The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนางานยุติธรรมจังหวัดยะลา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by yala, 2022-05-17 06:06:07

การพัฒนางานยุติธรรมจังหวัดยะลา

การพัฒนางานยุติธรรมจังหวัดยะลา

การพัฒนางานยุตธิ รรมจงั หวัดยะลา

ดร.อภริ ชั ศักดิ์ รัชนวี งศ์

สานกั งานยตุ ิธรรมจงั หวดั ยะลา
พฤษภาคม 2565

(๑)

คานา

งานพัฒนายุติธรรมชุมชนของกระทรวงยุติธรรม เริ่มภายหลังการปฏิรูประบบราชการในปี พ.ศ.
2544 ในช่วงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยเร่ิม
การทาโครงการวิจัยเก่ียวกับงานยุติธรรมชุมชน ด้วยคณาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และองคก์ รภาคเอกชน จากน้นั จดั อบรมยุตธิ รรมชุมชนและเครอื ขา่ ยยตุ ธิ รรมชมุ ชนท่ัวประเทศ ซึ่งอาจเรียกว่า
การประชุมช้ีแจงเป็นเวลา ๑ วัน จากนั้น จัดตั้งศูนย์ยุติธรรมชุมชนในพ้ืนท่ีท่ีมีความพร้อม ต่อมาจัดต้ัง
ศูนย์ยุติธรรมชุมชน ขึ้นในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน โดยเจ้าหน้าที่ที่โอนมาจากสานักงานปลัดกระทรวง
มหาดไทยเปน็ ผู้ใหข้ ้อเสนอแนะกับรองปลัดกระทรวงยตุ ิธรรมทด่ี แู ลงานยตุ ิธรรมชุมชน

การจัดตังตั้งสานักงานยุติธรรมจังหวัดในยุคแรก มอบให้ผู้บัญชาการเรือนจา ทาหน้าท่ีหัวหน้า
สานักงานยุติธรรมจังหวัด ต่อมา ปรับเปล่ียนเป็นหัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงยุติธรรมในจังหวัดน้ัน ๆ
หมุนเวียนมาทาหน้าที่หัวหน้าสานักงานยุติธรรมจังหวัด จากน้ันจัดต้ังสานักงานยุติธรรมจังหวัดนาร่อง 18
จังหวัด พร้อมกับจัดตั้งเป็นหน่วยราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค โดยเรียกตาแหน่งหัวหน้าสานักงาน
ยุติธรรมจังหวัดเป็นผู้อานวยการสานักงานยุติธรรมจังหวัด ส่วนจังหวัดที่มิใช่สานักงานยุติธรรมจังหวัดนาร่อง
ได้มอบให้ผู้อานวยการสานักงานคุมประพฤติจังหวัดทาหน้าที่ในตาแหน่ง “ยุติธรรมจังหวัด” อีกหน้าที่หน่ึง
งานยตุ ธิ รรมชุมชนก็ดาเนินการดังเดมิ โดยจดั โครงสรา้ งการบริหารศูนย์ยุติธรรมชุมชนอย่างเป็นทางการ แต่ใช้
บุคลากรในทอ้ งถน่ิ นนั้ ๆ สว่ นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สานักงานปลัดกระทรวง
ยุติธรรม เป็นหน่วยดูแลงานยุติธรรมชุมชม โดยกลุ่มยุทธศาสตร์ความม่ันคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเรียก
กันว่า “ศูนย์ใต้” ซ่ึงมีลักษณะพิเศษ (๑) เจ้าหน้าท่ีศูนย์ยุติธรรมชุมชนได้รับค่าตอบแทน ๗,๐๐๐ บาท/เดือน
(๒) จัดสรรงบประมาณในการดาเนินงานอีกจานวนหนึ่ง ส่วนศูนย์ยุติธรรมชุมชนท่ีจัดตั้งในองค์การปกครอง
สว่ นทอ้ งถิ่นมิไดร้ ับการสนับสนุนดังกลา่ ว

ข้าพเจ้า ในฐานะเคยรับราชการท่ีกระทรวงสาธารณสุข ซ่ึงคลุกคลีกับงานสาธารณสุขมูลฐานต้ังแต่
ยุคแรก ซ่ึงกระทรวงยุติธรรมได้นาแนวคิดอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) มาปรับใช้เป็น
อาสาสมคั รยุติธรรมและเครือข่ายยุติธรรม น่ันเอง ในแนวคิดของกระทรวงสาธารณสุขจะมีการให้ความรู้ หรือ
จัดการอบรมในสองรูปแบบ รูปแบบแรกคือการอบรม อสม.ใหม่ เป็นเวลา 15 วัน รูปแบบที่สอง การอบรม
ฟื้นฟู อสม.เก่า เป็นเวลา 1-3 วัน เป็นประจาทุกปี ส่วนอาสาสมัครยุติธรรมและเครือข่ายยุติธรรมมีการจัด
ประชุมช้ีแตงเพียง 1 วัน แล้วให้ไปปฏิบัติงานท่ีศูนย์ยุติธรรมชุมชน ตั้งแต่บัดนั้นจวบจนปัจจุบัน ดังน้ัน
การขับเคลอื่ นงานยุติธรรมชุมชนให้ได้ผลดี ยอ่ มตอ้ งสรา้ งพื้นฐานใหม้ ัน่ คงแขง็ แรงเสยี ก่อน เพือ่ ความยัง่ ยนื

เอกสาร “การพัฒนางานยุติธรรมจังหวัดยะลา” วัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาศักยภาพ
ของผปู้ ฏิบตั งิ านในสังกัดสานกั งานยตุ ธิ รรมจังหวัดยะลา อนั ประกอบดว้ ย ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง
ช่ัวคราว ลูกจ้างเหมาบริการ ลูกจ้างช่ัวคราวประจาศูนย์ยุติธรรมชุมชน โดยการให้ความรู้ในหลักสูตรน้ี
(๑) ผู้ปฏิบัติงาน ณ สานักงานยุติธรรมจังหวัดยะลา สานักงานยุติธรรมจังหวัด และศูนย์ยุติธรรมชุมชน กรณี
คนใหม่ ด้วยการเรียนรู้งานยุติธรรมจังหวัดยะลา เป็นเวลา ๑๐ วัน (๒) ผู้ปฏิบัติงาน ณ สานักงานยุติธรรม
จังหวัดยะลา สานักงานยุติธรรมจังหวัด และศูนย์ยุติธรรมชุมชน กรณีคนเก่า ด้วยการเรียนรู้ผ่านระบบ
ออนไลน์ ซง่ึ จะจดั อบรมทกุ ปี ปีละ ๑ ครัง้ ดว้ ยความคาดหวงั ว่า ผู้ปฏบิ ตั งิ านในสังกดั สานกั งานยุติธรรมจังหวัด
ยะลาในทุกระดับและทุกพ้ืนที่ มีความรู้ เจตคติและทักษะการปฏิบัติงานเป็นไปในแนวทางเดียวกันและ
มีผลการปฏิบัตงิ านทไ่ี ม่แตกตา่ งกันมากนกั อนั สง่ ผลถงึ การบรกิ ารประชาชนให้เกดิ ประโยชน์สงู สุด

ดร.อภริ ชั ศกั ดิ์ รัชนีวงศ์

(๒)

สารบญั หน้า
(๑)
คานา......................................................................................................................... ............................. (๒)
สารบัญ....................................................................................................................... ............................ 1
บทท่ี ๑ บทนา........................................................................................................................................ 1
5
การสาธารณสขุ มูลฐาน............................................................................................................. 6
ยุติธรรมเชงิ สมานฉนั ท์.............................................................................................................. 8
หลกั ในการดาเนนิ งานสาธารณสขุ มลู ฐาน................................................................................. 12
แนวคดิ และกระบวนการยตุ ธิ รรมชมุ ชนของประเทศไทย......................................................... 14
กระบวนการอานวยความยตุ ิธรรมชมุ ชนในประเทศไทย.......................................................... 20
แนวทางการพฒั นากระบวนการอานวยความยตุ ธิ รรมชุมชนสาหรบั ชมุ ชนในประเทศไทย.... 20
บทท่ี 2 ยตุ ิธรรมชุมชน.......................................................................................................................... 22
นยิ าม........................................................................................................................................ 22
ภารกิจศูนย์ยุติธรรมชุมชน........................................................................................................ 23
โครงสร้างศนู ยย์ ุติธรรมชมุ ชนตาบล.......................................................................................... 26
หน้าทเี่ ครือข่ายยุติธรรมชมุ ชน.................................................................................................. 26
บทท่ี 3 หลักสูตรการพัฒนางานยุติธรรมจงั หวัดยะลา.......................................................................... 26
ชดุ ความรกู้ ารบริการประชาชนเพอื่ อานวยความยตุ ิธรรม.................................................... 35
40
บทบาทหน้าทส่ี ่วนราชการในสงั กัดกระทรวงยตุ ิธรรม ......................................................
หนว่ ยงานในสังกัดกระทรวงยตุ ธิ รรมระดับจังหวัด กรณีจังหวดั ยะลา............................... 41
การบริการประชาชนเพ่ืออานวยความยุติธรรมในระดบั กระทรวงยตุ ิธรรม........................ 44
พระราชบญั ญตั คิ ่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและคา่ ใชจ้ า่ ยแกจ่ าเลยในคดีอาญา
45
พ.ศ. 2544............................................................................................................... 48
พระราชบัญญัตกิ องทุนยตุ ธิ รรม พ.ศ. ๒๕๕๘.................................................................... 56
ระเบยี บคณะกรรมการยทุ ธศาสตร์ด้านการพัฒนาจงั หวดั ชายแดนภาคใตว้ า่ ด้วยการให้ 56
67
ความช่วยเหลือ เยียวยาผไู้ ดร้ บั ความเสยี หายและผูไ้ ดร้ ับผลกระทบจากการกระทา 73
ของเจ้าหนา้ ท่ขี องรัฐอนั สบื เนือ่ งมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจงั หวัดชายแดน 91
ภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕................................................................................................... 107
งานตามนโยบาย...............................................................................................................
ชดุ ความร้สู ิทธิมนุษยชน..........................................................................................................
การส่งเสริมสิทธแิ ละเสรีภาพ...........................................................................................
การพิทักษส์ ิทธิและเสรภี าพ..............................................................................................
การส่งเสรมิ การระงบั ข้อพิพาท.........................................................................................
การทรมาน.......................................................................................................................
การปฏบิ ตั ิท่ีไร้มนุษยธรรม ยา่ ยีศกั ด์ิศรี............................................................................

(๓)

สารบัญ หน้า

บทท่ี 3 หลักสตู รการพัฒนางานยุติธรรมจงั หวดั ยะลา (ต่อ) 113
การกระทาให้บุคคลสญู หาย.............................................................................................. 121
การทรมาน หรือเทคนิคการสอบสวน............................................................................... 134
135
ชุดความรู้อน่ื ๆ........................................................................................................................ 155
กฎหมายพเิ ศษในจังหวดั ชายแดนภาคใต้.......................................................................... 159
การขบั เคลอื่ นงานสทิ ธิมนุษยชนในศนู ย์ยตุ ิธรรมชุมชนจงั หวดั ชายแดนภาคใต้............... 168
การนิเทศ.......................................................................................................................... 182
การรับรู้ การประชาสัมพนั ธแ์ ละการสร้างความเข้าใจ...................................................... 197
ยตุ ิธรรมเคลอ่ื นท่.ี ..ยะลา................................................................................................... 215
ยตุ ิธรรมเดนิ เทา้ ที่...ยะลา.................................................................................................. 216
225
ชดุ ความรูก้ ารบรหิ ารงานทัว่ ไป............................................................................................. 229
บทท่ี 4 หลักสูตรการพัฒนาศนู ย์ยุตธิ รรมชมุ ชนจังหวัดยะลา พ.ศ.๒๕๖๕........................................

แผนการสอนงาน (Coaching Techniques)...........................................................................
ผจู้ ดั ทา...................................................................................................................................................

บทที่ 1

บทนำ

งานยุติธรรมชุมชนได้นาแนวทางการสาธารณสุขมูลฐานมาดาเนินการ จึงต้องมีความรู้เก่ียวกับ
รากฐานของงานสาธารณสุขมลู ฐาน

กำรสำธำรณสขุ มูลฐำน

หลักการและเหตุผลของการสาธารณสุขมูลฐาน1 ตามนโยบายการเร่งรัดพัฒนาชนบท ท่ีจะทาให้
ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่ของประเทศ ซ่ึงมีฐานะยากจน ด้อยการศึกษาและมีสถานภาพทางสุขภาพต่า
ให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้นนั้น รัฐบาลถือว่า สุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นส่ิงสาคัญ ที่จะเอ้ืออานวยต่อการ
พฒั นาประเทศ ประชาชนในชนบท เป็นกาลังหลักในการพัฒนาประเทศ จึงจาเป็นอย่างยิ่ง ท่ีจะต้องได้รับการ
บริการสุขภาพท่ีดี แต่การบริการสาธารณสุขท่ีรัฐบาลได้ดาเนินการมา ยังไม่สามารถครอบคลุมประชากรส่วน
ใหญ่ได้ งบประมาณทก่ี ระทรวงสาธารณสขุ ได้รับประมาณ ร้อยละ ๔ - ๕ ของงบประมาณทั้งประเทศนั้น ส่วน
ใหญ่ถงึ รอ้ ยละ ๖๕ - ๘๐ นาไปใช้ในการจดั สร้างสถานบรกิ ารสาธารณสุขต่างๆ เช่น โรงพยาบาล สถานีอนามัย
และสานักงานผดุงครรภ์ (สถานีอนามัยและสานักงานผดุงครรภ์ หรือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล หรือ
รพ.สต. ในปัจจุบัน) ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ และสิ่งอานวยความสะดวกในการจัดบริการสาธารณสุข สามารถ
ใหบ้ ริการประชาชนไดค้ รอบคลุมเพยี งรอ้ ยละ ๑๕ - ๓๐ เทา่ นนั้ ส่วนใหญ่เปน็ ประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกับ
สถานบริการสาธารณสุข เช่น ในเขตเมืองหรือตาบลใกล้เคียง นอกจาก มีงบประมาณจากัดแล้ว การกระจาย
บุคลากรทางการแพทย์ และการสาธารณสุขยังไม่สมดุลกันอีกด้วย คือ แพทย์และบุคลากรสาธารณสุขส่วน
ใหญ่ ประจาอยู่ในกรุงเทพมหานคร หรือตามเมืองใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่ประจาอยู่ในชนบท และเหตุผลท่ี
สาคญั อกี ประการหนงึ่ คือสถานบริการสาธารณสุขท่มี ีอยู่น้ัน ประชาชนไมไ่ ด้ใช้ประโยชน์เท่าท่ีควร ท้ังทางด้าน
การรักษาพยาบาล การส่งเสรมิ สขุ ภาพ การป้องกนั โรคและการฟ้ืนฟูสุขภาพ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังขาด
ความรู้ ในเรื่องสุขภาพอนามยั และประโยชน์ของสถานบริการสาธารณสุขของรัฐท่ีมีอยู่ บริการสาธารณสุขของ
รัฐบาลได้ดาเนินการ มากว่า ๔๐ ปี โดยการจัดเป็นระบบที่สอดคล้องกับระบบการบริหารงานส่วนภูมิภาค คือ
ตาบล อาเภอ จังหวัด ในระดับตาบล กระทรวงสาธารณสุขจัดให้มีสถานีอนามัย และมีเจ้าหน้าที่ สาธารณสุข
อยา่ งน้อยสองคนอยู่ประจาให้บรกิ ารสาธารณสขุ พ้นื ฐาน ในระดับอาเภอมีโรงพยาบาล หรือโรงพยาบาลชุมชน
ในทุกอาเภอท่ีมีประชาชนอยู่ค่อนข้างหนาแน่น มีแพทย์ประจาอย่างน้อย ๑ คน และเจ้าหน้าที่อื่นๆ รวมเป็น
ทีมงานบริการสาธารณสุข งานของโรงพยาบาลชุมชนนั้น มีความสามารถสูงกว่าบริการสาธารณสุขพื้นฐานที่
สถานีอนามัยตาบล เพราะมีงานด้านการรักษาพยาบาลและดูแลผู้ป่วยมากกว่า นอกจากนั้น โรงพยาบาล
ชุมชนยังคอยรับรักษา หรือให้คาปรึกษา เมื่อสถานีอนามัยตาบลได้ส่งผู้ป่วยท่ีเกินขีดความสามารถที่ตนจะทา
การรักษาได้มาให้ ในเร่ืองของการเจ็บป่วยโดยทั่วไป โรงพยาบาลชุมชนสามารถให้การช่วยเหลือได้แทบ
ทั้งหมด ยกเว้นแต่อาการป่วยบางชนิดที่ต้องการการดูแล หรือการตรวจอย่างละเอียดถ่ีถ้วน หรือต้องการ
ผา่ ตดั ที่คอ่ นข้างจะซบั ซ้อน โรงพยาบาลชุมชน จงึ จะสง่ ต่อไปให้โรงพยาบาลจงั หวดั หรือท่ีเรียกว่า โรงพยาบาล
ทั่วไปในขณะนี้ โรงพยาบาล ท่ัวไปมีการรักษากว้างขวางและลึกซ้ึงมากกว่าโรงพยาบาลชุมชน เพราะมีแพทย์
เจ้าหนา้ ทแ่ี ละวสั ดอุ ุปกรณท์ จี่ าเป็นในการรกั ษาพยาบาลมากกว่า แม้รัฐบาลจะได้พยายามจัดให้มีระบบบริการ
สาธารณสุขอย่างทั่วถึง แต่ก็ยังมีปัญหา ซึ่งนับว่าจะเพ่ิมมากขึ้น เน่ืองจากทรัพยากรของรัฐมีจากัด



และประชาชนเพ่ิมมากข้ึนทุกๆ ปี ประกอบกับในปัจจุบันและอนาคตทรัพยากรธรรมชาติก็จะลดลง ถ้าสภาพ
ทางเศรษฐกิจและ สังคมเติบโตช้าก็จะไม่ทันสนองความต้องการพ้ืนฐานของประชาชนได้ ด้วยเหตุน้ีบริการ
สาธารณสุขที่รัฐจัดให้ อาจไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้ ถ้าหากไม่หากลวิธีในการแก้ปัญหาเสียใหม่ เหตุผลท่ี
สาคัญอกี ประการหน่งึ คือปญั หาสาธารณสขุ ทพี่ บในชนบทน้ัน มากกวา่ ร้อยละ ๗๐ เกิดจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจ
เรอ่ื งราวของโรคภยั ไขเ้ จบ็ ต่างๆ ซึ่งสามารถปอ้ งกันได้ ด้วยตนเอง ความไม่ร้แู ละไมเ่ ข้าใจนี้ ทาให้ประชาชนต้อง
ประสบกับอันตรายย่ิงขึ้น เมื่อมีโรคร้ายแรงแล้ว จะลองดูแลรักษากันเอง โดยไม่ไปปรึกษาเจ้าหน้าท่ี
สาธารณสุขทีส่ ถานีอนามยั โรงพยาบาลชมุ ชน หรอื โรงพยาบาลจังหวัดในระยะเริ่มแรก ทาให้ผู้ป่วยเสียชีวิตไป
โดยไมค่ วรเหตผุ ล ท่สี าคญั มากประการสดุ ทา้ ย คอื สขุ ภาพอนามัยน้ันเป็นเร่ืองสว่ นบุคคล ทุกคนมีสิทธิโดยชอบ
ธรรมที่จะรู้และมีส่วนรับผิดชอบในสุขภาพอนามัยของตนเอง รัฐบาลมีหน้าท่ีให้ประชาชนมีความรู้
ความสามารถท่ีจะป้องกันดูแลตนเองอย่างเท่าเทียมกัน ดังน้ัน การที่จะขยายบริการสาธารณสุขให้ครอบคลุม
ประชากรในชนบทให้มากยง่ิ ขึ้น มีการใช้ประโยชนข์ องสถานบริการต่างๆ อย่างเต็มท่ี ประชาชนสามารถรักษา
โรคอย่างง่ายๆ ได้ เพราะประชาชนได้มีส่วนรับผิดชอบสุขภาพอนามัยของตนเอง กระทรวงสาธารณสุขจึง
คานงึ ถงึ กลวิธใี หม่ คอื พัฒนาประชาชนให้เกิดความรู้ความสามารถที่จะช่วยเหลือ หรือดาเนินการสาธารณสุขที่
จาเป็นขั้นมูลฐาน หรือพื้นฐานได้ด้วยตนเอง โดยวิธีการน้ีก็จะมีงานสาธารณสุขท่ีประชาชนทาได้และที่
ประชาชนทาไม่ได้ รัฐบาล จะทาในส่ิงที่ประชาชนทาไม่ได้และจะต้องทาการพัฒนาสนับสนุนให้ประชาชน
เกิดความสามารถ ทาในสิ่งที่เขาสามารถทาได้ โดยอาศัยวิทยาการต่างๆ เมื่อเป็นเช่นนี้จะพอเห็นได้ว่า แม้ว่า
ทรัพยากรไม่เพ่มิ ขน้ึ บริการสาธารณสุขที่จาเป็นขัน้ มูลฐาน หรอื พนื้ ฐานก็สามารถเขา้ ถึงประชาชนได้ทกุ คน

ทมี่ า https://www.trueplookpanya.com/blog/content/64431

การสาธารณสุขมูลฐาน (Primary health care)2 คือ การดูแลสุขภาพที่จาเป็นตั้งอยู่บนพ้ืนฐาน
ของการปฏิบัติ โดยใช้เทคโนโลย่ีท่ีถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ และเป็นที่ยอมรับท่ัวไปในสังคม เพ่ือเป็น
หลักการทัว่ ไปใช้ในการดูแลสุขภาพสว่ นบุคคล ครอบครวั และคนในชุมชน โดยผ่านการยอมรับของชุมชนและ
มีค่าใช้จ่ายในระดับที่ชุมชนยอมรับได้ ในทุกๆ ข้ันตอนของการพัฒนาต้องมีการยอมรับฟังความคิดเห็นของ
คนในกลุ่ม ในอีกความหมายหนึ่ง สาธารณสุขมูลฐาน คือการดูแลสุขภาพในระบบสาธารณสุขรูปแบบหนึ่ง
ทม่ี งุ่ เน้นการจัดการทรัพยากรทางสุขภาพโดยใชเ้ งื่อนไขของชุมชนเปน็ สาคัญ



เมื่อปี พ.ศ. 2524 องคก์ ารอนามัยโลก2 ไดเ้ สนอความคดิ ขน้ึ มาว่า หากจะให้ประชากรทุกคนในโลก
หรือประชากรในประเทศมสี ุขภาพอนามัยทด่ี ขี ้ึนแล้ว งานสาธารณสขุ จะตอ้ งไดร้ ับการสง่ เสริมให้ชาวบ้านได้เข้า
มามีส่วนร่วมในการดาเนินงาน ซึ่งในขณะน้ันก็ได้มีประเทศต่าง ๆ ได้เร่ิมดาเนินการทานองนี้แล้ว รวมทั้ง
ประเทศไทยด้วย พร้อมกันนั้นประเทศสมาชิกขององค์การอนามัยโลกได้มี มติให้ถือว่า ปี ค.ศ. 2000 หรือ
พ.ศ. 2543 เป็นเป้าหมายท่ีประชากรทุกคนของประเทศสมาชิกจะมีสุขภาพอนามัยดีอย่างทั่วถึง ซึ่งประเทศ
สมาชิกทุกประเทศรวมท้ังประเทศไทย ได้ยอมรับเป้าหมายดาเนินงาน เม่ือเดือนกันยายน 2521 ได้มีการ
ประชุมเร่ืองการสาธารณสุขมูลฐานข้ึนท่ีเมืองอัลมาอตาประเทศรัสเซีย ที่ประชุมยอมรับหลักก ารว่า
สาธารณสขุ มูลฐานเป็นกลวิธที ่ีเหมาะสมทจ่ี ะทาใหป้ ระชากรทุกคนมสี ุขภาพอนามัยดีอย่างท่ัวถึงได้

ทมี่ า https://www.trueplookpanya.com/blog/content/64431

องค์ประกอบของงานสาธารณสุขมูลฐานของประเทศไทย2 มีความสอดคล้องกับปัญหาและความ
ต้องการของประชาชน โดยเป็นองค์ประกอบท่ีมีความเชื่อมโยงกับงานบริการสาธารณสุขพื้นฐาน (Basic
Health Service) ซึ่งรัฐบาลได้เป็นผู้จัดให้แก่ประชาชน องค์ประกอบของงานสาธารณสุขมูลฐานดังกล่าว
ประกอบด้วยการบริการแบบผสมผสาน 4 ด้าน คือ (๑) การป้องกันโรค (๒) การส่งเสริมสุขภาพอนามัย
(๓) การรักษาพยาบาล (๔) การฟ้ืนฟูสภาพ ซึ่งสามารถแยกออกเป็นงานที่ประชาชนสามารถดาเนินการได้
ดว้ ยตนเองออกเป็นงานต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่า องค์ประกอบของงานสาธารณสุขมูลฐาน จานวน 14 องค์ประกอบ
คอื (1) งานโภชนาการ อสม. มีหน้าท่ีกระตุ้นเตือนให้ประชาชนได้ตระหนักถึงปัญหาโภชนาการที่เกิดขึ้น เช่น
โรคขาดสารอาหารในเด็ก 0-5 ชวบ หรือเด็กแรกเกิดมีน้าหนักต่าเป็นต้น โดยร่วมมือกับกรรมการหมู่บ้าน
ผนู้ ากลมุ่ แม่บา้ นในการค้นหาสารวจสภาวะอนามัยเดก็ ชัง่ น้าหนักเด็ก 0-5 ขวบ ทุกคนเปน็ ประจา เม่ือพบเด็ก
คนใดท่ีขาดสารอาหารก็ดาเนินการให้อาหารเสริมโดยเร็ว ให้ความรู้แก่แม่ในการให้อาหารแก่ทารก ตลอดจน
ส่งเสริมการปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เพื่อนามาเป็นอาหาร (2) งานสุขศึกษา ให้สุขศึกษาในเรื่องต่าง ๆ เช่น ปัญหา
สาธารณสุขของท้องถ่ิน การร่วมกันแก้ไขปัญหา เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการส่งเสริม
สุขภาพอนามัยให้แก่ประชาชนในหมู่บ้านหรือชุมชน (3) การรักษาพยาบาล อสม. ให้การรักษาพยาบาล
ท่ีจาเป็นเบ้ืองต้นแก่ชาวบ้าน ชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงความสามารถของ อสม. ในการรักษาพยาบาล และ



