1
ผลการดำเนินงานตามนโยบายของประธานศาลฎีกา
ประจำปี 2563 ถงึ 2564
สารบญั
ความนำ หน้า
๑
สว่ นที่ ๑ การรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบาย ๔
ข้อ ๑ เสมอภาค ๕
ขอ้ ๒ สมดลุ ๑๘
ข้อ ๓ สรา้ งสรรค์ ๓๓
ข้อ ๔ สง่ เสรมิ ๔๐
ข้อ ๕ สว่ นร่วม ๕๐
สว่ นท่ี ๒ งานสานตอ่ นโยบาย ๗๑
สว่ นท่ี ๓ งานพระราชพิธี รัฐพธิ ี และพธิ ีตา่ ง ๆ ๗๙
ส่วนท่ี ๔ การประชุมผู้บรหิ ารศาลยตุ ิธรรมเพื่อการประสานความรว่ มมอื ของหนว่ ยงาน ๙๘
สว่ นที่ ๔ ในการขบั เคล่ือนนโยบายประธานศาลฎีกา ผ่านการประชุมทางจอภาพ
ส่วนท่ี ๔ และระบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (ออนไลน)์
ส่วนท่ี ๕ การตรวจตดิ ตามผลการปฏิบัติราชการผ่านการประชุมทางจอภาพ ๑๐๓
ส่วนท่ี ๓ และระบบอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (ออนไลน)์
สว่ นท่ี ๖ การปฏิบัตหิ นา้ ทอี่ ื่นตามกฎหมาย ๑๖๐
สว่ นที่ ๗ การประชุมภายในหนว่ ยงานและบรรยายหลกั สูตรตา่ ง ๆ ๑๖5
ส่วนท่ี ๘ การประชมุ และสัมมนาร่วมกบั หน่วยงานภายนอก ๑๗0
สว่ นที่ ๙ การพบปะหารอื กับหน่วยงานภายนอกเพ่อื ประสานขอ้ ราชการ ๑๗8
สว่ นท่ี ๑๐ งานเฉลิมพระเกยี รติของศาลยตุ ิธรรม ๑๘6
สว่ นที่ ๑๑ รายช่อื ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยตุ ธิ รรม ขอ้ กำหนด ขอ้ บงั คับ ๒๐2
สว่ นที่ ๙ คำแนะนำของประธานศาลฎีกา ระหว่างวนั ท่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๖๓
สว่ นท่ี ๙ ถงึ วนั ที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔
บทส่งทา้ ย...จากประธานศาลฎกี า ๒๐6
ภาคผนวก ๒19
1
ความนำ
ประธานศาลฎีกาในฐานะประมุขตุลาการมีอำนาจหน้าท่ีในการวางระเบียบราชการ
ฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เพ่ือให้กิจการของศาลยุติธรรมดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและเป็น
ระเบียบเดียวกัน ดูแลผู้พิพากษาศาลยุติธรรมให้ปฏิบัติตามระเบียบวิธีการต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นโดย
กฎหมาย หรือโดยประการอ่ืนให้ถกู ต้อง รวมทัง้ มีอำนาจในการกำหนดนโยบายและบริหารราชการ
ศาลยุติธรรม นอกจากน้ี ประธานศาลฎีกายังมีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยงานศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลช้ัน
สงู สุดของประเทศ มีอำนาจหน้าท่ีในการควบคุมและดูแลการบรหิ ารจัดการภายในศาลฎีกา
แมใ้ นการบรหิ ารราชการศาลยตุ ิธรรมจะมีแผนยทุ ธศาสตร์ศาลยุตธิ รรมเปน็ แนวทาง
แต่ประธานศาลฎีกาจะออกนโยบายประธานศาลฎีกาอันเป็นเสมือนหน่ึงพันธสัญญาท่ีให้ต่อ
ขา้ ราชการฝ่ายตลุ าการและบุคลากรภายในศาลยุติธรรมท้ังปวงได้รับทราบว่า ในชว่ งระยะเวลาการ
บริหารราชการศาลยุติธรรมนั้น ประธานศาลฎีกามีนโยบายจะเนน้ การทำงานในด้านใดเรอื่ งใดเป็น
สำคัญ นอกเหนือจากการทำงานตามภารกิจที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว และนโยบายน้ีจะได้รับการ
สนับสนุนจากสำนักงานศาลยุติธรรมและศาลต่าง ๆ เพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย การจัดทำแผนงาน
โครงการของศาลต่าง ๆ ก็มักจะอ้างอิงนโยบายประธานศาลฎีกา เพ่ือให้ได้รับการสนับสนุน
ซึ่งในทางปฏิบัติประธานศาลฎีกาโดยเลขาธกิ ารประธานศาลฎีกาจะติดตามประเมินผลการทำงาน
ของศาลและหน่วยงานในศาลยตุ ิธรรมว่าเปน็ ไปตามนโยบายมากนอ้ ยเพียงใด
ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๓ เม่ือนางเมทินี ชโลธร ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งเป็นประธานศาลฎีกาคนที่ ๔๖ แล้ว ได้ดำเนินการหารือกับเลขาธิการสำนักงาน
ศาลยุติธรรม เลขาธิการประธานศาลฎีกา เลขาธิการสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการ
ศาลยุติธรรม และคณะทำงานชุดต่าง ๆ เพ่ือพิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายประธาน
ศาลฎีกา จนเม่ือวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ นโยบายประธานศาลฎีกาประจำปี ๒๕๖๓ ถึง ๒๕๖๔
จึงถกู ประกาศต่อศาลยตุ ิธรรมทง้ั ปวง ตลอดจนสาธารณชน
นโยบายประธานศาลฎีกาดังกล่าวกำหนดข้ึนโดยคำนึงถึงภารกิจของศาลยุติธรรม
ในความคาดหวังและความต้องการของสงั คม แนวทางการพัฒนางานศาลท้ังในดา้ นการบริหารงาน
บุคคล และบริหารจัดการคดี ตลอดจนประสบการณ์ในการทำงานอันยาวนานของประธาน
ศาลฎีกา โดยอยู่ภายใต้หลักการ “บริสุทธิ์ ยุติธรรม” อันเป็นหลักในการทำงานของศาลยุติธรรม
น่ันเอง นโยบายดังกล่าวแบ่งเป็น ๕ ด้าน ได้แก่ เสมอภาค สมดุล สร้างสรรค์ ส่งเสริม และส่วนร่วม
แต่ละด้านจะมีการกำหนดเป้าหมายหลักไว้ และมีแนวทางการดำเนินการด้านต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไป
ตามเปา้ หมาย
เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกาได้แถลง
นโยบายอย่างเป็นทางการต่อผู้บริหารศาล ข้าราชการฝ่ายตุลาการและบุคลากรในศาลยุติธรรม
ท่ัวประเทศ รวมถึงสาธารณชน โดยให้คำอธิบายถึงที่มา แนวคิด เป้าหมายและแนวทาง
2
การดำเนินการ ตลอดจนความคาดหวังในการดำเนินการตามนโยบาย พร้อมท้ังขอความร่วมมือ
และการสนับสนุนจากทุกฝ่ายให้ศึกษาทำความเข้าใจเน้ือหาของนโยบาย หากเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี
จะเปน็ ประโยชน์ ก็ให้ดำเนินการไปพร้อมกันในทิศทางเดียวกัน เพ่ือให้ศาลยุติธรรมเป็นที่พึ่งที่หวัง
และเรียกความเช่ือมั่นศรัทธาจากประชาชนไว้ได้เช่นที่ผ่านมา ทั้งเน้นย้ำด้วยว่า ตลอดระยะเวลา
๑ ปี ท่ีรับผิดชอบบริหารงานศาลยุติธรรม จะสานต่อนโยบายของประธานศาลฎีกาท่ีผ่านมา
ทุกท่าน ทุกเร่ือง ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ สังคม ประชาชน และศาลยุติธรรม แม้มิได้ระบุ
ไว้ในนโยบายของตนก็ตาม คร้ันวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ประธานศาลฎีกาได้ประกาศ
แผนปฏิบัติการตามนโยบายประธานศาลฎีกาแต่ละข้อ เพื่อให้ศาลและหน่วยงานต่าง ๆ ของศาล
ยุติธรรมนำไปปฏิบัติได้โดยสะดวกและสอดคล้องกัน อันจะเป็นทางหนึ่งท่ีทำให้การดำเนินการ
ตามนโยบายประธานศาลฎีกาเกิดผลโดยเร็วที่สุด นับเป็นครั้งแรกท่ีนโยบายประธานศาลฎีกาได้มี
การกำหนดแผนปฏิบตั ิการไวพ้ ร้อมกนั ดว้ ย
สำหรบั นโยบายประธานศาลฎกี า ประจำปี ๒๕๖๓ ถงึ ๒๕๖๔ มีรายละเอยี ด ดงั น้ี
๑. เสมอภาค “ประชาชนตอ้ งไดร้ บั ความเป็นธรรมอยา่ งเสมอภาค”
1.1 พัฒนาระบบงานศาลยุติธรรมให้เป็นท่ีประจักษ์ในความบริสุทธ์ิ ยุติธรรม
โปรง่ ใส และตรวจสอบความคืบหน้าของคดไี ด้
1.2 กระจายการเข้าถงึ กระบวนการยุตธิ รรมสู่ประชาชนในพ้ืนทห่ี ่างไกล
1.3 ลดข้ันตอน ลดภาระค่าใช้จ่าย ลดระยะเวลาในการดำเนินคดี และปฏิบัติ
ต่อผู้เก่ยี วข้องในการดำเนนิ คดีอย่างเหมาะสมและเทา่ เทยี ม
1.4 ประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างเข้าถึงและเข้าใจเพ่ือความเสมอภาคในการรับรู้
ถงึ สิทธิของตน
1.5 สร้างกลไกหรือวิธีการที่ศาลจะได้รับข้อมูลรอบด้านอย่างครบถ้วน และ
เปิดเผยเพอ่ื ให้เกิดความเป็นธรรมแกท่ กุ ฝา่ ยและเพอ่ื ให้การใช้ดลุ พนิ ิจเป็นไปอย่างเขา้ ใจสังคม
๒. สมดุล “สร้างดุลยภาพแห่งสทิ ธิ”
๒.๑ ลดการคุมขังทไ่ี มจ่ ำเปน็ ในทกุ ขนั้ ตอน
๒.๒ ยกระดบั ศักด์ิศรคี วามเป็นมนุษยข์ องจำเลยระหวา่ งการตอ่ สูค้ ดีในศาล
๒.๓ ยกระดับการคุ้มครองสิทธิแก่ผู้เสียหาย เหย่ืออาชญากรรม และพยานใน
คดอี าญา
๓. สร้างสรรค์ “สร้างกลไกการดำเนินกระบวนพิจารณาและการพิพากษาคดที ท่ี ันสมัย”
๓.๑ พัฒนากลไกและระบบการดำเนินคดีที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่
ความปลอดภัยของประชาชนและเศรษฐกิจสังคมของประเทศให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และ
สอดคลอ้ งกับบรบิ ทของสงั คม
3
๓.๒ พัฒนาระบบเจ้าพนักงานคดีเพ่ือให้มีบทบาทสนับสนุนการพิจารณาคดีของศาล
เพิม่ ข้ึน
๓.๓ พัฒนาระบบการตรวจร่างคำส่ังหรือคำพิพากษาในทุกช้ันศาลและการ
ประชมุ คดีในศาลสูงโดยใช้เทคโนโลยีทที่ ันสมยั
๔. ส่งเสริม “ส่งเสริมความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการและให้ความสำคัญ
แกค่ ุณภาพชวี ติ ของบุคลากร”
๔.๑ ยกระดับสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมให้เป็นสถาบัน
หลักทางวิชาการด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้พิพากษาได้ทำงาน
ด้านวชิ าการโดยเฉพาะอกี ทางหนึ่งนอกเหนือจากงานดา้ นการพิจารณาพิพากษาคดี
๔.๒ จัดอัตรากำลังบุคลากรให้เหมาะสมสอดคล้องกับภาระงานเพื่ออำนวย
ความยุตธิ รรมแก่ประชาชนไดอ้ ยา่ งทัว่ ถงึ และมปี ระสทิ ธภิ าพ
๔.๓ ส่งเสริมให้บุคลากรได้พัฒนากายและจิตเพ่ือสร้างดุลยภาพในการทำงาน
และการใช้ชีวิตอยา่ งมคี วามสุข
๔.๔ ส่งเสริมให้บุคลากรมีความก้าวหน้าในหน้าท่ีราชการอย่างเป็นธรรม และ
ได้รับค่าตอบแทนท่ีสัมพันธ์กับความรู้ความสามารถ หน้าท่ีความรับผิดชอบ ตลอดจนระยะเวลา
การทำงาน
๕. ส่วนรว่ ม “สนบั สนนุ ใหเ้ กิดการรับร้แู ละมีสว่ นรว่ ม”
๕.๑ สร้างช่องทางการมีส่วนร่วมที่เข้มแข็งอย่างเป็นระบบสำหรับบุคลากร
ภายในเพอื่ ประสานความร่วมมือและเสรมิ สร้างความรักสามัคคี
๕.๒ สร้างการรับรู้ ลดช่องว่าง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมสำหรับบุคลากร
ภายนอกในรูปแบบที่เหมาะสมเพื่อสร้างความเชื่อม่ันศรัทธาและการพัฒนางานศาลยุ ติธรรม
ที่ยงั่ ยนื
บดั นี้ วาระการดำรงตำแหน่งประธานศาลฎกี าของนางเมทินี ชโลธร จะสน้ิ สุดลงใน
เดือนกันยายน ๒๕๖๔ จึงเป็นการสมควรท่ีจะได้มีการติดตามและรายงานผลการดำเนินการ
ตามนโยบายท่ีกำหนดไว้ รวมถึงรายงานภารกิจในด้านอื่น ๆ ของประธานศาลฎีกาท้ังภายในและ
ภายนอกองค์กรซึ่งส่งผลต่อศาลยุติธรรมในภาพรวมแก่ข้าราชการฝ่ายตุลาการและบุคลากร
ในศาลยุตธิ รรมตลอดจนสาธารณชน เพ่อื ทราบทั่วกัน
4
ส่วนที่ ๑ การรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบาย
5
ข้อ 1 เสมอภาค
“ประชาชนตอ้ งไดร้ ับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาค”
ศาลยุติธรรมมีหน้าท่ีอำนวยความยุติธรรมด้วยการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี
ในการทำหน้าท่ีดังกล่าวย่อมมีผู้เก่ียวข้องหลายฝ่าย การให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนทุกฝ่าย
อย่างเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติจึงเป็นเรื่องท่ีศาลยุติธรรมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระทำให้ปรากฏ
เพ่ือสร้างความเช่ือมั่นศรัทธา ประธานศาลฎีกาได้ให้ความสำคัญที่สุดต่อการอำนวยความยุติธรรม
โดยถือหลักให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาค จึงได้กำหนดไว้เป็นนโยบายประการแรก
ด้วยแนวความคิดท่ีว่า ความเสมอภาคเป็นรากฐานอันสำคัญต่อความยุติธรรมและจะสามารถ
ลดความเหล่ือมล้ำให้แก่ประชาชนชาวไทยในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างดีท่ีสุด ทั้งน้ี
ได้กำหนดแนวทางการดำเนินการเพ่ือให้เป็นไปนโยบายประการแรกนี้ไว้ ๕ ข้อ ซ่ึงในระยะเวลา
๑ ปี ที่ผ่านมา ศาลยุติธรรมได้ดำเนินการขับเคล่ือนนโยบายประการแรกน้ีได้สำเร็จอย่างเป็น
รปู ธรรม เป็นท่ีนา่ พอใจดังนี้
๑.๑ พัฒนาระบบงานศาลยุติธรรมให้เปน็ ทป่ี ระจกั ษ์ในความบริสุทธ์ิ ยุตธิ รรม
โปรง่ ใส และตรวจสอบความคืบหน้าของคดไี ด้
ความโปร่งใสและตรวจสอบได้เป็นหัวใจของภารกิจของศาลยุติธรรม เพราะจะทำให้
ประชาชนผู้มีอรรถคดีตลอดจนผู้เกี่ยวข้องม่ันใจได้ว่า คดีความต่าง ๆ จะได้รับการพิจารณาพิพากษา
ด้วยความเท่าเทียม เป็นธรรม ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ดังนั้นนโยบายประธาน
ศาลฎีกาจึงมุ่งเน้นการพัฒนาระบบงานต่าง ๆ ของศาลยุติธรรมให้มีความชัดเจน เข้าถึงง่าย เพื่อพิสูจน์
ให้เห็นถึงความบริสุทธ์ิ ยุติธรรม ในการทำงาน และประชาชนต้องเข้าถึงข้อมูลเหล่าน้ันได้อย่าง
เสมอภาคกัน ระบบงานที่สำคัญและถูกกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการให้แต่ละหน่วยงานของศาลยุติธรรม
ดำเนินการ คือ
6
๑.๑.๑ สร้างความเข้มแข็งของระบบองค์คณะในทุกช้ันศาล โดยให้
ศาลชน้ั ต้นพิจารณาพพิ ากษาคดคี รบองค์คณะ และองคค์ ณะในศาลสูงใชร้ ะบบการประชมุ คดี
๑.๑.๒ ให้ศาลทุกแห่งจัดทำข้อมูลระบบงานศาลยุติธรรม ติดตามผล
การปฏิบัติงานพร้อมประเมินประสิทธิผล ด้วยความโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพ่ือให้
แต่ละศาลกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาระบบงานศาลยตุ ิธรรมรวมถึงจัดสรรบุคลากร
และทรัพยากรได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้รายงานให้
สำนักประธานศาลฎกี าทราบ
๑.๑.๓ จัดให้มีระบบการตรวจสอบติดตามความคืบหน้าของคดีและ
คำส่ังตา่ ง ๆ ในทุกชน้ั ศาลได้โดยสะดวก รวดเรว็ ไม่เสียคา่ ใชจ้ า่ ย
ใน ๑ ปีท่ีผ่านมา การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวปรากฏว่า ศาลชั้นต้น
ท่ัวประเทศให้ความสำคัญอย่างย่ิงต่อการนั่งพิจารณาคดีครบองค์คณะซ่ึงส่งผลต่อความถูกต้องแม่นยำ
ในการพิจารณาพิพากษาคดี เน่ืองจากการทำคำพิพากษาได้รับการหารือจากองค์คณะท่ีร่วมกัน
สืบพยานมาแต่ต้น การรับฟังหรือชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานที่ผ่านความรู้เห็นขององค์คณะ
ตามกฎหมายมาโดยตลอดย่อมนำมาซึ่งความบริสุทธ์ิ ยุติธรรม ในการมีคำสั่งหรือคำพิพากษา
ที่ผู้เก่ียวข้องสามารถรับรู้เป็นที่ประจักษ์ได้ ท้ังประธานศาลฎีกายังได้ดำเนินการเพ่ือให้ออกข้อบังคับ
ประธานศาลฎีกาว่าด้วยการบันทึกคำเบิกความพยานในคดีอาญาโดยใช้วิธีการบันทึกลงในวัสดุซึ่ ง
สามารถถ่ายทอดออกเป็นภาพและเสียง อันจะทำให้ศาลชั้นต้นสามารถดำเนินกระบวนพิจารณา
คดีอาญาได้รวดเร็วข้ึน โดยไม่ต้องใช้วิธีอมความในการสืบพยาน ซ่ึงอาจมีข้อโต้แย้งเก่ียวกับ
ความถกู ตอ้ งครบถ้วนของการบันทึกคำเบิกความโดยศาล
นอกจากนี้ ในศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกายังได้ดำเนินการตามนโยบายประธาน
ศาลฎีกาในการสร้างความเข้มแข็งของระบบองค์คณะด้วยการจัดให้มีการประชุมคดีเข้มข้นระหว่าง
องค์คณะก่อนยกร่างคำพิพากษา เพื่อให้องค์คณะทุกคนได้อ่านสำนวนอย่างละเอียดและหารือ
แลกเปล่ียนความคิดเห็นท้ังในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยมีผู้ช่วยผู้พิพากษาในศาลน้ัน ๆ
ทำหน้าที่ช่วยในการรวบรวมแนวคำพิพากษาฎีกา ตำรากฎหมาย ตลอดจนแนวคิดทฤษฎีกฎหมาย
ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาประกอบการพิจารณาด้วย ส่งผลให้คำพิพากษาของศาลสูงดังกล่าว
ผ่านการกล่ันกรอง พิจารณาอย่างละเอียดเป็นที่ม่ันใจได้ภายใต้ระบบการประชุมคดี เช่น ศาลฎีกา
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ แม้การดำเนินการดงั กล่าวในศาลช้ันอุทธรณ์จะยงั ไม่สามารถดำเนินการได้ครบถ้วน
ทุกศาล แต่คงเป็นเพียงส่วนน้อย และอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อจัดให้มีระบบการประชุมคดี
เชน่ เดียวกบั ศาลท่ดี ำเนินการไปแล้ว ซ่ึงคาดหมายไดว้ า่ จะสามารถดำเนินการไดค้ รบถว้ นตอ่ ไป
7
ส่วนการจัดทำข้อมูลระบบงานศาลยุติธรรมและติดตามประเมินผลนั้น โดยท่ี
ศาลยุติธรรมแต่ละศาลมี ประธานศาล อธิบดีผู้พิพากษา หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นผู้บริหาร
