The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมแผนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pasanamo.angkana, 2022-09-01 10:42:05

รวมแผนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี64

รวมแผนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี64

2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพ่ือเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้
เรือ่ ง ความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า

ขน้ั จดั กิจกรรมการเรยี นรู้
จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซง่ึ มขี นั้ ตอนดังนี้
1) ขั้นสรา้ งความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามคาถามนักเรยี นเพอื่ กระต้นุ ความสนใจ เชน่
– ถ้าต้องการวัดความต่างศักย์ระหว่างจุด 2 จุดใดๆ ในวงจรไฟฟ้า นักเรียนควรทาอย่างไร
(แนวคาตอบ นาโวลต์มิเตอรม์ าตอ่ ครอ่ มระหว่างจดุ 2 จุดน้ัน)
(2) นกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายหาคาตอบเก่ยี วกับคาถามตามความคิดเหน็ ของแต่ละคน
2) ขนั้ สารวจและคน้ หา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเร่ืองความต่างศักย์ จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้
นักเรยี นเข้าใจว่า ความต่างศักย์เป็นค่าความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุดในวงจรไฟฟ้า หรือความ
แตกต่างของพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยประจุไฟฟ้าท่ีเคล่ือนที่ผ่านจุด 2 จุดน้ัน มีหน่วยเป็นจูล/คูลอมบ์หรือโวลต์
การวัดความต่างศักย์ระหว่างจุด 2 จุดในวงจรไฟฟ้า นิยมใช้เครื่องมือวัดที่เรียกว่า โวลต์มิเตอร์ (voltmeter)
โดยมีหน่วยวัด คือ โวลต์ การวัดค่าความต่างศักย์ระหว่างจุด 2 จุดใดๆ ในวงจรไฟฟ้าสามารถทาได้โดยการนา
โวลต์มเิ ตอรม์ าตอ่ ครอ่ มระหวา่ งจดุ 2 จุดนัน้ หรอื ท่ีเรียกวา่ การต่อแบบขนาน
(2) ครแู บ่งนกั เรยี นกลุ่มละ 5–6 คน สบื คน้ ข้อมลู เกยี่ วกับความต่างศกั ย์ ตามขัน้ ตอนดังน้ี
– แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามท่ีสมาชิก
กลุม่ ชว่ ยกนั กาหนดหวั ขอ้ ย่อย เช่น ความหมายของความต่างศักย์ หน่วยของความต่างศักย์ และเครื่องมือที่ใช้
วัดความตา่ งศกั ย์
– สมาชิกกลุ่มแต่ละคนหรือกลุ่มย่อยช่วยกันสืบค้นข้อมูลตามหัวข้อย่อยท่ีตนเองรับผิดชอบ โดยการ
สืบคน้ จากหนงั สอื วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชน หรืออนิ เทอร์เนต็
– สมาชิกกลุ่มนาข้อมูลที่สืบค้นได้มารายงานให้เพ่ือน ๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมทั้งร่วมกันอภิปราย
ซกั ถามจนคาดว่าสมาชกิ ทกุ คนมีความรูค้ วามเขา้ ใจที่ตรงกนั
– สมาชกิ กลมุ่ ช่วยกันสรุปความรูท้ ่ไี ด้ทง้ั หมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทารายงานการศึกษา
ค้นควา้ เก่ียวกบั ความตา่ งศักย์
(3) ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลท่ีไดจ้ ากการปฏิบัติกิจกรรม
(4) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ ห้องเรียนและเปิด
โอกาสใหน้ ักเรยี นทกุ คนซักถามเม่ือมีปัญหา
3) ขนั้ อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการปฏบิ ัติกจิ กรรมหน้าหอ้ งเรียน
(2) ครแู ละนักเรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏบิ ัติกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เชน่
– ความต่างศักย์คืออะไร (แนวคาตอบ ความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุดในวงจรไฟฟ้า
หรือความแตกต่างของพลงั งานไฟฟ้าต่อหน่วยประจุไฟฟา้ ทเ่ี คล่ือนทผ่ี า่ นจุด 2 จุดนน้ั )
– การวดั ความตา่ งศกั ย์ในวงจรไฟฟา้ ทาไดโ้ ดยวธิ ใี ด (แนวคาตอบ ทาได้โดยนาโวลต์มิเตอร์มาต่อคร่อม
ระหว่างจุด 2 จุดในวงจรไฟฟ้าทีต่ ้องการทราบคา่ ความตา่ งศักย)์
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ความต่าง
ศักย์เป็นค่าความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุดในวงจรไฟฟ้า หรือความแตกต่างของพลังงานไฟฟ้า
ต่อหนว่ ยประจไุ ฟฟา้ ทีเ่ คลอ่ื นทผี่ ่านจุด 2 จดุ นน้ั โดยการวัดความต่างศักย์ทาได้โดยนาโวลต์มิเตอร์มาต่อคร่อม
ระหว่างจดุ 2 จุดในวงจรไฟฟ้าที่ต้องการทราบค่าความตา่ งศักย์

4) ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration)
นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับความต่างศักย์ จากหนังสือเรียนหรืออินเทอร์เน็ต
และนาเสนอใหเ้ พือ่ นในห้องฟัง
5) ขนั้ ประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นกั เรียนแต่ละคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ขอ้ ทเี่ รียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างที่ยังไม่
เข้าใจหรอื ยงั มขี อ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพม่ิ เตมิ ใหน้ ักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรู้ทไี่ ดไ้ ปใช้ประโยชน์
(4) ครทู ดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคาถาม เช่น
– เคร่อื งมือท่ใี ชว้ ดั ความตา่ งศักย์คืออะไร (แนวคาตอบ โวลต์มิเตอร์)
– หนว่ ยของความต่างศกั ยค์ อื อะไร (แนวคาตอบ จลู /คูลอมบห์ รอื โวลต์)

ขัน้ สรปุ
ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปความร้ทู ่ีไดเ้ กี่ยวกบั เก่ียวกบั ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ ลงในสมุด

สื่อ และแหล่งการเรียนรู้
1. หนังสอื วารสาร สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออนิ เทอร์เน็ต
๒. คมู่ อื การสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 เลม่ 2
3. ส่อื การเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม

2

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 16

รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ (พ้ืนฐาน) รหัสวิชา ว23102 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 7 ไฟฟา้ เเละอเิ ล็กทรอนกิ ส์ เรอ่ื งความต่างศักยไ์ ฟฟ้า (2) เวลา 2 ชัว่ โมง/คาบ

วันท่ี …………………….……………………………….. ครผู สู้ อน นางสาวองั คณา ปาสานะโม

สาระสาคญั
ความต่างศักย์เป็นค่าความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุดในวงจรไฟฟ้า หรือความแตกต่าง

ของพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยประจุไฟฟ้าท่ีเคล่ือนที่ผ่านจุด 2 จุดน้ัน การวัดความต่างศักย์ระหว่างจุด 2 จุดใน
วงจรไฟฟา้ ทาไดโ้ ดยนาโวลต์มิเตอร์มาต่อครอ่ มระหว่างจุด 2 จุดในวงจรไฟฟา้ ท่ตี อ้ งการทราบคา่ ความตา่ งศักย์

มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง

สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง แสง และ
คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมทง้ั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตวั ช้ีวัด
ว 2.3 ม. 3/1 วิเคราะห์ความสมั พนั ธร์ ะหว่างความตา่ งศกั ย์ กระแสไฟฟา้ และความต้านทาน และ

คานวณปรมิ าณท่เี ก่ียวข้องโดยใชส้ มการ V = IR จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์
ว 2.3 ม. 3/3 ใชโ้ วลตม์ เิ ตอร์ แอมมิเตอร์ในการวดั ปรมิ าณทางไฟฟ้า

คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์  ซือ่ สตั ย์สจุ รติ  มวี ินัย  ใฝเ่ รียนรู้

 อยู่อยา่ งพอเพยี ง  มงุ่ มัน่ ในการทางาน  รกั ความเปน็ ไทย  มจี ิตสาธารณะ

............................................................................................................................. .............................................

ด้านสมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น

 ความสามารถในการส่อื สาร :………………………………………………………..

 ความสามารถในการคดิ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการแกป้ ัญหา :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี :………………………………………………………..

ด้านการอา่ น คิด วิเคราะห์ และเขียน

 การอ่าน :…………………………………………………………………………..

 การคดิ วเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..

 การเขยี น :…………………………………………………………………………..

จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. นกั เรียนสามารถสังเกตและใชโ้ วลตม์ ิเตอรใ์ นการวัดความตา่ งศักย์ได้ (K)
2. นกั เรยี นสามารถแสดงทักษะการเก็บรวบรวมข้อมลู ได้ (P)
3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมน่ั ในการทางานได้ (A)

การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ผูป้ ระเมนิ  ครผู สู้ อน  นกั เรยี น  เพ่ือน  ผ้ปู กครอง

ชิ้นงาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลักฐานการเรียนรู้

สิง่ ท่ตี ้องการวัด/ประเมิน วิธกี ารวัด เครื่องมือการวัด เกณฑ์การใหค้ ะแนน

ระดับคณุ ภาพ

(Rubric Score)

1. นักเรียนสามารถสังเกตและใช้โวลต์มิเตอร์ - ตรวจใบงาน ช้ินงาน -ใบงาน ช้ินงานหรือ - นักเรียนผา่ นเกณฑ์

ในการวดั ความตา่ งศักยไ์ ด้ (K) หรอื ภาระงาน ภ า ร ะ ง า น ข อ ง รอ้ ยละ 70 ข้ึนไป

กจิ กรรม

2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ - แบบประเมินทกั ษะ - ระดบั คุณภาพ ดี

รวบรวมข้อมลู ได้ (P) สงั เกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ขึ้นไป

สังเกตพฤติกรรมการ

ทางานกล่มุ

3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดับคณุ ภาพ ดี

ทางานได้ (A) สังเกตพฤติกรรม พฤติกรรม ข้นึ ไป

สาระการเรยี นรู้

ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้

กิจกรรมการเรียนรู้ (กิจกรรม Active Learning)

ขนั้ นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครใู หน้ ักเรียนทบทวนความรูเ้ ดิมท่ไี ดเ้ รียนรู้มาแล้ว โดยใชค้ าถามต่อไปนี้

– ปริมาณท่แี สดงถึงคา่ ความแตกตา่ งของศักยไ์ ฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุดในวงจรไฟฟ้าคืออะไร (แนว
คาตอบ ความตา่ งศกั ย)์

– ถา้ ตอ้ งการทราบปรมิ าณดงั กลา่ วตอ้ งใชเ้ ครือ่ งมือใดในการวดั (แนวคาตอบ โวลตม์ เิ ตอร์)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้
เร่ือง ความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้า

ข้ันจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซ่งึ มขี น้ั ตอนดังน้ี
1) ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
(1) ครูใหน้ กั เรียนดูรูปโวลตม์ ิเตอร์ แลว้ ถามคาถามนกั เรียนดงั น้ี

– อุปกรณท์ ่ีเห็นในรูปเรียกว่าอะไร (แนวคาตอบ โวลต์มิเตอร)์
– อปุ กรณด์ งั กลา่ วใชท้ าอะไร (แนวคาตอบ ใช้วดั ความตา่ งศกั ย์ระหว่างจดุ 2 จดุ ในวงจรไฟฟา้ )
– การนาอุปกรณ์ดงั กลา่ วไปใช้งานต้องทาอย่างไร (แนวคาตอบ นามาต่อคร่อมระหว่างจุด 2 จุด
ในวงจรไฟฟา้ ท่ีตอ้ งการทราบคา่ ความตา่ งศักย์)
(2) นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายหาคาตอบเก่ยี วกับคาถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน
2) ขน้ั สารวจและคน้ หา (Exploration)
(1) ครใู ห้นกั เรียนศึกษาเร่ืองการใช้โวลต์มิเตอร์ จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบาย
ให้นักเรยี นเขา้ ใจวา่ การใช้โวลต์มิเตอร์มี 2 แบบ คอื ใชก้ ับไฟฟ้ากระแสตรง โดยเม่อื ตอ้ งการใชว้ ดั
ความตา่ งศักยต์ อ้ งคานึงถงึ ขว้ั บวกและขั้วลบของเครอ่ื งมือวดั เสมอ เน่ืองจากอาจทาให้โวลต์มิเตอร์เกิด
ความเสียหายได้ สว่ นโวลตม์ ิเตอรอ์ กี แบบหนึ่ง คอื ใช้กบั ไฟฟา้ กระแสสลับ โดยเม่ือต้องการใช้วัดความต่างศักย์
ไม่จาเป็นต้องคานึงถึงขั้วบวกหรือขั้วลบเหมือนโวลต์มิเตอร์กระแสตรง เน่ืองจากไฟฟ้ากระแสสลับมีการ
เปล่ียนแปลงข้ัวบวกและขั้วลบอยตู่ ลอดเวลา
(2) ครแู บง่ นกั เรยี นกล่มุ ละ 5 – 6 คน ปฏิบัตกิ ิจกรรม สงั เกตการวัดความตา่ งศกั ย์ ตามข้นั ตอน ดังน้ี
– ต่อหลอดไฟฟ้า ถ่านไฟฉาย (ใช้ถ่านไฟฉาย 1 ก้อน) โวลต์มิเตอร์ และสวิตช์เป็นวงจรไฟฟ้า
ดงั รูป

+–

1.5 V

– สับสวิตช์ลงให้วงจรปิด สังเกตความสว่างของหลอดไฟฟ้า พร้อมทั้งบันทึกค่าความต่างศักย์ที่
วดั ไดจ้ ากโวลต์มิเตอร์ แลว้ ยกสวติ ชข์ นึ้ ใหว้ งจรเปิด

– ดาเนินการเชน่ เดียวกบั ขนั้ ตอนท่ี 1 และ 2 แตเ่ พิม่ ถา่ นไฟฉายในวงจรครั้งละ 1 ก้อนจนครบ4
ก้อน สังเกตความสวา่ งของหลอดไฟฟ้า พร้อมทั้งบันทึกคา่ ความตา่ งศักย์ทว่ี ดั ไดจ้ ากโวลตม์ ิเตอร์

(3) ครแู ละนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการปฏิบตั กิ ิจกรรม
(4) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ ห้องเรียนและเปิด
โอกาสให้นกั เรียนทกุ คนซักถามเมื่อมีปัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation)
(1) นักเรียนแต่ละกลุม่ นาเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนา้ หอ้ งเรียน
(2) ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น

– เม่ือเพ่ิมจานวนถ่านไฟฉายมากขึ้น ค่าความต่างศักย์ท่ีอ่านได้จากโวลต์มิเตอ ร์มีการ
เปลยี่ นแปลงหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ มีการเปล่ียนแปลง โดยเม่ือเพ่ิมจานวนถ่านไฟฉายมากขึ้น ค่าความ
ต่างศักย์ทอ่ี ่านได้จากโวลตม์ เิ ตอรม์ ีคา่ มากขนึ้ )

– เม่ือเพ่ิมจานวนถ่านไฟฉายมากข้ึน ความสว่างของหลอดไฟฟ้ามีลักษณะเปล่ียนแปลงไป
อยา่ งไร (แนวคาตอบ เมอ่ื เพ่มิ จานวนถา่ นไฟฉายมากขนึ้ ความสวา่ งของหลอดไฟฟ้าจะเพิม่ ขึ้น)

– ค่าความต่างศักย์ท่อี า่ นได้จากโวลต์มิเตอร์มีความสัมพันธ์กับความสว่างของหลอดไฟฟ้าหรือไม่
อยา่ งไร (แนวคาตอบ มีความสัมพันธ์กัน โดยความสว่างของหลอดไฟฟ้าแปรผันตรงกับค่าความต่างศักย์ที่อ่าน
ไดจ้ ากโวลต์มิเตอร์ ซึ่งความสว่างของหลอดไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเม่ือค่าความต่างศักย์ท่ีอ่านได้จากโวลต์มิเตอร์มีค่า
มากข้นึ )

(3) ครแู ละนักเรียนรว่ มกันสรุปผลจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม โดยครเู นน้ ใหน้ กั เรียนเข้าใจว่า เม่ือต่อโวลต์
มเิ ตอร์เขา้ กับปลายท้ังสองของข้ัวหลอดไฟฟ้าแล้วสับสวิตช์ลงให้วงจรปิด พบว่า ค่าความต่างศักย์ที่อ่านได้จาก
โวลต์มเิ ตอร์มคี า่ ไมเ่ ท่ากบั ศนู ย์ และหลอดไฟฟา้ เริม่ สว่าง แสดงว่าหลอดไฟฟ้าได้รับพลังงานไฟฟ้า และเมื่อเพิ่ม
จานวนถ่านไฟฉายมากขนึ้ คา่ ความตา่ งศักย์ทีอ่ า่ นได้จากโวลตม์ เิ ตอร์มีคา่ มากขึ้น และหลอดไฟฟา้ สว่างเพ่ิมข้ึน

4) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration)
ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับหลักการทางานและประเภทของโวลต์มิเตอร์ จากหนังสือ วารสาร
สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต แล้วนาข้อมูลท่ีได้มานาเสนอหน้า
หอ้ งเรยี น
5) ข้ันประเมนิ (Evaluation)

(1) ครูใหน้ ักเรยี นแต่ละคนพจิ ารณาว่า จากหัวข้อท่เี รียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เขา้ ใจหรอื ยังมีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพ่มิ เตมิ ให้นักเรียนเข้าใจ

(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อยา่ งไรบ้าง

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรทู้ ีไ่ ดไ้ ปใชป้ ระโยชน์

(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เชน่
– โวลต์มิเตอร์ต่อกับวงจรไฟฟ้าด้วยวิธีใด (แนวคาตอบ ต่อคร่อมระหว่างจุด 2 จุดในวงจรไฟฟ้า

หรือทเ่ี รียกวา่ การตอ่ แบบขนาน)
– เพราะเหตุใดการใช้โวลต์มิเตอร์กับไฟฟ้ากระแสตรงจึงต้องคานึงถึงข้ัวบวกและข้ัวลบของโวลต์

มิเตอร์ (แนวคาตอบ เพราะไฟฟ้ากระแสตรงมีขั้วบวกและข้ัวลบที่แน่นอน ดังนั้นถ้าต่อโวลต์มิเตอร์สลับข้ัวอาจ
ทาใหโ้ วลต์มิเตอร์เกิดความเสียหายได้)

ขน้ั สรุป
ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั สรปุ เกยี่ วกับความต่างศกั ย์ไฟฟ้า โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท่ีความคิดหรือผังมโน
ทัศน์

สอื่ และแหล่งการเรียนรู้
1. อุปกรณก์ ารทดลอง
2. ใบกิจกรรม สงั เกตการวดั ความต่างศกั ย์ไฟฟา้
3. หนงั สอื วารสาร สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชน หรืออนิ เทอร์เนต็
4. ค่มู ือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 เล่ม 2
5. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3

เล่ม ๒

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 17

รายวิชาวิทยาศาสตร์ (พน้ื ฐาน) รหสั วชิ า ว23102 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 7 ไฟฟ้าเเละอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เรือ่ งกระแสไฟฟา้ (1) เวลา 2 ชัว่ โมง/คาบ

วันท่ี …………………….……………………………….. ครผู ูส้ อน นางสาวองั คณา ปาสานะโม

สาระสาคญั
กระแสไฟฟ้าเป็นการถ่ายโอนของประจุไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าในหนง่ึ หนว่ ยเวลา มีหน่วยเป็นแอมแปร์

มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง

สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และ
คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตัวช้วี ัด
ว 2.3 ม. 3/1 วิเคราะหค์ วามสมั พนั ธร์ ะหว่างความต่างศักย์ กระแสไฟฟ้า และความตา้ นทาน และ

คานวณปริมาณทเ่ี กยี่ วข้องโดยใช้สมการ V = IR จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์
ว 2.3 ม. 3/3 ใชโ้ วลตม์ เิ ตอร์ แอมมิเตอรใ์ นการวดั ปริมาณทางไฟฟ้า

คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551

 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์  ซอ่ื สตั ย์สจุ ริต  มวี นิ ัย  ใฝ่เรยี นรู้

 อยู่อย่างพอเพยี ง  ม่งุ มัน่ ในการทางาน  รกั ความเปน็ ไทย  มีจติ สาธารณะ

............................................................................................................................. .............................................

ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน

 ความสามารถในการสอ่ื สาร :………………………………………………………..

 ความสามารถในการคิด :………………………………………………………..

 ความสามารถในการแกป้ ัญหา :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี :………………………………………………………..

ดา้ นการอ่าน คิด วเิ คราะห์ และเขียน

 การอ่าน :…………………………………………………………………………..

 การคดิ วเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..

 การเขยี น :…………………………………………………………………………..

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. นกั เรียนสามารถอธบิ ายความหมายของกระแสไฟฟา้ ได้ (K)
2. นักเรยี นสามารถบอกวิธใี ช้แอมมิเตอร์ในการวดั กระแสไฟฟ้าได้ (K)
3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ (P)
4. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมนั่ ในการทางานได้ (A)

การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ผปู้ ระเมิน  ครผู ้สู อน  นักเรยี น  เพ่ือน  ผปู้ กครอง

ช้นิ งาน/ภาระงาน /ร่องรอย/หลกั ฐานการเรยี นรู้

สง่ิ ทีต่ ้องการวดั /ประเมิน วธิ ีการวัด เครอื่ งมือการวดั เกณฑ์การใหค้ ะแนน

ระดบั คุณภาพ

(Rubric Score)

1. นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของ - ตรวจใบงาน ช้ินงาน -ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นักเรยี นผ่านเกณฑ์

กระแสไฟฟา้ ได้ (K) หรอื ภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ข้นึ ไป

2. นักเรียนสามารถบอกวิธีใช้แอมมิเตอร์ใน

การวดั กระแสไฟฟา้ ได้ (K)

3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ - แบบประเมนิ ทักษะ - ระดบั คุณภาพ ดี

รวบรวมขอ้ มลู ได้ (P) สงั เกตพฤติกรรม -แบบประเมินการ ข้ึนไป

สังเกตพฤติกรรมการ

ทางานกลมุ่

4. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมั่นในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดับคณุ ภาพ ดี

ทางานได้ (A) สงั เกตพฤติกรรม พฤติกรรม ข้ึนไป

สาระการเรยี นรู้
1. กระแสไฟฟ้า

กจิ กรรมการเรยี นรู้ (กิจกรรม Active Learning)

ขั้นนาเขา้ สบู่ ทเรยี น
1) ครถู ามคาถามนกั เรยี นเพอ่ื กระตนุ้ ความสนใจ เช่น

– การต่อวงจรไฟฟ้ามีหลักการอย่างไร (แนวคาตอบ ต่อแหล่งกาเนิดไฟฟ้าให้เช่ือมกับอุปกรณ์
ไฟฟา้ ด้วยสายไฟฟ้าเพ่ือให้กระแสไฟฟ้าไหลครบวงจร)

– ถา้ วงจรไฟฟา้ เปน็ วงจรปดิ อปุ กรณ์ไฟฟ้าจะทางานได้หรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ ทางาน
ได้ เพราะมีกระแสไฟฟา้ ไหลครบวงจร)

2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับคาตอบ เพ่ือเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้
เร่อื ง กระแสไฟฟ้า

ขน้ั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กจิ กรรมการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึ่งมีขน้ั ตอนดังนี้
1) ขัน้ สร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูให้นักเรียนดรู ปู วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย แลว้ ถามคาถามนกั เรยี นดงั น้ี

– จากรูปมีกระแสไฟฟ้าเกิดข้ึนหรือไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ มี เพราะเป็นวงจรปิด โดยมี
สายไฟฟา้ เช่อื มต่อระหวา่ งถ่านไฟฉายกบั หลอดไฟฟ้า ทาให้หลอดไฟฟา้ สว่าง)

– ถ้าต้องการทราบว่ามกี ระแสไฟฟ้าเกิดขนึ้ ในวงจรไฟฟา้ มากหรือนอ้ ย ควรสังเกตจากอะไร (แนว
คาตอบ สงั เกตจากกระแสไฟฟา้ ทีว่ ดั ได้จากแอมมิเตอร์)

(2) นกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายหาคาตอบเกย่ี วกับคาถามตามความคิดเห็นของแตล่ ะคน
2) ขั้นสารวจและค้นหา (Exploration)

(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องกระแสไฟฟ้า จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้
นักเรียนเข้าใจว่า กระแสไฟฟ้าเป็นการถ่ายโอนของประจุไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าในหน่ึงหน่วยเวลา มีหน่วยเป็น
แอมแปร์ โดยเม่ือต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้าไหลออกจากขั้วบวกของแหล่งกาเนิดไฟฟ้าผ่าน
วงจรไฟฟ้าไปยังข้ัวลบของแหล่งกาเนิดไฟฟ้า การวัดกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า นิยมใช้เครื่องมือวัดที่เรียกว่า
แอมมิเตอร์ (ammeter) โดยมีหน่วยวัด คือ แอมแปร์ การวัดกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าทาได้โดยนา
แอมมเิ ตอร์มาต่อเขา้ กบั วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม

(2) ครแู บ่งนักเรยี นกลมุ่ ละ 5 – 6 คน สบื ค้นข้อมลู เก่ยี วกับกระแสไฟฟ้า ตามขั้นตอนดงั น้ี
– แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพ่ือนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามท่ี

สมาชิกกลุ่มช่วยกันกาหนดหัวข้อย่อย เช่น ความหมายของกระแสไฟฟ้า ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าใน
วงจรไฟฟ้า หนว่ ยของกระแสไฟฟา้ และเครือ่ งมือที่ใช้วัดกระแสไฟฟ้า

– สมาชิกกลุ่มแต่ละคนหรือกลุ่มย่อยช่วยกันสืบค้นข้อมูลตามหัวข้อย่อยท่ีตนเองรับผิดชอบ โดย
การสบื ค้นจากหนงั สือ วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรอื อินเทอร์เนต็

– สมาชิกกลุ่มนาข้อมูลท่ีสืบค้นได้มารายงานให้เพ่ือน ๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมทั้งร่วมกัน
อภปิ รายซักถามจนคาดว่าสมาชกิ ทุกคนมีความรคู้ วามเขา้ ใจทต่ี รงกนั

– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทารายงาน
การศกึ ษาคน้ คว้าเกย่ี วกบั กระแสไฟฟา้

(3) ครูและนักเรยี นรว่ มกันตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมลู ที่ได้จากการปฏิบตั ิกจิ กรรม
(4) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ ห้องเรียนและเปิด
โอกาสให้นกั เรยี นทกุ คนซักถามเมอ่ื มปี ัญหา

3) ข้ันอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
(1) นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการปฏบิ ัติกจิ กรรมหนา้ ห้องเรยี น
(2) ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายผลจากการปฏิบัติกจิ กรรม โดยใช้แนวคาถาม เชน่
– กระแสไฟฟ้าคืออะไร (แนวคาตอบ การถ่ายโอนของประจุไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าในหนึ่งหน่วย

เวลา)
– เม่ือต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจร กระแสไฟฟ้าท่ีเกิดขึ้นจะมีทิศทางการไหลในลักษณะใด (แนว

คาตอบ กระแสไฟฟ้าไหลออกจากข้ัวบวกของแหล่งกาเนิดไฟฟ้าผ่านวงจรไฟฟ้าไปยังข้ัวลบของแหล่งกาเนิด
ไฟฟ้า)

– การวัดกระแสไฟฟ้าทาได้โดยวิธีใด (แนวคาตอบ ทาได้โดยนาแอมมิเตอร์มาต่อเข้ากับ
วงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รม)

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า
กระแสไฟฟ้าเป็นการถ่ายโอนของประจไุ ฟฟ้าในวงจรไฟฟา้ ในหนึง่ หน่วยเวลา โดยการวัดกระแสไฟฟ้าทาได้โดย
นาแอมมิเตอรม์ าตอ่ เข้ากบั วงจรไฟฟา้ แบบอนุกรม

4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
นกั เรยี นคน้ คว้าคาศพั ทภ์ าษาต่างประเทศเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้า จากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรือ
อินเทอรเ์ น็ต และนาเสนอใหเ้ พอื่ นในห้องฟงั คัดคาศัพท์พรอ้ มท้งั คาแปลลงสมุดส่งครู
5) ขน้ั ประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นกั เรียนแตล่ ะคนพจิ ารณาว่า จากหัวขอ้ ทเี่ รียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างที่ยังไม่
เข้าใจหรอื ยงั มขี อ้ สงสยั ถา้ มี ครูชว่ ยอธบิ ายเพิ่มเตมิ ให้นกั เรยี นเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อยา่ งไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรทู้ ่ไี ด้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนักเรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เชน่

– เครอ่ื งมือทใ่ี ชว้ ดั กระแสไฟฟ้าคืออะไร (แนวคาตอบ แอมมิเตอร)์
– หน่วยของกระแสไฟฟา้ คอื อะไร (แนวคาตอบ แอมแปร)์

ขั้นสรปุ
ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันสรุปเกี่ยวกับกระแสไฟฟา้ โดยรว่ มกนั เขยี นเปน็ แผนทคี่ วามคิดหรือผังมโนทศั น์

สือ่ และแหล่งการเรยี นรู้
1. รูปวงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ย
2. ใบกิจกรรม สงั เกตการวัดความตา่ งศกั ย์
3. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน หรอื อินเทอร์เน็ต
4. คู่มอื การสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3 เลม่ 2
5. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3

เล่ม 2

แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 18

รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ (พื้นฐาน) รหสั วิชา ว23102 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564

หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 7 ไฟฟา้ เเละอิเล็กทรอนกิ ส์ เรือ่ งกระแสไฟฟ้า (2) เวลา 2 ช่ัวโมง/คาบ

วันท่ี …………………….……………………………….. ครผู สู้ อน นางสาวองั คณา ปาสานะโม

สาระสาคญั
กระแสไฟฟ้าเป็นการถ่ายโอนของประจุไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าในหน่ึงหน่วยเวลา การวัดกระแสไฟฟ้าใน

วงจรไฟฟ้าทาได้โดยนาแอมมเิ ตอร์มาต่อเขา้ กบั วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม

มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง

สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเสียง แสง และ
คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตวั ช้ีวดั
ว 2.3 ม. 3/1 วเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธ์ระหว่างความต่างศักย์ กระแสไฟฟา้ และความตา้ นทาน และ

คานวณปริมาณท่ีเกยี่ วข้องโดยใช้สมการ V = IR จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์
ว 2.3 ม. 3/3 ใชโ้ วลต์มิเตอร์ แอมมเิ ตอรใ์ นการวดั ปริมาณทางไฟฟ้า

คุณลกั ษณะอนั พึงประสงคต์ ามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551

 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์  ซ่ือสัตย์สจุ ริต  มวี ินัย  ใฝเ่ รียนรู้

 อยู่อย่างพอเพียง  มงุ่ มั่นในการทางาน  รักความเป็นไทย  มจี ิตสาธารณะ

.................................................................................................................................................................. ........

ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น

 ความสามารถในการสือ่ สาร :………………………………………………………..

 ความสามารถในการคิด :………………………………………………………..

 ความสามารถในการแกป้ ัญหา :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี :………………………………………………………..

ด้านการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน

 การอา่ น :…………………………………………………………………………..

 การคดิ วเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..

 การเขยี น :…………………………………………………………………………..