ช้ีแจงให้ทราบถึงสถานบริการของรัฐ ตลอดจนส่งต่อผู้ป่วยถ้าเกินความสามารถของ อสม. (4) การจัดหา
ยาท่ีจาเป็น ดาเนินการจัดตั้งกองทุนยาและเวชภัณฑ์ประจาหมู่บ้าน หรือจัดหายาท่ีจาเป็นไว้ให้บริการใน
ศูนย์สาธารณสขุ มลู ฐานชุมชน (ศสมช.) และดาเนินการให้ประชาชนสามารถซ้ือยาท่ีจาเป็นเหล่าน้ีจากกองทุน
หรอื ศสมช. ได้สะดวก รวดเร็วและมีราคาถูก (5) การสุขภิบาลและจัดหาน้าสะอาด อสม. ชี้แจงให้ประชาชน
กรรมการหมู่บ้าน ทราบถึงความสาคัญของการจัดหาน้าสะอาดไว้ดื่ม การสร้างส้วม การกาจัดขยะมูลฝอยและ
การจดั บ้านเรือนให้สะอาด เป็นต้น (6) อนามยั แม่และเด็กและการวางแผนครอบครัว อสม. ช้ีแจงและจูงใจให้
ประชาชนทราบถึงความสาคญั ของการวางแผนครอบครัว ความจาเปน็ ของการดูแลก่อนคลอด (การฝากครรภ์)
และการดูแลหลังคลอด นัดหมายมารดามารับบริการและความรู้ในการปฏิบัติตน การกินอาหาร ชั่งน้าหนัก
และวัดความดนั โลหติ นัดเดก็ มารับการฉดี วคั ซนี ป้องกันโรคติดต่อ (7) งานควบคุมป้องกันโรคติดต่อในท้องถ่ิน
อสม. ช้แี จงให้ประชาชนทราบวา่ ในหมู่บ้านมโี รคอะไรท่ีเป็นปัญหา เช่น โรคอุจาระร่วง โรคพยาธิ ไข้เลือดออก
ซึ่งจาเป็นต้องได้รับการป้องกันและรักษา รวมทั้งการร่วมมือกันในการดาเนินการควบคุมและป้องกันมิให้เกิด
โรคระบาดข้ึนได้ (8) การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค อสม. ช้ีแจงให้ประชาชนทราบถึงความสาคัญของการให้
วัคซีนป้องกันโรคติดต่อ และนัดหมายเจ้าหน้าท่ีออกไปให้บริการแก่ประชาชนตามจุดนัดพบต่าง ๆ
(9) การส่งเสริมสุขภาพฟัน อสม. ชี้แจงและให้ความรู้กับประชาชนถึงการดูแลฟัน การรักษาสุขภาพช่องปาก
และฟัน นัดหมายประชาชนให้มารบั บริการในสถานบรกิ ารหรือเมื่อมีหน่วยทันตกรรมเคลอื่ นทเี่ ข้ามาในชุมชน
(10) การส่งเสรมิ สุขภาพจติ อสม. ช้ีแจงใหป้ ระชาชนทราบถึงการส่งเสริมสุขภาพจิต การค้นหาผู้ป่วยในระดับ
ชุมชน เพื่อจะได้รับการแนะนา การรักษาท่ีถูกต้อง (11) อนามัยส่ิงแวดล้อม อสม. ร่วมถ่ายทอดความรู้
เกี่ยวกับงานอนามัยส่ิงแวดล้อมกับประชาชน ประชาชนทุกคนเฝ้าระวังมิให้มีการกระทาท่ีก่อให้เกิดมลภาวะ
องค์กรชุมชนร่วมกันวางแผนแก้ปัญหาของชุมชนเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมเป็นพิษ ส่งเสริมและให้ความรู้เร่ือง
สารเคมีในการเกษตร แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดาเนินการกับผู้กระทาผิด (12) คุ้มครองผู้บริโภค อสม. ร่วมกับ
ประชาชนสอดส่องดูแลพฤติกรรมของร้านค้า รถขายยาเร่ ฯลฯ หากพบเห็นผู้กระทาผิดกฎหมายก็แจ้ง
เจ้าหน้าท่ีเพ่ือดาเนินการ อสม.ร่วมกันให้ความรู้แก่เพื่อนบ้านในการเลือกซื้อสินค้า เช่น อาหาร เครื่องปรุงรส
ขนม เครื่องสาอางท่ีมีมาตรฐานตามเกณฑ์ อย. มาใช้ ตลอดจนอาจจัดต้ังกลุ่ม ชมรม เพื่อร่วมมือประสานงาน
กันดูแลประชาชนในพื้นท่ี (13) การป้องกันควบคุมอุบัติเหตุ อุบัติภัยและโรคไม่ติดต่อ อสม. ร่วมกันค้นหา
ผู้ป่วยเบาหวาน ความดนั โลหิต มะเร็ง พร้อมท้งั จัดทาทะเบียนรายชื่อผู้ป่วยเพ่ือรับการรักษาหรือส่งต่อ วิธีการ
ปฏบิ ัตติ นใหพ้ ้นจากการเส่ียงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อต่าง ๆ ให้ความรู้แก่ประชาชนถึงแนวทางการป้องกันและ
ควบคุมอุบัติเหตุ อุบัติภัย ตลอดจนสร้างเสริมความมีน้าใจและเอื้ออาทรต่อผู้พิการในชุมชนและร่วมกันฟื้นฟู
สภาพผู้พกิ าร (14) เอดส์ อสม. ให้ความรู้กบั ประชาชนใหท้ ราบถึงความสาคัญ และความจาเป็นในการควบคุม
ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ร่วมกนั จดั กจิ กรรมรณรงคใ์ ห้ความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติ และการปฏิบัติ
ทถ่ี กู ต้องในการป้องกันและควบคมุ โรคเอดส์ ตลอดจนมีความสามารถในการดูแลผู้ป่วยเอดส์ ให้สามารถอาศัย
อยใู่ นชมุ ชนไดโ้ ดยชมุ ชนยอมรบั และไมแ่ พรก่ ระจายโรคเอดสส์ ่คู นในชมุ ชน

องค์ประกอบของงานสาธารณสุขมูลฐานทั้ง 14 องค์ประกอบน้ี ไม่จาเป็นต้องเริ่มทีเดียวพร้อมกัน
หมดทุกอย่าง อาจจะเร่ิมในเรื่องที่ประชาชนคิดว่าเป็นเร่ืองท่ีมีความจาเป็นจริง ๆ ของชุมชนของตนเองก่อน
แล้วภายหลังต่อมาก็ขยายต่อไปได้อีก และถ้าหากชุมชนใดไม่มีปัญหาในบางเร่ืองเหล่านี้ องค์ประกอบท่ี
ดาเนินการก็อาจลดลงไดต้ ามสภาพของความเปน็ จริงของชุมชนนน้ั



ยุติธรรมเชิงสมำนฉนั ท์

ดร.กิตติพงษ กิตยารักษ์3 เชื่อวายุติธรรมสมานฉันทจะเปนวิธีการที่มีประโยชนตอการจัดการกับ
ปญหาอาชญากรรมในกรณีของประเทศไทยและสามารถใช แกปญหาใด ๆ ในการบริหารงานยุติธรรม
เปาหมายสาคญั ในการปองกนั อาชญากรรมโดยยุติธรรมสมานฉันท คือการลดจานวนผูตองโทษในเรือนจาและ
ลดการใช กระบวนการยุติธรรมแบบทางการลงโดยการแกไขฟ นฟูผูกระทาผิดดวยกลวิธีที่จะสามารถทาให
ผูกระทาผิด“ผูกพันตนเอง” ท่ีจะตองรับผิดชอบชดใชเยียวยาให้กับ “เหย่ืออาชญากรรมและชุมชน”
นอกจากนีย้ ุติธรรมสมานฉันทที่สามารถทาใหทุกฝายสามารถกลับคืนสูสถานภาพเดิมไดคอื กระบวนการที่ตอง
พึ่งพา “กระบวนการมีสวนรวมของชุมชนและการเสริมพลังอานาจใหกับสมาชิกแตละคนของชุมชนและชุมชน
ในการจัดการกับอาชญากรรมและปญหาความไรระเบียบอ่ืน ๆ ในชุมชนท่ีโดยปกตไดรับการแกไข โดย
ภาครัฐแตฝายเดียว” การเดินตามนโยบาย “กระบวนทศั นก์ ารมสี ่วนรวมของชมุ ชน” ความยุตธิ รรมสมานฉันท
ตองเนนการแกปญหาอาชญากรรมและปญหาความยุติธรรมดวยวิธีการ “ขยายหรือเปดหนางาน หรือบทบาท
ที่หนวยงานตาง ๆ ในระบบยุติธรรมทางอาญาเคยท่ีมาและยึดถือวาเปนอานาจหนาท่ีของตนเทานั้น”
ใหประชาชนและชุมชนมีสวนรวมในการตัดสินใจทาแทนในระดับท้องถ่ิน ยุติธรรมสมานฉันทยังสนับสนุนการ
ใชประโยชนจากการทางานรวมกันอย่างเปนหุนส่วนในรูปแบบตาง ๆ ระหวางภาคเอกชน ภาครัฐ ชุมชนและ
ประชาชนโดยท่ัวไป

ยุติธรรมชุมชนใหความยุติธรรมทางสังคมกับทุกฝาย3 หากเปรียบกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
ด้ังเดมิ เปน็ เสมอื นตนไมคังเทยี บไดด้ ่งั ตนสนที่เติบโตสูงขึ้นไปในทางด่ิงมุงเฉพาะต้ังรับ (Reactive) ซึ่งจะทางาน
เมอ่ื ความผิดเกดิ ขน้ึ แลว โดยยึดเอาผูกระทาผิดเปนศูนยกลาง (Offender Focused) โดยใหความสาคัญสูงสุด
กับการลงโทษ แตการแกไขฟื้นฟูท่ีงานวิจัยรับรองวา ใหผลตอการปองกันการกระทาผิดซ้าได้ดีท่ีสุดกลับให้
ความสาคญั ตา่ สุดความเปนตนสน จงึ ไมส่ ามารถแผ่กง่ิ กา้ นสาขาใหความรมเยน็ และปกปองคมุ ครองสงั คมจาก
อาชญากรรมไดความเปนต้นสน จงึ ทอดทง้ิ เหย่อื อาชญากรรมใหหนาวสนั่ อยูขาง ๆ ลาตน เพราะไรกิ่งกานและ
ใบอันหนาทึบทจ่ี ะเป็นรมเงาและท่ีพักพิงความเปนตนสน จงโอนไปเอนมาท่ามกลางพายุปรปกษท่ีแผรังสีฟาด
ฟนั รุนแรงที่ไมร่ ู้วา เม่อื ใดทต่ี นสนนั้นจะโค่นลงมาทับ จงึ เต็มไปดวยความระวังภยั แคลงใจตลอดเวลา ไมมีความ
สงบสุข แตเมื่อหันไปมองท่ีตนไทรที่ยืนทะมึนอยู่เคียงขาง ทันทีเพียงแคมองก็ใหความรูสึกสบายเย็นตา
เกิดความสงบเย็น แม้ยังไม่ไดเขาไปอาศัยใตรมเงา ยามแดดที่แผดกลาหรือเม่ือยามฝนแรง ต้นไทรชางมั่นคง
ไมโยกคลอน แมพายุจะรุนแรงเพียงใด ตนไทรแผก่ิงกานสาขาใหรัศมีครอบคลุมพื้นท่ีไดกวางขวางตามอายุขัย
และเมื่อเขาไปอยภู่ ายใตร้ มเงา จะใหความรูสึกผอนคลายสงบเย็นทั้ง ๆ ที่ต้นไทรก็อยู่เฉย ๆ ไดยินเสียงนกรอง
รูสึกปลอดภัยที่อาจเผลอหลับไดอยางงายดาย ต้นไทรเปรียบไดดั่ง “ยุติธรรมชุมชนและยุติธรรมสมานฉันท”
ท่ีเอื้ออาทรเหย่ืออาชญากรรมและชุมชน โดยจะไมยอมทอดทิ้งเหย่ืออาชญากรรมและชุมชนุ แมกระทั่ง
ผูกระทาผิดไว้นอกร่มเงา ที่สาคัญท่ีสุดยังมุงคุมครองสังคมและชุมชนจากอาชญากรรมดวยการใหเหยื่อ
อาชญากรรมและชุมชนเขามามีสวนรวมในกิจกรรมตาง ๆ ของกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังมุงแกไขเยียวยา
ใหผูกระทาผดิ เกดิ สานกึ รับผิดชอบตอการกระทาของตน ปรับเปลี่ยนตนเองให้เป็นพลเมืองดีสามารถอยูรวมกัน
ในชุมชนไดอ้ ย่างปกตสิ ุข จึงเปนก่ิงกานที่แผขยายออกไปจากเปาประสงคเดิมไปสูชุมชนและเหยื่ออาชญากรรม
ที่มีอยู่ทุกหยอมหญา ตนยุติธรรมชุมชนและยุติธรรมสมานฉันท เปนตนไมท่ีแผฐานรากออกไปโดยรอบตาม
รัศมีของกิ่งกานเพ่ือให้ความมั่นคง แกก่ิงกานและใบที่จะเปนดอกผลและรมเงาแกนกกาและสัตวนอยใหญ
ท่ีตางพึ่งพาซึ่งกนั และกนั



ประกอบกับการปฏิรูประบบราชการใน พ.ศ. 2544 ทาให้ศาลยุติธรรมแยกออกจากกระทรวง
ยตุ ิธรรม เมือ่ กระทรวงยตุ ธิ รรมแยกออกมาระยะแรกมีหน่วยงานในสังกัด คือสานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
กรมคุมประพฤติและกรมบังคับคดี หน่วยงานในราชการส่วนภูมิภาคมีเพียงสานักงานคุมประพฤติจังหวัดและ
สานักงานบังคับคดีจังหวัด ส่วนหน่วยงานที่รองรับงานในส่วนภูมิภาคของสานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
ไมม่ ีหน่วยงานในระดบั ภมู ภิ าคเลย จึงไดม้ ีการจัดสานักงานยุติธรรมจังหวัดเป็นโครงสร้างภายใน แล้วจัดอบรม
เครอื ข่ายยุตธิ รรมและอาสาสมคั รยตุ ิธรรม พร้อมกับจดั ตง้ั ศูนยย์ ุตธิ รรชุมชน

หลกั ในกำรดำเนนิ งำนสำธำรณสขุ มลู ฐำน

หลักการทสี่ าคญั ของการสาธารณสุขมลู ฐานมี 4 ประการ4 คือ
1. การมีส่วนร่วมของชุมชน (People Participation = P.P. หรือ Community Participation,
Community Involvement = C.I.) การมีส่วนร่วมของชุมชนเป็นส่วนที่มีความสาคัญต้ังแต่การเตรียม
เจ้าหน้าที่ เตรียมชุมชน การฝึกอบรม การติดตามดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้ประชาชนในหมู่บ้านได้รู้สึกเป็น
เจ้าของและเข้ามาร่วมช่วยเหลืองานด้านสาธารณสุข ท้ังด้านกาลังคน กาลังเงิน และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ มิได้
หมายถึง ชุมชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าท่ีของรัฐในการพัฒนา หากแต่หมายถึงประชาชนในชุมชนน้ัน
เป็นผู้ตระหนักถึงปัญหาของชุมชนของตนเป็นอย่างดี จึงเป็นผู้กาหนดปัญหาสาธารณสุขของชุมชนนั้นเอง
เปน็ ผูว้ ิเคราะหป์ ัญหา ตลอดจนแนวทางแกไ้ ขปญั หาของชุมชน ท้ังนี้ โดยชุมชนมีความสามารถในการแยกแยะ
ได้ว่าวิธีการแก้ปัญหาใดประชาชนในชุมชนสามารถแก้ไขได้ วิธีการใดอยู่นอกเหนือความสามารถของชุมชน
กใ็ ห้เจา้ หน้าทขี่ องรัฐ บุคคลหรือองค์กรภายนอกเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนมี
ไดห้ ลายรูปแบบ ตัวอย่างของรูปแบบการดาเนินงานที่ผ่านมา ได้แก่ (๑) การสารวจและใช้ผลการสารวจความ
จาเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) (๒) การจัดต้ังกองทุนหมุนเวียนในหมู่บ้านเพื่อแก้ปัญหาสาธารณสุข (๓) การจัดต้ัง
ศูนย์สาธารณสขุ มูลฐานชุมชน (ศสมช.) (๔) การคัดเลอื กและฝกึ อบรม อสม.
2. การใช้เทคโนโลยีท่ีเหมาะสม (Appropriate Technology = AT) เทคนิคและวิธีการที่ใช้ในงาน
สาธารณสุขมูลฐาน ควรเป็นเทคนิควิธีการท่ีง่ายไม่ซับซ้อน ยุ่งยาก เหมาะสมกับแต่ละสภาพท้องถิ่นและ
ประชาชนสามารถปฏิบตั ิได้ เทคนคิ วิธกี ารซ่ึงหมายรวมต้ังแต่วิธีการค้นหาปัญหา ขบวนการในการแก้ไขปัญหา
จนกระท่ังถงึ เทคนคิ ในการแก้ไขปัญหาโดยชุมชนเอง เช่น การทาระบบประปาด้วยปล้องไม้ไผ่ การใช้สมุนไพร
ในชุมชน การใช้ระบบการนวดไทยเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย เป็นต้น เทคนิคเหล่าน้ีอาจเป็นภูมิความรู้
ดั้งเดิมในชุมชน ท่ีชุมชนมีการถ่ายทอดในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของตนเองมาเป็นเวลาช้านานแล้ว เช่น
การใช้ยาหรือแพทย์แผนไทยในการรักษาพยาบาลโรคบางอย่าง หรือการนวดไทย หรือเป็นภูมิความรู้ใหม่
ที่ชุมชนได้เรียนรู้เพิ่มเติมว่าเหมาะสมกับชุมชนใน การแก้ปัญหา เช่น การใช้อาหารเสริมในการแก้ไขปัญหา
โภชนาการ การจัดทาโอ่งน้าเพ่ือเก็บน้าสะอาด เป็นต้น หากการเรียนรู้ไปยังอีกชุมชนหน่ึงในลัก ษณะ
ท่ีประชาชนถ่ายทอดความรู้สู่ ประชาชนด้วยกันเอง อาจจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือโดยการสนับสนุน
ช่วยเหลือของเจ้าหน้าท่ีภาครัฐ โดยวิธีการท่ีเรียกว่า การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีระหว่างหมู่บ้าน หรือ TVDV
(Technology cooperation among developing villages) จะทาให้ขบวนการเรียนรู้เหล่านี้เป็นไป
โดยกว้างขวาง รวดเร็ว ซ่ึงจะเป็นประโยชน์กับประชาชนในการแก้ไขปัญหาของเขาเองท่ีประชาชนสามารถ
ปฏิบัตไิ ด้



3. การปรับระบบบริการพ้ืนฐานของรัฐเพ่ือรองรับการสาธารณสุขมูลฐาน (Reoriented Basic
Health Service = BHS) หรือ Health Infrastructure ระบบบริการของรัฐ และระบบบริหารจัดการที่มีอยู่
แล้วของรัฐ จะต้องปรับให้เชื่อมต่อและรองรับงานสาธารณสุขมูลฐานด้วย โดยมีความมุ่ งหมาย ดังนี้
(๑) ต้องการให้เกิดการกระจายการครอบคลุมบริการให้ท่ัวไป (Coverage) (๒) การกระจายทรัพยากรลงสู่
มวลชน (Resource Mobilization) (๓) การจัดระบบส่งต่อผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ (Referal System)
ในช่วงเวลาท่ีผ่านมากระทรวงสาธารณสุขมีความพยายามที่จะปรับระบบบริการสาธารณสุขของรัฐให้เอื้อต่อ
งานสาธารณสุขมูลฐาน คอื โครงการบตั รสขุ ภาพ โครงการพัฒนาระบบบริการของสถานบริการและหน่วยงาน
สาธารณสุขในส่วนภูมิภาค (พบส.) คณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับอาเภอ (คปสอ.) เป้าหมาย
ของการปรบั เปลี่ยนระบบบริการสาธารณสุข เพอื่ ท่ีจะทาให้ประชาชนสามารถท่ีจะเข้าถึงบริการท่ีมีคุณภาพได้
รวมท้งั สนบั สนุนใหป้ ระชาชนมีสว่ นร่วมได้อย่างแทจ้ ริง การปรบั เปล่ียนระบบบริการจะต้องมีการดาเนินงานใน
ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับสถานีอนามัยซ่ึงอยู่ใกล้ชุมชน โรงพยาบาลชุมชนในระดับอาเภอ โรงพยาบาล
ทั่วไป/โรงพยาบาลศูนย์ในระดับจังหวัด รวมทั้งสถานบริการเฉพาะทางต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการ
อย่างทัว่ ถึงเป็นธรรมและไดร้ บั การสง่ ตอ่ เพื่อดแู ลอย่างตอ่ เน่ืองเม่ือมีความจาเปน็

4. การผสมผสานกบั งานของกระทรวงอืน่ ๆ (Intersectoral Collaboration = IC) งานสาธารณสุข
มูลฐานจะสาเร็จผลได้ตอ้ งผสมผสานทางานไปด้วยกนั ได้ ทงั้ ภายในกระทรวงและตา่ งกระทรวง แนวคิดท่ีสาคัญ
ของการดาเนินงานในด้านน้ี คือ การประสานเพื่อให้หน่วยงานอ่ืนทางานในความรับผิดชอบของหน่วยงาน
น้ัน ๆ ในลักษณะที่ส่งเสริมหรือสอดคล้องกับการพัฒนาด้านสุขภาพ ไม่ใช่ขอให้บุคลากรของหน่วยงานอ่ืน
มารว่ มกันปฏบิ ัติงานภาคสาธารณสุข ปัจจัยสาคัญที่จะช่วยให้การประสานงานระหว่างสาขาเป็นไปอย่างได้ผล
คือ ความสามารถในการวิเคราะห์ว่า การดาเนินงานเร่ืองอะไร ของหน่วยงานใดจะมีส่วนในการส่งเสริ มการ
มีสขุ ภาพดี เช่น การศกึ ษา การเกษตร การปรับปรุงดา้ นสงิ่ แวดล้อม การสง่ เสรมิ บทบาทขององค์กรชุมชน

การประสานความร่วมมือต้อง ดาเนินการในหลายระดับ แต่ท่ีสาคัญน้ันหากสามารถสร้างให้เกิด
ความร่วมมือเพือ่ แก้ปญั หาในชมุ ชนเปน็ หลกั โดยใหช้ ุมชนเปน็ ผกู้ าหนดหรือตัดสินใจ ก็จะช่วยให้ความร่วมมือ
นั้นชัดเจนและมีประสิทธิภาพ รูปแบบสาคัญท่ีมีการศึกษาวิเคราะห์และมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการ
ประสาน งานระหว่างสาขา คือ การใช้ จปฐ. เป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ซ่ึงในแง่
ของการส่งเสริมการประสานงานระหว่างสาขานั้นถูกเน้นหนัก คือ การประสานงานเพ่ือให้หน่วยงานต่าง ๆ
ยอมรับและร่วมกันใช้เป้าหมาย จปฐ. ในส่วนที่เก่ียวข้องกับหน่วยงานของตนเองเป็นเป้าหมายในการทางาน
กับประชาชนใน พื้นที่ หรือหากจะมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายและตัวช้ีวัด จปฐ.ต้องปรับเปลี่ ยน
โดยมุง่ วิเคราะห์ให้เห็นประโยชนต์ ่อการสรา้ งคณุ ภาพชีวิตทดี่ ีขน้ึ ของประชาชน

แนวความคิดสากลของการสาธารณสุขมูลฐาน4 เกิดจากความพยายามของรัฐบาลทุกประเทศ
ท่ัวโลกท่ีจะให้บริการสาธารณสุขที่จาเป็น ได้แก่ การรักษาโรค การส่งเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกันโรค
และการฟื้นฟสู ภาพของผ้ปู ่วย ใหค้ รอบคลุมประชาชนทุกคน ทั้งระดับบุคคล ระดับครอบครัวและระดับชุมชน
การท่ีจะใหบ้ รกิ ารท่จี าเป็น ดังกล่าวเป็นจริงได้น้นั มอี ยหู่ นทางเดียว คือให้ประชาชนทุกคนปฏบิ ัติได้ด้วยตนเอง
แนวคิดดังกล่าวแตกต่างจากการปฏิบัติในอดีตที่เน้นให้ความสาคัญแก่ระบบการจัดการบริการสาธารณสุข
ให้แก่ประชาชนแต่เพียงอย่างเดียว แนวคิดทางการสาธารณสุขมูลฐานเป็นแนวคิดทางด้านการพัฒนาทาง
สังคม เพราะมุ่งเน้นพัฒนาความรู้ ความสามารถ การรวมกลุ่มกันในชุมชนและการตั้งใจท่ีจะช่วยเหลือ
เพ่ือนบ้านและสมาชิกในครอบครัว ในด้านการพัฒนาสังคมของประเทศนั้น จาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องเกี่ยวข้อง
กับงานด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การเกษตร การตลาด การปกครอง การพัฒนาชุมชน เมื่อแนวคิดของการ



สาธารณสุขมูลฐานเป็นเรื่องที่เก่ียวโยงโดยตรงกับการพัฒนาทางสังคม การสาธารณสุขมูลฐานจึงต้อง
ผสมผสานกับงานพฒั นาสงั คมด้านอนื่ ๆ และเปน็ ส่วนประกอบทส่ี าคัญของการพัฒนาทั้งหมด การสาธารณสุข
มูลฐานจงึ ตอ้ งดาเนนิ การโดยประชาชนเอง และเพ่ือผลประโยชน์ของประชาชน ท้ังน้ีประชาชนจะต้องช่วยกัน
หารือ ค้นหาว่าอะไรคือปัญหา อะไรคือความจาเป็นท่ีจะต้องช่วยกันทา ช่วยกันแก้ แต่ก่อนที่ประชาชน
จะดาเนินการกันเองได้นั้น ประชาชนจะต้องช่วยกันพิจารณาว่าใครเป็นผู้เหมาะสมที่จะดาเนินการได้และ
ผู้ท่ีได้รับเลือกจากประชาชนนั้นจะต้องเป็นสมาชิกของชุมชนในหมู่บ้าน เมื่อประชาชนได้เลือกผู้ท่ีเหมาะสม
มาแล้วให้เป็นผู้สื่อข่าวสาธารณสุข (ผสส.) หรืออาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) จะต้องได้รับการฝึกอบรม
เพ่ือพัฒนาความรู้ความสามารถของเขา โดยศึกษาจากปัญหาท่ีมีอยู่ในชุมชนหรือในหมู่บ้านของเขาเอง
ถ้าหากประชาชนทุกคนได้ร่วมกันปฏิบัติงานสาธารณสุขมูลฐานดังกล่าว รัฐจะต้องให้การสนับส นุน
เพอ่ื เชอ่ื มโยงบริการสาธารณสุขของรัฐที่จัดให้เป็นปกติอยู่แล้ว ให้เกิดผลต่อประสิทธภาพและประสิทธิผลของ
การบริการสาธารณสุขพ้ืนฐาน ถ้าประชาชนทุกคนหรือประชาชนส่วนใหญ่ มีสุขภาพอนามัยดีแล้วก็จะทาให้
ภาวะทางสงั คม หรือการพัฒนาทางสังคมของประเทศดีขึ้นตามไปดว้ ยคุณภาพชวี ติ ของประชาชนทุกคนก็ต้องดี
อย่างแน่นอน

แนวคดิ และกระบวนกำรยุตธิ รรมชมุ ชนของประเทศไทย

การมุ่งค้นหาการพัฒนากระบวนการอานวยความยุติธรรมชุมชนของประเทศไทย1 มีรากฐานจาก
แนวคดิ จากกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และกระบวนการยุติธรรมชุมชน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากตะวันตก
โดยสหรฐั อเมริกาไดม้ ีการศึกษาและพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางเลือกเป็นเวลานาน ซึ่งเมื่อนาเปรียบเทียบ
กับกระบวนยุติธรรมทางเลือกของประเทศไทย สามารถนามาตอบโจทย์วัตถุประสงค์ของการพัฒนา
กระบวนการยุติธรรมโดยการพฒั นาชุมชนใหเ้ ขม้ แขง็ ไดใ้ นแตล่ ะมติ ิ ดังน้ี

1. จุดร่วมยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และยุติธรรมชุมชน คือ การใช้ชุมชนในการแก้ปัญหาให้กับชุมชน
ประกอบด้วย ความคงอยู่ การส่งเสริมระบบ การป้องกัน การแก้ปัญหา การสร้างโอกาส การส่งเสริมค่านิยม
ทีแ่ ตกต่างกัน การสรา้ งโอกาสในการมสี ว่ นรว่ ม การใชท้ รพั ยากรสว่ นตัว การใชพ้ ลังขับเคลื่อนในทุกระดับ และ
การสนับสนุนยุติธรรมชุมชน ซ่ึงสอดรับกับจุฑารัตน์ (2548) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของกระบวนการชุมชน
คือ การเคลื่อนไหวของกลุ่มสังคมหรือประชาสังคมท่ีอาจประกอบด้วยผู้ที่ทางานอยู่ในภาครัฐและองค์กร
ภาคเอกชน ซึ่งเปน็ เครือขา่ ยท่มี บี ทบาทสาคัญในการเคล่ือนไหวเร่ืองกระบวนการยตุ ธิ รรมในสังคมไทยท่ีทาการ
เคลื่อนไหวคู่ขนานกับกระบวนการยุติธรรม โดยบางส่วนได้ร่วมในเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของ
องค์กรภาครัฐและเอกชนและบางส่วนเกิดจากการเลียนแบบอย่างกันในการดา เนินกิจกรรมเดียวกันนั้น
ในสังคมของตนได้ดาเนินการเพื่อเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์แทนเหย่ืออาชญากรรมและกลุ่มผู้ด้อยโอกาส
ตา่ งๆ อนั นาไปสกู่ ารผลักดนั ให้เกดิ การเคลื่อนทขี่ องกระบวนทัศน์และการเปล่ยี นแปลงระเบียบ กฎเกณฑ์ และ
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังน้ัน กระบวนการชุมชนท่ีสาคัญจาเป็นต้องผสมผสานแนวคิดในการแก้ปัญหาและการ
ฟืน้ ฟเู ขา้ ดว้ ยกนั และ สุรสิทธ์ิ (2546) และดารงศักดิ์ (2549) กล่าววา่ กระบวนการยุตธิ รรมชุมชนเปน็ เรื่อง
เก่ียวกับความเป็นบุคคล เกิดข้ึนพร้อมกับสิทธิเสรีภาพ คุณค่าและศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ ความเป็นธรรม
สมาชิกในสังคมจะต้องมีโอกาสได้รับความเสมอภาคอันเน่ืองมาจากสิทธิที่จะได้รับบริการ อย่างน้อยท่ีสุด
ควรจะได้รับการตอบสนองต่อความต้องการขั้นพื้นฐานของบุคคล ตลอดจนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ต้องมีความ
รบั ผิดชอบในการทาใหป้ ระชาชนในสงั คมม่นั ใจได้ว่าต้องมีความรับผดิ ชอบในการทาให้ประชาชนในสังคมม่ันใจ
ว่าสิทธิต่าง ๆ จะต้องได้รับเช่นกัน ดังนั้น จุดร่วมยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และยุติธรรมชุมชนของกระบวนการ



