โครงการรวบรวมองคค์ วามรศู้ ลิ ปวฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ อนั ดามัน
A Gathering Knowlede on Art & Culture, and Local Wisdom in the Andaman Project
จัดทำโดย
สำนกั ศลิ ปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั ราชภัฏภูเก็ต
ท่ปี รกึ ษา
ผศ.ดร.คารว์ พยุงพนั ธ์ ผู้อำนวยการสำนกั ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏภเู ก็ต
ผศ.องอาจ เจะ๊ ยะหลี รองผู้อำนวยการสำนักศลิ ปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏภูเกต็
วา่ ท่ีรอ้ ยตรี ดร.นพศกั ดิ์ นาคเสนา รองผูอ้ ำนวยการสำนักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั ราชภฏั ภูเก็ต
ผศ.ไพฑรู ย์ ทองดี รองผู้อำนวยการสำนักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยราชภฏั ภูเก็ต
อาจารย์ครรชิต สุวภาคยร์ งั สี ผ้ชู ว่ ยผู้อำนวยการสำนกั ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ภูเกต็
บรรณาธกิ าร ผู้อำนวยการสำนกั ศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ภูเก็ต
ผศ.ดร.คารว์ พยุงพันธ์
ออกแบบปก
ร้าน Easy Print
ท่ีอยู่ 21/135 หมู่ท่ี 6 ตำบลรษั ฎา อำเภอ เมอื งภูเกต็ จังหวัดภูเกต็ 83000
คำนำ
สำนกั ศลิ ปะและวัฒนธรรมมหาวิทยาลยั ราชภฏั ภูเกต็ มีพันธกจิ สำคัญในการทำนุบำรงุ ศลิ ปะและวัฒนธรรมอันว่า
ด้วยการอนุรักษ์ ฟื้นฟู สืบสาน พัฒนา สร้างสรรค์ และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป
รวมทั้งนำศิลปะและวัฒนธรรมมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบันและเป็นส่วนหนึ่งในการ
พัฒนาประเทศในด้านต่างๆให้เจริญรุ่งเรืองทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ ประกอบกับการที่
มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตให้ความสำคัญกับการกำหนดเป้าหมายให้ สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภฏั
ภเู กต็ เปน็ “ศูนยก์ ารเรียนรู้วิถีชีวติ ศิลปวฒั นธรรม และอาหาร อนั ดามัน” ซ่ึงการมีศูนยก์ ารเรียนรู้วิถีชีวิตจำเป็นต้องมี
ฐานข้อมูลเกีย่ วกบั ศลิ ปะและวฒั นธรรมในท้องถ่ินอันดามัน
ดังนั้นเพื่อให้มีฐานข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะและวัฒนธรรมในท้องถิ่นอันดามัน สำนักศิลปะและวัฒนธรรม
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏภูเกต็ จึงไดด้ ำเนินโครงการรวบรวมองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นอันดามัน
โดยกำหนดประเด็นองค์ความรู้ออกเป็นวัฒนธรรม 5 อ. ประกอบด้วย อาหาร อาคาร อาภรณ์ อาชีพและเอกลักษณ์
ความเปน็ ไทย เพือ่ นำขอ้ มลู องค์ความรมู้ าเป็นฐานข้อมูลของศูนย์การเรยี นรู้วิถชี วี ติ และนำขอ้ มลู ดงั กลา่ วเผยแพรต่ ่อไป
สุดท้ายนีส้ ำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลับราชภัฏภเู ก็ตขอขอบคุณคณาจารย์ทุกท่านทีส่ ง่ องค์ความรู้
ตามแบบบันทึกข้อมูลองค์ความรู้ที่จัดทำโดยสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มาร่วมในโครงการรวบรวมองค์ความรู้ด้าน
ศิลปะวัฒนธรรมและภูมปิ ัญญาท้องถ่ินอนั ดามนั และขอขอบคณุ ผู้ทรงคณุ วฒุ ทิ ุกท่านที่กรณุ าพิจารณาองคค์ วามรู้ เพ่ือ
สำนักศิลปะและวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏภเู กต็ จะไดด้ ำเนินการนำไปจัดเกบ็ เปน็ ฐานความรู้และหวงั เป็นอย่างยิ่งว่า
การรวบรวมองคค์ วามรู้ดา้ นศลิ ปวัฒนธรรมและภูมิปญั ญาทอ้ งถนิ่ อันดามันเลม่ น้จี ะเปน็ ประโยชน์แก่ผู้อา่ นทกุ ทา่ น
(ผศ.ดร.คารว์ พยงุ พนั ธ)์
ผอู้ ำนวยการสำนกั ศิลปะและวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏภเู กต็
13
18
23
26
28
33
37 มารยาทไทย อตั ลกั ษณการไหว
43 อาภรณพ้นถนิ ภเู กต็
58 เจี๊ยะฉา ยในภูเก็ต
71
เรอ่ื งเล่าอาหารถิ่นภูเกต็
จากพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ 10 ซึง่ ทา่ นทรงมพี ระบรมราโชบาย
ในด้านของการพัฒนาท้องถิ่นอยา่ งมีคุณภาพมีความ
สอดคล้องกนั กับการทำนุบำรุงศลิ ปวฒั นธรรมเช่นกัน
เน่อื งจากวฒั นธรรมเปน็ ส่งิ สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงคุณค่าวิถี
ชีวิตทช่ี ุมชนและทอ้ งถน่ิ ต่างๆได้พฒั นาและสร้างสรรค์
ขึ้นตลอดจน เป็นการปลูกจิตสำนึกและกระตุ้นให้คน
ในชุมชนท้องถิ่นเกิดความตระหนัก และเข้ามามีส่วน
ร่วมในการฟื้นฟูเผยแพร่และสืบสานภูมิปัญญา
ท้องถิ่น และคุณค่าความหลากหลายของศิลปะและ
วัฒนธรรมไทย อาหารท้องถนิ่ ถือได้ว่าเป็นอีกหน่ึงสิ่ง
ทมี่ คี วามสำคัญและสามารถสะทอ้ งถงึ ภูมิปัญญาของ
ท้องถิ่นน้ันๆได้เป็นอยา่ งดี โดยเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม
2558 องคก์ ารยูเนสโกไดป้ ระกาศใหเ้ ทศบาลนครภเู กต็
เป็นเมืองแห่งความสร้างสรรค์ด้านอาหาร (Phuket
City of Gastronomy) ประจำปี 2558 ซึ่งถือได้ว่า
จังหวัดภูเกต็ เป็น 1 ใน 18 เมืองที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ท่ี
เป็นเครือขา่ ยเมอื งสรา้ งสรรค์ของยเู นสโก
2
องค์ความรู้ หัวข้อ “เรื่องเล่าอาหารท้องถิ่นภูเก็ต” ขึ้น มี
วัตถุประสงค์เพื่อเป็นการอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบสาน ต่อยอด
วัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นภูเก็ตให้คงอยู่คู่ชุมชนทอ้ งถิ่นตอ่ ไป
อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่อาหารทอ้ งถ่ินภูเกต็ สู่สากลเพื่อเพม่ิ
การรับรู้และเปิดประสบการณ์ทอ่ งเที่ยวใหม่ให้กบั นักท่องเที่ยว
ท้ังในประเทศและตา่ งประเทศทเ่ี ดนิ ทางมาเยือนจงั หวดั ภเู ก็ต
โดยใช้กระบวนการวิจัย เพื่อนำมาบูรณาการการเรียน โอ้เอว๋
การสอนในรายวิชาต่างๆ ได้แก่ รายวิชาอาหารไทยและ ภาพ : เทศบาลนครภูเก็ต
