - การเชย่ี มโยงและการถ่ายทอดองคค์ วามรู้
* เนือเรื่อง - ทางานรว่ มกบั ผูอ้ นื่ ตามกระบวนการกลุ่ม
* วธิ กี ารศึกษาและเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
- การตรวจสอบการเขียนโครงร่าง
71
คณุ ลกั ษณะท่ีพึงประสงค์
1. ใฝ่เรียนรู้
2. มงุ่ มัน่ ในการทางาน
การออกแบบการวัดผลประเมินผล
ภาระงานรวบรวม / ชนิ้ งาน
โครงร่างรายงานเชงิ วิชาการ
เกณฑก์ ารประเมินภาระงาน / ชนิ้ งาน (ระบปุ ระเด็นประเมิน)
- การเชย่ี มโยงและการถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างเปน็ ระบบ
- ความครบถ้วนขององค์ประกอบโครงรา่ งรายงานเชิงวิชาการ
- ความถกู ต้องสมบรู ณ์ของโครงร่างรายงานเชงิ วชิ าการ
ร่องรอยการเรยี นรู้อืน่ ๆ
- การตอบคาถามและการอภิปราย
- แบบประเมินการเขียนโครงรา่ งรายงานเชงิ วิชาการ
- แบบบนั ทึกต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วกับการตรวจสอบงานเขยี น
- แบบบนั ทึกเกย่ี วกบั กระบวนการทางาน
การวางแผนการเรยี นรู้
กิจกรรมการเรียนรู้
1. ครสู นทนากับนักเรยี นและใหน้ กั เรยี นทบทวนเกีย่ วกบั การเรียนรู้ เรอื่ ง การศึกษาคน้ คว้าและการ
สร้างองค์ความรู้
2. ครูถามคาถาม “จะเชอื่ มโยงและถา่ ยทอดองค์ความร้ทู ่ีค้นพบสงู่ านเขียนได้อย่างไร” นักเรียนตอบ
คาถาม ครูใหน้ กั เรยี นสงั เกตตวั อย่างการเขียนรายงานเชิงวิชาการ และช่วยกนั ระดมความคดิ วา่ จะเขยี น
รายงานเชิงวชิ าการได้อย่างไร
3. ครูถามคาถาม “โครงรา่ งรายงานเชงิ วชิ าการคอื อะไร และมอี งคป์ ระกอบอะไรบ้าง” นักเรียนตอบ
คาถาม และแบง่ นักเรยี นเปน็ กลุม่ ศกึ ษาเกี่ยวกบั โครงรา่ งรายงานเชิงวชิ าการและองคป์ ระกอบของโครงร่าง
รายงานเชงิ วิชาการ นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลลการศึกษา ครูและนักเรียนช่วยกันสรปุ ความหมายและ
องคป์ ระกอบของโครงรา่ งรายงานเชงิ วชิ าการ
4. แบง่ นักเรยี นเปน็ กลมุ่ ฝึกเขียนองค์ประกอบของโครงร่างรายงานเชงิ วิชาการ โดยนาประเดน็ ทีส่ นใจ
จากการศึกษาค้นคว้าและสรา้ งองค์ความร้มู าเขยี น และนาเสนอผลงาน
72
การวางแผนการเรียนรู้ (ต่อ)
กจิ กรรมการเรียนรู้
5. นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ พิจารณาและอภิปรายเกยี่ วกบั การเขียนองค์ประกอบของโครงรา่ งรายงานเชิง
วิชาการ และสรุปผลการอภิปรายเกีย่ วกับการเขยี นองคป์ ระกอบของโครงร่างรายงานเชิงวชิ าการของกลมุ่
6. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มจัดทาโครงร่างรายงานเชงิ วิชาการท่ีสมบูรณ์ แล้วนาเสนอผลงานและรว่ มกัน
ตรวจสอบและวิพากษ์ความสมบูรณข์ องโครงรา่ งรายงานเชิงวชิ าการ
7. ครูถามคาถาม “โครงร่างรายงานเชิงวิชาการทส่ี มบรู ณ์มีลกั ษณะอยา่ งไร” นักเรียนตอบคาถาม และ
ให้นกั เรยี นศึกษาตวั อย่างการเขยี นโครงร่างรายงานเชงิ วชิ าการท่สี มบรู ณ์ ครูและนักเรียนรว่ มกนั อภิปราย
สรุปลักษณะโครงร่างรายงานเชงิ วิชาการท่ีสมบรู ณ์ นักเรียนแต่ละกลุ่มปรับปรงุ โครงร่างรายงานเชิงวชิ าการ
ให้สมบรู ณ์
8. นักเรยี นแตล่ ะคนวางแผนและจัดทาโครงร่างรายงานเชิงวิชาการ โดยนาประเดน็ ทส่ี นใจจากการศึกษา
คน้ คว้าและสรุปองค์ความรขู้ องตนเองมาเขียน
9. ครแู ละนักเรียนช่วยกันพจิ ารณาและวิพากษค์ วามสมบูรณข์ องโครงรา่ งรายงานเชิงวิชาการ นักเรยี น
แตล่ ะคนปรับปรุงงานเขยี นของตนเองให้สมบูรณ์
สือ่ / แหลง่ เรียนรู้
1. ตัวอย่างการเขียนโครงรา่ งรายงานเชิงวิชาการ
2. แหล่งคน้ ควา้ อา้ งอิง เชน่ อินเทอรเ์ น็ต หนังสือ บคุ คล ฯลฯ
73
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2
Writing Report
วิชาเพม่ิ เติมโรงเรยี นมาตรฐานสากล รายวชิ าเพ่ิมเติมท่ี 2 รหัสวชิ า I30202 รายวิชา การสอื่ สารและ
การนาเสนอ : IS2 ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 18 ชั่วโมง
ผลการเรียนรู้ (เปา้ หมายการเรียนรู้ )
2. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าเชิงวิชาการภาษาไทย ความยาว 4,000 คา หรอื ภาษาองั กฤษ 2,500
คา
สาระสาคญั / ความคดิ รวบยอด (ความเขา้ ใจทคี่ งทน ) คาถามสาคัญ
การเขยี นรายงานการศึกษาค้นคว้าเชงิ วชิ าการ - การเขียนรายงานเชิงวชิ าการมวี ธิ ีการเขยี น
ภาษาไทยหรือภาษาองั กฤษ เป็นงานเขียนรปู แบบหน่ึง อยา่ งไร