อานวยความยุติธรรมชุมชนของสหรัฐอเมริกา คือ หุ้นส่วนในการทางานด้านยุติธรรมทางเลือกที่ภาครัฐต้อง
ได้รับความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรในระดับท้องถ่ินท่ีจะต้องประสานความร่วมมือในการ
ทางานร่วมกัน ซ่ึงการที่สหรัฐอเมริกามีองค์กรด้านยุติธรรมชุมชนในท้องถิ่นต่างๆ จา นวนมาก ทาให้
กระบวนการอานวยความยุติธรรมชมุ ชนสามารถดาเนินไปไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ

2. ความเช่ือมโยงในพัฒนาการด้านกระบวนการยุติธรรมทางเลือกในสังคมไทย คือ การขับเคลื่อน
แนวคิด ซ่ึงจุทารัตน์ (2556) ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์และการเช่ือมโยงแนวคิดด้านยุติธรรมทางเลือกกับ
แนวทางการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทย ต้องประกอบไปด้วย (1) กระแสการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
ในระดับสากลที่แผ่เข้ามาในประเทศ เป็นแบบอย่างท่ีทาให้มีการเลียนแบบ เช่น เรื่องของยุติธรรมเชิง
สมานฉันท์ (2) เกิดจากแรงบีบหรือแรงกดดันทางตะวันตกให้มีการปฏิรูป เพื่อให้ทันสมัยทัดเทียมตะวันตก
(3) เกิดจากการกาหนดมาตรฐาน การตกลงร่วมกัน พันธะสัญญาและอ่ืนๆ โดยผ่านกระบวนการขององค์การ
ระหวา่ งประเทศ เช่น สหประชาชาติ ในเรอ่ื งของพันธะสัญญาส่งผ้รู า้ ยข้ามแดน สนธิสัญญาแลกเปล่ียนนักโทษ
และ (4) เกดิ จากปัญหาอาชญากรรมระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นใหม่เป็นอาชญากรรมข้ามชาติจนทาให้ประเทศ
ตา่ งๆ ต่างรว่ มมอื กนั ในการจดั การกบั อาชญากรรม เช่น ปัญหายาเสพตดิ การก่อการร้ายและอาชญากรรมทาง
เศรษฐกิจ ทาให้ประเทศมหาอานาจกาหนดให้ประเทศอ่ืนๆ วางแนวทางตามไปด้วย สอดคล้องกับ ดล
(2554) ได้อธิบายไว้ว่า นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไทยเม่ือ พ.ศ.
2434 เป็นต้นมา กระบวนการยุติธรรมเร่ิมประสบปัญหามาโดยตลอด ซ่ึงเป็นปัญหาเชิงกระบวนทัศน์ที่
เปล่ยี นแปลงไปจากการนากระบวนทัศน์กระบวนการยุติธรรมตะวันตกมาใช้ในบริบทสังคมและวัฒนธรรมไทย
ที่มีรากฐานความคิดเร่ืองความยุติธรรมแบบตะวันออก ทาให้ทุกฝ่ายต้องมีการปรับตัวอย่างมาก โดยเฉพาะ
เมอ่ื รฐั มีความเข้มแข็งมากข้ึน และชุมชนถูกลดบทบาทหน้าท่ีในการป้องกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมในชุมชน
ของตนเอง รวมทั้งเกดิ ความแปลกแยกในการใชก้ ระบวนการยตุ ธิ รรมที่เปน็ แบบแผนพิธีการ ขาดความยดื หยุน่
ซึ่งรากเหงา้ ท่ีมาของปญั หากระบวนการยตุ ธิ รรมแทท้ ่จี รงิ แล้วเปน็ ปญั หาเชิงกระบวนทัศนใ์ นการปฏิบัติต่อเหยื่อ
อาชญากรรม ผู้กระทาผิดและชุมชนท่ีคลาดเคล่ือนไปจากธรรมชาติของความสมดุลสมานฉันท์ทางสังคม
ในขณะเดียวกัน พรรณพิพล (2554) ได้ให้ทัศนะไว้ในโครงการเวทีเพื่อปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทยไว้ว่า
กระบวนการยุตธิ รรมเชงิ สมานฉันท์ถอื เปน็ กระบวนการยุติธรรมทางเลือกที่สามารถนามาใช้ในสังคมได้ การใช้
กระบวนการยุตธิ รรมเชิงสมานฉันทเ์ ป็นเครือ่ งมอื ประกอบดว้ ย เครือ่ งมอื เยยี วยา คือ การเยียวยาทั้งผู้เสียหาย
และผู้กระทาผิด เพ่ือสร้างให้ความเข้าใจโดยผ่านความรักความเอาใจใส่และการเยียวยาท่ีสามารถนาแนวคิด
และองค์ความรู้ด้านต่างๆ มาสนับสนุนได้ เช่น หลักการจิตวิทยา หลักคุณธรรม นอกจากน้ี ด้านโครงสร้าง
คนทางานในชมุ ชนกเ็ ป็นส่ิงสาคญั เนื่องจากโครงสร้างเดิมเน้นการท่ีภาครัฐมีส่วนสาคัญ หากามองถึงทางเลือก
และโอกาสแล้ว การให้หน่วยงานของรัฐปฏิบัติหน้าท่ีเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ดังนั้น การสร้างโครงสร้าง
คนทางานในกระบวนการยตุ ธิ รรมทางเลือก จะเป็นการเสริมและถ่วงดุลการทางานของชุมชนและกลไกในการ
ดูแลพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนได้ ซ่ึงจะเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันในการดูแลรักษาสังคมให้มีระเบียบและ
ความสงบสขุ

3. กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กบั สงั คมไทย คอื การนายุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้กับระบบ
ยุติธรรมหลัก โดยข้ึนอยู่กับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งพัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ สังคม
กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของแต่ละสังคมเป็นสคัญ ท้ังนี้ เชอร์แมน (2002) ได้ตั้งข้อสังเกตว่า
เมื่อระบบการเมืองของประเทศใดๆ ท่ีมีความสาเร็จและสังคมมีการศึกษาที่ดีข้ึน ความคาดหวังที่ต้องการให้
เจ้าหน้าท่ีของรัฐมีพฤติกรรมท่ีเหมาะสมก็จะมีมากย่ิงขึ้น ตัวแบบท่ีเชื่อในเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์นี้
ต้องอาศัยการยกระดับการศึกษาในหมู่เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งควรสนับสนุนการศึกษาด้าน

๑๐

อาชญวิทยาให้กับเจ้าหน้าท่ีในกระบวนการยุติธรรม เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้และนามาพัฒนางานด้าน
กระบวนการยตุ ธิ รรมโดยเฉพาะกลไกยุตธิ รรมทางเลอื ก ในขณะท่ีจฑุ ารตั น์ (2548) ได้กลา่ วว่า กระบวนการ
ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ คือปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งมีลักษณะของ “ปรัชญา แนวคิดทฤษฎี” ซ่ึงมุ่งสู่ความ
สันติสุข โดยกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง และการ
เปล่ียนแปลงกระบวนทัศน์และวิธีปฏิบัติว่าด้วย “กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์” ท่ีเกิดในสังคมไทย
มีความสัมพันธ์เชิงเหตุผลที่ยึดเหน่ียวระหว่าง อิทธิพลของโลกาภิวัตน์ท่ีนาพากระบวนการยุติธรรม
เชิงสมานฉันท์สู่รัฐสังคม-กระบวนการยุติธรรมไทย สอดรับกับ รังสิต (2551) ได้ศึกษาด้านกระบวนยุติธรรม
ชุมชนไว้ว่า การควบคุมอาชญากรรม เคลื่อนย้ายมาสู่การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน การคุ้มครอง
สิทธิเสรีภาพของประชาชน การคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายและการบาบัดฟื้นฟูผู้กระทาผิด คือ กระบวนการ
ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ และปจั จุบนั คือกระบวนการยตุ ธิ รรมชุมชน

4 ความเชื่อมโยงระหว่างยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และยุติธรรมชุมชน คือ แนวคิดยุติธรรม
เชิงสมานฉันท์และยุติธรรมชุมชนมีความกลมกลืนกันอาจไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกันท้ังหมด แต่โดยหลักแล้ว
ยุติธรรมชุมชนเป็นบริบทท่ีครอบคลุม โดยนาเอากลไกยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาช่วยอานวยความยุติธรรม
ให้กับชุมชน แต่เพ่ิมเติมบทบาทการบริหารจัดการตนเองเข้ามา เนื่องจากชุมชนเป็นพ้ืนท่ีที่สามารถดูแล
สอดส่องกันไดง้ ่าย มีอาณาเขตไมใ่ หญ่มาก การเรม่ิ ต้นจากหน่วยยอ่ ยในประเทศในการดูแลตนเองย่อมสะทอ้ น
และเพิ่มพูนจากชุมชนหน่ึงไปชุมชนอื่นๆ โดยมีการปรับประยุกต์กระบวนการท่ีเหมาะสมกับบริบทของท้องท่ี
ซึ่งเปน็ การแกป้ ัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างถูกต้องและเหมาะกับบริบทนั้นๆ อย่างแท้จริง ทั้งนี้
วราภรณ์ (2549) ที่ได้กล่าวว่า การนากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ควรเป็นรูปแบบการ
ดาเนินการท่ีจะต้องทาให้ผู้กระทาผิดได้ชดเชยความผิดของการกระทาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดการกระทาผิดขึ้นอีก
ในด้านชุมชนควรมีตัวแทนในการดาเนินงานของชุมชน เพื่อเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง ซ่ึงชุมชนจะต้องมีความ
เป็นกลาง มีความชานาญเพื่อให้เป็นท่ียอมรับถูกต้องชัดเจนและเหมาะสมในการไกล่เกล่ีย แต่การดาเนินการ
ไกล่เกลี่ยน้ันควรมีการระบุการกระทาผิดที่ชัดเจนและเป็นแนวทางเดียวกัน เพื่อให้การปฏิบัติเกิดความเป็น
ธรรมและเท่าเทียมกนั ทสี่ ุด จงึ ตอ้ งมกี ารผสมผสานกระบวนการกับชุมชน

5. กระบวนการยุติธรรมชุมชนกับสังคมไทย คือ การนาแนวคิดยุติธรรมชุมชนแบบด้ังเดิมของไทย
ที่เน้นให้บทบาทหน้าท่ีของชุมชนในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรม ดังนั้น สังคมไทยจึงต้องตระหนักถึง
บทบาทชมุ ชนในการเสรมิ เตมิ เต็มกระบวนการยุติธรรม ซ่ึงจุฑารัตน์ และคณะ (2550) ได้กล่าวไว้ว่า บทบาท
หน้าที่ของชุมชนในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมเริ่มถูกลดทอนความสา คัญกลายเป็นเพียง
“ผู้รับบริการ” และหันมาให้ความสาคัญกับเจ้าหน้าที่ตารวจในการทาหน้าท่ี “ให้บริการ” แทนอย่างเต็ม
รูปแบบ ส่งผลให้ชุมชนขาดพลังความเข้มแข็ง การจัดการกับอาชญากรรมที่เกิดข้ึน ขณะเดียวกันคดีความ
ท้ังหลายท้ังปวงที่ทับถมเพ่ิมพูนข้ึนตามกระแสการพัฒนาประเทศก็ถูกดึงเข้าสู่สายพานของกระบวนการ
ยุติธรรม กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม จึงได้เร่ิมนาโครงการตามรอยคนดี และโครงการพลังเครือข่าย
ยุติธรรมชุมชนแก้ปัญหายาเสพติดมาใช้อันเป็นจุดเริ่มการกลับคืนมาอีกคร้ังของแนวคิดยุติธรรมชุมชนใน
สังคมไทยรว่ มสมัย และณัฎฐพงศ์ (2550) ได้กล่าวว่า มาตรการชะลอการฟ้องเป็นมาตรการสาคัญอันหนึ่งใน
การนามาใช้กับภารกิจของสานักงานอัยการสูงสุด นอกจากน้ัน ยังมีภารกิจอ่ืนๆ ท่ีสามารถนายุติธรรมชุมชน
เข้ามาปรับเสริมได้ โดยมีความเป็นไปได้สูงในการนายุติธรรมชุมชนมาใช้ปรับเสริมกับภารกิจของสานักงาน
อัยการสูงสุด เพราะยุติธรรมชุมชนมีความสาคัญและเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรมและต่อสานักงาน
อยั การสงู สดุ และรปู แบบท่ีเหมาะสมของการนายตุ ิธรรมชมุ ชนเข้ามาปรับเสรมิ กับภารกิจของสานักงานอัยการ
สงู สดุ มี 3 รปู แบบ ได้แก่ รปู แบบคณะกรรมการ รูปแบบการประสานงานและรูปแบบเปน็ ทป่ี รกึ ษา

๑๑

6. ยุติธรรมชุมชนกับการบริหารจัดภาครัฐแนวใหม่ คือ การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่โดยให้
ชุมชนเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือหุ้นส่วน เป็นกระบวนการสาคัญที่ต้องส่งเสริมให้ชุมชนรู้จักบริหารจัดการตนเอง
เพ่อื ใหเ้ กิดความเหมาะสมของแนวนโยบายของทอ้ งที่ตา่ งๆ ท่ีมีบริบทต่างกัน ดังนั้น การให้ท้องที่ต่างๆ บริหาร
จัดการร่วมกับรัฐในฐานะหุ้นส่วนย่อมทาให้แต่ละท้องท่ีได้จัดการปัญหาได้ถูกต้องตามบริบทของตนเอง ทั้งน้ี
จาเนต และ โรเบิร์ต (2007) ได้กล่าวไว้ว่า การให้บริการภาครัฐแนวใหม่ ทาให้เกิดความคิดทบทวนในเร่ือง
กระบวนการ โครงสร้างและกฎเกณฑ์ต่างๆ ขององค์กร เพื่อเปิดโอกาสให้เข้าถึงและมีส่วนร่วมกับบุคคล
ซึ่งให้บริการในทุกขั้นตอนของกระบวนการปกครอง ดังน้ัน การเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมคิด
ร่วมรับรู้ร่วมตัดสินใจในส่ิงที่เกี่ยวข้องกับตนเองจึงเป็นส่ิงส าคัญท่ีภาครัฐต้องตระหนักถึง ซึ่งแต่เดิมน้ัน
รัฐมักจะรวบอานาจที่เก่ียวข้องกับกระบวนการยุติธรรมไว้ท่ีตนเองเป็นหลัก และชนิดา (2553) ได้กล่าวว่า
การมุ่งแสวงหาความมีประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการภาครัฐ เป็นการยกย่องกลไกช่วยสนับสนุนแนวคิด
ทั่วไปของรัฐบาลในระบบราชการเคร่ืองจักร การจัดการภาครัฐจึงไม่สามารถบรรลุผลลัพธ์ในการกระจายที่
เทา่ เทียมกนั ได้อยา่ งสมบูรณ์ เนอื่ งจากเป็นการแสวงหาประสิทธิภาพของการจัดการเพียงเพ่ือจะขยายขอบเขต
ของความมีประสิทธิภาพเท่านั้น ดังนั้น ภาครัฐเมื่อทาการกาหนดเป้าหมายของการจัดการภาครัฐในเร่ือง
ประสิทธิภาพ จึงจาเป็นต้องกาหนดเป้าหมายในเรื่องความเสมอภาคควบคู่ไปด้วย เพื่อให้กลไกส่งเสริมความ
ยุติธรรม สอดคล้องกับ พันตารวจโท พงษ์ธร (2556) ได้กล่าวว่า การบริหารจัดการภาครัฐควรมุ่งไปที่ความ
รับผิดชอบและการตรวจสอบได้ ใหแ้ ก่ลกู ค้าผูร้ ับบริการและมุ่งการดาเนินงานให้อยู่ในระดับสูงข้ึน การร้ือปรับ
โครงสร้างหน่วยงานราชการ การปรับนยิ ามขอบเขตภารกิจขององค์กร กระบวนการขององคก์ รตามสายงาน
ใหค้ ลอ่ งตัวมีประสิทธภิ าพและการกระจายอานาจในการตัดสินใจ

7. ยุติธรรมชุมชนกับการสร้างการมีส่วนร่วม คือ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในด้ าน
กระบวนการยุติธรรมต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
เก่ียวข้องกับความเป็นธรรม ความไว้วางใจ การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมกับรัฐจะส่งผลให้รัฐและ
ประชาชนสามารถพัฒนานากลไกด้านกระบวนการยุติธรรมได้ ท้ังน้ี พันตารวจโท พงษ์ธร (2556) ได้กล่าวว่า
แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม สะท้อนให้เห็นว่าเป็นสิ่งจาเป็น
อย่างย่ิงกับประชาชน และหน่วยงานที่เก่ียวข้อง เช่น หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจะต้องศึกษา
กระบวนการเพ่ือส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง โดยต้องยึดหลักความต้องการและปัญหาของ
คนในชุมชนเป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรม ซึ่งกิจกรรมต้องด าเนินในลักษณะกลุ่ม เพื่อสร้างพลังกลุ่มในการ
รับผิดชอบร่วมกัน และแนวทางการพัฒนากิจกรรมต่างๆ ในชุมชน ต้องคานึงถึงขีดความสามารถของ
ประชาชนที่รับดาเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องพ่ึงพาภายนอก สอดคล้องกับ ลัดดาวัลย์ (2550) ได้กล่าวว่า
การสนับสนนุ เชิงนโยบายจากรัฐอย่างจริงจังในการเสริมสรา้ งบรรยากาศการมีส่วนร่วมทางการเมือง การสรรค์
สร้างประชาธิปไตยชุมชน ด้วยการสร้างกลไกทางกฎหมายเพ่ือเป็นหลักประกันการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ให้เป็นจริง รวมถึงการจัดให้มีกลไกในรูปแบบสภาประชาธิปไตยชุมชน เพื่อเป็นพ้ืนที่ถกเถียงเรียนรู้ทางการ
เมืองชมุ ชน

8. ยตุ ิธรรมชมุ ชนกับบรบิ ทสงั คมประชาธิปไตยไทย คือ การนาอุดมการณ์ประชาธิปไตยมาใช้กับการ
พัฒนากระบวนการอานวยความยุติธรรมชุมชนของประเทศไทย ประกอบไปด้วย อุดมการณ์ทางการเมือง
แบบประชาธิปไตยของประเทศไทย กระบวนการ โครงสร้างและการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งภาครัฐต้อง
ตระหนักถงึ กระบวนการสร้างความเข็มแข็ง การสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อใหช้ ุมชนเข้ามามีส่วนร่วมทางานกบั
รัฐอย่างต่อเน่ืองในฐานะผู้มีส่วนได้เสียและเปิดโอกาสให้ชุมชนได้คิดได้จัดการ เมื่อพิจารณาจากรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พบว่า ได้มีบทบัญญัติเก่ียวกับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมาตั้งแต่

๑๒

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 จนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้ให้ความสาคัญกับการทาหน้าท่ีของ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการตรวจสอบและให้คา เสนอแนะ ในกรณีที่มีการละเมิด
สิทธิมนุษยชน สอดคล้องกับ บวรศักดิ์ (2536) และเสน่ห์ (2547) ได้มีทัศนะในด้านสิทธิชุมชนไว้ว่า
สิทธิชุมชนน้ันไม่ใช่เร่ืองของบุคคลและของรัฐเท่านั้น แต่เป็นสิทธิของชุมชนในการจัดการใช้ประโยชน์ และ
มีหน้าท่ีบารุงรักษาเหนือทรัพยากร ดังน้ัน สิทธิชุมชนจึงถือเป็นระบบท่ีจะต้องเปิดให้สิทธิเสรีภาพและความ
สร้างสรรค์ของปัจเจกชน ซ่ึงจะต้องได้รับการสนับสนุนและตอบสนอง เพราะภายใต้สังคมเปิดโลกาภิวัตน์
ไม่สามารถหลีกเล่ียงการเปล่ียนแปลงในสังคมได้ ภายใต้หลักประชาธิปไตยชุมชนต้องได้รับการคุ้มครอง
ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงต้องมีการจัดการเชิงอานาจระหว่างรัฐกับชุมชน โดยเน้นเร่ืองคุณค่าของ
ชุมชน และสร้างพลังให้กับชุมชนเพ่ือความเข้มแข็ง เช่นเดียวกับ กิตติพงษ์ ( 2541) ได้แสดงทัศนะไว้ว่า
กระแสประชาธิปไตยทส่ี ร้างความเจริญของเทคโนโลยีและความสะดวกในการติดต่อสื่อสารทาให้โลกมีลักษณะ
กลายเป็นหมู่บ้านมากขึ้น ปรากฏการณเ์ หล่านีจ้ ะนาไปสู่ความร่วมมือมากข้ึนระหว่างเจ้าหน้าที่ในกระบวนการ
ยุติธรรมในประเทศต่างๆ อันจะนาไปสู่พัฒนาการของการศึกษาเปรียบเทียบและการเรียนรู้แลกเปลี่ยน
ประสบการณร์ ะหวา่ งกันและกันมากขึน้ ซง่ึ จะมผี ลโดยตรงต่อการเปล่ียนแปลงของกฎหมายและแนวปฏิบัติใน
กระบวนการยุติธรรม สอดคล้องกับงาน สุดจิต (2546) ท่ีว่าการขับเคล่ือนของกระบวนทัศน์เป็นการพัฒนา
กระบวนการยตุ ธิ รรมทไ่ี มส่ ามารถหลีกหนีกระแสของประชาธปิ ไตยได้

9. ยุติธรรมชุมชนกับการบูรณาการให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม
คือ การกาหนดตัวช้ีวดั ดา้ นกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยท่สี ามารถออกแบบใหน้ ามาใช้ในการสรุปและ
เป็นตัวแทนในการอธิบายข้อมูลที่สาคัญมากมายได้ง่าย ประกอบกับเป็นเคร่ืองมือในการประเมินผลงาน หรือ
บ่งช้ีความสาเร็จ มาตรฐาน เพือ่ นามาสกู่ ารกาหนดนโยบายและกลไกสาคัญในการสร้างความโปร่งใสและความ
น่าเชื่อถือของระบบยุติธรรมกระแสหลัก ตัวชี้วัดด้านกระบวนการยุติธรรมจะเป็นเครื่องมือสาคัญในการสร้าง
กลไกด้านกระบวนการยุติธรรมทางเลือก ตลอดจนการกาหนดนโยบายท่ีสอดคล้องกับบริบทปัญหา
ที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมได้ง่าย การเข้าไปแก้ปัญหาด้าน
กระบวนการยุตธิ รรมทีส่ อดคล้องกับบริบทต่างๆ จึงง่ายต่อการอธิบายและมีเกณฑ์มาตรฐานต่อระบบยุติธรรม
ของตนเอง ซง่ึ ง่ายต่อการปฏิบตั ิหนา้ ทขี่ องเจ้าหน้าทใ่ี นกระบวนการยุติธรรม สอดคล้องกับ อีวอง แดน ดูแรนด์
กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ และแอลิสัน แม็คเฟล (2015) ได้สะท้อนให้เห็นความสาคัญของสังคมในระดับท้องถิ่น
ระดับชาติ หรือระหว่างประเทศที่ควรให้ความสาคัญกับตัวช้ีวัดในกระบวนการยุติธรรมที่สาคัญคือ การค้นหา
จดุ บกพร่องอนั จะนาไปสกู่ ารกาหนดนโยบายและแนวทางแก้ไข ดงั นน้ั ตัวช้ีวดั จึงต้องเป็นหนึ่งในกลไกสาคัญใน
การพัฒนากระบวนการยุติธรรม เนื่องจากสามารถส่งเสริมการแลกเปลี่ยนกันระหว่างหน่วยงานภายใน
กระบวนการยุติธรรม สังคมภายนอกในการสร้างกลไกประเมินคุณภาพของระบบ การประเมินผลและเป็นการ
พฒั นากระบวนการยุติธรรมใหเ้ ป็นทนี่ า่ เชือ่ ถือและยอมรับจากสังคมได้

กระบวนกำรอำนวยควำมยตุ ธิ รรมชมุ ชนในประเทศไทย

ปัญหาการอานวยความยุติธรรมให้แก่ชุมชนเป้าหมายส าคัญ5 คือการยุติข้อพิพาทให้เป็นไปด้วย
ความสะดวก รวดเร็ว ประหยัดและเป็นธรรม ซ่ึงปัจจุบันภาครัฐมีกลไกในการช่วยเหลือให้กับชุมชน
ผ่านกระบวนการรอ้ งเรยี นกับหน่วยงานของรฐั และองคก์ รอิสระ ซ่ึงพบว่า มีอัตราเรื่องร้องเรียนจานวนมากเข้า
สู่กระบวนการยุติธรรมกระแสหลักและองค์อิสระ ในขณะท่ีกลไกขององค์กรอิสระถือเป็นส่วนช่วยเหลือ

๑๓

กระบวนการยุติธรรมกระแสหลักในการเบื้องต้น เพื่อคัดกรองและยุติข้อพิพาท แต่ปัจจุบันศาลยุติธรรมต้อง
ประสบกับปัญหาคดีท่ีเพ่ิมมากขึ้นเป็นจานวนมากในแต่ละปี ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งและคดีอาญา ซ่ึงปัญหา
ดังกล่าวทาให้ปริมาณการฟ้องคดีเพ่ิมมากข้ึนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในช่วงหลายปีท่ีผ่านมามีคดีที่ฟ้องร้องต่อศาล
เกินกว่าหน่ึงล้านคดีเป็นประจาทุกปี ประกอบกับ ลักษณะคดีที่พิพาทกันในปัจจุบันมีความสลับซับซ้อน
มากกว่าในอดตี ทาใหก้ ารพจิ ารณาและพิพากษาคดใี ชเ้ วลานานยิง่ ขน้ึ ศาลยุติธรรมท่ัวประเทศจึงมีภาระหน้าท่ี
ในการวางแผนบริหารจัดการท้ังด้านบุคลากร ด้านงบประมาณและการบริหารจัดการคดี ให้มีประสิทธิภาพ
เพอื่ แกไ้ ขปญั หาปริมาณคดที ค่ี ่ังค้าง นอกจากนี้ บทบาทขององค์กรอิสระยังถูกจากัดไว้เพียงการช่วยเหลือด้าน
ความยุติธรรมก่อนการฟ้องร้องคดีเท่าน้ัน ซ่ึงในกระบวนการยุติธรรมยังมีขั้นตอนและกระบวนการดาเนินการ
ทีใ่ ช้เวลาพอสมควร หากมีการพฒั นาบทบาทขององค์กรอสิ ระ ชุมชนและภาครัฐในการบรู ณาการการทางาน
รว่ มกนั ตง้ั แต่ต้นทางของกระบวนการยุติธรรมไปจนถึงปลายทางที่จะทาให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกลับเข้าสู่สังคมได้
อย่างปกติสุข จะเป็นการพัฒนาบทบาทการทางานของชุมชนและภาครัฐให้มีส่วนเสริมเติมเต็มกระบวนการ
ยตุ ิธรรมไดต้ ่อไป

