The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานผลการพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ N

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Teacher Aiew, 2022-07-04 16:59:31

รายงานผลการพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ N

รายงานผลการพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ N

รายงานผลการพฒั นาการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคป
เพอื่ สง่ เสริมทกั ษะพน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์
ชั้นอนบุ าลปที ี่ 3 โรงเรยี นบ้านบึงหอม

นางสาวธดิ ารตั น์ หลักทอง
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ

โรงเรยี นบา้ นบึงหอม
สังกัดสำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2

กระทรวงศึกษาธกิ าร



ช่อื เรือ่ ง การพัฒนาการจดั ประสบการณ์การเรียนรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพ่อื สง่ เสรมิ ทักษะพนื้ ฐาน
ทางคณิตศาสตร์ ชัน้ อนุบาลปที ่ี 3 โรงเรียนบ้านบึงหอม
ผ้วู ิจยั นางสาวธดิ ารตั น์ หลักทอง
โรงเรียน บา้ นบงึ หอม ปกี ารศกึ ษา 2564

บทคดั ย่อ
การพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง
คณิตศาสตร์ ชั้นปฐมวัยปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบึงหอมมีความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า คือ 1) เพื่อพัฒนา
แผนการจัดประสบการณก์ ารเรียนร้ตู ามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทกั ษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ช้ันอนุบาลปี
ที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีท่ี 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทาง
คณิตศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริม
ทกั ษะพน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ช้ันอนุบาลปีท่ี 3 โรงเรยี นบ้านบึงหอม
ประชากรที่ใช้ในในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบึงหอม สังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 15 คน ซึ่ง
ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ 1) แผนการจัด
ประสบการณ์การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพ่อื ส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีท่ี 3 จำนวน 4
หนว่ ยการเรยี นรู้ รวมทั้งส้ิน 20 แผน
สถติ ิทใี่ ชว้ ิเคราะห์ข้อมลู คือรอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมตุ ิฐานโดยใชส้ ูตร t-
test แบบ Dependent

ผลการศกึ ษาคน้ ควา้ พบว่า
1. แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
ชนั้ อนุบาลปที ี่ 3 ที่ผู้ศกึ ษาค้นคว้าสร้างข้ึน มีประสิทธภิ าพ เท่ากบั 95.35/89.33 ซงึ่ สงู กว่าเกณฑ์ทตี่ ้ังไว้
2. ดัชนปี ระสิทธผิ ลของแผนการจัดประสบการณก์ ารเรียนร้ตู ามแนวคดิ ไฮสโคปเพือ่ ส่งเสรมิ ทักษะ
พน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชน้ั อนุบาลปีท่ี 3 มคี า่ เท่ากบั 0.7460 แสดงว่า นักเรยี นมคี วามร้เู พม่ิ ข้ึนรอ้ ยละ 74.60
3. ทกั ษะพนื้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ ช้นั อนุบาลปีท่ี 3 หลงั เรยี นด้วยแผนการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้
ตามแนวคิดไฮสโคปเพ่อื ส่งเสรมิ ทกั ษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนบุ าลปีท่ี 3 สูงกวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติทีร่ ะดบั .05



กิตตกิ รรมประกาศ

การศึกษาค้นคว้า เรื่อง การพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริม
ทกั ษะพ้ืนฐานทางคณติ ศาสตร์ ชั้นอนบุ าลปที ่ี 3 สำเร็จลลุ ว่ งด้วยความอนเุ คราะห์อยา่ งดีจาก
ดร.ปริชมน กาลพัฒน์ ที่ให้ความกรุณาเมตตา สละเวลาใหค้ ำแนะนำ ข้อคิดเห็น และการตรวจแก้ไขข้อบกพรอ่ ง
ต่าง ๆ ของเครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการดำเนินการวิจยั จนเปน็ ผลสำเร็จ

ขอขอบพระคุณนายสมคิด มีธรรม ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบึงหอม คณะครู และนักเรียนชั้นอนุบาลปี
ท่ี 3 ทกุ คนท่ใี หก้ ารสนบั สนุนและใหค้ วามรว่ มมอื การศกึ ษาคน้ ควา้ คร้ังน้ี

การศึกษาค้นคว้าฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพราะขวัญและกำลังใจ ความช่วยเหลือ ความรักความห่วงใย
เป็นอย่างดีจากครอบครัว ขอบคุณ พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนที่ให้กำลังใจ ช่วยเหลือ ซึ่งเป็นพลังสำคัญในความสำเร็จ
ครงั้ นี้

ประโยชน์อันเนื่องจากงานวิจัยฉบับน้ี ผู้ศึกษาค้นคว้าขอมอบบูชา คุณพ่อ คุณแม่ ครอบครัว ครู
อาจารย์ ตลอดจนผ้มู พี ระคุณทุกทา่ นทีส่ นับสนนุ ใหผ้ ู้วิจยั ประสบความสำเรจ็ ได้ด้วยดี

ธิดารตั น์ หลกั ทอง



สารบญั

บทคดั ยอ่ หนา้
กิตติกรรมประกาศ ก


บทที่ 1 บทนำ 1

ภูมิหลงั 1
ความมุ่งหมายของการศกึ ษาค้นคว้า 4
ความสำคัญของการศึกษาคน้ คว้า 4
สมมตุ ิฐานการศกึ ษาคน้ ควา้ 4
ขอบเขตของการศึกษาคน้ ควา้ 4
กรอบแนวคดิ การศกึ ษาคน้ คว้า 5
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 6

บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 9
หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั พทุ ธศักราช 2560 9
กรอบมาตรฐานการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ปฐมวัย พทุ ธศกั ราช 2551 15
แนวคิดเกีย่ วกบั ทักษะคณติ ศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวยั 17
แนวคิดเกี่ยวกับการจัดประสบการณก์ ารเรียนรตู้ ามแนวคิดไฮสโคป 29
แนวคดิ เกี่ยวกบั แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ 39
แนวคดิ เกยี่ วกับการหาประสิทธิภาพและการหาค่าดชั นปี ระสิทธิผลของนวตั กรรมทางการศกึ ษา 46
งานวิจัยที่เกยี่ วขอ้ ง 51

บทที่ 3 วธิ กี ารดำเนินการศกึ ษาคน้ ควา้ 56
ประชากรที่ใช้ในการศกึ ษาคน้ ควา้ 56
เครื่องมือทใ่ี นการศึกษาค้นคว้า 56
การสร้างเคร่ืองมอื และการหาคุณภาพเครอ่ื งมือ 56
ข้ันตอนดำเนินการศกึ ษาค้นควา้ และการเก็บรวบรวมขอ้ มลู 60
การจดั กระทำข้อมลู และการวเิ คราะห์ข้อมลู 61
สถิตทิ ่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล 62



สารบญั (ตอ่ ) หนา้
65
บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล 65
สัญลกั ษณท์ ่ใี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู 65
ลำดับขัน้ ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล 65
ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ตอนที่ 1 68
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลตอนท่ี 2 69
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ตอนที่ 3

บทที่ 5 สรปุ ผลการศึกษาคน้ คว้า อภิปราย และข้อเสนอแนะ 70
ความม่งุ หมายของการศกึ ษาค้นคว้า 70
สมมุตฐิ านการศกึ ษาคน้ ควา้ 70
สรปุ ผลการศกึ ษาคน้ ควา้ 71
อภปิ รายผล 71
ขอ้ เสนอแนะ 74

บรรณานกุ รม 75

ภาคผนวก 79
ภาคผนวก ก ตวั อย่างแผนจดั ประสบการณก์ ารเรียนรตู้ ามแนวคดิ การเรียนรู้ไฮสโคป 82
เพื่อสง่ เสรมิ ทกั ษะพืน้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชนั้ อนุบาลปที ่ี 3
ภาคผนวก ข แบบทดสอบวดั ทักษะพื้นฐานทางคณติ ศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 88
ภาคผนวก ค แบบประเมนิ แผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ 103

ประวัตผิ ศู้ ึกษาค้นควา้



สารบญั ตาราง หนา้
52
ตารางท่ี 53
1 แสดงวเิ คราะห์เนอ้ื หาและจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ แบบทดสอบวัดทกั ษะพื้นฐานทาง 57
คณิตศาสตร์ ชน้ั อนุบาลปีที่ 3
2 แสดงการดำเนนิ การสอนตามแผนการศกึ ษาค้นควา้ 57
3 แสดงคา่ เฉลี่ย สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานและรอ้ ยละจากการทำแบบทดสอบยอ่ ย 58
ประจำแผนจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคปเพอ่ื ส่งเสริมทักษะ 59
พน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์ ชน้ั อนบุ าลปีท่ี 3 จำนวน 4 เล่ม
4 แสดงคะแนนเฉลยี่ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และคะแนนเฉลีย่ คิดเปน็ รอ้ ยละจาก
การทำแบบทดสอบวัดทกั ษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ช้ันอนบุ าลปีที่ 3
5 แสดงประสิทธภิ าพของแผนจัดประสบการณ์การเรียนรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพอ่ื
สง่ เสริมทกั ษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3
6 แสดงวิเคราะห์เปรยี บเทยี บความแตกต่างของทักษะพนื้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชั้น
อนุบาลปีท่ี 3กอ่ นเรียนและหลังเรยี นด้วยแผนจดั ประสบการณก์ ารเรียนรูต้ าม
แนวคดิ ไฮสโคปเพื่อสง่ เสรมิ ทกั ษะพนื้ ฐานทางคณิตศาสตร์ ชนั้ อนุบาลปีที่ 3

1

บทที่ 1
บทนำ

ภูมิหลงั

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 เพื่อให้การจัดการศึกษาปฐมวัยที่ต้องพัฒนา เด็กตั้งแต่
แรกเกดิ ถึง 6 ปี ให้มพี ฒั นาการดา้ นร่างกาย อารมณ์จติ ใจ สังคม และสติปัญญาท่เี หมาะสมกบั วัยความสามารถ
และความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะเรียนรู้และสร้างรากฐานชีวิตให้พัฒนาเด็ก
ปฐมวัยไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นคนดีมีวินัย ภูมิใจในชาติและมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว
ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
มาตรา 54 และการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยจะไม่จัดเป็นรายวิชาแต่จะจัดกิจกรรมที่หลากหลายโดย
บูรณาการผ่านการเล่นและประสบการณ์ตรงผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าเหมาะสมกับวัย และความแตกต่าง
ระหว่างบุคคล โดยเด็กได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ต่าง ๆ รอบตัวเด็กบนพื้นฐานการอบรมเลี้ยง
ดูและส่งเสริมกระบวนการเรียนการสอนที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กแต่ละคนภายใต้บริบท
สังคม วัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ด้วยความรัก ความเอื้ออาทรและความเข้าใจของทุกคนเพื่อสร้างรากฐา น
คุณภาพชีวิตให้เด็กได้พัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เกิดคุณค่าต่อตนเองและสังคม
(กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2560 : 41)

คณิตศาสตร์มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนและต้องใช้เสมอเด็กสนใจการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ตั้งแต่เล็ก เด็กประเมินขนาดได้ เด็กเริ่มสนใจใหญ่ เล็ก และสามารถสื่อกับเพื่อนและผู้ใหญ่ได้
ดังนั้นในการเรียนปฐมวัยศึกษา เด็กสามารถเรียนคณิตศาสตร์ได้แต่การเรียนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
แตกต่างกันจากการเรียนคณิตศาสตร์ของระดับชั้นประถมศึกษาหรือระดับชั้นมัธยมศึกษาตรงที่คณิตศาสตร์
สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง การเรียนรู้ด้วยการสร้างเสริมประสบการณ์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐาน
สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี ซึ่งต่างจากคณิตศาสตร์ของผู้ใหญ่ คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยเป็นความเข้าใจจำนวน
การปฏิบัติเกี่ยวกับจำนวน หน้าที่และความสัมพันธ์ของจำนวนความเป็นไปได้ และการวัดทางคณิตศาสตร์ของ
เด็กปฐมวัยจะเน้นไปที่การจัดจำแนกสิ่งต่าง ๆ การเปรียบเทียบ และการเรียนรู้สัญลักษณ์ของคณิตศาสตร์ ซ่ึง
เด็กจะเรียนรู้ได้จากกิจกรรมปฏิบัติการ คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยเป็นทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ท่ี
นำไปสู่การคิดคำนวณ บวกลบ ซึ่งเด็กปฐมวัยได้จากการซึมซับประสบการณ์ (กุลยา ตันติผลาชีวะ. 2551 :
154-155)

การเตรียมความพร้อมและการสร้างเสริมประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์แก่เด็กปฐมวัยเป็นเรื่องสำคัญ
มากเป็นขั้นปูพื้นฐานให้เด็กพร้อมที่จะก้าวไปสู่การเรียนคณิตศาสตร์ในขั้นสูงขึ้น ซึ่งสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน วิชา
คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องการความละเอียดถี่ถ้วนความเข้าใจความคล่องแคล่วในการคิดอย่างถูกต้องแม่นยำ
และมีเหตุผล วิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เป็นเหตุเป็นผลผู้ที่จะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้ ด้วยความเข้าใจ
จำเปน็ ตอ้ งเป็นผ้ทู ีม่ ีความสามารถในการใช้เหตุผล ความสามารถในการใหเ้ หตุผล หรอื ความเข้าใจในเร่ืองความ

2

เป็นเหตุเป็นผลเป็นเรื่องที่ปลูกฝังและฝึกสอนกันได้ ผู้ที่เรียนคณิตศาสตร์แล้วเกลียดวิชาคณิตศาสตร์หรือไม่
ประสบความสำเร็จในการเรียนคณิตศาสตร์เนื่องมาจากสาเหตุแห่งการขาดความเข้าใจในเรื่องความเป็นเหตุ
เป็นผลของคณิตศาสตร์ทุกแขนง การที่เด็กไม่ชอบและขาดความสนใจในคณิตศาสตร์อาจเป็นเพราะวา่ เด็กขาด
ความพร้อมขาดความเชื่อมั่นในตนเองจึงทำให้การเรียนคณิตศาสตร์ ไม่ประสบความสำเร็จเกิดความท้อถอย
และความสนใจก็ลดลงตามไปด้วย ดังนั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องสร้างเสริมประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์แก่เด็ก
เพิ่มขึ้น ซึ่งการจัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริมทักษะคณิตศาสตร์ให้แก่เด็กปฐมวัย หรือขอบข่ายของหลักสูตร
กำหนดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เนื้อหาสาระการเรียนรู้เด็กควรจะเรียนรู้เป็นเพียงทักษะคณิตศาสตร์ขั้น
พื้นฐานเท่านั้น ยังไม่นำไปสู่การคิดคำนวณอย่างเป็นแบบแผน ขอบข่ายหลักสูตรคณิตศาสตรป์ ระกอบด้วยการ
สังเกต การจำแนก การจับคู่ การเปรียบเทียบ ตัวเลข จำนวนมิติสัมพันธ์ ปริมาณ เวลา การรู้ความหมายเพิ่ม/
ลด การจัดประสบการณ์ ซ่งึ สาระการเรียนรเู้ หลา่ นี้ผูส้ อนควรบรู ณาการเชอื่ มโยงสมั พนั ธ์กบั วชิ าอ่นื ๆ ได้ ทงั้ นี้มี
จุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นเยาวชนที่มีคุณภาพต่อประเทศชาติต่อไป (สายพิณ
อคั รปัทมานนท.์ 2550 : 69)

ดังนั้น การจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางด้านคณิตศาสตร์จึงต้องคำนึงถึงกระบวนการที่จะ
ให้เด็กได้พัฒนาไปตามขั้นตอนต่าง ๆ จึงจะสามารถพัฒนาทักษะพื้นฐาน ซึ่งเป็นความพร้อมทางสติปัญญาให้
เด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นความพร้อมที่ถาวร เด็กมีกระบวนการคิดอย่างเป็นขั้นตอนและสามารถ
นำไปใช้ในการเรียนรู้สิ่งอื่น ๆ ได้อย่างกว้างขวาง เป็นการสอนให้เกิดความสามารถทางสมอง สามารถแยกแยะ
วิเคราะห์ความเหมือนความต่างได้จนสามารถนำไปใช้ประกอบการเรียนรู้สิ่งอื่น ๆ ได้ต่อไป (ลัมพร ชารินทร์.
2553 : 3) เนื่องจากคณิตศาสตร์เป็นวิชาทม่ี ลี ักษณะเป็นนามธรรมการจัดการเรยี นการสอนจำเป็นตอ้ งมีส่ือเพื่อ
เชื่อมโยงความเข้าใจของเด็กในสิ่งที่เป็นรูปธรรมทางคณิตศาสตร์โดยธรรมชาติแล้วเด็กจะอยู่นิ่งนานๆ ไม่ได้
จะต้องมีการเล่นเสมอความสนใจมีช่วงสั้น จึงจำเป็นต้องนำเทคนิควิธีการสอนๆ มาใช้เพือ่ จูงใจให้เด็กสนใจการ
เรยี นดว้ ยความสนุกสนานไม่เบ่ือหน่ายกอ่ ให้เกดิ ความรู้ดว้ ยความเข้าใจงา่ ยท้ังยังเปน็ การสร้างเจตคติท่ีดีต่อการ
เรยี นดังนน้ั วธิ กี ารจัดประสบการณ์การเรียนรู้ต้องคำนึงถึงการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการพัฒนาสมองให้ถูกต้อง
สมองสามารถปฏิสัมพันธ์และรับรู้หลากหลายรูปแบบหลายวิธีการ ฉะนั้น การเรียนรู้จึงต้องเป็นไปอย่าง
หลากหลายซบั ซ้อนตามกระบวนการทำงานและพัฒนาการของสมอง (พัชรนิ ทร์ วาวงศม์ ูล. 2553 : 2-3)

การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคป การสอนแบบไฮสโคปมีพื้นฐานแนวคดิ จากทฤษฎี
ของพิอาเจท์ (Piaget Theory) ว่าด้วยพัฒนาการทางสติปัญญาที่เน้นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติที่เด็ก
สามารถสร้างความรู้ได้เองโดยใช้กระบวนการสร้างสรรค์การเรียนรู้(Constructive Process of Learning)
ระยะต่อมามีการผสมผสานทฤษฎีและแนวคิดอื่น ๆ เช่น ทฤษฎีของอีริกสัน(Erikson) ในเรื่องการให้โอกาสเดก็
เปน็ ผรู้ ิเรมิ่ การเลน่ หรอื กิจกรรมตา่ ง ๆ อยา่ งอสิ ระและทฤษฎีของไวก๊อตสก้ี (Vygotsky) ในเร่ืองปฏิสัมพันธ์และ
การใช้ภาษา หลักการที่สำคัญของไฮสโคปในระดับปฐมวัย คือ การเรียนรู้ตามความสนใจของเด็กตามศูนย์การ
เรียนรู้แบบลงมือกระทำการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ หมายถึง การเรียนรู้ซึ่งเด็กได้จัดกระทำกับวัตถุได้มี
ปฏิสัมพันธ์กับบุคคล ความคิดและเหตุการณ์จนกระทั่งสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทั้งนี้องค์ประกอบ

3

ของการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ ไดแ้ ก่ การเลือกและตดั สนิ ใจ สอื่ การใช้ประสาทสมั ผัสท้ังหา้ ภาษาจากเด็กและ
การสนับสนุนจากผู้ใหญ่การจัดประสบการณ์ สำหรับเด็กของไฮสโคป คือการวางแผน ปฏิบัติและทบทวนโดย
เด็กได้รบั ประสบการณ์สำคญั ซ้ำแลว้ ซ้ำอีกในชีวติ ประจำวนั อย่างเปน็ ธรรมชาตปิ ระสบการณส์ ำคัญเปน็ กุญแจที่
จำเป็นในการสร้าง องค์ความรู้สำหรับเด็กเป็นเสมือนกรอบความคิดที่จะทำความเข้าใจการเรียนรู้ แบบลงมือ
กระทำ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2550 : 2-29) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปสามารถช่วย
สนับสนุนและเป็นแนวทางในการพัฒนาผู้เรียนให้ประสบผลสำเร็จแนวคิดในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่
ให้ความสำคัญกับผู้เรียนอีกแนวทางเลือกหนึ่ง ได้แก่ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป (High
Scope Learning) ซึ่งมีหลักการที่สำคัญคือ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากการทำงานหรือปฏิบัติด้วยตัวของ
นกั เรยี นเอง โดยมกี ระบวนการทใ่ี หน้ กั เรยี นมกี ารวางแผนเลือกสง่ิ ท่ีจะทำงานด้วยตวั เองเรม่ิ การปฏิบัติตามแผน
กิจกรรมตามที่ตนเองได้วางไว้และการทบทวนผลงานของตนให้สำเร็จอย่างไรเมื่อมีปัญหาจะสามารถแก้ไข
ปัญหาให้สำเร็จอย่างไร (พัชรี ผลโยธิน และคณะ. 2550 : 25-27) โดยหลักการที่สำคัญของไฮสโคป คือจะเน้น
การเรียนรแู้ บบลงมอื กระทำ (Active Learning) ซง่ึ มอี งคป์ ระกอบของการเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ การเลอื กและตัดสินใจ
ใช้ส่อื การใชป้ ระสาทสัมผัสทั้งหา้ ภาษาจากเดก็ และการสนับสนนุ จากผู้ใหญ่(พัชรี ผลโยธนิ และคณะ. 2550 : 3)
ซึ่งตอบสนองให้เด็กเรียนรู้อย่างสนุกสนาน เพลิดเพลินด้วยสื่อการสอนต่าง ๆ ที่หลากหลาย โดยที่สื่อเหล่านี้
เปิดโอกาสให้เด็กกระทำลงมือปฏิบัติ สัมผัส เล่นและควบคุม เด็กมีการเลือกและตัดสินใจ ตลอดจนใช้ภาษาใน
การสื่อความหมายภายใต้การสนับสนุนจากผู้ใหญ่ โดยผ่านกระบวนการวางแผน ปฏิบัติ ทบทวน (Plan Do
Review) ให้เด็กได้ริเริ่มและตัดสินใจโดยการสนทนากับเด็กเป็นรายบุคคลเกี่ยวกับแผนงานของเด็ก สนับสนุน
ให้เด็กได้เล่นอย่างมีจุดหมาย และช่วงของการทบทวนเด็กจะไดส้ ะท้อน พูดคุย และนำเสนอสิ่งที่ได้ทำ (วรนาท
รักสกุลไทย. 2551 : 73-78) ครูจะเป็นผู้กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดด้วยคำถามปลายเปิดในห้องเรียนที่มีมุมมองเพอื่
สนองความสนใจของเด็กให้เรียนรู้ผ่านการกระทำและเชื่อมโยงประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมในแบบต่าง ๆ
นอกจากนี้ในการทำกิจกรรมโดยให้ผู้เรียนปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบจะช่วยทำให้ผู้เรียนได้ฝึกคิด
แก้ปัญหาหลังจากเด็กทำกิจกรรมเสร็จแล้วก็จะสรุปทบทวนว่างานที่ตนเองทำได้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้
หรือไม่ในระดับใดและจะเป็นการช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดี (กุลยา ตันติผลาชีวะ. 2551 : 124 ; อ้างอิงมา
จาก Weikart and others. 1983 : 58) กระบวนการวางแผน การลงมือปฏิบัติและการทบทวนโดยเด็กเป็นผู้
ริเริ่มกิจกรรมอย่างอิสระด้วยตนเองจะสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ทุกด้านโดยครูผู้สอนเป็นผู้ให้การสนับสนุน
ความคิดของเด็กและกระตุ้นในการใชเ้ หตผุ ลสำหรบั การแก้ปญั หาต่อไปและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตาม
แนวคิดไฮสโคปเป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อช่วยพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนให้สูงข้ึน
(ศิริพรรณ สิทธิพนู อนภุ าพ. 2552 : 67)

