แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 26
รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (พืน้ ฐาน) รหัสวิชา ว23102 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 8 วัสดุในชวี ิตประจาวนั เรือ่ งพอลเิ มอร์ (1) เวลา 2 ชั่วโมง/คาบ
วันท่ี …………………….………………………… ครูผสู้ อน นางสาวอังคณา ปาสานะโม
สาระสาคัญ
พอลิเมอรเ์ ป็นสารประกอบโมเลกลุ ใหญ่ทเ่ี กิดจากโมเลกลุ จานวนมากรวมตัวกันทางเคมี เช่น พลาสติก
ยาง และเส้นใย โดยพลาสติกเป็นพอลิเมอร์ท่ีมีสมบัติเด่น คือ ข้ึนรูปเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ นอกจากน้ียังมีสมบัติ
อื่น ๆ ท่ีทาให้พลาสติกถกู นาไปใช้งานไดห้ ลากหลาย เชน่ เปน็ ฉนวนความร้อนและฉนวนไฟฟ้า
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสาร
กบั โครงสร้างและแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การ
เกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี
ตัวชีว้ ัด
ว 2.1 ม. 3/1 ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิกส์ และ
วสั ดุผสม โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์และสารสนเทศ
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551
รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ซ่อื สัตยส์ ุจรติ มีวนิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้
อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมน่ั ในการทางาน รักความเปน็ ไทย มีจิตสาธารณะ
............................................................................................................................. .............................................
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
ความสามารถในการสอ่ื สาร :………………………………………………………..
ความสามารถในการคดิ :………………………………………………………..
ความสามารถในการแกป้ ัญหา :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี :………………………………………………………..
ดา้ นการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียน
การอา่ น :…………………………………………………………………………..
การคิดวิเคราะห์ :…………………………………………………………………………..
การเขียน :…………………………………………………………………………..
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. นักเรยี นสามารถอธบิ ายสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชนจ์ ากพลาสติกได้ (K)
2. นกั เรียนสามารถแสดงทักษะการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้ (P)
3. นกั เรียนสามารถแสดงความมงุ่ ม่ันในการทางานได้ (A)
การวัดและการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ผปู้ ระเมิน ครูผ้สู อน นักเรยี น เพื่อน ผู้ปกครอง
ชิ้นงาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลกั ฐานการเรยี นรู้
สงิ่ ท่ีต้องการวดั /ประเมนิ วิธีการวัด เครือ่ งมือการวัด เกณฑก์ ารให้คะแนน
ระดับคณุ ภาพ
(Rubric Score)
1. นักเรียนสามารถอธิบายสมบัติทาง - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน - ใบงาน ช้ินงานหรือ - นกั เรยี นผา่ นเกณฑ์
กายภาพและการใช้ประโยชน์จากพลาสติกได้ หรือภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ข้ึนไป
(K)
2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ -แบบประเมินทักษะ - ระดับคุณภาพ ดี
รวบรวมข้อมูลได้ (P) สงั เกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ขึ้นไป
สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกลุม่