1. กระบวนการอานวยความยตุ ธิ รรมชุมชนของชุมชนตลาดมาบตาพุด จังหวัดระยอง ประกอบด้วย
ผู้นา เน่ืองจากชาวชุมชนมีความรักศรัทธาในตัวผู้นา ส่วนข้อพิพาทระหว่างชุมชนยังจาเป็นต้องให้องค์กร
ภาครัฐเข้ามาสนับสนุน อย่างไรก็ตาม การมีปฏิสัมพันธ์กับหน่วยงานของภาครัฐ ทาให้สามารถได้รับการ
แก้ปัญหาต่างๆ อย่างทันท่วงที เช่น กรณีปัญหาโรงงานส่งกลิ่นเหม็น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ได้ดาเนินการแก้ไข ซึ่งชาวชุมชนตลาดมาบตาพุดใช้การมีส่วนร่วมในการจัดการกิจการของชุมชน ด้าน
งบประมาณ การเสนอโครงการ การดูแลความสงบเรียบร้อย การวางแนวทางป้องกันปัญหา และร่วมกันทา
ฉันทามติเพ่ือพูดคุยกับภาครัฐ ทั้งการบริหารจัดการตนเองและการทางานร่วมกันทุกภาคส่วน เพื่อให้ภาครัฐ
ภาคเอกชนและชุมชนตระหนักถึงการทางานรว่ มกัน โดยภาครัฐต้องส่งเสริมกิจกรรม องค์ความรู้ด้านกฎหมาย
ระเบียบ กฎเกณฑ์ ส่วนภาคเอกชนต้องเข้ามาร่วมสนับสนุนพัฒนา ป้องกันเพ่ือให้ชาวชุมชนและโรงงาน
อยู่ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม เม่ือทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ความรอบด้านในการแก้ปัญหา ความรู้ด้านกฎหมาย
ของภาครัฐ ความทันสมัยของภาคเอกชน จะทาให้ชุมชนได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องข้อขัดแย้งเกี่ยวกับ
เร่ืองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ท้ังนี้ ดารงศักด์ิ (2549) ได้กล่าวไว้ว่า การจัดการงานสังคม
สงเคราะห์และการจัดการสวัสดิการสังคมแนวใหม่เป็นการแส วงหาทางออกในด้านการบริหารจัดการ
ซ่ึงจะต้องสะท้อนมาจากปัญหาและอุปสรรคของระบบการทางานของหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องกับงานบริการใน
ภาครัฐที่จะนาไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาในการให้บริการได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น และเป็นการเสริมสร้าง
ความเข้มแข็งให้เกิดกับการบริหารงานภาครัฐและเอื้อให้เกิดแนวทางของการจัดการความสัมพันธ์กับพลเมือง
สอดคลอ้ งกบั ณัฐพล (2552) ได้ใหค้ วามส าคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในฐานะหน่วยงานของภาครัฐ
ทีจ่ ะต้องสรา้ งความเขม็ แขง็ ให้กบั ชุมชน โดยแนวทางในการส่งเสริม พบว่า ควรมีการทาความเข้าใจให้กระจ่าง
ชัดในข้อกฎหมาย และแนวทางปฏิบัติท่ีถูกต้องขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในบทบาทและภารกิจน้ี และ
การให้ความสาคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ภาคราชการและผู้ที่เก่ียวข้อง
ต้องทางานร่วมกนั อย่างบูรณาการ และในระดบั นโยบายรัฐควรมีความชดั เจนและตอ่ เนื่อง

2. กระบวนการอานวยความยุติธรรมชุมชน ประกอบไปด้วย ผู้ป้องกัน การยุติข้อพิพาท การกาหนด
มาตรฐานและสนับสนุนบทบาทของชุมชนในการไกล่เกล่ีย การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน การสร้างความ
เข้มแข็ง การบริหารจัดการตนเอง การไกล่เกลี่ยและการฟ้ืนฟูเยียวยา ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ ภาครัฐ
ภาคเอกชน และชุมชนต้องตระนักถงึ บทบาทดงั กล่าว เพ่อื ใหเ้ กิดกระบวนการอานวยความยุติธรรมที่เหมาะสม
ซ่ึง นันทา (2546) ได้ให้ความสาคัญกับศักยภาพของชุมชนพบว่า จากการท่ีเจ้าหน้าที่ได้ดาเนินการตาม

๑๔

กระบวนการเรียนรทู้ ใ่ี ห้ชมุ ชนมีส่วนร่วมได้สร้างการยอมรับตัวเจ้าหน้าที่มากข้ึน เพราะเจ้าหน้าท่ีมีภารกิจและ
บทบาทชดั เจนในการเปน็ ที่ปรกึ ษา สง่ เสรมิ แนะนา ประสานงานในลักษณะผู้อานวยความสะดวก และได้สร้าง
ความรู้ความเข้าใจแก่เจ้าหน้าที่ในการส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืนโดยการเรียนรู้ร่วมกันกับเกษตรกร
สอดคลอ้ งกับ เสรี (2542) ได้กล่าววา่ การทช่ี ุมชนมีศักยภาพในการพง่ึ ตนเอง สามารถบรหิ ารจดั การตัวเอง
จัดการทรัพยากร มีความรักท้องถิ่นเคารพในวัฒนธรรม ภูมิปัญญา มีการรวมกลุ่มเป็นเครือข่าย พออยู่พอกิน
มีชวี ติ อยู่อย่างมศี ักดิ์ศรีและสมดลุ กับธรรมชาติ และ รังสติ (2551) ไดก้ ล่าวว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนที่
มุ่งเน้นความสัมพันธ์ท่ีเชื่อมโยงระหว่างชุมชนกับสถาบันของรัฐที่ทาหน้าดูแลความยุติธรรม ซึ่งชุมชนเองต้อง
ตระหนักถึงการเข้าไปมีส่วนร่วม เพ่ือป้องปรามปัญหาความอยุติธรรมท่ีเกิดข้ึนในชุมชน ร่วมทั้งการรวมพลัง
ของชุมชน เพื่อสร้างความเขม้ แข็งและรู้จกั ใช้กลไกทางสังคมในการดาเนินการผ่านกระบวนการยตุ ธิ รรมท่มี ีอย

แนวทำงกำรพัฒนำกระบวนกำรอำนวยควำมยตุ ิธรรมชุมชนสำหรับชุมชนในประเทศไทย

กระบวนการยุติธรรมชุมชน5 เป็นแนวทางและแบบแผนของกลยุทธ์เชิงรุกท่ีเน้นป้องกันอาชญากรรม
ด้วยการทางานร่วมกันของชุมชนในลักษณะของหุ้นส่วนที่เข้มแข็งระหว่าง องค์กรภาครัฐท่ีมีหน้าที่รับผิดชอบ
ตอ่ ความปลอดภัยของสาธารณะกับชมุ ชน ซ่ึงการมีส่วนร่วมของประชาชนจะเกิดข้ึนได้เม่ือรัฐอนุญาตให้เข้ามา
มีส่วนร่วมและรัฐเป็นผู้กาหนดว่าจะให้ใครหรือชุมชนใดเข้ามามีส่วนร่วมได้ เช่น อาสาสมัครคุมประพฤติและ
ยตุ ธิ รรมชมุ ชนในกระบวนทัศนค์ วามยตุ ิธรรมเชงิ สมานฉนั ท์ คือการทช่ี มุ ชนเป็นตัวหลักในการจัดการกับปัญหา
อาชญากรรม ส่วนรัฐเปล่ียนบทบาทจากการเป็นผู้อ านวยความยุติธรรมหรือเป็นเจ้าของอานาจเป็นผู้ให้การ
สนบั สนนุ ใหช้ ุมชนทาหนา้ ท่ีได้ โดยชุมชนตอ้ งมีบทบาทหนา้ ทสี่ าคัญ 3 ประการ คือ การแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระทาผิด
ในชุมชน การระงับขอ้ พิพาทในวถิ ที างความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และการป้องกันปัญหาอาชญากรรม ซ่ึงเป็น
กลไกการทางานตามระบบยุติธรรมชุมชนท่ีเชื่อมโยงกับระบบยุติธรรมหลัก ดังน้ัน แนวทางการพัฒนา
กระบวนการอานวยความยตุ ธิ รรมชมุ ชนที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย ควรเรมิ่ ต้นต้ังแต่กระบวนการ
ยตุ ธิ รรมกอ่ นชั้นศาล กระบวนการยุติธรรมในชน้ั ศาล และกระบวนการยุตธิ รรมหลงั คาพิพากษาของศาล

ก่อนชนั้ ศาล คอื การเปิดโอกาสให้ชมุ ชนทาหน้าที่เป็นผู้ดูแลและป้องกันปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นในชุมชน
เป็นกลไกที่ภาครัฐและชุมชนส่งเสริมให้แต่พ้ืนท่ีดูแลและปกป้องตนเอง ซึ่งต้องเกิดจากการหารือร่วมกันและ
กาหนดเป็นนโยบายชุมชนที่ให้บทบาทกับชุมชนทาหน้าที่ร่วมกับภาครัฐในการป้องกันและดูแลตนเอง เพ่ือ
ลดภาระของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและลดปัญหาค่าใช้จ่ายในกระบวนการยุติธรรมที่ค่อนข้างสูง
และใช้ระยะเวลานาน ภาพกระบวนการอานวยความยุตธิ รรมชุมชนกับกระบวนการยตุ ธิ รรมก่อนชัน้ ศาล

๑๕

ที่มา http://journal.innovtalk.com/upload_files/contents/topic_id_33_35.pdf
ในชั้นศาล คือภาครัฐและชุมชนทาหน้าที่เป็นผู้อานวยความสะดวกในการช่วยเหลือกรณีเกิด
ข้อพิพาทที่เป็นคดีความ กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล คือกระบวนในระหว่างการดาเนินคดีในชั้นศาล
ซึ่งเป็นเรอ่ื งของค่กู รณี ผู้ต้องหาและจาเลย ในการหาข้อเท็จจริงสาหรับการต่อสู้ จึงจาเป็นอย่างย่ิงท่ีต้องได้รับ
ความรู้ทางด้านกฎหมาย ช่องทางและกระบวนการดาเนินคดีที่ชัดเจน ซ่ึงกระบวนการอานวยความยุติธรรม
จะเป็นกลไกที่เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดขึ้น โดยการทางานร่วมกับ
หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เช่น ตารวจและอัยการในการให้ข้อมูลสนับสนุน ข้อเท็จจริง การใช้
ความสัมพันธ์ในการทาความเข้าใจกับคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายใช้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ที่ถูกต้องในการดาาเนนิ การทางคดี

๑๖

ท่ีมา http://journal.innovtalk.com/upload_files/contents/topic_id_33_35.pdf
หลังชั้นศาล คือภาครัฐ ชุมชนและภาคเอกชนทาหน้าท่ีเป็นผู้สนับสนุนการฟ้ืนฟูให้กับผู้กระทา
ความผิดใหก้ ลับสู่สงั คม โดยการสร้างแนวทางการแกไ้ ขฟืน้ ฟผู ู้กระทาผดิ ในชุมชน โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน
ท่ีสามารถรองรับปริมาณงานคุมประพฤติได้อย่างมีคุณภาพ มีส่วนช่วยให้ชุมชนเข้มแข็งปลอดภัยจา ก
อาชญากรรม ผ่านทางอาสาสมัครคุมประพฤติและเครือข่ายยุติธรรมชุมชน และการเยียวยาให้กับเหย่ือหรือ
ผ้เู สยี หาย โดยการให้ชุมชนในฐานะผู้ใกล้ชิด เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือภาครัฐในการฟื้นฟูสภาพจิตใจและ
กายให้กลับมาเป็นปกติได้ และเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการติดตามความเป็นไปของเหยื่อหรือผู้เสียหาย
ว่าเหยื่อใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ซึ่งปัจจุบันไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควรในเร่ืองดังกล่าว ซึ่งแตกต่างจากใน
ต่างประเทศ ที่ทั้งหน่วยงานของรัฐและเอ็นจีโอจะระดมความช่วยเหลือ ส่งนักจิตวิทยาเข้าไปดูแลฟ้ืนฟูจิตใจ
ติดตามพัฒนาการของเหย่ือจนมั่นใจว่ามีความพร้อมท่จี ะกลบั มาใชช้ วี ิตในสงั คมได้อยา่ งเปน็ ปกตอิ ีกครัง้

๑๗

ที่มา http://journal.innovtalk.com/upload_files/contents/topic_id_33_35.pdf
การพัฒนากระบวนการอานวยความยุติธรรมชุมชนต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างชุมชน หน่วยงาน
ภาครัฐหรือองค์กรอิสระและภาคเอกชน ในการทาหน้าที่เป็นผู้ป้องกัน ผู้อานวยความสะดวกและผู้สนับสนุน
การพฒั นากระบวนการอานวยความยุติธรรมชุมชนสาหรับชุมชนท่ีเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยต้องให้
ชุมชนตระหนักในสิทธิพลเมืองและสิทธิชุมชนตามระบอบประชาธิปไตย ภาคเอกชนต้องมีความรับผิดชอบต่อ
สังคมและภาครัฐต้องทาหน้าที่ส่งเสริมบทบาทชุมชนและถ่ายทอดประสบการณ์ในการบริหารจัดการความ
ยตุ ิธรรมใหก้ ับชมุ ชนในรปู แบบการปฏบิ ตั ิจริง ตง้ั แต่กระบวนการยุติธรรมก่อนช้ันศาล กระบวนการยุติธรรมใน
ชั้นศาลและกระบวนการยุติธรรมหลังคาพิพากษาและส่งเสริมการใช้ระบบและวิธีการที่เป็นไปตามท่ีกฎหมาย
บญั ญัตแิ ละตามมาตรฐานสากล

๑๘

ท่ีมา http://journal.innovtalk.com/upload_files/contents/topic_id_33_35.pdf
แนวทางการพัฒนากระบวนการอานวยความยตุ ธิ รรมชุมชนทีเ่ หมาะสมกบั บริบทของประเทศไทย คือ
การเพิ่มบทบาทของชุมชนในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก โดยภาครัฐต้องกาหนดบทบาท
หน้าที่ของชุมชนให้ชัดเจน โดยการออกกฎหมายที่เก่ียวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยมาตรฐานการไกล่เกล่ีย
กฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการชุมชน และกฎหมายว่าด้วยสิทธิและอานาจหน้าที่ของชุมชน เพ่ือให้ชุมชน
สามารถดาเนินการบริหารจัดการภายในชุมชนได้ตามกรอบท่ีรัฐเห็นว่าเหมาะสมและป้องกันการสร้างอิทธิพล
ในชุมชน ซึง่ ถือเปน็ ระบบคุ้มครองสทิ ธชิ ุมชน นอกจากน้ี ในส่วนของกระบวนการยุติธรรมภาครัฐต้องทาหน้าท่ี

๑๙

ร่วมกับชุมชน เริ่มต้ังแต่กระบวนการก่อนช้ันศาล ภาครัฐและชุมชนต้องร่วมกันท าหน้าที่เป็นผู้ป้องกันปัญหา
โดยร่วมกันสร้างเครือข่าย และจัดระบบการให้บริการด้านกฎหมายและระเบียบราชการที่เกี่ยวข้อง และการ
ไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งเป็นการเบื้องต้น เพ่ือให้ชุมชนสามารถเข้าใจบริบทของปัญหาและพิจารณาข้อขัดแย้งตาม
หลักกฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นข้อมูล ข้อเท็จจริง หลักกฎหมาย โดยไม่ใช้สามัญสานึกในการตัดสินใจเข้าสู่
กระบวนการในชั้นศาล หลังจากน้ัน หากมีความจาเป็นที่ต้องเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล ภาครัฐและชุมชน
ต้องทาหน้าท่ีผู้อานวยความสะดวกให้กับชุมชนในการต่อสู้ในช้ันศาล ท้ังการบริการทางกฎหมาย กฎเกณฑ์
และระเบยี บทจ่ี าเป็นในกระบวนการฟอ้ งร้อง รวมทง้ั มีส่วนช่วยในการไกล่เกลี่ยของภาครัฐ

แนวคิดยุติธรรมชุมชนที่เร่ิมจากแนวคิดยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ เบ้ืองต้นนามาใช้ในงานคุมประพฤติ
เม่ืออธิบดีกรมคุมประพฤติมาเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม จึงนาแนวคิดดังกล่าวมาขับเคล่ือนเป็น “แนวคิด
ยุติธรรมชุมชน” ในปัจจุบัน โดยแนวคิดดังกล่าว จะมุ่งไปท่ีเหย่ือ จาเลย หรือผู้กระทาความผิด การฟื้นฟู
ผู้กระทาความผิด การอยู่ร่วมกันในสังคมโดยปกติสุข ทาให้งานยุติธรรมชุมชนได้รองรับงานพัฒนาพฤตินิสัย
ของกระทรวงยุติธรรมเป็นสาคัญ ทาให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ยุติธรรมชุมชนขาดความรู้ในงานของกรม หรือ
ส่วนราชการอื่นในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เช่น งานสิทธิและเสรีภาพ งานนิติวิทยาศาสตร์ จึงไม่สามารถ
รองรับหรือทางานในงานดังกล่าวได้ดี อีกท้ัง หน่วยงานกลางท้ังระดับกระทรวงและจังหวัดขาดการให้ความรู้
เจา้ หน้าท่ีศนู ย์ยุตธิ รรมชมุ ชนดงั กลา่ ว สง่ ผลใหศ้ ูนยย์ ตุ ิธรรมชุมชนให้บรกิ ารประชาชนไดใ้ นขอบเขตจากัด

๒๐

บทท่ี 2
ยุตธิ รรมชมุ ชน

ในบทน้ี นาเสนอ “ยุตธิ รรมชุมชน” ของกระทรวงยตุ ิธรรม รวมถึงสว่ นงานทีเ่ ก่ียวข้อง

นยิ ำม

ยุติธรรมชุมชน หมายถึง การป้องกันอาชญากรรม ละกิจกรรมที่เกี่ยวกับความยุติธรรมในรูปแบบ
ตา่ งๆ ในความรบั ผดิ ชอบของหนว่ ยงานในกระบวนการยุตธิ รรมหนว่ ยใดหนว่ ยหนึ่งท่ีเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามา
มีส่วนร่วมในการป้องกันหรือในกิจกรรมนั้น ๆ โดยมีเป้าหมายสุดท้ายเพ่ือคุณภาพชีวิตของชุมชน” (Karp &
Clear: 2000:324)6

เครือข่ายยุติธรรมชุมชน7 คือการดาเนินงานท่ีกระทรวงยุติธรรมเปิดให้ “ประชาชนกลุ่มองค์กร”
มีส่วนร่วมกับกระทรวงยุติธรรมในฐานะเป็น “หุ้นส่วน” ซ่ึงมีความเป็นเจ้าของมีส่วนร่วมในความสงบสุข
เรียบร้อย ปลอดภัยของชุมชน ภายใต้ยุทธศาสตร์กระทรวงยุติธรรม “ยุติธรรมถ้วนหน้าประชามีส่วนร่วม”
บทบาทหรือหนา้ ท่ขี องเครือข่ายยุติธรรมชุมชน เช่น การให้คาแนะนาเบื้องต้นกับผู้ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ
การช่วยระงับข้อพิพาทหรือขัดแย้งในชุมชน การป้องกันปัญหาทางอาชญากรรมในชุมชนในด้านต่างๆ เช่น
รณรงคอ์ บุ ัตเิ หตุ ปัญหายาเสพตดิ ในชมุ ชน การชว่ ยแกไ้ ขฟ้นื ฟูสงเคราะห์ ผู้กระทาผิดหลังพ้นโทษ การให้ความ
ชว่ ยเหลอื ดูแลผู้เสียหาย การแจ้งข่าวหรือเบาะแสต่างๆ และความร่วมมือในภารกิจต่างๆ ท่ีกระทรวงยุติธรรม
ดาเนนิ การโดยประชาชนหรอื กลมุ่ องค์กรเป็นเครือขา่ ยดาเนนิ การ

งานเครอื ข่ายยุติธรรมชมุ ชนของกรมคุมประพฤต8ิ
"เครือข่ายยุติธรรมชุมชน" เป็นส่วนหนึ่งของการดาเนินงานของกระทรวงยุติธรรมภายใต้ยุทธศาสตร์
"ยุติธรรมถ้วนหน้า ประชามีส่วนร่วม" (Justice for All, All for Justice)อันจะเป็นกุญแจสาคัญท่ีจะนาไปสู่
จดุ มุง่ หมายในการสร้างความเปน็ หุน้ ส่วนระหว่างภาครฐั กับชมุ ชน ในการอานวยความยุติธรรม สร้างความเป็น
ธรรมและความสงบสุขในสังคมร่วมกัน โดยภาครัฐจะส่งเสริมการรวมตัวกันของประชาชนในลักษณะของ
"เครือข่าย" เพื่อทางานเคียงบ่าเคียงไหล่กับภาครัฐในการดาเนินภารกิจต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับผลประโยชน์ของ
ชุมชน และจะสง่ เสริมให้เครอื ข่ายมคี วามเข้มแข็ง สามารถจัดตั้ง "ศูนย์ยุติธรรมชุมชน" ของตนเองขึ้น เพ่ือเป็น
กลไกในการร่วมกันสรรหาแนวทางที่จะทาให้ภาครัฐและภาคประชาสังคมร่วมกันสร้าง "สังคมท่ียุติธรรม"
กล่าวคือ เป็นสังคมท่ีประชาชนได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาคภายใต้กฎหมายอย่างถ้วนทั่ว และเป็น
สังคมที่มีความสงบสุข ปราศจากอาชญากรรมอันจะเป็นรากฐานสาคัญของการพัฒนาท้ังทางด้านเศรษฐกิจ
และสังคมอยา่ งยงั่ ยนื
"เครือข่ายยุติธรรมชุมชน" หมายถึง ประชาชน กลุ่ม หรือองค์กรที่มีความสนใจและสมัครใจที่จะ
แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสานความร่วมมือในการป้องกัน เฝ้าระวังปัญหาอาชญากรรม ตลอดจน
เข้ามามีส่วนร่วมและมีบทบาทในกิจกรรมต่างๆ ของกระทรวงยุติธรรม เพ่ือตอบสนองความต้องการและ
เสริมสร้างความยตุ ิธรรมและความสงบสุขในชมุ ชน
สมาชิกเครือข่ายยุติธรรมชุมชน หมายถึง ประชาชนผู้สนใจในงานเครือข่ายยุติธรรมชุมชนของ
กระทรวงยุติธรรม และได้ผ่านการอบรม "หลักสูตรเครือข่ายยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม" เพ่ือเข้าร่วมกับ
กระทรวงยุติธรรม ในฐานะหุ้นส่วนท่ีจะดาเนินกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ เพ่ือเป็นการเสริมสร้างความยุติธรรม
ความเปน็ ธรรมและความสงบสขุ ในชมุ ชน(กดLinkหวั ขอ้ จานวนสมาชกิ เครอื ข่ายยตุ ธิ รรมชมุ ชน)

๒๑

ผู้ประสานงานยุติธรรมชุมชน หมายถึง สมาชิกเครือข่ายยุติธรรมชุมชนได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทน
ของเครือขา่ ยยตุ ิธรรมชมุ ชน ประชาชนในชมุ ชน ในการประสานงานระหว่างประชาชน ชุมชนและองค์กรต่างๆ
ท้ังภาครัฐและเอกชน เพ่ือให้เกิดความเป็นธรรมในชุมชนและส่งผลให้เกิดความสงบสุขของชุมชน นอกจากน้ี
ยังเปน็ ผบู้ ริหารจดั การและดาเนินงานในศูนยย์ ตุ ธิ รรมชมุ ชน

คณะกรรมการประจาศูนย์ยตุ ิธรรมชมุ ชน หมายถึง สมาชกิ เครือข่ายยุติธรรมชุมชนหรือประชาชนใน
ชุมชนได้รับการคัดเลือกให้ทาหน้าท่ีพิจารณา วินิจฉัย แก้ไขปัญหาให้กับประชาชนในชุมชนในกรณีที่สมาชิก
เครือข่ายยุติธรรมชุมชน หรือผู้ประสานงานยุติธรรมชุมชนไม่สามารถแก้ไขได้ และพิจารณาส่งเรื่อง
ท่ีไม่สามารถแก้ไขได้ให้สานักงานยุติธรรมจังหวัดต่อไปโดยมีผู้ประสานงานยุติธรรมชุมชนเป็นเลขานุการ
คณะกรรมการประจาศูนย์ยุตธิ รรมชมุ ชนและเปน็ ฝายธุรการ

ศูนย์ยุติธรรมชุมชน หมายถึง สถานท่ีท่ีอยู่ในชุมชน และสมาชิกเครือข่ายยุติธรรมชุมชน ตลอดจน
ประชาชนเห็นชอบให้จัดต้ังเป็นศูนย์ยุติธรรมชุมชน เพ่ือใช้เป็นสถานที่ดาเนินงานของคณะกรรมการประจา
ศนู ย์ยุตธิ รรมชมุ ชนหรือดาเนินงานในกจิ กรรมตา่ งๆของชุมชน(กดLinkหวั ข้อจานวนศูนย์ยตุ ธิ รรมชมุ ชน)

ศูนย์ประสานงานยุติธรรมชุมชน หมายถึง ศูนย์ที่ทางกระทรวงยุติธรรมจัดต้ังขึ้นอยู่ในสานักงาน
ยุติธรรมจังหวัดภายในกลุ่มงานบริการประชาชน โดยให้เป็นกลไกเชื่อมต่อการทางานระหว่างภาครัฐกับ
ประชาชนในรูปแบบของเครือข่ายยุติธรรมชุมชน ซ่ึงศูนย์ประสานงานยุติธรรมชุมชนมีหน้าท่ี ส่งเสริม
สนับสนุน และพัฒนาเครือข่ายยุติธรรมชุมชน จัดวางระบบฐานข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกลไกใน
ชุมชนกับสานักงานยุติธรรมจังหวัดและกระทรวงยุติธรรม เพื่อทางานร่วมกันตลอดจนติดตามและรายงาน
ผลการดาเนนิ งานของศูนย์

จากคาจากัดความของยุติธรรมชุมชนดังกล่าว จะเห็นว่ายุติธรรมชุมชนประกอบด้วยตัวละครอย่าง
นอ้ ยสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมหน่วยใดหน่วยหนึ่ง ฝ่ายที่สองคือชุมชน ซ่ึงการให้
ความหมายของยุติธรรมชุมชนเช่นน้ีเพ่ือให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับยุติธรรมชุมชนได้ง่ายย่ิงข้ึน “มีส่วนร่วม”
หมายความว่า ชุมชนอาจเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันอาชญากรรมหรือในกิจกรรมใด ๆ ของหน่วยงานใน
กระบวนการยุติธรรมตามที่เปิดโอกาสให้ในหลายระดับก็ได้ ตั้งแต่ระดับการมีส่วนร่วม “ต่าสุด” เช่น การให้
ข้อมูลข่าวสารแก่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมไปจนถึงการมีส่วนร่วมอย่างเป็น “หุ้นส่วน” กัน
กับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ชุมชนที่จะทางานร่วมกับหน่วยงานใดๆ ในกระบวนการ
ยุติธรรมอย่างเป็นหุ้นส่วนหมายถึงชุมชนที่รวมตัวกันในรูป “องค์กรชุมชน” ที่มีช่ือเรียกขานมีการประชุมกัน
เปน็ ระยะ ๆ เชน่ กลุ่มออมทรพั ย์ กล่มุ แมบ่ ้าน กลมุ่ กลองยาว กล่มุ เฝา้ ระวงั ชุมชน กลมุ่ อาสาสมคั รโรงเรียน วัด
หรอื มสั ยดิ เปน็ ต้น

