The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ระบบการจัดความรู้<br>(Knowledge Organization System)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by yaovalak.l, 2022-09-13 01:44:03

Chap2_KOS

ระบบการจัดความรู้<br>(Knowledge Organization System)

Keywords: ระบบการจัดความรู้

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี
-7 ผ้มู เี ช้อื สายอติ าลอี ่นื ๆ
-8 ชาวกรกี และอ่นื ๆท่เี ก่ยี วข้อง
-9 เช้อื ชาตอิ ่นื ๆ
ตารางช่วย 6 ตารางเลขภาษา (Table 6 Languague)
-1 ภาษาอนิ โด-ยูเรเปี ยนต่างๆ
-2 ภาษาองั กฤษและภาษาองั กฤษเก่า (ภาษาแองโกล)
-3 กล่มุ ภาษาเยอรมนั
-4 กล่มุ ภาษาโรมานซ์
-5 ภาษาอติ าลี ภาษาซารด์ เิ นยี ภาษาดลั มาเทยี ภาษาโรมนเนีย
-6 ภาษาสเปน และภาษาโปรตเุ กส
-7 ภาษาอติ าลกิ
-8 ภาษาเฮเลนกิ
-9 ภาษาอ่นื ๆ
-95911 ภาษาไทย

โครงสรา้ งของ แผนการจัดหมู่ประกอบด้วย 4 สว่ น คอื
แผนการจดั หมู่ ส่วนท่ี 1 บทนาและตารางช่วย (Introductions and Table)
สว่ นท่ี 2-3 ตารางเลขหมู่ (Schedule) และส่วนท่ี 4 ดรรชนีสมั พันธ์
(Relative index)
ส่วนที่ 1 บทนาและตารางช่วย ประกอบด้วย
บทนา คอื สว่ นท่เี ป็นบทนาของบรรณาธกิ ารท่เี ป็นคาอธบิ ายเก่ยี วกบั
รปู ลักษณแ์ ละโครงสร้างของระบบทศนยิ มดวิ อ้ี การปรบั ปรงุ เลขหมู่

92

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั

แผนการจัดหมู่ แยกเป็ นแต่ละหมวด แบ่งเป็ นโครงสร้างภายนอกและ
โครงสร้างภายใน
โครงสรา้ งภายนอก (External format) คอื ลกั ษณะรปู เล่มของหนังสอื
แผนการจัดหมู่ แต่ละหมวดมกี ารจัดรปู เล่มเป็นแบบเดยี วกนั โดยแบ่ง
ออกเป็น 7 สว่ นดงั น้ี

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี
เดมิ และการเพ่ิมเตมิ เลขหม่ใู หม่ ๆ คาแนะนาวธิ กี ารใช้ระบบ รวมถงึ
วธิ กี ารวิเคราะหเ์ น้อื เร่อื ง วธิ เี ลือกเลขหม่ใู ห้เหมาะสมกบั เน้อื เร่อื ง
วธิ กี ารใช้ตารางช่วยและดรรชนีสมั พันธ์ อภธิ านศัพท์
ตารางช่วย หมายถงึ ตารางเลขชดุ หน่ึง ซ่งึ แยกต่างหากจากตาราง
เลขหมู่ เป็นตารางเลขอารบกิ ล้วนๆ ต้งั แต่เลข 1 ตัว จนถงึ หลายๆ
ตวั จะมเี คร่อื งหมาย – (ยัตภิ งั ค)์ นาหน้าเช่น -1, -2, -3 หรือ
-01, -02, -03, หรือ -593, หรือ -95911, การใช้
เคร่อื งหมาย - นาหน้าน้ี แสดงว่าเลขจากตารางช่วยเป็นเลขท่ยี งั ไม่
สมบูรณ์ ใช้เป็นเลขหม่ตู ามลาพงั ไม่ได้ เพราะเป็นเพียงเลขท่แี สดง
วิธเี ขยี น หรือแสดงรปู ลักษณห์ รอื แสดงรปู แบบคาประพนั ธ์ หรอื
แสดงภาษา ดงั น้นั จะต้องใช้ประกอบกบั เลขหม่ทู ่กี าหนดให้ใช้
หรอื ใช้ตามความเหมาะสมกบั เร่อื งท่นี ามาจัดหมวดหมู่

93

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั
1.คานา (Prefatory note) คอื สว่ นท่อี ยู่ถดั จากหน้าช่ือเร่ือง อธบิ ายถงึ
ประวัตคิ วามเป็นมา พัฒนาการของการกาหนดเลขหมู่ พร้อมท้งั ผ้จู ดั ทา
ของฉบบั น้นั ๆอย่างย่อ ผ้ใู ช้หนงั สอื แผนการจัดหม่แู ต่ละหมวดสามารถ
ศึกษาหาข้อมลู เก่ยี วกบั หมวดน้นั ได้จากคานา
2.บทสรุปย่อ (Synopsis) คือ ส่วนสรุปขอบเขตการแบ่งเน้ือหาของหมวด
ใหญ่แต่ละหมวดว่ามหี มวดย่อยๆมากน้อยเพียงใด ซ่ึงจะเป็นเหมอื นสารบญั
ในหมวดน้ันๆ ในส่วนสรุปย่อน้ีจะเป็ นการแบ่งคร้ังท่ี 2 โดยใช้ตัวอักษร
2 ตวั หรอื 3 ตวั เป็นสญั ลักษณ์
3. โครงร่างการแบ่งย่อย (Outline) เป็นการแบ่งคร้ังท่ี 3 โดยสรปุ เลขหม่ใู น
แต่ละหมวดย่อย หรอแสดงรายการอย่างย่อขงเลขหม่ทู ้งั หมดในหมวดน้ันๆ
ส่วนน้ีเป็ นส่วนท่ีช่วยให้ ผู้ใช้ เห็นโครงสร้ างของเลขหมู่อย่างกว้ างๆ
ใช้สญั ลกั ษณต์ วั อกั ษรและตวั เลขประกอบกนั
4. แผนการจดั หมู่หนงั สือ (Schedule) คือ ส่วนท่ใี ช้กาหนดเลขหมู่หนังสอื
หรือตารางเลขหมู่ การเรียงลาดับจะเรียงตามตัวเลข ต้ังแต่ 1-9999
รายละเอียดแบ่งออกเป็น 2 คอลัมน์ คอลัมน์ด้านซ้ายเป็นเลขหมู่ คอลัมน์
ด้านขวาเป็ นคาอธิบาย เน้ือหาของเลขหมู่ซ่ึงจะมีการใช้ย่อหน้าเพ่ือแสดง
ขอบเขตของเน้อื หา หรอื เพ่ือแสดงการแบ่งย่อยลาดบั ข้นั ของเน้อื หา
5. ตารางช่วย (Auxiliary table) คือ ตารางเลขท่ีใช้ประกอบการกาหนด
เลขหมู่ให้ละเอียดแลเฉพาะลงไป ซ่ึงอยู่ต่อจากรายละเอยี ดของเลขหมู่ใน
ตอนท้ายเล่มตารางน้ีต้องใช้ประกอบกบั สญั ลกั ษณท์ ่กี าหนดไว้เท่าน้ัน
จะใช้ลอยๆ ไม่ได้

รายการ ระบบทศนิยมดิวอ้ ี

94

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั
6. ดรรชนี (Index) คอื สว่ นท่ชี ่วยในการค้นหาเลขหม่ภู ายในเล่ม ซ่ึงเป็น
ดรรชนขี องเน้อื เร่อื งแต่ละหมวดประกอบด้วยคาหรอื วลเี รียงตามลาดบั
อกั ษร A-Z และมเี ลขหมู่อย่างกว้างๆ ท่เี ก่ยี วข้องกบั เน้อื หากากบั อยู่
แต่จะนาเลขหม่เู ล่าน้นั มาใช้ทนทไี ม่ได้ ต้องศกึ ษารายละเอยี ดของเลขหมู่
เพ่ือดูความถกู ต้องก่อน
7. การเพ่ิมเติมและการแกไ้ ขดดั แปลง (Additions and changes)
เป็นเลขหม่ทู ่เี พ่ิมเตมิ ข้นึ ภายหลังจากท่ไี ด้พิมพ์ตางรางเลขหม่ไู ว้เรยี บร้อย
แล้ว โดยจะอยู่ในตอนท้ายเล่ม
โครงสรา้ งภายใน (Internal format)

1. การแบ่งย่อยตามวธิ ีเขียน ภายในตารางเลขหม่แู ต่ละ
หมวดหมู่ มกี ารแบ่งหมวดย่อยออกเป็น 7 ประเภท แต่ไมไ่ ด้มคี รบทุก
ประเภท และบางคร้งั อยู่สลบั ท่กี นั โดยทว่ั ไปการแบ่งตามวิธเี ขยี นทาก่อน
การแบ่งย่อยประเภทอ่นื

1.1 การแบ่งตามวิธเี ขยี น (General form division) คอื
การแบ่งตามประเภทของสง่ิ พิมพ์ท่เี สนอเน้อื หา เช่น วารสาร สง่ิ พิมพ์ของ
สมาคม รายงานการประชุม นทิ รรศการ รวมเร่ือง สารานุกรม และ
พจนานุกรม เป็นต้น

1.2 ทฤษฎี ปรัชญา (Theory, Philosophy)
1.3 ประวัตศิ าสตร์ (History)
1.4 ตาราและเร่อื งทว่ั ไป (Treatises, General works)
1.5 กฎ ระเบยี บ ข้อบงั คบั เร่อื งท่เี ก่ยี วข้องกบั รัฐบาล

(Law, Regulations, State relations)

รายการ ระบบทศนยิ มดิวอ้ ี

ส่วนที่ 1-3 ตารางเลขหมู่ (Schedule) ตารางการจัดลาดับ
หมวดหม่วู ิชาความท้งั มวลอย่างมรี ะบบ จากเน้อื เร่อื งกว้างๆ ไปจนถงึ
เน้ือเร่ืองท่ีเฉพาะลงไป โดยใช้เลขอารบิคล้วนๆ อย่างน้อย 3 หลัก
00-900 เป็นสญั ญลกั ษณแ์ ทนเน้อื หาความรู้

ส่วนที่ 4 ดรรชนีสมั พนั ธ์ (Relative index) เป็ นเคร่ืองมือสาหรับ
ค้นหาเลขหมู่ท้งั ระบบ ดรรชนีสมั พันธไ์ ด้นาเอาเร่ืองท่เี ก่ยี วข้องทุกแง
ทกุ มมุ ซ่ึงกระจายอยู่ตามหมวดหม่ตู ่างๆ ของเร่อื งใดเร่ืองหน่ึงเข้ามา
รวมไว้ด้วยกนั ภายใต้คาดรรชนขี องเร่อื งน้นั ๆ และมเี ลขหม่กู ากบั ตาม
ความเหมาะสม

95

ระบบหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั
1.6 การศึกษาและการสอน (Study and teaching)
1.7 เร่อื งเฉพาะสาขาวชิ า (Special subjects หรือ

Special topics หรอื Special aspects of the subject
as a whole)
บ 2. การแบ่งย่อยตามเน้ือหา
การใช้ตวั อกั ษร A-Z ในการแบ่งย่อยตามเน้อื หา โครงสร้างการแบ่ง
ก หมวดหมู่เป็น 3 ระดบั น้ัน การแบ่งหมวดหมู่ในระดบั ท่ี 3 ได้แบ่งออกเป็ น
หมู่ย่อยตาม ช่ือภูมิศาสตร์หรือพ้ืนท่ีภูมิศาสตร์ และเน้ือหา โดยเทคนิค
การใช้ตัวอักษร A-Z หรือเทคนิคการใช้เลขคัตเตอร์ประกอบเลขหมู่
กาหนดให้เลขคตั เตอร์เป็นสว่ นหน่งึ ของเลขหมู่ และจะใช้เม่อื มีคาสง่ั ระบใุ ห้
ใช้เลขคตั เตอรจ์ ะใช้ เพ่ือการแบ่งย่อยเน้อื หาตามช่อื รัฐ ประเทศ ภมู ภิ าค ซ่ึง
เรียกว่า การแบ่งตามภมู ิศาสตร์ (Geographical subdivisions) และใช้เพ่ือ
แบ่ งย่ อยเน้ือหาเฉพาะเร่ือง (Special tropics subdivisions) สาหรับ
เน้ือหาวิชาท่ีต้องการจาแนกเป็ นการเฉพาะ เลขคัตเตอร์แบ่งออกเป็ น 3
ประเภท ได้แก่ เลขคัตเตอร์ A-Z เลขคัตเตอร์สารอง (Reserve cutter)
และเลขคตั เตอร์ลาดบั (Successive cutter number)

ง่

1.6.3.2 การจดั หมวดหมู่ความรูต้ ามปรากฏการณ์ (Phenomena)
แนวคิดการจัดหมวดหมู่ตามปรากฏการณ์ (Classification of phenomena)

พิจารณาถึงธรรมชาติและความเป็ นจริงของเน้ือหาวิชา คานึงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
ปรากฏการณ์ท่เี ป็นแนวคิดท่มี ีอยู่ท้งั หมด (Universe of concept) ท้งั ความสัมพันธ์ของเน้ือหากบั
ส่วนอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับเน้ือหาด้วย เช่น รูปลักษณ์ แนวคิด เคร่ืองมือท่ีใช้ เป็ นต้น จึงทาให้
แนวคิดการจัดหมวดหมู่ความรู้เช่นน้ีสามารถแสดงความคิดท่ีเป็นเน้ือหาของความรู้ และแสดง
สาระสาคัญของความรู้ว่าเป็ นเร่ืองเก่ียวกับอะไรได้ชัดเจนย่ิงข้ึน แนวคิดของการจัดหมวดหมู่
(Concept of classification) น้ีมีลักษณะเด่นคือ ใช้ หลักการแบบวิเคราะห์ -สังเคราะห์
(Analytico-Synthesis Principle) ซ่ึงเป็ นหลักการพ้ืนฐานของการวิเคราะห์ฟาเซ็ท (Facet
analysis: FA) ท่ีพิจารณาความรู้แบบล่างข้ึนบน (Bottom-Up) หลักการเป็ นการศึกษาและ
วิเคราะห์มุมมองหรือความคิด (Idea) ท่ีมีอยู่ในงาน (Work) น้ัน จากน้ันจึงวิเคราะห์ความเป็ น
เหตุเป็นผลทางตรรกะของความคิดเหล่าน้ันว่ามีความสัมพันธ์กันโดยลาดับอย่างไร วิธีการเช่นน้ี
ทาให้สามารถพิจารณาหลักฐานเชิงประจักษ์ท่มี ีในตัวงาน แล้วใช้ความเป็นเหตเุ ป็นผล (Rational
Intuition) เพ่ือสร้างหลักการเชิงตรรกะของความสัมพันธ์น้ัน หลักการน้ีคิดค้นข้ึนโดย S. R.
Ranganathan และพัฒนาต่อมาโดย British Classification Research Group

ฟาเซท็ เป็นแง่มุมท่ใี ช้เป็นหน่วยของการวิเคราะห์ หมายถึง ลักษณะการแบ่ง
สาขาวิชาด้วยคุณลักษณะบางส่ิงร่วมกัน ตัวอย่างเช่น ประโยชน์ใช้สอยของสินค้า เป็ นฟาเซ็ท
สาหรับจาแนกประเภท ลักษณะของเช้ือโรคเป็นฟาเซท็ สาหรับการแบ่งประเภทแนวคิด เป็นต้น
ท้ังน้ีการพิจารณาฟาเซ็ทในฐานะท่ีเป็ นหน่วยย่อยในการวิเคราะห์เร่ือง (Subject Analysis)
เพ่ือแบ่งแนวคิดหรือกลุ่มความรู้ของสาขาวิชา (Discipline) ให้เป็ นหมวดย่อย (Sub-class)
ตามมุมมองทางสหวิทยาการน้ัน ฟาเซท็ เป็นเน้ือหาของความรู้ท่มี ีความซับซ้อน เป็นปรากฏการณ์
ท่ตี ้องศึกษาและพิจารณาวัตถุหรือความรู้ท่ลี ักษณะเป็นกลาง (Neutral) หรือมีความเป็นอสิ ระและ
เป็นมุมมองท่คี วบคุมได้ จึงต้องอาศัยกระบวนการวิเคราะห์อย่างมหี ลักการ โดยสามารถพิจารณา
ได้ 2 มติ ิ คอื ปรากฏการณ์ และญานวิทยา

แนวคิดของการจัดหมวดหมู่บนพ้ ืนฐานหลักการวิเคราะห์ -สังเคราะห์ มีข้ อ
แตกต่างจากหลักการจาแนกรายละเอียดอย่างเฉพาะเจาะจง (Enumerative) ท่ีใช้ในแนวคิด
การจัดหมวดหมู่สาขาวิชา ประการแรกคือ แนวคิดของความรู้ท่เี ป็นสหวิทยาการมากกว่า เพราะ
พิจารณาปรากฏการณ์ในฐานะท่ีเป็นความจริงและเป็นตัวแทนของความรู้ของมนุษย์ (Gnoli &
Szostak, 2007) ประการท่ีสอง ด้วยวิธีการวิเคราะห์ท่ีมีลักษณะเฉพาะ ทาให้สามารถกาหนด
หมวดหมู่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง แสดงฟาเซท็ แง่มุมท่แี สดงถึงปรากฏการณ์ของความรู้ ซ่ึงเป็น
แนวคิดท่ีเก่ียวข้องในสาขาวิชาน้ัน ๆ และประการสุดท้าย เม่ือได้หมวดหมู่ท่ีเป็ นตัวแทนของ
ความรู้แล้ว สามารถนามาจัดหมวดหมู่ในลักษณะผสมผสานเพ่ือสร้างสัญลักษณ์หมวดหมู่

96

(Classmark) ท่ีแทนความรู้ท่ีมีลักษณะซับซ้ อนได้ การจัดหมวดหมู่ตามปรากฎการณ์
เรียกโดยรวมว่า การจัดหมวดหมู่ระบบฟาเซท็ (Faceted Classification)

การจัดหมวดหมู่ระบบฟาเซ็ท ได้ถูกนาเสนอข้ึนเป็ นคร้ังแรก ในปี ค.ศ.
1925 โดย Shiyali Ramamrita Ranganathan สาระสาคัญของการจัดหมวดหมู่ตามแนวทางน้ี
สร้ างและสังเคราะห์ความร้ ูจากข้ อความของเร่ืองจาก ทรัพยากรสารสนทศ ท่ีมีลักษณะเฉพาะ
(Prieto-Diaz, 2002) โดยศึกษาปรากฏการณ์ของความรู้ในแต่ละสาขาวิชา ทาให้ วิธีการน้ีมี
ความสาคัญต่อการจัดหมวดหมู่ความรู้ตามมุมมองสหวิทยาการ และกลายเป็ นประเด็นของ
การศึกษาร่วมกันในหลายสาขาวิชามาจนถึงปัจจุบัน (Gnoli, 2008b; Gnoli & Szostak, 2007)
ท่สี าคัญเป็นแนวคิดการจัดหมวดหมู่ท่สี าคัญของหลายระบบ เช่น ระบบหมวดหมู่โคลอน (Colon
Classification System: CC) ระบบหมวดหมู่บลิส (Bliss Classification System: BC) ระบบ
หมวดหมู่ทศนิยมสากล (Universal Decimal Classification System: UDC) เป็นต้น

