The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ระบบการจัดความรู้<br>(Knowledge Organization System)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by yaovalak.l, 2022-09-13 01:44:03

Chap2_KOS

ระบบการจัดความรู้<br>(Knowledge Organization System)

Keywords: ระบบการจัดความรู้

มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

สาขาวิชาสารสนเทศศาสตร์

ตำราเรียนในระดั บอุ ดมศึ กษา
ชุดวิชา HS212104



การจัดสารสนเทศและความรู้ใน

สภาพแวดล้อมดิจิทัล



รองศาสตราจารย์ มาลี กาบมาลา



วตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้
1. เพ่ือให้ผู้เรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจระบบการจัดความรู้
2. เพ่ือให้ผู้เรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจการใช้ระบบการจัดความรู้ในสภาพแวดล้อมดิจิทลั

58

บทที่ 2
ระบบการจดั ความรู้
(Knowledge Organization System)

บทนา
ระบบการจัดความร้ ูเป็ นเคร่ืองมือสาคัญต่อการบันทึกและถ่ายทอดความร้ ูของมนุษย์

ดังท่ี Taylor (2004) กล่าวไว้ว่าแบบแผนของระบบการจัดความรู้ท่ีพัฒนาข้ึนในแต่ละยุคสมัยมี
ความสาคัญต่อกระบวนการส่ือสารและถ่ายทอดความรู้ ทาให้มนุษย์สามารถรวบรวม จัดเกบ็
สบื ค้น และนาความรู้ท่มี อี ยู่ไปใช้ได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ก่อให้เกดิ ประโยชน์ในด้านต่างๆ ตามมา
เช่น ทาให้เข้าใจความคิดของผู้อ่นื ทาให้เกิดการเรียนรู้ส่งิ ท่สี ัมพันธ์กันและกนั และทาให้สามารถ
ขยายหรือเช่ือมโยงความรู้ไปสู่การสร้างความรู้ใหม่ เป็นต้น ระบบการจัดความรู้มีส่วนสาคัญต่อ
การเข้าถึงความรู้ ท้ังในด้านแบบแผนการนาเสนอขอบเขต โครงสร้างของความรู้ ทาให้ผู้ใช้
สามารถมองเหน็ ภาพรวมของความรู้ท่จี ัดเกบ็ ไว้ ท้งั การจัดระบบทางกายภาพ และการทาดรรชนี
เพ่ือการสบื ค้น (SKOS, 2008 ; Si, Xu, & Chen, 2006)

ระบบการจัดความร้ ู ตามบริ บทสาขาวิชาบรรณารั กษศาสตร์ ฯ ใช้ ในการจัด ท รั พ ย า ก ร
สารสนเทศของห้องสมุด มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) กาหนดท่ีอยู่หรือท่ีจัดเกบ็ ให้กับทรัพยากร
สารสนเทศ 2) ช่วยในการจัดเรียงทรัพยากรสารสนเทศท่มี ีเน้ือหาเหมือนกนั หรือคล้ายกันให้มา
อยู่รวมกันหรือช้ันเดียวกัน เพ่ือให้ผู้ใช้สามารถพบทรัพยากรสารสนเทศท่ีมีเน้ือหาเดียวกันได้
ในท่ีเดียว 3) ช่วยในการเช่ือมโยงรายการของทรัพยากรสารสนเทศท่ีมีเน้ือหาเหมือนกัน 4)
ช่วยในการเรียกดู (Browsing) ทรัพยากรสารสนเทศท้ังท่ีอยู่บนช้ันสามารถทาได้อย่างสะดวก
เน่ืองจากโครงสร้างของการจัดหมวดหมู่ทรัพยากรสารสนเทศเป็นแบบเรียงลาดับหมวดหมู่ และ
ท่สี าคญั การจัดหมวดหมู่ของทรัพยากรสารสนเทศยังช่วยในการค้นคนื

สภาพแวดล้อมดิจิทัล สารสนเทศท่ีมีรูปแบบเป็ นดิจิทัล ต้ังแต่ไฟล์ข้อความเสียงและ
วิดีโอ ไปจนถึงกราฟิ ก เกม แอนิเมช่ัน และรูปภาพ โดยอาศัยการส่ือหรือการแสดงเน้ือหาผ่าน
ทางอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ เช่น ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ส่ือสาร โทรทัศน์หรือโรงภาพยนตร์
ส่ือสังคมออนไลน์ แอปพลิเคช่ัน เว็บไซต์ อินทราเนต็ เป็ นต้น ระบบการจัดสารสนเทศและ
ความรู้ได้ถูกนามาประยุกต์ใช้กับสถาปัตยกรรมสารสนเทศดิจิทัลในการออกแบบ การจัดกลุ่ม
หรือจาแนกประเภทสารสนเทศ การจัดโครงสร้าง เมทาดาทา การนาทาง การเรียกดูสารสนเทศ

59

1. ระบบการจดั ความรู้ (Knowledge Organization System: KOS)
1.1 ความหมาย
ระบบการจัดความรู้ หมายถึง แบบแผน (Scheme) ทุกประเภท ท่ีกาหนดข้ึนมาเพ่ือ

ช่วยสนับสนุนการจัดเกบ็ และค้นหาความรู้ ซ่ึงพิจารณาได้ท้งั มุมมองท่วั ไปและมุมมองเฉพาะสาขา
กล่าวคือ มุมมองท่ัวไปเก่ียวข้องกับการจัดระบบโครงสร้างหรือการจาแนกความรู้ท่ีมีอยู่ท่ัวไป
(Discipline) เช่น การจาแนกสรรพวิชาท่มี ีอยู่ในโลก การจาแนกหนังสือของห้องสมุดท่ีคานึงถึง
สรรพวิชาท่ีมีอยู่จริง เป็ นต้น ส่วนมุมมองเฉพาะสาขาใช้เป็ นเคร่ืองมือสาหรับส่ือความหมาย
(Semantic tools) โดยคานึงถึง คา (Word) แนวคดิ (Concept) และความสมั พันธเ์ ชิงความหมาย
(Semantic relation) ของความรู้ในแต่ละสาขาวิชา (Koch & Tudhope 2004; Hill, et al. 2002)

ระบบการจัดความรู้มีหน้าท่ีพ้ืนฐานแตกต่างกันตามประเภท ข้ึนอยู่กับการจัด
โครงสร้างและการนาไปใช้ หน้าท่เี หล่าน้ีคือ การกาจัดความคลุมเครือ (Eliminating ambiguity)
การควบคุมคาพ้อง (Controlling synonyms) การสร้างความสมั พันธล์ าดับช้ันและความเก่ยี วข้อง
(Hierarchical and associative) และการนาเสนอคุณสมบัติ (Properties) (Zeng, 2008) จาก
แบนราบไปสู่หลากหลายมิติ (From flat to multidimensional) ตัวอย่างเช่น รายการหลักฐาน
(Authority file) อกั ขรานุกรมภมู ิศาสตร์ (Gazetteers) วงแหวนคาพ้องความหมาย (Synonym
rings) ฐานข้อมูลคาศัพท์ (Lexical Databases) อนุกรมวิธาน (Taxonomies) และแบบแผนการ
จัดหมวดหมู่ (Classification schemes) ศัพทส์ มั พันธ์ (Thesauri) และออนโทโลยี (Ontologies)
(Zeng, 2008; Koch & Tudhope, 2004; Hill et al. 2002)

ภาพท่ี 2.1 โครงสร้างและหน้าท่ขี องระบบการจดั ความรู้ (Zeng, 2008)

60

1.2 หลกั การของแนวทางระบบการจดั ความรู้ (Fundamentals of KOS Approaches)
1. ขจัดความคลุมเครือ (Eliminating ambiguity)
1.1 คาศัพทค์ าพ้องรูปท่มี ีการสะกดคาเหมือนกนั (Homographs) มีแนวคดิ

หรือความหมายท่ีแตกต่างกัน ใช้การอธิบายเพ่ิมเติม (Qualifier) ให้กับคาศัพท์ แนวทางน้ี
สามารถใช้กับระบบการจัดความรู้เกือบทุกประเภท เช่น รายการหัวเร่ือง และศัพท์สัมพันธ์
ตัวอย่างเช่น Mercury การสะกดเหมอื นกนั แต่มีความหมายต่างกนั Mercury (automobile)

ภาพท่ี 2.2 คาศัพทค์ าพ้องรปู ท่มี กี ารสะกดคาเหมอื นกนั

1.2 การอธบิ ายขอบเขต (Scope note) แนวทางน้ีสามารถใช้กบั ระบบการจัด
ความรู้เกอื บทุกประเภท โดยเฉพาะรายการหัวเร่ือง การจัดหมวดหมู่ และศัพทส์ มั พันธ์
ดังตัวอย่าง

ภาพท่ี 2.3 การอธบิ ายขอบเขต (Scope note) ของ Medical Subject Headings

61

1.3 การจัดเตรียมบริบทของคาศัพท์ การควบคุมคาพ้ องความหมาย
(Synononym) คาท่มี ีความหมายเหมือนหรือคล้ายกนั

1.3.1 คาพ้องท่เี ป็นจริง (True synonyms (unusual))
- ช่ือท่วั ไปและทางเทคนิค เช่น salt vs. sodium chloride
- การเปล่ียนแปลงการใช้ข้อกาหนดเม่ือเวลาผ่านไป เช่น

electronic calculating machines vs computers
- ภาษาต่าง ๆ เช่น eyeglasses, spectacles, glasses
- คาย่อ เช่น BBC, British Broadcasting Company; MPG,

miles per gallon
- การสะกดคาท่แี ตกต่าง เช่น cancelled, canceled; honor, honour

1.3.2 คาท่มี ีความหมายใกล้เคียงกนั (Near Synonyms)
-คาท่มี ีสาแหรกเดียวกนั (Same stem) เช่น computing,

computers,computed, microcomputers, supercomputers
- แนวคิดคาบเก่ยี วกนั (Overlapping concepts) เช่น
– medicine, drugs
– fired, laid off
– forest, woods
– arid, dry

-คาศัพทท์ ่วั ไปและเฉพาะ General and specific terms เช่น
Coffee
– Double Espresso
– Latte
– Cappuccino
– Short Black
– Macchiato
– Flat White
etc.

1.3.3 วงแหวนคาพ้อง (Synonym rings) ประเภทของคาศัพทค์ วบคุม
ในมาตรฐาน NISO Z39.19 วงแหวนคาพ้องเช่ือมโยงกบั ชุดของคาท่กี าหนดความหมายเหมอื นกนั
สาหรับการค้นคนื

62

ภาพท่ี 2.4 วงแหวนคาพ้อง

2. การสร้างความสมั พันธเ์ ชิงความหมายท่ชี ัดแจ้ง (Making explicit semantic
relationships) ได้แก่ ความสัมพันธ์แบบลาดับช้ัน รวมท้งั การจัดรายการ คือ ชุดของคาศัพท์ใน
การจัดเรียงตามลาดับอย่างต่อเน่ือง เช่น การจัดเรียงตามลาดับตัวอักษร (Alphabetically)
เหตกุ ารณ์ (Chronologically) ลาดบั ตวั เลข (Numerically) ฯลฯ

Classifications
superordinate classes (e.g., parents)
. coordinate classes (e.g., siblings)
. . subordinate classes (e.g., children)

. . subordinate classes
. coordinate classes
. coordinate classes
. . subordinate classes

และความสมั พันธเ์ ก่ียวข้อง (Associative relationships) เช่น

Relationship Example
Part / Whole Bicycle / Bicycle Wheel
Cause / Effect Accident / Injury
Process / Agent Velocity measurement / Speedometer
Action / Product Writing / Publication
Action / Patient Teaching / Student
Concept or Thing / Properties Steel alloy / Corrosion resistance
Concept or Thing / Origins Water / Well
Thing or Action / Counter-agent Pest / Pesticide
Raw material / Product Grapes / Wine
Action / Property Communication / Communication skills
Antonyms Single people / Married people

63

3. เครือข่ายความหมาย (Semantic networks)
การจัดชุดคาศัพทท์ ่แี สดงแนวคิด ซ่ึงจาลองเป็นโหนดในเครือข่ายด้วย

ความสมั พันธข์ องแนวคดิ ท่หี ลากหลายประเภท และคุณสมบัตขิ องแนวคิด เช่น

ภาพท่ี 2.5 ชุดคาศัพทท์ ่แี สดงแนวคดิ ความสมั พันธข์ องแนวคดิ ในเครอื ข่าย

1.3 ประเภทของระบบการจดั ความรู้
ประเภทของระบบการจัดความรู้สามารถจาแนกโดยพิจารณาถึง โครงสร้างของระบบ

ก า ร จั ด ค ว า ม รู้ (Knowledge organization structure) ซ่ึ ง NKOS (Networked knowledge
organization systems/Services) จาแนกประเภทออกเป็ น 4 กลุ่ม (Abbas, 2010; SKOS,
2008; Zeng, 2008; Si, Xu, & Chen, 2006; NISO, 2005; Hill et al. 2002; Hodge, 2000)
คือ

1. กลุ่มท่แี สดงรายการศัพท์ (Term lists) การจัดระบบโครงสร้างความรู้ท่ีง่ายท่ีสุด
ได้แก่ พจนานุกรมภาษา (Dictionaries) อภิธานศัพท์ (Glossaries) และรายการวงแหวนคาพ้อง
(Synonym Rings)