3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมั่นในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดับคณุ ภาพ ดี
ทางานได้ (A) สงั เกตพฤตกิ รรม พฤติกรรม ขน้ึ ไป
สาระการเรียนรู้
- พลาสตกิ
กิจกรรมการเรียนรู้ (กิจกรรม Active Learning)
ครดู าเนินการทดสอบกอ่ นเรียน โดยใหน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรยี น เพือ่ ตรวจสอบความพรอ้ ม
และพน้ื ฐานของนักเรยี น
ขน้ั นาเขา้ ส่บู ทเรยี น
1) ครูถามคาถามเก่ยี วกับประสบการณ์เดิมของนักเรียน เช่น
– นกั เรยี นใชว้ ัสดุใดในชวี ิตประจาวันบ้าง (แนวคาตอบ พลาสติก ยาง และเส้นใย)
– นกั เรยี นใชว้ สั ดใุ ดมากทส่ี ุด เพราะอะไร (แนวคาตอบ พลาสติก เพราะมสี มบตั ทิ ่ีนามาใชง้ านได้
หลากหลาย)
2) นกั เรยี นร่วมกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกับคาตอบ เพอ่ื เชอื่ มโยงไปสู่การเรียนรเู้ ร่ือง
พอลเิ มอร์
ขน้ั จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึง่ มขี นั้ ตอนดงั น้ี
1) ข้นั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับพอลิเมอร์ท่ีครู
มอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมานาเสนอข้อมูลหน้า
หอ้ งเรยี น
(2) ครูตรวจสอบว่านักเรียนทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทึก
ของนักเรียน และถามคาถามเกี่ยวกบั ภาระงาน ดังนี้
– พอลิเมอรค์ อื อะไร (แนวคาตอบ สารประกอบโมเลกลุ ใหญ่ที่เกิดจากโมเลกุลขนาดเล็กท่ี เรียกว่า มอ
นอเมอร์ มารวมตวั กนั ทางเคม)ี
– ผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ ท่ีสาคัญมีกี่ประเภท อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 3 ประเภท ได้แก่ พลาสติก
ยาง และเส้นใย)
(3) ครูเปดิ โอกาสให้นักเรียนต้งั ประเด็นคาถามท่ีนักเรยี นสงสยั จากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1
คาถาม ซ่งึ ครใู ห้นกั เรียนเตรียมมาลว่ งหน้า และใหน้ กั เรยี นช่วยกันตอบและแสดงความคิดเหน็
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า พอลิเมอร์
เป็น สารประกอบโมเลกุลใหญ่ท่ีเกิดจากโมเลกุลขนาดเล็กท่ีเรียกว่า มอนอเมอร์จานวนตั้งแต่หลายพันจนถึง
หลาย หมื่นโมเลกุลมารวมตัวกันทางเคมี โดยผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ท่ีสาคัญมี 3 ประเภท ได้แก่ พลาสติก
ยาง และ เส้นใย
2) ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูใหน้ กั เรียนศึกษาเรอ่ื งพอลเิ มอร์จากใบความรู้หรือในหนงั สอื เรียน โดยครชู ่วยอธิบายให้นักเรียน
เข้าใจว่า พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่ที่เกิดจากมอนอเมอร์ที่เป็นโมเลกุลเดี่ยวขนาดเล็กหลายพัน
จนถึงหลายหม่ืนโมเลกุลมารวมตัวกันทางเคมี โดยผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ที่สาคัญมี 3 ประเภท ได้แก่
พลาสติก ยาง และเสน้ ใย
(2) ครูอธิบายเพิ่มเติมเก่ียวกับพลาสติกให้นักเรียนเข้าใจว่า พลาสติกมีสมบัติ คือ เป็นพอลิเมอร์ที่ข้ึน
เป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้ เน่ืองจากเมื่อพลาสติกได้รับความร้อนจะอ่อนตัวและหลอมเหลว และกลับมาแข็งตัวได้
เมือ่ คายความร้อน นอกจากนี้ พลาสตกิ ยงั มสี มบัตติ า่ ง ๆ ทเ่ี หมาะกบั การนาไปใช้งานได้หลากหลาย
(3) ครูแบ่งนักเรยี นกล่มุ ละ 5–6 คน ปฏิบัตกิ ิจกรรม สงั เกตสมบตั ขิ องพลาสติก ตามขั้นตอน ดังน้ี
– เทนา้ กลั่นลงในบกี เกอรข์ นาด 250 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร ประมาณครึง่ บกี เกอร์แล้วนาไปตม้ จน