ท่ีใชใ้ นการถ่ายทอดองคค์ วามรจู้ ากการศึกษา คน้ คว้า - องค์ประกอบของรายงานเชิงวิชาการมี
และข้อค้นพบการเขียนรายงานเชิงวิชาการที่มี อะไรบ้าง และแตล่ ะองคป์ ระกอบมีวิธกี ารเขยี น
องค์ประกอบครบถ้วนและถกู ต้องตามหลักวชิ าการจะ อย่างไร
ชว่ ยให้การส่ือสารมปี ระสิทธิภาพ - การตรวจสอบงานเขียนมวี ิธกี ารตรวจสอบ
และใชส้ ญั ลกั ษณ์ในการตรวจสอบอย่างไร
- มารยาทในการเขียนมีอะไรบา้ ง
สาระการเรยี นรู้ (ผ้เู รียนรู้อะไร ) ทักษะ/ทกั ษะกระบวนการ (ผู้เรียนทาอะไรได้ )
- การถ่ายทอดองค์ความรูจ้ ากการศึกษาคน้ ควา้ - ถา่ ยทอดองค์ความรจู้ ากการศกึ ษาคน้ ควา้
- การเขยี นรายงานเชิงวิชาการ เปน็ รายงานเชิงวิชาการทม่ี ีความสมบรู ณ์
- องคป์ ระกอบของรายงานเชงิ วิชาการ ไดแ้ ก่ - การวเิ คราะห์ความสมั พนั ธเ์ ชิงเหตผุ ลของ
1) องค์ประกอบส่วนหน้า องค์ประกอบของงานเขียน
- ปกนอก ปกใน - ทางานร่วมกบั ผู้อน่ื ตามกระบวนการกลมุ่
- บทคัดยอ่ กิตติกรรมประกาศ - ตรวจสอบงานเขยี นเชงิ วิชาการและใช้
- สารบญั สารบัญตาราง สารบัญภาพ สญั ลกั ษณ์ในการตรวจสอบ
2) องค์ประกอบสว่ นเนือเรื่อง - มมี ารยาทในการเขียน
- ความนา วัตถปุ ระสงค์ สมมติฐาน ขอบเขต
- เนอื เร่อื ง
- วิธกี ารรวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มูล
- ผลการศกึ ษา
- บทสรุปและอภิปรายผล
74
สาระการเรยี นรู้ (ผเู้ รยี นรอู้ ะไร) ตอ่
3) องคป์ ระกอบสว่ นทา้ ย
- บรรณานุกรม ภาคผนวก
- ประวตั ผิ จู้ ดั ทา
- การวเิ คราะห์ความสัมพนั ธเ์ ชิงเหตุผลของ
องค์ประกอบของงานเขียน
- การตรวจงานเขียนและการใชส้ ญั ลกั ษณ์ในการ
ตรวจสอบ
- มารยาทในการเขยี น
คณุ ลักษณะที่พึงประสงค์
1. มีวนิ ัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มุ่งมน่ั ในการทางาน
การออกแบบการวดั ผลประเมนิ ผล
ภาระงานรวบรวม / ชิน้ งาน
- แผนผังความคดิ (Mind Map) การเขยี นรายงานเชิงวิชาการและมารยาทในการเขียน
- รายงานการศึกษาค้นควา้ เชงิ วชิ าการภาษาไทย ความยาว 4,000 คา หรอื ภาษาอังกฤษ 2,500 คา
เกณฑก์ ารประเมนิ ภาระงาน / ชนิ้ งาน (ระบุประเดน็ ประเมนิ )
- ความครบถ้วนขององค์ประกอบรายงาน
- ความสมั พนั ธ์เชิงเหตุผลขององคป์ ระกอบ
- ความถูกต้องตามหลักวิชาการและความสมบูรณ์ของรายงาน
รอ่ งรอยการเรยี นร้อู ่ืน ๆ
- การตอบคาถามและการอภิปราย
- แบบประเมินองค์ประกอบและความสมบูรณ์รายงานเชงิ วิชาการ
- แบบบันทกึ เกีย่ วกับกระบวนการทางาน
75
การวางแผนการเรยี นรู้
กจิ กรรมการเรียนรู้
1. ครูสนทนากบั นกั เรยี นเก่ียวกับการนาโครงรา่ งรายงานเชิงวชิ าการไปสูก่ ารเขยี น และถามคาถาม
“การเขียนรายงานเชงิ วิชาการมวี ิธกี ารเขยี นอย่างไร” และ “องคป์ ระกอบของรายงานเชิงวชิ าการมี
อะไรบา้ ง และแต่ละองค์ประกอบมีวธิ กี ารเขียนอย่างไร” นักเรยี นตอบคาถาม
2. นกั เรียนศึกษาตวั อย่างรายงานเชงิ วชิ าการทม่ี คี วามสมบูรณ์ แลว้ ชว่ ยกันระดมความคดิ วเิ คราะห์
องค์ประกอบของรายงาน และอภปิ รายองค์ประกอบของรายงานทค่ี วามสมบูรณว์ า่ ควรจะมอี งค์ประกอบ
อะไรบา้ ง
3. นกั เรียนฝึกวเิ คราะห์ความสมั พันธเ์ ชงิ เหตุผลขององคป์ ระกอบของตวั อย่างรายงานเชงิ วชิ าการ
4. แบ่งนกั เรียนเปน็ กลุม่ ประเมินตัวอยา่ งรายงานเชิงวชิ าการ แลว้ นาเสนอจดุ เด่นและจุดบกพร่องของ
ตัวอยา่ งรายงานเชิงวชิ าการที่ประเมนิ
5. นกั เรยี นศึกษาวธิ ีการเขียนรายงานเชิงวชิ าการแต่ละองค์ประกอบ และฝึกเขียนองค์ประกอบของ
รายงานเชงิ วิชาการแตล่ ะองค์ประกอบ
6. ครูถามคาถาม “การตรวจสอบงานเขียนมวี ธิ ีการตรวจสอบและใช้สัญลกั ษณ์ในการตรวจสอบอยา่ งไร”
นกั เรียนตอบคาถาม และศึกษาวธิ กี ารตรวจสอบงานเขยี นและสัญลักษณท์ ีใ่ ช้ในการตรวจสอบจากแหลง่ การ
เรียนรู้ตา่ ง ๆ นกั เรียนช่วยกันตรวจงานเขียนและปรับปรงุ แก้ไข
7. นักเรียนนาองคป์ ระกอบแต่ละส่วนมาเรียงลาดับเป็นรายงานฉบบั ร่างและทบทวนการแกไ้ ขรายงาน
ฉบบั ร่าง
8. ครูถามคาถาม “มารยาทในการเขยี นมอี ะไรบ้าง” นกั เรียนตอบคาถาม และชว่ ยกันระดมความคิด
เกีย่ วกับมารยาทในการเขียน
9. นกั เรียนจดั ทาแผนผงั ความคดิ (Mind Map) การเขยี นรายงานเชิงวิชาการและมารยาทในการเขยี น
10. นักเรยี นแตล่ ะคนนาโครงร่างการเขยี นรายงานเชิงวิชาการภาษาไทย ความยาว 4,000 คา หรือ
ภาษาอังกฤษ 2,500 คา ฉบับสมบรู ณ์ท่มี ีองคป์ ระกอบครบถว้ น