จากที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ศึกษาค้นคว้าในฐานะที่เป็นครูผู้สอนปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 3 จึงมีความสนใจ
ที่จะพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ช้ัน
อนุบาลปีที่ 3 ซึ่งจะช่วยให้เด็กปฐมวัยเกิดการเรียนรู้อย่างเข้าใจและมีความสุขผ่านสื่อและการเล่น อันเป็น
ธรรมชาติของเด็กปฐมวัยเป็นประโยชน์ต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ตลอดจนส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีใจ

4

รักและเกิดความพร้อมในการเรียนคณิตศาสตร์ ซึ่งเด็กปฐมวัยสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ใน
ชวี ิตประจำวนั ไดต้ อ่ ไป

ความมงุ่ หมายของการศึกษาคน้ คว้า
1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง

คณติ ศาสตร์ ช้นั อนุบาลปที ่ี 3 ที่มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80
2. เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป

เพอ่ื สง่ เสรมิ ทักษะพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ ชัน้ อนบุ าลปที ี่ 3
3. เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแผนการจัด

ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อสง่ เสรมิ ทักษะพื้นฐานทางคณติ ศาสตร์ ช้นั อนุบาลปที ่ี 3

ความสำคญั ของการศกึ ษาค้นคว้า
1. ได้แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพื่อส่งเสรมิ ทักษะพ้ืนฐานทาง

คณิตศาสตร์ ชนั้ อนุบาลปีที่ 3 ท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 และมีประสิทธผิ ล
2. เพื่อเป็นแนวทางสำหรบั ครูปฐมวยั และผ้ทู ่ีสนใจในการศึกษาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพอ่ื

เตรยี มความพรอ้ มทกั ษะพนื้ ฐานทางคณิตศาสตรข์ องเด็กปฐมวยั

สมมุตฐิ านการศึกษาค้นควา้
1. แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์

ช้นั อนุบาลปีท่ี 3 มปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80
2. นักเรยี นช้ันอนบุ าลปีที่ 3 มีทักษะพนื้ ฐานทางคณติ ศาสตรห์ ลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรยี นดว้ ยแผนการจดั

ประสบการณก์ ารเรียนรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคปเพื่อสง่ เสริมทกั ษะพ้นื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ช้นั อนุบาลปที ี่ 3

ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
ประชากรท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาคน้ ควา้
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาคน้ ควา้ ครัง้ นี้ ได้แก่ นักเรียนชัน้ อนบุ าลปที ่ี 3 โรงเรยี นบา้ นบึงหอม สงั กัด

สำนักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาปฐมศึกษาอบุ ลราชธานี เขต 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 15 คน
ซง่ึ ไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

เนื้อหา
เนอ้ื หาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครง้ั น้ี ตรงตามหลกั สูตรการศึกษาปฐมวยั พทุ ธศักราช 2560 จำนวน 4
หนว่ ยการเรยี นรู้ รวมทัง้ สน้ิ 20 แผน ไดแ้ ก่
1. หนว่ ยการเรยี นรู้ เรือ่ ง เทคโนโลยแี ละการสอ่ื สาร
2. หน่วยการเรียนรู้ เร่ือง สตั วน์ า่ รกั
3. หน่วยการเรียนรู้ เรือ่ ง ฤดกู าลหรรษา

5

4. หน่วยการเรยี นรู้ เรอ่ื ง ผัก ผลไม้

ระยะเวลาท่ใี ช้ในการทดลอง
ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ทำการทดลองด้วยแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตาม
แนวคดิ ไฮสโคปเพือ่ ส่งเสริมทักษะพืน้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชั้นอนบุ าลปีที่ 3 ในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 วัน ในช่วงของกิจกรรมเสริมประสบการณ์ (20 นาที
สามารถยืดหยุ่นเวลาได้ตามความเหมาะสมของกิจกรรมและความสนใจของเด็ก) ทั้งนี้ไม่รวมเวลาทดสอบก่อน
เรยี นและหลังเรยี น

ตัวแปรทศี่ ึกษา
ตัวแปรทศ่ี ึกษาประกอบดว้ ย
1. ตัวแปรตน้ คือ แผนการจดั ประสบการณ์การเรยี นรูต้ ามแนวคิดไฮสโคปเพ่ือสง่ เสริมทกั ษะพ้ืนฐาน
ทางคณติ ศาสตร์ ชัน้ อนบุ าลปที ่ี 3
2. ตัวแปรตาม คือ

2.1 ประสิทธภิ าพของแผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคปเพื่อส่งเสริม
ทักษะพ้นื ฐานทางคณิตศาสตร์ ช้ันอนุบาลปที ่ี 3

2.2 ดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของแผนการจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคปเพ่ือส่งเสริม
ทักษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนบุ าลปที ่ี 3

2.3 ทกั ษะพ้ืนฐานทางคณติ ศาสตร์ ชน้ั อนุบาลปีที่ 3
2.3.1 จำนวนและตวั เลข
2.3.2 การจดั ประเภท
2.3.3 การเปรยี บเทียบ
2.3.4 การเรียงลำดบั

กรอบแนวคดิ การศึกษาคน้ คว้า
ผู้ศึกษาค้นคว้าได้นำแนวคิดไฮสโคป ซึ่งเป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรูโ้ ดยเน้นใหเ้ ด็กลงมือปฏิบตั ิ

กิจกรรมตามความสนใจของตนเอง เน้นให้เด็กปฐมวัยลงมือปฏิบัติด้วยตนเองมีกระบวนการทำงาน
3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวางแผน (Plan) 2) การปฏิบัติ (Do) 3) การทบทวน (Review) โดยเด็กได้รับ
ประสบการณ์สำคัญซ้ำแล้วซ้ำอีกในชวี ิตประจำวันอยา่ งเปน็ ธรรมชาติประสบการณ์สำคัญเป็นกุญแจที่จำเป็นใน
การสร้าง องค์ความรู้สำหรับเด็กเป็นเสมือนกรอบความคิดที่จะทำความเข้าใจการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ
(กระทรวงศึกษาธิการ. 2550 : 2-29) ผู้ศึกษาค้นคว้าจึงนำแนวคิดไฮสโคปมาจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตาม
แนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ดังภาพประกอบที่ 1
กรอบแนวคดิ ในการศึกษาค้นคว้า

6

ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม

การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรตู้ าม 1. ประสทิ ธิภาพของแผนการจดั ประสบการณ์
แนวคิดไฮสโคปเพ่ือส่งเสรมิ ทกั ษะพืน้ ฐาน การเรยี นรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพ่อื สง่ เสริมทกั ษะ
ทางคณติ ศาสตร์ ชัน้ อนบุ าลปที ี่ 3 พน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์ ชน้ั อนบุ าลปีท่ี 3
2. ดชั นปี ระสทิ ธิผลของแผนการจดั ประสบการณ์
การเรียนรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพ่ือส่งเสรมิ ทกั ษะ
พ้นื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชั้นอนบุ าลปีท่ี 3
3. ทักษะพน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชน้ั อนุบาลปที ี่ 3

3.1 จำนวนและตวั เลข 3.2 การจดั ประเภท
3.3 การเปรยี บเทยี บ 3.4 การเรยี งลำดบั

ภาพประกอบที่ 1 กรอบแนวคดิ ในการศึกษาค้นควา้

นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
1. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยเน้นให้เด็ก

ปฐมวัยลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามความสนใจของตนเอง เน้นให้เด็กปฐมวัยลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
มีกระบวนการทำงาน 3 ขัน้ ตอน ไดแ้ ก่ 1) การวางแผน (Plan) 2) การปฏบิ ตั ิ (Do) 3) การทบทวน (Review)

2. แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
ชั้นอนุบาลปีที่ 3 หมายถึง แผนการสอนที่วางแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้เด็ก ลงมือปฏิบัติกิจกรรม
ตามความสนใจของตนเอง โดยครูมีบทบาทในการดูแล แนะนำ เร้าความสนใจสร้างความสนุกสนาน
บรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เอื้อต่อการเรียนรู้ ครูสังเกตการณ์ทำงานของเด็กปฐมวัยแต่ละกลุ่ม บันทึก
พฤติกรรมเด็กปฐมวัยให้คำแนะนำช่วยเหลือหรือร่วมแสดงความคิดเห็นกบั กลุ่ม สนับสนุนให้เด็กปฐมวัยปฏบิ ัติ
กิจกรรมตามแผนด้วยตนเองหรือกลุ่มอย่างอิสระตามเวลาที่กำหนด โดยครูปฏิบัติระหว่างการดำเนินกิจกรรม
ได้แก่ การจดบันทึกการวางแผนของเด็กปฐมวัย การกระตุ้นให้เด็กปฐมวัยใส่ใจในเป้าหมายที่ต้องการและการ
ปฏิบัติกิจกรรมให้บรรลุตามเป้าหมายนั้น รวมทั้งการจัดเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย ผ่านกิจกรรมเสริม
ประสบการณ์เน้นให้เด็กปฐมวยั ลงมือปฏิบัตดิ ้วยตนเองและมกี ระบวนการทำงาน 3 ข้ันตอน ดังนี้

2.1 ขั้นการวางแผน (Plan) เด็กปฐมวัยกำหนดแนวทางการปฏิบัติหรือดำเนินงานตาม
ที่ได้รับมอบหมายมีการสนทนาระหว่างครูกับเด็กและเพื่อนในกลุ่มว่าจะทำอะไร อย่างไร การวางแผน
กิจกรรม อาจจะใช้แสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็ก เป็นกระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือก
และตดั สนิ ใจ

2.2 ขั้นการปฏิบัติ (Do) เด็กปฐมวัยลงมือกระทำตามแผนที่วางไว้เป็นส่วนที่เด็กได้ร่วมกันคิด
แกป้ ัญหา ตดั สินใจและทำดว้ ยตนเอง เป็นสว่ นทเี่ ด็กไดม้ กี ารพฒั นาการพูดและปฏิสมั พันธ์ทางสังคม

7

2.3 ขั้นการทบทวน (Review) เป็นช่วงที่ได้งานตามจุดประสงค์ ช่วงนี้เด็กปฐมวัยจะมี
การอภิปราย และเล่าถึงผลงานที่ทำเพื่อทบทวนว่าสามารถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้หรือไม่ มีการ
เปลี่ยนแปลงแผนอย่างไร และชใ้ี ห้เห็นความเชื่อมโยงระหวา่ งแผนกับการปฏบิ ตั แิ ละผลงานทีท่ ำรวมถงึ
การเลา่ ประสบการณต์ ่าง ๆ ทไ่ี ดร้ ับ
3. ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการแสดงออกของนักเรียนชั้นอนุบาลปีท่ี
3 (อายุ 5-6 ขวบ) ที่สามารถใช้ทักษะทางคณิตศาสตร์ในความสามารถจำนวน ตัวเลข การนับ และรู้ค่า 1-20
การจัดประเภท การเปรียบเทียบ การจัดประเภท ซึ่งวัดด้วยแบบวัดความพร้อมทักษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์
ทผ่ี ้วู ิจัยพัฒนาข้นึ ดา้ นตา่ ง ๆ ดงั น้ี

3.1 จำนวนและตัวเลข หมายถึง ความสามารถในการนับจำนวน 1-20 นับและบอกจำนวน
สิ่งต่าง ๆ ไม่เกิน 20 และเขา้ ใจความหมายของตัวเลขท่ีแทนคา่ วัตถสุ ิ่งของตามท่ีจำนวนนบั

3.2 การจัดประเภท หมายถึง ความสามารถในการสังเกตเพื่อรับรู้รายละเอียดแล้ว จำแนก
จัดกลุ่ม สิ่งของทเ่ี หมือนกันไวด้ ว้ ยกันหรือการจดั กล่มุ ตามความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของตามคุณลักษณะ
ท่ีสัมพนั ธก์ ันได้ เช่น สี รูปรา่ ง รปู ทรง ขนาด ประโยชน์

3.3 การเปรียบเทียบ หมายถึง ความสามารถในการสังเกตเพื่อรับรู้รายละเอียดของสิ่งของ
ตั้งแต่ 2 สิ่งขึ้นไปมาหาข้อแตกต่างตามคุณลักษณะแล้วสามารถจำแนกความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของ
ตามคุณลักษณะ เช่น จำนวน มาก–น้อย, ปริมาณ หนัก–เบา, มาก–น้อย ,ขนาด เล็ก–ใหญ่, สัดส่วน
สงู –ต่ำ, ยาว–ส้ัน

3.4 การเรียงลำดับ หมายถึง ความสามารถในการจัดตำแหน่งสิ่งของหรือวัตถุให้เข้าที่ตาม
คำสั่งหรือตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยใช้ความสัมพันธ์ของคุณสมบัติบางอย่าง เช่น จำนวนมาก–น้อย,
ปรมิ าณ หนกั –เบา, ขนาด เลก็ –ใหญ่, สัดสว่ น สงู –ต่ำ, ยาว–ส้นั ไมเ่ กนิ 5 ลำดบั
4. ประสิทธิภาพ หมายถึง แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะ
พ้ืนฐานทางคณติ ศาสตร์ ชั้นอนบุ าลปีที่ 3 ที่ผศู้ ึกษาคน้ ควา้ สร้างขึ้น มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80

80 ตัวแรก หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ คำนวณจากร้อยละของคะแนนเฉลีย่ ของ
นักเรียนทุกคนระหว่างเรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบย่อยวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ประจำหน่วยการเรียนรู้ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ๆ ละ 16 ข้อ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยร้อยละ
80 ขนึ้ ไป

80 ตัวหลัง หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ คำนวณจากร้อยละของคะแนนเฉลี่ย
ของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3
จำนวน 20 ข้อ ซ่งึ มีคา่ เฉล่ียรอ้ ยละ 80 ข้ึนไป
5. ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (The Effectiveness Index) หมายถึง
ค่าทแ่ี สดงความกา้ วหน้าของเด็กที่เรยี นด้วยแผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคปเพอ่ื ส่งเสริม
ทักษะพ้นื ฐานทางคณิตศาสตร์ ชนั้ อนุบาลปที ี่ 3 ในกิจกรรมเสริมประสบการณด์ ้วยการเปรียบเทียบคะแนนที่ได้

8

จากแบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน
ทผ่ี ศู้ กึ ษาคน้ ควา้ สร้างข้ึน

6. แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ หมายถึง แบบทดสอบแบบปรนัยรูปภาพ
3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้น ใช้ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเพื่อใช้วัดและประเมิน
พัฒนาการทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 หลังจากที่เรียนด้วยแผนการจัดประสบการณ์การ
เรียนร้ตู ามแนวคดิ ไฮสโคปเพ่อื ส่งเสรมิ ทกั ษะพ้นื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชนั้ อนบุ าลปีท่ี 3

8. นักเรยี นชัน้ อนบุ าลปที ี่ 3 หมายถึง เดก็ ปฐมวยั ที่มีอายุ 5-6 ปี ทก่ี ำลงั เรยี นชัน้ อนบุ าลปีท่ี 3 โรงเรยี น
บ้านบึงหอม ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564

9

บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ียวขอ้ ง

การศึกษาค้นคว้า เรื่อง การพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริม
ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ผู้ศึกษาค้นว้าได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ดงั ต่อไปนี้

1. หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั พทุ ธศักราช 2560
2. กรอบมาตรฐานการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ระดบั ปฐมวยั พ.ศ. 2551
3. แนวคดิ เกี่ยวกบั ทักษะคณิตศาสตร์สำหรบั เด็กปฐมวัย
4. แนวคดิ เกีย่ วกับการเรยี นร้ตู ามแนวคดิ ไฮสโคป
5. แนวคดิ เกี่ยวกบั แผนการจดั ประสบการณ์เรียนรู้
6. แนวคดิ เกย่ี วกบั การหาประสิทธิภาพ และดัชนีประสิทธิผล
7. งานวจิ ัยท่เี ก่ยี วข้อง

หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศกั ราช 2560
ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย
การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี บริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวมบนพื้นฐานการอบรม

เลี้ยงดู และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคนให้เต็มตาม
ศักยภาพภายใตบ้ รบิ ทสงั คมและวัฒนธรรมท่เี ดก็ อาศัยอยู่ ด้วยความรกั ความเออ้ื อาทร และความเข้าใจของทุก
คน เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เกิดคุณค่าต่อตนเอง ครอบครัว
สังคม และประเทศชาติ

วสิ ยั ทัศน์
หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั มงุ่ พฒั นาเด็กทกุ คนใหไ้ ด้รบั การพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม
และสติปญั ญาอย่างมคี ุณภาพและต่อเน่ือง ไดร้ ับการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรอู้ ย่างมีความสุขและเหมาะสม
ตามวัย มที ักษะชีวติ และปฏิบตั ิตนตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ คนดี มีวนิ ยั และสำนกึ ความเปน็
ไทย โดยความร่วมมอื ระหว่างสถานศึกษา พ่อแม่ ครอบครวั ชุมชน และทกุ ฝา่ ยที่เกี่ยวขอ้ งกบั การพัฒนาเด็ก

หลกั การ
เด็กทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ตลอดจน
ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเหมาะสม ด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้สอน
เด็กกับผู้เลี้ยงดูหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในการอบรมเลี้ยงดู การพัฒนาและให้การศึกษาแก่เด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กมี
โอกาสพฒั นาตนเองตามลำดับขัน้ ของพัฒนาการทกุ ด้านอยา่ งเป็นองค์รวม มีคณุ ภาพ และเตม็ ตามศกั ยภาพโดย
มหี ลกั การดงั นี้

10

1. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรแู้ ละพฒั นาการที่ครอบคลุมเดก็ ปฐมวัยทุกคน
2. ยึดหลักการอบรมเล้ยี งดแู ละให้การศกึ ษาท่เี น้นเดก็ เปน็ สำคญั โดยคำนึงถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ ง
บคุ คลและวถิ ีชวี ติ ของเด็กตามบริบทของชมุ ชน สงั คม และวัฒนธรรมไทย
3. ยดึ พัฒนาการและการพฒั นาเดก็ โดยองคร์ วมผ่านการเลน่ อย่างมีความหมายและมีกจิ กรรมท่ี
หลากหลาย ไดล้ งมอื กระทำในสภาพแวดลอ้ มท่ีเอือ้ ตอ่ การเรยี นรู้ เหมาะสมกบั วัย และมกี ารพักผ่อนท่เี พียงพอ
4. จดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ให้เด็กมีทักษะชวี ิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง เปน็ คนดี มีวินัย และมคี วามสุข
5. สรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจและประสานความรว่ มมือในการพัฒนาเด็กระหวา่ งสถานศกึ ษากับพ่อแม่
ครอบครัว ชุมชน และทกุ ฝ่ายท่เี กี่ยวขอ้ งกับการพฒั นาเด็กปฐมวยั

จดุ หมาย
หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย ม่งุ ใหเ้ ดก็ มพี ัฒนาการตามวัยเต็มตามศักยภาพและเมือ่ มคี วามพร้อม
ในการเรยี นร้ตู ่อไป จงึ กำหนดจดุ หมายเพื่อให้เกิดกบั เดก็ เมอ่ื เดก็ จบการศึกษาระดับปฐมวยั ดังน้ี
1. มรี า่ งกายเจริญเตบิ โตตามวยั แขง็ แรง และมีสุขนสิ ัยทด่ี ี
2. มีสุขภาพจติ ดี มสี ุนทรียภาพ มคี ุณธรรม จริยธรรมและจติ ใจท่ีดงี าม
3. มที ักษะชีวติ และปฏบิ ัติตนตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มีวนิ ัย และอยรู่ ่วมกับผู้อื่นได้
อยา่ งมีความสุข
4. มีทักษะการคิด การใชภ้ าษาสอื่ สาร และการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกบั วัย

มาตรฐานคณุ ลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์
หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวัยกำหนดมาตรฐานคณุ ลักษณะทพ่ี ึงประสงค์จำนวน 12 มาตรฐาน
ประกอบด้วย
1. พฒั นาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย 2 มาตรฐานคือ

มาตรฐานท่ี 1 ร่างกายเจริญเตบิ โตตามวยั และมสี ุขนิสยั ทดี่ ี
มาตรฐานท่ี 2 กล้ามเน้ือใหญแ่ ละกล้ามเนอ้ื เลก็ แขง็ แรงใชไ้ ดอ้ ย่างคลอ่ งแคลว่

และประสานสมั พนั ธ์กนั
2. พัฒนาการดา้ นอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย 3 มาตรฐานคือ

มาตรฐานที่ 3 มสี ุขภาพจิตดีและมีความสขุ
มาตรฐานท่ี 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
มาตรฐานที่ 5 มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และมจี ติ ใจท่ีดงี าม
3. พัฒนาการด้านสังคม ประกอบดว้ ย 3 มาตรฐานคอื
มาตรฐานท่ี 6 มีทกั ษะชีวิตและปฏิบตั ิตนตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ ส่ิงแวดลอ้ ม วฒั นธรรม และความเปน็ ไทย

11

มาตรฐานที่ 8 อย่รู ว่ มกับผูอ้ ื่นได้อยา่ งมีความสขุ และปฏบิ ตั ิตนเป็นสมาชิกทด่ี ีของสังคมใน
ระบอบประชาธิปไตย อนั มพี ระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข
4. พฒั นาการดา้ นสตปิ ัญญา ประกอบดว้ ย 4 มาตรฐานคอื
มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาส่อื สารไดเ้ หมาะสมกบั วัย
มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เปน็ พืน้ ฐานการเรียนรู้
มาตรฐานท่ี 11 มจี นิ ตนาการและความคดิ สร้างสรรค์
มาตรฐานท่ี 12 มเี จตคติท่ดี ตี อ่ การเรียนรู้และมคี วามสามารถในการแสวงหาความรูไ้ ด้

เหมาะสมกบั วยั
สาระการเรียนรู้
สาระการเรยี นรูใ้ ช้เป็นส่อื กลางในการจดั กิจกรรมใหก้ บั เด็กเพอื่ สง่ เสรมิ พัฒนาการทกุ ด้าน ทัง้ ดา้ นร่างกาย
อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสตปิ ัญญา ซง่ึ จำเปน็ ตอ่ การพฒั นาเดก็ ให้เป็นมนุษย์ทส่ี มบูรณ์ ทง้ั น้สี าระการเรยี นรู้
ประกอบดว้ ย องค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการและคณุ ลักษณะหรอื คา่ นิยม คุณธรรม จรยิ ธรรม ความรู้
สาระการเรยี นรู้ มี 2 ส่วนดงั นี้
1. ประสบการณ์สำคัญ
ประสบการณ์สำคัญจะช่วยอธิบายให้ผู้สอนเข้าใจว่าเด็กปฐมวัยต้องทำอะไรเรียนรู้ สิ่งต่าง ๆ รอบตัว
อย่างไร และทุกประสบการณ์มีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กช่วยแนะผู้สอนในการสังเกต สนับสนุน และ
วางแผนการจัดกิจกรรมให้เด็กประสบการณ์สำคัญที่กำหนดไว้ในหลักสูตรมีความสำคัญต่อการสร้างองค์ความรู้
ของเด็ก โดยจะครอบคลุมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์และจิตใจ ด้านสังคม และด้าน
สติปัญญา
2. สาระท่คี วรรู้
สาระที่ควรเรียนรู้จะกำหนดเฉพาะหัวข้อไม่มีรายละเอียดเพื่อประสงค์ให้ผู้สอนสามารถกำหนด
รายละเอียดขึ้นเองให้สอดคล้องกับวัย ความต้องการ ความสนใจของเด็กอาจยืดหยุ่นเนื้อหาได้โดยคำนึงถึง
ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริงของเด็ก ผู้สอนสามารถนำสาระที่ ควรเรียนรู้มาบูรณาการจัด
ประสบการณ์ให้ง่ายต่อการเรียนรู้ สาระท่ีควรเรียนรูป้ ระกอบด้วย เรื่องราวเก่ียวกับตัวเด็ก เรื่องราวเกีย่ วกบั ตัว
บุคคลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก เรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัวและเรื่องราวเก่ียวกับส่ิงต่าง ๆ รอบตัวเด็ก มี
ดังนี้