การเรียกวา่ ชมุ ชนมีสว่ นร่วมและเกิดยตุ ิธรรมชุมชนขน้ึ แลว้ 1 เพยี งประชาชนแจ้งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ
เบาะแสของอาชญากรรมเท่านั้นยังไม่ถือว่ายุติธรรมชุมชนเกิดแล้ว การแจ้งเบาะแสเป็นการทาหน้าท่ีของ
พลเมอื งดีเป็นการกระทาฝา่ ยเดยี วทรี่ ฐั เป็นผไู้ ด้ประโยชน์ แม้ผู้แจง้ จะได้รับประโยชน์ตอบแทนหากมีการจับกุม
อาชญากรรมตามที่แจ้งไปได้อย่างรวดเร็วในแง่ของความสงบเรียบร้อยก็ตาม การท่ีประชาชนจะแจ้งเบาะแส
อาชญากรรมให้กับรัฐนั้นประชาชนผู้นั้นต้องมีจิตสาธารณะและท่ีสาคัญท่ีสุดประชาชนนั้นต้องไว้วางใจรัฐว่า
หากแจ้งแล้วตนจะไม่ได้รับผลร้ายจากการแจ้งหรือจะต้องมีการดาเนินการจับกุมทันทีอย่างจริงจังเป็นต้น
แต่หากการแจ้งเบาะแสน้ันเกิดจากการสร้างสัมพันธภาพกับชุมชนโดยภาครัฐก็ถือได้ว่ายุติธรรมชุมชนเร่ิม
เกิดข้ึนแล้วซึ่งหากอยากจะรู้ว่ายุติธรรมชุมชนเกิดข้ึนแล้วหรือไม่ให้ตรวจสอบว่า องค์ประกอบครบทั้ง 5 ข้อ
(1) เน้นปฏิบัติการในระดับพ้ืนท่ีใดพื้นท่ีหน่ึง (2) เน้นการใช้กระบวนการแก้ปัญหา (3) เน้นการกระจาย

๒๒

อานาจและความรับผิดชอบ (4) มีเป้าหมายเพื่อคุณภาพชีวิตของชุมชน (5) เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของ
ประชาชนหรือชมุ ชน

ภำรกจิ ศูนยย์ ตุ ิธรรมชมุ ชน

ศูนยย์ ุตธิ รรมชมุ ชน มีภารกจิ ดังน้ี9
1. การปอ้ งกันและควบคุมอาชญากรรมในชุมชน (Crime Control & Prevention) ด้วยการยับยั้ง
หรือชะลอสถานการณ์มิให้เกิดความขัดแย้ง ข้อพิพาท หรือการกระทาผิดทางอาญาโดยการเฝ้าระวังป้องกัน
การให้ความร้คู วามเข้าใจแกป่ ระชาชน เช่น ระเบยี บ กฎหมายท่ปี ระชาชนควรรู้
2. การรับเรื่องราวร้องทุกข์ แจ้งเบาะการทุจริตคอรัปช่ัน รวมทั้งปัญหาความเดือดร้อนของ
ผดู้ อ้ ยโอกาส (เด็ก สตรี คนชรา ผู้พิการ) แล้วส่งต่อไปยังหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องดาเนินการต่อไปและติดตามผล
การดาเนินงานและแจง้ ให้ผ้รู ับบริการรบั ทราบเป็นระยะ
3. การไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาท (Conflict Management) ตามหลักยุติธรรมเชิงสมานฉันท์
หรือหลักสันติวฒั นธรรม
4. การเยียวยาเสริมพลังแก่เหยื่ออาชญากรรมและความรู้สึกของชุมชน (Community &
Empowerment) ด้วยการให้ความเข้าใจกาลังใจช่วยเหลือสนับสนุนให้เหยื่ออาชญากรรมและชุมชนน้ัน
มีความรู้สึกท่ีดีและใช้ชีวิตเป็นปกติต่อไปรวมทั้งการให้ความรู้หรือคาแนะนาในการย่ืนขอรับความช่วยเหลือ
จากทางราชการทเ่ี ก่ียวข้อง
5. การรับผู้พ้นโทษหรือผู้ถูกคุมประพฤติกลับสู่ชุมชน (Reintegration) เพ่ือให้บุคคลน้ันสามารถ
ดารงชีวติ อย่ใู นชุมชนสงั คมไดเ้ ป็นปกตแิ ละไม่หวนกลับไปกระทาผดิ ซา้ อกี ตอ่ ไป

โครงสรำ้ งศูนยย์ ุติธรรมชมุ ชนตำบล

โครงสร้างศูนย์ยุติธรรมชุมชนตาบล10 ประกอบด้วย ส่วนที่ ๑ ท่ีปรึกษา (1) ปลัดอาเภอประจา
ตาบล (๒) พฒั นากรประสานตาบล (3) กานนั (4) นายกองคก์ ารบริหารสว่ นตาบล และ/หรือ นายกเทศมนตรี
เทศบาลตาบล (5) ผู้แทนยุติธรรมจังหวัด 1 คน ส่วนท่ี ๒ คณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชน (1) ประธาน
กรรมการ (กรรมการเลือกกันเอง) (2) รองประธานกรรมการ (กรรมการเลือกกันเอง 2 คน ตามลาดับ)
(3) กรรมกร ประกอบด้วย (3.1)ประธานคณะทางานด้านอา ำนวยการในคณะกรรมการหมู่บ้านทุกหมู่บ้าน
เลือกกันเอง 2 คน (3.2) สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตาบล หรือสมาชิกสภาเทศบาลท่ีมีภูมิลาเนา
ในหมู่บ้านทุกหมู่บ้าน เลือกกันเอง 2 คน (3.3) ผู้แทนผู้นาองค์กร/กลุ่มอาชีพในตาบล เลือกกันเอง 1 คน
(3.4) ประธานศูนยย์ ตุ ิธรรมชมุ ชน (เดิม) ทีม่ ีอยู่ในตาบล 1 คน (3.5) ตารวจชุมชน 1 คน และ (4) กรรมการ
และเลขานุการ : นิติกร/เจ้าหน้าที่ท่ีได้รับมอบหมายจากนายกองค์การบริหารส่วนตาบล/นายกเทศมนตรี
เทศบาลในพน้ื ทีต่ าบล 1 คน

๒๓

หนำ้ ที่เครอื ขำ่ ยยุติธรรมชมุ ชน

หนา้ ทีเ่ ครอื ข่ายยุตธิ รรมชมุ ชน10 ดงั นี้
1. รับเรื่องราวร้องทุกข์ ช่วยเหลือ ดูแล ให้คาแนะนาและแก้ปัญหาเบ้ืองต้นแก่ผู้ที่ถูกละเมิด
สิทธแิ ละเสรภี าพ หรอื ต้องการคาแนะนาเบื้องตน้ ทางดา้ นกฎหมายและกระบวนการยุตธิ รรม
2. เสรมิ สรา้ งความสมานฉันท์ในชมุ ชน
3. ป้องกันปัญหาอาชญากรรมในชมุ ชุน
4. ให้ความชว่ ยเหลือ ดูแลผทู้ ่ไี ดร้ บั ความเสยี หายและผลกระทบจากอาชญากรรม หรือ
ประสานงานหนว่ ยงานท่ีเกยี่ วข้องเพอื่ ให้ความชว่ ยเหลอื ดังกล่าว
5. ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการบาบัดแก้ไขฟื้นฟูและการสงเคราะห์ผู้พ้นโทษให้กลับตนเป็น
พลเมอื งดี และไม่หวนกลบั ไปกระทาผดิ ซ้า
6. เฝ้าระวังแจง้ ข่าวแจง้ เบาะแสทางคดีความ หรือการกระทาความผิดกฎหมาย
7. พิจารณาส่งต่อเร่ืองตาม (1) – (6) ไปยังศูนย์ยุติธรรมชุมชน หรือสานักงานยุติธรรมจังหวัด
รวมถึงการติดตามและแจง้ ผลการดาเนนิ งาน หรือความคบื หน้า แลว้ แต่กรณีแก่ผู้รอ้ งหรือผขู้ อความช่วยเหลอื
8. หน้าท่ีอ่ืนๆ ตามทค่ี ณะกรรมการกาหนด

กระทรวงยุติธรรมได้มีนโยบายจัดตั้งศูนย์ยุติธรรมชุมชน11 ครอบคลุมทุกพื้นที่องค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นท่ัวประเทศ และใช้สถานท่ีทาการองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นที่สถานท่ีต้ังของศูนย์ยุติธรรม
ชุมชน จานวนทั้ 7,783 ศูนย์ และมีคาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชนโดยผู้ว่าราชการจังหวัด
เพื่อสามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเป็นธรรมโดยใช้กลไกระบบงานยุติธรรมชุมชน 5
ด้าน ได้แก่ ด้านการป้องกันและควบคุมอาชญากรรม ด้านการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ และรับแจ้งเบาะแส
ด้านการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาท ด้านการเยียวยาหรือเสริมพลังแก่เหยื่ออาชญากรรมและความรู้สึกของ
ชุมชน และด้านการรับผู้พ้นหรือผู้ถูกคุมประพฤติกลับสู่ชุมชน (คืนคนดีสู่สังคม) และในปีงบประมาณ พ.ศ.
2563 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้จัดต้ัง “ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข” ภายใต้
แนวคิดยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน เพื่อเป็นหน่วยรับเร่ืองจากประชาชนในหลาย
ช่องทาง เช่น สายด่วนยุติธรรม 1111 กด 77 เว็บไซต์ แอพพลิเคชันศูนย์ยุติธรรมชุมชน และสานักงาน
ยุติธรรมจังหวัด เพ่ือเป็นการสนับสนุนการปฏิบัติงานของ “ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข” และการอานวยความ
สะดวกใหก้ บั ประชาชนในการเขา้ ถงึ ความยตุ ิธรรม สานกั งานกจิ การยุติธรรม โดยส่วนนโยบายและยุทธศาสตร์
ยุติธรรมชุมชนและยุติธรรมจังหวัด สานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการ
ส่ือสาร และศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ร่วมมือกันพัฒนาแอปพลิเคชัน : ระบบยุติธรรมสร้างสุ ข
โดยนวัตกรรมการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชนต่อการให้บริการประชาชน ให้สามารถ
ส่งต่อเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์จากคณะกรรมการศูนย์ยุติธรรชุมชนและติดตามเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ อีกท้ัง
เพ่ิมระบบบันทึกการสะสมคะแนนความดีให้แก่คณะกรรมการศูนย์ยุติธรรมชุมชนทุกคร้ังที่มีการยื่นเรื่อง
ร้องเรยี นผ่านระบบ โดยใชช้ ่ือ “ยุตธิ รรมสร้างสุข” เพื่อให้การเข้าถงึ ความยุติธรรมง่ายข้นึ ด้วยน้วิ สมั ผัส

๒๔

ทมี่ า https://www.tambondonsai.go.th/datacenter/doc_download/a_180620_100348.pdf

๒๕

อำ้ งอิง

1 Plookpedia. 2559. หลักการและเหตผุ ลของการสาธารณสขุ มูลฐาน. เข้าถงึ ข้อมูลไดจ้ าก https://www.
trueplookpanya.com/blog/content/64431 วนั ทส่ี บื ค้นขอ้ มูล 16 พฤษภาคม 2565.
2 วกิ พิ เี ดยี สารานกุ รมเสรี. 2564. สาธารณสขุ มูลฐาน. เข้าถงึ ข้อมูลได้จาก https://th.wikipedia.org/wiki/
วนั ทส่ี ืบคน้ ขอ้ มูล 16 พฤษภาคม 2565.
3 สมชาติ เอ่ียมอนพุ งษ.์ ม.ป.พ. ยุติธรรมชุมชนคืออะไร. เขา้ ถงึ ข้อมลู ได้จาก file:///D:/Downloads/
hits355.pdf วนั ท่สี บื ค้นข้อมลู 16 พฤษภาคม 2565.
4 จรยิ า เจียนสนั เทียะ. ม.ป.พ. หลักในการดาเนินงานสาธารณสขุ มลู ฐาน. เขา้ ถึงข้อมูลได้จาก
https://sites.google.com/site/mosssschariya/khxmul-satharnsukh/hlak-ni-kar-danein-ngan-
satharnsukh-multhan วันที่สืบคน้ ขอ้ มูล 16 พฤษภาคม 2565.
5 ภูวน อนุ่ จนั ทร์, สมุ ิตร สุวรรณ และ สันติ ศรสี วนแตง. 2561. กระบวนการอานวยความยตุ ธิ รรมชมุ ชน :
ขอ้ เสนอจากประเดน็ วพิ ากษแ์ ละกรณีศกึ ษาเชงิ ประจกั ษ์. วารสารสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ ปที ่ี 26 ฉบับท่ี 1
มกราคม – มถิ นุ ายน 2561. เขา้ ถงึ ข้อมูลไดจ้ าก http://journal.innovtalk.com/upload_files/
contents/topic_id_33_35.pdf วันท่สี บื ค้นข้อมลู 16 พฤษภาคม 2565.
6 underwater. 2555. ยตุ ธิ รรมชุมชน. เขา้ ถงึ ข้อมลู ไดจ้ าก https://www.gotoknow.org/posts/327148
วนั ที่สืบคน้ ข้อมูล 16 พฤษภาคม 2565.
7 สานักงานยุตธิ รรมจังหวัดภเู ก็ต. ม.ป.พ. เครือข่ายยตุ ิธรรมชุมชน. เขาถึงข้อมลู ได้จาก https://sites.
google.com/site/yutithamphuketmoj/kherux-khay-yutithrrm-chumchn วนั ที่สืบคน้ ขอ้ มลู 16
พฤษภาคม 2565.
8 กรมคุมประพฤติ กระทรวงยตุ ธิ รรม. ม.ป.พ. งานเครอื ขา่ ยยุติธรรมชมุ ชน. เขา้ ถงึ ขอ้ มลู ได้จาก
https://probation.go.th/contentmenu.php?id=231 วันที่สบื ค้นขอ้ มูล 16 พฤษภาคม 2565.
9 เทศบาลเมอื งปรกฟา้ ตาบลเกาะจนั ทร์ อาเภอเกาะจนั ทร์ จังหวัดชลบรุ ี. 2563. กรอบภารกจิ หลัก 5 ด้าน
ของศนู ย์ยุตธิ รรมชุมชน. เขา้ ถึงขอ้ มลู ได้จาก https://www.prokfa.go.th/ วนั ทสี่ บื ค้นข้อมูล 16
พฤษภาคม 2565.
10 องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลอปิ มุ่ อาเภอดา่ นซ้าย จงั หวดั เลย. ม.ป.พ. โครงสร้างและภารกจิ ของ
ศนู ย์ยตุ ิธรรมชุมชนตาบล. เข้าถงึ ข้อมลู ได้จาก https://epoom.go.th/ วนั ท่ีสืบค้นข้อมูล 16 พฤษภาคม
2565.
11 สานักงานกจิ การยตุ ธิ รรม กระทรวงยตุ ธิ รรม. 2562. แอปพลเิ คชัน : ระบบยตุ ิธรรมสรา้ งสขุ . เข้าถึงข้อมลู
ไดจ้ าก https://www.tambondonsai.go.th/datacenter/doc_download/a_180620_100348.pdf
วนั ทีส่ ืบค้นข้อมูล 16 พฤษภาคม 2565.

บทที่ 3
หลกั สตู รการพัฒนางานยตุ ิธรรมจังหวดั ยะลา

หลักสตู รการพฒั นางานยตุ ธิ รรม จังหวดั ยะลา เปน็ หลกั สูตรกลาง สาหรับอบรม หรือให้ความรู้ในการ
ปฏิบัตงิ านสานกั งานยุตธิ รรมจงั หวัดยะลา สานกั งานยุติธรรมจังหวัดยะลา สาขาเบตง และศูนย์ยุติธรรมชุมชน
จังหวดั ยะลา สาหรบั (๑) เจา้ หนา้ ทใ่ี หม่ (๒) เจ้าหนา้ ที่เก่าที่ต้องเพ่มิ ความรูแ้ ละศักยภาพ เนื้อหา ประกอบด้วย
(๑) ชดุ ความรูก้ ารบรกิ ารประชาชนเพ่อื อานวยความยตุ ิธรรม (๒) ชุดความรูส้ ทิ ธมิ นษุ ยชน (๓) ชุดความรู้อน่ื ๆ
(๔) ชุดความร้กู ารบริหารงานทว่ั ไป

เนอ้ื หา

๑. ชดุ ความร้กู ารบรกิ ารประชาชนเพ่อื อานวยความยตุ ิธรรม

ชดุ ความรกู้ ารบริการประชาชนเพือ่ อานวยความยตุ ธิ รรม

ดร.อภิรชั ศกั ด์ิ รชั นวี งศ์

บทบาทหนา้ ทสี่ ว่ นราชการในสงั กัดกระทรวงยตุ ธิ รรม

กระทรวงยุติธรรม๑ (Ministry of Justice) เป็นหน่วยงานราชการส่วนกลางประเภทกระทรวงของ
ไทย มีภารกิจเป็นหน่วยงานหลักของกระบวนการยุติธรรม ในการดาเนินการเพ่ือพัฒนากฎหมาย และระบบ
บริหารจัดการของ กระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นเอกภาพ โปร่งใส คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ชว่ ยเหลือและใหค้ วามรแู้ ก่ประชาชนทางกฎหมาย ป้องกัน ปราบปราม แก้ไข ฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด
รวมทั้งป้องกัน แก้ไขปัญหาอาชญากรรมในสังคมและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ การฟ้ืนฟูกิจการของลูกหน้ี
การบังคบั คดแี พง่ บงั คับคดลี ม้ ละลาย บงั คับคดที างอาญา บาบัดแก้ไขฟนื้ ฟูผูก้ ระทาผดิ

กระทรวงยุติธรรมก่อต้ังเมื่อ 25 มีนาคม พ.ศ. 2434 เดิมใช้ชื่อว่า “กระทรวงยุตติธรรม”
พระดุลยพากย์สุวมัณฑ์ (ปิ่ณฑ์ ปัทมสถาน) เป็นปลัดกระทรวงยุตติธรรม คนสุดท้ายดารงตาแหน่งวันท่ี
8 สิงหาคม พ.ศ. 2492 ถึง 11 มีนาคม พ.ศ. 2495 ต่อมาเปล่ียนชื่อเป็น “กระทรวงยุติธรรม” ในวันท่ี
12 มีนาคม พ.ศ. 2495 และพระดุลยพากย์สุวมัณฑ์ (ป่ิณฑ์ ปัทมสถาน) เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมคนแรก
ดารงตาแหน่งระหว่างวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2495 ถึงวันท่ี 22 มีนาคม พ.ศ. 2496 ในวันท่ี 23 มีนาคม
พ.ศ. 2496 ทรงโปรดเกล้านายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นปลัดกระทรวงคนท่ีสอง ส่วนราชการในสังกัดกระทรวง
ยุติธรรม ประกอบด้วย (๑) สานักงานรัฐมนตรี (๒) สานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม (๓) กรมบังคับคดี
(๔) กรมคุมประพฤติ (๕) กรมราชทัณฑ์ (๖) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (๗) กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
(๘) กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน (๙) สานักงานกิจการยุติธรรม (๑๐) สถาบันนิติวิทยาศาสตร์
หน่วยงานในบังคับบัญชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
ยาเสพติด (สานักงาน ป.ป.ส.) องค์การมหาชน (๑) สถาบนั เพือ่ การยตุ ิธรรมแหง่ ประเทศไทย (องค์การมหาชน)
เปน็ องค์การมหาชนตามพระราบัญญัติองคก์ ารมหาชน พ.ศ. 2542 (๒) สถาบันอนญุ าโตตุลาการ เป็นองค์การ
มหาชนตามพระราชบัญญตั ิเฉพาะ

๒๗

ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยตุ ธิ รรม

๑. สานักงานรัฐมนตรี มีภารกิจเก่ียวกับราชการทางการเมือง เพ่ือสนับสนุนภารกิจของรัฐมนตรี
ประสานนโยบายระหวา่ งกระทรวงโดยมอี านาจหนา้ ที่ ดังตอ่ ไปน้ี๒

1. รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ กล่ันกรองเรื่องเพ่ือเสนอต่อรัฐมนตรี รวมท้ังเสนอความเห็ น
ประกอบการวินจิ ฉัยส่ังการของรฐั มนตรี

2. สนับสนุนการทางานของรัฐมนตรีในการดาเนินงานทางการเมืองระหว่างรัฐมนตรีและ
คณะรฐั มนตรี รฐั สภาและประชาชน

3. ประสานงานการตอบกระทู้ ชแ้ี จงญัตติ ร่างพระราชบญั ญตั ิ และกิจการอนื่ ทางการเมือง
4. ดาเนนิ การพิจารณาเร่ืองรอ้ งทุกข์ ร้องเรียน หรอื รอ้ งขอความชว่ ยเหลือต่อรัฐมนตรี
5. ปฏบิ ตั ิการอื่นใดตามทกี่ ฎหมายกาหนดให้เปน็ อานาจหนา้ ที่ของสานกั งานรฐั มนตรีหรอื
ตามทรี่ ฐั มนตรหี รือคณะรัฐมนตรมี อบหมาย
๒. สานกั งานปลัดกระทรวงยุตธิ รรม มภี ารกิจเกีย่ วกบั การพัฒนายทุ ธศาสตร์และแปลงนโยบาย
ของกระทรวงเป็นแผนปฏิบตั ิการจดั สรรทรัพยากร และบริหารราชการประจาท่วั ไปของกระทรวงเพอื่ ให้บรรลุ
เป้าหมาย และเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวง โดยใหม้ ีหน้าท่ีและอานาจ ดังตอ่ ไปน้ี๓
1. ศกึ ษา วิเคราะห์ และจัดทาข้อมูล เพ่ือใช้ในการกาหนดนโยบาย เป้าหมายและผลสัมฤทธิ์
ของกระทรวง
2. พฒั นายุทธศาสตรก์ ารบริหารของกระทรวงและแปลงนโยบายเป็นแนวทางและแผนปฏิบัติ
การของกระทรวง
3. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อใช้ในการบริหารงานและการดาเนินงานของ
หน่วยงานในสงั กัดกระทรวง
4. จัดสรรและบรหิ ารทรพั ยากรของกระทรวง เพอื่ ใหเ้ กดิ การประหยัด คมุ้ คา่ และ
สมประโยชน์
5. กากับ เร่งรัด ติดตาม และประเมินผล รวมท้ังประสานการปฏิบัติราชการขอหน่วยงานใน
สังกดั กระทรวง
6. ดูแลงานประชาสัมพันธ์ การต่างประเทศ และพัฒนาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องและ
เผยแพร่กิจกรรมตลอดจนการขา่ วของกระทรวง
7. ดาเนินการสนบั สนุนและพัฒนาบคุ ลากรในกระทรวง
8. ดาเนนิ การตามกฎหมายว่าดว้ ยกองทุนยตุ ธิ รรมและกฎหมายอนื่ ทเี่ ก่ียวขอ้ ง
9. ปฏิบตั กิ ารอ่นื ใดตามทกี่ ฎหมายกาหนดใหเ้ ป็นหน้าท่แี ละอานาจของสานกั งานปลดั -
กระทรวง หรือตามท่รี ฐั มนตรีหรอื คณะรฐั มนตรมี อบหมาย

๓. กรมคุมประพฤติ ดาเนนิ การเก่ียวกบั การควบคุมดูแลและแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระทาผิดในชุมชน และ
ติดตามช่วยเหลือสงเคราะห์ให้กลับคืนเป็นพลเมืองดีของสังคม รวมท้ังเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของครอบครัว
ชมุ ชน และภาคเี ครอื ขา่ ยในการดแู ล และแก้ไขฟ้นื ฟูผู้กระทาผิด โดยมีอานาจหนา้ ที่ ดังต่อไปน้ี๔

1. ดาเนนิ การสบื เสาะและพนิ จิ ควบคุมและสอดส่อง แก้ไข ฟ้ืนฟู และสงเคราะห์ผู้กระทาผิด
ในชัน้ ก่อนฟอ้ งช้ันพิจารณาคดขี องศาล และภายหลังท่ศี าลมคี าพพิ ากษา ตามท่กี ฎหมายกาหนด

๒๘

2. ดาเนินการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามกฎหมายว่าด้วยการฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติด
ยาเสพตดิ

3. ส่งเสริมและสนับสนุนเกี่ยวกับการดาเนินการแก้ไข ฟ้ืนฟู และสงเคราะห์ผู้กระทาผิดใน
ชุมชน

4. พัฒนาระบบ รูปแบบ และดาเนินการเพ่ือสร้างความยุติรรมเชิงสมานฉันท์เพ่ือบรรเทา
ผลรา้ ยหรอื การระงับขอ้ พพิ าททเี่ กิดขน้ึ จากการกระทาความผดิ

5. พฒั นาระบบ รปู แบบ และวิธีการปฏิบัตติ อ่ ผกู้ ระทาผดิ ในชมุ ชน
6. จัดทาและประสานแผนงานของกรมให้สอดคล้องกบั นโยบายและแผนแม่บทของ
กระทรวง รวมทงั้ เร่งรัดตดิ ตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของหนว่ ยงานในสังกัด
7. เสริมสร้าง สนับสนุน ส่งเสริม และประสานงานให้ชุมชน เครือข่าย และภาคประชาสังคม
เข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบเครือข่ายยุติธรรมชุมชนหรือรูปแบบอ่ืนในการป้องกันสังคมจากอาชญากรรม และ
การปฏิบัติต่อผกู้ ระทาผิดและผทู้ ีอ่ ยใู่ นกระบวนการคมุ ประพฤตขิ องกรม

๔. กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ตามกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการกรมคุ้มครองสิทธิและ
เสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2545อาศัยอานาจตามความในมาตรา 8 ฉ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
บรหิ ารราชการแผน่ ดิน(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2543 รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงยตุ ธิ รรมออกกฎกระทรวงไว้ดังต่อไปน้ี
ใหก้ รมคมุ้ ครองสทิ ธิและเสรีภาพ มภี ารกจิ เก่ียวกับสทิ ธิและเสรีภาพที่ประชาชนพึงได้รับตามกฎหมาย โดยการ
จัดวางระบบและส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้เก่ียวกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพตลอดจนการดาเนินการ
ให้พยาน ผู้เสียหายและจาเลยในคดีอาญา ได้รับการคุ้มครองช่วยเหลือเยียวยาในเบื้องต้น เพื่อให้ประชาชน
ไดร้ ับการค้มุ ครองและดูแลจากรัฐอย่างทวั่ ถึงและเทา่ เทยี มกัน โดยใหม้ ีอานาจหน้าทีด่ ังตอ่ ไปน้ี๕

(1) จัดระบบการบริหารจดั การดา้ นคุ้มครองสิทธิและเสรภี าพของประชาชน
(2) สง่ เสรมิ และพัฒนาการคุ้มครองสทิ ธิและเสรีภาพของประชาชน
(3) ส่งเสริมและพฒั นากลไกการระงับข้อพิพาทในสงั คม
(4) ประสานงานด้านคมุ้ ครองสิทธิและเสรีภาพกับภาครัฐและเอกชน ท้งั ในและต่างประเทศ
(5) พัฒนาระบบ มาตรการ และดาเนินการช่วยเหลือประชาชนท่ีตกเป็นเหย่ืออาชญากรรม
รวมทั้งจาเลยที่ถูกดาเนินคดีอาญาโดยมิได้เป็นผู้กระทาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยค่าตอบแทนผู้เสียหาย
และคา่ ทดแทนและค่าใชจ้ า่ ยแก่จาเลยในคดีอาญา
(6) ตดิ ตามและประเมนิ ผลการดาเนนิ การด้านการคุ้มครองสทิ ธิและเสรภี าพ
(7) ดาเนินการคุ้มครองพยานตามกฎหมายว่าดว้ ยการคุ้มครองพยานในคดีอาญา
(8) ปฏิบัตกิ ารอื่นใดตามที่กฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหนา้ ท่ีของกรม หรอื ตามท่ี
กระทรวงหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

๕. กรมบังคับคดี ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบงั คับคดีกระทรวงยุติธรรม พ.ศ.2561
อาศัยอานาจตามความในมาตรา 8 ฉ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
(ฉบับท่ี 4) พ.ศ.2543 รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงยตุ ธิ รรมออกกฎกระทรวงไว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี กรมบงั คับคดีมีภารกิจ
เกีย่ วกับการบงั คบั คดีทางแพง่ คดลี ้มละลาย และการฟ้ืนฟูกิจการของลูกหน้ี ตามคาสั่งศาล โดยดาเนินการยึด
อายัด และจาหน่ายทรัพย์สิน ตลอดจนการกากับการฟ้ืนฟูกิจการของลูกหนี้ เพื่อให้เจ้าหน้ีและผู้มีส่วนได้เสีย
ไดร้ บั การชดใช้จากลูกหนอ้ี ยา่ งเปน็ ธรรม โดยมอี านาจหน้าที่ดังต่อไปนี้๖

