การศึกษาความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร ที่ได้รับการอบรมสุขาภิบาลอาหารของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ของ นางสาวภัทรภร เฉลยจรรยา เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไปช านาญการ เสนอต่อกองกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อพัฒนางานและน าเสนอขอรับการก าหนดระดับต าแหน่งช านาญการพิเศษ มีนาคม 2558 ลิขสิทธิ์เป็นของกองกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร
A STUDY OF KNOWLEDGE, ATTITUDES AND BEHAVIORS IN FOOD SANITATION OF FOOD HANDLERS WHO HAVE BEEN TRAINED IN FOOD SANITATION OF SILPAKORN UNIVERSITY, WANG THAPHRA BY Miss Pattaraporn Chaleoychanya Senior Administrative Officer PRESENT TO STUDENT AFFAIRS DIVISION SIPAKAORN UNIVERSITY TO DEVELOP THE WORK AND PRESENT TO PROMOTE THE SENIOR PROFESSIONAL LEVEL. MARCH 2015 COPYRIGHT OF STUDENT AFFAIRS DIVISION SIPAKAORN UNIVERSITY
ค ำส ำคัญ : ควำมรู้/ ทัศนคติ / พฤติกรรมด้ำนสุขำภิบำลอำหำรของผู้สัมผัสอำหำร / กำรฝึกอบรม ผู้วิจัย : ภัทรภร เฉลยจรรยำ ชื่อเรื่อง : กำรศึกษำควำมรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมด้ำนสุขำภิบำลอำหำรของผู้สัมผัสอำหำรที่ได้รับ กำรอบรมสุขำภิบำลอำหำรของมหำวิทยำลัยศิลปำกร วังท่ำพระ ที่ปรึกษำงำนวิจัย : รองศำสตรำจำรย์วัฒนำ เกำศัลย์ และผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ดร.ธงชัย เตโชวิศำล. 126 หน้ำ. กำรวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษำระดับควำมรู้ด้ำนสุขำภิบำลอำหำรของผู้สัมผัส อำหำร มหำวิทยำลัยศิลปำกร วังท่ำพระ เปรียบเทียบควำมรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมด้ำน สุขำภิบำลอำหำร ก่อนและหลังกำรฝึกอบรมของผู้สัมผัสอำหำร มหำวิทยำลัยศิลปำกร วังท่ำพระ ตัวอย่ำงที่ใช้ในงำนวิจัย คือ ผู้สัมผัสอำหำรมหำวิทยำลัยศิลปำกร วังท่ำพระ ปีกำรศึกษำ 2557 จ ำนวน 39 คน ได้มำโดยกำรสุ่มแบบเจำะจง เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย หลักสูตรฝึกอบรมแบบมี ส่วนร่วม แบบสอบถำมควำมรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมกำรปฏิบัติตำมข้อก ำหนดด้ำนสุขำภิบำล อำหำรส ำหรับร้ำนอำหำร กำรวิเครำะห์ข้อมูลใช้ ควำมถี่ ร้อยละ ค่ำเฉลี่ย ค่ำส่วนเบี่ยงเบน มำตรฐำน และ paired t-test ผลกำรวิจัยพบว่ำ 1. ผู้สัมผัสอำหำรมีควำมรู้เรื่องสุขำภิบำลอำหำรและตำมข้อก ำหนดด้ำนสุขำภิบำลอำหำร ส ำหรับร้ำนอำหำร หลังกำรฝึกอบรมผู้สัมผัสอำหำรมีควำมรู้โดยรวม และแยกเป็นรำยด้ำน 5 ด้ำน อยู่ในระดับดี ตำมเกณฑ์คะแนนร้อยละ 80 2. ผู้สัมผัสอำหำรมีควำมรู้ด้ำนสุขำภิบำลอำหำรทุกด้ำนเพิ่มขึ้นหลังได้รับกำรฝึกอบรมอย่ำง มีนัยส ำคัญทำงสถิติระดับ 0.05 3. ผู้สัมผัสอำหำรมีทัศนคติด้ำนสุขำภิบำลอำหำรทุกด้ำนเพิ่มขึ้นหลังได้รับกำรฝึกอบรม อย่ำงมีนัยส ำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05 4. ผู้สัมผัสอำหำรมีพฤติกรรมด้ำนสุขำภิบำลอำหำรทุกด้ำนเพิ่มขึ้นหลังได้รับกำรฝึกอบรม อย่ำงมีนัยส ำคัญทำงสถิติที่ระดับ 0.05
KEY WORD : EDCUCATION / ATTIUDE / BEHAVIOUR IN FOOD SANITATION OF FOOD HANDLER OF FOOD HANDLERS / BEFORE AND AFTER TRAINED. PATTRAPORN CHALEYCHANYA : A STUDY OF KNOWLEDGE, ATTITUDES AND BEHAVIORS IN FOOD SANITATION OF FOOD HANDLERS WHO HAVE BEEN TRAINED IN FOOD SANITATION OF SILPAKORN UNIVERSITY WANG THAPHRA THESIS ADVISORS : ASSOC. PROF. WATANA KAOSAL ASST. PROF. THONGCHAI TAECHWISAN, PH.D. 126 pp. The objectives of the study were to find out the levels of knowledge in food sanitation of food handlers at Silpakorn University, Thapha Palace, and to compare knowledge, attitudes and behaviors in food sanitation of food handlers either before or after training at Silpakorn University, Wang Thapha. A sample was selected from 39 food handlers in the academic year 2014, cases were included as a sample. Research instruments were a participation training curriculum, and a knowledge, attitude and behavior in according to food sanitation requirements for restaurants. Descriptive statistics were generated by using a percentage, an average, a standard deviation and paired t-test. The result of the study were as follow: 1) The food handlers had a good level in the entire knowledgement which seperated into 5 fields in food sanitation requirements for restaurants with statistical significance for 80 percent. 2) The food handlers had a higher knowledgement in food sanitation after training was significantly higher at the 0.05 level. 3) The food handlers had a higher attitude in food sanitation after training was significantly higher at the 0.05 level. 4) The food handlers had a higher behavior in food sanitation after training was significantly higher at the 0.05 level.
กิตติกรรมประกาศ การวิจัย เรื่อง การศึกษาความรู ทัศนคติ และพฤติกรรมดานสุขาภิบาลอาหารของผูสัมผัส อาหารที่ไดรับการอบรมสุขาภิบาลอาหารของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังทาพระ ฉบับนี้สําเร็จลุลวงไป ไดดวยความกรุณาเปนอยางสูงในการใหคําปรึกษาและเสนอแนะตลอดจนแกไขขอบกพรองตาง ๆ อยางดียิ่ง จากผูบังคับบัญชา อาจารยที่ปรึกษา และผูทรงคุณวุฒิหลายทาน ทําใหผูวิจัยรูสึกซาบซึ้ง และขอกราบขอบพระคุณเปนอยางสูง ขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารยวัฒนา เกาศัลย รองอธิการบดีฝายกิจการ นักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร ผูชวยศาสตราจารย ดร.ธงชัย เตโชวิศาล ผูชวยอธิการบดีฝายกิจการ นักศึกษา พระราชวังสนามจันทร อาจารยพรสวรรค อัมรานนท อดีตรอง อธิการบดี (กิจการ นักศึกษา ) มหาวิทยาลัยศิลปากร ผูชวยศาสตราจารยบุญยฤทธิ์ คงคาเพ็ชร อดีตรองคณบดี ฝายบริหาร คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และนางกาญจนา สุคนธมณี ตําแหนง บรรณารักษเชี่ยวชาญ หัวหนาหอสมุดพระราชวังสนามจันทร สํานักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัย ศิลปากร ที่ไดใหคําปรึกษา แนะนํา ตรวจราง แกไข ใหขอคิด และขอเสนอแนะอยางดียิ่ง ขอขอบคุณคณะกรรมการควบคุมการจัดจําหนายอาหารและรานคา มหาวิทยาลัยศิลปากร วังทาพระ และผูประกอบการรานจําหนายอาหารและเครื่องดื่ม มหาวิทยาลัยศิลปากร วังทาพระ ทุกทานที่ไดใหความรวมมือในกระบวนการวิจัยและตอบแบบสอบถามการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณ พล.ต.สรฤช เฉลยจรรยา และพ.ท.หญิงภารดี กันไพรี ผูใหกําเนิดที่ ปลูกฝงการศึกษาและเปนกําลังกาย กําลังใจ และสนับสนุนทุนทรัพยในการทําวิจัยครั้งนี้ สุดทาย ขอขอบคุณ ผูที่มีสวนเกี่ยวของทุกทานที่ทําใหการวิจัยครั้งนี้ประสบความสําเร็จ ดวยดี
สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย................................................................................................... ค บทคัดย่อภาษาอังกฤษ.............................................................................................. ง กิตติกรรมประกาศ.................................................................................................... จ สารบัญ...................................................................................................................... ฉ สารบัญตาราง............................................................................................................ ฌ สารบัญภาพ.............................................................................................................. ญ บทที่ 1 บทน า………………………………………………………………………………………..……………… 1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา........................................................... 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย................................................................................. 3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ............................................................................... 3 กรอบแนวคิด.................................................................................................... 4 สมมติฐานของการวิจัย..................................................................................... 4 ขอบเขตของการวิจัย........................................................................................ 5 นิยามศัพท์เฉพาะ............................................................................................. 5 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง………………………………….………………………….……….…....... 7 แนวคิดและทฤษฏีเกี่ยวกับความรู้.................................................................... 7 แนวคิดและทฤษฏีเกี่ยวกับทัศนคติ................................................................... 13 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรม............................................................... 16 แนวคิดการพัฒนาและการฝึกอบรม................................................................. 19 แนวคิดและความรู้เกี่ยวกับสุขาภิบาลอาหาร................................................... 38 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง........................................................................................... 49 3 วิธีด าเนินการวิจัย………………………………………….….............................................. 54 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.............................................................................. 54 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................... 54 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล................................................................................. 57 การวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................... 60 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................... 61
บทที่ หน้า 4 ผลการวิจัย...………………………………………………………………………..……………….…. 62 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................ 62 ล าดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................. 62 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล...................................................................................... 63 ส่วนที่ 1 ลักษณะประชากรของผู้สัมผัสอาหาร........................................ 63 ส่วนที่ 2 ความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร......................... 66 ส่วนที่ 3 ทัศนคติด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร....................... 74 ส่วนที่ 4 พฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหารเป็นการ ปฏิบัติตามข้อก าหนดด้านสุขาภิบาลอาหารส าหรับร้านอาหาร 77 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ…………………………………………..…………… 81 ความมุ่งหมายของการวิจัย............................................................................... 81 สรุปผลการวิจัย................................................................................................ 81 อภิปรายผล...................................................................................................... 82 ข้อเสนอแนะ.................................................................................................... 84 บรรณานุกรม.................................................................................................................... 86 ภาคผนวก......................................................................................................................... 92 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย......................................................................... 92 ภาคผนวก ข หลักสูตรการฝึกอบรม............................................................................. 101 ภาคผนวก ค ภาพกิจกรรม.......................................................................................... 105 ภาคผนวก ง หนังสือเชิญเป็นผู้เชี่ยวชาญ..................................................................... 109 ภาคผนวก จ ค าสั่ง ระเบียบ และประกาศมหาวิทยาลัยศิลปากร 115 - ค าสั่งมหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือก ร้านค้าและร้านอาหาร เพื่อเข้ามาบริการภายในมหาวิทยาลัย ศิลปากร วังท่าพระ......................................................................... 116 - ค าสั่งมหาวิทยาลัยศิลปากร เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมการ จัดจ าหน่ายอาหารและร้านค้า มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ…….................................................................................... 118 - ระเบียบมหาวิทยาลัยศิลปากร ว่าด้วยการจ าหน่ายอาหารและ เครื่องดื่มในห้องอาหาร มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตวังท่าพระ พ.ศ. 2522.......................................................................................... 120
หน้า - ประกาศคณะกรรมการควบคุมการจัดจ าหน่ายอาหารและร้านค้า มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ เรื่อง ข้อก าหนดและบทลงโทษ ผู้ประกอบการอาหารและผู้จ าหน่ายอาหารภายในมหาวิทยาลัย ศิลปากร วังท่าพระ........................................................................... 124 ประวัติย่อของผู้วิจัย....................................................................................................... 126
บัญชีตาราง ตาราง หน้า 1 เปรียบเทียบแนวคิดการฝึกอบรมและการเรียนรู้....................................................... 20 2 การออกแบบกลุ่มเพื่อมีส่วนร่วมสูงสุดแบบกลุ่มพื้นฐาน............................................ 26 3 การออกแบบกลุ่มเพื่อมีส่วนร่วมสูงสุดแบบกลุ่มที่ประยุกต์จากกลุ่มพื้นฐาน............. 28 4 แผนการอบรมความรู้แบบมีส่วนร่วม......................................................................... 31 5 แผนการอบรมเจตคติแบบมีส่วนร่วม......................................................................... 34 6 แผนการอบรมทักษะแบบมีส่วนร่วม.......................................................................... 37 7 ผลกระทบทางเศรษฐกิจ............................................................................................ 41 8 ขั้นตอนการอบรม...................................................................................................... 58 9 ลักษณะประชากรของผู้สัมผัสอาหารภายในมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ.......... 63 10 จ านวนผู้สัมผัสอาหารที่ตอบความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหารได้ถูกต้องก่อนและการ ฝึกอบรม.................................................................................................................... 66 11 ร้อยละ และความถี่เกณฑ์วัดความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร........... 72 12 การเปรียบเทียบความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหารก่อนและหลัง การฝึกอบรม.............................................................................................................. 73 13 ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร ก่อนและหลังการฝึกอบรม......................................................................................... 74 14 การเปรียบเทียบทัศนคติด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหารก่อนและหลังการ ฝึกอบรม.................................................................................................................... 76 15 ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานพฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารก่อนและ หลังการฝึกอบรมของผู้สัมผัสอาหาร.......................................................................... 77 16 การเปรียบเทียบพฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหารปฏิบัติตาม ข้อก าหนดด้านสุขาภิบาลอาหารส าหรับร้านอาหาร.................................................. 80
