วิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10 และการเปรียบเทียบจำนวนโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้น อนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) สิรีธร ถาแก้ง วิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2566
หนังรับรองการนำผลงานนวัตกรรมงานวิจัย ชื่อนักศึกษา นางสาวสิรีธร ถาแก้ง สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย สถานศึกษาฝึก ประสบการณ์วิชาชีพครู โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ได้ทำการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนโดยใช้เกม การศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ซึ่งเป็น งานวิจัยที่มีประโยชน์และสามารถนำไปใช้ในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้สืบไป ลงชื่อนักศึกษา................................................. (นางสาวสิรีธร ถาแก้ง) ความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะของผู้เห็นชอบ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................ ................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................. ... ลงชื่อผู้เห็นชอบ.................................................... (นางสาวณภาพร ชัยเจริญวิจิตร) ลงชื่อผู้รับรอง....................................................... (นายศฤงคาร แป้นกลาง) ตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร)
หัวข้องานวิจัย การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการ เปรียบเทียบจำนวนโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ผู้วิจัย นางสาวสิรีธร ถาแก้ง หลักสูตร การศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ดวงใจ เนตรตระสูตร ครูที่ปรึกษา คุณครูณภาพร ชัยเจริญวิจิตร ปีการศึกษา 2566 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ อนุมัติให้งานวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของ การศึกษารายวิชา ฝึกปฏิบัติการวิชาชีพครู การศึกษาปฐมวัย ตามหลักสูตรปริญญาครุศาสตรบัณฑิต ........................................................................... (นายศฤงคาร แป้นกลาง) ผู้อำนวยการโรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ........................................................................... (นางสาวณภาพร ชัยเจริญวิจิตร) ครูนิเทศก์ /ครูพี่เลี้ยงฝ่ายสถานศึกษา ………………………………………………………………… (อาจารย์ดวงใจ เนตรตระสูตร) อาจารย์นิเทศฝ่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบ จำนวนโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ผู้วิจัย นางสาวสิรีธร ถาแก้ง ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่า จำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 กรณีศึกษาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2/2 จำนวน 19 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ตำบล ยุหว่า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ 1. แผนการจัดกิจกรรม เกมการศึกษา ด้านการรู้ค่า1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 15 แผน แผนละ 20 นาที โดยจะใช้แผนการจัดกิจกรรม 1 แผนต่อการจัดกิจกรรม 1 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 15 ครั้ง จำนวน 6 สัปดาห์ 2. เกมการศึกษา ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบ จำนวน มีจำนวน 6 ชุด 3. คู่มือการใช้ เกมการศึกษา การรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบ จำนวน 4. แบบประเมินก่อนและหลังการใช้เกมการศึกษา เพื่อศึกษาการพัฒนาทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนสำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 (Pre-test-Post-test) 5. คู่มือแบบประเมินก่อนและหลังการใช้เกมการศึกษา เพื่อศึกษาการพัฒนา ทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนสำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 (Pre-test-Post-test) ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการ เปรียบเทียบจำนวนโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ก่อนจักกิจกรรมเด็ก ปฐมวัยมีพัฒนาการทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน 1-10และการเปรียบเทียบจำนวน คิดเป็นร้อยละ42.98 และหลังการจัดกิจกรรม เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้าน การรู้ค่าจำนวน 1-10และการเปรียบเทียบจำนวนสูงขึ้นก่อนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาด้านการรู้ ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน คิดเป็นร้อยละ 78.50 โดยการใช้เกมการศึกษา ด้านการรู้ ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนจะเห็นได้ว่า เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนมี ความก้าวหน้า สูงขึ้นทุกคน คิด ค่าเฉลี่ยรวมร้อยละ 35.52 สอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัย
ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยครั้งนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาจากอาจารย์ดวงใจเนตรตราสูตรอาจารย์ที่ ปรึกษางานวิจัยที่ได้ให้ข้อเสนอแนะวิธีการดำเนินงานและคอยแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆมาโดยตลอด ผู้วิจัยขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญ นางณัฐนันท์ แสนเรือนหัวหน้าผู้ฝ่ายวิชาการ โรงเรียนสันป่าตอง(สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) นางสาวณภาพร ชัยเจริญวิจิตร ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนสันป่าตอง(สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร)และนางสุชาดา รัตนวิมลเมือง ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนสันป่าตอง(สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ที่กรุณาให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุง งานวิจัยในฉบับนี้ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ภาควิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงใหม่ที่ได้ให้ความรู้และประสิทธิภาพประสาทวิชาจนทำให้ผู้วิจัยสามารถทำการศึกษาวิจัยฉบับนี้ จนสมบูรณ์ ขอกราบขอบคุณ ผู้อำนวยการโรงเรียนและขอขอบพระคณะครูอนุบาลตลอดจนถึงนักเรียน ในโรงเรียนสันป่าตอง(สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร)ที่ได้ให้ความรู้และทำการวิจัยสามารถทำการศึกษา วิจัยฉบับนี้จนเสร็จสมบูรณ์ที่ให้ความอนุเคราะห์ให้ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณทุกๆท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องในงานวิจัยครั้งนี้ที่คอยให้กำลังใจคำแนะนำ คอยช่วยเหลือในการทำวิจัยคุณค่าของงานวิจัยนี้ขอมอบให้เป็นเครื่องบูชาพระคุณบิดามารดาครู อาจารย์ที่มีโอกาสให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำและมีส่วนที่ทำให้วิชาครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผู้วิจัย สิรีธร ถาแก้ง กุมภาพันธ์ 2567
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง ฉ สารบัญแผนภูมิ ช บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 วัตถุประสงค์การวิจัย 3 สมมติฐาน 3 ขอบเขตการวิจัย 3 ขอบเขตด้านตัวแปร 4 กรอบแนวในการวิจัย 4 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 1. ทักษะทางด้านคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 7 1.1 ความหมายของทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ 7 1.2 ความสำคัญของทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ 8 1.3 จุดมุ่งหมายของทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ 9 1.4 หลักการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ 10 1.5 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็ก ปฐมวัย 14 2. เกมการศึกษา 16 2.1 ความหมายของเกมการศึกษา 16 2.2 ประเภทของเกมการศึกษา 17
ง สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า 2.3 หลักการในการจัดเกมการศึกษา 19 2.4 การจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษา 21 2.5 ประโยชน์ของเกมการศึกษา 22 2.6 บทบาทของผู้สอนในการใช้เกมการศึกษา 23 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 24 3.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศ 24 3.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างประเทศ 25 บทที่3 วิธีดำเนินการวิจัย 27 1. แบบแผนการวิจัย 27 2. กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย 28 3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 28 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 28 5. การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 29 6. วิธีดำเนินการวิจัย 32 7. การวิเคราะห์ข้อมูล 34 8. การเก็บรวบรวมข้อมูล 35 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 37 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 37 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 43 สรุปผลการวิจัย 43 อภิปรายผล 43 ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัย 44 บรรณานุกรม 46 ภาคผนวก 47
จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า ภาคผนวก ก - รายนามผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบเครื่องมือการวิจัย 48 - รายชื่อกลุ่มตัวอย่าง - แบบประเมินค่า IOC โดยผู้เชี่ยวชาญ ภาคผนวก ข หนังสือขอความอนุเคราะห์บุคลากรในสังกัดเป็นผู้เชี่ยวชาญ 73 ภาคผนวก ค ตัวอย่างแผนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา การพัฒนาทักษะ พื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน 1-10และการเปรียบ เทียบจำนวนโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปี ที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) 77 ภาคผนวก ง คู่มือแบบประเมินก่อนและหลังการใช้เกมการศึกษา ด้านการรู้ค่า จำนวน1-10และเปรียบเทียบจำนวน (Pretest-Posttest) หัวข้อ วิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่า จำนวน 1-10และการเปรียบเทียบจำนวนโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) 84 ภาคผนวก จ ตัวอย่างคู่มือการใช้ เกมการศึกษา การรู้ค่าจำนวน1-10 และการ เปรียบเทียบจำนวน 110 ภาคผนวก ฉ รูปภาพกิจกรรม Pre-test และ Post-test 115 ภาคผนวก ช รูปภาพเกมการศึกษา ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบ เทียบจำนวน 117 ภาคผนวก ซ รูปภาพกิจกรรม 126 ภาคผนวก ฌ ประวัติอาจารย์ที่ปรึกษาและประวัติผู้วิจัย 135
ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 3.1 แสดงระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล 33 4.1 แสดงคะแนนผลก่อนการจัดกิจกรรมการใช้เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนา ทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบ จำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณ- ราษฎร์วิทยาคาร) 38 4.2 แสดงคะแนนผลหลังการจัดกิจกรรมการใช้เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนา ทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบ จำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณ- ราษฎร์วิทยาคาร) 39 4.3 แสดงคะแนนผลการจัดกิจกรรมการใช้เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะ พื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์- วิทยาคาร) ก่อน – หลังการจัดกิจกรรม 40
ช สารบัญแผนภูมิ แผนภูมิที่ หน้า 4.3 แสดงค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนก่อนการใช้กิจกรรมการใช้เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการ เปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 สำหรับเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) (Pre - test) และหลังการใช้กิจกรรม (Post - test) แยกตามรายบุคคล 42
บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช2560 (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. 2560) กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา เป็นคนดี มีวินัย สำนึกความเป็นไทย และมีความรับผิดชอบต่อ ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติต่อไป โดยเน้นพัฒนาทุกด้านอย่างสมดุลและเต็ม ตามศักยภาพ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาทุกระดับควรตระหนัก ถึงความสำคัญของพัฒนาการ 4 ด้าน ของเด็กปฐมวัย พัฒนาการด้านสติปัญญาเป็นพัฒนาการที่สำคัญในการเรียนรู้ของเด็กในช่วงอายุ0-6 ปี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญ และจำเป็นที่สุดในการพัฒนาสมอง เนื่องจากเป็นระบบที่มีความซับซ้อน เป็น เครื่องมือสำคัญในการพัฒนาสติปัญญาของเด็กปฐมวัย การที่เด็กได้คิด การใช้ทักษะสังเกต การ เปรียบเทียบ หรือเรื่องของจำนวน การเรียงลำดับ เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนา ทักษะทางด้าน คณิตศาสตร์ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาทักษะ ด้านอื่นๆ ทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยเป็นกระบวนการเบื้องต้น มีส่วนช่วยในการส่งเสริม พัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา และเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการเรียนรู้ศาสตร์อื่น ๆ การ ได้รับประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ ทำให้เด็กมีความสามารถในการ คิดอย่างมีเหตุมีผล และมีความสามารถในการ แก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี ทักษะกระบวนการทาง คณิตศาสตร์ประกอบไปด้วย การรู้ค่าจำนวน การจัดหมวดหมู่ การ จำแนกเปรียบเทียบ การ เรียงลำดับ และการหาความสัมพันธ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เด็กจะเรียนรู้ได้จากประสบการณ์ตรง ได้ปฏิสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวในชีวิตประจำวัน หรือการจัดกิจกรรมของคุณครู ได้แก่ กิจกรรมเสริม ประสบการณ์กิจกรรมการแก้ปัญหา กิจกรรมเกมการศึกษา (วรรณี วัจนสวัสดิ์, 2552, หน้า 27) คณิตศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กปฐมวัย เพราะคณิตศาสตร์เกี่ยวข้องกับ ชีวิต ประจำของเด็กทั้งสิ้น เช่น จำนวน การวัด ตำแหน่ง เป็นต้น การจัดประสบการณ์ที่ เหมาะสมกับการ พัฒนาการและความสนใจของเด็กจะช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กประสบ ความสำเร็จในการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ และสามารถนำประสบการณ์ที่ได้รับไปใช้ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ครู ปฐมวัยจึงต้องมีแนวทางส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้วยการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมสำหรับ เด็กปฐมวัย โดยให้สอดคล้องกับความสามารถ ความ สนใจและความแตกต่างระหว่างบุคคล เปิด
2 โอกาสให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ คิดแก้ปัญหาและหาคำตอบด้วยตนเองในบรรยากาศที่เป็นอิสระ สนุกสนาน เริ่มเรียนรู้จากสิ่งที่ใกล้ตัวไปหาสิ่งที่ ยาก จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปหานามธรรมโดยจัด กิจกรรมที่สอดคล้องกับกิจวัตรประจำวัน รวมทั้งส่งเสริม ให้เด็กใช้คณิตศาสตร์ทั้งที่โรงเรียนและที่ บ้านอย่างต่อเนื่อง (เชวง ซ้อนบุญ, 2554) ซึ่งสอดคล้องกับการจัดประสบการณ์ส่งเสริมให้เด็กมีความ พร้อมด้านทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ ครูควรเปิดโอกาส ให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเล่น เพราะการเล่นคือ ธรรมชาติของเด็กการเล่นอย่างมีจุดมุ่งหมาย เป็นหัวใจสำคัญของการจัด ประสบการณ์ให้กับ เด็ก (กุลพธู คมกฤส, 2554) วิธีการสอนโดยการใช้เกมเป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียน มีส่วนร่วมใน การเรียนรู้สูง ผู้เรียนได้รับความสนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้จากการเล่นอย่าง ประจักษ์แจ้ง ด้วยตนเองท าให้การเรียนรู้นั้นมีความหมายและอยู่คงทนวิธีสอนโดยใช้เกมผู้สอนจะไม่ เหนื่อย แรงมาก ขณะสอนและผู้เรียนชอบ (ทิศนา แขมมณี, 2554) เกมการศึกษาเป็นกิจกรรม 1 ใน 6 กิจกรรมหลักของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2560 ที่ช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะทักษะพื้นฐาน ทาง คณิตศาสตร์ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยพัฒนาการทางด้านสติปัญญา เกมการศึกษา ถือว่าเป็น สื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เล่น ใช้ทักษะการสังเกตและลงมือทำด้วยตนเอง นอกจากนี้การเล่นเกม การศึกษายังช่วยฝึกทักษะอื่น ๆ เช่น ฝึกให้เด็กจัดภาพให้ขอบเสมอกัน วางเรียงกัน เป็นชุด ๆ ให้เป็น ระเบียบ นอกจากช่วยให้เด็กท างานเป็นระเบียบแล้วยังช่วยฝึกประสาทสัมผัส อีกด้วย และทักษะทาง สังคมที่เกิดขึ้นการเล่นเกมการศึกษาด้วยกันหลายคน เรียนรู้การเล่น ร่วมกัน และพยายามปรับตัวให้ เข้ากับเพื่อน (วรรณี วัจนสวัสดิ์, 2552) เกมการศึกษา เป็นเกมที่มีกฎกติกาง่ายๆ สามารถเล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่มได้ เป็นเกม การเล่นที่ช่วย พัฒนาสติปัญญา ช่วยส่งเสริมเสริมให้เด็กเกิดการเรียนรู้เป็นพื้นฐานการศึกษา รู้จัก สังเกต คิดหาเหตุผล และเกิด ความคิดรวบยอด เกี่ยวกับสี รูปร่าง จำนวน ประเภท และความัสมพันธ์ เกี่ยวกับพื้นที่ ระยะ มีกฎเกณฑกติกาง่ายๆ เด็กสามารถเล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่มได้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) เกมการศึกษาเป็นสื่อที่ช่วยฝึกทักษะการ สังเกต จำแนก เปรียบเทียบ การแยกประเภท และการจัดหมวดหมู่ เกมการศึกษามีหลากหลายประเภท ได้แก่ เกม จับคู่ เกมแยก ประเภท เกมจัดหมวดหมู่ เกมเรียงลำดับ เกมโดมิโน เกมลอตโต เกมภาพตัดต่อ และเกมต่อตาม แบบ สอดคล้องกับงานวิจัยของ สกล ป้องคำสิงห์(2553) ได้ศึกษา แผนการจัดประสบการณ์การเตรียม ความพร้อม พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้วยเกมการศึกษาจากสื่อธรรมชาติผลการวิจัยพบว่า มี ประสิทธิภาพ 89.85/89.97 ซึ่งสูง กว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ดังนั้น แสดงให้เห็นว่าควรส่งเสริมทักษะ ทางคณิตศาสตร์โดยใช้เกมการศึกษา จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า การส่งเสริมทักษะคณิตศาสตร์ โดยใช้เกมการศึกษาของเด็ก ปฐมวัย มีความสำคัญมากในการเรียนรู้กับเด็กปฐมวัย เพราะคณิตศาสตร์มีความจำเป็นต่อ
3 ชีวิตประจำวัน ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนาเกมการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่า จำนวน 1-10 และการเปรียบเทียบจำนวน เนื่องจากการศึกษาสภาพปัญหาการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของเด็กปฐมวัยระดับชั้นอนุบาล 2/2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) พบว่า เด็กบาง กลุ่มขาดความรู้ ความเข้าใจในการรู้ค่าจำนวน การเปรียบเทียบจำนวน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ ในระดับชั้นที่สูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาเกมการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะทาง คณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่า1-10และการเปรียบเทียบจำนวน ของนักเรียนชั้นอนุบาล 2/2 โดยการจัด กิจกรรมในรูปแบบเกมการศึกษา ซึ่งผลการวิจัยนี้จะเป็นแนวทางแก่ครู และผู้เกี่ยวข้องกับการจัด การศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่า1-10และการ เปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัย วัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการใช้เกม การศึกษา อนุบาลปีที่ 2/2 สมมติฐานการวิจัย นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2/2 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมจากการใช้เกมการศึกษา เพื่อพัฒนา ทักษะทางคณิตศาสตร์ สูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการใช้เกมการศึกษา ขอบเขตของการวิจัย 1. ระยะเวลาดำเนินการ การศึกษาครั้งนี้ทำการศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ใช้ระยะเวลาในการ ดำเนินการตั้งแต่ เดือนมกราคม 2566 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2566 รวมใช้ระยะเวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ ละ 2-3 วัน คือ วันอังคาร วันพุธและวันพฤหัสบดีครั้งละ 20 นาที รวมทั้งหมด 15 ครั้ง 2. ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ทักษะทางคณิตศาสตร์ตามกรอบการเรียนรู้และแนวทางจัด ประสบการณ์การเรียนรู้บรูณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ในระดับปฐมวัย ตาม หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 3. ขอบเขตด้านประชากร
4 3.1 ประชากร คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 4-5 ปีที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล2 จำนวน 64 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ตำบลยุหว่า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ 3.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2/2 จำนวน 19 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ตำบล ยุหว่า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ 4. ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรต้น คือ เกมการศึกษา ตัวแปรตาม คือ ทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบ จำนวน 5. กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม นิยามศัพท์เฉพาะ เด็กปฐมวัย หมายถึง คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2/2 จำนวน 19 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ตำบลยุหว่า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ หมายถึง ทักษะการรู้ค่าจำนวน ทักษะการเปรียบเทียบ ซึ่งสามารถ วัดพฤติกรรมได้จากการประเมินทักษะคณิตศาสตร์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยจำแนกทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ออกเป็น 2 ทักษะ คือ เกมการศึกษา 1. เกมตามหาตัวเลขคู่ของฉัน 2. เกมรูปภาพบอกจำนวน 3. เกมยานพาหนะนำพา 4. เกมหนูน้อยนักจัดการ 5. เกมเรียงตัวเลขแสนสนุก 6. เกมหนูน้อยนักเปรียบเทียบ ทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการ เปรียบเทียบจำนวน
5 ทักษะการรู้ค่าจำนวน หมายถึง การรู้ค่าของจำนวน 1-10 และความสามารถในการรับรู้ สัญลักษณ์แทนตัวเลขอารบิก 1-10 ทักษะการเปรียบเทียบ หมายถึง การเปรียบเทียบจำนวนของสิ่งต่างๆ สองกลุ่มที่แต่ละกลุ่มมี จำนวนไม่เกิน 10 ว่ามีจำนวนเท่ากันหรือไม่เท่ากัน และกลุ่มใดมีจำนวนมากกว่าหรือน้อยกว่า เกมการศึกษา หมายถึง กิจกรรมการเล่นที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาการด้านทักษะการคิด อย่างเป็นระบบ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้เงื่อนที่กำหนด ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้เกิดการเรียนรู้เกิด ทักษะการคิดเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญา และตอบสนองความต้องการตามวัยของ ผู้เรียน ซึ่งเกมศึกษาในครั้งนี้ ได้แก่ 1. เกมตามหาปริศนาตัวเลข 2. เกมรูปภาพบอกจำนวน 3. เกมยานพาหนะนำพา 4. เกมหนูน้อยนักจัดการ 5. เกมเรียงตัวเลขแสนสนุก 6. เกมหนูน้อยนักเปรียบเทียบ ประโยชน์ของการวิจัย 1. เป็นแนวทางการพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวนและการเปรียบเทียบ จำนวน โดยใช้กิจกรรมเกมการศึกษา เพื่อให้ครูและผู้เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย สามารถนำไปเป็น ตัวอย่างใน ด้านการรู้ค่าจำนวนและการเปรียบเทียบจำนวน การพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัย 2. ทราบถึงผลการเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวนและ การเปรียบเทียบจำนวน ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา 3. ทำให้ทราบถึงผลของการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา ที่มีต่อทักษะทางด้านการรู้ค่าจำนวน และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัย
1 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการ เปรียบเทียบจำนวนโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ผู้วิจัยศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและนำเสนอตามหัวข้อ ดังนี้ 1. ทักษะทางด้านคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 1.1 ความหมายของทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ 1.2 ความสำคัญของทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ 1.3 จุดมุ่งหมายของทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ 1.4 หลักการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ 1.5 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 2. เกมการศึกษา 2.1 ความหมายของเกมการศึกษา 2.2 ประเภทของเกมการศึกษา 2.3 หลักการในการจัดเกมการศึกษา 2.4 การจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษา 2.5 ประโยชน์ของเกมการศึกษา 2.6 บทบาทของผู้สอนในการใช้เกมการศึกษา 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศ 3.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างประเทศ