2.1 เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรรู้จักชื่อ นามสกุล และรูปร่าง หน้าตา รู้จักอวัยวะต่าง ๆ วิธีการ
รักษาร่างกายให้สะอาดปลอดภัยรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะเรียนรู้ที่จะเล่นและทำ
สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองคนเดียวหรือกับผู้อื่น ตลอดจนเรียนรู้ที่จะแสดงความคิดเห็นความรู้สึกและแสดง
มารยาททดี่ ี

12

2.2 เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานท่ีแวดล้อมเด็ก เด็กควรได้มีโอกาสรับรู้เรื่องราวเก่ียวกบั
ครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน รวมทั้งบุคคลต่าง ๆที่เด็กต้องเกี่ยวข้องหรือมีโอกาสใกล้ชิดและ
มีปฏสิ มั พันธ์ในชวี ิตประจำวัน

2.3 ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรจะได้เรียนรสู้ ิ่งมชี ีวติ ส่ิงไม่มชี ีวติ รวมท้งั ความเปลี่ยนแปลงของ
โลกท่ีแวดล้อมเด็กตามธรรมชาติ เชน่ ฤดกู าล กลางวนั กลางคืน

2.4 สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เด็กควรจะได้รู้จักสี ฤดูกาลหรรษา น้ำหนัก ผิวสัมผัสของสิ่งต่าง ๆ
รอบตวั ส่งิ ของเคร่ืองใช้ ยานพาหนะและการส่ือสารตา่ ง ๆ ทใ่ี ชอ้ ย่ใู นชวี ิตประจำวนั

การจดั ประสบการณ์
การจัดประสบการณ์สำหรบั เดก็ ปฐมวัยอายุ 3–6 ปี เปน็ การจดั กจิ กรรมในลกั ษณะบรู ณาการผ่านการ
เล่น การลงมือกระทำจากประสบการณ์ตรงอย่างหลากหลาย เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมท้ัง
เกิดการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ไม่จัดเป็นรายวิชาโดยมีหลักการจัด
ประสบการณ์ แนวทางการจดั ประสบการณ์ และการจัดกจิ กรรมประจำวัน ดังน้ี
หลักการจดั ประสบการณ์
1.จดั ประสบการณก์ ารเล่นและการเรยี นรู้อยา่ งหลากหลาย เพอ่ื พัฒนาเด็กโดยองค์รวมอย่าง
สมดลุ และต่อเนอ่ื ง
2. เน้นเดก็ เปน็ สำคญั สนองความตอ้ งการ ความสนใจ ความแตกตา่ งระหว่างบุคคลและบริบท
ของสังคมทเี่ ด็กอาศัยอยู่
3. จัดให้เด็กได้รบั การพัฒนา โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรูแ้ ละพัฒนาการของเดก็
4. จดั การประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และเป็นส่วนหน่งึ ของการจัด
ประสบการณ์ พร้อมท้งั นำผลการประเมินมาพัฒนาเดก็ อย่างต่อเนื่อง
5. ให้พ่อแม่ ครอบครวั ชมุ ชน และทุกฝา่ ยท่เี กีย่ วขอ้ ง มีสว่ นร่วมในการพฒั นาเดก็

แนวทางการจดั ประสบการณ์
1. จดั ประสบการณใ์ หส้ อดคลอ้ งกับจิตวิทยาพฒั นาการและการทำงานของสมองที่เหมาะสมกับอายุ วฒุ ิ
ภาวะและระดบั พฒั นาการ เพอ่ื ให้เด็กทุกคนได้พฒั นาเตม็ ตามศักยภาพ
2. จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็ก เด็กได้ลงมือกระทำเรียนรู้ผ่านประสาท
สัมผสั ท้งั หา้ ไดเ้ คลอื่ นไหว สำรวจ เล่น สงั เกต สืบค้น ทดลอง และคิดแก้ปญั หาดว้ ยตนเอง
3. จัดประสบการณ์แบบบูรณาการ โดยบูรณาการทั้งกิจกรรม ทกั ษะ และสาระการเรียนรู้
4. จัดประสบการณ์ให้เด็กได้คิดริเริ่ม วางแผน ตัดสินใจลงมือกระทำและนำเสนอความคิด
โดยผสู้ อนหรือผู้จดั ประสบการณ์เปน็ ผูส้ นบั สนนุ อำนวยความสะดวก และเรียนร้รู ว่ มกบั เด็ก
5. จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่นกับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ
การเรยี นรู้ ในบรรยากาศท่ีอบอ่นุ มีความสขุ และเรียนร้กู ารทำกจิ กรรมแบบรว่ มมอื ในลักษณะตา่ ง ๆ กนั

13

6. จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ในวิถีชีวิตของ
เดก็ สอดคลอ้ งกับบริบท สงั คม และวฒั นธรรมทแ่ี วดล้อมเดก็

7. จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวันตามแนวทางปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม และการมีวินัยให้เป็นส่วนหนึ่งของ การจัด
ประสบการณก์ ารเรียนรอู้ ย่างต่อเนื่อง

8. จัดประสบการณ์ทั้งในลักษณะที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนที่เกิดขึ้นในสภาพจริง
โดยไม่ได้คาดการณ์ไว้

9. จัดทำสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล นำมา
ไตร่ตรองและใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์ตอ่ การพฒั นาเดก็ และการวจิ ยั ในชน้ั เรียน

10. จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วมทั้งการวางแผน การสนับสนุนสื่อแหล่ง
เรยี นรู้ การเข้ารว่ มกิจกรรม และการประเมินพฒั นาการ

การจดั กจิ กรรมประจำวัน
กิจกรรมสำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปีบริบูรณ์ สามารถนำมาจัดเป็นกิจกรรมประจำวันได้หลายรูปแบบ
เป็นการช่วยให้ครูผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์ทราบว่าแต่ละวันจะทำกิจกรรมอะไร เมื่อใด และอย่างไร ทั้งนี้
การจดั กิจกรรมประจำวันสามารถจัดไดห้ ลายรปู แบบ ขนึ้ อย่กู บั ความเหมาะสมในการนำไปใชข้ องแต่ละหนว่ ยงานและ
สภาพชุมชน ที่สำคัญครูผู้สอนต้องคำนึงถึงการจัดกิจกรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน การจัดกิจกรรม
ประจำวันมหี ลักการจัดและขอบข่ายกิจกรรมประจำวัน ดงั นี้
หลักการจดั กจิ กรรมประจำวัน
1. กำหนดระยะเวลาในการจดั กิจกรรมแต่ละกิจกรรมใหเ้ หมาะสมกบั วัยของเด็กในแตล่ ะวันแต่ยืดหยนุ่
ได้ตามความต้องการและความสนใจของเดก็ เชน่

วยั 3-4 ปี มีความสนใจช่วงสัน้ ประมาณ 8-12 นาที
วยั 4–5 ปี มคี วามสนใจอยูไ่ ด้ประมาณ 12-15 นาที
วัย 5-6 ปี มคี วามสนใจอยู่ได้ประมาณ 15- 20 นาที
2. กิจกรรมท่ีตอ้ งใชค้ วามคดิ ทั้งในกลมุ่ เลก็ และกล่มุ ใหญ่ ไม่ควรใช้เวลาต่อเนอ่ื งนานเกินกว่า 20 นาที
3. กิจกรรมท่เี ด็กมอี ิสระเลอื กเล่นเสรี เพ่ือชว่ ยให้เด็กรูจ้ ักเลือกตัดสนิ ใจ คดิ แกป้ ัญหา คดิ สร้างสรรค์
เชน่ การเลน่ ตามมมุ การเล่นกลางแจง้ ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที
4. กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อใหญ่และ
กล้ามเน้ือเลก็ กิจกรรมท่ีเป็นรายบุคคล กลุ่มยอ่ ยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็กเป็นผู้รเิ ร่ิมและครูผูส้ อนหรอื ผู้จัด
ประสบการณ์เป็นผู้ริเริ่ม และกิจกรรมที่ใช้กำลังและไม่ใช้กำลัง จัดให้ครบทุกประเภท ทั้งนี้ กิจกรรมที่ตอ้ งออก
กำลังกายควรจัดสลับกบั กิจกรรมท่ีไมต่ ้องออกกำลังมากนกั เพือ่ เด็กจะไดไ้ มเ่ หน่อื ยเกินไป

14

ขอบขา่ ยของกิจกรรมประจำวนั
การเลือกกิจกรรมที่จะนำมาจัดในแต่ละวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ในการ
นำไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญครูผู้สอนต้องคำนึกถึงการจัดกิจกรรมให้ครอบคลุม
พฒั นาการทกุ ดา้ น ดงั ต่อไปน้ี
1. การพัฒนากล้ามเน้อื ใหญ่ เปน็ การพัฒนาความแขง็ แรง การทรงตวั ความยืดหยนุ่ ความคลอ่ งแคลว่ ในการใช้
อวัยวะต่าง ๆ และจงั หวะการเคลือ่ นไหวในการใชก้ ลา้ มเนอ้ื ใหญ่ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กไดเ้ ลน่ อิสระกลางแจ้ง
เล่นเคร่ืองเล่นสนาม ปนี ป่ายเล่นอสิ ระ เคลอ่ื นไหวร่างกายตามจังหวะดนตรี
2. การพัฒนาการกล้ามเนื้อเล็ก เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเล็ก กล้ามเนื้อมือ-นิ้วมือการ
ประสานสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกล้ามเน้ือมือและระบบประสาทตามอื ได้อยา่ งคลอ่ งแคลว่ โดยจัดกจิ กรรมให้เด็กไดเ้ ล่น
เคร่อื งสัมผัส เลน่ เกมการศกึ ษา ฝึกชว่ ยเหลือตนเองในการแตง่ กาย หยิบจบั ช้อนสอ้ ม และใชอ้ ปุ กรณ์ศิลปะ เชน่
สีเทียน กรรไกร พ่กู ัน ดนิ เหนียว ดนิ นำ้ มัน ฯลฯ
3. การพัฒนาการอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เป็นการปลูกฝังให้เด็ก
มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ประหยัด เมตตา
กรุณา เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน มีมารยาทและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาที่นับถือโดยจัดกิจกรรมต่าง ๆ
ผ่านการเล่นให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือก ได้รับการตอบสนองตามความต้องการได้ฝึกปฏิบัติโดยสอดแทรก
คณุ ธรรม จรยิ ธรรมอยา่ งต่อเนอื่ ง
4. การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออกอย่างเหมาะสมและอยู่
ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันมีนิสัยรักการทำงาน ระมัดระวัง
ความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น โดยรวมทั้งระมัดระวังอันตรายจากคนแปลกหน้าให้เด็กได้ปฏิบัติกิจวัตร
ประจำวันอย่างสม่ำเสมอ เช่น รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ทำความสะอาดร่างกาย เล่นและทำงาน
ร่วมกับผู้อน่ื ปฏบิ ัตติ ามกฎกตกิ าขอ้ ตกลงของสว่ นรวม เก็บของเข้าท่ีเมอื่ เล่นหรอื ทำงานเสรจ็
5. การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ความคิดรวบยอด และคิดเชิง
เหตผุ ลทางคณิตศาสตร์และวทิ ยาศาสตรโ์ ดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้สังเกต จำแนก เปรียบเทียบ สบื เสาะหาความรู้
สนทนา อภิปรายและเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก ศึกษานอกสถานท่ี เล่นเกมการศึกษา ฝึก
การแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ฝึกออกแบบและสร้างชิ้นงาน และทำกิจกรรมทั้งเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่และ
รายบุคคล
6. การพัฒนาภาษา เป็นการพัฒนาให้เด็กใช้ภาษาสื่อสารถ่ายทอดความรู้สึกนึกคดิ ความรู้ความเขา้ ใจ
ในสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กมีประสบการณ์โดยสามารถตั้งคำถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้ จัดกิจกรรมทางภาษาให้มีความ
หลากหลายในสภาพแวดล้อมที่เอื้อตอ่ การเรียนรู้ มุ่งปลูกฝังให้เด็กไดก้ ลา้ แสดงออกในการฟงั พูด อ่าน เขียน มี
นสิ ยั รักการอ่าน และบคุ คลแวดลอ้ มต้องเปน็ แบบอย่างท่ีดใี นการใช้ภาษา ทงั้ น้ีตอ้ งคำนึกถึงหลกั การจัดกจิ กรรม
ทางภาษาทเ่ี หมาะสมกบั เดก็ เปน็ สำคัญ

15

7. การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและเห็นความสวยงามของสิ่งต่าง ๆ โดยจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ดนตรี การ
เคลือ่ นไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดษิ ฐ์สงิ่ ต่าง ๆ อยา่ งอสิ ระ เลน่ บทบาทสมมุติ เลน่ นำ้ เลน่ ทราย เล่น
บลอ็ ก และเล่นกอ่ สร้าง (กรมวิชาการ. 2560 : 12- 41)

กรอบมาตรฐานการเรียนรู้คณติ ศาสตรป์ ฐมวัย พุทธศักราช 2551
ความสำคัญของคณติ ศาสตร์
คณิตศาสตร์มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิด ทำให้มนุษย์มีความคิดอย่างมีเหตุผล

เป็นระบบ มีแบบแผน ตลอดจนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และสามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้
อย่างรอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน แก้ปัญหาและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม และ
คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ เด็กปฐมวัย เป็น
วัยเริ่มต้นแห่งการเรียนรู้ มีความอยากรู้อยากเห็น ช่างสังเกต ชอบเล่น และสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
คณิตศาสตร์สามารถพัฒนาเสรมิ สร้างใหเ้ ด็กมีความรู้ความเขา้ ใจธรรมชาติรอบตัว และสิ่งต่าง ๆ รอบตัว การท่ี
เด็กมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และมีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ไม่เพียงส่งผล
ให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์เท่านั้นแต่จะส่งผลต่อการเรียนรู้ในศาสตร์ อื่น ๆ
คณิตศาสตร์ จึงมีบทบาทสำคัญทั้งในการเรียนรู้และมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต (สถาบันส่งเสริมการสอน
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. 2551 : 2-7)

เดก็ ปฐมวัยเรียนรูอ้ ะไรในคณิตศาสตร์
การเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับปฐมวัย มุ่งหวังให้เด็กทุกคนได้เตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ทาง
คณิตศาสตร์ อันเป็นพื้นฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในชั้นประถมศึกษา โดยกำหนดสาระหลักที่จำเป็นสำหรับ
เด็ก ดังนี้
1. จำนวนและการดำเนนิ การ จำนวน การดำเนนิ การของจำนวน การรวมและ การแยกกลมุ่
2. การวัด ความยาว น้ำหนกั ปริมาตร เงิน และเวลา
3. เรขาคณิต ตำแหน่ง ทศิ ทาง ระยะทาง รปู เรขาคณติ สามมติ ิและรปู เรขาคณติ สองมติ ิ
4. พีชคณติ แบบรปู และความสัมพนั ธ์
5. การวิเคราะห์ข้อมลู และความนา่ จะเปน็ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และการนำเสนอ
6. ทกั ษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ การแกป้ ัญหา การใหเ้ หตุผล
การส่อื สาร การส่ือความหมายทางคณิตศาสตรแ์ ละการนำเสนอ การเช่อื มโยงความรตู้ ่าง ๆ ทาง
คณติ ศาสตร์และเชอ่ื มโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อน่ื ๆ และมคี วามคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรค์

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำคัญในการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรใู้ ห้กบั เด็กรวมท้งั เป็น
แนวทางในการกำกบั ตรวจสอบ และประเมินผล มาตรฐานการเรียนรู้จัดใหอ้ ยภู่ ายใตส้ าระหลกั ดังนี้

16

สาระท่ี 1 : จำนวนและการดำเนนิ การ
มาตรฐาน ค.ป. 1.1 : เข้าใจถึงความหลากหลายของการแสดงจำนวนและการใชจ้ ำนวนในชีวติ จริง
สาระที่ 2 : การวดั
มาตรฐาน ค.ป. 2.1 : เขา้ ใจพนื้ ฐานเก่ยี วกบั การวัดความยาว น้ำหนกั ปรมิ าตร เงนิ และ เวลา
สาระท่ี 3 : เรขาคณิต
มาตรฐาน ค.ป. 3.1 : รจู้ กั ใชค้ ำในการบอกตำแหนง่ ทศิ ทาง และระยะทาง
มาตรฐาน ค.ป. 3.2 : รู้จัก จำแนกรปู เรขาคณิต และเข้าใจการเปล่ียนแปลงรูปเรขาคณติ ท่ีเกิดจากการ
จัดกระทำ
สาระท่ี 4 : พชี คณติ
มาตรฐาน ค.ป. 4.1 : เขา้ ใจแบบรูปและความสัมพนั ธ์
สาระท่ี 5 : การวิเคราะห์ข้อมลู และความนา่ จะเป็น
มาตรฐาน ค.ป. 5.1 : รวบรวมข้อมลู ทเี่ กยี่ วกบั ตนเองและสิ่งแวดลอ้ ม และนำเสนอ
สาระท่ี 6 : ทกั ษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์
หมายเหตุ ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ การแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื่อสาร การสื่อ
ความหมายทางคณิตศาสตร์และการนำเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์และ เชื่อมโยงคณิตศาสตร์
กบั ศาสตรอ์ น่ื ๆ และมีความคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ในระดบั ปฐมวัย ยงั ไมก่ ำหนดมาตรฐานของสาระท่ี 6 แต่การจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ ครูควรสอดแทรกทักษะและกระบวนการ ทางคณิตศาสตร์ดังกล่าวข้างต้น ตามความ
เหมาะสมกบั ระดบั อายุ

คณุ ภาพของเด็ก
คุณภาพของเดก็ เมอ่ื จบการศึกษาปฐมวัย
- มีความคิดพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Thinking) มีความรู้ ความเขา้ ใจและความร้สู ึก
เชิงจำนวนเกี่ยวกับจำนวนนับ 1 ถึง 20 เข้าใจหลักการ การนับ รู้จักตัวเลขฮินดูอารบิกและตัวเลขไทย
รู้ค่าของจำนวน เปรียบเทียบจำนวน เรียงลำดับจำนวน ตลอดจนเข้าใจเกี่ยวกับการรวมและการแยก
กลุ่ม
- มีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับความยาว น้ำหนัก ปริมาตร เงิน และ เวลา สามารถ
เปรียบเทียบ เรียงลำดับ และวัดความยาว น้ำหนัก ปริมาตร โดยใช้เครื่องมือและหน่วยที่ไม่ใช่หน่วย
มาตรฐาน รู้จักเงินเหรียญและธนบตั ร เข้าใจเกีย่ วกับเวลาและคำทใี่ ชบ้ อกช่วงเวลา
- มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจพน้ื ฐานทางเรขาคณิต เขา้ ใจเกีย่ วกับตำแหนง่ ทิศทาง และระยะทางรู้จกั จำแนก
รูปเรขาคณิตสามมิติและรูปเรขาคณิตสองมิติ เข้าใจการเปลี่ยนแปลงรูปเรขาคณิตสองมิติ และ
สามารถใชร้ ปู เรขาคณิตสามมิตแิ ละสองมิติสร้างสรรค์งานศิลปะ
- มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจแบบรูปและความสมั พันธ์
- สามารถร่วมใหแ้ ละนำเสนอขอ้ มูลในรปู แผนภมู อิ ยา่ งง่าย

17

- มีทกั ษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ทจี่ ำเปน็ ได้แก่
ความสามารถในการแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์และการ
นำเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อืน่ ๆ และ มีความคดิ
รเิ รมิ่ สร้างสรรค์

คุณภาพของเดก็ อายุ 5 ปี
เม่อื เดก็ เรยี นจบชัน้ อนบุ าลอายุ 5 ปี
- มีความรคู้ วามเขา้ ใจและความรสู้ กึ เชงิ จำนวน และการดำเนนิ การของจำนวนเขา้ ใจเกี่ยวกับการรวมการแยก
- มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความยาว น้ำหนัก ปริมาตร เวลาและเงิน และบอกความยาว น้ำหนัก และ
ปริมาตร โดยใช้เครื่องมือและหน่วยที่ไม่เป็นมาตรฐาน สามารถเรียงลำดับชื่อวันในหนึ่งสัปดาห์และบอก
กิจกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อวานน้ี วันน้ี พรุ่งนี้ เข้าใจเกี่ยวกับเงิน สามารถบอกชนิดและ ค่าของเงิน
เหรียญและธนบตั ร
- มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั ตำแหนง่ ทิศทาง และระยะทาง สามารถใช้คำบอกและแสดงตำแหน่ง
ทิศทาง และระยะทางของส่ิงต่าง ๆ รู้จักทรงกลม ทรงส่เี หล่ยี มมมุ ฉาก กรวย ทรงกระบอก สามารถจำแนกทรง
กลม ทรงสี่เหลี่ยม มุมฉาก กรวย ทรงกระบอก และจำแนกรูปวงกลม รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยมสามารถ
อธบิ ายการเปล่ยี นแปลงรปู เรขาคณติ สองมิติทีเ่ กดิ จากการตดั ต่อเตมิ พับหรอื คลี่ และสร้างสรรค์งานศลิ ปะจาก
รูปเรขาคณติ สามมติ แิ ละสองมติ ิ
- มคี วามร้คู วามเข้าใจแบบรปู และความสัมพนั ธ์ สามารถต่อแบบรปู ทกี่ ำหนดและสร้างเพิ่มเตมิ สามารถรว่ มให้
ขอ้ มลู และนำเสนอขอ้ มลู ในรูปแผนภมู อิ ย่างงา่ ย (สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี.2551: 2-
7)

แนวคดิ เกย่ี วกบั คณิตศาสตรส์ ำหรบั เด็กปฐมวยั
ความหมายและความสำคญั ของคณิตศาสตร์
คณิตศาสตร์นับว่ามีความสำคัญและมีความจำเป็นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กปฐมวัย แนวคิด

ต่าง ๆ เกี่ยวกับพื้นฐานทางคณิตศาสตร์จะเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่ดีต่อไปในอนาคต มีนักการ
ศึกษาได้กลา่ วถงึ ความหมายของคณิตศาสตรส์ ำหรบั เดก็ ปฐมวัย ดงั น้ี

กระทรวงศึกษาธกิ าร (2546 : 34) ให้ความหมายวา่ “การสอนคณิตศาสตรไ์ ม่ใชก่ ารท่องจำตัวเลข การนบั
เลข หรอื การเล่นเกม แต่สงิ่ ท่จี ะชว่ ยให้เด็กเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ ก็คอื การจดั ประสบการณ์ในชนั้ เรียนท่ีส่งเสริมให้
เด็กตื่นตัว อยากที่จะเรียนรู้ ช่วยเหลือเด็กให้พัฒนาในเรื่องการคิดหาเหตุผล อย่างแจ้งชัด รวมถึงความ
สนกุ สนานในการเรยี นด้วย”

อารมณ์ สุวรรณปาล (2547 : 9) กล่าวว่า ความพร้อมทางคณิตศาสตร์หรือความพร้อมทางการเรียน
คณิตศาสตร์ หมายถึง พัฒนาการระดับหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนเรียนคณิตศาสตร์ได้ โดยมีอุปสรรคต่าง ๆ ไม่มาก

18

นกั หรอื สามารถเรยี นได้ในอตั ราเรว็ ซึ่งเปน็ อตั ราปกติของเด็กทั่วไปพัฒนาการดงั กลา่ วอาจเนอ่ื งมาจากวุฒิภาวะหรือ
การเรียนรูท้ ่ผี ่านมาหรอื จากอิทธิพลของทง้ั สองสิง่ ประกอบกัน