บัญชีภาพประกอบ ภาพประกอบ หน้า 1 กรอบแนวคิด................................................................................................... 4 2 วงจรและทิศทางขององค์ประกอบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์...................... 23 3 การเรียนรู้ด้วยกระบวนการกลุ่ม.................................................................... 25 4 การบรรลุงานสูงสุด........................................................................................ 26 5 การอบรมด้านพุทธิพิสัยโดยเริ่มจากองค์ประกอบประสบการณ์.................... 30 6 การอบรมด้านพุทธิพิสัยโดยเริ่มจากองค์ประกอบความคิดรวบยอด.............. 30 7 การอบรมด้านจิตพิสัยโดยเริ่มจากองค์ประกอบประสบการณ์....................... 32 8 การอบรมด้านทักษะพิสัยโดยเริ่มจากองค์ประกอบความคิดรวบยอด............ 35 9 จ านวนผู้ป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษในโรงเรียน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553- สิงหาคม 2556.......................................................................................... ...... 40 10 ปัจจัยส าคัญที่เป็นสาเหตุท าให้อาหารสกปรก................................................ 44
1 บทที่ 1 บทน ำ ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555-2559 เป็นแผนยุทธศาสตร์ ที่ชี้น าทิศทางการพัฒนาประเทศระยะกลาง เพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์ระยะยาว ที่ทุกภาคส่วนในสังคมไทย ได้เห็นพ้องร่วมกันก าหนดเป็นวิสัยทัศน์ปีพ.ศ. 2570 ซึ่งก าหนดไว้ว่า “คนไทยภาคภูมิใจในความเป็น ไทย มีมิตรไมตรีบนวิถีชีวิตแห่งความพอเพียง ยึดมั่นในวัฒนธรรมประชาธิปไตย และหลักธรรมาภิบาล การบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่ทั่วถึง มีคุณภาพ สังคมมีความปลอดภัยและมั่นคง อยู่ในสภาวะ แวดล้อมที่ดีเกื้อกูลและเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ระบบการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมีความมั่นคง ด้านอาหารและพลังงาน อยู่บนฐานทางเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองและแข่งขันได้ในเวทีโลก สามารถอยู่ใน ประชาคมภูมิภาคและโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี” แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 กล่าวถึงการสร้างความมั่นคงด้านอาหารและพัฒนาพลังงานชีวภาพในระดับครัวเรือนและชุมชน สนับสนุนให้มีการจัดการและเผยแพร่องค์ความรู้และการพัฒนาด้านอาหารศึกษาทุกรูปแบบ อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง รวมทั้งส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคที่เหมาะสมของบุคคลและชุมชน คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ (ส านักงานคณะกรรมการอาหารและยา. 2553 : 22) ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการอาหารแห่งชาติพ.ศ. 2551 ความมั่นคงด้านอาหารหมายความว่า การเข้าถึงอาหารที่มีอย่างเพียงพอส าหรับการบริโภคของประชาชนในประเทศ อาหารมีความ ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมตามความต้องการ ตามวัยเพื่อการมีสุขภาวะที่ดี รวมทั้งการมีระบบการผลิตที่เกื้อหนุนรักษาความสมดุลของระบบนิเวศวิทยาและความคงอยู่ของฐาน ทรัพยากรอาหารทางธรรมชาติของประเทศ ทั้งในภาวะปกติหรือเกิดภัยพิบัติสาธารณภัยหรือการก่อ การร้ายอันเกี่ยวเนื่องจากอาหาร และได้กล่าวถึงคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ตามยุทธศาสตร์ ที่ 2 หลักการคือดูแลคุณภาพและความปลอดภัยอาหารในห่วงโซ่อาหาร เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค และการค้าทั้งในและต่างประเทศ สถานการณ์ด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ (ส านักงานคณะกรรมการอาหารและยา. 2553 : 43-44) ได้กล่าวถึง สถานการณ์การเจ็บป่วย อันเนื่องมาจากอาหาร (Food borne diseases) องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การเกษตร และอาหารแห่งสหประชาชาติ(FAO) (1983) สรุปสาเหตุส่วนใหญ่ของการเจ็บป่วยจากการบริโภค อาหารว่าเกิดจากอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์และสารเคมีเช่น สารเคมีที่ใช้ในการก าจัดศัตรูพืช ยาปฏิชีวนะและยาที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์วัตถุเจือปนอาหาร รวมไปถึงสารพิษจากจุลินทรีย์ และสารเคมีปนเปื้อนจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพ ของผู้บริโภคแล้วยังส่งผลต่องบประมาณและเศรษฐกิจของประเทศ สถานการณ์โรคติดต่อทาง อาหารและน้ า จากการเฝ้าระวังโรคของส านักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบว่าโรคอุจจาระร่วง เฉียบพลันและโรคอาหารเป็นพิษในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (ปี2542-2552) ยังไม่ลดลง โดยในแต่ละปี
2 มีรายงานโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันไม่ต่ ากว่า 1 ล้านราย ส่วนอัตราป่วยโรคอาหารเป็นพิษ ปี2544 – 2552 มี อั ต ร า ป่ ว ย 223.52, 218.84, 209.03, 247.38, 226.62, 216.47, 196.39, 177.59 และ108.51 ต่อประชากรแสนคนตามล าดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 15 กันยายน 2552) โดยอัตราการ ระบาดของโรคอาหารเป็นพิษเพิ่มขึ้น การเจ็บป่วยจากอาหารที่ปนเปื้อนจุลินทรีย์ในอาหารเกิดได้ใน ทุกขั้นตอนตลอดห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ในขั้นวัตถุดิบที่มาจากการเพาะปลูก/เพาะเลี้ยง การผลิต การขนส่ง และการเก็บรักษาจนกระทั่งการปรุงเพื่อจ าหน่ายต่อผู้บริโภคหรือแม้แต่ผู้บริโภคปรุงอาหาร เองอย่างไม่ถูกสุขลักษณะปี2552 ส านักระบาดวิทยา กลุ่มโรคจากอาหารและน้ า รายงานจ านวน ผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน 1.2 ล้านราย คิดเป็นอัตราป่วย 2,023.64 ต่อแสนคน ในจ านวนนี้ เสียชีวิต 65 ราย ซึ่งเมื่อพิจารณาย้อนหลัง 10 ปีมีเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ บางชนิดก็อาจก่ออันตรายขั้นเสียชีวิตหรือพิการได้เช่น กรณีการเสียชีวิตและเจ็บป่วยจากพิษ Botulinum จากเชื้อ Clostidium botulinum ในหน่อไม้ปี๊บที่มีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี2540 และเกิดรุนแรงที่สุดที่จังหวัดน่าน ในปี2549 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เจ็บป่วยถึง 163 ราย และรัฐบาลต้องเสีย งบประมาณในการรักษาพยาบาลและแก้ไขปัญหาสูงถึง 50 ล้านบาท อีกทั้งยังกระทบต่อความ เชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งประเทศ จากผลการส ารวจร้านจ าหน่ายอาหาร ภายในมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ เมื่อเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2556 พบว่าร้านจ าหน่ายอาหารทั้งหมด 12 ร้าน ผ่านตามข้อก าหนดร้านจ าหน่าย อาหาร จ านวน 7 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 58.33 ไม่ผ่านตามข้อก าหนดร้านจ าหน่ายอาหาร จ านวน 5 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 41.66 ทั้งนี้พบว่ามีร้านจ าหน่ายอาหารไม่ผ่านตามข้อก าหนดสุขาภิบาลอาหาร ส าหรับร้านค้าจ าหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ของคณะกรรมการควบคุมการจัดจ าหน่ายอาหารและ ร้านค้า มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ซึ่งใช้เกณฑ์เดียวกันกับการตรวจของส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร จ านวน 4 ข้อ จาก 15 ข้อ คือ ข้อ 1 ล้างภาชนะด้วยน้ ายาล้างจาน แล้วล้างด้วย น้ าสะอาด 2 ครั้ง หรือล้างด้วยน้ าไหลผ่าน และอุปกรณ์การล้างต้องวางสูงจากพื้นอย่างน้อย 60 เซนติเมตร และ ข้อ 2 จาน ชาม ช้อน ส้อม และตะเกียบ จะต้องไม่มีคราบหรือสิ่งสกปรกติดค้างอยู่ วางตั้งเอาด้ามขึ้นในภาชนะโปร่งสะอาด หรือวางเป็นระเบียบในภาชนะโปร่งสะอาดและมีการปกปิด เก็บสูงจากพื้นอย่างน้อย 60 เซนติเมตร จ านวน 4 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 33.33 เท่ากัน ข้อ 3 ผู้สัมผัสอาหารแต่งกายสะอาด สวมเสื้อมีแขน ผู้ปรุงอาหารต้องผูกผ้ากันเปื้อน และสวมหมวกหรือเน็ท คลุมผม จ านวน 1 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 8.33 ข้อ 4 การก าจัดไขมันและดูแลรักษาถังดักไขมันผิด วิธี จ านวน 12 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 100 มหาวิทยาลัยศิลปากร เห็นความส าคัญในการให้บริการด้านสวัสดิการโรงอาหาร ของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท ่าพระ ซึ ่งเป็นที ่รู้จักในนามยูเนี ่ยน (UNION) จึงมีโครงการ ปรับปรุง-ต ่อเติมโรงอาหาร (UNION) มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ตามสัญญาจ้างเลขที่ 18/2557 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2557 โดยมีร้านจ าหน่ายอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการแก่ นักศึกษาและบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ทั้งหมด จากเดิมจ านวน 12 ร้าน เพิ่มเป็น 13 ร้าน ประกอบด้วย พื้นที่บนโรงอาหาร 1. ประเภทข้าวแกง อาหารจานเดียว จ านวน 2 ร้าน
3 2. ประเภทข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง และอื่น ๆ จ านวน 2 ร้าน 3. ประเภทก๋วยเตี๋ยว จ านวน 1 ร้าน 4. ประเภทย า ส้มต า ของทอด และอื่น ๆ จ านวน 1 ร้าน 5. ประเภทขนม ผลไม้ และเครื่องดื่ม จ านวน 2 ร้าน พื้นที่ส่วนกลางหลังตึกพรรณราย 1. ประเภทแฮมเบอร์เกอร์ ไส้กรอก แฮม และเบคอน จ านวน 1 ร้าน 2. ประเภทเครื่องดื่ม จ านวน 1 ร้าน 3. ประเภทขนม จ านวน 1 ร้าน 4. ประเภทปิ้งย่าง และนึ่ง จ านวน 1 ร้าน พื้นที่ส่วนกลางหน้าคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ 1. ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม จ านวน 1 ร้าน ร้านจ าหน่ายอาหารมิใช่เป็นเพียงศูนย์รวมของผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมของ เชื้อโรค โรคติดต่อจากน้ าและอาหารเป็นสื่อเช่นเดียวกัน หากร้านจ าหน่ายอาหารขาดการเอาใจใส่ใน เรื่องของสุขาภิบาลอาหารตามหลักการปฏิบัติตามหลักสุขาภิบาลอาหารแล้ว จะส่งผลกระทบสุขภาพ ของนักศึกษา และบุคลากรของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ทั้งนั้น กองกิจการนักศึกษา จึงเห็น ความส าคัญของเรื่องดังกล่าว จึงจัดการฝึกอบรมให้ความรู้ เรื่อง การสุขาภิบาลอาหารแก่ผู้สัมผัส อาหาร ตามข้อก าหนดด้านสุขาภิบาลอาหารส าหรับร้านค้า และตามข้อก าหนดและบทลงโทษ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระขึ้น ซึ่งหลังการฝึกอบรมแล้วต้องมีการติดตามตรวจสอบด้วยนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาความรู้ทัศนคติและพฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัส อาหารที่ได้รับการอบรมสุขาภิบาลอาหารของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ โดยมุ่งศึกษา คุณลักษณะของพื้นที่ที่ปฏิบัติงานหลังการฝึกอบรม การใช้ทรัพยากรในการบริหารจัดการ และผลผลิต ที่เกิดขึ้นจากการด าเนินงาน โดยผลการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยหวังว่าผู้สัมผัสอาหารจะมีความรู้เพิ่มมากขึ้น มีทัศนคติที่ดีขึ้น และมีพฤติกรรมปฏิบัติตามหลักสุขาภิบาลอาหารดีขึ้น และใช้เป็นแนวทางในการ พัฒนาร้านอาหารต่อไป วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย 1. เพื่อทราบระดับความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ โดยที่ประสงค์ให้ผู้สัมผัสอาหารมีความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหาร หลังการฝึกอบรมในระดับดี (ร้อยละ 80) 2. เพื่อเปรียบเทียบความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ก่อนและหลังการฝึกอบรม 3. เพื่อเปรียบเทียบทัศนคติด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ก่อนและหลังการฝึกอบรม 4. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร มหาวิทยาลัย ศิลปากร วังท่าพระ ก่อนและหลังการฝึกอบรม
4 ประโยชน์ที่ได้รับจำกกำรวิจัย 1. ท าให้ทราบระดับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัส อาหาร ของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ 2. ผู้สัมผัสอาหารมีความรู้เพิ่มมากขึ้น มีทัศนคติ และพฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารดีขึ้น ท าให้ผู้บริโภคมีความปลอดภัยในการบริโภคอาหาร 3. ผลการวิจัยสามารถน าไปเป็นแนวทางวางแผน ปรับปรุงพัฒนางานด้านการสุขาภิบาล อาหาร และปรับปรุงหลักสูตรเนื้อหาที่ใช้ในการอบรมต่อไป กรอบแนวคิด ตัวแปรอิสระ (Independent Variables) ตัวแปรตำม (Dependent Variables) การฝึกอบรมผู้สัมผัสอาหาร 1. ความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัส 1. สุขาภิบาลอาหารส าหรับร้านอาหาร อาหาร 1.1 ด้านการจัดการสถานที่ 2. ทัศนคติด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัส 1.2 ด้านการจัดการอาหาร อาหาร 1.1 ด้านภาชนะอุปกรณ์ 3. พฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารของ 1.4 ด้านสุขวิทยาส่วนบุคคล ผู้สัมผัสอาหาร 1.5 ด้านการจัดการของเสีย และการควบคุมแมลงและสัตว์น าโรค 2. ข้อก าหนดด้านสุขาภิบาลอาหารส าหรับ ร้านอาหาร ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย สมมติฐำนของกำรวิจัย 1. ผู้สัมผัสอาหาร มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ มีความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหาร หลังการฝึกอบรม ในระดับดีหรือไม่น้อยกว่า (ร้อยละ 80) 2. ผู้สัมผัสอาหาร มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ หลังได้รับการฝึกอบรม มีความรู้ด้าน สุขาภิบาลอาหารเพิ่มขึ้นก่อนการฝึกอบรม 3. ผู้สัมผัสอาหาร มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ หลังได้รับการฝึกอบรม มีทัศนคติด้าน สุขาภิบาลอาหารดีขึ้นก่อนการฝึกอบรม 4. ผู้สัมผัสอาหาร มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ มีพฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหาร ดีขึ้นกว่าก่อนการฝึกอบรม