จดุ ประสงค์การเรียนรู้

1. นักเรียนสามารถอธบิ ายการใชแ้ อมมเิ ตอรใ์ นการวัดกระแสไฟฟา้ ได้ (K)
2. นักเรยี นสามารถแสดงทักษะการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้ (P)
3. นกั เรยี นสามารถแสดงความมุ่งม่นั ในการทางานได้ (A)

การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้
ผปู้ ระเมนิ  ครผู ู้สอน  นกั เรยี น  เพ่ือน  ผปู้ กครอง

ช้นิ งาน/ภาระงาน /ร่องรอย/หลกั ฐานการเรยี นรู้

สิง่ ทต่ี ้องการวัด/ประเมิน วธิ กี ารวดั เคร่อื งมือการวดั เกณฑ์การให้คะแนน

ระดบั คุณภาพ

(Rubric Score)

1. นักเรียนสามารถอธิบายการใช้แอมมิเตอร์ - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน -ใบงาน ช้ินงานหรือ - นักเรยี นผา่ นเกณฑ์

ในการวดั กระแสไฟฟา้ ได้ (K) หรือภาระงาน ภ า ร ะ ง า น ข อ ง รอ้ ยละ 70 ขนึ้ ไป

กจิ กรรม

2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ - แบบประเมนิ ทกั ษะ - ระดับคณุ ภาพ ดี

รวบรวมขอ้ มูลได้ (P) สังเกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ขึ้นไป

สังเกตพฤติกรรมการ

ทางานกลุ่ม

3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการ - ประเมินจากการ -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดบั คุณภาพ ดี

ทางานได้ (A) สังเกตพฤติกรรม พฤตกิ รรม ขึ้นไป

สาระการเรยี นรู้
1. กระแสไฟฟ้า

กจิ กรรมการเรียนรู้ (กจิ กรรม Active Learning)

ขนั้ นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครใู ห้นกั เรยี นทบทวนความรูเ้ ดิมทีไ่ ด้เรยี นร้มู าแล้ว โดยใช้คาถามตอ่ ไปน้ี

– ปริมาณท่ีแสดงถึงการถ่ายโอนของประจุไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าในหนึ่งหน่วยเวลาคืออะไร
(แนวคาตอบ กระแสไฟฟา้ )

– ถ้าต้องการทราบปริมาณดงั กล่าวตอ้ งใช้เคร่ืองมือใดในการวัด (แนวคาตอบ แอมมเิ ตอร์)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้
เร่ือง กระแสไฟฟ้า

ข้นั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซ่ึงมขี น้ั ตอนดงั นี้
1) ข้นั สร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครใู ห้นกั เรยี นดูรูปแอมมเิ ตอร์ แลว้ ถามคาถามนักเรียนดังน้ี

– อปุ กรณ์ทเี่ ห็นในรปู เรียกว่าอะไร (แนวคาตอบ แอมมิเตอร์)
– อุปกรณด์ งั กล่าวใชท้ าอะไร (แนวคาตอบ ใชว้ ดั กระแสไฟฟา้ ทไี่ หลผ่านในวงจรไฟฟ้า)
– การนาอุปกรณ์ดังกล่าวไปใช้งานต้องทาอย่างไร (แนวคาตอบ นามาต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้าแบบ
อนกุ รม)
(2) นกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายหาคาตอบเก่ียวกบั คาถามตามความคดิ เห็นของแต่ละคน
2) ขั้นสารวจและคน้ หา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรยี นศึกษาเร่อื งหนว่ ยของปรมิ าณกระแสไฟฟ้า จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครู
ชว่ ยอธบิ ายให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อกาหนดให้ปริมาณประจุไฟฟ้า 1 คูลอมบ์ เคล่ือนท่ีในตัวนาผ่านจุดจุดหนึ่ง
ภายในเวลา 1 วินาทีเปน็ ปริมาณกระแสไฟฟ้า 1 หน่วยที่เรียกว่า แอมแปร์ จะได้ว่า 1 แอมแปร์ = 1 คูลอมบ์
ต่อวนิ าที
(2) ครูอธิบายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการใช้แอมมิเตอร์ให้นักเรียนเข้าใจว่า การใช้แอมมิเตอร์มี 2 แบบ
เชน่ เดยี วกบั การใชโ้ วลตม์ เิ ตอร์ คอื ใช้วดั ไฟฟา้ กระแสตรงและใช้วัดไฟฟ้ากระแสสลับ
(3) ครูแบ่งนักเรียนกลุม่ ละ 5 – 6 คน ปฏิบัตกิ จิ กรรม สงั เกตการวดั กระแสไฟฟา้ ตามขนั้ ตอน ดงั นี้
– ต่อหลอดไฟฟ้า ถ่านไฟฉาย (ใช้ถ่านไฟฉาย 1 ก้อน) แอมมิเตอร์ และสวิตช์เป็นวงจรไฟฟ้า
ดงั รูป

1.5 V

– สับสวติ ชล์ งให้วงจรปิด สังเกตความสว่างของหลอดไฟฟ้า พร้อมทั้งบันทึกค่ากระแสไฟฟ้าท่ีวัด
ได้จากแอมมิเตอร์ แลว้ ยกสวติ ชข์ ึ้นให้วงจรเปดิ

– ดาเนนิ การเช่นเดียวกับข้ันตอนท่ี 1 และ 2 โดยการเพ่ิมถ่านไฟฉายในวงจรครั้งละ 1 ก้อนจน
ครบ 4 ก้อน จากน้นั สับสวิตชล์ งใหว้ งจรปดิ สังเกตความสว่างของหลอดไฟฟ้า พร้อมทั้งบันทึกค่ากระแสไฟฟ้า
ท่วี ัดไดจ้ ากแอมมิเตอร์ แล้วยกสวติ ช์ขึ้นใหว้ งจรเปดิ

– อภิปรายและสรุปว่าการต่อหลอดไฟฟ้าเขา้ กับถา่ นไฟฉายจานวนกี่ก้อน ทาให้หลอดไฟฟ้าสว่าง
มากท่สี ุด

(4) ครูและนักเรียนรว่ มกนั ตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมูลท่ีได้จากการปฏิบตั ิกิจกรรม
(5) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิด
โอกาสใหน้ กั เรยี นทุกคนซักถามเมอื่ มีปัญหา
3) ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหนา้ ห้องเรียน
(2) ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายผลจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม โดยใช้แนวคาถาม เชน่

– เมื่อต้องการวัดปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านในวงจรไฟฟ้าต้องต่อแอมมิเตอร์เข้ากับ
วงจรไฟฟา้ แบบใด (แนวคาตอบ แบบอนุกรม)

– ถ้านักเรียนสลับขั้วสายไฟฟ้าท่ีต่อกับแอมมิเตอร์ ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร (แนวคาตอบ
หลอดไฟฟา้ ไม่ติดและเข็มชข้ี องแอมมิเตอร์ไม่กระดกิ )

– จานวนถ่านไฟฉายมีผลต่อความสว่างของหลอดไฟฟ้าหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ มีผล โดย
ถา้ เพ่มิ จานวนถา่ นไฟฉายจะเปน็ การเพม่ิ ความต่างศกั ย์ให้กับวงจรไฟฟ้า ทาให้มีปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่าน
ในวงจรไฟฟ้าเพมิ่ มากขึน้ )

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อต่อ
แอมมิเตอร์เข้ากับวงจรไฟฟ้า แล้วสับสวิตช์ลงให้วงจรปิด พบว่า หลอดไฟฟ้าเร่ิมสว่างและค่ากระแสไฟฟ้าท่ี
อา่ นได้จากแอมมิเตอร์ไม่เท่ากับศูนย์ และเม่ือเพ่ิมจานวนถ่านไฟฉายมากขึ้น หลอดไฟฟ้าจะสว่างมากข้ึน และ
คา่ กระแสไฟฟา้ ทอี่ า่ นได้จากแอมมเิ ตอร์มีคา่ เพ่ิมข้ึ

4) ข้ันขยายความรู้ (Elaboration)
ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับหลักการทางานและประเภทของแอมมิเตอร์ จากหนังสือ วารสาร
สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต แล้วนาข้อมูลท่ีได้มานาเสนอหน้า
หอ้ งเรยี น
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะคนพจิ ารณาวา่ จากหัวข้อทเ่ี รียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เข้าใจหรอื ยงั มขี ้อสงสยั ถา้ มี ครูชว่ ยอธบิ ายเพม่ิ เติมใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อย่างไรบา้ ง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความร้ทู ีไ่ ด้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครทู ดสอบความเขา้ ใจของนักเรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น

– แอมมเิ ตอรต์ ่อกบั วงจรไฟฟา้ โดยวิธีใด (แนวคาตอบ โดยวิธตี อ่ แบบอนุกรมกบั วงจรไฟฟ้า)
– กระแสไฟฟ้ามีความสัมพันธ์กับความสว่างของหลอดไฟฟ้าหรือไม่ ลักษณะใด (แนวคาตอบ มี
ความสัมพนั ธ์กัน โดยความสว่างของหลอดไฟฟ้าแปรผันตรงกับกระแสไฟฟ้า ซึ่งความสว่างของหลอดไฟฟ้าจะ
เพิม่ ขน้ึ เมือ่ กระแสไฟฟ้าทีอ่ า่ นได้จากแอมมเิ ตอร์มีค่ามากขึน้ )

ขัน้ สรุป
1. ครแู ละนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับกระแสไฟฟ้า โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท่ีความคิดหรือผังมโน

ทัศน์
2. ครูใหน้ กั เรยี นแต่ละคนทาแบบฝกึ หดั เรือ่ งปรมิ าณท่ีเกี่ยวข้องกบั ไฟฟ้าเป็นการบา้ น

สือ่ และแหล่งการเรยี นรู้
1. รูปแอมมิเตอร์
2. ใบกจิ กรรม สงั เกตการวัดกระแสไฟฟ้า
3. แบบฝึกหัดเรื่องปริมาณทเี่ กย่ี วข้องกบั ไฟฟา้
4. หนงั สอื วารสาร สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออินเทอร์เนต็
5. คู่มือการสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 เลม่ 1
6. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3

เล่ม 1

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 19

รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ (พื้นฐาน) รหสั วิชา ว23102 กลุม่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 7 ไฟฟ้าเเละอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เร่อื งความสัมพันธ์ระหว่างV I และ R เวลา2ชว่ั โมง/คาบ

วันที่ …………………….……………………………….. ครผู ้สู อน นางสาวอังคณา ปาสานะโม

สาระสาคัญ
ความสัมพันธ์ระหว่างความตา่ งศกั ย์ กระแสไฟฟา้ และความต้านทาน เป็นไปตามกฎของโอห์มที่กล่าว

ว่า “เม่ืออุณหภูมิคงตัว กระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านตัวนาไฟฟ้าชนิดหนึ่งจะมีค่าแปรผันตรงกับความต่างศักย์
ระหว่างปลายทงั้ สองของตัวนานั้น”

มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง

สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเสียง แสง และ
คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมท้ังนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์

ตัวช้ีวดั

ว 2.3 ม. 3/1 วิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ระหว่างความตา่ งศกั ย์ กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน และ

คานวณปรมิ าณที่เกย่ี วข้องโดยใชส้ มการ V = IR จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์

ว 2.3 ม. 3/2 เขียนกราฟความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความตา่ งกระแสไฟฟา้ และศกั ย์ไฟฟา้

ว 2.3 ม. 3/3 ใชโ้ วลตม์ เิ ตอร์ แอมมิเตอร์ในการวดั ปริมาณทางไฟฟ้า

คุณลักษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

 รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์  ซือ่ สตั ย์สุจริต  มีวนิ ยั  ใฝ่เรยี นรู้

 อย่อู ย่างพอเพียง  ม่งุ ม่ันในการทางาน  รักความเปน็ ไทย  มจี ิตสาธารณะ

............................................................................................................................. .............................................

ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน

 ความสามารถในการสือ่ สาร :………………………………………………………..

 ความสามารถในการคิด :………………………………………………………..

 ความสามารถในการแกป้ ัญหา :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี :………………………………………………………..

ดา้ นการอ่าน คิด วเิ คราะห์ และเขียน

 การอา่ น :…………………………………………………………………………..

 การคิดวเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..

 การเขยี น :…………………………………………………………………………..

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. นักเรียนสามารถอธบิ ายการใชแ้ อมมิเตอรใ์ นการวัดกระแสไฟฟ้าได้ (K)
2. นกั เรียนสามารถคานวณการหาค่าความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟา้ ความต่างศักยไ์ ฟฟ้า และ

ความตา้ นทานไฟฟา้ ได้ (K)
3. นกั เรยี นสามารถแสดงทักษะการเกบ็ รวบรวมข้อมูลได้ (P)
4. นกั เรียนสามารถแสดงความมุ่งมัน่ ในการทางานได้ (A)

การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ผปู้ ระเมนิ  ครูผสู้ อน  นกั เรียน  เพื่อน  ผู้ปกครอง

ช้นิ งาน/ภาระงาน /ร่องรอย/หลกั ฐานการเรียนรู้

ส่งิ ท่ตี ้องการวดั /ประเมิน วิธีการวัด เครือ่ งมือการวัด เกณฑ์การใหค้ ะแนน

ระดับคุณภาพ

(Rubric Score)

1. นักเรียนสามารถอธิบายการใช้แอมมิเตอร์ - ตรวจใบงาน ช้ินงาน -ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นักเรยี นผา่ นเกณฑ์

ในการวัดกระแสไฟฟ้าได้ (K) หรอื ภาระงาน ภ า ร ะ ง า น ข อ ง รอ้ ยละ 70 ข้ึนไป

2. นักเรียนสามารถคานวณการหาค่า กจิ กรรม

ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้า ความต่าง

ศักย์ไฟฟ้า และความตา้ นทานไฟฟ้าได้ (K)

3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ - แบบประเมนิ ทกั ษะ - ระดบั คุณภาพ ดี

รวบรวมขอ้ มลู ได้ (P) สังเกตพฤติกรรม -แบบประเมินการ ขึ้นไป

สังเกตพฤติกรรมการ

ทางานกลุม่

4. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมั่นในการ - ประเมินจากการ -แบบสังเกต - ระดับคณุ ภาพ ดี
ขึน้ ไป
ทางานได้ (A) สงั เกตพฤตกิ รรม พฤติกรรม

สาระการเรียนรู้
1. ความสัมพนั ธร์ ะหว่างความตา่ งศักย์และกระแสไฟฟ้า

กจิ กรรมการเรยี นรู้ (กจิ กรรม Active Learning)
1) ครใู ห้นกั เรียนทบทวนความร้เู ดมิ ท่ไี ดเ้ รียนรมู้ าแลว้ โดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้

– ถ้าศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุดในวงจรไฟฟ้ามีค่าเท่ากันจะมีกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นหรือไม่ (แนว
คาตอบ ไมม่ ี)

– ศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุด 2 จุดในวงจรไฟฟ้ามีความสัมพันธ์กับกระแสไฟฟ้าในลักษณะใด (แนว
คาตอบ ศักยไ์ ฟฟา้ ระหวา่ งจดุ 2 จุดในวงจรไฟฟ้ามีค่าแปรผนั ตรงกบั กระแสไฟฟ้า)

2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้
เรือ่ ง ความสัมพนั ธ์ระหว่างความต่างศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟา้

ขนั้ จดั กิจกรรมการเรียนรู้
จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซงึ่ มีขน้ั ตอนดังน้ี

1) ขั้นสรา้ งความสนใจ (Engagement)
(1) ครถู ามคาถามนักเรียนเพอื่ กระตนุ้ ความสนใจ เชน่
– ถ้าความต่างศักย์มีค่าเพ่ิมขึ้น กระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านในวงจรไฟฟ้าจะมีค่าเป็นอย่างไร (แนว

คาตอบ มคี ่าเพม่ิ ขึ้น เนอ่ื งจากความตา่ งศักย์มีคา่ แปรผนั ตรงกบั กระแสไฟฟ้า)
(2) นักเรียนร่วมกันอภิปรายหาคาตอบเกีย่ วกบั คาถามตามความคิดเหน็ ของแตล่ ะคน

2) ขน้ั สารวจและคน้ หา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้า จากใบความรู้หรือ

ในหนงั สือเรียน โดยครชู ่วยอธบิ ายให้นกั เรียนเข้าใจว่า เมื่อความต่างศักย์ระหว่างปลายท้ังสองของหลอดไฟฟ้า
มีคา่ ไม่เทา่ กนั จะเกดิ กระแสไฟฟ้าไหลผ่านหลอดไฟฟ้า และทาใหห้ ลอดไฟฟา้ สว่างขึ้น

(2) ครูแบง่ นักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์กับ
กระแสไฟฟา้ ตามขนั้ ตอน ดังน้ี

– ต่อตัวตา้ นทานขนาด 100 โอห์ม ถา่ นไฟฉาย (ใชถ้ ่านไฟฉาย 1 ก้อน) แอมมิเตอร์ โวลต์มิเตอร์
และสวติ ช์เป็นวงจรไฟฟ้า ดังรปู

100 

1.5 V

– สับสวิตช์ลงให้วงจรปิด สังเกตและบันทึกค่าความต่างศักย์จากโวลต์มิเตอร์ และค่า
กระแสไฟฟา้ จากแอมมเิ ตอร์ แลว้ ยกสวิตชข์ ้นึ ให้วงจรเปิด

– ดาเนินการเช่นเดียวกับข้ันตอนท่ี 1 และ 2 แต่เพิ่มถ่านไฟฉายในวงจรครั้งละ 1 ก้อนจนครบ
4 กอ้ น

– นาผลทไ่ี ดจ้ ากขน้ั ตอนที่ 2 และ 3 มาเขียนกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์และ
กระแสไฟฟ้า โดยให้ความต่างศกั ยอ์ ยแู่ กนนอนและกระแสไฟฟ้าอยูแ่ กนต้ัง

(3) ครแู ละนักเรียนร่วมกนั ตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมูลท่ีไดจ้ ากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม
(4) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏบิ ัตกิ จิ กรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ให้นกั เรยี นทกุ คนซักถามเมอ่ื มีปัญหา
3) ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation)
(1) นกั เรยี นแต่ละกล่มุ นาเสนอผลการปฏิบตั ิกจิ กรรมหนา้ ห้องเรยี น
(2) ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั อภิปรายผลจากการปฏิบัติกจิ กรรม โดยใช้แนวคาถาม เชน่

– กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์กับกระแสไฟฟ้ามีลักษณะใด (แนวคาตอบ มี
ลกั ษณะเป็นเสน้ ตรงทผี่ ่านจุดกาเนดิ )

– กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวต้านทานและความต่างศักย์ระหว่างปลายท้ังสองของตัวต้านทานมี
ความสัมพันธ์กันอย่างไร (แนวคาตอบ กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวต้านทานมีค่าแปรผันตรงกับความต่างศักย์
ระหว่างปลายทงั้ สองของตัวต้านทาน)