กุลยา ตันติผลาชีวะ (2551 : 158) กล่าวว่า คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง การเรียนรู้ด้วยการ
ส่งเสริมประสบการณ์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานสำหรับเด็ก อายุ 6 ขวบ ซึ่งมีความแตกต่างจาก
คณิตศาสตร์สำหรับผู้ใหญ่ คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยเป็นความเข้าใจจำนวนการปฏิบัติเกี่ยวกับจำนวน หน้าที่
และความสัมพันธ์ของจำนวนความเป็นไปได้ และการวัดทางคณิตศาสตร์ ของเด็กปฐมวัยจะเน้นไปที่การจัดจำแนกส่ิง
ตา่ ง ๆ การเปรยี บเทียบ และการเรยี นรู้สัญลักษณข์ องคณติ ศาสตร์ ซึ่งเดก็ จะเรียนรู้ไดจ้ ากกจิ กรรมปฏบิ ตั กิ าร

พัชรินทร์ วาวงศ์มูล (2553 : 19) คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย หมายถึง กิจกรรมการเรียนรู้หรือ
ประสบการณ์ ที่ครูผ้สู อนจัดให้แก่เด็ก นอกจากจะอาศยั สถานการณใ์ นชีวติ ประจำวนั ของเด็ก เพื่อส่งเสริมความ
เข้าใจเกี่ยวกับคณิตศาสตร์แล้ว ยังต้องอาศัยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการวางแผน และเตรียมการอย่างดี
จากครูผู้สอนอีกดว้ ย ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสใหเ้ ด็กได้เกิดการเรียนรู้การค้นคว้า การแก้ปัญหา การพัฒนาความคดิ
รวบยอดเกี่ยวกับคณิตศาสตร์มีทักษะ และมีความรู้ทางคณิตศาสตร์ที่จะเป็นพื้นฐานสำคัญ สำหรับการศึกษาท่ี
สูงขึ้น เดก็ สามารถนำไปใชใ้ นชีวิตประจำวนั ตอ่ ไปได้

ลัมพร ชารนิ ทร์ (2553 : 14) กลา่ วถงึ ความหมายของคณติ ศาสตรว์ ่า คือ แนวทางของประสบการณ์
ตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ยี วกบั โลกรวมถงึ แนวทางในการแก้ปญั หาทเ่ี ก่ียวกับความเขา้ ใจเรอ่ื งจำนวน หนา้ ทแ่ี ละความสัมพันธ์
ของสิ่งของตลอดจนการใช้สัญลักษณ์และยังเป็นเครื่องมือในชีวิตประจำวันของทุกคน สำหรับคณิตศาสตร์
สำหรับเด็กปฐมวัยนัน้ คือกิจกรรมหรือแนวการจัดประสบการณ์ด้านจำนวนและตัวเลขความสัมพันธ์ของส่ิงของ
และสญั ลกั ษณ์ตลอดจนเปน็ เครื่องมือทีใ่ ช้ในชวี ิตประจำวนั ของเด็ก

วชั รี อิม่ วฒั นกุล (2554 : 16) กลา่ วถึง คณติ ศาสตร์ หมายถึง ความรู้ความสามารถทเ่ี ปน็ ประสบการณ์
ทีเ่ ด็กได้รับ เกีย่ วกับการสังเกต การจำแนก การเปรยี บเทียบ ขนาด รูปร่าง ลำดับ ความสมั พันธ์ เด็กเรียนรูเ้ พื่อพัฒนา
ความคดิ รวบยอดชว่ ยใหเ้ ดก็ มคี วามละเอียดรอบคอบ รู้จักคิดอย่างมีเหตุผลและรู้จักการคิดแก้ปัญหา

สรุปได้ว่า คณิตศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่สำคัญ ครูปฐมวัยควรเปิดโอกาส
ให้เด็กใช้ความคิดค้นคว้าแก้ปัญหาและเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยจัดประสบการณ์การเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ท่ี
เหมาะสมให้กับเด็กแต่ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเด็กด้วยเด็ก ๆ
สามารถจัดสอดแทรก บูรณาการเข้ากับกิจกรรมอื่นที่บรรจุอยู่ในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยเกี่ยวกับตัวเลข
รูปทรงขนาดลำดับการจัดหมู่และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ถือว่าเป็นประสบการณ์ประจำวันของเด็กที่ช่วยสอนเด็ก
ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้น การปลูกฝังให้เด็กมีความเข้าใจเกี่ยวกับความคิดรวบยอดและทักษะทาง
คณิตศาสตร์เบ้อื งต้นจึงเป็นการปูพื้นฐานไปสู่ความเข้าใจดา้ นคณติ ศาสตรต์ ่อไปในอนาคต

19

จดุ มุ่งหมายการสอนคณิตศาสตร์
บุญเยี่ยม จิตรดอน (2547 : 24-26) ได้สรุป จุดประสงค์ในการสร้างเสริมประสบการณ์ทาง
คณติ ศาสตรแ์ กเ่ ด็กปฐมวัย ดงั นี้ประสบการณ์ทางคณิตศาสตรแ์ กเ่ ด็กปฐมวยั ดังนี้
1. เพ่อื เตรียมเดก็ ใหม้ คี วามพร้อมทีจ่ ะเรียนคณิตศาสตรเ์ บอื้ งต้น
2. เพื่อขยายประสบการณ์ในเรื่องคณิตศาสตร์ให้สอดคล้องกับระเบียบวิธีสอนในขั้นต่อไป วิชา
คณิตศาสตรแ์ ต่ละขนั้ ตอนสมั พันธก์ ันเปน็ ลูกโซ่ การจดั ลำดับเร่ืองเรยี นก่อน-หลังเป็นเร่อื งจำเป็นมาก
3. เพื่อให้เด็กเข้าใจความหมายและใช้คำพูดเกี่ยวกบวิชาคณิตศาสตร์ได้ถูกต้องวิชาคณิตศาสตร์ เป็น
เรื่องราวของนามธรรมที่ใช้ตัวเลข เครื่องหมายเป็นสัญลักษณ์ในการบันทึกและคำนวณ เด็กจะต้องใช้ความหมาย
และสญั ลักษณ์ต่าง ๆ
4. เพื่อฝึกทักษะเบื้องต้นในการคำนวณ ฝึกการเปรียบเทียบรูปทรงต่าง ๆ และบอกความแตกต่างในเรื่อง
ขนาด นำหนัก ระยะเวลา จำนวนสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวได้ สามารถแยกของเป็นหมวดหมู่ แยก
เรียงลำดับใหญเ่ ลก็ สูงต่ำ การเพิม่ ขึ้นหรือลดลง
5. เพ่ือฝกึ ให้เป็นคนมีเหตผุ ล ละเอยี ดถ่ถี ้วน รอบคอบ วิชาคณติ ศาสตร์ เป็นวชิ าที่เปน็ เหตุเป็นผล ผทู้ ี่
จะเรียนคณิตศาสตรไ์ ดต้ อ้ งเปน็ ผทู้ ีม่ คี วามสามารถในการใหเ้ หตผุ ล หรือเข้าใจเร่ืองราวเปน็ เหตเุ ป็นผล
6. เพอ่ื ใหส้ มั พันธก์ ับวชิ าอื่น และสามารถนำไปใช้ในชวี ิตประจำวันได้ การนำวิชาคณิตศาสตร์ไปสัมพนั ธ์กับ
วชิ าอน่ื ทำให้เดก็ สนใจ มักเขา้ ใจตงั้ ใจเรียนทงั้ คณิตศาสตรแ์ ละวชิ าที่นำไปสัมพนั ธ์ด้วย
7. เพื่อให้มีใจรักวิชาคณิตศาสตร์ และชอบการค้นคว้า ควรจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เกมเพลง เพื่อเร้า
ใจให้เด็กสนใจ เกิดความสนุกสนานและไดค้ วามรโู้ ดยไม่รู้สกึ ตวั
กุลยา ตันติผลาชีวะ (2547 : 160) ได้สรุป จุดประสงค์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะพื้นฐาน
ทางคณติ ศาสตร์ทส่ี ำคญั สำหรบั เด็กดงั นี้
1. สรา้ งเสริมประสบการณใ์ หเ้ กดิ ทศั นคติต่อคณติ ศาสตร์ว่าเปน็ เรื่องเก่ียวกบั ตัวเลขและเหตผุ ล
2. สร้างความคนุ้ เคยกบั ตวั เลข การนับ การเพมิ่ การลด
3. สร้างเสริมความคิดเชิงตรรกะ หรอื เหตุผลจากการมคี วามสามารถในการใช้เหตุผลในการ
เปรยี บเทยี บ การจดั ประเภท รเู้ วลา ร้รู ูปทรง รูต้ ำแหน่งและขนาด
4. ฝกึ ทักษะจากการคิดคำนวณจากการเรียนรู้การนับ การเปรยี บเทียบ หรอื การจำแนก และรบั รู้
แกป้ ญั หา
5. พัฒนาเจคตทิ ดี่ ตี ่อการเรียนคณิตศาสตร์
วิมลพันธ์ บุญพงษ์ (2552 : 33) จุดมุ่งหมายในการสอนคณิตศาสตร์ในระดับปฐมวัยเป็นการฝึกให้เด็กรู้จัก
สงั เกต รู้ค่าจำนวน การจัดหมวดหมู่ การหาความสัมพนั ธ์ และการเปรียบเทียบ ซง่ึ จะชว่ ยใหเ้ ดก็ มีความสามารถ
ทางคณติ ศาสตร์ ทจี่ ะนำไปใชใ้ นการเรียนคณิตศาสตร์ต่อไป
ทิวาพร โจมรัมย์ (2553 : 12) กล่าว่า ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัยจะไม่แยกเป็น
วิชาเหมือนกับเด็กประถมศึกษา เนื้อหาจะสอดแทรกในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสนุกสนานพร้อมๆกับการ

20

เรียนรู้เรื่องคณิตศาสตร์ ดังนั้น การสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีโอกาสได้จัด
กระทำ และสำรวจวัสดุในขณะมีประสบการณ์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์เพื่อให้มี ส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวกับโลก
ทางดา้ นกายภาพก่อนเข้าไปสู่โลกของการคดิ ดา้ นอารยธรรมเพื่อใหม้ กี ารพัฒนาทักษะดา้ นคณิตศาสตร์เบ้ืองต้น
เช่น การเปรียบเทียบ การเรียงลำดบั การจัดการทำกราฟ การนับ การจัดการด้านจำนวน การสสังเกตและการ
เพิ่มขึ้นและลดลง เพื่อขยายประสบการณ์เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ให้สอดคล้อง โดยเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก
เพื่อฝึกทักษะเบื้องต้นในการคิดคำนวณ โดยสร้างเสริมประสบการณ์แก่เด็กปฐมวัยในการเปรียบเทียบรูปทรง
ต่าง ๆการบอกความแตกต่างของขนาด น้ำหนัก ระยะเวลา จำนวนของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเด็กสามารถแยก
หมวดหมู่ การเรยี งลำดับใหญ่–เลก็ หรอื สงู –ต่ำ ซงึ่ ทกั ษะเหล่านจี้ ะช่วยใหเ้ ด็กพร้อมทจ่ี ะคิดคำนวณชนั้ ตอ่ ๆ ไป

ทิพวรรณ สุวรรณมาโจ (2555 : 19) กล่าว่า สรุปได้ว่า การเรียนรู้คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยนั้นมี
จุดมงุ่ หมายเพ่อื ใหเ้ ด็กได้เตรยี ม ความพรอ้ มเก่ยี วกับตัวเลขและเหตผุ ล การคดิ คำนวณ ซงึ่ จะสง่ ผลให้เด็กไดเ้ กิด
กระบวนการคิด การใชเ้ หตุผลและการแก้ปัญหาสามารถนำไปใชใ้ นชีวติ ประจำวันและเป็นพื้นฐานในการเตรียม
ความพร้อม ฝึกทักษะทางคณติ ศาสตร์ในระดับต่อไป

สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กรู้จัก
สังเกต รู้ค่าจำนวนการจัดหมวดหมู่ การหาความสัมพันธ์และการเปรียบเทียบมีเหตุมีผล รู้จักใช้เหตุผลในการ
แก้ปัญหาต่าง ๆ และพร้อมที่จะเรียนคณิตศาสตร์ในชั้นที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้เด็กมี
ความสามารถทางคณติ ศาสตรท์ ี่จะนำไปใชใ้ นการเรยี นคณติ ศาสตรต์ อ่ ไป

ขอบขา่ ยของคณติ ศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
กระทรวงศึกษาธิการ ( 2546 : 123) กล่าวว่า พัฒนาการทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
แบง่ ตามลำดับข้ันไดด้ งั นี้ (ดวงเดือน คณานุศักดิ์. 2553 : 24 อา้ งองิ มาจากกระทรวงศึกษาธิการ. 2546 : 123)
ข้ันที่ 1 (2-3 ป)ี เร่ิมเรียนรู้เกยี่ วกบั จำนวน เม่ือมีโอกาสได้ยินไดฟ้ ังผอู้ ่นื ใช้ หรอื เริ่มเข้าใจจำนวนจาการ
มีโอการเล่น จับต้องวัตถุสิ่งของด้วยตนเอง หรือเล่นต่อภาพที่ชิ้นส่วนของภาพมีขนาดใหญ่ เริ่มรู้จักรูปทรง
เรขาคณิต เช่นรูปวงกลม
ขน้ั ที่ 2 (3-4 ป)ี รู้จักเปรยี บเทยี บมาก มากกว่าเร่ิมคนุ้ เคยกับรปู ทรงเรขาคณิตของสิ่งตา่ ง ๆ ทอ่ี ยู่
แวดลอ้ มตัวเด็ก รูจ้ กั จดั ก่มุ สง่ิ ของตามคุณลกั ษณะต่าง ๆ รู้จักนับ 1-5 จบั ค่คู วามเหมอื นความตา่ งหรือใช้
คำอธิบายปริมาณ ความยาว ขนาด
ขน้ั ท่ี 3 (4-5 ป)ี เขา้ ใจและเลน่ เกมเก่ียวกับจำนวน นบั ส่ิงของ 1-10 และบางครงั้ ถงึ 20 จัดกลมุ่ สง่ิ ต่าง ๆ
ตามรูปทรง เปรยี บเทียบขนาดของส่ิงต่าง ๆ
ขัน้ ที่ 4 (5-6 ป)ี เร่มิ เข้าใจความคิดรวบยอดในรูปของสญั ลกั ษณ์ นบั สิง่ จำนวน 20 และอาจมากกว่าน้ี
จำแนกสง่ิ ของตามลกั ษณะได้มากกว่า 2 ลกั ษณะ
หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย พุทธศกั ราช 2546 (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2546 : 26-28) ไดเ้ สนอความคิด
รวบยอดและการเตรยี มความพรอ้ มทางคณติ ศาสตร์ทค่ี วรใหเ้ กิดกับเดก็ ปฐมวัย 6 ดา้ นไดแ้ ก่

21

1. ทักษะสังเกต จำแนกและเปรียบเทียบเปน็ ทกั ษะเริ่มต้นในการเรยี นและเปน็ ทกั ษะพ้นื ฐานในการ
เรยี นคณติ ศาสตร์

2. ทักษะเก่ยี วกบั ตัวเลขและจำนวนเดก็ สามารถเปรียบเทยี บจำนวนมากกวา่ น้อยกวา่ เท่ากัน การ
เพม่ิ หรอื ลดลงของจำนวนหรอื ปริมาณได้

2.1 ความรสู้ กึ เชงิ จำนวน เกิดข้ึนเองภายในของแตล่ ะคนเกย่ี วกบั จำนวน การใชจ้ ำนวน
ตคี วามจำนวนไดห้ ลากหลาย รวมท้ังความสามารถในการนำความร้ไู ปใช้ในการแก้ปญั หา

2.2 พัฒนาการเกย่ี วกบั จำนวน การพัฒนาความคดิ รวบยอดของเด็ก
2.2.1 ขน้ั กอ่ นการนบั เขา้ ใจแต่ยังไม่สามารถส่ือความหมายได้ชดั เจน
2.2.2 ขนั้ ความเข้าใจเชงิ อันดับท่ี เข้าใจคำถามว่าอันไหนใหญท่ สี่ ดุ
2.2.3 ขน้ั ความเข้าใจเชงิ การนับ
2.2.4 ขั้นความเข้าใจหลากหลายระหว่างจำนวน

2.3 ทกั ษะพ้ืนฐานเกยี่ วกบั จำนวน
3. ทกั ษะเชงิ มิตสิ ัมพันธ์

3.1 รปู ทรงและพนื้ ท่ี
3.1.1 เรขาคณติ สมั พันธก์ บั ชีวิตประจำวนั เช่น ลกั ษณะบา้ น รูปร่างของกลอ่ ง
3.1.2 เรขาคณติ ไปใช้ในการจดั ประสบการณ์
3.1.3 พฒั นาทกั ษะการคดิ 4 ขั้นตอน
1) ระลึกได้
2) พน้ื ฐาน
3) ข้นั วิเคราะห์
4) ข้นั สรา้ งสรรค์
(1) การให้เหตุผลแบบอปุ นยั กบั นริ นยั
(2) พัฒนาความคิดโดยการใหเ้ หตุผล เปดิ โอกาสให้เด็กค้นหา

3.2 จุด เส้น มุม และระนาบ
3.3 รปู เรขาคณิต 2 มติ ิ กบั 3 มติ ิ
4. ทกั ษะการวัด
4.1 ธรรมชาตขิ องการวัด
4.2 ความยาวและอาณาเขต
4.3 น้ำหนัก
4.4 เวลาและเงนิ
5. ทักษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์
5.1 การแก้ปัญหา

22

5.2 การใหเ้ หตุผล
5.3 การเช่ือมโยง
5.4 ภาษาและการสื่อสาร
5.5 คดิ รเิ รม่ิ สร้างสรรค์
6. ภาษา คำศพั ท์และสญั ลกั ษณท์ างคณติ ศาสตร์
6.1 ภาษากบั การพฒั นาความคิดรวบยอด
6.2 ภาษากับการแกป้ ัญหา
6.3 ภาษาและคำศัพท์ทางคณิตศาสตร์
กระทรวงศึกษาธิการ (2546 : 26-28) ไดส้ รปุ ถึงการจดั การเรยี นคณติ ศาสตร์ในระดับปฐมวัยวา่ มี
สาระท่ีควรเรยี นรู้ดังน้ี
1. การสังเกต การจำแนกและการเปรยี บเทียบ
1.1 การสำรวจและการอธบิ ายความเหมือน ความตา่ งของส่งิ ต่าง ๆ

1.2 การจบั คู่ การจำแนก และการจบั กลมุ่
1.3 การเปรยี บเทยี บ เช่น ยาว สัน้ ขรขุ ระ- เรียบ
1.4 การเรียงลำดบั สิ่งตา่ ง ๆ
1.5 การคาดคะเนสงิ่ ต่าง ๆ
1.6 การตัง้ สมมตุ ฐิ าน
1.7 การทดลองส่ิงตา่ ง ๆ
1.8 การสบื คน้ ขอ้ มูล
1.9 การใชห่ รืออธบิ ายส่งิ ตา่ ง ๆ ดว้ ยวิธีการท่ีหลากหลาย
2. จำนวน
2.1 การเปรยี บเทียบจำนวน มากกว่า น้อยกวา่ และเทา่ กนั
2.2. การนับส่ิงตา่ ง ๆ
2.3 การจบั คู่หนง่ึ ตอ่ หน่งึ
2.4 การมีประสบการณ์กับจำนวนหรือปรมิ าณทเี่ พ่ิมขึ้นหรือลดลง
3. มิติสมั พันธ์ (พนื้ ท/่ี ระยะ)
3.1 การตอ่ เข้าด้วยกัน การแยกออก การบรู ณาการ
3.2 กาสรสังเกตส่งิ ต่าง ๆ และสถานทจ่ี ากมมุ มองทต่ี า่ ง ๆ กนั
3.3 การมีประสบการณ์และการอธิบายเรอ่ื งของตำแหนง่ ของสง่ิ ต่าง ๆ ทส่ี มั พันธ์กัน
3.4 การมปี ระสบการณแ์ ละการอธิบายเร่ืองทศิ ทางการเคลอื่ นทีข่ องคนและสิ่งตา่ ง ๆ
3.5 การสือ่ ความหมายของมติ ิสัมพนั ธด์ ว้ ยภาพวาด ภาพถ่าย และรูปภาพ

23

กุลยา ตันติผลาชวี ะ (2547 : 158–159) ไดส้ รปุ พ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ที่เดก็ ปฐมวัยเรียนรมู้ อี ยา่ ง
นอ้ ยทกั ษะดังนี้

1. การบอกตำแหน่ง หมายถงึ ความสามารถในการบอกตำแหน่งของส่งิ ของในตำแหน่งตา่ ง ๆ บน –
ลา่ ง ใน – นอก เหนอื – ใต้ ซา้ ย – ขวา กลาง – หนา้ – ขา้ งหลงั

2. การจำแนก หมายถึง ความสามารถในการสงั เกต จำแนก เปรียบเทยี บสง่ิ ต่าง ๆ วา่ เหมือน หรอื
ตา่ งกันอยา่ งไร ในเรอื่ ง ปรมิ าณ ขนาด รปู รา่ ง สี และรูปทรง เปน็ ต้น

3. การนับ หมายถงึ ความสามารถในการนบั เลข 1 ถึง 3 หรอื 1 ถึง 10 หรอื 1 ถึง 30 ตามอายุเดก็
4. จำนวน หมายถงึ ความสามารถในการเรยี งลำดบั มากไปนอ้ ย หรอื นอ้ ยไปมาก ลำดบั ท่ี 1 ลำดบั ที่
2
5. การอ่านค่า หมายถึง การอ่านค่าเงินบาท เหรียญ ธนบัตร อ่านป้ายราคา การประเมินเงิน การเพิ่ม
เป็นการรวมจำนวน รวมกลมุ่ มากขน้ึ การลดไดแ้ ก่การแบง่ การแยก การนำออกนอ้ ยลง
6. การบอกเหตผุ ล หมายถึง การบอกความสมั พันธข์ องเหตกุ ับผลและผลกับเหตุได้
วัฒนา ปุญญาฤทธ์ิ และปฐิกรณ์ ตุกชูแสง (2550 : 109–110) สรุปขอบข่ายของคณิตศาสตร์ว่า เป็น
การจัดกิจกรรมเพื่อให้เด็กได้สังเกต จำแนก เปรียบเทียบ และจัดลำดับ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วย
พัฒนาความสามารถทางการคิดโดยรวบรวมความนึกคิดไปสู่ความมีเหตุผล ด้วยระบบเฉพาะของเด็กเอง ซ่ึง
เกย่ี วข้องกบั เรอื่ งตา่ ง ๆ ดังนี้
1. การจัดประเภท เมื่อเด็กได้สังเกตสิ่งต่าง ๆ เด็กจะเกิดการคิดควบคู่กันไปแล้วนำไปสู่การจำแนกสิ่ง
ต่าง ๆ ดังนั้น การจัดประสบการณ์ตรงให้เด็กได้ฝึกฝนให้เกิดทักษะการสังเกตและจำแนก เช่น การจัดกลุ่ม
สิ่งของที่เหมือนกันไว้ด้วยกัน หรือ การจัดกลุ่มตามความสัมพันธ์พร้อมทั้งการให้เหตุผลถึงการจัดกลุ่มจาก
กิจกรรมการจัดประเภทจะนำไปส่แู นวคิดเรอ่ื งเซตในภายหลัง
2. การเปรียบเทียบ หลังจากเด็กได้สังเกต จำแนก จัดประเภทแล้ว ต่อไปเด็กจะนำความคิดความ
เขา้ ใจมาส่กู ารเปรยี บเทยี บวสั ดุด้านคุณสมบตั ขิ องวตั ถุ การเปรยี บเทยี บจึงเป็นกระบวนการท่ีเด็กสามารถเข้าใจ
ถึงความสัมพนั ธ์ของคณุ สมบัติบางอย่างของส่ิงของสองช้ินการเปรียบเทียบทำได้ ทั้งการเปรียบเทยี บด้านขนาด
จำนวน ความยาว ความสงู สี รปู ร่าง หรือพนื้ ผวิ เปน็ ตน้
3. การเรียงลำดับ เมื่อเด็กมีความสามารถด้านการเปรียบเทียบจะนำมาสู่การเรียงลำดับทั้งนี้จะเกิด
จากการได้เลน่ หรอื จัดกระทำกับของจรงิ จนคนุ้ เคย และนำมาเรยี งลำดบั ตามเกณฑท์ ีก่ ำหนด
4. การวัด เป็นการจัดกิจกรรมที่ต่อเนื่องหลังจากเด็กมีประสบการณ์เก่ียวกับการจัดประเภทการ
เปรียบเทียบ และการเรียงลำดับ สำหรับการวัดไมจ่ ำเปน็ ที่จะตอ้ งวัดโดยการใช้หน่วยการวัดมาตรฐาน เด็กอาจ
ได้รับกิจกรรมการวัดง่ายๆ เช่น การวัดระยะทางด้วยการนับก้าวที่เดินหรือการวัด โดยใช้เชือก เป็นต้น
นอกจากการวัดความยาว เด็กควรได้ทำกิจกรรมการวัดด้านปริมาณและน้ำหนัก ทั้งนี้ต้องเกิดจากการได้รับ
ประสบการณต์ รงเท่านน้ั