1. แบบแผนการจัดหมวดหมู่ระบบฟาเซท็ (Faceted Classification Scheme)
เป็นเสมือนตารางมาตรฐานของศัพทท์ ่ใี ช้กาหนดรายละเอยี ดของเร่ืองท่มี ีในทรัพยากรสารสนเทศ
(Foskett, 1972) แบบแผนแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของความรู้เร่ืองใดเร่ืองหน่ึง (Domain of
knowledge) ในลักษณะของศัพท์ควบคุม (Controlled vocabularies) ท่ีมีการจัดระบบให้เป็ น
โครงสร้างท่ชี ัดเจน ท้งั น้ีจากการศึกษาแบบแผนท่ใี ช้วิธีการการจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ ไม่ว่าจะเป็น
Colon Classification, Bliss Bibliographic Classification และ Universal Decimal Classification
พบว่า แบบแผนน้ีมคี ุณลักษณะพ้ืนฐานท่สี าคัญ 4 ส่วน (Broughton, 2008; Slavic, 2008) ดงั น้ี

1.1 โครงสร้างของสาขาวิชา ส่วนแรกของแบบแผนการจัดหมวดหมู่ระบบ
ฟาเซท็ แสดงภาพรวมของระบบ (System) ท่มี โี ครงสร้างของสาขาวิชา (Discipline) สาขาวิชาย่อย
(Sub-discipline) โดยจัดทาข้ึนในลักษณะตารางหลักของการจัดหมวดหมู่ (Main tables) ซ่ึงมี
การจัดลาดับอย่างเป็ นระบบ (Systematic) ในหลายลักษณะ เช่น จัดเรียงทีละแนวคิด
(Sequence) จัดเรียงเป็นลาดับช้ัน (Hierarchy) โดยสามารถกาหนดเป็นตัวอกั ษรหรือสญั ลักษณ์
ของแต่ละแนวคิดข้ึน เพ่ือประโยชน์ในการจัดเรียง (Arrangement) ได้อย่างสะดวก (Gnoli,
2007) ตัวอย่างเช่น การจัดลาดับแนวคิดของแบบแผนการจัดหมวดหมู่ระบบทศนิยมสากล
(UDC) ดงั น้ี

53 Physics
53.02 General laws of phenomena
53.08 Units and constants [Physics]

It entails that the special auxiliaries .02 and .081 shown by sidelining
53 are applicable to all the subdivisions of 53 Physics, e.g.
531.02 General Laws of Mechanics
531.5.02 General Laws of Gravity

97

531.55.02 General Laws of External Ballistics
531.55.081 Units in External Ballistics
534.6.081 Units of Acoustic Measuremen

จากตัวอย่าง ลักษณะการจัดลาดับแนวคิดใช้วิธีการผสมผสานระหว่าง
การเรียงลาดับและการจัดระดบั เข้าด้วยกนั (Sequence & hierarchy) เป็นวิธกี ารท่พี บได้โดยท่วั ไป
ในแบบแผนการจัดหมวดหมู่ ซ่ึงลักษณะของการนาเสนอแบบน้ี นอกจากจะช่วยจัดเรียงแล้ว
ยังแสดงถึงความเฉพาะเจาะจง (Enumerative) ของแนวคิด โดยการจาแนกหมวดใหญ่ (Class)
เป็นหมวดย่อย (Sub-class) และหมู่ย่อย (Sub-division) ตามลาดบั

1.2 แนวคิดการจาแนกหมวดหมู่ย่อยท่ัวไป (General applicable concept)
เน่ืองจากในบางคร้ังหมวดย่อยและหมู่ย่อย อาจจาแนกบนหลักการเดียวกันซา้ เช่น จาแนกตาม
ช่วงเวลาเหมือนกนั แต่กาหนดใช้สญั ลักษณ์ท่แี ตกต่างกนั ดังน้ันเพ่ือทาให้การแบ่งหมวดหมู่ย่อย
ในทุก ๆ หมวดมีลักษณะเฉพาะเจาะจงย่ิงข้ึน และใช้สัญลักษณ์เดียวกัน แบบแผนการจัด
หมวดหมู่แบบฟาเซ็ทจึงจัดทาเป็ นตารางย่อยแยกจากตารางหลัก แต่สามารถผนวกเข้าไป
สญั ลักษณ์ท่กี าหนดไว้ในตารางหลักได้ ซ่ึงเป็นแนวคิดท่พี บได้ในแบบแผนการจัดหมวดหมู่ท่วั ไป
ไม่ว่าจะเป็น CC, BC2, UDC เป็นต้น โดยทว่ั ไปเรียกแนวคิดน้ีว่า หมวดหมู่ย่อยทว่ั ไป (Common
Sub-division) หรือ ตารางช่วย (Common auxiliaries) ซ่ึงสามารถใช้เป็ นทางเลือกสาหรับ
เพ่ิมเติมหรือแบ่งย่อยหมวดหมู่พ้ืนฐาน เพ่ือระบุแนวคิดท่ีเก่ียวกับช่วงเวลา (Time) สถานท่ี
(Place) ภาษา (Language) วัสดุ (Materials) รูปแบบวรรณกรรม (Form) ฯลฯ

การจาแนกหมวดหมู่ย่อยท่ัวไปดังกล่าว เป็ นจุดเร่ิมต้นของแนวคิด
การสงั เคราะห์และการจัดกลุ่มฟาเซท็ ท่แี สดงแนวคิด มุมมอง และมติ ติ ่าง ๆ ของความรู้ เพ่ือสร้าง
สัญลักษณ์หมวดหมู่ข้ึนจากการสังเคราะห์ข้อความท่ีแสดงถึงแนวคิดในเอกสาร (Subject
statement) เป้ าหมายของแนวคิดนอกจากจะเป็นเคร่ืองมือสาหรับสร้างตารางช่วยแล้ว (Auxiliary
tools) ยังเป็นวิธีการจัดกลุ่มแนวคิดจากหน่วยย่อยอย่างมีแบบแผน อนั เป็นหลักการพ้ืนฐานของ
วิธีการการจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ ตัวอย่างเช่น การกาหนดฟาเซ็ทในหมวดหมู่และในตารางช่วย
เพ่ือใช้เป็นกฎของการสร้างสญั ลักษณ์หมวดหมู่ของ UDC ดังน้ี

546 Inorganic Chemistry
546-31 Oxides
546.26 Carbon element
546.26-31 Carbon Oxides
546.47 Zinc
646.47-31 Zinc Oxides
Class number +Special auxiliaries + Commonauxiliaries.

98

1.3.กลุ่มของฟาเซท็ (Facet categories) หมายถึง ประเภทของกลุ่มความรู้

ของสาขาวิชาหลัก สาขาวิชาย่อยท่จี ัดโครงสร้างเป็นฟาเซท็ หลักหรือรอง โดยแต่ละฟาเซท็ สามารถ

นามาผนวกเพ่ือขยายเร่ืองท่มี ีความซับซ้อนของเน้ือหา องค์ประกอบในส่วนน้ีเป็นลักษณะเฉพาะ

ของแบบแผนการจัดหมวดหมู่ฟาเซ็ท เพราะนอกจากจะต้องมีการจัดลาดับดังกล่าวท่ีเป็ น

คุณลักษณะพ้ืนฐานโดยท่ัวไปแล้ ว แบบแผนต้องแสดงแนวคิดท่ีเก่ียวข้องในขอบเขตความรู้

ประกอบด้วยฟาเซท็ และกฎเกณฑ์สาหรับกาหนดหมวดหมู่แบบฟาเซท็ (Rules) ซ่ึงแสดงให้เหน็

ถงึ แนวคดิ (Concept) ท่เี ป็นปรากฏการณส์ าคญั ของความรู้ คุณลักษณะ และคุณสมบัตเิ ฉพาะของ

แต่ละแนวคิด (Attribute, Properties) ตัวอย่างเช่น Ranganathan ได้นาเสนอกลุ่มของฟาเซ็ทท่ี

เรียกว่า Fundamental categories ประกอบด้วย Personality, Matter, Energy, Space และ Time

ซ่ึงเป็ นฟาเซ็ทพ้ืนฐานท่ีใช้ ในระบบการจัดหมวดหมู่แบบโคลอน ต่อมานักวิชาการของ

Classification Research Group: CRG จึงได้ศึกษาและพัฒนากลุ่มของฟาเซท็ ข้ึนใหม่เพ่ือใช้เป็น

มาตรฐานของการวิเคราะห์แนวคิดเพ่ือการจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ ประกอบด้วย 15 ฟาเซท็ ได้แก่

Thing – Kind – Part – Material – Property – Process – Operation – Patient – Agent –

Product – By-Product – Space – Time (Broughton, & Slavic, 2007) ซ่ึงฟาเซ็ทเหล่าน้ีใช้

เป็ นพ้ืนฐานของการวิเคราะห์ศัพท์ กาหนดเร่ือง และจัดกลุ่มตามฟาเซ็ท ตัวอย่าง (Kumar,

1985)

Thing (entity) Principal facet of religion and faiths (specific

named religions and faiths, e.g. Hinduism

Theory Theory and philosophy of religion abstract

concepts relating to religion, e.g. nature of God

Parts Structures, organizations and institutions within a

faith, e.g. religious orders, charitable rganizations

Properties Attributes of religions, e.g. monotheistic

Processes Action concept that occur internally or without

particular external agents, e.g. schism

Operations Action concepts carried out by agents, normally

adherents, e.g. worship, social work, missions

Patients Recipients of operations, e.g. the young, refugees

Agents Persons who carry out operations, e.g. ministers,

social workers; also the means to perform

operations, such as buildings, equipment, etc. e.g.

mosques, prayer wheels

Time periods, e.g. mediaeval, nineteenth century

99

1.4. องคป์ ระกอบอ่นื ๆ
องค์ประกอบอ่ืน ๆ เพ่ือประโยชน์ในการสร้างสัญลักษณ์สาหรับความรู้ท่ี

มีเน้ือหาซับซ้อน ใช้แสดงความสมั พันธข์ องหมวดหมู่ แสดงลักษณะความสมั พันธร์ ะหว่างแนวคิด
แต่ละแนวคิด (Relations) และใช้เป็นตัวเช่ือม (Relators) โดยกาหนดเป็นสัญลักษณ์ (Symbol)
เพ่ืออธิบายความสัมพันธร์ ะหว่างเร่ืองหรือระหว่างหมวดหมู่ต่าง ๆ ส่งิ ท่กี าหนดในองค์ประกอบน้ี
ได้แก่ กฎการจัดลาดับ (Citation order) มาตรฐานของการจัดเรียงลาดับ (Standard of citation
order) และการใช้สญั ลักษณ์ (Notation code)

แบบแผนของการจัดหมวดหมู่ฟาเซ็ทเป็ นระบบท่ีมีโครงสร้ างท่ีชัดเจน
(Highly constructed) แสดงให้เห็นถึงประเภทของฟาเซ็ท (Facet categories) ท่ีเป็ นพ้ืนฐานใน
แต่ละสาขาวิชา ตัวอย่างเช่น แบบแผนการจัดหมวดหมู่ของ BC2 ท่ไี ด้รับการยอมรับว่าเป็นแบบ
แผนท่ัวไป เน่ืองจากพิจารณาแนวคิดของความรู้บนพ้ืนฐานของญานวิทยา (Epistemological
basis) และมีคุณลักษณะท่ีสอดคล้ องตามทฤษฏีการจัดหมวดหมู่ (Classification theory)
(Broughton, 2008) อีกท้งั โครงสร้างของฟาเซท็ (Faceted organization) มีโครงสร้างทางทฤษฏี
ท่ชี ัดเจน ทาให้สามารถนาศัพทส์ มัยใหม่มาขยายหรือเพ่ิมเติมให้ทนั สมัยได้ง่าย มกี ฎของการรวม
แนวคิด (Rules for combining concept) ท่ีทาให้สามารถเพ่ิมเติมสัญลักษณ์สาหรับแนวคิดท่ีมี
ความซับซ้อนของเร่ือง มีคาอธิบายและกฎของการจัดลาดับไว้ชัดเจน ซ่ึงมีประโยชน์โดยตรงต่อ
การจัดหมวดหมู่ความรู้อย่างเป็นระบบ ด้วยเหตุน้ีโครงสร้างฟาเซท็ จึงสามารถนาประยุกต์ใช้เป็น
แบบแผนของการสร้างตัวแทนแนวคดิ หรือความรู้ (Knowledge representation) ท่มี ีความซับซ้อน
ได้เป็ นอย่างดี เช่น ดรรชนีเร่ือง ศัพท์สัมพันธ์ โครงสร้างความรู้ดิจิทัล เป็ นต้น (Broughton,
2008; Gopinath, 1992)

2. แนวคดิ ของการจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ ใช้กระบวนการวิเคราะห์ฟาเซท็ โมเดลและ
มุมมองเชิงทฤษฏขี องการวิเคราะห์ฟาเซท็ เป็นพ้ืนฐานสาคัญ ซ่ึงมรี ายละเอยี ดท่สี าคัญดังน้ี

2.1 กระบวนการวิเคราะห์ฟาเซท็
การจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ มีวิธีการเฉพาะท่เี รียกว่า การวิเคราะห์ฟาเซท็ (Facet

Analysis: FA) หมายถึง กระบวนการวิเคราะห์ความหมายอย่างลึกซ้ึง เพ่ือระบุเร่ืองของศัพท์
เฉพาะ แล้วนามาจัดกลุ่มฟาเซ็ทหรือเรียงลาดับใหม่ (Broughton & Slavic, 2007; Buchel &
Coleman, 2003) การวิเคราะห์ฟาเซ็ทจึงเป็ นวิธีการศึกษาหลักฐานเชิงประจักษ์ท่ีปรากฏใน
ตัวผลงาน แล้วใช้ความเป็ นเหตุเป็ นผลเพ่ือสร้างหลักการเชิงตรรกะของความสัมพันธ์ท่ีมีอยู่
(Broughton, 2008; Hjorland, 2008; Broughton, Hansson, Hjorland, & Lopez-Huertas,
2005)

การวิเคราะห์ฟาเซท็ มีหลักการเฉพาะท่เี รียกว่า วิธีการวิเคราะห์-สังเคราะห์
(Analytico-Synthetic method) กระบวนการน้ีมีพ้ืนฐานอยู่บนหลักการวิเคราะห์-สังเคราะห์
(Analytico-Synthesis principle) และหลักการจัดกลุ่มประเภท (Principle of fundamental

100

categories) ท่ที าให้ลักษณะของการจาแนกหมวดหมู่มีความเฉพาะเจาะจงมากข้ึน โดยเร่ิมต้นจาก
การวิเคราะห์ข้อความท่แี สดงเน้ือหาหรือเร่ืองของงาน (Subject statement) เพ่ือแบ่งแยกแนวคิด
ท่ีมีอยู่ในงานตามแบบแผนท่ีกาหนดไว้ จากน้ันจะเป็ นการวิเคราะห์ความเป็ นเหตุเป็ นผลทาง
ตรรกะของความคิด จัดลาดบั ความสมั พันธข์ องความคิดเหล่าน้ัน และสงั เคราะห์ข้นึ มาใหม่ให้เป็น
ฟาเซ็ท ฟาเซ็ทท่ีได้จึงมีความหมายท่ีเฉพาะเจาะจงแตกต่างกันในแต่ละขอบเขตของความรู้
เพราะถูกสร้างข้ึนจากมุมมอง ความคิด และมิติของความรู้ท่ตี ่างกนั แต่ส่ิงท่เี หมือนกนั คือ ฟาเซท็
จะแสดงรายการ ของศั พท์ท่ีมี ควา มสัมพั น ธ์เดี ยวกัน ในเร่ื อง ท่ีเ ก่ียว ข้ อ งกันใน มุ ม ใด มุ ม ห น่ึ ง
(Prieto-Diaz, 2002; Foskett, 1972)

การวิเคราะห์ฟาเซท็ มีความสาคัญ เน่ืองจากเป็นกระบวนการท่ีมีพ้ืนฐานจาก
การปฏบิ ัติจริง เป็นกระบวนการท่มี ีหลักฐานหรือแนวคิด (Literary warrant) ท่เี ด่นชัด (Prieto-
Diaz, 2002) มีลักษณะท่ีสอดคล้องกับความเป็ นสหวิทยาการ จึงสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้
หลากหลายสาขาวิชา (Gnoli & Szostak, 2008) ดังเช่นตัวอย่าง การจัดหมวดหมู่ความรู้เร่ือง
สัตวศาสตร์ (Zoology) โดยการวิเคราะห์ฟาเซ็ท ของ Prieto-Diaz (2002); มาลี กาบมาลา
(2549) ประกอบด้วยกระบวนการ (1) การเลือกกลุ่มตัวอย่างของช่ือเร่ืองหนังสอื จากทรัพยากร
ของห้องสมุดท่ีได้จัดหมวดหมู่แล้ว (2) การจัดทารายการของแต่ละคาศัพทท์ ่นี ามาจากช่ือเร่ือง
ของหนังสือ และ (3) การจัดกลุ่มคาศัพท์ท่ีสัมพันธ์กันในหมวดหมู่หรือคลาส (Classes)
กระบวนการดังกล่าวมีการกาหนดขอบเขตความรู้ (Domain) เพ่ือใช้กาหนดแนวคิดหรือคาศัพท์
และความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วยภาษาเฉพาะในขอบเขตความรู้น้ัน เพ่ือนาเสนอแนวคิดและ
กจิ กรรมท่เี ก่ยี วข้อง ซ่ึงแต่ละกระบวนการมวี ิธกี ารจัดทา ดังน้ี

1. การเลือกตัวแทนหนังสอื จากทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุด
“Essay of the physiology of marine fauna”
“Animals of the mountains”
“Amphibuious animals”
“Desert reptiles”
“Migratory Birds”
“Salt water fish”
“Mammalian Reproduction”
“Snakes of the Amazon River”
“Experimental reports on the respiration of vertebrates”
“Tropical leaf moths”

2. การจัดกลุ่มคาศัพทท์ ่ใี ช้ร่วมกนั เช่น การจัดกลุ่มตามแนวคิด
physiology, reproduction, respiration
tropical, desert, mountains, salt water