7 1. ทักษะทางด้านคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 1.1 ความหมายของทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ถือเป็นทักษะสำคัญและเป็นทักษะควรที่จะได้รับการ ส่งเสริมพัฒนาอย่างต่อเนื่องในเด็ก ซึ่งจะส่งผลต่อการเรียนรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ของเด็กในอนาคต จึงได้มีนักการศึกษากล่าวถึงความหมายของทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ไว้ดังนี้ วรินธร สิริเดชะ (2550 : 19) ได้ให้ความหมาย ของทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์ว่า เป็น ความรู้เบื้องต้นที่จะนำไปสู่การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ซึ่งเด็กต้องมีประสบการณ์ต่าง ๆ เช่น การสังเกต การจำแนก การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การวัด การบอกตำแหน่งและการนับเพื่อเป็นพื้นฐานใน การเรียนคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษา ชญาภา สิงห์มหา (2550 : 29) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์หมายถึง ความรู้ ความสามารถพื้นฐาน หรือทักษะเบื้องต้นที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับ การสังเกต การจำแนก การ เปรียบเทียบขนาด รูปร่าง การจัดลำดับ การจัดหมวดหมู่ น้ำหนัก การวัดความยาว ความสูง การวัด และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ซึ่งสอดแทรกอยู่ใน ชีวิตประจำวันและเป็นประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับ ชีวิตประจำวันของเด็ก เป็นการปูพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็กสำหรับการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น กุลยา ตันติผลาชิวะ (2547 : 158) กล่าวว่าคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึงการ เรียนรู้ด้วยการสร้างเสริมประสบการณ์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานสำหรับเด็ก 6 ขวบซึ่งต่าง จากคณิตศาสตร์สำหรับผู้ใหญ่คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยเป็นความเข้าใจจำนวน การปฏิบัติเกี่ยวกับ จำนวน หน้าที่และความสัมพันธ์ของจำนวนความเป็นไปได้ และการวัดทางคณิตศาสตร์ของเด็ก ปฐมวัยจะเน้นที่การจัดจำแนกสิ่งต่าง ๆ การเปรียบเทียบ และการเรียนรู้สัญลักษณ์ของคณิตศาสตร์ซึ่ง เด็กจะเรียนรู้ได้จากกิจกรรมปฏิบัติการ นิตยา ประพฤติกิจ (2541 : 3) กล่าววา่ คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยเป็นเรื่องหนึ่งที่ นอกจากจะต้องอาศัยสถานการณ์ในชีวิตประจำวันของเด็กในการส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับ คณิตศาสตร์แล้วยังอาศัยการจัดกิจกรรมที่มีการวางแผนและเตรียมการอย่างดีจากครูเพื่อให้โอกาส แก่เด็กได้ค้นคว้าแก้ปัญหา ได้เรียนรู้และพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ มีทักษะ และมี ความรู้ทางคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษาที่สูงขึ้นและใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป กมลรัตน์ กมลสุทธ (2555 : 37) ได้ให้ความหมายของทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์ว่า เป็น การเรียนรู้เกี่ยวกับจำนวน ตัวเลข ปริมาณ รูปร่าง ขนาด ความสัมพันธ์และสัญลักษณ์ เป็นต้น ทั้งหมด นี้เป็นความรู้พื้นฐานในการศึกษาคณิตศาสตร์ในระดับต่อไป บุษยมาศ ผึ้งหลวง (2556 : 8) ได้ให้ความหมายของคณิตศาสตร์ไว้ว่า คณิตศาสตร์เป็นการ จัดหมวดหมู่ การเปรียบเทียบการรู้ค่าตัวเลข 1 - 10 และการเรียน ลำดับ
8 ภัสสร ประเสริฐศักดิ์( 2557: ออนไลน์) ได้ความหมายของทักษะทางคณิตศาสตร์ไว้ว่า เป็น ทักษะที่เด็กได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับการสังเกต จำแนก และเปรียบเทียบตามลักษณะรูปร่าง ขนาด น้ำหนัก ความยาว ความสูง ความเหมือน ความแตกต่าง และคุณลักษณะอื่น ๆ ช่วยให้เด็กมีความ ละเอียดรอบคอบ รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล และรู้จักการคิดแก้ปัญหา ซึ่งทักษะต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็น พื้นฐานในการเตรียมความพร้อมที่จะเรียนคณิตศาสตร์ในระดับประถมศึกษา นอกจากนี้ยังมีนักการ ศึกษาอีกหลายท่านที่ให้ความหมายของสาระที่ควรเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ ล้วนแต่มีความหมาย คล้ายคลึงกัน สรุปความหมายของทักษพื้นฐานคณิตศาสตร์ได้ว่า เป็นความรู้และทักษะทางคณิตศาสตร์ ของเด็กที่ได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับการเรียนรู้สัญลักษณ์ของคณิตศาสตร์การนับ การรู้ค่ารู้จำนวน การเปรียบเทียบ การจำแนก ขนาด รูปร่าง ความสูง ความยาว และการเรียงลำดับ ทักษะ คณิตศาสตร์ช่วยให้เด็กมีความละเอียดรอบคอบ รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล รู้จักการคิดแก้ปัญหาและ นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 1.2 ความสำคัญของทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ชมนาด เชื้อสุวรรณทวี (2542 : 3) ได้กล่าวถึงความสำคัญของคณิตศาสตร์ได้ว่าคณิตศาสตร์ เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับความคิด เป็นโครงสร้างที่มีเหตุผลและสามารถนำคณิตศาสตร์ไปแก้ปัญหาใน วิทยาศาสตร์สาขาอื่น คณิตศาสตร์เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ช่วยร้างสรรค์จิตใจของมนุษย์ฝึกให้คิดอย่างมี ระเบียบแบบแผน คณิตศาสตร์ไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางคำนวณแต่เพียงอย่างเดียวหรือไม่ได้มี ความหมายเพียงตัวเลขสัญลักษณ์เท่านั้นยังช่วยส่งเสริมการสร้าง และใช้หลักการรู้จักการคาดคะเน ช่วยในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และจากความแตกต่างระหว่างบุคคลควรส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถคิดอย่างอิสระบนความสมเหตุสมผลไม่จำกัดว่าการคิดคำนวณต้องออกมาเพียงคำตอบเดียว หรือมีวิธีการเดียว สิริชนม์ ปิ่นน้อย (2542 : 49) ได้กล่าวถึงความสำคัญของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ไว้ว่า การเปิดโอกาสให้เด็กได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนด้วยการพูดคุย สนทนาหรือโต้เถียงกันด้วย เหตุผลเกี่ยวกับสิ่งที่รู้ การใช้เหตุผลต่าง ๆ จะเป็นประโยชน์ต่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพราะ การพูดคุย สนทนาหรือโต้เถียงกันของเด็กเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้มากกว่าการถามคำถามกับ ผู้ใหญ่ ครูสามารถท้าทายความคิดของเด็กด้วยการนำไปสู่ข้อสงสัยเมื่อเด็กพูดคุย สนทนาหรือโต้เถียง กับเพื่อนในสถานการณ์ที่เป็นปัญหา ซึ้งจะเป็นแนวทางที่จะทำให้เกิดความคิดทางตรรกะ คณิตศาสตร์ ได้อีกทางหนึ่ง คมขวัญ อ่อนบึงพร้าว (2550 : 10) กล่าวว่า คณิตศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวกับ ชีวิตประจำวันของมนุษย์เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ศาสตร์อื่น ๆ การได้รับประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์
9 ทำให้ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดอย่างมีเหตุผลและใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดี ทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ต่อไป คณิตศาสตร์มี ความสำคัญเพราะเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้วิชาแขนงต่าง ๆ และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันทำให้ เด็กคิดเป็น ทำเป็นและแก้ปัญหาเป็น รู้จักใช้เหตุผลละเอียดรอบคอบ สำหรับเด็กปฐมวัยทักษะทาง คณิตศาสตร์ที่ดีจะช่วยให้เด็กมีความพร้อมในการเรียนคณิตศาสตร์ช่วยขยายประสบการณ์เกี่ยวกับ คณิตศาสตร์ช่วยฝึกทักษะเบื้องต้นในการคิดคำนวณฝึกการเปรียบเทียบ แยกของเป็นหมวดหมู่ เรียงลำดับและทำให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ ปณิชา มโหสิทธยากร (2553 : 13) กล่าวว่าคณิตศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญ ในชีวิตประจำวันของ มนุษย์ เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้วิชาอื่น ๆ คณิตศาสตร์ทำให้ผู้เรียน มีความสามารถในการคิดอย่าง มีเหตุผลและจำเป็นต่อการแก้ปัญหาต่าง ๆ ทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ อย่างยิ่ง เพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ต่อไป เชวง ซ้อนบุญ (2554 : 21) คณิตศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ เด็กปฐมวัยเพราะ คณิตศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเด็กแทบทั้งสิ้น เช่น เรื่อง จำนวน ตัวเลข เวลา การวัด ตำแหน่ง เป็นต้น การจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมกับ พันนาการและความสนใจของเด็กจะช่วย ส่งเสริมให้เด็กได้รับความสำเร็จในการเรียนรู้คณิตศาสตร์และสามารถนำประสบการณ์ที่ได้รับไปใช้ใน อนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไป สรุปความสำคัญของทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ได้ว่า คณิตศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ ชีวิตประจำวันของมนุษย์ ทำให้เด็กคิดเป็น ทำเป็นและแก้ปัญหาเป็น รู้จักใช้เหตุผล มีความละเอียด รอบคอบ ช่วยให้เด็กมีความพร้อมและขยายประสบการณ์ช่วยฝึกทักษะเบื้องต้นให้เด็กเกิดความคิด รวบยอดและมีเจตคติที่ดีการมีประสบการณ์เหมาะสมกับการพัฒนาความสนใจของเด็ก ช่วยส่งเสริม และสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ต่อไป 1.3 จุดมุ่งหมายของทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ คมขวัญ อ่อนพึงพร้าว (2550 : 29) กล่าวว่า การเตรียมทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์ใน ระดับปฐมวัยเป็นการเตรียมเด็กให้พร้อมที่จะเรียนรู้คณิตศาสตร์ใน ระดับต่อไป และมีความสามารถ ในการใช้เหตุผลในการเปรียบเทียบมีทักษะในการ แก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดทาง คณิตศาสตร์และมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน คณิตศาสตร์และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2547:160) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะ ทางคณิตศาสตร์ มีดังนี้ 1. สร้างเสริมประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับตัวเลข และการให้เหตุผล
10 2. การรู้ค่าของตัวเลข การนับ การเพิ่ม การลด 3. สร้างเสริมความคิดเชิงตรรกะ 4. การมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ สุธีรา ท้าวเวสสุวรรณ (2548 : 36) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ทักษะทางคณิตศาสตร์ ที่สำคัญสำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้ 1. เพื่อให้เด็กมีประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ 2. เพื่อพัฒนาความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ 3. เพื่อฝึกทักษะและมีความเข้าใจพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ 4. เพื่อส่งเสริมการค้นหาคำตอบด้วยตนเองและการแก้ปัญหา 5. ฝึกทักษะเบื้องต้นในการคำนวณ 6. มีใจรักในวิชาคณิตศาสตร์ชอบค้นคว้าหาคำตอบ 7. สอนจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก สรุปจุดมุ่งหมายของทักษะทางคณิตศาสตร์ได้ว่า เป็นการเตรียมความพร้อมของเด็กในการ เรียนรู้คณิตศาสตร์พื้นฐาน โดยการฝึกให้เด็กการรู้ค่าของตัวเลข การนับ การเพิ่ม การลดการ เปรียบเทียบ ช่วยฝึกทักษะในการแก้ปัญหาการค้นหาคำตอบด้วยตนเอง จะช่วยให้เด็กเกิดความคิด รวบยอดและการมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์สามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวันอย่างมีระบบมีเหตุผล 1.4 หลักการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ นิตยา ประพฤติกิจ(2541 : 19 -24) ได้กล่าวถึงหลักการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์ 1. สอนให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กมองเห็นความจำ เป็นและประโยชน์ของสิ่งที่ครูกำลังสอน ดังนั้นการสอนคณิตศาสตร์แก่เด็กจะต้องสอดคล้องกับ กิจกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็ก ตระหนักถึงเรื่องคณิตศาสตร์ทีละน้อย และช่วยให้เด็กเข้าใจ เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ในขั้นต่อไป แต่สิ่งที่ สำคัญที่สุดคือการให้เด็กได้ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน กับครูและ ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง 2. เปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์ที่ทำให้ค้นพบคำตอบด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้เด็ก ได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายและเป็นไปตามสภาพ สิ่งแวดล้อม ที่เหมาะสม มีโอกาสได้ลงมือ
11 ปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เด็กได้ค้นพบคำตอบด้วยตนเองพัฒนา ความคิด และความคิดรวบ ยอดได้เองในที่สุด 3. มีเป้าหมายและมีการวางแผนที่ดีครูจะต้องมีการเตรียมการเพื่อให้เด็กได้ค่อย ๆ พัฒนาการเรียนรู้ขึ้นเองและเป็นไปตาม แนวทางที่ครูวางไว้ 4. เอาใจใส่เรื่องการเรียนรู้และลำดับขั้นการพัฒนาความคิดรวบยอดของเด็ก ครูต้องมีการ เอาใจใส่เรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกบัคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะลำดับขั้นการพัฒนาความคิดรวบยอด ทักษะ ทางคณิตศาสตร์โดยคำนึงถึงหลักทฤษฎี 5. ใช้วิธีการจดบันทึกพฤติกรรม เพื่อใช้ในการวางแผนและจัดกิจกรรม การจดบันทึกด้าน ทัศนคติทักษะและความรู้ความเข้าใจของเด็กในขณะทำกิจกรรม ต่างๆ เป็นวิธีการที่ทำ ให้ครูวางแผน และจดักิจกรรมได้เหมาะสมกับเด็ก 6. ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ของเด็ก เพื่อสอนประสบการณ์ใหม่ในสถานการณ์ใหม่ ประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ของเด็ก อาจเกิดจากกิจกรรมเดิมที่เคยทำ มาแล้ว หรือเพิ่มเติมขึ้นอีก ได้แม้ว่า จะเป็นเรื่องเดิมแต่อาจอยู่ในสถานการณ์ใหม่ 7. รู้จักการใช้สถานการณ์ขณะนั้นให้เป็นประโยชน์ครูสามารถใช้สถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ และเห็นได้ในขณะนั้นมาทำ ให้เกิดการเรียนรู้ด้านจำนวนได้ 8. ใช้วิธีการสอดแทรกกับชีวิตจริงเพื่อสอนความคิดรวบยอดที่ยาก การสอนความคิดรวบ ยอดเรื่องปริมาณ ขนาดและรูปร่างต่าง ๆ ต้องสอนแบบค่อย ๆ สอดแทรกไปตามธรรมชาติให้ สถานการณ์ที่มีความหมายต่อเด็กอย่างแท้จริงให้เด็กได้ทั้งดูและจับต้อง ทดสอบความคิดของตนเอง ในบรรยากาศที่เป็นกันเอง 9. ใช้วิธีให้เด็กมีส่วนร่วมหรือปฏิบัติจริงเกี่ยวกับบัตรตัวเลข สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมมี การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาครูสามารถนำมาใช้ในกิจกรรมเกี่ยวกับบัตรตัวเลขได้ เพราะตาม ธรรมชาติของเด็กนั้นล้วนสนใจในเรื่องการวัดสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอยู่แล้วรวมทั้งการจัดกิจกรรมการเล่น เกมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เข้าใจในเรื่องของตัวเลขแล้ว 10. วางแผนส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านอย่างต่อเนื่อง การวางแผนการสอน ครูควรวิเคราะห์และจดบันทึกด้วยว่า กิจกรรมใดที่ควรส่งเสริม ให้มีที่บ้านและที่โรงเรียน โดยยึดหลัก ความพร้อมของเด็กเป็นรายบุคคลเป็นหลัก และมีการวางแผน ร่วมกับปกครอง 11. บันทึกปัญหาการเรียนรู้ของเด็กอย่างงสม่ำเสมอเพื่อแก้ไขและปรับปรุง การจดบันทึก อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ทราบว่า มีเด็กคนไหนยังไม่เข้าใจและต้องจัดกิจกรรมเพิ่มเติมอีก 12. ในแต่ละครั้งควรสอนเพียงความคิดรวบยอดเดียว ครูควรสอนเพียงความคิดรวบยอด เดียว และใช้กรรมที่จัดให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริง จึงเกิดการเรียนรู้ได้