24

5. รูปทรง และขนาด ความเข้าใจเรื่องรูปทรง และขนาด จะเกิดขึ้นกับเด็กได้ง่ายเพราะเด็กคุ้นเคยกับ
การเล่น และจับต้องวัตถุรูปทรงต่าง ๆ ขนาดต่าง ๆ อยู่เสมอจากกิจกรรมในแต่ละวัน เด็กจึงได้มีโอกาสสังเกต
และเปรียบเทียบอยูเ่ สมอ

สายพิณ อคั รปทั มานนท์ (2550 : 68-69) กลา่ วว่า จากการวเิ คราะห์หลกั สตู รคณิตศาสตรแ์ ละ
ประสบการณ์สำคัญทางดา้ นคณติ ศาสตรข์ องกรมวิชาการ สรุปขอบข่ายทกั ษะทางคณติ ศาสตร์ของเดก็ ปฐมวัย
จำนวน 10 ทักษะดังนี้

1. การสงั เกต
2. การจำแนก
3. การจบั คู่
4. การเปรียบเทยี บ
5. ตัวเลข
6. จำนวน
6. มติ ิสมั พันธ์
8. ปริมาตร
9. เวลา
10. การรูค้ วามหมาย เพ่ิม ลด
สรุปได้ว่า จากการกำหนดสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ในระดับปฐมวัยดังกล่าว ครูควรเตรียมจัด
กิจกรรมทางด้านคณิตศาสตร์ให้แก่เด็กปฐมวัย โดยเตรียมความพร้อมทางคณิตศาสตร์เน้นความสำคัญในเรื่อง
ต่าง ๆ ได้แก่ การสังเกต การจำแนก การจับคู่ การเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ การคาดคะเน การนับ ฯลฯ ทำ
ให้เด็กมีการเรียนรู้เพื่อเตรียมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ในด้านต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมทักษะทาง
คณติ ศาสตรใ์ นการข้ึนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 1 ตอ่ ไป
ผู้ศึกษาค้นคว้าได้สังเคราะห์ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับชั้นอนุบาลปีที่ 3 (อายุ 5-6 ขวบ)
ในครั้งนี้ ดังน้ี ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการแสดงออกของเด็กปฐมวัยช้ัน
อนุบาลปีที่ 3 (อายุ 5-6 ขวบ) ที่สามารถใช้ทกั ษะทางคณิตศาสตรใ์ นความสามารถจำนวน ตัวเลข การนับ และ
รู้ค่า 1–20 การจัดประเภท การเปรียบเทยี บ การจัดประเภท ซึ่งวัดด้วยแบบวัดความพร้อมทักษะพื้นฐานทาง
คณติ ศาสตร์ทผ่ี ู้ศึกษาคน้ ควา้ ขึน้ ดา้ นต่าง ๆ ดงั น้ี
1. จำนวนและตัวเลข หมายถึง ความสามารถในการนับจำนวน 1-20 นับและบอกจำนวน สิ่งต่าง ๆ ไม่เกิน 20
และเข้าใจความหมายของตวั เลขทแี่ ทนคา่ วัตถสุ ่งิ ของตามท่จี ำนวนนับ
2. การจัดประเภท หมายถึง ความสามารถในการสังเกตเพื่อรับรู้รายละเอียดแล้ว จำแนก จัดกลุ่ม
สิ่งของที่เหมอื นกันไว้ด้วยกนั หรือการจดั กลุม่ ตามความสมั พนั ธร์ ะหว่างส่งิ ของตามคุณลักษณะ
ที่สมั พันธก์ นั ได้ เช่น สี รูปร่าง รูปทรง ขนาด ประโยชน์

25

3. การเปรียบเทียบ หมายถึง ความสามารถในการสังเกตเพื่อรับรู้รายละเอียดของสิ่งของตั้งแต่ 2 ส่ิง
ขึ้นไปมาหาข้อแตกต่างตามคุณลักษณะแล้วสามารถจำแนกความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของตามคุณลักษณะ เช่น
จำนวน มาก–นอ้ ย, ปริมาณ หนกั –เบา, มาก–น้อย, ขนาด เลก็ –ใหญ่, สัดส่วน สูง–ตำ่ , ยาว–สนั้

4. การเรียงลำดับ หมายถงึ ความสามารถในการจดั ตำแหนง่ สง่ิ ของหรอื วตั ถใุ ห้เข้าท่ตี ามคำส่ังหรือตาม
เกณฑ์ที่กำหนด โดยใช้ความสัมพันธ์ของคุณสมบัติบางอย่าง เช่น จำนวน มาก–น้อย, ปริมาณ หนัก–เบา,
ขนาด เลก็ –ใหญ่, สัดสว่ น สูง–ต่ำ, ยาว–ส้ันไม่เกิน 5 ลำดบั

การจดั ประสบการณ์ทางคณติ ศาสตรส์ ำหรับเด็กปฐมวัย
การจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ต้องเน้นเด็กเป็นสำคัญกิจกรรมการเรียนรู้ต้องนำไปสู่การเรียนรู้
คณิตศาสตร์ของเด็ก ทำให้เด็กได้คิดค้น และตอบคำถามครูต้องสนองตอบความสนใจเรียนรู้ของเด็กให้ถูกต้อง
จึงจะทำให้การเรียนรู้คณิตศาสตร์ของเด็กเป็นอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป เป็นมโนทัศน์คณิตศาสตร์ที่สำคัญท่ี
เดก็ ปฐมวัยควรเรียนรู้
วาโร เพ็งสวัสด์ิ ( 2544 : 72-73) กล่าวว่า แนวทางในการจัดประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์แก่เด็ก
ปฐมวยั มีขน้ั ตอนดังนี้
1. ใหเ้ ดก็ เรียนจากประสบการณ์ตรงจากของจริง ดงั น้ัน การสอนจะตอ้ งหาอปุ กรณ์
ทเ่ี ป็นของจรงิ ใหม้ ากทสี่ ุด และต้องสอนจากรปู ธรรมไปหานามธรรม ดงั นี้

1.1ขัน้ ใช้ของจรงิ เมอื่ จะให้เด็กนบั หรือเปรียบเทียบส่ิงของควรใช้ของจริง เชน่ ผลไม้ ดนิ สอเปน็ ตน้
1.2 ข้นั ใช้รปู ภาพแทนของจริง ถ้าหากหาของจรงิ ไม่ได้ก็เขยี นรปู ภาพแทน
1.3 ขนั้ กึ่งรูปภาพ คือ สมมติเครอื่ งหมายต่าง ๆ แทนภาพหรือจำนวน
ทจี่ ะให้เด็กนับหรือคิด
1.4 ขั้นนามธรรม ซึง่ เป็นขน้ั สดุ ท้ายท่จี ะใช้ ได้แก่ เครอ่ื งหมายบวก ลบ
2. เรมิ่ จากสิง่ ทงี่ ่ายๆ ใกล้ตวั เดก็ จากงา่ ยไปหายาก
3. สร้างความเข้าใจและรคู้ วามหมายมากกวา่ ให้เดก็ ทอ่ งจำ
4. ฝกึ ใหค้ ดิ จากปัญหาในชวี ิตประจำวนั ของเด็ก เพ่อื ขยายประสบการณ์ให้สมั พันธ์
กับประสบการณ์เดมิ
5. จดั กิจกรรมให้เกดิ ความสนกุ สนาน และได้รบั ความรู้ไปด้วย เชน่

5.1 เล่นเกมต่อภาพ จับคภู่ าพ ต่อตวั เลข
5.2 เลน่ ตอ่ บล็อก ซึ่งมรี ูปรา่ งและขนาดต่าง ๆ
5.3 การเลน่ ในมุมบ้าน เลน่ ขายของ
5.4 แบง่ สิ่งของเครื่องใช้ แลกเปลีย่ นสิ่งของกัน
5.5 ท่องคำคลอ้ งจองเก่ยี วกบั จำนวน
5.6 ร้องเพลงเกีย่ วกบั การนบั
5.7 เลน่ ทายปัญหาและตอบปญั หาเชาว์

26

บุญเยี่ยม จิตรดอน (2547 : 26-29) ได้เสนอการจัดกิจกรรมทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัย โดยคำนึงถึง
สิง่ ต่อไปน้ี

1. มคี วามพรอ้ มทจ่ี ะเรียน
2. มีเวลาใหค้ น้ คว้าทดลอง
3. ใชภ้ าษาและสัญลักษณซ์ ง่ึ แทนจำนวน แทนวธิ ีคดิ
4. แสดงวธิ ที ำตามขัน้ ตอน
5. ครูรว่ มกับเด็กปฏบิ ตั ิจริง
กระบวนการกิจกรรมทางคณิตศาสตร์ ดำเนินการตามขัน้ ตอนดังนี้
ขนั้ ท่ี 1 ขน้ั ใช้ของจริง
ขนั้ ที่ 2 ขั้นใช้รปู ภาพแทนของจรงิ
ขั้นที่ 3 ขนั้ กงึ่ รปู ภาพหรือสมมตเิ ครื่องหมายตา่ ง ๆ แทนภาพหรอื จำนวน
ขั้นที่ 4 ขั้นใชร้ ูปภาพหรือกึ่งรูปภาพควบคู่กับสญั ลักษณ์
ข้ันที่ 5 ขัน้ นามธรรม
วธิ ีจัดกจิ กรรมทางคณติ ศาสตร์ ควรปฏบิ ตั ดิ ังนี้
1. เร่มิ จากงา่ ยไปหายาก จัดกจิ กรรมให้เดก็ เรียนรู้ขัน้ มูลฐานทางคณติ ศาสตรก์ ่อน คือ
เรอ่ื งการเปรียบเทียบ เรยี งลำดับ การวัด การจับคู่ หน่ึงต่อหนึง่ การนับ
2. หลังจากเด็กเรียนรู้ขั้นมูลฐานทางคณิตศาสตร์แล้ว จึงจัดกิจกรรมให้เด็กเรียนรู้ขั้นพื้นฐานในการคดิ
คำนวณ คือ เรอ่ื งการจดั หมวดหมู่ การรวมหมู่ การแยกหมู่ สัญลกั ษณ์ตา่ ง ๆ
3. ดำเนินการจัดกจิ กรรมตามกระบวนการจัดกิจกรรมทางคณิตศาสตรก์ ารจดั กิจกรรมทางคณิตศาสตร์
ใหไ้ ดผ้ ลดี ควรมหี ลักการจดั กิจกรรม ดังนี้

3.1 ควรมีการวางแผน โดยคำนึงถึงเนื้อหาหรือประสบการณ์ ซึ่งจะจัดให้เด็กได้รับความรู้อย่าง
เต็มท่ี เหมาะสมกับความต้องการ ระยะเวลา ความสนใจ ความสามารถตามวัยของเด็กการวางแผนที่ดีทำให้
การจดั กิจกรรมการเรียนและประสบการณต์ อ่ เนือ่ งกนั ช่วยๆให้การสอนไปสู่ความสำเร็จ

3.2 กำหนดกิจกรรมที่จะจัดประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ให้เด็กได้เกิดความพร้อมให้สอดคล้อง
กับจดุ ประสงค์เฉพาะและเนือ้ หาของประสบการณ์

3.3 ครูต้องเข้าใจถึงพื้นฐานความต้องการ ความสนใจ ระยะความสนใจความสามารถของเด็ก
เพอื่ ประกอบการจดั กจิ กรรมสำหรับเด็ก

กุลยา ตันติผลาชีวะ (2549 : 39-40) ได้อธิบายการสอนเด็กปฐมวัยเรียนรู้คณิตศาสตร์นั้นครูต้อง
กำหนดจุดประสงค์และวางแผนการสอนที่จะทำให้เด็กได้ใบ้วิธีการสังเกตซึมซับสัมผัสโดยเฉพาะจากการ
แกป้ ัญหาจริง ซง่ึ สภาครแู ห่งชาตขิ องประเทศสหรฐั อเมรกิ าให้

ข้อเสนอแนะหลกั การสอนคณิตศาสตรเ์ ดก็ อายุ 3 - 6 ขวบ ไว้ 10 ประการดงั น้ี

27

1. ส่งเสริมความสนใจคณิตศาสตร์ของโลกด้วยการนำคณิตศาสตร์ที่เด็กสนใจนั้นเชื่อมสานไปกับโลก
ทางกายภาพละสงั คมของเดก็

2. จัดประสบการณ์ที่หลากหลายให้กับเด็กโดยสอดคล้องกับครอบครัว ภาษาพื้นฐานทางวัฒนธรรม
วธิ กี ารเรยี นของเดก็ แต่ละคน และความรู้ของเดก็ ที่มี

3. หลักสูตรคณิตศาสตร์และการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการ ด้านปัญญาภาษาร่างกาย อารมณ์
สังคมของเดก็

4. คณิตศาสตร์และการสอนต้องเพิ่มการแก้ปัญหา กระบวนการแก้ปัญหา การนำเสนอ
การสื่อสารและการเชือ่ มแนวความคดิ คณติ ศาสตรข์ องเดก็ ปฐมวัย

5. คณิตศาสตรต์ ้องสอดคล้องและบง่ ช้ีขอ้ ความรู้และแนวคดิ สำคัญคณิตศาสตร์
6. สนบั สนนุ ให้เด็กมีแนวคิดสำคญั ทางคณิตศาสตร์อยา่ งล่มุ ลึกและยงั่ ยืน
7. บูรณาการคณติ ศาสตรเ์ ข้ากบั กิจกรรมต่าง ๆ และนำกิจกรรมต่าง ๆ มาบูรณาการกับคณติ ศาสตรด์ ว้ ย
8. จดั เวลา อปุ กรณแ์ ละครทู ่ีพรอ้ มสนับสนุนให้เดก็ เลน่ ในบรรยากาศท่ีสรา้ งใหเ้ ด็กเรียนรู้
9. นำมโนทศั น์ทางคณิตศาสตร์ วธิ ีการภาษา มาจัดประสบการณ์โดยกำหนดกลยทุ ธ์การเรียนการสอนทเี่ หมาะสมกับ
พัฒนาการเด็ก
10. สนับสนนุ การเรียนรู้ของเด็กดว้ ยการประเมินความรู้ ทกั ษะ ความสามารถทางคณติ ศาสตร์ของเดก็
ประไพจติ ร เนตศิ ักด์ิ (2549 : 130) ไดส้ รปุ ความรูเ้ กย่ี วกบั หลักการสอนคณิตศาสตร์สำหรับเดก็ ปฐมวยั
ดงั นี้
1. สอนใหส้ อดคล้องกับชีวิตประจำวัน การเรยี นรจู้ ะเกดิ ขึ้นเมอื่ เดก็ เหน็ ความจำเป็นและประโยชน์ของ
สิ่งที่ครูกำลังสอน ดังนั้นการสอนคณิตศาสตร์เด็กปฐมวัยจะสอดคล้องกับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน และการให้
เดก็ ปฏสิ ัมพนั ธก์ บั เพ่ือนและครู และลงมอื ปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเอง
2. เปิดโอกาสให้เด็กได้รับประสบการณ์ที่ทำให้พบคำตอบด้วยตนเอง ให้เด็กได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับ
คณิตศาสตรห์ ลากหลายแบบและเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมไดล้ งมือปฏบิ ัตเิ อง
3. มีเป้าหมายและมีการวางแผนที่ดี เน้นให้เด็กได้เรียนรู้จากการทำกิจกรรมด้วยตนเอง เป็นไปตาม
การวางแผนและเตรยี มการของครู เพื่อให้เด็กค่อย ๆ พฒั นาการเรียนรู้ขนึ้ เอง
4. เอาใจใส่ในเรอ่ื งการเรียนรู้และลำดับขนั้ ตอนของการพัฒนาความคิดรวบยอดของเดก็
5. ใช้วิธีการจดบันทึกพฤตกิ รรมหรือระเบยี บพฤติกรรมเพ่อื ใช้ในการวางแผนและจดั กจิ กรรม
6. ใชป้ ระโยชนจ์ ากประสบการณเ์ ดมิ ของเด็กเพ่อื สอนประสบการณ์ใหม่ในสถานการณ์ใหม่
7. รู้จักใชส้ ถานการณข์ ณะนั้นใหเ้ ป็นประโยชน์
8. ใชว้ ิธีการสอดแทรกกบั ชวี ิตจริง เพือ่ สอนความคิดรวบยอดท่ียาก เร่ืองปรมิ าณ ขนาดและรูปร่างตา่ ง
ๆ ตอ้ งอาศัยการสอนแบบคอ่ ย ๆ สอดแทรกไปตามธรรมชาติ

28

9. ใช้วิธีให้เด็กมีส่วนร่วมหรือปฏิบัติจริงเกี่ยวกับตัวเลข ครูวางแผนจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับความ
พร้อมของเด็ก รู้จักเลือกเพลง เกม แนะการเล่นนิ้วที่เกี่ยวกับจำนวนเลขช่วยกระตุ้นให้เด็กสนใจและเป็น
แรงจูงใจให้เกดิ ความคดิ รวบยอด

10. วางแผนสง่ เสริมใหเ้ ด็กเรียนร้ทู ง้ั ที่โรงเรยี นและท่บี ้านอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
11. บนั ทกึ ปัญหาการเรยี นร้ขู องเด็กอย่างสม่ำเสมอเพอื่ แกไ้ ขปรับปรุง
12. คาบหนึ่งควรสอนเพียงความคิดรวบยอดเดียว การเพิ่มหรือการบวกเป็นคณิตศาสตร์
ขนั้ แรกสุดที่เดก็ อนุบาลเรียนรู้ได้ ให้เดก็ ไดล้ งมือปฏบิ ัตจิ รงิ มกี ารนับจรงิ ๆ จงึ จะเกิดการเรียนรู้ได้
13. เน้นกระบวนการจากง่ายไปหายาก การสร้างความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวเลข (Concept of
Number) ของเด็กปฐมวัยจะต้องผ่านกระบวนการเล่น มีทั้งแบบจัดประเภท (Classifying) เปรียบเทียบ
(Comparing) และการจัดลำดับ (Ordering) การจัดประสบการณ์ที่เน้นกระบวนการเล่นต้องเริ่มตั้งแต่ที่ง่าย ๆ
และคอ่ ย ๆ ยากข้นึ ตามระดบั ความสามารถของเด็กแตล่ ะคน
14. ครคู วรสอนสัญลกั ษณ์ตัวเลข หรอื เครือ่ งหมายเมือ่ เดก็ เข้าใจสง่ิ เหล่าน้ันแล้ว
15. ต้องมีการเตรียมพร้อมในการเรียนคณิตศาสตร์ ฝึกให้เด็กได้พัฒนาทางด้านสายตาก่อนเป็นอันดับ
แรก ถ้าหากเด็กไม่สามารถใช้สายตาในการจำแนกจัดแบ่งประเภทแล้ว เด็กจะมีปัญหาด้านการเรียนรู้เกี่ยวกับ
คณติ ศาสตรต์ อ่ ไปได้
เครือพันธ์ อุปโคตร (2553 : 16) กล่าวถึง หลักการจัดกิจกรรมด้านคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยนั้น
ควรจัดกิจกรรมจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก ควรเริ่มจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวไปสู่สิ่งที่ไกลตัว รวมทั้งควรเริ่มกิจกรรม
จากส่งิ ท่ีเป็นรปู ธรรมไปหาสิง่ ที่เป็นนามธรรม และควรเปดิ โอกาสใหเ้ ด็กได้ลงมอื ปฏิบัตกิ จิ กรรมด้วยตนเอง และ
มีโอกาสทำงานรว่ มกับเพ่ือน เพื่อจะได้สร้างและสรุปความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ในเร่ืองนั้นๆ ด้วยตนเอง
จำเป็นอยา่ งยงิ่ ทผ่ี ู้เกยี่ วข้องหรือครูผสู้ อนควรจะมีความรูแ้ ละเข้าใจกระบวนการคิดของเดก็ ปฐมวัย จะเห็นไดว้ ่า
การเตรียมความพร้อมด้านคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยเป็นการปูพื้นฐานด้านความเข้าใจ ความคิดที่ดีและ
ปลูกฝังให้เด็กได้พัฒนาความคิด ในการแก้ปัญหาและมีความสามารถในการคิดคำนวณ และเป็นการปลูกฝัง
ทัศนคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์อย่างมีระบบ มีกฎเกณฑ์กติกา ซึ่งบูรณาการโดยการนำเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์
เพื่อฝึก ความพร้อมตามขอบข่ายของหลักสูตรและจุดประสงค์สอดคล้องสัมพันธ์กันเป็นการฝึกการแก้ปัญหา
หลายๆ ดา้ น เด็กควรได้รบั การปพู ืน้ ฐานทด่ี อี ย่างถกู วธิ ี
วัชรี อิ่มวัฒนกุล (2554: 23) สรุปได้ว่า หลักการจัดประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ ครูควรจัดให้เด็ก
เรียนจากประสบการณ์ตรงจากของจริง โดยเริ่มจากสิ่งที่ง่ายๆ ใกล้ตัวเด็กไปหาสิ่งท่ียาก ฝึกให้เด็กคิดและแก้ปัญหา
ควรจัดกจิ กรรมให้เด็กเกดิ ความสนกุ สนานเพลดิ เพลิน และได้รับความรไู้ ปด้วย
สรุปได้ว่า หลักการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยนั้นจะต้องสอดคล้อง กับวัย
และพัฒนาการของเด็ก กิจกรรมทจ่ี ดั ต้องมีความหมายกับเด็ก มคี วามนา่ สนใจ มีการวางแผนและ มกี ระบวนการ
ตามลำดับขั้นจากง่ายไปยาก การสอนต้องเกิดจากรูปธรรมไปสู่นามธรรม สื่อในการจัดกิจกรรมต้องใช้ของจริง หรือใช้
รูปภาพแทนของจริง และให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติ ได้สัมผัส ได้คิด เพื่อให้เด็กได้เกิดการเชื่อมโยงการเรียนรู้ และ

29

เกิดทักษะทางคณิตศาสตร์ในที่สุด โดยครูเป็นผู้สนับสนุนและช่วยเหลือให้เด็กได้มีโอกาสปฏิบัติกิจกรรมด้วย
ตนเองให้มากที่สุด
แนวคิดเกี่ยวกบั การจดั ประสบการณ์การเรียนรตู้ ามแนวคิดไฮสโคป