101

marine, amphibious
fauna, animals, vertebrates, reptiles, snakes, birds, fish, moths,

mammals
essays, experimental reports

3. การจัดกลุ่มแนวคดิ และจัดเรียงอย่างเป็นระบบ โดยนากลุ่มแนวคิดแต่ละ
กลุ่มมากาหนดแนวคิดเป็น 5 ฟาเซท็ ได้แก่ by process; by habitat; by element; by taxonomy;
by literary form และการจัดเรียงระบบอย่างเป็ นตรรกะ (logical order) ทาให้สามารถแสดง
ขอบเขตความรู้ (Domain) ของเร่ืองน้ีจึงแสดงถึงเร่ืองท่เี ก่ียวกบั สตั ว์/ช่วงชีวิตของสัตว์ในท้องถ่ิน
หน่ึงหรือช่วงเวลาหน่ึง และผลลัพธท์ ่ใี ช้เป็นแบบแผนการจัดหมวดหมู่ ดงั ตารางท่ี 2.4

ตารางที่ 2.3 การจัดกล่มุ แนวคดิ และการจัดเรยี งแนวคดิ ของการจัดหมวดหม่ฟู าเซท็

จะเหน็ ได้ว่าการวิเคราะห์ฟาเซท็ มีวิธกี าร (Methodology) ท่มี ีลักษณะเฉพาะ ประการ
แรก วิธีการวิเคราะห์จะเร่ิมต้นจากแนวคิดท่ีมีอยู่ท้งั หมด (Universe of concept) จากน้ันจึงรวม
เป็นฟาเซท็ ท่ใี หญ่ข้ึนเป็นกระบวนการ (Processes) จากล่างส่บู น (Bottom-up) มีความแตกต่าง
จากการจัดหมวดหมู่แบบด้ังเดิมท่ีเป็ นกระบวนการแบบบนลงล่าง (Top-down) ท่ีเร่ิมต้นจาก
ความรู้ท่ีมีอยู่ท้งั หมด (Universe of knowledge) มารวมกันแล้วแบ่งเป็นหมวดใหญ่ หมวดย่อย
และหมู่ย่อยตามลาดับ (Broughton, 2008; Prieto-Diaz , 2002; Star, 1998) ประการต่อมา
เป็ นวิธีการเดียวท่ีจัดกลุ่มแนวคิดของเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงบนพ้ืนฐานของตรรกะและความคิด
(Logical & intellectual) อย่างแท้จริง (Hjorland, 2007a,b,c) แม้ว่าจะมีวิธีการและเคร่ืองมือ
อ่นื ๆ ท่ชี ่วยในการจัดหมวดหมู่ แต่วิธกี ารเหล่าน้ันกไ็ ม่ได้คานึงถึงธรรมชาติของแนวคิด (Nature
of concept) และไม่ได้คานึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดเหล่าน้ัน ซ่ึงเม่ือเปรียบเทียบกับ
แนวทางฟาเซ็ท (Facet approach) พบว่ามีวิธีการท่ีชัดเจนและแจ่มชัดมากกว่า (Broughton,
2008)

102

วิธีการวิเคราะห์ฟาเซ็ทได้ ปฏิวัติวิธีการการกาหนดเร่ืองของงาน (Subject of
document) และก่อให้เกิดแบบแผนการจัดหมวดหมู่สาหรับความรู้เฉพาะวิชา กล่าวคือ ในระยะ
เร่ิมต้น แนวคิดและกระบวนการน้ีเป็ นพ้ืนฐานของระบบการจัดหมวดหมู่โคลอน ต่อมา
Classification Research Group: CRG และนักวิชาการหลากหลายสาขาวิชาได้นาไปพัฒนา ขยาย
ปรับปรุง และใช้เป็นวิธีการของแบบแผนการจัดหมวดหมู่หลายระบบ เช่น ระบบทศนิยมสากล
ระบบหมวดหมู่โคลอน ระบบการจัดหมวดหมู่แบบบลิช เป็นต้น ท่สี าคัญกระบวนการจัดหมวดหมู่
ระบบฟาเซท็ ก่อให้เกิดทฤษฏีฟาเซท็ (Facet theory) ท่สี ามารถใช้เป็นกรอบแนวคิดเชิงทฤษฏที ่ี
เหมาะสม และสามารถปรับเปล่ียนให้สอดคล้องกับบริบทของความรู้ต่าง ๆ (Dynamic theory)
อีกท้ังยังก่อให้เกิดแบบแผนของการจัดหมวดหมู่ฟาเซ็ทท่ีแสดงถึงโครงสร้างความรู้ สามารถ
บ่งบอกความสัมพันธ์ทางความหมายและความสัมพันธ์ทางโครงสร้างอย่างเป็นทางการ ทาให้
สามารถแจกแจงหัวข้อได้หลากหลาย ทาให้เหน็ องค์ประกอบของความจริงและสะท้อนส่ิงท่เี ป็น
ความจริงอันใหม่ อันจะนามาสู่ความเป็ นทฤษฏีของแต่ละสาขาวิชามากข้ึน อีกท้ังพ้ืนฐานของ
ทฤษฏฟี าเซท็ ยังได้รับการยอมรับจากสมาชิกของ CRG และนักวิชาการว่าเป็นทฤษฏพี ้ืนฐานท่ีใช้
เป็นแบบแผนท่วั ไป (General scheme) กบั ความรู้ได้หลากหลายสาขาวิชา (Gnoli, 2008b)

2.2 โมเดลและมุมมองเชิงทฤษฏขี องการวิเคราะห์ฟาเซท็
การจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ มีพ้ืนฐานเป็นการจัดหมวดหมู่เร่ือง (Classification of

subject) ท่เี ก่ยี วข้องกับเร่ือง (Subject) ท่สี ร้างข้ึนจากเน้ือหาท่เี ป็นประเดน็ หลักของงาน สร้างข้ึน
จากการจัดกลุ่มแนวคดิ ข้อมูล สารสนเทศ หรือสร้างข้นึ จากคุณสมบัติ ส่งิ ต่าง ๆ ซ่ึงใช้มุมมองเชิง
ทฤษฏี (Theoretical framework) เป็ นวิธีการของการวิเคราะห์เร่ืองเน้ือหาของงาน (Subject
analysis) มุมมองเชิงทฤษฏนี ้ันจะใช้เป็นวิธกี ารวิเคราะห์ขอบเขตวิชาหรือกลุ่มความรู้ (Discipline
or Domain) เพ่ือแบ่งแนวคิดย่อย ๆ แล้วนามาสังเคราะห์รวมกันเพ่ือสร้างสัญลักษณ์ใหม่ หรือ
เพ่ือวิเคราะห์ฟาเซ็ทท่เี ก่ียวข้องกันหรือจาแนกประเภทท่ีมีอยู่อย่างชัดเจน แล้วจัดกลุ่มจัดเรียง
ภายใต้ฟาเซท็ ใหม่ท่เี หมาะสม (Broughton, 2008; ศิวนาถ นันทพิชัย, 2554)

ดังน้ันตัวแบบการวิเคราะห์ฟาเซท็ (Model of faceted analysis) จึงเป็นมุมมอง
เชิงทฤษฏีท่ีสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการวิเคราะห์ฟาเซ็ท ซ่ึงอธิบายรายละเอียดเก่ียวกับวิธีการ
ดาเนินงานในแต่ละกระบวนการของการจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ เพ่ือให้ได้รายละเอียดสาคัญของแบบ
แผนการจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ ในแต่ละองคป์ ระกอบ สรุปได้ดงั ตารางท่ี 2.4

103

ตารางที่ 2.4 รายละเอยี ดของโมเดลการวิเคราะห์ฟาเซท็

โมเดลของการวิเคราะหฟ์ าเซ็ท

กระบวนการจดั องคป์ ระกอบของ วิธีการวิเคราะหฟ์ าเซ็ท

หมวดหมู่ฟาเซ็ท แบบแผนฯ

ระดบั แนวคดิ (Idea (1) แนวคดิ (Concept (1) กาหนดเน้อื หาและระบขุ อบเขตของเร่อื ง (Subject domain)

plane) ม่งุ เน้นการ in subject domain) ท่จี ะจดั หมวดหมู่ให้ชดั เจน เช่น เลอื กแนวคดิ จากช่อื เร่อื งหนังสอื

วเิ คราะห์และจดั (2) กล่มุ ฟาเซท็ (2) เลอื ก/กาหนดคณุ ลักษณะ (Attribute) ของสง่ิ (Entity) ท่บี ่งช้ี

กล่มุ แนวคดิ ของ (Facets) สาระสาคญั ของเร่อื งแต่ละเร่อื ง (Subject) เพ่ือวเิ คราะห์เน้อื หาและ

เร่อื ง (3)ระดบั ความสมั พันธ์ กาหนดแนวคดิ ของเร่อื ง ตามมมุ มองเชิงทฤษฏี (Theoretical

ระหว่างแนวคดิ และ framework) ของการวเิ คราะห์ฟาเซท็

ฟาเซท็ (3) เลือกวธิ กี ารจดั กล่มุ หรอื การแบ่งแยกแนวคดิ เช่น แบบลาดบั

ช้นั (Hierarchy) แบบลาดบั ฟาเซท็ (Faceted) แบบฟาเซท็ อสิ ระ

(Freely faceted) เป็นต้น

(4) จัดกล่มุ หรือแบ่งกล่มุ แนวคดิ หรือแยกกล่มุ แนวคดิ พิจารณาถงึ

คุณลักษณะเหมอื นกนั หรอื ต่างกนั (Common & Differentiating

Attribute) เช่น จัดลาดบั แนวคดิ ของคาศพั ทท์ ่มี าจากช่อื เร่อื งหนงั สอื

ตามคณุ ลักษณะสาคญั ของเร่อื ง โดยกาหนดเป็น 5 ฟาเซท็

ตวั อย่างเช่น Zoology จาแนกตาม by process; by habitat;

by element; by taxonomy; by literary form

(5) จดั โครงสร้างโดยเรียงลาดบั กล่มุ กล่มุ ย่อย และแยกแยะ

กล่มุ ย่อย เช่น จัดกล่มุ และจัดเรยี งแนวคดิ อย่างเป็นระบบ

ระดบั ภาษา การจดั ลาดบั (Citation (6) วเิ คราะห์กลุ่มคาศพั ทท์ ่สี มั พันธก์ นั ในหมวดหม่หู รอื คลาส

(Verbal plane) order) และมาตรฐาน (Classes) และจัดความสมั พันธร์ ะหว่างกนั ด้วยภาษาเฉพาะใน

ม่งุ เน้นการจัดลาดบั การจัดเรียง (Standard ขอบเขตความร้นู ้นั เพ่ือนาเสนอแนวคดิ และกจิ กรรมท่เี ก่ยี วข้อง

ศัพทท์ ่จี ะใช้เป็น of citation order) ตามตวั แบบท่กี าหนดวิธกี ารจัดลาดบั แนวคดิ และมาตรฐานของ

ตวั แทนของแนวคดิ การจัดเรียง

ของเร่อื ง

ระดบั สญั ลกั ษณ์ สญั ลกั ษณ์ (Notation (7) กาหนดสญั ลกั ษณแ์ ละวธิ กี ารให้สญั ลักษณ์ เพ่ือประโยชน์ใน

(Notation plane) code) ท่ใี ช้แสดงลาดบั การแสดงแนวคดิ ท่ซี ับซ้อนและจดั เรียงลาดบั ความสมั พันธอ์ ย่าง

ม่งุ เน้นการกาหนด ความสมั พันธข์ อง มตี รรกะ (Logical order)

สญั ลกั ษณแ์ ทน แนวคดิ

แนวคดิ ของเร่อื ง

ตัวอย่างเช่น การจัดหมวดหมู่ของ BC2 มุมมองเชิงทฤษฏที ่ีบ่งบอกรายละเอียด
การวิเคราะห์ฟาเซ็ทไว้ในองค์ประกอบแต่ละส่วนของ BC2 (Broughton, 2008) ได้แก่ (1)
แนวคิด (Concept) ท่ีระบุให้ เห็นถึงขอบเขตของเร่ือง (Subject domain) ฟาเซ็ทพ้ืนฐาน
(Fundamental categories) ท่ถี ูกสร้างข้ึนตามทฤษฏีฟาเซท็ (Facet theory) เช่น Things/Entity,

104

Kind, Part, Material, Property, Process, Operation, Agent, Space, Time ฯลฯ หรือศัพทเ์ ฉพาะ
ในสาขาวิชาน้ัน เช่น รูปแบบหรือประเภทของผลงานทางศิลปะ (Genre) เป็นต้น (2) กลุ่มของ
ฟาเซ็ท (Facet) ท่ีมีการจัดเรียง/จัดระเบียบ (Arrays) หรือกลุ่มแนวคิด (Group of concept)
โดยพิจารณาถึงคุณลักษณะพ้ืนฐานบางอย่างร่วมกนั (Common characteristic) เช่น กลุ่มฟาเซท็
ของบุคคล (person facet) ท่ีสามารถจัดระเบียนได้หลายลักษณะ เช่น จัดเรียงตามอายุ ได้แก่
child, adolescent, adult จัดเรียงตามเพศ ได้แก่ ชายหรือหญิง จัดเรียงตามสถานภาพ ได้แก่
single, married, divorces จัดเรียงตามอาชีพ เช่น profession, clerical, manual (3) ความสมั พันธ์
แบบมีลากับช้ัน (Hierarchical relationship) ท่ีแสดงศัพท์ท่ีถูกเช่ือมโยงเป็ นหมวดหมู่หลักและ
หมวดหมู่ย่อย (Classes & subclasses) โดยจัดแสดงเป็ นตาราง (Schedule) ท่ีมีการเย้ืองระยะ
เข้าไป ซ่ึงตารางจะแสดงให้หมวดหมู่อยู่ในระดับเดียวกัน (Subordinate class) อย่างเด่นชัด (4)
องค์ประกอบอ่ืน ๆ เช่น การจัดลาดับของการผสมศัพท์ท่ีถูกจัดเป็นฟาเซ็ทท่ีเรียกว่า Citation
order และแสดงมาตรฐานการจัดลาดับ (Standard citation order) ของกลุ่มฟาเซ็ทพ้ืนฐาน
( Fundamental categories) เ ช่ น Thing-Kind-Part-Property-Material-Process-Operation-
Agent-Space-Time รวมไปถึงส่วนอ่นื ๆ เพ่ิมเติม ได้แก่ การแสดงศัพท์ โดยทุกศัพท์ (Terms)
ต้องถูกอธิบายแนวคิดท่ีมีลักษณะเฉพาะ เช่น คาเหมือน (Synonyms) คาใกล้เคียง โดยมี
การจัดเรียงเข้าด้วยกันภายใน และโดยปกติจะต้องมีการให้สัญลักษณ์ (Notation code) กากับ
เพ่ือท่จี ะแสดงว่าเป็นแบบแผนการจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ ท่สี มบูรณ์ เป็นต้น

ตัวแบบของการวิเคราะห์ฟาเซท็ มีมุมมองเชิงทฤษฏที ่ปี ระกอบด้วยกฎข้อบังคับ
(Laws) สมมุติฐาน (Hypothesis) กฎพ้ืนฐาน (Postulate) และหลักการ (Principle) ซ่ึงจะใช้เป็น
พ้ืนฐานของการจัดหมวดหมู่ความรู้ในแต่ละเร่ือง (Body of knowledge) (Kashyap, 2001)
ตัวแบบการวิเคราะห์ฟาเซ็ทท่มี ีอยู่ในปัจจุบันมีมุมมองเชิงทฤษฏมี าจากพ้ืนฐานสาคัญ 2 แหล่ง
(Spiteri, 1998) ดังน้ี

1. ทฤษฏีท่วั ไปของรางกานาธาน (Ranganathan’s General Theory) จาแนก
กระบวนการจัดหมวดหมู่เป็ น 3 ระดับคือ ระดับความคิด (Idea plane) ระดับภาษา (Verbal
plane) และระดับสัญลักษณ์ (Notation plane) โดยแต่ละระดับจะมีกฎอันศักด์ิสิทธ์ิ สมมุติฐาน
กฎพ้ืนฐาน และหลักการท่ีใช้แตกต่างกัน กล่าวคือ ในระยะความคิดเก่ียวกับการแบ่งแยกหรือ
วิเคราะห์แนวคิดและสาขาวิชาท่ีมีอยู่ มุมมองเชิงทฤษฏีจึงเก่ียวข้องกับการจาแนกองค์ประกอบ
ย่อยหรือจัดลาดับความคิด เช่น หลักการแบ่งสาขาวิชา (Subject) หลักการของการแยกแนวคิด
(Principle of isolate idea) หลักการจัดกลุ่ม (Fundamental categories) เป็นต้น ในระดับภาษา
จะเก่ียวกับการกาหนดคา มุมมองเชิงทฤษฏี จึงเก่ียวกับมาตรฐานและไวยากรณ์ของคาท่ีจะใช้
บ่งบอกความคิด และแสดงถึงความเฉพาะเจาะจงของแต่ละองค์ประกอบย่อยท่ีวิเคราะห์ได้ ใน
ระดับของแนวคิด และในระดับสัญลักษณ์จะเก่ียวกับการสร้างสัญลักษณ์ท่ีจาเป็น สาหรับใช้เป็น
แบบแผนของการจัดหมวดหมู่เพ่ือรองรับแนวคิดหรือสาขาวิชาท่ีเพ่ิมข้ึน (Literary warrant)

105

เพ่ือให้ง่ายและยืดหยุ่นในการท่ีจะใช้แบ่งแยกความรู้และจัดประเภทความรู้ โดยการเพ่ิม
สัญลักษณ์ (Notation) หรือศัพท์ (Terms) ใหม่เข้าไปแทนท่ี เป็ นต้น (Neelameghan, 2003;
Kashyap, 2001; Kumar, 1985)

ภายใต้มุมมองเชิงทฤษฏี Ranganathan ได้กาหนดชุดของกฎอนั ศักด์ิสิทธ์ิ
สมมุติฐาน กฏพ้ืนฐาน และหลักการ เพ่ือใช้เป็นกฎของการวิเคราะห์ฟาเซท็ และใช้สาหรับจัดทา
แบบแผนการจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ ได้แก่ (1) ระดับแนวคิด (Idea plane) ประกอบด้วย กฎอัน
ศักด์ิสิทธ์ิ (Canon) 14 ข้อ กฎพ้ืนฐาน (Postulate) 13 ข้อ และหลักการ (Principle) 22 ข้อ
(2) ระดับภาษา (Verbal plane) ประกอบด้วย กฎอันศักด์ิสิทธ์ิ 4 ข้อ และ(4) ระดับสัญลักษณ์
ประกอบด้วยกฎอนั ศักด์ิสิทธ์ิ 19 ข้อ และได้นากาหนดกฎอนั ศักด์ิสทิ ธ์ิ กฎพ้ืนฐาน และหลักการ
อ่ืน ๆ เพ่ิมเติม ได้แก่ กฎอันศักด์ิสิทธ์ิสาหรับการเพ่ิมสัญลักษณ์ (Canon for mnemonics)
หลักการจัดเรียง (Principle for helpful sequence) กฎพ้ืนฐานสาหรับการจัดเรียงและจัดลาดับ
ฟาเซ็ทพ้ืนฐาน (15 Postulate for choice & Citation order of fundamental categories/Facets)
และหลักการจัดเรียงฟาเซท็ (Principle for facet sequence) (Spiteri, 1998)