เดือด จากน้ันใส่พลาสติกตัวอย่างทั้ง 3 ชนิดลงไป ต้มต่อ 5 นาที สังเกตการเปล่ียนแปลงและบันทึก
ผล
– ใช้คีมโลหะคบี ชน้ิ พลาสติกขึน้ มา แล้วบดิ พลาสติกในขณะทรี่ อ้ นให้เป็นเกลียว สังเกตว่าบิดได้หรือไม่
แลว้ วางไว้ใหเ้ ย็น สงั เกตการเปล่ียนแปลงและบนั ทกึ ผล
– ต้มพลาสตกิ ตัวอยา่ งที่บิดใหเ้ ปน็ เกลียวนาน 5 นาที สังเกตการเปลี่ยนแปลงและบนั ทึกผล
(4) ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั ตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมูลท่ีได้จากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม
(5) ครูคอยแนะนาช่วยเหลอื นักเรียนขณะปฏบิ ตั กิ ิจกรรม โดยครเู ดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ใหน้ กั เรียนทกุ คนซกั ถามเมือ่ มปี ัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
(1) นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการปฏิบตั กิ จิ กรรมหน้าหอ้ งเรยี น
(2) ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายผลจากการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น แผนการจัดการ
เรยี นร้วู ิชาวทิ ยาศาสตร์ ม. 3
– พลาสติกแต่ละชนดิ มีลกั ษณะภายนอกเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (แนวคาตอบ พลาสติกแต่ละ
ชนดิ มีรปู ทรงคงท่ีและโค้งงอเมือ่ ดัดได้เหมือนกัน แต่บางชนดิ ใส บางชนดิ ขุ่น และมสี ีแตกต่างกัน)
– พลาสติกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเม่ือได้รับความร้อน (แนวคาตอบ พลาสติกอ่อนตัวและทาให้
เป็นรปู ทรงอืน่ ได้ตามต้องการ)
– เมอ่ื วางพลาสตกิ ไว้ให้เย็น พลาสติกเกิดการเปล่ียนแปลงอย่างไร (แนวคาตอบ พลาสติกแข็งตัวตาม
รูปทรงทบี่ ดิ ไว้)
– ผลสรุปของกิจกรรมน้ีคืออะไร (แนวคาตอบ พลาสติกสามารถนาไปทาเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ โดยให้
ความร้อนแก่พลาสติกและนาไปขึ้นรูปเป็นรูปทรงตามต้องการ จากน้ันจึงทิ้งให้คายความร้อน พลาสติกจะ
แข็งตวั ตามรูปทรงทข่ี ึ้นรูปไว)้
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า สมบัติเด่น
ของพลาสตกิ คือ เม่อื ไดร้ บั ความร้อนจะอ่อนตัวและหลอมเหลวและกลับมาแข็งตัวได้เม่ือคายความร้อน จึงทา
ใหพ้ ลาสติกถูกนามาหลอมเพอื่ ข้นึ รปู ใหม่เปน็ รปู ทรงต่าง ๆ ตามต้องการได
4) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครอู ธบิ ายเรอื่ งนา่ รู้ เร่ือง สญั ลักษณ์รีไซเคิล ให้นักเรียนเข้าใจว่า พลาสติกบางชนิดเมื่อเป็นขยะแล้ว
สามารถนามาหลอมและขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ หรือที่เรียกว่า รีไซเคิล โดยเราสามารถสังเกตพลาสติกที่
นามารีไซเคลิ ได้จากสัญลกั ษณ์ทอ่ี ย่บู นผลิตภัณฑ์
(2) นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเก่ียวกับพลาสติกจากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรือ
อินเทอร์เน็ต และนาเสนอใหเ้ พือ่ นฟงั คัดคาศัพทพ์ รอ้ มทงั้ คาแปลลงสมุดส่งครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูใหน้ กั เรียนแตล่ ะคนพิจารณาวา่ จากหัวข้อทเ่ี รียนมาและการปฏบิ ัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เขา้ ใจหรอื ยงั มีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูชว่ ยอธิบายเพิม่ เตมิ ให้นักเรยี นเข้าใจ
(2) นกั เรียนร่วมกนั ประเมินการปฏิบตั กิ ิจกรรมกลุ่มวา่ มปี ัญหาหรอื อปุ สรรคใด และไดม้ ีการแก้ไข
อย่างไรบา้ ง
(3) ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันแสดงความคิดเหน็ เกี่ยวกับประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากการปฏิบตั ิกจิ กรรม และ