อาหารนานาชาติ การจัดการภัตตาคาร พฤติกรรม
นักทอ่ งเท่ยี ว งานมัคคเุ ทศก์ และ หลักมคั คุเทศก์ เปน็ ต้น เนื้อหามีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 อำเภอในจังหวัดภูเก็ต คือ อำเภอ
เมือง อำเภอถลาง และอำเภอกะทู้ ซึ่งเป็นพื้นที่ๆมีประวัติศาสตร์
องค์ความรู้สามารถนำไปใช้ในการเป็นส่วนหนึ่งในการ ยาวนาน และมีวัฒนธรรมเรื่องเล่าของอาหารทีแ่ ตกต่างกันเน่ืองจาก
เผยแพร่อาหารท้องถ่ินภเู กต็ ส่สู ากลเพอื่ เพ่มิ การรับรู้และ ชาติพันธุ์ คนในแต่ละพื้นทม่ี คี วามแตกต่างกัน เชน่ อำเภอเมือง จะเป็น
เปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ให้กับนักท่องเที่ยวทั้งใน การผสมผสานระหว่างชาวจีน ไทย และมุสลิม อำเภอถลาง จะมีชาว
ประเทศและต่างประเทศที่เดินทางมาเยือนจังหวัดภูเก็ต ไทย พุทธอาศยั อยูเ่ ป็นสว่ นใหญ่ และ อำเภอกะทู้ เป็นชาวไทย จีน อาศยั
และยังเป็นการร่วมสืบสานใหอ้ าหารท้องถิ่นภูเก็ตไม่สูญ อย่เู นอ่ื งจากเปน็ พ้ืนทเ่ี หมืองแรแ่ ละมีประวัตศิ าสตร์เก่ียวกับเทศกาลกิน
หายและมีการสบื ทอดจากรุ่นสรู่ นุ่ ผักของจงั หวัดภเู กต็ โดยในเลม่ จะประกอบไปด้วย 15 เมนู ไดแ้ ก่ อำเภอ
ถลาง (สม้ ตำถลาง ตม้ ส้มสมพรม เกลือเคย น้ำชบุ ตา่ งๆ เตา้ ก้ัวจี่ และ
ขนมโค ) อำเภอเมือง (เบือทอด อาจาด หมี่ผัดฮกเกีย้ น อะหนึ่งหยนิ
โรตมี สั มน่ั และโอตา้ ว) อำเภอกะทู้ (อวิ่ ปึง่ อาโป้ง) โดยมีเนือ้ หาประกอบ
ไปด้วยเรื่องเล่าอาหารแต่ละจาน วิธีทำ เครื่องปรุง เป็นต้น ซึ่งผู้อ่าน
สามารถเรยี นรู้และนำไปลองทำ อกี ทง้ั ยังสามารถนำเร่ืองเล่าไปเล่าต่อ
ได้ อันจะเป็นการสืบสานวัฒนธรรมอาหารท้องถิน่ ต่อไป โดยวางแผน
เผยแพร่สื่อทั้ง 3 ประเภท ผ่านช่องทางมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
พิพิธภัณฑ์เพอรานากัน มิวเซี่ยมภูเก็ต ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
เทศบาลนครภูเก็ต กระจายองค์ความรู้สู่บุคคลภายนอก ประชาชน
ผ้สู นใจ
โอวตา้ ว (O-Taw)
ภาพ : ร้านหม่สี ะปำ
3
ขนมอาโปง๊ (หรืออาจอ่านว่า อาโปง หรอื อาโป้ง) เปน็ ขนมพื้นเมืองเล่ืองช่อื ของ
จังหวัดภูเก็ต เดิมทีขนมอาโป้งเป็นขนมพื้นเมืองของชาวมาเลเซีย ซึ่งเรียกกันว่า
‘ขนมเบอ้ื ง’ และตอ่ มาได้เขา้ มาแพร่หลายในจงั หวัดภเู กต็ เนอื่ งจากชาวมาเลเซียปีนัง
ได้ย้าย เข้ามาอยู่ภูเก็ต ขนมอาโป้งจึงกลายมาเป็นขนมพื้นเมืองภูเก็ตด้วยเช่นกัน
ขนมอาโปง้ มหี น้าตาคล้ายขนมถังแตก นอกจากจะเรยี ก อาโป้งแล้ว ส่วนใหญ่รู้จัก
ในชื่อ ขนมเบอ้ื งมาเลย์
ชาวภูเก็ตนิยมรับประทานคู่กับชา
กาแฟ ตอนเชา้ หรือตอนบา่ ย อาโปง้ เป็นขนม
ที่ทานเพ่ือใหอ้ ยทู่ อ้ งดบั ความหิว เป็นอาหาร
ว่างง่ายๆอย่างหนึ่ง ซึ่งทำจากแป้งข้าวเจ้า
น้ำตาลทราย ไข่ไก่ เอาแต่ไข่แดง น้ำ น้ำกะทิ
และยสี ต์ผสมกันไดน้ ำ้ แป้งพักไว้ เวลาที่ จะ
ทาน ต้องราดบนกระทะหลุมใบเล็ก กลิ้งน้ำ
แป้งให้เป็นแผ่นกลมทั่วกระทะ ทิ้งไว้บนเตา
อ้งั โล่ ควบคมุ ไฟปานกลาง ปิดฝาท้ิงไว้ สัก
พกั พอเหลืองลอกออกมาม้วนต้ังทิ้งไว้ แป้ง
แผ่นจะมว้ นกลมอยู่ตัวกรอบแตต่ รงกลางน่มุ
อิ่วปึ่ง คือ ข้าวเหนียวผัดกับกุ้งแห้ง ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวและดำ แบบจีน
ฮกเกยี้ น โรยหนา้ ดว้ ยหมแู ดงและหอมเจยี ว มีไขต่ ม้ เป็นเครื่องเคยี ง
อ่วิ ปึ่ง ไม่ใชแ่ คข่ องวา่ งเท่าน้ัน ยังเป็นหนึง่ ในขนมท่ีใชใ้ นพิธีม่ัวโง้ยของชาวภูเก็ต
เชื้อสายจีน หรือการทำพิธีครบเดอื น ชาวภูเก็ตทม่ี ลี ูกเพงิ่ เกิดครบเดอื น พ่อแม่
จะพาเด็กไปทำพิธีไหว้พระที่ศาลเจ้า ด้วยขนมอิ่วปึ่ง ฮวดโก้ย และ ขนมอังกู้
เพื่อขอบคุณเทพเจ้าที่ช่วยประธานเด็กมาให้ พร้อมทั้งขอพรช่วยให้เด็กมี
สุขภาพร่างกายทแ่ี ขง็ แรง สมบูรณ์ และใหป้ ลอดภัยจากภยันตอ์ นั ตรายทัง้ ปวง
เกลอื เคย 4
ภาพ : ร้านของฝากพรทพิ ยภ์ ูเก็ต
เกลือเคย เป็นอาหารพื้นเมืองของภูเก็ตอย่างหน่ึง
รสชาติและหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับน้ำปลาหวาน ปรุง
รสด้วยกะปิ น้ำตาลทราย ซีอิ้วดำ กุ้งแห้ง หรือปลาชิง้ ชา้ ง
น้ำ และพริกขี้หนูสด ใช้รับประทานกับผลไม้ทีมีรสเปรี้ยว
ต่างๆ จำพวกสัปปะรดภูเกต็ ส้มโอ มะม่วง ชมพู่ เลือดหมู
ตม้ สุก และแตงกวา
เวลารับประทาน เพียงแค่ราดน้ำเกลือเคยลงบนผลไม้
แตงกวา เลือดหมตู ้มสกุ ที่หน่ั เปน็ ช้นิ เล็ก ๆ ที่เตรียมไว้ หรือ
อาจนำผลไม้ไปจม้ิ ทานแบบนำ้ ปลาหวานก็ได้
น้ำชุบคั่ว ก็คือน้ำพริกที่ต้องผ่านการผัดหรือคั่ว เป็น
น้ำพริกแบบแห้ง ส่วนผสมประกอบด้วย กุ้งแห้ง เคย หัว
หอม กระเทียม พริกแห้งใหญ่ ปรุงรสด้วยมะขามเปียก
มะนาว และน้ำตาล และอาจจะเพิ่มเติมกากหมูลงไปด้วย
เพื่อให้เคี้ยวกรุบหนุบหนับ ขั้นตอนการทำน้ำชุบคั่วต้อง
โขลกเครื่องทั้งหมดให้ละเอียดก่อน แล้วจึงนำลงไปผัดใน
กระทะตั้งไฟอ่อนๆ ผัดกับน้ำมันให้เครื่องเหนียวและหอม
ค่อยๆ เติมมะขามเปียก เคล้ากันจนเครือ่ งแห้งดี บีบมะนาว
เพมิ่ ความหอม น้ำชบุ ค่วั รสเปรย้ี ว หวาน เคม็ กลมกลอ่ มไม่
เนน้ จี๊ดจา๊ ด เป็นน้ำชบุ ท่เี ก็บไว้กินไดห้ ลายวันจึงเป็นออพชั่น
ทตี่ ้องมีตดิ บ้านตดิ ตเู้ ย็น เป็นตวั ช่วยยามหิวไดเ้ ปน็ อย่างดี
น้ำชุบหยำ แปลตรงตัวว่า น้ำพริกขยำ ก็คือน้ำพริกที่นำ
ส่วนผสมทุกอย่างมาขยำๆๆ รวมกันนั่นเอง ส่วนผสมของน้ำชุบ
หยำ ประกอบด้วย เคย หรือกะปิ หัวหอม พริก ซอยละเอียด กงุ้ ต้ม
หรือเนื้อปลาตม้ หรือย่าง หรือปลาชิ้งช้าง หั่นชิ้นเล็กๆ มะนาว ซึ่ง
อาจจะใช้ส้มจี๊ดที่คนภูเก็ตเรียกส้มเกต็ หล้า หรือระกำให้รสเปรี้ยว
แทนได้ เริ่มต้นนำเคยไปเผาให้หอมแล้วมาบี้ให้แหลก จากนั้นนำ
สว่ นผสมค่อยๆ ทยอยขยำรวมกนั แล้วใส่นำ้ ต้มสกุ หรอื นำ้ ตม้ กุ้งลง
ไปพอท่วม คลุกเคล้าจนทุกอย่างเข้ากันดี เพื่อสุขอนามัยแม่ครวั