2. การบูรณาการทฤษฏี (Theory of integrative level) ทฤษฏีน้ีพัฒนาโดย
นักวิชาการของ CRG ท่ีเร่ิมต้นศึกษาคุณลักษณะของระบบการจัดหมวดหมู่ทางบรรณานุกรม
ต้งั แต่ปี ค.ศ.1952 เป็นต้นมา CRG มพี ้ืนฐานความเช่ือว่าแนวคิดการจัดหมวดหมู่แบบด้งั เดิมท่มี ี
ความคล้ายคลึงกับแนวคิดของ Ranganathan จึงได้นาทฤษฏีของ Ranganathan มาเป็ นพ้ืนฐาน
ของการศึกษา ยกเว้น 2 กฏพ้ืนฐาน คือ การกาหนดประเภทของฟาเซท็ (Choice of fundamental
categories) และการจัดลาดับประเภทของฟาเซท็ (Order of fundamental categories) (Spiteri,
1998) ท้งั น้ี CRG ไม่ได้สร้างชุดของฟาเซท็ และหลักการพ้ืนฐานเช่นเดียวกับ Ranganathan แต่
มุมมองเชิงทฤษฏกี ารวิเคราะห์ฟาเซท็ ของ CRG ได้ถูกสรุป วิเคราะห์ และอภิปรายมาโดยต่อเน่ือง
มุมมองเชิงทฤษฏขี อง CRG ท่สี าคัญในแต่ละระดับมีดังน้ี (1) ระดับของแนวคิด ได้แก่ Principle
for the choice of facets (Division, Homogeneity, Mutual exclusivity, Relevance,
Ascertainability, Permanence, Fundamental categories (2) ระดับของภาษา ได้แก่ Principle
for citation order (Schedule Order, Order in array) และ (3) ระดับของสัญลักษณ์ ได้ แก่
Principle of notation (Filing order, Hospitality, Ordinal/Expressive notation)

Speteri (1998) ได้นาตัวแบบและพ้ืนฐานทฤษฏีการวิเคราะห์ ฟาเซ็ทของ
Ranganathan และ CRG มาศึกษาและเปรียบเทียบรายละเอียดแล้ วนาเสนอเป็ นหลักการ
(Principle) ท่ีเรียกว่า Simplified Model for Facet Analysis เพ่ือใช้เป็ นโมเดลการวิเคราะห์
ฟาเซท็ (Model for facet analysis) และแสดงให้เหน็ ลักษณะของการออกแบบและทางานของ
แบบแผนการจัดหมวดหมู่ฟาเซ็ท ประกอบด้วยรายละเอียดของกฎอันศักด์ิสิทธ์ิ สมมุติฐาน
กฎพ้ืนฐาน และหลักการจาแนกเป็ น 3 ระดับเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่ามุมมองเชิงทฤษฏีของ

106

Speteri’s Simplified Model ปรับเปล่ียนมาใช้คาว่าหลักการ (Principle) แทนคาว่ากฎพ้ืนฐาน
(Postulate) และกฎอนั ศักด์สิ ทิ ธ์ิ (Canon)

หลักการของ Ranganathan CRG และ Speteri เป็นตัวแบบท่สี ะท้อนให้เหน็ ถึง
ลักษณะโดยท่วั ไปของการนาทฤษฏขี องการวิเคราะห์ฟาเซท็ ไปใช้ในทางปฏบิ ัติ รวมท้งั การนาไปใช้
ในการออกแบบและพัฒนาระบบการจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ โดยสรุปแล้วมุมมองเชิงทฤษฏดี ังกล่าว
จาแนกตามกระบวนการจัดหมวดหมู่แต่ละระดบั ดังตาราง 2.5

ตารางที่ 2.5 มุมมองเชงิ ทฤษฏกี ารวิเคราะห์ฟาเซท็ จาแนกตามระดบั การจัดหมวดหม่ฟู าเซท็

Simplify Model ของ Speriti Ranganathan’s Theory CRG’s Theory

ระดบั แนวคิด (Idea Plane) มุ่งเนน้ การวิเคราะหว์ ิเคราะหแ์ ละจดั กลมุ่ แนวคิดของเรื่อง

1.Principle for Choice of Facets 4.Canon for Characteristic 8.Principle for the Choice of

(Differentiation, Relevance, (Differentiation, Relevance, Facets (Division,

Accertainability, Permanence, Accertainability, Permanence) Homogeneity, Mutual

Homogeneity, Mutual 5.Canon for Succession of Characteristic Exclusivity, Relevance,

Exclusively, Fundamental (Concomitance, Relevance Succession, Ascertainability, Permanence,

Categories Consistent Succession) Fundamental Categories

2.Principle for Citation Order fo 6.Canon for Array (Exhaustiveness,

Facets and Foci (Relevant Exclusiveness, Helpful Sequence)

Succession, Chronological 7.Canon for Filiatory Sequence

Order, Alphabetical Order, (Subordinate Classes, Coordinate

Spatial/Geometric Order, Classes)

Simple to Complex Order,

Complex to Simple Order,

Canonical Order, Increasing

Quantity, Decreasing Quantity

3.Principle of Consistent

Succession

ระดบั ภาษา (Verbal Plane) มุ่งเนน้ การจดั ลาดบั ศพั ทท์ ี่จะใชเ้ ป็ นตวั แทนของแนวคิดของเรือ่ ง

9.Principle of Context 11.Canon of Context 15.Principle for Citation Order

10.Principle of Currency 12.Canon of Enumeration (Schedule Order, Order in

13.Canon of Currency Array)

14.Canon of Reticence

ระดบั สญั ลกั ษณ์ (Notation Plane) มุง่ เนน้ การกาหนดสญั ลกั ษณแ์ ทนแนวคิดของเรื่อง

16.Principle of Synonym 19.Canon for the Notation Plane 24.Principle of Notation

17.Principle of Homonym (Synonym, Homonym, Relativity, (Filing Order, Hospitality,

Principle of Hospitality Uniformity, Hierarchy, Non-Hierarchy, Ordinal/Expressive notation)

18.Principle of Filing Order

107

Simplify Model ของ Speriti Ranganathan’s Theory CRG’s Theory
Mixed Base, Pure Base, Faceted
Notation, Non-Faceted Notation)
20.Canon for Mnemonics (Alphabetical
Mnemonics, Seminal Mnemonics)
21.Principle for Helpful Sequence
22. 15 Postulate for Choice and Citation
Order (Postulate for Five Fundamental
Categories, Basic Facet, Isolate Facet,
Rounds of Manifestation, Round for
Energy, Round for Personality and
Matter, Round for Space and Time,
Levels of Manifestation, Postulate of
Level, Postulate for Facets, Postulate of
First Facet, Concreteness, Facet Sequence
Within a Round, Facet Sequence Within
the Last Round, Level Cluster)
23. 4 Principle for Facet Sequence
(Wall-Picture Sequence, Whole-Organ-
Principle, Cow-Calf Principle, Act and-
Action-Actor-Tool Principle)

สาหรับสาระสาคญั ของหลักการและทฤษฏใี นแต่ละระดับ สรุปได้ดังน้ี
2.1 ทฤษฏกี ารจัดหมวดหมู่ด้วยระดบั แนวคิด (Idea plane)

ในระดับของแนวคิดมุ่ งเน้ นการวิ เคราะห์ และจัดกลุ่ มแนวคิดของเร่ื อง
เพ่ือแสดงองค์ประกอบในส่วนของ (1) แนวคิด (Concept in subject domain) (2) กลุ่มฟาเซท็
(Facets) และ (3) ระดับช้ันความสัมพันธ์ (Hierarchical relationship) ระหว่างแนวคิดและ
ฟาเซท็ ซ่ึงองค์ประกอบเหล่าน้ี เกดิ ข้ึนมาจากกระบวนการและหลักการวิเคราะห์ฟาเซท็ ท่ีชัดเจน
(Slavic, 2008) โดยมมี ุมมองเชิงทฤษฏใี นแต่ละข้ันตอนของการวิเคราะห์ฟาเซท็ ดังน้ี

2.1.1 การกาหนดเน้ือหาและขอบเขตของเร่ือง
การจัดหมวดหมู่ฟาเซ็ทมีพ้ืนฐานเป็ นการจัดหมวดหมู่เร่ือง

(Subject classification) บนพ้ืนฐานของรายการ (Item) ท่บี ันทกึ สาระหรือความรู้ท่เี กดิ ข้นึ มาจาก
ความคิด การถ่ายทอดความคดิ กจิ กรรมท่สี ร้างสรรค์ และจินตนาการของมนุษย์ เพ่ือประโยชน์ใน
การส่ือสารและถ่ายทอดความรู้ในรูปแบบใดรูปแบบหน่ึง การศึกษาหรือรายละเอียดจึงเน้นไปท่ี
ผลงาน (Work) หรือเอกสาร (Document) เก่ียวกับแนวคิดรวบยอด (Conceptual) ท่ีเป็ น
นามธรรมหรือเอนทิต้ีและคุณลักษณะ (Entities or Properties) ของส่ิงต่างๆ ท่ีเป็ นรูปธรรม

108

ดังน้ันข้ันตอนแรกของการวิเคราะห์ฟาเซท็ จึงเร่ิมต้นจากการกาหนดเน้ือหาและระบุขอบเขตของ
เร่ือง (Subject domain) ท่จี ะจัดหมวดหมู่ให้ชัดเจน เช่น เลือกแนวคิดจากช่ือเร่ืองหนังสอื เป็นต้น

เอกสาร (Document) เป็นพ้ืนฐานสาคญั ของการกาหนดเน้ือหาและ
ขอบเขตของเร่ือง แนวคิดพ้ืนฐานของ Ranganathan ระบุว่า เอกสารเป็นระเบียนของผลงานท้งั ใน
รูปแบบของกระดาษหรือวัสดุอ่ืน ๆ ท่ีง่ายต่อการจัดเกบ็ เคล่ือนย้ายจากท่ีหน่ึงไปยังอีกท่ีหน่ึง
หรือสงวนรักษาไว้ในช่วงเวลาหน่ึง ขอบเขตของเอกสารจึงครอบคลุมท้งั รายการบรรณานุกรมท่ี
จัดทาข้ึนหรือระเบียนของทุกประเภทผลงาน และลักษณะร่วมทางกายภาพระหว่างผลงานท่ีมีอยู่
ส่ิงต่าง ๆ เหล่าน้ีแสดงถึง (1) เร่ือง (Subject) ไม่ว่าจะเป็ นเน้ือหาทางความคิด ความรู้
สารสนเทศ และข้อความ (2) ภาษาท่ผี ่านส่อื หรือช่องทางการส่อื สาร และ (3) ส่อื ท่บี ันทกึ ไม่ว่า
จะเป็นกระดาษ เทป ดสิ ก์ หรือส่อื อ่นื ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่าเร่ืองเป็นเสมือนจิตวิญญาณของเอกสาร
ภาษาเป็นเสมอื นตัวตนของเอกสาร และส่อื ท่บี ันทกึ เป็นลักษณะทางกายภาพของเอกสาร

นอกจากน้ี Ranaganathan ยงั ได้นิยามขอบเขตของเอนทติ ้ี (Entity) ของ
เอกสารเอาไว้ด้วยเช่นกัน โดยหมายรวมถึงทุกส่ิงท่ีปรากฏ ทุกส่ิงท่ีเป็ นรูปธรรม รวมท้ังกรอบ
ความคิด (Conceptual) ส่ิงต่าง ๆ (Thing) และความคิดหรือแง่คิด (Idea) ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีล้วน
แล้วแต่มีความแตกต่างของตนเอง ท่ปี ระกอบด้วยลักษณะเด่น (Characteristic) และคุณลักษณะ
(Attribute) อย่างใดอย่างหน่ึง และคุณลักษณะน้ันจะบ่งบอกถึงคุณสมบัติ (Property) หรือ
คุณภาพ (Quality) หรือการวัดปริมาณของเอนทิต้ี ดังน้ันหากคุณลักษณะท่ีครอบคลุมเอนทิต้ี
หน่ึงหรือหลายเอนทติ ้ี กจ็ ะสามารถจาแนกความแตกต่างระหว่างเอนทติ ้ีหรือชุดของเอนทติ ้ีได้
เน่ืองจากลักษณะเด่นท่ีชัดเจนหรือคุณลักษณะท่ีครอบคลุมอย่างหน่ึงแต่ไม่ครอบคลุมอีกอย่าง
หน่ึง ตวั อย่างเช่น

เอนทติ ้ขี องต้นไม้จะแตกต่างจากเอนทติ ้ขี องทอ่ นซงุ เพราะความเป็นต้นไม้
แสดงออกโดยลักษณะของรากท่ีย่ังลึกลงไปในดินเพ่ือหาอาหารไปหล่อเล้ียงลาต้น แต่ท่อนซุง
คงเหลือแต่ความเป็ นไม้ ท่ีไม่มีเอนทิต้ีของราก ดิน น้า และอาหารท่ีไปหล่อเล้ียง เป็ นต้น
ด้วยแนวคิดเช่นน้ีการจาแนกเอนทติ ้ีท่เี ก่ยี วข้องกับ “ความเป็นต้นไม้” จึงแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
(1) คุณลักษณะของต้นไม้ ซ่ึงมีลักษณะของตนเอง ได้แก่ ราก ลาต้น ใบ และ (2) คุณลักษณะ
ของส่ิงท่ีมาเก่ียวข้องหรือส่ิงท่ีตามมา (Relationship or dependence) ได้แก่ ดิน นา้ อากาศ และ
แสงแดด จากการเรียนรู้ของมนุษย์พบว่าจะมีเง่ือนไขของความแตกต่างกันไปตามสถานท่ีและ
ช่วงเวลาด้วย แนวคิดเก่ียวกับเอนทิต้ีทาให้ Ranganathan สามารถจาแนกความแตกต่างของ
คุณลักษณะแต่ละอย่างได้ชัดเจนข้นึ ในความเป็นต้นไม้ (Tree-ness) ประกอบด้วยเอนทติ ้ขี องดิน
นา้ อากาศ สถานท่ี และเวลาท่แี ตกต่างจากเอนทติ ้ีของต้นไม้ โดยต้นไม้เป็นเอนทติ ้ีของส่งิ มีชีวิต
ดิน นา้ อากาศ และแสงแดดเป็นเอนทติ ้ีของส่งิ ท่ไี ม่มีชีวิต สว่ นสถานท่ี (Space) และเวลา (Time)
เป็ นเอนทิต้ีของแนวคิด (Concept entities) ท่ีเกิดข้ึนจากความรู้ของมนุษย์ เป็ นต้น (Kashyap,
2001)

109

บนพ้ืนฐานแนวคิดเอนทิต้ีดังกล่าว Ranganathan จึงจาแนกความรู้ท่มี ีอยู่
ท้ังหมด (Universe of knowledge) ตามสาขาวิชาพ้ืนฐานด้ังเดิม (Basic subject) หรือเป็ น
หมวดหมู่หลักของเร่ือง (Main classes of subject) และจาแนกหมวดย่อย (Sub-Division) ของ
สาขาวิชาหรือหมวดหลัก โดยนาหลักการห่วงโซ่ของคุณลักษณะ (Trains of characteristic) หรือ
ฟาเซ็ทมาใช้ในการจาแนก ฟาเซ็ทท่ีเกิดข้ึนจึงเป็ นข้อบ่งช้ีท่ีเด่นชัด (Manifestation) ท่ีใช้ใน
การจาแนกหมวดย่อย ซ่ึงจาเป็ นต้องมีการวิเคราะห์เน้ือหาและแนวคิดของเร่ืองแต่ละเร่ือง
ให้ชัดเจน เพ่ือให้ได้ฟาเซท็ ท่มี ีคุณลักษณะท่เี หมาะสมต่อไป

2.1.2 การวิเคราะห์เน้ือหาและกาหนดแนวคิดของเร่ือง
เร่ือง (Subject) เป็นส่ิงท่สี ร้างข้ึนโดยมนุษย์ โดยรวมเอาหมวดหมู่

ในแต่ละเร่ืองของความรู้ (Body of Knowledge) เก่ยี วกบั บางส่งิ บางอย่างไว้ ซ่ึงมักจะถูกควบคุม
ด้ วยชุดของกฎ (Law) สมมุติฐาน (Hypothesis) กฎพ้ืนฐาน (Postulate) และหลักการ
(Principle) เสมอ โดยถือว่าผลงาน (Work) เป็ นเน้ือหาของความคิด ท่ีรวมเอาความคิด
สารสนเทศ และความรู้ไว้ในเอกสารหรือชุดของสารสนเทศเอาไว้ และเน้ือหาของความคิดน้ัน
สามารถอธบิ ายและส่อื สารออกมาได้หลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารหรือภาษาหรือวิธกี ารอ่นื ๆ
ในข้ันของการวิเคราะห์เน้ือหาและกาหนดแนวคิดของเร่ือง จึงเป็นกระบวนการเลือกหรือกาหนด
คุณลักษณะ (Attribute) ของส่ิง (Entity) ท่ีบ่งช้ีสาระสาคัญของเร่ืองแต่ละเร่ือง (Subject) ตาม
ตัวแบบของการวิเคราะห์แนวคดิ ท่บี ่งบอกถึงเน้ือหา/เร่ืองในขอบเขตความรู้

หลักการพ้ืนฐานสาคญั 3 หลักการ ในการวิเคราะห์อย่างชัดเจนตาม
มุมมองเชิงทฤษฏี ดงั น้ี

(1) หลักการเลือกฟาเซท็ (Principle for choice of facets) ซ่ึงมี
หลักพิจารณา 7 ประการ คือ

(1.1) ความแตกต่าง (Differentiation) พิจารณาบนพ้ืนฐาน
Ranganathan’s Canon of Differentiation เพ่ือใช้จาแนกเอนทติ ้โี ดยพิจารณาสว่ นประกอบพ้ืนฐาน
และระบุคุณลักษณะของหมวดย่อย เช่น Human being สามารถจาแนกความแตกต่างโดยใช้
Gender จาแนกเป็น Female หรือ Male

(1.2) ความเก่ยี วข้อง (Relevance) พิจารณาบนพ้ืนฐานของ
Ranganathan’s Canon of Relevance และ CRG Principle of Relevance โดยระบุว่าฟาเซ็ทท่ี
นามาจาแนกเอนทิต้ีจะต้องสะท้อนถึงเป้ าหมาย เร่ือง และขอบเขตของการจัดหมวดหมู่ เช่น
Grade จะใช้จาแนกระดับการศึกษาได้หากเป็นการจัดหมวดหมู่ทางด้านการศึกษา แต่ไม่เหมาะสม
ท่จี ะใช้จาแนกสนุ ัข เป็นต้น