ที่ผ่านมาแต่ละศาลได้มีการกำหนดแผนการทำงานเพ่ือให้เป็นตามนโยบายผ่านการประชุม
ปรึกษาหารอื ภายในศาล การประชุมคณะอนุกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรมประจำภาค การประชุม
คณะอนุกรรมการเพ่ือดำเนินการเก่ียวกับการจัดระเบียบบริหารราชการและการปฏิบัติงานของ
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค
การประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการจัดระเบียบบริหารราชการและการ
ปฏบิ ตั ิงานของศาลแรงงานกลางและศาลแรงงานภาค ซง่ึ มีอำนาจหน้าท่ีในการกำหนดแนวทางการ
พัฒนาระบบงานและแนวทางการบรหิ ารจัดการคดีในส่วนท่ีรับผิดชอบ ส่งผลให้มกี ารนำข้อมูลจาก
การประชุมหารือนั้นมาพัฒนาระบบงานของศาลเพ่ือให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
ได้อย่างเท่าเทียมกันตลอดมา นอกจากนี้ ศาลต่าง ๆ ยังได้รับการตรวจราชการจากประธานศาลฎีกา
หรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคเป็นระยะ เพ่ือให้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคและข้อขัดข้องต่าง ๆ รวมถึง
การประเมินผลการปฏิบัติราชการ โดยนำคำแนะนำจากการปฏิบัติราชการโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การให้บริการประชาชนผู้มีอรรถคดีมาปรับระบบการทำงานภายในให้เหมาะสมสอดคล้องกับ
ความเปลย่ี นแปลงของสงั คม
นอกจากนี้ปัจจุบันศาลยุติธรรมต่าง ๆ ทั้งศาลช้ันต้นและศาลสูงยังได้จัดให้มีระบบ
tracking system ที่คู่ความหรือผู้เก่ียวข้องสามารถตรวจสอบความคืบหน้าของคดีได้ว่าอยู่ใน
ข้ันตอนใด โดยใช้ระบบออนไลน์ ไม่ต้องสมัครสมาชิก และไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ สะดวก ไม่ต้องมา
ศาลด้วยตนเอง และไม่ต้องติดต่อสอบถามเจ้าหน้าท่ี จึงไม่ต้องส้ินเปลืองท้ังค่าใช้จ่ายและเวลา
อีกทั้งระบบดังกล่าวยังช่วยให้คู่ความตรวจสอบระยะเวลาในการทำงานแต่ละขั้นตอนของศาลได้
8
หากมีคดีใดท่ีใช้เวลานานเกินกวา่ ปกติ หรือเกินกว่ามาตรฐานระยะเวลาท่ีศาลกำหนดไว้ กส็ ามารถ
ติดตามสอบถามโดยตรงได้ทันที อันแสดงถึงความโปร่งใสของศาล ท่ีสำคัญการจัดให้มีระบบการ
ติดตามความคืบหน้าของสำนวนคดีหรือคำส่ังนี้ คู่ความหรือผู้เก่ียวข้องสามารถดำเนินการได้อย่าง
เสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติว่าจะให้คำตอบแก่ผู้หน่ึงผู้ใดโดยเฉพาะหรือ
เปน็ กรณพี ิเศษ
๑.๒ กระจายการเข้าถึงกระบวนการยุตธิ รรมสปู่ ระชาชนในพ้นื ท่หี ่างไกล
แม้ศาลยุติธรรมจะมีอยู่ในทุกจังหวัด และบางจังหวัดมีหลายศาลข้ึนอยู่กับปริมาณคดี
ลักษณะพ้ืนที่ ความหนาแน่นของประชากร ตลอดจนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ปรากฏว่ายังมี
อีกหลายพื้นที่ท่ีประชาชนผู้มีอรรถคดีหรือมีข้อพิพาทยังต้องเดินทางมาศาลด้วยความยากลำบาก
เพราะอย่หู ่างไกลจากทต่ี ัง้ ของศาลที่มีเขตอำนาจ และการเดนิ ทางไม่สะดวก บางครั้งคู่ความพิพาท
กนั ด้วยทุนทรัพย์ไม่สูงนัก การเดินทางเข้ามาที่ศาลที่มีเขตอำนาจอาจทำให้เสยี ค่าใช้จ่ายมากไม่คุ้ม
กับจำนวนเงนิ ทจี่ ะได้รับหากต้องดำเนินคดีจนประชาชนในพนื้ ท่ีเหล่านัน้ อาจไม่หวงั พ่ึงศาลยุติธรรม
อันเป็นเหตุให้ประชาชนในประเทศได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันและไม่อาจเข้าถึงการ
ให้บริการในการอำนวยความยุติธรรมของศาลได้โดยเสมอภาคกัน ประธานศาลฎีกาเห็น
9
ความสำคัญของปัญหานี้จึงกำหนดแผนปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายในการกระจายการ
เข้าถงึ กระบวนการยุตธิ รรมสปู่ ระชาชนในพ้ืนท่ีหา่ งไกลไว้ คือ
๑.๒.๑ ตั้งกรรมการพิจารณาและจัดทำแผนรองรับการเปิดศาลต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นศาลแขวง ศาลจังหวัด หรือศาลชำนัญพิเศษในพ้ืนท่ีห่างไกลอย่างเป็นระบบ
เพอ่ื ใหบ้ รกิ ารแก่ประชาชนได้อย่างท่วั ถงึ รวดเรว็ และเหมาะสม
๑.๒.๒ ให้บริการทางการศาลในคดีบางประเภทแก่ประชาชนท่ีอยู่
หา่ งไกลเพอ่ื ความสะดวก เช่น ศาลแรงงานเคลอื่ นที่
ในปีท่ีผ่านมาได้มีการต้ังคณะอนุกรรมการพิจารณาเก่ียวกับการจัดตั้งศาลช้ันต้น
ในกรุงเทพมหานครและในส่วนภูมิภาค เพ่ือทำหน้าท่ีพิจารณาและจัดทำแผนการจัดตั้งศาลช้ันต้น
ในกรุงเทพมหานครและในส่วนภูมิภาค รวมถึงพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการเปิด
ทำการศาลช้ันต้นในกรุงเทพมหานครและในส่วนภูมิภาค และคณะอนุกรรมการดังกล่าวได้เสนอ
ค ว า ม เห็ น เก่ี ย ว กั บ ก า ร จั ด ตั้ ง ศ า ล ชั้ น ต้ น ต่ อ ที่ ป ร ะ ชุ ม ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร บ ริ ห า ร ศ า ล ยุ ติ ธ ร ร ม
ซ่ึงคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมมีมติเห็นชอบให้จัดตั้งศาลแขวงพัทลุง ศาลแรงงานภาค ๑
สาขาสมุทรปราการ ศาลจังหวัดทุ่งสงแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ศาลแขวงสุวรรณภูมิ
ศาลแขวงปาย โดยได้รบั ความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมแล้ว ขณะนี้ยังอยู่ใน
ข้นั ตอนการจัดหาพื้นท่ีและการดำเนินการในส่วนอ่ืนท่ีเก่ียวขอ้ งซึ่งจะต้องใช้เวลา แต่อย่างไรก็ตาม
การดำเนินการอย่างเป็นระบบในการพิจารณาเปิดศาลต่าง ๆ ตามที่ได้ดำเนินการไว้แล้วนี้จะช่วย
ให้การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมในพ้ืนท่ีห่างไกลเป็นไปโดยสะดวก เกิดประโยชน์แก่ประชาชน
ในพื้นที่ และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของศาลยุติธรรมที่จะสร้างความ
เสมอภาคแก่ประชาชนทุกคนในประเทศ มิให้มีพื้นที่ใดอยู่นอกเหนือกฎหมายและการอำนวย
ความยุติธรรมโดยศาลซ่ึงเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ และการทำงานของคณะอนุกรรมการดังกล่าว
ชอบที่จะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเน่ือง โดยการสำรวจปริมาณคดีที่เกิดข้ึนในแต่ละศาล วิเคราะห์
แนวโน้มและทิศทางการบริหารจัดการคดีท่ีเหมาะสม เพื่อให้การให้บริการแก่ประชาชนเป็นไป
อยา่ งท่ัวถงึ รวดเรว็ และเหมาะสมตามสถานการณ์ สภาพสังคม เศรษฐกจิ ท่ีเปลยี่ นแปลงไป
ในส่วนการจดั ให้มศี าลแรงงานเคลื่อนทีน่ ั้น ในรอบปีทผี่ า่ นมาศาลแรงงานกลางและ
ศาลแรงงานภาค ๑ ถึงภาค ๙ ได้ดำเนินกิจกรรมใหบ้ ริการ “ศาลแรงงานเคล่ือนที่” โดยบูรณาการ
ความร่วมมือกับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
จงั หวัด ออกให้บริการประชาชนในการให้คำปรกึ ษาเกี่ยวกับคดี ใหค้ วามร้เู กี่ยวกับสิทธิและบริการ
บังคับคดีแรงงาน ไกล่เกล่ียก่อนฟ้อง รับฟ้องเคลื่อนที่และร่างคำคู่ความ โดยเคล่ือนท่ีไปให้บริการ
ในเขตอำนาจศาลแรงงาน ระหว่างเดอื นมีนาคมถึงเดอื นพฤษภาคม ๒๕๖๔ ซง่ึ มีประชาชนมาขอรับ
บริการท้ังส้ิน ๑๕๘ คน หลังจากนั้นเน่ืองจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา ๒๐๑๙ การจัดกิจกรรมศาลแรงงานเคลื่อนจึงมีเหตุต้องระงับลงด้วยข้อจำกัดเร่ือง
10
การเดินทาง อย่างไรก็ตามศาลแรงงานภาค ๑ ถึงภาค ๙ ยังจัดให้มีกิจกรรม “คลินิกศาลแรงงาน
ร่วมใจ-วิถีใหม่สู้ภัยโควิด” อย่างต่อเน่ือง ในระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔
เพื่อแก้ไขปัญหาความเดอื ดรอ้ นและอำนวยความยุตธิ รรมแก่ประชาชนด้านแรงงานอยา่ งท่ัวถึงและ
เท่าเทียมกัน โดยมีประชาชนขอรับบริการทง้ั สนิ้ ๔,๐๙๔ คน
๑.๓ ลดข้ันตอน ลดภาระค่าใชจ้ า่ ย ลดระยะเวลาในการดำเนินคดี และปฏบิ ัติ
ต่อผูเ้ กีย่ วขอ้ งในการดำเนนิ คดีอยา่ งเหมาะสมและเท่าเทียม
การพ่ึงพากระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้ันตอนของศาลยุติธรรม
ไม่ควรมีค่าใช้จ่ายที่สูงนัก เพราะส่วนหนึ่งต้องถือเป็นหน้าท่ีของรัฐที่จะดูแลความสงบเรียบร้อย
ในสังคม อีกประการหน่ึงหากการดำเนินคดีในช้ันศาลมีค่าใช้จ่ายท่ีสูงเกินไปย่อมจะเป็นทางท่ีจะ
ทำใหเ้ กดิ ความไม่เสมอภาคได้ คนมฐี านะดีไม่ไดร้ บั ผลกระทบใดหากจะตอ้ งเสยี ค่าใช้จา่ ย แตค่ นทม่ี ี
ฐานะยากจนหรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินในทางอื่นย่อมต้องพิจารณาความคุ้มค่าท่ีจะต้องเสีย
ค่าใช้จ่ายสูงเพื่อการฟ้องร้องคดีซง่ึ ผลคดียังไม่อาจทราบได้แน่นอน หรือหากอยู่ในฐานะเป็นจำเลย
และจำเป็นต้องต่อสู้คดีโดยไม่มีเงินมากพอที่จะใช้จ่ายเพื่อการน้ันก็อาจไม่เข้ามาในคดีเลย ทำให้
การพิจารณาคดีน้ันเสียความเป็นธรรมได้ ทางหน่ึงท่ีศาลยุติธรรมจะเข้ามามีส่วนช่วยลดความ
เหล่ือมล้ำส่วนน้ีไดก้ ็คือตอ้ งหาแนวทางในการลดข้ันตอน และลดระยะเวลาในการดำเนินคดีเพราะ
จะทำให้ค่าใช้จ่ายในระหว่างการดำเนินคดีลดลงไปด้วย ศาลควรต้องดูแลทุกฝ่า ยในคดี
อย่างเท่าเทียมโดยไม่ให้ฐานะของบุคคลมาทำให้คนบางคนเสียสิทธิในชั้นศาลไป ในการนี้ ประธานศาลฎีกา
จึงไดก้ ำหนดแผนปฏิบตั ิการเพ่ือใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายไว้ ดงั นี้
๑.๓.๑ ให้แต่ละศาลประชุมหรือต้ังคณะทำงานทบทวนระบบ
การทำงานภายในเพื่อลด ยกเลิก หรือตัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น รวมท้ังปรับปรุงระบบ
การทำงานและกระบวนการต่าง ๆ ของศาลให้ง่ายข้ึน เพ่ือลดภาระแก่ประชาชน เช่น
การจัดให้มีจุดบริการ “One Stop Service” หรือ “Drive Thru Service” และ
การใหบ้ รกิ ารตัดถ่ายเอกสารโดยการส่งทางไปรษณยี ์
๑.๓.๒ ขยายการใช้เทคโนโลยีเพ่ือลดขั้นตอนและค่าใช้จ่าย โดยมี
ระบบท่ีมมี าตรฐานใหท้ กุ ศาลขบั เคล่อื นไปในแนวทางเดียวกัน
11
๑.๓.๓ ให้แต่ละศาลพิจารณาทบทวนมาตรฐานระยะเวลาในการ
พิจารณาคดี โดยให้สอดคล้องกับทางปฏิบัติและปริมาณงานจริงของศาลแต่ละแห่ง
เพ่ือให้การดำเนินคดีมีประสิทธิภาพ และสะท้อนถึงความเพียงพอของอัตรากำลัง
บุคลากรในศาลพรอ้ มแจ้งผลการกำหนดมาตรฐานระยะเวลามาทส่ี ำนกั ประธานศาลฎกี า
๑.๓.๔ การดำเนินคดีตลอดจนการให้บริการแก่คู่ความทุกฝ่ายทุกคดี
โดยยดึ ถือหลกั ความเทา่ เทยี ม และตอ้ งเปน็ ท่ปี ระจกั ษแ์ ก่ประชาชนท่มี าใชบ้ ริการศาล
การกำหนดแนวนโยบายข้อนีป้ ระธานศาลฎีกามีความประสงค์ให้ศาลต่าง ๆ สำรวจ
การทำงานในศาลของตนเองและหาแนวทางการให้บริการท่ีดี เหมาะสม รวดเร็ว สะดวก ไม่มี
ค่าใช้จ่าย เพื่อลดภาระแก่ประชาชน ซ่ึงศาลต่าง ๆ ได้ปรับปรุงโดยการลดขั้นตอนการทำงาน
ที่ซ้ำซ้อนลง และเน้นการทำงานโดยตระหนักว่างานของศาลเป็นการให้บริการอย่างหนึ่ง ประจวบ
เหมาะกับการทีป่ ระเทศไทยเกดิ สถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เช้อื ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ขึ้น
อยา่ งตอ่ เน่ืองตง้ั แต่ช่วงปลายปี ๒๕๖๓ เป็นต้นมา คูค่ วามและผู้เกย่ี วข้องไม่สะดวกและไมป่ ลอดภัย
ที่จะมารวมกันจำนวนมาก โดยเฉพาะในศาล เช่นน้ีจึงเป็นเสมือนตัวเร่งให้ศาลต่าง ๆ กำหนด
แนวทางการให้บริการที่รวดเร็ว สะดวก ปลอดภัยเหมาะแก่สถานการณ์ ในหลายศาล เช่น
ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลแพ่งธนบุรี ศาลจังหวัดธัญบุรี ศาลจังหวัดนนทบุรี รวมถึงศาลในภูมิภาค
อีกหลายแห่ง จึงจัดให้มีจุด One Stop Service หรือ Drive Thru Service รวมถึง Box Thru
เพื่อบริการแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกันทุกราย บางศาลเน้นการให้บริการ เช่น ศาลฎีกา
ให้บริการคัดถ่ายสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาส่งทางไปรษณีย์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย การขับเคลื่อน
นโยบายในส่วนน้ีจึงเกิดผลดีและน่าจะใช้ต่อไปแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว
จะหมดไปก็ตาม
นอกจากนี้ในส่วนของการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อลดขั้นตอนและลดค่าใช้จ่ายน้ัน
สำนักงานศาลยุติธรรมในฐานะเป็นหน่วยท่ีต้องสนับสนุนการทำงานของศาล ได้ดำเนินการตาม
นโยบายประธานศาลฎีกาอย่างเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ มีการปรับระบบการใช้เทคโนโลยีใน
ด้านต่าง ๆ และซักซ้อมทำความเข้าใจกับทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกเพื่อความร่วมมือที่ดี
และมีมาตรฐาน โดยพัฒนาระบบบริการออนไลน์ศาลยุติธรรม (Court Integral Online Service
หรือ CIOS) ให้คู่ความสามารถสมัครเพื่อเข้าระบบ CIOS ตรวจสอบความคืบหน้าของคดีของตน
ทางออนไลน์ สามารถใช้งานได้ด้วยอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนท่ี อุปกรณ์แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์
ส่วนบุคคล (PC) ตรวจดูคำสั่งและคำพิพากษาของศาลโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และขอคัดถ่าย
เอกสารได้ รวมถึงมกี ารพัฒนาปรับปรุงระบบให้ครอบคลุมไปถงึ การให้ผู้เสียหายสามารถติดตามคดี
ได้ต้งั แตช่ ้ันผดั ฟ้องหรือฝากขัง และมรี ะบบ tracking system ท่ีตรวจสอบความคืบหน้าของคดีได้
12
ว่าอยู่ในขั้นตอนใด ซ่ึงสามารถเข้าดูได้ทางออนไลน์โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก คู่ความสามารถติดตาม
ผลการส่งหมาย ตลอดจนคำสั่งศาล ขอคัดถ่ายเอกสารในสำนวนคดี โดยเลือกรับทางไปรษณีย์หรือ
ดาวน์โหลดเป็นเอกสารในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ได้ ขอหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด จัดให้มีระบบ
ประเมินความเส่ียงเพื่อประกอบการพิจารณาของศาลในการสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวออนไลน์
และระบบการยื่นประกันออนไลน์ เป็นต้น ที่สำคัญได้จัดให้มีการพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งคดีแพ่งและคดอี าญา ซึ่งช่วยลดระยะเวลา ลดข้ันตอนในการดำเนินคดี และเกิดความปลอดภัย
โดยไมเ่ สียความเปน็ ธรรมดว้ ย
สำหรับการให้แต่ละศาลทบทวนและกำหนดมาตรฐานระยะเวลาการพิจารณาคดี
ท่ีเหมาะสมของตนเองน้ัน ประธานศาลฎีกามุ่งหมายให้การให้บริการของศาลเป็นไปด้วยความ
รวดเร็ว และมีการพัฒนาระบบงานที่จะตอบสนองแนวทางดังกล่าว โดยให้แต่ละศาลพิจารณา
กำหนดในส่วนของตนเอง เพราะมาตรฐานระยะเวลาในการพิจารณาคดีนั้น หากพิจารณาโดย
เน้ือแท้แล้วย่อมข้ึนอยู่กับปัจจัยท่ีต่างกันของแต่ละศาล เช่น ความยากง่ายของเนื้อหาคดี
วัฒนธรรมของพ้ืนที่ สภาพความผิดที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นท่ี จำนวนอัตรากำลังของทั้งตุลาการ
และธุรการ เดิมคณะอนุกรรมการส่งเสริมการน่ังพิจารณาคดีครบองค์คณะและต่อเน่ืองได้กำหนด
มาตรฐานระยะเวลาในการพิจารณาคดีไว้ว่า คดีจัดการพิเศษให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน นับแต่
วันรับฟ้อง คดีสามัญ และสามัญพิเศษ ให้แล้วเสร็จภายใน ๑๒ เดือน นับแต่วันรับฟ้อง คดีอาญา
ที่จำเลยต้องขังให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน นับแต่วันออกหมายขังระหว่างพิจารณา ซ่ึงเป็น
มาตรฐานระยะเวลาท่ีกำหนดไว้เกือบ ๒๐ ปี แล้ว ในระยะหลังเม่ือประมาณ ๕ ปี ท่ีผ่านมา
ปรากฏว่าแต่ละศาลสามารถพิจารณาพิพากษาคดีให้แล้วเสร็จไปได้เร็วกว่ามาตรฐานระยะเวลา
ดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่ ทั้งการกำหนดมาตรฐานเดียวกันในทุกศาลท่ัวประเทศอาจไม่สะท้อนความ
เป็นจริงและทำให้การบริหารจัดการคดีท่ีเป็นแนวทางกลางไม่เหมาะกับบางศาล จึงต้องการให้