การนาความรทู้ ่ไี ดไ้ ปใช้ประโยชน์
(4) ครทู ดสอบความเข้าใจของนกั เรียนโดยการให้ตอบคาถาม เช่น
– ของใช้ที่ทาจากพลาสติกมีรูปทรงหลากหลายเพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะพลาสติกอ่อนตัว
เมื่อไดร้ ับความรอ้ น ทาให้นาไปข้นึ รูปเปน็ รูปทรงตามท่ตี ้องการได้ จากนนั้ จงึ ทาใหพ้ ลาสติกคายความร้อนเพื่อ
คงรปู ทรงตามที่ขนึ้ รปู ไว)้
– ปอกสายไฟฟา้ ทาจากพลาสติกเพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะพลาสตกิ เป็นฉนวนไฟฟา้ )
ขนั้ สรปุ
ครแู ละนักเรียนรว่ มกันสรุปเกย่ี วกับพอลเิ มอร์ โดยร่วมกันเขยี นเป็นแผนท่ีความคดิ หรอื ผังมโนทศั น์
ส่อื และแหล่งการเรยี นรู้
1. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
2. ใบกิจกรรม สังเกตสมบตั ิของพลาสติก
3. หนังสอื วารสาร สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรืออินเทอรเ์ นต็
4. คู่มือการสอน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่ม 1
5. ส่อื การเรยี นรู้ PowerPoint หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 7 เรอ่ื ง วัสดุในชีวติ ประจาวนั
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 27
รายวิชาวิทยาศาสตร์ (พ้ืนฐาน) รหสั วชิ า ว23102 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 8 วสั ดุในชวี ติ ประจาวนั เรื่องพอลิเมอร์ (๒) เวลา 1 ช่วั โมง/คาบ
วันที่ …………………….………………………… ครผู ูส้ อน นางสาวองั คณา ปาสานะโม
สาระสาคัญ
ยางมสี มบตั เิ ด่น คือ เป็นพอลิเมอร์ที่ยืดหยุ่นได้ ยางแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ยางธรรมชาติและยาง
สังเคราะห์ ซึ่งยางแตล่ ะชนิดมีสมบัตแิ ละการนาไปใช้ประโยชนแ์ ตกตา่ งกนั
เส้นใยมีสมบัติเด่น คือ เป็นพอลิเมอร์ท่ีดึงเป็นเส้นยาวได้และนามาทอเป็นผ้าได้ เส้นใยแบ่งเป็น
3 ประเภท ไดแ้ ก่ เส้นใยธรรมชาติ เสน้ ใยสังเคราะห์ และเสน้ ใยกงึ่ สงั เคราะห์ ซ่ึงเส้นใยแต่ละชนิดมีสมบัติและ
การนาไปใชป้ ระโยชนแ์ ตกตา่ งกัน
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหว่างสมบัติของสสาร
กบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปลีย่ นแปลงสถานะของสสาร การ
เกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
ตวั ชว้ี ดั
ว 2.1 ม. 3/1 ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิกส์
และวัสดผุ สม โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษแ์ ละสารสนเทศ
คุณลักษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสตั ยส์ จุ ริต มีวินยั ใฝเ่ รยี นรู้
อยูอ่ ย่างพอเพียง มุ่งมนั่ ในการทางาน รกั ความเปน็ ไทย มีจติ สาธารณะ
............................................................................................................................. .............................................
ด้านสมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
ความสามารถในการสอ่ื สาร :………………………………………………………..
ความสามารถในการคิด :………………………………………………………..
ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต :………………………………………………………..
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี :………………………………………………………..
ด้านการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน
การอ่าน :…………………………………………………………………………..
การคดิ วเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..
การเขยี น :…………………………………………………………………………..