5 ขอบเขตของกำรวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้สัมผัสอาหาร จ าแนก 5 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการจัดการสถานที่ 2. ด้านการจัดการอาหาร 3. ด้านภาชนะอุปกรณ์ 4. ด้านสุขวิทยาส่วนบุคคล 5. ด้านการจัดการของเสีย และการควบคุมแมลงและสัตว์น าโรค กลุ่มตัวอย่ำงในกำรวิจัย ผู้ปรุงอาหาร ผู้ประกอบอาหาร ผู้จ าหน่ายและเสิร์ฟอาหาร รวมทั้งผู้ท าความสะอาดภาชนะอุปกรณ์ และผู้ประกอบการร้านค้า ที่ปฏิบัติงานในร้านอาหารภายใน มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ในปีการศึกษา 2557 จ านวน 39 คน สถำนที่วิจัย ร้านจ าหน่ายอาหารในโรงอาหาร และภายในมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ตัวแปรในกำรวิจัย 1. ตัวแปรอิสระ ได้แก่ เพศ สถานภาพ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ จ านวนผู้ที่อยู่ใน การอุปการะ ท าหน้าที่ ระยะเวลาที่ท างานในร้านจ าหน่ายอาหาร การได้รับการอบรมหลักสูตร สุขาภิบาลอาหาร และการได้รับการตรวจสุขภาพ 2. ตัวแปรตาม ได้แก่ ความรู้ทัศนคติและพฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัส อาหาร มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ เกี่ยวกับองค์ประกอบในการจัดสุขาภิบาลอาหาร 5 ด้าน ดังต่อไปนี้ 2.1 ด้านการจัดการสถานที่ 2.2 ด้านการจัดการอาหาร 2.3 ด้านภาชนะอุปกรณ์ 2.4 ด้านสุขวิทยาส่วนบุคคล 2.5 ด้านการจัดการของเสีย และการควบคุมแมลงและสัตว์น าโรค ระยะเวลำ ใช้เวลาในการจัดเก็บข้อมูล 4 เดือน (เดือนพฤศจิกายน 2557-เดือนมกราคม 2558) นิยำมศัพท์เฉพำะ การอบรม หมายถึง กระบวนการการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบเพื่อสร้างหรือเพิ่ม ความรู้ ทักษะ และทัศนคติ ที่จะปรับปรุงให้เกิดพฤติกรรมการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ความรู้ด้านสุขาภิบาลอาหาร หมายถึง ความรู้ด้านการสุขาภิบาลอาหาร นับตั้งแต่ อันตรายจากสารตกค้างและความปลอดภัยของอาหาร การเลือกซื้อวัตถุดิบ สถานที่ปรุง จ าหน่ายอาหาร การเตรียมประกอบอาหาร การเสิร์ฟ การล้างภาชนะ และการควบคุมก าจัดแมลง และสัตว์น าโรค ทัศนคติด้านสุขาภิบาลอาหาร หมายถึง ความคิดเห็น ความเข้าใจที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ซึ่งส่งผลให้แสดงพฤติกรรมต่อสุขาภิบาลอาหาร
6 พฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหาร หมายถึง การกระท า การแสดงอาการถึงความรู้สึก ความคิดที่เกี่ยวกับการเลือกซื้อวัตถุดิบ สถานที่ปรุงจ าหน่ายอาหาร การเตรียมประกอบอาหาร การเสิร์ฟ การล้างภาชนะ และการควบคุมก าจัดแมลงและสัตว์น าโรค ผู้สัมผัสอาหาร หมายถึง ผู้ปรุงอาหาร ผู้ประกอบอาหาร ผู้จ าหน่ายและเสิร์ฟอาหาร รวมทั้งผู้ท าความสะอาดภาชนะอุปกรณ์ และผู้ประกอบการร้านค้า ที่ปฏิบัติงานในร้านอาหารภายใน มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ร้านอาหาร หมายถึง ร้านอาหารในโรงอาหาร ซึ่งรู้จักกันในนามยูเนี่ยน (UNION) ร้านอาหารบริเวณพื้นที่ส่วนกลางหลังตึกพรรณราย และร้านอาหารบริเวณพื้นที่ส่วนกลางหน้า คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ สถานที่ที่มีการเตรียม ปรุง ประกอบ และจ าหน่าย อาหารให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง ภายในมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ สุขาภิบาลอาหาร หมายถึง การบริหารจัดการและควบคุมสิ่งแวดล้อม รวมทั้งบุคลากร ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมอาหาร เพื่อท าให้อาหารสะอาด ปลอดภัยปราศจากเชื้อโรค สุขวิทยาส่วนบุคคล หมายถึง การดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เป็นโรคและปฏิบัติตน ให้อยู่ในสภาวะที่ปลอดภัย หลักสูตรการสุขาภิบาลอาหารของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ หมายถึง หลักสูตร ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ได้ก าหนดขึ้นเพื่อให้ความรู้เรื่องการสุขาภิบาลอาหารแก่ผู้สัมผัส อาหารจ าหน่ายอาหารภายในมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ตามข้อก าหนดด้านสุขาภิบาลอาหาร ส าหรับร้านอาหาร และข้อก าหนดและบทลงโทษ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ
7 บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง การวิจัย เรื่อง การศึกษาความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัส อาหารที่ได้รับการอบรมสุขาภิบาลอาหารของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ผู้วิจัยได้ศึกษา แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเด็นต่าง ๆ ตามล าดับดังนี้ ตอนที่ 1 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความรู้ ตอนที่ 2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับทัศนคติ ตอนที่ 3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรม ตอนที่ 4 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการฝึกอบรม ตอนที่ 5 แนวคิดและความรู้เกี่ยวกับสุขาภิบาลอาหาร ตอนที่ 6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตอนที่ 1 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความรู้ 1. ความหมายของความรู้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2556 : 243) ความรู้ หมายถึง สิ่งที่สั่งสมมาจาก การศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า หรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ ประภาเพ็ญ สุวรรณ (2526 : 16) กล่าวว่า “ความรู้” เป็นพฤติกรรมขั้นต้นที่ผู้เรียน เพียงแต่จ าได้ โดยการนึกได้ หรือโดยการมองเห็น หรือได้ยิน จ าได้ ความรู้ขั้นนี้ได้แก่ ความรู้ เกี่ยวกับค าจ ากัดความ ความหมายข้อเท็จจริงทฤษฎีรูปแบบกฎโครงสร้าง และวิธีการแก้ปัญหา เหล่านี้ วิชัย วงษ์ใหญ่ (2523 : 130) กล่าวว่า “ความรู้” เป็นพฤติกรรมเบื้องต้นที่ผู้เรียน สามารถจดจ าได้หรือระลึกได้โดยการมองเห็นได้ยินความรู้ในที่นี้คือข้อเท็จจริงกฎเกณฑ์ค าจ ากัดความ เป็นต้น ภัทภิกา ต่างใจเย็น (2551 : 25) ความรู้ หมายถึงการรู้ในข้อเท็จจริงทฤษฎีเหตุการณ์ หรือสิ่งต่างๆที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าสังเกตประสบการณ์ต้องอาศัยระยะเวลาสามารถที่จะวัดระดับ ความรู้ได้ โดยสรุปความรู้หมายถึง สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้า การสังเกต รวมทั้งประสบการณ์ ความสามารถเชิงปฏิบัติและทักษะ หรือจากสื่อต่าง ๆ ประกอบกัน การเรียนรู้ หมายถึง เข้าใจความหมายของสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยประสบการณ์ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. 2556 : 243) กู๊ด (Good) กล่าวว่า การเรียนรู้ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือการเปลี่ยนแปลง ในการตอบสนอง (สุชา จันทน์เอม และสุรางค์ จันทน์เอม. ม.ป.พ. : 1)
8 ความหมายของการเรียนรู้ ได้มีนักวิชาการให้ความหมายไว้ดังนี้ คือ ครอนบาค (Cronbach, 1954) ได้ให้ความหมายการเรียนรู้ว่า การเรียนรู้เป็นการแสดง ให้เห็นถึงพฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลได้รับมา ฮิลการ์ด (Hilgard, 1965) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้ว่า การเรียนรู้เป็นการ เปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากสภาพเดิม มาลินี จุฑะรพ (2541 : 55) การเรียนรู้เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมอันเนื่องมาจากประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลได้รับมา ผลของการเรียนรู้จะก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใน 3 ด้าน คือ 1. ความรู้ (Knowledge) เช่น ความคิด ความเข้าใจ และความจ าในเนื้อหาสาระต่าง ๆ เป็นต้น 2. ทักษะ (Skill) เช่น การพูด การกระท า และการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เป็นต้น 3. ความรู้สึก (Affective) เช่น เจตคติ จริยธรรม และค่านิยม เป็นต้น พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา (2542 : 79-81) การเรียนรู้ (learning) หมายถึง กระบวนการ ของการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมอันเนื่องมาจากประสบการณ์ หรือมาจากการฝึกหัด ซึ่งพฤติกรรม ที่เปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร และเป็นผลมาจากการฝึกหัดเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่มีผลมาจากการใช้ยา หรือสิ่งเสพติดหรือวุฒิภาวะ (Maturity) เราไม่ถือว่าเป็น การเรียนรู้ การเรียนรู้ของคนเรา Thomas E Clayton มีความเห็นว่าแบบการเรียนรู้ของคนเรานั้น ขึ้นอยู่กับตัวแปร (Variables) 3 ประการ คือ 1. สิ่งเร้า (Stimulus-S) ส าหรับสิ่งเร้าที่จะมาเร้าให้คนเราเกิดการเรียนรู้นั้น ถ้าจะให้ สิ่งเร้านั้นมีความหมายและให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี ก็ควรจะให้สิ่งเร้าได้ผ่านอวัยวะของผู้เรียนหลาย ๆ ทางด้วยกัน เช่น ผ่านทางตาสามารถมองเห็นได้ ผ่านทางหูสามารถได้ยิน ผ่านทางจมูกสามารถดม และได้กลิ่น ผ่านมาทางผิวกายซึ่งสามารถสัมผัสได้ 2. อินทรีย์(Organism-O) กระบวนการเรียนรู้จะได้ผลสมบูรณ์ เมื่ออินทรีย์อยู่ในสภาพ พร้อมที่จะเรียนรู้และรับรู้ ทั้งทางด้านการรับรู้ รับฟัง แรงจูงใจ ทัศนคติ ทักษะ สติปัญญา ความรู้ ประสบการณ์เดิม 3. การตอบสนอง (Response-R) การเรียนรู้ย่อมขึ้นอยู่กับผู้เรียนว่าจะกระท ากิจกรรม นั้นได้อย่างไร จะตอบสนองออกมาในลักษณะใดการตอบสนองที่เป็นพฤติกรรมนั้น เราสามารถวัดผล ได้ และสามารถน าไปเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นได้ ครอนบาค (Cronbach, 1954) ได้กล่าวถึงสภาพการณ์ที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ 7 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 สถานการณ์(Situation) หมายถึง สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ผู้เรียนต้องเผชิญ ขั้นที่ 2 ลักษณะประจ าตัวบุคคล (Presonal Characteristics) เป็นคุณสมบัติประจ าตัว ผู้เรียนที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็วขึ้น คุณสมบัติเหล่านี้ได้แก่ ความสามารถทางสมอง ทัศนคติ ความสนใจและความพร้อม เป็นต้น ขั้นที่ 3 เป้าหมาย (Goal) คือ สิ่งที่ผู้เรียนคาดหวังว่าจะได้รับจากการเรียนรู้นั้น ๆ
9 ขั้นที่ 4 การแปลความหมาย (Interpretation) คือ การที่ผู้เรียนเพ่งเล็งความสนใจไป ยังสถานการณ์ที่แวดล้อมอยู่ พิจารณาเกี่ยวโยงไปยังประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้วเลือกวิธีการ ตอบสนองที่คาดว่าจะให้ผลสมตามเป้าหมายที่วางไว้ ชั้นที่ 5 การกระท า (Action) จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ผู้เรียนได้แปลความหมายของ สถานการณ์ที่เผชิญอยู่แล้ว ผู้เรียนจะเลือกกระท าสิ่งที่คาดว่าจะน าไปสู่เป้าหมายที่สร้างความพอใจ ขั้นที่ 6 ผลการปฏิบัติ (Consequence) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากการกระท า ถ้าผล ของพฤติกรรมเป็นที่น่าพอใจ และบรรลุเป้าหมายที่มุ่งหวัง ผู้เรียนก็น าพฤติกรรมนั้นไปใช้ใน สถานการณ์ใหม่ที่มีความคล้ายคลึงกัน ขั้นที่ 7 ปฏิกิริยาต่อความล้มเหลว (Recation to Thwarting) เมื่อผู้เรียนประสบความ ล้มเหลวในการแสวงหาความพอใจในการมุ่งทิศทางไปสู่เป้าหมาย ผู้เรียนก็จะเริ่มแปลความหมาย สถานการณ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทดลองแสวงหาพฤติกรรมเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และเกิดความพอใจใน ที่สุด มาลินี จุฑะรพ (2541 : 55-7) ได้กล่าวการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง และสัมพันธ์กัน กระบวนการเรียนรู้ที่ส าคัญได้แก่ 1. กระบวนการเรียนรู้ตามแนวคิดของกาเย่ โรเบิร์ตเอ็ม (Robert M. Gagne) ได้กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ไว้ 8 ขั้นตอน คือ 1.1 การจูงใจ (Motivation Phase) ก่อนการเรียนรู้จะต้องมีการจูงใจให้ผู้เรียน อยากรู้อยากเห็น และมีส่วนร่วมในกิจกรรมซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้ด าเนินไปด้วยดี 1.2 ความเข้าใจ (Apprehending Phase) ในการเรียนรู้ผู้เรียนจะต้องเข้าใจใน บทเรียนจึงจะช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ 1.3 การได้รับ (Acquistion Phase) เมื่อผู้เรียนเกิดความเข้าใจในบทเรียน จะก่อให้เกิดการได้รับความรู้เพื่อเก็บไว้หรือจดจ าบทเรียนไว้ต่อไป 1.4 การเก็บไว้ (Retention Phase) หลังจากที่ผู้เรียนได้รับความรู้ก็จะเก็บความรู้ เหล่านั้นไว้ตามสมถรรนะภาพการจ าของบุคคล 1.5 การระลึกได้ (Recall Phase) เมื่อผู้เรียนเก็บความรู้ไว้ก็จะถูกน ามาใช้ในโอกาส ต่าง ๆ เท่าที่จะระลึกได้ 1.6 ความคล้ายคลึง (Generalization Phase) ผู้เรียนจะน าสิ่งที่ได้ไปใช้ และเมื่อ พบกับสถานการณ์หรือสิ่งเร้าที่คล้ายคลึงกันจะน าความรู้ดังกล่าวไปสัมพันธ์กับการเรียนรู้ในความรู้ ใหม่ที่คล้ายคลึงกัน 1.7 ความสามารถในการปฏิบัติ (Performance Phase) หลังจากที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว ผู้เรียนต้องน าความรู้ที่เรียนรู้ไปแล้วนั้นไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง 1.8 การป้อนกลับ (Feedback Phase) เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ ว่าผู้เรียน เรียนรู้ได้ถูกต้องเพียงใด สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบทเรียนหรือไม่ จะได้น าข้อมูลไปปรับปรุงและ พัฒนากระบวนการเรียนรู้ต่อไป 2. กระบวนการเรียนรู้ตามแนวคิดของบรูเนอร์ เจอโรม (Jerome Bruner) ได้กล่าวถึง กระบวนการเรียนรู้ว่าประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
10 2.1 การรับความรู้ (Acquisition) เป็นขั้นของการรับความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้จากการ เรียนรู้ 2.2 การแปลงรูปของความรู้ (Transformation) เป็นขั้นของการแปลงรูปความรู้ที่ ได้รับมาให้สัมพันธ์กับประสบการณ์เดิม หรือเหตุการณ์ปัจจุบัน 2.3 การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นตอนของการประเมินผลว่าสิ่งที่ได้รับมา เป็นความรู้ใหม่ เมื่อผ่านขั้นการแปลงรูปของความรู้แล้วว่าดีหรือไม่ หรือท าให้เกิดการเรียนรู้ ที่ก้าวหน้าขึ้นเพียงใด 3. กระบวนการเรียนรู้ตามแนวคิดของบลูม เบนจามิน เอส (Benjamin S. Bloom) ได้กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ ว่ามี 6 ขั้น ดังนี้ 3.1 ความรู้ (Knowledge) หลังจากที่บุคคลได้เรียนรู้ไปแล้วจะเกิดเป็นความรู้ติดตัว ผู้เรียน โดยวัดได้จากการจ าได้หรือท่องจ าได้ เป็นต้น 3.2 ความเข้าใจ (Comprehension) ต่อจากขั้นที่ 1 บุคคลจะแปลความหมาย หรืออธิบายสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้วในขั้นที่ 1 เกิดเป็นความเข้าใจขึ้น 3.3 การน าไปใช้ (Application) เมื่อบุคคลได้เรียนรู้มีความรู้ความเข้าใจแล้ว จะสามารถน าความรู้และความเข้าใจไปใช้ได้ เช่น เรียนรู้หาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม ใช้สูตรด้านกว้างคูณ ด้านยาว ผู้เรียนสามารถอธิบายได้ ต่อจากนั้นผู้เรียนสามารถน าไปค านวณหาพื้นที่ของห้องเรียนได้ เป็นต้น 3.4 การวิเคราะห์ (Analysis) เมื่อบุคคลได้เรียนรู้ถึงขั้นที่ 3 แล้ว บุคคลจะมี ความสามารถในการวิเคราะห์ถึงที่มาของสูตร การค านวณหาพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม ว่ามาจากผลรวม ของพื้นที่ของหน่วยย่อย ๆ เป็นต้น 3.5 การสังเคราะห์ (Synthesis) เมื่อบุคคลได้เรียนรู้ถึงขั้นที่ 4 แล้ว บุคคลจะมี ความสามารถในการสังเคราะห์หรือสร้างสูตรขึ้นมาใหม่ เช่น การน าผลรวมของพื้นที่ของหน่วยย่อย ๆ มารวมกัน จะได้เป็นพื้นที่ของสี่เหลี่ยมใหญ่ จึงได้สูตรว่า พื้นที่สี่เหลี่ยมเป็นผลคูณของด้านกว้างและ ด้านยาว เป็นต้น 3.6 การประเมินผล (Evaluation) เมื่อบุคคลได้เรียนรู้ถึงขั้นที่ 5 แล้ว บุคคลจะมี ความสามารถในการตัดสินหรือตีค่า หรือประเมินค่าของสิ่งที่พบเห็น ว่าถูกต้องและดีงามหรือไม่ เป็นต้น 4. กระบวนการเรียนรู้ตามแนวคิดของครอนบาค (Cronbach, 1954) มีขั้นตอน ดังนี้ 4.1 ความมุ่งหมาย (Goal) หมายถึง สิ่งที่ผู้เรียนควรจะได้รับจากการเรียนรู้ 4.2 ความพร้อม (Readiness) หมายถึง วุฒิภาวะ อารมณ์ และความสามารถใน การเรียนรู้ 4.3 สถานการณ์ (Situation) หมายถึง ตัวครู บทเรียน วิธีสอน สื่อการสอน กิจกรรม บรรยากาศในการเรียนการสอน และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 4.4 การแปลความหมาย (Interpretation) หมายถึง การพิจารณาและตีความหมาย ในสิ่งเร้าและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง
11 4.5 การตอบสนอง (Response) หมายถึง การลงมือแสดงพฤติกรรม โดยมี ปฏิสัมพันธ์ต่อสิ่งเร้าและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง 4.6 ผลต่อเนื่อง (Consequence) หมายถึง ผลที่เกิดจากการตอบสนองว่า สอดคล้องกับความมุ่งหมายหรือไม่ ถ้าสอดคล้อง ถือว่ามีการเรียนรู้เกิดขึ้นแล้วถ้ายังไม่สอดคล้อง แสดงว่ายังไม่มีการเรียนรู้เกิดขึ้น 4.7 ปฏิกิริยาต่อการขัดขวาง (Reaction to Thwarting) หมายถึง การพบกับความ ผิดหวัง จึงต้องไปตั้งต้นในขั้นที่หนึ่งใหม่ 2. ทฤษฎีการเรียนรู้ พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา (2542 : 84-87) กล่าวว่าโดยปกติมนุษย์เราไม่เพียงแต่ต้องการ จะเรียนรู้เรื่องราวต่างๆเท่านั้นแต่ยังปรารถนาที่จะรู้ว่าคนเรานั้นมีวิธีการเรียนกันอย่างไรอีกด้วย ทฤษฎีการเรียนรู้จัดเป็นวิชาแขนงหนึ่งของทฤษฎีจิตวิทยาที่จะอธิบายให้เห็นพฤติกรรมของมนุษย์นั้น เปลี่ยนแปลงได้อย่างไรนักจิตวิทยาเกี่ยวกับการเรียนการสอนได้แบ่งทฤษฎีการเรียนรู้ออกเป็น 2 กลุ่ม 1. กลุ่มที่มองเห็นว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นเนื่องจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า และปฏิกิริยาตอบสนอง (Stimulus–Response Association) 2. กลุ่มที่เน้นความส าคัญของกระบวนการคิด (Cognitive Field Theory) กลุ่มที่มองเห็นว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นเนื่องจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและปฏิกิริยา ตอบสนอง (Stimulus–Response Association)นักจิตวิทยาการศึกษากลุ่มนี้เช่น Chafe, Watson, Pavlov, Thorndike, Skinner ซึ่งทฤษฎีของนักจิตวิทยากลุ่มนี้มีหลายทฤษฎีเช่นทฤษฎีการวาง เงื่อนไข (Conditioning Theory)ทฤษฎีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง (Connectionism Theory) ทฤษฎี การเสริมแรง (Stimulus–Response Theory) ทฤษฎีการวางเงื่อนไข (Conditioning Theory) เจ้าของทฤษฎีคือ พาฟลอฟ (Ivan P.Pavlov) กล่าวไว้ว่า ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งของร่างกายของคนไม่ได้มาจากสิ่งเร้า อย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว สิ่งเร้านั้นก็อาจจะท าให้เกิดการตอบสนองเช่นนั้นได้ถ้าหากมี การวางเงื่อนไขที่ถูกต้องเหมาะสม ทฤษฎีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง (Connectionism Theory) เจ้าของทฤษฎีคือ ธอร์นไดค์ (Edward L. Thorndike) ซึ่งกล่าวไว้ว่าสิ่งเร้าหนึ่ง ๆ ย่อมท าให้เกิดการตอบสนองหลาย ๆ อย่าง จนพบสิ่งที่ตอบสนองที่ดีที่สุดเขาได้ค้นพบกฎการเรียนรู้ที่ส าคัญ 3 กฎ เรียกว่ากฎการเรียนรู้ที่ส าคัญ ของธอร์นไดค์(Thorndike,s Major Laws of Leaning) 1. กฎแห่งความพึงพอใจหรือกฎแห่งผล (Law of Effect) ธอร์นไดค์ ได้สรุปว่า อินทรีย์จะท าให้สิ่งที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ และจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ท าให้เขาไม่พึงพอใจ ธอร์นไดค์ได้ เน้นถึงการใช้เทคนิคที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับผู้เรียน เช่น การชม การให้รางวัล เป็นต้น 2. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อ ผู้เรียนอยู่ในสภาพพร้อมที่จะเรียนหรือพร้อมที่จะท ากิจกรรม ความพร้อมในที่นี้รวมถึงความพร้อม ทางด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ ส าหรับความพร้อมในการเรียนรู้พอสรุปได้ดังนี้ 2.1 คนเราเมื่อพร้อมที่จะท าอะไรแล้ว ลงมือท าจึงจะเกิดผลดี 2.2 คนราเมื่อพร้อมที่จะท าอะไร แต่ไม่ได้ท าจะเกิดความร าคาญใจ
12 2.3 คนเราเมื่อไม่พร้อมจะท าอะไร แต่ถูกบังคับให้ท าจะเกิดความไม่พอใจ 3. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่ออินทรีย์ได้รับการ ฝึกฝนบ่อยครั้ง 3.1 กฎแห่งการใช้(Law of Used) พฤติกรรมใดที่อินทรีย์กระท าอยู่เสมอ ๆ หรือมี การฝึกฝนเป็นประจ า ไม่ได้ทิ้งช่วงไว้นาน อินทรีย์ย่อมจะเกิดทักษะ และกระท าพฤติกรรมนั้นได้ดี 3.2 กฎแห่งการไม่ใช้(Law of Disused) พฤติกรรมใดก็ตามที่อินทรีย์ทิ้งช่วงไว้นาน อินทรีย์ย่อมจะเกิดการลืม หรือกระท าพฤติกรรมนั้นไม่ได้ดี ธอร์นไดค์ (Thorndike) มีความเชื่อว่าการเรียนรู้จะได้ผลต้องอาศัยการได้ฝึกหรือท าซ้ า เสมอการฝึกฝนจะท าให้พันธะ (Bond) ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองคลายความมั่นคงจนในที่สุด จะหมดไปท าให้การเรียนรู้ไม่เกิดขึ้นแต่อย่างไรก็ตามการฝึกฝนบ่อย ๆ นี้ผู้เรียนจะต้องมีความตั้งใจ ความสนใจความพร้อมและเป้าหมายเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนมิฉะนั้นการเรียนรู้จะไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากกฎที่ส าคัญ 3 ข้อ ธอร์นไดค์ ยังได้กล่าวถึงกฎย่อยอีก 5 ข้อดังนี้ 1. กฎแห่งการตอบสนองหลายแบบ (Law of Multiple Responses) เมื่ออินทรีย์ เผชิญกับปัญหาจะมีพฤติกรรมตอบสนองหลาย ๆ รูปแบบแล้ว ในที่สุดจะเลือกตอบสนองแบบเดียวที่ จะน าไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างนั้นอย่างเป็นที่พอใจ 2. กฎแห่งทัศนคติและความเชื่อ (Law of Attitude Set or Disposition) อินทรีย์จะ สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ก็ต่อเมื่อได้ก าหนดจุดมุ่งหมาย หรือต้องมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งนั้น จึงจะท า ให้การแก้ปัญหาประสบความส าเร็จ เพราะเจตคติจะเป็นตัวก าหนดแนวทางในการเรียนรู้ และจะ เป็นเครื่องตัดสินใจว่าอะไรคือความพอใจ หรืออะไรคือความไม่พอใจ 3. กฎการเลือกตอบสนอง (Law of Partial Activity) การเรียนรู้ของอินทรีย์จะเกิด จากการลองผิดลองถูกของมนุษย์ ก็จะอาศัยความคิดและสติปัญญามากกว่าสัตว์ ซึ่งคนเราจะเลือก วิธีการแก้ปัญหาตามที่ตนคิดว่าจะแก้ไขได้ดีก่อน และถ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ จึงจะเลือก ตอบสนองด้วยวิธีอื่นต่อไป 4. กฎแห่งความคล้ายคลึงและเปรียบเทียบ (Law of Assimilation of Analogy) สถานการณ์หรือเรื่องราวบางส่วนที่คล้ายคลึงกันย่อมเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น โดยอาศัยแนวทางเดิมที่เคยใช้ ได้ผลมาก่อน เพราะโดยปกติเมื่อคนเราเผชิญกับปัญหาก็มักจะน าวิธีการแก้ไขปัญหาที่ประสบ ความส าเร็จในครั้งก่อน ๆ มาวิเคราะห์เปรียบเทียบ เพื่อประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหาที่พบต่อไป 5. กฎแห่งการถ่ายโยง (Law of Association Shifting) การเรียนรู้อย่างหนึ่งสามารถ ถ่ายโยงไปสู่การเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ ถ้าการเรียนรู้ใหม่มีความสัมพันธ์กับความรู้เดิม เพราะคนเราจะ เรียนรู้ได้สะดวกและรวดเร็วถ้าเรื่องราวหรือสถานการณ์นั้นสัมพันธ์กับสิ่งที่คุ้นเคยมา 3. การวัดความรู้ การวัดความรู้ วีระวัฒน์ ภูกันดาน (2553 : 10-11, อ้างจาก บุญธรรม กิจปรีดา บริสุทธิ์ 2551 : 284-285) ได้แบ่งแบบทดสอบความรู้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. แบบทดสอบวัดความเรียง (Essay Test) เป็นแบบที่ก าหนดค าถามให้และผู้ตอบจอ ต้องเรียบเรียงค าตอบเอง ผู้ตอบจะต้องเรียบเรียงความรู้ ความเข้าใจ และความคิดเห็นแล้วเขียน
13 ค าตอบเองตามที่ถนัด ในการวิจัยไม่นิยมใช้เนื่องจากใช้เวลามาก เว้นแต่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ หรือ ส ารวจเบื้องต้น 2. แบบทดสอบแบบตอบสั้น (Short Answer Test) เป็นแบบที่ก าหนดค าถามให้และ ก าหนดให้ตอบสั้น ๆ ผู้ตอบต้องหาค าตอบเองเหมือนกับความเรียง แบ่งเป็น 3 ชนิด 2.1 แบบข้อค าถามสมบูรณ์ (Completion) รูปแบบการถามจะใช้ประโยคที่มี เนื้อหาสมบูรณ์แต่ให้ตอบสั้น ๆ เพียงค าเดียวหรือวลีเดียว 2.2 แบบข้อความไม่สมบรูณ์ (Incompletion) รูปแบบค าถามใช้ประโยคไม่สมบูรณ์ และเว้นช่องให้เติมค าหรือวลีจะท าให้ประโยคสมบูรณ์ 2.3 แบบเติมค าที่มีความสัมพันธ์ รูปแบบนี้จะตั้งค าถามด้วยประโยคหลักแล้วตาม ด้วยค าหรือข้อความย่อย ๆ เว้นไว้ให้ผู้ตอบที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับค าหรือข้อความย่อยที่ก าหนดไว้ 3. แบบทดสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Items) เป็นแบบที่ก าหนดให้ ทั้งค าถามและค าตอบ ผู้ตอบจะต้องเลือกตอบตามค าตอบที่ก าหนด นิยมใช้ในการรวบรวมข้อมูล ส าหรับการวิจัยเนื่องจาก ใช้เวลาในการตอบน้อย การตรวจและการวิเคราะห์ท าได้ง่ายและสะดวก มีหลายรูปแบบ ได้แก่ 3.1 แบบสองตัวเลือก มีลักษณะเป็นแบบถูกผิดเป็นหลัก ใช้ถามข้อเท็จจริง และวัดความรู้ในระดับความจ า ในการสร้างค าตอบจะต้องถูกหรือจริง ส่วนข้อค าถามต้องชัดเจน ไม่มีประโยคปฏิเสธ ให้ใช้ประโยคสั้น มีเนื้อความเดียว เว้นแต่ค าถามในลักษณะเหตุผล แบบนี้นิยม ใช้ในการสัมภาษณ์ หรือใช้ส่งให้ประชาชนที่มีระดับการศึกษาน้อยตอบ 3.2 แบบหลายตัวเลือก เป็นแบบที่ก าหนดค าตอบให้มากกว่า 2 ค าตอบ ซึ่งมีตั้งแต่ 3-5 ค าตอบ โดยทั่วไปนิยม 4 ค าตอบ ผู้ตอบเลือกค าตอบได้เพียงค าตอบเดียว ในการสร้างข้อค าถามต้องชัดเจน มีเนื้อความเดียว แต่ละข้อค าถามเป็นอิสระกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการ แนะค าตอบในข้ออื่น ค าถามไม่ควรใช้ประโยคปฏิเสธ ควรใช้ประโยคบอกเล่าที่สมบูรณ์ ส่วนค าตอบที่ก าหนดนั้น ค าตอบทั้งหมดในข้อเดียวกันต้องเป็นเรื่องเดียวกัน มีโอกาสถูกพอ ๆ กัน สั้นยาวพอ ๆ กัน และจะต้องเป็นอิสระกัน อย่างให้ถูกผิดทับซ้อนกันจะท าให้ตอบล าบาก ตอนที่ 2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับทัศนคติ 1. ความหมายของทัศนคติ ทัศนคติเป็นความเชื่อและความรู้เชิงประมาณค่าของบุคคลที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ซึ่งผ่านเข้า มาในประสบการณ์ของบุคคล ความรู้เชิงประมาณค่านี้เป็นได้จากทางด้านบวกกับลบ ท าให้บุคคล พร้อมที่จะแสดงออกตอบโต้ต่อส่งต่าง ๆ ดังนั้น จึงมีผู้ท าการศึกษาและให้ความหมายของทัศนคติไว้ มากมายซึ่งแตกต่างกันไป ดังนี้ ทัศนคติหมายถึง แนวความคิดเห็น (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2556 : 562) ทัศนคติ เป็นสิ่งที่เรียนรู้ ประกอบด้วยส่วนที่เป็นความรู้คิดหรือสติปัญญา ความรู้สึก และพฤติกรรมที่แสดงออก (สุรางค์ โค้วตระกูล 2556 : 302; อ้างจาก Triandis, 1971) ทัศนคติ (Attitude) เป็นลักษณะของแนวโน้มตามปกติของตัวบุคคลในการที่จะชอบ หรือเกลียดสิ่งของ บุคคล และปรากฏการณ์ต่าง ๆ (ธงชัย สันติวงษ์ 2546 : 167)
14 ทัศนคติ คือความโน้มเอียงที่เกิดจากการเรียนรู้ที่น าไปสู่พฤติกรรมที่ตรงกับวิถีทางที่ ชอบหรือไม่ชอบของสิ่งใด ๆ ที่บุคคลได้รับ (ศุภร เสรีรัตน์ 2544 : 171; อ้างจาก Schiffman and Kanuk. 1991 : 227) ทัศนคติ (Attitude) หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลต่าง ๆ อันเป็นผลเนื่องมาจากการ เรียนรู้ ประสบการณ์ และเป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมต่อสิ่งต่าง ๆ ไปในทิศทางใด ทิศทางหนึ่งซึ่งอาจเป็นไปในทางสนับสนุนหรือทางต่อต้านก็ได้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์ 2540 : 106) ออลพอร์ต (Allport) ได้ให้นิยามของทัศนคติไว้ว่า ทัศนคติ คือสภาวะทางจิตใจ ซึ่งแสดงถึงความพร้อมที่จะตอบสนองต่อการกระตุ้น ก่อตัวขึ้นมาโดยประสบการณ์และส่งอิทธิพลให้มี การเปลี่ยนแปลงหรือชี้แนะต่อพฤติกรรม (อดุลย์ จาตุรงคกุล 2534 : 167) ทัศนคติ เกี่ยวกับความรู้สึก อารมณ์ หรือความมากน้อยของการยอมรับหรือปฏิเสธ ขั้นตอนของการพัฒนาทัศนคติประกอบด้วย การรับฟัง การมีปฏิกิริยาโต้ตอบ การตีค่าหรือให้ค่า ของสิ่งนั้น (ประภาเพ็ญ สุวรรณ 2522 : 11) จากความหมายของทัศนคติดังกล่าว สรุปได้ว่า ทัศนคติ (Attitude) เป็นความรู้สึกนึก คิด หรือสภาพจิตใจ หรือความคิดเห็นและกริยาท่าทางการแสดงออกต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งที่เป็น รูปธรรมและนามธรรมในเชิงประมาณค่าว่ามีคุณหรือโทษ ที่อาจแสดงออกในรูปของความพึงพอใจ หรือไม่พึงพอใจ และมีผลท าให้บุคคลนั้นพร้อมที่ตอบสนองหรือแสดงความรู้สึกโดยการสนับสนุนหรือ ต่อต้านสิ่งเหล่านั้น ในลักษณะความชอบหรือไม่ชอบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ยอมรับหรือไม่ยอมรับ ต่อบุคคล สถานที่ สิ่งของ หรือเหตุการณ์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง สร้างขึ้นจากประสบการณ์ในอดีตและปัจจุบัน ของบุคคลหนึ่ง ๆ สามารถตรวจวัดและเปลี่ยนแปลงได้ ส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรมของบุคคล 2. ประเภทของทัศนคติ การศึกษาประเภทของทัศนคติ ศุภร เสรีรัตน์ (2544 : 173-175, อ้างจาก Walters. 1978 : 261) ได้แบ่งประเภทของทัศนคติไว้ 5 ประเภท ได้แก่ 1. ความเชื่อ (Beliefs) คือความโอนเอียงที่ท าให้ต้องยอมรับ เพราะเป็นข้อเท็จจริง และเป็นสิ่งที่มีการสนับสนุนโดยความเป็นจริง เป็นสิ่งที่มีเหตุผลที่ถาวรแต่อาจจะมีหรือไม่มี ความส าคัญก็ได้ 2. ความคิดเห็น (Opinions) คือ ความโน้มเอียงที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความ แน่นอน ความคิดเห็นมักจะเกี่ยวข้องกับค าถามในปัจจุบันและง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง 3. ความรู้สึก (Feelings) คือ ความโน้มเอียงซึ่งมีพื้นฐานมาจากอารมณ์โดยธรรมชาติ 4. ความโอนเอียง (Incilnation) คือ รูปแบบบางส่วนของทัศนคติเมื่อผู้บริโภค อยู่ในสภาวะที่ตัดสินใจไม่ได้ 5. ความมีอคติ (Bias) คือ ความเชื่อทางจิตใจที่ท าให้เกิดอคติหรือความเสียหายใน ทางตรงข้ามกับข้อเท็จจริง
15 3. องค์ประกอบของทัศนคติ ในการศึกษาทัศนคติมีผู้ท าการศึกษาและให้ค าอธิบายถึงองค์ประกอบของทัศนคติ พอที่จะน ามาประกอบการศึกษาพอสังเขปได้ ดังนี้ ประภาเพ็ญ สุวรรณ (2526 : 3-4) แยกองค์ประกอบของทัศนคติเป็น 3 องค์ประกอบ คือ 1. องค์ประกอบทางด้านพุทธิปัญญา (Cognitive Component) ได้แก่ ความคิด ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มนุษย์ใช้ในการคิด ความคิดนี้อาจจะอยู่ในรูปใดรูปหนึ่งแตกต่างกัน 2. องค์ประกอบทางด้านท่าทีความรู้สึก (Affective Component) เป็นส่วนประกอบ ทางด้านอารมณ์ ความรู้สึก ซึ่งเป็นตัวเร้า “ความคิด” อีกต่อหนึ่ง ถ้าบุคคลมีภาวะความรู้สึกที่ดี หรือไม่ดี ขณะที่คิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 3. องค์ประกอบทางด้านการปฏิบัติ (Behavioral Component) เป็นองค์ประกอบที่ มีแนวโน้มในทางปฏิบัติ หรือถ้ามีสิ่งเร้าที่เหมาะสม จะเกิดการปฏิบัติ เจนกินส์ (Jenkins) อดุลย์ จาตุรงคกุล (2534 : 168, อ้างจาก Jenkins : 2550) ได้แบ่งองค์ประกอบของทัศนคติออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ 1. องค์ประกอบเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Element) ประกอบด้วยความ เชื่อต่าง ๆ ซึ่งบุคคลมีอยู่เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เป็นวิถีทางที่เขานึกเห็นภาพพจน์ 2. องค์ประกอบทางด้านความชอบ (Affective Element) ประกอบด้วยความรู้สึก และอารมณ์ที่บุคคลมีต่อสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบวัตถุที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติ 3. องค์ป ระกอบเ กี่ ย ว กับค ว ามตั้งใ จ ก่อพฤติ ก ร รม (Behavioral Element) เป็นแนวโน้มที่จะก่อปฏิกิริยาหรือความตั้งใจก่อพฤติกรรม จากความหมาย ประเภท และองค์ประกอบของทัศนคติ สรุปได้ว่า เป็นความรู้สึกนึก คิด หรือสภาพจิตใจ หรือความคิดเห็น กริยาท่าทางการแสดงออกต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม ซึ่งอาจมีคุณหรือโทษ แสดงออกในรูปของความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจ และมีผลท า ให้บุคคลนั้นพร้อมที่ตอบสนองหรือแสดงความรู้สึกโดยการสนับสนุนหรือต่อต้านสิ่งเหล่านั้น ในลักษณะความชอบหรือไม่ชอบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ยอมรับหรือไม่ยอมรับ ซึ่งประเภทของ ทัศนคติดังกล่าวจะมีปัจจัยที่ส าคัญที่ท าให้เกิดทัศนคติได้ คือ ความเชื่อ ความคิดเห็น ความรู้สึก ความโอนเอียง และความมีอคติ โดยมีองค์ประกอบของทัศนคติ เป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลเกิดทัศนคติ ต่อสิ่งต่าง ๆ แล้วจึงน าไปสู่การตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอารมณ์และความรู้สึก (Affective) ความคิด (Cognitive) หรือพฤติกรรม (Behavioral) ดังนั้น การที่บุคคลมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งที่ตนเอง ปฏิบัติอยู่จะเป็นสิ่งส าคัญที่จะช่วยให้การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความใส่ใจและพร้อมที่จะปฏิบัติตาม ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้น าแนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับทัศนคติมาใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ 4. การวัดทัศนคติ ทัศนคติ เป็นเรื่องของความชอบ ไม่ชอบ ความล าเอียง ความคิดเห็น ความรู้สึก ความเชื่อฝังใจต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด มักเกิดเมื่อมีการประเมินสถานการณ์ เหตุการณ์ บุคคลหรือสิ่งหนึ่ง สิ่งใด และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและสิ่งแวดล้อม ในการวัดทัศนคตินั้น มีผู้ศึกษา หลายท่านได้ท าการศึกษาและได้สรุปไว้ดังนี้