11. ครูและนกั เรียนช่วยกันตรวจผลงานและปรับปรุงแก้ไขผลงานใหส้ มบรู ณ์ และจดั ทาเปน็ รูปเล่ม
รายงานท่สี มบูรณ์
สื่อ / แหล่งเรียนรู้
1. ตวั อย่างรายงานเชงิ วิชากา
2. สญั ลกั ษณ์ในการตรวจสอบงานเขยี น
3. แหลง่ คน้ คว้าอ้างอิง เช่น อินเทอร์เน็ต หนงั สอื บุคคล ฯลฯ
76
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 3
Show and Share
วิชาเพมิ่ เติมโรงเรยี นมาตรฐานสากล รายวิชาเพิ่มเตมิ ที่ 2 รหัสวชิ า I30202 รายวิชา การส่อื สารและ
การนาเสนอ : IS2 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 12 ชัว่ โมง
ผลการเรยี นรู้ (เป้าหมายการเรียนรู้)
3. นาเสนอข้อค้นพบ ข้อสรุปจากประเดน็ ทีเ่ ลอื กในรูปแบบเด่ยี ว (Oral Individual Presentation)
หรอื แบบกล่มุ (Oral Panel Presentation) โดยใชส้ อื่ อุปกรณ์ในการนาเสนอไดเ้ หมาะสม
4. เผยแพรผ่ ลงานสู่สาธารณะโดยใชก้ ารสนทนา / วิพากษ์ผ่านสือ่ อิเล็กทรอนิกส์ เช่น e-conference ,
social media online
5. เหน็ ประโยชนแ์ ละคุณคา่ ในการสรา้ งสรรคง์ านและถา่ ยทอดสงิ่ ที่เรียนรู้แกส่ าธารณะ
สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด (ความเข้าใจท่ีคงทน) คาถามสาคญั
การเลือกรปู แบบในการนาเสนอและใชส้ อ่ื อุปกรณ์ - จะเลือกวิธกี ารนาเสนอและใชส้ ่ือในการ
ประกอบการนาเสนออยา่ งเหมาะสม และการเห็น นาเสนอข้อคน้ พบ ขอ้ สรุปแก่สาธารณะให้ประสบ
ประโยชน์และคณุ คา่ ในการสรา้ งสรรคง์ านและถ่ายทอด ผลสาเรจ็ ไดอ้ ยา่ งไร
สงิ่ ทีเ่ รียนรแู้ ก่สาธารณะ จะช่วยให้การนาเสนอข้อ - การนาเสนอผลงานวิชาการแบบปากเปลา่
คน้ พบ ข้อสรุปของประเด็นที่สนใจ จากการศึกษา ในรปู แบบเด่ยี ว (Oral Individual Presentation)
คน้ ควา้ ประสบผลสาเร็จ หรอื แบบกลุ่ม (Oral Panel Presentation) คือ
อะไร และวิธีการ หรอื ขนั ตอนอยา่ งไร
- การเผยแพร่ผลงานสู่สาธารณะ โดยใช้
การสนทนา / วพิ ากษ์ผ่านสือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์มวี ธิ กี าร
อยา่ งไร
- การสรา้ งสรรค์งานและถา่ ยทอดส่ิงทเี่ รียนรู้แก่
สาธารณะมปี ระโยชนแ์ ละคณุ คา่ อย่างไร
สาระการเรยี นรู้ (ผ้เู รียนรู้อะไร) ทักษะ / ทักษะกระบวนการ (ผูเ้ รียนทาอะไรได)้
- การนาเสนอและรปู แบบการนาเสนอ - อธิบายวธิ กี ารนาเสนอและรูปแบบการ
- ขันตอนในการนาเสนอ นาเสนอ และขันตอนในการนาเสนอ
- ประเภทของการนาเสนอแบบปากเปลา่ - นาเสนอผลงานวชิ าการแบบปากเปลา่ ใน
* รูปแบบเดย่ี ว (Oral Individual รูปแบบเดี่ยว (Oral Individual Presentation)
Presentation) หรือรูปแบบกลุ่ม (Oral Panel Presentation)
* รูปแบบกลมุ่ (Oral Panel Presentation) - การใชส้ อ่ื ประกอบการนาเสนอ
- ขนั ตอนและเทคนิคการนาเสนอแบบปากเปลา่
- การใช้สื่อประกอบการนาเสนอ
77
สาระการเรียนรู้ (ผ้เู รียนรู้อะไร) ตอ่ ทักษะ/ทกั ษะกระบวนการ(ผูเ้ รียนทาอะไรได้ ) ตอ่
- การวิพากษ์ แสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับ - วพิ ากษ์แสดงความคิดเหน็ เกย่ี วกับ
การนาเสนอ การนาเสนอ
- การเผยแพรผ่ ลงานสู่สาธารณะ โดยใช้การสนทนา - เผยแพรผ่ ลงานสูส่ าธารณะโดยใช้การสนทนา
/ วิพากษผ์ า่ นส่ืออเิ ล็กทรอนิกส์ / วิพากษ์ผ่านส่ืออเิ ล็กทรอนิกส์ เช่น e-
- ประโยชน์และคณุ ค่าในการสรา้ งสรรคง์ านและ conference , social media online
ถ่ายทอดสิง่ ท่ีเรยี นรู้แก่สาธารณะ - เหน็ ประโยชน์และคณุ ค่าในการสรา้ งสรรคง์ าน
และถา่ ยทอดสง่ิ ทเี่ รียนรู้แก่สาธารณะ
- ทางานรว่ มกบั ผอู้ ่นื ตามกระบวนการกลุม่
คณุ ลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์
1. มีวนิ ยั
2. ใฝเ่ รยี นรู้
3. มุ่งม่นั ในการทางาน
4. ซือ่ สัตย์สจุ รติ
การออกแบบการวัดผลประเมินผล
ภาระงานรวบรวม / ชิน้ งาน
- การนาเสนอผลงานวิชาการทศี่ ึกษา คน้ คว้า ด้วยรปู แบบปากเปล่า ในรูปแบบเดยี่ ว (Oral Individual
Presentation) หรือรปู แบบกลมุ่ (Oral Panel Presentation)
- การสนทนา / วิพากษ์ผ่านสอื่ อเิ ลก็ ทรอนิกส์
เกณฑ์การประเมินภาระงาน / ช้ินงาน (ระบปุ ระเด็นประเมนิ )
- ขนั ตอนของการนาเสนอแบบปากเปล่า
- ความชัดเจนของการนาเสนอ
- เทคนคิ วธิ กี ารนาเสนอ
- การมีปฏิสัมพันธก์ ับผฟู้ ัง
- การเผยแพร่ผลงานทางสื่ออิเลก็ ทรอนกิ ส์
78
การออกแบบการวัดผลประเมินผล (ตอ่ )