ความเป็นมา
รุ่ง แกว้ แดง (2543 : 3) ใหค้ วามเหน็ ว่า การเรยี นรูข้ องเด็กปฐมวยั ไทยตามแนวคดิ ไฮสโคป เปน็ การ
ถอดแนวคดิ สู่การปฏิบตั ใิ นสงั คมไทย ทมี่ ุ่งเนน้ การเรยี นรู้แบบลงมอื ทำ คือไดจ้ ดั กระทำต่อวัตถุ มีปฏิสัมพันธ์กบั
บคุ ล ความคิด และเหตกุ ารณ์จนสามารถสรา้ งความรเู้ องได้
พชั รี ผลโยธิน และคณะ (2543 : 5-6) ได้สรุปโปรแกรมไฮสโคป ไว้ดงั น้ี
เป็นโปรแกรมที่ ดร.เดวิด ไวคาร์ท (Dr.David Weikart) ประธานมูลนิธิวิจัยการศึกษา ไฮสโคป (High Scope
EducationalResearchFoundation)เป็นผ้รู ิเรม่ิ และร่วมกับคณะนกั วชิ าการและนักวจิ ยั อาทิ แมร่ี โฮแมน (Mary Hohmann)
และ ดร.แลร่ี ชไวฮาร์ต (Dr.Larry Schweinhart) พัฒนาข้ึนจากโครงการเพอรี่ พรี สคูล (Perry Preschool Project) ตง้ั แต่
พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ Head Start เพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสให้มีการศึกษาที่เหมาะสม และประสบ
ความสำเร็จในชีวิต มูลนิธิวิจัยการศึกษาไฮสโคปได้ศึกษาเปรียบเทียบเด็ก 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ได้รับการสอน
จากครูโดยตรง (Direct Instruction) กลุ่มเนอรส์เซอรี่แบบดั้งเดิม (Traditional Nursery) และกลุ่มที่ได้รับ
ประสบการณ์โปรแกรมไฮสโคป จากการศึกษาติดตามเด็กเหล่านี้ต้ังแตร่ ะดับปฐมวัยจนถงึ อายุ 29 ปี พบว่ากลุ่มที่เรียนดว้ ย
โปรแกรมไฮสโคป มีปัญหาพฤติกรรมทางสังคม -อารมณ์ เช่น การถูกจับข้อหาลักขโมย ทำร้ายผู้อื่น บกพร่องทาง
อารมณ์ และล้มเหลวในชีวิตน้อยกว่าอีก 2 กลุ่ม ดังนั้นโปรแกรมนี้จึงพิสูจน์ได้ว่าช่วยปูองกันอาชญากรรรม เพิ่มพูน
ความสำเร็จทางการศึกษาและผลผลิตตลอดชีวิต (พัชรี ผลโยธี และคณะ. 2550 : 3 ; อ้างอิงมาจาก Weikart and others.
1978 ; Schweinhart. 1988 ; 1997)
หลกั การสอนตามแนวคดิ ไฮสโคป
หลักการของไฮสโคปสามารถสรุปเปน็ แผนภูมภิ าพ “วงลอ้ แห่งการเรยี นรู้”(High/Scope Wheel of
Learning) ดงั ภาพประกอบ 4 Hohmann และ Weikart (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2550 : 4 ; อา้ งอิงมาจาก
Hohmann and Weikart. 1995)

ภาพประกอบ 2 การเรยี นรู้ของเดก็ ปฐมวัยไทย : ตามแนวคดิ ไฮสโคป

30

หลักการที่สำคัญของไฮสโคป ในระดับปฐมวัย คือ การเรียนรู้แบบลงมือกระทำซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญในการ
พัฒนาเด็ก การเรียนรู้แบบลงมือกระทำจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโปรแกรม ที่พัฒนาเด็กอย่าง
เหมาะสมกับพัฒนาการ การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ หมายถึงการเรียนรู้ซึ่งเด็กได้จัดกระทำกับวัตถุได้มีปฏิสัมพันธ์กับ
บุคคล ความคิด และเหตุการณ์จนกระทั่งสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (กระทรวงศึกษาธิการ. 2550:5-21;อ้างอิงมาจาก
HohmannandWeikart.1995)ท้งั น้ี องค์ประกอบของการเรยี นรู้ แบบลงมือกระทำ ไดแ้ ก่

1. ในห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระทำจะมีเครื่องมือและวัสดอุ ุปกรณ์ที่หลากหลายเพียงพอและ
เหมาะสมกับระดับอายุของเด็ก มีโอกาสและมีเวลาเพียงพอที่จะเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างอิสระ เมื่อเด็กใช้
เครื่องมอื หรือวสั ดอุ ุปกรณต์ ่าง ๆ เดก็ จะมโี อกาสเช่ือมโยงการกระทำต่าง ๆ การเรยี นรู้ในเร่ืองของความสัมพนั ธ์
และมีโอกาสในการแก้ไขปัญหามากขึ้นด้วย การเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทำเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสาท
สัมผัสทัง้ กายและใจ การให้เด็กสำรวจและจัดกระทำกับวัตถโุ ดยตรงทำให้เด็กรู้จักวตั ถุหลังจากที่เดก็ คุน้ เคยกับ
วัตถุแล้วเด็กจะนำวัตถุต่าง ๆ มาเกี่ยวข้องกันและเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ ผู้ใหญ่มีหน้าที่จัดให้เด็กค้นพบ
ความสัมพันธ์เหลำนี้ด้วยตนเอง เด็กจะเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมจากความสนใจและความตั้งใจของตนเองเป็นผู้เลือกวัสดุ
อุปกรณ์และตัดสินใจว่าจะใช้วัสดุอุปกรณ์นั้นอย่างไร การที่เด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้
จากผู้ใหญ่ ดังนั้น ผู้ใหญ่ที่ตระหนักถึงความสำคัญเรื่องการเลือกและการตัดสินใจต้องจัดให้เด็กมีอิสระที่จะเลือกได้
ตลอดทง้ั วัน หมายถงึ การท่ีผู้ใหญ่สนบั สนนุ การคดิ และท้าทายกระตุ้นใหเ้ ดก็ พยายามและชว่ ยเหลือหรือสร้างงาน
ของตนโดยการพูดกับเด็กเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กกำลังทำร่วมกันในการเล่นและช่วยให้เด็กเรียนรู้การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ขณะที่ปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน ไม่ใช่เฉพาะในช่วงเวลาเล่นเสรีเท่านั้น เด็กได้อธิบายว่าตนกำลังทำอะไร และเข้าใจ
อย่างไร มีโอกาสพูดสื่อสารด้วยภาษาทำทางขณะคิดเกี่ยวกับการการะทำและขยายความคิดของตนเพื่อรับรู้ส่ิง
ใหม่ เด็กจะเผชิญกับประสบการณ์สำคัญซ้ำแล้วซ้ำอีกในชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นกุญแจท่ี
จำเป็นในการสร้างองค์ความรู้ของเด็กเป็นเสมือนกรอบความคิดที่จะทำความเข้าใจการเรียบแบบลงมือกระทำ
ประสบการณ์สำคัญเป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่เด็กจะต้องหามาให้ได้ โดยการปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ คน แนวคิด
และเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ประสบการณ์สำคัญเป็นกรอบความคิดให้กับผู้ใหญ่ในการเข้าใจ
การเรียนรู้ของเด็กสามารถวางแผนการจัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริมและประเมินพัฒนาการของเด็กอย่าง
เหมาะสม

2. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก (Adult-Child Interaction) การเรียนรู้แบบลงมือกระทำนั้นจะ
ประสบความสำเร็จได้ เมื่อผู้ใหญ่และเด็กมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไฮสโคปจึงเน้นให้ ผู้ใหญ่สร้างบรรยากาศที่
อบอุ่นและปลอดภัยให้แก่เด็ก การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อเด็กนั้นเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับเด็ก เด็กจะกล้าพูด
กล้าแสดงออก และกล้าปรกึ ษาปญั หา ผใู้ หญจ่ ะต้องใส่ใจแม้แต่เรอ่ื งเลก็ ๆ น้อย ๆ และไม่เบ่ือหนา่ ยท่ีจะตอบคำถามของเดก็
หรือป้อนคำถามให้เด็กเกิดความคิด จินตนาการ การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อเด็กนั้นนับได้ว่ามีคุณคำมากกว่าการยกย่อง
ชมเชย การให้รางวัล ปจั จัยสำคญั ในการสรา้ งปฏสิ มั พนั ธ์

31

2.1 ความไว้วางใจ (Trust) ความไว้วางใจทั้งต่อตนเองและผู้อื่นประสบการณ์ในช่วงนี้เป็นพื้นฐาน
สำคัญในการพัฒนา“ความไว้วางใจ”ในวัยต่อมา โดยเริ่มจากบุคคลในครอบครัวและขยายต่อไปยังโรงเรียนและ
วงสังคมทกี่ วา้ งขึน้ สิง่ น้จี ะเป็นการสร้างสมั พันธภาพบนพ้นื ฐานแห่งความไว้วางใจซ่ึงกันและกันตอ่ ไป

2.2 การเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy) การเป็นตัวของตัวเองเป็นความสามารถในการพึ่งพาตนเอง
การทดลองทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ซึ่งทำให้เกิดความภาคภูมิใจเมื่อทำสำเร็จ ดังนั้น ถ้าผู้ใหญ่ให้
กำลังใจในสิง่ ทีเ่ ด็กทำได้ตามความสามารถและวิธีการของเด็กแต่ละคน เด็กจะพัฒนาความเป็นตวั ของ
ตวั เองรู้สกึ ว่าตนเองเปน็ ผมู้ ีความสามารถพงึ่ ตนเองและนำตนเองได้

2.3 ความคิดริเริ่ม (Initiative) เด็กสามารถมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่าง ๆซึ่งจะไปสนับสนุนขั้น
ความเป็นตัวของตัวเองถ้าเด็กได้รับอิสระในการคิด วางแผน และริเริ่มทำกิจกรรมต่าง ๆ ผู้ใหญ่มีเวลา
ให้กับเด็กในการตอบคำถามก็จะเป็นการ ส่งเสริมให้เด็กมีแนวโน้มที่จะค้นคว้าศึกษา และสำรวจ เด็กจะรู้สึก
ม่ันใจวา่ ตนเองเปน็ บคุ คลท่ีมคี วามสามารถในการเลอื กตดั สนิ ใจและกระทำส่ิงตา่ ง ๆ ได้

2.4 การร่วมรับความรู้สึกของผู้อื่น (Empathy) การร่วมรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นเป็นความสามารถใน
การเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ซึ่งจะช่วยให้เด็กรู้จักสร้างมิตรภาพและความรู้สึกของการมีส่วนร่วม
ในช่วงปฐมวัยเด็กมีความสามารถในการใช้ภาษาดีขึ้นเด็กจะแสดงความรู้สึกของตนเองที่สามารถรับรู้
ความรู้สกึ ของผอู้ ่ืนไดม้ ากข้นึ

2.5 เชื่อมั่นในตนเอง (Self-confidence) ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นสิ่งที่แสดงว่าตนเอง
สามารถประสบความสำเร็จและสามารถช่วยเหลือสังคมได้ ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่จะ
กระตุ้นให้ต่อสู๎กับอุปสรรคและปัญหาต่าง ๆ ผู้ใหญ่สามารถพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองของเด็กได้
โดยการสนบั สนนุ ใหเ้ ด็กมีโอกาสประสบความสำเรจ็ จากการใชค้ วามสามารถของตนเองอยา่ งเหมาะสม
เปิดโอกาสให้เด็กเรยี นรู้วธิ กี ารแก้ปัญหาดว้ ยตนเอง
3. กลยทุ ธใ์ นการสร้างบรรยากาศทสี่ นับสนนุ การเรียนรู้

3.1 ผู้ใหญ่ใหโ้ อกาสเด็กแสดงความคิดเหน็ และลงมอื ปฏิบตั มิ ีสว่ นร่วมกบั เด็ก
3.2 สนใจในความสามารถของเด็ก ค้นหาความสนใจของเด็ก ให้พ่อแม่และผู้ร่วมงาน
มสี ว่ นรว่ มในสง่ิ ทเ่ี ด็กสนใจความสามารถและความสนใจของเด็ก
3.3 สรา้ งปฏสิ มั พนั ธก์ บั เดก็ อยา่ งแท้จรงิ แบง่ ปันส่งิ ทต่ี นเองมีกับเด็ก
3.4 สง่ิ เสรมิ การเล่นของเดก็ สงั เกตและสนใจกับกิจกรรมการเล่นของเด็ก
มีสว่ นรว่ มในการเล่นกบั เดก็ ด้วยบรรยากาศทส่ี นับสนนุ
3.5 ใชว้ ธิ กี ารแก้ปญั หาความขดั แยง้ ขณะอยูร่ ว่ มกนั โดยคำนึงถงึ ความจรงิ ความมัน่ คงและ
ความอดทน ปลูกฝงั ใหเ้ ด็กมคี วามรับผิดชอบการทำงานร่วมกนั โดยดำเนินการตามขนั้ ตอนตอ่ ไปนี้
เพือ่ เป็นการประนีประนอมข้อขดั แยง้ และปญั หาท่เี กิดขน้ึ
3.5.1 ให้เดก็ สงบอารมณ์กอ่ น
3.5.2 ยอมรบั ความรู้สกึ ของเดก็

32

3.5.3 รวบรวมขอ้ มูลจากเด็ก เช่น เกดิ อะไรข้ึน อะไรคือสาเหตใุ หเ้ ด็กอารมณ์เสีย
3.5.4 ย้อนกลบั มาถามถงึ ปัญหาทีเ่ กิดขนึ้ อกี คร้ังหนึ่ง
3.5.5 ให้เด็กชว่ ยหาวิธแี กไ้ ขปญั หา
3.5.6 คอยและสนบั สนุนการตัดสินใจของเด็ก
4. การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment) การจัดสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัยมี
ความสำคัญต่อการพัฒนาและการเรียนรู้ของเด็ก ตามหลักการของไฮสโคป ถือว่า สิ่งแวดล้อมเป็นเสมือนครูคนท่ี 3 และ
เป็นส่วนหนึ่งของวงล้อการเรียนรู้ซึ่งมีสาระครอบคลุม 3 เรื่อง ได้แก่ พื้นท่ี สื่อ และการจัดเก็บโดยแต่ละเรื่องมี
รายละเอยี ด ดังนี้
1. พน้ื ท่ี (Space)
เด็กปฐมวัยเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทำ เด็กจึงต้องการพื้นที่ส่งเสริมการเรียนรูพ้ ื้นที่ในการใช้สื่อต่าง ๆ
สำรวจ เล่นก่อสร้างและแก้ปัญหาพื้นที่ในการเคลื่อนไหวพื้นที่ส่วนตัว พื้นที่สำหรับเล่นคนเดียว และเล่นกับ
ผู้อื่น พื้นที่เก็บของใช้ส่วนตัว และจัดแสดงผลงานพื้นที่สำหรับผู้ใหญ่ที่จะร่วมเล่นและสนับสนุนความสนใจของ
เด็ก การจัดแบ่งพืน้ ทภี่ ายในหอ้ งเรยี นจะประกอบดว้ ย 5 ส่วนดงั น้ี
1.1 พื้นที่เก็บของใช้ส่วนตัวของเด็ก เช่น ผ้ากันเปื้อน แปลงสีฟันแก้วน้ำ ฯลฯ อาจจะเป็น
ตู้ยาวแยกเปน็ ชอ่ งรายบคุ คลหรือชน้ั วางของเปน็ ชอ่ ง ๆ โดยมีชอ่ื เดก็ ตดิ แสดงความเปน็ เจ้าของ
1.2 พ้นื ท่ีกจิ กรรมกลมุ่ ใหญ่ เชน่ กจิ กรรมฟงั นทิ าน รอ้ งเพลงเคลอ่ื นไหวฯลฯที่ทำร่วมกนั ท้งั ชน้ั เรยี น
1.3 พื้นที่กิจกรรมกลุ่มย่อยเช่น กิจกรรมศิลปะร่วมมือกิจกรรมทำหนังสือนิทานร่วมกันเป็น
กลมุ่ ยอ่ ยกจิ กรรมเรียนร้เู กี่ยวกับทักษะพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ฯลฯ โดยสมาชิกกลุ่ม
ทีเ่ หมาะสม คือ 4-6 คน ทัง้ นเี้ พอื่ ครจู ะได้มีโอกาสปฏสิ มั พนั ธไ์ ด้ใกลช้ ิดและทว่ั ถงึ มากขนึ้
1.4 พื้นที่สำหรับมุมเล่นไฮสโคป ได้กำหนดให้มีมุมพื้นฐาน 5 มุมประกอบด้วย มุมหนังสือ
มุมบล็อก มุมบ้านมุมศิลปะ และมุมของเล่นซึ่งหมายถึงเครื่องเล่นสัมผัสเกม และของเล่นบนโต๊ะทั้งน้ี ไฮสโคป
มีหลกั การเรยี กชื่อมุมต่าง ๆ ดว้ ย ภาษาท่เี ด็กเขา้ ใจจะไม่ใชภ้ าษาซ่งึ เปน็ นามธรรมมากๆ เช่นมุมบทบาท
สมมติมุม เครื่องเล่นสัมผัส นอกจากน้ี ไฮสโคป เชื่อว่ามุมเล่นต้องเปลี่ยนแปลงไปตามความสนใจของเด็ก เช่น
เมื่อเด็กเกิดความสนใจหลากหลายมุมบ้านก็อาจเปลี่ยนเป็นมุมร้านเสริมสวย มุมหมอ หรือมุมร้านค้า
ได้ตามบริบทของสง่ิ ท่เี ด็กสนใจขณะน้นั
1.5 พนื้ ที่เก็บของใชค้ รู เชน่ หนังสอื คมู่ อื ครู เอกสาร โปรแกรมส่ือการสอนส่วนรวมช้ันเรียน
เช่น วสั ดศุ ิลปะตา่ ง ๆ เป็นตน้
ทง้ั นี้ ไฮสโคป ได้ระบุรายละเอียดของแนวปฏบิ ัติเรอ่ื งจัดพน้ื ท่ไี วเ้ พม่ิ เติม ดังนี้
1. พน้ื ที่ตอ้ งนำอยู่ นำเขา้ ไปเลน่ ทำใหร้ สู้ ึกอบอนุ่ วัสดุท่ีใช้มีความนุ่มออ่ นโยน ไมแ่ ข็งกระด่าง
มีสว่ นโคง้ สว่ นมน สสี นั สบายตา สบายใจ เน้นวัสดุธรรมชาตแิ ละแสงตามธรรมชาติ
2. มกี ารจดั แบง่ ทตี่ งั้ บรเิ วณของมุมตา่ ง ๆ อย่างชดั เจนสมเหตสุ มผลบรเิ วณในแต่ละมมุ มีพ้ืนที่
เพยี งพอ โดย คำนึงถึงความปลอดภยั และการบำรงุ รักษาที่ดี เชน่

33

2.1 มุมทรายและมมุ นำ้ ควรอยูใ่ กล้อา่ งล้างมือ
2.2 มุมบลอ็ กและมมุ บ้านอยู่ใกลก้ นั
2.3 มมุ ศลิ ปะอยู่ใกล้อ่างล้างมือหรือหอ้ งน้ำ
2.4 มมุ ของเลน่ และมมุ หนังสืออยไู่ กลจากมมุ ที่เสียงดงั
5. สอื่ (Materials)
ส่ือ หมายถึง วสั ดอุ ปุ กรณ์ทหี่ ลากหลาย ท้งั ประเภท 2 มติ ิ 3 มติ ิ สะทอ้ นวัฒนธรรมท้องถนิ่ สื่อทเี่ อ้ือ
ใหเ้ ด็กเรยี นรู้ผา่ นประสาทสมั ผสั ทงั้ 5 โดยมกี ารจดั การใชส้ ื่อทเี่ ร่มิ ตน้ จากสื่อทเ่ี ปน็ รปู ธรรมไปส่นู ามธรรม
กลา่ วคือ เรมิ่ ตน้ จากส่ือของจรงิ ของจำลอง ภาพโครงร่างและสัญลกั ษณ์ ใช้สื่อตอ้ งเหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ
ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ความสนใจและความต้องการของเด็กทห่ี ลากหลาย
โปรแกรมไฮสโคป ได้กำหนดหลกั การเรือ่ งสือ่ ทเี่ พยี งพอไว้ด้วยคำว่า“เพียงพอ” คือ ส่ือทกุ อย่างควรมี
อย่างนอ้ ย 2 ชดุ ตัวอยา่ งสอ่ื ในมุมต่าง ๆ มีดงั นี้
1. มุมบล็อก ควรมีสือ่ สำหรับกอ่ สรา้ ง สอื่ ทแ่ี ยกออกและประกอบไดส้ ื่อที่บรรจแุ ละเทออกและ
ประกอบได้ สื่อสำหรบั เล่นสมมติ และภาพถ่ายต่าง ๆ
2. มุมหนังสือ มชี น้ั วางหนังสือประเภทต่าง ๆ ท่ีเหมาะสมกับวยั ของเดก็ ภายในมุมควรมีบรรยากาศท่ี
สบายๆ สงบ อบอุ่น เชิญชวนให้เด็ก ๆ เขา้ มาอา่ นหนังสือ ตลอดจนควรมอี ุปกรณส์ ำหรบั การเขยี นดว้ ย
3. มุมศลิ ปะ ควรมีกระดาษประเภทต่าง ๆ สำหรบั วาดและจดั อุปกรณส์ ำหรบั การระบายสี พิมพ์ภาพ และทำ
ของจำลองตา่ ง ๆ
4. มุมบา้ นมีชดุ เครือ่ งครวั อุปกรณส์ ำหรับเล่นบทบาทสมมติส่ือทเ่ี หมือนของใช้ในบ้านซง่ึ สะทอ้ นชีวติ
ครอบครวั ของเด็ก อปุ กรณป์ ระกอบอาหารจริง (ภายใหก้ ารดูแลของผใู้ หญ)่ ภาพถ่ายและเมนอู าหาร
5. มุมของเล่นมีอุปกรณ์เล็ก ๆ สำหรับเล่นแยกประเภทอุปกรณท์ ่แี ยกสว่ นประกอบใหม่ได้ อุปกรณ์
สำหรบั เลน่ เลียนแบบและเกมตา่ ง ๆ
การจดั เกบ็ (Storage) ไฮสโคปใหค้ วามสำคัญกบั ระบบจัดเก็บสือ่ ดว้ ยวงจร“คน้ หา-ใช-้ เกบ็ คืน” (Find-Use-
Retum Cycle) ตามกรอบแนวคิด ดังนี้
1. สอ่ื ทเ่ี หมอื นกันจัดเก็บหรอื จัดวางไว้ดว้ ยกัน
2. ภาชนะบรรจุสื่อควรโปร่งใสเพอ่ื ใหเ้ ดก็ มองเหน็ สงิ่ ทอี่ ยภู่ ายในได้งา่ ยและควรมมี อื จบั เพอ่ื ใหส้ ะดวกในการขนยา้ ย
3. การใชส้ ญั ลักษณ์ (Labels) ควรมีความหมายตอ่ การเรียนรู้ของเด็กสญั ลักษณ์ทำมาจากส่ืออปุ กรณ์
ของจรงิ ภาพถ่ายหรือภาพสำเนา ภาพวาด ภาพโครงร่างหรือภาพประจุดหรอื บัตรคำตดิ คกู่ บั สัญลกั ษณ์อย่างใด
อยา่ งหนึง่
ไฮสโคป เชื่อว่าวงจร “ค้นหา-ใช้-เก็บคืน” ส่งเสริมการเรยี นรู้เพราะเด็ก ๆได้ฝกึ การสงั เกต เปรยี บเทยี บ
จัดกลุ่มเด็กได้สั่งสมประสบการณ์ ส่งเสริมความรับผิดชอบ รู้จักมีน้ำใจช่วยเหลือเป็นการเรียนรู้ทางสังคม ดังนั้น ครูจึง
ควรจัดเวลา “เก็บของเล่น” ทุกวันอย่างเพียงพอมีสัญญาณเตือนก่อนเวลาจะสิ้นสุด ครูควรช่วยเด็กเก็บของเล่นเพื่อเป็น
แบบอยา่ ง และทำให้เดก็ สนุกสนาน ครูตอ้ งไม่ใชก้ ารเกบ็ ของเล่นเขา้ ทเ่ี ป็นการลงโทษเด็ก

34

นอกจากนี้สื่อจะต้องจัดวางไว้ในระดับสายตาเด็ก (Eye-level) เพื่อให้เด็กมองเห็นได้ชัดเจน สามารถ
หยิบใช้และจัดเก็บได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่อยู่สูงจนเป็นอันตรายเวลาเอื้อมหยิบหรือต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ให้หยิบให้
ตลอดเวลา ครูในฐานะผจู้ ดั สิง่ แวดล้อมให้เหมาะสมกับพัฒนาการเด็กควรมบี ทบาท ดังนี้