2. กลุ่มคล้ายเมทาดาทา (Metadata-like models) การจัดโครงสร้างความรู้ท่ีเรียง
ตามลาดับรายการ และมีจุดมุ่งหมายเพ่ือการควบคุมคาศัพทห์ รือช่ือท่ใี ช้เรียกในรายการหลักฐาน
เพ่ือลดความซา้ ซ้อนหรือความคลุมเครือ ทาให้การค้นหารายการมีความสะดวกมากข้ึน ได้แก่
รายการหลักฐาน (Authority files) นามานุกรม (Dircetories) อักขรานุกรมภูมิศาสตร์
(Gazetteers)

3. กลุ่มท่แี สดงหมวดหมู่หรือประเภท (Classification and categorization) การจัด
โครงสร้างความรู้ท่มี ีการจัดกลุ่มความรู้ตามเน้ือหา โดยจัดเน้ือหาเร่ืองเดียวกนั หรือใกล้เคียงกันไว้
ด้วยกัน และแบ่งย่อยเน้ือหาจากเร่ืองท่กี ว้างไปสู่เร่ืองท่เี ฉพาะเจาะจง การกาหนดสญั ลักษณ์หรือ
ข้อความ วลี ข้นึ เป็นตวั แทนของเน้ือหาสาระ เพ่ือควบคุมความซา้ ซ้อน คลุมเครือ ใช้เป็นเคร่ืองมือ
ในการสบื ค้นและเข้าถึงเน้ือหาท่ปี รากฎในทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดหรือระบบฐานข้อมูล
ได้แก่ รายการหัวเร่ือง (Subject heading) แบบแผนการจัดหมวดหมู่ (Classification scheme)
การจาแนกประเภทและอนุกรมวิธาน (Categorization and Taxonomy)

64

4. กลุ่มท่แี สดงความสมั พันธ์ (Relationship model) การจัดระบบโครงสร้างความรู้
ท่เี กดิ จากการวิเคราะห์แนวคิดของความรู้ โครงสร้างความรู้ประกอบด้วย แนวคิดของความรู้หลาย
ๆ แนวคิดท่ีเช่ือมโยงกันเป็นความสัมพันธ์แบบลาดับช้ัน (Hierarchical relationship) หรือแบบ
เก่ียวข้องกัน (Associated relatiohship) หรือความสัมพันธ์รูปแบบอ่ืน ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับระบบ
โครงสร้างความรู้ และกลุ่มดังกล่าวเหมาะสาหรับใช้เป็นเคร่ืองมือในการค้นคืนและเข้าถึงเน้ือหา
ท่อี ยู่ระบบสารสนเทศดิจิทลั ได้แก่ ศัพทส์ มั พันธ์ (Thesauri) เครือข่ายเชิงความหมาย (Semantic
networks) และออนโทโลยี (ontologies)

ท้งั น้ีการจาแนกประเภทท้งั 4 กลุ่มพิจารณาจากแนวทาง (Approach) ท่นี ามาใช้
วิเคราะห์จัดโครงสร้างของเน้ือหาหรือขอบเขตความรู้ในสาขาวิชา และจัดความสัมพันธ์เชิง
ความคิดระหว่างเน้ือหาวิชา (Broughton, 2006) ซ่ึงแต่ละวิธีการท่ีนามาใช้น้ัน จะทาให้ระบบ
การจัดความรู้แต่ละกลุ่มมีคุณลักษณะพ้ืนฐาน การจัดกลุ่ม การใช้สญั ลักษณ์ และรายละเอยี ดอ่นื ๆ
ท่แี ตกต่างกนั รายละเอยี ดของระบบการจัดความรู้แต่ละประเภทสรุปได้ดังตารางท่ี 2.1 (Zeng,
2008; Hill, Buchel, & Shiri, 2006; Si, Xu, & Chen, 2006) ส่วนกลุ่มความสัมพันธ์เน้ น
ความเช่ือมโยงระหว่างคาศัพท์และแนวคิด เพ่ือแสดงความสัมพันธ์ทางความหมายระหว่างกัน
ในขณะท่กี ลุ่มหมวดหมู่หรือประเภทเน้นการจัดลาดบั เน้ือหาของสาขามากกว่า

ตารางท่ี 2.1 ระบบการจัดความรู้จาแนกตามประเภท

รายละเอียด 1)กล่มุ รายการศพั ท์ 3)กลมุ่ หมวดหมูห่ รือประเภท
(Classification and categorization)
(Term list)
และ 4) กลมุ่ ความสมั พนั ธ์
2)กล่มุ คลา้ ยเมทาดาทา
(Relationship model)
(Metadata-like models)
การจัดโครงสร้างความรู้ ประกอบด้วย
คณุ ลกั ษณะพ้นื ฐาน การแสดงรายการศพั ท์ (Word list or หมวดหม่ขู องความร้แู ต่ละสาขาวชิ า
เพ่ืออธบิ ายขอบเขตความร้เู ฉพาะสาขา
Term list) ท่มี อี ยู่ของความร้ใู นแต่ละ และแสดงความสมั พันธต์ ามขอบเขต
ของความรู้ โดยใช้คลาส ความสมั พันธ์
สาขาวิชา ระหว่างคลาสและคณุ สมบตั ขิ องคลาส
(Properties)
การจดั กล่มุ และ การเรยี งตามลาดบั อกั ษรแบบ การจัดกล่มุ ความร้หู รอื แบ่งหมวดหมู่
การจัดเรียงอย่างเป็ น พจนานุกรม เช่น เรยี งตามภมู ภิ าค เช่น กล่มุ ของคาศพั ทท์ ่แี บ่งออกเป็น
ระบบ (Systematic ช่อื ประเทศ หวั ข้อเร่อื ง หมวดหมู่ ประกอบด้วย คาแสดง
arrangement) ความหมาย คาเหมอื น คาบพุ บท
และความสมั พันธข์ องคาต่าง ๆ
จากน้ันจงึ จดั ลาดบั เน้อื หาวชิ าความรู้
และความสมั พันธท์ างวชิ าการของ

65

รายละเอียด 1)กล่มุ รายการศพั ท์ 3)กล่มุ หมวดหมู่หรือประเภท
(Term list) (Classification and categorization)
การใช้สญั ลกั ษณ์
(Notation) 2)กลมุ่ คลา้ ยเมทาดาทา และ 4) กลมุ่ ความสมั พนั ธ์
ส่วนเพ่ิมเตมิ อ่นื ๆ (Metadata-like models)
(Relationship model)
การใช้อกั ษรย่อเพ่ืออธบิ าย
รายละเอยี ดต่างๆ ภายในระบบ แต่ละเน้อื หา เพ่ือแสดงความสมั พันธ์
อย่างเป็นระบบ เช่น เรียงตามลาดบั
ส่วนรายการโยง (Cross reference) ตวั อกั ษร หรอื จดั เรียงเน้อื หา
เช่น See also หรือ See เป็นต้น โดยแบ่งเน้อื หาวชิ าเป็นหมวดใหญ่
หมวดย่อย และหม่ยู ่อย
กาหนดสญั ลักษณแ์ ละลกั ษณะของ
การจดั ลาดบั ความคดิ แตกต่างๆ กนั ไป
ตามแต่หลักการท่ีใช้ ในการพิจา รณา
หรือกาหนดใช้
วธิ กี ารนาเสนอแง่มมุ ต่าง ๆ ท่เี ป็น
รายละเอยี ดของเร่อื งเป็นแบบแผน
เช่น ตารางช่วยเพ่ิมเลขหมู่
(Auxiliary Table, Standard
Subdivision) ดรรชนชี ่วยค้น ฯลฯ
หรือแทนเน้อื หาความร้ดู ้วยแผนภาพ
ของโหนดต่าง ๆ ท่มี คี วามสมั พนั ธ์
เป็นลาดบั ช้นั และความสมั พันธท์ ่ี
หลากหลายข้นึ อยู่กบั โครงสร้างระบบ
ความรู้

นอกจากน้ี Souza, Tudhope, & Almeida (2009) ได้กาหนดสเปกตรัมระบบการจัด
ความรู้ (KOS spectra) โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในสภาพแวดล้อมสารสนเทศดิจิทลั และสภาพแวดล้อม
ทางเวบ็ เชิงความหมาย (W3C, 2009) พบว่า ความรู้เก่ยี วกบั KOS และคุณสมบัติเป็นส่งิ จาเป็น
สาหรับการออกแบบระบบการค้นคืนสารสนเทศ ระบบฐานความรู้ โดยแบ่งระบบการจัดความรู้
ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ (1) กลุ่มไม่มีโครงสร้าง (Unstructure text) (2)กลุ่มท่ีแสดงรายการศัพท์
และแนวคิด (Term and/or Concept list) (3) กลุ่มท่ีมีแนวคิด โครงสร้ างความสัมพันธ์
(Concept, Relationship structures) และ (4) กลุ่มท่ีมีแนวคิด โครงสร้างความสัมพันธ์และ
โครงร่าง (Concept, Relationship and layout structures) ดังภาพท่ี 2.6

66

ภาพท่ี 2.6 ประเภทของ KOS (Souza, Tudhope, & Almeida, 2009)

พ้ืนฐานสาคัญของระบบการจัดความรู้คือ โครงสร้างความรู้ท่ใี ช้เป็นตัวแทนของความรู้
(Representation) เพ่ือนาเสนอความรู้ออกมาในลักษณะของแบบแผนต่าง ๆ (Zeng , 2008; Si,
Xu, & Chen, 2006) ด้วยมุมมองเช่นน้ีทาให้ระบบการจัดความรู้ครอบคลุมเคร่ืองมอื ทุกประเภท
ท่ีใช้อธิบายถึงโครงสร้างความรู้ ไม่ว่าจะเป็นแบบแผนการจัดหมวดหมู่ แบบแผนความสัมพันธ์
ระหว่างแนวคิด เคร่ืองมือท่ีใช้ในระบบการค้นคืนสารสนเทศ และภาษาดรรชนีประเภทต่าง ๆ
(Zeng, 2008; Broughton, 2006; Broughton, Hansson, Hjorland, & Lopez-Huertas, 2005)
ท่ีสาคัญโครงสร้างความรู้ท่ีเกิดข้ึนน้ีสามารถใช้เป็ นเคร่ืองมือในการส่ือความหมาย (Semantic
tools) ช่วยอานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการเลือกแนวคิดหรือรายละเอียดท่ีสัมพันธ์กันทาง
ความหมาย

1.4 โครงสรา้ งความรู้
ระบบการจัดความรู้แต่ละระบบมโี ครงสร้างการจัดความรู้ (Knowledge organization

structure) ท่ีออกแบบข้ึนมาเพ่ือใช้ในวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหน่ึง โดยแสดงถึงตัวแบบของ
กลุ่มความรู้ในแต่ละสาขาวิชา (Knowledge domain) และแสดงถึงวิธีการควบคุมและรูปแบบ
การเช่ือมโยงความสมั พันธ์ของความรู้ ซ่ึงโครงสร้างความรู้ท่แี สดงกลุ่มความรู้และความสัมพันธ์
ของความรู้ในสาขาวิชาได้ชัดเจน คือ โครงสร้างหมวดหมู่ (Classificatory structure) เน่ืองจาก
สามารถใช้แสดงลาดับเน้ือหาของกลุ่มความรู้ในสาขาวิชา และความสมั พันธ์ทางวิชาการในแต่ละ
เน้ือหาวิชา โครงสร้างความรู้จึงมีความแตกต่างกนั ไปข้ึนอยู่กบั คุณลักษณะของส่งิ ต่าง ๆ (Entity)

67

และปรากฏการณ์ (Phenomena) ท่ีนามาใช้เป็ นพ้ืนฐานของการจัดโครงสร้าง ซ่ึง Broughton
(2004) ได้แบ่งโครงสร้างหมวดหมู่ของความรู้เป็น 3 ลักษณะ ดงั น้ี

1.4.1 โครงสร้างหมวดหมู่ทางวิทยาศาสตร์และอนุกรมวิธาน (Scientific
Classification and Taxonomies)

โครงสร้างท่ีใช้หลักการพ้ืนฐานการจัดกลุ่มและจัดลาดับ (Grouping and
ordering) ตามคุณลักษณะทางกายภาพของวัตถุส่ิงของหรือส่ิงมีชีวิต ผู้คิดค้นหลักการน้ีคือ
อริสโตเติล (Aristotle) นักปรัชญาชาวกรีก ท่ีนาเสนอกฎของการจาแนกและการจัดกลุ่ม
ปรากฏการณ์ท่เี กิดข้ึนในโลกตามคุณลักษณะ (Attribute) และคุณสมบัติ (Properties) ท่ปี รากฏ
ร่วมกับพฤติกรรมของส่ิงต่าง ๆ เพ่ือจัดกลุ่มส่ิงเหล่าน้ันบนพ้ืนฐานของความเหมือนและความ
ต่างกัน ซ่ึงต่อมา Linnaeus นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน ได้นาหลักการน้ีมาปรับใช้เพ่ือจัด
หมวดหมู่ส่ิงมีชีวิตบนพ้ืนฐานของโครงสร้างทางสรีระและรูปร่างลักษณะ(Morphology) ซ่ึงเป็น
หลักการพ้ืนฐานของอนุกรมวิธาน (Taxonomy) ท่ีแสดงความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตบนโลก
(Broughton, 2006, 2004)