ร่องรอยการเรยี นร้อู ่ืน ๆ
- การตอบคาถามและการอภิปราย
- แผนการนาเสนอและรา่ งการนาเสนอผลงาน
- แบบบันทึกเก่ยี วกับกระบวนการทางาน
การวางแผนการเรียนรู้
กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับการนาเสนอผลงานวชิ าการในรูปแบบตา่ ง ๆ และถามคาถาม “จะ
เลอื กวธิ กี ารนาเสนอและใช้สื่ออย่างไรในการนาเสนอขอ้ ค้นพบ ข้อสรปุ แกส่ าธารณะให้ประสบผลสาเร็จ”
นกั เรียนตอบคาถาม
2. แบง่ นักเรยี นเปน็ นกั ศกึ ษาวิธีการนาเสนอและรูปแบบการนาเสนอ และขันตอนในการนาเสนอจาก
แหล่งการเรยี นต่าง ๆ และนาเสนอผลงาน
3. ครูถามคาถาม “จะเลอื กเปน็ วิธกี ารนาเสนอและใชส้ ือ่ ในการนาเสนอขอ้ ค้นพบ ข้อสรปุ แก่สาธารณะ
ให้ประสบผลสาเร็จไดอ้ ย่างไร” นักเรียนตอบคาถาม ครแู ละนกั เรียนช่วยกนั สรปุ วิธกี ารเลือกวธิ ีการนาเสนอ
และใช้ส่อื ในการนาเสนอข้อค้นพบ ข้อสรุปแก่สาธารณะให้ประสบผลสาเร็จ
4. นักเรียนชมวีดีทัศน์ตวั อย่างการนาเสนองานวิชาการแบบปากเปลา่ ในรปู แบบเด่ยี ว (Oral Individual
Presentation) หรือรูปแบบกลุ่ม (Oral Panel Presentation) และชว่ ยกนั วเิ คราะห์รูปแบบและวธิ ีการใน
การนาเสนอ
5. แบ่งนักเรียนเปน็ กลมุ่ ศึกษารปู แบบ ขนั ตอน วิธีการนาเสนอผลงานแบบปากเปล่า และการวพิ ากษ์
แสดงความคิดเห็นเกย่ี วกบั การนาเสนอจากแหล่งการเรียนต่าง ๆ และชว่ ยกนั อภปิ รายสรปุ ผลการศกึ ษา
6. นักเรียนฝึกปฏิบัตติ ามขนั ตอนการนาเสนอผลงาน และสะท้อนผลการฝึกปฏิบัติการนาเสนอผลงาน
7. นักเรียนนาเสนอรายงานเชงิ วชิ าการและใช้ส่ือประกอบการนาเสนอ และชว่ ยกันวิพากษ์แสดงความ
คิดเหน็ เก่ียวกับการนาเสนอ
8. ครูถามคาถาม “การเผยแพร่ผลงานส่สู าธารณะโดยใช้การสนทนา / วิพากษผ์ ่านส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์มี
วิธีการอยา่ งไร” นกั เรยี นตอบคาถาม และให้นักเรยี นชมวีดีทัศนต์ ัวอย่างการสนทนา / วิพากษผ์ ่านสือ่
อิเล็กทรอนิกส์
9. แบง่ นักเรยี นเปน็ กลมุ่ ฝึกการสนทนา / วิพากษ์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
10. ครูถามคาถาม “การสร้างสรรค์งานและถ่ายทอดสิง่ ท่ีเรียนรแู้ กส่ าธารณะมปี ระโยชน์และคุณคา่
อยา่ งไร” นักเรยี นตอบคาถาม ครแู ละนกั เรียนชว่ ยกนั สรุปประโยชน์และคณุ คา่ ในการสร้างสรรคง์ านและ
ถา่ ยทอดสิ่งที่เรยี นรแู้ ก่สาธารณะ
79
การวางแผนการเรียนรู้ (ตอ่ )
กจิ กรรมการเรียนรู้
11. นกั เรียนนาผลงานไปเผยแพร่ในโรงเรียนและเผยแพร่ในสื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์
สอ่ื / แหล่งเรียนรู้
1. วีดทิ ัศนต์ ัวอย่างการนาเสนอผลงานวชิ าการแบบปากเปลา่
2. วีดิทศั นต์ วั อย่างการสนทนา / วิพากษ์ผา่ นสือ่ อิเลก็ ทรอนกิ ส์
3. รปู แบบและขันตอนวิธีการนาเสนอผลงาน
4. ตวั อยา่ งคาพูดทจ่ี ะนาเสนอในแตล่ ะขันตอน
5. แหล่งค้นควา้ อ้างองิ เช่น อนิ เทอร์เน็ต หนงั สือ บุคคล ฯลฯ
6. สื่ออิเล็กทรอนกิ ส์ เช่น e-conference , social media onlineฯลฯ
80
ใบความรู้
ความร้ทู ว่ั ไปเกยี่ วกบั การศึกษาค้นควา้ ประเด็นความรู้
แนวทางการศึกษาค้นคว้าและรวบรวมความรู้
การศึกษาคน้ ควา้ และรวบรวมความรู้ มแี นวทางดังนี
1. ควรแสวงหาความรู้ หรือศึกษาเอกสารท่เี กยี่ วข้องจากแหล่งข้อมลู ที่หลากหลาย
จากเอกสารหลาย ๆ เล่ม และเก่ยี วข้องจริง ๆ กบั ประเดน็ ความรขู้ องตนเอง
2. ตอ้ งนาความรจู้ ากหลายแหล่งนันมาเขียนเปน็ สานวนของตนเอง สานวนการเขยี นต้อง
ราบร่ืนสละสลวย มกี ารใช้คาเชื่อมทีเ่ หมาะสม อ่านแล้วเข้าใจ
3. บอกแหล่งทีม่ าของข้อมลู นนั ๆ ใหถ้ กู ต้องและเหมาะสม
การอ้างองิ จากการศึกษาคันควา้ (การอ้างอิงท้ายเล่ม)
1. ใหพ้ มิ พ์คาว่า เอกสารอา้ งองิ หรอื แหลง่ อ้างอิง ไว้กลางหน้ากระดาษ ด้วย
ตวั อักษรขนาด 22 พอยต์
2. จัดเรยี งตามลาดบั อกั ษรชือ่ ผูแ้ ต่งตามแบบพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แก้ไข
ครงั ลา่ สุด(เรยี งตามลาดับตัวอักษร ก-ฮ)
3. ช่อื หนงั สือหรือชื่อเรอ่ื งตอ้ งพิมพด์ ว้ ยอักษรตัวหนา
4. ถา้ รายการอ้างอิงไม่จบในบรรทดั เดียวกนั บรรทดั ต่อไปใหเ้ วน้ เขา้ มา 7 ระยะ
ตัวอกั ษร แลว้ เรมิ่ พมิ พอ์ ักษรตวั ที่ 8
- รปู แบบการเขยี นการอ้างอิงจากหนังสือ
ชอ่ื /นามสกลุ .//(ปีที่พมิ พ)์ .//ชื่อเร่อื ง.//ครังทพี่ ิมพ์).//สถานท่พี มิ พ์/:/สานักพิมพ์.