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ความต่าง
ศักย์มีค่าแปรผันตรงกับกระแสไฟฟ้า โดยเมื่อความต่างศักย์มีค่าเพ่ิมขึ้น กระแสไฟฟ้าจะมีค่าเพิ่มขึ้น และ
อตั ราส่วนระหวา่ งความตา่ งศักยก์ บั กระแสไฟฟา้ จะมคี า่ คงท่ี

4) ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธิบายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับกฎของโอห์มให้นักเรียนเข้าใจว่า ความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์

และกระแสไฟฟ้าเป็นไปตามกฎของโอห์มท่ีกล่าวว่า “เม่ืออุณหภูมิคงตัว กระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านตัวนาไฟฟ้า
ชนิดหนึ่งจะมีค่าแปรผันตรงกับความต่างศักย์ระหว่างปลายทั้งสองของตัวนาน้ัน” โดยสามารถเขียนเป็น
ความสัมพนั ธไ์ ด้ดงั นี้

V = IR
เม่ือ R คอื ความต้านทาน มหี นว่ ยเปน็ โวลต/์ แอมแปร์ (V/A) หรอื โอห์ม (Ω)

V คือ ความต่างศกั ย์ มีหนว่ ยเป็นโวลต์ (V)
I คอื กระแสไฟฟ้า มีหน่วยเป็นแอมแปร์ (A)
(2) ครูยกตัวอย่างการคานวณหาปริมาณต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับกฎของโอห์มในหนังสือเรียน เพ่ือให้
นักเรยี นไดฝ้ ึกทกั ษะการคดิ คานวณ
(3) ครูอธิบายเพิ่มเติมเก่ียวกับตัวต้านทานให้นักเรียนเข้าใจว่า โดยท่ัวไปในวงจรไฟฟ้าต่างๆ จะมี
อปุ กรณช์ นดิ หนึง่ ท่ที าหนา้ ท่ีกาหนดความต้านทานการไหลของกระแสไฟฟ้าให้กับวงจรไฟฟ้า เรียกอุปกรณ์น้ีว่า
ตัวต้านทาน โดยตัวตา้ นทานทน่ี ยิ มใช้ในวงจรไฟฟ้ามากที่สุด คือ ตัวต้านทานแบบค่าคงที่ ซ่ึงการบอกค่าความ
ต้านทานของตัวต้านทานแบบค่าคงที่จะใช้รหัสสีคาดเป็นแถบ และแปลความหมายของรหัสสีเป็นค่าความ
ต้านทานและความคลาดเคลอ่ื นของคา่ ความตา้ นทาน
(4) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน เล่นเกมต่อวงจรไฟฟ้า แล้วให้แต่ละกลุ่มหาว่าอุปกรณ์ใดใน
วงจรไฟฟา้ ท่ีอย่ผู ิดตาแหน่ง และต้องแก้ไขอยา่ งไร กลุ่มใดตอบได้ถูกต้องมากทีส่ ุดเปน็ ฝ่ายชนะ
5) ข้ันประเมิน (Evaluation)
(1) ครใู ห้นักเรียนแตล่ ะคนพจิ ารณาวา่ จากหัวข้อทเี่ รียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เข้าใจหรอื ยังมีข้อสงสัย ถา้ มี ครูชว่ ยอธิบายเพมิ่ เตมิ ใหน้ ักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรู้ที่ได้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคาถาม เชน่
– กระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์มีความสัมพันธ์กันในลักษณะใด (แนวคาตอบ กระแสไฟฟ้ามีค่า
แปรผนั ตรงกับความตา่ งศกั ย)์
– กฎของโอหม์ เขียนเปน็ สมการได้อย่างไร (แนวคาตอบ V = IR เม่ือ R คือ ความต้านทาน V คือ
ความต่างศกั ย์ และ I คือ กระแสไฟฟา้ )

ขน้ั สรุป
1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้า โดย

รว่ มกนั เขยี นเปน็ แผนทีค่ วามคดิ หรือผงั มโนทศั น์
2. ครใู หน้ ักเรียนแตล่ ะคนทาแบบฝึกหดั เรื่องความสัมพันธร์ ะหว่าง V I และ R เปน็ การบา้ น

สื่อ และแหล่งการเรยี นรู้
1. ใบกิจกรรม สังเกตความสัมพันธ์ระหวา่ งความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้ากับกระแสไฟฟ้า
2. แบบฝกึ หดั เรือ่ งความสมั พนั ธ์ระหว่าง V I และ R
3. หนังสือ วารสาร สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออนิ เทอร์เนต็
4. คู่มือการสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2
5. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

เลม่ 2

แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 20

รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ (พืน้ ฐาน) รหัสวชิ า ว23102 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564

หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 7 ไฟฟ้าเเละอเิ ล็กทรอนิกส์ เรอื่ งการตอ่ ตวั ตา้ นทานในวงจรไฟฟ้า(1) เวลา2ช่วั โมง/คาบ

วนั ท่ี …………………….……………………………….. ครูผ้สู อน นางสาวองั คณา ปาสานะโม

สาระสาคัญ
การต่อตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้าทาได้ 2 แบบ คือ การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและการต่อตัว

ต้านทานแบบขนาน

มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง

สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง แสง และ
คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทัง้ นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตัวชว้ี ดั
1. วิเคราะห์ความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้ เม่อื ต่อตัวต้านทานหลายตวั แบบ

อนกุ รมและแบบขนานจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ (ว 2.3 ม. 3/4)
2. เขียนแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดงการต่อตวั ตา้ นทานแบบอนุกรมและขนาน (ว 2.3 ม. 3/5)

คุณลกั ษณะอันพึงประสงคต์ ามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551

 รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์  ซื่อสัตย์สุจรติ  มีวินัย  ใฝเ่ รยี นรู้

 อยอู่ ย่างพอเพยี ง  มุ่งมน่ั ในการทางาน  รักความเปน็ ไทย  มีจิตสาธารณะ

............................................................................................................................. .............................................

ด้านสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน

 ความสามารถในการสอ่ื สาร :………………………………………………………..

 ความสามารถในการคดิ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี :………………………………………………………..

ดา้ นการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน

 การอา่ น :…………………………………………………………………………..

 การคดิ วิเคราะห์ :…………………………………………………………………………..

 การเขียน :…………………………………………………………………………..

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. นักเรยี นสามารถอธบิ ายการต่อตัวตา้ นทานแบบอนุกรมและแบบขนานในวงจรไฟฟา้ ได้ (K)
2. นกั เรยี นสามารถเขียนแผนภาพแสดงการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและแบบขนานในวงจรไฟฟ้า

ได้ (K)
3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเกบ็ รวบรวมข้อมูลได้ (P)
4. นกั เรยี นสามารถแสดงความมุง่ มัน่ ในการทางานได้ (A)

การวัดและการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ผ้ปู ระเมนิ  ครูผสู้ อน  นักเรยี น  เพ่ือน  ผปู้ กครอง

ช้นิ งาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลักฐานการเรยี นรู้

สง่ิ ท่ตี ้องการวดั /ประเมนิ วธิ ีการวดั เครอ่ื งมือการวัด เกณฑ์การให้คะแนน

ระดับคณุ ภาพ

(Rubric Score)

1.นักเรียนสามารถอธิบายการต่อตัวต้านทาน - ตรวจใบงาน ช้ินงาน -ใบงาน ช้ินงานหรือ - นกั เรยี นผ่านเกณฑ์

แบบอนุกรมและแบบขนานในวงจรไฟฟ้าได้ หรือภาระงาน ภ า ร ะ ง า น ข อ ง รอ้ ยละ 70 ขึน้ ไป

(K) กิจกรรม

2. นักเรียนสามารถเขียนแผนภาพแสดงการ

ต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและแบบขนานใน

วงจรไฟฟา้ ได้ (K)

3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ - แบบประเมินทกั ษะ - ระดบั คณุ ภาพ ดี

รวบรวมข้อมลู ได้ (P) สงั เกตพฤติกรรม -แบบประเมินการ ข้นึ ไป

สังเกตพฤติกรรมการ

ทางานกลุ่ม

4. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการ - ประเมินจากการ -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดบั คุณภาพ ดี

ทางานได้ (A) สังเกตพฤตกิ รรม พฤติกรรม ขน้ึ ไป

สาระการเรยี นรู้
1. การต่อตัวตา้ นทานในวงจรไฟฟ้า

กิจกรรมการเรียนรู้ (กจิ กรรม Active Learning)
จัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซง่ึ มีขนั้ ตอนดังนี้
1) ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
(1) ครถู ามคาถามนกั เรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น

– การต่อตวั ตา้ นทานหลายตวั ในวงจรไฟฟ้าทาได้กี่แบบ อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 2 แบบ คือ การ
ต่อตวั ต้านทานแบบอนุกรมและการตอ่ ตัวตา้ นทานแบบขนาน)

(2) นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายหาคาตอบเกี่ยวกับคาถามตามความคดิ เห็นของแตล่ ะคน
2) ขน้ั สารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรอื่ งการต่อตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้า จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครู
ช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การต่อตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้าทาได้ 2 แบบ คือ การต่อตัวต้านทานแบบ
อนุกรมและการต่อตวั ต้านทานแบบขนาน

(2) ครูอธิบายเพ่ิมเติมเก่ียวกับการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมในวงจรไฟฟ้าให้นักเรียนเข้าใจว่า การ
ต่อตวั ตา้ นทานแบบอนกุ รมเป็นการนาตวั ต้านทานต้ังแต่ 2 ตัวมาต่อเรียงกันเข้ากับแหล่งกาเนิดไฟฟ้า โดยมีผล
ตอ่ ปรมิ าณตา่ งๆ ดงั นี้

– กระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านในวงจรไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านตัวต้านทานแต่ละตัว มีค่า
เท่ากัน ดงั สมการ I = I1 = I2

– ความต่างศักย์รวมในวงจรไฟฟ้ามีค่าเท่ากับผลรวมของความต่างศักย์ระหว่างปลายทั้งสองของ
ตวั ตา้ นทานแต่ละตัว ดงั สมการ V = V1 + V2

– ความตา้ นทานรวมมคี า่ เท่ากบั ผลรวมของความตา้ นทานของตวั ต้านทานแต่ละตัว ดังสมการ R =
R1 + R2

(3) ครูอธบิ ายเพิม่ เติมเกย่ี วกับการตอ่ ตวั ตา้ นทานแบบขนานในวงจรไฟฟ้า ให้นักเรียนเข้าใจว่า การต่อ
ตัวต้านทานแบบขนานเป็นการนาตัวต้านทานต้ังแต่ 2 ตัวมาต่อคร่อมกันแล้วจึงต่อเข้ากับแหล่งกาเนิดไฟฟ้า
โดยมผี ลตอ่ ปริมาณต่าง ๆ ดังนี้

– กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านในวงจรไฟฟ้ามีค่าเท่ากับผลรวมของกระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านตัวต้านทานแต่ละ
ตวั ดงั สมการ I = I1 + I2

– ความต่างศักย์รวมในวงจรไฟฟ้าและความต่างศักย์ระหว่างปลายทั้งสองของตัวต้านทานแต่ละตัวมี
คา่ เทา่ กนั ดังสมการ V = V1 = V2

– ค ว า ม ต้ า น ท า นร ว ม มี ค่ า น้ อ ย ก ว่ า ค ว า มต้ า น ท าน ข อ ง ตั ว ต้ า น ท าน ที่ มี ค่ าน้ อ ย ที่ สุ ด

ดงั สมการ = +

(4) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเก่ียวกับการต่อตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้า ตาม
ข้ันตอนดงั นี้

– แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพ่ือนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามท่ี
สมาชกิ กลุ่มช่วยกันกาหนดหวั ข้อยอ่ ย เช่น การต่อตวั ต้านทานแบบอนกุ รมและการต่อตวั ต้านทานแบบขนาน

– สมาชิกกลุ่มแต่ละคนหรือกลุ่มย่อยช่วยกันสืบค้นข้อมูลตามหัวข้อย่อยที่ตนเองรับผิดชอบ
โดยการสืบคน้ จากหนงั สอื วารสาร สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออินเทอรเ์ นต็

– สมาชิกกลุ่มนาข้อมลู ทสี่ ืบคน้ ไดม้ ารายงานให้เพือ่ นๆ สมาชกิ ในกลุ่มฟัง รวมท้ังร่วมกันอภิปราย
ซักถามจนคาดว่าสมาชิกทุกคนมีความรู้ความเขา้ ใจทีต่ รงกนั

– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ท่ีได้ท้ังหมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทารายงาน
การศกึ ษาค้นคว้าเกี่ยวกบั การต่อตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้า

(5) ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมลู ท่ีได้จากการปฏิบัติกจิ กรรม
(6) ครูคอยแนะนาช่วยเหลอื นักเรยี นขณะปฏบิ ัตกิ ิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ให้นกั เรียนทกุ คนซกั ถามเม่อื มีปญั หา
3) ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
(1) นักเรียนแตล่ ะกล่มุ นาเสนอผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรมหนา้ ห้องเรยี น
(2) ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายผลจากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม โดยใช้แนวคาถาม เช่น

– การต่อตัวต้านทานแบบใด ทาให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านในวงจรไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าท่ีไหล
ผา่ นตัวตา้ นทานแต่ละตัวมีคา่ เท่ากัน (แนวคาตอบ การต่อตวั ต้านทานแบบอนุกรม)

– การต่อตัวต้านทานแบบใด ทาให้ความต่างศักย์รวมในวงจรไฟฟ้าและความต่างศักย์ระหว่าง
ปลายทัง้ สองของตัวตา้ นทานแต่ละตัวมีค่าเท่ากนั (แนวคาตอบ การต่อตวั ตา้ นทานแบบขนาน)

– การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบอนุกรม ทาให้ความต้านทานรวมมีค่าเท่าใด (แนวคาตอบ
ความตา้ นทานรวมมคี ่าเท่ากบั ผลรวมของความต้านทานของตวั ต้านทานแตล่ ะตัว)

– การตอ่ ตัวต้านทานหลายตวั แบบขนาน ทาใหค้ วามต้านทานรวมมีคา่ เท่าใด (แนวคาตอบ ความ
ต้านทานรวมมคี ่าน้อยกวา่ ความตา้ นทานของตัวต้านทานท่ีมีค่าน้อยที่สดุ )

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การต่อตัว
ต้านทานในวงจรไฟฟ้าทาได้ 2 แบบ คือ การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและการต่อตัวต้านทานแบบขนาน
โดยการต่อตัวตา้ นทานแต่ละแบบมีผลตอ่ ความต่างศักย์ กระแสไฟฟา้ และความต้านทานรวมแตกต่างกนั

4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับการเขียนแผนภาพแสดงการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและ

แบบขนาน จากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
แล้วนาข้อมลู ที่ไดม้ านาเสนอหน้าหอ้ งเรยี น

(2) ครใู หน้ กั เรยี นฝึกเขียนแผนภาพแสดงการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและแบบขนานดงั น้ี
– การต่อตวั ตา้ นทานแบบอนุกรม

แนวคาตอบ +

+–

– การตอ่ ตวั ต้านทานแบบขนาน

แนวคาตอบ

+– +–

5) ขัน้ ประเมิน (Evaluation)
(1) ครูให้นกั เรียนแต่ละคนพจิ ารณาว่า จากหวั ข้อทเี่ รยี นมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่

เข้าใจหรอื ยังมีขอ้ สงสยั ถ้ามี ครชู ว่ ยอธิบายเพ่ิมเติมใหน้ ักเรียนเขา้ ใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข

อยา่ งไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ

การนาความรูท้ ี่ไดไ้ ปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรยี นโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– การตอ่ ตวั ต้านทานหลายตวั แบบอนุกรมในวงจรไฟฟ้ามีผลต่อความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าที่

ไหลในวงจรไฟฟ้าอย่างไร (แนวคาตอบ ทาให้ความต่างศักย์รวมในวงจรไฟฟ้ามีค่าเท่ากับผลรวมของความต่าง
ศักย์ระหว่างปลายท้ังสองของตัวต้านทานแต่ละตัว และทาให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านในวงจรไฟฟ้าและ
กระแสไฟฟา้ ทไ่ี หลผา่ นตวั ต้านทานแต่ละตัวมีค่าเทา่ กนั )

– การต่อตัวต้านทานหลายตัวแบบขนานในวงจรไฟฟ้ามีผลต่อความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าท่ี
ไหลในวงจรไฟฟา้ อยา่ งไร (แนวคาตอบ ทาให้ความต่างศักย์รวมในวงจรไฟฟ้าและความต่างศักย์ระหว่างปลาย
ทั้งสองของตัวต้านทานแต่ละตัวมีค่าเท่ากัน และทาให้กระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านในวงจรไฟฟ้ามีค่าเท่ากับผลรวม
ของกระแสไฟฟา้ ท่ีไหลผา่ นตวั ต้านทานแต่ละตวั )