ควรล้างมือใหส้ ะอาดก่อนนะจ๊ะ ถ้าชอบหวานเติมนำ้ ตาลเล็กน้อย
หรอื ชอบเผด็ มาก เปรี้ยวมากก็จัดไปตามใจชอบ นำ้ ชบุ หยำทำง่าย
กินกับกับข้าวพืน้ เมอื งภูเก็ตไดห้ ลากหลาย
ขา้ วหลามหนิ ร่ยุ
6
เรอื่ งโดย : สาขาวชิ านเิ ทศศาสตร์ คณะวิทยาการจดั การ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ภูเก็ต
“ชุมชนหินรุ่ย” เป็นชุมชนเล็ก ๆ ในอำเภอถลาง “เสียดายนะ ถ้าวันที่ลุงตายไปแล้วไม่มีคนทำต่อ เพราะ
ข้าวหลามเราทำมานานแล้วได้เลี้ยงลูกจนเติบโตก็เพราะ
จังหวดั ภเู กต็ ที่มปี ระชากรไม่หนาแน่น มวี ถิ ชี ีวิตท่ีเรียบง่าย ข้าวหลาอยู่ ๆ ถา้ สง่ิ เหลา่ น้ีหายไปจากชุมชน ก็นา่ ใจหายนะ
แต่ชุมชนเล็ก ๆ แห่งนี้มีชื่อเสียง ที่ใครผ่านไปผ่านมาใน ถ้ามหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เข้ามาช่วยตรงนี้ ลุงว่ามัน
จังหวัดภูเก็ตก็ต้องแวะซื้อสินค้าขึ้นชื่อของทางชุมชน จน เป็นประโยชน์มาก ๆ” คุณลุงเทือกเล่าด้วยแววตาที่เปี่ยม
สินค้านั้นกลายเป็นสินค้า OTOP ที่สร้างรายได้เป็นกอบ ด้วยความหวัง ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาชุมชน
เป็นกำให้กับชาวบ้านหนิ รุย่ นัน้ กค็ ือ “ข้าวหลามหนิ ร่ยุ ” นักศึกษาสาขานิเทศศาสตร์จึงได้เข้ามาเรียนรู้จากคุณลงุ
ใครจะไปนึกว่าสินค้าที่สร้างช่ือเสียงและรายได้ให้กบั ชุมชน เทอื ก ตั้งแต่เท่ยี งคนื จนถงึ เชา้ ของวนั ใหม่ ถือเป็นจุดเร่ิมต้น
ภายใต้การสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำเหล่านั้นจะซ่อนไป ที่ดีในจดบันทึกภูมิปัญญาของชุมชนหินรุ่ย และสานต่อ
ดว้ ยความกังวลของผทู้ ำข้าวหลาม ความตั้งใจของชาวบ้านที่จะเก็บรักษาไม่ให้ภมู ปิ ญั ญาการ
ทำข้าวหลามจางหายไปและยังคงอยู่ค่กู ับชุมชนหินรยุ่ สบื ไป
คณุ ลุงเทือก สภุ าพ ศรีเพชรพลู ผปู้ ระกอบอาชีพ
ทำข้าวหลามหินรุ่ย ได้เล่าว่า “ ข้าวหลามหินรุ่ย สร้าง
รายได้ดีก็จริง แต่เด็กสมัยนี้เขาไม่สนใจ เหลือแต่คนแก่ ๆ
ไม่กี่คนในชุมชนที่ทำกันอยู่ ถ้าคนรุ่นลุงตายไป ก็ไม่มีใคร
ทำแลว้ ” จากคำบอกเลา่ ของลุงเทือกสะทอ้ นให้เห็นว่า ส่ิงที่
จะทำใหข้ า้ วหลามหนิ รุ่ยคงอยกู่ ับชุมชน คอื การสร้างความ
ตระหนักให้แกเ่ ยาวชนเห็นคุณค่าในสิ่งทีช่ มุ ชนของตนมีอยู่
จึงจะทำใหข้ า้ วหลามหินรุ่นอย่คู ู่กับชมุ ชนหินรยุ่ อยา่ งยัง่ ยนื
ชือ่ หนิ รยุ่ เพราะดินร่วน 7
ขึ้นชื่อว่า จังหวัดภูเก็ต ไม่ว่าจะเป็นซอกซอยไหน วตั ถดุ บิ ลบั สู่ความอร่อย
จะต้องมีแหล่งกินแหลง่ เที่ยวที่น่าสนใจ และมีชื่อแปลก ๆ ให้
สงสัยถึงทมี่ าอยเู่ สมอ ลุงเทือกเผยถึงวัตถุดบิ ลับที่สำคัญเพื่อทำให้ข้าวหลามหนิ
ชื่อ "บ้านหินรุ่ย "ก็เป็นหนึ่งในนั้น นักท่องเที่ยวคงไม่ค่อย รยุ่ อร่อยน่ารับประทาน ซ่งึ ใชว้ ัตถุดิบหลักง่าย ๆ ดงั นี้
คุ้นหูสักเท่าไหร่ แต่หมู่บ้านแห่งนี้มีความพิเศษอยู่ที่เป็น 1.ข้าวเหนยี ว กข. หรือข้าวตราฉตั ร สองอย่างนี้ ทำให้ข้าว
แหล่งผลิตข้าวหลามขึ้นชื่อ ซึ่งคงเอกลักษณ์โดดเด่นที่มีท่ี หลามนา่ รับประทานขน้ึ บางยหี่ ้อเคยใชม้ าแล้ว มักจะทานไม่
ภเู กต็ ท่ีเดียว อรอ่ ยกลมกลอ่ ม ในทีส่ ุดลงุ เทอื กจงึ เลือกท่จี ะใช้ ข้าวเหนียว
กข. หรอื ขา้ วตราฉตั ร
คำว่า “รุ่ย” เป็นภาษาท้องถิ่นของคนภูเก็ต หาก
ภาษากลางจะเรียกวา่ “ร่วน” 2. หางกะทิ ตอ้ งเป็นหางกะทิสด ไม่ควรซ้ือแบบสำเรจ็ รูปมา
ใส่ เพราะหางกะทิคั้นสดจะให้ความหวาน และความกลม
เมื่อก่อนในช่วงท่ีชาวบา้ นได้เข้ามาอยู่ใหม่ ๆ และได้ กล่อมดีกวา่ แบบสำเร็จรูป
มีการต้ังถิ่นฐานปรากฏวา่ ใช้จอบหรือเสียมขุดเข้าไปลงใน 3.หัวกะทิ ต้องเลือกหัวกะทิสด เพือ่ เพิ่มความมันอรอ่ ยให้
ดนิ แค่เพยี งไม่กเ่ี มตรก็ทำให้ดินร่วนได้งา่ ยดายแบบไม่ต้อง กับขา้ วหลาม
ออกแรง ทำให้คนแถวนั้นแปลกใจกับลักษณะของดินที่ 4. เกลอื ชรู สชาตใิ ห้กลมกล่อม ความเคม็ ของเกลือจะช่วย
แตกต่างจากที่อื่น เพราะโดยปกติสภาพดินของจังหวัด ให้ข้าวหลามมีความเค็มนิด ๆ อรอ่ ยกลมกลอ่ ม
ภูเก็ตจะเป็นก้อนกรวดและศิลาแลงที่มลี ักษณะแข็ง จึงเปน็
ที่มาของ คำว่า บ้านหินรุย่ เนื่องจากลักษณะดินที่ร่วนซยุ
นน่ั เอง
กำเนดิ หลามหินรยุ่
" ข้าวหลาม "มักเป็นของกินเล่นยามบ่ายของชาว
ภูเก็ตในอดตี กินกับโกป้ี กาแฟพน้ื เมอื งภเู กต็ อาม่าอากงถูก
อกถูกใจเพราะนุ่มหนึบหนับ เคี้ยวง่าย ทั้งอิม่ ทัง้ อร่อย จนใน
ปัจจุบนั ข้าวหลามหินรุ่ย กลายมาเปน็ สนิ ค้า หนึ่งตำบล หนึ่ง
ผลิตภัณฑ์ของภเู ก็ต
คุณลงุ เทือก สุภาพ ศรเี พชรพูล ผปู้ ระกอบอาชพี ทำ
ข้าวหลามบ้านหินรุ่ยเล่าให้ฟังว่า บ้านหินรุ่ยเป็นแหล่งผลิต
ข้าวหลามมานานแลว้ ประมานร้อย ๆ ปี ตงั้ แต่รนุ่ ปยู่ า่ ตายาย
รุ่นพ่อแม่ จนมาถงึ ร่นุ ลูก แตจ่ ะอยใู่ นแบบท่ตี า่ งคนตา่ งทำขาย
ในอดีตคนในชมุ ชนมากกว่า 30 บ้านได้ทำขา้ วหลาม
หินรุ่ย ตอนนี้เหลือเพียง 5 บ้านที่ยังคงทำข้าวหลามหินรุ่ย
จำหนา่ ยอยู่
8
สูตรตน้ ตำรับความอรอ่ ย
5.น้ำตาลทราย เป็นสิ่งที่สำคัญรองลงมาจาก เกลือ และ จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของขา้ วหลามหินรุ่ย อยู่ท่ี
กะทิ ทำใหข้ ้าวหลามมรี สชาตหิ วานอรอ่ ย
“ การจะใสน่ ้ำตาลทราย ตามสูตรของข้าวหลามหนิ รุ่ย จะ การนำเอาขา้ วเหนียวไปผสมกบั เครอ่ื งปรงุ ไมว่ า่ จะเปน็ กะทิ
ไม่เน้นความหวานมาก จะเน้นความมันของกะทิ จึงจะเติม
น้ำตาลทรายไม่มากนัก เพราะหากหวานมากเกินไป ข้าว น้ำตาล เกลือ แล้วนำมาบรรจุในกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นก็
หลามรสชาติจะเสยี ไม่สามารถแก้รสชาติได้ หากคนที่ชอบ
ทานแบบหวานก็สามารถทานข้าวหลามแบบจิ้มน้ำตาลได้ นำมาหลามกบั ไฟจนข้าวเหนยี วในกระบอกสุกส่งกลิ่นหอม
เช่นกัน ”
เยา้ ยวน กินร้อนๆ ตอนอากาศเย็นๆ ทำให้อนุ่ ร่างกายไปใน
6.ไม้ไผ่สีสุก พบมากในจังหวัดภูเก็ต ความยาวลำต้นสูง
