The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานผลการพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ N

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Teacher Aiew, 2022-07-04 16:59:31

รายงานผลการพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ N

รายงานผลการพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ N

45

10. การวัดและประเมินผล
11. กิจกรรมเสนอแนะ
12. บันทึกผลหลังการสอน

12.1 ผลการสอน
12.2 ปัญหาและอปุ สรรค
12.3 แนวทางแกไ้ ข
12.4 ข้อเสนอแนะ
วมิ ลรัตน์ สนุ ทรโรจน์ (2554 : 342) ไดก้ ำหนดองค์ประกอบของแผนการสอนมีดังนี้
1. กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ หน่วยที่สอนและสาระสำคญั (ความคิดรวบยอด) ของเร่อื ง
2. จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
3. สาระการเรยี นรู้
4. กิจกรรมการเรียนการสอน
5. ส่อื การเรียนการสอน
6. วดั ผลประเมินผล
สรุปได้ว่า องค์ประกอบของแผนจัดประสบการณ์การเรียนรู้จะต้องตอบคำถามของแผนจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ในแต่ละเนื้อหาวิชา ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้เป็นขั้นตอนชัดเจนรัดกุมมี
ประสิทธิภาพในการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้
รปู แบบของแผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้
แผนจดั การเรยี นรมู้ หี ลายรปู แบบข้นึ อย่กู ับดุลยพนิ จิ ของหนว่ ยงานตน้ สงั กดั สถานศึกษาหรือผสู้ อนท่ีจะ
เลอื กใชร้ ปู แบบท่คี ิดวา่ มีความเหมาะสมและสะดวกต่อการนำไปใช้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ
ณัฐวฒุ ิ กจิ รงุ่ เรือง (2545 : 54 - 58) ได้กำหนดรูปแบบของแผนจดั การเรียนรทู้ ่นี ยิ มใชโ้ ดยทัว่ ไป มี
ดังต่อไปน้ี
1. แผนจัดการเรียนรู้แบบบรรยายหรือแบบเรียงหัวข้อแผนจัดการเรียนรู้ชนิดนี้จะเป็นการเรียง
รายละเอียดขององค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบของแผนจัดการเรียนรู้ตามลำดับโดยใช้ความเรียงเป็นรูปแบบ
ที่ได้รับความนิยมแต่มีข้อจำกัดในกรณีที่รายละเอียดอยู่คนละหน้ากันเนื่องจากยากต่อการมองเห็น
ความสัมพันธแ์ ต่ละองค์ประกอบ
2. แผนจัดการเรียนรู้แบบตารางแผนจัดการเรียนรู้ชนิดนี้เป็นการนารายละเอียดของแต่ละ
องค์ประกอบของแผนจัดการเรียนรู้มาเขียนลงในตารางภายในหน้าเดียวกันเพื่อให้ง่ายต่อการมองเห็น
ความสัมพนั ธ์ของแตล่ ะองค์ประกอบ แต่มีขอ้ จำกดั ในด้านพ้ืนทใี่ นการเขยี นและภาระในการตตี าราง
ถวลั ย์ มาศจรสั (2550 : 10 - 13) ไดใ้ ห้รูปแบบของแผนจัดการเรียนรมู้ ี 4 แบบ
1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายเขียนโดยใช้หัวข้อเรื่องตามที่กำหนดมากำกับแต่การลำดับกิจกรรมการ
เรยี นการสอนจะเขยี นเป็นเรอื่ งเชิงบรรยายกจิ กรรมทคี่ รูจดั เตรยี มไว้โดยไมร่ ะบชุ ดั เจนวา่ นักเรยี นทำอะไร

46

2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบตารางเขียนโดยใช้หัวข้อเรื่องตามที่กำหนดมากำกับแต่บรรจุในตาราง
เกือบท้ังหมด

3. แผนการจัดการเรียนรู้แบบพิสดารเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีรายละเอียดมากขึ้นการลำดับ
กจิ กรรมการเรยี นการสอนแยกเปน็ กจิ กรรมทีค่ รปู ฏิบตั ิและสิง่ ที่นกั เรยี นปฏิบัติสอดคลอ้ งกัน

4. แผนการจดั การเรียนรู้แบบกระบวนการเป็นแผนการจดั การเรยี นรู้ทเ่ี นน้ ในเรือ่ งกระบวนการจดั การ
เรยี นรู้ กระบวนการวดั ผล ประเมนิ ผล

วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 343 - 348) ได้สรุปถึงรูปแบบของแผนการเรียนรู้ไว้ว่า รูปแบบของแผนการ
เรียนรู้ไม่มีรูปแบบตายตัวขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือสถานศึกษาแต่ละแห่งจะกำหนดอย่างไรก็ตามลักษณะส่วน
ใหญข่ องแผนจัดการเรียนรู้จะคลา้ ยคลงึ กันพอสรุปได้ 3 รูปแบบ ดงั น้ี

1. แบบเรยี งหวั ขอ้ รูปแบบนี้จะเรียงตามลำดับกอ่ นหลังโดยไมต่ ้องตตี ารางรปู แบบน้ใี ห้ความสะดวกใน
การเขยี นเพราะไมต่ ้องตีตารางแตม่ สี ่วนเสียคอื ยากต่อการดูใหส้ ัมพันธ์กนั ในแต่ละหัวขอ้

2. แผนจดั การเรียนรูแ้ บบบรรยายหรอื เรียงหัวขอ้ เป็นรูปแบบทเี่ ขียนลำดับกจิ กรรมการเรียนการสอน
เปน็ เชงิ บรรยายกิจกรรมทค่ี รจู ดั เตรียมไว้โดยไมร่ ะบุชดั เจนว่านักเรยี นทำอะไร

3. แบบกึ่งตาราง รปู แบบนีจ้ ะเขียนเปน็ ช่อง ๆ ตามหวั ขอ้ ทีก่ ำหนด แม้ว่าจะตอ้ งใช้เวลาในการตีตารางแตก่ ็
สะดวกตอ่ การอา่ นทำให้เหน็ ความสมั พนั ธข์ องแตล่ ะหวั ข้ออย่างชดั เจน

สรุปไดว้ า่ รูปแบบของแผนจดั การเรียนรู้มีหลายรปู แบบ เช่น แบบตาราง แบบบรรยายแบบกงึ่ ตาราง
ขน้ึ อยกู่ บั ดุลยพนิ จิ ของสถานศกึ ษาหรือครผู สู้ อนเลือกตามความเหมาะสมและสะดวกต่อการนำไปใช้

แนวคิดเกีย่ วกบั การหาประสทิ ธิภาพและการหาค่าดชั นปี ระสทิ ธิผลของนวตั กรรมทางการศึกษา
ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ (2537 : 136) กล่าวว่า การหาประสิทธภิ าพของแผนการจดั ประสบการณ์

การเรียนรู้ หมายถึง การนำเอาแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ เพื่อนาเอาข้อมูลมา
ปรับปรุงแล้วนาไปสอนจริงๆ อย่างน้อยเป็นเวลา 1 ปีการศึกษา ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้จะ
กำหนดเป็นเกณฑ์ที่ผู้สอนคาดหมายว่าผู้เรียนจะเปลี่ยนเป็นพฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจ โดยกำหนดเป็น
เปอร์เซ็นต์ ผลเฉลี่ยของคะแนนการทำงานและประกอบกิจกรรมทั้งหมดของผู้เรียน ต่อเปอร์เซ็นต์ของผลการ
สอนหลงั เรยี นของผเู้ รยี นทัง้ หมดนัน้ คือ E1/E2 หรือประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์

เกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดเรียนรู้เป็นระดับที่จะพึงพอใจ
หากมีประสิทธิภาพถึงระดับนั้นแล้ว การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ กระทำได้โดยการประเมินพฤติกรรมของ
ผู้เรียน 2 ประเภท คือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ)และพฤติกรรม ขั้นสุดท้าย (ผลลัพธ์) โดยกำหนดค่า
ประสิทธิภาพ เป็น E1 (ประสิทธิภาพของกระบวนการ) E2 (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์) ที่ได้จากการประเมิน
พฤติกรรมต่อเนื่อง(Transitional Behavior) คือประเมินพฤติกรรมย่อยหลายๆ พฤติกรรม เรียกว่า
กระบวนการ(Progress) ของผู้เรยี นทส่ี ังเกตจาก การประกอบกิจกรรมกลุม่ และรายงานของนกั เรียนรายบคุ คล
ได้แก่ งานที่มอบหมายและกิจกรรมอื่นใดที่ผู้สอนกำหนดไว้ การประเมินพฤติกรรมขั้นสุดท้าย คือ การประเมิน
ผลลัพธ์ (Product) ของผู้เรียนโดยพิจารณาจากการสอบหลังเรียนและการสอบไล่การที่จะกำหนดเกณฑ์ E1/E2

47

ให้มีค่าเท่าใดนั้นให้ผู้สอนเป็นผู้พิจารณาตามความพอใจโดยปกติเนื้อหาที่เป็นความรู้ความจำมักจะให้ตั้งไว้
80/80, 85/85 หรือ 90/90 ส่วนเนื้อหาที่เป็นทักษะหรือเจตนศึกษาอาจตั้งไวต่ำกว่านี้ เช่น ในระบบการสอน
ของไทยในปจั จุบันไดก้ ำหนดเกณฑ์ โดยไม่ตั้งใจไว้ 0/50 นัน้ คอื กระบวนการมีค่า 0 เพราะครูไมม่ เี กณฑ์เวลาให้งานหรือ
แบบฝกึ หดั แก่นักเรียนส่วนคะแนนผ่านคอื 50% ผลจึงปรากฏวา่ คะแนนนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 โดยเฉลี่ยแต่ละ
ปีเพียง 51 % ท่าน้นั

วิธคี ำนวณหาประสทิ ธิภาพของหรือแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1. โดยใชส้ ตู ร กระทำไดโ้ ดยใชส้ ตู รตอ่ ไปนี้

x

สตู รท่ี 1 E1 = N 100 หรอื X  100
เมอ่ื E1 A n

แทน ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ

 X แทน คะแนนรวมของใบกจิ กรรม, การสงั เกตพฤตกิ รรมการเรียน,
แบบทดสอบย่อย
A แทน คะแนนรวมของใบกิจกรรม, การสังเกตพฤตกิ รรมการเรยี น,
n แทน แบบทดสอบย่อยทุกช้นิ รวมกนั
จำนวนผเู้ รียน

B

สูตรท่ี 2 E2 = N 100 หรอื F  100
เม่อื E2 B B

แทน ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์

F แทน คะแนนรวมของคะแนนสอบหลังเรยี น
B แทน คะแนนเตม็ ของการสอบหลังเรียน

N แทน จำนวนผเู้ รียน

การคำนวณหาประสิทธภิ าพ โดยใชส้ ตู รดังกล่าวข้างต้น กม็ กั มกี ารนำคะแนนแบบฝกึ หัดหรือผลงาน
ในขณะประกอบกจิ กรรมกลมุ่ / เด่ยี ว และคะแนนสอบหลงั เรยี นมาเขา้ ตารางแล้วจึงคำนวณหาคา่ E1/E2

วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2545 : 42–46)ได้กล่าวว่า การหาประสิทธิภาพและการกำหนดเกณฑ์การหา
ประสทิ ธภิ าพของนวตั กรรม ซึ่งมีความหมายรวมถึงนวัตกรรมด้วยมีรายละเอยี ด ดังน้ี

1. เกณฑ์การหาประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของนวัตกรรมที่จะช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้เป็นระดับที่ผู้ผลิตนวัตกรรมพึงพอใจว่าถ้าหากนวัตกรรมมีประสิทธิภาพถึงระดับที่กำหนดแล้วก็มีคุณค่า

48

พอที่จะนำไปใช้ได้และคุ้มค่าแก่การลงทุนผลิตออกมาการกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพกระทำได้ โดยการประเมินผล
พฤตกิ รรมผู้เรยี น 2 ประเภท คอื พฤติกรรมต่อเน่ือง (กระบวนการ) และพฤตกรรมขัน้ สุดทา้ ย (ผลลัพธ)์

1.1 พฤติกรรมต่อเนื่อง (Transitional Behavior หรือ E1) คือ ประเมินผลต่อเนื่อง ประกอบด้วย
พฤติกรรมย่อยหลายๆ พฤติกรรม เรียกว่า “ กระบวนการ ” (Process) ของผู้เรียนที่สังเกตจากการประกอบ
กจิ กรรมกลมุ่ และรายบคุ คล ซ่ึงได้แก่ งานทม่ี อบหมายและกิจกรรมอ่ืนใดทีผ่ ู้สอนกำหนดไว้

1.2 ประเมินพฤติกรรมขนั้ สุดท้าย (Terminal Behavior หรอื E2) คือ ประเมนิ ผลลัพธ์
(Product) ของผู้เรยี นโดยพจิ ารณาจากการสอบหลงั เรยี น
การกำหนดประสิทธิภาพเป็น E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการและ E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ซึ่ง
การที่จะกำหนดเกณฑ์ E1/ E2 มีค่าเท่าใดนั้น ผู้สอนจะเป็นผู้พิจารณาโดยปกติเนื้อหาที่เป็นความรู้ความจำมักจะตั้งค่าไว้
80 / 80 , 85 / 85 และ 90 /90 ส่วนเน้อื หาที่เปน็ ทักษะอาจตง้ั ไวต้ ่ำกวา่ น้ี เชน่ 75 /75 เปน็ ตน้
เกณฑป์ ระสิทธภิ าพ E1/ E2 เช่น 90 / 90 มีความหมาย ดังน้ี
90 ตัวแรก หมายความว่า เมื่อเรียนจากนวัตกรรมแล้วผู้เรียนจะสามารถทำแบบฝึกหัดหรืองานได้ผล
เฉลยี่ 90 % หรอื ร้อยละ 90
90 ตัวหลัง หมายความวา่ ผู้เรยี นทำการสอบหลังใชน้ วัตกรรมไดผ้ ลเฉล่ีย 90% หรือ รอ้ ยละ 90
2. ขั้นตอนการหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม คือ เมื่อผลิตนวัตกรรมเสร็จเรียบร้อยแล้วจะต้องนำไป
หาประสิทธภิ าพตามขน้ั ตอนดังนี้
2.1 แบบ 1 : 1 (หรือแบบเดียว) คือ ทดลองกับผู้เรียน 1 คน โดยใช้เด็กอ่อน ปานกลาง และเก่ง โดย
ทดลองกับเด็กอ่อนก่อน ทำการปรับปรุงแล้วทดลองกับเด็กปานกลางแล้วจึงนำไปทดลองกับเด็กเก่ง ในกรณี
สถานการณ์ไม่อำนวยก็ให้ทดลองกับเด็กอ่อนหรือปานกลาง คำนวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยปกติ
คะแนนทไ่ี ด้จะต่ำกว่าเกณฑ์มากวา่ โดยท่ไี ด้คา่ E1 / E2 ประมาณ 60 /60
2.2 แบบ 1 : 10 (หรือแบบกลุ่มกลาง) คือ ทดลองกับผู้เรียน 6 – 10 คน คละผู้เรียนทั้งเก่งและอ่อน
คำนวณหาประสทิ ธิภาพแลว้ ปรับปรุงให้ดขี ้นึ คะแนนจะเพิม่ ข้ึนเกือบเทา่ เกณฑ์
2.3 แบบ 1 : 100 (หรือภาคสนาม) คือ การทดลองกับผู้เรียน 40 -100 คน คละผู้เรียนทั้งเก่ง และอ่อน
คำนวณหาประสิทธภิ าพแล้วทำการปรับปรงุ ซง่ึ ในครั้งน้ี ผลท่ไี ดค้ วรใกล้เคียงกบั เกณฑท์ ี่ต้งั ไว้
3. การยอมรับหรือไม่ยอมรับประสิทธิภาพของนวัตกรรม เมื่อทดลองใช้นวัตกรรมภาคสนามแล้วให้
เทียบค่า E1 / E2 ที่หาได้จากนวัตกรรมกับค่า E1 / E2 ของเกณฑ์ เพื่อดูว่าจะยอมรับประสิทธิภาพหรือไม่การ
ยอมรบั ประสทิ ธภิ าพของนวัตกรรมน้ันมี 3 ระดับ คือ