ขน้ั สรปุ
1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการต่อตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้า โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่

ความคดิ หรอื ผังมโนทศั น์

สือ่ และแหล่งการเรยี นรู้
1. รปู ตวั ต้านทาน
2. หนงั สือ วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออนิ เทอร์เน็ต
3. คมู่ อื การสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 เล่ม 2
4. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

เล่ม 2

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 21

รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (พื้นฐาน) รหสั วิชา ว23102 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564

หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 7 ไฟฟา้ เเละอเิ ลก็ ทรอนิกส์ เร่ืองการต่อตัวตา้ นทานในวงจรไฟฟา้ (2) เวลา2ช่ัวโมง/คาบ

วันที่ …………………….……………………………….. ครผู ู้สอน นางสาวองั คณา ปาสานะโม

สาระสาคัญ
การตอ่ ตัวตา้ นทานหลายตวั ในวงจรไฟฟ้ามี 2 แบบ คือ การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมเป็นการนาตัว

ต้านทานตั้งแต่ 2 ตัวมาต่อเรียงกันเข้ากับแหล่งกาเนิดไฟฟ้า ส่วนการต่อตัวต้านทานแบบขนานเป็นการนาตัว
ต้านทานต้ังแต่ 2 ตัวมาต่อคร่อมกันแล้วจึงต่อเข้ากับแหล่งกาเนิดไฟฟ้า โดยการต่อตัวต้านทานแต่ละแบบมีผล
ตอ่ กระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ และความต้านทานรวมแตกตา่ งกนั

มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง

สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสง และ
คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมท้งั นาความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตวั ช้ีวดั
ว 2.3 ม. 3/3 ใชโ้ วลตม์ เิ ตอร์ แอมมิเตอรใ์ นการวัดปริมาณทางไฟฟา้
ว 2.3 ม. 3/4 วิเคราะห์ความต่างศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าเมื่อตอ่ ตวั ต้านทานหลาย

ตัวแบบอนกุ รมและแบบขนานจากหลักฐานเชิงประจักษ์
ว 2.3 ม. 3/5 เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดงการต่อตวั ต้านทานแบบอนุกรมและขนาน

คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551

 รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์  ซื่อสัตย์สจุ ริต  มีวินยั  ใฝเ่ รยี นรู้

 อยอู่ ยา่ งพอเพียง  มงุ่ มั่นในการทางาน  รักความเป็นไทย  มีจิตสาธารณะ

............................................................................................................................. .............................................

ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น

 ความสามารถในการส่ือสาร :………………………………………………………..

 ความสามารถในการคิด :………………………………………………………..

 ความสามารถในการแกป้ ัญหา :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี :………………………………………………………..

ด้านการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขียน

 การอา่ น :…………………………………………………………………………..

 การคดิ วิเคราะห์ :…………………………………………………………………………..

 การเขยี น :…………………………………………………………………………..

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. นกั เรยี นสามารถอธิบายการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานในวงจรไฟฟา้ ได้ (K)
2. นกั เรยี นสามารถแสดงทักษะการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ (P)
3. นักเรยี นสามารถแสดงความมุ่งมั่นในการทางานได้ (A)

การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้
ผปู้ ระเมนิ  ครผู ้สู อน  นกั เรียน  เพ่ือน  ผปู้ กครอง

ชิน้ งาน/ภาระงาน /ร่องรอย/หลักฐานการเรยี นรู้

สิง่ ทต่ี ้องการวัด/ประเมิน วธิ ีการวดั เคร่ืองมือการวัด เกณฑ์การใหค้ ะแนน

ระดับคุณภาพ

(Rubric Score)

1. นักเรียนสามารถอธิบายการต่อหลอด - ตรวจใบงาน ช้ินงาน -ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นักเรยี นผ่านเกณฑ์

ไ ฟ ฟ้ า แ บ บ อ นุ ก ร ม แ ล ะ แ บ บ ข น า น ใ น หรอื ภาระงาน ภ า ร ะ ง า น ข อ ง ร้อยละ 70 ขน้ึ ไป

วงจรไฟฟ้าได้ (K) กจิ กรรม

2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ - แบบประเมนิ ทกั ษะ - ระดบั คณุ ภาพ ดี

รวบรวมขอ้ มูลได้ (P) สงั เกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ขึ้นไป

สังเกตพฤติกรรมการ

ทางานกลุ่ม

3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการ - ประเมินจากการ -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดับคณุ ภาพ ดี

ทางานได้ (A) สงั เกตพฤติกรรม พฤติกรรม ขึ้นไป

สาระการเรียนรู้
1. การต่อตวั ตา้ นทานในวงจรไฟฟ้า

กิจกรรมการเรียนรู้ (กจิ กรรม Active Learning)
ขน้ั นาเขา้ สบู่ ทเรียน
1) ครใู หน้ กั เรยี นทบทวนความร้เู ดิมทไี่ ด้เรยี นรู้มาแลว้ โดยใชค้ าถามตอ่ ไปน้ี
– การต่อตวั ต้านทานแบบอนกุ รมมีลักษณะแตกตา่ งจากการต่อตัวต้านทานแบบขนานในลักษณะ

ใด (แนวคาตอบ การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมเป็นการนาตัวต้านทานตั้งแต่ 2 ตัวมาต่อเรียงกันเข้ากับ
แหลง่ กาเนดิ ไฟฟ้า ส่วนการต่อตวั ตา้ นทานแบบขนานเป็นการนาตัวต้านทานต้ังแต่ 2 ตัวมาต่อคร่อมกันแล้วจึง
ต่อเขา้ กับแหลง่ กาเนิดไฟฟา้ )

2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้
เร่ือง การตอ่ ตัวตา้ นทานในวงจรไฟฟ้า

ข้ันจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึง่ มีขน้ั ตอนดังน้ี
1) ขัน้ สร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูให้นักเรียนดูแผนภาพแสดงการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและแบบขนาน แล้วถามคาถาม
นักเรยี นดงั น้ี

R1

++
9V 9V R1 R2

––
R2

(ก) (ข)

– แผนภาพใดเปน็ การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม (แนวคาตอบ แผนภาพ (ก)
– แผนภาพใดเปน็ การต่อตวั ต้านทานแบบขนาน (แนวคาตอบ แผนภาพ (ข)
(2) นักเรยี นร่วมกันอภปิ รายหาคาตอบเกีย่ วกบั คาถามตามความคิดเหน็ ของแต่ละคน

2) ขน้ั สารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตการต่อตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้า ตาม

ข้ันตอน ดงั นี้

ตอนท่ี 1
– นาตัวต้านทาน R1 และ R2 ที่มีความต้านทาน 100 และ 200 โอห์ม ตามลาดับ มาต่อกัน

แบบอนุกรม แล้วต่อเข้ากับแอมมิเตอร์และถ่านไฟฉาย ดังแผนภาพ (ก) อ่านค่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัว
ตา้ นทาน R1 (I1) บนั ทึกผล

– เปล่ียนตาแหน่งของแอมมิเตอร์มาไว้ ดังแผนภาพ (ข) เพ่ือวัดกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัว
ตา้ นทาน R2 (I2) บนั ทกึ ผล

– เปล่ียนตาแหน่งของแอมมิเตอร์มาไว้ ดังแผนภาพ (ค) เพื่อวัดกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านใน
วงจรไฟฟ้า (I) บนั ทึกผล

R1 R2 R1 R2 R1 R2

(ก) (ข) (ค)

– นาตัวต้านทาน R1 และ R2 มาต่อกันแบบขนาน แล้วต่อเข้ากับแอมมิเตอร์และแบตเตอร่ี ดัง
แผนภาพ (ง) อา่ นคา่ กระแสไฟฟ้าที่ไหลผา่ นตวั ตา้ นทาน R1 (I1) บนั ทึกผล

– เปลี่ยนตาแหน่งของแอมมิเตอร์มาไว้ ดังแผนภาพ (จ) เพื่อวัดกระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านตัว
ตา้ นทาน R2 (I2) บนั ทึกผล

– เปล่ียนตาแหน่งของแอมมิเตอร์มาไว้ ดังแผนภาพ (ฉ) เพ่ือวัดกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านใน
วงจรไฟฟ้า (I) บันทึกผล

R1 R1 R1

R2 R2 R2

(ง) (จ) (ฉ)

ตอนท่ี 2
– นาตัวตา้ นทาน R1 และ R2 ในตอนที่ 1 มาตอ่ กนั แบบอนกุ รม แลว้ ตอ่ เขา้ กบั โวลต์มเิ ตอร์
และแบตเตอรี่ ดังแผนภาพ (ช) อ่านค่าความต่างศักย์ระหว่างปลายทั้งสองของตัวต้านทานท่ีต่อ

แบบอนกุ รม (V) บันทกึ ผล
– เปล่ียนตาแหน่งของโวลต์มิเตอร์ ดังแผนภาพ (ซ) เพ่ือวัดความต่างศักย์ระหว่างปลายท้ังสอง

ของตวั ตา้ นทาน R1 (V1) บนั ทกึ ผล
– เปล่ียนตาแหน่งของโวลต์มิเตอร์ ดังแผนภาพ (ฌ) เพ่ือวัดความต่างศักย์ระหว่างปลายทั้งสอง

ของตวั ต้านทาน R2 (V2) บันทกึ ผล

R1 R2 R1 R2 R1 R2

(ช) (ซ) (ฌ)

– นาตัวต้านทาน R1 และ R2 มาต่อกันแบบขนาน แล้วต่อเข้ากับโวลต์มิเตอร์และแบตเตอร่ี ดัง
แผนภาพ (ญ) อ่านค่าความต่างศกั ยร์ ะหวา่ งปลายทั้งสองของตวั ต้านทานทต่ี ่อแบบขนาน (V) บันทกึ ผล

– เปล่ียนตาแหน่งของโวลต์มิเตอร์ ดังแผนภาพ (ฎ) เพ่ือวัดความต่างศักย์ระหว่างปลายท้ังสอง
ของตัวตา้ นทาน R1 (V1) บนั ทึกผล

– เปล่ียนตาแหน่งของโวลต์มิเตอร์ ดังแผนภาพ (ฏ) เพ่ือวัดความต่างศักย์ระหว่างปลายท้ังสอง
ของตัวต้านทาน R2 (V2) บนั ทึกผล

R1 R1 R1
R2 R2 R2

(ญ) (ฎ) (ฏ)

(2) ครแู ละนักเรียนร่วมกนั ตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมูลท่ีได้จากการปฏบิ ัติกจิ กรรม

(3) ครคู อยแนะนาช่วยเหลือนกั เรยี นขณะปฏิบตั กิ จิ กรรม โดยครเู ดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส

ให้นักเรียนทุกคนซักถามเมอ่ื มีปญั หา

3) ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)

(1) นกั เรียนแต่ละกล่มุ นาเสนอผลการปฏิบัตกิ จิ กรรมหนา้ ห้องเรียน

(2) ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันอภปิ รายผลจากการปฏิบัตกิ จิ กรรม โดยใช้แนวคาถาม เช่น

– การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและแบบขนานในวงจรไฟฟ้ามีผลต่อกระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านใน

วงจรไฟฟ้าหรอื ไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ มผี ล โดยการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมในวงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่

ไหลผ่านในวงจรไฟฟ้ามีค่าเท่ากับกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวต้านทานแต่ละตัว ส่วนการต่อตัวต้านทานแบบ

ขนานในวงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านในวงจรไฟฟ้ามีค่าเท่ากับผลรวมของกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัว

ต้านทานแต่ละตัว)

– เม่ือต่อตัวต้านทานแบบขนานในวงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวต้านทานใดมีค่ามาก

ท่ีสดุ เพราะอะไร (แนวคาตอบ ตวั ต้านทาน R1 เพราะมีความต้านทานน้อยกว่าตวั ตา้ นทาน R2)

– เมื่อต่อตัวต้านทานแบบขนานในวงจรไฟฟ้า ความต่างศักย์ท่ีปลายทั้งสองของตัวต้านทาน R1

และ R2 มีค่าเท่ากับความต่างศักย์ที่ปลายท้ังสองของตัวต้านทานท้ัง 2 ตัวท่ีต่อกันแบบขนานหรือไม่ (แนว

คาตอบ ความต่างศักย์ท่ีปลายท้ังสองของตัวต้านทาน R1 และ R2 มีค่าเท่ากับความต่างศักย์ท่ีปลายท้ังสอง

ของตัวตา้ นทาน 2 ตวั ทตี่ ่อกนั แบบขนาน)

– การต่อตัวต้านทานแบบใดในวงจรไฟฟ้าทาให้มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านในวงจรไฟฟ้ามากท่ีสุด

(แนวคาตอบ การตอ่ ตวั ตา้ นทานแบบขนาน)

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เม่ือต่อตัว

ตา้ นทานแบบอนุกรมในวงจรไฟฟา้ พบวา่ กระแสไฟฟ้าท่ไี หลผ่านตัวต้านทานทุกตัวมีค่าเท่ากัน และมีค่าเท่ากับ

กระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านในวงจร และความต่างศักย์ที่ปลายท้ังสองของตัวต้านทาน 2 ตัวท่ีต่อกันแบบอนุกรมมี

คา่ เท่ากับผลรวมของความต่างศักย์ที่ปลายทั้งสองของตัวต้านทานแต่ละตัว และเม่ือต่อตัวต้านทานแบบขนาน

ในวงจรไฟฟ้าพบว่า กระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านในวงจรไฟฟ้ามีค่าเท่ากับผลรวมของกระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านตัว

ต้านทานแต่ละตัว และความต่างศักย์ที่ปลายท้ังสองของตัวต้านทานทุกตัวมีค่าเท่ากัน และมีค่าเท่ากับความ

ตา่ งศักยท์ ีป่ ลายท้ังสองของตวั ตา้ นทาน 2 ตวั ทต่ี อ่ กันแบบขนาน

4) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) R1 R2

(1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการต่อตัวต้านทานแบบผสม

ให้นักเรียนเข้าใจว่า นอกจากการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและ R3 R4
แบบขนานแล้ว ยงั มีการตอ่ ตวั ตา้ นทานอีกแบบหน่ึงซึ่งเป็นการนาตัว

ต้านทานท่ตี อ่ แบบอนุกรมและแบบขนานมาตอ่ รวมกนั โดยเรียกการ

ตอ่ ตัวตา้ นทานในลักษณะน้วี ่า การต่อตวั ต้านทานแบบผสม

(2) นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเก่ียวกับการต่อตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้า จาก

อนิ เทอร์เน็ต และนาเสนอให้เพอ่ื นฟัง

5) ข้นั ประเมนิ (Evaluation)

(1) ครูให้นกั เรียนแต่ละคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ขอ้ ทเี่ รยี นมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างที่ยังไม่
เขา้ ใจหรอื ยังมขี อ้ สงสยั ถ้ามี ครูชว่ ยอธิบายเพ่มิ เติมใหน้ กั เรยี นเข้าใจ

(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อย่างไรบ้าง

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรูท้ ี่ไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์

(4) ครทู ดสอบความเขา้ ใจของนักเรยี นโดยการให้ตอบคาถาม เช่น
– การต่อตัวต้านทานแบบใด ทาให้ความต่างศักย์รวมในวงจรไฟฟ้ามีค่าเท่ากับผลรวมของความ

ตา่ งศกั ย์ระหวา่ งปลายทั้งสองของตัวตา้ นทานแตล่ ะตัว (แนวคาตอบ การตอ่ ตวั ต้านทานแบบอนุกรม)
– การต่อตัวต้านทานแบบใด ทาให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านในวงจรไฟฟ้ามีค่าเท่ากับผลรวมของ

กระแสไฟฟ้าท่ีไหลผ่านตัวตา้ นทานแตล่ ะตวั (แนวคาตอบ การตอ่ ตัวต้านทานแบบขนาน)

ข้ันสรุป
1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการต่อตัวต้านทานในวงจรไฟฟ้า โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่

ความคดิ หรือผงั มโนทัศน์

2. ครูให้นกั เรยี นแต่ละคนทาแบบฝกึ หดั เรือ่ งความต้านทานเปน็ การบ้าน
สื่อ และแหล่งการเรียนรู้

1. แผนภาพแสดงการต่อตวั ต้านทานแบบอนุกรมและแบบขนาน
2. แบบฝกึ หดั เรื่องความตา้ นทาน
3. ใบกจิ กรรม สงั เกตการต่อตวั ต้านทานในวงจรไฟฟา้
4. หนังสือ วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออินเทอรเ์ น็ต
5. คูม่ ือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 เลม่ 2
6. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3
เล่ม 2

แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 22

รายวชิ าวิทยาศาสตร์ (พน้ื ฐาน) รหัสวิชา ว23102 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 7 ไฟฟ้าเเละอเิ ล็กทรอนกิ ส์ เรอ่ื งการตอ่ หลอดไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้า เวลา2ช่ัวโมง/คาบ

วนั ที่ …………………….……………………………….. ครูผู้สอน นางสาวองั คณา ปาสานะโม

สาระสาคัญ
การตอ่ หลอดไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้ามี 2 แบบ คือ การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและการต่อหลอดไฟฟ้า

แบบขนาน โดยการต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละแบบมผี ลตอ่ ความสว่างของหลอดไฟฟ้าแตกตา่ งกัน

มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง

สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และ
คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตวั ชีว้ ัด
ว 2.3 ม. 3/4 วเิ คราะห์ความต่างศักยไ์ ฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้าเม่ือตอ่ ตวั ต้านทานหลาย

ตัวแบบอนุกรมและแบบขนานจากหลักฐานเชงิ ประจักษ์
ว 2.3 ม. 3/5 เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดงการต่อตัวต้านทานแบบอนกุ รมและขนาน

คุณลักษณะอนั พึงประสงคต์ ามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551

 รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์  ซื่อสัตย์สุจรติ  มวี ินยั  ใฝเ่ รยี นรู้

 อยอู่ ย่างพอเพยี ง  มงุ่ มน่ั ในการทางาน  รกั ความเป็นไทย  มจี ติ สาธารณะ

............................................................................................................................. .............................................

ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน

 ความสามารถในการสอ่ื สาร :………………………………………………………..

 ความสามารถในการคดิ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี :………………………………………………………..

ดา้ นการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียน

 การอ่าน :…………………………………………………………………………..

 การคดิ วเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..

 การเขียน :…………………………………………………………………………..

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. นกั เรยี นสามารถอธิบายการต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและแบบขนานในวงจรไฟฟ้าได้ (K)
2. นักเรียนสามารถเขยี นแผนภาพแสดงการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานในวงจรไฟฟ้า

ได้ (K)
3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บรวบรวมข้อมลู ได้ (P)
4. นักเรยี นสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการทางานได้ (A)

การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้
ผ้ปู ระเมิน  ครูผูส้ อน  นกั เรียน  เพ่ือน  ผู้ปกครอง

ชิ้นงาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลกั ฐานการเรยี นรู้

ส่ิงที่ต้องการวดั /ประเมิน วิธีการวัด เครื่องมอื การวดั เกณฑก์ ารให้คะแนน

ระดับคณุ ภาพ

(Rubric Score)

1. นักเรียนสามารถอธิบายการต่อหลอด - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน - แบบทดสอบก่อน - นักเรียนผ่านเกณฑ์

ไ ฟ ฟ้ า แ บ บ อ นุ ก ร ม แ ล ะ แ บ บ ข น า น ใ น หรือภาระงาน เรยี น รอ้ ยละ 70 ข้ึนไป

วงจรไฟฟา้ ได้ (K)

2. นักเรียนสามารถเขียนแผนภาพแสดงการ

ต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานใน

วงจรไฟฟ้าได้ (K)

3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ - แบบประเมินทกั ษะ - ระดับคณุ ภาพ ดี

รวบรวมข้อมลู ได้ (P) สังเกตพฤติกรรม -แบบประเมินการ ขนึ้ ไป

สังเกตพฤติกรรมการ

ทางานกล่มุ

4. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการ - ประเมินจากการ -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดบั คุณภาพ ดี

ทางานได้ (A) สังเกตพฤติกรรม พฤตกิ รรม ข้ึนไป

สาระการเรยี นรู้
1. การต่อหลอดไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้

กิจกรรมการเรียนรู้ (กิจกรรม Active Learning)
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความพร้อม

และพ้นื ฐานของนักเรียน

ข้ันนาเขา้ สู่บทเรียน
1) ครใู ห้นกั เรียนดรู ปู หลอดไฟฟ้า แลว้ ถามคาถามนักเรียนดังนี้

– หลอดไฟฟ้ามีความต้านทานหรือไม่ (แนวคาตอบ มี)
– การต่อหลอดไฟฟ้า 2 หลอดในวงจรไฟฟ้าทาได้โดยวิธีใด (แนวคาตอบ ทาได้โดยนาหลอด
ไฟฟ้า 2 หลอดมาต่อแบบอนกุ รมหรอื แบบขนานในวงจรไฟฟา้ )
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพ่ือเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้
เรื่อง การตอ่ หลอดไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้

ขัน้ จัดกิจกรรมการเรยี นรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซ่ึงมขี ้นั ตอนดงั นี้
1) ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามคาถามนกั เรยี นเพือ่ กระตุ้นความสนใจ เชน่

– การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมมีลักษณะการต่อเป็นแบบใด (แนวคาตอบ เป็นการต่อโดยการ
นาหลอดไฟฟา้ มาตอ่ เรียงกันเข้ากับแหลง่ กาเนดิ ไฟฟา้ โดยกระแสไฟฟ้าจะไหลเส้นทางเดียวผ่านหลอดไฟฟ้าแต่
ละหลอด)

– การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบขนานมีลกั ษณะการต่อเป็นแบบใด (แนวคาตอบ เป็นการต่อโดยการนา
หลอดไฟฟ้ามาตอ่ คร่อมกนั แลว้ จงึ ต่อเขา้ กับแหลง่ กาเนิดไฟฟ้า โดยกระแสไฟฟ้าจะไหลแยกผ่านหลอดไฟฟ้าแต่
ละหลอด)

(2) นกั เรยี นร่วมกันอภิปรายหาคาตอบเก่ียวกับคาถามตามความคิดเหน็ ของแต่ละคน
2) ขนั้ สารวจและค้นหา (Exploration)

(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องการต่อหลอดไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดย
ครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การต่อหลอดไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้ามี 2 แบบ คือ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบ
อนุกรมและการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน โดยการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเป็นการนาหลอดไฟฟ้าต้ังแต่ 2
หลอดมาต่อเรียงกันเข้ากับแหล่งกาเนิดไฟฟ้า ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานเป็นการนาหลอดไฟฟ้าตั้งแต่
2 หลอดมาต่อครอ่ มกนั แล้วจงึ ต่อเขา้ กบั แหล่งกาเนิดไฟฟ้า

(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สังเกตการต่อหลอดไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า ตาม
ขนั้ ตอน ดังนี้

– ต่อถ่านไฟฉาย สวิตช์ และหลอดไฟฟ้า เป็นวงจรไฟฟ้า ดังรูป จากน้ันสับสวิตช์ลงให้วงจรปิด
สงั เกตความสวา่ งของหลอดไฟฟ้า แล้วยกสวติ ชข์ ้ึนให้วงจรเปิด

6V

– ต่อหลอดไฟฟ้า 6 โวลต์ อีก 1 หลอดเข้ากบั วงจรไฟฟ้า โดยการต่อแบบขนานและแบบอนุกรม
จากน้ันสับสวิตช์ลงให้วงจรปิด สังเกตความสว่างของหลอดไฟฟ้าและเขียนแผนภาพแสดงวงจรไฟฟ้า แล้วยก
สวติ ช์ขึน้ ใหว้ งจรเปิด

(3) ครูและนกั เรียนรว่ มกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม
(4) ครูคอยแนะนาชว่ ยเหลอื นกั เรยี นขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ให้นกั เรยี นทุกคนซกั ถามเม่อื มปี ญั หา
3) ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
(1) นักเรยี นแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการปฏิบัติกจิ กรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น

– เมื่อสับสวิตช์ลงให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านในวงจรไฟฟ้าท่ีมีหลอดไฟฟ้า 2 หลอดที่ต่อกันแบบ
อนุกรมและแบบขนาน ความสว่างของหลอดไฟฟ้าในการต่อแต่ละแบบมีลักษณะแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
(แนวคาตอบ แตกต่างกัน โดยการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานทาให้หลอดไฟฟ้าท้ังสองสว่างกว่าการต่อหลอด
ไฟฟ้าแบบอนกุ รม)

– การต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานมีข้อดีอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับการต่อหลอดไฟฟ้าแบบ
อนกุ รม (แนวคาตอบ การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบขนานทาให้หลอดไฟฟ้าสว่างได้มากกว่าหรือทาให้มีกระแสไฟฟ้า
ไหลผ่านในวงจรไฟฟา้ มากกวา่ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รม)

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การต่อ
หลอดไฟฟ้ามากกว่า 1 หลอดในวงจรไฟฟ้ามี 2 แบบ คือ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและการต่อหลอด
ไฟฟ้าแบบขนาน โดยการต่อหลอดไฟฟา้ แบบขนาน ทาให้หลอดไฟฟา้ สว่างกว่าการตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม

4) ข้ันขยายความรู้ (Elaboration)
นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเก่ียวกับการต่อหลอดไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า จากหนังสือเรียน
ภาษาตา่ งประเทศหรอื อนิ เทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พอื่ นฟัง คัดคาศัพทพ์ รอ้ มทัง้ คาแปลลงสมุดสง่ ครู
5) ขนั้ ประเมนิ (Evaluation)
(1) ครใู ห้นักเรยี นแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อท่ีเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างที่ยังไม่
เข้าใจหรือยงั มีข้อสงสยั ถ้ามี ครชู ่วยอธบิ ายเพ่มิ เติมใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อยา่ งไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรูท้ ี่ไดไ้ ปใช้ประโยชน์
(4) ครทู ดสอบความเขา้ ใจของนักเรยี นโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น

– การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมแตกต่างจากการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานในลักษณะใด (แนว
คาตอบ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเป็นการนาหลอดไฟฟ้าต้ังแต่ 2 หลอดมาต่อเรียงกันเข้ากับ
แหล่งกาเนิดไฟฟ้า ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานเป็นการนาหลอดไฟฟ้าต้ังแต่ 2 หลอดมาต่อคร่อมกัน
แล้วจึงต่อเข้ากบั แหลง่ กาเนดิ ไฟฟ้า)

– การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานมีผลต่อความสว่างของหลอดไฟฟ้าหรือไม่
อย่างไร (แนวคาตอบ มีผล โดยการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน ทาให้หลอดไฟฟ้าสว่างมากกว่าการต่อหลอด
ไฟฟา้ แบบอนกุ รม เนื่องจากมีกระแสไฟฟา้ ไหลผ่านในวงจรไฟฟ้ามากกวา่ )

ขั้นสรุป
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการต่อหลอดไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท่ี

ความคิดหรือผังมโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพื่อจัดการเรียนรู้คร้ัง

ต่อไป โดยให้นกั เรียนศึกษาคน้ ควา้ ลว่ งหนา้ ในหัวขอ้ การใช้พลงั งานไฟฟ้าในบา้ น
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามท่ีสงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพ่ือนามาอภิปราย

ร่วมกันในหอ้ งเรียนคร้งั ต่อไป
4) ครูใหน้ ักเรยี นแต่ละคนทาแบบฝกึ หัดวงจรไฟฟ้าและการต่อวงจรไฟฟา้ เปน็ การบา้ น

สือ่ และแหล่งการเรยี นรู้
1. รูปหลอดไฟฟ้า
2. ใบกจิ กรรม สงั เกตการต่อหลอดไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า
3. แบบฝึกหัดวงจรไฟฟ้าและการต่อวงจรไฟฟ้า
4. หนังสอื วารสาร สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน หรอื อนิ เทอรเ์ นต็
5. คู่มอื การสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 เลม่ 2
6. สื่อการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3

เลม่ 2

แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 23

รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (พืน้ ฐาน) รหัสวิชา ว23102 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 7 ไฟฟา้ เเละอิเลก็ ทรอนิกส์ เร่ืองการใชพ้ ลงั งานไฟฟ้าในบ้าน เวลา 3 ช่วั โมง/คาบ

วนั ที่ …………………….……………………………….. ครูผู้สอน นางสาวอังคณา ปาสานะโม

สาระสาคัญ
การใชพ้ ลังงานไฟฟ้าในบา้ นเป็นการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในการเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงาน รูปอ่ืน

เช่น พลังงานความรอ้ น พลงั งานเสยี ง พลงั งานแสง และพลังงานกล เพอื่ อานวยความสะดวกในการดาเนินชวี ติ

มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง

สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และ
คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมทง้ั นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ตัวชวี้ ัด
ว 2.3 ม. 3/8 อธิบายและคานวณพลังงานไฟฟา้ โดยใชส้ มการ W = Pt รวมท้ังคานวณค่าไฟฟา้ ของ

เครือ่ งใช้ไฟฟ้าในบ้าน

คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคต์ ามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551

 รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์  ซอ่ื สัตยส์ จุ ริต  มวี ินยั  ใฝเ่ รยี นรู้

 อยู่อย่างพอเพียง  มุง่ มัน่ ในการทางาน  รกั ความเป็นไทย  มีจติ สาธารณะ

............................................................................................................................. .............................................

คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงคต์ ามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551

 รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์  ซ่อื สัตยส์ จุ รติ  มีวินยั  ใฝ่เรียนรู้

 อยูอ่ ย่างพอเพียง  มงุ่ มั่นในการทางาน  รักความเป็นไทย  มีจิตสาธารณะ

............................................................................................................ ..............................................................

ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น

 ความสามารถในการสือ่ สาร :………………………………………………………..

 ความสามารถในการคดิ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี :………………………………………………………..

ด้านการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขียน

 การอ่าน :…………………………………………………………………………..

 การคิดวเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..

 การเขียน :…………………………………………………………………………..

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. นักเรยี นสามารถอธบิ ายการใช้พลงั งานไฟฟ้าในบ้านได้ (K)
2. นักเรยี นสามารถแสดงทักษะการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ (P)
3. นกั เรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการทางานได้ (A)

การวัดและการประเมินผลการเรยี นรู้
ผปู้ ระเมิน  ครูผูส้ อน  นักเรยี น  เพื่อน  ผปู้ กครอง

ชิ้นงาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลกั ฐานการเรียนรู้

สิ่งท่ีต้องการวดั /ประเมิน วธิ กี ารวดั เครื่องมอื การวดั เกณฑ์การให้คะแนน

ระดบั คณุ ภาพ

(Rubric Score)

1. นักเรียนสามารถอธิบายการใช้พลังงาน - ตรวจใบงาน ช้ินงาน - แบบทดสอบก่อน - นักเรยี นผ่านเกณฑ์

ไฟฟา้ ในบ้านได้ (K) หรือภาระงาน เรียน รอ้ ยละ 70 ขนึ้ ไป

2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ - แบบประเมินทกั ษะ - ระดบั คุณภาพ ดี

รวบรวมขอ้ มูลได้ (P) สังเกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ขึน้ ไป

สังเกตพฤติกรรมการ

ทางานกลมุ่

3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมั่นในการ - ประเมินจากการ -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดบั คุณภาพ ดี

ทางานได้ (A) สงั เกตพฤตกิ รรม พฤติกรรม ข้ึนไป

สาระการเรยี นรู้
1. การใช้พลังงานไฟฟา้ ในบ้าน

กิจกรรมการเรียนรู้ (กิจกรรม Active Learning)
ข้นั นาเข้าสบู่ ทเรียน

1) ครูถามคาถามนกั เรยี นเพ่ือกระตนุ้ ความสนใจ เชน่
– ในแต่ละวัน นกั เรียนใชพ้ ลังงานใดมากทส่ี ดุ (แนวคาตอบ พลังงานไฟฟ้า)
– พลงั งานดังกลา่ วมีประโยชนอ์ ยา่ งไร (แนวคาตอบ ช่วยให้เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าต่างๆ ทางานได้)

2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับคาตอบ เพ่ือเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้
เรื่อง การใช้พลังงานไฟฟา้ ในบ้าน

ขัน้ จดั กจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรยี นรูโ้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึง่ มขี ั้นตอนดังน้ี

1) ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบ่งกลมุ่ นกั เรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเก่ียวกับการใช้พลังงานไฟฟ้า

ในบ้านท่ีครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพ่ือน ๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมานาเสนอ
ข้อมูลหนา้ ห้องเรียน

(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทึก
ของนกั เรยี น และถามคาถามเกยี่ วกบั ภาระงาน ดงั นี้