12 13. เน้นกระบวนการเล่นจากง่ายไปหายากได้การสร้างความคิดรวบยอดเกี่ยวกับบัตรตัวเลข ของเด็กจะต้องผ่านกระบวนการเล่นมีทั้ง แบบจัดประเภท เปรียบเทียบและจัดลำดับ ซึ่งต้องอาศัย การนับเศษส่วน รูปทรงและเนื้อที่การวัด การจัด และการเสนอข้อมูล ซึ่งเป็นพื้นฐานไปสู่ความเขา้ใจ เรื่องคณิตศาสตร์ต่อไป จำเป็นต้องเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นที่ง่ายและค่อยยากขึ้นตามลำดับ 14. ควรสอนสัญลักษณ์ตัวเลขและเครื่องหมาย เมื่อเด็กเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วการใช้สัญลักษณ์ ตัวเลขและเครื่องหมายกับเด็กนั้นทำได้เมื่อเด็กเข้าใจความหมายแล้ว 15. ต้องมีการเตรียมความพร้อมในการเรียนคณิตศาสตร์การเตรียมความพร้อมนั้นจะต้อง เริ่มที่การฝึกสายตาเป็นอันดับแรกเพราะหากเด็ก ไม่สามารถใช้สายตาในการจำแนกประเภทแล้วเด็ก จะมีปัญหาในการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ กุลยา ตันตผลาชีวะ (2549 : 39-40 ) ได้กล่าวว่า การสอนให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้คณิตศาสตร์ นั้นครูต้องกำหนดจุดประสงค์และวางแผนการสอนที่จะทำให้เด็กได้ใช้วิธีการสังเกตซึมซับสัมผัส โดยเฉพาะจากการแก้ปัญหาจริง ซึ่งสภาครูแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ข้อเสนอแนะ หลักการสอนคณิตศาสตร์เด็กอายุ 3 – 6 ขวบไว้10 ประการดังนี้ 1. ส่งเสริมความสนใจคณิตศาสตร์ของเด็กด้วยการนำคณิตศาสตร์ที่เด็กสนใจนั้นเชื่อมสานไป กับโลกทางกายภาพและสังคมของเด็ก 2. จัดประสบการณ์ที่หลากหลายให้กับเด็กโดยสอดคล้องกับครอบครัวภาษา พื้นฐาน วัฒนธรรม วิธีการเรียนของเด็กแต่ละคน และความรู้ของเด็กที่มี 3. ฐานหลักสตรคณิตศาสตร์และการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการ ด้านปัญญา ภาษา ร่างกาย อารมณ์สังคมของเด็ก 4. หลักสูตรและการสอนต้องเพิ่มความเข้มแข็งด้านการแก้ปัญหา กระบวนการใช้เหตุผล การนําเสนอ การสื่อสารและการเชื่อมแนวคิดคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย 5. หลักสูตรต้องสอดคล้องและบ่งชี้ของความรู้และแนวคิดสำคัญทางคณิตศาสตร์ 6. สนับสนุนใหเด็กมีแนวคิดสำคัญทางคณิตศาสตร์อย่างลุ่มลึกและยั่งยืน 7. บูรณาการคณิตศาสตร์เข้ากับกิจกรรมต่างๆ และนํากิจกรรมต่างๆ มาบูรณาการ คณิตศาสตร์ด้วย 8. จัดเวลา อุปกรณ์และครู ที่พร้อมสนับสนุนให้เด็กเล่น ในบรรยากาศที่สร้าง ให้เด็กเรียนรู้ แนวคิดคณิตศาสตร์ที่เด็กสนใจอย่างกระจ่าง 9. นํามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์วิธีการภาษา มาจัดประสบการณ์โดยกำหนด กลยุทธ์การ เรียนการสอนที่เหมาะสมกับพัฒนาการเด็ก 10. สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก ด้วยการประเมินความรู้ทักษะและความสามารถทาง คณิตศาสตร์ของเด็ก การจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยต้องเน้นเด็กเป็นสำคัญ
13 กิจกรรมการเรียนรู้ต้องนําไปสู่การเรียนรู้คณิตศาสตร์ของเด็ก ทำให้เด็กชอบคิด สนุกกับการได้คิดค้น และตอบคําถาม รวมถึงการแก้ปัญหา ครูต้องสนองตอบความสนใจเรียนรู้ของเด็กให้ถูกต้องจึงจะทำ ให้การเรียนรู้คณิตศาสตร์ของเด็กเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป เป็นมโนทัศน์คณิตศาสตร์ สำคัญที่เด็กปฐมวัยควรเรียนรู้ เยาวพา เดชะคุปต์ (2542:87 – 88) ได้เสนอการสอนคณิตศาสตร์แนวใหม่ ที่ครูควรศึกษาเพื่อ จัดประสบการณ์ให้กับเด็กตามทักษะ ดังนี้ 1. การจัดกลุ่ม หรือ เซต สิ่งที่ควรสอนได้แก่ การจับคู่ 1:1 การจับคู่สิ่งของการรวมกลุ่ม กลุ่ม ที่เท่ากัน และ ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเลข 2. จำนวน 1 – 10 การฝึกนับ 1 – 10 จำนวนคู่ จำนวนคี่ 3. ระบบจำนวน (Number System) และชื่อของตัวเลข 1 = หนึ่ง 2 = สอง 4. ความสัมพันธ์ระหว่างเซตต่าง ๆ เช่น เซตรวม การแยกเซต ฯลฯ 5. สมบัติของคณิตศาสตร์จากการรวมกลุ่ม (Properties of Math) 6. ลำดับที่ สำคัญ และประโยคคณิตศาสตร์ ได้แก่ ประโยคคณิตศาสตร์ที่แสดงถึง จำนวน ปริมาตร คุณภาพต่างๆ เช่น มาก – น้อย สูง – ต่ำ ฯลฯ 7. การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เด็กสามารถวิเคราะห์ปัญหาง่ายๆทางคณิตศาสตร์ ทั้งที่เป็น จำนวนและไม่เป็นจำนวน 8. การวัด (Measurement) ได้แก่ การวัดสิ่งที่เป็นของเหลว สิ่งของ เงินตรา อุณหภูมิ รวมถึง มาตราส่วน และ เครื่องมือในการวัด 9. รูปทรงเรขาคณิต ได้แก่ การเปรียบเทียบ รูปร่าง ขนาด ระยะทาง เช่นรูปสิ่งของที่มีมิติต่าง ๆ จากการเล่นเกม และจากการศึกษาถึงสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว 10. สถิติ และกราฟ ได้แก่ การศึกษาจากการบันทึกทำแผนภูมิการเปรียบเทียบ ต่าง ๆ จุฑาทิพย์ ทองช่วย (2555 : 41) ได้กล่าวถึงหลักและแนวการจัดประสบการณ์ทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยว่า เน้นเด็กเป็นสำคัญผู้สอนควรคำนึงถึงจุดประสงค์ในการจัดการเรียน การสอนคณิตศาสตร์ให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงด้วยตนเองเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้และ สามารถบูรณาการให้เข้ากับกิจกรรมอื่นๆได้ให้เด็กได้เรียนรู้อย่างมีความสุข สมคิด อินช้าง (2552 : 33) ได้กล่าวถึงหลักการและแนวทางการจัดประสบการณ์ทาง คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยว่า ควรให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรงที่ใกล้ตัวจากง่ายไปยาก จากรูปธรรมไปสู่สิ่งที่เป็นนามธรรมเชื่อมโยงจากกิจวัตรประจำวันผ่านกิจกรรมที่สนุกสนานประกอบ การรับความรู้ไปด้วย รวมถึงการใช้สื่อที่หลากหลาย สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กตั้งแต่ละวัย
14 สรุปการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยได้ว่า ต้อง คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของผู้เรียนโดยเริ่ม จากเนื้อหาที่ง่ายไปหายากเน้นให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองควรใช้สื่อที่เป็นของจริงและมีความ หลากหลายควรจัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข 1.5 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับและนำมาปรับใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมทางคณิตศาสตร์ ให้เด็กมากที่สุด คือ ทฤษฎีพัฒนาการทางความคิดความเข้าใจของเพียเจท์(Piaget) และทฤษฎี พัฒนาการ ทางด้านสติปัญญาของบรูเนอร์(Bruner) 1. ทฤษฎีพัฒนาการทางความคิดความเข้าใจของเพียเจท์(Piaget) เพียเจท์ (Piaget, 1965 อ้างถึงใน นิตยา ประพฤติกิจ, 2541 : 5-7) ได้แบ่งขั้นพัฒนาการ ทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้นดังนี้ ขั้นที่1 ขั้นประสารทสัมผัสและการเคลื่อนไหว(Sensorimotor Stage) ช่วงอายุ0-2 ปีในขั้นนี้เด็กจะอาศัยประสารทสัมผัสในการติดต่อกับโรคภายนอกเด็กเชื่อว่าถ้าไม่เห็นวัตถุแสดงว่า ไม่มีเช่น เมื่อมารดาเอาผ้าคลุมลูกบอลเด็กก็จะคิดว่า ไม่มีแต่เมื่ออายุระหว่าง1-2 ขวบ เด็กเริ่มรู้ว่า แม้ว่าสิ่งนั้น จะไม่ปรากฏให้เห็นแต่อาจอยู่ที่นั่น ก็ได้ ขั้นที่2 ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ(Preoperational Stage) ช่วงอายุ2-7 ปีเด็กวัยนี้ เริ่มรู้จักจำแนกรูปแบบ และแสดงความเข้าใจเกี่ยวกับการคงที่ของรูปแบบต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อม ของ ตนแต่การรับรู้ของเด็กวัยนี้อาจผิดพลาดได้เด็กวัยนี้สามารถรับรู้และเปรียบเทียบสิ่งที่ปรากฏแก่ สายตาได้เริ่มให้เหตุผลและเห็นความสัมพันธ์ระหว่างส่วนรวมและส่วนย่อยได้แต่ยังไม่สามารถคิด แบบ นามธรรมได้ถ้าหากเหตุการณ์นั้นมิได้ประจักษ์แก่สายตา ขั้นที่3 ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Stage) ช่วงอายุ 7-11 ปีเด็กสามารถเข้าใจในเรื่องการอนุรักษ์ มีเหตุผลเข้าใจถึงผลที่จะเกิดขั้นตามมาแสดงให้เห็นถึง หลักแห่ง เหตุผลเบื้องต้นได้เช่น ลักษณะ2 มิติได้ทันทีหรือเข้าใจว่าวัตถุเมื่อเปลี่ยนรูปทรงก็ยังมี ปริมาณเท่าเดิม ขั้นที่4 ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม (Formal Operation Stage) อายุ 11 หรือ 12 ปีขึ้นไป เป็นขั้นที่พัฒนาการทางความคิดของเด็กเป็นขั้น สุดยอด สามารถใช้สัญลักษณ์แทนเพื่อ แก้ปัญหา หรือใช้เหตุผลในขั้นนามธรรมได้สามารถตัดสินใจเลือกโดยอาศัยสัญลักษณ์เข้าช่วยโดยไม่จำ เป็นต้อง ดูหรือมีข้อมูลมาก สามารถมองเห็นความเป็นไปได้อย่างมีเหตุผล เพียเจท์ (Piaget, 1965อ้างถึงใน นิตยา ประพฤติกิจ, 2541 : 7)ได้แบ่งความรู้ทางด้าน คณิตศาสตร์ตามพัฒนาการทางคณิตศาสตร์ของเด็กออกเป็น 2 ชนิด คือ ความรู้ทางด้านกายภาพ
15 (Physical Knowledge) กับความรู้ทางด้านเหตุผลทางคณิตศาสตร์(Logico-mathematical Knowledge) 1.1 ความรู้ทางด้านกายภาพ เป็นความรู้ที่ได้จากการใช้ประสาทสัมผัส เป็นความรู้ ภายนอกที่เกิดจากการปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดลอ้มโดยตรง 1.2 ความรู้ทางด้านเหตุผลทางคณิตศาสตร์ เป็นความรู้ที่ได้จากการเชื่อมโยงเข้ากับ ทฤษฎีโดยการลงมือกระทำ จึงเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นภายใน หรือเป็นผลสะท้อนที่ได้รับนั่นเอง ความรู้ ด้านเหตุผลทางคณิตศาสตร์จะเกิดขึ้นหลังจากที่เด็กได้ลงมือกระทำ กิจกรรมโดยอาศัยการเชื่อมโยง จาก ข้อเท็จจริงที่เห็นไปสู่ความเข้าใจหรือความคิดรวบยอดต่อไป จากการที่เด็กรู้จักใช้เหตุผลนี่เองทำ ให้เด็กไม่ต้องอาศัยประสารทสัมผัสในการเรียนรู้เรื่องนามธรรมอีกเมื่อโตขึ้น 2. ทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของบรูเนอร์(Bruner) บรูเนอร์(Bruner, 1963อ้างถึงใน สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2543: 6) กล่าวถึงทฤษฎีพัฒนาการของคนทางความรู้ความคิด ซึ่งมีส่วนคล้ายกันกับทฤษฎีของเพียเจท์อยู่ มากเขาเชื่อว่า การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากกระบวนการทำงานภายในอินทรีย์(Organism) บรูเนอร์เน้น ความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมว่า ส่งผลต่อความงอกงามทางสติปัญญาของเด็ก โดย บรูเนอร์แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาและการคิดออกเป็น 3 ขั้น ดังนี้ 2.1 ขั้นประสบการณ์ตรงและสัมผัส (Enactive Stage) เปรียบได้กับขั้นประสาท สัมผัส และการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage) เป็นขั้นที่เด็กเรียนรู้ด้วยการกระทำ มากที่สุด และเข้าใจ สิ่งแวดล้อมจากการกระทำ ในขั้นนี้ยังไม่มีการวาดภาพในสมอง (Imagery) มีลักษณะ พัฒนาการ ด้านทักษะ 2.2 ขั้นการใช้ภาพเป็นสื่อในการมองเห็น (Iconic Stage) เปรียบได้กับขั้นความคิด ก่อนปฏิบัติการ(Preoperational Stage) ของเพียเจท์ในวัยนี้เด็กจะเกี่ยวข้องกับความจริงมากขั้นและ เกิดความคิดจากการรับรู้เป็นส่วนใหญ่อาจมีจินตนาการบ้างแต่ก็ไม่สามารถคิดได้ลึกซึ้ง 2.3 ขั้นการสร้างความสัมพันธ์และสัญลักษณ์ (Symbolic Stage) เป็นขั้นพัฒนาการ สูงสุด ของบรูเนอร์เปรียบได้กับขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Stage) และ ขั้น ปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม (Formal Operation Stage)ของเพียเจท์ขั้นนี้ เด็กสามารถคิดได้อย่าง อิสระ โดยแสดงออกทางภาษาและการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการคิดก่อนทำ มีการเรียนรู้และ ใช้ภาษา มีเหตุผลและเรียนคณิตศาสตร์ได้มีความเข้าใจสัญลักษณ์ทำให้เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้กว้างขวาง สรุปแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยได้ว่า เด็กปฐมวัยสามารถเข้าใจคณิตศาสตร์ได้ถ้าหากกิจกรรมที่ครูจัดมีความเหมาะสม กับระดับ ความสามารถของเด็กโดยเด็กปฐมวัยจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยประสารทสัมผัสทั้งห้าจากสิ่งแวดลอ้ม ที่ อยู่รอบตัวเด็กจะเรียนรู้จากสิ่งที่ง่ายไปหายาก จากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปหานามธรรม ซึ่งจะทำให้เด็ก