110

(1.3) ความแน่นอน (Accertainability) พิจารณาบนพ้ืนฐาน
ของ Ranganathan’s Canon of Ascertainability และ CRG Principle of Accertainability โดย
ระบุว่าฟาเซท็ จะต้องมีความแน่นอนและชัดเจน เช่น date of birth เป็นฟาเซท็ ท่มี ีความแน่นอน
กว่า date of death

(1.4) ความคงทนถาวร (Permanence) พิจารณาบนพ้ืนฐาน
ของ Ranganathan’s Canon of permanence และ CRG Principle of permanence โดยระบุว่าฟา
เซท็ ท่กี าหนดข้ึนจะต้องมีความถาวรไม่เปล่ียนแปลง และสามารถใช้ได้นาน เช่น breed จะสะท้อน
คุณลักษณะท่สี าคญั Dalmatian เป็นต้น

(1.5) ความเป็นกลุ่มเดยี วกนั (Homogeneity) พิจารณาบน
พ้ืนฐานของ CRG Principle of homogeneity ซ่ึงเข้าใจได้ง่ายกว่า Canon of concomitance ของ
Ranganathan โดยระบุว่าฟาเซ็ทจะต้องมีคุณสมบัติเป็ นกลุ่มท่ีเด่นชัด สะท้อนคุณลักษณะท่ี
นามาใช้แบ่งแยกได้ชัดเจน (Division)

(1.6) การแบ่งแยกอย่างเด่นชัด (Mutual exclusively)
พิจารณาบนพ้ืนฐานของ CRG Principle of Mutual Exclusively เข้าใจได้ง่ายกว่า Ranganathan
Canon of Concomitance โดยระบุว่าฟาเซท็ จะต้องแยกออกจากกนั อย่างเด่นชัด จะต้องไม่เหล่ือม
หรือซา้ ซ้อนกนั

(1.7) หมวดหมู่พ้ืนฐาน (Fundamental categories)
การเลือกกลุ่มฟาเซท็ พ้ืนฐานพิจารณาบนพ้ืนฐานของ CRG Principle of Fundamental Categories
ซ่ึงเข้าใจได้ง่ายกว่าวิธีการของ Ranganathan’s PMEST โดยระบุว่า ไม่มีหมวดหมู่พ้ืนฐานท่ี
สามารถใช้จาแนกเร่ือง (Subject) ได้ทุกสาขาวิชา ข้ึนอยู่กับธรรมชาติของเร่ืองท่ีจะจัดหมวดหมู่
ดังน้ัน CRG จึงเลือกหมวดหมู่พ้ืนฐานโดยการอ้างอิงถึงบริบทของเร่ืองท่มี ีอยู่ พร้อมกบั ระบุว่าไม่
จาเป็นต้องมเี พียงรายการเดียวท่เี ช่ือมโยงไปยังเร่ืองท่มี อี ยู่ สามารถมีหมวดหมู่พ้ืนฐานได้มากกว่า
1 เร่ืองได้

(2)หลักการเรียงลาดับ (Principle for citation order of facets and
foci) ประกอบด้ วย หลักการจัดความต่อเน่ือง ( Relevant succession) โดย CRG และ
Ranganathan ระบุว่าลาดับของฟาเซท็ ควรพิจารณาถงึ ลักษณะทางธรรมชาติ ลักษณะของเร่ือง และ
ขอบเขตของระบบการจัดหมวดหมู่แต่ละระบบ โดยนาหลักการเรียงลาดับของ Ranganathan’s
principle for helpful sequence ข อ ง แ ล ะ CRG’s principle of order in array ม า ใ ช้ ไ ด้ แ ล ะ
หลักการเรียงลาดับแบบอ่ืนๆ เช่น การจัดลาดับตามช่วงเวลา ( Chronological order)
การจัดลาดับตามอักษร (Alphabetical order) การจัดลาดับรูปทรงหรือลักษณะเรขาคณิต
(Spatial/Geometric order) การจัดลาดับจากลักษณะธรรมดาไปลักษณะท่ีซับซ้อน (Simple to
complex order) การจัดลาดบั ลักษณะท่ซี ับซ้อนมาลักษณะท่ธี รรมดา (Complex to simple order)

111

การจัดลาดับหลักการทางศาสนา (Canonical order) การจัดลาดับตามปริมาณท่ีเพ่ิมข้ึน
(Increasing quantity) การจัดลาดบั ตามปริมาณท่ลี ดลง (Decreasing quantity)

(3) หลักการความต่อเน่ืองสม่าเสมอ (Principle of consistent
succession) เป็ นหลักการท่ีพิ จารณาบนพ้ื นฐานของ Ranganathan’s canon of consistent
succession โดยระบุว่าการจัดลาดับฟาเซ็ท เม่ือกาหนดข้ึนแล้วจะต้องไม่แก้ไขปรับปรุง หากไม่
ปรับเปล่ียนวัตถุประสงค์ เร่ือง และขอบเขตของระบบการจัดหมวดหมู่ เพ่ือรักษาระดับความ
สม่าเสมอของโครงสร้างระบบการจัดหมวดหมู่ท่สี ามารถวินิจฉัยได้ชัดเจน

2.1.3 การจัดกลุ่มแนวคิดหรือ ฟาเซ็ท (Group of concept) ฟาเซ็ท
(Facet) เป็ นกลุ่มแนวคิดท่ีเกิดข้ึนจากการพิจารณาถึงคุณลักษณะพ้ืนฐานบางอย่างร่วมกัน
(Common characteristic) เป็ นข้อบ่งช้ีท่ีเด่นชัด (Manifestation) ท่ีใช้ในการจาแนกหมวดย่อย
ฟาเซ็ทจะถูกจัดทาข้ึนจากการแบ่งกลุ่มเป็ น Arrays เช่น Person facet อาจจัดเรียงเป็ น Arrays
โดยใช้ age ได้แก่ child, adolescent, adult หรือ gender จัดเรียงเป็ น ชายหรือหญิง หรือตาม
สถานภาพ เช่น single, married, divorces หรือตามอาชีพ เช่น profession, clerical, manual
เป็ นความสัมพันธ์แบบมีระดับช้ัน (Hierarchical relationship) ภายในศัพท์ท่ีถูกจัดแสดงเพ่ือ
เช่ือมโยง classes และ subclasses เข้าด้วยกัน ซ่ึงการจัดแสดงอาจจัดเป็นตาราง (Schedule) ท่ีมี
การเย้ืองระยะเข้าไปเป็น ซ่ึงทาให้ subordinate class ถูกจัดแสดงให้อยู่ในหมวดเดียวกันอย่าง
เด่นชัด

ภายหลังจากการวิเคราะห์เน้ือหาของเอกสาร แนวคิดหรือเร่ืองหรือศัพท์
เฉพาะในขอบเขตของสาขาวิชาใดวิชาหน่ึง (Subject domain) ประเมินโดยใช้มุมมองเชิงทฤษฏีฟา
เซท็ (Facet theory) ดังน้ันในข้ันน้ีจึงเป็นกระบวนการเก่ยี วกบั (1) การเลือกตัวแบบการจัดกลุ่ม
หรือการแบ่งแยกแนวคิด เช่น ใช้ตัวแบบของการหมวดหมู่แบบระดับช้ัน (Hierarchy) หรือแบบ
ลาดับฟาเซท็ (Faceted) หรือแบบฟาเซท็ อิสระ (Freely faceted) เป็นต้น และ (2) การจัดกลุ่ม
หรือแบ่งกลุ่มแนวคิดหรือแยกกลุ่มแนวคิดพิจารณาถึงคุณลักษณะเหมือนกันหรือต่างกัน
(Common & differentiating attribute)

ชุดของฟาเซ็ท (Facet categories) ท่ีสามารถนาไปใช้อธิบายความรู้ใน
สภาพของความเป็ นจริงได้ เช่น PMEST หรือ Five fundamental categories ของ Ranganathan
ประกอบด้วย Personality, Matter or Property, Energy or Action, Space, Time หรือ Generality
application concepts ของ Broughton & Slavic ประกอบด้วย Language, Form, Place, Ethnics,
Time, Persons, Materials, Properties, Processes, Alphabetical extension, External vocabulary
(Broughton & Slavic, 2007) เป็ นต้น นอกจากน้ียังมี CRG, Bliss, Dalhberg และ Gnoli ท่ีได้
ทาการ ศึ กษาเพ่ิ มมีหลายกลุ่ ม (Gnoli, 2005, 2008a) และ Shera/Egan, Prieto-Diaz,
Aitchison, Aristotle ( La Barre, 2006) ดังตารางท่ี 2.6

112

ตารางที่ 2.6 กล่มุ ฟาเซท็ (Categories of Facets) ของระบบการจัดหมวดหม่ฟู าเซท็

Raganathan Vickery-Broughton Dahlberg Gnoli

Discipline/Basic Subject Discipline/Field Concept

Personality Object/Thing Phenomenon

Quality/Type Theory/Principle Quality/Type

Pattern

Application Purpose/Result

Part-Organ Object/Component Organ/Subsystem

Matter-Material Part-constition Element

/Material

Matter-property Property Attributes

Energy Process/Action Activities/Process Process/Transformation

Operation Production Agent/Premise
2nd round Personality Agent

Space Place Distribution Place/Neighborhood

Time Time Time/Ordinal

Theory Modality

ตารางที่ 2.6 กล่มุ ฟาเซท็ (Categories of Facets) ของระบบการจดั หมวดหม่ฟู าเซท็ (ต่อ)

Shera/Egan Prieto-Diaz Aitchison Aristotle

Product Function Entities, things, objects Substance
Agent Objects
Kinds or Quality

types/systema and

assemblies

Tools Medium Actions and activities Quantity
Act System-type
Applications and Relation
Object of action Funtional area
purposes
Space Setting
Time Space, place, location Place

and environment

Time Time

Position

State

Action

Affection

113

2.1.4 การจัดโครงสร้างของแนวคิด ในแง่ของความสมั พันธ์ ระบบการจัด
หมวดหมู่ไม่ได้แสดงแค่ความสมั พันธแ์ บบเป็นระดับช้ันเทา่ น้ัน เช่น ความสมั พันธแ์ บบ Genius –
Species (Genius)เ ป็ น ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ท่ี บ่ ง บ อ ก ค ว า ม เ ป็ น ก ลุ่ ม (Class) แ ต่ Specie
เป็นความสัมพันธ์ท่ีบ่งบอกลักษณะส่วนบุคคล (Individual) เป็นต้น แต่การจัดหมวดหมู่ฟาเซ็ท
บ่งบอกความสัมพันธ์ท่แี บบเป็นห่วงโซ่ (Chain of characteristic) การจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ จึงต้อง
แสดงมาตรฐานของการจัดเรียง (Standard citation order) ของกลุ่มฟาเซ็ทพ้ืนฐานท่ีถูกจัด
กลุ่มข้ึน ยกตัวอย่างเช่น Fundamental categories สามารถจัดเรียงตามลาดับเป็น Thing-Kind-
Part-Property-Material-Process-Operation-Agent-Space-Time ท้ังน้ีในแต่ละระบบมีการ
จัดเรียงท่แี ตกต่างกนั

การจัดโครงสร้างของแนวคิดในข้ันน้ีเป็นการจัดลาดับ (Ordering)
โดยการผสม (Combination) ระหว่างแนวคิดหรือศัพท์ท่ีถูกจัดเป็ นฟาเซ็ท เรียกว่า Citation
Order การจัดโครงสร้างจึงต้องเรียงลาดับกลุ่ม กลุ่มย่อย และแยกแยะกลุ่มย่อยอย่างเป็นระบบ
ในข้ันน้ีจึงต้องศึกษาและพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดให้ชัดเจน เพ่ือความถูกต้องของ
การจัดลาดบั แนวคดิ

ในระดับแนวคิด แนวคิดและกลุ่มของฟาเซท็ มีหลักการวิเคราะห์ท่ี
ชัดเจน รวมไปถึงหลักการอ่นื ๆ ท่เี ก่ยี วข้องด้วย เช่น หลักการควบคุมความสัมพันธ์ท่ไี ด้จากการ
วิเคราะห์-สังเคราะห์ (Analytico-synthetic) และหลักการจัดลาดับหมวดหมู่ท่ีมีกฎเกณฑ์อย่าง
ชัดเจน (Rule of ordering) เป็นต้น (Slavic, 2008)

2.2 มุมมองเชิงทฤษฏรี ะดับของภาษา (Verbal plane)
ระดับภาษาเป็นการดาเนินงานเก่ียวกับองค์ประกอบอ่ืน ๆ ของระบบการจัด

หมวดหมู่ มุ่งเน้นการวิเคราะห์กลุ่มคาศัพทท์ ่ีสัมพันธ์กันในหมวดหมู่หรือคลาส (Classes) และ
จัดความสมั พันธร์ ะหว่างกนั ด้วยภาษาเฉพาะในขอบเขตความรู้น้ัน เพ่ือจัดแสดงคาศัพท์ (Terms)
ท่ีอธิบายถึงแนวคิดท่ีเฉพาะเจาะจงและกิจกรรมท่ีเก่ียวข้อง เช่น ศัพท์ท่ีมีความหมายเดียวกัน
ศัพท์ท่ีมีความหมายใกล้เคียงกัน โดยมีการจัดเรียงเข้าด้วยกันภายในหมวดหมู่หรือเร่ืองราว
เดยี วกนั

กระบวนการดาเนินในระดับน้ีจะมีมุมมองเชิงทฤษฏี ท่ีกาหนดวิธีการ
จัดลาดบั แนวคิดและมาตรฐานของการจัดเรียง โดยหลักการท่สี าคญั ดงั น้ี

2.2.1 (Context) พิจารณาบนพ้ืนฐานของ Ranganathan’s canon of context
หลักการน้ีระบุว่าความหมายของคาศัพท์ แต่คาศัพทจ์ ะมีบริบทของการจัดหมวดหมู่แต่ละระบบ
เป็นตัวกากับ ทาให้สามารถจาแนกความแตกต่างและแก้ไขปัญหาของคาพ้องรูปได้ และช่วยให้
สามารถรวบรวมคาศัพทท์ ่จี ะใช้ในระบบการจัดหมวดหมู่ได้อย่างชัดเจนย่ิงข้นึ ตัวอย่างเช่น

114

Baseball (equipment) Cricket (equipment)
Bat Bat
Glove Wicket
2.2.2 ความแพร่หลาย (Currency) พิจารณาบนพ้ืนฐานของ Ranganathan’s
canon of currency โดยระบุว่าศัพทเ์ ฉพาะทาง (Terminology) ท่ใี ช้ภายในระบบการจัดหมวดหมู่
จะต้องสะท้อนให้เหน็ ถึงความเป็ นปัจจุบันของการใช้ คาศัพท์ในสาขาวิชาน้ัน ๆ ซ่ึงจาเป็ นต้อง
พิจารณาถงึ ส่งิ ท่เี ก่ยี วข้องกบั คาศัพทท์ ่จี ะใช้ในระบบการจัดหมวดหมู่ (Relevance) ด้วย

2.3 มุมมองเชิงทฤษฏรี ะดับของสญั ลักษณ์ (Notation plane)
ระบบ การจั ดหมวดหมู่ ฟาเซ็ท ท่ีสมบู รณ์โดยปก ติจะต้ อ งประกอบด้ ว ย ร หั ส

สัญลักษณ์ (Notation code) กระบวนการดาเนินงานในระดับน้ีจึงมุ่งเน้นท่ีจะกาหนดสัญลักษณ์
และวิธีการให้ สัญลักษณ์ เพ่ือประโยชน์ในการแสดงแนวคิดท่ีซับซ้อน และจัดเรียงลาดับ
ความสมั พันธอ์ ย่างอย่างมีตรรกะ (Logical order) โดยมีหลักการสาคญั ท่จี ะต้องพิจารณา ดังน้ี

2.3.1 ความหมายและลักษณะการเขียนท่ีเหมือนกัน(Synonym &
Homonym) พิจารณาบนพ้ืนฐานของ Ranganathan’s Canon of Synonym และ Ranganathan’s
Canon of Homonym โดยระบุว่าเร่ืองแต่ละเร่ืองจะถูกนาเสนอด้วยสัญลักษณ์เลขหมู่เพียงเลข
เดียว และเลขหมู่แต่ละเลขท่ีกาหนดข้ึนจะต้องใช้แทนเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงเท่าน้ัน เพ่ือทาให้
สญั ลักษณ์ในระบบการจัดหมวดหมู่มีความเด่นและแยกเน้ือหาออกจากกนั ได้ชัดเจน

2.3.2 ความสามารถในการเพ่ิมเติมภายหลัก (Hospitality) พิจารณาบน
หลักการของ CRG’sprinciple of hospitality โดยระบุว่าสัญลักษณ์จะต้องสามารถเพ่ิมเน้ือหาใหม่
เข้าไปในทุก ๆ จุด ทาให้สามารถแทรกเร่ืองฟาเซ็ท และโฟซิหรือหมวดหมู่ย่อยลักษณะพิเศษ
(Foci or specific subclasses) เข้าไปในสัญลักษณ์ของระบบการจัดหมวดหมู่ได้ ทาให้รองรับ
การขยายตวั ของเน้ือหาความรู้ท่เี พ่ิมข้ึน

2.3.3 การเรียงลาดับ (Filing Order) พิจารณาบนหลักของ CRG principle
of filing order โดยระบุว่าสัญลักษณ์ของระบบจะต้องสะท้อนการเรียงลาดับเร่ือง (Filing Order)
สัญลักษณ์จะสะท้อนหลักการเรียงลาดับของระบบการจัดหมวดหมู่ ซ่ึงมีประโยชน์โดยตรงต่อ
การจัดเรียงหนังสือบนช้ันหรือการจัดกลุ่มรายการ เพราะสัญลักษณ์ทาให้ผู้ค้นหาสามารถไล่
ตามลาดับของเร่ืองภายในระบบการจัดหมวดหมู่ได้อย่างเป็ นระบบ ท่ีสาคัญการเรียงลาดับน้ี
สะท้อนให้เหน็ ถงึ คุณลักษณะของการจัดลาดับของระบบแต่ละระบบท่แี ตกต่างกนั

115

4. ระบบการจดั สารสนเทศและความรูใ้ นสภาพแวดลอ้ มดิจิทลั
สภาพแวดล้อมดิจิทัล ระบบการจัดสารสนเทศและความรู้ได้นามาประยุกต์ใช้ใน

การออกแบบสถาปัตยกรรมสารสนเทศดิจิทัล การจัดกลุ่ม การจัดโครงสร้าง ลาดับช้ันของ
สารสนเทศ ท่ีช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าใจสารสนเทศ ความเก่ียวข้องเช่ือมโยงกัน และค้นหา
สารสนเทศท่ตี ้องการได้ ท้งั น้ี Rosenfeld, Morville, & Arango, 2015; Mullan (2011) เหน็ ว่า
ความท้าทายของการจัดสารสนเทศและความรู้ดิจิทลั ไม่ได้เป็นเร่ืองใหม่ สามารถนาระบบการจัด
สารสนเทศและความรู้ในบริบทบรรณารักษศาสตร์ฯท่หี ลากหลายมาประยุกต์ใช้ ด้วยเหตุผลท่ีว่า
ทาไมการจัดสารสนเทศท่เี ป็นประโยชน์จึงเป็นเร่ืองยากในสภาพแวดล้อมดิจิทลั