นาทิพย์ วิภาวิน. (2548). การใชห้ ้องสมดุ ยคุ ใหม่. พิมพ์ครงั ท่ี 3. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
(ถ้าพิมพ์ครงั ท่ี 1 ไม่ต้องพิมพ์ลงไป)
- รปู แบบการเขียนการอ้างอิงจากการสัมภาษณ์
ก/เปน็ ผใู้ ห้สัมภาษณ,์ /ข/เป็นผูส้ มั ภาษณ,์ /ท.ี่ ..(ระบุสถานท่ีทสี่ ัมภาษณ)์ ./เมื่อ/วันที่/เดือน/ปที ส่ี มั ภาษณ์.
พนสั ดลี อ้ ม เป็นผู้ให้สมั ภาษณ,์ สงวน สหวงษ์ เป็นผูส้ มั ภาษณ,์ ทสี่ ถานีวิทยกุ ระจายเสียงแห่งประเทศไทย
จังหวัดสรุ นิ ทร์ เมื่อวันท่ี 25 พฤศจิกายน 2529.
81
- รปู แบบการเขยี นการอ้างอิงจากเว็บไซต์
“ชื่อเร่อื ง,”//(ปีท่ีพิมพ)์ .// (ออนไลน์).//แหล่งท่ีมา : ช่อื เว็บไซต์
“โครงการพฒั นาการเกษตรแบบผสมผสานในพ้นื ท่ยี ุทธศาสตร์ชายแดน,” (2541) ). (ออนไลน์).
แหล่งที่มา : http://www.rdpd. Go.th/ Project/pj117.html.
- รปู แบบการเขียนการอา้ งอิงจากวารสาร
ชอื่ /นามสกุลผเู้ ขียนบทความ.//(ป,ี /วนั /เดือน).//“ชอื่ บทความ,”/ชอื่ วารสาร.//ปีท่(ี ฉบับท่ี)/:/หนา้ ทอี่ า้ งองิ .
ชลลดา คดิ ประเสริฐ. (2541, 10 สงิ หาคม). “ชือ่ บทความ,” แม่และเด็ก. 21(318) : 59-61.
หลักเกณฑก์ ารอา้ งองิ
1. ใหล้ งช่อื และนามสกลุ ไม่ต้องใสค่ านาหน้าช่ือ เชน่ เสนห่ ์ จามรกิ
2. ถา้ มยี ศหรอื ฐานันดรศักด์ิให้นาไปวางไว้หลงั ชอ่ื โดยใชเ้ คร่ืองหมายจุลภาค (,) คั่น เช่น
คกึ ฤทธิ์ ปราโมทย์, ม.ร.ว.
2. ถ้าผูแ้ ตง่ สองคน เชอ่ื ม ชอื่ นามสกุลผู้แตง่ ดว้ ยคาวา่ “และ”
3. ถ้าผู้แต่งสามคน เช่ือม ชือ่ นามสกลุ ผูแ้ ตง่ ดว้ ยเครื่องหมายจลุ ภาค (,) และระหวา่ งชื่อ
นามสกุลสุดท้ายด้วยคาว่า “และ”
4. ผู้แตง่ มากกว่า 3 คน ให้ลงชือ่ นามสกลุ ผูแ้ ต่งคนท1ี่ และตามดว้ ยคาว่า “และคนอ่นื ๆ”
เช่น นนั ทา สุขสวา่ ง และคนอื่น ๆ
5. ถา้ ผูแ้ ตง่ เป็นองค์กร หรอื หน่วยงาน ให้ลงช่อื หนว่ ยงานลงไป หรอื ถ้ามีชอ่ื หน่วยงานย่อย
ดว้ ย เช่น
กระทรวงศึกษาธกิ าร.
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั พนื ฐาน.
6. ถา้ ไม่ปรากฏช่อื ผแู้ ต่งใหใ้ ชช้ ่ือเรอื่ งแทน
7. ถา้ ไมป่ รากฏปีพิมพ์ ให้ใช้อักษรยอ่ ม.ป.ป.
8. ถา้ ไมป่ รากฏสถานท่ีพิมพ์ ให้ใชอ้ กั ษรย่อ ม.ป.ท.
82
9. ถา้ ไม่ปรากฏเลขหน้าให้ใช้คาว่า ไมม่ ีเลขหนา้
10. สานกั พิมพใ์ หร้ ะบเุ ฉพาะชื่อสานักพิมพ์ คาประกอบไม่ต้องระบุ เชน่ สานกั พมิ พ์
โอเดยี นสโตร์ ให้ลงคาวา่ โอเดยี นสโตร์
11. ถ้าสานักพิมพ์เป็นของสถาบันการศกึ ษาให้ลงคาวา่ สานกั พิมพด์ ว้ ย เชน่
สานกั พมิ พ์จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย
12. ถ้าผลติ โดยหน่วยงาน หรือนกั วิชาการในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อนโุ ลมให้ใชช้ ื่อ
หนว่ ยงานแทนส่วนสานกั พิมพไ์ ด้ เชน่
สงวน ทรงวิวัฒน.์ (2538). หลักการแนะแนว. บรุ ีรัมย์ : ภาควิชาจิตวทิ ยาและการแนะแนว คณะ
ครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏบุรรี ัมย.์
13. ถา้ ไมป่ รากฏสานกั พมิ พ์หรือสถาบนั ทผี่ ู้แตง่ สงั กัดอยู่ให้ลงชื่อโรงพิมพ์ โดยระบุคาว่า
“โรงพิมพ์”นาหน้าช่ือ
15. ถ้าไม่ปรากฏสานกั พิมพ์หรอื ผู้จดั พิมพ์ หรอื โรงพิมพ์ ใหล้ งคาว่า“ม.ป.พ.”