16 ทัศนคติมีองค์ประกอบเดียว คือ อารมณ์ความรู้สึกในทางชอบไม่ชอบ ที่บุคคลมีต่อที่ หมายของทัศนคติ คือ ระดับความรู้สึกในทางบวกหรือลบ แบ่งได้เป็น 3 วิธี คือ 1. การรายงานตนเอง (Self-Reporty Measure) โดยวิธีการให้ผู้ถูกวัดรายงานตนเอง ถึงความรู้สึกว่ามีต่อสิ่งนั้น ๆ นักจิตวิทยาได้สร้างมาตราวัดที่หมายของทัศนคติ เป็นไปในทางบวกและ ทางลบ ดี-ไม่ดี สนับสนุน-คัดค้าน เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย เป็นต้น 2. การสังเกตพฤติกรรม (Observation of Overt Behavior) การสังเกตพฤติกรรม ภายนอกของบุคคล ท าให้เราทราบถึงทัศนคติของบุคคลได้ บุคคลที่มีทัศนคติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเรื่องใด เรื่องหนึ่ง อย่างไรนั้นอาจท าได้โดยการสัมภาษณ์ ในระหว่างที่ผู้ตอบแสดงความคิดเห็น ผู้สัมภาษณ์ ก็ควรสังเกตกิริยาท่าทางของผู้ตอบว่ามีความเต็มใจในการตอบค าถามหรือไม่ กระตือรือร้นหรือ พยายามหลีกเลี่ยง ก็สามารถบอกถึงทัศนคติที่มีต่อเรื่องที่ก าลังพูดคุยกันได้ 3. การวัดปฏิกิริยาของร่างกาย (Physiological Reactions) เนื่องจากเมื่อร่างกายเกิด อารมณ์ที่จะมีปฏิกิริยาของร่างกายที่สามารถวัดได้ เช่น เครื่องวัดตอบสนองผิวหนังหรือการวัดการ เต้นของหัวใจ การบีบตัวของหลอดเลือด การหดและการขยายตัวของม่านตาสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้รู้ถึง ความเข้มของทัศนคติ แต่ไม่สามารถบอกทิศทางของทัศนคติว่าไปในทางบวกหรือลบ ส าหรับการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ผู้ศึกษามีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาทัศนคติ เกี่ยวกับความ คิดเห็น ความรู้สึก ความเชื่อ ในเรื่องการสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหาร ซึ่งจะน าไปสู่ พฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหารปฏิบัติตามข้อก าหนดด้านสุขาภิบาลอาหารส าหรับ ร้านอาหารอันจะส่งผลต่อการป้องกัน ควบคุมโรคระบบทางเดินอาหาร และนักศึกษา คณาจารย์ และบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระที่มาใช้บริการได้รับประทานอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ตอนที่ 3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรม 1. ความหมายของพฤติกรรม ความหมายของพฤติกรรมนั้นมีผู้ได้ให้ความหมายไว้มากมายซึ่งแตกต่างกันไป ดังนี้ พฤติกรรม หมายถึง การกระท าหรืออาการที่แสดงออกทางกล้ามเนื้อ ความคิด และความรู้สึกเพื่อตอบสนองสิ่งเร้า (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2556 : 332) ประภาเพ็ญ สุวรรณ (2526 : 15) พฤติกรรม หมายถึง กิจกรรมทุกประเภทที่มนุษย์ กระท า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสังเกตได้หรือไม่ได้ เช่น การเดิน การพูด การคิด ความรู้สึก ความชอบ ความสนใจ ประเทือง ภูมิภัทราคม (2540, อ้างจาก อรรถพงศ์ เพ็ชรสุวรรณ์, 2552 : 5) ให้ความหมายไว้ว่าพฤติกรรม หมายถึง การกระท าการแสดงออกของบุคคลในสภาวการณ์ใด สภาวการณ์หนึ่งที่สามารถสังเกตได้ได้ยิน และวัดด้วยเครื่องมือที่เป็นปรนัยได้ พันธุ์ทิพย์ รามสูตร (2540 : 141) ให้ความหมายของพฤติกรรม หมายถึง ปฏิกิริยา หรือกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตซึ่งจะสังเกตได้หรือไม่ได้ก็ตาม ถ้าสิ่งมีชีวิตนั้นเป็นคนพฤติกรรมของคนก็ หมายถึงปฏิกิริยาต่าง ๆ ที่บุคคลแสดงออกมาอันมีทั้งพฤติกรรมภายใน (Covert behavior)
17 และพฤติกรรมภายนอก (Overt behavior) ซึ่งในการศึกษาส่วนใหญ่จะสนใจศึกษาพฤติกรรม ภายนอกเช่นเดียวกับการศึกษาพฤติกรรมสุขภาพ จากค าจ ากัดความดังกล่าวผู้วิจัยขอสรุปความหมายพฤติกรรม (Behavior) หมายถึงการ กระท าหรือการตอบสนองของมนุษย์ต่อสถานการณ์หนึ่งสถานการณ์ใด หรือสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ โดยการ กระท านั้นเป็นไปโดยมีจุดมุ่งหมายและเป็นไปอย่างใคร่ครวญมาแล้ว หรืออย่างไม่รู้สึกตัว และไม่ว่า สิ่งมีชีวิตหรือบุคคลอื่นสามารถสังเกตการกระท านั้นได้หรือไม่ก็ตาม พฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior) คือ กิจกรรม หรือการปฏิบัติใด ๆ ของปัจเจก บุคคลที่กระท าไปเพื่อจุดประสงค์ ส่งเสริมป้องกัน หรือบ ารุงรักษาสุขภาพ โดยไม่ค านึงถึงสถานะ สุขภาพที่ด ารงอยู่ หรือรับรู้ได้ไม่ว่าพฤติกรรมนั้น ๆ จะสัมฤทธิ์ผล สมความมุ่งหมายหรือไม่ในที่สุด (กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 2546 : 14-16) พฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Behavior) หมายถึง การกระท าของบุคคลที่ เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเลือก (Select) การซื้อ (Purchase) การใช้ (Use) และการก าจัดส่วนที่ เหลือ (Dispose) ของสินค้าหรือบริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการและความปรารถนาของตน (ชูชัย สมิทธิไกร 2553 : 6) 2. ประเภทของพฤติกรรม ได้มีผู้จ าแนกประเภทของพฤติกรรมไว้ดังนี้ สุชา จันทน์เอม และสุรางค์ จันทน์เอม (2520 : 1, อ้างจาก สุชัยยัณต์ โชติพันธ์, 2552 : 37) ได้แบ่งพฤติกรรมเป็น 2 ชนิด คือ 1. พฤติกรรมที่ติดตัวมาแต่ก าเนิด (Unlearned Behavior) หมายถึง พฤติกรรมที่ อินทรีย์ท าเองโดยไม่มีการเรียนรู้มาก่อน 2. พฤติกรรมที่เป็นผลมาจากการเรียนรู้ (Learned Behavior) หมายถึง พฤติกรรมที่ อินทรีย์ท าขึ้นหลังจากได้มีการเรียนรู้ หรือเลียนแบบจากบุคคลอื่นในสังคม 3. องค์ประกอบของพฤติกรรม ชูชัย สมิทธิไกร (2553 : 9) ได้จ าแนกองค์ประกอบของพฤติกรรมได้ 2 ประเภท คือ 1. พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) คือ การกระท าที่บุคคลอื่นสามารถ สังเกตเห็นได้และวัดได้ และอาจแสดงออกได้ทั้งในรูปแบบวัจนภาษา (Verbal) และแบบอวัจน ภาษา (Nonverbal) เช่น การพูด การหัวเราะ การร้องไห้ การเดิน การซื้อสินค้า 2. พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) คือ การกระท าที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น ความรู้สึก ทัศนคติ ความเชื่อ การรับรู้ การคิด สามารถ วัดพฤติกรรมแบบนี้ได้ด้วยเครื่องมือทางจิตวิทยา เช่น แบบวัด แบบทดสอบ 4. การวัดพฤติกรรม การวัดพฤติกรรมทักษพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นการวัดความสามารถใน การปฏิบัติงาน (Porcedure) เป็นการวัดทักษะและเทคนิคในการปฏิบัติงาน วิธีการแก้ปัญหา ขั้นตอนการท างาน เป็นต้น และการวัดผลงาน (Product) เป็นการวัดผลงานที่ท าเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีเครื่องมือในการวัด (นพรัฐ จ าปาเทศ 2542 : 6, อ้างจาก วรวิทย์ ดีเลิศ, 2548 : 16-17) ดังนี้
18 1. แบบส ารวจรายการ (Checklist) เป็นแบบส ารวจรายการประกอบด้วย รายการที่ แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน กิจกรรมต่าง ๆ หรือพฤติกรรมที่ผู้สังเกตบันทึก เมื่อเห็นว่ารายการนั้น ๆ เกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งไม่ได้ช่วยพิจารณาคุณภาพ หรือจ านวนครั้งของการกระท าที่เกิดขึ้น จึงควร น าไปใช้เฉพาะการเก็บข้อมูลของกระบวนการหรือวิธีการที่ได้แบ่งแยกการกระท า การแสดงหรือการ ปฏิบัติต่าง ๆ ออกอย่างชัดเจน 2. มาตรการจัดอันดับคุณภาพ (Rating Scales) เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินค่าของ สถานการณ์หรือคุณลักษณะต่าง ๆ กัน ได้มากกว่าแบบส ารวจรายการ แบ่งได้ ดังนี้ 2.1 มาตรการจัดอันดับคุณภาพแบบพรรณนา (Descriptive Rating Scales) แบบนี้จะเขียนค าบรรยายบอกเป็นระดับของคุณลักษณะนั้น ๆ ไว้ว่าเป็นอย่างไร ระดับคุณลักษณะ มักเขียนเป็นค าจ านวนคี่ คือ 3, 5 ,7 ระดับ เมื่อเลือกว่าคุณลักษณะของสิ่งนั้นตรงกับระดับใดก็ บันทึกเครื่องหมายลงที่ระดับนั้น 2.2 มาตรการจัดอันดับคุณภาพแบบตัวเลข (Numerical Rating Scales) แบบนี้ ใช้รหัสตัวเลข ส าหรับวัดลักษณะต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล รหัสจัดท าขึ้นแทนค าบรรยาย เช่น ให้ 1 หรือ 0 แทนสิ่งไม่เกิดขึ้นเลย 2 นาน ๆ จึงจะเกิด 3 เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว 4 เกิดขึ้นบ่อย ๆ 5 เกิดขึ้นเป็นประจ า มาตรการจัดอันดับแทนตัวเลขจะมีประโยชน์เมื่อลักษณะต่าง ๆ หรือคุณภาพของ สิ่งที่จะจัดอันดับสามารถแยกแยะขอบเขตจ านวนเป็นขั้น ๆ การวัดพฤติกรรมในการศึกษาครั้งนี้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมด้านสุขาภิบาล อาหารของผู้สัมผัสอาหารที่ได้รับการอบรมด้านสุขาภิบาลอาหารของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ที่การปฏิบัติตามข้อก าหนดร้านจ าหน่ายอาหารเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) มา ตรวจสอบความครบถ้วน แจกแจงความถี่ของแต่ละข้อเพื่อหาค่าร้อยละและน าเสนอข้อมูลในรูปของ ตาราง การแปลความหมายของคะแนนระดับการปฏิบัติ พิจารณาคะแนนที่ได้จาก แบบสอบถามโดยคิดจากคะแนนเฉลี่ย (บุญชม ศรีสะอาด 2535 : 100) คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง การปฏิบัติน้อยที่สุด คะแนนเฉลี่ย 1.51 – 2.50 หมายถึง การปฏิบัติน้อย คะแนนเฉลี่ย 2.51 – 3.50 หมายถึง การปฏิบัติปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถึง การปฏิบัติมาก คะแนนเฉลี่ย 4.51 – 5.00 หมายถึง การปฏิบัติมากที่สุด ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การปฏิบัติ หมายถึง พฤติกรรมของบุคคลที่เกิดจากการตัดสินใจ กระท าสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไปไม่ว่าจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการไตร่ตรองหรือไม่ก็ตาม ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยมีจุดมุ่งหมายที่จะศึกษาพฤติกรรมด้านสุขาภิบาลอาหารของผู้สัมผัสอาหารหลังอบรมมีการ ปฏิบัติตามข้อก าหนดด้านสุขาภิบาลอาหารส าหรับร้านอาหาร และข้อก าหนดและบทลงโทษ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ เพิ่มมากขึ้น
19 ตอนที่ 4 แนวคิดและทฤษฎีการฝึกอบรม 1. ความหมายของการฝึกอบรม การฝึกอบรม (Training) มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ค าจ ากัดความในแง่มุมมองที่ แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้ อุทุมพร จามรมาน (2543 : 2) การฝึกกอบรม คือ กิจกรรมหรือความพยายามที่จะจัด กิจกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงาน เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดการเปลี่ยนแปลง ในทางที่ดีในเรื่องความรู้ ทัศนคติ และทักษะในการท างาน เสาวลักษณ์ สิงหโกวินท์ และกมล อดุลพันธ์ (2536 : 6) การฝึกอบรม หมายถึง กระบวนการที่ได้จัดระบบระเบียบแล้วที่จะช่วยเพิ่มพูนสมรรถภาพในการท างานของผู้ปฏิบัติงาน ทั้งในด้านทัศนคติ (Attitude) พฤติกรรมทั่วไป (General Behavior) ความถนัด (Aptitude) ช านาญ (Skill) ความรู้ (Knowledge) และความสามารถ (Capacity) ของบุคคลเพื่อให้ปฏิบัติงาน ได้ดียิ่งขึ้น ชาญ สวัสดิ์สาลี(2550 : 15) ได้ให้ความหมาย การฝึกอบรม คือ กระบวนการที่เป็น ระบบ ที่จะช่วยเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถและทักษะในการปฏิบัติงาน รวมถึงการเปลี่ยนแปลง ทัศนคติ และพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของบุคคลผู้ปฏิบัติงานให้ดีขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้บุคคลนั้น สามารถปฏิบัติงานที่อยู่ในความรับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นอีก อันจะเป็นประโยชน์ต่อ “งาน” ที่รับผิดชอบในปัจจุบัน และ/หรืองานที่ก าลังจะได้รับมอบหมายให้ ท างานอนาคต โดยตรง ชูชัย สมิทธิไกร (2542 : 5-6) อธิบายไว้ว่า การฝึกอบรม หมายถึงกระบวนการ จัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบเพื่อสร้างหรือเพิ่มพูนความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) และ ความสามารถ (Ability) และเจตคติ(Attitude) อันจะช่วยปรับปรุงให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ สูงขึ้น สมคิด บางโม (2553 : 13) ได้อธิบายว่า การฝึกอบรม (Training) หมายถึง กระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพในการท างานเฉพาะด้านของบุคคลโดยมุ่งเพิ่มพูนความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) และทัศนคติ(Attitude) อันจะน าไปสู่การยกมาตรฐานการท างานให้ สูงขึ้นท าให้บุคคลมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและองค์การบรรลุเป้าหมายที่ก าหนดไว้ดังนั้น การฝึกอบรมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาบุคคล จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การฝึกอบรม หมายถึง กระบวนการ ที่จะท าให้ผู้เข้ารับการอบรมเกิดความรู้ (Knowledge) ความเข้าใจ (Understand) ความช านาญ หรือทักษะ (Skill) รวมทั้งมีทัศนคติ(Attitude) ที่ดีเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนกระทั่งผู้เข้ารับการ ฝึกอบรมเกิดการเรียนรู้ หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมอย่างมี ประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
20 2. วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม การฝึกอบรมเป็นการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถในการท างานเฉพาะอย่าง สามารถ จ าแนกวัตถุประสงค์ในการฝึกอบรมได้ 4 ประการ (สมคิด บางโม 2553 : 14) ดังนี้ 1. เพื่อเพิ่มพูนความรู้ (Knowledge) ให้ความรู้ หลักการ ทฤษฎี แนวคิดในเรื่องที่ อบรม เพื่อน าไปใช้ในการท างาน 2. เพื่อเพิ่มพูนความเข้าใจ (Understand) เป็นลักษณะที่ต่อเนื่องจากความรู้ กล่าวคือ เมื่อรู้ในหลักการและทฤษฎีแล้วสามารถตีความ แปลความ ขยายความ และอธิบายให้คนอื่นทราบได้ รวมทั้งสามารถน าไปประยุกต์ได้ 3. เพื่อเพิ่มพูนทักษะ (Skill) ทักษะ คือความช านาญหรือความคล่องแคล่วในการปฏิบัติ อย่างใดอย่างหนึ่งได้โดยอัตโนมัติ เช่น การใช้เครื่องมือต่าง ๆ การขับรถ การขี่จักรยาน เป็นต้น 4. เพื่อเปลี่ยนแปลงเจตคติ (Attitude) เจตคติหรือทัศนคติ คือความรู้สึกที่ดีหรือไม่ดี ต่อสิ่งต่าง ๆ การฝึกอบรมมุ่งให้เกิดหรือเพิ่มความรู้สึกที่ดีต่อองค์การ ต่อผู้บังคับบัญชา ต่อเพื่อน ร่วมงาน และต่องานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เช่น ความจงรักภักดีต่อบริษัท ความภาคภูมิใจต่อสถาบัน ความสามัคคีในหมู่คณะ ความรักผิดชอบต่องาน ความเอาใจใส่ต่องาน ความกระตือรือร้น เป็นต้น ตารางที่ 1 ตารางเปรียบเทียบแนวคิดการฝึกอบรมและการเรียนรู้ การฝึกอบรม การเรียนรู้ 1. เกิดจากภายนอก/คนอื่นท าให้เรา 1. เกิดจากภายใน/แสวงหาเพื่อตนเอง 2. ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วคงที่ 2. ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบต่อเนื่อง ตลอดไป 3. มุ่งเน้นความรู้ ทักษะ ความสามารถและ การปฏิบัติงานที่เหมาะสมกับความ ต้องการของหน่วยงาน 3. มุ่งเน้นคุณค่า ทัศนคติ นวัตกรรม และ ความส าเร็จ 4. เหมาะสมส าหรับพัฒนาสมรรถภาพ พื้นฐาน 4. ช่วยให้องค์การและแต่ละบุคคลเกิดการ เรียน รู้ วิธีก า รแสวงห าคว ามรู้ และ แก้ปัญหาได้เอง 5. มุ่งเน้นการแก้ไขปรับปรุง 5. มุ่งเน้นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ 6. ไม่จ าเป็นต้องเกี่ยวข้องกับพันธกิจ 6. สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์การและ เงื่อนไขของความส าเร็จ 7. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ในระยะเวลา สั้น ๆ 7. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ทั้งที่มีรูปแบบ และไม่มีรูปแบบ เพื่ออนาคตของผู้เรียน ที่มา : สมชาติ กิจยรรยง และอรจรีย์ ณ ตะกั่วทุ่ง. เทคนิคการจัดฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากรอย่างมี ประสิทธิภาพ. (กรุงเทพฯ : สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น), 2550), 5.