แต่ละศาลพิจารณาขีดความสามารถของตนเองและต้ังเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรบั ศาลไว้เพ่ือไปให้
ถึงมาตรฐานน้ันได้จริง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดอัตรากำลังท่ีเหมาะสมต่อไป และจะเกิด
13
ประโยชน์แก่ประชาชนทจี่ ะได้รบั ทราบว่าคดีของเขามีกรอบระยะเวลาแล้วเสรจ็ อย่างไร โดยทกุ คดี
ในประเภทเดียวกันจะอยู่ในมาตรฐานระยะเวลาเดียวกันโดยเสมอภาค อย่างไรก็ตาม จาก
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปี ๒๕๖๓
ต่อเนื่องมาถึงปลายปี ๒๕๖๔ ย่อมส่งผลกระทบต่อคดีความที่นัดไว้ ด้วยเหตุผลทางด้านความ
ปลอดภัยของทุกฝ่ายศาลไม่อาจน่ังพิจารณาคดีได้ตามกำหนดเดิม โดยเฉพาะอย่างย่ิงคดีอาญา
ทจี่ ำเลยต้องขังมีข้อจำกัดที่กรมราชทัณฑ์ขอความร่วมมือไม่ให้เบิกจำเลยออกมานอกเรือนจำ และ
การสืบพยานคดีอาญาต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายเป็นสำคัญด้วย ศาลจึงต้องเล่ือนคดี
ออกไปจำนวนมาก และไม่อาจพิจารณาคดีให้แล้วเสร็จไปตามมาตรฐานเดิม เช่นนี้การให้กำหนด
มาตรฐานระยะเวลาของตนเองเสียใหม่ โดยคาดหวังว่าจะเป็นระยะเวลาที่เร็วกว่าเดิมจึงไม่อาจ
ดำเนินการได้ แต่เม่ือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวคล่ีคลายไป แนวทางน้ีก็นา่ จะถูก
นำมาพิจารณาและนำมาใช้เพราะจะเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้ประชาชนได้รับความเสมอภาคกัน
ในทางคดีอย่างแท้จริง นอกเหนือจากการที่ศาลยุติธรรมได้ปรับเปลี่ยนแนวปฏิบัติหลายประการ
เพื่อให้การปฏบิ ตั ติ ่อคคู่ วามทกุ ฝา่ ยเป็นไปอย่างเท่าเทียมอย่างเห็นไดช้ ัดแล้ว
๑.๔ ประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างเข้าถึงและเข้าใจเพื่อความเสมอภาคในการรับรู้
ถึงสิทธิของตน
ปญั หาของกระบวนการยตุ ิธรรมท่ีผ่านมาคอื ประชาชนยังขาดการรับรูแ้ ละไม่เขา้ ใจ
กระบวนการไม่ว่าจะเป็นชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล ตลอดจนถึงไม่ทราบถึง
สิทธิต่าง ๆ ที่พึงมี เช่น สิทธิในการขอปล่อยช่ัวคราวของจำเลย สิทธิในการขอค่าสินไหมทดแทน
ของผู้เสียหาย สิทธิในการมีทนายขอแรง ในหลายพื้นท่ีประชาชนยังไม่รูห้ นังสือ ไม่สามารถเข้าถึง
เทคโนโลยีหรอื สอ่ื ต่าง ๆ เม่ือเป็นเชน่ นี้ประชาชนบางกลุ่มย่อมยังไมไ่ ด้รับการปฏิบัติอย่างเทา่ เทียม
และเสมอภาค และประชาชนกลุม่ นม้ี ักจะเปน็ กลมุ่ ทีม่ ีความด้อยกว่าในสถานะทางสังคม การศึกษา
กลุ่มผู้เปราะบาง ซ่ึงปกติก็อยู่ในฐานะที่เสียเปรียบอยู่แล้ว หากเรอื่ งเช่นนี้มิได้รับการแก้ไขก็เท่ากับ
ต้องเสียเปรียบย่ิงขึ้นไปอีก ประธานศาลฎีกาให้ความสำคัญต่อการประชาสัมพันธ์อย่างเข้าถึง
และเข้าใจ ซ่ึงหมายถึงการประชาสัมพันธ์หรอื เผยแพร่องคค์ วามรู้ตา่ ง ๆ ตอ้ งพจิ ารณาให้เหมาะสม
กับแต่ละกลุ่มคน และต้องใช้วิธีการท่ีจะทำให้กลุ่มดังกล่าวรับรู้ได้จริง เข้าใจได้จริง ต้องให้ความ
ช่วยเหลือแนะนำโดยแจ้งชัดด้วยความห่วงใย ต้องคำนึงถึงผู้ท่ีต้องการส่ือไปให้มากกว่าเดิม ในการน้ี
จึงไดก้ ำหนดแผนปฏบิ ตั ิการไว้ คือ
ให้ศาลจัดทำโครงการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพ่ือให้ประชาชนมีความรู้
ความเขา้ ใจเกี่ยวกับสิทธิตามกฎหมายของตน โดยเน้นเป้าหมายที่กลุ่มเส่ียงตอ่ การกระทำ
ความผิด กลุ่มท่ีอยู่ห่างไกล กลุ่มด้อยการศึกษา กลุ่มชายขอบ กลุ่มผู้เปราะบางในสังคม
เป็นต้น
14
เป็นท่ีน่าเสียดายท่ีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
นบั เป็นอุปสรรคสำคัญของการทำประชาสัมพันธ์เชิงรุกที่ต้องมกี ารเดินทางเข้าไปพบกลุ่มเปา้ หมาย
เพื่อให้เกิดการส่ือสารสองทาง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่ห่างไกล เนื่องจากมีขอ้ จำกดั ในการเดินทางจาก
ที่หนึ่งไปที่หน่ึงในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเช่นน้ี อย่างไรก็ตามหลายศาลได้
ทำการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้ต้องขังในเรือนจำให้ได้รับรู้สิทธิของตนในการ
ขอปลอ่ ยช่วั คราวโดยใชค้ ำร้องใบเดียว สิทธิของผู้เสียหายที่จะเข้าสู่ศูนยก์ ลางข้อมูลผ้เู สยี หาย ทั้งมี
การประชาสัมพันธ์ในสถานศึกษากับชุมชนบางแห่งในรูปแบบต่าง ๆ ท่ีสามารถทำได้ เช่น
ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดฉะเชิงเทราจัดเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายให้แก่นักเรียน
ในโรงเรียนเบญจมราชรงั สฤษฎิ์ ๒ ผ่านระบบสอ่ื สารทางไกลทางจอภาพ ศาลจงั หวัดฝางให้ความรู้
แก่นักเรียนโรงเรียนสายอกั ษรในการศกึ ษาดงู านท่ศี าลตามโครงการทัศนศึกษาแหล่งเรียนรสู้ ชู่ ุมชน
ศาลจังหวัดนางรองจัดกิจกรรม Open House ให้นักเรียนโรงเรียนนางรองเข้าศึกษาดูงาน
กระบวนการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท ศาลแขวงพระนครเหนือบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับ
สิทธิในการได้รับการปล่อยชั่วคราวและสิทธิในการดำเนินคดีในศาลแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษ
กรุงเทพมหานคร เป็นต้น อันเห็นได้ว่าศาลต่าง ๆ ตระหนักถึงความสำคัญของการประชาสัมพันธ์
อยา่ งเขา้ ถึงและเขา้ ใจ เพ่ือใหผ้ ู้ที่เก่ยี วขอ้ งในกระบวนการยุติธรรมได้รับข้อมูลท่ีเทา่ เทียมกนั
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2563 ศาลแขวงพระนครเหนือจัดกิจกรรมบรรยายให้ความรู้เก่ียวกับสิทธิ
ท่ีจะได้รบั การปลอ่ ยช่วั คราวและสิทธใิ นการดำเนนิ คดีในศาล แกผ่ ตู้ อ้ งขังและจำเลยในเรือนจำพิเศษกรงุ เทพมหานคร
เม่ือวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดฉะเชิงเทรา เผยแพร่ความรู้
ทางกฎหมายออนไลน์เฉลมิ พระเกยี รติ บรรยายความรู้ให้แกน่ ักเรยี นโรงเรยี นเบญจมราชรงั สฤษฎ์ิ 2
15
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2564 ศาลจังหวัดฝาง ให้ความรู้แก่นักเรียนโรงเรียนสายอักษร จำนวน 47 คน
เนอ่ื งในโอกาสเขา้ ศึกษาดงู านศาลจงั หวดั ฝาง
เมื่อวันท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ศาลจังหวัดนางรองได้จัดกิจกรรม Open House “ชวนน้อง
ท่องศาล” เปิดโอกาสให้นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ จำนวน ๓๕ คน พร้อมคณะอาจารย์ โรงเรียนนางรอง เข้าศึกษา
ดูงานกระบวนการไกล่เกลย่ี และประนอมขอ้ พิพาทและการพจิ ารณาคดขี องศาลผ่านระบบออนไลน์ Google Meet
อน่ึง จากรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายประธานศาลฎีกา สำหรบั รอบระยะเวลา
วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔ มีหน่วยงานในสังกัดศาลยุติธรรมท่ีรายงานผล
การดำเนินการจัดทำโครงการประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพ่ือให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
สิทธิตามกฎหมายของตน รวม ๒๗๗ แห่ง จาก ๓๐๗ แห่ง หน่วยงานที่ยังไม่ได้ดำเนินการส่วนใหญ่
เปน็ หนว่ ยงานทอ่ี ยใู่ นสงั กัดสำนักงานศาลยตุ ธิ รรม
๑.๕ สร้างกลไกหรือวิธีการที่ศาลจะได้รับข้อมูลรอบด้านอย่างครบถ้วนและ
เปิดเผยเพ่ือให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายและเพ่ือให้การใช้ดุลพินิจเป็นไปอย่างเข้าใจ
สงั คม
ในการพิจารณาพิพากษาคดีได้อย่างถูกต้อง เป็นธรรมน้ัน ศาลควรได้รับข้อมูล
ที่ครบถ้วน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาและการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษแก่จำเลย ท่ีผ่านมา
ข้อมูลดังกล่าวอาจได้มาจากการสืบพยาน จากคำแถลงของคู่ความ หรือจากการสืบเสาะและพินิจ
16
แต่อาจไม่เพียงพอ ทั้งในบางคดีศาลก็มิได้ส่ังให้มีการสืบเสาะและพินิจจำเลย หรือมิได้มีการ
สอบถามผู้เสียหาย ดังน้ันเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเสมอภาคแก่ทุกฝ่าย ประธานศาลฎีกา
จึงได้กำหนดนโยบายท่ีจะหาวิธีสร้างกลไกหรือวิธีการท่ีจะทำให้ศาลได้รับข้อมูลอย่างรอบด้าน
โดยมแี ผนปฏิบัตกิ าร คือ
๑.๕.๑ จัดให้มีช่องทางให้ผู้พิพากษาหาข้อมูลอย่างรอบด้านในการ
พิจารณาพิพากษาคดี เช่น การออกคำแนะนำหรือจัดทำคู่มือกำหนดประเภทคดีที่ศาล
ควรสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ของคู่ความ ให้มีการสืบเสาะฯ หรือจัดทำฐานข้อมูลภูมิหลัง
ของจำเลย เปน็ ต้น
๑.๕.๒ พัฒนาแบบประเมินความเส่ียงเพื่อประโยชน์ในการใช้งาน
ท้ังเรอ่ื ง การปลอ่ ยช่ัวคราว และการใชด้ ลุ พินิจในการลงโทษ
๑.๕.๓ สร้างระบบการเช่ือมต่อข้อมูลต่าง ๆ เก่ียวกับคู่ความระหว่าง
ศาลช้ันตน้ กับศาลสูงอย่างครบถ้วน
เม่ือวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ประธานศาลฎีกาได้ออกคำแนะนำของประธาน
ศาลฎีกา ว่าด้วยแนวทางการใช้โทษอาญา พ.ศ. ๒๕๖๓ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเม่ือวันท่ี
๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยความในข้อ ๑. วรรคสอง มีสาระสำคัญว่า ในการกำหนดโทษสถานใด
เพียงใด นอกจากพฤติการณ์การกระทำผิดและความเสียหายแล้ว ศาลพึงพิจารณาความเป็นมา
แห่งชีวิตของผู้กระทำผิดประกอบด้วยเสมอ ทั้งระบุเป็นคำแนะนำด้วยว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าว
อาจปรากฏจากรายงานการสืบเสาะ สำนวนการสอบสวน รายงานของเจ้าหน้าท่ีท่ีเกี่ยวข้อง หรือ
การไต่สวนของศาลก็ได้ อันเป็นการให้ช่องทางและวิธีการแก่ผู้พิพากษาในการท่ีจะได้ข้อมูลที่
รอบด้านครบถ้วน เพื่อให้ทราบภูมิหลังของจำเลย ศาลจึงอาจเรียกสำนวนการสอบสวน หรือสั่งให้
เจ้าหน้าที่ทำรายงาน ตลอดจนเรียกพยานเข้าไต่สวนเพ่ือให้ได้ข้อมูลดังกล่าว ซึ่งในทางปฏิบัติ
แม้ศาลจะยังคงใช้รายงานการสืบเสาะเป็นช่องทางหลัก แต่ก็เริ่มทำการสอบถามจำเลยหรือ
ผู้เกี่ยวข้องในระหว่างการพิจารณาคดี การให้คู่ความแถลงข้อเท็จจริงเพ่ิมเติม รวมถึงให้เจ้าหน้าที่
ศาลทำรายงานบ้างแลว้
นอกจากน้ีเม่ือวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ ประธานศาลฎีกาได้ออกคำแนะนำ
ของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๖๓
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เม่ือวันท่ี ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญให้ศาลรับฟัง
ความคิดเห็นและความกังวลใจของผู้เสียหาย เมื่อจำเป็นอาจสั่งให้เจ้าหน้าที่จัดทำข้อมูลประวัติ
ของผูเ้ สียหาย ผลกระทบ หรือความเสยี หายที่เกิดขน้ึ ต่อผู้เสยี หาย ตลอดจนในการกำหนดโทษก็ให้
ศาลรับฟังความคิดเห็นและคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้เสียหายประกอบด้วยเสมอ นอกจากนี้เม่ือวันท่ี
๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ประธานศาลฎีกายังได้เปิดศูนย์กลางข้อมูลผู้เสียหายเพ่ือให้ผู้เสียหาย
17
แสดงความประสงค์ในการขอรับการคุ้มครองและใช้สิทธิในชั้นศาล ซ่ึงผู้เสียหายจะให้ข้อเท็จจริง
ต่าง ๆ เก่ียวกับตัวผู้เสียหาย ความเสียหาย และความต้องการต่าง ๆ ตามแบบที่กำหนดไว้ด้วย
ดังนั้น เม่ือมีคดีข้ึนสู่ศาล ไม่ว่าในชั้นใดผู้พิพากษาย่อมสามารถดึงข้อมูลดังกล่าวมาใช้ในการ
คุ้มครองสิทธิและประกอบการพิจารณาคดีโดยแจ้งให้คู่ความทุกฝ่ายทราบตามข้ันตอน เช่นนี้
จึงเป็นอีกกลไกหรอื อีกช่องทางหน่ึงท่ีได้ขับเคลื่อนจนเป็นผลสำเร็จเพื่อให้ผพู้ ิพากษาสามารถได้รับ
ข้อมูลครบถ้วนถูกต้อง และนำมาใช้ในการสร้างความเป็นธรรมอย่างเสมอภาคแก่ทุกฝ่ายได้เป็น
อย่างดี และเช่ือวา่ ขอ้ มูลดังกลา่ วจะถูกนำมาใช้เปน็ เคร่ืองมือในการพิจารณาพิพากษาคดมี ากย่ิงขึ้น
เน่อื งจากมผี เู้ สียหายเข้ามาใชบ้ รกิ ารในศูนย์กลางข้อมูลผู้เสยี หายเพิ่มมากข้นึ ตามลำดับ
สำหรับการพัฒนาแบบประเมินความเส่ียงซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการท่ีศาลจะใช้
ดุลพินิจในการปล่อยชั่วคราวแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้น ปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้เป็นระบบ
ออนไลน์ สะดวกแก่การใช้งาน และสามารถประมวลผลได้รวดเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน ๑๒ นาที โดย
สำนักงานศาลยุติธรรมได้สนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้รับผดิ ชอบให้มีอุปกรณ์และเครือ่ งมือ
ในการใช้งานท่ีเหมาะสม เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ปัจจุบันมีศาลต่าง ๆ ใช้การประเมินความเสี่ยง
อย่างกว้างขวางมากข้ึน ในการอบรมและพัฒนาบุคลากรไม่ว่าจะเป็นข้าราชการตุลาการหรือ
ข้าราชการธุรการที่สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมจัดขึ้นได้บรรจุหัวข้อเก่ียวกับ
การประเมินความเสี่ยงผู้ขอปล่อยช่ัวคราวไว้แล้ว เพื่อเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจแก่บุคลากร
ข้อมูลที่ได้รับจากการประเมินความเสี่ยงน้ีได้ถูกนำไปใช้ประกอบการพิจารณาคำร้องขอปล่อย
ช่ัวคราวโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ในส่วนของการใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษแก่จำเลยนั้น
ยังเปน็ เพียงระยะเรม่ิ ต้น ซ่ึงอาจเป็นเพราะศาลมีช่องทางอีกหลายชอ่ งทางท่ีจะได้รบั ข้อมูลเกี่ยวกับ
จำเลยดังกล่าวมาขา้ งต้นแลว้ ดว้ ย
ในส่วนของการเชอ่ื มต่อการส่งข้อมูลต่าง ๆ เก่ียวกับคู่ความระหว่างศาลชั้นต้นและ
ศาลสูงนั้น สำนักงานศาลยุติธรรมได้ให้การสนับสนุนระบบเทคโนโลยีที่เก่ียวข้อง ทำให้การ
เชื่อมโยงข้อมูลทำได้โดยสะดวกแล้ว และในการประชุมกับผู้บริหารศาลชั้นต้นก็ดี ผู้บริหารศาลสูง
ก็ดี ประธานศาลฎีกาได้เน้นย้ำเร่ืองการส่งต่อข้อมูลต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องระหว่างศาลให้ทุกฝ่ายเข้าใจ
และให้ความร่วมมือเพราะนอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ศาลสูงในการพิจารณาคำร้องต่าง ๆ แล้ว
ยังเป็นประโยชน์แก่คู่ความ เพราะข้อมูลที่ครบถ้วนจะทำให้ศาลสูงใช้ดุลพินิจได้อย่างเหมาะสม
และรวดเร็ว ท้ังไม่เกิดกรณีที่ต้องติดต่อประสานงานกันในภายหลัง ปัจจุบันนอกจากการเชื่อมต่อ
การส่งข้อมูลทางคดีระหว่างกันแล้ว ศาลชั้นต้นยังมีแนวปฏิบัติในการส่งข้อมูลเก่ียวกับความพร้อม
ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว ตลอดจนความพร้อมของการมีผู้กำกับดูแล มายังศาลสูง
พร้อมคำร้องของปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลย อันจะทำให้ศาลสูงมีข้อมูลท่ีพร้อมสรรพ
สามารถเลือกใช้มาตรการหรือเง่ือนไขต่าง ๆ ในการปล่อยชั่วคราวได้โดยไม่เกิดปัญหาข้อขัดข้อง
ภายหลังด้วย อย่างไรก็ตามระบบการเช่ือมต่อข้อมูลนี้ยังจำเป็นต้องมีการพัฒนาต่อไป พร้อมกับ
การทำความเขา้ ใจกับเจ้าหนา้ ที่ผปู้ ฏบิ ตั ใิ ห้เห็นความสำคัญ
18
ขอ้ 2 สมดลุ
“สรา้ งดุลยภาพแหง่ สทิ ธิ”
การคุ้มครองสิทธิของผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลเป็นเรื่อง
สำคัญย่ิงในกระบวนการยุติธรรม แต่การให้น้ำหนักการคุ้มครองสิทธิไปยังกลุ่มหน่ึงกลุ่มใด
มากเกินไปกว่ากลุ่มอ่ืนย่อมทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม และทำให้เกิดความระแวงแคลงใจ ลดทอน
ความเช่ือม่ันศรัทธาของประชาชนท่ีมีต่อศาลได้เช่นเดียวกัน การมีคดีความในศาลปกติย่อมเป็น
เร่ืองของความขัดแย้งหรือพิพาทเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน รากฐานของศาลยุติธรรมจึงจะต้องสร้างความ