๒๙

(1) ดาเนินการบังคบั คดแี พง่ ตามคาสัง่ ศาล
(2) ดาเนินการบังคับคดีลม้ ละลายตามคาสงั่ ศาล
(3) ดาเนินการฟื้นฟกู ิจการของลูกหนี้ตามคาสงั่ ศาล
(4) ดาเนินการตรวจสอบสิทธิทางบัญชีของผู้มีส่วนได้เสียเพ่ือรับส่วนแบ่งจากคดี ตรวจสอบ
ค่าใชจ้ ่ายและเรยี กเกบ็ ค่าธรรมเนยี มการบังคบั คดี
(5) ชาระบัญชีห้างหนุ้ สว่ น บริษัท หรือนิตบิ ุคคลในฐานะผู้ชาระบัญชตี ามคาส่งั ศาล
(6) รับวางทรพั ยจ์ ากลูกหน้หี รอื ผ้มู สี ทิ ธวิ างทรพั ย์
(7) ดาเนินการประเมินราคาทรพั ย์สิน
(8) ดาเนินการเกี่ยวกับการเดินหมาย คาคู่ความ หนังสือ หรือประกาศของศาล หรือหน่วยงาน
ภายในกรม
(9) พัฒนาระบบ รูปแบบ และวิธีการ รวมทั้งดาเนินการเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
ช้นั บงั คับคดี
(10) บริหารจัดการและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบังคับคดี และด้านอื่นๆ
ในความรับผดิ ชอบของกรม
(11) ปฏบิ ัตกิ ารอน่ื ใดตามท่ีกฎหมายกาหนดให้เป็นหน้าท่ีและอานาจของกรม ตามที่รัฐมนตรี
หรือคณะรฐั มนตรีมอบหมาย หรือตามคาส่ังศาล

๖. กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน มีภารกิจเกี่ยวกับการพินิจเด็กและเยาวชนท่ีเข้าสู่
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาและการคุ้มครองผู้เยาว์ในคดีครอบครัว โดยการแก้ไข บาบัด ฟื้นฟู
การสงเคราะห์เด็กและเยาวชนและการกากับการปกครองเพ่ือให้เด็กและเยาวชนสามารถกลับเข้าสู่ครอบครัว
ดาเนนิ ชีวิตโดยปกติในสงั คม และผู้เยาวไ์ ด้รบั การค้มุ ครองสวสั ดภิ าพ รวมทัง้ การปอ้ งกนั เดก็ และเยาวชนในการ
กระทาความผิด โดยให้มีหนา้ ท่ีและอานาจ ดังตอ่ ไปน้ี๗

1. พทิ กั ษ์และคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนที่กระทาความผิด ส่งเสริมความมั่นคงของสถาบัน
ครอบครัวและชมุ ชน โดยใช้กระบวนการยตุ ธิ รรมทางเลือก กระบวนการยุติธรรมเชงิ สมานฉนั ท์ การหันเหคดี
ออกจากกระบวนการยุติธรรม และมาตรการอน่ื ๆ

2. ดาเนินการด้านคดีอาญา คดีครอบครัว กากับการปกคอรง และการบาบัด แก้ไข ฟ้ืนฟู
ปอ้ งกนั พฒั นาและสงเคราะห์ ตลอดจนการตดิ ตามประเมินผลเด็กและเยาวชน

3. ประสานความร่วมมือและสร้างเครือข่ายกับชุมชน องค์กรภาครัฐ และเอกชนท้ังภายใน
และตา่ งประเทศ เพ่อื การมีส่วนร่วมและสนับสนนุ กระบวนการยตุ ิธรรม สาหรบั เด็กและเยาวชน

4. ศึกษา วิเคราะห์ และพัฒนากฎหมาย การพิทักษ์คุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน รวมท้ัง
ระบบ รปู แบบ วิธกี ารปฏิบัตเิ กีย่ วกับงานคดี และการปฏิบัติต่อเดก็ และเยาวชน

5. ปฏิบัติการอ่ืนใดตามที่กฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าที่ของกรม หรือตามท่ีกระทรวง
หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

๓๐

๗. กรมราชทัณฑ์ มีภารกิจเกี่ยวกับการควบคุมและแก้ไขพฤตินิสัยผู้ต้องขัง และบุคคลท่ีอยู่ใน
ความควบคุมหรือดูแลตามหน้าท่ีและอานาจของกรม โดยมุ่งพัฒนาเป็นองค์กร พัฒนาทรัพยากรมนุษย์
เพอ่ื แกไ้ ขหรือฟ้ืนฟผู ตู้ อ้ งขงั และบุคคลที่อยู่ในความควบคุมหรือดูแลตามหน้าท่ีและอานาจของกรม ให้กลับตน
เป็นพลเมืองดี มีสุขภาพกายและจิตท่ีดี ไม่หวนกลับมากระทาผิดซ้า ได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือในการ
ประกอบอาชีพท่ีสุจริต และสามารถดารงชีวิตในสังคมภายนอกได้อย่างปกติโดยสังคมให้การยอมรับ โดยให้มี
หนา้ ทแ่ี ละอานาจ ดงั ตอ่ ไปนี้๘

1. ปฏิบัติต่อผู้กระทาผิดให้เป็นไปตามคาพิพากษาหรือคาส่ังตามกฎหมาย โดยดาเนินการ
ตามกฎหมายว่าด้วยราชทณั ฑ์และกฎหมายอื่นที่เก่ยี วขอ้ ง

2. กาหนดแนวทางปฏิบตั ิต่อผ้ตู ้องขงั และบุคคลที่อยู่ในความควบคุมหรือดูแล ตามหน้าท่ีและ
อานาจของกรม ให้สอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ นโยบายของกระทรวง หลักอาชญาวิทยา และ
หลักทัณฑวิทยา ตลอดจนข้อกาหนดมาตรฐานขั้นต่าสาหรับปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง และข้อเสนอแนะในเรื่อง
ทเ่ี กีย่ วขอ้ งขององคก์ ารสหประชาชาติ

3. ดาเนินการเก่ียวกับการสวัสดิการและการสงเคราะห์แก่ผู้ต้องขัง และบุคคลท่ีอยู่ในความ
ควบคมุ หรือดแู ลตามหนา้ ที่และอานาจของกรม

4. พัฒนาระบบ รูปแบบ มาตรการ หลักเกณฑ์ มาตรฐาน วิธีการปฏิบัติและการปฏิบัติต่อผู้
เข้ารับการตรวจพิสูจน์ในระหว่างท่ีถูกควบคุมตัว เพื่อรอการตรวจพิสูจน์ในสถานท่ีเพ่ือการตรวจพิสูจน์ตาม
กฎหมายเกี่ยวกับการฟน้ื ฟสู มรรถภาพผตู้ ดิ ยาเสพติด

5. ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกาหนดให้เป็นหน้าที่และอานาจของกรมหรือตามท่ี
รฐั มนตรหี รอื คณะรัฐมนตรมี อบหมาย

๘. กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีภารกิจเก่ียวกับการป้องกัน การปราบปราม การสืบสวนและการ
สอบสวนคดีความผิดทางอาญาที่ต้องดาเนินการสืบสวนและสอบสวนโดยใช้วิธีการพิเศษตามกฎหมายว่าด้วย
การสอบสวนคดพี เิ ศษ โดยมีหนา้ ที่ดงั ต่อไปน้ี๙

1. รับผิดชอบงานเลขานุการของคณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ
และกฎหมายท่ีเก่ยี วข้อง

2. ป้องกัน ปราบปราม สืบสวน และสอบสวนคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดี
พิเศษและตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการคดีพิเศษประกาศกาหนด หรือตามมติของคณะกรรมการคดีพิเศษ
ตลอดจนปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับความผิดทาง
อาญาทีเ่ ป็นคดีพิเศษ

3. ศึกษา รวบรวม จัดระบบ และวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของ
คณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ และเพ่ือป้องกัน ปราบปราม สืบสวนและสอบสวน
คดีพิเศษ

4. จดั ใหม้ กี ารศึกษา อบรม และพฒั นาระบบงานการสบื สวนและสอบสวนคดีพิเศษการพัฒนา
ความรู้และการประเมินสมรรถภาพการปฏิบัติหน้าท่ีของข้าราชการ พนักงานราชการและลูกจ้างของกรมและ
บุคลากรท่ีเกย่ี วข้อง ไม่ว่าจะมีฐานะเปน็ พนักงานสอบสวนคดพี เิ ศษหรือเจ้าหนา้ ท่ีคดีพิเศษหรือไม่

5. ดาเนินการเก่ียวกับงานกฎหมายและระเบียบที่อยู่ในอานาจหน้าท่ีของกรมและงานอื่นที่
เกี่ยวข้อง

๓๑

6. ปฏิบัติการอ่ืนใดตามท่ีกฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าที่ของกรม หรือตามท่ีรัฐมนตรี
หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

๙. สานักงานกิจการยุติธรรม มีภารกิจเก่ียวกับนโยบายและการพัฒนากระบวนการยุติธรรม
โดยการศึกษา วิจัย ประเมินผลการบังคับใช้กฎหมาย และนาผลให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงาน
ยุตธิ รรมแห่งชาติ ประกอบการพิจารณากาหนดแนวทางการดาเนินการของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม
เพื่อให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมมีทิศทางการดาเนินการที่สามารถอานวยความยุติธรรม
ใหแ้ กป่ ระชาชนอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ และสอดรบั ไปในทิศทางเดยี วกัน โดยมีหนา้ ท่ีดงั ตอ่ ไปน้ี๑๐

1. รับผิดชอบในงานธุรการของกองงานคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
และดาเนนิ งานตามทคี่ ณะกรรมการมอบหมาย

2. ศึกษา วิเคราะห์นโยบาย แผนยุทธศาสตร์ และแนวทางการบริหารกระบวนการยุติธรรม
เพือ่ สนองตอ่ คณะกรรมการพัฒนาการบรหิ ารงานยุตธิ รรมแห่งชาติ

3. สนับสนนุ และดาเนินงานตามแผนยุทธศาสตรก์ ระบวนการยตุ ิธรรม
4. ประสานและดาเนินการวิจัยด้านกฎหมาย ระบบงานยุติธรรมและทางด้านอาชญาวิทยา
รวมทัง้ ตดิ ตามและประเมนิ ผลการบงั คบั ใชก้ ฎหมายในกระบวนการยตุ ธิ รรม และกฎหมายท่ีเกย่ี วข้อง
5. พฒั นากฎหมายและระบบงานในกระบวนการยตุ ธิ รรม
6. จัดทาและผลักดันแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกระบวนการยุติธรรม
รวมท้ัง พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สนับสนุนกระบวนการยุติธรรมและภารกิจ
ของสานักงาน
7. ดาเนนิ การสนบั สนนุ การพัฒนาบคุ ลากรในกระบวนการยตุ ิธรรมและบุคคลทเี่ กย่ี วข้อง
8. บริหารกองทนุ เพอ่ื การวจิ ัยและพฒั นาการบรหิ ารงานยุติธรรม
9. ปฏิบัติการอื่นใดตามท่ีกฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าท่ีของสานักงาน หรือตามที่
กระทรวง หรอื คณะรฐั มนตรีมอบหมาย

๑๐. สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มีหน้าท่ีให้บริการตรวจพิสูจน์ให้ทราบความจริง โดยนาหลัก
วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ และการแพทย์มาใช้ เพื่อประโยชน์ในการดาเนินกระบวนการยุติธรรม หรือ
เพอ่ื ประโยชน์ในการพสิ จู นข์ ้อเทจ็ จริงอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ โดยรวมถงึ ๑๑

1. ช่วยเหลือและสนับสนุนการสอบสวนและการดาเนินคดีอาญาตามท่ีเจ้าหน้าท่ีผู้มีอานาจ
ตามกฎหมายร้องขอ

2. ใหบ้ ริการดา้ นนิติวิทยาศาสตรเ์ พื่อให้การคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การอานวยความ
ยุตธิ รรมและการทะเบียนราษฎรตามท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐหรอื ผู้ที่เกย่ี วขอ้ งรอ้ งขอ

3. ให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองหรืออานวยความยุติธรรมแก่
เดก็ และเยาวชนตามทหี่ น่วยงานที่เกีย่ วข้อง ผปู้ กครอง ผใู้ ช้อานาจปกครอง หรือผมู้ ีสว่ นได้เสยี โดยตรงรอ้ งขอ

4. ใหบ้ ริการด้านนิติวิทยาศาสตร์เพ่ือพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งตามท่ีผู้มีส่วนได้เสีย
ร้องขอ ในกรณีเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีอาญา ผู้มีส่วนได้เสียจะร้องขอให้ตรวจซ้าได้ต่อเม่ือไม่ได้อยู่ใน
ระหว่างการตรวจพิสูจน์ของหน่วยงานอื่นที่ให้บริการด้านนิติวิทยาศาสตร์ และต้องเป็นไปตามมติของ
คณะกรรมการเพอ่ื ประโยชนใ์ นการอานวยความยุตธิ รรม

5. ส่งเสรมิ และพัฒนาการให้บริการด้านนติ วิ ทิ ยาศาสตรข์ องภาคเอกชน

๓๒

6. ร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ องค์การระหว่างประเทศ และภาคเอกชน ในการพัฒนางาน
ด้านนติ วิ ทิ ยาศาสตร์ใหเ้ ป็นไปตามาตรฐานสากล

7. ร่วมมือกับหน่วยงานอื่นของรัฐในการวิจัยและพัฒนาเพื่อกาหนดค่าพ้ืนฐานทาง
นิติวิทยาศาสตร์

สว่ นราชการในสงั กดั กระทรวงยุตธิ รรมที่ข้นึ ตรงต่อรฐั มนตรี

๑. สานักงานคณะกรรมการปองกันและปราบปรามยาเสพติด มีภารกิจเก่ียวกับการปองกันและ
แกไขปญหายาเสพติดของประเทศ โดยการเฝ้าระวงั การแพรระบาดของยาเสพตดิ กาหนดและปรับยุทธศาสตร์
การปองกันและแก้ไขปญหายาเสพติดใหเหมาะสมกับสภาพการณ บริหารจัดการเกี่ยวกับการปองกันและ
แก้ไขปญหายาเสพตดิ อย่างบรู ณาการ กากับ ติดตาม และประเมินผลการดาเนินงานใหเป็นไปตามยุทธศาสตร์
ที่กาหนด อานวยการใหมกี ารบงั คบั ใชกฎหมายเก่ยี วกับยาเสพติด การตรวจสอบทรพั ยส์ นิ คดียาเสพติด รวมทั้ง
การเสริมสร้างความเข้มแข็งและสนับสนุนชุมชน องคกรภาคเอกชนและองคกรภาคประชาชนในการ
ดาเนนิ งานปองกนั และแกไขปญหายาเสพติดโดยใหมอี านาจหนา้ ท่ี ดงั นี้๑๒

๑. ดาเนินการเป็นเลขานุการและหน่วยปฏิบัติของคณะกรรมการปองกันและปราบปราม
ยาเสพติด

๒. ประเมนิ สถานการณการดาเนนิ งานและจัดระบบเฝ้าระวงั การแพรระบาดของยาเสพติด
๓. ใหขอเสนอแนะ ประสาน และบรู ณาการด้านนโยบาย ยทุ ธศาสตร์ แผนและงบประมาณ
ในการดาเนินงานดา้ นการปองกนั และแกไขปญหายาเสพติด เพอื่ ให้การแก้ไขปญหายาเสพตดิ เปน็ เอกภาพและ
แกปญหาเชงิ บรู ณาการ
๔. อานวยการ เร่งรัด กากับ ติดตาม และประเมินผลการดาเนินงานด้านการปองกันและ
แกไ้ ขปญหายาเสพตดิ ของหนว่ ยงานที่เกยี่ วข้องให้เปน็ ไปตามนโยบาย ยทุ ธศาสตร์ แผนและงบประมาณ
๕. ใหขอเสนอแนะดา้ นยทุ ธศาสตร์และประสานความร่วมมือระหวา่ งประเทศด้านยาเสพติด
๖. เปน็ ศูนย์วชิ าการดา้ นการปองกนั และแก้ไขปญหายาเสพตดิ พัฒนาและสนบั สนนุ
วิชาการด้านการปองกันและแก้ไขปญหายาเสพติดให้แก่หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนทั้งในประเทศและ
ตางประเทศ
๗. สงเสรมิ และสนับสนนุ ด้านการพฒั นาองคกร ทรพั ยากรบุคคล ขอ้ มลู สารสนเทศ กฎหมาย
และระเบียบท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การปองกันและแกไ้ ขปญหายาเสพติด
๘. ปฏบิ ัติงานด้านการปองกนั การรณรงคและการประชาสัมพนั ธ์ตอต้านยาเสพติด
๙. เป็นศนู ย์กลางการข่าวยาเสพตดิ ของประเทศ
๑๐. ดาเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการปองกันและปราบปรามยาเสพติด กฎหมายว่าด้วย
มาตรการในการปราบปรามผู้กระทาความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และกฎหมายอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการปองกัน
และแกไขปญหายาเสพตดิ

๓๓

องคก์ ารมหาชน

๑. สถาบันเพ่ือการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) หรือ Thailand Institute of
Justice (TIJ)๑๓ เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเพ่ือการยุติธรรมแห่งประเทศไทย
(องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 จัดต้ังข้ึนเม่ือวันท่ี 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม
ความเป็นเลิศด้านการวิจัยและการพัฒนากระบวนการยุติธรรม ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประเทศไทยใน
กรอบความร่วมมือกับสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา เช่ือมโยง
แนวคดิ ตามหลกั สากลสู่การปฏิบัติในระดับประเทศและในภูมภิ าคอาเซียน ภารกิจสาคัญของ TIJ ประการหนึ่ง
คือการส่งเสริมให้เกิดการอนุวัติ “ข้อกาหนดกรุงเทพ” หรือข้อกาหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อ
ผู้ต้องขังหญิงและมาตรการท่ีไม่ใช่การคุมขังสาหรับผู้กระทาความผิดหญิง (UN Bangkok Rules) รวมถึง
ส่งเสริมมาตรฐานสหประชาชาติอื่นๆ ท่เี กย่ี วข้อง โดยเฉพาะด้านเดก็ และสตรใี นกระบวนการยุติธรรม อีกท้ังยัง
ทาหน้าที่ขับเคล่ือนประเด็นสาคัญต่างๆ ในเวทีระหว่างประเทศ เช่น หลักนิติธรรม การพัฒนา สิทธิมนุษยชน
สันติภาพ และความม่ันคง นอกจากนี้ TIJ ยังได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติในฐานะหน่วยงานท่ีมีความ
เป็นเลิศด้านการวิจัยและมีศักยภาพด้านการป้องกันอาชญากรรม การพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางอาญา
และส่งเสริมหลักนิติธรรม โดยในวันท่ี 24 พฤษภาคม 2559 สานักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม
แห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime – UNODC) ได้รับรองสถานะให้ TIJ
เป็นสถาบันเครือข่ายแผนงานสหประชาชาติด้านการป้องกันอาชญากรรมและความยุ ติธรรมทางอาญา
(United Nations Programme Network Institutes – PNIs) โดยเป็นสถาบัน PNI ลาดับท่ี 18 ของโลก
และเป็นสถาบันแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ท่ีได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ PNI, TIJ ถือเป็นองค์การ
มหาชน ที่ไดร้ ับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล แตป่ ฏิบัติงานขึ้นตรงกับคณะกรรมการบริหารสถาบันฯ
ซ่ึงประกอบไปด้วยผู้เช่ียวชาญในหลายแขนงและผู้บริหารองค์กรต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม ซ่ึงทาหน้าท่ี
กากับดูแลและกาหนดนโยบาย กรอบยุทธศาสตร์ แผนงานของสถาบันฯ และมีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้า
พชั รกติ ยิ าภา นเรนทริ าเทพยวดี กรมหลวงราชสารณิ ีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงเป็นประธานคณะที่ปรึกษา
พิเศษ

ประโยชน์ต่อประเทศไทย ช่วยสร้างบทบาทนาของไทยในเวทีระหว่างประเทศและในเวทีอาเซียน
โดยเฉพาะอย่างย่ิงภายใต้เสาหลักประชาคมการเมืองและความม่ันคงอาเซียน และเสริมสร้างภาพลักษณ์ท่ีดี
ของประเทศไทยในระยะยาว เป็นปัจจัยในการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางวิชาการให้แก่หน่วยงานของไทย
โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่าย PNI ท่ัวโลก ซึ่งมีความเช่ียวชาญเฉพาะในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ
พฒั นาระบบงานยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากลและการพัฒนาด้านศักยภาพของ
บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

๒. สถาบันอนุญาโตตุลาการ (หน่วยงานท่ีจัดต้ังขึ้นตามพระราชบัญญัติสถาบันอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. 2550)๑๔ สถาบันอนุญาโตตุลาการ THAC (Thailand Arbitration Center) โดยมีวัตถุประสงคสงเสริม
และพัฒนากระบวนการประนอมข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการ ดาเนินการเก่ียวกับการระงับข้อพิพาทโดย
วิธีประนอมข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการ รวมถึงการสงเสริมและเผยแพรความรูเก่ียวกับการประนอม
ข้อพิพาทและอนุญาโตตุลาการรวมท้ังกฎหมายท่ีเกี่ยวข อง ทั้งนี้ เพ่ือสนับสนุนและส งเสริมระบบ
อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ และเพื่อเปน็ สถาบนั ทีใ่ หบริการดานอนญุ าโตตุลาการทม่ี ีความเป็นอิสระและ

๓๔

ได้มาตรฐานสากลเพ่ือเป็นการยกระดับและพัฒนาสถาบัน ระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการในปจจุบัน
ของไทยใหเป็นไปในแนวทางเดียวกับองคกรระงบั ในนานาอารยประเทศ พนั ธกจิ ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
(1) ใหบริการดานอนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นอิสระและมีมาตรฐานสากล (2) สนับสนุน สงเสริมระบบ
อนญุ าโตตลุ าการระหว่างประเทศ

งานอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ (International Arbitration Center) จัดตั้งข้ึนมา
เพอื่ ใหบริการด้านอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศในการระงับข้อพิพาททางแพง และพาณิชยทั้งในประเทศ
และระหว่างประเทศ ท่ีใหบริการแบบครบวงจร ไม่วาจะเป็นการบริหารจัดการข้อพิพาท การอานวยความ
สะดวกใหแกคูพิพาท หรืองานด้านธุรการต่างๆ ซ่ึงรวมถึงสถานที่และสิ่งอานวยความสะดวก ด้วยบริการ
มาตรฐานระดับสากล ท่ีเหมาะสมกับ โลกธุรกิจที่ตองการความสะดวกรวดเร็ว ไม่ส้ินเปลืองเวลา คาใชจ่าย
มีความคลองตัวในการบริหารจัดการ รักษาความลับ ศูนย์อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ (International
Arbitration Center) และรักษาโอกาสในการประกอบธรุ กจิ ดว้ ยการบริหารจดั การแบบมืออาชีพ

งานการประนอมข้อพิพาท (Mediation Center) การบริการจะอยู่ในรูปแบบกระบวนการระงับ
ขอ้ พพิ าทโดยสมัครใจของคูพิพาททุกฝ่าย โดยท่ีคูพิพาทตกลงแต่งต้ัง บุคคลที่สามเขามาช่วยเหลือและอานวย
ความสะดวกในการเจรจาตอรองเพื่อนาไปสู่การระงับข้อพิพาทโดยมีการดาเนินกระบวนการที่เป็นความลับ
เพ่ือรักษาความลับของคูพิพาท โดยคานึงถึงผลประโยชน ในการยุติขอขัดแย้ง ทั้งสองฝ่ายเพ่ือใหบรรลุผลเป้า
ประสงคร่วมกันของคูพิพาทบริการ การประนอมข้อพิพาทในทางแพ่งและพาณิชยไม่วาจะเป็นข้อพิพาทใน
ประเทศหรือระหว่างประเทศอาทิ ข้อพิพาททางการเงินการธนาคาร การก่อสร้าง เร่ืองการลงทุนและธุรกิจ
การคาระหว่างประเทศ และข้อพิพาทท่ีไม่มีทุนทรัพย์ เป็นตน รวมถึงการประนอมข้อพิพาทในเร่ืองอ่ืนท่ี
คูพิพาทตองการประนอมข้อพิพาทโดยการดาเนินกระบวนการประนอมข้อพิพาทของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
จะเป็นไปตามข้อบังคับสถาบันอนุญาโตตุลาการ ว่าด้วยการประนอมข้อพิพาทพ.ศ.2557 ซึ่งเป็นหลักเกณฑ
ท่ีได้รับการยอมรับและได้มาตรฐานระดับสากล และดาเนินการประนอมข้อพิพาทโดยผู้ประนอมที่มีประสบ-
การณ์ และความเชี่ยวชาญในขอ้ พพิ าทแตล่ ะประเภท

การระงับข้อพิพาท Online (Online Dispute Resolution : ODR) “การระงับข้อพิพาท
Online “ คือ การท่ีคู่กรณีตกลงใช้วิธีการระงับข้อพิพาทในหลากหลายวิธี เช่น การเจรจาต่อรอง
การประนอมข้อพิพาท หรือการอนุญาโตตุลาการเพ่ือระงับข้อพิพาททาง Online โดยใช้ได้กับคดีประเภท
เก่ียวกับการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านทางบริการ Online (E-Commerce) ซ่ึงคู่กรณีจะเข้าสู่บริการต้ังแต่
คู่กรณีเริ่มทาสัญญาซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และตกลงกันในเวลาใดๆหลังท่ีได้เกิดข้อพิพาทแล้วข้อดี
และประโยชน์ของการระงับข้อพิพาท Online คือ สะดวกรวดเร็วประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายและที่สาคัญ
ตอบสนองนโยบายของรฐั บาลในเร่อื ง Digital Economy

๓๕

หนว่ ยงานในสังกดั กระทรวงยตุ ธิ รรมระดับจงั หวดั กรณีจังหวัดยะลา

๑. สานักงานยตุ ิธรรมจังหวดั ยะลา
อานาจหน้าท่ีของสานักงานยุติธรรมจังหวัดยะลา ตามกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการสานักงาน

ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๑๘ สานักงานยุติธรรมจังหวัด ๑ - ๑๘ มีอานาจและ
หนา้ ที่ ดงั ตอ่ ไปนี้๑๘

(๑) จัดทาแผนปฏิบัติราชการของกระทรวงยุติธรรมในระดับจังหวัด ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนา
จังหวัดแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจาปีของจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการประจาปีของ
กลุ่มจังหวัด รวมท้ังคาของบประมาณจงั หวดั และงบประมาณกลุ่มจังหวัด

(๒) พัฒนาและส่งเสริมการมสี ่วนรว่ มของประชาชนในภารกจิ ของกระทรวงยตุ ธิ รรม ศูนย์ยุติธรรม
ชุมชน และเครือขา่ ยกระทรวงยตุ ิธรรม

(๓) ดาเนินงานกองทุนยุติธรรม และงานช่วยเหลือประชาชนท่ีตกเป็นเหย่ืออาชญากรรม รวมทั้ง
จาเลยที่ตกเป็นเหย่ือในคดีอาญาโดยมิได้เป็นผู้กระทาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยค่าตอบแทนผู้เสียหายและ
ค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา ในระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดการอานวยความยุติธรรมและลด
ความเหลื่อมล้าในการเขา้ ถงึ ความยตุ ิธรรมของประชาชน

(๔) ดาเนินงานเก่ียวกับงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมระดับจังหวัด
และคณะอนุกรรมการท่ีคณะกรรมการดังกล่าวแตง่ ตั้ง

(๕) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอ่ืนที่เก่ียวข้องหรือท่ีได้รับ
มอบหมาย

งานบริการประชาชนของสานักงานยุติธรรมจังหวัดยะลา และสานักงานยุติธรรมจังหวัดยะลา
สาขาเบตง๑๙ ดังนี้ (๑) สร้างการรับรู้กฎหมาย (๒) ให้คาปรึกษากฎหมาย (๓) คุ้มครองพยานในคดีอาญา
(๔) ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท (๕) รับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ (๖) ช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจาเลย
ในคดีอาญา (๗) ให้บริการกองทุนยุติธรรม เช่น ค่าใช้จ่ายในการดาเนินคดี เงินประกันตัว (๘) เบิกจ่ายเงิน
รางวลั และค่าใช้จา่ ยในช้นั สอบสวนคดีอาญา