10-18 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 8-12เซนตเิ มตร แข็ง ผิว ตัว
เรียบเป็นมนั ข้อไม่พองออกมา ลำไผ่มีรูกลวง และมีเยื่อไผ่
หมุ้ เมือ่ นำมาทำขา้ วหลาม แต่ความอรอ่ ยพเิ ศษยิ่งไปกว่าน้ัน คงอยู่ที่สูตรและ
“เมื่อนำข้าวหลามมาเผาแล้ว ข้าวหลามจะสุกเสมอกันทั้ง
กระบอก มีกลิ่นหอมของไผ่ ข้าวไม่แฉะ แต่นิ่มเหนียว จะมี เคล็ดลับของแตล่ ะคน คุณลุงเทือกเน้นถึงความสะอาด และ
เยือ่ ไผ่ท่ที ำให้ขา้ วเหนยี วไมต่ ิดมอื เวลาทาน”
7. เปลือกมะพร้าว ทำให้กลิ่นของข้าวหลามเมือ่ เผาแล้วจะ ไดค้ ดั สรรวัตถุดิบท่ีนำมาผสมอยา่ งพถิ พี ถิ ัน เคล็ดลับของ
หอมมากย่ิงขึ้น และนำมาอดุ ปากกระบอกขา้ วหลามเพอื่ ทำ
ให้น้ำกะทิที่กำลังเดอื ดไม่ลน้ ออกมานอกกระบอก ส่วนผสมที่ทำให้ข้าวหลามหินรุ่ย อร่อยไม่เหมือนใคร มา
8.ใบตอง จะต้องเป็นใบตองที่เช็ดจนสะอาด เพราะจะต้อง
นำมาอุดปากกระบอกข้าวหลามเพ่ือไม่ใหน้ ้ำกะทลิ ้นออกมา จากการ ชั่ง ตวง วัด มาอย่างดี ได้แก่
นอกกระบอกเชน่ เดยี วกับเปลอื กมะพร้าวและอีกหน้าที่ของ
ใบตองคือการรองเปลือกมะพร้าว เพื่อไม่ให้กากมะพร้าว ข้าวเหนยี ว 24 กิโลกรัม นำ้ ตาล 3 กิโลกรมั
ตกลงไปในข้าวเหนยี ว
เกลอื 1ขดี 3 ถุง น้ำกะทิ 5-6 กิโลกรัม
เคล็ดลับสำคัญที่สุดคือ หัวกะทิต้องน้อยกว่าหาง
กะทิโดยมสี ดั ส่วนเปน็ 1/3 ของนำ้ กะทิ 1 กโิ ลกรัม เพราะจะ
ทำใหข้ า้ วเหนยี วไมส่ ุก และนำ้ กะทิแตกมนั ได้
ข้าวหลามหนิ รุ่ย มีสองสูตรคือ “สูตรเหนียวขาว”
และ “สตู รเหนียวดำ” ความแตกต่างอยูต่ รงที่ ต้องผสมขา้ ว
เหนยี วขาวลงไปในสูตรเหนียวดำดว้ ย เพราะข้าวเหนียวดำ
จะมีความแข็งและต้องใสน่ ้ำกะทเิ พม่ิ มากขนึ้
“สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ห้ามลืมใส่เกลือ เพราะจะทำให้
ขาดรสชาติ และ สว่ นของนำ้ กะทิ ต้องใสต่ อนอุ่นๆ เพราะจะ
ทำให้กะทิจับตัวแข็งเป็นมัน” คุณลุงเทือกเล่าพลางปรุงรส
ขา้ วหลามพลาง
ในแต่ละขั้นตอนต่างก็ทำกันอย่างพิถีพิถัน ทั้งการ
ต้งั ไฟใส่น้ำกะทปิ รุงตามสูตร การกรอกข้าวเหนยี ว รินกะทิ
ใส่กระบอกไม้ไผ่ ต้องใช้ความชำนาญและความใส่ใจ จึงทำ
ใหข้ ้าวหลามหนิ รุ่ย มคี วามอร่อยจนคนภเู ก็ตตดิ ใจ
พถิ ีพิถันความอรอ่ ยเปน็ เน้ือเดยี ว 9
ความพิถีพิถันเป็นสิ่งสำคัญในการทำอาหารและขนม
มาถึงตรงน้ลี งุ เทอื กและคณุ ลุงคณุ ป้าต่างทำงาน พรอ้ มเล่า
ต้องมีความละเอียด ประณีตตั้งใจ อย่างข้าวหลามก็มี ว่า “ทุกคนภายในบ้านตื่นกันตั้งแต่ 5 ทุ่มครึ่ง เพื่อมาอุ่น
ความพิถีพิถันในการปรุงแต่ง เพื่อได้รสชาติอันเป็น น้ำกะทิ แล้วนำเอาขา้ วเหนียวทั้งเหนียวขาวและดำ มาใส่ใน
เดียวกัน ซึ่งจะตอ้ งมีการเตรียมวัตถุดิบด้วยความใส่ใจทุก ปล้องไม้ไผ่ที่เตรยี มไว้ ใส่จนครบแล้วนำน้ำกะทพิ ออุ่นเทใส่
ขน้ั ตอน ลงไป เทใสพ่ อดี ๆ เหมอื นเราหุงขา้ ว
“ในแต่ละวันจะต้องเตรียมของหลายอย่าง เช่น “ถา้ ใสม่ ากขา้ วจะเปยี ก ใสน่ อ้ ยขา้ วไมส่ กุ การทำขา้ วหลาม
เตรียมไม้ไผ่กันตั้งแต่ตอนกลับมาจากขายข้าวหลาม แต่ละ เราจะตอ้ งดตู งั้ แตก่ ารใสข่ า้ วเหนยี วลงในปลอ้ งไมไ้ ผ่ การเท
วนั นอนกนั แค่ 3 ชั่วโมงครึ่ง” ลงุ เทือกเล่าใหฟ้ ัง นำ้ กะทใิ สล่ งไป แลว้ ปดิ จกุ เอาไว้ โดยการใชก้ ากมะพรา้ วหอ่
ใบตองจกุ ไวใ้ หแ้ นน่ ไมใ่ หห้ ลดุ จากนน้ั นำไปเผา ซง่ึ การเผา
บรรยากาศตอนสายแดดอุ่นสบายคุณลุงคุณป้า จะตอ้ งใชเ้ วลา 1 ชว่ั โมงครงึ่ และทสี่ ำคญั คือ อณุ หภมู ขิ อง
นั่งกันตัดไม้ไผ่ให้เป็นปล้องขนาดพอดี ไม่สูงและไม่สั้น ไฟจะตอ้ งเทา่ กนั อยเู่ สมอ ขา้ วหลามถงึ จะสกุ เนอื้ ขา้ งในกจ็ ะ
จนเกินไป ให้มีขนาดสวยงามพกพาได้ง่าย และช่วยให้ข้าว
หลามทใ่ี สใ่ นปลอ้ งไม้ไผส่ วยงาม นม่ิ เหมาะกบั การกนิ ”
ทุกคนต่างกันทำภารกิจภายในบ้าน ซักผ้า ล้าง ฟ้าเริ่มสว่าง เสียงไก่ขัน ลมพัดเย็นสบาย คุณลุงคุณป้า
จาน แล้วนอนดูโทรทัศน์แบบสบาย ๆ ผ่อนคลายเพื่อให้ ต่างกันเตรยี มอุปกรณ์ในการ ลิด จิก เหลา เปน็ การเตรียม
ร่างกายได้มีแรงขึ้น ไม่นานคุณลุงคุณป้าก็นำข้าวเหนยี วท่ี ขน้ั ตอนสดุ ทา้ ย ก่อนนำไปขายตามตลาด
ได้มาทำการลา้ งให้สะอาด ทั้งขา้ วเหนียวขาวและข้าวเหนียว “หลังจากเผาเสรจ็ ก็มีขน้ั ตอนการ ลดิ จิก เหลา ทสี่ ำคัญไม่
ดำ แพก้ ับการผสมนำ้ กะทิ เราตอ้ งทำอยา่ งประณตี เพื่อให้ขา้ ว
หลามที่พวกเราได้กินกันออกมาสวยงาม และแกะกินได้
ในทุกเชา้ ทุกคนต่างชว่ ยกันทำขา้ วเหนียวท้งั หมด ง่าย” ลุงเทือกเล่าให้ฟังอย่างตั้งใจและใส่ใจ กว่าจะมาเป็น
24 กิโลกรัม โดยเน้นข้าวเหนียวขาวจำนวนมากกว่าข้าว ข้าวหลามอยา่ งท่เี ราได้กนิ กัน บ้านของลุงเทอื ก ท่ีชุมชนหิน
เหนียวดำ รุ่ยเขาทำข้าวหลามอยา่ งประณตี พิถพี ถิ นั และต้ังใจกับทุก
ขั้นตอน เพื่อใหท้ ุกคนได้กนิ กนั อย่างอรอ่ ย
“คนแถวนี้เขาชอบกินเหนียวขาวมากกว่า ล้างสะอาดแล้ว ดังนั้น หากซือ้ ข้าวหลามครั้งตอ่ ไป ขอให้คิดถงึ ว่า กว่าจะ
นำไปพกั ไว้เป็นเวลา 1 ชัว่ โมง ก่อนนำไปใส่ในปล้องไมไ้ ผ่” มาเป็นข้าวหลามน้ันไม่ง่าย อย่าต่อราคากับความอร่อยที่
ผ่านความประณีตและใสใ่ จน้กี ันเลย
ตอนเวลาคำ่ บรรยากาศเย็นนา่ นอน บางคนหลับ
กันสบาย แต่คุณลุงคุณป้าที่บ้านนี้กำลังเตรียมน้ำกะทิท่ี
ผสม น้ำตาล เกลือ นำ้ กะทสิ ดและหางกะทิ เพือ่ เทใสใ่ นปลอ้ ง
ไมไ้ ผท่ ใี่ สข่ า้ วเหนียวเอาไว้แลว้
“การทำน้ำกะทิจะต้องใส่ใจเข้าไป เพราะถ้าเราไม่
พิถีพิถันกับมัน หรือใส่ใจในการทำ รสชาติจะไม่อร่อย และ
สิ่งสำคญั ในการผสมกะทิ อย่าลมื เกลอื ลืมนำ้ ตาลลืมได้ แต่
อย่าลืมเกลอื จะทำใหร้ สชาติไมอ่ ร่อย”
ตี 1 ครึ่ง เป็นเวลาที่สบายที่สุดต่อการนอนมาก
อากาศเย็นและบรรยากาศรอบตวั เงียบสงัด แต่คุณลุงคุณ
ป้าตอ้ งเร่งทำข้าวหลามท่ีมีขน้ั ตอนมากมาย
10
การหลามหรอื การเผา