โครงสร้ างอนุกรมวิธาน (Taxonomic structure) แสดงถึงโครงสร้ างของ
ส่งิ ต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ท่ีมีคุณลักษณะพ้ืนฐานร่วมกัน และแสดงความสัมพันธ์แบบลาดับช้ัน
(Hierarchical relationship) ได้อย่างชัดเจน จึงเรียกโครงสร้างน้ีอีกอย่างหน่ึงว่า Hierarchical
structure ท่ีสามารถใช้ขยายหมวดย่อย ๆ ลงไปได้อย่างเฉพาะเจาะจงย่ิงข้ึนในลักษณะของ
โครงสร้างแบบต้นไม้ (Tree structure) (Broughton, 2004) ดังภาพท่ี 2.7

\

ภาพท่ี 2.7 โครงสร้างหมวดหม่แู บบต้นไม้

โครงสร้างดังกล่าวสามารถใช้แสดงความสัมพันธจ์ ากหมวดหมู่ใหญ่ (Class)
ไปยังหมวดย่อย (Sub-classes) หรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างหมวดหมู่ในระดับรอง (Sub-
ordinate) ระดับสูง (Super-ordinate) หรือระดับเดียวกัน (Co-ordinate) ซ่ึงความสัมพันธ์ใน
ลักษณะน้ีศัพทท์ างอนุกรมวิธานเรียกว่า parent, child, sibling relationship เป็นต้น

68

1.4.2 โครงสร้างหมวดหมู่เฉพาะถ่ิน (Folk classification)
โครงสร้างท่ีมุ่งเน้นไปท่ีปรากฏการณ์ท่ีเป็ นอยู่เก่ียวกับส่ิงของ (Things)

แตกต่างจากการจัดโครงสร้างหมวดหมู่แบบแรก โดยจัดกลุ่มตามบทบาทหน้าท่หี รือภาพรวมของ
ส่ิงต่าง ๆ ตามมุมมองหรือวัฒนธรรมของสังคมน้ัน ๆ เง่ือนไขของการจัดกลุ่มและการจัดลาดับ
แตกต่างกนั ไปข้นึ อยู่กบั ความแตกต่างในการใช้งานของผู้ใช้ ดังน้ันโครงสร้างหมวดหมู่ในกลุ่มน้ีจึง
ไม่มีโครงสร้างท่แี ท้จริง มคี วามหลากหลายไปตามมุมมองและวัตถุประสงค์ของการใช้งาน

โครงสร้างความรู้แบบหมวดหมู่ท้งั สองลักษณะข้างต้นมีลักษณะเป็นลาดับช้ัน
ท่ีมุ่งเน้นการจัดโครงสร้างของวัตถุ (Object) หรือส่ิงท่ีมีอยู่ (Entity) โดยไม่คานึงถึงเหตุการณ์
หรือกิจกรรมท่ีเกิดข้ึน ท้ังน้ีส่ิงท่ีนามาจัดหมวดหมู่น้ัน สามารถจัดไว้ภายในโครงสร้างได้เพียง
ตาแหน่งเดียวเท่าน้ัน ดังน้ันจึงเรียกการจัดหมวดหมู่แบบน้ีว่า Entity Classification หรือ
Phenomenon classification

1.4.3 โครงสร้างหมวดหมู่ตามลักษณะของความรู้ (Aspect classification)
โครงสร้ างท่ีมุ่งเน้ นไปท่ีการจัดหมวดหมู่ความรู้ (Classification of

knowledge) แนวคดิ น้ีเร่ิมต้นจากความคิดของ Francis Bacon ท่จี ัดหมวดหมู่ความรู้ โดยพิจารณา
ถงึ ความคิด เหตุผล การใช้ภาษา ฯลฯ แล้วนามาแบ่งขอบเขตเป็นสาขาหรือเร่ือง (Subject) ได้แก่
ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ ตรรกศาสตร์ และวรรณกรรม โครงสร้างหมวดหมู่พิจารณาจาก
พ้ืนฐานของหลักวิชา (Discipline) ท่ีเก่ียวข้องกับส่ิงต่าง ๆ ท่ีเกิดจากการสังเกตและค้นหา
รายละเอยี ดต่างๆ เก่ยี วกบั ส่งิ ท่มี ีอยู่

ดังน้ันตัวแบบการจัดหมวดหมู่ตามลักษณะของความรู้ท่ีใช้ความรู้เป็ นฐาน
(Knowledge based model of classification) ด้ วยการจัดกลุ่มความรู้ ตามสาขาวิชาต่างๆ
เป็นจุดเร่ิมต้นสาหรับการแบ่งขอบเขตสาขาวิชา (Filed of study) และหลักวิชา (Discipline) ของ
ความรู้ท่ีบันทึกไว้ในส่ือต่างๆ และเป็ นท่ีมาของระบบการจัดหมวดหมู่ของห้องสมุด (Library
classification system) ดงั น้ันโครงสร้างหมวดหมู่ตามลักษณะของความรู้จึงเป็นโครงสร้างสาคัญ
ของระบบการจัดหมวดหมู่ของห้องสมุดทุกประเภท โดยจาแนกได้เป็น 2 ลักษณะ คือโครงสร้าง
หมวดหมู่ตามลักษณะความรู้ท่วั ไป ซ่ึงเป็นแบบแผนหมวดหมู่ด้ังเดิม (Traditional classification
scheme) ได้แก่ ระบบทศนิยมดิวอ้ี (Dewey Decimal Classification System) ระบบหอสมุด
รัฐสภาอเมริกัน (Library of Congress Classification System) ระบบทศนิยมสากล (Universal
Decimal classification system) และโครงสร้างหมวดหมู่ตามลักษณะความรู้เฉพาะวิชาท่เี กิดจาก
สังเคราะห์ความรู้ ออกแบบและปรับปรุงให้เข้ากับประเภทของความรู้เฉพาะด้านเป็นแบบแผน
หมวดหมู่เฉพาะวิชา (Special classification scheme) เช่น ระบบหอสมุดแพทย์แห่งชาติอเมริกัน
(National Library of Medicine Classification System) เป็ นต้น (ศิวนาถ นันทพิชัย, 2554;
สณุ ีย์ กาศจารูญ, 2546; อมั พร ทขี ะระ, 2546)

69

โครงสร้างความรู้แบบหมวดหมู่ตามลักษณะของความรู้ มีองค์ประกอบ
พ้ืนฐาน 3 ส่วน ดังน้ี

1. โครงสร้ างความรู้ของหลักวิชา (Discipline) ท่ีมีการจัดลาดับกลุ่ม
ความรู้ (Knowledge domain) และความสัมพันธ์ภายในเน้ือหาวิชา โดยแบ่งเป็ นหมวดใหญ่
(Class) จากน้ันจึงแบ่งออกเป็นหมวดย่อย (Sub-Class) และหมู่ย่อย (Sub-Division) เหมือน
ต้นไม้แตกก่ิงก้านออกไปอย่างเป็นระเบียบ ซ่ึงโครงสร้างของกลุ่มความรู้จะมีความแตกต่างกัน
ข้ึนอยู่กับแนวทางการจัดความรู้ (Knowledge organization approach) ของแบบแผนการจัด
หมวดหมู่แต่ละประเภท

2. คุณลักษณะพิเศษของความรู้ เป็ นวิธีการนาเสนอมุมมองหรือแง่มุม
(Facet) ต่างๆ ของความรู้ ซ่ึงเป็นรายละเอียดท่จี าเป็นต้องจัดกลุ่มหรือจัดประเภท (Categories)
เอาไว้เช่นเดียวกับโครงสร้างของกลุ่มความรู้ ตัวอย่างเช่น เร่ืองราวทางประวัติศาสตร์หรือ
วรรณคดีจะต้องบ่งบอกยุคสมัยท่ีเก่ียวข้อง เร่ืองราวทางชีววิทยาจะบ่งบอกหลักวิวัฒนาการ
เป็ นต้น ดังน้ันโครงสร้ างความรู้แบบหมวดหมู่แต่ละประเภทจึงมีวิธีการนาเสนอแง่มุมท่ี
แตกต่างกัน โดยอาจใช้วิธีเสนอตามลาดับอักษรหรือกาหนดเป็ นสัญลักษณ์ ท้ังน้ีระบบการจัด
หมวดหมู่ของห้องสมุดเรียกคุณลักษณะพิเศษน้ีว่า ตารางช่วยเพ่ิมเลขหมู่ (Auxiliary table,
Standard subdivision)

3. การจัดลาดับความสัมพันธ์ เช่น องค์ประกอบอ่ืน ๆ เช่น สัญลักษณ์
(Notation) เพ่ือใช้แสดงการจัดลาดับความรู้ท่มี ีอยู่ ดรรชนีช่วยค้น (Indexes) ท่ใี ช้เป็นเคร่ืองมือ
แปลวัจนภาษาเป็นภาษาสญั ลักษณ์เพ่ือค้นหาเร่ืองท่ตี ้องการ

องค์ประกอบท้งั 3 ส่วนดังกล่าวเป็นเคร่ืองมือสาคัญของระบบการจัดความรู้
และยังใช้ แสดงกลุ่มความรู้และลาดับช้ันความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มความรู้ รวมไปถึงเป็ น
การกาหนดศัพทค์ วบคุม (Controlled vocabulary) เพ่ือระบุความหมายท่เี ฉพาะเจาะจง ซ่ึงอาจมี
ความหมายกว้างกว่าหรือแคบกว่า ท่ชี ่วยทาให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่ายข้ึน อย่างไรกต็ าม
องค์ประกอบเหล่าน้ีจะมีความแตกต่างหลากหลายไปตามคุณลักษณะของความรู้ และแนวคิดของ
การจัดหมวดหมู่ความรู้ของระบบการจัดความรู้แต่ละประเภท (Taylor, 2004)

1.5 ความสมั พนั ธข์ องความรู้ (Relationship of knowledge)
โครงสร้างความรู้มีความสัมพันธ์เชิงความหมาย (Semantic relation) ท่ีบ่งบอกว่า

ระบบการจัดความรู้มีกลุ่มความรู้หรือมีเน้ือหาท่ีเก่ียวข้องกันอย่างไรบ้าง (Bean, & Green,
2001) ดังน้ันความสัมพันธ์ของความรู้ (Relationship) จึงหมายถึง ชุดของความสัมพันธ์เชิง
ความหมายท่ีบอกถึงความเก่ียวข้องกันทางเน้ือหา ช่วยในการค้นคืนและเข้าถึงความรู้ของผู้ใช้
ระบบการจัดความรู้จะแสดงโครงสร้างและแสดงความสมั พันธท์ ่เี ก่ียวข้อง เพ่ือประโยชน์ใน
การสบื ค้นและเข้าถึงความรู้ของผู้ใช้ ทาให้ผู้ใช้สามารถเข้าถงึ เน้ือหาสาระของความรู้แต่ละเร่ืองได้

70

อย่างเจาะจง (Specific subject) ซ่ึงความสมั พันธ์จะแสดงถึงเร่ืองท่เี ก่ียวข้องได้ด้วย ตัวอย่างเช่น
ความสมั พันธภ์ ายในระบบหมวดหมู่ทศนิยมดวิ อ้ี ดังภาพท่ี 2.8

ภาพท่ี 2.8 ความสมั พันธเ์ ชงิ ความหมายของแบบแผนการจัดระบบหมวดหม่ทู ศนิยมดวิ อ้ี

จากภาพท่ี 2.8 แสดงให้เหน็ ว่าความสมั พันธภ์ ายใต้เน้ือหาเร่ือง Clothing and
accessories ประกอบด้วย Specific kinds of garment, Undergarment, Hosiery และHeadwear
ท้งั 4 เร่ืองมีความสัมพันธท์ ่เี ก่ยี วข้องกนั ทางเน้ือหาระหว่างกนั และกนั (Semantic Relation) ท้งั น้ี
หากมองลักษณะของความสัมพันธ์ดังกล่าว พบว่ามีความสัมพันธ์ใน 3 ลักษณะคือ Headwear
เป็ นความสัมพั นธ์ในระดับ สูงกว่ า (Super-ordinate) ของ Men’s headwear, Women’s
headwear และ Children’s headwear เหมือนกบั Specific kinds of garment ท่เี ป็นระดับสูงกว่า
ของ skirts ในขณะท่ี skirts มีความสัมพันธ์ระดับเดียวกัน (Coordinate) กับ Dress, Suits,
Shirts; blouses; tops แต่เป็ นความสัมพันธ์ระดับล่าง (Sub-ordinate) ของ Specific kinds of
garment