– ยกตัวอยา่ งเคร่ืองใช้ไฟฟ้ามา 3 ชนิด (แนวคาตอบ เตารีดไฟฟา้ หลอดไฟฟ้า และวิทย)ุ
– เคร่ืองใช้ไฟฟ้าเหล่าน้ีเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานใด (แนวคาตอบ เตารีดไฟฟ้าเปลี่ยน
พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน หลอดไฟฟ้าเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานแสง และวิทยุเปล่ียน
พลงั งานไฟฟ้าเป็นพลงั งานเสยี ง)
(3) ครเู ปิดโอกาสให้นกั เรยี นตั้งประเด็นคาถามทีน่ กั เรยี นสงสัยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1
คาถาม ซง่ึ ครใู หน้ ักเรยี นเตรียมมาลว่ งหน้า และใหน้ ักเรยี นช่วยกนั ตอบและแสดงความคิดเห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า พลังงาน
ไฟฟ้าสามารถเปลี่ยนเปน็ พลงั งานรปู อ่ืนได้ โดยอาศยั อปุ กรณ์ที่เรยี กวา่ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้า
2) ขนั้ สารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้าในบ้าน จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครู
ช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ปัจจุบันมีการประดิษฐ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านข้ึนหลากหลายชนิด ซึ่งในเชิง
วทิ ยาศาสตร์ เคร่ืองใช้ไฟฟ้า หมายถึง อุปกรณ์ที่เปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปอ่ืน โดยที่พลังงานรูปอื่น
น้ันสามารถทางานให้แก่เราได้ เราจาแนกเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านได้ตามพลังงานไฟฟ้าท่ีเปลี่ยนเป็นพลังงานรูป
อืน่ เช่น พลงั งานความรอ้ น พลังงานเสียง พลงั งานแสง และพลงั งานกล
(2) ครูแบ่งนกั เรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน แล้วใหน้ ักเรยี นสารวจเคร่ืองใช้ไฟฟ้าบริเวณบ้านและโรงเรียน
บันทึกผล จากน้ันร่วมกันอภิปรายว่า เคร่ืองใช้ไฟฟ้าที่นักเรียนสารวจพบเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานใด
แลว้ สรุปผลและนาเสนอขอ้ มลู หน้าห้องเรียน
(3) ครูและนกั เรียนรว่ มกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของข้อมลู ท่ีได้จากการปฏิบัติกจิ กรรม
(4) ครคู อยแนะนาชว่ ยเหลอื นกั เรยี นขณะปฏบิ ัตกิ ิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ใหน้ กั เรียนทกุ คนซกั ถามเมอ่ื มปี ญั หา
3) ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation)
(1) นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรมหนา้ ห้องเรยี น
(2) ครูและนกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น
– เครื่องใช้ไฟฟ้าที่สารวจพบมีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ โทรทัศน์ ตู้เย็น เตารีดไฟฟ้า หลอดไฟฟ้า
พดั ลม และหม้อหุงข้าวไฟฟ้า)

– เครื่องใช้ไฟฟ้าท่ีสารวจพบเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานใด (แนวคาตอบ โทรทัศน์เปล่ียน
พลงั งานไฟฟา้ เปน็ พลงั งานแสงและพลังงานเสียง ตู้เย็นและพัดลมเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล เตารีด
ไฟฟา้ และหมอ้ หุงข้าวไฟฟ้าเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน และหลอดไฟฟ้าเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า
เป็นพลังงานแสง)

– เคร่ืองใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดใช้พลังงานไฟฟ้าเท่ากันหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ ไม่เท่ากัน โดย
เครื่องใช้ไฟฟา้ แต่ละชนิดใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ แตกต่างกันข้ึนอยู่กับระยะเวลาท่ีใช้งานและขนาดของเคร่ืองใช้ไฟฟ้า
น้นั ๆ)

(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การใช้
พลงั งานไฟฟ้าในบา้ นเปน็ การใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้าในการเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปอ่ืน เพ่ือช่วยอานวย
ความสะดวกในการดาเนินชีวิต

4) ข้ันขยายความรู้ (Elaboration)
นั กเรี ย น ค้น คว้าค าศัพท์ภ า ษาต่างป ร ะเทศเ กี่ย ว กับก าร ใช้พลั งงาน ไฟ ฟ้าใน บ้า น จ ากห นั งสื อเรี ย น
ภาษาต่างประเทศหรืออินเทอร์เน็ต และนาเสนอให้เพื่อนในหอ้ งฟงั คดั คาศัพทพ์ ร้อมทั้งคาแปลลงสมุดสง่ ครู

5) ขัน้ ประเมนิ (Evaluation)
(1) ครใู หน้ กั เรยี นแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่ีเรยี นมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เขา้ ใจหรอื ยังมขี อ้ สงสยั ถ้ามี ครชู ว่ ยอธิบายเพมิ่ เติมให้นักเรียนเขา้ ใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรทู้ ไี่ ด้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนักเรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น

– ยกตัวอย่างเคร่ืองใช้ไฟฟ้าในบ้านของนักเรียนท่ีเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปอ่ืนได้
หลายรูปในขณะเดยี วกัน พร้อมท้ังระบุว่า เปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปใด (แนวคาตอบ โทรทัศน์ โดย
เปล่ยี นพลงั งานไฟฟา้ เป็นพลังงานแสงและพลังงานเสียง)

– ในแต่ละเดือน ท่ีบ้านของนักเรียนกับที่บ้านของเพื่อนใช้พลังงานไฟฟ้าเท่ากันหรือไม่ สังเกต
จากอะไร (แนวคาตอบ ไมเ่ ท่ากนั โดยสงั เกตจากค่าไฟฟ้าทต่ี ้องจา่ ยในแต่ละเดือน)

ขั้นสรุป
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับโรคถุงลมโป่งพอง โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท่ีความคิดหรือผัง

มโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาของบทเรียนช่ัวโมงหน้า เพ่ือจัดการเรียนรู้ครั้ง

ต่อไป โดยใหน้ กั เรียนศกึ ษาคน้ คว้าล่วงหน้าในหวั ข้อระบบขับถา่ ย
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามท่ีสงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพ่ือนามาอภิปราย

ร่วมกันในห้องเรียนครง้ั ตอ่ ไป

ส่อื และแหล่งการเรยี นรู้
1. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน หรอื อินเทอรเ์ นต็
2. คูม่ อื การสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 เล่ม 2
3. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

เลม่ 2

แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 24

รายวิชาวิทยาศาสตร์ (พื้นฐาน) รหัสวิชา ว23102 กล่มุ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 7 ไฟฟ้าเเละอิเล็กทรอนิกส์ เร่อื งกาลังไฟฟ้าและพลังงานไฟฟ้า เวลา2ชัว่ โมง/คาบ

วันที่ …………………….……………………………….. ครผู ้สู อน นางสาวอังคณา ปาสานะโม

สาระสาคญั
กาลังไฟฟ้าเปน็ ค่าของพลงั งานไฟฟา้ ท่ีเครือ่ งใช้ไฟฟา้ ใช้ไปในเวลา 1 วินาที และพลังงานไฟฟ้าเป็นงาน

ท่ีตอ้ งทาในการเคลอ่ื นประจไุ ฟฟ้าผ่านจดุ ใดจดุ หน่งึ ในวงจรไฟฟา้

มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง

สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และ
คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตัวชว้ี ดั
ว 2.3 ม. 3/8 อธิบายและคานวณพลังงานไฟฟา้ โดยใชส้ มการ W = Pt รวมทง้ั คานวณค่าไฟฟา้ ของ

เคร่ืองใช้ไฟฟ้าในบ้าน

คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551

 รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์  ซอื่ สตั ย์สุจรติ  มีวินัย  ใฝเ่ รียนรู้

 อยอู่ ย่างพอเพยี ง  มงุ่ มั่นในการทางาน  รักความเปน็ ไทย  มจี ติ สาธารณะ

............................................................................................................................. .............................................

ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน

 ความสามารถในการสือ่ สาร :………………………………………………………..

 ความสามารถในการคิด :………………………………………………………..

 ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี :………………………………………………………..

ดา้ นการอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขียน

 การอา่ น :…………………………………………………………………………..

 การคิดวเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..

 การเขยี น :…………………………………………………………………………..

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. นกั เรียนสามารถคานวณหากาลงั ไฟฟ้าและพลงั งานไฟฟ้าได้ (K)
2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเกบ็ รวบรวมข้อมูลได้ (P)
3. นกั เรียนสามารถแสดงความมงุ่ มัน่ ในการทางานได้ (A)

การวดั และการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ผู้ประเมิน  ครผู สู้ อน  นักเรยี น  เพื่อน  ผ้ปู กครอง

ช้ินงาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลักฐานการเรยี นรู้

สิง่ ทต่ี ้องการวดั /ประเมนิ วิธกี ารวดั เครื่องมอื การวดั เกณฑ์การให้คะแนน

ระดบั คุณภาพ

(Rubric Score)

1. นักเรียนสามรถคานวณหากาลังไฟฟ้า - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน -ใบงาน ช้ินงานหรือ - นักเรยี นผา่ นเกณฑ์

และพลังงานไฟฟา้ ได้ (K) หรอื ภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ข้นึ ไป

2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ -ประเมินจากการ - แบบประเมนิ ทักษะ - ระดบั คุณภาพ ดี
-แบบประเมนิ การ ข้นึ ไป
รวบรวมข้อมลู ได้ (P) สังเกตพฤติกรรม สงั เกตพฤติกรรมการ
ทางานกล่มุ

3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการ -ประเมินจากการ -แบบสงั เกต - ระดบั คุณภาพ ดี
พฤติกรรม ข้นึ ไป
ทางานได้ (A) สังเกตพฤตกิ รรม

สาระการเรยี นรู้
1. กาลงั ไฟฟา้ และพลังงานไฟฟา้

กจิ กรรมการเรียนรู้ (กจิ กรรม Active Learning)

ขน้ั นาเข้าสบู่ ทเรยี น
1) ครถู ามคาถามนกั เรยี นเพอื่ กระต้นุ ความสนใจ เชน่

– ทีบ่ ้านของนักเรยี นมีเครือ่ งใช้ไฟฟา้ อะไรบ้าง (แนวคาตอบ เตารีดไฟฟ้า พัดลม ตู้เย็น และหม้อ
หุงข้าวไฟฟ้า)

– นักเรียนเคยสังเกตส่ิงที่ระบุรายละเอียดกากับมากับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ หรือไม่ รายละเอียด
เหล่านั้นบอกถึงอะไร (แนวคาตอบ เคย รายละเอียดเหล่านั้นบอกถึงความต่างศักย์และกาลังไฟฟ้าที่
เครื่องใชไ้ ฟฟ้าใชใ้ นการทางาน)

2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้
เรอ่ื ง กาลังไฟฟา้ และพลงั งานไฟฟ้า

ข้นั จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึ่งมีขัน้ ตอนดังน้ี
1) ขัน้ สรา้ งความสนใจ (Engagement)
(1) ครถู ามคาถามนักเรียนเพ่ือกระตุน้ ความสนใจ เชน่

– เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดใช้พลังงานไฟฟ้าเท่ากันหรือไม่ สังเกตจากอะไร (แนวคาตอบ ไม่
เทา่ กนั สงั เกตจากตวั เลขทก่ี ากับไวท้ แี่ ผน่ ชือ่ ท่ตี ดิ มากับเคร่ืองใช้ไฟฟา้ นัน้ ๆ)

(2) นกั เรยี นร่วมกนั อภปิ รายหาคาตอบเกย่ี วกับคาถามตามความคดิ เห็นของแตล่ ะคน
2) ข้นั สารวจและค้นหา (Exploration)

(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเร่ืองกาลังไฟฟ้าและพลังงานไฟฟ้า จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครู
ชว่ ยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า เคร่ืองใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดใช้พลังงานไฟฟ้ามากน้อยเพียงใด เราสามารถสังเกต
ได้จากตัวเลขท่ีกากับไว้ที่แผ่นชื่อที่ติดไว้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าน้ันๆ เช่น เตารีดไฟฟ้ามีตัวเลขกากับไว้ว่า 220 V
1,000 W หมายความว่า เตารีดไฟฟ้าน้ีเม่ือใช้กับความต่างศักย์ 220 โวลต์ จะให้กาลังไฟฟ้า 1,000 วัตต์
โดยกาลังไฟฟ้า คือ ค่าของพลังงานไฟฟ้าที่เตารีดไฟฟ้าใช้ไปในเวลา 1 วินาที ดังนั้นตัวเลข 1,000 W จึง
หมายความวา่ เตารดี ไฟฟ้าใชพ้ ลังงานไฟฟ้า 1,000 จลู ในเวลา 1 วินาที

(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน สืบค้นข้อมูลเก่ียวกับกาลังไฟฟ้าและพลังงานไฟฟ้า ตาม
ข้นั ตอนดงั น้ี

– แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพ่ือนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามท่ี
สมาชิกกลุ่มช่วยกันกาหนดหัวข้อย่อย เช่น ความหมายของกาลังไฟฟ้า หน่วยของกาลังไฟฟ้า ความหมายของ
พลงั งานไฟฟ้า และหน่วยของพลงั งานไฟฟ้า

– สมาชิกกลุ่มแต่ละคนหรือกลุ่มย่อยช่วยกันสืบค้นข้อมูลตามหัวข้อย่อยท่ีตนเองรับผิดชอบ โดย
การสืบคน้ จากหนงั สือ วารสาร สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออินเทอรเ์ น็ต

– สมาชิกกลุ่มนาข้อมูลท่ีสืบค้นได้มารายงานให้เพื่อน ๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมท้ังร่วมกัน
อภิปรายซกั ถามจนคาดว่าสมาชกิ ทุกคนมคี วามรู้ความเขา้ ใจท่ตี รงกัน

– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ท่ีได้ทั้งหมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทารายงาน
การศกึ ษาคน้ ควา้ เก่ยี วกบั กาลังไฟฟา้ และพลงั งานไฟฟ้า

(3) ครูและนกั เรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู ที่ไดจ้ ากการปฏิบัติกจิ กรรม
(4) ครคู อยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกจิ กรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ให้นกั เรยี นทุกคนซักถามเมื่อมีปญั หา
3) ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
(1) นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครแู ละนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกจิ กรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เชน่

– กาลังไฟฟ้าคืออะไร และมีหน่วยเป็นอะไร (แนวคาตอบ ค่าของพลังงานไฟฟ้าท่ีเครื่องใช้ไฟฟ้า
ใชไ้ ปในเวลา 1 วินาที มหี น่วยเปน็ จูล/วินาทีหรือวตั ต์)

– พลังงานไฟฟ้าคืออะไร และมีหน่วยเป็นอะไร (แนวคาตอบ งานท่ีต้องทาในการเคลื่อนประจุ
ไฟฟ้าผา่ นจดุ ใดจดุ หนึง่ ในวงจรไฟฟ้า มหี น่วยเป็นจลู )

(3) ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า กาลังไฟฟ้า
เป็นค่าของพลังงานไฟฟ้าท่ีเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้ไปในเวลา 1 วินาที มีหน่วยเป็นจูล/วินาทีหรือวัตต์ส่วนพลังงาน
ไฟฟา้ เปน็ งานทีต่ อ้ งทาในการเคล่ือนประจุไฟฟ้าผ่านจดุ ใดจุดหนึง่ ในวงจรไฟฟ้า มหี นว่ ยเป็นจูล

4) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธบิ ายเพิ่มเติมเกย่ี วกับการคิดกาลังไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสตรงให้นักเรียนเข้าใจว่า กาลังไฟฟ้า

ของไฟฟ้ากระแสตรงท่ีผลติ จากแบตเตอร่ี ถา่ นไฟฉาย และเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรงคานวณได้จากสมการ
ดังนี้

P = VI
เม่ือ P คือ กาลงั ไฟฟ้าทใี่ ช้ในเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ มีหนว่ ยเป็นวตั ต์ (W)