การหลามในทน่ี ้ี หมายถงึ การหุงข้าวด้วยกระบอกไม้ไผ่ตามสมัยโบราณ การวางไมต้ ้องวางล้อมรอบข้าว
ซึ่งเป็นการหลามหรอื เผานั้น หลายคนอาจคดิ ว่าเป็นเพียงการจดุ ไฟเผา หลามให้ได้ระยะเสมอกัน เริ่มจุดไฟเผาที
ใหไ้ หมก้ พ็ อ แตค่ วามเป็นจริงแล้ว การเผานัน้ ถอื เป็นข้ันตอนหนงึ่ ท่ยี ากและ ละจุดเว้นระยะห่างที่เท่ากนั เพื่อให้ไฟไหม้
ต้องอาศัยความชำนาญเพอื่ ใหข้ ้าวสกุ พอดี พร้อมกันอย่างสมำ่ เสมอ เมื่อไฟเริม่ ไหม้
เศษไม้หมด ก็คอยเติมเศษไม้เรื่อยๆ และ
การเผาเริ่มจากการเรียงกระบอกข้าวหลามให้เป็นแถวเว้นระยะห่าง ในขณะที่เผาจะต้องคอยควบคุมเปลวไฟ
ประมาณ 4 เซนติเมตรเท่า ๆ กัน และเคล็ดลับความอร่อยจากการหลาม โดยใหเ้ ปลวไฟนั้นหันเอนเข้าหาข้าวหลาม
นั้น คือการเผาขา้ วหลามกบั ถา่ นไม้ ซ่งึ ได้จากการปอกกระบอกไม้ไผ่ แล้ว เท่านั้น มิฉะนั้นแล้ว ข้าวหลามก็จะไม่สุก
นำเศษของเปลอื กไมไ้ ผ่มาเป็นฟนื หรอื เชอ้ื เพลิง ซึง่ สามารถชว่ ยลดตน้ ทุน ทั่วกัน โดยเฉพาะเวลา ฝนตกหรือลมพัด
ในการเผาไดอ้ กี ดว้ ย แรงก็จะย่งิ ทำใหก้ ารเผาขา้ วหลามนัน้ ยาก
ต่อการควบคุมขึ้นไปอีก เพราะต้องให้
ความร้อนเทา่ ๆ กัน
ในการเผาจะต้องใช้เวลา
ประมาณ 1-2 ชวั่ โมงในการเผาใหส้ ุก หรอื
สังเกตจากน้ำกะทินั้นแห้งสนิท สีไม้ไผ่ว่า
กลายเปน็ สีเหลอื งแลว้ หมนุ อีกดา้ น เพื่อให้
กระบอกข้าวหลามเหลืองทั่ว ทิ้งไว้ให้อุ่น
แล้วค่อยปอกเปลือกก็จะได้ข้าวหลามที่
สุก และเหลาให้เปลือกข้าวหลามบางลง
เพื่อใหแ้ กะรับประทานได้ง่าย
11
เบ้ืองหลังขา้ วหลามทีเ่ ราเหน็ กันชนิ ตา มีกรรมวิธี ข้าวหลาม หรือ “เหนียวหลาม” ของคนภาคใต้มี
การทำหลายขั้นตอน กว่าจะออกมาเป็นกระบอกข้าว กรรมวิธใี นการทำท่แี ตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ ขา้ วหลาม
หลามไม้ไผ่ที่เอามาใส่ข้าวเหนียว แล้วนำมาหลามกับไฟ หินรุ่ยของจังหวัดภูเก็ตนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่นที่มี
ส่งกินหอมเย้ายวน รสชาตหิ อมมันกลมกลอ่ ม และข้าวหลามหินร่ยุ ทค่ี นภูเกต็ คุน้ เคย
ดี ก็คอื ขา้ วหลามเบอร์ 13 ของลงุ เทอื กนั่นเอง
เมื่อเดินไปหลังร้านก็เห็นได้ว่า คุณลุง 3 คน
ต่างขมักเขม้น ก้มหน้าจดจอ่ อย่างตั้งใจ แต่ละคนต่างทำ ตงั้ แตต่ ะวนั ยังไมข่ นึ้ ลุงเทอื กก็ลุกขน้ึ มาเตรยี มขา้ วหลาม
หน้าที่ที่แตกต่างกัน ต้องใช้ความเชี่ยวชาญและชำนาญ พร้อมด้วยลูกมืออีก 2 คน ราวแปดโมงเช้า ลุงเทือกพร้อม
จากประสบการณ์โดยตรง มอเตอร์ไซค์ที่มีตะกร้าใส่เหนียวหลามตีตราเบอร์ 13 ออกจาก
บ้านไปยังแหล่งขาย สถานที่ประจำคือ ตลาดสดบ้านเคียน แต่
คนแรกทำหนา้ ที่ ‘ลิด’ ใช้มีดพรา้ คมกริบ ลิดเอา บางวันก็ปักหลักแถวหน้าโรงพยาบาลถลาง หรือเข้ามาขายใน
ผวิ ไม่ไผอ่ อกจนเหน็ กระบอกเป็นสีขาว เขตเมืองภูเก็ตและในมหาวทิ ยาลัยราชภัฏภูเกต็
คนทส่ี องทำหน้าท่ี ‘จกิ ’ ใชม้ ีดพร้าจิกเอาเปลือก “ว ั น น ี ้ จ ะ ไ ป ข า ย ท ี ่ แ ถ ว ใ น เ ม ื อ ง ต ร งข ้ าม โ ร งพ ย าบาล
กระบอกเหนียวหลามบางลงอกี กรุงเทพมีลูกค้าประจำรออยู่” ลงุ เทือกเล่าพลางรีบจัดข้าวหลาม
จนเต็มตะกรา้
คนสุดท้ายทำหน้าท่ี ‘เหลา’ ทำใหบ้ าง และผิวรอบ
กระบอกเรียบ พร้อมตัดจุกที่อุดไวต้ ัดก้นกระบอกเหนียว ขา้ วหลามหนิ รยุ่ ความอรอ่ ยทไี่ ดม้ าจากความตงั้ ใจ
หลามใหส้ วยงาม จากการเปลี่ยนแปลงไปของสภาพสังคม ประกอบกับ
“การเหลาให้บางนี้เป็นภูมิปัญญาที่ทำให้คนกิน ความยุ่งยากในขั้นตอนการผลิต รวมถึงต้นไผ่ที่นำมาทำข้าว
ใช้มือ ดึงเนื้อไม้ไผ่ตามความยาวรอบกระบอก และดึง หลามหายากมากขน้ึ ปญั หาเหล่านี้ส่งผลใหใ้ นอนาคต ขา้ วหลาม
เหนียวหลามออกมา หากกนิ ไมห่ มดทง้ั กระบอก ขมวดไม้ ท่ีขนึ้ ชื่ออาจไร้ผสู้ ืบทอด
ไผ่เข้าหากนั เอายางวงรดั ” คณุ ลุงท่ีกำลังเหลากระบอกไม้
ไผ่ เล่าให้เราฟงั อย่างอารมณด์ ี ลุงเทือกพดู ใหฟ้ งั ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ วา่ “ตอนน้ีไม้ไผ่
ก็หายาก ขึ้นทุกวัน แต่ลุงขายข้าวหลามหินรุ่ยมานาน ก็ยังคง
เห็นแบบนี้แล้วเข้าใจเลยว่า กว่าจะได้ขา้ วเหนียว อยากรกั ษาภมู ปิ ัญญาน้ีไว้ ไมอ่ ยากให้สญู หายไปจากชุมชนของ
หลามพร้อมทานสักหนึง่ กระบอก ต้องใช้เวลาในการทำ เรา”
และมีวิธีการทำหลายขั้นตอน นอกจากจะได้ลิ้มรสชาติ
หวาน หอม มันของขา้ วเหนียวหลามแลว้ ยังไดก้ ระบอกไม้ แม้ไม่รู้ว่าอนาคตขา้ งหนา้ จะมผี ูส้ ืบทอดภูมิปญั ญาขา้ ว
ไผเ่ ปน็ ของแถม ท่ผี า่ นขั้นตอนการทำอย่างประณีต หลามหินรุ่ยตอ่ ไปหรอื ไม่ก็ตาม ลุงเทือกก็ยงั จะทำข้าวหลามหนิ
ร่ยุ ตอ่ ไป เพื่อรอส่งตอ่ องค์ความรนู้ ี้ให้กับลกู หลานของชุมชนสัก
คนทเ่ี ห็นค่าต่อไป
12
1.ไม้ไผท่ ี่ใช้จะต้องเป็นไม้ไผส่ ีสุกเทา่ น้นั เพราะความพเิ ศษด้านในจะ
มีเยื่อทำให้ข้าวหลามปอกง่าย ดูน่ารับประทาน และอายุของไผ่สีสุกที่
นำมาใช้ตอ้ งมอี ายุ 1 ปีขน้ึ ไป
2. ส่วนผสมสำคัญที่เป็นพระเอก เรียกว่าขาดไม่ได้เลยคือ เกลือ
ถา้ ใส่แค่น้ำตาลเพยี งอย่างเดียว โดยไม่ผสมความกลมกล่อมของเกลือ จะ
ทำให้ข้าวหลามมรี สชาติจืด ไมอ่ รอ่ ยน่าลม้ิ ลอง
3. น้ำกะทิทีอ่ ร่อยจะต้องมีความมันและสะอาด ไม่ควรนำมะพรา้ ว
อ่อนมาทำกะทิ จะทำใหน้ ้ำกะทไิ มม่ นั และไม่เขม้ ขน้
4. การใส่น้ำกะทิในข้าวหลามต้องใส่ในปริมาณที่พอดี เพราะถ้า
หากใส่น้ำกะทนิ ้อยจะทำให้ข้าวหลามดิบ และหากใสน่ ้ำกะทิมากเกนิ ไปก็จะ
ทำใหข้ า้ วหลามแฉะ
5. กากมะพร้าวที่นำมาทำจุกข้าวหลาม ต้องไม่แก่และไม่อ่อน
เกินไป ถา้ กากมะพร้าวแก่เกินไป เม่อื นำไปเผาจะทำใหข้ ้าวหลามไหม้ได้
6. ความอร่อยที่เป็นเอกลกั ษณ์ของข้าวหลามหินรุ่ยอยูท่ ่รี สชาติ
อนั กลมกลอ่ ม ท่ีผสานกนั ระหว่างรสหวาน มนั เคม็
มคั คเุ ทศกน์ ้อย
และอาหารทอ้ งถิ่นประยุกตส์ ำหรับการทอ่ งเท่ยี ว
14
แหลมพรหมเทพ
.