16 ได้รู้จักการจัดระบบความคิด พัฒนาการคิดอย่างมีเหตุผลและรู้จักใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ด้วย ตนเองได้ซึ่งจะมีความแตกต่างหลากหลายในประสบการณ์ที่ต่างกัน 2. เกมกาศึกษา 2.1 ความหมายของเกมการศึกษา เกมการศึกษาเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยให้เด็กได้พัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และ สติปัญญา ซึ่งได้มีนักวิชาการให้ความหมายเกมการศึกษาไว้ดังนี้ ไพเราะ พุ่มมั่น (2544: 24) ได้ให้ความหมายเกมการศึกษาว่า เป็นเกมการเล่นที่ฝึกการ สังเกต พัฒนากระบวนการคิด เกิดความคิดรวบยอด วิธีการเล่นมีกฎ กติกาง่าย ๆ เด็กสามารถเล่นคน เดียว หรือเล่นเป็นกลุ่มได้ บูรชัย ศิริมหาสาคร (2545: 79) ได้ให้ความหมายเกมการศึกษาว่า เป็นเกมการเล่นที่ช่วย พัฒนาสติปัญญา มีกฎเกณฑ์กติกาง่าย ๆ เด็กสามารถเล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่มได้ช่วยให้เด็กรู้จัก สังเกต คิดหาเหตุผล และเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสีรูปร่าง จำนวน ประเภท และความสัมพันธ์ เกี่ยวกับพื้นที่ระยะ เกมการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับเด็กวัย 3-6 ปีเช่น เกมจับคู่แยกประเภท กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ (2546: 66) ได้กล่าวว่าเกมการศึกษา หมายถึง เกมการ เล่นที่ช่วยพัฒนาสติปัญญา มีกฎเกณฑ์กติกาง่าย ๆ เด็กสามารถเล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่มได้ช่วย ให้เด็กรู้จักสังเกต คิดหาเหตุผลและเกิดความคิด รวบยอด เกี่ยวกับสี รูปร่าง จำนวน ประเภท และ ความสัมพันธ์เกี่ยวกับพื้นที่/ระยะ เกมการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับเด็กวัย 3–5 ปีเช่น เกมจับคู่ แยก ประเภท จัดหมวดหมู่ เรียงลำดับ โดมิโน ลอตโต ภาพตัดต่อ ต่อตามแบบ ฯลฯ สุวิทย์ มูลคํา และอรทัย มูลคํา (2547 : 90) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม คือ กระบวนการเรียนรู้ท ี่ผู้สอนให้ผู้เรียนเล่นเกมที่ มีกฎเกณฑ์กติกาเงื่อนไข หรือข้อตกลงร่วมกันที่ไม่ ยุ่งยาก ซับซ้อน ทำให้เกิดความสนุกสนานร่าเริง เป็นการออกกําลังกาย เพื่อพัฒนาความริเริ่ม สร้างสรรค์มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์การเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นโดยมีการนําเนื้อหา ข้อมูลของเกมพฤติกรรมการเล่น วิธีการเล่น และผลการเล่นเกมมาใช้ในการอภิปรายเพื่อสรุปผล การ เรียนรู้ พัชร กัลยา (2551 : 31) ได้ให้ความหมายเกมการศึกษาว่า เกมเป็นอุปกรณ์เรื่องช่วยสอน ที่ช่วยให้นักเรียนได้พัฒนาสติปัญญาในด้านการคิดการสังเกตการคิดหาเหตุผลเนื่องจากเกมการศึกษา แต่ละชุดจะมีวิธีเล่นโดยเฉพาะอ่านเล่นคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่มและผู้เล่นสามารถตรวจสอบว่าเล่น ถูกหรือไม่ด้วยตนเองรวมทั้งเด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสกล้ามเนื้อมือหลังจากเล่นเกมแล้วเด็กก็จะเกิด ความคิดต้องย่อนในเรื่องนั้นๆก็ได้
17 วรรณี วัจนสวัสดิ์(2552 : 21) ได้สรุปความหมายของเกมการศึกษาว่า คือเกมหรือกิจกรรม ที่จัดให้กับเด็กวัย 4-6 ปีซึ่งช่วยส่งเสริมสติปัญญาในการสังเกตคิดหาเหตุผลการแก้ปัญหาและพัฒนา ความคิดย่อมยอดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนเกมแต่ละเกมสามารถเล่นได้ทั้งคนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่มโดยมี วิธีการเล่นและการตรวจสอบความถูกต้องได้ จากความหมายเกมการศึกษาดังกล่าว จึงพอสรุปความหมายของเกมการศึกษา ได้ว่า เกม การศึกษา หมายถึง กิจกรรมการเล่นที่ ช่วยส่งเสริมและพัฒนาการด้านทักษะการคิด อย่างเป็นระบบ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้เงื่อนที่กำหนด ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมให้เกิดการเรียนรู้เกิดทักษะการคิดเพื่อ ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญา และตอบสนองความต้องการตามวัยของผู้เรียน ที่สามารถเล่น เดี่ยวหรือว่าเป็นกลุ่มโดยมีวิธีการเล่นและการตรวจสอบความถูกต้องได้ 2.2 ประเภทของเกมการศึกษา เยาวภา เดชะคุปต์ (2546 : 56) ได้แบ่งประเภทของเกมไว้ 8 ประเภท คือ 1. การเล่นเป็นนิยายและการเล่นเลียนแบบ (Story Play) ได้แก่การเล่นที่ มีนิยายประกอบ เด็กแสดงท่าทางตามนิยาย 2. การเล่นเบ็ดเตล็ด (Low Organization) เป็นการเล่นท ี่ มีกติกาเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่งเสริม ให้ เด็กมีทักษะทางการเคลื่อนไหว 3. เกมการเล่นที่ส่งเสริมสมรรถภาพตนเอง (Self Testing) เป็นการเล่นที่ส่งเสริมให้เด็กมี ความแข็งแกรงของอวัยวะส่วนต่าง ๆ 4. เกมนําไปสู่กีฬาใหญ่ (Lead-up Games) เป็นเกมที่ทำให้เกิดดทักษะในการเล่นกีฬา 5. เกมการเคลื่อนไหวและการประกอบเพลง (Mtion Song and Singing Games) ได้แก่การ ร้องเพลงที่มีท่าทางประกอบหรือร้องเพลงแล้วเล่นเกมไปด้วย 6. เกมนันทนาการ (Recreation Games) เป็นการเล่นเพื่อความเพลิดเพลินใช้เวลา ผ่อน คลายความตึงเครียด 7. เกมที่เล่นเป็นกลุ่ม (Group Games) เป็นเกมที่ เล่นกันเป็นกลุ่มง่ายๆเพื่อส่งเสริม ทาง ด้านสังคมของเด็ก 8. เกมการศึกษา (Didactic Games or Education Games) เป็นการเล่นที่ส่งเสริมให้เกิด การเรียนรู้พื้นฐานทางการศึกษามุ่งให้เด็กใช้สติปัญญา สังเกตคิดหาเหตุผลและแก้ปัญหา จากแนวคิด ดังกล่าว บ่งบอกให้ทราบว่าเกมการศึกษาเป็นเกมที่ ส่งเสริมการคิดเพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ทาง สติปัญญา สังเกตคิดหาเหตุผลและแก้ปัญหา ซึ่งสอดคล้องกับกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546: 66) เกมการศึกษาเป็น การเล่นที่ช่วยพัฒนาสติปัญญา มีกฎเกณฑ์กติกาง่ายๆ เด็กสามารถเล่น คนเดียวหรือเล่นเป็นกลุ่ม ช่วยให้เด็กรู้จักสังเกต คิดหาเหตุผลและเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ สี
18 รูปร่าง จำนวน ประเภทและความสัมพันธ์เกี่ยวกับพื้นที่ ระยะ เกมการศึกษาที่ เหมาะสมกับเด็กวัย 3–5 ปีเช่น เกมจับคู่ แยกประเภท จัดหมวดหมู่ เรียงลำดับ โดมิโน ลอตโต ภาพตัดต่อ ต่อตามแบบ เป็นต้น กระทรวงศึกษาธิการ (2547 : ออนไลน์) ได้นำเสนอประเภทของเกมการศึกษาไว้ 8 ประเภท ดังนี้ 1. เกมจับคู่ เช่น 1.1 จับคู่รูปร่างที่เหมือนกัน 1.2 จับคู่ภาพกับเงา 1.3 จับคู่ภาพที่ช่อนอยู่ในภาพหลัก 1.4 จับคู่สิ่งที่มีความสัมพันธ์กัน สิ่งที่ใช้คู่กัน 1.5 จับคู่ภาพส่วนเต็มกับส่วนย่อย 1.6 จับคู่ภาพกับโครงร่าง 1.8 จับคู่ภาพกับชิ้นส่วนที่หายไป 1.9 จับคู่ภาพที่เป็นประเภทเดียวกัน 1.10 จับคู่ภาพที่ซ้อนกัน 1.11 จับคู่ภาพสัมพันธ์แบบตรงกันข้าม 1.12 จับคู่ภาพที่สมมาตรกัน 1.13 จับคู่แบบอุปมาอุปไมย 1.15 จับคู่แบบอนุกรม 2. เกมภาพตัดต่อ (Jig-saw puzzle) เช่น ต่อภาพตัดต่อที่สัมพันธ์กับหน่วยการเรียน เช่น ต่อ ภาพปลา เมื่อเรียนหน่วยปลา ต่อภาพผลไม้ เมื่อเรียนหน่วยผลไม้ เป็นต้น 3. เกมจัดหมวดหมู่ 3.1 ภาพสิ่งต่างๆที่นำมาจัดเป็นพวกๆ 3.2 ภาพเกี่ยวกับประเภทของใช้ในชีวิตประจำวัน 3.3 เกมจัดหมวดหมู่ตามรูปร่าง สี ขนาด รูปทรงเรขาคณิต 4. เกมวางภาพต่อปลาย (Domino) 4.1 โดมิโนภาพเหมือน 4.2 โดมิโนสัมพันธ์ 5. เกมเรียงลำดับ 5.1 เรียงลำดับภาพเหตุการณ์ต่อเนื่อง 5.2 เรียงลำดับขนาด
19 5.3 เกมศึกษารายละเอียดของภาพ (Lotto) 6. เกมจับคู่แบบตารางสัมพันธ์ (Matrix) 7. เกมพื้นฐานการบวก ลักคะณา เสโนฤทธิ์ (2551 : 33) สรุปได้ว่าเกมการศึกษาจะมีหลายประเภทซึ่งแต่ละ ประเภทส่วนใหญ่จะเน้นฝึกทางด้านสติปัญญาและเป็นเกมที่ช่วยพัฒนาเด็กและสมองความต้องการ ตามธรรมชาติของเด็ก สรุปประเภทของเกมการศึกษาได้ว่า เกมการศึกษามีหลายประเภท เช่น เกมจับคู่ แยก ประเภท จัดหมวดหมู่ เรียงลำดับ โดมิโน ลอตโต ภาพตัดต่อ ต่อตามแบบ เป็นต้น การเล่นเกม การศึกษานั้นจะพัฒนาเด็กฝึกให้เด็กสังเกตและฝึกการคิดอย่างมีเหตุผลเป็นการพัฒนาเด็กในด้าน สติปัญญาช่วยพัฒนาเด็กและสมองความต้องการตามธรรมชาติของเด็ก 2.3 หลักการในการจัดเกมการศึกษา วรี เก๋ยสกุล (2530 : ออนไลน์) ลักษณะของการจัดกิจกรรมการเล่นสำหรับเด็กตามหลัก ทฤษฎีของเพียเจต์ ไว้ 3 ประการ ดังนี้ 1. เสนอสิ่งที่น่าสนใจและท้าทายเพื่อให้เด็กค้นหาวิธีการเล่น โดยคำนึงถึงระดับพัฒนาการ ของเด็กเป็นสำคัญ เพราะจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกที่ดี สนใจ จะทำให้เด็กอยากรู้อยากเห็น อยาก ทดลอง กิจกรรมที่จัดให้เด็กนั้นควรมีความยากพอที่จะท้าทายแต่ก็ง่ายพอที่เด็กสามารถทำได้ด้วย ตนเอง การท้าทายเรื่องการคิดหาวิธีเล่นทำให้เด็กได้คิดอย่างกว้างขวาง จึงจะช่วยกระตุ้นให้เด็กเรียนรู้ ที่จะแก้ปัญหาในการแบ่งปันหน้าที่ของตนเอง ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ในการกระทำของตนเอง รู้จัก เปรียบเทียบกับเพื่อน และทำให้มีความพยายามที่จะหาวิธีการเล่นที่ดีในครั้งต่อไป นอกจากสิ่งนี้ ควร วิเคราะห์การเล่นของเด็ก คือ สิ่งที่เด็กคิดจะเล่นทำ และทำได้ด้วยตนเอง กิจกรรมที่พัฒนาความคิด ของเด็กเพียงเล็กน้อยจึงไม่ควรนำมาให้เด็กเล่น 2. ส่งเสริมให้เด็กสามารถตัดสินใจด้วยตนเอง เมื่อสิ้นสุดกิจกรรมลงควรให้เด็กประเมินผล การ เล่นด้วยตนเองและผลที่ได้ต้องชัดเจน และตัดสินใจในความสำเร็จได้ 3. ให้ผู้เล่นทุกคนมีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างตั้งใจตลอดกิจกรรม เพราะถ้าผู้เล่นไม่มีส่วนร่วม ในกิจกรรมนั้น ก็จะไม่เกิดแรงกระตุ้นในการเข้าร่วมกิจกรรม จากหลักเกณฑ์สรุปว่า ไม่เพียงเพื่อให้ เด็กได้เรียนรู้จากการเล่นเท่านั้น แต่สำคัญที่ว่าเด็กจะได้เล่นถูกต้องตามเกณฑ์การเล่นหรือไม่ได้ สาระประโยชน์ในการพัฒนาความคิดของเด็กหรือไม่ และเพิ่ม ความสามารถในการเล่นหรือการมีส่วน ร่วมในกิจกรรมมากน้อยเพียงใด นิตยา สุวรรณศรี (2540: 60-61) ได้แนะนําในการสอนเกมไว้ดังนี้
20 1. เด็กก่อนวัยเรียน เรียนได้ดีในกลุ่มเด็ก ๆ เพราะครูมีโอกาสพบเด็กแบบตัวต่อตัว และเป็น การตัดสินปัญหาเรื่องการต้องรอคอยเพื่อนเป็นเวลานาน ๆ 24 2. ข้อควรจำก็คือ ช่วงความสนใจของเด็กเล็กนี้จะมากกว่าอายุของเด็กคนนั้น ๆ เป็นเวลา 1 นาที ในการจัดกิจกรรมควรคำนึงถึงความสามารถและสิ่งที่ช่วยให้เด็กอยู่ในกลุ่มที่เป็นระเบียบได้ นานตามสมควรก็ต้องอาศัยนิทาน เพลง เกม 3. ในการสอนเกมแต่ละเกมควรให้ความคิดรวบยอดใหม่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น 4. เกมที่นํามาสอนอย่าให้ซับซ้อนจนเกินไป และต้องแน่ใจว่าคำแนะนําวิธีการเล่นชัดเจน และครูต้องสาธิตให้ดูอย่างเพียงพอ 5. กระตุ้นให้นักเรียนมีโอกาสมีส่วนร่วมและประสบความสำเร็จ 6. เมื่อเห็นว่านักเรียนเหนื่อยล้าควรหยุดพัก 7. ในการสอนเกมแทนที่ จะบังคับให้เด็กทุกคนเล่น ควรจะเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นตาม ความสนใจและประสบการณ์ของเด็ก สังเกต เด็กบางคนอาจจะไม่รู้สึกสนุกที่ จะร่วมเล่นเกมกับเพื่อน ที่โรงเรียน แต่จะสังเกตและเรียนรู้เกมแล้วนําไปเล่นที่บ้าน บางทีเด็กก็ไม่อยากจะปฏิบัติตามกฎของ เกมที่ น่าเบื่อและใช้เวลานาน ครูก็อาจจะให้หยุดเล่นได้แล้วทำกิจกรรมอื่นต่อ แต่ถ้าใครประสงค์จะ เล่นเกมนี้ต่อก็ให้เล่นต่ออีก 8. เกมที่ผู้เล่นต้องผลัดเปลี่ยนหรือแข่งขันเพื่อหาผู้ชนะ ไม่ควรนำมาใช้กับเด็กวัยก่อนเรียน เด็กควรได้รับการกระตุ้นให้แข่งขันกับตนเอง เด็ก ๆ ต้องการโอกาสอย่างมากในการที่ จะทำอะไร ๆ ให้สำเร็จ และมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง ควรงดเว้นเกมที่ตองรอคอยหรือเกมที่เด็กไม่กระตือรือร้นจะ เล่น สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2547 : 66) ได้เสนอแนะเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาไว้ดังนี้ 1. การสอนเกมการศึกษาในระยะแรกควรเริ่มสอนโดยใช้ของจริง เช่น การจับคู่กระป๋องแป้ง ที่เหมือนกัน หรือการเรียงลำดับกระป๋องตามลำดับสูง-ต่ำ 2. การเล่นเกมการศึกษาในแต่ละวัน อาจจัดให้เล่นทั้งเกมการศึกษาชุดใหม่และเกม การศึกษาชุดเก่า 3. ผู้สอนอาจให้เด็กหมุนเวียนเข้ามาเล่นเกมการศึกษากับผู้สอนทีละกลุ่ม หรือเล่นทั้ง ชั้นตาม ความเหมาะสม 4. ผู้สอนอาจให้เด็กที่ เล่นได้แล้ว มาช่วยแนะนํากติกาการเล่นในบางโอกาสได้ 5. การเล่นเกมการศึกษา นอกจากใช้เวลาในช่วงกิจกรรมเกมการศึกษาตามตาราง กิจกรรม ประจำวันแล้วอาจให้เด็กเลือกเล่นอิสระในช่วงเวลากจกรรมเสรีได้
21 6. การเก็บเกมการศึกษาที่ เล่นแล้ว อาจเก็บใส่กล่องเล็ก ๆ หรือใส่ถุงพลาสติกหรือใช้ยางรัด แยกแต่ละเกม แล้วจัดใส่กล่องใหญ่รวมไว้เป็นชุด สรุปหลักในการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยได้ว่า คือต้องมีการคัดเลือก เกม ให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน โดยคำนึงถึงวุฒิภาวะ เวลา สถานที่อย่างเหมาะสม เป็นเกมที่ให้ทั้ง ความสนุกสนาน ส่งเสริมให้ได้รับการพัฒนาทางสติปัญญาเกี่ยวกบทักษะการคิด เป็นเกมที่ง่าย ๆ สั้น ๆ ใช้เวลาไม่มากนัก มีลักษณะท้าทายความสามารถของนักเรียน สามารถเล่นได้ทุกคน มีการ ตรวจสอบ และตัดสินคะแนนได้ง่าย เน้นความสามัคคีมีน้ำใจเป็นนักกีฬาความร่วมมือและความ รับผิดชอบร่วมกัน 2.4 การจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษา เข็มทอง จิตจักร (2544 : ออนไลน์) ได้เสนอขั้นตอนการจัด ประสบการณ์ด้วยเกม ดังนี้ 1. ขั้นนำ ครูเป็นผู้นำเข้าสู่บทเรียนเช่นครูทบทวนบทเรียนด้วยการซักถามหรือใช้สื่อ ประกอบการนำเข้าสู่บทเรียนเพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนสนใจติดตามบทเรียนใหม่ 2. ขั้นกิจกรรม ครูอธิบายวิธีการเล่นข้อตกลงและกติกาการเล่นเกมให้นักเรียนเข้าใจก่อนที่ นักเรียนจะลงมือปฏิบัติต่อจากนั้นนักเรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามกำหนด 3. ขั้นอภิปราย ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายมีครูเป็นผู้นำอภิปราย 4. ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวบรวมความรู้ที่ได้จากการจัดกิจกรรมและอภิปรายแล้วนำมา สรุป ให้ได้สาระสำคัญตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ( 2537: ออนไลน์) จัดประสบการณ์เกม การศึกษามีขั้นตอนดังนี้ 1. ขั้นนำ เป็นการแนะนำวิธีการเล่นเกม 2. ขั้นสอน ให้นักเรียนปฏิบัติจริง 3. ขั้นสรุป ให้นักเรียนเก็บเกมเข้าที่ให้เรียบร้อย 4. การประเมินผล สังเกตการเล่นเกมการเก็บของเข้าที่ สรุปการจัดประสบการณ์โดยใช้เกมการศึกษาได้ว่า มีขั้นตอนการสอน ดังนี้ 1. ขั้นนำ เป็นการแนะนำเกมเพื่อให้เกิดความสนใจในเนื้อหา 2. ขั้นสอน ตกลงกติกาการเล่นเกมนักเรียนลงมือปฏิบัติ 3. ขั้นสรุป สรุปเนื้อหาที่ได้จากขั้นอภิปรายและขั้นกิจกรรม 4. ขั้นประเมินผล สังเกตการเล่นเกม