นอกจากน้ี Bean, & Green (2001) ได้จาแนกความสมั พันธ์ ดังน้ี
- Active relation ความสมั พันธท์ างความหมายระหว่างสองแนวคิด โดยแนวคดิ
หน่ึงจะอธบิ ายลักษณะของการทางานหรือกระบวนการท่สี ่งผลต่ออกี แนวคดิ หน่ึง
- Hierarchical relation ความสมั พันธท์ ่มี ีการแสดงความสมั พันธ์ท้งั หมดตาม
ลาดับข้นั จากความหมายท่กี ว้างท่สี ดุ ไปยังความหมายท่แี คบท่สี ุด โดยให้คาเย้อื งเข้าไปตามลาดับ
(Level of indentation) ของความสมั พันธ์ โดยใช้การย่อหน้าเข้าไปตามลาดับความสมั พันธ์ หรือ
เรียกอกี อย่างว่าความสัมพันธ์ในลักษณะของโครงสร้างแบบต้นไม้ (Tree structure) โครงสร้างน้ี
สามารถใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างหมวดหมู่ในระดับย่อย (Subordinate) ระดับสูงกว่า
(Super-ordinate) หรือระดบั เดยี วกนั (Coordinate) หรือเรียกความสัมพันธล์ ักษณะน้ีว่า พ่อ-ลูก
(Parent-Child) พ่ีน้อง (Sibling relation) ดังภาพท่ี 2.8
- Categorized relations ความสมั พันธใ์ นเชิงจาแนกประเภทหรือหมวดหมู่ในบาง
สาขาวิชา เช่น บริหารธรุ กจิ วิศวกรรมศาสตร์ ฯลฯ มีสาขาวิชาย่อยจานวนมาก จึงต้องมีคาศัพทท์ ่ี
จาแนกประเภท (Categorized terms) แสดงเพ่ิมเติมไว้ให้ภายในกลุ่มวิชา โดยเรียงตามลาดับ
อกั ษร

71

- Generic or Taxonomic relation ความสมั พันธโ์ ดยการจาแนกประเภทและ
พันธุท์ างวิทยาศาสตร์ของพืช สตั ว์ แร่ธาตุ สสารเคมี และช้ันดนิ ช้ันหินทางธรณวี ิทยา ฯลฯ ระบบ
น้ีมีประโยชน์ในการสร้างคาศัพทท์ ่มี ีความถูกต้องแม่นยาท่สี ดุ ในสาขาวิชาดังกล่าว

นอกจากน้ียงั มีความสมั พันธอ์ ่นื ๆ เช่น Causal relation, Homonym, Hyponymous
relation, Locative relation, Meronymy, Related term, Synonymy, Temporal relation ฯ ล ฯ
ความสัมพันธ์เช่นน้ีถูกนาไปใช้ในการจัดโครงสร้างของความรู้ในระบบการจัดความรู้ต่าง ๆ ไม่ว่า
จะเป็นระบบการจัดหมวดหมู่ของห้องสมุด ศัพทส์ มั พันธ์ หัวเร่ือง เป็นต้น

1.6 การจดั หมวดหมู่ความรู้ (Knowledge Classification)
การจัดหมวดหมู่ (Classification) เป็ นกระบวนการแยกแยะส่ิงท่ีแตกต่างกัน

(Division) และจัดกลุ่มส่ิงท่ีเหมือนกันไว้ด้วยกัน (Hunter, 1988; Kumar, 1985) ในระดับ
ซับซ้อนมากข้ึน การจัดหมวดหมู่เป็นกระบวนการจัดองค์ประกอบหรือจัดกลุ่มย่อยให้หมวดหมู่
โดยใช้ เง่ือนไขท่ีกาหนดไว้ (Gnoli, 2008a,b) ซ่ึงในลักษณะน้ีสอดคล้ องกับแนวคิดของ
S. R. Ranganathan ท่อี ธบิ ายระดับช้ันของการจัดหมวดหมู่ไว้ว่า การจัดหมวดหมู่ในแต่ละระดับ
น้ัน ไม่ใช่แต่จะแบ่งแยกส่งิ ท่แี ตกต่างกนั และจัดกลุ่มส่งิ ท่เี หมอื นกนั เทา่ น้ัน แต่ยังเพ่ิมเง่ือนไขของ
การจัดเรียงและจัดลาดบั สว่ นต่าง ๆ ให้เหมาะสมด้วย ตัวอย่างเช่น เม่อื จัดกลุ่มหนังสอื แล้วยังเพ่ิม
วิธีการการจัดเรียงหนังสือบนช้ันด้วย หรือการกาหนดตาแหน่งหรือหมายเลขของส่ิงของ สินค้า
ท่ีจัดกลุ่มไว้แล้ว เพ่ือประโยชน์ในการปรับปรุงหรือทดแทนภายหลัง ตัวอย่างเช่น การจัด
คลังสนิ ค้าของโรงงาน เป็นต้น

การจัดหมวดหมู่เป็ นการกาหนดคุณลักษณะ (Pseudo-entity) และหมวดหมู่
(Class) เพ่ือจัดระบบส่ิงต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ให้เป็ นไปในทางเดียวกัน เพ่ือใช้เป็ นแบบแผนสาหรับ
จัดหมวดหมู่ส่งิ ต่างๆ ในโลกได้อย่างเป็นสากล ครอบคลุมการจัดกลุ่มความรู้ท่มี ีอยู่ท้งั หมดอย่าง
เป็ นระบบและเป็ นสากล เช่น ระบบหมวดหมู่ของห้องสมุดท่ีพยายามสร้ างแบบแผนและ
สญั ลักษณ์ โดยใช้เน้ือหาและคุณลักษณะของหนังสอื ในห้องสมุดเป็นพ้ืนฐาน (ศิวนาถ นันทพิชัย,
2554; Kumar, 1985)

การจัดหมวดหมู่ความรู้ประกอบด้วย 1) แบบแผนการจัดหมวดหมู่ความรู้ 2)
กลุ่มความรู้ และ 3) วิธกี ารจัดหมวดหมู่ความรู้ ซ่ึงแต่ละส่วนมีรายละเอยี ดท่สี าคัญ ดงั น้ี

1.6.1 แบบแผนการจัดหมวดหมู่
แบบแผนการจัดหมวดหมู่ความรู้ (Knowledge Classification Scheme)

หมายถึง เคร่ืองมอื ท่แี สดงถงึ โครงสร้างความรู้ (Knowledge Structure) ท่มี ีลักษณะเป็นโครงสร้าง
แบบหมวดหมู่ (Classificatory Structure) ซ่ึงทาให้ผู้ใช้สามารถมองเหน็ ถึงแนวคิด โครงสร้าง
และหมวดหมู่ของความรู้ (Classification of Knowledge) บนพ้ืนฐานของสาขาวิชาท่มี ีอยู่จริงได้

72

อย่างเด่นชัด (Hjorland, 2007b; Taylor, 2004) โดยท่ัวไปแล้ วองค์ประกอบพ้ืนฐานของ
แบบแผนการจัดหมวดหมู่มีสว่ นสาคัญ (Taylor, 2004) ดังน้ี

1)กลุ่มความรู้ (Knowledge Domain) ท่ีมีการจัดลาดับเป็ นโครงสร้ าง
ความรู้ (Organization of Knowledge) ตามลาดับเน้ือหาวิชาและความสมั พันธร์ ะหว่างเน้ือหาวิชา
โดยแบ่งเป็ นหมวด (Classes) จากน้ันแบ่งออกเป็ นหมวดย่อย (Sub-Classes) และหมู่ย่อย
(Division) เหมอื นต้นไม้แตกก่งิ ก้านออกไปอย่างเป็นระเบียบ

2) คุณลักษณะพิเศษของความรู้ เป็ นวิธีการนาเสนอต่าง ๆ ของความรู้
ซ่ึงเป็ นรายละเอียดท่ีจาเป็ นต้องจัดกลุ่มหรือจัดประเภท (Categories) เอาไว้เช่นเดียวกับ
โครงสร้างของกลุ่มความรู้ ซ่ึงแบบแผนการจัดหมวดหมู่แต่ละประเภทมีวิธีการนาเสนอแง่มุมท่ี
แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่เรียกคุณลักษณะพิเศษน้ีว่า ตารางช่วยเพ่ิมเลขหมู่ (Auxiliary Table,
Standard Subdivision)

3) องค์ประกอบอ่ืนๆ เช่น สัญลักษณ์ (Notation) เพ่ือใช้แสดงลักษณะ
ของการจัดลาดับความรู้ท่มี อี ยู่ หรือดรรชนีช่วยค้น (Indexes) เป็นต้น

องค์ประกอบเหล่าน้ี นอกจากแสดงให้เหน็ ถึงกลุ่มความรู้และลาดับช้ัน
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มความรู้ ท่ชี ่วยทาให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่ายข้ึน องค์ประกอบ
เหล่าน้ีสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของความรู้ท่ีได้รับการบันทึกและจัดเกบ็ ในลักษณะต่าง ๆ
(Gnoli, &Szostak, 2007) ได้แก่ (1) ลักษณะการนาเสนอความรู้ (Aspect of presentation)
เช่น สาขาวิชาหรือเร่ืองราวต่าง ๆ ท่ีมีการกล่าวถึง (2) รูปแบบของความรู้ (Forms) ท่ีมีการ
นาเสนอ เช่น เป็นการวิเคราะห์ เป็นเชิงประวัติ เป็นการสงั เคราะห์ ฯลฯ (3) มุมมองของผู้ใช้งาน
(Aspect of the audience) เช่น ใครคือผู้ใช้ วัตถุประสงค์ของการใช้ (4) รูปแบบของการแสดง
(Forms) เช่น หนังสือ บทความ การวิจัย สุนทรพจน์ ฯลฯ (5) ความคิดของผู้เขียน (Author’s
point of view) และ (6) ประเภทของส่ือ (Media) เช่น ข้อความ เสียง ภาพ ฯลฯ โดยเฉพาะ
อย่างย่ิงสะท้อนให้เหน็ ถึงเร่ือง (Subject) และปรากฏการณ์ทางวิชาการ (Scientific phenomena)
ท่มี ีการศึกษาและมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในเน้ือหาของเอกสารน้ัน ๆ ท่สี าคัญคุณลักษณะของ
แต่ละองคป์ ระกอบ เป็นส่วนสาคญั ท่แี สดงให้เหน็ ขอบเขตความรู้ท่เี น้ือหาในสรรพวิชาต่าง ๆ

1.6.2 กลุ่มความรู้ (Knowledge domain)
กลุ่มความรู้เป็ นองค์ประกอบสาคัญของแบบแผนการจัดหมวดหมู่

ประกอบด้วย แนวคิด (Concept) และความสัมพันธ์ (Relationship) ท่ีทาให้ แต่ละสาขามี
คุณลักษณะของโครงสร้างความรู้ท่แี ตกต่างกนั ดงั น้ี

1) แนวคดิ (Concept)
แนวคิดเป็ นชุดหรือหน่วยของความรู้ (Unit of knowledge) ท่ีมี

คุณลักษณะคล้ายคลึงกัน แนวคิดมีความเก่ียวข้องโดยตรงกบั คาศัพท์ เร่ือง หัวข้อ หัวเร่ือง และ
หมวดหมู่ โดยเฉพาะมุมมองเชิงทฤษฏแี ล้ว คาท้งั หลายเหล่าน้ีมีความหมายท่บี ่งบอกคุณลักษณะ

73

ของแนวคิดท่ีแตกต่างกัน กล่าวคือ “คาศพั ท์ (Term)” เป็ นแนวคิดเด่ียวท่ีมีลักษณะเฉพาะ
มคี วามหมายท่แี สดงออกถึงปรากฏการณ์ท่เี กดิ ข้นึ (Phenomena) “เรือ่ ง (Subject)” เป็นแนวคิด
ท่ีเก่ียวข้องกับสรรพวิชา มีความหมายท่เี ก่ียวข้องกับความรู้ของสาขาวิชา บ่งบอกถึงเน้ือหาของ
ความรู้แต่ละสาขาและกิจกรรมเฉพาะด้านท่เี ก่ียวข้อง (Body of knowledge) “หวั ขอ้ (Topic)”
เป็ นแนวคิดท่ีสัมพันธ์แก่นของความคิดเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง เป็ นสาระสาคัญท่ีเช่ือมโยงกิจกรรม
ความคิด ทักษะต่าง ๆ หัวข้อจึงสามารถใช้นาเสนอแนวคิดได้หลากหลายวิธี เช่น นาเสนอเป็ น
แผนผังความคิด ฯลฯ “หวั เรื่อง(Subject heading)” เป็ นแนวคิดท่ีแสดงสาระสาคัญของเร่ือง
เช่นกัน แต่มีความหมายมาจากการกาหนดความรู้ของมนุษย์อย่างมีกฎเกณฑ์ เพ่ือสร้ าง
ความสมั พันธร์ ะหว่างเร่ืองต่าง ๆ ท่มี ีอยู่ คุณลักษณะของคาศัพท์ เร่ือง หัวข้อ และหัวเร่ืองเหล่าน้ี
สามารถนามาใช้บ่งบอกรายละเอยี ดหรือความเก่ียวข้อง (Aboutness) ของแนวคดิ ท่เี ป็นความรู้ใน
ทรัพยากรสารสนเทศ ส่วนแนวคิด “หมวดหมู่ (Class)” หมายถึง กลุ่ม ชุด หรือประเภทของ
ส่งิ ของท่แี สดงออกถงึ คุณลักษณะบางอย่างร่วมกนั (Attribute) หมวดหมู่จึงเป็นแนวคดิ ท่เี ช่ือมโยง
กันเป็ นชุด เช่น ส่ิงของจานวนหน่ึงท่ีมีลักษณะเหมือนกันและใช้ลักษณะบางอย่างร่วมกัน
โดยเฉพาะในโครงสร้างความรู้แบบลาดับช้ัน (Hierarchical structure) หมวดหมู่เป็นแนวคดิ ท่จี ัด
แสดงไว้เป็ นลาดับแรก (First Order) และมีแนวคิดท่ีแสดงในลาดับถัดไป (Sub-Concept)
เป็นหมวดย่อย (Sub-Classes) หมวดหมู่จึงสามารถแบ่งย่อยเร่ืองราวต่างๆ เพ่ือเช่ือมโยงเข้าไว้
ด้วยกัน ท้ังน้ีการจัดลาดับจะเป็ นอย่างไรข้ึนอยู่กับคุณลักษณะของแนวคิด (Attribute) หรือ
หลักการจาแนกประเภท (Principle of Categories) ท่ีนามาใช้ ในการจัดกลุ่มหรือพิจารณา
แบ่งย่อยระหว่างหมวดหมู่และหมู่ย่อย เป็นต้น