เนื่องจากจงั หวัดภูเก็ตเป็น 1 ใน 18 เมืองที่ได้รับ เยาวชนในท้องถ่ิน ไดร้ บั การพฒั นาและเสริมสร้างด้านองค์
การคัดเลือกจาก ยูเนสโก (UNESCO) เป็นหนึ่งในสมาชกิ ความรู้ในการเป็นมัคคเุ ทศก์น้อยท้องถิน่ เพื่อเป็นกำลังใน
เครือข่ายสร้างสรรค์ด้านวิทยาการอาหาร ซึ่งภูเก็ตมี ภาคสว่ นการท่องเทย่ี วใหก้ บั ชุมชนท้องถ่ิน อีกทงั้ ประชาชน
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรม และกลมุ่ การทอ่ งเทีย่ วในชมุ ชน มเี สน้ ทางการท่องเที่ยวที่มี
อาหารที่เกิดจากพหุสงั คม นอกจากนีอ้ าหารภูเก็ตยังเป็น ความเหมาะสมกับสถานการณใ์ นปัจจุบนั โดยมกี ารนำเอา
องค์ประกอบสำคัญในทุกเทศกาล พิธีการ ความเชื่อ วิถี อ า ห า ร ที่ เ ป ็ น อ ั ต ล ั ก ษ ณ ์ ข อ ง ช ุ ม ช น ท ้ อ ง ถ ิ ่ น ม า ป รั บ
ชีวิตในครอบครัว ตลอดจนการมีเอกลักษณแ์ ละอตั ลักษณ์ ประยกุ ต์ใชใ้ นกจิ กรรมการท่องเท่ียวของชุมชนได้
ทางด้านอาหารหลากหลายเมนู ที่เน้นการนำวัตถุดิบท่หี า
ได้จากในท้องถิ่นนำมาประกอบเป็นอาหาร โดยถ่ายทอด แผนท่จี ดุ ทอ่ งเที่ยวในชุมชน
ผา่ นคนในครอบครัวจากร่นุ สู่รุ่น
นอกจากนี้จังหวัดภูเก็ต ยังมีเชื่อเสียงด้านการ
ท่องเที่ยว โดยมีความหลากหลายทางด้านของทรัพยากร
การท่องเที่ยว และมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการ
ท่องเที่ยวที่พร้อมสำหรับให้บริการนักท่องเที่ยว และ
บุคลากรดา้ นการท่องเทีย่ วทม่ี ศี กั ยภาพทง้ั ดา้ นองคค์ วามรู้
และทักษะการปฏิบตั ิงานในการให้บริการและอำนวยความ
สะดวกใหน้ ักทอ่ งเทย่ี ว
15
เทย่ี วเก๋ไกส๋ ไตลบ์ า้ นบา้ น
โปรแกรมทัวร์
07.30 - 07.45 น. ลงทะเบียน ออกจากมหาวทิ ยาลยั ราชภัฏภเู กต็
07.45 – 08.30 น. ออกเดนิ ทางสู่บา้ นไมข้ าว
08.30 – 09.00 น. เดนิ ทางถึงชุมชนการทอ่ งเที่ยวบา้ นไมข้ าว ผู้นำชมุ ชนกล่าวต้อนรับ และ
รับประทานอาหารว่าง ซึ่งเป็นขนมพืน้ ถน่ิ ของชุมชน
09.00 – 10.00 น. กจิ กรรมการทำสปาทราย และจบั จักจนั่ ทะเล
10.00 – 10.30 น. ชมแปลงผักลิ้นห่านของชุมชน และเกบ็ ผกั ลิ้นหา่ นมาประกอบอาหาร
10.30 – 12.00 น. กิจกรรมการประกอบอาหารท้องถิน่
- จักจัน่ ทะเลทอดกระเทยี มพริกไทย
- ตม้ กะทิผักลิน้ ห่าน
- ยำผักล้นิ ห่าน
12.00 – 13.00 น. รบั ประทานอาหารกลางวนั
13.00 – 14.30 น. น่ังรถพว่ งขา้ งเยย่ี มชมจดุ เซลฟเ่ี คร่ืองบนิ ระยะประชิด
14.30 – 15.30 น. เย่ียมชมผลิตภณั ฑ์ OTOP ท้องถิ่น เช่น กะปิ กงุ้ เคย สินคา้ งานฝีมอื
15.30 – 16.30 น. เดนิ ทางกลบั โดยสวสั ดภิ าพ
16
“กิจกรรมชุมชน” จักจ่นั ทอด
หาดไม้ขาว หาดไม้ขาวเป็นชายหาดที่ยาวทีส่ ุดของจังหวดั จักจนั่ ทะเล อาหารที่สามารถรบั ประทานไดท้ ี่ภเู กต็ เทา่ นั้น จักจั่น
ภูเก็ต แนวหาดจะต่อจากหาดในยางผ่านสนามบนิ เรือ่ ยมา ทะเลเป็นสัตว์ทะเลท่อี ยูค่ ูก่ ับหาดไม้ขาวมานานแสนนานน่ันเป็น
จนจรดหาดทรายแกว้ เพราะเม็ดทรายบริเวณหาดไม้ขาวเป็นทรายเม็ดใหญ่ เวลาท่ี
คลื่นซัดมาตัวจั๊กจั่นจะรีบฝังตัวเองลงไปในพื้นทรายได้ด้วย
สปาทรายเพือ่ สุขภาพ การทำสปาทราย หรือการนอนฝงั ความรวดเร็ว ฝงั ลึกลงไปขนาด 1 ฟุต โดยจะมองเห็นเป็นรอย
ทรายเพื่อสุขภาพ เป็นการบำบัดโดยธรรมชาติ เป็นภูมิ ฟองอากาศเล็กๆขุดลงไปก็จะเจอจั๊กจั่น แต่ถ้าเป็นทราย
ปัญญาชาวบ้านซ่ึงเช่ือว่าเป็นการรับเอาพลงั ธรรมชาติท่ีดี ละเอยี ดการฝังตวั การระบายอากาศที่พื้นทรายจะไมด่ ียากต่อ
เข้าสู่ร่างกาย ถ่ายเทพลังลบออกไป หาดไม้ขาวเหมาะกับ การขุดทราย
การนอนฝังทรายเนื่องจากทรายสะอาด เนื้อละเอียด ไม่
เหนียวติดตวั สภาพหาดกว้างรบั ลมและคลนื่ ท่ีพัดเข้าสู่ฝ่ัง
เปน็ พลังงานธรรมชาตทิ ่ีดสี ำหรับการบำบดั โรค สำหรับคน
ทั่วไปแม้ไม่เจ็บป่วยก็สามารถมานอนฝังทรายได้และดีต่อ
สขุ ภาพ เป็นการผ่อนคลายความเหนอ่ื ยล้าจากการทำงาน
สปาทรายเพือ่ สขุ ภาพ
17
ผักล้นิ หา่ น เปน็ ผักท่ขี ้นึ ตามบรเิ วณแถบชายทะเลเฉพาะฝ่ังอันดามัน
3 จังหวัด มีลักษณะดินและสภาพแวดล้อมเฉพาะ การนำมาปลูก
นอกเหนอื จากถ่ินค่อนขา้ งยาก แต่สำหรับในพ้ืนที่ชายทะเลอื่นน่าจะ
ปลูกได้ ส่วนการนำมาปลูกเป็นพืชผักในครัวเรือนจากการทดลอง
ปลูกยังไม่ค่อยมั่นใจนกั เนื่องจากบางครั้งก็เจริญเติบโตได้ดใี นการ
ปลูกดว้ ยดินพร้อมปลกู 6 ถงุ รอ้ ย แตพ่ อเจรญิ เติบโตไปสักระยะหน่ึง
ตน้ ก็ยุบลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ตอ่ มาได้นำทรายกอ่ สร้างเจือลงไปสัก
3 ใน 10 ส่วน ปัญหานี้ก็ไม่เกิด แต่การเจริญเติบโตไม่ดีนัก ในการ
ปลกู เลยี้ งท่ที ดลองน้ีเปน็ แบบเกษตรอนิ ทรยี ไ์ ม่ได้ใช้ปยุ๋ เคมี
ล้นิ หา่ น…ผักพืน้ บา้ นหายาก
ผักพื้นบ้านพื้นเมืองชายทะเลอีกอย่างหนึ่ง จะกินเป็นผักเหนาะ
(แกล้ม) หรือนำไปปรุงประกอบอาหารได้อร่อยๆ หลายๆ เมนู หรือ
ยอดอ่อนๆ จะกนิ สดๆ รสชาตอิ อกมนั ๆ ฝาดนิดหนอ่ ย กนิ กับแกงไต
ปลา หรือขนมจนี นำ้ ยา ผักลน้ิ ห่าน จะกินสดๆ รสชาติออกมันๆ ฝาด
นิดหน่อย ผักพื้นบ้านริมทะเลภูเก็ต กรอบ มัน เจือขมเล็กน้อย
สร้างสรรค์ไดส้ ารพัดเมนู ผ้เู ขยี นเองไดล้ องสมั ผัสและชมิ รสชาติคร้ัง
แรกก็ที่จังหวัดภูเก็ตแห่งนี้นี่เอง สำหรับผักลิ้นห่านสามารถทำได้
หลายเมนู แต่ที่นิยมทำก็คอื ต้มกะทิผกั ลิน้ ห่านใส่กุ้งสด ผักลิ้นห่าน
ผดั นำ้ มันหอย และทานสดกบั นำ้ พริก ซง่ึ พบว่ามีความอรอ่ ย มคี วาม
กรอบ มัน
นั่งรถสามล้อพ่วงทัวรช์ มหมู่บา้ น ความโดดเด่นของชุมชนบา้ นไม้ขาวคอื
ยังคงอัต-ลักษณ์ “ชุมชนเกษตรกรรม” ประชาชนส่วนใหญ่ 80 % นับถอื
ศาสนาพุทธ จำนวนประชากรที่อาศัยทั้งหมด 1,058 คน หรือประมาณ
586 ครัวเรือน บ้านไม้ขาวเปรียบเสมือนพื้นท่ีออกซิเจนของจังหวัดภูเก็ต
ชาวบ้านทำไร่ ทำสวน ทำการประมง พรอ้ มๆกบั รบั กระแสการพัฒนาด้าน