สมดุลให้เกิดข้ึนเพ่ือแสดงให้เห็นว่า ศาลยุติธรรมดำรงความเป็นกลาง ไม่ว่าจะในการคุ้มครองสิทธิ
หรือการพิจารณาคดี ด้วยเหตุน้ีประธานศาลฎีกาจึงได้กำหนดนโยบายข้อ ๒. ว่า “สมดุล” และ
กำหนดแนวทางว่า สมดุล คือ การสร้างดุลยภาพแห่งสิทธิของบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ไม่ว่าจะเป็นผู้ต้องหา จำเลย ผู้เสียหาย หรือพยาน นอกจาก
ทุกฝ่ายจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันแล้ว สิทธิท่ีทุกฝ่ายจะได้รับจากศาลต้องมีความ
สมดุลกัน ไม่มากหรือน้อยไปกว่ากัน การคุ้มครองสิทธิของฝ่ายหนึ่งต้องไม่กระทบต่อสิทธิของฝ่ายอื่น
แม้รูปแบบของการดูแลคุ้มครองจะแตกต่างกันก็ตาม ดังถ้อยคำที่ใช้ในการขับเคล่ือนนโยบายข้อน้ี
ที่วา่ “คมุ้ ครองสิทธิจำเลยและผตู้ อ้ งหา เยยี วยาผเู้ สียหายและเหยือ่ เออื้ เฟอ้ื ดูแลพยาน”
ในระยะเวลา ๑ ปี ที่ผ่านมา นโยบายประธานศาลฎีกาข้อนี้ได้รับการกล่าวถึงมาก
ที่สุด เน่ืองจากสถานการณ์ภายในประเทศซึ่งมีการเรียกร้องต่อการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของ
ผตู้ อ้ งหาและจำเลยจากกลุ่มนกั วชิ าการและภาคประชาชน อย่างไรก็ตามศาลยตุ ิธรรมได้ธำรงความ
ยตุ ธิ รรมตามบทบาทหน้าที่ของตนไปพรอ้ มกับการขับเคลื่อนนโยบายขอ้ นี้ได้อยา่ งพร้อมเพรยี งและ
สมบูรณ์ เป็นที่ยอมรับ โดยปราศจากแรงกดดัน มีการกล่าวกันว่าเป็นช่วงเวลาท่ีศาลยุติธรรม
ปรับบทบาทและแนวคิดของตนในการคุ้มครองสิทธขิ องผู้เก่ียวข้องในคดีอาญาอย่างเห็นได้ชัดและ
19
มากท่ีสุดเท่าที่เคยเป็นมา ซ่ึงส่วนหนึ่งน่าจะเพราะเป็นการสานต่อนโยบายของประธานศาลฎีกา
ท่านท่ี ๔๕ นายไสลเกษ วัฒนพันธ์ุ แล้วนำมาขยายผล จึงได้มีการตกผลึกทางความคิดและพร้อม
ในการปฏิบัติอย่างรวดเร็วทันที เพื่อให้นโยบายประการที่ ๒ น้ีบรรลุผล ประธานศาลฎีกา
ไดก้ ำหนดการดำเนินการไว้ ๓ ข้อ คอื
๒.๑ ลดการคมุ ขงั ท่ไี ม่จำเป็นในทุกขนั้ ตอน
การลดการคุมขังท่ีไม่จำเป็นในทุกข้ันตอนของผู้ต้องหาและจำเลย หมายถึง ต้อง
ไมใ่ ห้มกี ารคุมขังโดยไม่จำเป็นไมว่ ่าในขัน้ ตอนใด เพราะทุกขั้นตอนในการดำเนนิ คดีตอ่ ศาลมีโอกาส
ที่จะเกิดการคุมขังท่ีไม่สมควรต้องขังเกิดข้ึน ส่งผลให้มีผู้ต้องขังในเรือนจำจำนวนมากแม้ว่าจะยัง
ไม่มีคำพิพากษาถึงท่ีสุดว่าบุคคลนั้นกระทำความผิดเลยก็ตาม เพ่ือให้บรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าว
ประธานศาลฎีกาจึงแต่งต้ังคณะทำงานส่งเสริมดุลยภาพแห่งสิทธิ ลดการคุมขังท่ีไม่จำเป็นใน
ทุกขั้นตอน โดยให้มีอำนาจหน้าท่ีในการศึกษามาตรการต่าง ๆ ในการขอปล่อยชั่วคราวให้มี
ประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ความสะดวกรวดเร็ว และการลดความเหล่ือมล้ำ
ในการเข้าถงึ สิทธิทีจ่ ะได้รบั การปลอ่ ยช่ัวคราว และได้กำหนดแผนปฏิบัติการไว้ คอื
๒.๑.๑ ให้ความรู้ความเข้าใจและเพ่ิมประสบการณ์แก่ผู้พิพากษา
ทุกช้ันศาลเกี่ยวกับการเข้าถึงสิทธิในการปล่อยช่ัวคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลย
โดยการจัดการอบรม สัมมนา นิเทศงาน ในลกั ษณะตา่ ง ๆ
๒.๑.๒ ปรับปรุงมาตรฐานกลางหลักประกันในการปล่อยชั่วคราว
ให้เหมาะสมแก่บริบทของสังคม
๒.๑.๓ ประสานกับสำนักงานศาลยุติธรรมเพ่ือจัดอุปกรณ์ที่จำเป็น
ให้เพียงพอและสะดวกแก่การใช้งาน เช่น กระจาย EM ไปในต่างจังหวัดอย่างท่ัวถึง
และเหมาะสม โดยให้มศี ูนย์ในสว่ นภมู ิภาคเพือ่ ใชใ้ นการประเมินความเสย่ี ง
20
๒.๑.๔ กำหนดเป้าหมายให้ทุกศาลมีผู้กำกับดูแล และวิเคราะห์
ติดตามผลเพื่อสร้างเครือข่ายทางสังคมในการดูแลผตู้ ้องหา โดยให้แต่ละศาลรายงาน
จำนวนผู้กำกับดูแล และปริมาณคดีที่ให้ประกันโดยมีผู้กำกับดูแล และสถิติจำเลยท่ีมี
ผู้กำกบั ดแู ลหลบหนี
๒.๑.๕ กำหนดมาตรฐานระยะเวลาพิจารณาพิพากษาคดี โดยให้
คดจี ำเลยตอ้ งขงั ระหวา่ งพิจารณาในทุกชั้นศาลตอ้ งแลว้ เสรจ็ ภายใน ๖ เดอื น
๒.๑.๖ ออกคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้มาตรการลงโทษอย่างอ่ืน
แทนการลงโทษจำคกุ เชน่ การรอการกำหนดโทษ โดยกำหนดเงอ่ื นไขตา่ ง ๆ
๒.๑.๗ กำหนดเป้าหมายลดการกักขังแทนค่าปรับให้หมดไป
โดยส่งเสรมิ ให้มีการทำงานบริการสงั คมหรือสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับให้มากขึ้น
ขยายเครือข่ายการทำงานฯ วิเคราะห์ผลในการลดค่าใช้จ่ายของรัฐ โดยให้ทุกศาล
รายงานจำนวนผู้กักขังแทนคา่ ปรับและให้สำนกั งานศาลยุติธรรมวิเคราะห์เรื่องการลด
คา่ ใชจ้ ่ายของภาครัฐ
๒.๑.๘ ให้ศาลสูงอ่านคำพิพากษาโดยระบบทางไกลผ่านจอภาพ
ไปยงั เรือนจำหรือศาลช้ันตน้ แลว้ แตก่ รณเี พ่ือลดการคมุ ขงั ทไ่ี มจ่ ำเป็น
๒.๑.๙ ใหสำนักประธานศาลฎีกาติดตามสถิติคดีในด้านต่าง ๆ
แจึงนกวำทหรอเพาะุทนงห่ือดธนตวรใ้ีจห่าณรำงว้เ์ปเอจปฎ็เทุนสนกี็นหธอา่ือตรัวบง้อณสขจมงถ้อ์าิใมฎติบกหีกกีิกรกมาราาาีกรยรรทาคาครยุมำุ้มคเคขรคุมวัง่อื รขาเงอกมังดนิงทเังสขกก่ีไิท้ามวลใธ่่าจ่าจิเโวำสกทไเัรวบปษี้ภใ็ผนนาสู้ปทพเถฏชุกิตขิ่นบหิกอัตลางสักิผรถคสคู้ติตือูตุม้อิกรขงผากหังู้พราราริรพะหาศหายรึกกวืองษ่าษาจงานาำอพทเกบลจิ ่ีาจรยาระมรเขตปณผย้อ็นู้พาางเิพยรทสาร่ือำถกะงคติยษสำิกะาำสาเทคว่ังรัญี่สลขดถาังังแานบลั้ันนะ
พัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมจัดขึ้น และประธานศาลฎีกาได้เข้าร่วมประชุม
อนุกรรมการบริหารศาลยุติธรรมประจำภาคซึ่งมีอธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำภาค และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลในภาค ทุกภาค เพ่ือทำความเข้าใจ
เก่ียวกับการปล่อยช่ัวคราวโดยใช้กลไกหรือมาตรการต่าง ๆ แทนการเรียกหลักประกันรวมถึงการ
ใช้คำร้องใบเดียวและการประเมินความเส่ียง กับได้ประชุมร่วมกับประธานศาลช้ันอุทธรณ์ทุกศาล
เพื่อให้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกันและให้พิจารณาใช้มาตรการต้ังผู้กำกับดูแล เม่ือวันที่ ๒๐
พฤษภาคม ๒๕๖๔ ซ่ึงหลังจากนั้นก็มกี ารใช้แนวทางดังกลา่ วในศาลอุทธรณ์ภาคหลายแห่ง นบั เป็น
การเรม่ิ ตน้ ทีด่ แี ละทำใหศ้ าลชนั้ ต้นเกดิ ความมั่นใจ
แม้การปล่อยชั่วคราวสามารถใช้กลไกและมาตรการต่าง ๆ ตามกฎหมายแทน
การเรียกหลักประกัน อย่างไรก็ตามยังคงต้องมีกรณีจำเป็นที่ต้องมีการกำหนดวงเงินประกันหรือ
วางหลักประกัน ดังนั้น มาตรฐานกลางหลักประกันจึงยังมีความจำเป็นที่ผู้พิพากษาต้องนำมาเป็น
แนวทางในการมีคำส่ังดังกล่าวอยู่ การปรับปรุงมาตรฐานกลางหลักประกันให้เหมาะสมกับบริบท
21
ทางสังคมจึงเป็นเรื่องท่ีต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ในวันที่ ๔ ธนั วาคม ๒๕๖๓ ประธานศาลฎีกา
จึงได้ออก คำแนะนำของประธานศาลฎีกา เก่ียวกับมาตรฐานกลางสำหรับการปล่อยชั่วคราว
ผู้ต้องหาหรือจำเลย พ.ศ. ๒๕๖๓ อันเป็นการวางแนวทางในการพิจารณาส่ังคำร้องขอปล่อย
ชั่วคราว โดยใช้มาตรการต่าง ๆ ตามกฎหมายในการบรหิ ารความเสย่ี งและจดั การเพื่อให้การปล่อย
ชั่วคราวสามารถคุ้มครองสทิ ธิเสรภี าพขั้นพื้นฐานของผตู้ ้องหาหรือจำเลยและคุ้มครองความสงบสุข
ของสังคมได้ในขณะเดียวกัน โดยไม่นำปัจจัยทางด้านทรัพย์สินหรือหลักประกันมาเป็นหลักสำคัญ
ในการปล่อยช่ัวคราวอีกต่อไป คำแนะนำฉบับนี้ยังได้ลดวงเงินหลักประกันในความผิดประเภทต่าง ๆ
ลงในกรณีท่ีศาลเห็นว่า ในการปล่อยช่ัวคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยรายน้ัน ๆ ยังจำเป็นต้องเรียก
หลกั ประกนั อยู่
ในส่วนของการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการตรวจสอบหรือจำกัดการ
เดินทางของผู้ถูกปล่อยช่ัวคราว (EM) ซ่ึงศาลมักใช้เป็นเง่ือนไขในการปล่อยชั่วคราวจำเลยและ
ผู้ต้องหานั้น แม้จะอยู่ภายใต้การบริหารของศูนย์รักษาความปลอดภัย สำนักงานศาลยุติธรรม
กรุงเทพมหานคร แต่ปัจจุบันได้มีการกระจายอุปกรณ์ดังกล่าวไปยังทั่วทุกพ้ืนที่เพียงพอต่อความ
ต้องการใช้งาน ปัญหาข้อขัดข้องในการบริหารการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เคยมีมาจึงลดลงไป
ในขณะเดียวกันศาลยุติธรรมได้หันมาใช้มาตรการอ่ืนตามกฎหมายในการสั่งอนุญาตให้ปล่อย
ชั่วคราวเป็นทางเลือกเพ่ิมมากข้ึน เช่น การแต่งต้ังผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยช่ัวคราว ตาม
พระราชบญั ญตั ิมาตรการกำกับและติดตามจับกุมผหู้ ลบหนีการปลอ่ ยช่ัวคราวโดยศาล พ.ศ. ๒๕๖๐
ก า ร แ ต่ ง ตั้ ง ผู้ ก ำ กั บ ดู แ ล ผู้ ถู ก ป ล่ อ ย ช่ั ว ค ร า ว เป็ น ม า ต ร ก า ร ส ำ คั ญ ท่ี น อ ก จ า ก
จะนำมาใช้ประกอบการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยเพ่ือป้องกันการหลบหนี
ก่อภัยอันตราย หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดข้ึน ยังเป็นมาตรการที่ภาคสังคมสามารถเข้ามา
มีส่วนในการดูแลความสงบสุขของสังคมร่วมกัน ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ ประธานศาลฎีกา
จึงออกคำแนะนำของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการใช้มาตรการกำกับดูแลในระหว่างปล่อย
ช่วั คราว พ.ศ. ๒๕๖๔ มีวตั ถุประสงค์เพอื่ จดั วางระบบการใช้มาตรการกำกับดแู ลให้มีประสิทธิภาพ
สอดคล้องกับหลักการและวัตถุประสงค์ของกฎหมาย รวมทั้งส่งเสริมให้มีการใช้แพร่หลายมากข้ึน
และเพื่อสนับสนนุ การใชม้ าตรการแต่งตั้งผู้กำกบั ดูแล สำนกั ประธานศาลฎีกาได้จัดตั้งกลุ่ม Open chat
ในแอปพลิเคชันไลน์ (LINE) ข้ึน เพื่อเป็นพ้ืนที่ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล แบ่งปันประสบการณ์
และตอบข้อซักถาม เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยชั่วคราว มีสมาชิกประกอบไปด้วย
ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าท่ีประชาสัมพันธ์ของศาลท่ัวประเทศ รวม ๖๐๐ คน ทำให้เกิดการแบ่งปัน
ประสบการณ์ วิธีการดำเนินงาน ตอบข้อสงสัย ปัญหาข้อกฎหมาย ระเบียบวิธีและแนวปฏิบัติต่าง ๆ
ระหว่างผปู้ ฏิบัติงานได้อยา่ งรวดเร็วและทั่วถึง ในปัจจบุ ันทกุ ศาลช้นั ตน้ ท่ัวประเทศมีรายช่ือผู้กำกับ
ดูแลครบถ้วนแล้ว และศาลชั้นต้นรายงานคดีท่ีมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยช่ัวคราวโดยแต่งต้ังผู้กำกับ
ดแู ลและสถิติจำเลยที่หลบหนแี ละจบั กลับมาไดไ้ ปยังสำนักงานศาลยตุ ธิ รรมอย่างเปน็ ระบบ
22
เดอื น คำรอ้ ง อนญุ าต ไม่อนุญาต ไมเ่ รยี ก เรียก ตัง้ ผู้ ใช้ เรยี ก
หลักประกัน หลกั ประกัน กำกบั อุปกรณ์ หลักประกนั เป็น
ดูแล
EM อัตราร้อยละ
มกราคม ๑๘,๘๗๐ ๑๖,๖๓๓ ๒,๒๓๗ ๓,๗๙๙ ๑๒,๘๗๕ ๓๙๙ ๗๑๙ ๗๗%
กมุ ภาพันธ์ ๑๖,๘๘๘ ๑๔,๙๔๗ ๑,๙๔๑ ๓,๕๔๑ ๑๑,๖๔๑ ๒๖๑ ๕๖๘ ๗๘%
มนี าคม ๑๕,๗๒๗ ๑๓,๙๓๘ ๑,๗๘๙ ๓,๕๕๘ ๑๐,๓๘๐ ๑๗๒ ๕๖๐ ๗๔%
เมษายน ๑๔,๘๒๕ ๑๒,๙๘๒ ๑,๘๔๓ ๔,๐๑๓ ๘,๙๖๙ ๙๘ ๔๗๒ ๖๙%
พฤษภาคม ๑๘,๕๔๕ ๑๕,๖๐๘ ๒,๙๓๗ ๕,๐๓๓ ๑๐,๕๗๕ ๔๑๗ ๖๔๗ ๖๘%
มถิ นุ ายน ๒๓,๐๔๘ ๑๘,๗๓๕ ๔,๓๑๓ ๘,๓๔๓ ๑๒,๐๒๗ ๑,๐๙๕ ๗๐๔ ๖๔%
กรกฎาคม 17,399 ๑๕,๔๖๘ ๑,๙๓๑ ๕,๐๗๖ ๑๐,๓๙๒ ๙๓๒ ๕๖๔ ๖๗%
จากสถิติในปี ๒๕๖๔ ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จเบ้ืองต้นในการนำ
มาตรการแต่งตั้งผู้กำกับดูแลมาใช้เป็นเง่ือนไขในการปล่อยช่ัวคราวอันจะเป็นผลให้การเรียก
หลักประกันลดน้อยลง และเมื่อศาลให้ความสำคัญกับหลักประกันน้อยลงย่อมจะเป็นการลดความ
เหลอื่ มลำ้ ของผู้คนในสังคมไดอ้ กี ทางหนง่ึ
ทั้งนี้ การดำเนินการตามนโยบายในการปล่อยชั่วคราวโดยมุ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิ
เสรีภาพของประชาชน ลดความเหล่ือมล้ำ และลดการคุมขังท่ีไม่จำเป็นตามแนวทางนี้อย่าง
ต่อเนื่อง จึงเกิดการนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการดำเนินการของศาลต่าง ๆ ท่ัวประเทศ
อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำร้องใบเดียว การประเมินความเสี่ยง การปล่อยช่ัวคราวโดย
ไม่เรียกหลักประกัน และการแต่งต้ังผู้กำกับดูแลผู้ถูกปล่อยช่ัวคราว เช่น ศาลจังหวัดธัญบุรี ศาล
จังหวดั สตูล ศาลจังหวัดสงขลา ศาลเยาวชนและครอบครัวจงั หวัดอ่างทอง เป็นต้น แม้ในคดสี ำคัญ
และไดร้ บั ความสนใจจากประชาชนก็ได้มกี ารนำมาตรการแต่งต้ังผกู้ ำกบั ดูแลไปใช้ เชน่ ศาลจังหวัด
เพชรบุรอี นุญาตให้ปล่อยช่ัวคราวผูต้ ้องหาในคดีตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ ซ่ึงเป็นชุมชน
ชาวกระเหร่ียง บ้านบางกลอย กลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวไม่อาจเข้าถึงสิทธิในการปล่อยช่ัวคราวได้โดย
ลำพัง จำเป็นต้องมีผู้ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ ศาลจังหวัดเพชรบุรีจึงได้สอบถามและให้คำแนะนำ
เก่ียวกับการใช้คำร้องใบเดียว และมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยช่ัวคราวโดยไม่เรียกหลักประกันแต่ให้
แตง่ ตั้งผู้กำกับดูแลแทน
23
การดำเนินการตามนโยบายปลอ่ ยช่ัวคราวของศาลตา่ ง ๆ ท่ัวประเทศอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้การเรียกหลักประกันในการอนุญาตให้ปล่อยช่ัวคราวในปี ๒๕๖๔ ลดลง โดยในเดือน
กรกฎาคม ๒๕๖๔ การเรียกหลักประกันอยู่ท่ีร้อยละ ๖๗ ถึงแม้จะเป็นจำนวนที่ลดลงมาถึงร้อยละ
๑๐ จากต้นปี ๒๕๖๔ แต่การเรียกหลักประกันจากผู้ต้องหาหรือจำเลยในการขอปล่อยช่ัวคราว
ควรลดลงอีก เหลือเพียงแตก่ รณีทจ่ี ำเป็นตอ้ งเรียกหลักประกนั อย่างแท้จรงิ เทา่ นั้น
24
การลดการคุมขังที่ไม่จำเป็นโดยการกำหนดมาตรฐานระยะเวลาในการพิจารณา
คดีอาญาที่จำเลยต้องขังในศาลช้ันต้น สำหรับคดีที่จำเลยคนใดคนหนึ่งต้องขังระหว่างพิจารณา
ซึ่งต้องพิจารณาให้แล้วเสรจ็ ภายใน ๖ เดอื น นับแตว่ นั ออกหมายขังระหวา่ งพจิ ารณา เปน็ มาตรการ
สำคัญประการหน่ึงที่ทำให้การคุมขังที่ไม่จำเป็นระหว่างการพิจารณาคดีของศาลลดลงได้ ซึ่งศาล
ชั้นต้นและศาลสูงท่ัวประเทศสามารถพิจารณาคดีประเภทน้ีแล้วเสร็จได้ในมาตรฐานระยะเวลา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เป็นเหตุให้มี
การเล่ือนการพิจารณาคดี เพื่อลดการเดินทางและลดการรวมกลุ่มของบุคคลในสถานที่ต่าง ๆ
อีกท้ังเมื่อมีการแพรร่ ะบาดในเรือนจำส่งผลให้เรือนจำมีมาตรการห้ามเคลื่อนย้ายผู้ต้องขังออกจาก
เรือนจำ ซ่ึงเป็นเหตุขัดข้องและทำให้การพิจารณาคดีรวมท้ังคดีอาญาท่ีจำเลยต้องขังต้องล่าช้า
ออกไปและลว่ งเลยกำหนดระยะเวลา ๖ เดือน ซ่ึงย่อมกระทบกระเทือนต่อสิทธเิ สรภี าพของจำเลย
ท่ีต้องขังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ประธานศาลฎีกาจึงวาง ระเบียบ
ราชการฝา่ ยตลุ าการศาลยุติธรรม ว่าด้วยการดำเนินคดอี าญาในระหวา่ งท่มี ีการแพร่ระบาดของ
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (Coronavirus Disease : COVID-๑9) พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อให้
การดำเนินคดีอาญาท่ีจำเลยต้องขังสามารถดำเนินการไปได้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด
ไม่ว่าจะเป็นการต้ังทนายความ การอ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง การสอบคำให้การ การตรวจ
พยานหลกั ฐาน การสืบพยานในกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพ การอ่านคำพิพากษาหรอื คำสั่งของศาล
และการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่น หากจำเลยไม่คัดค้านหรือให้ความยินยอมแล้วแต่กรณี