V คือ ความตา่ งศกั ยท์ ่ีตอ่ กับเครื่องใชไ้ ฟฟ้ามีหน่วยเป็นโวลต์ (V)
I คอื กระแสไฟฟา้ ทไ่ี หลผ่านเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้ามีหนว่ ยเปน็ แอมแปร์ (A)
(2) ครูอธบิ ายเพิม่ เติมเกย่ี วกบั การคดิ กาลังไฟฟ้าของไฟฟา้ กระแสสลับให้นักเรียนเข้าใจว่า กาลังไฟฟ้า
กระแสสลับของเคร่ืองใช้ไฟฟ้าที่มีความต้านทานอย่างเดียว เช่น หลอดไฟฟ้า เตาไฟฟ้า และเตารีดไฟฟ้า
คานวณได้จากสมการเดียวกับไฟฟ้ากระแสตรง คือ P = VI ส่วนกาลังไฟฟ้ากระแสสลับของเคร่ืองใช้ไฟฟ้าที่มี
ขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า พัดลม แบลลัสต์ และเคร่ืองปรับอากาศ คานวณได้จากสมการ
P = VI × ตัวประกอบกาลัง โดยตัวประกอบกาลังเป็นค่าตัวเลขที่มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 1 ซ่ึงเป็นค่าประจา
เครือ่ งใช้ไฟฟา้ ท้งั หลายทีใ่ ชก้ บั ไฟฟ้ากระแสสลับ
(3) ครยู กตวั อย่างการคานวณหาปริมาณตา่ งๆ ที่เกยี่ วกบั กาลังไฟฟ้าในหนังสือเรียน เพื่อให้นักเรียนได้
ฝกึ ทกั ษะการคิดคานวณ
(4) ครูอธิบายเพิ่มเตมิ เกี่ยวกับการคดิ พลังงานไฟฟา้ ให้นกั เรียนเขา้ ใจว่า พลงั งานไฟฟ้า หมายถึง งานที่
ตอ้ งทาในการเคลื่อนประจุไฟฟ้าผ่านจุดใดจุดหนง่ึ ในวงจรไฟฟ้า คานวณไดจ้ ากสมการดงั นี้
W = Pt
เมอ่ื W คอื พลังงานไฟฟา้ มีหนว่ ยเปน็ จลู (J)
P คือ กาลงั ไฟฟ้า มหี น่วยเป็นวัตต์ (W)
t คือ เวลาท่ีใช้ มหี นว่ ยเปน็ วินาที (s)
ในกรณีที่เราต้องการแปลงหน่วยพลังงานไฟฟ้าให้ใหญ่กว่าหน่วยจูล อาจเทียบได้จาก 1,000 วัตต์
เท่ากบั 1 กโิ ลวตั ต์ และเม่อื ต้องการคิดว่าการใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ ในเวลา 1 ชัว่ โมง จะได้หน่วยที่เรียกว่า กิโลวัตต์
– ชัว่ โมง (kW–h) หรือ หน่วย (unit) ซึง่ สามารถคานวณไดจ้ ากสมการดงั นี้
พลงั งานไฟฟา้ (หน่วย) = กาลังไฟฟา้ (กิโลวตั ต)์ × เวลา (ชั่วโมง)
(5) ครูยกตัวอย่างการคานวณหาพลังงานไฟฟ้า ในหนังสือเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการคิด
คานวณ
5) ข้นั ประเมิน (Evaluation)
(1) ครใู ห้นกั เรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่เี รยี นมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างที่ยังไม่
เข้าใจหรือยังมขี ้อสงสัย ถา้ มี ครูช่วยอธิบายเพม่ิ เตมิ ใหน้ กั เรยี นเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อยา่ งไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรทู้ ไ่ี ดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
(4) ครทู ดสอบความเข้าใจของนกั เรยี นโดยการใหต้ อบคาถาม เชน่
– การคดิ กาลังไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสตรงทาได้อย่างไร (แนวคาตอบ ทาได้โดยนากระแสไฟฟ้าที่
ไหลผ่านเครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าคูณด้วยความต่างศักย์ที่ต่อกบั เคร่ืองใช้ไฟฟา้ )

– การคิดกาลังไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลับมีก่ีวิธี อะไรบ้าง (แนวคาตอบ มี 2 วิธี คือ การคิด
กาลังไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าท่ีใช้ไฟฟ้ากระแสสลับท่ีมีความต้านทานอย่างเดียว โดยใช้สมการ P = VI และ
การคิดกาลงั ไฟฟ้าของเคร่อื งใช้ไฟฟ้าทใ่ี ช้ไฟฟ้ากระแสสลับและมขี ดลวดแม่เหล็กไฟฟ้า โดยใช้สมการ P = VI ×
ตวั ประกอบกาลัง)

ขั้นสรปุ
1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับกาลังไฟฟ้าและพลังงานไฟฟ้า โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท่ี

ความคดิ หรอื ผงั มโนทัศน์
2. ครใู หน้ กั เรียนทาแบบฝึกหดั เรอ่ื งการคานวณหาค่าพลงั งานไฟฟา้ เป็นการบ้าน

ส่อื และแหล่งการเรยี นรู้
1. แบบฝึกหดั เรื่องการคานวณหาคา่ พลงั งานไฟฟา้
2. หนังสอื วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรอื อินเทอร์เน็ต
3. คู่มือการสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่ม 2
4. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3

เลม่ 2

แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 25

รายวชิ าวิทยาศาสตร์ (พื้นฐาน) รหัสวิชา ว23102 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564
เวลา 2 ชัว่ โมง/คาบ
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 7 ไฟฟา้ เเละอเิ ล็กทรอนกิ ส์ เรือ่ งการคิดค่าไฟฟา้

วนั ที่ …………………….……………………………….. ครูผู้สอน นางสาวอังคณา ปาสานะโม

สาระสาคญั
ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ค่าไฟฟ้าฐาน ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) และ

ภาษมี ลู คา่ เพม่ิ นอกจากนี้ผใู้ ช้ไฟฟ้ายังตอ้ งจา่ ยค่าบริการรายเดือนอีกดว้ ย

มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง

สสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง แสง และ
คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมทง้ั นาความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตวั ชว้ี ดั
ว 2.3 ม. 3/8 อธิบายและคานวณพลังงานไฟฟา้ โดยใชส้ มการ W = Pt รวมท้ังคานวณคา่ ไฟฟ้าของ

เครื่องใช้ไฟฟา้ ในบ้าน

คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551

 รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์  ซือ่ สัตยส์ จุ ริต  มีวินยั  ใฝ่เรยี นรู้

 อยอู่ ย่างพอเพียง  ม่งุ มน่ั ในการทางาน  รักความเปน็ ไทย  มีจติ สาธารณะ

............................................................................................................................. .............................................

ด้านสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน

 ความสามารถในการส่อื สาร :………………………………………………………..

 ความสามารถในการคดิ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ :………………………………………………………..

 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี :………………………………………………………..

ด้านการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียน

 การอา่ น :…………………………………………………………………………..

 การคิดวิเคราะห์ :…………………………………………………………………………..

 การเขยี น :…………………………………………………………………………..

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. นักเรยี นสามารถอธิบายวิธีคดิ คา่ ไฟฟ้าได้ (K)
2. นกั เรียนสามารถคานวณหาค่าไฟฟ้าท่ีต้องจ่ายในแต่ละเดอื นได้ (K)
3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บรวบรวมข้อมลู ได้ (P)
4. นกั เรยี นสามารถแสดงความมงุ่ มนั่ ในการทางานได้ (A)

การวัดและการประเมินผลการเรยี นรู้
ผปู้ ระเมนิ  ครูผสู้ อน  นกั เรยี น  เพ่ือน  ผูป้ กครอง

ชนิ้ งาน/ภาระงาน /ร่องรอย/หลกั ฐานการเรียนรู้

ส่ิงท่ตี ้องการวัด/ประเมนิ วธิ กี ารวัด เครือ่ งมือการวัด เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

1. นักเรยี นสามรถอธบิ ายวธิ ีคิดค่าไฟฟ้าได้ ระดบั คุณภาพ
(K)
2. นกั เรยี นสามารถคานวณหาค่าไฟฟ้าที่ต้อง (Rubric Score)
จ่ายในแตล่ ะเดือนได้ (K)
- ตรวจใบงาน ช้ินงาน -ใบงาน ช้ินงานหรือ - นักเรียนผา่ นเกณฑ์

หรือภาระงาน ภาระงาน ร้อยละ 70 ขึ้นไป

3. นักเรยี นสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แบบประเมินทกั ษะ - ระดบั คณุ ภาพ ดี
รวบรวมข้อมลู ได้ (P) สงั เกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ขน้ึ ไป

สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกลุ่ม

4. นักเรียนสามารถแสดงความม่งุ มน่ั ในการ -ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดบั คุณภาพ ดี

ทางานได้ (A) สงั เกตพฤติกรรม พฤตกิ รรม ข้นึ ไป

สาระการเรยี นรู้
1. การคิดค่าไฟฟ้า

กิจกรรมการเรียนรู้ (กจิ กรรม Active Learning)

ขน้ั นาเข้าสู่บทเรยี น
1) ครูถามคาถามนักเรียนเพื่อกระตนุ้ ความสนใจ เช่น

– ในแต่ละเดือน ที่บ้านของนักเรียนจ่ายค่าไฟฟ้าเท่ากับท่ีบ้านของเพ่ือนหรือไม่ (แนวคาตอบ ไม่
เทา่ กบั ท่บี า้ นของเพ่ือน)

– การคานวณหาค่าไฟฟ้าทาได้อย่างไร (แนวคาตอบ ทาได้โดยนาค่าไฟฟ้าฐาน ค่าไฟฟ้าผันแปร
(Ft) ภาษมี ลู ค่าเพิ่ม และคา่ บรกิ ารรายเดอื นมาบวกกนั )

2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้
เร่ือง การคดิ คา่ ไฟฟา้

ข้นั จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
จัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึง่ มีขน้ั ตอนดงั น้ี

1) ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูใหน้ กั เรยี นดใู บเสรจ็ รับเงินค่าไฟฟ้า แล้วให้นักเรียนรว่ มกันอภปิ ราย ดงั นี้
– ใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าบอกถึงสิ่งใดเกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้า (แนวคาตอบ จานวนหน่วยของ

พลังงานไฟฟ้าทใี่ ชใ้ นแตล่ ะเดือน ภาษีมลู ค่าเพิม่ และคา่ ไฟฟ้ารวมท่ตี อ้ งจ่ายในเดือนนัน้ ๆ)
(2) นักเรยี นร่วมกันอภปิ รายหาคาตอบเกีย่ วกบั คาถามตามความคดิ เห็นของแต่ละคน

2) ข้นั สารวจและคน้ หา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้า จากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วย

อธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การใช้พลังงานไฟฟ้าในแต่ละเดือน การไฟฟ้าจะคิดค่าพลังงานไฟฟ้าท่ีใช้ไปโดยใช้
มาตรไฟฟ้าหรือกิโลวัตต์–ช่ัวโมงมิเตอร์ จากนั้นการไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะออกใบแจ้ง
หนี้ค่าไฟฟ้าเพ่ือแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไป และเม่ือผู้ใช้ไฟฟ้าจ่ายค่าไฟฟ้าจะได้รับ
ใบเสร็จรบั เงนิ เพื่อเปน็ หลักฐานในการจา่ ยคา่ ไฟฟ้า

(2) ครแู บง่ นักเรียนกล่มุ ละ 5 – 6 คน สบื ค้นข้อมูลเกยี่ วกับพลงั งานไฟฟา้ ตามขนั้ ตอนดังนี้
– แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามท่ี

สมาชิกกลุ่มช่วยกันกาหนดหัวข้อย่อย เช่น ปัจจัยที่มีผลต่อพลังงานไฟฟ้า อุปกรณ์ท่ีใช้วัดพลังงานไฟฟ้า และ
แนวทางการประหยดั พลงั งานไฟฟ้า

– สมาชิกกลุ่มแต่ละคนหรือกลุ่มย่อยช่วยกันสืบค้นข้อมูลตามหัวข้อย่อยท่ีตนเองรับผิดชอบ โดย
การสบื คน้ จากหนังสือ วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรอื อินเทอรเ์ นต็

– สมาชิกกลุ่มนาข้อมูลท่ีสืบค้นได้มารายงานให้เพื่อน ๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมท้ังร่วมกัน
อภิปรายซักถามจนคาดวา่ สมาชิกทกุ คนมคี วามรูค้ วามเข้าใจท่ตี รงกนั

– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ท้ังหมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทารายงาน
การศกึ ษาคน้ ควา้ เกีย่ วกบั พลังงานไฟฟา้

(3) ครูและนักเรียนร่วมกนั ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู ท่ไี ดจ้ ากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม
(4) ครูคอยแนะนาชว่ ยเหลอื นักเรียนขณะปฏิบตั กิ จิ กรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ให้นักเรยี นทกุ คนซักถามเมอื่ มีปัญหา
3) ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation)
(1) นักเรียนแตล่ ะกลุม่ นาเสนอผลการปฏบิ ัติกจิ กรรมหนา้ ห้องเรียน
(2) ครแู ละนักเรียนร่วมกนั อภิปรายผลจากการปฏิบัตกิ ิจกรรม โดยใช้แนวคาถาม เชน่

– ปจั จยั ใดมผี ลตอ่ พลงั งานไฟฟา้ และมคี วามสมั พนั ธ์กันลกั ษณะใด (แนวคาตอบ กาลังไฟฟ้าและ
เวลา โดยพลงั งานไฟฟ้าแปรผนั ตรงกับกาลงั ไฟฟ้าและเวลา)

– อปุ กรณท์ ี่ใช้วดั พลังงานไฟฟ้าคอื อะไร (แนวคาตอบ มาตรไฟฟ้าหรือกโิ ลวัตต์–ชวั่ โมงมเิ ตอร์)
– วิธปี ระหยดั พลังงานไฟฟ้าทาได้โดยวธิ ใี ด (แนวคาตอบ โดยการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าท่ีมีกาลังไฟฟ้า
ตา่ ลดจานวนช่วั โมงในการใช้ และตรวจสภาพเคร่ืองใช้ไฟฟา้ อยา่ งสมา่ เสมอ)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า พลังงาน
ไฟฟ้าท่ีใช้ในแต่ละเดือนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกาลังไฟฟ้าของเคร่ืองใช้ไฟฟ้าและระยะเวลาในการใช้
เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้า ดงั นน้ั ควรเลอื กใชเ้ คร่ืองใช้ไฟฟ้าที่มคี ุณภาพ และใช้อย่างประหยัด ถกู ตอ้ ง และปลอดภัย
4) ข้ันขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธบิ ายเพิม่ เติมเก่ียวกับการคิดค่าไฟฟ้าให้นักเรียนเข้าใจว่า การคิดค่าไฟฟ้าหรือค่าพลังงานไฟฟ้า
มอี งค์ประกอบ 3 สว่ น คือ ค่าไฟฟา้ ฐาน ค่าไฟฟ้าผนั แปร (Ft) และภาษมี ูลคา่ เพม่ิ ซง่ึ สมั พันธ์กันดงั น้ี
ค่าพลังงานไฟฟา้ ตอ่ เดอื น = คา่ ไฟฟา้ ฐาน + คา่ ไฟฟ้าผันแปร (Ft) + ภาษมี ลู คา่ เพม่ิ
1) คา่ ไฟฟา้ ฐาน = จานวนหน่วยที่ใชต้ ่อเดือน × อัตราคา่ พลังงานไฟฟ้า
2) ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) เป็นตัวเลขที่เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรี ซ่ึงนาไปคูณกับจานวน
หนว่ ยของพลงั งานไฟฟา้ ท้ังหมดที่ใช้ใน 1 เดอื น
3) ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นตัวเลขที่ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องเป็นผู้รับภาระตามกฎหมายกาหนด นอกจากน้ี
ผใู้ ชไ้ ฟฟา้ ยงั ต้องรบั ผดิ ชอบคา่ บริการรายเดือนอีกด้วย
(2) ครยู กตวั อย่างการคิดคา่ ไฟฟา้ ในหนงั สือเรยี น เพอื่ ให้นกั เรยี นได้ฝกึ ทักษะการคิดคานวณ
5) ขัน้ ประเมิน (Evaluation)
(1) ครใู ห้นกั เรยี นแต่ละคนพจิ ารณาวา่ จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เขา้ ใจหรอื ยงั มขี อ้ สงสยั ถ้ามี ครูชว่ ยอธิบายเพม่ิ เติมใหน้ ักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อย่างไรบา้ ง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรู้ทีไ่ ดไ้ ปใช้ประโยชน์
(4) ครทู ดสอบความเข้าใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– การคิดค่าไฟฟ้ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง (แนวคาตอบ ค่าไฟฟ้าฐาน ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft)
ภาษีมูลคา่ เพ่ิม และค่าบริการรายเดือน)
– ถ้านักเรียนต้องการเปรียบเทียบว่านักเรียนประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากหรือน้อยเพียงใด
นักเรียนควรดูจากค่าใดในใบแจ้งหน้ีค่าไฟฟ้า เพราะอะไร (แนวคาตอบ ดูจากค่าในช่องจานวนหน่วย เพราะ
เปน็ พลังงานไฟฟา้ ที่ใชใ้ นแต่ละเดือน ซึง่ จานวนหนว่ ยขน้ึ อยกู่ บั ปรมิ าณพลงั งานไฟฟ้าทีใ่ ช้จรงิ )

ขั้นสรุป
1.ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกบั การคิดค่าไฟฟ้า โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผังมโน

ทัศน์
2. ให้นักเรยี นทาใบงานเรือ่ งการคานวณคา่ ไฟฟา้ เปน็ การบ้าน

สือ่ และแหลง่ การเรียนรู้
1. ใบเสรจ็ รบั เงนิ คา่ ไฟฟา้
2. แบบฝึกหัดเร่อื งการคานวณค่าไฟฟา้
3. หนังสือ วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออนิ เทอรเ์ นต็
4. คมู่ ือการสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่ม 1
5. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3

เล่ม 2


Click to View FlipBook Version