2) ความสมั พันธร์ ะหว่างกลุ่มความรู้ (Relationship)
โครงสร้างความรู้ประกอบด้วย กลุ่มความรู้ และกลุ่มความรู้ต้องแสดง

ความสมั พันธร์ ะหว่างกลุ่มความรู้ด้วย ท้งั น้ีข้นึ อยู่กบั ลักษณะความแตกต่างกนั ตามกรอบแนวคิดท่ี
นามาใช้ จัดหมวดหมู่ความรู้ เช่น ลักษณะสาขาวิชา ลักษณะปรากฏการณ์ (Phenomena)
คุณลักษณะร่วม (Properties) เป็ นต้น (Madalli, 2006) โดยใช้ มุมมองเชิงทฤษฏีอย่างใด
อย่างหน่ึงเป็นพ้ืนฐานของการจัดลาดับความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มความรู้ (Buchel & Coleman,
2003)

ตัวอย่างโครงสร้างหมวดหมู่ตามลักษณะความรู้ พิจารณาความสัมพันธ์
ระหว่างแนวคิดเป็นสาคัญ โดยพิจารณาอย่างเป็นลาดับช้ัน (Hierarchy) เพ่ือแสดงแนวคิดของ
กลุ่มความรู้ตามลาดบั เหมอื นต้นไม้ท่แี ตกก่งิ ก้านออกไปอย่างเป็นระเบียบ โดยให้ความสาคัญกบั
ความสัมพันธ์ในระดับของรายการ (Item) และระดับของแนวคิดมากกว่า สามารถอธิบาย
ความสมั พันธ์ใน 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเน้ือหา (Content relationship) ท่สี ามารถ
ใช้อธบิ ายความรู้เร่ืองเดียวกนั แต่จัดเกบ็ ในรายการท่แี ตกต่างกัน และความสัมพันธ์แบบ Whole-
Part relationship ท่ใี ช้อธบิ ายความรู้ท่มี ีความสมั พันธ์ซ่ึงกนั และกนั ในลักษณะท่เี ป็นระดับช้ัน เช่น

74

ความสมั พันธข์ องโครงสร้างหมวดหมู่ เป็นต้น จะเหน็ ได้ว่าความสมั พันธท์ ่ปี รากฏในแบบแผนการ
จัดหมวดหมู่ความรู้มีหลักการกาหนดความสัมพันธ์ไว้ (Principle of containing relationship)
4 ลักษณะ ได้แก่ (1) ความสัมพันธ์ระหว่างหมวดหลัก (Main-Class) กับหมวดย่อย (Sub-
Division) เพ่ือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างวิชาพ้ืนฐานกับวิชาย่อย เช่น สังคมศาสตร์ กับ
นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น (2) ความสัมพันธ์แบบ Genus-Species (3)
ความสัมพันธ์แบบ Whole-Part และ (4) ความสัมพันธ์ภายในหมวดหมู่ (Class) ซ่ึงการใช้
หลักการกาหนดความสัมพันธ์ดังกล่าว ไม่ได้ใช้เพ่ือระบุลักษณะความสัมพันธ์ท่ัวไปหรือ
เฉพาะเจาะจงของแต่ละแนวคิด แต่ใช้เพ่ืออธิบายความสัมพันธ์ของแนวคิดท่ีใกล้เคียงกันบน
พ้ืนฐานของการวิเคราะห์บริบท (Contextual analysis) ท่ีมีความใกล้เคียงกับแนวคิดของความรู้
น้ัน ๆ ความสัมพันธ์ท่ีอธิบายไว้โดยหลักการน้ี จึงไม่ได้สะท้อนส่ิงท่ีเป็ นจริงของความรู้ ไม่ได้
สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิด (Concept relationship) แต่สะท้อนความสัมพันธ์ท่ีเป็ น
บริบทแวดล้อมสาระสาคญั ของความคดิ (Main idea) ท่มี อี ยู่ในทรัพยากรสารสนเทศน้ัน ๆ

1.6.3 แนวทางการจัดหมวดหมู่ความรู้ (Knowledge Classification Approach)
การจัดหมวดหมู่ความรู้อยู่บนพ้ืนฐานของหลักการ แนวทาง และ

กระบวนการท่ไี ด้มาจากการปฏบิ ัติจริงหรือเกิดจากการทดลองปฏบิ ัติ (Hjorland, 2006; Taylor,
2004) แต่เม่ือแนวคิดท่ีมีต่อความรู้ได้เปล่ียนแปลงไปจากเดิม การจัดหมวดหมู่ความรู้
มีการศึกษาในมุมมองท่ีปรับเปล่ียนแนวคิดของการจัดหมวดหมู่เป็นระบบทฤษฏี (Theoretical
system) สาหรับการจาแนกสาขาวิชา (Discipline) โดยพิจารณาบนพ้ืนฐานของความรู้ท่ีมีอยู่
ท้ังหมด (Universe of knowledge) เช่น ระบบการจัดหมวดหมู่ทศนิยมดิวอ้ื (Dewey Decimal
Classification) ใช้ปรัชญาการจาแนกความรู้ท่ีมีอยู่ของ Francis Bacon เป็ นต้น ต่อมาเม่ือเกิด
สาขาวิชาเพ่ิมมากข้ึนและมีลักษณะเฉพาะย่ิงข้ึน แนวคิดจึงอยู่บนพ้ืนฐานของระบบแจกแจง
ละเอียดให้มีเฉพาะเจาะจง (Enumerative system) การจัดหมวดหมู่ตามเน้ือหาวิชาต่าง ๆ ท่ีมี
ลักษณะเฉพาะ เช่น ระบบการจัดหมวดหมู่หอสมุดรัฐสภาอเมริกัน (Library of Congress
Classification System) ซ่ึงจัดหมวดหมู่หนังสอื ตามลักษณะของสาขาวิชาน้ัน เน้ือหาแต่ละหมวด
มีความแตกต่างกันโดยส้นิ เชิง ทาให้เกดิ ระบบการจัดหมวดหมู่ท่มี ีลักษณะเฉพาะเจาะจงในแต่ละ
สาขาวิชามากข้ึน เป็ นต้น (Beghtol, 2008) ต่อมาเม่ือแนวคิดของความรู้ (Conception of
knowledge) ได้ปรับเปล่ียนมลี ักษณะท่เี ป็นพลวัตและมคี วามเป็นสหวิทยาการมากข้ึน แนวคิดของ
การจัดหมวดหมู่ความรู้มีพ้ืนฐานแตกต่างกันไป ข้ึนอยู่กับแนวคิดของความรู้ท่ีนามาใช้ ใน
การศึกษา เช่น แนวคิดท่พี ิจารณาความเป็นศาสตร์เฉพาะสาขาท่มี ีอยู่จริง เพ่ือจาแนกลักษณะของ
สาขาวิชา แนวคิดท่ีลักษณะเฉพาะของความรู้ท่ีมีอยู่เพ่ือจาแนกลักษณะของปรากฏการณ์หรือ
คุณลักษณะร่วมของความรู้ เป็ นต้น สามารถจาแนกแนวทางการจัดหมวดหมู่เป็ น 2 กลุ่มคือ
การจัดหมวดหมู่สาขาวิชา (Discipline) และการจัดหมวดหมู่ปรากฏการณ์ (Phenomena)

75

1.6.3.1 การจัดหมวดหมู่ตามสาขาวิชา
สาขาวิชา หมายถึง ขอบเขตของสาขาวิชาความรู้ของมนุษย์ เช่น

จิตวิทยา นิติศาสตร์ เกษตรศาสตร์ แพทยศาสตร์ ฯลฯ สามารถจาแนกเป็น 2 กลุ่มคอื สาขาวิชา
พ้ืนฐาน (Fundamental discipline) ท่เี ป็นความรู้พ้ืนฐานอันเกดิ จากการแบ่งความรู้เป็นสาขาวิชา
หลัก และสาขาวิชารอง (Sub-disciplines) ท่เี ป็นสาขาวิชาเฉพาะซ่ึงเกดิ จากการจาแนกสาขาวิชา
ของสาขาวิชาพ้ืนฐาน ตัวอย่างเช่น สาขาวิชามนุษยศาสตร์ จาแนกสาขาวิชารองเป็ น ปรัชญา
ศาสนา ภาษาและวรรณคดี เป็นต้น สาขาวิชาสงั คมศาสตร์ จาแนกสาขาวิชารองเป็น นิติศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา เป็ นต้น สาขาวิชาจึงเป็ นหน่วยของความรู้ท่ีใช้เป็ นพ้ืนฐานของ
การจัดความรู้ (Basic unit) ในการจัดหมวดหมู่ทรัพยากรสารสนเทศ เช่น ในการวิเคราะห์เร่ือง
(Subject analysis) ส่งิ แรกของการวิเคราะห์ คือ สาขาวิชาท่เี ป็นแนวคิดหลักของเร่ือง ผู้วิเคราะห์
ต้องระบุให้ได้ว่าทรัพยากรสารสนเทศน้ันมคี วามเก่ยี วข้องกบั สาขาวิชาใด เป็นต้น

แนวคิดของความรู้เก่ียวกบั สาขาวิชา และมีความเก่ียวข้องโดยตรง
กับกิจกรรมท่ีมนุษย์ศึกษาและบันทึกไว้เป็ นความรู้ในแต่ละด้าน (Field of human activity)
พิจารณาได้เป็ น 2 ลักษณะ คือ (1) ความรู้ท่ีเป็ นการปฏิบัติท่ีเกิดข้ึนในโลก (Practical) เช่น
เกษตรกรรม การศึกษา วิศวกรรม หรือ (2) ความรู้ท่เี ป็นทฤษฏหี รือภมู ปิ ัญญาท่ใี ช้ศึกษาเก่ียวกับ
โลก (Theoretical, intellectual study of) เช่น ธรรมชาติ สังคม วิทยาศาสตร์ประยุกต์ หรือ
กิจกรรมการศึกษาท่ีเกิดข้ึน เช่น ปรัชญา เป็ นต้น (Keyes, 1978) ดังน้ันแบบแผนการจัด
หมวดหมู่ทางบรรณารักษศาสตร์ฯ โดยท่วั ไปจึงกาหนดให้สาขาวิชาเป็นหมวดหลัก (Main class)
ภายใต้ความเช่ือว่าสาขาวิชาแสดงถึงกลุ่มความรู้หรือขอบเขตความรู้ (Knowledge domain) ท่ีมี
การศึกษาในเชิงวิชาการ จากน้ันกจ็ ะพิจารณาความรู้ในแต่ละสาขาวิชาเพ่ือแจกแจงรายละเอียด
ให้เฉพาะเจาะจง (Enumerative)

การจัดหมวดหมู่ความรู้บนพ้ืนฐานของสาขาวิชาเป็ นการจัด
หมวดหมู่ความรู้ท่ีมีอยู่ท้ังหมด (Universe of knowledge) แล้วใช้การวิเคราะห์หมวดหมู่แบบ
ลาดับช้ันของความรู้ เพ่ือจัดช้ันหรือกลุ่มของสาขาวิชาให้มีความลดหล่ันกนั ไปตามลาดับ จากกว้าง
ไปสู่แคบ จากบนลงล่าง (Top-down) การจัดหมวดหมู่ท่มี ีแนวคิดของความรู้เช่นน้ีเป็นการจัด
หมวดหมู่ของสาขาวิชา (Classification of Discipline) เน่ืองจากแนวคิดการจัดหมวดหมู่ไม่ได้
จากัดสาขาวิชาใดวิชาหน่ึง และให้ความสาคัญกบั แนวคิด (Concept) ท่จี ะนามาใช้จาแนกความรู้
มากกว่าท่ีจะสนใจความสัมพันธ์ระหว่างความคิด (Idea) ของความรู้ในแต่ละสาขาวิชาน้ัน ๆ
ไม่คานึงถึงความเป็นอัตลักษณ์หรือลักษณะเฉพาะของวิชา พ้ืนฐานของแนวคิดน้ีเหน็ ได้ชัดเจนใน
การจัดหมวดหมู่ตามมุมมองบรรณารักษศาสตร์ฯ มุ่งเน้นท่จี ะสร้างมาตรฐานของการจัดหมวดหมู่
ท่ีง่ายต่อการจัดการทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุด มุ่งเน้นการจัดหมวดหมู่ของรายการ
(Item) มากกว่าความรู้ท่ีมีอยู่จริง ไม่ได้อิงกับปรัชญาของความรู้ในแต่ละสาขาวิชา ไม่ได้ ให้
ความสาคัญในรายละเอียดของความรู้และความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ แต่สนใจในเชิงปฏบิ ัติท่ี