1. ความกากวม (Ambiguity)
ระบบการจัดหมวดหมู่มาจากภาษา (Language) และภาษาทาให้ กากวม

คา (words) ในภาษาทาให้เข้าใจและมีความหมายได้หลากหลาย เช่น คาว่า pitch มีความหมาย

ท้งั หมด 15 ความหมาย เช่น
- A throw, fling , or toss โยน เหว่ียง หรือ โยน
- A black, sticky used for waterproofing สดี า, เหนียวใช้สาหรับกนั นา้
- The rising and falling of the bow and sten of a ship in rough sea
การข้นึ และลงของคันธนูและเหลก็ กล้าของเรือในทะเลท่คี ล่ืนแรง
- A saleman's persuasive line to talk ความชานาญในการโน้มน้าวใจของ
พนักงานขายในการพูดคุย
- An element of sound determined by the frequency of a ship in rough
องคป์ ระกอบของเสยี งท่กี าหนดโดยความถ่ขี องเรืออย่างคร่าวๆ

ความกากวมเป็นปัญหาพ้ืนฐานสาหรับระบบการจัดหมวดหมู่ เม่ือใช้คาเป็นป้ ายฉลาก
(Labeling) ของการจัดหมวดหมู่ (Category) จะทาให้เกดิ ความผิดพลาดในความหมาย ซ่ึงเป็น
ปัญหาสาคัญ ตวั อย่างเช่น tomato มะเขอื เทศ Webster’s Dictionary กาหนดนิยามว่า “a tomato
is a red or yellowish fruit with juicy pulp, used as a vegetable: botanically it is a berry” ผู้อ่าน
เร่ิมสบั สนการเผยแพร่ในส่อื ดจิ ิทลั เพ่ิมข้นึ และหลากหลายวัฒนธรรม ผลท่เี กดิ ข้ึนปัญหาและความ
ท้าทายการจัดหมวดหมู่ของ tomato ในการจัดหมวดหมู่เน้ือหาเวบ็ เป็นการยากท่จี ะจัดแนวคิดท่ี
เป็ นนามธรรม เช่น เร่ือง หัวข้อ หรือหน้าท่ี ตัวอย่างเช่น อะไรคือความหมายท่ีกาหนดไว้
“การรักษาทางเลือก (alternative healing)” หรือควรทารายการภายใต้สาขาวิชา ปรัชญา ศาสนา
สุขภาพและการแพทย์ หรือท้ังหมดข้างต้น การจัดคาหรือวลี โดยคานึงถึงเน้ือแท้ของความ
คลุมเครือ ทาให้เกดิ ความท้าทายท่แี ท้จริงและเป็นรูปธรรม

2. ความไม่เป็ นเอกพันธ์หรือความต่างแบบ (Heterogeneity) วัตถุหรือชุดของวัตถุท่ี
ประกอบด้วยส่วนท่ไี ม่เก่ยี วข้องหรือแตกต่าง เช่น การทานา้ ซุปทาเองท่มี ีผัก เน้ือสัตว์ และอ่ืนๆ

116

ให้ เลือกต่างกัน และท้ายสุดดออกมา "เป็ นเน้ือเดียวกัน (homogeneous) " อ้างถึงส่ิงท่ี
ประกอบด้วยองค์ประกอบท่ีคล้ายกันหรือเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น แครกเกอร์ Ritz เป็ นเน้ือ
เดยี วกนั ดังน้ันทุกแครกเกอร์มีรูปแบบและรสชาติเดียวกนั

ด้ังเดิมห้องสมุดทาบัตรรายการเป็ นความเก่ียวข้องกับ homogeneous เป็นการจัดและ
เตรียมการเข้ าถึงหนังสือ ไม่ได้ เป็ นการเข้ าถึงบทหรือคอลเลคช่ันหนังสือ ความเป็ น
homogeneous อนุญาตสาหรับระบบโครงสร้างการจัดหมวดหมู่ หนังสือแต่ละเล่มท่ีทารายการ
ประกอบด้วยฟิ ลด์: ผู้แต่ง ช่ือเร่ือง และหัวเร่ือง เป็นต้น มรี ะดับและระบบการทารายการ

สภาพแวดล้อมดิจิทลั มีความหลากหลายและแตกต่างค่อนข้างสูง ตัวอย่างเช่น เวบ็ ไซต์
จัดเตรียมการเข้าถึงเอกสารและองค์ประกอบหลากหลายตามระดับของความละเอียด ไซต์มัก
นาเสนอบทความของวารสารและฐานข้อมูลวารสาร ลิงก์นาไปสู่หน้า (page) ส่วนของหน้า
(Section of page) หรือเวบ็ ไซตอ์ ่นื ๆ เวบ็ ไซต์ส่วนใหญ่จัดเตรียมการเข้าถึงเอกสารในหลากหลาย
รูปแบบ เช่นเราอาจค้นหาข่าวการเงิน รายละเอียดผลิตภัณฑ์ การจ้างงาน ภาพท่ีจัดเกบ็ ไว้ ไฟล์
ซอฟทแ์ วร์ พ้ืนท่ีท่ใี ช้ร่วมกันของเน้ือหาความเคล่ือนไหวของข่าวสารจากสารสารสนเทศบุคคล
พ้ืนท่ที ่ใี ช้ร่วมกนั ของเน้ือหาด้วยวีดทิ ศั น์ ออดโิ อ และแอปพลิเคชันท่โี ต้ตอบกนั เวบ็ ไซต์เป็นท่รี วม
มลั ตมิ เี ดีย และเป็นท่ที ้าทายในการทารายการท่กี ว้างและรายละเอยี ดของส่อื ท่หี ลากหลาย

ธรรมชาติของความหลากหลายสภาพแวดล้อมสารสนเทศดิจิทลั ทาให้ยากในการกาหนด
ระบบโครงสร้างการจัดเน้ือหาเดียว สารสนเทศมีหลากหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบจะมีลักษณะ
เป็นเอกลักษณเ์ ฉพาะ ตัวอย่างเช่น ต้องการรู้รายละเอยี ดของภาพ เช่น รูปแบบไฟล์ (JPG, PNG,
etc.) และความละเอียด (1024x768x1280,800, etc.) เป็นการยากท่จี ะใช้แนวทาง one-size-
fits-all ในการจัดเน้ือหาสารสนเทศท่หี ลากหลายและแตกต่างกนั

สภาพแวดล้ อมการจัดสารสนเทศดิจิทัล ระบบการจัดเป็ นองค์ประกอบของ
แบบแผนการจัดและโครงสร้างการจัด แบบแผนการจัดเป็นการกาหนดลักษณะท่ีใช้ร่วมกันของ
รายการเน้ือหาและมีอิทธิพลต่อตรรกะการจัดกลุ่มของรายการเหล่าน้ัน โครงสร้างการจัดเป็ น
การกาหนดประเภทของความสัมพันธ์ระหว่างรายการเน้ือหาและกลุ่ม ท้งั แบบแผนการจัดและ
โครงสร้างมคี วามสาคัญต่อการค้นหาและความเข้าใจ การจัด (Organization) ค่อนข้างเก่ยี วข้อง
ใกล้ชิดกับการนาทาง (Navigation) การติดป้ าย (Labeling) และการทาดรรชนี (Indexing)
สภาพแวดล้ อมโครงสร้ างการจัดสารสนเทศเป็ นบทบาทส่วนสาคัญของระบบการนาทาง
(Navigation system) ป้ ายของการจัดหมวดหมู่เป็นบทบาทท่มี ีนัยสาคัญในการกาหนดเน้ือหาของ
หมวดหมู่เหล่าน้ัน การทาดรรชนีหรือการทา tagging เมทาดาทาเป็นเคร่ืองมอื ในการจัดรายการ
เน้ือหา (Content items) ภายในกลุ่มในระดับรายละเอยี ด

2.1 แบบแผนการจดั (Organization schemes)
แบบแผนการจัดส่วนใหญ่ท่ีใช้ในทุกวันน้ีเพ่ือการติดต่อนามานุกรม ไม่ว่าจะเป็น

ซุปเปอร์มาร์เกต็ ห้องสมุด และอ่นื ๆ เพ่ือการเข้าถึงท่สี ะดวก บางแบบแผนง่ายต่อการใช้ และ

117

บางคร้ังมีความยากต่อการค้นหาในการกาหนดคาเฉพาะในแบบแผนการจัดเรียงตามคาของ
พจนานุกรม บางแบบแผนค่อนข้างสับสนในการค้นหา เช่น marshmallows หรือ popcorn ใน
ซูเปอร์มาร์เกต็ ท่ีไม่คุ้นเคยและกว้างใหญ่ marshmallows อาจถูกจัดในแผนกของว่าง หรือแผนก
ส่วนผสมเบเกอร่ี หรือท้งั สองหรือไม่ใช่

แบบแผนการจัดของพจนานุกรมและซุปเปอร์มาร์เกต็ มีหลักการพ้ืนฐานต่างกัน
แบบแผนการจัดตามลาดับตัวอักษรของพจนานุกรมเป็นส่ิงแน่นอน การผสมระหว่างแบบแผน
การจัดเฉพาะเร่ือง-งาน (Topoical/task-oriented) ของซปุ เปอร์มาร์เกต็ ค่อนข้างกากวม

แบบแผนการจัดข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์เพ่ือการจัดแบ่งสารสนเทศท่ดี ีและสมบูรณ์
ตัวอย่าง ช่ือประเทศมักจะใช้รายช่ือเรียงตามตัวอักษร หากผู้ค้นทราบช่ือของประเทศสามารถ
ค้นหา แบบแผนการทานาทางท่งี ่าย Chile อยู่ลาดับ Cs อยู่หลัง Bs แต่ก่อน Ds เรียกว่า ค้นหา
รายการท่ีรู้จัก (known-item search) แบบแผนแบบน้ีผู้ใช้ต้องทราบช่ือเฉพาะท่ีแน่นอนของ
สารสนเทศท่คี ้นหา แบบแผนการจัดท่แี น่นอนสมั พันธ์กับการออกแบบและการรักษาท่งี ่ายในการ
กาหนดรายการเพ่ือการจัดหมวดหมู่ ดงั น้ี

1) แบบแผนตามตัวอกั ษร (Alphabetical schemes)
แบบแผนตามตัวอักษรเป็ นแบบแผนการจัดหลักสาหรับสารานุกรมและ

พจนานุกรม หนังสอื สารคดี จัดเตรียมดรรชนีตามตัวอกั ษร นามานุกรมสมุดโทรศัพท์ นามานุกรม
ร้านค้า ร้านหนังสอื และห้องสมุด ใช้พยญั ชนะตัวอกั ษรสาหรับการจัดเน้ือหา

การจัดตามตวั อกั ษรพบบ่อยในแบบแผนการจัดระบบอ่นื เช่น จัดบุคคลตาม
ตัวอกั ษรโดยใช้นามสกุล ผลิตภัณฑห์ รือบริการ แผนกหรือรูปแบบ เป็นต้น

ภาพท่ี 2.9 แบบแผนการเรยี งตามตวั อกั ษร (https://support.apple.com/guide/contacts/welcome/mac)

118

3) แบบแผนตามเหตกุ ารณ์ (Chronological Schemes)
การจัดลาดบั ตามช่วงเวลา เหตกุ ารณท์ ่เี กดิ ข้นึ

ภาพท่ี 2.10 แบนแผนการตพี ิมพ์ของ Press release archives ตามลาดบั ช่วงเวลา

4) แบบแผนตามภมู ิศาสตร์ (Geographical schemes)
สถานท่เี ป็นคุณลักษณะของสารสนเทศ การเดินทางจากท่หี น่ึงไปอกี ท่หี น่ึง ข่าวสาร

และสภาพอากาศมีผลต่อท่ตี ้ัง (Location) ประเดน็ การเมือง สังคม และเศรษฐกิจข้ึนอยู่กับท่ตี ้ัง
ในโลกการรู้ท่ีต้ัง จากเคร่ืองมือส่ือสาร กลายเป็ นวิธีการหลักท่ีผู้คนใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับ
สารสนเทศ บริษัทใช้ google และ apple ใช้ในการสารวจอย่างหนักในการค้นหาและบริการ
นามานุกรม (Directory) ด้ วยแผนท่ีเป็ นเหมือนส่วนเช่ือมประสานถึงสารสนเทศ เช่น
Craigslist.org เป็ นผลิตผลของ Craig Newmark และได้กลายเป็นหน่ึงในเวบ็ ไซต์ยอดนิยมบน
อนิ เทอร์เนต็ เร่ิมต้นในซานฟรานซิสโกในปี 1995 เป็นเวบ็ ไซต์ท่ดี ีท่สี ุดสาหรับรายช่ือจัด โฆษณา
งาน, โฆษณาสว่ นบุคคล, โฆษณาสาหรับรถยนต์, สตั ว์เล้ียง, ของใช้ภายในบ้านและตัวเลือกอ่นื ๆ
มากมาย เวบ็ ไซต์ถูกสร้างข้ึนรอบ ๆ ชุมชนและตอนน้ี Craigslist ให้บริการเวบ็ ไซต์ในหลายร้อย
เมืองและหลายประเทศท่วั โลก

119

ภาพท่ี 2.11 แบนแผนตามภมู ศิ าสตร์ของเวบ็ ไซต์ Craigslist.org
5) แบบแผนการจัดตามเร่ือง (Topical organization schemes)

การจัดสารสนทศตามเร่ือง (Subject) หรือหัวข้อ (Topic) เป็นหน่ึงในแนวทาง
ท่นี ามาใช้และท้าทาย เช่น Consumer Reports นิตยสารเพ่ือผู้บริโภคในสหรัฐฯ ท่มี ักจะนาสินค้า
ต่าง ๆ มารีวิวพร้อมให้คะแนน โดยนาปัจจัยด้านความปลอดภัยและการป้ องกนั ความเป็นส่วนตวั
ของผลิตภณั ฑม์ าเป็นเกณฑก์ ารให้คะแนน

ภาพท่ี 2.12 แบบแผนการจัดตามเร่อื งของ นติ ยสาร Consumer Reports
(https://www.consumerreports.org/)

120

6. แบบแผนตามงาน (Task-oriented schemes)
แบบแผนตามงานใช้จัดเน้ือหาและประยุกใช้ภายในคอลเลคช่ันของกระบวนการ

(Process) หน้าท่ี (Funtion) หรือ งาน (Task) แบบแผนน้ีเหมาะกับงานซ่ึงผู้ใช้ต้องการให้
ดาเนินการ สว่ นใหญ่ใช้ในเดสกท์ อปและแอปพลิเคช่ันมอื ถอื ซ่ึงสนับสนุนการสร้างและการจัดการ
เน้ือหา (เช่น word processors และ spreadsheets) บนเว็บไซต์แบบแผนน้ีผู้ใช้ ใช้ ในการ
ปฎสิ มั พันธก์ บั เน้ือหางาน

ภาพท่ี 2.13 แบบแผน งาน หวั ข้อ และผ้ใู ช้ ร่วมกนั ของโฮมเพจ Smithsonian
121

7. แบบแผนตามผู้ใช้ (Audience-specific schemes)
แบบแผนตามผู้ใช้ให้ผู้ใช้มีสว่ นร่วมกนั การจัด

ภาพท่ี 2.14 Cern การเชญิ ชวนผ้ใู ช้ในการกาหนดด้วยตนเอง

2.2 โครงสรา้ งการจดั (Organization structure)
โครงสร้ างการจัดเป็ นการกาหนดประเภทของความสัมพันธ์ระหว่างรายการเน้ ือหา

และกลุ่มความรู้ สภาพแวดล้อมโครงสร้างการจัดสารสนเทศเป็นบทบาทส่วนสาคัญของระบบ
การนาทาง (Navigation system) ป้ ายของการจัดหมวดหมู่เป็นบทบาทท่มี นี ัยสาคัญในการกาหนด
เน้ือหาของหมวดหมู่

2.2.1 อนุกรมวิธาน (Taxonomy) รากศัพทจ์ ากคาในภาษากรีกโบราณว่า τάξις,
taxis (การจัดหรือการลาดับ) และ νόμος, nomos (กฎ (law) หรือวิทยาศาสตร์ (Science)
Hedden (2020) ให้ความหมายเฉพาะ หมายถึง ระบบการจัดหมวดหมู่หรือการจาแนกประเภท
ตามลาดับช้ัน และความหมายกว้าง หมายถึง การจัดแนวคิดของความรู้ และอาจเรียกอกี อย่างว่า
ระบบการจัดความรู้ (Knowledge organization system) หรื อโครงสร้ างการจัดความรู้
(Knowledge organization structure) และราชบัณฑิตยสถาน (2550) กาหนดความหมาย
อนุกรมวิธาน ว่ามาจากคาว่า อนุกรม แปลว่า ลาดับ กบั คาว่า วิธาน ซ่ึงแปลว่า การจัดแจง การทา;
กฎเกณฑ์ อนุกรมวิธาน แปลว่า การจัดแบ่งตามลาดับ คาน้ีเป็นศัพทท์ ่บี ัญญัติข้ึนเพ่ือให้ตรงกับ
คาภาษาองั กฤษว่า taxonomy (อ่านว่า แทก็ -ซัน-นะ-ม่ี)

อนุกรมวิธานเป็ นระบบการจัดสารสนเทศและความรู้ประเภทกลุ่มท่ีแสดง
หมวดหมู่หรือประเภท (Classification and categorization) มีโครงสร้ างการจัดความรู้เป็ น
หมวดหมู่หรือกลุ่มความรู้ตามเน้ือหา โดยจัดเน้ือหาเร่ืองเดียวกันหรือใกล้เคียงกันไว้ด้วยกัน และ
แบ่งย่อยเน้ือหาจากเร่ืองท่กี ว้างไปส่เู ร่ืองท่เี ฉพาะเจาะจง การจาแนกและการจัดกลุ่มปรากฏการณ์

122

ท่ีเกิดข้ึนในโลกตามคุณลักษณะ (Attribute) และคุณสมบัติ (Properties) ท่ีปรากฏร่วมกับ
พฤติกรรมของส่ิงต่าง ๆ เพ่ือจัดกลุ่มส่ิงเหล่าน้ันบนพ้ืนฐานของความเหมือนและความต่างกัน
แสดงความสมั พันธ์ (Zeng, 2008; Hodge, 2000)