21 3. ความส าคัญของการฝึกอบรม ได้มีผู้ให้ความส าคัญของการฝึกอบรมไว้ดังนี้ สมคิด บางโม (2553 : 15) ได้กล่าวถึงความส าคัญของการฝึกอบรม ดังนี้ 1. เพื่อความอยู่รอดขององค์การเอง เพราะปัจจุบันมีสภาพการแข่งขันระหว่างองค์การ รุนแรงมาก การฝึกอบรมจะช่วยให้องค์การเข้มแข็ง และช่วยให้พนักงานมีประสิทธิภาพในการ ท างานยิ่งขึ้น 2. เพื่อให้องค์การเจริญเติบโต มีการขยายการผลิต การขาย และการขยายงานด้าน ต่าง ๆ ออกไป ในการนี้จ าเป็นต้องสร้างบุคคลที่มีความสามารถเพื่อที่จะรองรับงานเหล่านั้น 3. เมื่อรับพนักงานใหม่จ าเป็นต้องให้เขารู้จักองค์การเป็นอย่างดีในทุก ๆ ด้าน และต้อง ฝึกอบรมให้รู้วิธีท างานขององค์การแม้จะมีประสบการณ์มาจากที่อื่นแล้วก็ตาม เพราะสภาพการ ท างานในแต่ละองค์การย่อมแตกต่างกัน 4. ปัจจุบันเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปรวดเร็วมากจึงจ าเป็นต้องฝึกอบรมพนักงานให้มี ความรู้ ทันสมัยเสมอ ถ้าพนักงานมีความคิดล้าหลัง องค์การก็จะล้าหลังตามไปด้วย 5. เมื่อพนักงานท างานมาเป็นเวลานานจะท าให้เฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่กระตือรือร้น การฝึกอบรมจะช่วยกระตุ้นให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 6. เพื่อเตรียมพนักงานส าหรับรับต าแหน่งใหม่ที่สูงขึ้น โยกย้ายงาน หรือแทนคนที่ ลาออกไป กรมสุขภาพจิต (2543 : 1-2) กล่าวถึงความจ าเป็นในการฝึกอบรมว่า การฝึกอบรมเป็น วิธีหนึ่งที่มีความส าคัญในการพัฒนาบุคลากรในองค์กร ซึ่งแต่ละคนมีความจ าเป็นตามสภาพการ ปฏิบัติงาน ดังนี้ 1. เข้าท างานใหม่ ถึงแม้บุคลากรที่เข้าท างานใหม่จะมีความเดิมที่ได้จากการศึกษา มาแล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอในการท างาน จึงจ าเป็นต้องได้รับการสอนงาน หรืออบรมเพื่อปรับความรู้ที่ ได้เรียนมา ให้สามารถน ามาใช้ในการปฏิบัติงานในองค์กร เพราะองค์กรมักจะมีลักษณะงานเฉพาะตัว มีแบบแผน หรือบุคลากรจ าเป็นต้องรู้ เข้าใจเกี่ยวกับนโยบายขององค์กร กฎระเบียบ วัฒนธรรม องค์กร การปฏิบัติต่าง ๆ ในฐานะสมาชิก 2. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการท างาน การฝึกอบรมหรือการสอนงานให้บุคลากรมี ความสามารถในการปฏิบัติงาน ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพความต้องการของหน่วยงาน จะช่วยท าให้ บุคลากรท างานอย่างมีประสิทธิภาพ 3. เพื่อการขยายภารกิจของหน่วยงาน อันจะน าไปสู่การเจริญเติบโตของหน่วยงาน บุคลากรจ าเป็นต้องได้รับการฝึกอบรม เพื่อสามารถเตรียมตัวในการปฏิบัติงานใหม่ได้ 4. ปัจจุบันสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี จ าเป็นที่หน่วยงานต้องจัดอบรมให้บุคลากรสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ 5. บุคลากรที่ปฏิบัติงานในองค์กรมานาน ๆ แม้ว่าเดิมจะมีความรู้ความช านาญ แต่เมื่อ อยู่กับที่นาน ๆ จะเกิดความจ าเจ เมื่อยล้า เหนื่อยหน่าย ท้อถอย ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ ที่ไม่มี
22 การเคลื่อนไหวด้านความรู้ ขวัญ ก าลังใจ จึงจ าเป็นที่องค์กรต้องจัดประชุมหรืออบรมเพื่อการพัฒนาที่ เรียกว่าปัดฝุ่น (Brush up) การฝึกอบรมจะช่วยพัฒนาบุคลากรได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่ใช้อบรม ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ (Objective) ของหลักสูตร จะระบุถึงความเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิด ขึ้นกับผู้รับการอบรม ระบุความคาดหวัง และการแสดงออกของผู้เรียนที่ผู้สอนสามารถประเมินได้ 2. ประสบการณ์การเรียนรู้ (Learning experience) การจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดการ เรียนรู้และบรรลุตามวัตถุประสงค์เป็นสิ่งส าคัญที่ผู้สอนและนักฝึกอบรมได้ศึกษาหารูปแบบที่มี ประสิทธิภาพเหมาะสมกับผู้เรียน 3. การประเมินผล (Evaluation) ผู้สอนสามารถทราบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ ได้จากการประเมินผล การประเมินผลมักประเมินปฏิกิริยา (Reaction) การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น (Learning) และพฤติกรรม ภายหลังการฝึกอบรม (Behavior) ซึ่งท าได้หลายรูปและหลายช่วงของการฝึกอบรม เช่น ก่อนการ อบรม ระหว่างและภายหลังการอบรม ผลของการอบรมจะเป็นข้อมูลย้อนกลับให้ผู้น าไปปรับปรุง วัตถุประสงค์และการจัดการเรียนรู้ 4. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) เป็นการเรียนรู้ที่ ดร.เจ นิโคล (Dr. D.J. Nicole) นักฝึกอบรมเชื่อว่าเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนา บุคคลทั้งด้านความรู้ เจตคติ และทักษะได้ดีที่สุด ผ่านการสังเคราะห์จากผลวิเคราะห์ของการ ศึกษาวิจัยรูปแบบการเรียนรู้หลายรูปแบบที่เรียกว่า Meta Analysis จนได้โครงสร้างพื้นฐานของการ เรียนรู้แบบมีส่วนร่วมซึ่งประกอบด้วย วงจรการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ผสมผสานกับกระบวนการ กลุ่ม (Group Process) เพราะในแต่ละองค์ประกอบของวงจรการเรียนรู้เชิงประสบการณ์นั้น ผู้เรียนทุกคนซึ่งมีประสบการณ์ติดตัวมาจะสามารถใช้ประสบการณ์ของตนเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนทดลองใช้ความรู้ที่เรียนมาไปสู่ปฏิบัติได้ดีนั้น ต้องผ่าน กระบวนการกลุ่ม (ชูศิลป์ เสนาวงศ์ 2551 : 11) 4.1 หลักการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม กรมสุขภาพจิต (2547 : 11) กล่าวถึง การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) อาศัยหลักการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยพื้นฐานส าคัญ พื้นฐาน 2 ประการ คือ ประการที่ 1 การเรียนรู้เชิงประสบการณ์(Experiential Learning) มุ่งเน้นอยู่ที่ การให้สมาชิกเป็นผู้สร้างความรู้จากประสบการณ์เดิม การเรียนรู้เชิงประสบการณ์มีหลักส าคัญ 5 ประการ คือ 1. เป็นการเรียนรู้ที่อาศัยประสบการณ์ของผู้เรียน 2. ท าให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆที่ท้าทายอย่างต่อเนื่องและเป็นการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) คือผู้เรียนต้องท ากิจกรรมตลอดเวลาไม่ได้นั่งฟังการบรรยายอย่างเดียว
23 3. มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนด้วยกันเองและระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน 4. ปฏิสัมพันธ์ที่มีท าให้เกิดการขยายตัวของเครือข่ายความรู้ที่ทุกคนมีอยู่ออกไป อย่างกว้างขวาง 5. อาศัยการสื่อสารทุกรูปแบบเช่นการพูดหรือการเขียนการวาดรูปการแสดง บทบาทสมมติซึ่งเอื้ออ านวยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการวิเคราะห์และสังเคราะห์การเรียนรู้ องค์ประกอบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ โคล์บ (กรมสุขภาพจิต. 2543 : 14-16) ได้กล่าวถึงวงจรการเรียนรู้เชิง ประสบการณ์ประกอบด้วยองค์ประกอบที่ส าคัญ4 องค์ประกอบการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพผู้เรียนควร มีทักษะในการเรียนรู้ทั้ง 4 องค์ประกอบแม้บางคนจะชอบ/ถนัดหรือมีองค์ประกอบมากกว่าเช่นเคยมี ประสบการณ์จริงแต่ถ้าไม่ชอบแสดงความคิดเห็นหรือไม่น าประสบการณ์มาร่วมอภิปรายผู้เรียนนั้นก็ จะขาดการมีทักษะในองค์ประกอบอื่นฉะนั้นผู้เรียนจึงควรมีทิศทางการเรียนรู้ทุกด้านและควรมี พัฒนาการเรียนรู้ให้ครบทั้งวงจรหรือทั้ง 4 องค์ประกอบดังนี้ ประสบการณ์ (Experience) การทดลอง/ประยุกต์แนวคิด (Experimentation/Application) การสะท้อน/อภิปราย (Reflective/Discussion) ความคิดรวบยอด (Concept) ภาพประกอบ 2 วงจรและทิศทางขององค์ประกอบการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. (นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น, 2543), 14. 1. ประสบการณ์(Experience) ในการฝึกอบรมเนื้อหาที่ใช้ในการให้ความรู้ หรือน าไปสู่การสอนทักษะต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ผู้เรียนมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว เช่น อบรม เกี่ยวกับการประเมินโครงการให้แก่นักวิชาการ จะเห็นได้ว่าผู้เรียนคือ นักวิชาการจะมีประสบการณ์ เกี่ยวกับการประเมินกิจกรรมอื่น ๆ มาก่อนซึ่งน ามาใช้ในการอบรมครั้งนี้ได้ องค์ประกอบที่เป็น ประสบการณ์นี้ ผู้สอนจะพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนซึ่งมีประสบการณ์ดังที่ได้กล่าวแล้ว ได้ดึง ประสบการณ์ของตัวเองออกมาใช้ในการเรียนรู้ และสามารถแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองที่มี ให้แก่เพื่อน ๆ ที่อาจมีประสบการณ์ที่เหมือนหรือต่างไปจากตนเองได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้กระบวนการ
24 กลุ่มของผู้สอน การที่ผู้สอนพยายามให้ผู้เรียนได้เรียนได้ดึงประสบการณ์มาใช้ในการอบรม จะท าให้ เกิดประโยชน์ทั้งผู้สอนและผู้เรียน ดังนี้ 1.1 ผู้เรียน การที่ผู้เรียนได้ดึงประสบการณ์ของตัวเองออกมาน าเสนอร่วมกับ เพื่อน ๆ จะท าให้ผู้เรียนรู้สึกว่าตัวเองได้มีส่วนร่วมในฐานะสมาชิกคนหนึ่ง มีความส าคัญที่มีคนฟัง เรื่องราวของตนเอง และได้มีโอกาสรับรู้เรื่องของคนอื่น ซึ่งจะท าให้มีความรู้เพิ่มขึ้น ท าให้ สัมพันธภาพในกลุ่มผู้เรียนเป็นไปด้วยดี 1.2 ผู้สอน ไม่ต้องเสียเวลาในการอธิบายหรือยกตัวอย่างให้ผู้เรียนฟัง เพียงแต่ใช้เวลาเล็กน้อยกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เล่าประสบการณ์ของตนเอง ผู้สอนอาจใช้ใบชี้แจงก าหนด กิจกรรมของผู้เรียนในการน าเสนอประสบการณ์ ในกรณีที่ผู้เรียนไม่มีประสบการณ์ในเรื่องที่จะสอน หรือมีน้อย ผู้สอนอาจจะยกกรณีตัวอย่าง หรือสถานการณ์ก็ได้ 2. การสะท้อนและอภิปราย (Reflection and Discussion) เป็นองค์ประกอบที่ ส าคัญที่ผู้เรียนจะได้แสดงความคิดเห็น และความรู้สึกของตนเอง แลกเปลี่ยนกับสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งผู้สอนจะเป็นผู้ก าหนดประเด็นการวิเคราะห์ วิจารณ์ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ถึงความคิด ความรู้สึก ของคนอื่นที่ต่างไปจากตนเอง จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่กว้างขวางขึ้น และผลของการสะท้อนความ คิดเห็น หรือการอภิปรายจะท าให้ได้ข้อสรุปที่หลากหลาย หรือมีน้ าหนักมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ขณะ ท ากลุ่มผู้เรียนจะได้เรียนรู้ถึงการท างานเป็นทีม บทบาทของสมาชิกที่ดีที่ท าให้งานส าเร็จ การ ควบคุมตนเองและการยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น องค์ประกอบจะช่วยท าให้ผู้เรียนได้พัฒนาทั้ง ด้านความรู้ และทัศนคติในเรื่องที่อภิปราย การที่ผู้เรียนได้อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นได้มาก น้อยแค่ไหนเป็นไปตามเนื้อหาที่จะสอนหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับใบงานที่ผู้สอนจัดเตรียม ซึ่งประกอบด้วย ประเด็นอภิปรายหรือตารางการวิเคราะห์เพื่อให้ผู้เรียนท าได้ส าเร็จ 3. ความคิดรวบยอด (Concept) เป็นองค์ประกอบที่ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับ เนื้อหาวิชาหรือเป็นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย (Knowledge) เกิดได้หลายทาง เช่น จากการบรรยาย ของผู้สอนการมอบหมายให้อ่านจากเอกสาร ต ารา หรือได้จากการสะท้อนความคิดเห็นและอภิปราย ในองค์ประกอบที่ 2 โดยผู้สอนอาจจะสรุปความคิดรวบยอดให้จากการอภิปรายและการน าเสนอของ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มผู้เรียนจะเข้าใจและเกิดความคิดรวบยอด ซึ่งความคิดรวบยอดนี้จะส่งผลไปถึงการ เปลี่ยนแปลงทัศนคติ หรือความเข้าใจในเนื้อหาขั้นตอนของการฝึกทักษะต่าง ๆ ที่ช่วยท าให้ผู้เรียน ปฏิบัติได้ง่ายขึ้น 4. การทดลอง/ประยุกต์แนวคิด(Experimentation/Application) เป็นองค์ประกอบ ที่ผู้เรียนได้ทดลองใช้ความคิดรวบยอด หรือผลิตขั้นความคิดรวบยอดในรูปแบบต่าง ๆเช่น การ สนทนาสร้างค าขวัญ ท าแผนภูมิ แผนภาพ เล่นบทบาทสมมติฯลฯ หรือเป็นการแสดงถึงผลของ ความส าเร็จของการเรียนรู้ในองค์ประกอบที่ 1-3 ผู้สอนสามารถใช้กิจกรรมในองค์ประกอบนี้ในการ ประเมินผลการเรียนการสอนได้เช่น ถ้าวัตถุประสงค์ของการอบรม ตั้งไว้ว่าให้ผู้รับการอบรมสามารถ วางแผนการประเมินผลโครงการได้ กิจกรรมในการเรียนรู้ขององค์ประกอบนี้ผู้สอนก็ต้องเตรียมใบ งานให้ผู้รับการอบรมได้ทดลองท าแผนการประเมินโครงการ ซึ่งผู้รับการอบรมจะต้องน าความรู้ เกี่ยวกับการประเมินโครงการจากการเรียนรู้ในองค์ประกอบความคิดรวบยอดมาใช้
25 การเรียนการสอนหรือการอบรมส่วนใหญ่มักจะขาดในองค์ประกอบการ ทดลอง/ประยุกต์แนวคิด ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญที่ผู้สอนจะได้เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้รู้จักการประยุกต์ใช้ความรู้ไม่ใช่เรียนแค่รู้ แต่ควรจะน าไปใช้ได้จริง ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม จ าเป็นต้องจัดกิจกรรมให้ครบทั้ง 4 องค์ประกอบ องค์ประกอบทั้ง 4 มีความสัมพันธ์เป็นไปอย่าง พลวัตร (Dynamic) เกี่ยวข้องมีผลถึงกัน ผู้สอนจะเริ่มจากจุดใดก่อนก็ได้ ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจาก ประสบการณ์(Experience) หรือความคิดรวบยอด (Concept) ซึ่งทั้ง 2 องค์ประกอบจะช่วยให้ ผู้เรียนได้ดึงข้อมูลเก่าหรือรับข้อมูลใหม่บางส่วนก่อน เพื่อน าไปสู่การอภิปรายและการประยุกต์ใช้ ระยะเวลาของแต่ละองค์ประกอบไม่จ าเป็นต้องเท่ากัน ผู้สอนจัดได้ตามความเหมาะสมของกิจกรรม ในแต่ละองค์ประกอบ เช่น ถ้าเนื้อหาที่ส าคัญมากก็อาจใช้เวลามาก หรือถ้าผู้สอนมีประเด็นในการ อภิปรายที่ส าคัญและมากก็อาจใช้เวลาในการอภิปรายมากกว่าส่วนขององค์ประกอบความคิดรวบยอด ประการที่ 2 การเรียนรู้ด้วยระบบการกลุ่ม (Group Process) เป็นการเรียนรู้ พื้นฐานที่ส าคัญอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อประกอบไปกับการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) กระบวนการกลุ่มจะช่วยท าให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมสูงสุดและท าให้บรรลุงานสูงสุด กระบวนการกลุ่ม (Group Process) การเรียนรู้สูงสุด มีส่วนร่วมสูงสุด (Maximum Participation) + บรรลุงานสูงสุด (Maximum Performance) ภาพประกอบ 3 การเรียนรู้ด้วยกระบวนการกลุ่ม ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต. คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม.(นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น, 2543), 16. การมีส่วนร่วมสูงสุด (Maximum Participation) ของผู้เรียน ขึ้นอยู่กับการ ออกแบบกลุ่มซึ่งมีตั้งแต่กลุ่มเล็กที่สุดคือ 2 คน จนกระทั่งกลุ่มใหญ่ แต่ละประเภทมีข้อดีและ ข้อจ ากัดต่างกันผู้เรียนทุกคนควรมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมของแต่ละองค์ประกอบ ฉะนั้นผู้สอนจึงต้อง พิจารณาตามจ านวนผู้เรียน การบรรลุงานสูงสุด (Maximum Performance) ถึงแม้ผู้สอนจะออกแบบกลุ่มให้ ผู้เรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการท ากิจกรรมแล้วก็ตาม แต่สิ่งส าคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะท าให้กลุ่มผู้เรียน บรรลุงานสูงสุดได้คือ การออกแบบงาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผู้สอนจะต้องจัดท าเป็นใบงานที่ก าหนดให้ กลุ่มผู้เรียนท ากิจกรรมให้บรรลุตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ในแผนการสอน
26 การเรียนรู้สูงสุด มีส่วนร่วมสูงสุด (Maximum Participation) + บรรลุงานสูงสุด (Maximum Performance) การออกแบบกลุ่ม การออกแบบงาน ภาพประกอบ 4 การบรรลุงานสูงสุด ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต. คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. (นนทบุรี :บริษัท วงศ์กมล โปรดักชั่น จ ากัด, 2543), 16. 1. การออกแบบกลุ่มเพื่อการมีส่วนร่วมสูงสุด ผู้สอนต้องพิจารณาออกแบบกลุ่มให้เหมาะสมกับผู้เรียนและกิจกรรมในแต่ละ องค์ประกอบของการเรียนรู้ กลุ่มแต่ละประเภทมีข้อบ่งใช้และข้อจ ากัดดังต่อไปนี้ ตารางที่ 2 การออกแบบกลุ่มเพื่อการมีส่วนร่วมสูงสุดแบบกลุ่มพื้นฐาน ประเภทกลุ่ม ลักษณะกิจกรรมกลุ่ม ข้อบ่งใช้ ข้อจ ากัด กลุ่ม 2 คน (Pair Group) ผู้เรียนจับคู่กันท า กิจกรรมที่ได้รับ มอบหมาย ทุกคนได้มีส่วนร่วมใน การแสดงความคิด/ น าเสนอประสบการณ์ หรือฝึกปฏิบัติโดยท า พร้อมๆกันใช้เวลาไม่ มาก ขาดความหลากหลาย ทางความคิดและ ประสบการณ์เพราะ เป็นการแลกเปลี่ยนกัน เพียง 2 คน กลุ่ม 3 คน (Triad Group) ผู้เรียนจับกลุ่ม 3 คน แต่ละคนมีบทบาทที่ ชัดเจนอาจหมุนเวียน บทบาทกันได้ ทุกคนมีส่วนร่วมใน การเรียนรู้ตามบทบาท และสามารถเรียนรู้ได้ ครบทุกบทบาท ขาดความหลากหลาย และความกระจ่างชัด ไปบ้างอาจใช้เวลามาก ในการสลับบทบาท กลุ่มย่อยระดมสมอง (Buzz Group) เป็นการรวมกลุ่ม 3-4 คนใช้วิธีรวมง่ายๆ เช่นนั่งใกล้ๆกันก็หัน หน้าเข้าหากันเพื่อ แสดงความคิดเห็น ร่วมกัน ผู้เรียนในแต่ละกลุ่มท า กิจกรรมร่วมกันใน ระยะเวลาสั้นๆโดยไม่ ต้องการข้อสรุปหรือ ข้อสรุปไม่ลึกซึ้งมาก นัก ขาดความลึกซึ้งเพราะ ไม่มีการอภิปรายกัน มากหรือลึกซึ้ง