76

แบ่งแยกย่อยสาขาวิชาหลัก สาขาวิชารอง เพ่ือประโยชน์ในการจัดลาดับและใช้ในการสืบค้น
เป็ นสาคัญ (Kumar, 1985) ท่ีเป็ นเช่นน้ีเน่ืองจากการจัดหมวดหมู่ของห้องสมุดเป็ นกิจกรรม
การปฏิบัติงานเป็นสาคัญ แนวคิดของการจัดหมวดหมู่จึงมุ่งเน้นเพ่ือการปฏิบัติการ (Hjorland,
2008)

การจัดหมวดหมู่ความรู้ตามสาขาวิชาของระบบทศนิยมดวิ อ้ี และระบบ
หอสมุดรัฐสภาอเมริกนั ดงั ตัวอย่างตารางท่ี 2.2 นาเสนอแนวคิดของระบบ สญั ลักษณ์ โครงสร้าง
ของระบบ โครงสร้างของแผนการจัดหมู่

77

ตารางท่ี 2.2 การจัดหมวดหมู่ความรู้ระบบทศนิยมดิวอ้ี และระบบหอสมุดรัฐสภาอ

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี

แนวคิดของระบบ ระบบทศนิยมดวิ อ้มี ชี ่อื เรยี กท่หี ลากหลาย เช่น ระบบทศนยิ ม

(Decimal system) ระบบดวิ อ้ี (Dewey system) ระบบดดี ซี ี

(Dewey Decimal Classification: DDC) และระบบดซี ี (Decimal

Classification: DC) พัฒนาโดยชาวอเมรกิ นั ช่อื เมลวิล ดวิ อ้ี (Melvil

Dewey) เม่อื ปี ค.ศ. 1870 แนวคดิ ของความร้รู ะบบทศนิยมดวิ อ้ี

มพี ้ืนฐานเป็นปฏฐิ านนิยม (Positivist) โครงสร้างความร้แู บ่ง

ระดบั ช้นั ของความร้บู นพ้นื ฐานทฤษฏหี รือปรัชญาของการแบ่ง

สาขาวิชา โดยยึดถอื ววิ ัฒนาการของมนุษยเ์ ป็นแนวทางการลาดบั

เน้อื หาวชิ าจากเน้ือหาทว่ั ๆ ไปจนถงึ เน้ือหาทเ่ี ฉพาะเจาะจง

สญั ลกั ษณ์ เลขฐาน 10 ท่เี ป็นเลขอารบกิ ล้วน ๆ ต้งั แตเ่ ลข 0 – 9 อย่างน้อย

ท่สี ดุ 3 ตวั (3 หลกั ) เช่น 000, 020, 039 เป็นสญั ลักษณแ์ ทน

เน้ือหาต่าง ๆ ใช้สญั ลักษณบ์ ริสทุ ธ์ติ วั เลขล้วน ๆ ทเ่ี ข้าใจและจาได้

ง่าย และช่วยความจา (Mmenonic aids)

โครงสรา้ งของ การแบ่งหมวดหม่โู ดยการแบ่งความร้ทู ุกสาขาวิชาออกเป็นหมวด

ระบบ ใหญ่ (Main class) หมวดย่อย (Division) และหม่ยู ่อย (Section)

แบบ่งออกเป็น 3 ระดบั คอื

การแบ่งครงั้ ที1่ (First Summary) คอื แบ่งความร้ทู กุ สาขาวชิ า

ออกเป็นหมวดใหญ่ (Main class) 10 หมวด ดงั น้ี

000 ความร้ทู ว่ั ไป (Generalities)
100 ปรชั ญาและวชิ าทเ่ี ก่ยี วข้อง (Philosophy and related

78

อเมริกนั

ระบบหอสมุดรฐั สภาอเมริกนั
ระบบหอสมุดรัฐสภาอเมรกิ นั (Library of Congress Classification: LC)
มกี รอบแนวคดิ เป็นปฏบิ ตั นิ ยิ ม (Pragmatism) ท่เี น้นการวเิ คราะห์เน้ือหา
ความร้ตู ามท่มี อี ยู่จริง ซ่งึ เป็นรายละเอยี ดและเน้ือหาสาระท่มี อี ยู่จรงิ ใน
หอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั ใช้การวเิ คราะห์หมวดหม่ทู ่แี จกแจงรายละเอยี ด
ให้เฉพาะเจาะจงบนพ้นื ฐานข้อสงั เกตท่มี าจากการปฏบิ ตั งิ านจรงิ จนสามารถ
จัดกล่มุ และจาแนกความร้ตู ามเน้อื หาวิชาต่าง ๆ ท่มี ลี ักษณะเฉพาะ
โครงสร้างของระบบมกี ารแบ่งเน้อื หาของสรรพวชิ าการอย่างกว้างไปจนถงึ
เน้อื หาท่เี ฉพาะ ตามความเหมาะสมทางทฤษฎขี องแต่ละสาขาวิชา
(Hjorland & Pedersen, 2005; Jones, 2005a, 2005b)
อกั ษรโรมนั A-Z ยกเว้น I,O,W,X,Y และตวั เลขอารบกิ 1-9999
เป็นสญั ลกั ษณแ์ ทนเน้อื หาต่าง ๆ ใช้สญั ลกั ษณผ์ สมตวั อกั ษรและตวั เลข

การแบ่งหมวดหมู่ โดยการแบ่งความร้ทู ุกสาขาวิชาออกเป็นหมวดใหญ่
(Main class) หมวดย่อย (Division) และหม่ยู ่อย (Section)
แบ่งออกเป็น 3 ระดบั คอื
การแบ่งครงั้ ที่ 1 (First Summary) คอื การแบ่งเน้อื หาวิชาออกเป็น 20
หมวดใหญ่ (Main class) โดยใช้ตวั อกั ษรโรมนั ตวั เดยี วโดดๆ A-Z
ยกเว้น I,O,W,X,Y ดงั น้ี
A ความร้ทู ว่ั ไป (General Works)
B ปรชั ญา จิตวทิ ยา ศาสนา (Philosophy, Psychology, Religion)

รายการ ระบบทศนยิ มดิวอ้ ี
disciplines)
200 ศาสนา (Religion)
300 สงั คมศาสตร์ (Social sciences)
400 ภาษา (Language)
500 วทิ ยาศาสตรบ์ รสิ ทุ ธ์ิ (Pure sciences)
600 เทคโนโลยี (วทิ ยาศาสตรป์ ระยุกต)์ (Technology (Applied
sciences))
700 ศลิ ปะ (The arts)
800 วรรณคดี (Literature. (Belles-lettres))
900 ภมู ศิ าสตร์และประวัตศิ าสตรท์ ่วั ไป (General geography and
history)

การแบ่งครงั้ ที่ 2 (Second summary) คอื การแบ่งสาขาวชิ าความรู้
หมวดใหญ่แต่ละหมวดออกเป็นหมวดย่อย (Division) 10 หมวด

79

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั
C ศาสตรท์ ่เี ก่ยี วข้องกบั ประวตั ศิ าสตร์ (Auxiliary sciences of

history)
D ประวตั ศิ าสตร์ : เร่อื งทว่ั ไปและประวตั ศิ าสตร์โลกเก่า (History:

general and old world)
E-F ประวัตศิ าสตร์ : อเมรกิ า (History : America)
G ภมู ศิ าสตร์ แผนท่ี มานุษยวิทยา นนั ทนาการ (Geography, Map,

Anthropology, Recreation)
H สงั คมศาสตร์ (Social sciences)
J รัฐศาสตร์ (Political science)
K กฎหมาย (Law)
L การศกึ ษา (Education)
M ดนตรี (Music)
N ศลิ ปกรรม (Fine Arts)
P ภาษาและวรรณคดี (Languages and Literature)
Q วทิ ยาศาสตร์ (science)
R แพทยศาสตร์ (Medicine)
S เกษตรศาสตร์ (Agriculture)
T เทคโนโลยี (Technology)
U ยุทธศาสตร์ (Military science)
V นาวิกศาสตร์ (Naval science)
Z บรรณานุกรม บรรณารกั ษศาสตร์ (Bibliography, Library Science)
การแบ่งครงั้ ที่ 2 (Second summary)การแบ่งหมวดย่อย (Subclass) ตาม
สาขาวิชา โดยใช้ตวั อกั ษรโรมนั ต้งั แต่ 2 ตวั ถงึ 3 ตวั เป็นสญั ลักษณ์ และ

รายการ ระบบทศนยิ มดิวอ้ ี
ใช้เลขอารบกิ หลักสบิ 0–9 แทนความร้หู มวดย่อย เช่น หมวดใหญ่
100 ปรชั ญาและวชิ าท่เี ก่ยี วข้อง แบ่งเป็นหมวดย่อย 10 หมวด คอื
100 110 120 130 140 150 160 170 180 และ 190 เลขตวั ท่ี
2 ท่ขี ดี เส้นใต้ คอื เลขหลกั สบิ 0–9 เป็นสญั ลกั ษณแ์ ทนหมวดย่อย
ดงั น้นั หมวดใหญ่ 10 หมวด จงึ แบ่งเป็น หมวดย่อยได้ 100 หมวด
ดงั ตวั อย่าง
300 สงั คมศาสตร์ สงั คมวิทยา และมานุษยวิทยา Social sciences,
Sociology & Anthropology)
310 รวมสถติ ิ (Statistics)
320 รัฐศาสตร์ การเมอื ง (Political science)
330 เศรษฐศาสตร์ (Economics)
340 กฎหมาย (Law)
350 การบรหิ ารรฐั กจิ (Public administration & military sciences)
360 ปัญหาสงั คม และบริการสงั คม (Social problems & services)
370 การศึกษา (Education)
380 การพาณชิ ย์ การส่อื สาร การขนสง่ (Commerce,

Communication, transportation)
390 ขนบธรรมเนยี มประเพณี จรรยามารยาท (Customs, etiquette,

folklore)

80

ระบบหอสมุดรฐั สภาอเมริกนั
ใช้หลักการเรียงลาดบั ตามตวั อกั ษร A-Z ยกเว้นหมวด Z จะไม่มกี ารแบ่ง
คร้งั ท่ี 2
ดงั ตวั อย่าง

H สงั คมศาสตรท์ วั่ ไป
HA สถติ ิ
HB ทฤษฎที างเศรษฐศาสตร์
HC ประวตั แิ ละสถานการณท์ างเศรษฐกจิ ผลติ ผลชาติ
HD ประวัตเิ ศรษฐกจิ สภาพการณแ์ ละองคก์ ารของการเกษตร
และอตุ สาหกรรมด้านท่ดี นิ สหกรณ์ แรงงาน และอตุ สาหกรรม
HE การขนส่งและการคมนาคม
HF การพาณชิ ย์
HG การเงิน ธนาคาร เครดติ การแลกเปล่ยี น การลงทนุ และการประกนั
HJ การเงินภาคเอกชน
HI สงั คมวทิ ยา
HN ประวตั ศิ าสตรข์ องสงั คม การปฏริ ปู สงั คม และกลมุ ในสงั คม
HQ ครอบครัว การแต่งงาน สตรี
HS สมาคม สมาคมลับ สโมสร
HT ชุมชน ชุมชนเมอื ง ชุมชนชนบท ชนช้นั ของสงั คม ชนช้นั กรรมกร

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี

การแบ่งครงั้ ที่ 3 (Third Summary) คอื การแบ่งสาขาวชิ าความรู้
หมวดย่อยแต่ละหมวดออกเป็นหม่ยู ่อย (Section) 10 หมเู่ ท่า ๆ กนั
ใช้เลขอารบกิ หลักหน่วย 0–9 แทนความร้หู ม่ยู ่อย เช่น หมวดย่อย
390 จารตี ประเพณี มารยาทและตานานพ้นื บ้าน และแบ่งเป็นหมู่
ย่อยได้ 10 หมู่ คอื 391 392 393 394 395 396 397 398 399
ดงั น้ี
300 สงั คมศาสตร์ (Social sciences)
390 จารตี ประเพณี มารยาทและตานานพ้นื บ้าน
391 เคร่อื งแต่งกายและลักษณะปรากฏของบุคคล
392 จารตี ประเพณวี งจรชวี ิตและชวี ติ ในบ้าน
393 จารีตประเพณงี านศพ
394 จารีตประเพณที ว่ั ไป
395 มารยาท
396 เลิกใชแ้ ลว้ เดิมคือ ฐานะและการปฏิบตั ิของหญงิ —
397 เลิกใชแ้ ลว้ เดิมคือ การศึกษา—คนนอกสงั คม
398 ตานานพ้นื บ้าน
399 จารีตประเพณสี งครามและการทตู
การแบ่งยอ่ ยตามเน้ อื หา