อนุกรมวิธานเป็นท้งั เร่ืองเก่าและใหม่ บรรณารักษ์และนักดรรชนีรู้จักมานานและ
เป็นหัวข้อท่ไี ด้รับความสนใจต้งั แต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา ซ่ึงเขียนโดยนักฝึกปฏบิ ัติ Jean Graef
ของสถาบัน Montague Institute อนุกรมวิธานในการทารายการและการทาดรรชนี ท้งั น้ีการทา
อนุกรมวิธานแรกเร่ิมจัดทาสาหรับการจัดหมวดหมู่ เช่น การจัดส่งิ มีชีวิต หนังสอื ซ่ึงหนังสอื แต่ละ
รายการมเี พียงหน่ึงเลขเรียกหนังสอื และในปลายศตวรรษ 19 สาขาบรรณารักษศาสตร์ได้นามาใช้
สนับสนุนการจัดทาคาอธิบายการทารายการซ่ึงไม่ได้จากดั เฉพาะหนังสอื และนามาส่ศู ัพทค์ วบคุม
การทารายการหนังสอื เรียกว่า หัวเร่ือง โดยสมาคมห้องสมุดอเมริกนั (1895) หัวเร่ือง Library of
Congress Subject Heading: LCSH (1898) แ ล ะ หั ว เ ร่ื อ ง Sear List of Subject Heading:
Sear List (1923) และในช่วงต้นทศวรรษ 1900 สมาคมวิชาชีพพัฒนาศัพท์ควบคุมสาหรับ
ดรรชนีวารสารในสาขาวิชาต่างๆ ได้แก่ American Chemical Society’s Chemical Abstracts
(1970) และศัพทส์ มั พันธเ์ ร่ิมใช้และโยงถึงศัพทค์ วบคุมสาหรับวัตถุประสงคก์ ารค้นคนื ของบริษัท
IBM (1957) โดย Peter Luhn ศัพท์สัมพันธ์ ของแผนก Department of Defense’s ASTIA
Descriptors (1960) American Institute of Chemical Engineerings’ Chemical Engineering
Thesaurus (1961) มาตรฐานความสมั พันธแ์ ละคู่มือแนะนา โดย UNESCO (1967) ISO2788
มาตรฐานของ 1986 ต้ังแต่ ปี ค.ศ. 1960 หลากหลายบริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสมาคม
วิชาชีพได้ตีพิมพ์ศัพท์สัมพันธ์เฉพาะสาขาวิชาจานวนมาก และปี ค.ศ. 1970 บริษัท DIALOG
ได้จัดทาบริการวิจัยออนไลน์ การจัดเตรียมฐานข้อมูลบรรณานุกรมหลากหลายด้วยดรรชนีศัพท์
ควบคุม

ปี ค.ศ. 1900 การเติบโตอย่างรวดเรว็ ของเวบ็ อนุกรมวิธานได้รับความสนใจ ปัจจัย
การสร้างส่ิงใหม่ๆ (Contribution) หลากหลายเหตุผลในการให้ความสนใจในอนุกรมวิธาน
ท้ังน้ีเว็บสามารถเปิ ดใช้งานในการตีพิมพ์และเสนอบริการสารสนเทศออนไลน์ บริษัทเร่ิมต้น
พัฒนาอินทราเนต็ ซ่ึงขยายขนาดรวดเรว็ และต้องการการนาทางและการค้นหาท่ดี ี การขยายของ
เคร่ือมือกลไกการสบื ค้น (Search engine) และการค้นหาเวบ็ ไซต์หรือธุรกจิ การค้านาไปส่คู วาม
สนใจในอนุกรมวิธาน ปรากฏว่าค้นหาอย่างเดียวไม่พอ โดย Jean Graef กล่าวว่า “อนุกรมวิธาน
ได้รับความนิยม เม่ือเคร่ืองมือกลไกการสืบค้นไม่สามารถแก้ปัญหาท้ังหมดของการค้นคืน”
จึงเกดิ สาขาวิชาใหม่การออกแบบเวบ็ ไซต์และการนาทาง ท่เี รียกว่า “สถาปัตยกรรมสารสนเทศ”
โดยใส่คุณค่าอนุกรมวิธานในการจัดระบบสารสนเทศดิจิทัล Fred Leise นักจัดทาดรรชนี
นักสถาปัตกรรมสารสนเทศ และนักอนุกรมวิธาน กล่าวว่า สถาปัตยกรรมสารสนเทศมาจาก
อิทธิพลของ Rosenfeld’s and Peter Morville’s และความรู้ทางบรรณารักษศาสตร์เก่ียวข้องกับ

123

ระบบการจัดสารสนเทศและความรู้ เช่น การจัดหมวดหมู่ ฟาเซท็ การเรียกดู และนิยามวงแหวน
(Synonym rings) เพ่ือการปรับปรุงการค้นหาให้มปี ระสทิ ธภิ าพมากข้นึ

Moulton ได้กล่าวถึงการดัดแปลงคาศัพท์อนุกรมวิธานในวิชาชีพคร้ังแรกสาหรับ
บรรณารักษ์เทคนิค นักพัฒนาซอฟทแ์ วร์ ในการนามาใช้ในแผนผังการจัด (Organizing maps)
ก่อนปี ค.ศ. 1990 และปลายปี ค.ศ. 1990 เร่ิมเหน็ คาศัพท์อนุกรมวิธาน ท้งั น้ีงานประจายังใช้
คาศัพท์ เช่น แผนผังคาศัพท์ (Terminology map) ลาดับช้ันเร่ืองเฉพาะ (Topical hierarchies)
ความสัมพันธ์คาศัพท์ (Terminology relationships) ต่อมาอนุกรมวิธานใช้ เป็ นแบบแผน
การนาทางบนเวบ็ ไซต์พาณิชย์อิเลก็ ทรอนิกส์ ซ่ึงมีเป้ าหมายเพ่ือการค้นเน้ือหา ปี ค.ศ. 2000
Moulton ได้ดัดแปลง อนุกรมวิธาน ครอบคลุมศัพท์ควบคุม พัฒนาและประยุกต์ใช้ในการทา
ดรรชนี การจัดการเมทาดาทา หรือสถานการณ์การค้นคนื (Hedden, 2010)

Bedford (2015) แบ่งอนุกรมวิธานออกเป็น 4 ประเภท ดงั น้ี
1.อนุกรมวิธานแบนราบ (Flat Taxonomy) แสดงโครงสร้ างการจัดหมวดหมู่
แบนราบ จัดกลุ่มเน้ือหาเป็ นชุดหมวดหมู่ท่ีมีการควบคุม โครงสร้างไม่มีความสัมพันธ์โดย
ธรรมชาติระหว่างหมวดหมู่ในอนุกรมวิธานแบนราบ สมาชิกท่เี ท่าเทยี มกันของโครงสร้างเดียว
และสามารถย้ายจากประเภทหน่ึงไปอกี ประเภทหน่ึงโดยไม่ต้องคานึงถงึ ความสัมพันธ์

ตวั อย่างอนุกรมวิธานแบนราบ
- Amazon.com’s pull down list of product categories & horizontal list of

stores: http://www.Amazon.com
- Nordstom.com’s alphabetical list of brand names:

http://www.nordstrom.com
- Microsoft PowerPoint’s global functional menu & pull down menu
- Water Resources Directory of Expertise list of keywords:

http://www.nceas.ucsb.edu/exp/
https://water.arizona.edu/experts
- Bartleby.com’s extensive picklists of reference, verse, fiction & non-fiction
listings: http://www.bartleby.com/reference/
- CyberDewey’s alphabetical index to sections:
http://www.anthus.com/CyberDewey/Dewey_index.html

2. อนุกรมวิธานลาดบั ช้ัน (Hierarchical Taxonomy) แสดงโครงสร้างต้นไม้ (Tree
structure) โครงสร้างลาดับช้ัน (Hierarchical structure) สามารถใช้ขยายหมวดย่อย ๆ ลงไปได้
อย่างเฉพาะเจาะจงย่ิงข้ึน โครงสร้างแสดงความสัมพันธ์จากหมวดหมู่ใหญ่ไปยังหมวดย่อย หรือ

124

แสดงความสัมพันธ์ระหว่างหมวดหมู่ในระดับรอง ระดับสงู หรือระดับเดียวกนั ความสัมพันธ์ใน
ลักษณะโหนด (Node) เรียกว่า parent, child, sibling relationship เป็นต้น อนุกรมวิธานลาดบั ช้ัน
มโี หนด parent ได้โหนดเดยี ว

ตวั อย่างอนุกรมวิธานลาดบั ช้นั
- Yahoo’s Web Site Directory - organized as a subject hierarchy:

http://www.yahoo.com
- Ebay’s auction categories: http://www.ebay.com
- Albertson’s Shop By Aisle grocery categories or Shop A to Z grocery

product: http://www.albertsons.com/store/categores

3. อนุกรมวิธานฟาเซท็ (Facet Taxonomy)
การจัดหมวดหมู่แบบฟาเซท็ แสดงโครงสร้างข้อมูลดาว แต่ละโหนดในโครงสร้าง

เร่ิมต้นท่โี หนดตรงกลาง โหนดใด ๆ สามารถเช่ือมโยงกบั โหนดอ่นื ได้
- เม่อื นามาใช้จะคล้ายกบั อนุกรมวิธานแบนราบ แต่มีโครงสร้างและ

จุดประสงค์ท่แี ตกต่างจากอนุกรมวิธานแบนราบ
- โครงสร้างไม่มคี วามสมั พันธ์โดยธรรมชาตริ ะหว่างหมวดหมู่เช่นเดียวกบั

อนุกรมวิธานแบนราบ
- โครงสร้างดาว ทุกฟาเซท็ เก่ยี วข้องกบั วัตถุท่อี ยู่ตรงกลาง
- หมวดหมู่ท้งั หมดในอนุกรมวิธานฟาเซท็ เก่ยี วข้องกบั วัตถุเดียว (Single

object) อธบิ ายคุณสมบัติ (Property) หรือค่า (Value) มุมมองท่แี ตกต่างกนั หรือลักษณะของ
หัวข้อเดียว (Single topic)

4. อนุกรมวิธานเครือข่าย (Network Taxonomies) แสดงโครงสร้ างท่ีซับซ้ อน
แต่ละโหนดสามารถมี parent ได้มากกว่าหน่ึงโหนด รายการใดๆ ในโครงสร้างแบบเพลก็ ซ์ (Plex
structures) สามารถเช่ือมโยงกับรายการอ่ืนได้ ในโครงสร้ างแบบเพล็กซ์ ลิงก์สามารถมี
ความหมายและแตกต่างได้

- การจัดเน้ือหาเป็นหมวดหมู่ (Categories) ท้งั แบบลาดบั ช้ันและแบบเช่ือมโยง
- โครงสร้างแบบโทโพโลยเี ครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Network topology)
- ความสมั พันธม์ ากมายระหว่างหมวดหมู่หรือโหนด
- ความสัมพันธอ์ าจมีหลากหลายความหมาย
- หมวดหมู่อนุกรมวิธานอาจมีมากกว่าหน่ึงหมวดหมู่ระดบั ท่สี งู กว่า
- หมวดหมู่ในอนุกรมวิธานอาจมกี ารเช่ือโยงถงึ หมวดหมู่อ่นื ๆ

125

ตวั อย่างของอนุกรมวิธานเครือข่าย:
- แผนผังหัวข้อ (Topic map) หรือออนโทโลยี
- ศัพทส์ มั พันธ์
- เครือข่ายความหมาย
- การทาให้เกดิ ทางานข้ามระบบกนั ได้ สาหรับศัพทส์ ัมพันธ์ และคาศัพทท์ ่ี

ควบคุม (Thesauri & Controlled vocabularies) จากขอบเขตความรู้ (Domain) ท่แี ตกต่างกนั
ตัวอย่างอนุกรมวิธานเครือข่ายท่สี ามารถเข้าถงึ ได้บนเวบ็ :
- World Bank Group’s Thesaurus: http://www2.multites.com/wb/
- UMLS Semantic Network:
http://www.nlm.nih.gov/research/umls/META3.HTML
- Inxight’s Star Tree concept maps:
http://eic.vestforsk.no/sitelense/eic.html

การประยกุ ตใ์ ชอ้ นุกรมวิธาน
แนวทางการปฏิบัติการเพ่ือจัดประเภทอนุกรมวิธานโดยการประยุกต์ใช้ ขณะท่ี
อนุกรมวิธานมีหลากหลายหน้าท่ี มีแนวโน้มท่ีเน้นการออกแบบ การใช้ และวัตถุประสงค์
ประกอบด้วย:
1.การสนับสนุนการทาดรรชนีและการทารายการ อนุกรมวิธานรู้จักในบริบทเป็นศัพท์
ควบคุม

ภาพท่ี 2.15 หัวเร่อื งหอสมดุ รฐั สภาอเมริกนั แสดงการค้นหาคาศพั ท์ World Wide Web

126

2. การสนับสนุนการค้นคืน อนุกรมวิธานสนับสนุนการค้นคืนของผู้ใช้ปลายทาง
(end-user) โดยได้รับประโยชน์จากคาศัพท์ท่ไี ม่บังคับท่ีเป็นศัพท์ไม่เป็นทางการ (nonprefered
terms) ท่ีแตกต่างจากคาศัพท์ใช้ในดรรชนีเอกสาร เช่น ผู้ใช้ปลายทางใช้คา Doctors ค้นหา
บทความเก่ียวกับ Physicains ผู้ใช้ปลายทางสามารถใช้ข้อดีความสัมพันธ์หรือลาดับช้ันของ
คากว้างและคาแคบสาหรับการค้นหา ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็ นความสัมพันธ์ท่ีเก่ียวข้องกับ
คาศัพท์ ท่แี นะนาคาศัพทท์ ่สี นใจ ในกรณีน้ีผู้ใช้ปลายทางกาลังมองหาการนาเสนอท่ชี ัดแจ้งของ
อนุกรมวิธานเพ่ือการนาทาง จะเหน็ ได้ว่าอนุกรมวิธานถูกออกแบบเพ่ือช่วยค้นคืนออนไลน์ และ
ช่วยในการเช่ือมโยง (Mapping) คาศัพท์และความหมายเหมือน ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับการแสดง
ส่วนประสานผู้ใช้ โครงสร้างลาดับช้ันเพ่ือการเรียกดูและกาหนดเน้ือหาเฉพาะท่ีน่าสนใจ ผู้ใช้
ปลายทางสามารถพบเน้ือหาท่สี นใจโดยการเรียกดูตามลาดบั ช้ัน

ตัวอย่างของอนุกรมวิธานช่วยการค้นคืน
-Verizon Suoerpages yellow pages directory site:

www.superpages.com/yellowpages
-Amazon.com ecommerce: www/amazon.com/gp/site-directory

ภาพท่ี 2.16 การค้นหวั เร่อื ง Medical Subject Heading การเลอื กคาศพั ท์ arm injuries

127

ในการบริการค้นคืนสารสนเทศ วิธีการหน่ึงท่ีดีคือ การสร้างศัพท์ควบคุมซ่ึงแบ่ง
ออกหลากหลายชุดย่อย รายการคาศัพท์ของการนาเสนอท่ีแตกต่างของลักษณะ (aspect) และ
สารสนเทศท่แี ตกต่างกนั ลักษณะน้ีเรียกว่า ฟาเซท็ (facets) และประเภทของศัพทค์ วบคุมเรียกว่า
อนุกรมวิธานฟาเซท็ (faceted taxonomy)

อนุกรมวิธานฟาเซท็ ใช้สาหรับฐานข้อมูลออนไลน์และเวบ็ ไซต์พาณิชย์อิเลก็ ทรอนิกส์
เช่น เว็บไซต์จาหน่ายรองเท้า Shoebuy.com (www.shoebuy.com/s.jsp/r_as) ประกอบด้วย
การค้นหาข้ันสงู ของฟาเซท็ ย่หี ้อ หมวดหมู่ ประเภท ขนาด สี ประเทศ ราคา และเพ่ิมเง่อื นไขอ่นื
ของร้องเท้าผู้หญิง เช่น ส้นสูง และตัวอย่างเวบ็ ไซต์ ส่วนเช่ือมประสานการเรียกดูฟาเซท็ ของ
Microbial Life Education Resources site (serc.carleton.edu/microbelife/resources) ประกอบ
ด้วยฟาเซท็ เน้ือหาด้านชีววิทยา ประเภททรัพยากรสารสนเทศ สภาพแวดล้อมท่ีรุนแรง และ
สภาพแวดล้อมมหาสมุทร

ภาพท่ี 2.17 อนุกรมวิธานฟาเซท็ Microbial Life Education Resources site

3. การสนับสนุนการจัดและการนาทาง อนุกรมวิธานลาดับช้ันสามารถจัดเตรียม
ระบบการจาแนกประเภทและการจัดหมวดหมู่ส่งิ ของหรือสารสนเทศ สาหรับการจัดสารสนเทศ
ประยุกต์ใช้อนุกรมวิธานในการออกแบบโครงสร้างสถาปัตยกรรมสารสนเทศ บริการสารสนเทศ
ออนไลน์ การจัดเน้ือหา และระบบการจัดการเน้ือหา เวบ็ ไซต์หรืออนุกรมวิธานขององค์กรและ
ธุรกจิ การให้ความสาคัญในการจัดหมวดหมู่และแนะนานาทางผู้ใช้มากกว่าการค้นหาและค้นคืน
สารสนเทศ การนาทาง (Navigation) หมายถึง การค้นหาด้วยวิธกี ารรอบด้าน ขณะท่กี ารค้นคืน
หมายถึง การดาเนินการหลังจากได้ รับสารสนเทศเฉพาะ อนุกรมวิธานสาหรับเว็บไซต์

128

เป็ นเหมือนตารางเน้ือหาจานวนมาก การจัดหัวข้อ (Topic) สะท้อนให้เหน็ ในเมนูนาทางและ
ในไซต์แมบ (Sitemap) ซ่ึงเรียกว่า อนุกรมวิธานการนาทาง (Navigaional taxonomy)

ตัวอย่างอนุกรมวิธานการนาทางเวบ็ ไซต์แสดงท้งั ไซต์แมบ และเมนูนาทางสามารถ
พบในไซต์แมบของเวบ็ ไซต์สถาบันสถาปัตยกรรมสารสนเทศ (Information architecture Institute:
iainstitute.org/en/site-map.php) ประเภทระดับสูงสุดของอนุกรมวิธาน และการนาทางด้วย
Member Services, IA Network, Learning IA and Aout us

อนุกรมวิธานธุรกจิ แสดงให้เหน็ ระดับสงู สดุ จากการจัดสารสนเทศสาหรับธุรกจิ
วัตถุประสงค์ไม่เพียงแต่ค้นคนื สารสนเทศ แต่ช่วยผู้ใช้ให้เข้าใจในการจัดสารสนเทศ และใช้ได้
อย่างง่าย

ภาพท่ี 2.18 ไซตแ์ มปอนุกรมวิธานการนาทางของสถาบนั สถาปัตยกรรมสารสนเทศ(Information architecture
Institute)

อนุกรมวิธานเป็นโครงสร้างสารสนเทศและความรู้ ท้งั น้ีโครงสร้างเป็นแบบลาดับช้ัน
ฟาเซ็ท และการจาแนกประเภท ความแตกต่างวิธีการของการจัดและการทาโครงสร้ าง
อนุกรมวิธาน (Hedden, 2010)