22 2.5 ประโยชน์ของเกมการศึกษา สุคนธ์ สินธพานนท์และคณะ (2545: 162) ได้กล่าวถึงข้อดีของการสอนโดยใช้เกมไว้ดังนี้ 1. ช่วยให้ผู้เรียนที่ มีปัญหาเบื่อหน่ายการเรียน หันมาสนใจการเรียน เพราะเกมทำให้เกิด ความสนุกสนานเพลิดเพลิน 2. ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักการควบคุมตนเอง เปลี่ยนจากผู้รับหรือผู้ตามมาเป็นผู้มีความสามารถ ในการตัดสินใจด้วยตนเองได้ 3. ส่งเสรมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม กระตุ้นให้เกิดความร่วมมือการปรึกษาหารือ 4. ช่วยให้ผู้สอนวินิจฉัยและแก้ไขมโนมติที่ผิดต่างๆได้หลายวิชาเช่น คณิตศาสตร์ภาษาไทย สังคมศึกษา ศิลปะ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์เป็นต้น อัชรีพร มณีวงษ์ (2546: 13-14) ได้กล่าวว่าการเล่นผ่านเกมนั้นมีประโยชน์และเหมาะสม กับทุกวัย ประโยชน์ที่ เด็กจะได้รับนั้นเด็กสามารถนําไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันและยังเป็นประโยชน์กับ เด็กทางอ้อมที่ จะส่งผลในอนาคตข้างหน้า ประโยชน์ที่กล่าวคือ 1. เด็กรู้จักการสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว หรือการนําเอาประสบการณ์มาใช้แก้ปัญหาใน ชีวิตประจำวันได้ 2. เกิดการเคลื่อนไหวได้ออกกําลังกาย และเกิดความสนุกสนาน มีความสุขในชีวิต 3. ส่งเสริมสุขภาพจิต ผ่อนคลายอารมณ์สมองปลอดโปร่ง ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสังคม 4. เกิดสติปัญญา มีจินตนาการการสร้างสรรค์ในการเล่น 5. เกิดความสามัคคีรักใคร่ในหมู่คณะ ส่งผลให้เป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว 6. มีการให้อภัย มีการเสียสละ และมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นพลเมืองที่ดีใน อนาคต 7. มีกิริยา วาจาที่สุภาพและมีความเคารพในสิทธิของผู้อื่น มีจิตเป็นประชาธิปไตย 8. กล้าคิด กล้าแสดงออกอย่างอิสระอย่างเป็นระบบและถูกวิธี 9. ปฏิบัติตามกฎกติกาและคําสงของเกมนั้น ๆ ส่งเสริมให้ลดปัญหาต่าง ๆ ของสังคมได้ 10. การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ไม่มั่วยาเสพติด ลดอาชญากรรม 11. ฝึกการเป็นผู้นำและการเป็นผู้ตามที่ดี ลักคะณา เสโนฤทธิ์ (2551 : 37) ได้สรุปว่าประโยชน์ของเกมการศึกษาเป็นกิจกรรมที่ช่วย ส่งเสริมและฝึกทักษะให้เด็กได้เกิดความคิดรวบยอด ในสิ่งที่เรียนนอกจากนี้วิธีการเล่นอย่างส่งเสริม ให้เด็กเกิดพฤติกรรมทางสังคมใน ด้านการช่วยเหลือแบ่งปัน การยอมรับผู้อื่นเพื่อให้อยู่ร่วมกันใน สังคมอย่างมีความสุข
23 สรุปประโยชน์ของเกมการศึกษาได้ว่า เกมการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญและอย่างเป็นประโยชน์ใน การใช้เป็นเครื่องมือในการนำนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้มีความรู้รู้จักแก้ปัญหาและเกมยังเป็นกิจกรรม อย่างหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะการคิดด้านต่างๆของผู้เรียนได้ 2.6 บทบาทของผู้สอนในการใช้เกมการศึกษา สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2546 : 54) กล่าวว่า ครูควร จัดเตรียมเกมการศึกษา ไว้ตามลำดับความยากง่าย เพื่อให้เด็กประสบความสำเร็จในการ เล่นเกมแต่ละครั้งจนเกิดความเชื่อมั่น และความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและเกิดเจตคติที่ดีต่อ การเล่นเกมการศึกษาในระดับซับซ้อน และควร แนะนำเกมใหม่ และให้เด็กลงมือเล่น ร่วมกับเพื่อน เป็นผู้สังเกตการณ์เล่นของเด็กแต่ละคน เช่น ความถูกต้อง ความคล่องแคล่ว ในการเล่นเกม ปฏิสัมพันธ์ของเด็กในขณะเล่นเกม เพื่อใช้เป็นข้อมูล ของเด็กในเรื่อง พัฒนาการด้านสติปัญญา และด้านอื่นๆ มัลลิกา พวกพล (2549 : 20) กล่าวว่า บทบาทของครูมีส่วนสำคัญใน การที่จะปลูกฝังและ พัฒนาพฤติกรรมในแต่ละด้าน การเรียนรู้ที่ดีต้องฝึกให้เด็กได้กระทำ ด้วยตนเองและสอนให้เห็นคุณค่า เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน การสอนต้องยึดกติกา มารยาท ความยุติธรรม และการมีน้ำใจ และการ สอนควรอธิบายให้เด็กได้เข้าใจการเล่น เป็นกลุ่ม และคอยช่วยเหลือเด็กในการเล่นแต่ละกลุ่ม รวมถึง สอนให้เด็กจัดเก็บเกมการศึกษา และคอยสังเกตการณ์เล่นของเด็กแต่ละคน เช่น ความถูกต้อง ความ คล่องแคล่ว ในการเล่นเกม ปฏิสัมพันธ์ของเด็กในขณะที่เล่นเกม เพื่อใช้เป็นข้อมูลของเด็กในเรื่อง พัฒนาการด้านสติปัญญาและด้านอื่นๆ บุบผา เรืองรอง. (2556 : ออนไลน์) กล่าวว่า ครูมีบทบาทสำคัญในการจัดกิจกรรมเกม การศึกษา โดยต้องมีการกำหนดจุดมุ่งหมายในการเล่น อะไรคือจุดมุ่งหมายที่ครูต้องการให้เด็กได้รับ จากการเล่น จุดมุ่งหมายอะไรบ้างที่ยัง ขาดอยู่หรือสมควรจะส่งเสริม อีกทั้งจะต้องพิจารณาถึง พัฒนาการและความต้องการของ เด็กแต่ละคน การวางแผนการเล่นครูจะต้องดำเนินการวางแผนจัด กระบวนการต่างๆ เพื่อที่จะให้การเล่นนั้นบรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้การวางแผนการเล่นควรดำเนินตาม ขั้นตอน คือ 1. เตรียมประสบการณ์ที่เหมาะสมให้แก่เด็ก 2. การสังเกต ควรให้เด็กไปสังเกตจากสถานการณ์ที่เป็นจริง 3. การอภิปราย ควรให้เด็กร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ ก่อน 4. การตั้งคำถาม ควรใช้คำถามที่จะทำให้ประสบการณ์ต่างๆ ชัดเจนขึ้น 5. การเริ่มกิจกรรมการเล่นและการพิจารณาเลือกอุปกรณ์การเล่นเมื่อ ครูแน่ใจแล้วว่าเด็กมี ประสบการณ์มากพอแล้ว ครูอาจเริ่มกิจกรรมการเล่นโดยการจัด มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 61 สถานที่ จัดบุคคล และจัดหาอุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับกิจกรรมการเล่นนั้นๆ การนำเอาอุปกรณ์
24 และเครื่องเล่นต่างๆ ไปให้เด็กเล่น ครูต้องเลือกอย่างระมัดระวัง เพื่อให้ดึงดูดความสนใจของเด็ก เหมาะกับประสบการณ์ อายุ และขั้นตอนของการเล่น นอกจากนี้ ครูยังต้องพิจารณาว่าอุปกรณ์เหล่านั้นจะช่วยให้เด็กได้พัฒนา ร่างกาย ความคิด สร้างสรรค์ อีกทั้งทักษะทางสังคมหรือไม่ อุปกรณ์เหล่านั้นอาจจะใช้ได้ทั้งในกลางแจ้งและในร่ม เป็น ต้น นิสา ตุดบัตร (2556 : ออนไลน์) กล่าวว่า การสังเกต การเล่นของเด็กการสังเกตจะทำให้ครู ได้ข้อมูลเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับ เด็ก อันสามารถ จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ถึงหนทางที่ครูจะช่วย เอื้ออำนวยความสะดวก ในการเล่นของ เด็ก เพื่อให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ได้จากผลของการ สังเกต ครูอาจจะทำการเร้าให้เด็กสนใจในอุปกรณ์ที่ไม่เคยใช้เลย หรือสนับสนุนให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างเด็กในชั้น เรียนมากยิ่งขึ้น เป็นต้น สรุปได้ว่า ครูต้องระลึกไว้เสมอว่า เวลาเล่นของเด็กคือ เวลาทำงานของครูซึ่งครูอาจจะทำการ สอนเด็กให้เกิดการเรียนรู้ได้โดยการเล่น จากนั้นครูอาจจะใช้คำถามเพื่อที่จะให้เด็กเกิดการเล่น ครู ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเล่นของเด็ก เพราะเด็กบางคนอาจจะไม่รู้ว่าควร จะเริ่มเล่นอย่างไร ดังนั้น การที่ครูเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย จะทำให้การเล่นของเด็กเป็นไปในแนวทางที่เหมาะสม อีกทั้งยังเพิ่ม ประสิทธิภาพของ การเล่นอีกด้วย 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 3.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศ นภาพร พรมจันทร์ (2550 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยเรื่อง ผลการใช้เกมการศึกษาที่ คัดสรรต่อการ คิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบ ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการใช้เกมการศึกษาที่ คัดสรร และศึกษาพฤติกรรมกลุ่มของ เด็กปฐมวัยที่ใช้เกมการศึกษาที่คัดสรร กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 28 คน ก าลังในเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนรสลินคัคณาวงค์ อำเภอเฝ้าไร่ จังหวัด หนองคาย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมเกมการศึกษาที่ คัดสรร แบบทดสอบ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัย และแบบสังเกตพฤติกรรมกลุ่ม ของเด็ก ปฐมวัย ผลการวิจัยพบว่า ผลการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาที่คัดสรร ทำให้ความสามารถ ใน การคิดวิเคราะห์ของเด็กปฐมวัยเพิ่มสูงขึ้น โดยมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และพฤติกรรมกลุ่มของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมเกม การศึกษาที่คัดสรรมีพฤติกรรมกลุ่มด้านความสนใจในการร่วมกิจกรรม คิด เป็นร้อยละ 92.86 ด้าน
25 การร่วมกิจกรรมกับเพื่อน คิดเป็นร้อยละ 85.71 และด้านการแสดง ความคิดเห็นในการจัดกิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 78.57 ลักษณา แก้วกอง (2550 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ด้วยเกม การศึกษาของเด็กชั้นปฐมวัยปีที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา แผนการจัดประสบการณ์ด้าน ความคิดสร้างสรรค์ด้วยเกมการศึกษา ชั้นปฐมวัยปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อหาค่า ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแผนการจัด ประสบการณ์ด้านความคิดสร้างสรรค์ด้วยเกม การศึกษาชั้นปฐมวัยปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้การศึกษาค้นคว้า ได้แก่ นักเรียนชั้นปฐมวัยปีที่ 2 ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนบ้านตากิ่ม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 6 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ด้วย เกมการศึกษาของเด็กชั้นปฐมวัยปีที่ 2 จำนวน 12 แผน แบบทดสอบวัด ความคิด สร้างสรรค์ จำนวน 20 ข้อ ผลการศึกษาพบว่า แผนการจัดประสบการณ์เพื่อ พัฒนาความคิด สร้างสรรค์ด้วยเกมการศึกษาของเด็กชั้นปฐมวัยปีที่ 2 มีประสิทธิภาพ 83.06/94.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ และมีค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.67 หมายความ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร 87 ว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนด้านความคิดสร้างสรรค์ คิดเป็น ร้อยละ 67 นิธิกานต์ ขวัญบุญ (2549 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาการพัฒนาเกมการศึกษาเพื่อเตรียม ความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยผลการศึกษาพบว่าคะแนนความพร้อมทางคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยเกณฑ์การศึกษาเรื่องการแทนค่าจำนวนนับชั้นอนุบาลปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นิดาพร อาจประจญ (2553 : บทคัดย่อ) ได้ทำการศึกษาทักษะการอ่านของเด็กปฐมวัยที่เล่น เกมการศึกษาเน้นภาษาผลการวิจัยพบว่าเด็กปฐมวัยที่เล่นเกมการศึกษาเน้นภาษามีทักษะทางการ อ่านสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศได้ว่า การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ร่วมทั้งพัฒนาทักษะของคณิตศาสตร์นั้น โดยใช้เกมการศึกษาทำให้เด็กมีทักษะสูงขึ้นซึ่งแสดง ให้เห็นว่าเกมการศึกษาสามารถนำมาใช้ในการ จัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะการคิดและให้ประโยชน์แก่ ผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
26 3.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศ William (1970 :อ้างถึงใน เจนจิรา ศรีฤกษ์, 2550 : 45) ศึกษาเกี่ยวกับ เกมการศึกษาไว้ว่า การใช้เกมการศึกษาในการเรียนการสอนทำให้นักเรียนได้คะแนน สัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าการ เรียนจากตำราซึ่งการใช้สื่อการสอนนี้เป็นความสอดคล้อง และส่งเสริมทฤษฎีการเรียนรู้ กล่าวว่าเด็ก เรียนรู้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรม ดังนั้น จึงอาจ กล่าวได้ว่าเกมการศึกษาเป็นการเล่นชนิดหนึ่งที่มีส่วนช่วย ให้เด็กมีความพร้อมในทุกด้าน และสิ่งที่เน้นคือด้านสติปัญญานอกเหนือจากทักษะพื้นฐาน ด้าน ประสาทตาให้ความสัมพันธ์กับกล้ามเนื้อมือ การสังเกตเปรียบเทียบ ขนาด รูปทรง การหาความ พร้อม ในทุกด้าน และสิ่งที่เน้นคือ ด้านสติปัญญานอกเหนือจากทักษะพื้นฐาน ด้านประสาทตาให้ ความสัมพันธ์กับกล้ามเนื้อมือ การสังเกตเปรียบเทียบ ขนาด รูปทรง การหา ความสัมพันธ์ด้านจำนวน ฝึกการจำแนก ซึ่งเป็นพื้นฐานการคิดหาเหตุผล Ojeda (2005 : 2969-A) ได้ศึกษาบทบาทของการใช้เกมต่อคำในการเรียน การสอนภาษาที่ สอง : วิธีการสอนภาษาที่สอง แรงจูงใจ และผลการปฏิบัติงาน กลุ่ม ทดลอง 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ใช้วิธีใช้ เกมเพื่อจัดการเรียนการสอน กลุ่มที่ 2 ใช้วิธีการเรียน การสอนแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียน ชอบวิธีการสอนโดยใช้เกมมากกว่าการสอน แบบปกติ ดังนั้น การสอนโดยใช้เกมต่อคำน่าจะเป็น วิธีการที่ช่วยเพิ่มแรงจูงใจและมีประสิทธิภาพ ช่วยส่งเสริมบรรยากาศในเชิงวิชาการสนุกสนาน มีการ แข่งขันกัน สามารถเชื่อมประสานกับเนื้อหาบทเรียนที่กำลังศึกษาได้อย่างราบรื่นและเหมาะสมกับ ระยะเวลา ถึงแม้อีกนัยหนึ่งยังพบว่า ยังมีผู้เรียนที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้เกมการจัดการเรียนการสอน อยู่บ้างก็ตาม Barbuda (2004 : 264-A) ผลของการใช้เกมการศึกษาในการสอนคณิตศาสตร์ให้กับเด็กก่อน วัยเรียนเกี่ยวกับตัวเลขจำนวนและการคำนวณง่ายๆผลการวิจัยพบว่าหลังการทดลองเด็กมีความเข้าใจ และมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวเลขสูงกว่าก่อนการทดลอง สรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศได้ว่า ผลของการใช้เกมการศึกษาทำให้เด็กมีความ เข้าใจและมีความคิดรวบยอด การคิดหาเหตุผล มีส่วนช่วยให้เด็กมีความพร้อมในทุกด้าน และเด็กได้มี ส่วนร่วมในการทำกิจกรรมมากขึ้นช่วยส่งเสริมบรรยากาศในเชิงวิชาการสนุกสนาน