3.1 สงู กวา่ เกณฑ์เม่อื ประสิทธิภาพของนวัตกรรมเกณฑ์ที่ตงั้ ใจมคี า่ เกิน 2.5 %
3.2 เทา่ เกณฑเ์ มื่อประสิทธิภาพของนวตั กรรมเท่ากับหรือสงู กว่าเกณฑ์ท่ีต้งั ไวไ้ ม่เกนิ 2.5 %
3.3 ต่ำกว่าเกณฑ์แต่ยอมรับว่ามีประสิทธิภาพเมื่อประสิทธิภาพของนวัตกรรมต่ำกว่าเกณฑ์
แตต่ ำ่ ไม่เกิน 2.5 %

49

เผชิญ กิจระการ (2546 : 49 – 51) ได้ยกตัวอย่างการหาประสิทธิภาพสื่อ เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์

ชว่ ยสอน (CAL) บทเรยี นหรอื แบบทดสอบย่อย โดยแสดงค่าตวั อยา่ ง*** = 80/80 ดังนี้

1. เกณฑ์ 80/80 ในความหมาย 1 ตัวแรก 80 ตัวแรก (E ) คือ นักเรียนทั้งหมดทำแบบฝึกหัดหรือ

แบบทดสอบย่อยได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ถือเป็นประสิทธิภาพของกระบวนการ ส่วนตัวเลข 80 ตัวหลัง

(E2) คือนักเรียนทั้งหมดที่ทำแบบทดสอบหลังเรียน (Posttest) ได้คะแนน เฉลี่ยร้อยละ 80 ถือเป็น

ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์ สว่ นมากหาคา่ E1 และ E 2 ใช้สตู ร ดงั น้ี

  X 
 N 
E1 =
100
A

เมอื่ E1 แทน ประสิทธภิ าพของกระบวนการ

 X แทน คะแนนรวมของนกั เรียนที่ไดจ้ ากการทำแบบทดสอบย่อย
A แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบย่อย

N แทน จำนวนนักเรียนทงั้ หมด

E2 =  Y  100

N

B

E 2 แทน ประสทิ ธิภาพของผลลัพธ์

Y แทน คะแนนรวมของนกั เรยี นท่ีได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน

B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลงั เรียน

N แทน จำนวนนกั เรยี นทั้งหมด

2. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 2 ตัวเลข 80 ตัวแรก (E1) คือ จำนวนนักเรียนร้อยละ 80 ทำ
แบบทดสอบหลังเรียน (Posttest) ได้คะแนนร้อยละ 80 ทุกคน ส่วนตัวเลข 80 ตัวหลัง (E 2 ) คือนักเรียน
ทั้งหมดที่ทำแบบทดสอบหลังเรียนครั้งนั้นได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 เช่น มีนักเรียน 40 คน ร้อยละ 80 ของ

นักเรียนทั้งหมดคือ 32 คนแต่ละคนได้คะแนนจากการทดสอบหลังเรียนถึงร้อยละ 80 (E 2 ) ส่วน 80 ตัวแรก
(E1) คอื ผลการทดสอบหลังเรยี นของนักเรยี นทั้งหมด (40) คน ได้คะแนนเฉลีย่ ร้อยละ 80

3. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 3 ตัวเลข 80 ตัวแรก (E1 ) คือ จำนวนนักเรียนทั้งหมด ทำ
แบบทดสอบหลังเรียน (Posttest) ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ส่วนตัวเลข 80 ตัวหลัง (E 2 ) คะแนนเฉลี่ยร้อย
ละ 80 ท่ีนกั เรยี นทำเพม่ิ ข้ึนจากแบบทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) โดยเทียบกับคะแนนทท่ี ำไดก้ อ่ นเรียน (Pre-

test)

เฉพาะตวั เลข 80 ตวั หลัง (E 2 ) สมมตุ นิ กั เรยี นทัง้ หมดทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน(Pre-test) ได้คะแนน
เฉล่ยี ร้อยละ 10 แสดงวา่ แตกตา่ งจากคะแนนเต็ม (ร้อยละ 100) เทา่ กบั 90 ถา้ นกั เรียนทง้ั หมดทำแบบทดสอบ

50

หลังเรียน (Post-test) ได้คะแนนเฉล่ียรอ้ ยละ 85 แสดงว่า ความแตกต่างของการสอบ 2 ครั้งนี้ (ก่อนเรยี นกบั หลังเรยี น)
เท่ากับ 85 - 10 = 75 ดงั น้ัน ค่าของ (E 2 ) = (75/90) ×100=88.30% ถือวา่ สูงกวา่ เกณฑท์ ี่กำหนดไว้ (E 2 =80)

4. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายท่ี 4 ตัวเลข 80 ตัวแรก (E1 ) คือ นักเรียนทั้งหมดทำแบบทดสอบหลังเรียน
(Post-test) ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ส่วนตัวเลข 80 ตัวหลัง (E 2 ) หมายถึง นักเรียนทั้งหมดทำแบบทดสอบหลัง
เรียน (Post-test) แต่ละข้อถูกเป็นจำนวนร้อยละ 80 (ถ้านักเรียนทำข้อสอบข้อใดถูก มีจำนวนไม่ถึงร้อยละ 80
แสดงว่า สอ่ื ไม่มปี ระสิทธิภาพและชีใ้ หเ้ ห็นวา่ จุดประสงค์ทีต่ รงกบั ข้อนนั้ มคี วามบกพรอ่ ง)

สรุปได้ว่า ประสิทธิภาพนวัตกรรม หมายถึง ความสามารถของนวัตกรรมในการสร้างผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียน
ให้ผูเ้ รียนเกิดการเรยี นตามจุดประสงคถ์ ึงระดบั เกณฑท์ ่ตี ัง้ ไว้ในการกำหนดเกณฑ์ประสิทธภิ าพของนวตั กรรมนั้น
สำหรับวิชาที่ค่อนข้างยากก็อาจตั้งเกณฑ์ไว้ 70/70 หรือ 75/75 สำหรับวิชาที่มีเนื้อหาง่ายก็อาจตั้งเกณฑ์ไว้
80/80 หรือ 90/90 เป็นต้น ประสิทธิภาพที่วัดออกมาจะพิจารณาจากเปอร์เซ็นต์ทำแบบฝึกหัดหรือ
กระบวนการปฏิสัมพันธ์กับเปอร์เซ็นต์การทำแบบทดสอบเมื่อจบบทเรียน แสดงเป็นตัวเลข 2 ตัว เช่น 80/80,
85/85, 90/90 โดยตัวแรก คือ เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ทำแบบทดสอบถูกต้อง โดยถือเป็นประสิทธิภาพของ
กระบวนการและตัวเลข ตัวหลัง คือ เปอร์เซ็นต์ของผู้ทำแบบทดสอบถูกต้องโดยถือเป็นประสิทธิภาพของ
ผลลพั ธ์

การหาคา่ ดัชนปี ระสทิ ธผิ ล (Effectiveness Index : E.I.) ของนวตั กรรมทางการศกึ ษา
การหาค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) มีสูตร ดังน้ี 1 (เผชิญ กิจระการ. 2546 : 48 ; อ้างอิงมาจาก
Goodman Fletcher and Schneider. 1980 : 30 – 34)

ดชั นปี ระสิทธิผล = ผลรวมคะแนนทดสอบหลงั เรยี น - ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน
(คะแนนเต็ม X จำนวนนกั เรียน) – ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียน

การหาค่าดัชนีประสิทธผิ ล (E.I.) เปน็ การพจิ ารณาพฒั นาการในลักษณะทวี่ ่าเพิ่มขน้ึ เทา่ ไรไมไ่ ด้ทดสอบ
ว่าเพิ่มข้นึ อยา่ งเชอื่ ถือไดห้ รือไม่ มีขอ้ สังเกตบางประการเกี่ยวกบั ค่าดชั นีประสทิ ธผิ ลดังนี้

1. ค่าดัชนีประสิทธิผล เป็นเรื่องของอัตราส่วนของผลต่างจะมีค่าสูงสุดเป็น 1.00 ส่วนค่าต่ำสุดไม่สามารถ
กำหนดได้เพราะมีค่าต่ำกว่า -1.00 ก็ได้ และถ้าค่าเป็นค่าลบแสดงว่าคะแนนผลสอบก่อนเรียนมากกว่าหลัง
เรียน ซง่ึ มีความหมายวา่ ระบบการเรยี นการสอนหรือสอ่ื ที่ใชไ้ ม่มีคุณภาพ

1.1 ถ้าผลสอบก่อนเรยี นของนกั เรยี นทุกคนได้คะแนนรวมเท่าไรก็ได้ (ยกเว้นไดค้ ะแนนเตม็ ทกุ
คน) ค่าของ E.I. จะเปน็ 1

1.2 ถา้ ผลสอบกอ่ นเรยี นมากกว่าหลงั เรียนค่า E.I. จะเปน็ ลบซง่ึ ตำ่ กว่า -1.00 ก็ได้
3 การแปลความหมายของค่า E.I. ไม่น่าจะแปลความหมายเฉพาะค่าที่คำนวณได้ว่านักเรียน
มีพัฒนาการข้ึนเท่าไร หรือคิดเป็นร้อยละเท่าไร แต่ควรจะดูข้อมูลเดิมประกอบด้วยว่าหลังเรียน
นักเรียนมีคะแนนเพิ่มขึ้นเท่าไรในบางครั้งคะแนนหลังสอนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นเพราะว่ากลุ่มนั้นมี
ความรู้เดิมในเรื่องนั้นมากอยู่แล้วซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหาย สรุปว่าค่า E.I. ที่เกิดขึ้นแต่ละกลุ่มไม่สามารถ

51

เปรียบเทียบกันได้ เพราะไม่ได้เริ่มจากฐานของความรู้ที่เท่ากัน ค่า E.I. ของแต่ละกลุ่มก็อธิบายพัฒนาการ
เฉพาะกลมุ่ เทา่ นั้น
2. การแปลผล ถ้า E.I. ใต้ตารางในบทที่ 4 (ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล) ของวทิ ยานพิ นธ์ (Thesis) หรือ การ
ค้นคว้าอิสระ (Independent Study) มักจะใช้ข้อความไม่เหมาะสม ทำให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายของ E.I. ผิดจาก
ความเป็นจริง เช่น E.I. มีค่าเท่ากบั 0.6240 ก็มักจะกล่าวว่า (คะแนนเต็ม X จำนวนนักเรียน) – ผลรวมคะแนน
ทดสอบก่อนเรียน “ ค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6240 ซึ่งแสดงว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.40 ”
ซึ่งในความเป็นจริงค่า E.I. เท่ากับ 0.6240 เพราะคิดเทียบจากค่า E.I. สูงสุดเป็น 1.00 ดังนั้นถ้าคิดเทียบเป็น
ร้อยละก็คือคิดเทียบจากค่าสูงสุดเป็น 100 E.I. จะมีค่า 62.40 จึงควรใช้ข้อความว่า “ค่าดัชนีประสิทธิผล
เท่ากับ 0.6240 แสดงว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น 0.6240 หรือคิดเป็นร้อยละ62.40” (ไม่ใช่แสดงว่านักเรียนมี
ความรูเ้ พิ่มข้นึ รอ้ ยละ 62.40)
3. ถ้าค่าของ E1/E2 ของแผนการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และเมื่อหา E.I. ด้วย พบว่า มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นถึง
ระดับหนึ่งที่ผู้วิจัยพอใจ หากคำนวณค่าความคงทนด้วยโดยใช้สูตร t–test (Dependent Sample) ดังกล่าวมาแล้วใน
สูตรที่ 1 กไ็ มไ่ ด้แปลว่าจะไม่มีนัยสำคัญ
สรุปได้ว่า ถ้าหลังเรียนนักเรียนได้คะแนนเต็มทุกคน ค่า E.I. จะเป็น 1.00 เสมอไม่ว่าผลการสอบก่อนเรียนจะได้
เท่าไรก็ตาม (ยกเว้นได้คะแนนเต็มทุกคน) หรอื กล่าวได้วา่ ผเู้ รียนมคี วามกา้ วหนา้ ในเรื่องท่ีเรยี น คิดเป็นร้อยละ 100
หรือบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนตามที่ต้องการ ลักษณะที่พบในงานวิจัยของนิสิตบ่อยๆ คือแผนการเรียนหรือสื่อมีค่า
E1/ E 2 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ค่า E.I. ก็สูง แต่ผลการทดสอบความคงทนมีนัยสำคัญทางสถิติปญั หานี้น่าจะมา
จากนักเรียนไม่ได้ตั้งใจหรือเบื่อหน่ายในการทำข้อสอบอย่างจริงจัง แม้ว่าผู้วิจัยจะมีความรู้สึกว่าสื่อหรือ
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยใช้จะมีคณุ ภาพทำให้นักเรียนเกดิ ความเข้าใจเนื้อหาสาระท่ีเรยี นมากมีความพึงพอใจ
ต่อบทเรียนมากเท่าไรกต็ าม
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index)หรือ E.I.สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีและ
นวตั กรรมทางการศึกษาไดท้ ุกประเภท และทกุ รูปแบบอย่างกว้างขวาง นอกจากจะช้ใี ห้เห็นความก้าวหน้าในการเรียนรู้ใน
เนื้อหาเรื่องนั้นในกลุ่มนักเรียนแล้ว ยังสามารถให้ผู้สอนดัดแปลงใช้แสดงความก้าวหน้าในการเรียนรู้เป็น
รายบุคคลได้อีกด้วย

งานวจิ ัยท่เี กีย่ วข้อง
งานวจิ ยั ในประเทศ
ทิพวรรณ สุวรรณมาโจ (2555 : 82) ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่อง การพัฒนาความพร้อมทางคณิตศาสตร์สำหรับ

นักเรยี นชน้ั อนุบาลปที ่ี 1 โดยประยกุ ตแ์ นวการสอนแบบไฮสโคป ผลการศึกษาค้นควา้ พบว่า
1. แผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาความพร้อมทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 1

โดยประยกุ ตแ์ นวการสอนแบบไฮ/สโคป มปี ระสทิ ธภิ าพเท่ากบั 82.95/81.50

52

2. ดัชนีประสิทธิผลการจัดประสบการณ์ของแผนการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาความพร้อมทางคณิตศาสตร์
สำหรบั นักเรยี นชน้ั อนุบาลปีท่ี 1 โดยประยกุ ต์แนวการสอนแบบไฮ/สโคป มคี า่ เทา่ กับ 0.6021

3. ผลการพัฒนาความพรอ้ มทางคณิตศาสตร์ สำหรับนกั เรยี นชัน้ อนบุ าลปที ี่1 โดยประยุกตแ์ นวการสอน
แบบไฮ/สโคป เด็กสามารถเรียนรู้และเข้าใจทักษะทางคณิตศาสตร์มีกระบวนการคิด การใช้เหตุผล การแก้ปัญหาและ
สร้างเสริมประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็กได้เป็นอย่างดีจากการได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมที่มีแบบแผน
ซ่งึ เด็กสามารถนำไปใช้ในชวี ติ ประจำวันได้

โสภา แสนลือชา (2556 : 91–96) ไดศ้ กึ ษาความสามารถทางภาษาความสามารถทางคณิตศาสตร์ และความฉลาด
ทางอารมณ์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่างการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานและการจัด
ประสบการณ์การเรียนรูต้ ามแนวคดิ ไฮสโคป ผลการวจิ ัยพบว่า

1. ประสิทธิภาพของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานและแผนการ จัด
ประสบการณ์การเรยี นรู้ตามแนวคิดไฮสโคปมีคา่ เท่ากบั 82.84/81.36 และ 82.08/80.10 ตามลำดับ

2. ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานและแผนการจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปมีค่าเท่ากบั 0.5319 และ 0.5228 แสดงวา่ นักเรยี นมีความกา้ วหน้าในการเรียน
คดิ เปน็ ร้อยละ 53.19 และ 53.07 ตามลำดับ

3. นักเรียนขั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานและการจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปมีความสามารถทางภาษาความสามารถทางคณิตศาสตร์และความฉลาดทาง
อารมณ์ไม่แตกต่างกัน

มยุรา เพียรยิ่ง (2556 : 88–92) ได้ศึกษาความสามารถทางคณิตศาสตร์และความสามารถทาง
วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนบุ าลปที ่ี 2 ระหว่างการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐานกับ
การจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ผลการวิจยั พบว่า

1. แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐานและแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตาม
แนวคิดไฮสโคป ชน้ั อนบุ าลปที ่ี 2 มีคา่ ประสิทธภิ าพ เท่ากับ 88.64/86.00 และ 87.04/85.07

2. ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐานและแผนการจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.7569 และ 0.7255 แสดงว่า นักเรียนมี
ความก้าวหนา้ ทางการเรยี น คดิ เปน็ รอ้ ยละ 75.99 และ 72.55 ตามลำดับ

3. นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐาน และ
แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปมีความสามารถทางคณิตศาสตร์และความสามารถทาง
วทิ ยาศาสตร์หลังเรียนไม่แตกตา่ งกัน

สกุ ญั ญา ธีระปรชี า (2556 : 92) ไดว้ จิ ยั เรือ่ ง การเปรยี บเทียบการจัดประสบการณ์ของเด็กปฐมวัยระหว่างแบบ
เล่นปนเรียนและแบบไฮสโคป ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ของเด็กปฐมวัยระหว่าง
แบบเล่นปนเรียนมีพัฒนาการเรียนรู้ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา
หลังเรียนสูงกวา่ การจดั ประสบการณข์ องเด็กปฐมวัยแบบไฮสโคปอย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .05

53

ชณิกานต์ ใจดี (2557 : 82) ได้วิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการคิด
แก้ปัญหาของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่างการจัดประสบการณ์บูรณาการตามแนวคิดไฮสโคปและโครงการ
บา้ นนกั วิทยาศาสตร์นอ้ ย สรปุ ผลการวจิ ัยได้ดังน้ี

1. นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดประสบการณ์ระว่างการบูรณาการตามแนวคิดไฮสโคปและ
โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยมีความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยรวมและแยกราย
ด้านสูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์โดยแต่ละด้านแต่ละปัญหามีความสัมพันธ์ต่อความคิดสร้างสรรค์และ
ความสามารถในการคดิ แกป้ ญั หา

2. นักเรียนที่ได้รับการจัดประสบการณ์บูรณาการตามแนวคิดไฮสโคปมีความคิดสร้างสรรค์
สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดประสบการณ์โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่
ระดับ .05

3. นักเรียนที่ได้รับการจัดประสบการณ์บูรณาการตามแนวคิดไฮสโคปมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาสูง
กว่านักเรียนที่ได้รับการจัดประสบการณ์โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถติ ทิ ีร่ ะดบั .05

4. นกั เรยี นมคี วามพงึ พอใจชอบทกุ กจิ กรรมทกุ แผนการจดั ประสบการณอ์ ยใู่ นระดบั มาก
จุฬาลักษณ์ คำมูล (2559 : 97) ได้วิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถทางภาษา ความสามารถทาง
คณิตศาสตร์และความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่างการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้
สมองเปน็ ฐานและการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคป ผลการวจิ ยั พบว่า
1. แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้โดยใช้สมองเป็นฐานและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิด
ไฮสโคป ช้นั อนุบาลปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.46/79.53 และ 85.57/77.09 ตามลำดบั ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
75/75
2. ดัชนีประสิทธิผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานและการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ตาม
แนวคิดไฮสโคป ชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.3700 และ 0.4015 แสดงว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนคิดเป็น
ร้อยละเท่ากับ 37.00 และ 40.15 ตามลำดับ
3. นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานมีความสามารถทาง
คณิตศาสตร์สูงกว่ากลุ่มที่จัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ขณะที่นักเรียน
ทั้งสองกลมุ่ มีความสามารถทางภาษาไมแ่ ตกต่างกนั
4. นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานและการจัด
ประสบการณก์ ารเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปมีแนวโน้มของคะแนนความฉลาดทางอารมณ์ในแต่ละระยะท้งั สาม
ระยะเพ่ิมขึน้ ตามลำดบั
ธราธิคุณ ระหา (2559 : 73) ได้วิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบความพร้อมทางคณิตศาสตร์และความฉลาด
ทางอารมณ์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่างการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิด สมองเป็นฐานกับ
การจดั ประสบการณ์การเรียนรตู้ ามแนวคิดไฮสโคป ผลการวจิ ัย พบวา่

54

1. แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐานและแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตาม
แนวคิดไฮสโคป ช้ันอนุบาลปที ่ี 2 มีประสิทธภิ าพเทา่ กบั 90.10/86.00 และ90.66/82.66 ตามลำดบั

2. ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐานและแผนการจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.6718 และ 0.6133 แสดงว่านักเรียนมี
ความก้าวหนา้ ทางการเรียนคิดเปน็ รอ้ ยละ 67.18 และ 61.33 ตามลำดับ

3. นักเรียนชัน้ อนบุ าลปที ่ี 2 กล่มุ ทไ่ี ดร้ ับการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐานและการจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปมีความพร้อมทางคณิตศาสตร์และความฉลาดทางอารมณ์หลังเรียนไม่
แตกตา่ งกัน

กรรณิการณ์ สุริยะมาตร ระหา (2560 : 93) ได้วิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมเสรีตามแนวคิดไฮสโค
ปในการพัฒนาพฤตกิ รรมทางสงั คมของเดก็ ปฐมวยั ผลการวิจยั พบว่า

1.เด็กปฐมวัยหลังจัดกิจกรรมกิจกรรมเสรีตามแนวคิดไฮสโคปนักเรียนมีระดับพฤติกรรมทางสังคม โดยรวมอยู่
ในะดับมาก ( x̅ = 2.31) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้านโดยเรียงจากค่าเฉลี่ยจากมากไปหา
นอ้ ย คือ พฤติกรรมการร่วมมอื ( x̅ = 2.90) และพฤติกรรมการชว่ ยเหลอื ( x̅ = 2.33)

2.ค่าดัชนีประสิทธิผลของจัดกิจกรรมเสรีตามแนวคิดไฮสโคปในการพัฒนาพฤติกรรมทางสังคมของ
เด็กปฐมวัย มีค่าเท่ากับ 0.7730 แสดงว่า การจัดกิจกรรมกิจกรรมเสรีตามแนวคิดไฮสโคปนักเรียนมีระดับ
พฤติกรรมทางสังคมมคี วามก้าวหน้าทางการเรยี นรู้คดิ เปน็ รอ้ ยละ 77.30

งานวิจยั ตา่ งประเทศ
เจนเซ่น (Jensen. 2015 : 4458-A) ได้ศึกษาการสร้างเครื่องมือเพื่อพัฒนาการของเด็กก่อนเรียนวัย
จุดมุ่งหมายของการศึกษา พัฒนาและประเมินผลเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรของ กรมวิชาการ (ECCBI) โดยการ
ประเมินตามสภาพจริงด้านพฒั นาการทางรา่ งกายได้แก่ ความสมั พนั ธ์ ระหว่างกลา้ มเนื้อตา่ ง ๆ กับประสาทตา
และพัฒนาการพฤติกรรมทางสังคมโดยการจัดประสบการณ์ตามแนวคิด High-scope เปรียบเทียบกับเกณฑ์
มาตรฐานของกรมวิชาการพบวา่ ผลการประเมนิ พัฒนาการดา้ นร่างกายและพฒั นาการพฤตกิ รรมทางสงั คมของ
เด็กปฐมวัยที่ได้รับการพัฒนาตามแนวคิด High-scope เหมาะสมและสมควรน าไปใช้กับการพัฒนาการด้าน
ตา่ ง ๆ ของเด็กตอ่ ไป
เพย์ตอน (Peyton. 2015 : 433-456) ได้ศึกษาความก้าวหน้าของการจัดการศึกษาโดยใช้หลักสูตร
แบบไฮสโคปของประเทศไอร์แลนด์ได้จัดให้มีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างวิทยากรผู้เข้าร่วมงานและตัวแทนจาก
ประเทศไอร์แลนด์ อังกฤษ อเมริกา ทวีปยุโรป และแอฟริกาใต้ได้ร่วมแลกเปล่ียนเรียนรูถ้ ึงประสบการณ์ในการ
ใช้หลักสูตรไฮสโคป ประโยชน์ในระยะยาวของการใช้ หลักสูตรไฮสโคปรวมทั้งประสิทธิภาพในการส่งเสริม
ยกระดับการเรียนรู้ ผลสัมฤทธิ์ของโรงเรียน และความสามารถในการทำงานในอนาคตทั้งยังช่วยลดปัญหาการนำ
ความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด ปัญหาการว่างงานปัญหาอาชญากรรมและปญั หาการตั้งครรภ์ในกลุ่มวยั รุ่นจากการใช้แนวคดิ
วางแผน ลงมือปฏิบัติและทบทวนในการวางแผนจัดกิจวัตรประจำวันให้กับนักเรียนด้วยกิจกรรมที่หลากลาย
สอดคลอ้ งไปตามบรบิ ทของชุมชนและวัฒนธรรมประเทศ

55

ชัง (Chung. 2017 : unpaged) ได้ศึกษาเรื่องการศึกษาเปรียบเทียบเด็กอายุห้าปี หัวกับพัฒนาการ
ตามโปรแกรมที่มีจำนวนวันแตกต่างกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความแตกต่างของเด็กที่ได้รับการพัฒนาตาม
โปรแกรม High-scope 134 วัน (3.5 ชั่วโมงต่อวัน),170 วัน (3.5 ชั่วโมงต่อวัน) และ 245 วัน (7-10 ชั่วโมงต่อวัน) วัด
เป็นผลลัพธ์โดย Profile+ (DRDP+) โดยทำการศึกษากับเด็กปฐมวัยอายุ 5 ปี โปรแกรมละ จำนวน 310 คน ในโรงเรียน
ขนาดใหญ่ 9 โรงเรยี น พบวา่ เด็ก

1. เด็กที่ได้รับการพัฒนาตามโปรแกรม High-scope มีความพร้อมที่จะเรียนรู้มากกว่าโปรแกรม High-
scope 134 วนั

2. เด็กที่ได้รับการพัฒนาตามโประแกรม High-scope 245 วัน มีความพร้อมที่จะเรียนรู้มากที่สุดเมื่อเทียบ
กับเด็กที่อยู่ในวันเดียวกันสรุปผลการวิจัยของการศึกษาครั้งนี้พบว่าเด็กที่ได้รับการพัฒนาตามโปรแกรม High-
scope ควรไดร้ ับการพัฒนาอยา่ งตอ่ เนื่อง ตง้ั แต่ 170 วัน ขึน้ ไป

บัคชอว์ (Buckshaw. 2018 : unpaged) ได้ศึกษาเรื่องโรงเรียนกับการเตรียมความพร้อมประเมิน
บริบทสังคมของเด็กปฐมวัย ความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาทักษะทางสังคมของเด็กปฐมวัยตามมาตรฐานของ
การศึกษาชาติตามหลักสูตรการตอบสนองนโยบายและกระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องที่ต้องการให้ ผู้สำเร็จ
การศึกษามีความรับผิดชอบและเห็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวโดยใช้แนวคิด High-scope และ
ประเมินผลโดยให้ผู้ที่เกี่ยวของประเมินพฤติกรรมทางเว็บ ไซด์และทางไปรษณีย์ พบว่า เด็กที่ได้รับการพัฒนา
ตามแนวคดิ High-scope มีความรับผดิ ชอบต่อตนเองและรจู้ กั เสียสละมากขนึ้ กว่าเดมิ

จากเอกสารและงานวิจัยดังที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิด
ไฮสโคปเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ พบว่า การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตาม
แนวคิดสมองเป็นฐานกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปส่งผลให้ เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสูง
กว่าการจัดประสบการณ์แบบปกติและสามารถพัฒนาทักษะต่าง ๆ ของเด็กปฐมวัยให้สูงขึ้นอีกด้วย ผู้ศึกษาค้นคว้าจึง
นำแนวคิดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามตามแนวคิดไฮสโคปมาเป็นกรอบในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง
คณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ซึ่งได้จัดทำเป็นแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยประยุกต์ใช้ขั้นตอนการจัด
ประสบการณ์การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพื่อให้เดก็ ปฐมวัยได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพตามธรรมชาติ
และความสามารถของแต่ละบุคคล เพ่อื เปน็ พืน้ ฐานสำหรับการเรยี นในระดับตอ่ ไป

56

บทที่ 3
วิธีดำเนนิ การศึกษาคน้ ควา้

การศึกษาคน้ ควา้ เรอื่ ง การพฒั นาการจัดประสบการณก์ ารเรียนร้ตู ามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพืน้ ฐาน
ทางคณติ ศาสตร์ ชัน้ อนบุ าลปที ี่ 3 คร้ังนี้ ผ้ศู กึ ษาค้นคว้าไดด้ ำเนินการตามข้นั ตอน ดังน้ี

1. ประชากรในการศึกษาค้นควา้
2. เครอ่ื งมอื ในการศกึ ษาค้นคว้า
3. การสร้างและหาคุณภาพเครอ่ื งมอื ในการศกึ ษาคน้ ควา้
4. การเก็บรวบรวมข้อมลู
5. การจัดกระทำขอ้ มลู และวิเคราะห์ข้อมลู
6. สถิตทิ ใ่ี ช้วิเคราะหข์ อ้ มูล

ประชากรท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาคน้ คว้า
1. ประชากรทใี่ ชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ ครง้ั น้ี ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชน้ั อนุบาลปที ่ี 3 โรงเรยี นบา้ นบึงหอม ภาค

เรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 15 คน ซ่ึงไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling)

เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในการศกึ ษาคน้ ควา้
ในการศึกษาคน้ ควา้ ครั้งน้ีมีเคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการทดลองและเก็บรวบรวมขอ้ มูล ดังน้ี
1. แผนการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพื่อสง่ เสรมิ ทักษะพื้นฐานทางคณติ ศาสตร์

ชัน้ อนบุ าลปที ี่ 3 จำนวน 4 หน่วยการเรียนรู้ รวมท้ังสิ้น 20 แผน
2. แบบทดสอบวดั ทกั ษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนบุ าลปีที่ 3 จำนวน 20 ข้อ

การสร้างและหาคณุ ภาพเคร่อื งมือในการศึกษาค้นควา้
ผู้ศกึ ษาคน้ คว้าไดด้ ำเนินการสร้างเครอื่ งมอื ท่ีใช้ในการรวบรวมข้อมูล ตามข้ันตอนดงั น้ี
1. แผนการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรูต้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพือ่ สง่ เสรมิ ทกั ษะพ้นื ฐานทางคณิตศาสตร์

ชน้ั อนบุ าลปที ี่ 3 จำนวน 4 หนว่ ยการเรียนรู้ รวมทั้งสิน้ 20 แผน มรี ายละเอียด ดงั นี้
1.1 ศกึ ษาหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัย พุทธศกั ราช 2560 เกยี่ วกับปรชั ญา หลกั การ

จดุ มุง่ หมาย แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการวดั ผลและการประเมินผล (กรมวิชาการ. 2560 :
2–34) กรอบมาตรฐานการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ระดบั ปฐมวัย พ.ศ. 2551 จากสถาบนั สง่ เสรมิ การสอน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) (2551 : 1-30)

1.2 ศึกษาแนวทางการจัดประสบการณ์ สำหรับเด็กปฐมวัย ตรงตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
พุทธศักราช 2560 (กรมวิชาการ. 2560 : 14–22) ศึกษาขั้นตอนและวิธีการเขียนแผนการจัดประสบการณ์
การเรยี นรู้ สำหรบั เดก็ ปฐมวยั