16. สานักพมิ พ์ทีม่ ีคาว่า บริษทั ห้างหุ้นส่วนจากัด บริษัท....จากัด ใหต้ ัดคาดังกลา่ วออกคง
ช่ือไว้ เชน่ หา้ งหุ้นสว่ นจากัด บรรณสารการพิมพ์ ใชว้ ่า บรรณสารการพิมพ์
ตัวอย่างการเขยี นอ้างองิ ทา้ ยบท
เอกสารอา้ งอิง
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบรุ ีรัมย์. บณั ฑติ วทิ ยาลัย. (2548). ค่มู ือวิทยานิพนธ.์ พิมพ์ครงั ท่ี 3. กรงุ เทพ ฯ :
มหาวิทยาลัยราชภฏั บุรรี มั ย์
หลกั เกณฑแ์ ละรูปแบบการพมิ พบ์ ทความประเดน็ ความรู้
ตวั อกั ษรและขนาดท่ใี ช้พิมพ์
1. ใช้ตวั พมิ พ์คอมพิวเตอรด์ ้วยตัวอกั ษรชนิดเดียวกนั ทังบทความ
2. ขนาดตวั อักษรมดี ังนี
2.1 ขนาด 22 พอยต์ หนา ใชก้ ับข้อความกาหนดตอนตา่ ง ๆ ที่ปรากฏอยู่กลาง
หน้ากระดาษ เช่น บทท่ี คานา สารบญั อ้างอิง ภาคผนวก
2.2 ขนาด 18 พอยต์ หนา ใชก้ บั หวั ข้อที่ชิดซ้ายหรือหวั ขอ้ ใหญ่
2.3 ขนาด 16 พอยต์ หนา ใช้กบั หัวข้อรองหรือหวั ขอ้ ย่อยหรือข้อความท่ี
ต้องการเน้น
83
2.4 ขนาด 16 พอยต์ บาง ใชก้ บั การพมิ พเ์ นือหา
กระดาษและการต้ังค่าหน้ากระดาษ
1. ใช้กระดาษขนาด A4 พมิ พห์ น้าเดียว
2. ขอบด้านบนและดา้ นซา้ ยมือใหเ้ วน้ หา่ งจากริมกระดาษ 1.5 นิว หรือ 3.8
เซนตเิ มตร
3. ขอบกระดาษด้านล่างและด้านขวามือให้เว้นกระดาษหา่ งจากรมิ กระดาษ 1 นวิ หรอื
2.5 ซม.
4. ไมต่ ้องกันข้อความด้านขวา
5. การพิมพ์หวั ข้อย่อยใหย้ อ่ หนา้ โดยเวน้ ระยะ 7 ช่วงตัวอักษรและพิมพช์ ว่ งตัวอักษรท่ี 8
หรือตงั แทบ็ ที่ 0.6 นิว หรอื 1.75 เซนตเิ มตร หากมีย่อหน้าย่อยลงไปอีกให้ยอ่ หนา้ ระยะ 3 ชว่ งตวั อักษรไป
เรือ่ ย ๆ หรอื ใชก้ ารตงั แทบ็ ครังละ 0.25 นิว ถา้ ไม่มีการแบ่งหัวขอ้ ย่อยลงไปอกี ให้พมิ พ์เนือหาไวใ้ นบรรทัด
เดียวกับหัวขอ้ ย่อย
6. การแบง่ หัวข้อมากกว่า 3 ระดับ ให้ใช้ตวั เลขกากับหัวข้อโดยเพ่ิมตวั เลขและจุดทศนิยม
ตามลาดับ เม่อื ขนึ ย่อหนา้ ใหมข่ องหัวข้อย่อยนนั ต้องพิมพ์ให้ตรงกับข้อความลาดับภายใต้หัวขอ้ นนั ๆ
7. การพิมพ์เลขหน้าให้ใช้ตวั อักษรขนาด 14 พอยต์ ไมใ่ สเ่ ลขหน้าในหนา้ แรกและหน้า
บอกบท
การพมิ พ์ 1. การเวน้ ระยะการพมิ พห์ ลังเคร่ืองหมายวรรคตอน
1.1 หน้าและหลงั (-) ฯ ฯลฯ ๆ และ “-” : ใหเ้ ว้น 1 ช่วงตวั อกั ษร
1.2 หนา้ และหลงั . ใหเ้ วน้ ระยะ 2 ช่วงตัวอกั ษร
1.3 หลงั เคร่อื งหมายวรรคตอนอ่ืน ๆ ใหเ้ ว้นระยะ 2 ชว่ งตวั อกั ษร
1.4 ในกรณีท่ีเป็นอกั ษรยอ่ ใหพ้ ิมพ์ติดกนั เชน่ พ.ศ.
2. การพิมพ์ช่อื ภาษาตา่ งประเทศด้วยภาษาไทย ให้พมิ พ์ทับศัพท์เป็นภาษาไทย โดยใส่
วงเล็บภาษาต่างประเทศเฉพาะครงั แรกเทา่ นัน อกั ษรตวั แรกใหใ้ ชต้ วั พิมพใ์ หญ่ทกุ คา ยกเวน้ คานาหนา้ นาม
คาเชื่อม คาบุพบท และกริยาชว่ ย เช่น (Problems in Secondary School)
3. การพมิ พ์ตัวเลขที่ระบุเป็นช่วงให้พมิ พ์เป็นตัวเลขเต็มเสมอ เช่น พ.ศ. 2545-2548
4. ขอ้ ความชอื่ บท ถ้ายาวเกินกวา่ 52 ตวั อกั ษรให้จัดเป็นรปู สามเหลย่ี มหน้าจ่วั หวั กลบั
และแบ่งข้อความแตล่ ะบรรทัดให้ไดใ้ จความ
5. คาเดยี วกนั ควรพิมพ์ให้อยู่บรรทัดเดยี วกัน ไม่แยกคา
84
3. การจัดกจิ กรรมการนาองค์ความรไู้ ปใชบ้ รกิ ารสงั คม
(Social Service Activity : IS3)
85
3. การจัดกิจกรรมการนาองคค์ วามรูไ้ ปใชบ้ รกิ ารสงั คม (Social Service Activity : IS3)
การจดั กจิ กรรมการนาองค์ความร้ไู ปใช้บริการสงั คม (Social Service Activity : IS3) เป็น
การนาองค์ความรู้จากการศกึ ษาคน้ ควา้ และสรปุ องคค์ วามรู้ และการส่ือสารและนาเสนอไปใชบ้ ริการ
สังคม โดยจดั กจิ กรรมการนาองค์ความรูไ้ ปใช้บริการสังคม ในลกั ษณะของกิจกรรม / โครงงาน /
โครงการ ใหผ้ เู้ รียนได้เรยี นรู้ผา่ นประสบการณ์ โดยในระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น เป็นการนาความรู้
ไปประยุกต์สรา้ งสรรค์ประโยชน์ต่อโรงเรยี นและชมุ ชน และเผยแพร่ความรแู้ ละประสบการณท์ ไี่ ด้
จากการลงมือปฏิบัติเพ่ือประโยชนต์ อ่ โรงเรียนและชุมชน และระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เป็นการ
นาความรไู้ ปประยุกต์สรา้ งสรรคป์ ระโยชน์ตอ่ สังคมและโลก และเผยแพร่ความรแู้ ละประสบการณ์ท่ี
ได้จากการลงมือปฏบิ ตั เิ พ่ือประโยชนต์ ่อสังคมและโลก
1. การศึกษาคน้ ควา้ และ 3. กิจกรรมการนาองคค์ วามรู้ไป
สร้างองคค์ วามรู้ ใชบ้ ริการสังคม
2. การส่ือสารและการ วเิ คราะห์องคค์ วามรู้
นาเสนอ
วางแผนการทากิจกรรม
ปฏิบตั ิกิจกรรมตามปฏิทินท่ีกาหนด
สรุปผลการดาเนินกิจกรรม
เผยแพร่ผลงาน
แผนผงั แสดงข้นั ตอนการจัดกจิ กรรมการนาองคค์ วามรู้ไปใชบ้ ริการสังคม
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 และชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5