1 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการ เปรียบเทียบจำนวนโดยใช้ เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ผู้วิจัยขอนำเสนอวิธีดำเนินการวิจัย ดังต่อไปนี้ 1. แบบแผนการวิจัย 2. กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย 3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 6. วิธีดำเนินการวิจัย 7. การวิเคราะห์ข้อมูล 8. การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบบแผนการวิจัย การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบการวิจัยก่อนและหลังทำการทดลอง (pre-test และ post-test) Experimental design) แบบหนึ่งกลุ่ม วัดก่อนและหลัง ( the one – group pretestposttest design) (ดำรง ชำนาญรบ, 2542 : ออนไลน์ ) พิมพ์สมการที่นี่
28 เมื่อ o1 แทน แบบประเมินเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทักษะทางคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน 1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาปีที่ 2 ก่อนการจัดกิจกรรม (Pretest) o2 แทน แบบประเมินเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทักษะทางคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน 1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาปีที่ 2 หลังการจัดกิจกรรม (Posttest) X แทน เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรมในการจัดกิจกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา 2. กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย เป็นการเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง ซึ่งเป็น เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2/2 จำนวน 19 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ตำบลยุหว่า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ 3. ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ตัวแปรต้น คือ เกมการศึกษา ตัวแปรตาม คือ ทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบ จำนวน 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม และเครื่องมือที่ใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูล มีรายละเอียด ดังนี้ 1. คู่มือแบบประเมินก่อนและหลังการใช้เกมการศึกษา การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็ก ปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 (per-test , post-test) 2. แบบประเมินก่อนและหลังการใช้เกมการศึกษาเพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็ก ปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 (per-test , post-test) 3. เกมการศึกษา มีจำนวน 6 ชุด มีดังนี้ เกมตามหาตัวเลขคู่ของฉัน ใช้จำนวน 2 ครั้ง เกมรูปภาพบอกจำนวน ใช้จำนวน 2 ครั้ง
29 เกมยานพาหนะนำพา ใช้จำนวน 2 ครั้ง เกมหนูน้อยนักจัดการ ใช้จำนวน 2 ครั้ง เกมเรียงตัวเลขแสนสนุก ใช้จำนวน 4 ครั้ง เกมหนูน้อยนักเปรียบเทียบ ใช้จำนวน 3 ครั้ง 4. คู่มือการใช้เกมการศึกษา ด้านการรู้ค่าจำนวนและการเปรียบเทียบ 6 ชุด 5. แผนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษา 15 แผน ผู้วิจัยใช้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการใช้เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัย สำหรับเด็กปฐมวัย อนุบาลปีที่ 2 เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2-3 วัน ครั้งละ 20 นาที ในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2566 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2566 5. การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 5.1. การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยการใช้เกมการศึกษา ดังนี้ 5.1.1 ศึกษาเอกสารการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยการใช้เกมการศึกษา 5.1.2 ศึกษาเอกสารข้อมูลที่เกี่ยวของกับการสร้างเกมการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย 5.1.3 ออกแบบคู่มือแผนการจัดกิจกรรมเพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็ก ปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ด้วย เกมการศึกษา ประกอบด้วย เกมตามหาตัวเลขคู่ของฉัน ใช้จำนวน 2 ครั้ง เกมรูปภาพบอกจำนวน ใช้จำนวน 2 ครั้ง เกมยานพาหนะนำพา ใช้จำนวน 2 ครั้ง เกมหนูน้อยนักจัดการ ใช้จำนวน 2 ครั้ง เกมเรียงตัวเลขแสนสนุก ใช้จำนวน 4 ครั้ง เกมหนูน้อยนักเปรียบเทียบ ใช้จำนวน 3 ครั้ง แผนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาและ เกมตามหาตัวเลขคู่ของฉัน ใช้จำนวน 2 ครั้ง แผนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาและ เกมรูปภาพบอกจำนวน ใช้จำนวน 2 ครั้ง แผนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาและ เกมยานพาหนะนำพา ใช้จำนวน 2 ครั้ง
30 แผนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาและ เกมหนูน้อยนักจัดการ ใช้จำนวน 2 ครั้ง แผนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาและ เกมเรียงตัวเลขแสนสนุก ใช้จำนวน 4 ครั้ง แผนการจัดกิจกรรมเกมการศึกษาและ เกมหนูน้อยนักเปรียบเทียบใช้จำนวน 3 ครั้ง คู่มือการใช้ เกมการศึกษา การรู้ค่าจำนวน1-10 และการเปรียบเทียบจำนวน จำนวน 6 ชุด 5.1.3 นำนวัตกรรมที่เป็นการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์เด็กปฐมวัย ด้วยเกม การศึกษา ที่สร้างขึ้นนำไปเสนออาจารย์ที่ปรึกษาการวิจัย คือ อาจารย์ดวงใจ เนตรตระสูตร เพื่อตรวจความถูกต้องและให้ข้อเสนอแนะ 5.1.4 การหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยด้วยค่าดัชนีความเชื่อหมั่น (IOC) การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน ของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ผู้วิจัยได้ให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ (1) นางณัฐนันท์ แสนเรือน (2) นางสาวณภาพร ชัยเจริญวิจิตร (3) นางสุชาดา รัตนวิมล เมือง ได้พิจารณาความสอดคล้อง ความถูกต้องของหลักการ โครงสร้างนวัตกรรม เนื้อหา และรูปแบบ เกมการศึกษาผลการพิจารณาความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง(IOC)อยู่ ระหว่าง 0.50-1.00 แสดงว่า นวัตกรรมที่ความสอดคล้องเหมาะสมสำหรับการนำไปใช้จัดกิจกรรม ให้กับเด็กปฐมวัยผู้วิจัยนำเครื่องมือที่ได้รับคำแนะนำในประเด็นปรับชุดสื่อให้เหมาะสม และแก้ไขจาก ผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ดวงใจ เนตรตระสูตร มาปรับปรุงแก้ไขก่อนนำไปปรับปรุง แก้ไขก่อนจัดพิมพ์เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรมและก่อนนำไปทดลองใช้และเก็บข้อมูลการพัฒนาทักษะ พื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10 และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกม การศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 5.2 การสร้างและการหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างและการหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวม ข้อมูล เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบ จำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ดังนี้ 5.2.1 ศึกษาเอกสารการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ 5.2.2 ออกแบบ แบบประเมินการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10 และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 (Pre-test-Post-test) ประกอบด้วย 5.2.2.1 แบบประเมินก่อนการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน 1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 (pre-test) 1 เล่ม
31 5.2.2.2 แบบประเมินหลังการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน 1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 (post-test) 1 เล่ม โดยแต่ละเล่ม ออกแบบวิธีดำเนินการวัดผลและข้อคำถามเพื่อประเมินก่อนและหลังการ พัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของ สำหรับ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ จำนวน 10 ข้อ ดังนี้ 1. แบบประเมินพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน 1-10 สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 4 ข้อ 2. แบบประเมินพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการเปรียบเทียบ จำนวนสำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 1 ข้อ 5.2.3 แบบประเมินการเรียนรู้ก่อนและหลัง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้น อนุบาลปีที่ 2 (Pre-test และ Post-test) ที่สร้างขึ้นนำไปเสนออาจารย์ที่ปรึกษาการวิจัย คืออาจารย์ ดวงใจ เนตรตระสูตร อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ตรวจทานความถูกต้องและข้อเสนอเนะ 5.2.4 การหาประสิทธิภาพของแบบประเมินการเรียนรู้ก่อนและหลัง การพัฒนาทักษะ พื้นฐานคณิตศาสตร์ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้น อนุบาลปีที่ 2 (Pre-test และ Post-test) ผู้วิจัยได้ให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ (1) นาง ณัฐนันท์ แสนเรือน (2) นางสาว ณภาพร ชัยเจริญวิจิตร (3) นางสุชาดา รัตนวิมลเมือง ได้พิจารณา ความสอดคล้อง ความถูกต้องของหลักการ โครงสร้างนวัตกรรม เนื้อหา และรูปแบบของแบบประเมิน การเรียนรู้ก่อนและหลัง การใช้เกมการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ด้านการรู้ค่า จำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 (Pre-test และ Posttest) ผลการพิจารณาความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญได้ค่าดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.50-1.00 แสดงว่าเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีประสิทธิภาพ ผู้วิจัยนำเครื่องมือที่ได้รับ คำแนะนำในประเด็น และแก้ไขจากผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ดวงใจ เนตรตระสูตร มาปรับปรุงแก้ไขก่อนนำไปปรับปรุงแก้ไขก่อนจัดพิมพ์เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม และก่อนนำไป ทดลองใช้และเก็บข้อมูลการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการ เปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 5.2.5 จากนั้นจึงนำมาเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย คือ อาจารย์ดวงใจ เนตรตระสูตร เพื่อ ตรวจสอบแบบประเมินก่อนและหลังการใช้เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์
32 ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัย สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปี ที่ (Pre-test และ Post-test) 5.2.6 จัดพิมพ์แบบประเมินก่อนและหลังการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่า จำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้น อนุบาลปีที่ 2 (Pre-test และ Post-test) ให้เท่ากับจำนวนเด็ก ก่อนนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 6. วิธีดำเนินการวิจัย 1. ศึกษาเอกสารและการวิจัยที่เกี่ยวข้องการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ สำหรับเด็ก ปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 และนำเสนอหัวข้อวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้น อนุบาลปีที่ 2 ตลอดจนจัดทำโครงร่างเสนออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย คือ อาจารย์ดวงใจ เนตรตระสูตร เพื่อให้การอนุมัติหัวข้อและโครงร่างวิจัย พัฒนาเค้าโครงการวิจัย การพัฒนาทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา 2. การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยเครื่องมือที่เป็น นวัตกรรมเกมการศึกษา และเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลโดยนำเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยไปเสนอ อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย คือ อาจารย์ดวงใจ เนตรตระสูตร อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะและ ปรับปรุงก่อนดำเนินการเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ความสอดคล้อง (IOC) และหาค่าประสิทธิภาพ ของนวัตกรรม E1/E2 ซึ่งผู้วิจัยนำเครื่องมือที่ได้รับคำแนะนำและแก้ไขจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุง แก้ไข และขอรับคำปรึกษาจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย คือ อาจารย์ดวงใจ เนตรตระสูตร จากนั้นจัดทำ เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม เกมการศึกษา และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้สมบูรณ์ก่อน นำไปใช้จัดกิจกรรมจริง 3. ประสานงานกับโรงเรียนและทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ เพื่อเก็บข้อมูลวิจัยใน เรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็ก ปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา 4. สร้างความคุ้นเคยและความสนิทสนมกับเด็กปฐมวัยที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย 5. ดำเนินการประเมินก่อนและหลังการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่า จำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้น อนุบาลปีที่ 2 และดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่า จำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้น อนุบาลปีที่ 2 เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2-3 วัน ครั้งละ 20 นาที ในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2566 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ดังแสดงในตารางหน้าถัดไป