57

1.3 ศกึ ษาพฒั นาการ การเรยี นรขู้ องเดก็ ปฐมวัย และแนวทางการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้
ทักษะพ้ืนฐานทางคณติ ศาสตร์ สำหรบั เด็กปฐมวยั

1.4 ศึกษาแนวคิดทฤษฎี หลักการ เอกสารงานวิจยั ทเี่ ก่ยี วข้องกับแนวทางการจัดประสบการณ์การ
เรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป สำหรับเด็กปฐมวัย

1.5 สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎี หลักการ เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์การ
เรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สำหรับเด็กปฐม วัยที่ศึกษาในข้อ
1.1,1.2,1.3,1.4 เป็นขั้นตอนโดยกำหนดรูปแบบการจัดประสบการณ์เป็นหน่วยการเรียนรู้เป็นรายสัปดาห์ โดย
จัดทำให้สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 จำนวน 4 หน่วยการเรียนรู้ รวมทั้งสิ้น 20 แผน
ได้แก่

1.5.1 หนว่ ยการเรยี นรู้ เรือ่ ง เทคโนโลยแี ละการสือ่ สาร
1.5.2. หน่วยการเรียนรู้ เร่อื ง สตั ว์นา่ รกั
1.5.3 หนว่ ยการเรียนรู้ เรอ่ื ง ฤดกู าลหรรษา
1.5.4 หนว่ ยการเรยี นรู้ เรอื่ ง ผกั ผลไม้
1.6 เขียนแผนการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคปเพือ่ สง่ เสริมทักษะพ้นื ฐาน
ทางคณติ ศาสตร์ ชน้ั อนุบาลปีที่ 3 จำนวน 4 หนว่ ยการเรยี นรู้ รวมท้ังสนิ้ 20 แผน กำหนดรูปแบบของแผนการ
จดั ประสบการณ์ ยึดองคป์ ระกอบ 9 ประการ ดังนี้
1.6.1 สาระสำคญั
1.6.2 สาระสำคัญมาตรฐาน / ตวั บ่งชี้ / สภาพทพ่ี ึงประสงค์
1.6.3 จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1.6.4 สาระและมาตรฐานการเรยี นรูต้ ามกรอบมาตรฐานการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์
ระดับปฐมวยั พ.ศ. 2551
1.6.5 สาระการเรยี นรู้
1.6.6 กจิ กรรมการเรยี นรู้ (กระบวนการเรียนรู้ดามแนวคดิ ไฮสโคปเพื่อส่งเสรมิ ทกั ษะ
พนื้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชัน้ อนุบาลปีท่ี 3) โดยขัน้ ตอนในการการจดั กิจกรรมการเรียนรูแ้ ต่ละแผนมีขน้ั ตอน ดงั น้ี

1.6.6.1 ข้นั นำเข้าสู่บทเรยี น
1.6.6.2 ขนั้ การสอน

1.6.6.2.1 ขนั้ การวางแผน (Plan)
1.6.6.2.2 ขน้ั การปฏบิ ัติ (Do)
1.6.6.2.3 ขนั้ การทบทวน (Review)
1.6.6.3 ขน้ั สรุป
1.6.7 ส่อื หรือแหล่งการเรยี นรู้
1.6.8 การประเมินผล

58

1.6.9 บันทกึ ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร

1.7 นำแผนการจัดประสบการณ์ เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในด้าน

จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล ของแต่ละแผนการ

จัดระสบการณ์ เพอ่ื ขอรบั การเสนอแนะในสว่ นทบ่ี กพรอ่ ง

1.8 นำแผนการจัดประสบการณ์ท่ปี รับปรงุ แล้วเสนอผ้เู ชี่ยวชาญจำนวน 5 ทา่ น ประกอบด้วย

1. นายสมคิด มีธรรม ตำแหน่ง ผอู้ ำนวยการโรงเรียน วทิ ยาฐานะผอู้ ำนวยการโรงเรียน

ชำนาญการพเิ ศษ โรงเรยี นบา้ นบึงหอม สำนักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมอุบลราชธานี เขต 2

2. นางสาวปริชมน กาลพฒั น์ ตำแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ วทิ ยาฐานะศึกษานเิ ทศกช์ ำนาญการ

พเิ ศษ สำนกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมอุบลราชธานี เขต 2

3. นางแทนลัดดา ปฐั พี ตำแหน่ง ครู วิทยาฐานะครชู ำนาญการพเิ ศษ โรงเรยี นบ้านนาหว้า

เหนอื สำนักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาประถมอุบลราชธานี เขต 2

4. นางสาวอนุพันธ์ พลู เพิ่ม ตำแหนง่ ครู วทิ ยาฐานะครูชำนาญการพิเศษ โรงเรยี นบา้ นหนอง

ผอื สำนกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมอุบลราชธานี เขต 2

5. นางนงคราญ คำลอย ตำแหนง่ ครู วิทยาฐานะครชู ำนาญการพเิ ศษ โรงเรยี นบา้ นกุดกลอย

สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมอุบลราชธานี เขต 2

1.9 ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องของจุดประสงค์เนื้อหาสาระกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ/

แหลง่ เรยี นรู้ การวดั และประเมินผล ความเหมาะสมกบั วัยของผูเ้ รียนและเหมาะสมกับเวลา

1.10 ผูเ้ ชี่ยวชาญประเมนิ แผนการจัดประสบการณ์ โดยตรวจสอบความสอดคลอ้ งของ

จุดประสงค์ เน้อื หาสาระ กิจกรรมการเรยี นรู้ สื่อ/แหลง่ เรียนรกู้ ารวดั และประเมนิ ผล โดยใช้แบบประเมนิ ที่มี

ลักษณะเปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีของ ลเิ คริ ์ท (Likert’s Scale) (บญุ ชม ศรี

สะอาด, 2550, หน้า 69-71) ดงั น้ี

เหมาะสมมากทส่ี ดุ ให้ 5 คะแนน

เหมาะสมมาก ให้ 4 คะแนน

เหมาะสมปานกลาง ให้ 3 คะแนน

เหมาะสมน้อย ให้ 2 คะแนน

เหมาะสมนอ้ ยที่สดุ ให้ 1 คะแนน

1.11 นำแผนการจดั ประสบการณท์ ี่ผู้เช่ยี วชาญทั้ง 5 ทา่ น มาประเมนิ หาคา่ เฉลี่ย และกำหนด

เกณฑก์ ารแปลผลเพื่อเปน็ แนวทางในการแปลความหมายของผลการประเมินคุณภาพของแผนการจดั

ประสบการณ์ โดยผู้เชยี่ วชาญ ดงั นี้ (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2550, หน้า 162)

คา่ เฉลี่ย ความหมาย
4.51-5.00 เหมาะสมมากทสี่ ดุ
3.51-3.50 เหมาะสมมาก

59

2.51-3.50 เหมาะสมปานกลาง

1.51-2.50 เหมาะสมน้อย

1.00-1.50 เหมาะสมน้อยที่สดุ

1.12 เกณฑ์ตัดสินความเหมาะสมของแผนการจัดประสบการณ์การประเมินระดับความ

เหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญในการประเมินคุณภาพแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพ่ือ

ส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ต้องมีค่าเฉลี่ยของคะแนน จากการประเมินของ

ผู้เชี่ยวชาญตัง้ แต่ 3.50 ข้นึ ไป จงึ ถือวา่ สามารถนำไปใช้ได้ ปรากฏวา่ ไดค้ า่ เฉลีย่ เทา่ กับ 4.79

1.13 นำแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง

คณติ ศาสตร์ ช้ันอนบุ าลปีท่ี 3 ไปใช้จรงิ กับนกั เรยี น ชัน้ อนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2ปกี ารศึกษา2564 โรงเรยี นบา้ นบึงหอม

จำนวน 15คน

2. แบบทดสอบวดั ทักษะพน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชนั้ อนุบาลปที ่ี 3 จำนวน 20 ข้อ มีลำดบั ขั้นตอนการสรา้ ง

ดังนี้

2.1 ศึกษาตำรา เอกสารงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทางคณิตศาสตร์และ

แบบทดสอบวัดทกั ษะพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์เพ่อื เปน็ แนวทางในการสร้างแบบทดสอบวัดทกั ษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์

ชัน้ อนุบาลปีที่ 3

2.2 กำหนดจำนวนขอ้ สอบแบบปรนัยรปู ภาพชนดิ เลือกตอบ 3 ตวั เลอื ก ท่เี ขยี นทั้งหมดและ

ต้องการใช้จรงิ แลว้ ทำการเขยี นขอ้ สอบให้สอดคล้องกบั เน้อื หายอ่ ยและจุดประสงคก์ ารเรียนรู้แต่ละจุดประสงค์

ดังตาราง 1

ตาราง 1 แสดงวเิ คราะห์เนื้อหาและจดุ ประสงค์การเรียนรู้ แบบทดสอบวัดทักษะพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์

ชั้นอนุบาลปีท่ี 3

ทักษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ จำนวนขอ้ สอบ
ทงั้ หมด ตอ้ งการ

ดา้ นจำนวนและตวั เลข เพอื่ ใหเ้ ดก็ มีความรู้ ความเขา้ ใจและมีทกั ษะ 10 5

พน้ื ฐานทางคณิตศาสตรด์ า้ นจำนวนและ

ตวั เลข

ด้านการจัดประเภท เพื่อให้เด็กมคี วามรู้ ความเข้าใจและมที กั ษะ 10 5

พน้ื ฐานทางคณติ ศาสตรด์ า้ นการจดั ประเภท

ดา้ นการเปรียบเทยี บ เพื่อให้เด็กมคี วามรู้ ความเข้าใจ และมี 10 5

ทักษะพ้นื ฐานทางคณิตศาสตร์ ดา้ นการ

เปรยี บเทียบ

60

ทักษะพน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ จำนวนข้อสอบ
ทัง้ หมด ต้องการ
ดา้ นการเรยี งลำดบั เพอ่ื ให้เด็กมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และมี
ทักษะพน้ื ฐานฐานทางคณติ ศาสตร์ ด้านการ 10 5
เรยี งลำดับ
40 20
รวม

2.3 สร้างแบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 จำนวน 20 ข้อ
แตต่ ้องการใช้จรงิ 20 ข้อ

2.4 นำแบบประเมินวัดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยที่สร้างขึ้น ไปให้
ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงตามข้อคำถาม เนื้อหาความสอดคล้องทางพฤติกรรมและความ
เหมาะสม

2.5 หาค่าความสอดคล้อง (IOC: Index of Objective Congruence) ของแบบประเมินโดย
นำแบบประเมินวดั ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีท่ี 3 ไปให้ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมลงความเห็นและให้
คะแนน ดังน้ี

+ 1 หมายถึง เมอ่ื ผูเ้ ช่ยี วชาญมีความเหน็ ว่าสอดคลอ้ ง
0 หมายถึง เมอื่ ผู้เช่ยี วชาญมีความเหน็ ว่าไมแ่ น่ใจ
- 1 หมายถึง เม่อื ผ้เู ชีย่ วชาญมคี วามเห็นวา่ ไมส่ อดคล้อง
แลว้ นำคะแนนทีไ่ ด้มาหาคา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งระหว่างจุดประสงค์กบั ทกั ษะพนื้ ฐาน
ทางคณิตศาสตร์ ปรากฏวา่ ได้ค่า IOC มีค่าอย่รู ะหว่าง 0.8–1.00
2.4 พิมพ์แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีท่ี 3 เป็นฉบับจริงเพื่อ
นำไปเก็บข้อมูลวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เพื่อนำไปใช้จริงกับนักเรียนชั้นอนุบาลปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศกึ ษา 2564 โรงเรียนบา้ นบงึ หอม จำนวน 15 คน

ข้ันตอนดำเนนิ การศกึ ษาคน้ ควา้ และการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
ผู้ศึกษาค้นคว้าได้ทำการทดลองกับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านบึงหอม จำนวน 15 คน ซึ่งเป็น

กลุ่มประชากรโดยใช้ระยะเวลาในการทดลองจริงและการเก็บรวบรวมข้อมูลภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
ระหว่างวันท่ี 25 มกราคม 2564 ถึง 19 กุมภาพันธ์ 2564 ไม่รวมเวลาทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ซึ่งมี
ข้ันตอนในการดำเนนิ การ ดงั น้ี

1. ทดสอบก่อนเรียน (Pre-Test) โดยใช้แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 เพื่อวัด
ความรู้พื้นฐานของนักเรียนโดยทดสอบก่อนทำการจัดประสบการณ์ ซึ่งผู้ศึกษาค้นคว้าเป็นผู้อ่านคำชี้แจง และข้อ
คำถามจากแบบทดสอบให้กับนักเรียนด้วยตนเอง จำนวน 20 ข้อ เมื่อทดสอบเรียบร้อยแล้วทำการตรวจแล้ว
บนั ทึกผลคะแนนไว้ ในวนั ที่ 22 มกราคม 2564

61

2. ดำเนินการสอนโดยใชแ้ ผนการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพอื่ สง่ เสริมทักษะ
พนื้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชัน้ อนบุ าลปที ่ี 3 ทผี่ ศู้ กึ ษาคน้ ควา้ สรา้ งขนึ้ ไปทำการสอนช้ันอนบุ าลปีที่ 3 จากหน่วยการ
เรียนรู้ท่ี 1 ถงึ หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 4 โดยทำการสอนทกุ วัน สัปดาหล์ ะ 5 วนั วนั ละ 1 แผน ในชว่ งของกจิ กรรมเสริม
ประสบการณ์ (20 นาที สามารถยืดหยุ่นเวลาได้ตามความเหมาะสมของกจิ กรรมและความสนใจของเดก็ ) ภาค
เรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 ระหวา่ งวันที่ 17 มกราคม 2565 ถึง 11 กุมภาพันธ์ 2565 รวมท้ังสน้ิ จำนวน 4
สัปดาห์ ไม่รวมเวลาทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน

3. ทดสอบหลังเรียน (Post Test) โดยใช้แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
ชั้นอนุบาลปีท่ี 3 เป็นแบบทดสอบชุดเดิมที่ใช้ทดสอบก่อนเรียน ซึ่งผู้ศึกษาค้นคว้าเป็นผู้อ่าน คำชี้แจง และข้อ
คำถามใหก้ บั นักเรยี นด้วยตนเอง ในวนั ที่ 14 กุมภาพนั ธ์ 2565

ตาราง 2 แสดงการดำเนนิ การสอนตามแผนการศึกษาคน้ คว้า

ครัง้ ท่ี หน่วยการเรียนรู้ เร่อื ง วนั เดอื น ปี เวลา
1 ทดสอบกอ่ นเรยี น (Pre – test) นอกเวลาเรยี นเปน็ รายบคุ คลหรือ
20 ข้อ 14 มกราคม 2565 ยดื หยนุ่ เวลาไดต้ าม ความเหมาะสม
2 เทคโนโลยีและการสือ่ สาร 09.30 น. – 09.50 น. (20 นาท/ี
17 มกราคม 2565 แผน ยดื หยนุ่ เวลาได้ตาม ความ
3 สตั ว์น่ารัก ถึง เหมาะสม)
09.30 น. – 09.50 น. (20 นาท/ี
4 ฤดูกาลหรรษา 21 มกราคม 2565 แผน ยดื หยนุ่ เวลาไดต้ าม ความ
24 มกราคม 2565 เหมาะสม)
5 ผัก ผลไม้ 09.30 น. – 09.50 น. (20 นาท/ี
ถึง แผน ยดื หยนุ่ เวลาได้ตาม ความ
6 ทดสอบหลงั เรยี น (Post – test) 28 มกราคม 2565 เหมาะสม)
20 ข้อ 31 มกราคม 2565 09.30 น. – 09.50 น. (20 นาที/
แผน ยืดหยนุ่ เวลาได้ตาม ความ
ถึง เหมาะสม)
4 กมุ ภาพนั ธ์ 2565 นอกเวลาเรียนเปน็ รายบคุ คลหรือ
15 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 ยดื หยุ่นเวลาไดต้ าม ความเหมาะสม