การท่องเท่ียวดว้ ยการแสดงออกทางวฒั นธรรมอันดงี าม และน้อมนำหลัก
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาสกู่ ารปฏิบตั จิ นเป็นวิถชี วี ติ
จุดเซลฟี่ระยะประชิดกับเครื่องบิน กิจกรรม UNSEEN ชมเครื่องบิน
Landing แบบใกลช้ ิดทห่ี าดไม้ขาว ภูเก็ต
19
20
21
22
24
25
27
อาหารพ้นื เมอื งภูเกต็
29
จังหวัดภเู ก็ตเปน็ จังหวัดที่ไดร้ ับการคดั เลือกจากองค์กรยูเนสโก้ให้เข้าร่วมสมาชิกของเมืองแหง่
ความสร้างสรรค์ด้านอาหาร (Phuket City of Gastronomy) ปี พ.ศ.2558 เป็นเมืองแรกของ
เอเชยี ซงึ่ เป็น 1 ใน 18 เมืองสมาชกิ ทว่ั โลก โดยอาหารพนื้ เมอื งภเู ก็ตทีม่ ีอัตลักษณ์ อาหารที่โดด
เดน่ มคี วามหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ควรสืบสานและอนุรักษ์ไว้ โดยดำเนนิ การใหค้ วามรู้และ
การปฏบิ ตั กิ ารเก่ียวกับอาหารพน้ื เมืองภูเกต็ แกเ่ ยาวชน ประชาชน และผทู้ ส่ี นใจอยา่ งต่อเน่ือง
เปอรานากัน สายเลือดลูกผสมระหว่างมลายูและจีน อันได้แก่ เมืองมะละกา เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย
ประเทศสงิ คโปร์ และหมเู่ กาะชวาอินโดนีเซยี คำว่า บ้าบ๋า
ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบมลายูและพื้นที่ชายฝั่ง ทะเลของ เป็นคำที่มาเลย์ยืมมาจากภาษาเปอร์เซยี แปลว่า การให้
เกาะชวาและเกาะสุมาตราในช่วงตน้ ศตวรรษท่ี 15 ในช่วง เกียรติบรรพบุรุษ และถกู นำมาใชเ้ รยี กชาวจนี เลือดผสม
ศตวรรษที่ 19 เปอรานากันอพยพเข้ามาใน เขตท่าเรือ ที่เป็นเพศชาย และคำว่า ย่าหยา นำมาใช้เรียกชาวจีน
ของปีนังและสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในช่วงขยายอาณานิคมของ เลอื ดผสม ท่ีเปน็ เพศหญิง ซง่ึ เปน็ คำทีช่ าวชวายืมมาจาก
อังกฤษ ชาวเปอรานากันประสบความสำเร็จใน ฐานะ ภาษาอิตาลี แปลว่า หญิงต่างชาติที่แต่งงานแล้ว หรือ
พ่อค้าจนกลายมาเป็นนักทำการค้ามืออาชีพในเวลา อาจจะมาจาก ภาษาโปตุเกสที่แปลว่าคุณผู้หญิง
ต่อมา ชุมชนชาวเปอรานากันถูกขนานนามว่า ช่องแคบ บทความน้นี ำสนอประวัตคิ วามเป็นมา วถิ ีชีวติ และความ
จีน (Straits Chinese) หรือบาบ๋า ย่าหยา คำที่ใช้เรียก ผสมผสาน ความเป็นพหุวัฒนธรรมของเปอรานากัน
สายเลือดลูกผสมระหว่างมลายูและจีนที่ถือกำเนิดและ สายเลอื ดลูกผสมระหว่างมลายแู ละจนี
อาศยั ในแถบคาบสมุทรมลายู-อินโดนีเซีย
เมือ่ ลกู หลานชาวจนี เลอื ดผสมมีจำนวนมากข้ึนก็ทำให้ 30
เกิดการสรา้ งวัฒนธรรมรปู แบบใหม่ท่ี แตกตา่ งไปจากเดิม และ
มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง โดยนำวัฒนธรรมจีนกับมลายูมา ปจั จบุ ันชาวจนี เปอรานากันพยายามท่จี ะ รกั ษา
ผสมผสานกันจนได้วัฒนธรรมใหม่ เรียกว่า “เปอรา นากัน” วัฒนธรรมเปอรานากันด้วยการรวมตัวกัน จัดตั้ง
ต่อมาในต้นศตวรรษที่19 ชาวจีนอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐาน สมาคมเปอรานากัน (Peranakan Association) ขึ้นใน
เพิ่มข้นึ เป็นเหตใุ หช้ าวจนี เลือด ผสมเจอื จางลงจนแทบจะเป็นจีน มะละกา ปีนัง กัวลาลัมเปอร์ สิงคโปร์ และภูเก็ต ซ่ึง
เตม็ ตวั ถงึ อยา่ งไรวัฒนธรรมเปอรานาก็ยงั คงดำเนินอยู่ตราบ สมาคมแต่ละแห่งมีการประสานงานติดต่อกัน และจัด
จนกระทั่งถึงปัจจุบันเห็นได้จากการสถาปัตยกรรมอาคาร กจิ กรรมทางวัฒนธรรมในแต่ละทอ้ งท่ี เพ่อื ใหช้ าวจีนเปอ
บ้านเรือนแบบชโิ นโปรตุกีส ทีย่ งั คงมีผู้คนอาศัยอยู่ และภาษาท่ี รานากนั รนุ่ ใหม่ทกุ คนได้รจู้ กั และไม่หลงลมื ราก เง้าของ
ชาวจีนเปอรานากันใช้พูดคุยกันมักจะผสมคำจีนมลายูและ ตนเอง นอกจากนี้ในประเทศสิงคโปร์มีการจัดต้ัง
อังกฤษเช่นคำาว่า ยานัด หมาย ถึงสับปะรด มาจากคำาวา่ พิพิธภัณฑ์สถานปอรานากันขึ้น เพื่อเก็บรวบรวมวัตถุ
lanas ซึ่งเป็นภาษามลายู นอกจากนี้อาหารก็เป็นอกี สิง่ หนึ่งท่ี ต่างๆ ที่แสดงถึงศิลปะอันเป็น สัญลักษณ์ของเปอรานา
แสดงใหเ้ ห็นถงึ วัฒนธรรมทผ่ี สมผสานกนั โดยชาวเปอรานากนั กัน และจัดแสดงวัฒนธรรมเปอรานากันดว้ ยเทคโนโลยี
จะนำเคร่ืองปรงุ ของท้องถิ่นมาใช้ประกอบอาหาร อกี ทง้ั การแต่ง อันทันสมัยเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้เข้าเยี่ยมชม
กายของชาวเปอรานากันก็เป็นแบบมลายู เรียกว่าชุดบ้าบ๋า นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ในปีนัง และมะละกาก็มีการจัด
ย่าหยาซ่งึ เป็นวัฒนธรรมการแตง่ กายท่ีผสมผสานรูปแบบของ แสดงวัฒนธรรมเปอรานากันไว้ด้วยเช่นกัน ส่วนใน
ชาวจีนและชาวมลายูเข้าด้วยกันอย่างสวยงามโดยผู้หญิงจะ จังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นสถานที่หนึ่งที่ปรากฏเรื่องราว
สวมเสื้อผา้ หน้าตวั ยาวมแี ขนยาว และฉลลุ ายดอกไม้ พรอ้ มทั้ง ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาวจีนเปอรานากัน เนื่องด้วย
ติดเข็มกลัดที่มีลวดลายงดงาม3-4 ชิ้น/ตัว แล้ว นุ่งผ้าปาเต๊ะ บรรพชนชาวภเู ก็ตสืบเชื้อสายมาจากชาวจีนเปอรานา
ซึ่งเป็นผ้าพื้นเมืองของมลายู และสวมรองเท้าทีป่ ักด้วยลูกปดั กันในประเทศสงิ คโปร์ มาเลเซีย และอนิ โดนีเซยี จากสาย
หลากสีเป็นลวดลายต่างๆ ส่วนผู้ชายแต่งกายคล้ายแบบจีน สัมพันธ์อันใกล้ชิดนี้ทำให้ภูเก็ตเป็นเมืองที่เต็มไปด้วย
ดั้งเดิม หรือแต่งกายด้วยสูทแบบตะวนั ตก วัฒนธรรมเปอรานากันท่ีไม่แตกตา่ งไปจากทอี่ ื่น
31
รูปแบบการแต่งกายและเครอื่ งประดับ
การแต่งกายของคนภเู ก็ตจะเปน็ การผสมผสานของหลายชนชาตอิ อกมาอยา่ งสวยงาม ซ่งึ ปัจจบุ นั ชาว
ภูเก็ตยังคงรักษา วัฒนธรรมการแต่งกายแบบจีนบาบ๋าไว้ โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดให้เหมาะสมกับ
ยุคสมัย โดยชุดแต่งกายที่นำเสนอจะเป็นการแต่งกายของคนภูเกต็ เมื่อสมัยรอ้ ยกว่าปีมาแลว้ ซึ่งเป็น
การผสมผสานของหลายชนชาติออกมาอยา่ งสวยงาม