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. นกั เรียนสามารถอธิบายสมบตั ิทางกายภาพและการใชป้ ระโยชน์จากยางได้ (K)
2. นักเรียนสามารถอธิบายสมบตั ทิ างกายภาพและการใชป้ ระโยชนจ์ ากเส้นใยได้ (K)
3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลได้ (P)
4. นักเรียนสามารถแสดงความมงุ่ ม่นั ในการทางานได้ (A)
การวัดและการประเมินผลการเรยี นรู้
ผปู้ ระเมนิ ครผู ู้สอน นกั เรยี น เพื่อน ผู้ปกครอง
ช้ินงาน/ภาระงาน /ร่องรอย/หลกั ฐานการเรยี นรู้
สิง่ ทตี่ ้องการวัด/ประเมิน วิธกี ารวดั เครือ่ งมือการวัด เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
ระดับคณุ ภาพ
(Rubric Score)
1. นักเรียนสามารถอธิบายสมบัติทาง - ตรวจใบงาน ช้ินงาน - ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นักเรียนผ่านเกณฑ์
กายภาพและการใช้ประโยชนจ์ ากยางได้ (K) หรือภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ขน้ึ ไป
2. นักเรียนสามารถอธิบายสมบัติทาง - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน - ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นักเรยี นผา่ นเกณฑ์
กายภาพและการใช้ประโยชน์จากเส้นใยได้ หรือภาระงาน ภาระงาน ร้อยละ 70 ขน้ึ ไป
(K)
3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ -แบบประเมินทักษะ - ระดบั คุณภาพ ดี
รวบรวมขอ้ มูลได้ (P) สงั เกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ข้นึ ไป
สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกลมุ่
4. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดับคณุ ภาพ ดี
ทางานได้ (A) สังเกตพฤติกรรม พฤติกรรม ขึ้นไป
สาระการเรียนรู้
- พอลิเมอร์
กิจกรรมการเรยี นรู้ (กิจกรรม Active Learning)
ครูดาเนนิ การทดสอบกอ่ นเรยี น โดยให้นกั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น เพ่อื ตรวจสอบความพรอ้ ม
และพ้ืนฐานของนักเรียน
ขนั้ นาเขา้ สบู่ ทเรยี น
1) ครูใหน้ ักเรียนดูถงุ มือยาง แลว้ ถามคาถามนกั เรียนดังนี้
– เมอ่ื กล่าวถึงถงุ มอื ยาง นกั เรยี นนกึ ถึงสง่ิ ใด (แนวคาตอบ ทาจากยางพารา มีสีขาวขุ่น ยืดหยุ่นได้ดี และ
ใชใ้ นโรงพยาบาล)
– ถุงมือยางมีสมบตั เิ ดน่ ในเรือ่ งใด (แนวคาตอบ ความยืดหยุ่น)
2) นักเรียนรว่ มกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง
พอลิเมอร์
ขนั้ จัดกจิ กรรมการเรียนรู้
จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซงึ่ มขี ัน้ ตอนดงั น้ี
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครถู ามคาถามนกั เรยี นเพ่อื กระตุ้นความสนใจ เชน่
– ยางมีสมบัติใด (แนวคาตอบ ยดื หยุ่นไดด้ ี)
– ยางทนี่ ักเรียนใช้ในชีวิตประจาวันเปน็ ยางที่ผลิตจากธรรมชาติทง้ั หมดหรือไม่ (แนวคาตอบ ไม่ใช่)
(2) นกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายหาคาตอบเกย่ี วกับคาถามตามความคิดเห็นของแตล่ ะคน
2) ข้ันสารวจและคน้ หา (Exploration)
(1) ครใู หน้ กั เรียนศึกษาเรอ่ื งยางจากใบความรู้หรอื ในหนังสือเรียน โดยครชู ว่ ยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจ
ว่า ยางเป็นพอลิเมอร์ที่ยืดหยุ่นได้ดี โดยผลิตได้จากวัตถุดิบที่มีอยู่ในธรรมชาติและจากการสังเคราะห์ขึ้น ยาง