33 ตารางที่ 3.1 แสดงระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล สัปดาห์ เครื่องมือวิจัย กิจกรรมการเรียนรู้ วันที่ทำการทดลอง 1 Pre-test 2 เกมตามหาตัวเลขคู่ของฉัน จับคู่ตัวเลขกับตัวเลข วันอังคาร จับคู่ตัวเลขกับเงา วันพุธ 3 เกมรูปภาพบอกจำนวน จับคู่ภาพจำนวนกับตัวเลข 1-5 วันอังคาร จับคู่ภาพจำนวนกับตัวเลข 1-10 วันพุธ 4 เกมยานพาหนะนำพา จับคู่ภาพจำนวนกับภาพจำนวน 1-5 วันอังคาร จับคู่ภาพจำนวนกับภาพจำนวน 1-10 วันพฤหัสบดี 5 เกมหนูน้อยนักจัดการ การจัดหมวดหมู่ตัวเลขที่ เหมือนกัน วันอังคาร การจัดหมวดหมู่ภาพจำนวนที่ เท่ากัน วันพุธ 6 เกมเรียงตัวเลขแสนสนุก การเรียงตัวเลขและภาพจำนวน 1-10 วันอังคาร การเรียงตัวเลขจากน้อยไปหา มาก 1-10 วันพุธ การเรียงตัวเลขจากมากไปหา น้อย 1-10 วันพฤหัสบดี การเติมตัวเลขที่หายไป 1-10 วันพฤหัสบดี 7 เกมหนูน้อยนักเปรียบเทียบ เปรียบเทียบจำนวนที่เท่ากัน และ ไม่เท่ากัน วันอังคาร การเปรียบเทียบจำนวนที่ มากกว่า วันพุธ การเปรียบเทียบจำนวนที่น้อย กว่า วันพฤหัสบดี 8 Post-test
34 6 .วิเคราะห์และอภิปรายผลการวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา 7. ทำรูปเล่มวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และ การเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา 8. สอบปากเปล่าการวิจัยในชั้นเรียน (oral test) วิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา 9. ปรับปรุงผลการวิจัยในชั้นเรียนตามข้อเสนอแนะและเข้ารูปเล่มเป็นฉบับสมบูรณ์เพื่อ เผยแพร่การวิจัยต่อไป 7. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยในชั้นเรียนครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ผู้วิจัยได้ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือหา ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1/E2) และใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ คือ ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับ วัตถุประสงค์ (Item-Objective Congruence Index : IOC) คือ ผลการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญมา คำนวณหาดัชนีที่บ่งบอกถึงความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ซึ่งได้จากความสอดคล้องระหว่างประเด็นที่ ต้องการวัดกับข้อคำถามที่สร้างขึ้น โดยแปลระดับความสอดคล้องเป็นคะแนนดังนี้ (ไพศาล วรคำ, 2552:257) สอดคล้อง มีคะแนนเป็น +1 ไม่แน่ใจ มีคะแนนเป็น 0 ไม่สอดคล้อง มีคะแนนเป็น -1 และหาดัชนีความสอดคล้องได้จาก IOC = ∑ × เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เนื้อหาและ นวัตกรรม R แทน คะแนนการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ ∑ แทน ผลรวมของคะแนนพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ
35 N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ (หมายหตุค่า IOC ที่ยอมรับต้องมีค่าตั้งแต่ 0.50 – 1.00) 2. สูตรการหาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1/E2) การคำนวณหาประสิทธิภาพ วิธีการคำนวณหาประสิทธิภาพ โดยใช้สูตรการคำนวณ ดังนี้ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2556 : ออนไลน์) สูตรที่ 1 1 = ∑ × 100 เมื่อ E1 = ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑̅̅̅̅ = คะแนนรวมของแบบฝึกกิจกรรมหรืองานที่ทำระหว่างเรียนทั้งที่เป็น กิจกรรมในห้องเรียน นอกห้องเรียนหรือออนไลน์ A = คะแนนเต็มของแบบฝึกปฏิบัติ ทุกชิ้นรวมกัน สูตรที่ 2 2 = × 100 เมื่อ E2 = ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ F = คะแนนของผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียน B = คะแนนเต็มของการประเมินสุดท้ายของแต่ละหน่อยประกอบด้วยผลการ สอบหลังเรียนและคะแนนจากการประเมินงานสุดท้าย 8. การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. นำเครื่องมือวิจัยแบบประเมินก่อนการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่า จำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวนของเด็กปฐมวัยโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้น อนุบาลปีที่ 2 ทดสอบพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบ จำนวนสำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ก่อนการใช้เกมการศึกษา (Pre-test) จำนวน 10 ข้อ ซึ่ง แบ่งเป็น ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10 จำนวน 5 ข้อ และ ด้านการเปรียบเทียบจำนวน จำนวน 5 ข้อ รวม คะแนน10 คะแนน ไปทำการประเมินความสามารถทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน
36 1-10และการเปรียบเทียบจำนวน ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ได้แก่ กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2/2 จำนวน 19 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียน สันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ตำบลยุหว่า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ได้มาโดยเป็น การเลือกแบบเจาะจงเป็นเวลา 6 สัปดาห์ แล้วบันทึกผลคะแนนลงในแบบบันทึกคะแนนแบบประเมิน ก่อนการทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็ก ปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ก่อนการใช้เกมการศึกษา (Pre-test) 2. นำเครื่องมือวิจัยประกอบด้วยเกมการศึกษาทั้ง 6 เกม ไปจัดกิจกรรมให้กับเด็กปฐมวัย ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ได้แก่ กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้น อนุบาลปีที่ 2/2 จำนวน 19 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์ วิทยาคาร) ตำบลยุหว่า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ได้มาโดยเป็นการเลือกแบบเจาะจงเป็น เวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2-3 กิจกรรม เพื่อประเมินความสามารถทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์สำหรับ เด็กปฐมวัย จำนวน 5 ข้อ ซึ่งแบ่งเป็น ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10 จำนวน 4 ข้อ และ ด้านการ เปรียบเทียบจำนวน จำนวน 1 ข้อ รวมคะแนน 12 คะแนน 3. นำเครื่องมือวิจัยแบบประเมินหลังการใช้เกมการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ทดสอบพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 หลังการใช้เกมการศึกษา (Post-test) จำนวน 5 ข้อ ซึ่งแบ่งเป็น ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10 จำนวน 5 ข้อ และ ด้านการเปรียบเทียบจำนวน จำนวน 1 ข้อ รวมคะแนน 12 คะแนน ไปทำการประเมินความสามารถทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล ปีที่ 2 ได้แก่ กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2/2 จำนวน 19 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ตำบล ยุหว่า อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ได้มาโดยเป็นการเลือกแบบเจาะจงเป็นเวลา 6 สัปดาห์ แล้ว บันทึกผลคะแนนลงในแบบบันทึกคะแนนแบบประเมินหลังการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้าน การรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 หลังการใช้เกม การศึกษา (Post-test)
1 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และ การเปรียบเทียบจำนวนโดยใช้เกมการศึกษา สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การ วิจัย ดังนี้ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อศึกษาผลการใช้เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาผลการใช้ชุดสื่อ เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ผลวิจัยพบว่า หลังการจัดกิจกรรมพบว่ามีผลผลการใช้เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะ พื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้น อนุบาลปีที่ 2 สูงขึ้นกว่าก่อนการจัดกิจกรรม รายละเอียดแสดงในตาราง แสดงในหน้าถัดไป
38 ตารางที่4.1 แสดงคะแนนผลก่อนการจัดกิจกรรมการใช้เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐาน คณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ลำดับที่ คะแนนผลก่อนการจัดกิจกรรมการใช้เกมการศึกษา เพื่อ การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่า จำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็ก ปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 การรู้ค่า จำนวน1-10 (9 คะแนน) การเปรียบ เทียบจำนวน (3 คะแนน) คะแนนรวม (12คะแนน) 1 6 1 7 2 2 0 2 3 7 0 7 4 0 0 0 5 7 0 7 6 7 0 7 7 7 0 7 8 7 2 9 9 1 1 2 10 7 2 9 11 0 0 0 12 0 0 0 13 7 2 9 14 5 0 5 15 7 1 8 16 5 0 5 17 7 0 7 18 0 0 0 19 6 1 7 รวม 88 10 98 เฉลี่ย 4.63 0.52 5.15 ร้อยละ 51.46 17.54 42.98 จากตาราง 4.1 แสดงคะแนนแบบประเมินเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ก่อนการใช้เกม การศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบ
39 จำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) (Pre-test) พบว่า การรู้ค่าจำนวน1-10 มีค่าร้อยละ 51.46 การเปรียบเทียบจำนวน มีค่าร้อยละ 17.54 ตารางที่4.2 แสดงคะแนนผลหลังการจัดกิจกรรมการใช้เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะ พื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้น อนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ลำดับที่ คะแนนผลหลังการจัดกิจกรรมการใช้เกมการศึกษา เพื่อ การพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่า จำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็ก ปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 การรู้ค่า จำนวน1-10 (9 คะแนน) การเปรียบ เทียบจำนวน (3 คะแนน) คะแนนรวม (12คะแนน) 1 9 3 12 2 7 2 9 3 9 3 12 4 2 1 3 5 9 3 12 6 9 3 12 7 7 1 8 8 8 3 11 9 8 2 10 10 9 3 12 11 2 1 3 12 7 1 8 13 8 3 11 14 7 2 9 15 7 3 10 16 8 3 11 17 8 3 11 18 2 1 3 19 9 3 12 รวม 135 44 179 เฉลี่ย 7.11 2.31 9.42 ร้อยละ 78.95 77.19 78.50
40 จากตาราง 4.2 แสดงคะแนนแบบประเมินเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้หลังการใช้เกม การศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบ จำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) (Pre-test) พบว่า การรู้ค่าจำนวน1-10 มีค่าร้อยละ 78.95 การเปรียบเทียบจำนวน มีค่าร้อยละ 77.19 ตารางที่ 4.3 แสดงคะแนนผลการจัดกิจกรรมการใช้เกมการศึกษา เพื่อการพัฒนาทักษะ พื้นฐานคณิตศาสตร์ ด้านการรู้ค่าจำนวน1-10และการเปรียบเทียบจำนวน สำหรับเด็กปฐมวัยชั้น อนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสันป่าตอง (สุวรรณราษฎร์วิทยาคาร) ก่อน – หลังการจัดกิจกรรม ลำดับที่ ก่อนการจัดกิจกรรมPre-test(E1) (รวม 1 2คะแนน) ร้อยละ (E1) หลังการจัดกิจกรรมPost-test(E2) (รวม 1 2คะแนน) ร้อยละ (E2) ระดับเกณฑ์พัฒนาการหลังทำ กิจกรรม ผลการพัฒนาและความก้าวหน้า คะแนนความ ก้าวหน้า ร้อยละ ผลการพัฒนา 1 7 58.33 12 100 ดีมาก 5 41.67 มีพัฒนาการ 2 2 16.67 9 75 ดีมาก 7 58.33 มีพัฒนาการ 3 7 58.33 12 100 ดีมาก 4 41.67 มีพัฒนาการ 4 0 0 3 25 ดีมาก 3 25 มีพัฒนาการ 5 7 58.33 12 100 ดีมาก 5 41.67 มีพัฒนาการ 6 7 58.33 12 100 ดีมาก 5 41.67 มีพัฒนาการ 7 7 58.33 8 66.67 ดีมาก 1 8.34 มีพัฒนาการ 8 9 75 11 91.67 ดีมาก 2 16.67 มีพัฒนาการ 9 2 16.67 10 83.33 ดีมาก 8 66.66 มีพัฒนาการ 10 9 75 12 100 ดีมาก 3 25 มีพัฒนาการ 11 0 0 3 25 ดีมาก 3 25 มีพัฒนาการ 12 0 0 8 66.67 ดีมาก 8 66.67 มีพัฒนาการ 13 9 75 11 91.67 ดีมาก 2 16.67 มีพัฒนาการ 14 5 41.67 9 75 ดีมาก 4 33.33 มีพัฒนาการ 15 8 66.67 10 83.33 ดีมาก 2 16.66 มีพัฒนาการ 16 5 41.67 11 91.67 ดีมาก 6 50 มีพัฒนาการ 17 7 58.33 11 91.67 ดีมาก 4 33.34 มีพัฒนาการ