1. ครตู ้องตรวจสอบความเชอื่ ของตนเอง ในเรอ่ื งการเรยี นรดู้ ้วยสิง่ แวดลอ้ ม
2. ครูตอ้ งชว่ ยเดก็ ค้นหาส่ือท่ตี อ้ งการ
3. ครตู ้องสนทนากับเด็ก และตอบสนองความต้องการของเด็ก
4. ครตู อ้ งส่งเสริมให้เดก็ แก้ปญั หาเอง มีปฏสิ มั พันธเ์ ชงิ บวกกบั เด็ก
5. ครูตอ้ งนำกิจกรรมสบู่ ทสรุป โดยอาจกล่าวว่า “อกี 5 นาที ตอ้ งเก็บของเลน่ เราจะไดไ้ ปเลน่ ที่สนามกนั
ค่ะ”
6. ครูต้องช่วยเด็กเก็บของเล่นและทำให้บรรยากาศเพลิดเพลินมากที่สุดเนื่องด้วยส่ิงแวดล้อมด้าน
กายภาพมีผลต่อพฤติกรรมทั้งของเดก็ และผู้ใหญ่ ไฮสโคป จึงให้ความสำคัญกับการวางแผนการจัดพ้ืนท่ี การวางแผนผัง
การจัดห้องเรียน และการคัดเลือกสื่อที่เหมาะสมสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้แบบลงมือกระทำให้โอกาสเด็กในการ
เลือกและตัดสินใจ ทั้งนี้ ผู้ใหญ่จะเป็นผู้จัดแบ่งพื้นที่เป็นมุมเล่นต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเล่นของเด็ก ไม่ว่าจะ
เป็นการเล่นน้ำ เล่นทรายเล่นสร้างสรรค์ เล่นเลียนแบบ วาดรูประบายสี อ่าน เขียน นับ จัดกลุ่ม ปีน ไต่คลาน
ลอด รอ้ งเพลง หรือเตน้ รำ มุมต่าง ๆ ประกอบด้วยส่อื ที่หลากหลายและเพยี งพอในการลงมอื ทำตามความต้ังใจ
และความคิดในการเล่นวัสดุธรรมชาติ วัสดุที่ซื้อมาและวัสดุพื้นบ้านต้องให้โอกาสเด็กเชื่อมโยงประสบการณ์
สำคัญกับกิจกรรมที่สร้างสรรค์อย่างมีจุดหมาย ควรจัดเก็บสื่อโดยใช้ชั้นวางของเตี้ยๆ ใช้กล่องใส และติดภาพ
สญั ลกั ษณใ์ ห้เดก็ อา่ นเพ่อื ให้เดก็ ทกุ คนสามารถคน้ หาสื่อ ใชส้ ือ่ และเกบ็ เขา้ ท่ไี ดด้ ้วยตนเอง

กระบวนการจดั ประสบการณ์การเรียนร้ตู ามแนวคิดไฮสโคป
ชไมมน ศรสี รุ กั ษ์ (2540 : 37-39) สรปุ แนวความคดิ ของชไวน์ฮาร์ท (Schweinhart) เก่ียวกบั

กระบวนการวางแผน ปฏิบตั ิ และทบทวนวา่
1. การวางแผน (Plan) หมายถึง การสนทนากันระหว่างครูกับเด็กและเด็กกับเด็กเกี่ยวกับสิ่งที่เด็ก

ต้องการทาตามความสนใจของตน รวมทั้งวิธีการที่จะดาเนินกิจกรรมหลังจากกิจกรรมหนึ่งสิ้นสุดลง เด็กจะทำ
กิจกรรมใดต่อไป ครจู ะมสี ่วนช่วยในการวางแผนเพ่อื จัดเตรียมกิจกรรมสนองความคิดของเดก็ อีกท้งั ช่วยให้เด็ก
ปฏิบัติกิจกรรมด้วยความรู้สึกที่ดีตามจุดประสงค์ที่วางไว้ การวางแผนกิจกรรมจะแสดงได้ด้วยภาพเด็กหรือ
สญั ลกั ษณ์ประจำตวั เดก็

2. การปฏิบตั ิ (Do) หมายถงึ การทำกิจกรรมตามที่เดก็ ไดว้ างแผนไวโ้ ดยมคี รเู ปน็ ผู้ให้คาแนะนาและ
ช่วยเหลอื ในดา้ นความคิดในจังหวะทเี่ หมาะสม สามารถทำงานด้วยตนเองหรอื ร่วมกับเพือ่ น โดยอสิ ระตามเวลาที่
ครูกำหนดใหร้ วมทั้งช่วยกันเกบ็ และจดั ของใหเ้ ขา้ ท่ใี หเ้ รยี บรอ้ ยหลงั จากเสร็จสนิ้ กิจกรรม

3. การทบทวน (Review) หมายถงึ การจดั กจิ กรรมสนทนา อภิปรายถึงผลงานที่ เด็กทำและทบทวน
ว่าสามารถปฏิบัติตามแผนท่วี างไว้หรอื ไม่ มกี ารเปลี่ยนแปลงการทำงานแต่ละคร้ังอยา่ งไร ผลงานของเด็กมี
ความแตกต่างกันหรือไม่

35

วรนาท รกั สกลุ ไทย และคณะ (2546 : 13) ได้ใหแ้ นวคิดเก่ยี วกบั ความหมายของการวางแผน ปฏบิ ตั ิ
และทบทวน ไวด้ ังนี้

1. การวางแผน (Plan) หมายถึง การทเ่ี ด็กบอกหรือแสดงใหผ้ ใู้ หญ่รู้วา่ เขาจะทำอะไร เมื่อไร อยา่ งไร
แล้วแสดงการทำกิจกรรมดว้ ยสญั ลักษณ์ประจำตัวเดก็ ซงึ่ เปน็ กระบวนการท่ีเด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจ

2. การปฏบิ ตั ิ (Do) หมายถึง พฤติกรรมทเ่ี ด็กปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี
2.1 การเล่นหรอื การปฏิบตั ิตรงตามทเี่ ด็กต้งั ใจ
2.2 ฝกึ การคดิ การแกป้ ัญหา และการตดั สินใจ
2.3 มีสว่ นรว่ มในการทำงานกลมุ่
2.4 ไดเ้ คล่ือนไหวและพฒั นาการพูด
2.5 ฝึกคดิ จินตนาการ

3. การทบทวน (Review) หมายถงึ พฤติกรรมทเ่ี ดก็ แสดงออกดงั น้ี
3.1 การสะท้อนสง่ิ ทีเ่ ด็กไดก้ ระทำ
3.2 เป็นการเชือ่ มโยงระหวา่ งการวางแผน การปฏิบตั ิ และผลงานทีเ่ ดก็ ทำ
3.3 การเลา่ ประสบการณ์ในการทำงาน

สรปุ ไดว้ ่า กระบวนการวางแผน ปฏิบตั ิ และทบทวนนั้น เด็กจะต้องมปี ฏิสมั พนั ธ์กบั ครแู ละเพือ่ นใน
การวางแผนการปฏิบตั ิ โดยเปดิ โอกาสให้เด็กมอี สิ ระในการคิดและกระทำแล้วทบทวนผลงานท่ีผา่ นมา และ
เสนอผลงาน บทบาทสำคัญของครูคอื จะตอ้ งนาเด็กทำกจิ กรรมในแต่ละข้นั ตอน โดยครูเข้าไปมปี ฏสิ ัมพนั ธแ์ นะ
นาขณะวางแผน ทบทวนและในโอกาสเหมาะสมในขน้ั ปฏบิ ตั ิ

วรนาท รักสุกลไทย และคณะ (2546 : 12-15) ใหค้ วามสำคัญของกระบวนการวางแผน ปฏิบตั ิ และ
ทบทวนดังตอ่ ไปน้ี

1. ความสำคญั ของการวางแผน (Plan) คือ
1.1 เป็นกระบวนการกระตนุ้ สนบั สนนุ ใหเ้ ดก็ ได้ผสมผสานความคดิ กบั สิง่ ท่ีเด็กเลอื กและ ส่ิงท่ี

เด็กตดั สนิ ใจ
1.2 เป็นกระบวนการกระตนุ้ ความรู้สึกในการควบคุมอารมณ์ มสี มาธิในการทำงาน
1.3 เป็นกระบวนการสนบั สนนุ ให้เด็กมีพัฒนาการปฏิบัตงิ านท่ซี ับซ้อนขนึ้
1.4 เปน็ กระบวนการทที่ ำให้เด็กมีความอดทนและมคี วามสขุ ในการปฏบิ ัตงิ านมากขน้ึ

2. ความสำคญั ของการปฏบิ ัติ (Work Time)
2.1 ได้มกี ารฝึกการเรยี นรู้ โดยการกระทำ
2.2 สนับสนุนกระตนุ้ ความรู้สกึ สนุกสนานกบั การปฏิบัติกจิ กรรม
2.3 เด็กไดเ้ สรมิ สรา้ งความคิดจากประสบการณ์ของตนเอง
2.4 ผูใ้ หญ่สามารถสังเกตการณ์ กระตุ้นและสนับสนนุ การปฏิบัตกิ จิ กรรมของเดก็

3. ความสำคญั ของการทบทวน (Recalling)

36

3.1 พฒั นาความสามารถของเด็กในการจัดรปู แบบและพดู คุยเกย่ี วกับความคิดหวงั สง่ิ ของที่
เดก็ ทำในช่วง “Work Time”

3.2 ทำใหค้ วามเขา้ ใจของเด็กต่อส่ิงทเ่ี ขาได้ทาชัดเจนยง่ิ ขึ้น
3.3 ขยายความรบั รูข้ องเดก็ ซ่งึ ไมใ่ ชเ่ พียงแตป่ จั จุบนั แต่เป็นในอดีตท่ีผ่านมา
3.4 ทำใหม้ ีการกระจายประสบการณ์ ผลงานของเดก็ ใหค้ นอ่นื ได้รบั รู้
วรนาท รักสกลุ ไทย และคณะ (2546 : 10-15) ไดใ้ ห้ความเห็นเกี่ยวกบั หลักในการจดั กิจกรรมการ
วางแผน ปฏบิ ัติ และทบทวนว่าต้องคำนึงถงึ สิ่งต่าง ๆ ดังน้ี
1. ความพรอ้ มของตวั ผู้เรยี น
2. การจดั กิจกรรมควรสอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยดงั น้ี
2.1 อายุ 3-4 ปี ควรเริม่ จากกจิ กรรมตามแบบสำนกั งานคณะกรรมการจดั การศึกษาขัน้
พน้ื ฐานกำหนด
2.2 อายุ 4-5 ปี ควรให้เดก็ รเิ ริ่มอิสระด้วยตนเอง

2.2.1 เริ่มวางแผนทบทวนดว้ ยตนเองในแผน่ ใบงาน
2.2.2 เร่มิ วางแผนและทบทวนแบบกลมุ่ ใหญ่
2.3 อายุ 5-6 ปี
2.3.1 ทำกิจกรรมวางแผนและทบทวนแบบกลุ่มใหญ่
2.3.2 ทำกิจกรรมวางแผนและทบทวนแบบกลุ่มย่อย
วรนาท รักสกุลไทย และคณะ (2546 : 19-24) ได้ให้แนวคิดในการใช้สถานที่ในการจัดกิจกรรม
การวางแผน ปฏบิ ัติ และทบทวนไวด้ ังนี้
1. การวางแผน (Plan) สถานท่วี างแผนควรเปน็ สถานทปี่ ระจำเปน็ สถานที่ท่เี ด็กสามารถเหน็ ของเลน่
หรอื วัสดอุ ุปกรณไ์ ดช้ ดั เจน
2. การปฏบิ ตั ิ (Do) เปน็ มุมตา่ ง ๆ ทจ่ี ดั ใหโ้ ดยใช้อุปกรณ์อยา่ งหลากหลายและปฏบิ ัตอิ ยา่ งอสิ ระในทที่ ่ี
เด็กมองเห็นของเลน่ หรอื วัสดุอปุ กรณไ์ ดอ้ ยา่ งทัว่ ถงึ
3. การทบทวน (Review) ทาไดไ้ ปพร้อมกับการเกบ็ อปุ กรณร์ ว่ มกนั โดยผใู้ หญฟ่ งั เด็กพดู เกี่ยวกบั สิง่ ที่
เขาทำ
บทบาทของครใู นการจดั กิจกรรมวางแผน ปฏบิ ัติ และทบทวน
1. เขา้ ใจพฒั นาการเดก็
2. ใช้เดก็ เป็นศนู ยก์ ลาง
3. สง่ เสรมิ ให้เดก็ ริเรมิ่ กจิ กรรมด้วยตนเองอย่างอสิ ระ
4. กระตุ้นใหเ้ ดก็ แสดงออกตามความคดิ ของตนเอง
5. ฝึกให้เด็กคดิ และแก้ปัญหาด้วยตนเอง
6. จัดบรรยากาศให้เป็นประชาธปิ ไตย

37

7. มกี ตกิ าและข้อตกลงร่วมกนั
อรณุ ี หรดาล และคณะ (2550 : 148-159) ดงั นี้
1. การวางแผน (Plan) เด็กต้องตัดสินใจว่าจะทำอะไรโดยบอกแผนกับครูซึ่งครูจะช่วยให้เด็กคิด และบันทึก
แผนน้ัน พร้อมทั้งชว่ ยให้เดก็ สามารถเริม่ ตน้ ได้
2. ทำงาน (Do) ทำกิจกรรมตามท่ีไดว้ างแผนครจู ะเคลอ่ื นยา้ ยไปตามกลุ่มเดก็ ช่วยเหลือแนะนำและขยายความคดิ
คนทเี่ สรจ็ แล้วกว็ างแผนทำสง่ิ อืน่ ตอ่ ไป
3. ทบทวน (Review) ทำในกลุ่มเล็ก ๆ พร้อมกับครู โดยทบทวนและเสนอแนะสิ่งที่ตนทำในช่วงเวลา
ทำงาน มักใช้เวลาในช่วงทำงานหรือชว่ งอาหารวา่ ง
จึงสรุปว่า ลักษณะการวางแผน ปฏิบัติ และทบทวน เป็นการคิดและทำงานของเด็กตามที่วางแผน
เอาไว้ โดยครูจะสร้างปฏิสัมพันธ์กับเด็กโดยการเข้าไปสนับสนุน ส่งเสริมกระตุ้นความคิดด้วยการตั้งคำถามให้
เด็กคิดตัดสินใจทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง เป็นการส่งเสริมให้เด็กมีการคิดวางแผนร่วมกับผู้อื่น ปฏิบัติและ
ทบทวนด้วยกันในกลุ่มใหญ่และเล็ก ทำให้เด็กเกิดทักษะทางสังคมพัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบจึงเหมาะที่จะ
นำมาใช้ในการพัฒนาทกั ษะทุกดา้ นอยา่ งเหมาะสม
กุลยา ตันติผลาชีวะ (2551 : 124-127) กล่าวว่า การเตรียม ครูต้องเตรียมการให้พร้อมโดยเฉพาะสื่อ
ต้องมีความหลากหลายมีพื้นที่พอที่จะทำให้เด็กได้ทำกิจกรรมอย่างคล่องตัวบางกิจกรรมครูอาจเตรียมวัสดุ
อุปกรณ์ สำหรับทำกิจกรรมตามโต๊ะหรือมุมห้องไว้ การดำเนินการ ขั้นนำ ครูเตรียมเด็กเข้าสู่เวลาเรียนด้วย
กิจกรรมที่เชื่อมโยงสู่การคิดทำกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยตัวเด็กเอง ครูนำเด็กไปสู่การคิดหาหัวข้อเรื่องที่
ต้องการเรียนรู้ด้วยการสนทนา อภิปราย เพื่อเสนอเรื่องที่ต้องการเรียน ขั้นสอนเป็นขั้นที่ครูนำเด็กสู่การ
วางแผน (Plan) การลงมือปฏิบตั ิ (Do) และการทบทวน (Review) ดงั นี้
1. ขั้นดำเนินการวางแผน เมื่อเด็กตกลงที่จะเรียนแล้ว ครูให้เด็กแต่ละกลุ่มร่วมกันคิดว่าทำอย่างไรจึง
จะทำสิ่งที่พูดได้ หรือทำสิ่งที่เป็นคำตอบได้ บางครั้งครูอาจให้เด็กไปค้นหาอุปกรณ์เองเพิ่มเติมหรือครูเสริม
อุปกรณ์ให้ ระหว่างการวางแผนครูต้องคอยกระตุ้นด้วยคำถามให้เด็กวางแผนด้วยการวาดภาพแสดง หรือทำ
สัญลักษณ์หรือบอกครูและครูจดบันทึกไว้ด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็ก เด็กเล็กเพยี งแต่บอกครูว่าเธอจะ
ทำอะไรกใ็ หน้ ับว่าเด็กมแี ผนแลว้ ข้นั นเ้ี ปน็ ขน้ั การคดิ และตดั สินใจของเด็ก
2. ขั้นปฏิบัติตามแผน ในกรณีที่เด็กวางแผนโดยยังไม่มีอุปกรณ์ ขั้นปฏิบัติการตามแผนของเด็กจะเร่ิม
จากค้นหาอุปกรณ์เพื่อใช้ตามแผน ส่วนเด็กที่มีอุปกรณ์พร้อมจะเริ่มจากการเริ่มใช้อุปกรณ์นั้นดำเนินการตาม
แผน ครูคอยสังเกตและสนับสนุนให้เด็กดำเนินกิจกรรมตามแผนด้วยตนเองหรือกลุ่มอย่างอิสระตาม
กำหนดเวลา ถ้ามีปัญหาระหว่างปฏิบัติเด็กอาจปรับแผนได้ขั้นนี้เป็นขั้นของการปฏิบัติตามที่เด็กตั้งใจ ครูต้อง
คอยจดบันทึกการวางแผนของเดก็ เตือนเด็กเมอ่ื จะหมดเวลาและเม่ือทำงานเสรจ็ แล้วครชู ักชวนให้เด็กทำความ
สะอาดและเกบ็ อปุ กรณ์เข้าท่ีใหเ้ รียบร้อย
3. ขั้นทบทวน เมื่อเด็กทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนจะมีการทบทวนครูให้เด็กเก็บของเข้าท่ีให้
เรียบรอ้ ยก่อน แล้วจงึ มาทบทวนแผนการปฏบิ ตั ิงานและผลงานทเี่ กิดว่าการทำงานตามแผนมปี ัญหาอะไร อยา่ งไร แก้ไข

38

อย่างไร ใครช่วยอะไรบ้างทั้งนี้เพื่อเป็นการสะท้อนประสบการณ์ของเด็กจากการทำงานตามแผนและทำงานร่วมกับ
เพื่อน การสนทนาและอภิปรายกับครูเป็นการตรวจสอบเปรียบเทียบทบทวนงานที่ทำ ครูต้องให้โอกาสเด็กใน
การพูดอธิบายสิ่งที่เด็กทำปัญหาและแนวทางแก้ไขของเด็กก่อนจบกิจกรรมทุกครั้งครูต้ องให้เด็กสรุปผลงาน
ของตัวเองด้วยการออกมาเล่าให้เพื่อนฟังและเปิดโอกาสให้เพื่อนซักถามได้ จุดประสงค์สำคญั ของการเรยี นการ
สอนแบบไฮสโคป มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะอย่างหลากหลาย อาทิ การแก้ปัญหามนุษยสัมพันธ์ และทักษะการ
สื่อสาร ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต การจัดการเรียนการสอน จึงเน้นการจัดอุปกรณ์และเวลาให้แก่เด็กในการ
ดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ตามความสนใจอย่างอิสระ โดยมีครูเป็นผู้อ่านวยความสะดวกให้คำแนะนำให้งาน
เป็นไปตามลำดบั และวตั ถุประสงค์ที่เด็กตอ้ งการคอยกระตุ้นใหเ้ ดก็ คิดและแก้ปญั หาดว้ ยตวั เองใหม้ าก ข้อสำคญั
ครูต้องใช้ปฏิสัมพันธ์มากที่สุดในการที่จะให้เด็กเรียนรู้ในช่วงของการปฏิบัติหรือลงมือกระทำตามแผนและการ
ทบทวนแผนงานเพือ่ เสรมิ สรา้ ง การเรียนรู้ไมใ่ ชเ่ พยี งแตว่ ่าให้เดก็ ปฏิบตั ติ ามขั้นตอนของการวางแผนการปฏิบัติ
และการทบทวน

สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมวางแผน ปฏิบัติ และทบทวนนั้นครูต้องคำนึงถึงความพร้อมของเด็ก ยึดเดก็
เป็นศูนย์กลางและกระตุ้นให้เด็กเรียนรู้ร่วมกันกับเพื่อนและพร้อมที่จะแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล ดังนั้น การ
พัฒนาการประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ผู้
ศึกษาค้นคว้าได้นำแนวคิดไฮสโคปซึ่งเป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยเน้นให้เด็กลงมือปฏิบัติกิจกรรม
ตามความสนใจของตนเอง เน้นให้เด็กปฐมวัยลงมือปฏิบัติด้วยตนเองมีกระบวนการทำงาน 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การ
วางแผน (Plan) 2) การปฏิบัติ (Do) 3) การทบทวน (Review) โดยเด็กได้รับประสบการณ์สำคัญซ้ำแล้วซ้ำอีกใน
ชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติประสบการณ์สำคัญเป็นกญุ แจที่จำเป็นในการสร้างองคค์ วามรู้สำหรบั เดก็ เปน็
เสมือนกรอบความคิดที่จะทำความเข้าใจ การเรียนรู้แบบลงมือกระทำ โดยครูมีบทบาทในการดูแล แนะนำ เร้า
ความสนใจสร้างความสนุกสนาน บรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม เอื้อต่อการเรียนรู้ ครูสังเกตการณ์ทำงาน
ของเด็กปฐมวัยแต่ละกลุ่ม บันทึกพฤติกรรมเด็กปฐมวัยให้คำแนะนำช่วยเหลือหรือร่วมแสดงความคิดเห็นกับ
กล่มุ สนับสนุนให้เดก็ ปฐมวยั ปฏิบัติ กิจกรรมตามแผนด้วยตนเองหรือกลมุ่ อยา่ งอิสระตามเวลาทกี่ ำหนด โดยครู
ปฏิบัติระหว่างการดำเนินกิจกรรม ได้แก่ การจดบันทึกการวางแผนของเด็กปฐมวัยการกระตุ้นใหเ้ ด็กปฐมวัยใส่
ใจในเป้าหมายที่ต้องการและการปฏิบัติกิจกรรมให้บรรลุตามเป้าหมายนั้น รวมทั้งการจัดเก็บอุปกรณ์ให้
เรียบร้อย ผ่านกิจกรรมเสริมประสบการณ์เน้นให้เด็กปฐมวัยลงมือปฏิบัติด้วยตนเองและมีกระบวนการทำงาน
3 ข้นั ตอน ดงั น้ี

2.1 การวางแผน (Plan) เด็กปฐมวัยกำหนดแนวทางการปฏิบัติหรือดำเนินงานตาม
ที่ได้รับมอบหมายมีการสนทนาระหว่างครูกับเด็กและเพื่อนในกลุ่มว่าจะทำอะไร อย่างไร การวางแผน
กิจกรรม อาจจะใช้แสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็ก เป็นกระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือก
และตดั สินใจ

2.2 การปฏบิ ตั ิ (Do) เดก็ ปฐมวยั ลงมือกระทำตามแผนท่ีวางไวเ้ ป็นสว่ นท่ีเดก็ ไดร้ ว่ มกันคิด
แกป้ ญั หา ตัดสนิ ใจและทำดว้ ยตนเอง เปน็ สว่ นที่เดก็ ไดม้ กี ารพัฒนาการพดู และปฏสิ ัมพนั ธท์ างสงั คม