โดยวธิ ีการถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะการประชมุ ทางจอภาพ หรอื ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
หรือแอปพลเิ คชันอ่นื เพอ่ื ให้การดำเนินกระบวนพจิ ารณาคดอี าญาที่จำเลยต้องถูกคมุ ขังอยูส่ ามารถ
ดำเนินการต่อไปได้อันเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของจำเลยในสถานการณ์ที่ไม่อาจดำเนิน
กระบวนพิจารณาได้ตามปกติ
ปัจจุบันศาลต่าง ๆ ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาโดยวิธีการถ่ายทอดภาพและ
เสียงในลักษณะการประชุมทางจอภาพ หรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือแอปพลิเคชันอ่ืนแล้ว
ในระดับหน่ึง แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ยังคงมีอยู่
ตอ่ ไป และยังไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาไดต้ ามปกติ การดำเนินคดีอาญาตามระเบียบดงั กลา่ ว
นจ้ี ำต้องดำเนนิ การต่อไปเพ่อื เปน็ การคุ้มครองสทิ ธเิ สรีภาพของจำเลย โดยควรแนะนำให้ศาลชน้ั ต้น
ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีท่ีจำเลยต้องขังมาเป็นเวลานานแล้วอย่างเร่งด่วน ท้ังน้ีต้องคำนึงถึง
สิทธิในการตอ่ สู้คดีของจำเลยต้องไมล่ ดน้อยถอยลงดว้ ย
ส่วนการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษทางอาญาให้ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์การ
กระทำความผิดเป็นรายบุคคลเป็นอีกแนวทางหน่ึงในการลดความเหล่ื อมล้ำในกระบวนการ
ยุติธรรมและลดการคุมขังท่ีไม่จำเป็น เพราะการลงโทษจำคุกระยะส้ันไม่เกิดประโยชน์ในทางแก้ไข
บำบัดพฤติกรรมของผู้ต้องโทษ แต่กลับทำให้ผู้ต้องโทษมีประวัติติดตัวว่าเคยได้รับโทษจำคุก
มากอ่ น ยากต่อการกลับคืนส่สู ังคมไดอ้ ย่างปกติ ในวนั ท่ี ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ ประธานศาลฎกี า
25
จึงออก คำแนะนำของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยแนวทางการใช้โทษอาญา พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อเป็น
แนวทางให้ผู้พิพากษาใช้มาตรการท่ีเป็นทางเลือกอันมิใช่การคุมขังจำเลยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เหมาะสม และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยใช้มาตรการต่าง ๆ ท้ังการยกโทษจำคุก การรอการ
กำหนดโทษ และการรอการลงโทษ แทนการลงโทษจำคุกระยะสั้น ศาลหลายแห่งได้นำมาตรการ
ลงโทษอย่างอื่นแทนการลงโทษจำคุกไปใช้ในการพิพากษาซ่ึงศาลต่าง ๆ ได้นำนโยบายนี้ไปใช้ใน
การพิจารณาพิพากษาคดีมากข้ึน เช่น ศาลจังหวัดเวียงสระ ศาลแขวงสุราษฎร์ธานี เป็นต้น
ซ่ึงพบว่าสามารถป้องปรามการกระทำความผิดซ้ำ ควบคู่ไปกับการดูแลให้ผู้เสียหายได้รับการ
เยียวยาท้ังทางจิตใจและทรัพย์สิน และคุ้มครองความปลอดภัยแก่สังคมโดยรวมได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ
การนำมาตรการทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ มาใช้ให้
มากข้ึนส่งผลต่อการลดการคุมขังแทนค่าปรับลงได้ เมื่อศาลพิพากษาลงโทษปรับจำเลยซ่ึงเป็นการ
ลงโทษเพื่อมุ่งประสงคท์ ี่จะบังคับเอากบั ทรัพย์สินมใิ ช่เสรภี าพของจำเลย แต่เมื่อผ้ตู ้องโทษปรับไม่มี
ทรัพยส์ ินเพียงพอจะเสียคา่ ปรับ กลับต้องถูกกักขังแทนค่าปรบั อันเปน็ การผิดวัตถุประสงค์ของการ
ลงโทษเสียตั้งแต่แรก การดำเนินนโยบายให้ศาลต่าง ๆ อนุญาตให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการ
สังคมแทนค่าปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐/๑ ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง และ
ประธานศาลฎีกาได้เน้นย้ำในการตรวจราชการศาลต่าง ๆ เสมอมา โดยให้ศาลชั้นต้นถือปฏิบัติ
ตามกฎหมาย คู่มือปฏิบัติราชการของตุลาการส่วนวิธีพิจารณาความอาญา และระเบียบราชการ
ฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยการกำหนดจำนวนช่ัวโมงที่ถือเป็นการทำงานหน่ึงวัน และ
แนวปฏิบตั ิในการให้ทำงานบรกิ ารสังคมหรอื สาธารณประโยชน์แทนคา่ ปรับและการเปล่ยี นสถานท่ี
กักขัง พ.ศ. ๒๕๔๖ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. ๒๕๖๐ เพ่ือมิให้มีผู้ต้องถูกจำกัด
เสรีภาพเพียงเพราะความยากจนอันเป็นการลดความเหล่ือมล้ำจากความแตกต่างกันทางด้าน
ทรัพยส์ นิ ดว้ ย
จากผลการดำเนินการสนับสนุน ส่งเสริม ให้ศาลต่าง ๆ แจ้งสิทธิแก่ผู้ต้องโทษปรับ
ในการขอทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ ส่งผลให้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓ ถึงเดือน
กรกฎาคม ๒๕๖๔ ศาลทั่วประเทศมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการสังคมแทน
ค่าปรับรวม ๑๔,๔๙๓ คำร้อง เป็นค่าปรับ ๒๐๗,๙๙๕,๗๕๖ บาท โดยมีการดำเนินการประสาน
ความร่วมมือกับกรมคุมประพฤติในการสร้างภาคีเครือข่ายการบริการสังคมและสาธารณประโยชน์
ม่งุ เนน้ การให้ผู้ต้องโทษปรบั ฝึกฝนทกั ษะอาชีพและเพ่ิมความชำนาญให้แก่ผู้ตอ้ งโทษปรบั ในวชิ าชีพ
ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถนำทักษะและความรู้ความชำนาญท่ีมีเพิ่มข้ึนไปใช้ประโยชน์ในการทำงาน
บ ริก ารสั งค มห รือ สาธารณ ป ระ โยชน์ เพื่ อล ด จำน วน ชั่ วโม งที่ ถื อ เป็ น ก ารท ำงาน ห นึ่ งวัน ล งได้
ซ่ึงนอกจากจะเป็นประโยชน์ในการลดจำนวนวันทำงานของผู้ต้องโทษปรับรายน้ันลงแล้ว
ผู้ต้องโทษปรับยังสามารถนำทักษะความรู้ความสามารถท่ีได้ไปพัฒนาตนเองเพ่ือสร้างรายได้
26
ดูแลตนเองและครอบครัวต่อไปในอนาคต นับเป็นการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระทำผิดที่มีประสิทธิภาพ
คืนคนคุณภาพแก่สังคม และลดการกระทำความผิดซ้ำได้
อย่างไรก็ตาม การสร้างภาคีเครือข่ายของกรมคุมประพฤติยังจำกัดเพียงเฉพาะ
บางพ้ืนทท่ี ี่กำหนดไว้เป็นศาลต้นแบบเท่านั้น หากศาลตา่ ง ๆ ทั่วประเทศ ประสานความรว่ มมอื กับ
สำนักงานคุมประพฤติในพ้ืนที่เพ่ือให้เกิดการสร้างภาคีเครือข่ายในการทำงานบริการสังคมหรือ
สาธารณประโยชน์แทนค่าปรับหรือมีการกำหนดประเภทงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์
ให้เหมาะสมกับพื้นท่ีและมีความหลากหลาย ก็ย่อมจะส่งผลให้มีการทำงานบริการสังคมหรือ
สาธารณประโยชนแ์ ทนค่าปรบั ที่หลากหลายและกอ่ ให้เกิดประโยชน์ทัง้ ตอ่ สังคมและตอ่ ตัวผู้ทำงาน
บรกิ ารสงั คมเองไดม้ ากยิ่งข้ึน
นอกจากน้ี ระยะเวลาในการจดั ส่งคำพพิ ากษาคดอี าญาของศาลสูงเพอ่ื ไปอา่ นให้แก่
คู่ความท่ีศาลชั้นต้น หากเป็นกรณีที่จำเลยถูกคุมขังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ระยะเวลาดังกล่าว
ย่อมก่อให้เกิดการคุมขังท่ีไม่จำเป็นข้ึน ดังนั้น การลดขั้นตอนและระยะเวลาในการอ่าน
คำพิพากษาศาลสูงโดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยสนับสนุนจึงเป็นแนวทางหน่ึงที่จะช่วยลดการ
คุมขังที่ไม่จำเป็นในกรณีนี้ลงได้ ในวันท่ี ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ ประธานศาลฎีกาจึงวาง ระเบียบ
ราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยการอ่านคำพิพากษาหรือคำส่ังศาลสูงในคดีอาญาและ
คดีแพ่งที่ศาลสูงโดยจัดให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงผ่านส่ืออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อให้
ดำเนินการอ่านคำพิพากษาจากศาลสูง ท้ังศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ และ
ศาลอุทธรณ์ภาค โดยการจัดให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ อันเป็นการลด
ข้นั ตอนและระยะเวลาในการดำเนินคดแี ตล่ ะชน้ั ศาล ซงึ่ ศาลสงู ไดด้ ำเนนิ ตามระเบียบน้ีแลว้
การดำเนินการตามนโยบายลดการคุมขังที่ไม่จำเป็นได้มีการเก็บสถิติต่าง ๆ
เช่น สถิติการปล่อยช่ัวคราว การหลบหนี การติดตามจับกุม การขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ฎีกา
การคุมขังเกินกว่าโทษ การขังระหวา่ งพจิ ารณา และการขังระหวา่ งอุทธรณ์ ฎีกา โดยมีรายละเอยี ด
สถิติผู้ต้องขังระหว่างพิจารณา ณ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๔ จำนวน ๕๒,๑๔๙ คน มีสถิติจำเลย
27
หลบหนีและจับกุมตัวได้แล้วในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ ท้ังส้ิน ๒๓๘ คน เป็นจำเลยที่อนุญาตให้
ปล่อยชั่วคราวโดยเรียกหลักประกัน ๑๔๓ คน และไม่เรียกหลักประกัน ๙๕ คน มีสถิติจำเลย
ที่ศาลพิพากษายกฟ้องโดยให้ขังระหว่างอุทธรณ์ ฎีกา รวม ๒๙ คน และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้
ปล่อยช่ัวคราวจำเลยท่ยี ่ืนคำร้องขอปล่อยชว่ั คราวทั้งหมด การเก็บสถิตเิ หล่าน้ีเป็นประโยชนใ์ นการ
นำมาวิเคราะห์และตรวจสอบผลการดำเนินการตามนโยบายลดการคุมขังท่ีไม่จำเป็นให้สัมฤทธ์ิผล
และสรา้ งความเชอื่ ม่ันใหแ้ ก่ผปู้ ฏบิ ตั ิ
๒.๒ ยกระดับศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนุษย์ของจำเลยระหวา่ งการตอ่ สคู้ ดีในศาล
การตกเป็นจำเลยในคดีอาญา เมื่อยังไม่มีคำพิพากษาถึงท่ีสุดว่าเป็นผู้กระทำ
ความผิด บุคคลเหล่านั้นย่อมถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ การปฏิบัติต่อจำเลยในคดีอาญาในทุก ๆ
ข้ันตอนจึงต้องคำนึงถึงศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์เป็นสำคัญ การดำเนินงานตามนโยบายน้ีจึงได้
กำหนดแผนปฏิบัติการไว้ คอื
๒.๒.๑ ให้ศาลปฏิบัติต่อคู่ความทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะ
จำเลยให้ เท่าเที ยมกับ คู่ความอีกฝ่ายในระหว่างการพิจารณ าพิ พ ากษ าคดี
ให้ความสำคัญกับการอ่านอธิบายฟ้องและการสอบคำให้การจำเลย รวมถึงการ
จัดสถานท่ี เช่น การแยกห้องการรอประกันโดยแยกระหว่างจำเลยที่ได้รับการ
ปล่อยช่วั คราวกบั กลุ่มจำเลยที่มาจากเรือนจำ
๒.๒.๒ ให้ ศาลจัดการฝึกอบรมบุ คลากรในการเต็ มใจให้ บริการ
อยา่ งเท่าเทียมกัน
ในการที่จะสร้างดุลยภาพแห่งสิทธิ ศาลจำเป็นจะต้องปฏิบัติต่อทุกฝ่ายอย่าง
เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะจำเลยหรือผู้ต้องหาในคดีอาญา โดยในการตรวจราชการศาลต่าง ๆ ทาง
ออนไลน์ทั่วประเทศ ประธานศาลฎีกาเน้นย้ำให้ผู้พิพากษาให้ความสำคัญกับการอ่านอธิบายฟ้อง
และการสอบคำให้การจำเลยต่อหน้าอย่างละเอียดถ่ีถ้วน เพราะเป็นกระบวนการท่ีสำคัญท่ีทำให้
จำเลยเข้าใจในข้อหาที่ถูกฟ้องอย่างถ่องแท้ก่อนที่จะตัดสินใจให้การ นอกจากน้ี การจัดสถานที่
ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นสัดส่วน โดยคำนึงถึงเพศ วัย ข้ันตอนการพิจารณาคดี การควบคุมตัว
ยังเป็นการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาหรือจำเลยอย่างเหมาะสม เช่น แยกสถานท่ีรอพิจารณาคดีระหว่าง
กลุ่มจำเลยท่ีได้รับการปล่อยชั่วคราวกับกลุ่มจำเลยที่มาจากเรือนจำ แยกห้องรอฟังคำสั่งปล่อย
ช่ัวคราว ห้องรอชำระค่าปรับ เป็นต้น ศาลหลายแห่งดำเนินการครบถ้วนแล้ว แต่บางแห่งยังมี
ข้อขัดข้องอันเนื่องจากลักษณะของอาคารสถานท่ีท่ีมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ใช้สอย แม้ศาลหลายแห่ง
จะพยายามจัดสรรพ้ืนที่ช่ัวคราวเพ่ือแยกผู้ต้องหาหรือจำเลยระหว่างรอฟังคำส่ังปล่อยชั่วคราว
แต่หากจัดสรรพื้นท่ีได้อย่างถาวรย่อมจะเกิดผลดียิ่งข้ึน ดังนั้น คณะอนุกรรมการพิจารณากำหนด
รูปแบบอาคารที่ทำการและที่พักอาศัยของศาลยุติธรรม ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณากำหนด
28
รูปแบบมาตรฐานอาคารท่ีทำการศาล จึงได้ดำเนินการกำหนดรูปแบบอาคารท่ีทำการศาลต่าง ๆ
ที่จะดำเนินการก่อสร้างใหม่โดยแบ่งแยกห้องต่าง ๆ ให้เหมาะสม ส่วนท่ีทำการศาลเดิมที่สามารถ
ปรับปรุงได้ สำนักงานศาลยุติธรรมจะดำเนินการปรบั ปรงุ ต่อไป
การที่ศาลจะให้การคุ้มครองสิทธิแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้เกิดความสมดุลน้ัน
เจ้าหน้าท่ีที่เกี่ยวข้องจำเป็นท่ีจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ และมีจิตสำนึกในการให้บริการ
แก่ประชาชนด้วยใจ ศาลต่าง ๆ จึงได้จัดอบรมบุคลากรของศาลเพื่อให้เข้าใจบทบาทหน้าท่ีและ
ตระหนักถงึ ความสำคัญของการให้บริการประชาชน เพอ่ื ใหป้ ระชาชนผู้รับบริการเกดิ ความพึงพอใจ
ในการให้บริการอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ศาลแขวงดอนเมือง ศาลแขวงขอนแก่น ศาลเยาวชนและ
ครอบครัวจงั หวดั บุรรี มั ย์ เปน็ ต้น
๒.๓ ยกระดับการคุ้มครองสิทธิแก่ผู้เสียหาย เหยื่ออาชญากรรม และพยาน
ในคดีอาญา
ผู้เสียหายและเหย่ืออาชญากรรมในคดีอาญาเป็นบุคคลท่ีได้รับผลกระทบจากการ
กระทำความผิดอาญาโดยตรง แต่ท่ีผ่านมายังไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิและได้รับการเยียวยา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านจิตใจ อย่างเหมาะสม ดังน้ัน สิทธขิ องผู้เสียหายหรือเหย่ืออาชญากรรม
จะต้องถูกยกระดับให้อยู่ในลำดับเดียวกับสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลย ผู้เสียหายต้องได้รับการ
ปฏิบัติอย่างเหมาะสมในทุกข้ันตอนของการดำเนินคดีอาญา ได้รับการปฏิบัติด้วยความเห็นอกเห็น
ใจและเคารพในศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ ส่วนพยานบุคคลในคดีอาญาถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญ
อย่างยิ่งในกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาเพราะเป็นผู้ท่ีจะใหข้ ้อเท็จจรงิ ในคดีอันจะเปน็ ประโยชน์
แก่การวินิจฉัยตัดสินคดีให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ในทางปฏิบัติพยานบุคคลจำนวนมาก
ยังไม่ได้รับการปฏิบัติท่ีดีและเหมาะสมเท่าที่ควรเม่ือต้องมาเบิกความในศาล และยังไม่รับรู้หรือ
29
เข้าใจสิทธิของตนในด้านต่าง ๆ ก่อให้เกิดความกังวลใจและอาจรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงได้กำหนด
แผนปฏิบตั กิ ารไว้ คอื
๒.๓.๑ ให้สำนักประธานศาลฎีกาจัดให้มีคำแนะนำหรือคู่มือเกี่ยวกับ
แนวทางปฏิบัติแก่ผู้เสียหาย เหย่ืออาชญากรรมและพยานในคดีอาญา เช่น คำแนะนำ
ของประธานศาลฎีกาเก่ยี วกับแนวทางการปฏบิ ตั ิตอ่ ผเู้ สยี หายในคดอี าญา พ.ศ. ๒๕๖๓
๒.๓.๒ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เสียหาย
ได้รบั การชดเชยอยา่ งยตุ ธิ รรม เชน่ กรมบังคับคดี เปน็ ตน้
ในวันท่ี ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๓ ประธานศาลฎีกาได้ออก คำแนะนำของประธาน
ศาลฎีกาเก่ียวกับแนวทางการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๖๓ เพือ่ เป็นแนวทางการ
ดำเนินการของศาลในการปฏิบัติต่อผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมด้วยความเข้าใจและคำนึงถึง
ศักด์ิศรีของบุคคล ตลอดจนความปลอดภัยและผลกระทบท่ีจะเกิดขึ้นต่อร่างกาย จิตใจ ฐานะ
สถานภาพทางสังคม ความเป็นอยู่ และการดำรงชีวิตของผู้เสียหายอันเน่ืองมาจากการดำเนิน
กระบวนพิจารณาของศาล และเพื่อให้แนวทางการปฏิบัติต่อผู้เสียหายตามคำแนะนำของประธาน
ศาลฎีกาได้รับการปฏิบัติอย่างแพร่หลายท่ัวประเทศ มีการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ และสร้าง
ช่องทางให้ผู้เสียหายสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และประหยัด
ในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ จึงมีการจัดต้ัง “ศูนย์กลางข้อมูลผู้เสียหายในคดีอาญา” ขึ้น