ถึง
7 กมุ ภาพันธ์ 2565

14 กมุ ภาพันธ์ 2565

การจดั กระทำขอ้ มูลและการวิเคราะห์ขอ้ มูล
1. หาค่าสถิติพื้นฐาน ค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนที่ได้จาก

การทดสอบวัดทักษะพืน้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ ช้นั อนบุ าลปีท่ี 3

62

2. นำคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบย่อยวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีท่ี 3ประจำ
หน่วยการเรียนรู้ระหว่างเรียนและแบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีท่ี 3 หลังเรียนมาหา
ค่าทางสถิติ เพื่อหาประสิทธิภาพของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพอ่ื ส่งเสริมทกั ษะ
พนื้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชนั้ อนบุ าลปีท่ี 3 ตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80

3. นำคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนมาวิเคราะห์เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคปเพื่อสง่ เสริมทักษะพ้นื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชั้นอนุบาลปที ี่ 3

4. นำคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนมาวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทาง
คณิตศาสตร์ ช้ันอนบุ าลปีที่ 3

สถิตทิ ใี่ ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
1. สถิติพื้นฐานเพอื่ ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ได้แก่
1.1 ร้อยละ (Percentage) (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2554 : 122)

P = f  100

n

เมอ่ื P แทน รอ้ ยละ
f แทน ความถ่ที ่ตี อ้ งการแปลงใหเ้ ปน็ ร้อยละ
n แทน จำนวนนักเรยี น

1.2 ค่าเฉล่ยี (Arithmetic Mean) ใช้สูตรดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2554 : 124)

X = X
N

เมอ่ื X แทน ค่าเฉลี่ย

X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมดในกลมุ่
N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม
1.3 สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2554 : 126)

ใชส้ ตู รดงั นี้

S.D. = NX2 − (X)2
N(N −1)

เมอื่ S.D. แทน คา่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน
X แทน คะแนนแตล่ ะตัว
N แทน จำนวนคะแนนในกลมุ่

X แทน ผลรวม

63

2. การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะ
พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ตามเกณฑ์มาตรฐานโดยใช้สูตร E1 /E2 = 80/80 (เผชิญ กิจระการ. 2546 : 44 -
45) มีสตู รดังน้ี

  X 
 N 
E1 =
100
A

E2 =  Y 

 N  100
B

เม่อื E1 แทน ประสทิ ธิภาพของกระบวนการ

E 2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์

 X แทน คะแนนรวมของนักเรยี นทีไ่ ดจ้ ากการทำแบบทดสอบย่อย
Y แทน คะแนนรวมของนกั เรยี นท่ีได้จากการทำแบบทดสอบหลงั เรียน
A แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบย่อย

B แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลังเรียน

N แทน จำนวนนักเรยี นท้งั หมด

3. หาดชั นปี ระสทิ ธิผลของแผนการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรตู้ ามแนวคิดไฮสโคปเพ่ือส่งเสรมิ ทกั ษะ
พนื้ ฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปที ่ี 3(เผชญิ กิจระการ. 2546 : 48 ; อา้ งองิ มาจาก Goodman Fletcher
and Schneider. 1980 : 30 – 34) มสี ตู รดังนี้

ดชั นีประสทิ ธผิ ล = ผลรวมของคะแนนทดสอบหลงั เรียน – ผลรวมของคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน
( จำนวนนกั เรียน x คะแนนเตม็ ) - ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน

4. สถิติทใ่ี ชใ้ นการทดสอบสมมุติฐานการเปรยี บเทียบทักษะพน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ช้นั อนุบาลปที ี่ 3
โดยใชส้ ตู ร t-test แบบ Dependent (บุญชม ศรีสะอาด. 2554 : 133) มสี ตู รดงั นี้

เมอ่ื t t = D
N  D2 − ( D)2

N −1

แทน คา่ สถิติที่ใช้เปรียบเทยี บกับคา่ วกิ ฤตเพ่ือทราบความมนี ัยสำคัญ

64

D แทน ความแตกตา่ งของแตล่ ะคู่
จำนวนคู่ (หมายถงึ จำนวนนกั เรยี นที่สอบทง้ั กอ่ นเรียนและหลงั เรียน)
N แทน ผลรวมของผลตา่ งของคะแนนกอ่ นเรยี นและคะแนนหลังเรยี น
ผลรวมกำลงั สองของผลตา่ งของคะแนนก่อนเรยี นและหลังเรยี น
D แทน
 D2 แทน

65

บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล

การศึกษาค้นคว้า เรื่อง การพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริม
ทักษะพ้ืนฐานทางคณติ ศาสตร์ ชนั้ อนบุ าลปีที่ 3 คร้ังน้ี ผศู้ ึกษาค้นควา้ ได้นำเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลดังน้ี

1. สัญลกั ษณ์ท่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
2. ลำดบั ขัน้ ในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
3. ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล

สัญลกั ษณท์ ่ใี ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู
ผวู้ ิจัยได้กำหนดความหมายของสญั ลกั ษณท์ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูลเพอื่ ให้เกดิ ความเข้าใจ

ในการแปลความและการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู ดงั ต่อไปน้ี
N แทน จำนวนนักเรยี น
X แทน คะแนนเฉล่ยี
S.D แทน ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
E1 แทน ประสิทธภิ าพของกระบวนการใชแ้ ผนการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้
E 2 แทน ประสทิ ธภิ าพของผลลพั ธ์ของแผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้
E.I แทน ค่าดัชนีประสิทธผิ ล
 X แทน คะแนนรวมของนักเรียน
* แทน มีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05

ลำดบั ขัน้ ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู ผูว้ ิจัยไดด้ ำเนินการตามขน้ั ตอน ดงั น้ี
ตอนท่ี 1 ผลการวเิ คราะหห์ าประสทิ ธิภาพของแผนจัดประสบการณก์ ารเรยี นรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพ่อื

สง่ เสรมิ ทักษะพน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์ ชนั้ อนุบาลปที ี่ 3
ตอนท่ี 2 ผลการวเิ คราะหด์ ัชนปี ระสทิ ธผิ ลของแผนจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพื่อ

สง่ เสรมิ ทักษะพ้นื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชนั้ อนุบาลปีที่ 3
ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีท่ี 3 ที่เรียนด้วยแผนจัด

ประสบการณ์การเรียนรูต้ ามแนวคิดไฮสโคปเพือ่ ส่งเสรมิ ทกั ษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชนั้ อนบุ าลปที ี่ 3

66

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ตอนที่ 1 ผลการวเิ คราะห์หาประสิทธภิ าพของแผนจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป

เพ่อื ส่งเสริมทกั ษะพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ ช้นั อนบุ าลปีที่ 3 ตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80
ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแผนจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริม

ทกั ษะพนื้ ฐานทางคณิตศาสตร์ ช้ันอนุบาลปีที่ 3 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ผู้ศกึ ษาค้นควา้ ไดท้ ำการวเิ คราะห์
ข้อมลู ปรากฏผลดงั ตาราง 4 ถงึ ตาราง 6
ตาราง 3 แสดงค่าเฉล่ีย สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานและรอ้ ยละจากการทำแบบทดสอบย่อยประจำแผน

จดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคปเพ่อื ส่งเสริมทักษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์
ชั้นอนบุ าลปที ี่ 3 จำนวน 4 เลม่

คะแนนจากแบบทดสอบยอ่ ย 4 หนว่ ยการเรียนรู้ คะแนนเต็ม 16 คะแนน รวม

คนที่ เล่มท่ี 1 เลม่ ที่ 2 เลม่ ที่ 3 เล่มที่ 4 64 คะแนน

1 14 15 12 13 51

2 12 13 14 15 54

3 12 12 14 14 52

4 12 15 12 13 52

5 13 13 14 15 55

6 11 12 14 14 51

7 14 14 14 15 57

8 13 13 13 13 52

9 13 13 13 12 51

10 15 12 13 14 54

11 13 14 15 15 57

12 14 15 13 15 57

13 15 16 15 14 60

14 16 14 15 15 60

15 15 14 13 15 57

 X 202 205 204 212 820

X− 13.47 13.67 13.60 14.13 54.67
S.D. 1.36 1.19 0.95 0.96 3.07

ร้อยละ 84.17 85.42 85.00 83.33 95.35

67

จากตาราง 4 พบวา่ คะแนนเฉล่ยี จากการทำแบบทดสอบวดั ยอ่ ยทักษะพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ ชนั้
อนุบาลปีที่ 3 ประจำหน่วยการเรียนรู้ จำนวน 4 เลม่ จากคะแนนเต็มเลม่ ละ 16 คะแนน รวมคะแนนเตม็ ทง้ั 4
เล่ม 64 คะแนน มีคา่ เฉลย่ี เทา่ กบั 54.67 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 3.07 คิดเป็นรอ้ ยละ 95.35 แสดงว่า

ประสิทธภิ าพของกระบวนการ ( E1 ) เท่ากับ 95.35

ตาราง 4 แสดงคะแนนเฉลยี่ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคะแนนเฉลย่ี คดิ เปน็ ร้อยละจากการทำ
แบบทดสอบวดั ทกั ษะพืน้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชั้นอนบุ าลปที ่ี 3

ระยะเวลาทำการทดลอง

นกั เรียน (คนท่ี) ก่อนเรียน หลงั เรียน

1 (คะแนน 20 คะแนน) (คะแนน 20 คะแนน)
2
3 12 17
4
5 13 18
6
7 8 15
8
9 14 20
10
11 9 16
12
13 11 19
14
15 12 18

X 9 17

X− 13 17

S.D. 10 18
คา่ เฉล่ียรอ้ ยละ
10 17

14 19

12 18

13 19

14 20

174 268

11.60 17.87

1.93 1.36

58.00 89.33

จากตาราง 5 พบวา่ คะแนนเฉลย่ี จากการทำแบบทดสอบวดั ทักษะพน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้น
อนุบาลปีที่ 3 ก่อนเรยี น คะแนนเฉล่ียเท่ากับ 11.60 คะแนน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 1.93 คิดเป็น

68

ร้อยละ 58.00 ของคะแนนเตม็ และคะแนนเฉลยี่ หลังเรยี นเท่ากบั 17.45 คะแนนส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน
เท่ากับ 1.36 คิดเป็นร้อยละ 89.33 แสดงวา่ ประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์ ( E2 ) เทา่ กับ 89.33

ตาราง 5 แสดงประสทิ ธิภาพของแผนจดั ประสบการณก์ ารเรียนร้ตู ามแนวคิดไฮสโคปเพอ่ื สง่ เสรมิ ทักษะ
พน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชน้ั อนุบาลปที ่ี 3

รายการคะแนน คะแนนเตม็ X S.D. ร้อยละ
ประสทิ ธิภาพกระบวนการของแผนการจดั ประสบการณก์ าร 64 54.67 3.07 95.35

เรยี นรู้ จำนวน 4 เลม่ ( E1 ) 20 17.87 1.36 89.33
ประสทิ ธภิ าพผลลพั ธข์ องแผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้

( E2 )

ประสทิ ธิภาพของแผนจัดประสบการณ์การเรยี นรูต้ ามแนวคิดไฮสโคปเพ่ือส่งเสริมทกั ษะพนื้ ฐานทางคณิตศาสตร์

ช้ันอนบุ าลปที ่ี 3 ( E1 / E2 ) เท่ากบั 95.35/89.33

จากตาราง 6 พบว่า ประสิทธภิ าพกระบวนการของแผนการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ ( E1 ) เทา่ กบั

95.35 และประสทิ ธิภาพผลลัพธข์ องแผนการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ ( E2 ) เท่ากับ 89.33 ดังนนั้
ประสทิ ธิภาพของแผนจดั ประสบการณ์การเรียนร้ตู ามแนวคดิ ไฮสโคปเพอ่ื สง่ เสริมทักษะพน้ื ฐานทาง
คณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปที ี่ 3 จงึ มีประสิทธภิ าพเท่ากบั 95.35/89.33 ซ่งึ สูงกวา่ เกณฑ์ท่ตี ้ังไว้

ตอนท่ี 2 ผลการวเิ คราะห์หาดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของแผนจดั ประสบการณก์ ารเรยี นร้ตู ามแนวคิด
ไฮสโคปเพอื่ สง่ เสรมิ ทักษะพน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ช้ันอนุบาลปที ่ี 3

ผูศ้ กึ ษาค้นควา้ ได้นำคะแนนจากการทดสอบวดั ทักษะพน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชน้ั อนบุ าลปที ่ี 3
มาวิเคราะหห์ าดชั นีประสทิ ธผิ ลของแผนจัดประสบการณ์การเรยี นรตู้ ามแนวคิดไฮสโคปเพือ่ ส่งเสรมิ ทักษะ
พื้นฐานทางคณติ ศาสตร์ ช้ันอนุบาลปที ี่ 3 ปรากฏผล ดังนี้
ดชั นปี ระสิทธผิ ล = ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรยี น – ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรยี น

( จำนวนนกั เรียน x คะแนนเต็ม ) - ผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน

= (268-174)
(15 X 20) –174

= 71
300 – 174

= 94
126

= 0.7460

69

ดชั นปี ระสทิ ธผิ ลของแผนจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคปเพอื่ ส่งเสริมทกั ษะพืน้ ฐานทาง
คณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 0.7460 หมายความว่า นักเรียนที่เรียนด้วยแผนจัดประสบการณ์
การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้า
สร้างขึ้น มีความรูเ้ พิ่มขึน้ รอ้ ยละ 74.60

ตอนท่ี 3 ผลการวเิ คราะหเ์ ปรียบเทยี บความแตกตา่ งของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
ชนั้ อนบุ าลปีที่ 3 กอ่ นเรยี นและหลังเรยี นด้วยแผนจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพอื่
สง่ เสริมทกั ษะพ้ืนฐานทางคณติ ศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีท่ี 3

ผู้ศึกษาค้นควา้ ไดน้ ำคะแนนความแตกตา่ งของทักษะพืน้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชัน้ อนุบาลปที ี่ 1
มาวเิ คราะหเ์ ปรียบเทยี บความแตกต่างกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น ปรากฏผลดังตารางท่ี 6

ตารางท่ี 6 แสดงวเิ คราะห์เปรียบเทียบความแตกตา่ งของทกั ษะพื้นฐานทางคณติ ศาสตร์ ชนั้ อนบุ าลปีท่ี 3
กอ่ นเรยี นและหลงั เรียนด้วยแผนจดั ประสบการณ์การเรยี นรตู้ ามแนวคิดไฮสโคปเพอื่ ส่งเสรมิ
ทักษะพ้นื ฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปที ี่ 3

การทดสอบ คะแนนเตม็ x̅ S.D. t P
กอ่ นเรยี น 20 11.60
หลงั เรียน 20 1.993 -19.848 .000*
17.87 1.407

(P  0.05)

จากตาราง 6 แสดงว่า นักเรียนที่ได้เรียนด้วยแผนจัดประสบการณ์การเรียนรูต้ ามแนวคิดไฮสโคปเพอื่

ส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 หลังเรียนมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อน

เรียนอยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05

70

บทท่ี 5
สรปุ ผลการศกึ ษาคน้ คว้า อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ

การศกึ ษาคน้ ควา้ เร่อื ง การพัฒนาการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรูต้ ามแนวคิดไฮสโคปเพอ่ื สง่ เสรมิ
ทกั ษะพนื้ ฐานทางคณิตศาสตร์ ชนั้ อนบุ าลปีที่ 3 ครง้ั น้ี ผศู้ กึ ษาค้นว้าไดส้ รปุ ผลการศกึ ษาคน้ วา้ อภิปรายผล
และข้อเสนอแนะ ดงั น้ี

1. ความมุ่งหมายของการศกึ ษาคน้ ว้า
2. สรุปผลการศกึ ษาค้นว้า
3. อภิปรายผล
4. ขอ้ เสนอแนะ