๒. สานกั งานคมุ ประพฤตจิ งั หวัดยะลา มีภารกจิ หลักในการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระทาผิด เพ่ือปรับเปลี่ยน
พฤติกรรม โดยมีพนักงานคุมประพฤติคอยดูแลภายใต้การช่วยเหลือของชุมชนท่ีจะเข้าร่วมรับผิดชอบในการ
ป้องกนั อาชญากรรมและการแกไ้ ขฟนื้ ฟกู ระทาผดิ เพือ่ คืนคนดสี ู่สังคม งานแก้ไขฟื้นฟูกระทาผิดเป็นส่วนหน่ึง
ของกลมุ่ งานแกไ้ ขฟื้นฟผุ ู้กระทาผดิ ให้ช่วยเหลอื แนะนา แก้ไข ปรับปรุงและส่งเสริมให้ผู้ถูกคุมประพฤติได้กลับ
ตนเป็นพลเมืองดี ปรับทัศนคติ สร้างจิตสานึกที่ดีเป็นการอบรมให้ความรู้การฝึกทักษะต่างๆ การเข้า
คา่ ยจรยิ ธรรม และอีกหน่ึงภารกิจ คอื งานภาคประชาชน ภาคีเครือข่าย เช่น งานอาสาสมัครคุมประพฤติและ
งานเครือข่ายยุติธรรมชุมชน งานเครือข่ายยุติธรรมชุมชนเป็นการให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการป้องกันแก้ไข
ปญั หาอาชญากรรม การแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระทาผิดในชุมชน การระงับข้อพิพาทในชุมชน การร่วมมือในด้านต่างๆ
ที่นาไปสู้กระบวนการยตุ ิธรรม การช่วยเหลือสงเคราะห์และรับผู้กระทาผิดกลับเข้าสู่ชุมชน นอกจากน้ียังมีการ
จดั ตัง้ “ศนู ย์ยุตธิ รรมชุมชน ” ซง่ึ เป็นการรว่ มตัวของภาคประชาชนที่ต้องการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของ
ชุมชน เสรมิ สรา้ งความยุติธรรมและความสงบสขุ ในชมุ ชน

๓๖

ภารกจิ งานคมุ ประพฤต๑ิ ๗
1. งานสืบเสาะและพินิจ เป็นกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงเก่ียวกับประวัติ ภูมิหลังทางสังคม
ของผูก้ ระทาผิด สภาพความผดิ และสาเหตอุ ่นื อนั ควรปรานีก่อนศาลมคี าพิพากษาขนั้ ตอนการดาเนินงาน ดงั น้ี

1. พนักงานคุมประพฤติจะดาเนินการรวบรวมข้อเท็จจริงของผู้กระทาผิดจากเอกสารพยาน
ต่างๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง

2. พนักงานคุมประพฤติ นาข้อมูล ประวัติ ภูมิหลังทางสังคมมาประมวลข้อเท็จจริงวิเคราะห์
คัดกรอง ผกู้ ระทาผิด โดยคานึงถงึ ความปลอดภัยของสังคม และแนวโนม้ การแก้ไขปรับปรุงตัวเองในชุมชนของ
ผูก้ ระทาผิดแลว้ รายงานตอ่ ศาล

3. ศาลนาข้อเทจ็ จริงทไี่ ด้จากพนกั งานคุมประพฤติ ประกอบการใชด้ ลุ พินิจในการ
พจิ ารณาใชม้ าตรการทเ่ี หมาะสมตอ่ ผู้กระทาผิดแต่ละราย

๒. งานควบคุมและสอดส่อง เป็นกระบวนการติดตามดูแล ให้คาแนะนา และช่วยเหลือผู้กระทา
ผิดที่อยู่ระหว่างการคุมประพฤติ โดยมีคนจากกรมคุมประพฤติเป็นผู้ควบคุมดูแลตามสภาพปัญหาและความ
ต้องการเป็นรายบคุ คลผ้ถู กู คมุ ความประพฤติ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่

1. ขาเข้า ผู้กระทาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ซึ่งศาลรอการกาหนดโทษ
หรอื รอการลงโทษและกาหนดเง่อื นไขเพือ่ คมุ ความประพฤติผู้กระทาผดิ นน้ั

2. ขาออก นักโทษในเรือนจาที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติให้ได้รับการพักการลงโทษ หรือ
ลดวันต้องโทษ และเข้ามาอยู่ในความดูแลของกรมคุมประพฤติเทคนิคการแก้ไขฟ้ืนฟู (ให้คาปรึกษา
บาบดั รกั ษา ให้ความรู้ ฝึกอาชพี )

3. งานตรวจพิสูจน์และฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด การฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตาม
พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.๒๕๔๕ ก่อนท่ีพระราชบัญญัติฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติด
ยาเสพติด พ.ศ.๒๕๔๕ จะมีผลบังคับใช้ท่ัวประเทศในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๔๖ ผู้เสพยาเสพติดและที่ผู้ติด
ยาเสพติดที่ถูกจับกุมดาเนินคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติจะได้รับการพิพากษาจากศาลยุติธรรม
ซึ่งมีบทลงโทษ จาคุก หรือรอลงอาญา หรือปรับ ทาให้มีประวัติการกระทาความผิดทางอาญา ต่อมารัฐบาล
มีนโยบายว่า ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดเป็นผู้ป่วย ท่ีจาเป็นต้องได้รับการดูแล รักษา บาบัดฟื้นฟูฯอย่างถูกต้อง
เหมาะสมแทนการลงโทษทางอาญา จึงตราพระราชบัญญัติฟ้ืนฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.๒๕๔๕
ออกใช้โดยมีข้อดีคือ ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดจะได้รับการดูแล บาบัดฟื้นฟูฯในฐานะผู้ป่วยในระหว่างการบาบัด
ฟ้ืนฟูฯโดยพนักงานอัยการจะชะลอฟ้องคดีไว้ก่อนเพ่ือเปิดโอกาสให้ผู้ท่ีมีความผิดได้รับโอกาสเข้าบาบัดฟื้นฟู
กอ่ นและเมอื่ ผา่ นการบาบัดฟื้นฟฯู แล้วผลการบาบัดฟนื้ ฟฯู เปน็ ท่ีพอใจจากคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพ
ผู้ติดยาเสพติด ก็จะไม่ถูกดาเนินคดีในทางอาญาและพ้นสภาพผู้กระทาผิด ไม่มีคดีอาญาติดตัว สามารถไป
ศึกษาต่อหรือทางานได้เช่นคนปกติท่ัวไป เมื่อผู้เสพยาเสพติดถูกจับกุมดาเนินคดี ใน ๔ ฐานความผิด ดังน้ี
(๑) เสพยาเสพติด (๒) เสพและมีไว้ในครอบครอง (๓) เสพและมีไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่าย (๔) เสพและ
จาหน่ายโดยท่ีปริมาณยาเสพติดที่มีอยู่ในความครอบครอง ไม่เกินปริมาณตามท่ีกฎกระทรวงกาหนด หรือ
ไม่เกิน ๕ หน่วยการใช้ เช่น กรณียาบ้า ต้องไม่เกิน ๕ เม็ด เมื่อเป็นผู้ต้องหาตาม ๔ ฐานความผิดข้างต้น
พนักงานสอบสวนจะส่งต่อไปยังศาล หากเป็นบุคคล อายุเกิน ๑๘ ปี ต้องส่งตัวภายใน ๔๘ ชั่วโมง ถ้าเป็น
เยาวชน อายุต่ากว่า ๑๘ ปี ต้องส่งตัวภายใน ๒๔ ช่ัวโมง เม่ือศาลจะพิจารณาว่าเป็นการกระทาผิดในฐาน
ความผิดทั้ง ๔ และเป็นผู้ต้องหาอยู่ในระหว่างจับกุมหรือพิจารณาดาเนินคดีอ่ืนหรือไม่ หากศาลพิจารณาเห็น
ว่าไม่ใชก่ ารกระทาผดิ ใน ๔ ฐานความผิดข้างต้น หรือมีคดีอาญาอื่น ๆ ศาลจะดาเนินการตามกระบวนการทาง
อาญาตามปกติเดิม แต่ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความผิดอยู่ในฐานความผิดท้ัง ๔ ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟู

๓๗

สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.๒๕๔๕ และไม่มีคดีอาญาอ่ืน ๆ ศาลจะสั่งให้คณะอนุกรรมการฟ้ืนฟูฯ
พนกั งานคมุ ประพฤติตรวจพิสจู น์ ซึง่ ในข้นั ตอนนีผ้ ู้ตอ้ งหาหรือจาเลยจะถูกเรียกวา่ “ผูเ้ ขา้ รบั การตรวจพสิ ูจน"์

สานักงานคมุ ประพฤตจิ งั หวัดยะลา มีศูนย์ยุตธิ รรมชมุ ชนทรี่ บั ผิดชอบ จานวน 20 ศูนย์ ดังน้ี
1. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนอาเภอเมือง ที่ต้ัง อาคารอเนกประสงค์บ้านกาปั่น หมู่ 6 ตาบลท่าสาป
อาเภอเมอื ง จังหวดั ยะลา ประธานศูนยย์ ุติธรรมชุมชนอาเภอเมือง นายรสุ ดี ยโู ซ๊ะ
2. ศูนย์ยตุ ธิ รรมชุมชนตาบลยะลา ท่ีตัง้ องค์การบริหารส่วนตาบลยะลา ตาบลยะลา อาเภอเมือง
จงั หวัดยะลา ประธานศูนย์ยตุ ธิ รรมชุมชนตาบลยะลา นายอสิ มะแอ ตอื ระ
3. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนมุสลมิ สัมพนั ธ์ ทีต่ ัง้ เลขท่ี 90 ซอยมุสลมิ สมั พันธ์ ตาบลสะเตง อาเภอเมือง
จงั หวดั ยะลา ประธานศูนยย์ ตุ ิธรรมชมุ ชนมสุ ลมิ สมั พันธ์ นายมะแอ อสิ มะแอ
4. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนอาเภอยะหา ท่ีตั้งเลขท่ี 229/20 ถนนราษฎร์สามัคคี 2 ตาบลยะหา
อาเภอยะหา จงั หวัดยะลา ประธานศนู ยย์ ุตธิ รรมชุมชนอาเภอยะหา นายหะยมี ะกาซนั เบนนอ
5. ศนู ย์ยุติธรรมชุมชนตาบลอาซ่อง ที่ตั้ง เลขท่ี 1/5 หมู่ที่ 1 ตาบลอาซ่อง อาเภอรามัน จังหวัด
ยะลา ประธานศูนยย์ ุตธิ รรมชมุ ชนตาบลอาซอ่ ง นายมาโนช อาตา
6. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตาบลตาเซะ ท่ีตั้งเลขที่ 85/2 หมู่ท่ี 2 ตาบลตาเซะ อาเภอเมือง จังหวัด
ยะลา ประธานศูนยย์ ตุ ธิ รรมชุมชนตาบลตาเซะ นายอดิศร สาและ
7. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนหลังวัดเมือง ที่ต้ังโรงเรียนเทศบาล 6 อาคารนักเรียนอนุบาลเก่า ตาบล
สะเตง อาเภอเมือง จังหวดั ยะลา ประธานศูนย์ยตุ ิธรรมชุมชนหลังวัดเมือง นายอนันต์ รตั นสุวรรณ
8. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนอาเภอธารโต ท่ีตั้งองค์การบริหารส่วนตาบลบ้านแหร ตาบลบ้านแหร
อาเภอธารโต จงั หวดั ยะลา ประธานศนู ย์ยตุ ธิ รรมชมุ ชนอาเภอธารโต นายอเี ร๊ะ มะแหร
9. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตาบลธารโต ท่ีตั้งเลขที่ 4/2 หมู่ท่ี 3 ตาบลธารโต อาเภอธารโต จังหวัด
ยะลา ประธานศนู ยย์ ุตธิ รรมชุมชนตาบลธารโต นางสาวมัสนา ซอเฮา๊ ะ
10. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนอาเภอกรงปินัง ที่ต้ังเลขท่ี 76/3 หมู่ท่ี 3 ตาบลกรงปินัง อาเภอ
กรงปินงั จงั หวัดยะลา ประธานศนู ย์ยตุ ิธรรมชุมชนอาเภอกรงปินัง นายอาลี ยโู ซ๊ะ
11. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตาบลปะแต ท่ีตั้งเลขท่ี 47 หมู่ที่ 7 ตาบลปะแต อาเภอยะหา จังหวัด
ยะลา ประธานศนู ยย์ ุติธรรมชุมชนตาบลปะแต นายมะยูโซะ๊ สอื โย๊ะ
12. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตาบลบาโร๊ะ ท่ีตั้ง ศูนย์จริยธรรมเด้กบ้านแคละ หมูที่ 4 ตาบลบาโร๊ะ
อาเภอยะหา จงั หวัดยะลา ประธานศูนย์ยุตธิ รรมชมุ ชนตาบลบาโร๊ะ นายอบั ดุลเรา๊ ะมัน ลือแบเตะ๊
13. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนอาเภอกาบัง ที่ต้ังองค์การบริหารส่วนตาบลบาละ อาเภอกาบัง จังหวัด
ยะลา ประธานศนู ยย์ ตุ ิธรรมชมุ ชนอาเภอกาบัง นายณรงค์ ดุษบี ัณฑติ
14. ศูนย์ยุติธรรมชมุ ชนอาเภอบันนังสตา ทต่ี ้งั ท่ีว่าการอาเภอบันนังสตา ตาบลบันนังสตา อาเภอ
บนั นงั สตา จังหวดั ยะลา ประธานศนู ยย์ ตุ ธิ รรมชมุ ชนอาเภอบันนงั สตา นายปรีดี ดาจงิ
15. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตาบลตาชี ที่ต้ังอาคารอเนกประสงค์ หมู่ที่ 5 ตาบลตาชี อาเภอยะหา
จังหวัดยะลา ประธานศนู ย์ยตุ ิธรรมชมุ ชนตาบลตาชี นางสาวเอกศรา มณนี ิยม
16. ศนู ยย์ ตุ ิธรรมชุมชนตาบลถา้ ทะลุ ทีต่ ้งั องค์การบริหารส่วนตาบลถา้ ทะลุ ตาบลถ้าทะลุ อาเภอ
บันนังสตา จงั หวดั ยะลา ประธานศูนย์ยุตธิ รรมชมุ ชนตาบลถ้าทะลุ นายนฐั พร บือราเฮง
17. ศนู ยย์ ุติธรรมชมุ ชนอาเภอรามัน ท่ีต้ังเลขท่ี 78/1 หมู่ท่ี 2 ตาบลบือมัง อาเภอรามัน จังหวัด
ยะลา ประธานศนู ยย์ ตุ ธิ รรมชมุ ชนอาเภอรามนั นางรุสนี ดาวาลี

๓๘

18. ศนู ย์ยุติธรรมชุมชนอาเภอเบตง ท่ีตั้งเลขท่ี 53/1 หมู่ท่ี 4 ตาบลตาเนาะแมเราะ อาเภอเบ
ตง จังหวดั ยะลา ประธานศูนย์ยุตธิ รรมชมุ ชนอาเภอเบตง นางจานง ละอองแก้ว

19. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตาบลยะรม ท่ีต้ังเลขท่ี 186 หมู่ท่ี 7 ตาบลยะรม อาเภอเบตง จังหวัด
ยะลา ประธานศนู ย์ยุติธรรมชมุ ชนตาบลยะลา นายสมวงค์ ทองโอสถ

20. ศูนย์ยุติธรรมชุมชนตาบลธารน้าทิพย์ ท่ีตั้งเลขท่ี 105 หมู่ที่ 2 ตาบลธารน้าทิพย์ อาเภอ
เบตง จงั หวัดยะลา ประธานศนู ย์ยุติธรรมชุมชนตาบลธารน้าทิพย์ นายมะอูโซะ สาลงั

ภารกิจงานของศูนย์ยุติธรรมชุมชน
1. จัดกิจกรรมแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระทาผิด การจัดแก้ไขฟ้ืฟูผู้กระทาผิดในพื้นท่ีศูนย์ยุติธรรมชุมชน
(๑) โครงการ “1 ศนู ย์ 1 อาชพี แบง่ ปนั ผูก้ ระทาผดิ ”เพ่ือเสรมิ สรา้ งอาชพี (๒) โครงการ “ศาสนธรรมเคลื่อนที่
สชู่ ุมชน”(ดาวะสัญจร) เพอื่ แกไ้ ขผู้กระทาผิดได้รับการแกไ้ ขฟืน้ ฟูดว้ ยศาสนบาบัดวิถีชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ
และกลับตนเป็นพลเมืองดีของสังคมต่อไป (๓) โครงการ “เครือข่ายศูนย์ยุติธรรมชุมชนจิตอาสาพัฒนาชุมชน
สู่ชุมชน เพ่ือชุมชน” เพ่ือสร้างบทบาทในการปฏิบัติงานเครือข่ายศูนย์ยุติธรรมชุมชน และประชาสัมพันธ์
ภารกิจงานคุมประพฤติ เครือข่ายยุตธิ รรมชุมชนและศูนย์ยตุ ธิ รรมชุมชน
2. ภารกิจงานคุมประพฤติ ติดตาม ดแู ล ใหค้ าแนะนาแก่ผถู้ ูกคมุ ความประพฤติ
3. ภารกิจงานสบื เสาะและพินิจเก่ียวกับผกู้ ระทาผดิ เช่น มาให้ปากคา พยาน เป็นต้น

๓. ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 9 เป็นหน่วยงานราชการสังกัดกรมพินิจและคุ้มครอง
เด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม มีภารกิจในการบาบัด ดูแลรักษา พัฒนา แก้ไขฟื้นฟู ตลอดจนให้การ
สงเคราะห์แก่เด็กและเยาวชนซ่ึงศาลเยาวชนและครอบครัว รวมทั้งศาลอื่นในเขต 9 (7 จังหวัดภาคใต้
ตอนลา่ ง: จังหวดั สงขลา สตูล ตรัง พทั ลงุ ปัตตานี นราธิวาส และยะลา) ได้มคี าพพิ ากษาในฐานความผิดต่าง ๆ
และให้ส่งตัวมารับการฝึกและอบรมระยะหนึ่ง เพ่ือให้เกิดความสานึกและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทาง
ที่ถกู ทคี่ วร มภี ารกจิ หลัก 4 ดา้ น คือ (1) ด้านการบาบดั แก้ไขฟ้ืนฟเู ดก็ และเยาวชน (2) ด้านการเรียนการสอน
(3) ด้านการฝึกงานและจา้ งงาน (4) ด้านการกากับตดิ ตาม

โดยมีวตั ถุประสงค์
1. เพอื่ ให้เด็กและเยาวชนรับการสนับสนนุ จากเครอื ขา่ ยในด้านการศึกษา การแก้ไขบาบัดฟ้ืนฟู
และการฝกึ งานและจ้างงานตามสภาพความจาเป็น
2. เด็กและเยาวชนท่ีอยู่ในระยะเตรียมปล่อยตัวจากศูนย์ฝึกและอบรมมีเครือข่ายมารองรับใน
ดา้ นการศึกษาต่อและการประกอบอาชพี
3. เด็กและเยาวชนได้รับการกากับติดตามช่วยเหลือตามสภาพความต้องการจากเครือข่าย
ภายหลงั ได้รบั การปลอ่ ยตัวจากศูนย์ฝกึ และอบรมเด็กและเยาวชน
ในส่วนของงานที่เก่ียวข้องกับศูนย์ยุติธรรมจังหวัดยะลา ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 9
มีภารกิจท้ัง 4 ด้าน (ด้านการบาบัดแก้ไขฟ้ืนฟูเด็กและเยาวชน ด้านการเรียนการสอน ด้านการฝึกงานและ
จ้างงาน และด้านการกากับติดตาม) เพื่อประสานสนับสนุนจากศูนย์ยุติธรรมจังหวัดยะลา และศูนย์ยุติธรรม
ชุมชนจงั หวดั ยะลาในการดูแลเด็กและเยาวชนทีม่ ภี มู ิลาเนาในจงั หวัดยะลา

๓๙

๔. สำนักงำนบังคบั คดจี งั หวัดยะลำ มีอานาจหน้าท่ี๑๕ (๑) การบังคับคดีแพ่งและการวางทรัพย์
ในจังหวดั (๒) การไกลเ่ กล่ียข้อพิพาทในชัน้ บงั คับคดี

งานท่ีดาเนินการ เช่น การขายทอดตลาดทรัพย์ โครงการไกล่เกลี่ยทั่วไทยร่วมใจช่วยเหลือ
ลกู หนท้ี ่ไี ดร้ บั ผลกระทบจากไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) โครงการเสริมสร้างประสิทธิภาพงานยุติธรรม
เพื่อการสร้างความเปน็ ธรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ มหกรรมไกล่เกลีย่ หนบ้ี ตั รเครดิตและสนิ เชอื่ ส่วนบคุ คล

๕. เรือนจำกลำงยะลำ อานาจหน้าที่กรมราชทัณฑ์๑๖ (๑) ปฏิบัติต่อผู้กระทาผิดให้เป็นไปตาม
คาพิพากษาหรือคาสั่งตามกฎหมาย โดยดาเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการราชทัณฑ์และกฎหมายอื่นท่ี
เก่ียวข้อง (๒) กาหนดแนวทางปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง โดยให้สอดคล้องกับ กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ นโยบาย
ของกระทรวง หลักอาชญาวิทยา และหลักทัณฑวิทยา ตลอดจนข้อกาหนดมาตรฐานขั้นต่าสาหรับปฏิบัติต่อ
ผู้ต้องขัง และข้อเสนอแนะในเร่ืองที่เก่ียวข้องของสหประชาชาติ (๓) ดาเนินการเก่ียวกับสวัสดิการและการ
สงเคราะห์แก่ผู้ต้องขัง (๔) ปฏิบัติการอื่นใดตามท่ีกฎหมายกาหนดให้เป็นอานาจหน้าที่ของกรม หรือตามท่ี
กระทรวงหรือคณะรฐั มนตรีมอบหมาย

กรมราชทัณฑ์ มีเรือนจา ทัณฑสถาน และสถานท่ีกักขังในสังกัดจานวน ๑๔๓ แห่ง ดังนี้
(๑) เรอื นจำ ๑) เรอื นจากลาง หมายถึง เรอื นจาปกตริ ับคุมขงั ผู้ตอ้ งขงั ท่ีมีคาพิพากษาแล้ว และนักโทษเด็ดขาด
ทีม่ โี ทษจาคกุ ตั้งแต่ ๑๕ ปขี นึ้ ไป ปัจจบุ นั มีเรอื นจากลาง ๓๔ แห่ง โดยมีเรือนจากลางท่มี ีอานาจคุมขังผู้ต้องขังที่
ต้องรับโทษจาคุก ๑๕ ปี ถึงประหารชีวิต จานวน ๒ แห่ง คือ เรือนจากลางบางขวางและเรือนจากลางคลอง
เปรม ๒) เรือนจาพิเศษ เป็นเรือนจาที่รับผู้ต้องขังประเภทเดียวกับเรือนจาส่วนภูมิภาค ซึ่งในพื้นท่ีนั้นไม่มี
เรอื นจาส่วนภมู ภิ าคตง้ั อยู่ เรือนจาพเิ ศษมอี านาจคมุ ขงั ผูต้ อ้ งขังทต่ี ้องรับโทษจาคุกไม่เกิน ๗ ปี (๒ แห่ง) จนถึง
จาคุกไม่เกิน ๑๕ ปี (๒๘ แห่ง) ปัจจุบันมีเรือนจาพิเศษ ๓๐ แห่ง ๓) เรือนจาจังหวัด เป็นเรือนจาส่วนภูมิภาค
ที่มีอานาจคุมขัง ผู้ต้องขังที่ต้องรับโทษจาคุกไม่เกิน ๑๕ ปี แต่มีเรือนจาจังหวัด ๑ แห่ง ท่ีมีอานาจคุมขัง
ผู้ต้องขังท่ีต้องรับโทษจาคุกไม่เกิน ๒๕ ปี คือ เรือนจาจังหวัดตรัง ปัจจุบันมีเรือนจาจังหวัด ๔๙ แห่ง
๔) เรือนจาอาเภอ เป็นเรือนจาส่วนภูมิภาคที่มีอานาจคุมขัง ผู้ต้องขังที่ต้องรับโทษจาคุกไม่เกิน ๑๐ ปี จนถึง
จาคุกไม่เกิน ๑๕ ปี ปัจจุบันมีเรือนจาอาเภอ ๒๖ แห่ง (๒) ทัณฑสถำน เป็นสถานที่ควบคุม กักขังผู้ต้องขังท่ี
ได้รับการคัดแยกประเภทแล้ว เพื่อประโยชน์ในการควบคุม บาบัดรักษา การอบรมแก้ไข และการฝึกวิชาชีพ
เชน่ หญิง วยั หนุ่ม บาบดั พเิ ศษ ปัจจบุ ันมี ๒๕ แห่ง มีทัณฑสถานที่รับผู้ต้องขังที่ต้องรับโทษจนถึงประหารชีวิต
จานวน ๒ แห่ง คือ ทัณฑสถานหญิงกลาง ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และทัณฑสถานท่ีรับผู้ต้องขังที่
ต้องรับโทษจนถงึ จาคุกตลอดชีวิต จานวน ๓ แห่ง คือ ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ทัณฑสถานบาบัดพิเศษกลาง
และทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง (๓) สถำนกักขัง เป็นสถานท่ีท่ีมีอานาจควบคุมผู้ต้องกักขัง ซ่ึงถูกกาหนดโทษ
กักขัง ปัจจุบันมีสถานกักขัง ๕ แห่ง ได้แก่ สถานกักขังกลางจังหวัดลาปาง สถานกักขังกลางจังหวัดตราด
สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี สถานกักขังกลางจังหวัดร้อยเอ็ด และสถานกักขังกลางจังหวัด
นครศรีธรรมราช (๔) สถำนกักกนั (๑ แหง่ ) คอื สถานกกั กนั นครปฐม

หน่วยราชการสงั กดั ราชการส่วนภูมภิ าคในระดับอาเภอ คอื
๑. เรอื นจาอาเภอเบตง
๒. สานกั งานบังคับคดีจงั หวดั ยะลา สาขาเบตง
๓. สานกั งานยตุ ิธรรมจงั หวดั ยะลา สาขาเบตง

๔๐

ในภารกิจศนู ย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทาเรือนจากลางยะลา (ศูนย์ CARE) ติดตามให้ความ
ช่วยเหลือผู้พ้นโทษ แจ้งความประสงค์ไว้ก่อนพ้นโทษ ประสานเจ้าหน้าที่ยุติธรรมชุมชนในกรณีลงพื้นท่ี
ตรวจสอบ เย่ียมบ้านผู้พ้นโทษ ในกรณีผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ ติดตามประเมินผลการน้อมนาแนวทาง
เกษตรตามโครงการพระราชดารไิ ปประยกุ ตใ์ ช้ภายหลงั พ้นโทษ (สาหรบั กรณีผู้พ้นโทษทลี่ งทะเบยี นไว้)

การบรกิ ารประชาชนเพื่ออานวยความยตุ ธิ รรมในระดบั กระทรวงยตุ ิธรรม จาก MOJ E-SERVICE20
ประกอบดว้ ย
๑) สานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม: (๑) เว็บบอร์ดกระทรวงยุติธรรม (ปรึกษาข้อกฎหมาย