– ชดุ เส้ือคอตง้ั แขนจีบ ใช้ไดต้ ้งั แตว่ ัยเด็กจนถึงผูส้ งู อายุ ใช้ในชวี ิตประจำวัน ในโอกาสไปตลาด ไปวัด ไป
ไหวพ้ ระทศ่ี าลเจา้ ผ้าน่งุ เปน็ ผา้ ปาเต๊ะ ตวั เสอื้ ความยาวระดบั เอวชายเสื้อแตง่ ขอบดว้ ยลูกไม้ คอตั้งติด
คอผ่าหนา้ ตดิ กระดุมทองหรือเข็มกลดั แถว แขนเสื้อยาวจีบปลายแขน มีกระเป๋าใบใหญส่ องข้าง
– ชุดนายเหมืองและภรรยา ชุดนายเหมือง ประกอบด้วยกางเกงและเสื้อคอตั้ง แขนเสื้อยาว มีกระเปา๋
คล้ายชุดราชประเดน็ สวมหมวกกะโล่ สำหรับผู้สูงวัยก็จะใช้ไมเ้ ท้าดว้ ยส่วนภรรยา หากออกงานพิธี
การสำคญั ๆ จะแต่งชดุ เสอื้ ครยุ ประกอบดว้ ยเสื้อตัวในเป็นเสื้อคอตง้ั ปลายแขนจีบเหมือนชุดเส้ือคอตั้ง
แขนจีบท่ัวไป นุ่งผ้าปาเต๊ะ สวมทบั ดว้ ยเส้ือครุยยาวผา้ ปา่ นรูเบียหรอื ผ้ามัสลนิ มีลวดลาย ติดเข็มกลัด
ชนิ้ ใหญเ่ ป็นชุด เรยี กว่าชุดโกสัง ซง่ึ มี 3 ตวั ใส่กำไลข้อเทา้ สวมรองเทา้ ปกั ดน้ิ หรอื ลกู ปดั
ทรงผม เกลา้ ผมทรงสงู ด้านหน้าเรียบตงึ ด้านหลงั โป่งออกเรยี ก ชักอโี บย เกลา้ มวยไวบ้ นศีรษะ ส่วน
ด้านข้างสองข้างดึงใหโ้ ป่งออกเรยี กวา่ อเี ปง มวยด้านบนดงึ ขน้ึ เปน็ รูปหอยโข่งใชด้ อกมะลิหรอื ดอกพุด
ตมู ประดับรอบมวยผมแล้วปักปิ่นทอง
– ชุดเจ้าสาว มีลักษณะเคร่ืองแต่งกายและทรงผมแบบเดียวกับชุดคหปตานี ต่างกันที่เสื้อครุยเจา้ สาว
ส่วนใหญ่จะใชผ้ ้าลูกไมโ้ ปรง่ หรอื ผ้าป่านแกว้ ส่วนผ้านงุ่ จะใชป้ าเต๊ะสีสด รอบมวยผมเปน็ ฮ่ัวก๋วน หรือ
มงกฎุ เจา้ สาว ประดับด้วยดอกไมไ้ หว ซงึ่ ทำจากทองคำ ปกั ป่ินทองคำ เครื่องประดบั เป็นทองและเพชร
อลังการ ใส่ตุ้มหูระย้า สวมสร้อยคอทอง เรียก หลั่นเต่ป๋าย ที่หน้าอกเส้ือจะประดบั ประดาด้วยป่นิ ตั้ง
ทองคำเหมอื นรปู ดาวเต็มหนา้ อก หอ้ ยสายสรอ้ ยทอง สวมแหวน กำไลมอื กำไลข้อเทา้ สวมรองเท้าปัก
ด้นิ เงินดน้ิ ส่วนชุดเจา้ บ่าว จะหนั มานยิ มสวมสูท แบบตะวนั ตก แต่ยงั นำจส้ี ร้อยคอหรือป่ินต้ังมาติดท่ี
ปกเส้ือ
– ชดุ ยา่ หยา เป็นชุดลำลอง ตัวเสือ้ ตัดด้วยผา้ ลูกไม้หรอื ผ้าปา่ นรเู บยี แขนยาว เขา้ เอวรัดรูป ปักลายฉลุ
ทั้งทีค่ อเส้ือ ชายเสอื้ และปลายแขน ตวั เส้ือดา้ นหนา้ ปลายแหลมยาว ความยาวตวั เสือ้ จะอยู่ระดับสะโพก
บน ปกเสื้อดา้ นหน้าแบะออกสำหรบั ติดโกสังหรือกระดุมทองฝงั เพชรท่ีร้อยเชื่อมด้วยสร้อยทอง ส่วน
ผา้ นุง่ ปัจจุบนั นิยมใช้ผา้ ปาเต๊ะปักเลอ่ื ม เพอ่ื สนับสนุนงานฝีมือของกลุ่มแมบ่ ้านในชมุ ชน
อาหารบาบ๋า-เพอรานากัน มีอัตลักษณ์ 32
เฉพาะตัว รสชาติกลมกล่อมไม่จัดจ้านเท่าอาหาร ตโู บ้
ปักษ์ใต้ทั่วไป อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการจาก
วัตถุดิบท้องถิ่น เครื่องปรุงที่หลากหลายเกิดเป็น โอวเอ๋ว
อาหารคาวหวานกว่า 300 ชนิด ทั้งประเภทจาน
เดี่ยว อาทิ “หมี่ผัดฮกเกี้ยน” ที่มีส่วนผสมของ ในงานเทศกาลต่างๆ ตามความเชื่อดั้งเดิมของ
อาหารทะเล(ชาวประมงพ้ืนเมืองดง้ั เดิม) กบั เส้นหมี่
(ผลติ ในทอ้ งถนิ่ ) และหมู (วฒั นธรรมจีน) “หม่ีไทย” ชาวบาบ๋า-เพอรานากันนั้นจะมีการปรุงอาหาร
(จากหมี่กะทิชาวสยามเป็นหมี่คลุกซิอิว้ ) “โอต้าว” พเิ ศษ เช่นในงานพ้อต่อจะมีการทำขนมเต่าแดงตัว
เป็นหอยทอดผสมเผือกสูตรมลายู-จีน น้ำชุบ ใหญ่ที่เรียกว่า “ตัวกู้” งานเทศกาลกินผักก็จะมี
(น้ำพริก)หยำที่ปรุงจากกุ้งสด กุ้งเคย(กะปิ การปรุงอาหารจากพชื ผกั งดเน้อื สัตวแ์ ละอาหารที่
พื้นเมือง) พริกขี้หนู มะนาว ข้าวยำใบพาโหม เป็น ส่งกลิ่นฉุน ในพิธีวิวาห์จะมีวัน “ทำหนมสด” เช่น
ต้น อาหารชนิดอื่นๆ ที่เป็นสำรับ ได้แก่ อาจาด การร่วมกันกวนกันแม (กะละแม) เหนียวหีบ เปน็ ต้น
เบอื ทอด คัว่ บงั ก้วน เป็นตน้ ประเภทของหวาน เช่น สำหรับการแจ้งทารกเกิดใหม่ครบเดือนแก่เพื่อน
ข้าวเหนียวหีบ ปักถ่องโก้ ขนมห่อ เป็นต้น ประเภท บ้านจะมีการทำ “อิ่วปึ่ง”แจก หากเพื่อฟื้นฟู
ของหวานเครื่องดื่ม เช่น ตูโบ้ โอวเอ๋ว โกปี้ภูเก็ต สุขภาพคนป่วยมีการปรงุ “ซิบจ๋วน” เปน็ ต้น
เปน็ ตน้
เบือทอด
หม่ีผดั ฮกเกี้ยน
34
35
36
38
39
40
จงั หวะท่ี 3 อภวิ าท
41
การถวายบังคม จังหวะท่ี 2
การถวายบงั คมจงั หวะที่ 3
42
ถอื สิ่งของ ยนื ตรง กา วเทา ขวา สงส่งิ ของ
อาภรณพ้ืนถนิ่ ภูเก็ต
ª´Ø ºÒºÒ-ÂÒËÂÒ
ª´Ø à¨ÒÊÒÇ ¨Ðãʪش»¹¨»Ù ¹¨§Ñ ໹
ªØ´ÂÒÇ·Á่Õ ¤Õ ÇÒÁ§´§ÒÁ´Ç ÂÅÒÂ¼Ò àÊ×้͵ÇÑ ã¹
໹ àÊ้×ÍÅÙ¡äÁÊ Õ¢ÒǤ͵้§Ñ ᢹ¨Õº ¹§Ø ¼Ò ÅÒ»ÒàµÐ
ÊÇÁàÊ้Í× ¤ÃØÂ¼Ò »Ò ¹ÃàÙ »Â ËÃÍ× ¼Ò ÁÑÊÅÔ¹
»¡ÅÇ´ÅÒ «§Ö่ ¨ÐàÅ×Í¡ÊդŨÁâ·¹à´ÕÂÇ¡ºÑ ¼Ò¹Ø§
ÊÇÁãÊà¤ÃÍ่× §»ÃдѺ»ÃШӵÃСÅÙ
à¤Ã่Í× §»ÃдºÑ ¨ÐµÔ´à¤ÃÍ่× §»ÃдѺ
·Í§ª´Ø ãË ·Õ่àÃÂÕ ¡ÇÒ â¡Êѧ Á¢Õ Ñ´¡Å´Ñ
ª้Ô¹ãË áÅÐÍÕ¡ 3 ªÔ¹้ àÅ็¡ ãÊ¡ÓäÅ¢Íà·Ò
ÊÇÁÃͧà·Ò»¡´¹Ô้ ËÃÍ× ÅÙ¡»´ ·Ã§¼Áà¡ÅÒ Ê§Ù
ÁÕª×่ÍàÃÂÕ ¡ÇÒ ·Ã§«¡Ñ ÍâÕ ºÂ áÅз่ÕÊÓ¤Ñ ¤Í×
à¨ÒÊÒǵͧãÊÁ §¡Ø®·Í§
´Í¡äÁäËÇ ··Õ่ Ó´Ç·ͧ¤Ó
44
ชดุ ของมวิ สิค
ชดุ ปาเตะ รว มสมัยตัวเส้อื ใชเ สอ้ื ผา
ปาเตะพืน้ ดำ มีดอกสีโอรส
ลายฟา ออกแบบตดั เยบ็
ใหเปนเสอื้ ครอบแขนกดุ เอวลอยนิดๆ
กางเกงใชผาปาเตะ สีเดยี วและแบบเดยี วกัน
กบั เสอื้ ออกแบบตัดเย็บใหเ ปน ทรง
ขาตรงตกแตงใหมรี ะบายตรงขา
เพือ่ ความนา รกั สมวัย
เครอื่ งประดับเปน ตางหูพสู แี ดง
กำไลขอ มอื โลหะสีเงิน
45
ชดุ ผา บาตกิ
ไลสีและมกี ารเพนตวาดลวดลาย
ท่ดี รู วมสมยั ความพิเศษของผา ผนื น้ี
ทีน่ างแบบสวมใสเ ปน ผา ช้นิ เดยี ว
ท่ไี มไดมกี ารตดั เยบ็ ใหเปน ชดุ สำเรจ็ รูป
แตส ามารถนำมาสวมใสใ ห
เปนชุดเดรสออกงานได
สวนอกี ชน้ิ กเ็ ปนผา บาตกิ เชน กนั
มกี ารวาดลวดลาย
ใหเ ปนลายสวยงามรวมสมัย
และสามารถนำมาใหน ายแบบ
มิกซแอนดแ มตซใ นการสวมใส
46
ª´Ø ÃÒµÃÕ
»ÒàµÐÊÕá´§ÍÁÊÁ Í͡Ẻ
µ´Ñ àÂ็ºãËà ÇÁÊÁÑÂ
µÑÇàÊ้Í× ´Ò ¹º¹à»¹ Ẻ໴äËÅ
ÁÕÃкÒÂàÅ็¡¹Í Â
áÅÐªÇ §¡ÃÐâ»Ã§´Ò ¹ÅÒ §
¡¨็ Ð໹ Ẻ¼Ò ˹ÒÁËÕ Ò§»ÅÒ
ÂÒÇáÅлÃдºÑ µ¡áµ§´Ç¤ÃÔʵÅÑ