การแบ่งโดยใชจ้ ดุ ทศนิยม

81

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั
เช้อื ชาติ เผ่าพันธุ์
HV สวัสดภิ าพสงั คม สงั คมท่มี ปี ัญหา การแก้ไข อาชญากรรม
HX สงั คมนยิ ม คอมมวิ นสิ ต์ อนาธปิ ไตย
การแบ่งครงั้ ที่ 3 คอื การแบ่งออกเป็นหมู่ (Division) โดยใช้ตวั เลขอารบกิ
ต้ังแต่ 1-9999 ประกอบตัวอักษรโรมัน ในแต่ละหมู่จะมีจานวนการ
แบ่งเป็ นหมู่ย่อยไม่เท่ากัน เช่น หมวด HV จะแบ่งเป็น HV 1- HV 9920
หรือหมวด HX จะแบ่งเป็น HX 1- HX 970 เป็นต้น ส่วนเลขท่ยี ังเหลืออยู่
ในแต่ละหมวด สามารถนามาใช้ขยายเลขหมู่

การแบ่งยอ่ ยตามเน้ อื หา
การแบ่งเน้อื หาความร้ทู ่แี บ่งเฉพาะลงไป จากการแบ่งคร้ังท่ี 3 มี 2 ลกั ษณะ
คอื

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี
การแบ่งเน้อื หาความร้ทู ่แี บ่งเฉพาะลงไป จากเลขหลกั ร้อยท้งั หมวด
ใหญ่ หมวดย่อย และหมู่ย่อย โดยจะใส่จุดทศนิยมหลังเลขตัวท่ี
3 ของเลขหมู่ท้ังหมวดใหญ่ หมวดย่อย และหมู่ย่อย โดยจะใส่จุด
ทศนยิ มหลงั เลขตวั ท่ี 3 ของเลขหมู่ท้งั หมวดใหญ่ หมวดย่อย และหม
ย่อย เลขทศนิยมจะมกี ่ตี าแหน่งกไ็ ด้ เช่น 000.3 020.7 155.423
394.23654
หลักการใช้จุดทศนิยมของระบบทศนิยมดิวอ้ีคือ ใส่จุดทศนิยม
หลังเลขตวั ท่ี 3 เพียงแห่งเดียวและคร้ังเดียวเท่าน้ัน โดยไม่คานึงว่า
เลขหมู่น้ัน ๆ จะยาวหรือส้ันมากน้อยเพียงไร การใช้จุดทศนิยม
สามารถจดั หมวดหมู่ความร้ใู ห้เฉพาะลงไปได้ โดยไม่มที ่สี ้นิ สดุ

82

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั
ด 1) การแบ่งโดยใชเ้ ลขทศนิยม คอื การนาเอาเลขทศนยิ มมาขยายเลขย่อย

ในกลุ่มน้นั ให้ได้เลขหม่เู พ่ิมข้นึ สาหรับเน้ือหาวชิ าท่คี วรจะอยู่ในกล่มุ
เดยี วกนั
มู่ 2) การแบ่งโดยใชเ้ ลขคตั เตอร์ คอื การใช้ตวั อกั ษรและตวั เลขสาหรบั
3 การแบ่งย่อยเน้ือหาท่ลี ะเอยี ดลงไปอกี เช่น การแบ่งย่อยตามช่อื ทาง
ภมู ศิ าสตร์ (Geo-graphical name) การแบ่งย่อยตามรายช่อื เน้อื หาวชิ า
เฉพาะ (Special topics)


การใช้ตัวอักษร A-Z ในการแบ่งย่อยตามเน้ือหา โครงสร้างการแบ่ง
หมวดหมู่เป็น 3 ระดับน้ัน การแบ่งหมวดหมู่ในระดับท่ี 3 ได้แบ่งออกเป็ น
หมู่ย่อยตามช่ือภมู ศิ าสตร์หรือพ้ืนท่ีภมู ิศาสตร์ และเน้ือหา โดยเทคนิคการ
ใช้ตวั อกั ษร A-Z หรือเทคนิคการใช้เลขคตั เตอร์ประกอบเลขหมู่ กาหนดให้
เลขคัตเตอร์เป็ นส่วนหน่ึงของเลขหมู่ และจะใช้เม่ือมีคาส่ังระบุให้ใช้เลข
คัตเตอร์ เพ่ือการแบ่งย่อยเน้ือหาตามช่ือรัฐ ประเทศ ภูมิภาค ซ่ึงเรียกว่า
การแบ่งตามภมู ิศาสตร์ (Geographical subdivisions) และใช้เพ่ือแบ่งย่อย
เน้ือหาเฉพาะเร่ือง (Special tropics subdivisions) สาหรับเน้ือหาวิชาท่ี
ต้องการจาแนกเป็นการเฉพาะ เลขคัตเตอร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
เลขคัตเตอร์ A-Z เลขคัตเตอร์สารอง (Reserve cutter) และเลขคัตเตอร์
ลาดบั (Successive cutter number)

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี

83

ระบบหอสมุดรฐั สภาอเมริกนั
1. เลขคัตเตอร์ A-Z คอื การแบ่งย่อยโดยใช้ตวั อกั ษร A-Z
ตามด้วยตวั เลข 1-3 หลัก เลขคัตเตอร์ประเภทน้แี บ่งออกตามลักษณะการ
แบ่งย่อย ดงั น้ี

1.1 การแบ่งย่อยตามชือ่ ประเทศ รฐั หรือภูมิภาค ใช้ตัวอกั ษร
ตัวแรกของช่ือประเทศ รัฐ หรือภูมิภาค ตามด้ วยตัวเลข 1-3หลัก
ซ่ึงกาหนดจากตารางลอย ระบบหอสมุดรัฐสภาอเมริกันได้จัดทาตาราง
สาเร็จรูปของเลขคัตเตอร์ลักษณะน้ี เพ่ือให้ ใช้ประกอบเลขหมู่สาหรับ
การแบ่งย่อยโดยใช้คาส่งั ดงั น้ี

By region or country, A-Z
By region or state, A-Z
By city, A-Z
Region and countries, A-Z

การแบ่งตามช่อื ประเทศ รฐั หรือภมู ภิ าค แบ่งได้ โดยนาเอาเลขคตั เตอร์ของ
ช่อื ประเทศ รัฐ และเมอื งมาเตมิ ลงในเลขหมู่ สาหรบั ตารางรายช่อื ประเทศ
จะปรากฏอยู่ในท้ายเล่มของหมวด H หมวด C, D, E-F, T, U และ V
ซ่งึ ใช้คาว่า “Table of Regions and Countries in One Alphabet” ภายใต้
ตารางน้จี ะเป็นรายช่อื ประเทศตามตวั อกั ษรต้งั แต่ A-Z เช่น ประเทศ
Afghanistan ใช้ .A3 ประเทศ Zaire ใช้ .Z28 เลขท่กี าหนดเฉพาะประเทศ
เหล่าน้นี าไปใช้กบั หมวดอ่นื ๆได้ เม่อื มคี วามประสงคจ์ ะแบ่งรายละเอยี ด
ตามช่อื ประเทศ รฐั และเมอื ง เลขประเทศท่แี นบอยู่ท้ายเล่มของเลขหมู่ใน
แต่ละหมวดไม่ได้มเี ลขคตั เตอร์ตรงกนั ทกุ รายการไป การมเี ลขคตั เตอร์

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี

84

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั
ประจาไว้ในบางหมวดท่มี กี ารแบ่งตามภมู ศิ าสตร์มากๆน้นั กเ็ พ่ือเป็น
วิธกี ารการกาหนดเลขหม่เู ทา่ น้นั

1.2 การแบ่งย่อยตามเรื่องเฉพาะ (Special subjects) ใช้ตัวอักษร
ตวั แรกของเน้อื เร่อื งเฉพาะ ตามด้วยตวั เลข 1-3 หลัก ซ่ึงกาหนดจาก
ตารางลอย บางเลขหมู่ได้กาหนดรายการแบ่งย่อยตามเน้ือเร่ืองเฉพาะ
เพ่ือให้ใช้ประกอบเลขหมู่ ถ้าผู้ใช้ต้องการระบุแบ่งย่อยนอกเหนือจากท่ี
กาหนดไว้ ผู้ใช้สามารถกาหนดข้ึนเองโดยใช้ ตารางลอย (Floating table)
หรือ ตารางเลขคัตเตอร์ ตามท่รี ะบุให้ใช้การแบ่งย่อยตามเน้ือเร่ืองเฉพาะ
คอื Special topics, A-Z เช่น .P55 Pollution .S3 Saving and investment

2. เลขคัตเตอรส์ ารอง (Reserves cutter number) คอื เลขคตั เตอร์ท่ี
ถูกกาหนดให้เป็ นเลขหมู่สาหรับประเภทและหรือ/ เน้ือหา ลักษณะพิเศษ
ของส่งิ พิมพ์ เช่น สง่ิ พิมพ์ รฐั บาล วารสาร สมาคม รายงานการประชุม ฯลฯ
เลขคตั เตอรส์ ารองแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื

2.1 กาหนดเป็นตวั อกั ษรและตวั เลขโดยเฉพาะ ดงั ตวั อย่าง
.A1 วารสาร สมาคมสง่ิ พิมพ์ต่อเน่อื ง (Periodicals,
Societies, Serials)
.A3 รายงานการประชุม (Congresses)
.A5-Z เร่อื งท่วั ไป (General works)

2.2 กาหนดเป็นตวั อกั ษร และช่วงห่างของตวั เลข ดงั ตวั อย่าง
.A1-15 วารสาร (Periodicals)
.A1-3 เร่อื งทว่ั ไป (General works)
.A51-59 เร่อื งเฉพาะ (General special)

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี

การใช้ตารางช่วย
หลกั พ้ืนฐานในการใช้ตารางช่วยมดี งั น้ี มดี งั น้ี
1. เลขจากตารางช่วยทุกตารางจะนาไปใช้ตามลาพังไม่ได้ เพราะ
ไม่ใช่เลขหมู่ และยังเป็นเลขท่ไี ม่สมบูรณต์ ้องใช้ประกอบกบั เลขหลกั
ของเลขหมู่เพ่ือสร้ างเลขหมู่ ( Number building) ข้ึนใหม่ให้
สอดคล้องกบั เน้ือเร่ืองเฉพาะกรณีท่มี ีคาอธบิ ายให้เพ่ิมหรือเติมเลข
จากตารางช่วยตารางใดตารางหน่ึงเทา่ น้นั
2. ในการสร้างเลขหมู่ข้ึนใหม่ ต้องทราบเลขหลักของเลขหมู่ และ
เลขจากตารางช่วยท่เี ก่ยี วข้อง
3. วิธสี ร้างเลขหม่โู ดยใช้ตารางช่วย มวี ิธกี ารดงั น้ี

3.1 นาเลขหลักของเลขหมู่ท่กี าหนดให้ไปเติมหน้าเลขจากตาราง
ช่วยท่เี ก่ยี วข้อง หรือ

3.2 นาเลขจากตารางช่วยท่ีเก่ียวข้องไปเติมหลังเลขหลักของ
เลขหมู่
3.3 ถ้าตวั เลขท่ไี ด้ยาวเกนิ 3 ตวั ต้องใส่จุดทศนิยมหลงั เลขตวั ท่ี 3

85

ระบบหอสมุดรฐั สภาอเมริกนั

3.เลขคตั เตอรเ์ รยี งลาดบั (successive cutter number) คอื

เลขคัตเตอร์ท่ใี ช้ในการกระจายเลขหมู่ย่อยต่อจากเลขหมู่ท่เี ป็นเลขคัตเตอร์

A-Z ดังในตัวอย่าง HD 1696 เป็นเลขหม่กู ารพัฒนาแหล่งนา้ ภมู ภิ าคอ่นื ๆ

หรือประเทศต่างๆในทวีปอเมริกา ให้แบ่งได้ตามช่ือประเทศ A-Z เช่น

ประเทศชิลี = .C5 ซ่ึงสามารถแบ่งรายละเอียดออกไปได้อีก 4 รายการ

ต้งั แต่ .X, .X2, .X3 และ .X4 ในการกระจาย โดยใช้เลขคตั เตอร์เรียงลาดบั

จะใช้เลขคตั เตอรข์ องประเทศท่ตี ้องการกระจายแทนท่สี ญั ลกั ษณ์ .X

การใช้ตาราง และการแบ่งย่อยตามวิธีเดียวกันการกระจายตารางเลขหมู่

มี 2 วธิ ี คอื

วธิ ีที่ 1 กระจายตามตารางทีร่ ะบุในแบบแผนการจดั ระบบ LC



ห ตวั อย่างเช่น ตารางหมวด HC ECONOMIC HISTORY AND

ข CONDITIONS

445

HC 445 เลขประเทศไทย

HC 445.8 เลขประเทศสงิ คโปร์

HC 446-450 เลขประเทศอนิ โดนเี ซยี

HC 451-460 เลขประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์ ฯลฯ

พิจารณาระยะห่างของจานวนเลขในตารางเลขหมู่ประเทศน้ันๆ เพ่ือจะได้

นาไปใช้ในช่องของตารางท่จี ะกระจาย ซ่ึงระยะห่างจะมจี านวนต้งั แต่ 10 ช่วง

(10 nos.) 5 ช่วง (5 nos.) และ 1 ช่วง (1 no.) เช่น

HC 445 = 1 จานวน

HC 445.8 = 1 จานวน

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี
ตวั อย่างการนาเลขหลักของเลขหม่ไู ปเตมิ หน้าเลขตารางช่วย
เลขหมู่หมวดใหญ่และหมวดย่อย ตดั 0 ตวั สดุ ท้ายออก