86
1) การจดั กจิ กรรมการนาองค์ความร้ไู ปใชบ้ รกิ ารสังคม ชนั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 และชันมัธยมศกึ ษาปที ่ี5
ลาดับ กจิ กรรม ชั่วโมง หมายเหตุ
1 วเิ คราะหอ์ งค์ความรู้ เพือ่ กาหนดแนวทางการนาไปประยุกตใ์ ชใ้ ห้
เกดิ ประโยชนต์ อ่ โรงเรยี นและชุมชน เช่น
- ส่ิงแวดลอ้ ม
- ปัญหาและผลกระทบตอ่ วิถีชีวิต การเมอื ง การปกครอง
เศรษฐกจิ และสังคม
- การอนรุ ักษส์ ่งิ แวดล้อม
- แนวทางการอนรุ ักษ์สง่ิ แวดล้อม (เลอื กเฉพาะเรื่องที่สนใจ
จะอนุรักษ)์
ฯลฯ
2 วางแผนการทากิจกรรม เพื่อนาความรไู้ ปสร้างประโยชนต์ อ่
โรงเรียนและชมุ ชน โดยจัดทารายละเอยี ดและตารางเวลาในการ
ปฏิบัติกิจกรรมตามโครงการ / โครงงาน / กจิ กรรมท่ีจะดาเนนิ การ
เช่น
- โครงการเผยแพรค่ วามรู้ เร่ือง การอนรุ ักษส์ ่ิงแวดล้อม
- โครงการรณรงคส์ ร้างจิตสานึก เร่อื ง การอนุรกั ษ์
ส่ิงแวดล้อม
- โครงการผลติ สื่อการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์สง่ิ แวดล้อม
ฯลฯ
3 ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตามปฏทิ ินที่กาหนด เช่น
- ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตามปฏทิ นิ การดาเนินงานโครงการเผยแพร่
ความรู้ เรอื่ ง การอนรุ ักษ์สิ่งแวดลอ้ ม
- ปฏิบตั กิ ิจกรรมตามปฏิทนิ การดาเนนิ งานโครงการรณรงค์
สร้างจติ สานึก เรื่อง การอนุรกั ษ์สิ่งแวดลอ้ ม
- ปฏิบัติกิจกรรมตามปฏทิ นิ การดาเนินงานโครงการผลติ สอ่ื
การเรียนรเู้ พ่ือการอนรุ กั ษ์ส่ิงแวดล้อม
ฯลฯ
87
ลาดบั กจิ กรรม ชั่วโมง หมายเหตุ
4 สรปุ ผลการดาเนนิ กจิ กรรม เชน่
- บนั ทึกผลการดาเนินกจิ กรรม
- สะท้อนความคดิ เห็นของตน / ชุมชนในการทากิจกรรม
- อภิปรายและสรุปผลการดาเนนิ กิจกรรม
ฯลฯ
5 เผยแพรผ่ ลงานในรปู แบบทห่ี ลากหลาย เชน่
- จดั ทาแผน่ พบั เผยแพร่ผลงาน
- จดั ทาเว็บไซต์ หรือเผยแพร่ผลงานในเวบ็ ไซต์
- จดั ทา Facebook หรอื เผยแพรผ่ ลงานใน Facebook
- จดั ทาป้ายนเิ ทศ หรือไวนลิ เผยแพรผ่ ลงาน
- จัดทา CD DVD เผยแพร่ผลงาน
- จัดนทิ รรศการเผยแพรผ่ ลงาน
ฯลฯ
รวม
88
1) ตัวอยา่ งกิจกรรมการนาองค์ความรไู้ ปใช้บริการสังคม เรือ่ ง สง่ิ แวดล้อม ชนั้
มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 และชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5 ตวั อยา่ งกิจกรรมรกั ษ์สง่ิ แวดลอ้ ม
วตั ถุประสงค์
1. เพื่อใหน้ กั เรยี นนาองคค์ วามรู้ทีศ่ ึกษาค้นคว้ามาใชใ้ นการหาแนวทางและวิธกี าร
อนรุ ักษ์ส่ิงแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมกบั ตนเอง ชุมชน สงั คมและโลก
2. เพื่อใหน้ ักเรยี นได้ฝกึ ปฏิบัตกิ ารเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิง่ แวดลอ้ ม
3. เพื่อปลูกฝังเรื่อง ความรับผิดชอบตอ่ สิ่งแวดล้อม
กลุม่ เป้าหมาย
นักเรียนระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ และตอนปลาย
ผลงาน (เปดิ โอกาสให้นักเรยี นเลือกตามความสนใจ ความถนัด และความสามารถ)
- จดั ทาแผน่ พบั เผยแพรผ่ ลงาน
- จดั ทาเวบ็ ไซต์ หรือเผยแพรผ่ ลงานในเว็บไซต์
- จดั ทา Facebook หรือเผยแพร่ผลงานใน Facebook
- จัดทาป้ายนิเทศ หรือไวนิลเผยแพร่ผลงาน
- จดั ทา CD DVD เผยแพร่ผลงาน
- จัดนทิ รรศการเผยแพรผ่ ลงาน
ฯลฯ
วธิ ดี าเนินการ
1. ครชู แี จงและแจ้งวตั ถุประสงค์ในการเรียนรู้กิจกรรมการนาองค์ความรู้ไปใช้บรกิ ารสงั คม
2. นักเรยี นวเิ คราะห์องคค์ วามรู้ เพอื่ กาหนดแนวทางการนาไปประยุกต์ใชใ้ ห้เกดิ
ประโยชน์ตอ่ โรงเรยี นและชุมชน
3. นกั เรยี นวางแผนการทากิจกรรม เพื่อนาความรู้ไปสรา้ งประโยชนต์ อ่ โรงเรียนและ
ชมุ ชน โดยจดั ทารายละเอียดและตารางเวลาในการปฏิบตั ิกจิ กรรมตามโครงการ / โครงงาน / กจิ กรรมท่ี
จะดาเนินการ
4. นักเรยี นปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามปฏทิ ินทก่ี าหนด
5. นกั เรียนสรปุ ผลการดาเนินกจิ กรรม
6. นกั เรยี นเผยแพรผ่ ลงานในรูปแบบทีห่ ลากหลาย
7. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั ประเมนิ ผลงาน และสรุปบทเรยี น
สือ่ และอุปกรณ์ (เลือกใหส้ อดคลอ้ งกับกิจกรรมทจ่ี ัด)
วัสดุ อปุ กรณ์ ส่ือสงิ่ พิมพ์และสือ่ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ของจริง ของจาลอง
การวัดและประเมินผล
1. การสงั เกตและตรวจผลงาน / การปฏิบตั ิจริง
2. แบบประเมนิ และเกณฑ์การประเมนิ ผลงาน / การปฏบิ ัตจิ รงิ
89
สมุดบันทกึ กิจกรรม
การนาองค์ความร้ไู ปใชบ้ ริการสังคม
(Social Service Activity : IS3)
ชื่อกิจกรรม/โครงงาน/โครงการ
. ............................................................................................................