ความม่งุ หมายของการศึกษาค้นคว้า
1. เพอื่ พัฒนาแผนการจัดประสบการณ์การเรียนร้ตู ามแนวคิดไฮสโคปเพอื่ สง่ เสรมิ ทักษะพ้ืนฐานทาง

คณิตศาสตร์ ชนั้ อนุบาลปีที่ 3 ทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2. เพื่อศึกษาดัชนปี ระสิทธผิ ลของแผนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคดิ ไฮสโคปเพ่ือสง่ เสรมิ

ทกั ษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3
3. เพอ่ื เปรียบเทยี บทักษะพ้ืนฐานทางคณติ ศาสตรก์ อ่ นเรยี นและหลังเรียนดว้ ยแผนการจดั ประสบการณ์

การเรียนรตู้ ามแนวคิดไฮสโคปเพื่อสง่ เสรมิ ทกั ษะพน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชน้ั อนบุ าลปที ี่ 3

สมมตุ ิฐานการศกึ ษาคน้ ควา้
1. แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์

ชั้นอนบุ าลปีท่ี 3 มีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2. นกั เรยี นชน้ั อนบุ าลปที ี่ 3 มีทกั ษะพน้ื ฐานทางคณิตศาสตรห์ ลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนดว้ ยแผนการจัด

ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพ่อื ส่งเสริมทักษะพ้นื ฐานทางคณิตศาสตร์ ชัน้ อนุบาลปที ่ี 3

สรุปผลการศึกษาคน้ คว้า
1. แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์

ช้นั อนุบาลปีที่ 3 ท่ผี ้ศู ึกษาคน้ คว้าสรา้ งข้นึ มปี ระสิทธิภาพ เทา่ กบั 95.35/89.33 ซ่งึ สูงกวา่ เกณฑ์ทีต่ ง้ั ไว้
2. ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะ

พน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชั้นอนุบาลปที ่ี 3 มคี ่าเท่ากบั 0.7460 แสดงว่า นกั เรยี นมีความรเู้ พ่ิมข้ึนร้อยละ 74.60
3. ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 หลังเรียนด้วยแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้

ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสำคญั ทางสถิติท่รี ะดบั .05

71

อภิปรายผล
ผลการพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง

คณติ ศาสตร์ ชั้นอนบุ าลปีท่ี 3 สามารถอภิปรายผลได้ ดงั น้ี
1. แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์

ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ท่ผี ู้ศกึ ษาคน้ ควา้ สรา้ งขน้ึ มีประสิทธิภาพเทา่ กับ 95.35/89.33 ซ่งึ หมายความวา่ นกั เรยี นไดค้ ะแนน
เฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบย่อยวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ประจำหน่วยการเรียนรู้ท้ัง
4 หน่วยการเรียนรู้ คิดเป็นร้อยละ 95.35 และคะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชัน้
อนุบาลปีที่ 3 หลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 89.33 ซึ่งแสดงว่า แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิด
ไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพสูง
กว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะ
พ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ ชัน้ อนบุ าลปที ่ี 3 ไดด้ ำเนนิ การสรา้ งตามขัน้ ตอนอยา่ งเปน็ ระบบ ดงั นี้

1.1 วิธีการเขียนแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง
คณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ได้ผ่านขั้นตอนการสร้างอย่างเป็นระบบและมีวิธีการที่เหมาะสม โดยเริ่มตั้งแต่
การศึกษา เอกสาร หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ศึกษาทฤษฎี หลักการและรูปแบบการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอน วิเคราะห์ และกำหนดโครงสร้างของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ตามกรอบมาตรฐานการเรียนรู้
คณิตศาสตรร์ ะดับปฐมวยั พ.ศ.2551 จากสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) (2551 : 1-30)

1.2 แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ได้นำสื่อการสอนที่หลากหลายทั้งสื่อของจริง สื่อจำลอง เพลง คำคล้องจอง การแสดงบทบาทสมมุติ
ฯลฯ กิจกรรมการสอนที่หลากหลายมาใช้จัดการเรียนรู้ให้สัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบส่งผลให้ผู้เรียนมีความ
กระตือรือร้นมีความอยากรู้อยากเห็น ไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียนทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็ม
ศักยภาพ และสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทีว่ างไวอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับกุลยา ตันติผลาชีวะ (2551
: 124-127) กลา่ วว่า การเตรยี ม ครูต้องเตรยี มการให้พรอ้ มโดยเฉพาะสื่อตอ้ งมีความหลากหลายมีพ้ืนท่ีพอที่จะ
ทำให้เด็กได้ทำกิจกรรมอย่างคล่องตัวบางกิจกรรมครูอาจเตรียมวัสดุอุปกรณ์ สำหรับทำกิจกรรมตามโต๊ะหรือ
มุมห้องไว้ การดำเนินการ ขั้นนำ ครูเตรียมเด็กเข้าสู่เวลาเรียนด้วยกิจกรรมที่เชื่อมโยงสู่การคิดทำกิจกรรมการ
เรยี นการสอนดว้ ยตัวเด็กเอง ครนู ำเดก็ ไปส่กู ารคิดหาหัวข้อเร่ืองท่ตี ้องการเรยี นร้ดู ้วยการสนทนา อภิปราย เพ่ือ
เสนอเรื่องที่ต้องการเรียนขั้นสอนเป็นขั้นที่ครูนำเด็กสู่การวางแผน (Plan) การลงมือปฏิบัติ (Do) และการ
ทบทวน (Review)

นอกจากนี้แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
ชั้นอนุบาลปีที่ 3 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยเน้นให้เด็กลงมือปฏิบตั ิกิจกรรมตามความสนใจของตนเอง
เน้นให้เด็กปฐมวัยลงมือปฏิบัติด้วยตนเองมีกระบวนการทำงาน 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวางแผน (Plan) 2) การ
ปฏิบัติ (Do) 3) การทบทวน (Review) โดยเด็กได้รับประสบการณ์สำคัญซ้ำแล้วซ้ำอีกในชีวิตประจำวันอย่างเป็น
ธรรมชาติประสบการณ์สำคัญเป็นกุญแจที่จำเป็นในการสร้างองค์ความรู้สำหรับเด็กเป็นเสมือนกรอบความคิดที่จะ

72

ทำความเข้าใจการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ(กระทรวงศึกษาธิการ. 2550 : 2-29) ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญในการ
พัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของธราธิคุณ ระหา (2559 : 73) วิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบความ
พร้อมทางคณิตศาสตร์และความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียน ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่างการจัดประสบการณ์การ
เรียนรตู้ ามแนวคิดสมองเปน็ ฐานกบั การจดั ประสบการณ์การเรียนรตู้ ามแนวคิดไฮสโคป ผลการวจิ ัยพบวา่ แผนการจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเปน็ ฐานและแผนการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรูต้ ามแนวคิดไฮสโคป ชั้น
อนุบาลปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 90.10/86.00 และ 90.66/82.66 ตามลำดับ และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ
จุฬาลักษณ์ คำมูล (2559 : 97) ได้วิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถทางภาษาความสามารถทาง
คณิตศาสตร์และความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่างการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
โดยใช้สมองเป็นฐานและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัด
ประสบการณ์การเรียนรู้ โดยใช้โดยใช้สมองเป็นฐานและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ชัน้
อนุบาลปีที่ 2 มีประสทิ ธิภาพเท่ากับ 83.46/79.53 และ 85.57/77.09 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าเกณฑท์ ่ีกำหนดไว้
75/75

2. ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง
คณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 0.7460 แสดงว่า นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 74.60 อาจเนื่องมาจาก
เนื้อหาที่นำมาจัดกิจกรรมมุ่งให้เด็กได้ฝึกทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยเด็กได้เรียนรู้ผ่านการลงมือกระทำของเด็กเอง
ประกอบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเป็นการจัดประสบการณ์ที่สอดคล้องกับพัฒนาการผู้เรียนในแต่
ละวัย อีกทั้งยังสามารถนำไปจัดกิจกรรมการเรียนในแต่ละบริบทของเนื้อหาสาระและธรรมชาติของผู้เรียนได้
อย่างหลากหลายเน้นการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เกิดการเรียนรู้รอบด้านมุ่งให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้ด้วยการลงมือ
ปฏิบัติเด็กปฐมวัยจะเรียนรู้จากการกระทำของตน การเรียนรู้แบบลงมือกระทำซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญใน
การพัฒนาเด็กปฐมวัยเด็กปฐมวัยได้จัดกระทำกับวัตถุได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล ความคิดและเหตุการณ์
จนกระทั่งสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยของมยุรา เพียรยิ่ง (2556 : 88–92) ได้
ศึกษาความสามารถทางคณิตศาสตร์และความสามารถทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่าง
การจัดประสบการณก์ ารเรียนรูต้ ามแนวคิดสมองเป็นฐานกับการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ผลการวจิ ัย
พบว่า ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดสมองเป็นฐานและแผนการจัดประสบการณ์การ
เรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.7569 และ 0.7255 แสดงว่า นักเรียนมีความกา้ วหนา้
ทางการเรยี น คิดเปน็ ร้อยละ 75.99 และ 72.55 ตามลำดับ และสอดคลอ้ งกับผลการวจิ ัยของกรรณิการณ์ สรุ ยิ ะมาตร
ระหา (2560 : 93) วิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมเสรีตามแนวคิดไฮสโคปในการพัฒนาพฤตกิ รรมทางสังคมของเด็กปฐมวยั
ผลการวิจัยพบว่า ค่าดัชนีประสิทธิผลของจัดกิจกรรมเสรีตามแนวคิดไฮสโคปในการพัฒนาพฤติกรรมทางสังคมของ
เด็กปฐมวัย มีค่าเท่ากับ 0.7730 แสดงว่า การจัดกิจกรรมกิจกรรมเสรีตามแนวคิดไฮสโคปนักเรียนมีระดับพฤติกรรม
ทางสังคมมีความก้าวหนา้ ทางการเรยี นรู้คดิ เป็นรอ้ ยละ 77.30

3. ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีท่ี 3 หลังเรียนด้วยแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี

73

นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากผลจากการจัดประสบการณ์
การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปได้เน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามความสนใจของเด็ก
เอง เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้แบบลงมือกระทำอย่างเป็นขั้นตอน คือ เริ่มจากการวางแผน (Plan) การลงมือปฏิบัติ
(Do) และการทบทวน (Review) และจากผลการใช้แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ 4 หน่วยการเรียนรู้
รวมทั้งสิ้น 20 แผนนั้น เด็กมีพฤติกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น คือ เด็กมีความรู้ความเข้าใจ
และสามารถปฏิบัติกิจกรรมจากทางคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ได้ถูกต้อง เช่น 1) ด้านจำนวนและตัวเลข เด็กสามารถนับ
จำนวน 1-20 นับและบอกจำนวนส่ิงต่าง ๆ ไม่เกิน 20 และเข้าใจความหมายของตัวเลขที่แทนค่าวตั ถสุ ่ิงของตามท่ี
จำนวนนับได้ 2) ด้านการจัดประเภท เด็กสามารถสังเกตเพื่อรับรู้รายละเอียดแล้ว จำแนก จัดกลุ่ม สิ่งของที่
เหมือนกันไว้ด้วยกันหรือการจัดกลุ่มตามความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของตามคุณลักษณะที่สัมพันธ์กันได้ เช่น สี
รูปร่าง รูปทรง ขนาดประโยชน์ 3) ด้านการเปรียบเทียบสามารถในการสังเกตเพื่อรับรู้รายละเอียดของสิ่งของ
ตั้งแต่ 2 สิ่งขึ้นไปมาหาข้อแตกต่างตามคุณลักษณะแล้วสามารถจำแนกความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของตาม
คุณลักษณะ เช่น จำนวน มาก–น้อย, ปริมาณ หนัก–เบา, มาก–น้อย ,ขนาด เล็ก–ใหญ่, สัดส่วนสูง–ต่ำ, ยาว–
สั้นได้ และ 4)ด้านการเรียงลำดับ เด็กสามารถในการจัดตำแหน่งสิ่งของหรือวัตถุให้เข้าที่ตามคำสั่งหรือตาม
เกณฑ์ที่กำหนด โดยใช้ความสัมพันธ์ของคุณสมบัติบางอย่าง เช่น จำนวนมาก–น้อย, ปริมาณ หนัก–เบา, ขนาด เล็ก–
ใหญ่, สัดส่วน สูง–ต่ำ, ยาว–สั้น ไม่เกิน 5 ลำดับ ได้ ซึ่งส่งผลให้เด็กปฏิบัติกิจกรรมอย่างมีกระบวนการ เด็กกล้า
แสดงออกในการพูด สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง เด็กเกิดการเรียนรู้จากการแก้ปัญหา และค้นหาคำตอบได้
ด้วยตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของสุกัญญา ธีระปรีชา (2556 : 92) ได้วิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบการจัด
ประสบการณข์ องเดก็ ปฐมวยั ระหว่างแบบเล่นปนเรียนและแบบไฮสโคป ผลการวิจัยพบวา่ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการ
จัดประสบการณ์ของเด็กปฐมวัยระหว่างแบบเล่นปนเรียนมีพัฒนาการเรียนรู้ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-
จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา หลังเรียนสูงกว่าการจัดประสบการณ์ของเด็กปฐมวัยแบบไฮสโคปอย่างมี
นัยสำคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดับ.05 และสอดคลอ้ งกับผลการวิจัยของชณกิ านต์ ใจดี (2557 : 82) วจิ ัยเรอ่ื ง การเปรียบเทยี บ
ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่างการจัดประสบการณ์
บูรณาการตามแนวคิดไฮสโคปและโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนที่ได้รับการ
จัดประสบการณ์บูรณาการตามแนวคิดไฮสโคปมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดประสบการณ์
โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 2) นักเรียนที่ได้รับการจัด
ประสบการณ์บูรณาการตามแนวคิดไฮสโคปมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัด
ประสบการณ์โครงการบ้านนกั วทิ ยาศาสตร์น้อยแตกต่างกันอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05

โดยสรุป การพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง
คณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ส่งผลให้เด็กมีทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่ดีขึ้นจริง ดังนั้น ครูผู้สอนระดับ
ปฐมวัยจึงควรได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมให้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเพื่อส่งเสริม
ทักษะพน้ื ฐานทางคณิตศาสตร์ ไปใช้เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ได้มีพฒั นาการในทุกด้านต่อไป

74

ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวจิ ัยไปใช้
1.1 ควรศึกษากระบวนการ ขั้นตอนตา่ ง ๆ ในแผนการจดั ประสบการณ์การเรียนร้ตู ามแนวคดิ ไฮสโคป

เพอ่ื สง่ เสรมิ ทกั ษะพนื้ ฐานทางคณติ ศาสตร์ ชนั้ อนุบาลปีที่ 3 ควรมีการวางแผนล่วงหนา้ เพอื่ จะได้เก็บรวบรวม
ข้อมูลต่าง ๆ ทสี่ ามารถนำมาใช้ประโยชน์ และสอดคล้องกบั สาระการเรียนที่สอน

1.2 สือ่ การสอนแต่ละหนว่ ย ควรมคี วามเหมาะสมทั้งด้านเน้ือหา สื่อ กิจกรรม เวลา และวยั ของผู้เรยี น
1.3 ครคู วรส่งเสริมให้เดก็ กล้าคดิ กล้าพดู และกลา้ แสดงออก โดยการท่ีครใู หก้ ารชมเชยให้รางวัลและ
ยอมรับฟังความคดิ เห็นของนกั เรยี น ใช้คำถามยั่วยุเพือ่ เปน็ แนวทางใหน้ ักเรยี นได้แสดงความคิดเหน็
1.4 บรรยากาศในการเรยี นจะตอ้ งสนบั สนนุ ท่ีจะช่วยให้ผเู้ รียนเกดิ การเรยี นร้สู ิ่งทีจ่ ะสอนให้เดก็ เรยี น
จะต้องสมั พนั ธ์กับความสามารถและความสนใจของเด็กรวมถงึ ประสบการณเ์ ดิมของเด็กเพอ่ื เปน็ แนวทาง
สำหรบั เด็กในการค้นพบคำตอบใหมๆ่

2. ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ยั ครัง้ ตอ่ ไป
2.1 ควรมีการพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพอ่ื สง่ เสริมทกั ษะพนื้ ฐานทาง
คณติ ศาสตร์ ในระดบั ชนั้ อนื่ ๆ หรอื เรอ่ื งอน่ื ๆ
2.2 ควรมกี ารวิจัยโดยนำแนวการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรูต้ ามแนวคดิ ไฮสโคปเพื่อสง่ เสริมทกั ษะ
พนื้ ฐานทางคณิตศาสตร์ ไปทดลองใชใ้ นการพัฒนาทักษะด้านอืน่ ๆ เชน่ ทักษะภาษา, ทักษะการแกป้ ญั หา,
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เปน็ ต้น

75

บรรณานกุ รม

76

บรรณานกุ รม

กระทรวงศึกษาธกิ าร. หลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัยพุทธศกั ราช 2546. กรงุ เพทฯ : โรงพิมพ์ครุ สุ ภา
ลาดพรา้ ว, 2546. กรมวชิ าการ

. การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยไทยตามแนวคิดไฮสโคป. พิมพ์ครงั้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ : วี ที ซี
คอมมวิ นิเคชนั่ , 2550

. หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั พุทธศกั ราช 2560. กรุงเทพฯ: สำนกั งานคณะกรรมการ
การศึกษาแหง่ ชาต,ิ 2560.