27 ตารางที่ 2 (ต่อ) ประเภทกลุ่ม ลักษณะกิจกรรมกลุ่ม ข้อบ่งใช้ ข้อจ ากัด กลุ่มเล็ก (Small Group) เป็นการจัดกลุ่ม 5-6 คนท ากิจกรรมที่ ได้รับมอบหมายจน ลุล่วง ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยน ความคิดเห็นและ อภิปรายอย่างลึกซึ้ง จน ได้ข้อสรุป ใช้เวลามากถ้ามีการ ก าหนดบทบาททุกคน จะมีส่วนร่วมตาม บทบาทที่ก าหนดแต่ ถ้า ไม่มีบางคนอาจมีส่วน ร่วมน้อย ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต. คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม.(นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น, 2543), 18. สรุป การออกแบบกลุ่มให้มีประสิทธิภาพมีหลักที่ผู้สอนควรพิจารณา ดังนี้ 1. ความยากง่ายในการมีส่วนร่วมกลุ่ม 2 คน มีส่วนร่วมได้มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ 2. ความลึกซึ้งของการแสดงความคิดเห็นหรือผลงาน กลุ่มเล็กสมาชิกจะแสดงความ คิดเห็นได้ลึกซึ้งกว่ากลุ่มที่มีขนาดเล็กลงมา 3. การจัดสรรบทบาทของผู้เรียนในการเข้ากลุ่มแต่ละประเภทโดย 3.1 ไม่มีการก าหนดบทบาทในกลุ่ม 2 คน/ กลุ่มย่อยระดมสมองและกลุ่มใหญ่ 3.2 มีการก าหนดบทบาทในกลุ่ม 3 คน และกลุ่มเล็ก นอกจากการแบ่งกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มพื้นฐานประเภทต่าง ๆ แล้วผู้เรียนสามารถ ประยุกต์การออกแบบกลุ่มในลักษณะอื่นเพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ได้ดังนี้
28 ตารางที่ 3 การออกแบบกลุ่มเพื่อมีส่วนร่วมสูงสุดแบบกลุ่มที่ประยุกต์จากกลุ่มพื้นฐาน ประเภทกลุ่ม ลักษณะกิจกรรมกลุ่ม ข้อบ่งใช้ ข้อจ ากัด กลุ่มไขว้ (Cross – Over Group) เป็นการจัดกลุ่ม 2ขั้นตอน โดยการแยกให้ผู้เรียนท า กิจกรรมเฉพาะกลุ่มจนมี ความเชี่ยวชาญจากนั้นจึง ให้ผู้เรียนจากแต่ละกลุ่ม มารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ เพื่อบูรณาการ เพื่อให้ผู้เรียนรู้ได้ใช้ ศักยภาพของตนเองใน การสร้างความรู้ผู้เรียน จะมีส่วนร่วมและได้ เนื้อหามาก ใช้เวลามากอาจมี ความรู้ที่ตกหล่น กลุ่มแบ่งย่อย (Subgroup) เป็นการจัดกลุ่ม 2ขั้นตอน จากกลุ่ม 8-12คนแบ่งเป็น กลุ่มย่อย3-4 กลุ่มเพื่อให้ ท างานกลุ่มละอย่าง(ที่ไม่ เหมือนกัน)จากนั้นจึงให้ กลุ่มย่อยมารวมกันเพื่อ บูรณาการ ไม่มีวิทยากรประจ า กลุ่มย่อยหลังแบ่งกัน ท างานแล้วจะมาสรุป ความเห็นในกลุ่มใหญ่ ในการท างานกลุ่ม ใหญ่ต้องใช้ วิทยากรประจ า กลุ่มช่วย ด าเนินการเพื่อ บรรลุวัตถุประสงค์ กลุ่มปิรามิด (Pyramid Group) รวบรวมความคิดเห็น เริ่มจากกลุ่ม 2-4 คน ทวีขึ้นไปเป็นขั้นๆจนครบ ทั้งชั้น สร้างความตระหนัก และความเข้าใจใน ความรู้สึกนึกคิดของ แต่ละกลุ่มหรือฝ่าย ขาดข้อสรุปหรือ ความลึกซึ้ง ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต. คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. (นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น, 2543), 19. การที่ผู้สอนออกแบบกลุ่มที่หลากหลายให้ผู้เรียนได้ท ากิจกรรมในแต่ละชั่วโมงสอนท าให้ ผู้เรียนได้เกิดการมีส่วนร่วม ตามลักษณะกลุ่มแต่ละประเภท การท ากิจกรรมกลุ่มช่วยให้ผู้เรียนมี โอกาสแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้มาก มีการเคลื่อนไหวในการเรียนรู้ตลอดเวลา ท าให้ผู้เรียนมีความตื่นตัวในการเรียนรู้และสนใจอย่างต่อเนื่อง 2. การออกแบบงานเพื่อบรรลุงานสูงสุด จากประเภทของกลุ่มทั้งกลุ่มพื้นฐานและกลุ่มที่ประยุกต์จากกลุ่มพื้นฐาน จะเห็นได้ว่า แม้จะช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมได้มาก แต่ก็ยังมีข้อจ ากัดอยู่บ้าง เช่น ต้องใช้เวลามาก ความลึกซึ้ง หรือความหลากหลายในประเด็นการอภิปราย สิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจส าคัญของการบรรลุงานสูงสุด
29 ผู้เรียนสามารถก าหนดได้จากการออกแบบงาน ซึ่งมีองค์ประกอบที่ส าคัญของการก าหนดงานอยู่ 3 ประการคือ 2.1 การก าหนดกิจกรรมที่ชัดเจนว่าจะให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่มอย่างไร เพื่อท าอะไร ใช้เวลา มากน้อยแค่ไหน เมื่อบรรลุงานแล้วจะให้ท าอย่างไรต่อ เช่น เตรียมเสนอผลหน้าชั้น 2.2 การก าหนดบทบาทของกลุ่มหรือสมาชิกให้ชัดเจน โดยทั่วไปก าหนดบทบาทใน กลุ่มย่อยควรให้แต่ละกลุ่มที่บทบาทที่แตกต่างกัน เมื่อน ามารวมในกลุ่มใหญ่จะเกิดการขยายการ เรียนรู้ ท าให้ใช้เวลาน้อยในการเรียนรู้และไม่น่าเบื่อ การก าหนดบทบาทแต่ละกลุ่มให้ท ากิจกรรม ยังรวมถึงการก าหนดบทบาทของสมาชิกในกลุ่มด้วย เช่น เล่นบทบาทสมมติ เป็นผู้สังเกตการณ์ หรือเป็นตัวแทนกลุ่มในการน าเสนอผลการท างานกลุ่ม 2.3 การก าหนดโครงสร้างของงานที่ชัดเจน บอกรายละเอียดของกิจกรรมและบทบาท โดยท าเป็นก าหนดงานที่ผู้สอนแจ้งแก่ผู้เรียน หรือท าเป็นใบงานมอบให้กับกลุ่ม โดยจัดท าเป็นใบงาน หรือใบชี้แจง ซึ่งการออกแบบใบงาน หรือใบชี้แจง มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มท างานได้ส าเร็จ โดยมี กรอบการท างานที่ชัดเจน หรือสร้างเป็นตารางการวิเคราะห์ให้กลุ่ม ใบงาน เป็นข้อความก าหนดที่มีรายละเอียด เพื่อให้ผู้เรียนซึ่งส่วนใหญ่จะท างานในกลุ่ม เล็ก หรือกลุ่มย่อยระดมสมองท างานกลุ่มได้ส าเร็จ ผลงานที่ได้จากการท างานตามที่ก าหนดในใบงาน จะเป็นข้อสรุปที่มีความลึกซึ้งเป็นไปตามประเด็นที่ผู้สอนต้องการ ใบงานใช้มากในกิจกรรมของ องค์ประกอบสะท้อน/อภิปราย และการทดลอง/ประยุกต์แนวคิดและมีผลอย่างมากต่อการที่ผู้เรียน จะท างานได้ส าเร็จในเวลาที่จ ากัดและตรงตามวัตถุประสงค์ ใบชี้แจง เป็นค าชี้แจงในการท ากิจกรรมกลุ่ม มีรายละเอียดไม่มากนัก จึงไม่จ าเป็นต้อง จัดท าเป็นใบงาน ผู้สอนอาจเขียนกระดานหรือแผ่นใสให้ผู้เรียนอ่านพร้อมกัน ใช้มากในกิจกรรมของ องค์ประกอบประสบการณ์หรือการประยุกต์แนวคิด ใบชี้แจงที่ดี ควรมีลักษณะดังนี้ 1. ข้อความสั้นกะทัดรัด ได้ใจความ 2. ก าหนดกิจกรรมตรงกับองค์ประกอบ เช่น ให้ผู้เรียนได้น าเสนอประสบการณ์หรือได้ ประยุกต์ความคิดรวบยอด สรุปจากแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ประกอบไปด้วย 2 องค์ประกอบ คือ การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ และการเรียนรู้ด้วยกระบวนการกลุ่ม โดยการเรียนรู้เชิงประสบการณ์มี 4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ประสบการณ์ ขั้นที่ 2 การสะท้อนและอภิปราย ขั้นที่ 3 ความคิดรวบยอด และขั้นที่ 4 การประยุกต์แนวคิด ส่วนการเรียนรู้ด้วยกระบวนการกลุ่มจะท าให้มีการเรียนรู้ร่วมกัน มากยิ่งขึ้น โดยวิทยากรจะก าหนดใบงานให้กลุ่มแสดงบทบาท เพื่อให้การเรียนรู้ร่วมกันก่อประโยชน์ ต่องานให้มากที่สุด 5. การจัดกิจกรรมการอบรมแบบมีส่วนร่วม กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. (2543 : 28-32) การพัฒนาบุคคลสามารถท าได้ 3 ด้าน คือ พุทธิพิสัย (Knowledge) จิตพิสัย (Attitude) และทักษะพิสัย (Skill) ซึ่งมีความสัมพันธ์ กัน การจัดกิจกรรมการอบรมเพื่อพัฒนาแต่ละด้านโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
30 1. การอบรมด้านพุทธิพิสัยหรือความรู้ (Knowledge) เป็นการอบรมเพื่อทบทวน พัฒนาต่อยอดความรู้เดิม หรือการให้องค์ความรู้ใหญ่ ๆ ที่ผู้เรียนสามารถน าความรู้ใหม่นี้ไปผนวกกับ ความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิม เพื่อน าไปใช้ในการพัฒนางาน หรือแก้ปัญหาในการท างาน ผู้เรียน จะผ่านขั้นตอนของการเรียนรู้คือ รู้ เข้าใจ และสามารถน าความรู้ไปใช้ได้ การจัดการอบรมแบบมีส่วน ร่วมท าได้โดยเริ่มจากองค์ประกอบประสบการณ์ หรือความคิดรวบยอด ดังภาพที่ 5 และ 6 ภาพประกอบ 5 การอบรมด้านพุทธิพิสัยโดยเริ่มจากองค์ประกอบประสบการณ์ ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต. คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. (นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น, 2543), 28. ภาพประกอบ 6 การอบรมด้านพุทธิพิสัยโดยเริ่มจากองค์ประกอบความคิดรวบยอด ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. (นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น, 2543), 30. 1 ประสบการณ์ 4 ทดลอง/ประยุกต์ 2 สะท้อน/อภิปราย 3 ความคิดรวบยอด 1 ความคิดรวบยอด 4 ทดลอง/ประยุกต์ 2 ประสบการณ์ 3 สะท้อน/อภิปราย
31 การอบรมด้านพุทธิพิสัยโดยใช้การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมทั้ง 4 องค์ประกอบ สามารถ จัดกิจกรรม แต่ละองค์ประกอบดังนี้ ประสบการณ์ ผู้สอนจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้น าเสนอความรู้ที่แต่ละคนมี อาจใช้ การจับคู่พูดคุยกันในระยะเวลาสั้น ๆ แล้วผู้สอนสุ่มถามแต่ละคู่ การให้ผู้เรียนได้น าเสนอความรู้ หรือ ประสบการณ์เกี่ยวกับเนื้อหาที่ผู้สอนจะสอน จะช่วยให้ผู้สอนได้ทราบถึงความรู้หรือประสบการณ์เดิม ของผู้เรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในองค์ประกอบต่อไป ความคิดรวบยอด จากประสบการณ์ที่ผู้เรียนน าเสนอ ผู้สอนสามารถสรุปเป็น ความคิดรวบยอดและบรรยายเพิ่มเติม แต่ถ้าผู้สอนเริ่มต้นด้วยการบรรยายความคิดรวบยอด อาจจะ บรรยายไปบางส่วน แล้วให้ผู้เรียนได้น าเสนอประสบการณ์ แล้วสรุปความคิดรวบยอดทั้งหมด ทุก ครั้งที่ให้ผู้เรียนน าเสนอประสบการณ์ ผู้สอนต้องสรุปและเชื่อมโยงประสบการณ์นั้นกับความคิดรวบ ยอดด้วย การสะท้อน/อภิปราย จากเนื้อหาความรู้ที่ผู้เรียนได้รับไปแล้ว ผู้สอนสามารถจัด กิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจในเนื้อหายิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการเตรียมความรู้ในการน าไปใช้ ผู้สอน อาจใช้ใบงานก าหนดกลุ่มผู้เรียนและกิจกรรมให้อภิปราย ในประเด็นส าคัญของความรู้ เช่น อภิปราย เกี่ยวกับ “ปัญหา/อุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นในการประเมินโครงการตามรูปแบบที่สอน” การทดลอง/ประยุกต์ เป็นองค์ประกอบสุดท้ายของการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะได้น า ประสบการณ์ที่ได้รับจากองค์ประกอบข้างต้นมาทดลองใช้ เพื่อเป็นการประเมินว่าผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจและสามารถน าความรู้ไปใช้ได้หรือไม่ ผู้สอนจัดกิจกรรมโดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย 5-6 คน มอบหมายให้ท ากิจกรรมตามใบชี้แจง หรือใบงาน เช่น มอบหมายให้ช่วยกันท าโครงการ ประเมินผลโครงการโดยประยุกต์ใช้รูปแบบการประเมินที่เรียนรู้ไป ตารางที่ 4 แผนการอบรมความรู้แบบมีส่วนร่วม องค์ประกอบการเรียนรู้/กลุ่ม กิจกรรม ประสบการณ์ จับคู่ ผู้สอนตั้งค าถามโดยใช้ใบชี้แจงให้ผู้เรียนได้น าเสนอหรือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน สะท้อน/อภิปราย กลุ่มย่อย 5-6 คน แบ่งกลุ่มผู้เรียนกลุ่มละ 5-6 คน ท ากิจกรรมตามใบงาน คือ อภิปรายตามประเด็นและเวลาที่ก าหนดแล้วตัวแทนน าผล การอภิปราย ความคิดรวบยอด กลุ่มใหญ่ ผู้สอน สรุปผลการน าเสนอของผู้เรียนแต่ละกลุ่มและ บรรยายความคิดรวบยอด การประยุกต์แนวคิด กลุ่มย่อย 5-6 คน แบ่งกลุ่มผู้เรียนกลุ่มละ 5-6 คน ท ากิจกรรรมตามใบชี้แจง มอบหมายให้ผู้เขียนช่วยกันท ากิจกรรมที่เป็นการประยุกต์ ความรู้ เช่น เขียนค าขวัญ เขียนแผน โครงการ ฯลฯ ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต. คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. (นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น, 2543), 30
32 2. การอบรมหรือการสอนด้านจิตพิสัย (Attitude) เป็นการปรับเปลี่ยนหรือเสริมสร้าง ให้ผู้เรียนมีความรู้สึก ความคิด ความเชื่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างทัศนคติที่ดีของ บุคลากรให้มีต่อองค์กร งานที่ปฏิบัติเป็นสิ่งจ าเป็น เพราะถ้าบุคลากรมีทัศนคติที่ดีต่องานแล้ว แนวโน้มที่จะเกิดพฤติกรรมที่ดีย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ยาก การจัดการฝึกอบรมเจตคติสามารถใช้กระบวนการเรียนรู้ประสบการณ์ทั้ง 4 องค์ประกอบ ภาพประกอบ 7 การอบรมด้านจิตพิสัยโดยเริ่มจากองค์ประกอบประสบการณ์ ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต. คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. (นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น, 2543), 32. เนื่องจากทัศนคติประกอบด้วย ความคิด ความเชื่อ และความรู้สึก ดังนั้นผู้สอนจึง ต้องจัดกิจกรรมที่เสริมสร้างและปรับเปลี่ยน ส่วนประกอบทั้ง 2 กล่าวคือ ในการจัดกิจกรรมของ องค์ประกอบ ประสบการณ์ จะเป็น ขั้นการสร้างความรู้สึก และการสะท้อน/อภิปราย จะเป็น ขั้นตอนการจัดระบบความคิดความเชื่อ เกิดความคิดรวบยอดที่ปรับเปลี่ยนไป และน าไปทดลองใช้ ในองค์ประกอบสุดท้าย 2.1 การจัดกิจกรรมขั้นสร้างความรู้สึก กิจกรรมขั้นสร้างความรู้สึก เป็นกิจกรรมที่กระตุ้น จูงใจ หรือโน้มน้าวให้ผู้เรียน เกิดอารมณ์ความรู้สึกตามที่ผู้สอนต้องการ เพื่อน าไปสู่การจัดระบบความคิด ความเชื่อ และสร้างเป็น ทัศนคติหรือปรับเปลี่ยนทัศนคติเดิมให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ สิ่งที่ส าคัญในกิจกรรมสร้างความรู้สึก คือสื่อหรือกิจกรรมที่นิยมใช้กันมากมีดังนี้ 2.1.1 สื่อ เป็นเรื่องราวที่เรียบเรียงขึ้นจากเรื่องจริงหรือสมมติ จัดท าเป็น รูปแบบต่าง ๆ เช่น กรณีศึกษาบันทึก จดหมาย ซึ่งท าเป็นบทอ่าน (Script) หรือบันทึกเป็นแถบเสียง 1 ประสบการณ์ 4 ทดลอง/ประยุกต์ 2 สะท้อน/อภิปราย 3 ความคิดรวบยอด ขั้นสร้างความรู้สึก ขั้นจัดระบบ ความคิด ความเชื่อ
33 วีดิทัศน์ เพื่อสะดวกในการใช้และมีประสิทธิภาพ ในการสร้างความรู้สึก สื่อแต่ละประเภทมีทั้งข้อดี และข้อจ ากัดต่างกัน 2.1.2 กิจกรรม ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกระตุ้น หรือสร้างความรู้สึกได้โดยใช้กิจกรรม 2.1.2.1 ละคร เป็นเรื่องสั้น ๆ โดยเขียนบทให้ผู้เรียนเตรียมการแสดง ก่อน กิจกรรมนี้ผู้เรียนจะให้ความสนใจมาก ความส าคัญอยู่ที่ผู้เล่น และบทละครต้องสร้างอารมณ์ ละครที่ดีไม่ควรมีหลายฉากแต่ละ ฉากควรจะสั้นทั้งนี้เพื่อให้เล่นง่าย ชวนติดตามบท โดยไม่ต้องแสดง 2.1.2.2 ละครวิทยุ ผู้เรียนสามารถแสดงได้ง่าย ๆ โดยใช้ฉากกั้น ให้ ผู้เรียนอ่านหรือสนทนาตามบทที่เตรียมไว้ โดยใส่อารมณ์ ความรู้สึกตามบท โดยไม่ต้องแสดง 2.1.2.3 หุ่นกระบอก ใช้ได้ดีในกลุ่มผู้เรียนที่เป็นเด็ก เล่นเกี่ยวกับเรื่อง ที่ตัวละครแสดงออกได้ยาก สามารถสร้างบทให้ซับซ้อนได้กว่าละครเพราะมีผู้พากย์ต่างหาก 2.1.2.4 กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ การเลือกกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ที่มี เนื้อหา เชื่อมโยงกับทัศนคติที่ต้องการ จะช่วยสร้างความตะหนัก ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปสู่ระบบ ความคิด ความเชื่อได้ดี 2.1.2.5 กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ การเลือกกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ที่มี เนื้อหาเชื่อมโยงกับทัศนคติที่ต้องการ จะช่วยสร้างความตระหนัก ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปสู่ระบบ ความคิด ความเชื่อได้ดี 2.1.2.6 กิจกรรมอื่น ๆ เช่น โต้วาที การต่อเนื่อง การแสดงบทบาท สมมติ การใช้จินตนาการ หากจัดให้เข้ากับจุดประสงค์ที่กระตุ้นความรู้สึกและเหมาะสมกับผู้เรียนก็ จะช่วยให้สร้างและเปลี่ยนแปลงทัศนคติได้ การจัดกิจกรรมขั้นสร้างความรู้สึก มีกิจกรรมหลัก 2 อย่างที่ผู้สอนต้อง จัดให้ผู้เรียนคือ กิจกรรมอย่างที่ 1 กระตุ้นความรู้สึก โดยใช้สื่อหรือกิจกรรม กิจกรรมอย่างที่ 2 การเปิดเผยตนเอง เป็นการดึงประสบการณ์ ความคิดเห็น ความรู้สึกหรือเป็นทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อเหตุการณ์ หรือพฤติกรรมตามสื่อที่ผู้เรียน เสนอ ซึ่งมีอยู่หลากหลาย เช่น รู้สึกสงสาร ต าหนิ ไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย เห็นด้วย การให้ผู้เรียนได้ เปิดเผยตนเองนี้ท าได้หลายรูปแบบ เช่น 1) ให้ผู้เรียนเล่าความรู้สึกโดยตรง เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 2) สมมติตนเองเป็นบุคคลในเรื่อง เพื่อให้เกิดประสบการณ์ของ ความเห็นใจ และเข้าใจเหมือนกันเป็นบุคคลคนนั้นเอง 3) การเขียนแล้วแลกเปลี่ยนกันเอง เหมาะส าหรับผู้เรียนที่ไม่กล้า แสดงออก วิธีการนี้สามารถท าได้ 2 รูปแบบ รูปแบบที่ 1 ผู้เรียนเขียนแล้วอ่านให้ผู้เรียนในห้องฟัง รูปแบบที่ 2 แต่ละคนเขียนความรู้สึก ความคิดเห็นโดยไม่ต้องลงชื่อ แล้วสลับกันทั้งห้อง หลังจากนั้นแต่ละคนอ่านให้ผู้เรียนในห้องฟัง