เพื่อให้เป็นหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางของศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้เสียหายใน คดีอาญ าทั่วประเทศ
มีภารกิจในการรวบรวมข้อมูลผู้เสียหายและแบบแสดงความประสงค์ในการใช้สิทธิของผู้เสียหาย
ของศาลยุติธรรมมาจัดเก็บไว้เพอื่ เปน็ ฐานข้อมูลในการบรหิ ารจัดการ ส่งผลใหผ้ ูเ้ สยี หายในคดีอาญา
สามารถขอรับความช่วยเหลือ โดยการให้ข้อมูลท่ีเก่ียวข้องและเป็นประโยชน์ในทางคดี รวมท้ัง
ความเสียหายท่ีได้รับ ความต้องการให้ช่วยเหลือเยียวยา ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองความปลอดภัย
การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และการคัดค้านการปล่อยช่ัวคราว ซ่ึงสามารถให้ข้อมูลดังกล่าว
ได้ทันทีที่ตกเป็นผู้เสียหายและได้แจ้งความร้องทุกข์แล้ว โดยไม่ต้องรอให้คดีเข้าสู่การพิจารณาใน
ช้ันศาลเสียก่อน ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว หลายช่องทาง ซ่ึงการดำเนินการน้ีส่งผลให้ศาลมีข้อมูล
และทราบความต้องการของผู้เสียหายต้ังแต่เร่ิมต้นดำเนินคดีในชั้นสอบสวน ความต้องการ
ความคิดเห็น และข้อกังวลใจของผู้เสียหายจะถูกรวบรวมและส่งไปถึงผู้พิพากษาที่มีอำนาจหน้าท่ี
โดยตรงในทุกขั้นตอนของการดำเนินคดีอาญา และข้อมูลเหล่าน้ันจะได้รับการพิจารณา
ประกอบการใช้ดุลพินิจในการทำคำสง่ั ตลอดจนการวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดี ผู้เสียหายจะได้รับการ
ปฏบิ ตั ิอย่างเหมาะสม และมสี ว่ นร่วมในทกุ ข้ันตอนของการดำเนนิ คดีอาญา
30
ศาลชั้นตน้ ทั่วประเทศได้ดำเนินการตามนโยบายในการคุ้มครองสทิ ธิผู้เสยี หายอย่าง
เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการรับบันทึกข้อมูลความประสงค์ของผู้เสียหายท้ังคดีท่ีย่ืนฟ้องต่อศาล
แล้ว และยังไม่ได้ย่ืนฟ้องเข้าสู่ระบบศูนย์กลางข้อมูลผู้เสียหาย เช่น ศาลจังหวัดราชบุรี ศาลจังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และศาลจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งได้ปรับปรุง
ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย ให้คำปรึกษาแนะนำสิทธิให้แก่ผู้เสียหายและให้บริการบันทึกข้อมูล
ความประสงค์ของผู้เสียหายส่งไปยังศูนย์กลางข้อมูลผู้เสียหายผ่านระบบบริการออนไลน์
ศาลยุตธิ รรม (CIOS) เปน็ ตน้
ต้ังแต่เริ่มดำเนินงานศูนย์กลาง
ข้อมูลผู้เสียหายมาจนถึงปัจจุบัน มีผู้ส่งข้อมูล
ผู้เสียหายมาแล้ว ๒,๙๘๐ เรื่อง แต่ยังขาดการ
ติ ด ต า ม แ ล ะ ป ร ะ เมิ น ผ ล สั ม ฤ ท ธิ์ ข อ ง ก า ร
ดำเนินการตามที่ผู้เสียหายแสดงความประสงค์
วา่ ได้ดำเนนิ การไปแลว้ จำนวนเทา่ ใด ยงั ไมไ่ ด้
31
ดำเนินการอีกเป็นจำนวนเท่าใด อันเน่ืองมาจากเหตุขัดข้องประการใด การดำเนินงานในส่วนนี้
จงึ ต้องมกี ารประชาสัมพันธแ์ ละประเมินผลตอ่ ไป
ในส่วนของการปฏิบัติต่อพยาน
ผู้ซ่ึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการให้ข้อเท็จจริง
อันเป็นประโยชน์ต่อศาลในการพิจารณ า
พิพากษาคดีได้อย่างถูกต้องน้ัน ในวันที่ ๑๔
มกราคม ๒๕๖๔ คณะทำงานส่งเสริมดุลยภาพ
แห่งสิทธิ ลดการคุมขังท่ีไม่จำเป็นในทุกข้ันตอน
ได้ออกแนวทางการปฏิบัติท่ีเหมาะสมต่อ
พยานบุคคลในคดีอาญา เพื่อให้ศาลชั้นต้นใช้
เป็นแนวปฏิบัติเบื้องต้นในด้านต่าง ๆ ต่อพยาน
ทั้งในเร่ืองมาตรการความปลอดภัย การให้ความ
สะดวกต่อพยาน ซึ่งศาลตา่ ง ๆ ในนำแนวทางนีไ้ ปปฏิบตั ิอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง
ท่ีมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ศาลเล่ือนการพิจารณาคดีไปเป็นจำนวน
มาก และส่วนหน่ึงของคดีเหล่านั้นเป็นคดีท่ีมีการออกหมายเรียกพยานไว้ล่วงหน้าแล้ว
คณะอนุกรรมการศึกษา ติดตาม และแก้ไขปัญหาการบรหิ ารจดั การคดีภายใต้สถานการณ์การแพร่
ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (Coronavirus Disease : COVID-19) ได้ออก
แนวปฏบิ ัติใหศ้ าลต่าง ๆ ประสานแจง้ ไปยังพยาน เพอื่ มิใหพ้ ยานต้องเดินทางมาศาลโดยไมจ่ ำเปน็
อน่ึง ในการดำเนินนโยบายลดการคุมขังท่ีไม่จำเป็นผ่านนโยบายการปล่อยช่ัวคราว
น้ัน ประธานศาลฎีกาได้วาง ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมว่าด้วยการปล่อยชั่วคราว
(ฉบับท่ี 3) พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกาศใช้ในวันท่ี ๒๔ มิถนุ ายน ๒๕๖๔ อันเป็นการวางแนวทางการย่ืน
คำร้องขอปล่อยช่ัวคราวและลำดับขั้นตอนในการพิจารณาคำส่ังอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวไว้อย่าง
ชดั เจนเพอื่ ใหผ้ ้พู ิพากษานำไปปฏิบัติให้เปน็ ไปในแนวทางเดียวกนั อยา่ งย่ังยืนตอ่ ไป
นอกจากน้ี การดำเนินการตามนโยบาย ข้อ ๒ สมดุล “สร้างดุลยภาพแห่งสิทธิ” น้ี
ไดม้ กี ารรวบรวมและจัดพิมพ์เป็นหนังสือ “ศาลยตุ ธิ รรม บนเส้นทางการสร้างดุลยภาพแหง่ สิทธิ”
ข้ึน เพ่ือเป็นส่ือให้คนในสังคมได้รับทราบและเข้าใจบทบาทตลอดจนการดำเนินงานของศาล
ยุติธรรมในการคุ้มครองสิทธิของผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม หนังสือเล่มน้ีจะทำให้
ผู้พิพากษา ผู้เก่ียวข้องในกระบวนการยุติธรรม นักวิชาการ ตลอดจนประชาชนผู้สนใจ เห็นว่า
32
การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกกำหนดเป็นภารกิจสำคัญและมีการแสวงหา
แนวทางต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมผ่านนโยบายประธานศาลฎีกาที่มีการขับเคล่ือน
อย่างมีระบบแบบแผน หนังสือน้ีจัดพิมพ์แล้วเสร็จแจกจ่ายให้แก่ผู้พิพากษาทั่วประเทศและจัดทำ
ในรูป e- book พร้อมแปลเปน็ ภาษาอังกฤษ เพอื่ เผยแพรต่ ่อไปอยา่ งกวา้ งขวางและไปสู่สากล
33
3. สร้างสรรค์
“สร้างกลไกการดำเนินกระบวนพจิ ารณาและการพิพากษาคดีท่ที ันสมยั ”
จากสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองท่ีมีการเปล่ียนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้ปัญหาข้อพิพาทรวมถึงลักษณะการก่ออาชญากรรมสมัยใหม่มีความสลับซับซ้อน บางคร้ัง
ยากแก่การพิสูจน์ หรือค้นหาความจริงด้วยระบบวิธีพิจารณาความแบบเดิม ซ่ึงหากกระบวนการ
ยุติธรรมโดยเฉพาะอย่างย่ิงศาลยุติธรรมซ่ึงเป็นองค์กรที่ใชอ้ ำนาจตลุ าการในการพจิ ารณาพิพากษา
คดี ไม่อาจปรับตัวใหท้ ันต่อความเปลยี่ นแปลงหรือช้ันเชิงของการประกอบธรุ กิจ ช้ันเชิงขององค์กร
อาชญากรรม ย่อมถอื เป็นความลม้ เหลวและทำให้ประชาชนขาดความเช่อื มั่นศรัทธาในทส่ี ุด จึงเป็น
ภารกิจของศาลยุติธรรมท่ีจะต้องสร้างกลไกหรือเคร่ืองมือในการค้นหาความจริง ปรับเปล่ียน
กระบวนพิจารณาคดีให้มีความทันสมัยสอดคล้องต่อบริบทของสังคม เพิ่มบทบาทของศาลในการ
แสวงหาพยานหลักฐาน ใชเ้ ทคโนโลยหี รอื การพิสูจนท์ างวิทยาศาสตร์ทไ่ี ด้รบั การยอมรับและเชื่อถือ
ได้มาแทนการพ่ึงพาเพียงพยานบุคคลดังเช่นท่ีเคยถือปฏิบัติมา ซึ่งนอกจากจะทำให้กระบวนการ
ยุติธรรมไทยสามารถอำนวยความยุติธรรมได้อย่างแท้จริงแล้ว ยังจะได้รับการยอมรับจากนานา
ประเทศด้วย เพื่อให้บรรลถุ ึงเป้าหมายดังกล่าว ประธานศาลฎกี าไดก้ ำหนดแนวทางการดำเนินการ
ไว้ ๓ ประการ ดงั น้ี
๓.๑ พัฒนากลไกและระบบการดำเนินคดีที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่
ความปลอดภัยของประชาชน และเศรษฐกิจสังคมของประเทศให้มีประสิทธิภาพ
เป็นธรรม และสอดคลอ้ งกบั บรบิ ทของสงั คม
ในบริบทของสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงไป ศาลยุติธรรมในฐานะองค์กรท่ีทำหน้าท่ี
พจิ ารณาพิพากษาคดีจำเปน็ ตอ้ งรเู้ ท่าทันและมเี คร่ืองมอื ในการทำงานท่ีทันสมยั และชว่ ยสนบั สนุน
การทำงานให้สามารถให้ความเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่ายอย่างได้ผลดีย่ิงในมาตรฐานเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างย่ิงในคดีท่ีมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ ความปลอดภัยของประชาชน เน่ืองจาก
ปัญหาข้อพิพาทในคดีลักษณะดังกล่าวส่งผลต่อประชาชนและสังคมในวงกว้าง การอำนวยความ
ยุติธรรมท่ีมีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์จะสามารถสร้างความเช่ือม่ันศรัทธาได้ ประธาน
ศาลฎกี าจึงได้วางแผนปฏบิ ตั กิ ารในเรอื่ งดงั กลา่ วไว้ว่า
จัดการอบรมและทำคู่มือการดำเนินคดีบางประเภทท่ีมีผลกระทบต่อประชาชน
เช่น คมู่ ือการดำเนินคดีแบบกลุม่ (Class Action) คูม่ อื การดำเนนิ คดสี ง่ิ แวดล้อม เป็นต้น
ในปีที่ผ่านมา การดำเนินคดีแบบกลุ่มมีเพ่ิมมากข้ึน เน่ืองจากประชาชนตื่นตัว
ในการรับรู้ถึงสิทธิของตนและแนวทางการดำเนินคดีแบบกลุ่มของศาลมีความชัดเจนมากยิ่งข้ึน
34
ผเู้ ก่ยี วขอ้ งต่างมีความรู้ความเข้าใจมากข้ึน ในศาลใหญ่บางแห่ง เช่น ศาลแพ่ง มกี ารจัดทำคู่มือและ
แนวทางในการพิจารณาคดีดังกล่าวเพื่อให้ผู้พิพากษาใช้เป็นแนวทาง นอกจากนี้ คณะอนกุ รรมการ
ปรับปรุงแก้ไขคู่มือปฏิบัติราชการของตุลาการก็อยู่ระหว่างการจัดทำคู่มือตุลาการในส่วนการ
ดำเนินคดีแบบกลุ่มเพื่อให้ศาลยุติธรรมทั่วประเทศสามารถนำมาใช้ในการทำงานในแนวทาง
เดียวกัน ซ่ึงคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเร็ววันน้ี นอกจากน้ีในส่วนของการดำเนินคดีสิ่งแวดล้อม
ซึ่งเป็นคดีที่ส่งผลต่อระบบนิเวศน์ ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนการดำรงอยขู่ องมนุษยโลกในระยะยาว
อันจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาพิพากษาโดยผู้พิพากษาท่ีมีความรู้ความเข้าใจในปัญหา
ส่ิงแวดล้อมเป็นอย่างดีนั้น แม้จะยังมิได้แยกวิธีพิจารณาออกมาโดยเฉพาะแต่ก็มีการเตรียมการ
ในการออกข้อกำหนดการพิจารณาคดีส่ิงแวดล้อมเพื่อให้ศาลยุติธรรมมีแนวทางท่ีชัดเจนในการ
พิจารณาคดีประเภทดังกล่าวแล้ว ท้ังประธานศาลฎีกาได้มีดำริให้รวบรวมรายช่ือผู้พิพากษาท่ีมี
ความสนใจในปัญหาส่ิงแวดล้อมและพร้อมที่จะทำงานในด้านนี้ไว้แล้ว เพื่อให้สามารถพัฒนา
บุคลากรได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย และสามารถใช้องค์ความรู้จากผู้พิพากษากลุ่มดังกล่าวในการ
วางแนวทางในการพิจารณาคดีส่ิงแวดล้อมต่อไป อีกทั้ง สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการ
ศาลยุตธิ รรมได้จัดอบรมความรู้เกี่ยวกับกฎหมายส่ิงแวดล้อมข้ึน ประกอบด้วยการจัดอบรมสัมมนา
หั วข้อ "Expert Dialogue and Review Seminar Introductory Course on International
and National Environmental Law and Governance" ร่ ว ม กั บ USAID แ ล ะ UNEP
ในลกั ษณะ Train the Trainers ผู้เข้ารว่ มอบรมสมั มนา ระหว่างวนั ที่ 19 ถึง 20 เมษายน 2564
จำนวน 20 คน และการจัดอบรมทางวชิ าการ หลักสตู ร “กฎหมายสิ่งแวดลอ้ มสำหรับผ้พู ิพากษา”
รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 10 - 14 พฤษภาคม 2564 โดยอบรมออนไลน์ผ่านโปรแกรม Zoom
มผี เู้ ข้ารับการอบรมเปน็ ข้าราชการตลุ าการศาลยุตธิ รรม จำนวน 56 คน จากศาลฎีกา ศาลอทุ ธรณ์
และศาลอุทธรณ์ภาค ศาลแพ่ง และศาลในสังกัดภาค อันเป็นการเสริมสร้างความรู้ในด้าน
สิง่ แวดล้อมให้แกผ่ พู้ พิ ากษา โดยมแี ผนการจดั การอบรมในลักษณะดังกล่าวเป็นระยะต่อไปดว้ ย
นอกจากน้ีในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ศาลยุติธรรมต้องเผชญิ ปญั หาการเลื่อนคดีทย่ี าวนานโดยยังไมท่ ราบว่าเหตกุ ารณ์นจี้ ะส้ินสุด
ลงเม่ือใด ส่งผลให้มีคดีที่ค้างพิจารณาจำนวนมากกว่าทุกช่วงเวลาในอดีตท่ีผ่านมา หากปล่อยไว้
เช่นน้ียอ่ มเกิดความเสยี หายแก่คู่ความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีอาญาท่ีจำเลยต้องขัง ศาลยุติธรรมจึง
ต้องหันมาใช้วิธีพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ซ่ึงเป็นหนทางเดียวท่ีจะทำให้ศาลสามารถดำเนิน
กระบวนพิจารณาต่อไปได้ด้วยความปลอดภัยแก่ผู้เก่ียวข้องทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม การนำวิธี
พิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในทันทีย่อมเกิดปัญหาในทางปฏิบัติด้วยเหตุที่แต่ละศาล
มีความพร้อมไม่เท่ากัน ประธานศาลฎีกาจึงได้มีคำส่ังตั้งคณะทำงานนิเทศ ติดตาม ส่งเสริม และ
สนับสนุนการพิจารณาคดีทางอิเล็กทรอนิกส์ในศาลชั้นต้นข้ึนเพื่อวางระบบการพิจารณาทาง
อเิ ล็กทรอนิกส์ของศาลชั้นต้นท่ัวประเทศ และขณะนี้คณะทำงานได้ออกคู่มือการใช้วิธีพิจารณาคดี
ทางอิเล็กทรอนิกส์แล้วเสร็จ เพ่ือให้ศาลต่าง ๆ ใช้เป็นแนวทางและเป็นเคร่ืองมือในการทำงาน
35
โดยสมบูรณ์แล้ว วิธีพิจารณาดังกล่าวย่อมสอดคล้องต่อสภาวการณ์ในปัจจุบัน และสามารถให้
ความเป็นธรรมแก่คู่ความได้แม้ประเทศจะยังมีปัญหาด้านสุขอนามัยอยา่ งต่อเน่ืองก็ตาม ท้ังในช่วง
ระยะเวลาท่ีผ่านมาสำนักงานศาลยุติธรรมได้สนบั สนนุ การพจิ ารณาคดีทางอิเลก็ ทรอนกิ ส์ทกุ วิถที าง
โดยการจัดอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรทั้ง ผู้พิพากษา ข้าราชการศาลยุติธรรม รวมถึงทนายความ
ซ่ึงจะตอ้ งทำงานร่วมกนั ให้มคี วามเข้าใจในการใชร้ ะบบอยา่ งตอ่ เน่ือง
๓.๒ พัฒนาระบบเจ้าพนักงานคดีเพ่ือให้มีบทบาทสนับสนุนการพิจารณาคดี
ของศาลเพ่ิมข้ึน
ปจั จุบัน ในคดีผู้บรโิ ภค และคดีอาญาทุจรติ และประพฤตมิ ิชอบ กฎหมายบญั ญตั ใิ ห้
มเี จา้ พนักงานคดีเพื่อช่วยเหลือคู่ความหรอื ศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณาหลายประการ ทั้งน้ี
เพื่อใหเ้ กิดความเป็นธรรมในการพิจารณาคดี แต่ทีผ่ า่ นมาเจ้าพนกั งานคดยี ังมไิ ดท้ ำหน้าที่หรือแสดง
บทบาทดังกล่าวตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเท่าใดนัก แต่กลับได้รับมอบหมายให้ทำงานธุรการ
อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าพนักงานคดีในคดีผู้บริโภคซึ่งมีมากว่า ๑๐ ปี แล้ว แต่ยังมิได้รับ
มอบหมายงานตามอำนาจหน้าที่ ทั้งที่คดีผู้บริโภคเป็นคดีแพ่งส่วนใหญ่ของศาลยุติธรร ม
การแสวงหาหรือรวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ จึงยังคงเป็นหน้าที่ของคู่ความหรือศาล ก่อให้เกิด
ปัญหาในทางปฏิบัติหลายประการ ประธานศาลฎีกาเล็งเห็นว่าการพัฒนาระบบเจ้าพนักงานคดี
ให้สนับสนุนการพิจารณาคดีของศาลเพ่ิมข้ึน ย่อมจะเกิดประโยชน์และช่วยให้การพิจารณาคดีของ
ศาลมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน ท้ังประชาชนผู้มีอรรถคดีก็จะได้รับการคุ้มครองสิทธิที่พึงมี จึงได้ให้
แผนปฏิบตั กิ ารในกรณนี ีไ้ ว้ คือ
๓.๒.๑ ให้ศาลทบทวนพิจารณาการกำหนดภาระหน้าที่ พร้อมทั้ง
มอบหมายงานให้แก่เจ้าพนักงานคดี ให้มีหน้าท่ีหลักในการสนับสนุนการพิจารณา
พิพากษาคดีของศาล รวมท้ังจัดให้มีการฝึกอบรม สร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่
เจ้าพนักงานคดีในการปฏบิ ัติหน้าที่ดงั กลา่ ว
๓.๒.๒ ต้ังคณะกรรมการศึกษาแนวทางเพื่อจัดให้มีเจ้าพนักงานคดี
ในคดปี ระเภทอืน่ เช่นคดชี ำนญั พเิ ศษต่าง ๆ
๓.๒.๓ ต้ังคณะกรรมการศึกษาแนวทางเพ่ือจัดให้มีเจ้าพนักงานคดี
ในศาลสูงเพอ่ื สนบั สนนุ งานประชมุ คดี
36
ภายหลังประธานศาลฎีกาได้แถลงนโยบายแล้ว สำนักงานศาลยุติธรรมได้สนับสนุน
การดำเนินการตามนโยบายประธานศาลฎีกาทันที โดยเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมได้ออก