39

2.3 การทบทวน (Review) เปน็ ช่วงที่ได้งานตามจุดประสงค์ ช่วงน้เี ด็กปฐมวัยจะมีการอภิปราย และ
เล่าถึงผลงานที่ทำเพื่อทบทวนว่าสามารถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้หรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงแผนอย่างไร
และช้ใี หเ้ หน็ ความเชื่อมโยงระหว่างแผนกับการปฏิบตั แิ ละผลงานที่ทำรวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ทไ่ี ด้รบั

แนวคิดเก่ยี วกบั แผนการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้
ความหมายของแผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูผู้สอนจะต้องมีการเตรียมตัวและการวางแผนอย่าง

เป็นระบบ ซึ่งถือว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้การเรียนการสอนบรรลุเป้าหมายของหลักสูตรได้อย่างมี
ประสิทธิภาพและในการนำสื่อนวัตกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนก็จะทำให้
การจัดการศึกษามีประสิทธิภาพย่งิ ขึน้

วัลภา เฮียงราช (2550 : 25) กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ แนวดำเนินการที่เป็น
ลายลักษณ์อักษร ที่ทำไว้เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์
ท่ีสอดคลอ้ งกบั แนวทางและจุดมุง่ หมายของหลักสูตร

สุวิทย์ มูลคำ (2550 : 58) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ การเตรียมการเรียนการสอนหรือการ
กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นระบบและจัดทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมีการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มา
กำหนดกจิ กรรมการเรยี นการสอน เพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นบรรลจุ ุดมุ่งหมายท่ีกำหนดไว้

ชวลิต ชูกำแพง (2553 : 93) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การวางแผนการ
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนล่วงหน้าอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรของครูผู้สอนเพื่อเป็นแนวทางในการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง โดยใช้สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่
คาดหวัง เนือ้ หา เวลา เพ่อื พัฒนาการเรียนรขู้ องผู้เรียนให้เปน็ ไป อย่างเตม็ ศักยภาพ

ดุษฎี นุสนธ์ (2553 : 41-42) กล่าวไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้เป็นการเตรียมการเรียนรู้ล่วงหน้า
อย่างเป็นระบบลายลักษณ์อักษรโดยแผนการจัดการเรียนรู้มุ่งหวังที่จะให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการ
เรียนรู้ที่กำหนดขึ้นให้เหมาะกับผู้เรียน สภาพท้องถิ่นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือ
การเรยี นรู้ และการวัดผลประเมนิ ผล เพื่อนำไปสกู่ ารเรยี นรอู้ ยา่ งมีคณุ ภาพ

วมิ ลรตั น์ สุนทรโรจน์ (2554 : 341 - 342) กลา่ วว่า แผนจัดการเรียนรู้ คือ แผนการจัดกิจกรรมการ
เรยี นการสอน การใชส้ ่อื การสอนการวดั ผลประเมนิ ผลใหส้ อดคล้องกบั เนอ้ื หาและจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ใน
หลักสูตรหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งไดว้ ่าแผนจดั การเรียนรูเ้ ป็นแผนทผี่ สู้ อนจัดทำขึ้นจาก คมู่ ือครูหรือแนวการสอน
ของกรมวิชาการทำใหผ้ สู้ อนทราบว่าจะสอนเน้ือหาใด เพอ่ื จดุ ประสงค์ใด สอนอย่างไร ใช้ส่อื อะไร และวดั ผล
ประเมนิ ผลโดยวิธใี ด

ธราธิคุณ ระหา (2557 : 28) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้เป็นการวางแผนการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนล่วงหน้าที่มีการใช้สื่อการจัดการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้องกับ จุดประสงค์ที่
กำหนดไว้ เพื่อพัฒนาการเรียนรขู้ องผ้เู รียนให้เป็นไปอย่างเต็มศักยภาพ

40

สรปุ ได้วา่ แผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ หมายถงึ แผนการสอนท่สี ร้างข้ึนใช้ในการจัดจดั
ประสบการณ์การใชส้ ่อื อปุ กรณ์ การวดั ผลและประเมนิ ผล ให้สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาและจุดประสงคท์ ่ีกำหนดไว้
เปน็ การเตรียมการสอนเปน็ ลายลักษณ์อักษรล่วงหนา้ อย่างเป็นระบบ

ความสำคัญของแผนการจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้
สำลี รกั สทุ ธี (2544 : 78) กล่าวถึงความสำคัญของแผนการสอน ดังนี้
1. ชว่ ยให้ครไู ดม้ โี อกาสศกึ ษาหลักสูตร แนวการสอน วิธีวัดผลประเมินผลศกึ ษาเอกสารทีเ่ ก่ียวขอ้ งและ
การบรู ณาการกับวิชาอ่นื
2. ช่วยใหค้ รูผู้สอนสามารถจัดเตรยี มกระบวนการเรียนการสอนใหส้ อดคล้องกับสภาพความเปน็ จริงทั้ง
ในเรื่องทรัพยากรของโรงเรียน ทรัพยากรของท้องถิ่น ค่านิยม ความเชื่อและสภาพที่เป็นจริงของท้องถิ่นตลอด
การเช่ือมโยงสัมพนั ธก์ บั วิชาอื่น
3. เปน็ เครื่องมือของครใู นการจดั การเรียนการสอนได้อยา่ งมคี ุณภาพมีความมน่ั ใจในการสอนมากข้ึน
ทา่ นจะเหมือนนกั รบที่เดินลงสนามอย่างองอาจกล้าหาญ
4.ผ้สู อนสามารถใช้เป็นขอ้ มลู ทถี่ ูกต้อง เทย่ี งตรง เสนอแนะแก่บุคลากรท่เี ก่ียวข้องและหน่วยงาน ท่ี
เก่ยี วข้องรวมท้ังเพ่อื ครทู สี่ อนวชิ าอ่นื
5.ใชเ้ ป็นเคร่อื งมือสำหรับครทู ส่ี อนแทนได้
6. เปน็ การพฒั นาวิชาชีพและมาตรฐานวชิ าชีพครทู ีแ่ สดงว่างานสอนตอ้ งได้รบั การฝึกฝนโดยเฉพาะมี
เครอื่ งมอื และเอกสารทจี่ ำเป็นสำหรบั การประกอบวชิ าชีพด้วย
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 206) สรุปไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้จะก่อให้เกิดผลดีคือทำให้การวางแผน
วิธีสอนวิธีเรียนที่มีความหมายยิ่งขึ้นเพราะเป็นการจัดทำอย่างมีหลักการที่ถูกต้องช่วยให้ครูมีคู่มือการเรียนรู้ที่
ทำด้วยตนเองทำให้เกิดความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ทำให้สอนได้ครบถ้วนตรงตามหลักสูตรและสอนได้
ทันเวลา แผนการจัดการเรียนรู้จัดเปน็ ผลงานทางวิชาการที่สามารถเผยแพร่เปน็ ตัวอย่างได้ช่วยให้ความสะดวก
แกค่ รูผสู้ อนแทนในกรณที ผี่ ู้สอนไมส่ ามารถเข้าสอนได้
วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 342) ไดใ้ ห้ความสำคัญของแผนจดั การเรยี นรู้ว่าแผนจดั การเรยี นรู้
เปรยี บไดก้ ับพมิ พเ์ ขยี วของวิศวกรหรอื สถาปนิกที่ใช้เปน็ หลักในการควบคุมงานก่อสรา้ งวศิ วกรหรือสถาปนกิ จะ
ขาดพิมพเ์ ขียนไม่ได้ฉนั ใด ผู้เปน็ ครกู ข็ าดแผนการสอนไมไ่ ดฉ้ ันน้ันย่ิงผสู้ อนไดท้ ำแผนการสอนดว้ ยตนเองกจ็ ะย่ิง
มปี ระโยชนแ์ ก่ตนเองมากเพียงน้ัน
สรุปได้ว่า แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้มีความสำคัญมากถือได้ว่าเป็นหัวใจของการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นเครื่องมือที่จะนำผู้เรียนให้บรรลุ ตามความมุ่งหมายของหลักสูตรอย่าง มี
ประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการวางแผนวิธีสอนวิธีเรียนที่มีความหมายยิ่งขึ้นเพราะเป็นการจัดทำอย่างมีหลักการท่ี
ถูกต้อง ช่วยให้ครูมีคู่มือการสอนที่ทำด้วยตนเองทำให้เกิดความสะดวกในการจัดการเรียน การสอน ทำให้
สอนได้ครบถ้วนตรงตามหลักสูตรและสอนได้ทันเวลาเป็นผลงานทางวิชาการที่สามารถ เผยแพร่เป็นตัวอย่างได้
ชว่ ยใหเ้ กดิ ความสะดวกสบายแกค่ รผู ูส้ อนแทนในกรณีทผ่ี ูส้ อนไมส่ ามารถเข้าสอนได้

41

ลกั ษณะของแผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ท่ดี ี
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2546 : 216) กล่าวถึงแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ดังต่อไปนี้
1. เป็นกจิ กรรมการเรยี นร้ทู ี่ใหผ้ ู้เรียนไดล้ งมือปฏิบัตใิ หม้ ากท่ีสุดโดยมีผูส้ อนเปน็ ผใู้ หค้ ำแนะนำสง่ เสรมิ หรือ
กระต้นุ ใหก้ จิ กรรมท่ผี เู้ รียนดำเนนิ การเป็นไปตามจุดประสงค์การเรยี นรทู้ ่กี ำหนดไว้
2. เป็นกจิ กรรมทเ่ี ปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนค้นพบคำตอบหรือทำสำเร็จด้วยตนเองโดยผูส้ อนตอ้ งลดบทบาท
จากผู้บอกคำตอบมาเป็นผคู้ อยกระตุ้นดว้ ยคำถามหรือปญั หาให้ผ้เู รยี นคิดแก้ไขหรอื หาแนวทางไปสูค่ วามสำเรจ็
ในการทำกิจกรรมด้วยตนเอง
3. เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียนรับรู้และเรยี นรู้อย่างเป็นกระบวนการและสามารถนำกระบวนการไปใช้ได้จริงใน
ชวี ิตประจำวนั
4. เป็นกิจกรรมที่ผู้สอนได้ใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้เหมาะสมกับ
สาระการเรยี นรู้และผู้เรยี น
5. เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวัสดุอุปกรณ์ แหล่งการเรียนรู้ในชุมชนและภูมิปัญญา
ทอ้ งถน่ิ
สุวทิ ย์ มลู คำ (2550 : 59) ได้สรปุ ลักษณะของแผนจัดการเรยี นรูท้ ีด่ ีไว้ ดงั น้ี
1. กำหนดจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ไวช้ ดั เจน
2. กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ชัดเจนและนำไปสู่ผลการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ได้จริงระบุบทบาทของ
ครผู สู้ อนและผเู้ รยี นไวอ้ ยา่ งชดั เจนว่าจะตอ้ งทาอย่างไรจึงจะบรรลจุ ุดประสงค์การเรยี นการสอน
3. กำหนดสื่อ อุปกรณ์ หรือแหล่งเรียนรู้ไว้ชัดเจนจะใช้สื่ออุปกรณ์หรือแหล่งเรียนรูอ้ ะไรช่วยและจะใช้
อยา่ งไร
4. กำหนดวธิ ีการวัดและประเมินผลไว้ชัดเจน
5. ยดื หยนุ่ และปรับเปล่ียนได้
6. มีความทันสมัยทันต่อเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ และสอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริงที่ผู้เรียน
ดำเนนิ อยู่
7. แปลความได้ตรงกัน แผนการจัดการเรียนรู้ที่เขียนขึ้นจะต้องสื่อความหมายได้ตรงกันเขียนให้อ่าน
เข้าใจง่าย กรณีมีการสอนแทนหรือเผยแพร่ ผู้นำไปใช้สามารถเข้าใจและใช้ได้ตรงตามจุดประสงค์ของผู้เขียน
แผนจัดการเรียนรู้
8. มีการบรู ณาการ แผนการจดั การเรียนรทู้ ดี่ ีจะสะทอ้ นใหเ้ ห็นบรู ณาการแบบองคร์ วมของเนื้อหาสาระ
ความรู้และวธิ กี ารจดั การเรยี นรเู้ ขา้ ดว้ ยกนั
9. มกี ารเชอ่ื มโยงความรูไ้ ปใช้อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นได้นำความรู้และประสบการณ์เดิมมา
เช่ือมโยงความรแู้ ละประสบการณใ์ หม่นำไปใช้ในการเรยี นและชวี ติ จริง
วมิ ลรัตน์ สนุ ทรโรจน์ (2554 : 363) ไดส้ รุปลกั ษณะของแผนจดั การเรียนรู้ท่ดี ีไวด้ ังน้ี

42

1. สอดคล้องกบั หลกั สูตรและแนวการจัดการเรียนรขู้ องกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ
2. นำไปใชไ้ ด้จริงและมปี ระสทิ ธิภาพ
3. เขยี นถกู ตอ้ งตามหลักวิชาเหมาะสมกับผู้เรยี นและเวลาที่กำหนด
4. มคี วามกระจ่างชัดเจนทาให้ผอู้ า่ นเขา้ ใจง่ายและเข้าใจไดต้ รงกนั
5. มรี ายละเอยี ดมากพอที่ทาให้ผู้อา่ นสามารถนำไปใช้จัดการเรยี นร้ไู ด้
สรุปได้ว่า แผนจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีเป็นที่ให้แนวทางการจัดการเรียนรู้แก่ผู้จัดการเรียนรู้
อย่างชัดเจน ทั้งด้านจุดประสงค์การจัดการเรียนรู้ เนื้อหาการจัดการเรียนรู้ การใช้สื่อและ การวัดและ
ประเมินผล โดยเฉพาะแนวทางการจัดกิจกรรมควรเป็นกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนได้คิดปฏิบัติ รู้จักการแก้ปัญหา
และได้เกิดทักษะกระบวนการสามารถนำไปใช้ในชีวิตได้ สามารถจัดหาได้ในท้องถิ่นหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุ
อปุ กรณ์สำเร็จราคาสูง

ประโยชน์ของแผนการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้
ณฐั วฒุ ิ กจิ รงุ่ เรือง (2545 : 53 - 54) ได้กลา่ วถึงประโยชนข์ องแผนการจดั การเรียนรู้ ดงั น้ี
1. เพือ่ ให้เห็นความตอ่ เนอ่ื งของการจดั การเรยี นรูต้ ามหลักสูตร
2. เพอ่ี ใหก้ ารจัดการเรียนรูไ้ ด้สอดคล้องกบั ความถนัด ความสนใจ และความตอ้ งการของผู้เรยี น
3. เพือ่ ให้สามารถเตรยี มวัสดุ อุปกรณ์ และแหลง่ เรียนรู้ ใหพ้ ร้อมก่อนทำการสอนจรงิ
4. เพือ่ ให้ผู้สอนมคี วามมน่ั ใจและเชื่อมน่ั ในการจดั การเรียนรู้
5. เพอ่ื ให้เกิดการปรบั ปรงุ วธิ กี ารจัดการเรียนรจู้ ากขอ้ จำกดั ทพี่ บ
6. เพอ่ื ใหผ้ ูอ้ น่ื สอนแทนไดใ้ นกรณีท่มี เี หตจุ ำเปน็
7. เพื่อเปน็ หลกั ฐานในการพจิ ารณาผลงานและคณุ ภาพในการปฏิบัติการสอน
8. เพื่อเปน็ เครอื่ งบง่ ชค้ี วามเปน็ วชิ าชพี ของครูผูส้ อน (แผนจดั การเรียนรเู้ ป็นลักษณะเฉพาะของวชิ าชีพ
ครู)
รุจิร์ ภู่สาระ (2545 : 159-161) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ว่าเป็นเคร่ืองมือสำคัญ
ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนตามที่กำหนดไว้ในสาระการเรียนรู้ของแต่ละกลุ่มแผนการจัดการ
เรียนรู้ทด่ี ีจะต้องตอบคำถามไดว้ า่ จะให้นกั เรียนมีคุณสมบตั ทิ ี่พงึ ประสงคอ์ ะไรบ้าง ตามผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวงั
สรุปได้ว่า ประโยชน์ของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ช่วยให้ผู้สอนสามารถดำเนินการในการ
เรียนการสอนได้ตรงตามหลักสูตร ดำเนินการสอนมีประสิทธิภาพสูงและผู้สอนเกิดความชำนาญในการสอนเหมาะสม
กับเวลาและผเู้ รยี นเป็นเครือ่ งบ่งชีค้ วามเป็นวชิ าชพี ของครูผสู้ อน

องคป์ ระกอบของแผนการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้
ณัฐวฒุ ิ กิจรุง่ เรือง (2545 : 54) ไดใ้ หอ้ งค์ประกอบสำคัญของแผนจัดการเรียนรู้ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. หวั เร่ือง (Heading)
2. สาระสำคญั (Concept)

43

3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ (Objective)
4. เนอื้ หาสาระ (Content)
5. กิจกรรมการเรียนรู้ (Activities)
6. ส่อื การเรยี นรู้ (Material & Media)
7. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (Assessment)
บูรชัย ศิรมิ หาสาคร (2545 : 5) ได้ให้องคป์ ระกอบของแผนการสอนดังนี้
1. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรทู้ ่ีต้องการใหเ้ กิดข้นึ กับผ้เู รยี น
2. การเรียนการสอนทีจ่ ะทาใหบ้ รรลุจดุ ประสงค์การเรียนรู้ที่ต้ังไว้
3. การวัดและประเมนิ ผลเพอื่ ตรวจสอบว่าผเู้ รียนบรรลจุ ดุ ประสงค์การเรยี นรู้ที่ต้งั ไว้หรอื ไม่
รุจิร์ ภู่สาระ (2545 : 161) จำแนกส่วนประกอบของแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ดังนี้
1. สาระสำคญั คือ ความคดิ รวบยอดหรือหลัก หรอื โครงสร้างของเน้อื หาทต่ี ้องการใหผ้ ้เู รยี นไดร้ ับ
หลงั จากเรยี นเร่ืองราวน้ันไปแล้ว ฉะนนั้ เนอ้ื หาสาระจะถกู ต้องครอบคลุมและชดั เจน
2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ เปน็ จดุ ประสงค์การเรียนร้ทู ีว่ เิ คราะห์จากหลักสตู รในคำอธบิ ายรายวชิ าเป็น
สง่ิ บอกใหท้ ราบว่าจะจัดการเรียนการสอนให้อยูใ่ นขั้นใดของทักษะ เช่น ขน้ั ความรู้ ขนั้ ความจำ ความเข้าใจ
นำไปใช้ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ ประเมินค่า และควรมจี ดุ ประสงค์ยอ่ ย เพือ่ นำไปสกู่ ารเรียนรู้ปลายทาง
3. เนือ้ หา คือ เนือ้ หาสาระท่ีผ้สู อนตอ้ งการใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรียนรู้
4. กิจกรรมการเรียนการสอน คือ การจัดสถานการณ์การเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดประสงค์
การเรยี นรู้ทกี่ ำหนดไว้ ท้งั นี้ต้องเน้นกระบวนการท่ีสง่ เสรมิ ให้นกั เรียนคิดเป็น ทำเป็นแก้ปญั หาเป็น ฝกึ ปฏบิ ัตทิ ั้ง
งานกลุ่มและงานรายบุคคล ฉะนั้นกิจกรรมจะต้องเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีความสนใจ ความเหมาะสม
และความคดิ ริเริ่มสรา้ งสรรค์
5. ส่ือการเรยี นการสอน คือ เครื่องมือ วสั ดุ อปุ กรณต์ า่ ง ๆ ทีใ่ ช้ประกอบการเรียนการสอน เพื่อให้การ
สอนบรรลุจุดประสงค์ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งข้ึนสื่อการเรียนการสอนจึงควรมีความน่าสนใจ ความประหยัดและ
ชว่ ยใหเ้ กิดการเรยี นร้ไู ดเ้ รว็ ข้นึ
6. การวัดและการประเมินผล คือ การประมาณค่าของสิ่งต่าง ๆ เพื่อบอกคุณภาพของสิ่งนั้นๆ เช่น
การประเมิน การเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นการบอกคุณภาพว่าผู้เรียนมีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้ใช้
ข้อมูลมากพอเพียงที่จะนำมาประกอบการวินิจฉัยได้ เป็นต้นว่า แบบสังเกต แบบทดสอบ แบบสัมภาษณ์ และ
อน่ื ๆ การวัดและประเมินผลที่ดคี วรจะมีความเท่ยี งตรง ความเช่ือถอื ไดแ้ ละความสามารถประยุกต์ได้
7. กิจกรรมเสนอแนะ คือ การจัดกิจกรรมที่สอดคลอ้ งกับการเรียนการสอนในแต่ละจุดประสงค์การเรยี นรู้เพอ่ื
เพิ่มพูนความรู้ให้แก่นักเรียน โดยการจัดในโอกาสต่าง ๆ นอกเวลาเรียนรวมทั้งการจัดกิจกรรมเพื่อซ่อมเสริม
และการจัดกิจกรรมเพ่ือใหผ้ ู้เรยี นเกิดความรักและเห็นคณุ คา่ ของวชิ าทเ่ี รยี น
อาภรณ์ ใจเทีย่ ง (2546 : 213 - 216) กลา่ วถงึ องค์ประกอบของแผนการจดั การเรยี นรู ดังนี้
1. สว่ นนำ ระบุรายวิชา/กลุม่ ชน้ั ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ หรอื ชอื่ แผนการจัดการเรียนร้จู ำนวนเวลาที่สอน

44

2. จุดประสงค์การเรียนรู้ (หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง) ระบุจุดประสงค์ให้ครบทั้ง 3 ด้าน คือ ด้าน
ความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ ม

3. สาระการเรียนรู้ ระบุเนื้อหาสาระหรือแนวคิดของเนื้อเรื่อง/สาระที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้เรียงตามลำดบั
เปน็ ข้อๆ

4. กระบวนการจดั การเรยี นรู้
4.1 ใช้กระบวนการเรยี นรทู้ ี่เนน้ ผ้เู รียนเปน็ ศูนยก์ ลาง
4.2 ใชน้ วัตกรรมการเรยี นรูต้ ่าง ๆ ทส่ี อดคลอ้ งกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้เหมาะสมกบั สาระ

การเรยี นรู้
4.3 มีลำดับขนั้ ตอนเปน็ ขั้นนำเขา้ ส่บู ทเรยี น ข้ันปฏบิ ัตกิ จิ กรรม และข้นั สรุปหลักการ

ความคิดรวบยอด
5. การวัดผล ประเมินผลการเรยี นรู้

5.1 ประเมนิ ความรู้
5.2 ประเมนิ ผลการปฏิบัติ
5.3 เครื่องมือในการประเมิน
6. แหลง่ การเรียนรู้
6.1 ระบุวัสดอุ ปุ กรณต์ ่าง ๆ ท่ีใชต้ ามลำดบั ของกจิ กรรม
6.2 ระบแุ หล่งการเรยี นรู้ สถานทต่ี า่ ง ๆ ที่ผเู้ รียนไปศกึ ษาเรียนรู้
6.3 ระบบุ คุ คล ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินหรอื ปราชญช์ าวบา้ นทเี่ ปน็ วทิ ยากร
7. บนั ทึกผลการจดั การเรยี นรู้
7.1 เขยี นแสดงผลการจดั การเรียนรู้
7.2 เขยี นปญั หาตา่ ง ๆ ทพี่ บจากการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
7.3 เขียนขอ้ เสนอแนะเพือ่ การปรับปรงุ แกไ้ ขในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้คร้ังตอ่ ไป
ถวัลย์ มาศจรสั (2550 : 9) ได้ใหอ้ งค์ประกอบของแผนการจัดการเรยี นรดู้ งั นี้
1. มาตรฐานการเรียนรู้
2. สาระสำคัญ
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
4. จุดประสงคป์ ลายทาง
5. จดุ ประสงค์นาทาง
6. เนื้อหาสาระ
7. สือ่ อุปกรณก์ ารเรียนการสอน
8. ลำดบั กจิ กรรมการเรียนการสอน
9. กิจกรรมการเรียนรู้


Click to View FlipBook Version