34 2.2 การจัดกิจกรรมขั้นจัดระบบความคิดความเชื่อ อาศัยกระบวนการกลุ่ม เพื่อให้ เกิดการมีส่วนร่วมสูงสุดความคิดเห็นและเหตุผลที่แตกต่างของสมาชิกในกลุ่มจะช่วยให้ระบบความคิด ความเชื่อของผู้เรียนปรับเปลี่ยนไป การจัดกิจกรรมเพื่อจัดระบบความคิดความเชื่อมีขั้นตอน ดังนี้ 2.2.1 การสะท้อนความคิดและอภิปราย โดยใช้กลุ่มเล็ก (5-6 คน) หรือกลุ่ม ย่อยระดมสมอง (3-4 คน) เพราะผู้เรียนจะได้แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นได้หลากหลาย และมี ส่วนร่วมได้ดีจากผลการท างานในกลุ่มเล็ก สมาชิกแต่ละกลุ่มน าไปสรุปในกลุ่มใหญ่อีกครั้งหนึ่ง การอภิปรายแม้จะสนับสนุนให้ผู้เรียนกล้าแสดงความคิดเห็นแต่ก็ต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นด้วย ในการ อภิปรายถ้าข้อขัดแย้งมีน้อยจะท าให้ทัศนคติไม่ยั่งยืน ผู้สอนจึงควรกระตุ้นให้เกิดประเด็นขัดแย้ง โดยการก าหนดกิจกรรม และประเด็นในใบงาน 2.2.2 ความคิดรวบยอด จากการสะท้อนความคิดและอภิปรายร่วมกัน ท าให้ เกิดความคิดรวบยอดในเนื้อหา ผู้เรียนจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดความเชื่อมากขึ้น หรือแตกต่าง ออกไป ผู้สอนควรสรุปให้ผู้เรียนได้เข้าใจถึงความคิดรวบยอดของเจตคติที่มีแตกต่างกัน และควร กล่าวถึงผลของการมีทัศนคติแต่ละอย่าง 2.2.3 การทดลอง/ประยุกต์ ผู้สอนจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนได้ทดลองใช้ ความคิดรวบยอด โดยใช้กลุ่มประเภทต่าง ๆ มอบหมายการท ากิจกรรมโดยใช้ใบชี้แจง เช่น ก าหนดให้ ผู้เรียนกลุ่มละ 5-6 คน ช่วยกันเขียนค าขวัญ เชิญชวนให้สมาชิกในครอบครัวดูแลใส่ใจกันเพื่อป้องกัน ปัญหาสุขภาพจิต ตารางที่ 5 แผนการอบรมเจตคติแบบมีส่วนร่วม องค์ประกอบการเรียนรู้/กลุ่ม กิจกรรม ขั้นสร้างความรู้สึก ประสบการณ์ กลุ่มใหญ่ ผู้สอนน าเสนอสื่อ/กิจกรรมเพื่อสร้างความรู้สึกให้ ผู้เรียนรู้สึกร่วมกับเรื่องที่น าเสนอ เช่น วีดิทัศน์ เพื่อ สร้างความรู้สึกเห็นใจไม่รังเกียจ หรือเกมช่วยกัน แก้ปัญหา ช่วยเหลือกัน ขั้นจัดระบบความคิดความเชื่อ สะท้อนความคิด/อภิปราย กลุ่มย่อย 5-6 คน ผู้สอนแบ่งกลุ่มผู้เรียนให้แต่ละกลุ่มท ากิจกรรมตามใบ งานคืออภิปรายประเด็นที่ท าให้เกิดความคิดเห็นหรือ ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ความคิดรวบยอด กลุ่มใหญ่ ตัวแทนกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มน าเสนอผลการอภิปรายซึ่ง จะได้ความคิด ความเชื่อและความรู้สึกที่หลากหลาย วิทยากรสรุปสิ่งที่ได้จากกลุ่มย่อยและบทความเพิ่มเติม
35 ตารางที่ 5 (ต่อ) องค์ประกอบการเรียนรู้/กลุ่ม กิจกรรม ทดลอง/ประยุกต์ กลุ่มย่อย 5-6 คน ผู้เรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันท ากิจกรรมที่เป็นประ ประยุกต์ความคิดรวบยอดของเจตคติที่เกิดขึ้น เช่น ช่วยกันเขียนค าขวัญเชิญชวน หรือรณรงค์การจัด บอร์ด การเขียนบทความเชิญชวนต่าง ๆ ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต. คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. (นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น, 2543), 35. 3 การอบรมด้านทักษะพิสัยแบบมีส่วนร่วม การสอนหรือการฝึกอบรมผู้เรียนจะได้รับ การพัฒนาทั้งด้านความรู้ ทัศนคติ และทักษะ ผสมผสานกันไปและบางครั้งอาจจะเน้นด้านใดด้านหนึ่ง มากกว่าอีก 2 ด้าน ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรหรือวัตถุประสงค์เฉพาะของวิชานั้น ๆ ส่วนใหญ่ หลักสูตรในการอบรมบุคลากรเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้มักเป็นการสอนให้เกิดทักษะ ซึ่งเป็นการ สอนที่ผู้สอนต้องท าให้ผู้เรียนมีความเข้าใจอย่างชัดเจนในตัวทักษะ โดยท าเป็นขั้นตอนที่ปฏิบัติได้ ง่ายและผู้เรียนได้มีโอกาสลงมือปฏิบัติในสถานการณ์ใกล้ตัว ซึ่งผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการสอน ทักษะแบบมีส่วนร่วมที่ประกอบด้วยกระบวนการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ทั้ง 4 องค์ประกอบ ภาพประกอบ 8 การอบรมด้านทักษะพิสัยโดยเริ่มจากองค์ประกอบความคิดรวบยอด ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต. คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. (นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น, 2543), 32. 1 ความคิดรวบยอด 4 ทดลอง/ประยุกต์ 2 ประสบการณ์ 3 สะท้อน/อภิปราย ขั้นรู้ชัดเห็นจริง ขั้นลงมือกระท า
36 ทักษะ เป็นความสามารถที่คนเราไม่เคยมีมาก่อน แต่ได้เรียนรู้จนกระทั่งท าได้อย่าง ช านาญ ดังนั้นการสอนทักษะจึงมี 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 รู้ชัดเห็นจริง ประกอบด้วยองค์ประกอบการเรียนรู้ 3 องค์ประกอบ คือ ความคิดรวบยอด ประสบการณ์ และการสะท้อนความคิดและอภิปราย องค์ประกอบความคิด รวบยอดเกิดขึ้นโดยการบรรยายน า ประกอบกับการยกตัวอย่างและให้ผู้เรียนร่วมอภิปรายถึง ความส าคัญ และวิธีการฝึกทักษะนั้น ๆ องค์ประกอบก้านประสบการณ์ผู้สอนอาจใช้กรณีศึกษาหรือ สถานการณ์จ าลองให้ผู้เรียนคิดใช้ทักษะดังกล่าว หรือใช้การสาธิต ซึ่งอาจให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมได้ การสาธิตจะช่วยให้ผู้เรียนเห็นจริงเป็นล าดับขั้นอย่างชัดเจน ส่วนองค์ประกอบด้านการสะท้อนและ อภิปราย ผู้สอนอาจได้ผู้เรียนจัดกลุ่มย่อยหรือกลุ่มระดมสมอง เพื่อหากฎเกณฑ์โดยกิจกรรมทั้ง 3 องค์ประกอบสามารถจัดเปลี่ยนล าดับได้ตามความเหมาะสม การสอนทักษะในขั้นรู้ชัดเห็นจริง กิจกรรมการเรียนการสอนส่วนใหญ่ จะด าเนินเป็นขั้นตอนดังนี้ 1. การบรรยายน า เป็นการน าเข้าสู่บทเรียนให้เกิดความน่าสนใจ และให้ข้อมูลหรือความรู้ที่จ าเป็น ใช้เวลาไม่มากนักและใช้การมีส่วนร่วมจากผู้เรียน เช่น การตั้ง ค าถามหรือยกตัวอย่างที่ใกล้ตัว แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น 2. ประสบการณ์ ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมที่ผู้เรียนมีโอกาส แลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้โดยใช้สื่อดังนี้ 2.1 กรณีศึกษา ผู้สอนน าเสนอกรณีศึกษาให้ผู้เรียนได้แสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับกรณีศึกษา 2.2 สถานการณ์จ าลอง ผู้สอนก าหนดโจทย์เป็นสถานการณ์ จ าลอง โดยผู้สอนและคณะอาจเป็นผู้แสดงเอง หรือให้ผู้เรียนมีโอกาสร่วมด้วย จุดประสงค์ส าคัญอยู่ที่ การอภิปรายและสอนประกอบสถานการณ์จ าลอง 2.3 การสาธิต โดยแสดงบทบาทสมมติ อาจให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมใน การสาธิต เช่น ผู้เรียนเป็นคนไข้ และผู้สอนเป็นพยาบาล หรืออาจจะให้ผู้เรียนแสดงทั้งหมดโดยผู้สอน จะซ้อมบทให้หลังจากการแสดงบทบาทสมมติแล้ว ผู้สอนจะน าบทสนทนา ขึ้นกระดานหรือ แผ่นใส เพื่ออภิปรายและสอนประกอบบทสนทนา 2.4 การอภิปรายในกลุ่มเล็ก เพื่อให้ผู้เรียนวิเคราะห์จาก สถานการณ์จ าลอง หรือจากการสาธิต เพื่อเข้าใจชัดเจนถึงขั้นตอนและวิธีการในแต่ละขั้นตอน 3. ขั้นลงมือกระท า ประกอบด้วยการประยุกต์แนวคิด โดยให้ผู้เรียน ฝึกใช้ทักษะ โดยการใช้บทบาทสมมติ (Role play) หรือการซ้อมบท (Rehearsal play) เป็นกิจกรรม หลัก และมีการฝึกซ้ าโดยผลัดกันแสดงบทบาทจนช านาญ การฝึกอบรมนี้ผู้สอนต้องทักษะในการใช้ สถานการณ์จ าลองและการสาธิตเพื่อให้ผู้เรียนเห็นจริง ตลอดจนทักษะในการฝึกบทบาทสมมติ และ ประเมินการฝึกกิจกรรมขั้นลงมือกระท ามี 2 ขั้นตอน คือ
37 3.1 การฝึกปฏิบัติ ท าได้โดยฝึกบทบาทสมมติและการฝึกซ้อมบท 3.1.1 การฝึกบทบาทสมมติ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการ ฝึกทักษะ โดยสมมติตัวละครและสถานการณ์ขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนสมมติตัวเองเป็นตัวละครตามโจทย์ ดังนั้น ต้องก าหนดโจทย์ให้ชัดเจน คือ สถานการณ์ บทบาทของตัวละคร และบทบาทของผู้ สังเกตการณ์ การฝึกบทบาทสมมติอาจใช้กลุ่ม 2 คน กลุ่ม 3 คน หรือกลุ่มเล็ก 5-6 คน ยิ่งกลุ่มมีคน มากขึ้น ก็จะมีการเรียนรู้กันเองมากขึ้นจากการอภิปรายกลุ่มและจะใช้เวลามากกว่าจะฝึกได้ทั่วถึงเป็น การฝึกในสถานการณ์ที่ซับซ้อนกว่า เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นไม่บ่อยแต่มีความส าคัญ ผู้เรียนเคยได้ฝึก หาทางออก โดยมากจะฝึกในกลุ่มเล็ก 3.1.2 การฝึกซ้อมบท เป็นการให้ผู้เรียนฝึกเป็นตัวของผู้เรียน เอง ในสถานการณ์ที่ก าหนด เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับการฝึกทักษะที่ใช้ในสถานการณ์ที่ผู้เรียนพบ ได้เสมอ ๆ และสถานการณ์ไม่ซับซ้อน ฝึกได้ง่าย โดยให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม 2 หรือ 3 คน 3.2 การประเมินการฝึก เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนช่วยกันสะท้อนการ ฝึกปฏิบัติทักษะว่าเป็นไปตามขั้นตอนหรือท าได้ถูกต้องหรือไม่ ท าไม่ได้ หรือไม่ได้ท าเพราะเหตุใด รูปแบบการประเมินท าได้ 2 แบบ ดังนี้ 3.2.1 ผู้เรียนประเมินกันเอง ผู้สอนต้องก าหนดในใบงานให้ ชัดเจนว่าจะประเมินอย่างไร 3.2.2 ผู้สอนช่วยประเมิน ผู้สอนใช้วิธีสุ่มให้ผู้ฝึกออกมาแสดง ผู้สอนช่วยวิจารณ์ประกอบการขอความคิดเห็นจากผู้เรียนในห้อง หรือผู้สอนอาจใช้วิธีสัมภาษณ์ หรือ ให้สมาชิกในกลุ่มเล่าถึงการสังเกตขณะฝึกแล้วผู้สอนให้ข้อเสนอแนะ ตารางที่ 6 แผนการอบรมทักษะแบบมีส่วนร่วม องค์ประกอบการเรียนรู้/กลุ่ม กิจกรรม ขั้นรู้ชัดเห็นจริง ความคิดรวบยอด กลุ่มใหญ่ ผู้สอนบรรยายเนื้อหาที่จ าเป็นในระยะเวลาสั้น ๆ ประสบการณ์ กลุ่มใหญ่ ผู้สอนน าเสนอกรณีศึกษา หรือสถานการณ์จ าลองที่ เกี่ยวข้องกับทักษะที่สอน สะท้อนความคิด/อภิปราย กลุ่มย่อย 5-6 คน แบ่งกลุ่มผู้เรียน ท ากิจกรรมตามใบงาน เช่น ให้ช่วยกัน วิเคราะห์ขั้นตอนการฝึกทักษะ ขั้นลงมือกระท า ประยุกต์แนวคิด กลุ่ม 3 คน หรือกลุ่มย่อย ผู้เรียนอาจใช้กลุ่ม 3 คน หมุนเวียนกันฝึกทักษะตามใบ ชี้แจงของผู้สอน หรืออาจใช้กลุ่มย่อยแสดงบทบาท สมมติ/ฝึกซ้อมบทและมีการประเมินกันในกลุ่ม
38 ตารางที่ 6 (ต่อ) องค์ประกอบการเรียนรู้/กลุ่ม กิจกรรม ความคิดรวบยอด กลุ่มใหญ่ ภายหลังการฝึกผู้สอนประเมินผลการฝึกของแต่ละ กลุ่มแล้ว สรุปเป็นความคิดรวบยอดน าไปปฏิบัติใน สถานการณ์จริง ที่มา : กรมสุขภาพจิต ส านักพัฒนาสุขภาพจิต. คู่มือการฝึกอบรมแบบมีส่วนร่วม. (นนทบุรี : วงศ์กมล โปรดักชั่น, 2543), 40. ตอนที่ 5 แนวคิดและความรู้เกี่ยวกับสุขาภิบาลอาหาร 1. ความหมายของสุขาภิบาลอาหาร สุขาภิบาล (Sanitation) หมายถึง การกระท าต่าง ๆ ที่น าไปสู่การมีสุขภาพดี โดยเฉพาะ สุขภาพของมนุษย์ (สุมณฑา วัฒนสินธุ์ 2547 : 3) สุขาภิบาลอาหาร (Food Sanitation) หมายถึง การบริหารจัดการและควบคุม สิ่งแวดล้อมรวมทั้งบุคลากรที่เกี่ยวข้องกิจกรรมอาหาร เพื่อท าให้อาหารสะอาด ปลอดภัย ปราศจาก เชื้อโรค หนอนพยาธิ และสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งเป็นอันตราย หรืออาจจะเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโต ของร่างกาย สุขภาพอนามัย และการด ารงชีวิตของผู้บริโภค (กองสุขาภิบาลอาหาร ส านักอนามัย กรุงเทพมหานคร 2552 : 2) สุขาภิบาลอาหาร หมายถึง การจัดการและควบคุมเพื่อให้อาหารสะอาดปลอดภัยจาก เชื้อโรค พยาธิ และสารเคมีที่เป็นพิษต่าง ๆ ซึ่งเป็นอันตรายหรืออาจเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโต ของร่างกาย สุขภาพอนามัยและการด ารงชีวิตของมนุษย์ (ส านักสุขาภิบาลอาหารและน้ า กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข 2555 : 1) โดยสรุป สุขาภิบาลอาหาร (Food Sanitation) หมายถึง การป้องกันไม่ให้อาหารเป็น ต้นเหตุของความไม่สะอาดก่อให้เกิดความเจ็บป่วยแก่ผู้บริโภค โดยการบริหารจัดการและควบคุม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมอาหาร เพื่อท าให้อาหารสะอาด ปลอดภัย ปราศจากเชื้อโรค 2. ปัญหาด้านสุขาภิบาลอาหาร กรมอนามัย ส านักสุขาภิบาลอาหารและน้ า (2556 : 3-4) กล่าวถึง ปัจจุบันสถานการณ์ การปนเปื้อนในอาหารจากพิษภัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรค พยาธิ สารเคมี และโลหะหนักยังคงมี อยู่เป็นจ านวนมาก ประชาชนผู้บริโภคยังมีความเสี่ยงต่อการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนจากพิษ ภัยต่าง ๆ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ทั้งยังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม อีกด้วย เนื่องจากรัฐต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นจ านวนมาก
39 ข้อมูลจากการเก็บตัวอย่างอาหารถุงทั่วประเทศเพื่อการเฝ้าระวังการปนเปื้อนโคลิฟอร์ม แบคทีเรียจากตลาดประเภทที่ 1 ซุปเปอร์มาร์เกต และแผงลอยจ าหน่ายอาหารทั่วประเทศ ในปี 2549-2550 (กรุงเทพมหานคร กองสุขาภิบาลอาหาร ส านักอนามัย, 2551) จ านวน 12,300 ตัวอย่าง พบว่าอาหารถุงมีการปนเปื้อน โคลิฟอร์มแบคทีเรียคิดเป็นร้อยละ 34.3% และจากการตรวจ วิเคราะห์หาการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียในอาหาร 200 ตัวอย่าง พบจุลินทรีย์รวมเกินมาตรฐาน 13% พบเชื้อ E. coli 23.5% พบเชื้อ Staphylococcus aureus 4% ซึ่งพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการปนเปื้อน ของอาหารถุง คือ ประเภทของอาหาร อุณหภูมิที่ใช้ในการเก็บอาหาร การมีและใช้เตาอุ่นอาหาร สถานที่จ าหน่ายอาหารและการใช้อุปกรณ์ไล่แมลง ข้อมูลจากการศึกษาสุขลักษณะการจ าหน่าย อาหารในซุปเปอร์มาร์เกต (นัยนา, 2548) พบว่า ตัวอย่างอาหารพร้อมบริโภคที่มีการปนเปื้อนโคลิ ฟอร์มแบคทีเรีย คิดเป็นร้อยละ 3 ของจ านวนตัวอย่างอาหารทั้งหมด ซึ่งได้แก่ ผักผัด ฟักทองต้ม ข้าวโพดอ่อนต้ม เม็ดข้าวโพดต้มแคนตาลูปน้ ากะทิ ตัวอย่างภาชนะที่มีการปนเปื้อน คือ เขียงและที่ ตัดผลไม้ นอกจากนี้ข้อมูลจากการสุ่มเก็บตัวอย่างอาหารที่จ าหน่ายในตลาดนัดทั่วประเทศ จ านวน 126 แห่ง (ส านักสุขาภิบาลอาหารและน้ าและศูนย์อนามัยที่ 1-12) จ านวน 3,073 ตัวอย่าง แบ่งเป็น 2,029 ตัวอย่าง ตรวจการปนเปื้อนสารเคมี และ 1,044 ตัวอย่าง ตรวจการปนเปื้อน (ร้อยละ 7 ปนเปื้อนสารบอแรกซ์ ร้อยละ 17 ปนเปื้อนฟอร์มาลิน ร้อยละ 33 ปนเปื้อนสารฟอกขาว และร้อย ละ 23 ปนเปื้อนสารกันรา) ส่วนการปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียพบร้อยละ 37.5 ของตัวอย่าง อาหารที่เก็บตรวจ จากสถานการณ์การปนเปื้อนของอาหารที่กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่าโรคที่เกิดจากอาหาร และน้ าเป็นสื่อ ยังคงเป็นปัญหาในการด ารงชีวิตประจ าวันของประชาชน ดังจะเห็นได้จากอัตราป่วย ของโรคที่เกิดจากอาหารและน้ าเป็นสื่อ เช่น โรคอุจารระร่วงเฉียบพลันมีแนวโน้มที่สูงขึ้นอัตราป่วย 1,544.5 ต่อประชาชนแสนคนในปีพ.ศ. 2543 เพิ่มเป็น 2,023.6 ในปีพ.ศ. 2554 โรคอหิวาตกโรค ปีพ.ศ. 2554 พบอัตราป่วย 0.44 ต่อประชากรแสนคนซึ่งสูงกว่าในปีที่ผ่านมาเล็กน้อย และโรค อาหารเป็นพิษมีอัตราป่วย 160.3 ต่อประชากรแสนคน ในปีพ.ศ. 2554 โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจาก การปนเปื้อนของอาหาร จากสารเคมี และเชื้อโรค จนท าให้เกิดการเจ็บป่วย ซึ่งการปนเปื้อนของ อาหารนี้ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมอนามัยที่ไม่ถูกสุขลักษณะของผู้เตรียมปรุงประกอบอาหารใน ระหว่างการเตรียมปรุงอาหาร วันพร ศรีเลิศ และคณะ (2556 : 1) จากการรายงานการสอบสวนโรคของส านักอนามัย ปี พ.ศ. 2553-สิงหาคม 2556 พบว่ามีโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เกิดโรคอาหารเป็นพิษ จ านวน 24 โรงเรียน เป็นโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร จ านวน 9 โรงเรียน สังกัดส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จ านวน 5 โรงเรียน สังกัดส านักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน จ านวน 10 โรงเรียน ในปี 2553 มีโรงเรียนเกิดโรคอาหารเป็นพิษ 4 โรงเรียน ผู้ป่วย 140 คน ปี 2554 จ านวน 2 โรงเรียน มีผู้ป่วย 158 คน ปี 2555 มี 7 โรงเรียน มีผู้ป่วย 465 คน และในปี 2556 (มกราคมสิงหาคม 2556) มีโรงเรียนเกิดโรคแล้ว จ านวน 11 โรงเรียน มีผู้ป่วย 703 คน จากสถิติบ่งชี้ถึงความ รุนแรงของการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษในโรงเรียน มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและรุนแรงมากขึ้น