. ค่มู ือหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั พุทธศกั ราช 2560. กรงุ เทพฯ: สำนกั งานคณะกรรมการ
การศกึ ษาแหง่ ชาต,ิ 2560.

กรรณกิ ารณ์ สรุ ยิ ะมาตรระหา. การพัฒนากจิ กรรมเสรตี ามแนวคดิ ไฮสโคปในการพัฒนาพฤตกิ รรมทาง
สงั คมของเด็กปฐมวัย. วิทยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2560.

กุลยา ตนั ติผลาชวี ะ. การจัดกจิ กรรมการเรียนรสู้ ำหรับเดก็ ปฐมวัย. กรุงเพทฯ: เบรน-เบสบคุ๊ , 2547.
________. คู่มือการจดั กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพอ่ื การเรยี นรู้. กรุงเทพฯ : คณะศกึ ษาศาสตร์

มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ, 2551.
เครือพันธ์ อุปโคตร. การเปรยี บเทียบความพร้อมดา้ นคณติ ศาสตร์และด้านภาษา ของนกั เรยี น

ชน้ั อนบุ าลปที ่ี 2 ระหวา่ งการจดั ประสบการณโ์ ดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีพหปุ ญั ญากับ
การจดั ประสบการณป์ กต.ิ วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2553.
จุฬาลักษณ์ คำมลู . การเปรยี บเทยี บความสามารถทางภาษา ความสามารถทางคณติ ศาสตร์และ
ความฉลาดทางอารมณข์ องนกั เรยี นช้นั อนุบาลปที ่ี 2 ระหวา่ งการจัดประสบการณ์
การเรยี นร้โู ดยใชส้ มองเป็นฐานและการจัดประสบการณก์ ารเรียนร้ตู ามแนวคดิ ไฮสโคป.
วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2559.
ชณิกานต์ ใจดี. การเปรยี บเทียบความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละความสามารถในการคิดแกป้ ญั หาของนักเรียน
ชน้ั อนบุ าลปที ี่ 2 ระหวา่ งการจดั ประสบการณ์บูรณาการตามแนวคดิ ไฮสโคปและโครงการ
บา้ นนักวทิ ยาศาสตรน์ อ้ ย. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2557.
ชไมมน ศรีสุรกั ษ.์ การศึกษาความสัมพนั ธ์ทางสังคมของเด็กปฐมวัยทไ่ี ดร้ บั การจดั กจิ กรรมศลิ ปะ
สร้างสรรค์เปน็ กลุ่มแบบวางแผน ปฏิบตั ิ ทบทวน และแบบปกติ. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม
กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2540.
ชวลิต ชูกําแพง. การวิจยั หลกั สตู รและการสอน. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. มหาสารคาม : สํานักพมิ พ์
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2553.
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ. “การประเมินผลส่ือประสม,” ใน เอกสารการสอนชดุ วิชา 21322
ส่อื การสอนระดับมธั ยมศกึ ษาศกึ ษา เลม่ 2 หนว่ ยท่ี 8-15. หนา้ 136. นนทบุรี : มหาวทิ ยาลัย

77

สุโขทยั ธรรมาธริ าช, 2537.
ณัฐวฒุ ิ กิจร่งุ เรือง.ผ้เู รียนเปน็ สำคญั และการเขยี นแผนการจัดการเรยี นรู้ของครูมืออาชีพ. กรงุ เทพฯ

: เยลโล่การพมิ พ,์ 2545.
ดวงเดอื น คณานศุ กั ด์ิ. การพฒั นาความคดิ รวบยอดทางคณติ ศาสตร์ของนกั เรยี นช้นั อนุบาลปที ี่ 1

โดยใช้สื่อประสม. การคน้ ควา้ แบบอิสระ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต ชียงใหม่ : มหาวิทยาลัย
เชยี งใหม่, 2553.
ดุษฎี นุสนธ์. การพฒั นาความสามารถการใหเ้ หตผุ ล กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์เรื่อง ความนา่
จะเป็น ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยการจดั การเรยี นร้แู บบร่วมมือเทคนิค LT . วิทยานิพนธ์
กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม,2553.
ถวลั ย์ มาศจรสั . นวัตกรรมการศึกษาชุด แบบฝึกหดั - แบบฝกึ เสริมทกั ษะ. กรงุ เทพฯ : ธารอักษร, 2546.
ทิวาพร โจมรมั ย.์ ผลการจัดกจิ กรรมการละเลน่ พ้ืนบ้านอสี าน ท่ีมีต่อความพรอ้ มทางคณติ ศาสตร์
ของนกั เรียนชัน้ อนบุ าลปีที่ 2. การศึกษาค้นคว้าอสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, 2553.
ทิพวรรณ สุวรรณมาโจ. การพฒั นาความพร้อมทางคณติ ศาสตร์สำหรบั นกั เรยี นช้นั อนุบาลปที ่ี 1 โดยประยุกต์
แนวการสอนแบบไฮสโคป.การศึกษาคน้ คว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, 2555.
ธราธิคณุ ระหา. การเปรียบเทียบความพร้อมทางคณติ ศาสตรแ์ ละความฉลาดทางอารมณข์ องนักเรียน
ชน้ั อนุบาลปีที่ 2 ระหว่างการจัดประสบการณก์ ารเรียนรูต้ ามแนวคดิ สมองเปน็ ฐานกบั
การจดั ประสบการณก์ ารเรียนรตู้ ามแนวคดิ ไฮสโคป. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม
: มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2559.
บุญชม ศรสี ะอาด. การวจิ ัยเบอ้ื งตน้ . พมิ พ์คร้งั ที่ 9. กรงุ เทพฯ : สวุ รี ิยาสาสน์ จำกดั , 2554.
บญุ เยีย่ ม จิตรดอน. การจัดประสบการณ์เพ่ือสรา้ งมโนมตทิ างคณติ ศาสตร.์ กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2547.
บรู ชัย ศริ มิ หาสาคร. แผนการสอนท่ีเนน้ ผเู้ รียนเปน็ ศูนยก์ ลาง. กรุงเทพฯ : บุ๊ค พอยท์, 2545.
ประไพจิตร เนตศิ ักดิ.์ การสอนคณิตศาสตรใ์ นระดบั ประถมศึกษา. ลำปาง : ภาควิชาหลกั สูตรและ
การสอน คณะครศุ าสตร์ วิทยาลัยครลู าปาง, 2549.
เผชิญ กจิ ระการ. “การวิเคราะห์ประสทิ ธิภาพสอื่ และเทคโนโลยเี พ่ือการศกึ ษา,” วารสารการวัดผล
การศึกษา มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. 7 : 44-52, กรกฎาคม, 2545.
. “ดัชนปี ระสิทธผิ ล (Effectiveness Index : EI),”วารสารการวดั ผลการศึกษา มหาวทิ ยาลยั
มหาสารคาม. 8 : 30-36 ; กรกฎาคม, 2545.
พชั รี ผลโยธินและคณะ. เรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์อย่างไรในอนุบาล. กรงุ เทพฯ : เพื่อนอนบุ าล, 2543.
. การเรียนรขู้ องเดก็ ปฐมวยั ไทย : ตามแนวคิดไฮสโคป. กรุงเทพฯ : วี.ท.ี ซี.
คอมมวิ นิเคชน่ั , 2550.

78

พัชรินทร์ วาวงศม์ ลู . การพัฒนาความพรอ้ มทางคณิตศาสตร์สำหรบั เด็กปฐมวยั ตามแนวคดิ
การเรยี นรูโ้ ดยใชส้ มองเปน็ ฐาน. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2553.

มยรุ า เพียรยงิ่ . ศึกษาความสามารถทางคณติ ศาสตรแ์ ละความสามารถทางวิทยาศาสตรข์ องนักเรียน
ช้ันอนบุ าลปที ่ี 2 ระหวา่ งการจดั ประสบการณ์การเรยี นรตู้ ามแนวคิดสมองเปน็ ฐานกบั
การจัดประสบการณก์ ารเรียนรตู้ ามแนวคิดไฮสโคป. วิทยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม
: มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2556.

ระพพี รรณ ไสยาสน์. การเปรียบเทยี บความฉลาดทางอารมณ์และความคดิ สร้างสรรค์ของนกั เรยี น
ชัน้ อนบุ าลปีท่ี 2 ที่เรียนด้วยการจดั ประสบการณ์ตามรปู แบบ ACACA กบั การจดั ประสบการณ์
โดยใช้สมองเปน็ ฐาน (BBL). วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม,
2554.

รุ่ง แกว้ แดง. ปฎวิ ัติการศึกษาไทย. พิมพ์ครงั้ ที่ 8. กรุงเทพฯ : มติชน, 2543.
รุจิร์ ภูส่ าระ. การเขียนแผนการเรยี นร.ู้ กรุงเทพฯ : บุค๊ พอยท,์ 2545.
ลมั พร ชารินทร.์ การพฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้รปู แบบการจดั การเรียนรู้

ตามแนวคดิ ทฤษฎคี อนสตรัคติวสิ ต์ เรอื่ งจำนวนกบั ตวั เลขสำหรับนักเรียนช้ันอนบุ าลปที ่ี 1.
วิทยานพิ นธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น,2553.
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. เทคนคิ การวจิ ยั ทางการศึกษา. กรงุ เทพฯ : สวุ รี ยิ าสาส์น, 2543.
วลั ภา เฮียงราช. การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้กลุม่ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ เรอื่ งการแปรผนั
ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โดยการเรยี นรู้แบบร่วมมอื เทคนิค LT. วิทยานิพนธ์ กศ.ม.
มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2550.
วรนาท รักสุกลไทย. บทบาทใหมข่ องครูในการสอนวิทย.์ กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้าว, 2546.
วรนาท รักสกุลไทย และคณะ. รวมนวัตกรรมทฤษฎกี ารศกึ ษาปฐมวยั ส่กู ารประยกุ ต์ใช้ในห้องเรยี น.
กรุงเทพฯ : สาราเดก็ , 2551.
วัชรี อ่มิ วั ฒนกุล. การพฒั นาทักษะพ้ื นฐานทางคณิตศาสตร์ ของเดก็ ปฐมวั ยปีที่ 3 โดยใช้กิจกรรม
การละเล่นพ้นื บา้ น. กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2554.
วัฒนา ปญุ ญาฤทธ์ิ และปฐกิ รณ์ ตุกชู แสง. 123 กจิ กรรมสาํ หรบั เด็กปฐมวัย (อายุ 4–5 ป)ี . กรงุ เทพฯ
: ปาเจรา, 2550.
วาโร เพ็งสวสั ด.์ิ การวิจยั ในชนั้ เรยี น. กรุงเทพฯ : สวุ ีริยาสาสน์ , 2545.
วิมลพันธ์ บญุ พงษ.์ การเปรยี บเทยี บความสามารถทางคณิตศาสตร์และความสามารถทางภาษาของ
นกั เรียนช้ันอนุบาลปที ่ี 2 ดว้ ยการจัดประสบการณด์ ว้ ยกจิ กรรมการเรียนรแู้ บบจติ ปัญญา
กับกจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบบูรณาการ.วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวิทยาลยั
มหาสารคาม, 2552.
วมิ ลรตั น์ สุนทรโรจน.์ พัฒนาการสอน. มหาสารคาม : ภาควิชาหลักสตู รและการสอนมหาวทิ ยาลัย

79

มหาสารคาม, 2545.
. นวัตกรรมเพื่อการเรียนร.ู้ กาฬสินธุ์ : ประสานการพิมพ,์ 2550.
ศิริพรรณ สิทธพิ นู อนุภาพ. การพฒั นาทกั ษะทางคณิตศาสตร์ สำหรับนกั เรียนช้ันอนบุ าลปีที่ 2 โดยใช้
กิจกรรมเสรีตามแนวคิดไฮ/โคป (High/Scope). การศกึ ษาค้นควา้ อสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม
: มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2552.
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. กรอบมาตรฐานการเรยี นรู้เรียนคณติ ศาสตร์
ปฐมวัย. สาขาคณติ ศาสตรป์ ระถมศึกษา สสวท.. กรุงเทพฯ : สถาบนั สง่ เสรมิ การสอน
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย,ี 2551.
สายพิณ ใจยวน. การศกึ ษาการสร้างแผนการจดั ประสบการณค์ ณิตศาสตรส์ ำหรับเดก็ ปฐมวัย
โดยใช้ วิธีการสอนแบบเลน่ -เรียน-สรุป-ฝกึ ทักษะ ของนักเรยี นชั้นอนุบาลปีท่ี 1.
วิทยานพิ นธ์ กศ.ม. เชยี งใหม่ : มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่, 2549.
สมนกึ ภทั ทยิ ธน.ี การวดั ผลทางการศึกษา. พิมพ์คร้งั ท่ี 8. กาฬสินธ์ุ : ประสานการพมิ พ์, 2553.
สมบตั ิ การจนารักพงค.์ เคล็ดลบั วิธคี ดิ และวธิ ีสรา้ งนวตั กรรมสำหรับครมู อื อาชีพ. กรุงเทพฯ : 21
เซ็นจรู่ ,่ี 2548
สกุ ัญญา ธรี ะปรีชา. การเปรียบเทยี บการจดั ประสบการณข์ องเด็กปฐมวัยระหวา่ งแบบเล่นปนเรยี นและ
แบบไฮสโคป. วิทยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2556.
สวุ ทิ ย์ มูลคำ. กลยุทธก์ ารสอนคิดวเิ คราะห.์ กรงุ เทพฯ : ภาพพมิ พ,์ 2550.
สำลี รักสุทธ.ี ทางก้าวหนา้ สคู่ รูมืออาชีพ. กรุงเทพฯ : พฒั นาศกึ ษา, 2544.
โสภา แสนลือชา. ศึกษาความสามารถทางภาษาความสามารถทางคณติ ศาสตร์และความฉลาดทาง
อารมณ์ของนักเรียนชัน้ อนุบาลปที ี่ 2 ระหว่างการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้โดยใช้สมอง
เป็นฐานและการจดั ประสบการณก์ ารเรียนร้ตู ามแนวคดิ ไฮสโคป. วิทยานพิ นธ์ กศ.ม.
มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2556.
อรุณี หรดาล และคณะ. ประมวลสาระชุดวิชาพืน้ ฐานวิชาชีพครรู ะบบการจดั การศึกษาของไทย
บัณฑิตศึกษา หนว่ ยท่ี 4. นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช, 2550.
อาภรณ์ ใจเท่ยี ง. หลกั การสอน. พิมพค์ รัง้ ที่ 3. กรงุ เทพฯ : โอ เอส พร้นิ ต้ิงเฮาส,์ 2546.
อารมณ์ สุวรรณปาล. การเลน่ กบั การสร้างเสรมิ ประสบการณช์ ีวติ เดก็ ปฐมวัย เอกสารการสอน
ชุดวิชาการสร้างเสริมประสบการณช์ ีวติ ระดับปฐมวยั หนว่ ยท่ี 8-15. พิมพ์ครั้งที่ 8.
นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช, 2547.
Buckshaw, Stacey L. “Ready Schools : Assessing the Value of Social Context
Variables As Predictors of Schools’ Readiness for Children,” Dissertation
Abstracts International. 68(9) : unpaged ; March, 2018.
Chung, Ngoc Hanh. “Comparison Study of Five-year-old Head Start Children on

80

the Number of Days Attending School and the Achievement Levels,”
Dissertation Abstracts International. 9(67) : unpaged ; March, 2017.
Jensen, Melanie Kannwischer.“Development of the Early Childhood Curricular
Beliefs Inventory : An Instrument to Identify Pre service Teachers’ Early
Childhood Curricular Orientation,” Dissertation Abstracts International.
12(65) : 4458-A ; June, 2015.
Peyton, Lynne. “High/Scope Supporting the Child, the family, the Community :
A Report of the Proceedings of the High/Scope Ireland Third Annual
Conference, 12th October 2004. Newsy, Northern Ireland,” Child Care
in Practice. 11(4) : 433-456 ; October, 2015.