ชนั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ /.............. .............
โรงเรียนเชยี งกลาง“ประชาพฒั นา”
อาเภอเชยี งกลาง จงั หวัดน่าน
สงั กดั สานักงานเขตพนื ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 37
90
คานา
การจดั กิจกรรมการนาองคค์ วามรไู้ ปใชบ้ ริการสงั คม (Social Service Activity : IS3)
เป็นการนาองคค์ วามรจู้ ากการศกึ ษาคน้ ควา้ และสรปุ องคค์ วามรู้ และการส่ือสารและนาเสนอ
ไปใชบ้ รกิ ารสังคม โดยจัดกจิ กรรมการนาองค์ความรู้ไปใช้บริการสังคม ในลกั ษณะของกิจกรรม
/ โครงงาน / โครงการ ให้ผู้เรยี นไดเ้ รียนรู้ผา่ นประสบการณ์ โดยในระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น/
ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลายเปน็ การนาความรู้ไปประยุกต์สรา้ งสรรคป์ ระโยชนต์ ่อโรงเรียนและชมุ ชน
และเผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ท่ีไดจ้ ากการลงมือปฏิบัติเพ่ือประโยชน์ต่อโรงเรียนและชมุ ชน
ประเทศหรือโลกเป็นการนาความรไู้ ปประยุกตส์ ร้างสรรค์ประโยชนต์ อ่ สงั คมหรือโลก
และเผยแพร่ความรูแ้ ละประสบการณท์ ี่ไดจ้ ากการลงมือปฏิบัตเิ พอื่ ประโยชน์ตอ่ สงั คมและโลก
โรงเรียนเชยี งกลาง“ประชาพัฒนา”
91
(หน้า 1)
กจิ กรรม/โครงงาน/โครงการ ……………………………..
1.ที่มาและความสาคญั
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
2. วัตถปุ ระสงค์
2.1 เพ่ือปฏิบตั ิกิจกรรมทีเ่ กดิ จากความคดิ ริเร่ิมสร้างสรรคข์ องตนเอง
2.2 เพื่อรวมกลุม่ กันปฏิบัติกจิ กรรมบรกิ ารสงั คมและสาธารณะ
2.3 .................................................................................................
3. เปา้ หมาย
3.1 เชงิ คุณภาพ……………………………………………………………………………………………...
3.2 เชงิ ปริมาณ ……………………………………………………………………………………………..
4. ระยะเวลาดาเนนิ การ
วันที่……..…เดอื น…………..…………พ.ศ.………ถงึ วนั ท่ี………เดอื น………….………พ.ศ.………
5. ขน้ั ตอนการดาเนินการชอื่ กิจกรรม ........................... ภาคเรยี นท่ี........... ปีการศึกษา....................
สปั ดาหท์ ่ี วนั เดือน ปี กจิ กรรม ผู้รบั ผิดชอบ หมายเหตุ
- รวมกลุม่ สมาชิก
- รว่ มวางแผนการดาเนนิ กิจกรรม
- เขยี นโครงการ
- กาหนดขอบขา่ ยและวางแผนพฒั นาชมุ ชน ท้องถิน่ และประเทศ
- นาเสนอแผนพฒั นาต่อครทู ีป่ รึกษา
- ประชุมปรับปรุงแผนและเตรยี มแบง่ งานในความรับผิดชอบ
- กิจกรรมท่ี 1...........................................
- กิจกรรมท่ี 2...........................................
- สรปุ ผลการดาเนนิ งานระยะที่ 1
- จัดป้ายนเิ ทศแสดงผลงาน
92
สปั ดาหท์ ่ี วัน เดอื น ปี กิจกรรม ผู้รับผดิ ชอบ หมายเหตุ
- สรปุ ผลการดาเนนิ งานระยะท่ี 2
- จัดป้ายนเิ ทศแสดงผลงาน
- ประชมุ สรปุ ผลการดาเนนิ งาน
- เสนอ (รา่ ง) รายงานตอ่ ครทู ่ปี รึกษาโครงการ
- ครทู ีป่ รึกษาตรวจแก้ไขผลงาน
- จัดทารูปเลม่ รายงานฉบบั สมบูรณ์
- นาเสนอบทสรุปต่อโรงเรียนและประเมินผลโครงการ
6. งบประมาณ (ระบุรายละเอียดคา่ ใชจ้ ่าย)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
รวมเงิน ……………………. บาท
7. สถานท่ดี าเนนิ การ
…………………………………………………………………………………………………………………………………
8. ผรู้ บั ผดิ ชอบ
8.1……………………………………………………………… ชนั ม. ….…/…….…. เลขที่…….
8.2……………………………………………………………… ชัน ม. ….…/…….…. เลขที่…….
8.3……………………………………………………………… ชนั ม. ….…/…….…. เลขท่ี…….
8.4……………………………………………………………… ชนั ม. ….…/…….…. เลขท่ี…….
8.5……………………………………………………………… ชนั ม. ….…/…….…. เลขที่…….
8.6……………………………………………………………… ชัน ม. ….…/…….…. เลขที่…….
8.7……………………………………………………………… ชัน ม. ….…/…….…. เลขท่ี…….
8.8……………………………………………………………… ชัน ม. ….…/…….…. เลขท่ี…….
และรายชอ่ื ดงั เอกสารทีแ่ นบ
9. ครูทีป่ รึกษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………
93
10. ผลที่คาดว่าจะไดร้ ับ
10.1 มีความสามัคคีในหมู่คณะ
10.2 มสี านึกความรับผดิ ชอบตอ่ ตนเองและต่อสงั คม
10.3 …………………………………………………………………….
11. ปัญหาและแนวทางแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื …………………………………...ผ้เู สนอ ลงชอื่ …………………………………ครทู ีป่ รกึ ษา
( ……………………………….. ) ( ……………………………….. )
ประธาน. ผู้เหน็ ชอบ
ลงช่อื ..................................
(.......................................)
หวั หนา้ งานกิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น
12. ความคิดเห็นรองผ้อู านวยการฝ่ายวชิ าการ
..........................................................................................................ง..............
13. ความคิดเหน็ ผู้อานวยการโรงเรยี น