500 + - 01 = 501
540 + - 03 = 540.3
สาหรับเลขหม่ยู ่อย นาเลขจากตารางช่วยทเ่ี ก่ยี วข้องไปเตมิ หลัง
เลขหมู่ย่อย ถ้าตวั เลขท่ไี ด้ยาวเกนิ 3 ตวั ต้องใสจ่ ุดทศนิยมหลงั เลข
ตวั ท่ี 3
551 + - 01 = 551.01
294.3 + - 09 = 294.309

86

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั
HC 446-450 = 5 จานวน
HC 451-460 = 10 จานวน
การใช้ตารางตามท่รี ะบุของหมวด H ตามช่วงห่างของเลขประเทศ และการ
กระจายรายละเอยี ดตามเน้อื หาหรือลกั ษณะของสาร/สนเทศตามท่ตี ้องการ
ตวั อย่าง เลขประเทศอนิ โดนีเซยี คอื HC 446-450 ใช้ตารางสาหรบั เลข 5
จานวน
Indonesia economics document
(1.A1-3) = HC 446.A1
(1 คอื ลาดบั ท่ี 1 .A1-3 คอื เลขคตั เตอรส์ ารองให้
กระจายได้ตามช่ือเอกสาร ในท่นี ้สี มมตใิ ห้ I
(Indonesia) อยู่ท่ี .A1)
Separate document of Indonesia
(1.A4) = HC 446.A4
(1 คอื ลาดบั ท่ี 1, .A4 คอื เลขคตั เตอรส์ ารอง
เก่ยี วกบั เอกสารตามประเภท)
Economics periodicals
(1.A5-Z) = HC 446.E25
(1 คอื ลาดบั ท่ี 1 .A5-Z คอื เลขคตั เตอรส์ ารองให้
กระจายตามช่อื วารสาร คอื Economics = .E25)
Biography of economics in Indonesia
(1.5) = HC 446.5
(ลาดบั ท่ี 1.5 คอื 446.5)

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี

ตวั อย่าง เลขหลักของเลขหมู่ท่กี าหนดให้คอื 513 เลขจากตารางช่วย
ท่เี ก่ยี วข้อง คอื เลข - 03
วิธีสรา้ งเลขหมู่ใหม่ คือ เอาเลข 513 ไปเติมหน้าเลขจากตาราง
ช่วย – 03 ตดั เคร่อื งหมาย – ออก จะได้เลข 51303 หรือนาเลขจาก
ตารางช่วย – 03 ตัดเคร่ืองหมาย – ออก จะได้ เลข 51303
เหมอื นกนั แต่เน่ืองจากเลขยาวเกนิ 3 ตวั จึงต้องใส่จุดทศนยิ มหลงั
เลขตวั ท่ี 3 ดงั น้ันเลขหมู่ท่สี ร้างข้นึ คอื 513.03
การสร้างเลขหม่ดู ้วยวธิ ใี ช้เลขหม่ปู ระกอบกบั เลขจากตารางช่วยทกุ
คร้งั ต้องนาเลขหมู่ท่ไี ด้น้นั ไปตรวจสอบกบั เลขหม่ใู นตารางเลขหมู่
(สว่ นท่ี 2-3) ทุกคร้งั ถ้าพบว่ามเี ลขหม่ดู งั กล่าวในตารางเลขหมแู่ ละ
ความหมายตรงกนั แสดงว่าเลขหม่นู ้นั ถกู ต้อง แต่ถ้าพบว่าเลขหมู่
ไม่ตรงกนั และมคี วามหมายต่างกนั แสดงว่าเลขหม่ทู ่สี ร้างข้นึ น้นั ไม่
ถูกต้อง เช่น เลขหม่พู จนานุกรมสงั คมศาสตร์ ได้จากการเอา
เลขหลักคอื เลข 3 ไปเตมิ หน้าเลขตารางช่วยคอื เลข 03 เลขท่ไี ด้คอื
303 แต่เม่อื ไปตรวจสอบในตารางเลขหมปู่ รากฏว่า เลขหมู่ 303

87

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั
Economic conditions in Indonesia

(2) = HC 447
(ลาดบั ท่ี 2 คอื 447)

Natural resources in Indonesia
(2.5) = HC 447.5
(ลาดบั ท่ี 2.5 คอื 447.5)

ย วิธที ่ี 2 ต้องนาเลขประเทศในตารางภมู ิศาสตร์มาบวกกบั เลขหมู่พ้ืนฐานท่ี
กาหนดไว้ให้ (Base number) แล้วจงึ กระจายไปตามตารางท่รี ะบุไว้


3


การแบง่ ย่อยตามวิธีเดียวกนั (Divided like note) คอื การโยงให้ไปดู

การแบ่งย่อยเช่นเดยี วกบั เลขหมทู่ ่อี ้างถงึ อาจจะใช้วธิ กี ารเทยี บตวั เลข

ตวั ท้าย 2 หลกั หรือ 1 หลกั ท้าย ให้เปล่ยี นไปตามหมวดหมู่ คาสง่ั ท่รี ะบุ

ให้แบ่งย่อยด้วยวธิ นี ้ี ได้แก่ คาว่า Divided like, Sub arrange like

ดงั ปรากฏในหมวด LB และ LC แบ่งย่อยตามลกั ษณะของงานและสถานท่ี

ทางภมู ศิ าสตร์

LC SPECIAL ASPECTS OF EDUCATION LC

Middle class education.

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี
ไม่ใช่ เลขหมู่พจนานุกรมสงั คมศาสตร์ กแ็ สดงว่าเลขหม่ทู ่สี ร้างข้นึ
น้นั ไม่ถูกต้อง ต้องอา่ นคาอธบิ ายท่เี ลขหมู่ 300 จะพบคาอธบิ ายว่า
ให้ใช้เลข 300.1 – 300.9 เป็นเลขวธิ เี ขยี น ดงั น้นั พจนานุกรม
สงั คมศาสตร์จงึ ต้องใช้เลขหมู่ 300.3 ตามคาอธบิ ายท่กี าหนดให้ใช้
300.1 – 300.9 เป็นเลขวิธเี ขยี น

ตารางชว่ ย 1 ตารางเลขวธิ ีเขียนหรือตารางเลขเรือ่ งย่อยมาตรฐาน
(Table 1 Standard subdivisions) ใช้ประกอบกบั เลขหลักของเลขหมู่
เพ่ือแสดงให้ทราบวธิ เี ขยี น หรือทราบเร่อื งย่อยมาตรฐานท่เี ก่ยี วข้อง
กบั เลขหม่นู ้นั ๆ เช่น เขยี นในแง่ประวตั ิ หรอื ในแง่การศึกษาและการ
สอน เป็นตารางช่วยท่ใี ช้อยู่เสมอส่วนใหญ่ไม่มคี าอธบิ ายการใช้
ตารางช่วย 1 ประกอบเลขหลกั ของเลขหมู่ ยกเว้นในกรณที ่ี
กาหนดให้ใช้เลขจากตารางช่วย 1 แตกต่างไปจากเลขในตารางช่วย
เช่น เลขในตารางช่วยคอื – 01 แต่กาหนดให้ใช้ – 001 แทน ดงั น้นั
ควรจาเคร่อื งหมายของเลข 01 – 09 จากตารางช่วย 1 และต้องใช้
ตามท่แี บบแผนกาหนดด้วย
ตารางช่วย 1 ตารางเลขวธิ เี ขยี นหรือเลขเร่อื งย่อยมาตรฐาน
-01 ปรัชญาและทฤษฎี (Philosophy and theory)
-02 ปกณิ กะ (Miscellany)
-03 พจนานุกรม สารานุกรม ดรรชนอี ภธิ าน (Dictionaries,

encyclopedias, concordances)
-04 เร่อื งพิเศษเฉพาะวชิ า (Special topics of general applicability)
-05 ส่งิ พิมพ์ต่อเน่อื ง (Serial publications)

88

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั
4959 General works.
4961 General special.

4971-4979 By country
Subdivided like LC 4941-4949.

)

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี
-06 องคก์ ารและการจัดการ (Organization and management)
-07 การศกึ ษาและการสอน (Study and teaching)
-08 ประวัตแิ ละคาอธบิ าย (History and description of the subject

among groups of persons)
-09 ประวัตศิ าสตร์และภมู ศิ าสตร์ (Historical and geographical

treatment)
ตารางชว่ ย 2 ตารางเลขภมู ิศาสตร์ (Table 2 Areas) ตารางเลข
ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศและเลขประเทศ ตารางน้ใี ช้ประกอบกบั เลขหมู่
เพ่ือแสดงให้ทราบถงึ ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศหรือประเทศท่เี ก่ยี วข้องกบั
เลขหม่เู ร่อื งใดเร่อื งหน่งึ จะใช้ต่อเม่อื มคี าอธบิ ายให้เตมิ เลข
ภมู ศิ าสตร์ (add “Areas” notation) ปรากฏอยู่ในตารางเลขหมู่
เท่าน้นั ถ้าไม่มคี าอธบิ ายดงั กล่าวจะเตมิ เลขภมู ศิ าสตรไ์ ม่ได้ สาหรับ
วิธใี ช้ในลักษณะเดยี วกบั วธิ ใี ช้ตารางช่วย 1 ท่ไี ด้กล่าวมาแล้ว
ตารางช่วย 2 ตารางเลขภมู ศิ าสตร์
-1 Areas, regions, places in general
-2 Persons regardless of area region, place
-3 The ancient world
-4 Europe Western Europe
-5 Asia Orient Far East
-6 Africa
-7 North America
-8 South America
-9 Other parts of world and extraterrestrial worlds

89

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี
Pacific Ocean islands (Oceania)
ตารางชว่ ย 3 ตารางเลขรูปแบบคาประพนั ธแ์ ละเรือ่ งย่อยของ
วรรณคดีแต่ละภาษา (Table 3 Subdivisions of individual
literatures) ใช้ประกอบกบั เลขหลกั ของหมวด 800 วรรณคดี แต่ละ
ภาษาท่มี เี คร่อื งหมาย * กากบั ต้งั แต่เลขหมู่ 810 – 890 เทา่ น้นั
ใช้กากบั เลขหม่หู มวดอ่นื ๆ ไม่ได้ เลขรูปแบบคาประพันธท์ ่คี วรร้จู กั
มี 8 เลข คอื เลข 1 – 8
ตารางช่วย 3 ตารางเลขรูปแบบคาประพันธ์และเร่ืองย่อยของ
วรรณคดแี ต่ละภาษา
-1 ร้อยกรอง หรอื กวีนพิ นธ์ (Poetry)
-2 บทละคร (Drama)
-3 นวนิยาย (Fiction)
-4 ความเรียง (Essays)
-5 สนุ ทรพจน์ (Speeches)
-6 จดหมาย (Letters)
-7 ล้อเลียนเสยี ดสแี ละชวนขนั (Satire and humor)
-8 คาประพันธห์ ลายรปู แบบ (Miscellaneous writings)
ตารางชว่ ย 4 ตารางเลขเรือ่ งย่อยของภาษาแต่ละภาษา (Table
Subdivisions 4 of individual languages) ใช้ประกอบกบั เลขหลัก
หมวด 400 ภาษา ต้งั แต่เลขหมู่ 420 – 490 เฉพาะภาษาท่มี ี
เคร่อื งหมาย * กากบั เท่าน้นั ใช้กบั หมวดอ่นื ๆ ไม่ได้

90

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั

รายการ ระบบทศนยิ มดิวอ้ ี
ตารางช่วย 4 ตารางเลขเร่อื งย่อยของภาษาแต่ละภาษา
-1 รหัสการพูดและการเขยี นตามรปู แบบมาตรฐานของภาษา

(Written and Spoken codes of the standard form of the
language)
-2 นริ กุ ตศิ าสตร์ตามรปู แบบมาตรฐานของภาษา (Etymology
of the standard form of the language)
-3 พจนานุกรมตามรปู แบบมาตรฐานของภาษา (Dictionaries
of the standard form of the language)
-5 ระบบโครงสร้าง (ไวยากรณ)์ ตามรปู แบบมาตรฐานของภาษา
(structural system (Grammar) of the standard form of the
language)
-7 รปู แบบท่ไี ม่ใช่มาตรฐานของภาษา (Nonstandard form of the
language)
-8 การใช้ภาษาตามรปู แบบมาตรฐานของภาษา (Standard usage
of the Language (Applied Prescriptive linguistics)
ตารางชว่ ย 5 คือ ตารางเลขกล่มุ เช้อื ชาติ กล่มุ ชาติพนั ธุ์ และ
กล่มุ สญั ชาติ (Table 5 Racial, Ethic, National Groups)
-1 อเมรกิ นั นอเมรกิ นั เหนือ
-2 ชาวองั กฤษ ชาวแองโกลแซกซอน
-3 ชาวนอรด์ กิ
-4 ชาวลาตนิ สมยั ใหม่
-5 ชาวอติ าลี ชาวรเู มเนยี และอ่นื ๆ ท่เี ก่ยี วข้อง
-6 ชาวสเปน และชาวปอร์ตเุ กส

91

ระบบหอสมุดรฐั สภาอเมริกนั
e


Click to View FlipBook Version