81

ภาคผนวก

82

ภาคผนวก ก
ตวั อย่างแผนจดั ประสบการณ์การเรียนรตู้ ามแนวคดิ การเรยี นรูไ้ ฮสโคปเพ่ือ

สง่ เสริมทกั ษะพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ ช้นั อนุบาลปที ี่ 3

83

แผนการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้

ตามแนวคิดไฮสโคป High Scope
ช้นั อนุบาลปีท่ี 3 ปีการศกึ ษา 2564
หนว่ ย เทคโนโลยีและการสื่อสาร

นางสาวธิดารตั น์ หลกั ทอง

ตำแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชำนาญการ

โรงเรยี นบ้านบงึ หอม

สำนกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาอุบลราชธานี เขต 2
สงั กัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร

84

แผนการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้
ตามแนวคดิ ไฮสโคปเพ่อื สง่ เสรมิ ทกั ษะพนื้ ฐานทางคณิตศาสตร์ ชน้ั อนบุ าลปีที่ 3

วนั ท่ี 1 หนว่ ย เทคโนโลยแี ละการสอื่ สาร

กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์
สาระสำคญั

จดหมาย คอื ข้อความทเี่ ขยี นขนึ้ เพ่ือส่งสารจากบคุ คลหนึง่ ไปยังบุคคลหน่งึ มีชื่อท่ีอยู่ผู้ส่งชือ่ ทอ่ี ย่ผู ู้รบั และ
ท่ีติดแสตมป์ แล้วจงึ ใส่ในตไู้ ปรษณีย์

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เด็กสามารถบอกชนิดของจดหมายได้ (ความรู้)
2. เด็กสามารถนับเรียงลำดับจำนวน 1-20 ได้โดยรคู้ ่าและความหมาย (ความรู)้
3. เด็กสามารถทำงานเปน็ กลมุ่ ได้ (ทกั ษะกระบวนการ)
5. เดก็ สามารถช่นื ชมผลงานของตนและผ้อู ่นื ได้ (เจตคติ)

สาระและมาตรฐานการเรียนร้ตู ามกรอบมาตรฐานการเรยี นรู้คณติ ศาสตรร์ ะดบั ปฐมวยั พ.ศ. 2551
สาระท่ี 1 : จำนวนและการดำเนินการ
มาตรฐาน ค.ป. 1.1 : เข้าใจถงึ ความหลากหลายของการแสดงจำนวนและการใชจ้ ำนวนในชีวติ จรงิ
สาระท่ี 2 : การวดั
มาตรฐาน ค.ป. 2.1 : เข้าใจพน้ื ฐานเก่ียวกบั การวัดความยาว นำ้ หนกั ปรมิ าตร เงิน และ เวลา
สาระที่ 3 : เรขาคณิต
มาตรฐาน ค.ป. 3.1 : รูจ้ ักใชค้ ำในการบอกตำแหนง่ ทิศทาง และระยะทาง
มาตรฐาน ค.ป. 3.2 : รูจ้ กั จำแนกรปู เรขาคณิต และเขา้ ใจการเปล่ียนแปลง รปู เรขาคณติ ทเี่ กิดจาก

การจดั กระทำ

ทักษะพ้นื ฐานทางคณติ ศาสตรท์ ีต่ ้องการฝกึ
ทกั ษะดา้ นจำนวนและตวั เลข

สาระการเรยี นรู้
สาระท่ีควรเรยี นรู้
- ชนดิ ของจดหมาย
- จำนวน 1-20

85

ประสบการณส์ ำคญั
- การฟงั เพลง นิทาน คำคล้องจอง บทรอ้ ยกรองหรอื เรื่องราวต่าง ๆ
- การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตา่ ง ๆ ตามความสามารถของตนเอง
- การใหค้ วามรว่ มมือในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมต่าง ๆ
- การรว่ มสนทนาและแลกเปลย่ี นความคิดเห็น
- การพูดกับผู้อน่ื เกี่ยวกบั ประสบการณ์ของตนเอง หรือพูดเลา่ เรอ่ื งราวเกี่ยวกับตนเอง
- การรอจงั หวะท่ีเหมาะสมในการพดู
- การนับและแสดงจำนวนของส่งิ ต่าง ๆในชวี ติ ประจำวัน
- การใชภ้ าษาทางคณิตศาสตร์กบั เหตุการณใ์ นชีวิตประจำวนั

การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้
ทดสอบกอ่ นเรียน
เดก็ ๆ ทำแบบทดสอบยอ่ ยวัดทักษะพ้ืนฐานทางคณติ ศาสตร์ ช้นั อนบุ าลปที ี่ 3 หน่วยการเรยี นรเู้ รื่อง

เทคโนโลยแี ละการสื่อสาร จำนวน 16 ขอ้ โดยครูเป็นผู้ดำเนนิ การด้วยตนเอง (เวลายืดหยนุ่ ได้ตามความ
เหมาะสมอาจเปน็ นอกเวลาเรียน)

ขั้นนำเข้าสบู่ ทเรยี น
1. กล่าวสวสั ดที ักทายเด็ก ๆ ถามเดก็ ว่าการติดต่อสอ่ื สารกับเพอ่ื นๆ ที่เดก็ เรียนรู้มามอี ะไรบา้ ง (การ
พดู คยุ การโทรศัพท)์ และเดก็ คดิ วา่ ยงั มีวธิ ีอ่ืนอกี ไหม (เดก็ แสดงความคิดเห็น)
2. ครูพาเดก็ ทอ่ งคำคลอ้ งจอง จดหมาย ทลี ะวรรค (จดหมาย จดหมาย จดหมาย หนูเขยี นจดหมาย
สื่อสาร ส่งข้อความถึงคนรบั ให้อ่าน ไดย้ ม้ิ ช่ืนบานเมือ่ อา่ นจดหมาย) แลว้ สนทนาเก่ียวกบั คำคลอ้ งจอง โดยถาม
คำถาม เช่น
- เดก็ ๆ รจู้ ักจดหมายหรอื ไม่ จดหมายมีลักษณะอยา่ งไร
- เด็ก ๆ เคยเขยี นจดหมายถึงใครบา้ งหรือไม่ เพราะอะไรถงึ เขยี น
ขั้นการสอน
ข้นั ท่ี 1 วางแผน (Plan)
3. ครูนำจดหมายหลากหลายรูปแบบมาใหเ้ ดก็ สงั เกตดู สนทนาเกี่ยวกบั จดหมายโดยใช้คำถามดังน้ี

- เด็ก ๆ เคยเหน็ จดหมายท่ีไหนบ้าง
- จดหมายประกอบดว้ ยอะไรบ้าง
- เมอ่ื ส่งจดหมายตอ้ งมีอะไรบา้ ง

86

4. ครนู ำซองจดหมาย รูปแบบต่าง ๆ (ซองตราครฑุ ซองสีสนั สวยงาม และซองทั่วไป) มาใหเ้ ดก็ สงั เกต
ดู บอกเด็กวา่ ซองจดหมายนี้เปน็ ซองทส่ี มบรู ณ์แบบแลว้ และแตล่ ะรูปแบบจะใชใ้ นโอกาสท่แี ตกต่างกนั เชน่
จดหมายตราครุฑจะใช้ในราชการ ซองจดหมายที่มสี ีสนั สวยงามจะสง่ จดหมายให้เพอ่ื นหรอื คนทส่ี นทิ สนมกัน
เป็นตน้

5. ครใู หเ้ ดก็ สงั เกตว่าบนซองจดหมายนน้ั จะมสี ่วนต่าง ๆ ดังน้ี ชื่อทีอ่ ยผู่ ู้ส่งชอ่ื ท่อี ยู่ผูร้ ับ และท่ีตดิ
แสตมป์

6. ครูแจกแบบซองจดหมายที่ครูตัดให้เด็กคนละ 1 ซอง ให้เดก็ วางแผนการประดิษฐ์เป็นซองจดหมาย
7. ครวู าดภาพซองจดหมายและเขียนตัวอยา่ งหน้าซองบนกระดานใหเ้ ดก็ ทำตามโดยให้เด็กสมมตุ ชิ ื่อท่ี
อยผู่ ้รู บั (แม่ พอ่ เพ่อื น) สำหรบั ผสู้ ง่ ใหเ้ ขยี นชือ่ เล่นของเดก็
ข้นั ท่ี 2 ลงมือปฏบิ ัติ (Do)
8. เดก็ ๆ ลงมอื ประดษิ ฐ์ซองจดหมายตามแผนท่ีวางไว้ โดยตัดภาพสวยๆ สมมุตเิ ปน็ แสตมปแ์ ละวาด
ภาพหรอื ตกแต่งซองจดหมายดว้ ยการปะติดเศษวสั ดุใหส้ วยงาม เมือ่ เสร็จแล้วเกบ็ อปุ กรณ์ใหเ้ รียบรอ้ ย
9. ครูนำภาพจดหมายมาติดบนกระดานให้เดก็ ฝึกนับจำนวน และใช้คำถามกระตุ้นใหเ้ ด็กสงั เกตบัตร
ตัวเลขอารบิก 1-20, บัตรตวั เลขไทย ๑-๒๐ แสดงจำนวนให้เดก็ ๆ รคู้ า่ ของจำนวน เด็กฝึกนับปากเปลา่ ภาพ
จดหมาย และใหเ้ ดก็ แต่ละคนหยิบบตั รรปู ภาพ แลว้ บอกมีจดหมายก่ีซอง

10. ครใู หเ้ ด็กแต่ละคนนำเสนอซองจดหมายใหเ้ พ่อื นๆ ชม ถามเดก็ วา่ ซองจดหมายนน้ั สมบูรณ์หรือยงั
และยงั ขาดอะไร (จดหมาย)

11. ครแู จกกระดาษครงึ่ A4 มลี ายเส้น ใหเ้ ด็กคนละ 1 แผน่ จากน้ันใหเ้ ดก็ เขยี นจดหมายถึงคนทเี่ ดก็
จา่ หนา้ ซองถงึ โดยครูเขียนตัวอยา่ งข้อความง่ายๆ ส้ันๆโดยเขียนคำขน้ึ ต้น และคำลงท้ายบนกระดาน ใหเ้ ดก็
เขยี นตาม หากเขยี นไม่ไดส้ ามารถให้เดก็ ๆ วาดภาพแทนได้

12. ครจู ำลองสถานการณใ์ หเ้ ดก็ สง่ จดหมาย โดยครเู ตรยี มต้ไู ปรษณยี ์ใหเ้ ด็กได้ หยอ่ นจดหมาย และ
บอกเด็กว่าจะมีบุรษุ ไปรษณยี ม์ ารับจดหมายจากต้ไู ปรษณยี ์ตามเวลา จากนนั้ จดหมายนีก้ จ็ ะสง่ ถงึ มือผู้รับ

ขนั้ สรุป
ขัน้ ท่ี 3 ทบทวน (Review)
13. เดก็ แต่ละคนนำเสนอผลงาน กระบวนการทำงานตลอดจนทบทวนได้ปฏบิ ัติตามแผนท่วี างไว้
หรอื ไม่ เปลย่ี นแปลงเพราะอะไร หลงั จากนน้ั ให้เพ่ือซักถามขอ้ สงสยั ท่อี ยากรู้
14. ครใู ช้คำถามทกี่ ระตนุ้ ใหเ้ ดก็ ได้ แกป้ ญั หา ให้เหตุผล สื่อสาร สื่อความหมายทางคณิตศาสตรแ์ ละ
การนำเสนอ การเช่ือมโยงความรตู้ า่ ง ๆ ทางคณติ ศาสตรแ์ ละเชอื่ มโยงคณิตศาสตรก์ บั ศาสตร์อ่นื ๆ และมี
ความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์
15. ครคู อยสงั เกตกระบวนการทำงานของเด็กพรอ้ มทงั้ ให้คำแนะนำในการทำงานอย่างใกล้ชดิ

87

16. เด็กและครูรว่ มกันสรุปเก่ียวกบั ลักษณะของจดหมายรูปแบบต่าง ๆ
17. เดก็ และครูรว่ มรอ้ งเพลง ตู้ไปรษณยี ์ อกี คร้งั และร่วมกันสรุปชนิดของจดหมาย

สื่อการเรียนการสอน/สอ่ื ประสม
1. คำคลอ้ งจอง จดหมาย
2. ซองจดหมายขนาดต่าง ๆ
3. วัสดตุ กแตง่ เช่น เศษวสั ดุ ภาพสวยๆ เป็นต้น
4. กาว กรรไกร
5. ดินสอ สีไมห้ รือสีเทียน
6. กระดาษครงึ่ A4 มลี ายเสน้
7. ตูไ้ ปรษณียจ์ ำลอง
8. บตั รตัวเลขอารบิก 1-20, บัตรตัวเลขไทย ๑-๒๐
9. แบบทดสอบยอ่ ยวัดทักษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ประจำหนว่ ยการเรยี นรู้

เรอ่ื ง เทคโนโลยีและการส่อื สาร จำนวน 16 ขอ้

การประเมนิ ผล
สิง่ ท่ีตอ้ งประเมนิ
1.สังเกตการแสดงความคดิ เห็นและบอกเหตุผลในขณะทำกจิ กรรม
2. สงั เกตการมสี ว่ นรว่ มในการทำกจิ กรรม/พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ขณะทำกจิ กรรม
3. ทดสอบวัดทกั ษะคณติ ศาสตร์ (กอ่ นและหลงั เรียนประจำหนว่ ยการเรียนร)ู้
เครื่องมือการประเมิน
1. แบบสังเกตพฤตกิ รรมทกั ษะพื้นฐานทางคณติ ศาสตร์
2. แบบสังเกตพฤตกิ รรมการร่วมกิจกรรม
3. แบบทดสอบยอ่ ยวัดทักษะพน้ื ฐานทางคณติ ศาสตร์ (กอ่ นและหลงั เรยี นประจำหนว่ ยการเรยี นรู้)
หมายเหตุ : วัดทกั ษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตรด์ ้วยแบบทดสอบย่อยวดั ทกั ษะพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์

ประจำหน่วยการเรยี นรู้ (กอ่ นและหลงั เรียนประจำหน่วยการเรียนรู้)

88

ภาคผนวก ข
แบบทดสอบวดั ทกั ษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ชนั้ อนบุ าลปที ่ี 3

89

90

91

92

93

94


Click to View FlipBook Version