คำส่ังสำนกั งานศาลยตุ ิธรรม ที่ 1710/2563 ลงวนั ท่ี 1 ธนั วาคม 2563 แตง่ ตัง้ คณะทำงาน
พัฒนาระบบเจ้าพนักงานคดี เพ่ือศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขเพื่อการพัฒนาระบบ
เจ้าพนักงานคดีในศาลยุติธรรมให้มีบทบาทในการสนับสนุนการพิจารณาคดีและภารกิจของ
ศาลยุติธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้เจ้าพนักงานคดีมีความก้าวหน้า
ในหน้าที่ราชการตามบทบาทและความรับผิดชอบท่ีกฎหมายกำหนด ตลอดจนระยะเวลาการ
ทำงาน อันนำไปสู่การออกคำแนะนำประธานศาลฎีกาว่าด้วยบทบาทและอำนาจหน้าที่ของ
เจ้าพนักงานคดี พ.ศ. 2564 เมื่อวันท่ี 1 มิถุนายน 2564 ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา
เมื่อวันท่ี 16 มถิ นุ ายน 2564
นอกจากน้ี คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมในการประชุม ครั้งที่ 7/2564 มีมติ
เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายใน
และกำหนดอำนาจหน้าท่ีของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซ่งึ มี
สาระสำคัญ คือ เพิ่มส่วนงานเจ้าพนักงานคดีในสำนักส่งเสริมงานตุลาการ อันเป็นครั้งแรกท่ีมี
การแบ่งส่วนงานของเจ้าพนักงานคดีออกมาอย่างชัดเจน และมีการดำเนินการให้เจ้าพนักงานคดี
ได้ปฏิบัติหน้าท่ตี ามกฎหมาย และกำหนดภารกิจหน้าที่ความรบั ผิดชอบ รวมท้ังกำกับดูแล ประสาน
ความร่วมมือ และแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติงานร่วมกัน กับมีการแต่งต้ังคณะทำงานจัดทำคู่มือ
มาตรฐานงานคดีสำหรับเจ้าพนักงานคดีตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551
และคณะทำงานพัฒนาระบบเจา้ พนกั งานคดียังได้มอบหมายใหส้ ถาบันวิจัยและพฒั นารพีพัฒนศักดิ์
ออกหนังสือเวียนสำนักงานศาลยุติธรรม ด่วนทีส่ ดุ ที่ ศย 020/ว96 (ป) ลงวนั ที่ 1 กรกฎาคม ๒๕64
เรื่อง ภารกิจและหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานคดี ให้สอดคล้องกับประกาศสำนักงาน
ศาลยุติธรรมฯ ดังกล่าว โดยมีสาระสำคัญ คือ เพื่อให้การดำเนินงานของเจ้าพนักงานคดีเป็นไป
ด้วยความเรียบร้อยและปฏิบัติหน้าท่ีให้เป็นมาตรฐานในทิศทางเดียวกัน และในการประชุม
คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ครั้งท่ี 8/2564 ท่ีประชุมมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานคดี
ประจำศาลยุติธรรม) ตามท่ีคณะอนุกรรมการกลั่นกรองเร่ืองเสนอคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม
คณะที่ 3 (ฝ่ายกฎหมาย) เสนอ และมอบหมายให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการรับฟังความคิดเห็น
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 และเสนอร่างกฎหมายฉบบั ดงั กลา่ วไปตามขนั้ ตอนของกฎหมายต่อไป
สำหรับแนวทางจัดการให้มีเจ้าพนักงานคดีในศาลอ่ืน ๆ หรือศาลสูงนั้น คณะทำงาน ฯ
ชุดน้ี ได้ศึกษาแนวทางและวางระบบไว้ครบถ้วนแล้ว แต่การบรรจุแต่งต้ังอย่างเป็นรูปธรรม
ย่อมขึ้นอยู่กับความพร้อมในเร่ืองการจัดสรรอัตรากำลังและงบประมาณ ซ่ึงสำนักงาน
ศาลยุติธรรมจะต้องดำเนินการต่อไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ท่ีจะทำให้เจ้าพนักงานคดีเป็นผู้ช่วย
ของผู้พิพากษาในการรวบรวมพยานหลักฐานและการพิจารณาคดีแต่ละประเภทได้อย่างแท้จริง
37
อยา่ งไรก็ตาม ความเปล่ียนแปลงที่ดำเนินมาในระยะเวลา ๑ ปี น้ี ถือได้ว่าได้มีการปรบั บทบาทของ
เจ้าพนักงานคดีไปในทางท่ีควรจะเป็นได้มากท่ีสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมานับแต่ปี ๒๕๕๑ ส่วนการ
พัฒนาระบบเจ้าพนักงานคดีจะดำเนินไปได้ถึงจุดใดย่อมขึ้นอยู่กับผู้บริหารศาล และการทำความ
เข้าใจกับข้าราชการศาลยุติธรรมส่วนอ่ืน ๆ เพ่ือให้ปรับแนวคิดและเห็นประโยชน์ของการ
มเี จ้าพนักงานคดเี ปน็ กลไกในการอำนวยความยุติธรรมของศาล
๓.๓ พัฒนาระบบการตรวจร่างคำส่ังหรือคำพิพากษาในทุกช้ันศาลและ
การประชุมคดใี นศาลสงู โดยใช้เทคโนโลยีทีท่ นั สมัย
การตรวจร่างคำส่ังหรือคำพิพากษามีความสำคัญเพื่อให้คำสั่งหรือคำพิพากษานั้น
มีความถูกต้องสมบูรณ์ท้ังข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ในศาลช้ันต้นคดีบางประเภทต้องส่งร่าง
คำพิพากษาไปให้สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาคตรวจ ตามระเบียบราชการฝ่ายตุลาการ
ศาลยุติธรรมวา่ ดว้ ยการรายงานคดีสำคญั ในศาลช้ันต้นและศาลช้ันอุทธรณ์ต่อประธานศาลฎกี าและ
การรายงานคดีและการตรวจสำนวนคดีในสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค พ.ศ. 2562 ซึ่งมี
เจตนารมณ์ให้ผู้พิพากษาท่ีมีประสบการณ์มากกว่าได้ช่วยเหลือองค์คณะผู้พิพากษาตรวจทาน
กลั่นกรองคำพิพากษาเพ่ือให้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมเป็นหลักประกันความเป็นธรรมให้แก่
ทกุ ฝ่ายได้อย่างแท้จริง ขณะเดียวกันก็ประกันความเป็นอิสระแก่องค์คณะผู้พิพากษาด้วย โดยหาก
องค์คณะยืนยันตามความเห็นเดิมอธิบดีผู้พิพากษาภาคจะบังคับให้เปลี่ยนแปลงผลไม่ได้ ซึ่งมีสิทธิ
แค่ทำบนั ทกึ ความเห็นแยง้ ติดสำนวนไว้เพ่ือใหเ้ กิดสิทธใิ นการอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปเท่านั้น สว่ นใน
ศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกามีกองผู้ช่วยผู้พิพากษาทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและค้นคว้า
ปัญหาข้อกฎหมาย ตลอดจนช่วยแก้ไขปรับปรุงร่างคำพิพากษา เพื่อเป็นหลักประกันในด้านความ
ถูกต้อง รวดเรว็ และเป็นธรรมแกป่ ระชาชน แต่การตรวจร่างคำส่ังและคำพิพากษาท่ีผา่ นมาตอ้ งใช้
เวลาในการส่งร่างฯ ไปและกลับ ท้ังการตรวจและบันทึกด้วยลายมืออาจเกิดปัญหาในการสื่อ
ความหมายท่ีถูกต้อง หากต้องแก้ไขร่างคำส่ังหรือคำพิพากษาจะต้องมีการจัดพิมพ์ใหม่และ
ตรวจทานอีกหลายครั้ง เกิดความสิ้นเปลืองการใช้กระดาษ ปัจจุบันมนุษย์ล้วนใช้เทคโนโลยี
ที่ทันสมัยมาเป็นเคร่ืองมือในการทำงานเพ่ือความสะดวกรวดเร็ว การตรวจร่างคำส่ังหรือคำพิพากษา
จึงควรต้องมีการพัฒนา และทางเลือกหน่ึงที่ทำได้ไม่ยาก คือการตรวจร่างคำส่ังและคำพิพากษา
ทางเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย ลดการใช้กระดาษ เพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และ
สามารถรักษาความลับได้ด้วย ส่วนการประชุมคดีในศาลสูงเป็นกระบวนการสร้างมาตรฐาน
คำพิพากษาท่ีมีครอบคลุมความรอบรู้ของผู้พิพากษา สมควรนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เพื่อเพ่ิม
ขีดความสามารถในการทำงาน ประธานศาลฎีกาให้ความสำคัญกับการพัฒนาการตรวจร่างคำส่ัง
และคำพพิ ากษา ตลอดจนการประชุมคดีโดยใชเ้ ทคโนโลยีทเ่ี หมาะสม และให้มีแผนปฏิบตั ิการ คอื
38
๓.๓.๑ ให้สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค และศาลสูงทุกแห่งศึกษา
และจัดระบบการตรวจร่างคำสั่งหรือคำพิพากษาทางอิเล็กทรอนิกส์เพ่ือความสะดวก
รวดเรว็ ลดการใชก้ ระดาษ ท้ังเป็นการรกั ษาความลับ
๓.๓.๒ ให้ศาลสูงทุกศาลยกระดับคุณภาพของการทำคำพิพากษาและ
สร้างความเข้มแข็งของระบบองค์คณะในคดีบางประเภทด้วยการประชุมคดีของ
องคค์ ณะ
๓.๓.๓ ให้สำนักงานศาลยุติธรรมสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการ
ประชุมคดีเพ่ือความสะดวกรวดเร็ว
ในรอบปีท่ีผ่านมา นับว่าศาลยุตธิ รรมท้ังศาลชั้นต้นและศาลสูงมคี วามต่ืนตัวอย่างมาก
ในการนำเทคโนโลยีท่ีทันสมัยมาใช้ในการตรวจร่างคำส่ังและคำพิพากษา ตลอดจนการประชุมคดี
โดยศาลฎีกาได้ใช้ระบบประชุมคดีเข้มข้นขององค์คณะในการพิจารณาพิพากษาคดีจำนวนมาก
โดยการจัดทำเป็นโครงการนำร่อง เร่ิมจากการดำเนินการในบางแผนกคดีและต่อมาได้ขยายออก
มาถึงคดีท่ัวไปด้วย องค์คณะผู้พิพากษาท่ีเข้าร่วมในโครงการต่างมีความพึงพอใจ แม้ในช่วงการ
แพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ จะส่งผลกระทบต่อการประชุมคดีที่ต้องหยุดชะงัก
เพื่อความปลอดภัย แต่เม่ือสถานการณ์คลี่คลายลงเช่ือว่าศาลต่าง ๆ จะกลับมาดำเนินการต่อไป
ในส่วนการตรวจร่างคำส่ังและคำพิพากษาทางเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ก็ยังดำเนินการอย่างต่อเน่ือง
สามารถลดขั้นตอนการทำงาน ลดการใช้กระดาษ และรักษาความลับได้ตามวัตถุประสงค์
นอ กจากนี้ การด ำเนิ นก ารตาม น โยบ ายข้ อนี้ ยังได้ รับ การป ฏิ บั ติใน ศาลอุ ท ธรณ์ อีกห ลายแ ห่ ง
เช่น ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ และจากรายงานผลการดำเนินงาน
ตามนโยบายประธานศาลฎีกา สำหรับรอบระยะเวลาวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑
มีนาคม ๒๕๖๔ ปรากฏว่าศาลสูงได้จัดให้มีระบบตรวจร่างคำส่ังหรือคำพิพากษาทางเอกสาร
อเิ ล็กทรอนิกสใ์ นทกุ ศาลแล้ว
39
สว่ นศาลชน้ั ตน้ ได้ขบั เคลื่อนนโยบายโดยการให้มีการตรวจร่างคำสง่ั และคำพิพากษา
ทางเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ไปเป็นจำนวนมาก เช่น สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 สำนักงาน
อธิบดีผู้พิพากษาภาค ๕ สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค ๘ และสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค ๙
ส่งผลให้การทำงานรวดเร็วมีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน และกำลังขยายผลออกไป ทั้งน้ี สำนักงาน
ศาลยุติธรรมได้ให้การสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงการดำเนินการวางระบบให้เป็น
แบบเดียวกันท้ังประเทศ ซ่ึงคาดว่าจะเห็นผลได้ในระยะเวลาไม่นาน นโยบายข้อน้ีจึงถือได้ว่า
ประสบความสำเรจ็ และไดร้ ับความรว่ มมือ โดยมแี นวโน้มทีจ่ ะขยายผลออกไปไดอ้ กี
40
ขอ้ 4 สง่ เสรมิ
“สง่ เสรมิ ความกา้ วหนา้ ในหน้าทรี่ าชการ
และให้ความสำคญั แกค่ ณุ ภาพชีวติ ของบุคลากร”
การได้รับการสนับสนุนข้อมูลและการอบรมทางด้านวิชาการจากหน่วยงานที่มี
ศักยภาพ ย่อมนำมาซึ่งประสิทธิภาพและความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าท่ีราชการของบุคลากร
ทุกฝ่ายในศาลยุติธรรม แต่ด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับโครงสร้าง อำนาจหน้าท่ี และปริมาณหลักสูตร
ต่าง ๆ ในความรับผิดชอบของสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ทำให้ที่ผ่านมา
สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมยังไม่สามารถแสดงศักยภาพและบทบาท
ดังกล่าวแก่บุคลากรของศาลยุติธรรมได้เทา่ ทคี่ วร โดยเฉพาะวิชาการกฎหมายเฉพาะด้านท่เี ก่ียวกับ
ภาษีอากร แรงงาน ล้มละลาย สงิ่ แวดล้อม ผู้บริโภค และทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่าง
ประเทศ ทั้งท่ีศาลยุติธรรมควรที่จะเป็นผู้นำทางด้านวิชาการของกฎหมายเฉพาะด้านต่าง ๆ
ดังกล่าว การยกระดับสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมให้เป็นสถาบันหลักทาง
วิชาการด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม จะทำให้สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการ
ศาลยุติธรรมมีบทบาทในการส่งเสริมข้อมูลและความรู้ทางด้านวิชาการให้แก่บุคลากรได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
นอกจากการส่งเสริมความรู้ทางวิชาการให้แก่บุคลากรทุกฝ่ายในศาลยุติธรรมแล้ว
การที่บุคลากรมีสุขภาพกายท่ีแข็งแรงและมีสุขภาพจิตท่ีสมบูรณ์ย่อมนำมาซึ่งความสุขและ
ประสทิ ธิภาพในการทำงาน ประธานศาลฎีกาจงึ มีนโยบายสง่ เสริมการพัฒนากายและจิตเพื่อให้เกิด
ดุลยภาพในการทำงานและใช้ชีวิตอย่างสมดุล แต่อย่างไรก็ตามลำพังการมีสุขภาพกายและ
สุขภาพจิตท่ีดียังไม่เพียงพอต่อการทำงานและใช้ชีวิตอย่างสมดุลได้ หากต้องประกอบด้วยปัจจัย
อีกหลายประการ และปัจจัยในการทำให้เกิดดุลยภาพในการทำงานและใช้ชีวิตที่สำคัญประการ
หน่งึ กค็ ือ การทำงานในปรมิ าณท่ีเหมาะสม หนว่ ยงานท่ีมปี ริมาณเนื้อหาของงานมากควรได้รับการ
จดั สรรบุคลากรให้เพียงพอต่องาน ประธานศาลฎีกาจงึ ส่งเสริมใหศ้ าลยุตธิ รรมมกี ารจัดอัตรากำลัง
บคุ ลากรให้เหมาะสมกับภาระงานโดยมีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่ออำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนไดอ้ ย่าง
ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้บุคลากรมีความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการอย่างเป็นธรรม
และได้รับค่าตอบแทนท่ีสัมพันธ์กับความรู้ความสามารถ หน้าท่ีความรับผิดชอบ ตลอดจน
ระยะเวลาการทำงาน
41
การดำเนินการนโยบายส่งเสริมดังกล่าวบางเร่ืองสามารถกระทำได้ทันทีโดย
มอบหมายสำนักประธานศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม และสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่าย
ตุลาการศาลยุติธรรม เป็นหน่วยขับเคลอื่ นนโยบาย แตก่ ารดำเนินการตามนโยบายในหลาย ๆ เรื่อง
มีข้อจำกัดของกฎหมาย ระเบียบ ประกาศ และหลกั เกณฑ์ภายในศาลยุติธรรม จงึ มีการกำหนดการ
ดำเนินการเพื่อใหเ้ ป็นไปตามนโยบายประการที่สน่ี ี้ไว้ ๔ ขอ้ ดังนี้
๑. ยกระดับสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมให้เป็นสถาบัน
หลักทางวิชาการด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้พิพากษา
ได้ทำงานดา้ นวิชาการโดยเฉพาะอีกทางหนง่ึ นอกเหนือจากงานด้านพจิ ารณาพิพากษาคดี
สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักของศาล
ยุติธรรมในการพัฒนาบุคลากรของศาลยุติธรรม จึงต้องเป็นหน่วยงานที่สามารถพัฒนาความรู้
สามารถ และความเช่ียวชาญเฉพาะด้านให้แก่ผู้พิพากษาและบุคลากรท่ีเก่ียวข้องได้อย่างแท้จริง
เพื่อให้บุคลากรของศาลยุติธรรมเป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจ และรเู้ ท่าทนั ตอ่ สถานการณ์ การปรับ
โครงสร้างของสถาบนั พัฒนาขา้ ราชการฝ่ายตลุ าการศาลยุติธรรม ใหเ้ ป็นสถาบันวิชาการขององคก์ ร
ศาลยุติธรรม สอดรับกับนโยบายการบริหารราชการศาลยุติธรรมท่ีให้ความสำคัญกับการยกระดับ
องค์กรศาลยุติธรรมเพ่ือให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นศรัทธาในการอำนวยความยุติธรรมและเป็นท่ี
ยอมรับทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับสากล ศาลยุติธรรมถือได้ว่าเป็นองค์กรท่ีมี
บคุ ลากรทีม่ คี วามรูค้ วามสามารถทางกฎหมายในระดับดีเยย่ี มเป็นจำนวนมาก การยกระดับสถาบัน
พัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมให้เป็นสถาบันหลักทางวิชาการด้านกฎหมายและ
กระบวนการยุติธรรม จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้พิพากษาที่มีความสนใจได้มีโอกาสและเวทีในการ
แสดงความรู้ความสามารถทางด้านวิชาการ โดยให้มาปฏิบัติหน้าท่ีเป็นการประจำโดยมีวาระการ
ดำรงตำแหน่งท่ีแน่นอน ซ่ึงเมื่อครบระยะเวลาการดำรงตำแหน่งแล้ว มีการหมุนเวียนผู้พิพากษา
42
อื่นที่ทำงานด้านพิจารณาพิพากษาคดีเข้ามาประจำที่สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการ
ศาลยุติธรรม ก็จะทำให้เกิดกลุ่มของผู้พิพากษาที่เพียบพร้อมท้ังประสบการณ์ในด้านวิชาการและ
ด้านการพิจารณาพิพากษาคดี อันยังให้เกิดประโยชน์โดยรวมแก่ราชการศาลยุติธรรม โดยมี
แผนปฏิบตั กิ าร คอื
ตั้งคณะทำงานศึกษาปรับปรุงโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ของสถาบันพัฒนา
ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม เพ่ือพัฒนาให้เป็นสถาบันวิชาการด้านกฎหมาย
และกระบวนการยุตธิ รรม และจดั ใหม้ ีผู้พพิ ากษาทำงานวิชาการในสถาบันดังกล่าว
ประธานศาลฎีกาได้มคี ำสั่งต้ังคณะทำงานศึกษาปรับปรุงโครงสร้าง อำนาจหน้าท่ี
ของสถาบันพั ฒ นาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมเพ่ื อพั ฒ นา ให้เป็ นสถาบันวิชาการ
ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และจัดให้มีผู้พิพากษาทำงานวิชาการในสถาบัน
ดังกล่าว ซึ่งต่อมาศาลยุติธรรมได้มีประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เรื่อง การแบ่ง
ส่วนราชการภายในและกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการในสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรม
(ฉบับท่ี ๑2) พ.ศ. ๒๕๖๔ ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ โดยเนื้อหาของประกาศ
มีส่วนที่เก่ียวข้องกับการยกระดับสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมโดยกำหนด
อำนาจหน้าท่ีของสถาบันพัฒนาขา้ ราชการฝ่ายตลุ าการศาลยุติธรรมใหเ้ ปน็ สถาบันหลกั ทางวิชาการ
ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในงานวิชาการของผู้พิพากษา การเสริมสร้างองค์ความรู้
ในการพิจารณาพิพากษาคดี การส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม และสำนักงานศาลยุติธรรมได้มี
ประกาศสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง การแบ่งส่วนราชการภายใน และกำหนดหน้าท่ีความ
รับผิดชอบของหน่วยงานในสำนักงานศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 16) ประกาศ ณ วันท่ี ๒๘ มิถุนายน
๒๕๖๔ เพ่ือให้สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมมีส่วนงานท่ีสอดคล้องกับภารกิจ
ตามประกาศคณะกรรมการบรหิ ารศาลยุติธรรม โดยเพ่ิมส่วนงานใหม่ ๔ ส่วนงาน คือ ส่วนกิจการ
วิทยาเขต วิทยาลัยวิชาการกฎหมายเฉพาะด้านศาลยุติธรรม ศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคลากร
และศูนย์วิเทศศึกษาให้แก่สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม โดยกำหนดให้
วิทยาลัยวิชาการกฎหมายเฉพาะด้าน ศาลยุติธรรมมีอำนาจหน้าท่ีในการออกแบบและสร้าง
หลักสูตรของวิชากฎหมายเฉพาะด้าน ศาลยุติธรรม เพื่อดำเนินการฝึกอบรมทางวิชาการเก่ียวกับ
กฎหมายและความเช่ียวชาญเฉพาะด้านให้แก่ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ผู้พิพากษา
สมทบ ผู้ประนีประนอม และอนุญาโตตุลาการ รวมถึงบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องในงาน
ศาลยุติธรรมโดยมีคณะกรรมการวิทยฐานะทางกฎหมาย ซึ่งแต่งตั้งตามระเบียบคณะกรรมการบริหาร
ศาลยุติธรรม ว่าด้วยการอบรมและพัฒนางานวิชาการทางกฎหมายเฉพาะด้าน พ.ศ.๒๕๖๔
ลงวันท่ี ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ทำหน้าที่ในภาพรวมของหลักสูตรและการอบรม ส่วนการพัฒนา
หลักสูตรและบริหารจัดการในภาควิชาทางกฎหมายเฉพาะด้านภาษีอากร แรงงาน ล้มละลาย
43
ส่ิงแวดล้อม ผู้บริโภค และทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ เป็นอำนาจหน้าที่
ของคณะกรรมการวิชาการประจำหลกั สูตร
ท้ังนี้ คณะกรรมการบรหิ ารศาลยุตธิ รรมมีมติเหน็ ชอบในการประชมุ คณะกรรมการ
บริหารศาลยุติธรรม ครั้งท่ี ๖/๒๕๖๔ เม่ือวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ให้เพิ่มอัตรากำลังของ
ขา้ ราชการตุลาการอีก ๒๗ อัตรา ให้แกส่ ถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม แบง่ เป็น
รองเลขาธิการสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ๑ อัตรา ผู้พิพากษา
(คณะบริหาร) ๒ อัตรา และผู้พิพากษาทำงานด้านวิชาการ (วิจัยและพัฒนา) ๒๔ อัตรา และ
คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมมีมติเห็นชอบในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการ
ศาลยุติธรรม ครั้งที่ ๖/๒๕๖๔ เม่ือวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ ให้ปรับปรุงโครงสร้างของสถาบัน
พัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (๔ ส่วนงานท่ีเพ่ิม) และเพิ่มอัตรากำลังของข้าราชการ
ศาลยตุ ธิ รรมแก่สถาบนั พัฒนาขา้ ราชการฝา่ ยตุลาการศาลยตุ ธิ รรม ๑๐๑ อตั รา
การยกระดับสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมและจัดต้ังวิทยาลัย
วิชาการกฎหมายเฉพาะด้าน ศาลยุติธรรม นอกจากจะเป็นการส่งเสริมให้บุคลากรของ
ศาลยุติธรรมได้รับการอบรมและสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการอย่างรอบด้านและเป็นระบบแล้ว
ยังเป็นการเสริมสร้างสถานะของสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมให้เป็นผู้นำ
ทางด้านวิชาการกฎหมายเฉพาะด้านของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและแวดวงการศึกษา
วชิ านิติศาสตร์ด้วย
44
๒. จัดอัตรากำลังบุคลากรให้เหมาะสมกับภาระงานเพ่ืออำนวยความยุติธรรม
แกป่ ระชาชนได้อย่างทวั่ ถงึ และมีประสิทธิภาพ
ท่ีผ่านมาการบริหารงานบุคคลของศาลยุติธรรม มีการจัดอัตรากำลังของบุคลากร
ทั้งจำนวนของข้าราชการตุลาการและข้าราชการศาลยุติธรรมโดยอ้างอิงจากปริมาณคดีท่ีเกิดข้ึนใน
แต่ละศาล ดังนั้น ศาลที่มีปริมาณคดีมากจึงมักได้รับการจัดสรรอัตรากำลังของข้าราชการตุลาการ
และข้าราชการศาลยุติธรรมมากไปด้วย โดยที่มิได้คำนึงถึงเน้ือหา ความยากง่าย ความซับซ้อน
และโอกาสในการเกิดคดีสาขา ปริมาณคดีที่นำมาเป็นฐานในการคำนวณเพ่ือกำหนดอัตรากำลัง
ของบุคลากรโดยเฉพาะในศาลชั้นต้นจงึ ไมส่ ะท้อนต่อความเปน็ จริง ส่งผลต่อประสทิ ธิภาพตลอดจน
ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรทุกฝ่าย การศึกษาและสำรวจปริมาณคดีที่เกิดขึ้น
ในแต่ละศาล ควบคู่ไปกับความยากง่าย ความซับซ้อน และโอกาสในการเกิดคดีสาขาย่อมนำมาสู่
การวิเคราะห์เพื่อกำหนดจำนวนของบุคลากรในแต่ละศาลได้อย่างเหมาะสมต่อสภาพของ
แต่ละศาล อันจะนำไปสู่คุณภาพของคำพิพากษาและคำสัง่ กอ่ ใหเ้ กิดประโยชน์โดยตรงแกป่ ระชาชน
ผมู้ ีอรรถคดี โดยมแี ผนปฏบิ ตั กิ าร คอื
ตั้งคณะกรรมการพิจารณากำหนดอัตรากำลังท่ีเหมาะสมกับภาระหน้าท่ี
ในแต่ละศาล โดยแยกประเภทคดี ทนี่ ำมาใช้เปน็ สถิตใิ นการกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน
ประธานศาลฎีกาจึงตั้งคณะกรรมการพิจารณากำหนดอัตรากำลังที่เหมาะสมกับ
ภาระหน้าท่ีในแต่ละศาล แยกประเภทคดีที่นำมาใช้เป็นสถิติในการกำหนดเกณฑ์มาตรฐาน
โดยลงนามในคำส่ังคณ ะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ที่ ๕/๒๕๖๔ เรื่อง แต่งตั้ง
คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบงานศาลยุติธรรม ลงวันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๖๔ เพ่ือพัฒนา
ระบบงานศาลยุติธรรมและปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดอัตรากำลังผู้พิพากษา เง่ือนไขในการ
พิจารณาและแนวทางในการกำหนดจำนวนผู้พิพากษาในศาลยุตธิ รรมให้เหมาะสมตามความจำเป็น
ของศาลยุติธรรม โดยคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวมีอำนาจหน้าท่ีในการศึกษา พิจารณา
เสนอแนะและดำเนินการเก่ียวกับการพัฒนาระบบงานศาลยุติธรรม พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์
การจดั อัตรากำลังผพู้ ิพากษา เงอื่ นไขในการพิจารณาและแนวทางในการกำหนดจำนวนผู้พิพากษา
ในศาลยุติธรรม และให้คณะอนุกรรมการฯ รายงานความคืบหน้าหรือผลการดำเนินการให้
คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมทราบอย่างต่อเนื่อง และคณะอนุกรรมการได้พิจารณาจัด
อัตรากำลังและกำหนดจำนวนผู้พิพากษาในศาลช้ันอุทธรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนการพิจารณา
จัดอัตรากำลังและกำหนดจำนวนผู้พิพากษาในศาลช้ันต้นคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวาระโยกย้าย
๑ เมษายน ๒๕๖๕
45
๓. ส่งเสริมให้บุคลากรได้พัฒนากายและจิตเพื่อสร้างดุลยภาพในการทำงานและ
การใช้ชีวติ อยา่ งมีความสขุ
การมีสุขภาพกายและจิตท่ีดีย่อมนำมาซ่ึงความสุขของบุคลากรของศาลยุติธรรม
และบุคคลในครอบครัว ส่งผลให้บุคลากรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีแผนปฏิบัติการ
ดงั ตอ่ ไปน้ี
๓.๑ ให้สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม จัดทำโครงการ
หรอื การฝึกอบรมดา้ นต่าง ๆ เพอ่ื การพัฒนากายและจิตของบคุ ลากร
๓.๒ ให้สถาบันพัฒนาข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรมและแต่ละศาลจัดให้มี
สถานที่สำหรบั การออกกำลังอยา่ งเพยี งพอ โดยการสนับสนนุ ของสำนกั งานศาลยุตธิ รรม
ประธานศาลฎกี าได้แต่งตั้งคณะทำงานตามคำสัง่ ประธานศาลฎีกา ท่ี ๓๕/๒๕๖๔
เรื่องแต่งต้ังคณะทำงานขับเคล่ือนนโยบายการพัฒนาจิตเพื่อสร้างดุลยภาพในการทำงานและ
การดำเนินชีวิต ลงวันท่ี ๕ เมษายน ๒๕๖๔ และได้มีการขับเคล่ือนนโยบายในส่วนนี้โดยจัด
โครงการสวดมนต์และปฏิบตั ภิ าวนาเพื่อพฒั นาจติ โดยประธานศาลฎีกาเปน็ ประธานในพิธแี ละร่วม
สวดมนตก์ ับรบั ฟงั การบรรยายธรรม ในหวั ข้อ "อำนาจธรรมท่ีตุลาการควรรู้" ผา่ น Facebook Live
เม่ือวันอังคารที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๑๙ นาฬิกา ณ ห้องประชุมสำนัก
ประธานศาลฎีกา คณะทำงาน ฯได้สร้างเพจ Facebook “ดุลยภาพแห่งธรรม” เพื่อให้ข้าราชการ
ฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม และบุคลากรในศาลยุติธรรมท่ีสนใจได้มีโอกาสน้อมนำหลักธรรม
ศีล สมาธิ และปัญญา ทีเ่ กิดจากการปฏิบัติไปใช้ในการดำเนินชวี ิตครอบครัวและการทำงานอย่างมี
ความสุขและสมดุล
ประธานศาลฎีกามอบหมายให้สถาบันพัฒ นาข้าราชการฝ่ายตุลาการ
ศาลยุติธรรมจัดทำโครงการหรือการฝึกอบรมด้านต่าง ๆ เพ่ือการพัฒนากายและจิตของ
บคุ ลากร กบั ให้สถาบันพัฒนาข้าราชการฝา่ ยตุลาการศาลยุติธรรมและแตล่ ะศาลจัดให้มีสถานท่ี
สำหรับการออกกำลังอย่างเพียงพอโดยการสนับสนุนของสำนักงานศาลยุติธรรม ในส่วนของ
การพัฒนาจิตใหแ้ ก่บุคลากรนั้น สถาบันพัฒนาขา้ ราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมได้จดั โครงการ
ปฏิบัติธรรมออนไลน์ในหัวข้อธรรมะกับการปฏิบัติราชการ โดยนิมนต์พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
และมีความสามารถในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นท่ีประจักษ์ มาเป็นผู้แสดงธรรมผ่าน
Facebook Live ของสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ในช่วงเช้าของวันอาทิตย์
นับแต่วันอาทิตย์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๔ รวม ๑๐ คร้ัง
เพ่ือให้บคุ ลากรของศาลยุตธิ รรมมีโอกาสอยา่ งเตม็ ท่ีในการฟังการแสดงธรรมเพื่อพัฒนาจติ ใจ
46
นอกจากกจิ กรรมการพัฒนาจิตท่ีสถาบันพัฒนาขา้ ราชการฝ่ายตลุ าการศาลยตุ ิธรรม
จดั ขึ้นเป็นประจำแล้ว ยังปรากฏว่าศาลยุติธรรมทั้งในกรุงเทพมหานครและศาลยุติธรรมในภูมิภาค
หลายแหง่ ไดข้ านรบั นโยบายประธานศาลฎีกาในสว่ นน้ี โดยจัดใหม้ ีกิจกรรมการพฒั นาจิตขนึ้ ในทตี่ ้ัง
ศาลของตน เช่น ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ สำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค ๔ ศาลแรงงานภาค ๖ ศาล
อาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค ๔ และภาค ๖ ศาลจังหวัดกันทรลักษณ์ ศาลจังหวัด
หนองบัวลำภู ศาลแขวงลำปาง ศาลแขวงตรัง ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชัยภูมิ
ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครพนม และศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดภูเก็ต
ตามปรากฏการเผยแพร่กิจกรรมอยใู่ น เพจ Facebook “COJ Talk”
ส่วนการสนับสนุนให้บุคลากรได้ออกกำลังเพ่ือเสริมสร้างสุขภาพกายนั้น สถาบัน
พัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมได้ดำเนินการตามนโยบายประธานศาลฎีกาโดยจัดให้มี
ศูนย์ออกกำลังกายทั้งท่ีอาคารสถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมและท่ีศูนย์
47
ฝึกอบรมตล่ิงชัน และยังปรากฏว่าศาลยุติธรรมในกรุงเทพมหานครและศาลยุติธรรมในภูมิภาค
หลายแห่งก็ได้ขานรับนโยบายในการเสริมสร้างสุขภาพกาย โดยจัดให้มีการออกกำลังกายภายใน
ศาล การแข่งขันกีฬาภายในศาล การแข่งขันกีฬาระหว่างศาล และการร่วมแข่งขันกีฬากับ
ส่วนราชการอ่ืนในจังหวัด เช่น ศาลแขวงพระนครใต้ ศาลในจังหวัดลพบุรี ศาลในจังหวัด
หนองบัวลำภู ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดมหาสารคาม ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด
อตุ รดติ ถ์ ตามปรากฏการเผยแพร่กิจกรรมอยใู่ น เพจ Facebook “COJ Talk” เชน่ กนั
แ ล ะ เพ่ื อ ให้ เกิ ด ก า ร พั ฒ น า ก า ย
และจิตอย่างต่อเนื่อง ไม่จำกัดแต่เฉพาะ
บุ ค ล า ก ร ซ่ึ ง ยั ง อ ยู่ ใ น ร า ช ก า ร เท่ า นั้ น
แต่รวมไปถึงบุคลากรซ่ึงพ้นจากราชการ
ศาลยุติธรรมตลอดจนบุคคลในครอบครัว
บุคลากรท้ังสองกลุ่มดังกล่าว ซ่ึงถือได้ว่า
เป็นสมาชิกและมีความผูกพันกับศาล
ยุติธรรม แต่บุคคลเหล่าบางส่วนยังขาด
โอ ก าส ใน ก าร เข้ าถึ งก ารได้ รั บ ก ารดู แ ล
ด้านสุขภาพอนามัยและการพัฒนาจิตใจ หากบุคลากรในศาลยุติธรรมและข้าราชการฝ่ายตุลาการ
ศาลยุติธรรมเกษียณ ตลอดจนบุคคลในครอบครัวได้รับการช่วยเหลือและแนะนำเกี่ยวกับการ
รักษาพยาบาลและการฟ้ืนฟูสุขภาพกายและจิตใจอย่างเป็นรูปธรรม ย่อมจะส่งผลให้การทำงาน
ของบุคลากรมีประสิทธภิ าพมากยิ่งข้ึนและสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข ไม่เป็น
ภาระสังคม ท้ังยังเป็นการแสดงความห่วงใยต่ออดีตข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมซึ่งทุ่มเท
กำลังกายและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าท่ีราชการให้แก่ศาลยุติธรรมอย่างยาวนาน ประธาน
ศาลฎีกาจึงได้แต่งต้ังคณะอนุกรรมการขึ้นชุดหน่ึง ตามคำสั่งคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม
ที่ ๑๕/๒๕๖๔ เร่ืองแต่งต้ังคณะอนุกรรมการดำเนินการเสริมสร้างสุขภาพกายและจิตใจแก่
บุคลากรในศาลยุติธรรม และข้าราชการตุลาการเกษียณตลอดจนบุคคลในครอบครัว ลงวันท่ี
๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๔ โดยคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่หลายประการ เช่น ศึกษา
และดำเนินการให้มีการจัดตั้งศูนย์กลางในสำนักการแพทย์เพื่อให้คำแนะนำทางการแพทย์ช่วยเหลือ
ประสานและส่งต่อบุคลากรในศาลยุติธรรมและข้าราชการฝ่ายตุลาการเกษียณตลอดจนบุคคลใน
ครอบครัวให้ได้รับการดูแลและรักษาพยาบาลจากแพทย์ในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลต่าง ๆ
ในเครือขา่ ยของศาลยุตธิ รรม ตลอดจนจัดหาสถานท่ีท่เี หมาะสมเพื่อใชใ้ นการดูแลและฟ้ืนฟสู ุขภาพ
กายและจิตอย่างเป็นระบบ ซึ่งในเบื้องต้นคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวได้เห็นชอบให้มีการจัดเก็บ
ฐานข้อมูลสุขภาพของบุคลากรในสังกัดศาลยุติธรรม เพื่อนำบุคลากรเข้าสู่ระบบการเสริมสร้าง
สขุ ภาพ จดั อบรมใหค้ วามรู้เพ่ือป้องกันและรักษาสุขภาพใหบ้ ุคลากรในศาลยตุ ิธรรมสามารถบริหาร
จัดการภาวะสุขภาพได้ จัดตั้งศูนย์บริการสุขภาพบุคลากร Call Center หรือ Staff Center