1. ลาดับช้ัน (Hierarchies) โครงสร้างแบบต้นไม้ เป็ นการขยายของความสัมพันธ์
คาศัพท์กว้าง/คาศัพท์แคบ รวมท้ังทุกคาศัพท์ภายในศัพท์ควบคุม ท้ังหมดเป็ นการกาหนด
ลักษณะของอนุกรมลาดับช้ัน การให้ความสาคัญกับลาดับช้ันเป็ นการจาแนกประเภท การจัด
หมวดหมู่ หรือการเรียงลาดับ และถูกสร้างและใช้จากบนลงล่าง (Top to down) ระดับช้ันด้ังเดมิ
เป็ นการพัฒนาเพ่ือจัดหมวดหมู่ส่ิงของ เช่น พืช สัตว์ เคร่ืองมือ ผลิตภัณฑ์ หนังสือ และงาน
สร้างสรรคอ์ ่นื ๆ ซ่ึงการเพ่ิมใช้การจัดการแนวคิด หรือหัวข้อเช่นกนั ตวั อย่างลาดบั ช้ันของการจัด
หมวดหมู่ส่งิ ของ ดงั น้ี

129

- อนุกรมวิธาน Linnaean สาหรับการจัดหมวดหมู่ส่งิ มชี ีวิต
- การจัดหมวดหมู่ Dewy Decimal Classifiction สาหรับหนังสอื
- รหัส SIC or NAIS สาหรับธรุ กจิ และอตุ สาหกรรม
- นามานุกรม Yahoo!(dir.yahoo.com) และ Open Dierctory Project
(www.dmoz.org) สาหรับเวบ็ ไซต์
เม่ือการจัดหมวดหมู่ทางกายภาพของส่ิงของ ถูกจัดวางไว้เพียงท่เี ดียว เช่นหนังสือ
วางบนช้ันของวัตถุหรือพิพิธภณั ฑ์ แต่ละคาศัพทอ์ นุกรมวิธานมีเพียงคาศัพทก์ ว้างเทา่ น้ัน อย่างไร
กต็ ามอนุกรมวิธานสมัยใหม่อยู่ในรูปแบบดิจทัล ดังน้ันการทารายการจาเป็ นต้องโยง เช่น
เวบ็ ไซต์หรือส่ือดิจิทัล ดังน้ันแนวคิดสามารถมีได้มากกว่าหน่ึงท่ี (Place) ในลาดับช้ัน อีกอย่าง
หน่ึงคาศัพท์สามารถมีได้มากกว่าหน่ึงคาศัพท์กว้างท่ีเรียกว่า พหุลาดับช้ัน (Polyhierarchy)
ตัวอย่างการจัดของถ้าอนุกรมวิธานสนับสนุน พหุระดับช้ัน ควรสร้างด้วยดุลยพินิจ โครงสร้าง
จาเป็ นต้องมีตรรกะและง่ายต่อการใช้ ไม่ควรหลายช้ันมากเกินไป การออกแบบโครงสร้าง
ลาดับช้ันท่ชี ัดเจนน้ันไม่ได้ต้องการแค่ความรู้ในสาขาวิชาเทา่ น้ัน
ตัวอย่างการจัดลาดับช้ันตามมาตรฐานการจัดหมวดหมู่ เช่น ระบบจาแนกประเภท
อุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกา (Standard Industrial Classification: SIC or American Industry
Classification System: NAICSX) หรือทางเลือกภาคตลาดแนวต้ัง (Vertical market sector)
ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศ (ฮาร์ดแวร์ ซอฟทแ์ วร์ และบริการ) การดูแลสขุ ภาพ การขนส่ง และ
ส่ือ หรือการจัดตามวัสดุและเทคโนโลยีการผลิต (ผลิตภัณฑ์โลหะ ผลิตภัณฑ์แก้ว ผลิตภัณฑ์
พลาสติก ฯลฯ) หรือโดยการใช้ (ผลิตภัณฑ์สานักงาน ผลิตภัณฑค์ รัว ของชาร่วย ของเล่น ฯลฯ)
หรือตามสาขาวิชา คาศัพท์สามารถจัดกลุ่มแตกต่าง เช่นตามวัตถุประสงค์ (งานการกุศล
การกระทาทางการเมือง การขยายการศึกษา) หรือโดยสังกัดการเมืองและศาสนา หน่วยงาน
รัฐบาล สามารถจาแนกหมวดหมู่โดยประเภทหรือรัฐ ประเทศ และสถานท่ีจัดหมวดหมู่ง่าย
สามารถจัดโดยเขตพ้ืนท่ที างภมู ิศาสตร์โลกหรือประเภทของสถานท่ี (ประเภท เมอื ง แหล่งนา้ )

130

ภาพท่ี 2.19 การจัดลาดบั ช้นั ระดบั ภมู ศิ าสตร์

ความลึกและความกว้างของลาดับช้ัน การออกแบบโครงสร้างการจัดหมวดหมู่

ความลึกและความกว้างของลาดับช้ันสาหรับอนุกรมวิธานบนเวบ็ ไซต์ การพิจารณาถึงสมดุลของ

จานวนระดับลึก (Depth) และจานวนคาศัพทแ์ ต่ละระดับ (Breadth) ท้งั น้ีควรพิจาณาธรรมชาติ

ของเน้ือหาและความต้องการและความคาดหวังของผู้ใช้ สาขาวิชาของผู้ใช้ ความเข้าใจธรรมชาติ

การจัดลาดับช้ัน เช่น อุตสาหกรรม/ประเภทผลิตภัณฑ์ สถานท่ที างภมู ิศาสตร์ สามารถสนับสนุน

ระดับความลึกมากกว่าเน้ือหา ซ่ึงน้อยกว่าระดับช้ันตามสญั ชาตญาณ เช่น หัวข้อการจัดการธรุ กจิ

การนาเสนอในหน้าส่วนประสานท้งั แนวต้งั และแนวนอน มีผลกระทบต่อการออกแบบลาดบั ช้ัน

ตวั อย่างรหัสอุตสาหกรรม SIC และ NAICS เป็นการจัดหมวดหมู่ระดบั ราบ (flat

level) และเวบ็ ไซตก์ ารค้นหางาน Monster.com

NAICS (deep hierarchy) Monster.com (flat hierachy)

Industies Industies

-Transportation services -Accounting & Auditing Services

-Air transportation -Advertising & PR Services

-Scheduled air freight transportation services -Agriculture, Forestry, & Fishing

Etc.

ภาพท่ี 2.20 ตวั อย่างรหัสอตุ สาหกรรม SIC และ NAICS เป็นการจดั หมวดหม่รู ะดบั ราบ

และเวบ็ ไซตก์ ารค้นหางาน Monster.com

2. ฟาเซท็ (Facet) ฟาเซท็ เป็นการจัดกลุ่มหมวดหมู่ของคาศัพทภ์ ายในอนุกรมวิธาน
ใช้ในการสนับสนุน ท่เี รียกว่า การจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ หรือการค้นด้วยฟาเซท็ (faceted search)
ฟาเซท็ ท่ใี ช้อธบิ ายเน้ือหาจากหลายแง่มุม หรือคุณลักษณะ

131

Automobiles
by body type

Coupes
Sedans
Station wagons
Minivans
Sport-utility vehicles
by engine type
Gasoline engine automobiles
Diesel engine automobiles
Electric automobiles
Natural gas engine automobiles
Alcohol engine automobiles
by transmission type

Automatic transmission automobiles
Manual transmission automobiles

ภาพท่ี 2.21 การแบ่งฟาเซท็ สาหรบั Automobiles

ฟาเซท็ ในการจัดหมวดหมู่ระบบฟาเซ็ทนาเสนอการแบ่งลาดับช้ันและแยกออก
จากกัน ค่าฟาเซท็ เป็นรายการแบบราบ หากมีหลากหลายการจัดตามลาดับช้ัน วัตถุประสงค์ของ
ฟาเซท็ ใช้สาหรับการค้นหาหลากหลายคาศัพท์ในการเช่ือมโยงค้นหาฟาเซ็ทท่กี าหนดข้ึนทีหลัง
(Postcoordination) ด้วยคาเดียวจากแต่ละฟาเซท็ ขณะท่ฟี าเซท็ บ่งช้ีในอนุกรมวิธานเป็นฟาเซท็ ท่ี
ได้กาหนดไว้แล้ว (Precoordination) ในฟาเซท็ การค้นหา บริการการค้นหาฟาเซท็ ท่ีกาหนดข้ึน
ทหี ลัง ฟาเซท็ ไม่ได้จัดกลุ่มแนวคิดเทา่ น้ัน รวมท้งั มติ ิของการ query ตัวอย่างชุดฟาเซท็ :

-รังกานาทาน ได้พัฒนาชุดฟาเซ็ท 5 ฟาเซ็ท ประกอบด้วย: Personality,
Matter, Energy, Space, Time

-Louis Rosenfeld and Peter Morville ใช้ สถาปัตยกรรมสารสนเทศสาหรับ
เว็บไซต์พาณิชย์ (2002) ฟาเซ็ทประกอบด้วย: Topic, Product, Document type, Audience,
Geography Price

-Monster job board site (jobsearch.monster.com/Browse.aspx) ฟาเซท็
ประกอบด้วย: Stat e (U.S.), Industry, Category (of occupation), Posting date (rang),
Career level, Year experience (rang), Education level, Job type (full-time, part-time, etc.)

132

-MyRecipes.com (www.myrecipes.com): ประกอบด้วยฟาเซท็ Main
ingredients, Exclude (e.g. dairy, shellfish, etc.), Courses, Occasions, Cuisines,
Conveniences, Cooking methods, Dietary considerations, Publications, Sponsors

-Kelly Blue Book site’s Perfect car Finder
(www.kbb.com/kbb/perfectCarFinder) ฟาเซท็ ประกอบด้วย: Price range, Vehicle tpe
(new/used), Category, Manufacturer, Maximum seating capacity, Miles per gallon (rang),
Size of vehicle, Object type, Artist/creator, Ciuntry/culture, Medium/materials, Date
made, Collection/department

จากการทบทวนวรรณกรรมมกี ารศึกษาการประยุกตใ์ ช้ระบบการจัดสารสนเทศและความรู้
ในสภาพแวดล้ อมดิจิทัลมีผู้ศึกษาจานวนมาก ได้ แก่ Vasta (2020) ศึกษาอนุกรมวิธาน
ผลิตภัณฑ์: การจัดหมวดหมู่ลาดับช้ันเว็บไซต์เพ่ือเพ่ิมยอดขาย (Product Taxonomy:
Categorizing Your Website Hierarchy to Increase Sales) Uddin, & Janecek (2007) ศึกษา
การนาการจัดหมวดหมู่ฟาเซท็ ในการค้นหาและการเรียกดูในเวบ็ ไซต์ (The implementation of
faceted classification in web site searching and browsing) Polonioli (2021) การค้ นด้ วย
ฟาเซท็ ในพาณิชยอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์ (Faceted search in eCommerce)

กรณีศึกษาท่ยี กตัวอย่างมาน้ีเป็นการนาอนุกรมวิธานมาใช้ในพาณิชย์อิเลก็ ทรอนิกส์ของ
Hedden (2012) แนวปฏิบัติท่ีดีและความท้ าทายการออกแบบอนุ กรมวิธานพาณิชย์
อเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E-Commerce Taxonomies)

Hedden (2012) ได้ให้คาแนะนาอนุกรมวิธานพาณชิ ย์อเิ ลก็ ทรอนิกส์ คือ
- รายการข้อกาหนดของคาศัพท์ (Terms)/ช่ือ/ป้ ายกากบั /หมวดหมู่ ท่ไี ด้รับ

อนุญาตและถูกจากดั
- แต่ละคาศัพทต์ ้องเป็นแนวคดิ ท่ชี ัดเจนแนวคิดเดียว (Unambiguous

concept)
- ควบคุมโดยนโยบายว่าจะเป็นใคร เม่อื ไร และอย่างไรในการเพ่ิมเง่อื นไขใหม่
- การถูกจัดอยู่ในบาง(ลาดับช้ัน)สว่ นโครงสร้างหรือการจัดกลุ่ม
- รองรับการจัดทาดัชนี/การแทก็ /การจัดหมวดหมู่/การจัดการเมทาดาทา

เน้ือหา
- อานวยความสะดวกในการดงึ ข้อมูล/ค้นหาได้ท้งั ในการเรียกดูและค้นหา

ลักษณะท่วั ไปของอนุกรมวิธานพาณิชยอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์ ดงั น้ี
- การแยกลาดบั ช้ันสาหรับแต่ละแผนกหรือจาแนกหมวดหมู่ผลิตภณั ฑก์ ว้างๆ

ส่วนใหญ่จาแนก 5-20 หมวดหมู่ และจัดเรียงลาดบั ช้ันตามยอดนิยม จัดระดับความลึก 3-4
ระดับ โดยท่วั ไป 3-20 คา ในการจาแนกต่อระดับ

133

- ฟาเซท็ โดยท่วั ไปอยู่ในระดับลาดบั ช้ันท่ลี ึกกว่า
- การจัดเรียงลาดับ ไม่ได้เรียงตามตวั อกั ษรเสมอไป ตามความนิยมหรือตรรกะ

ภาพท่ี 2.22 การจดั ลาดบั ช้นั ของแต่ละเวบ็ ไซตพ์ าณชิ ย์อเิ ลก็ ทรอนิกส์

ภาพท่ี 2.23 การจัดแบ่งย่อยลาดบั ช้นั หมวดหม่ขู องแต่ละเวบ็ ไซตพ์ าณชิ ย์อเิ ลก็ ทรอนิกส์

134

การจาแนกด้วยฟาเซท็ ส่งิ ท่พี ิจารณาประกอบด้วย คุณลักษณะ (Attributes) ขนาด
(Dimensions) การปรับแตง่ (Refinements) ตวั กรอง (Filters) จากดั โดย (Limit by)

- ฟาเซท็ สาหรับชุดการจาแนกหมวดหมู่ท่เี ฉพะเจาะจงท่คี ล้ายกนั สนับสนุนคุณลักษณะ
ประเภทเดยี วกนั

- ฟาเซท็ ทางานได้ดีสาหรับผลิตภณั ฑ์ขายปลีกท่คี ล้ายกัน: รองเท้าท้งั หมด กระเป๋ า
ท้งั หมด คอมพิวเตอร์แลป็ ทอ็ ปท้งั หมด

ฟาเซท็ ท่คี วรเป็น:
- อนุกรมวิธานประเภทเดียวในเวบ็ ไซต์ขายปลีกเฉพาะ
- ปรากฏระดับลาดบั ช้ันการจาแนกท่เี ฉพาะเจาะจงของเวบ็ ไซต์พาณชิ ย์ทว่ั ไป
- ปรากฏข้นึ หลังจากทาการค้นหา

ภาพท่ี 2.24 ฟาเซท็ การค้นข้นั สงู ของเวบ็ ไซตพ์ าณชิ ย์อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์

135

ภาพท่ี 2.25 ฟาเซท็ การค้นข้นั สงู ของเวบ็ ไซตพ์ าณชิ ย์อเิ ลก็ ทรอนิกส์

การออกแบบอนุกรมวิธานพาณิชยอ์ เิ ลก็ ทรอนิกส์
1. หมวดหมู่ย่อยเทยี บกบั ค่าฟาเซท็ (Subcategory VS Facet value)

- หมวดหมู่และหมวดหมู่ย่อยคือ:
ส่งิ ของ ผลิตภัณฑ์ คานาม เช่น Sweater

- ฟาเซท็ และคุณค่าของส่งิ ของ ผลิตภณั ฑ์ คอื : ลักษณะ (Characteristics)
คาอธบิ าย (Descriptions) คาคุณศัพท์ (Adjectives) มติ ขิ องส่งิ ต่าง ๆ (Dimensions of thing)
เช่น สี Blue

- การจาแนกประเภท:
คานาม (Category: Noun)
ประเภทย่อย: Modifier + คานาม
หมวดหมู่: คานาม
ค่า Facet: Modifier

136

ตัวอย่าง: Flannel Shirts
Shirts
Flannel Shirts

Category: Shirts
Fabric (facet): Flannel

ข้อควรคานึงในการพิจารณา:
- การแก้ไข (Modifier) เป็นค่าท่ชี ัดเจนของฟาเซท็ หรือไม่ ?
- ลูกค้าพิจารณาว่า Flannel เป็นผ้าชนิดหน่ึงหรือชนิดย่อยของเส้อื เช้ิตหรือไม่?
- มีผลิตภณั ฑอ์ ่นื (นอกเหนือจากเส้อื ) ในผลิตภณั ฑเ์ ดียวกนั เวบ็ ไซต์ท่มี ี

การแก้ไข (modifier) (เช่น such as flannel sleepwear) หรือไม่?
- รายการของฟาเซท็ ค่อนข้างยาวเกนิ ไปหรือไม่?
- ระดบั ของการจาแนกหมวดหมู่ย่อยน้ันลึกพอหรือไม่?

2. วิธกี ารจาแนกหมวดหมู่ท่แี ตกต่างกนั และจาแนกประเภทข้ามหมวดหมู่
ตัวอย่างการจาแนกหมวดหมู่หลายรายการ:
- Women’s Shoes – in Women’s Clothing; in Shoes
- Office Furniture - in Office Products; in Furniture
ตัวอย่างผลิตภณั ฑข์ ้ามผลิตภณั ฑ:์
Home Theater – in TV/Video; in Audio/Stereo
Printer-Scanner-Faxes – in Printers; in Scanners; in Fax Machines
-การจัดหลายลาดบั ช้ันให้ใส่ไว้ท้งั สองท่เี รียกว่า พหุลาดบั ช้ัน (Polyhierarchy
ชุดข้อมูลท่มี จี านวนมากเกนิ ไปทาให้โครงสร้างสบั สน โดยใช้พหุลาดับช้ัน

ทางานได้ดขี ้ึนสาหรับคาศัพท์ / หมวดหมู่เฉพาะท่รี ะดบั ล่างสดุ ระดับช้ันย่อยท่สี อง เช่น
นาฬิกา GPS สาหรับออกกาลังกายในระบบ GPS, ในอปุ กรณพ์ กพาเคร่ืองอิเลก็ ทรอนิกสฟ์ ิ ตเนส
และในนาฬกิ า) ไม่ใช่กบั การแตกแขนงลาดบั ช้ันกว้าง ๆ

-ระบบอาจไม่สนับสนุนพหุลาดบั ช้ันอย่างเตม็ ท่ี
-เส้นทางเบรดครัมบ์ (Breadcrumb) อาจไม่ได้สะท้อนถึงเส้นทางการนาทางของ
ผู้ใช้ แต่เป็นเพียงอกี เส้นทางหน่ึง ลาดับช้ันคงท่หี น่ึงเส้นทาง เส้นทางของพหุลาดบั ช้ัน

137


Click to View FlipBook Version