(สอบถามข้อมูล ข้อสงสัย เก่ียวกับเร่ืองข้อกฎหมายต่างๆ) รับเร่ืองร้องเรียนร้องทุกข์ (ถูกกล่ันแกล้ง เอารัด
เอาเปรียบ การได้รบั ความไมเ่ ป็นธรรม) แจ้งเบาะแส (แจ้งเบาะแสความไมโ่ ปรง่ ใส ความไม่ยตุ ธิ รรม การทุจริต)
สอบถาม/ข้อเสนอแนะ (ขอ้ เสนอแนะเกีย่ วกับกระทรวงยุติธรรม) (๒) ร้องเรียน/แจ้งเบาะแสการทุจริต (ระบบ
การจัดการ ข้อร้องเรียนและติดตามผลการร้องเรียนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์) (๓) ยื่นคาขอทะเบียน
นักจิตวิทยา (ระบบการย่ืนคาขอข้ึนทะเบียนเป็นผู้ทาหน้าที่นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ตามประมวล
กฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา: ย่ืนคาขอขน้ึ ทะเบยี น, ยน่ื คาขอต่ออายุ, ข้อมูลทะเบียนนักจิตฯ, สังหลักฐาน,
คู่มือการขอและรับการข้ึนทะเบียน, แบบฟอร์มที่เกี่ยวข้อง) สานักงานกองทุนยุติธรรม (๑) ย่ืนคาขอรับความ
ช่วยเหลือ (ยื่นคาขอกองทุนยุติธรรมออนไลน์) (๒) ติดตามคาขอรับความช่วยเหลือ (ติดตามคาขอกองทุน
ยตุ ิธรรมออนไลน์)

๒) กรมบังคับคดี: (๑) ระบบย่ืนคาร้องทางอิเล็กทรอนิกส์ – คดีแพ่ง คดีล้มละลาย คดีฟื้นฟูกิจการ
ของลูกหนี้ (๒) ระบบสอบถามสถานะคดี (๓) ระบบถ่ายทอดสดการขายทอดตลาด (๔) กรมบังคับคดีบริการ
สบื คน้ ข้อมูลกรมบงั คบั คดี (LED Debt InFo) LED Debt Info Mobile Application: - ตรวจสอบข้อมูลอายัด
เงนิ ในคดี - ตรวจสอบยอดหนีค้ งเหลอื

๓) กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ (๑) ปรึกษาปัญหาทางกฎหมาย (๒) ตรวจสอบความคืบหน้าใน
การรับบริการ

๔) สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สานักงาน ป.ป.ส.): (๑) ระบบการ
แจง้ ข้อมลู สารเคมีควบคุม

๕) กรมคุมประพฤติ (๑) แอพพลิเคชั่นสาหรับผู้ถูกคุมความประพฤติ –ข้อมูลการคุมความประพฤติ
(๒) ระบบบริการประชาชน (Dop Service) แอปพลิเคชั่นบริการประชาชน กรมคุมประพฤติ - สาหรับค้นหา
หนว่ ยงาน/เบอรโ์ ทร กลุม่ งาน/กองงาน/สานักงานตา่ งๆ

๖) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (๑) การตรวจสอบธุรกิจแชร์ลูกโซ่โดยแอปพลิเคช่ัน "แชร์ลูกโซ่" เป็น
แอพพลิเคชั่นที่ใช้ในการตรวจสอบความเสี่ยงเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่เบื้องต้น (๒) การตรวจสอบสถานะการ
ดาเนินงานคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษให้ประชาชนตรวจสอบสถานะคดีพิเศษ ตรวจสอบสถานะเรื่อง
ร้องเรียน และร้องเรียนร้องทกุ ข์

การบริการประชาชนเพ่ืออานวยความยุติธรรมในระดับ โดยมีสานักงานยุติธรรมจังหวัดเป็นหน่วย
ให้บริการประชาชน ซ่ึงการให้บริการประชาชนภายใต้ (๑) พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและ
ค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 (๒) พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘
(๓) งานตามนโยบาย

๔๑

๑. พระราชบัญญัตคิ ่าตอบแทนผ้เู สยี หายและคา่ ทดแทนและคา่ ใชจ้ า่ ยแกจ่ าเลยในคดอี าญา พ.ศ. 2544

ผู้มีสิทธิได้รับค่าคุ้มครองแบ่งเป็น 2 ประเภท๒1 คือ 1) ผู้เสียหายจากการกระทาความผิดอาญา
2) จาเลยท่ีถูกขังในระหว่างพิจารณาคดีและต่อมาอัยการถอนฟ้อง หรือปรากฏภายหลังว่ามิใช่ผู้กระทา
ความผิด หรอื การกระทาไม่เป็นความผิด โดย

1) ผ้เู สียหายในคดีอาญา หมายถงึ ผู้ท่ีได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกาย หรือจิตใจ จากการ
กระทาความผิดอาญาของผู้อื่น โดยผู้เสียหายมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทาความผิดนั้น และไม่มีโอกาส
ได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยวิธีอื่นใด เช่น ไม่สามารถจับตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษได้ หรือ จับได้
แต่ผู้กระทาความผิดไม่มีทรัพย์สินใดจะมาชดใช้ความเสียหายให้ เพ่ือเป็นการบรรเทาความเสียหายที่เกิดข้ึน
ผ้เู สียหายหรือทายาท จึงมสี ทิ ธิได้รบั คา่ ตอบแทนที่จาเปน็ และสมควรจากรัฐ ค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา
แบง่ เป็น 2 กรณี

(1) กรณเี สยี ชีวติ
◦ค่าตอบแทนตั้งแต่ 30,000 บาท แตไ่ ม่เกิน 100,000 บาท
◦ค่าจดั การศพ จานวน 20,000 บาท
◦คา่ ขาดอปุ การะเลยี้ งดู ไม่เกนิ 30,000 บาท
◦คา่ เสียหายอนื่ ตามท่คี ณะกรรมการเห็นสมควร แต่ไม่เกิน 30,000 บาท

(2) กรณีท่วั ไป
◦คา่ ใช้จา่ ยที่จาเป็นในการรักษาพยาบาล ใหจ้ า่ ยเทา่ ท่ีจา่ ยจริงแต่ไม่เกนิ 30,000 บาท
◦คา่ ฟ้นื ฟสู มรรถภาพทางร่างกายและจติ ใจใหจ้ ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไมเ่ กิน 20,000 บาท
◦ค่าขาดประโยชน์ทามาหาได้ในระหว่างท่ีไม่สามารถประกอบการงานได้ ตามปกติจ่ายใน

อัตราวันละไม่เกิน ๓๑๓ บาท (ปี ๒๕๖๔) เป็นระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ไม่สามารถประกอบกิจการ
งานไดต้ ามปกติ

◦คา่ ตอบแทนความเสียหายอนื่ ตามท่คี ณะกรรมการเห็นสมควร แตไ่ มเ่ กนิ 30,000 บาท

๒) จาเลยในคดีอาญา หมายถึง ผู้ที่ถูกดาเนินคดีโดยพนักงานอัยการและถูกคุมขังระหว่างการ
พจิ ารณาคดี ต่อมาภายหลังปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าจาเลยมิได้เป็นผู้กระทาความผิด มีการถอนฟ้องระหว่าง
การดาเนินคดี หรือมีคาพิพากษาถึงท่ีสุดว่าไม่ได้กระทาความผิด หรือการกระทาของจาเลยไม่เป็นความผิด
เพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหายแก่จาเลยหรือทายาท จึงมีสิทธิได้รับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายท่ีจาเป็นและ
สมควรจากรัฐ ค่าทดแทนและคา่ ใชจ้ ่ายแกจ่ าเลยในคดีอาญา แบ่งเปน็ 2 กรณี

(1) กรณเี สียชีวิต
◦ค่าทดแทน จานวน 100,000 บาท
◦คา่ จัดการศพ จานวน 20,000 บาท
◦คา่ ขาดอปุ การะเล้ียงดู จานวนไมเ่ กิน 30,000 บาท
◦ค่าเสียหายอนื่ ตามทคี่ ณะกรรมการเหน็ สมควร แตไ่ ม่เกิน 30,000 บาท

(2) กรณีทวั่ ไป
◦ค่าใช้จ่ายท่ีจาเป็นในการรักษาพยาบาล ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท

หากความเจบ็ ป่วยน้ันเปน็ ผลโดยตรงจากการถกู ดาเนนิ คดี

๔๒

◦ค่าฟ้ืนฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท
หากความเจ็บปว่ ยน้ันเป็นผลโดยตรงจากการถกู ดาเนนิ คดี

◦ค่าขาดประโยชน์ทามาหาได้ในระหว่างถูกดาเนินคดีอัตราวันละไม่เกิน ๓๑๓ บาท
(ปี ๒๕๖๔) นบั แต่วนั ทีไ่ ม่สามารถประกอบกจิ การงานได้ตามปกติ

◦ค่าใช้จ่ายท่ีจาเป็นในการดาเนินคดี ได้แก่ *ค่าทนายความ เท่าที่จ่ายจริงในอัตราไม่เกิน
กฎกระทรวงกาหนด *ค่าใช้จ่ายอ่นื เทา่ ที่จ่ายจรงิ แต่ไมเ่ กิน 30,000 บาท

การยืน่ คาขอตามแบบและเอกสารภายในกาหนดเวลา ดังน้ี
(1) ในกรณีผูเ้ สยี หาย ภายใน 1 ปี นบั แต่วนั ทีผ่ เู้ สียหายไดร้ ้ถู งึ การกระทาความผิด
(2) ในกรณีจาเลย ภายใน 1 ปี นับแต่วันท่ีศาลมีคาสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้อง เพราะปรากฎหลักฐาน
ชัดเจนวา่ จาเลยมิไดเ้ ป็นผู้กระทาความผิด หรอื วนั ท่มี คี าพิพากษาอันถึงที่สดุ ในคดีน้ันว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า
จาเลยไม่ได้เป็นผู้กระทาความผิด หรือการกระทาของจาเลยไม่เป็นความผิด กรณีผู้เสียหายหรือจาเลยใน
คดีอาญาไม่สามารถยื่นคาขอด้วยตนเองได้ ให้ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี
หรือภริยา หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นหนังสือจากผู้เสียหายหรือจาเลยสามารถย่ืนคาขอ
แทนได้ หากบุคคลใดยน่ื คาขอรับคา่ ตอบแทน คา่ ทดแทน และค่าใชจ้ ่าย โดยแสดงข้อความหรือพยานหลักฐาน
อันเป็นเทจ็ ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่เกิน 3 ปี หรอื ปรบั ไมเ่ กิน 60,000 บาท หรือท้ังจาทัง้ ปรบั

ความผดิ ทผี่ ูเ้ สยี หายมสี ทิ ธไิ ด้รับคา่ ตอบแทน ตอ้ งอยูใ่ นประเภทความผดิ ดงั นี้
(1) ความผดิ เกยี่ วกบั เพศ
(2) ความผิดตอ่ ชีวิต
(3) ความผดิ ตอ่ ร่างกาย
(4) ความผิดฐานทาใหแ้ ทง้ ลกู
(5) ความผิดฐานทอดท้งิ เดก็

วิธีการยื่นคาขอรบั คา่ ตอบแทน ค่าทดแทนและค่าใช้จ่าย
ส่วนกลาง ให้ยื่นคาขอ ณ สานักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจาเลยในคดีอาญา
กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่
กรงุ เทพมหานคร
สว่ นภมู ภิ าค ยืน่ ได้ทีส่ านกั งานยตุ ธิ รรมจังหวัดทกุ จังหวัด หรือศนู ย์ยุติธรรมชุมชน
เอกสารจาเป็นที่ผูเ้ สียหายต้องย่นื ตอ่ เจา้ หน้าที่ในกรณขี อรับคา่ ตอบแทน
(1) สาเนาบัตรประจาตัวประชาชน/บัตรประจาตัวเจ้าหน้าท่ีของรัฐ (ของผู้เสียหายและผู้ยื่น
คาขอ)
(2) สาเนาทะเบยี นบ้าน (ของผู้เสยี หายและผู้ยื่นคาขอ)
(3) สาเนาทะเบยี นสมรส
(4) สาเนาสูตบิ ัตร
(5) สาเนาใบเปลีย่ นชือ่ /สกลุ
(6) หนงั สือมอบอานาจ

๔๓

(7) หนังสือให้ความยินยอมของทายาทอ่ืนในการย่ืนคาขอรับค่าตอบแทนผู้เสียหายกรณีมีทายาท
ผู้มีสิทธิย่นื คาขอในกรณีเดยี วกนั หลายคน

(8) ใบเสรจ็ ค่ารกั ษาพยาบาล
(9) สาเนาใบรับรองแพทย์
(10) รายงานการสอบสวนของสถานตี ารวจ และบันทกึ ประจาวนั การแจง้ ความ
(11) สาเนาใบมรณะบัตร (กรณีผู้เสียหายถงึ แกค่ วามตาย)
(12) สาเนาใบชันสูตรแพทย์ หรือใบชันสูตรพลิกศพ
(13) หลกั ฐานการมรี ายไดใ้ นกรณปี ระกอบอาชีพ
(14) หลกั ฐานการได้รับชดใช้คา่ เสียหายจากหน่วยงานอ่ืน

เอกสารจาเป็นทจี่ าเลยต้องยื่นต่อเจ้าหนา้ ทใ่ี นกรณขี อรับคา่ ทดแทนและคา่ ใช้จ่าย
(1) สาเนาบตั รประจาตัวประชาชน/บัตรประจาตัวเจา้ หน้าทขี่ องรฐั (ของผูเ้ สยี หายและผู้ยื่นคาขอ)
(2) สาเนาทะเบียนบา้ น (ของผูเ้ สยี หายและผู้ยืน่ คาขอ)
(3) สาเนาทะเบยี นสมรส
(4) สาเนาสตู บิ ตั ร
(5) สาเนาใบเปล่ยี นช่ือ/สกลุ
(6) หนงั สอื มอบอานาจ
(7) หนงั สอื ให้ความยินยอมของทายาทอ่ืนในการย่ืนคาขอรับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จาเลยใน
คดีอาญากรณมี ที ายาทผู้มสี ิทธยิ ่ืนคาขอในกรณเี ดยี วกนั หลายคน
(8) ใบเสร็จคา่ รกั ษาพยาบาลและอืน่ ๆ (ถา้ ม)ี
(9) สาเนาใบรบั รองแพทย์
(10) คาพิพากษาอันถึงท่ีสุดว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจาเลยมิได้เป็นผู้กระทาผิด หรือการกระทา
ของจาเลยไม่เปน็ ความผิด หรอื ปรากฏหลักฐานชดั เจนวา่ จาเลยมิได้เป็นผกู้ ระทาความผิดและมีการถอนฟ้องใน
ระหวา่ งดาเนนิ คดี
(11) หมายขงั และหมายปล่อย
(12) หนังสือรบั รองคาพิพากษาถงึ ทีส่ ุด
(13) สญั ญาจา้ งว่าความหรือหนงั สอื รบั รองว่าจ้างวา่ ความ
(14) สาเนาใบแต่งทนาย (รบั รองโดยเจา้ หน้าทศ่ี าลยุตธิ รรม)
(15) สาเนาใบมรณะบตั ร (กรณีจาเลยถึงแก่ความตาย)
(16) สาเนาใบชนั สตู รแพทย์
(17) หลักฐานการมรี ายได้
(18) หลักฐานการได้รับชดใชค้ า่ เสยี หายจากทางอ่นื

๔๔

๒. พระราชบัญญัติกองทนุ ยตุ ิธรรม พ.ศ. ๒๕๕๘

สาระสาคัญพระราชบัญญัติกองทนุ ยตุ ิธรรมพ.ศ. ๒๕๕๘๒๓
ความหมายของกองทุนยุติธรรม “กองทุนยุติธรรม” เป็นกองทุนที่จัดตั้งข้ึนเพ่ือเป็นแหล่งเงินทุน
สาหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชนในการดาเนินคดี การขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจาเลย
การถูกละเมดิ สิทธมิ นษุ ยชน และการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน
การใหค้ วามช่วยเหลอื ของกองทุนยุติธรรม “กองทุนยตุ ิธรรม” ใหค้ วามชว่ ยเหลือ ๔ กรณี ดงั น้ี
(๑) การให้ความช่วยเหลือประชาชนในการดาเนินคดี เช่น ค่าจ้างทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล
หรือคา่ ใช้จ่ายอืน่ ๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
(๒) การปล่อยช่ัวคราวผู้ต้องหาหรือจาเลย เช่น ค่าใช้จ่ายในการประกันตัว เป็นต้น (๓) การ
ช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น ค่า
รกั ษาพยาบาล คา่ ฟ้นื ฟรู า่ งกายจิตใจ คา่ ขาดรายได้ คา่ เสียหายจากการถูกละเมิด เปน็ ตน้
(๔) การสนับสนุนโครงการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน เช่น ค่าใช้จ่ายในการจัดทา
โครงการให้ความร้กู ฎหมายแก่ประชาชน เปน็ ต้น
คดีที่กองทุนยุติธรรมให้ความช่วยเหลือ คือ คดีอาญา คดีแพ่ง คดีปกครอง คดีเยาวชนและ
ครอบครัว คดศี าลชานญั พเิ ศษ และคดอี น่ื รวมถงึ การบังคบั คดี
การขอรบั ความชว่ ยเหลือจากกองทุนยุติธรรม
๑. กรณีกรุงเทพมหานคร ผู้ขอรับความช่วยเหลือไปขอรับความช่วยเหลือที่ “สานักงานกองทุน
ยุตธิ รรม” สานกั งานปลดั กระทรวงยุตธิ รรม ถนนแจง้ วัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรงุ เทพมหานคร
๒. กรณีจังหวัดอื่น ๆ ไปขอรับความช่วยเหลือท่ี “สานักงานยุติธรรมจังหวัด” ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัด
หรือศนู ยย์ ตุ ธิ รรมชมุ ชนที่ใกล้บ้าน
การช่วยเหลือประชาชนผา่ นกองทุนยตุ ิธรรมในดา้ น
๑. การช่วยเหลือประชาชนในการดาเนินคดี (ค่าจ้างทนายความ ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
เก่ียวกบั การดาเนนิ คด)ี
๒. การปลอ่ ยตัวชว่ั คราวผตู้ ้องหาหรือจาเลย (ช้ันสอบสวน ชั้นพนกั งานอัยการ ชั้นศาล
การควบคมุ ตวั กรณีอนื่ )
๓. การช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน
(เงินชดเชย คา่ รักษาพยาบาล คา่ ฟื้นฟูรา่ งกาย จติ ใจ ค่าขาดประโยชนท์ ามาหาไดแ้ ละเงนิ ชว่ ยเหลืออืน่ ๆ)
๔. การให้ความรู้เก่ียวกับกฎหมายแก่ประชาชน เพื่อทาให้ประชาชนท่ีเป็นคนยากจน และ
ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงยุติธรรมได้มีการเพ่ิมประสิทธิภาพการ
ดาเนินงานในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยลดระยะเวลามาตรฐานในการดาเนินการจากเดิม
70 วัน ลดลงเหลือ 45 วัน และอยู่ระหว่างการลดระยะเวลาให้เหลือเพียง 21 วัน เพื่อให้ประชาชนได้รับ
ความช่วยเหลืออยา่ งรวดเรว็ ยิง่ ขน้ึ

๔๕

๓. ระเบยี บคณะกรรมการยทุ ธศาสตรด์ า้ นการพฒั นาจงั หวดั ชายแดนภาคใตว้ า่ ดว้ ยการให้ความช่วยเหลือ
เยียวยาผูไ้ ด้รับความเสียหายและผ้ไู ดร้ ับผลกระทบจากการกระทาของเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั
อันสืบเนอ่ื งมาจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕

สรปุ ไดด้ ังนี้๒๙
ข้อ ๗ ค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายและผู้ได้รับผลกระทบ
หมายถงึ

(๑) คา่ ช่วยเหลือเยยี วยาในกรณที ีผ่ เู้ สียหายถงึ แก่ความตาย หรอื ผทู้ พุ พลภาพ
(๒) ค่าชว่ ยเหลือเยยี วยากรณีการบังคับบุคคลใหส้ ูญหาย
(๓) ค่าช่วยเหลอื เยยี วยาในการรกั ษาพยาบาล รวมทั้งการสง่ ตอ่ เพ่อื ฟนื้ ฟผู พู้ กิ าร หรือฟื้นฟู
สมรรถภาพทางร่างกาย จิตใจ และการตดิ ตามเยย่ี มเยยี น
(๔) ค่าช่วยเหลือเยียวยาการขาดประโยชน์ทามาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการ
งานได้ตามปกติ
(๕) ค่าช่วยเหลือเยียวยาแก่บุคคล ผู้ต้องหา จาเลย หรือผู้ต้องขัง กรณีผู้ต้องสงสัยที่
ถูกควบคุมตัวหรือผู้ถูกคุมขัง ตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ พระราชกาหนดการบริหาร
ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.
๒๕๕๑ หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และผลการดาเนินงานพบว่าเจ้าพนักงาน ปล่อยตัว
โดยไม่มีความผดิ หรือพนกั งานสอบสวนสงั่ ไม่ฟ้อง หรือพนักงานอัยการสงั่ ไม่ฟ้อง หรอื ศาลยกฟ้อง
(๖) คา่ ชว่ ยเหลอื เยยี วยาผูท้ ่ีได้รับความเดอื ดรอ้ นและไม่ได้รบั ความเปน็ ธรรมเน่อื งจากการ
ปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าหน้าท่ีรัฐ ทางด้านกฎหมาย การฟ้องร้อง การดาเนินคดี หรือการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
มดี ังตอ่ ไปน้ี

ก. คา่ ใชจ้ ่ายในการวางเงินประกันการปลอ่ ยตัวชัว่ คราว
ข. คา่ ใช้จ่ายในการจา้ งทนายความว่าความในคดี
ค. ค่าใช้จา่ ยในการชาระคา่ ธรรมเนียมข้นึ ศาล และคา่ ธรรมเนียมอืน่ ๆ
ง. ค่าใช้จ่ายในการดาเนินคดีเก่ียวกับการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานหรือ
การตรวจพสิ ูจน์ทางวทิ ยาศาสตร์ หรือการตรวจพสิ ูจน์ข้อเทจ็ จริงอน่ื ๆ
จ. ค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงความเป็นธรรม ได้แก่ค่าใช้จ่ายท้ังปวงที่เกิดข้ึนเพ่ือการ
ขอความเป็นธรรม อาทิ ค่าพาหนะเดนิ ทาง คา่ ทพ่ี ัก คา่ ตอบแทน และคา่ ใชจ้ ่ายอ่ืนทจี่ าเป็นและเหมาะสม
ฉ. ค่าใชจ้ า่ ยเพือ่ คุ้มครองชว่ ยเหลอื ใหไ้ ดร้ บั ความปลอดภัยจากการก่ออาชญากรรม
หรือการป้องกันการถูกปองร้ายเพราะได้ร้องขอความเป็นธรรม หรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าท่ี หรือ
เพราะได้แจ้งข้อมูลข่าวสาร หรือชว่ ยเหลอื ปกป้องสิทธมิ นุษยชนใหแ้ ก่ผูเ้ สยี หาย หรอื ผู้ไดร้ ับผลกระทบ
(๗) ค่าใช้จ่ายอ่ืน ๆ อันเนื่องมาจากความเสียหายที่เกิดจากการกระทาผิดทางอาญาการ
กระทาโดยมิชอบทางการปกครองหรือการละเมิดท่ีมีผลกระทบอื่นต่อการประกอบอาชีพด้านการศึกษาหรือ
การดารงชีวิตอ่ืน รวมถึง ผลกระทบต่อความเช่ือมั่นต่อรัฐ ซ่ึงจาเป็นต้องให้การเยียวยาเป็นการเฉพาะหรือ
ต้องเยียวยาทางจิตใจหรือจิตวิญญาณ อาทิ ค่าใช้จ่ายให้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบียหรือ
ประกอบศาสนกิจตามหลักศาสนา
(๘) คา่ ชว่ ยเหลือเยยี วยาความเสียหายด้านทรพั ยส์ ิน

๔๖

(๙) ค่าช่วยเหลือเยยี วยาอนื่ ๆ ตามที่ กพต. กาหนด
อัตราคา่ ชว่ ยเหลือเยียวยาตาม (๑) - (๘) ใหเ้ ปน็ ไปตามรายการทา้ ยของ กพต.
ข้อ ๘ ให้เลขาธิการมีอานาจแต่งตั้งคณะกรรมการ หรืออนุกรรมการ เพ่ือพิจารณาให้ความ
ช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายหรือผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทาของเจ้าหน้ าที่ของรัฐอันสืบ
เนอื่ งมาจากเหตุการณค์ วามไมส่ งบในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ตามท่ีเหน็ สมควร
ทง้ั นี้ คณะกรรมการ หรอื อนุกรรมการ อยา่ งน้อยตอ้ งประกอบด้วย ขา้ ราชการฝา่ ยพลเรอื น
ขา้ ราชการตารวจ ขา้ ราชการทหาร ผู้ทรงคุณวุฒดิ ้านการแพทย์ ด้านศาสนาหรอื สังคมสงเคราะห์
หรือสิทธิมนษุ ยชน และดา้ นประชาสงั คมทมี่ ปี ระสบการณ์เปน็ ทป่ี ระจักษ์ ดา้ นละหน่ึงคน
ค่าตอบแทนของคณะกรรมการ หรืออนุกรรมการให้เป็นไปตามระเบียบท่ี กพต. กาหนด
โดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลงั
ข้อ ๙ ในกรณีที่ผู้ได้รับความเสียหายหรือผู้ได้รับผลกระทบ ไม่เห็นด้วยกับคาวินิจฉัยของ
คณะกรรมการ หรืออนุกรรมการ ให้มีสิทธิย่ืนอุทธรณ์ต่อเลขาธิการภายในเก้าสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับแจ้ง
คาวนิ จิ ฉัย และคาวินจิ ฉยั ของเลขาธกิ ารใหเ้ ป็นทส่ี ุด
ขอ้ ๑๒ ใหเ้ ลขาธกิ าร ศอ.บต. เปน็ ผูร้ กั ษาการตามระเบียบนี้

สรุปผู้ไดร้ บั ผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจงั หวัดชายแดนภาคใตต้ ้องเป็นบุคคลดงั นี้๔๗
๑. คนไทยทม่ี ีช่ืออยูใ่ นทะเบยี นบา้ น
๒. บคุ คลต่างดา้ วท่ีเข้าเมอื งอย่างถูกตอ้ งตามกฎหมายและมหี ลักฐาน
๓. มาประสบเหตุการณ์ซึ่งเกิดจากการกระทาของผู้ก่อความไม่สงบในพื้นท่ี 3 จังหวัดชายแดน
ภาคใต้ (จังหวดั ปตั ตานี จงั หวดั ยะลา จังหวัดนราธวิ าส และจังหวดั สงขลา ๔ อาเภอ (อาเภอสะบาย้อย อาเภอ
จะนะ อาเภอเทพา และอาเภอนาทว)ี
๔. เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นทาให้เสียชีวิต บาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย (เฉพาะทรัพย์สินที่ไม่ได้
ทาประกันภัย)
๕. มกี ารรบั รองเหตุการณค์ วามไม่สงบจาก ๓ ฝา่ ยระดบั อาเภอ (ตารวจ ทหารและปกครอง)

การปรับปรุงหลักเกณฑ์และแนวทางการรับรองว่าผู้ขอรับการช่วยเหลือเป็นผู้ได้รับผลกระทบจาก
สถานการณ์ความไม่สงบฯ จากคณะกรรมการ ๓ ฝ่าย (ทหาร ตารวจ พนักงานฝ่ายปกครอง) เน่ืองจากการ
รับรองของคณะกรรมการ ๓ ฝ่าย ประกอบผลการสอบสวนคดีของพนักงานสอบสวน ทาให้การพิจารณาให้
ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบเกิดความล่าช้าและเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ จึงเห็นควรกาหนดแนวทางการ
พิจารณาว่า บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบหรือไม่ จากการรับรองตาม
ความเห็นของคณะกรรมการ ๓ ฝา่ ยใหม่ ดังนี้

๑. กรณีคณะกรรมการ ๓ ฝ่ายรับรองว่า ผู้ขอรับการช่วยเหลือเป็นผู้ได้รับผลกระทบจาก
สถานการณ์ความไม่สงบฯ ให้จังหวัดจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบให้ครบถ้วน (ร้อยละ ๑๐๐) จากเงิน
ทดรองราชการของจงั หวัด (๕๐ ลา้ นบาท)

๒. กรณคี ณะกรรมการ ๓ ฝา่ ย มีความเหน็ เสียงสว่ นใหญ่ (๒ ใน ๓) รบั รองว่าผู้ขอรับการช่วยเหลือ
“เป็นผไู้ ด้รบั ผลกระทบ” จากสถานการณค์ วามไมส่ งบฯ

๒.๑ ให้จังหวัดจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบไปก่อนร้อยละ ๒๕ จากเงินทดรองราชการ
ของจังหวัด (๕๐ ลา้ นบาท)


Click to View FlipBook Version