ธรรมชาติและยางสังเคราะห์มีลักษณะและสมบัตทิ ีเ่ หมาะต่อการนาไปใชป้ ระโยชนแ์ ตกตา่ งกัน
(2) ครอู ธิบายเพม่ิ เติมเกย่ี วกับเสน้ ใยใหน้ ักเรียนเข้าใจว่า เส้นใยเป็นพอลิเมอร์ที่ดึงเป็นเส้นยาวได้ เส้น
ใยที่นามาทาส่ิงทอมี 3 ประเภท คือ เส้นใยธรรมชาติ เส้นใยสังเคราะห์ และเส้นใยก่ึงสังเคราะห์ เส้นใยแต่ละ
ประเภทมลี กั ษณะและสมบตั ทิ ่เี หมาะต่อการนาไปใช้ประโยชนแ์ ตกต่างกัน
(3) ครูแบ่งนักเรยี นกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏบิ ัติกจิ กรรม สังเกตการทาเส้นใยกึ่งสังเคราะห์ ตามขั้นตอน
ดังนี้
– ใส่สาลีจานวน 0.25 กรัม ท่ีดึงหรือฉีกให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงในบีกเกอร์ขนาด 100 ลูกบาศก์
เซนตเิ มตร แล้วใชช้ อ้ นตักสารตกั ผงคอปเปอร์ (II) คารบ์ อเนตจานวน 1 กรมั โรยลงไปแล้วคนใหท้ ่ัว
– เตมิ สารละลายแอมโมเนียเขม้ ขน้ จานวน 30 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตรลงไป คนใหส้ ารละลายผสมกันจน
ไดข้ องเหลวข้นสนี ้าเงิน
– นาบีกเกอร์ขนาด 200 ลูกบาศก์เซนติเมตร มา 2 ใบ บีกเกอร์ใบที่ 1 ใส่สารละลายกรดซัลฟิวริก
เข้มข้น 1 โมลต่อลิตร จานวน 20 ลูกบาศก์เซนติเมตร ส่วนบีกเกอร์ใบท่ี 2 ใส่น้ากลั่นจานวน 20 ลูกบาศก์
เซนติเมตร
– นาหลอดฉีดยา (เอาเข็มออกก่อน) ดูดสารละลายจากข้ันตอนที่ 2 จานวน 10 ลูกบาศก์เซนติเมตร
แลว้ นาส่วนของเขม็ มาใส่ที่ปลายของหลอดฉีดยา
– จมุ่ ปลายเข็มลงในสารละลายกรดซัลฟิวริกท่ีอยู่ในบีกเกอร์ใบท่ี 1 โดยฉีดสารให้พุ่งโดยเร็วติดต่อกัน
พร้อมกับส่ายเข็มไปมาเพื่อให้เส้นใยกระจายตัว และห้ามยกปลายเข็มออกจากสารละลายกรดซัลฟิวริกเพราะ
จะทาให้สารท่ไี ดข้ าดเปน็ ทอ่ น ๆ สังเกตและบนั ทึกผล
– ดาเนินการเช่นเดียวกบั ข้ันตอนท่ี 4–5 แตใ่ หฉ้ ดี สารละลายจากขน้ั ตอนที่ 2 ลงในน้ากล่ันท่ีอยู่ในบีก
เกอรใ์ บที่ 2 แทน สังเกตและบันทกึ ผล
(4) ครูและนักเรยี นรว่ มกนั ตรวจสอบความถกู ตอ้ งของข้อมลู ที่ไดจ้ ากการปฏิบัติกิจกรรม
(5) ครคู อยแนะนาช่วยเหลือนกั เรยี นขณะปฏบิ ตั กิ ิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ใหน้ กั เรียนทกุ คนซักถามเม่อื มปี ญั หา
3) ขนั้ อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation)
(1) นักเรยี นแต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการปฏิบตั กิ จิ กรรมหนา้ หอ้ งเรียน
(2) ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภปิ รายผลจากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เช่น
– เมอ่ื เติมสารละลายแอมโมเนียเขม้ ข้นลงไปเกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะใด (แนวคาตอบ ได้สารสีน้า
เงนิ เข้ม เมอ่ื คนด้วยแทง่ แกว้ คนสาร สาลจี ะละลายชา้ ๆ ไดส้ ารละลายขน้ คลา้ ยกาว สีนา้ เงนิ เข้ม)
– สารท่ีได้จากการฉีดสารละลายลงในสารละลายกรดซัลฟิวริกและลงในน้ากล่ันแตกต่างกันหรือไม่
ลกั ษณะใด (แนวคาตอบ แตกต่างกนั โดยเม่ือฉดี สารละลายลงในสารละลายกรดซลั ฟวิ รกิ )
จะได้เสน้ ใยยาวติดต่อกัน มีสีน้าเงินเข้ม ต่อมาเกิดฟองแก๊สสีน้าเงินเข้มจางลงจนเกือบเป็นสีขาว ส่วน
สารละลายที่ฉีดลงในนา้ กลัน่ จะไม่เปน็ เส้นใย แต่จะละลายในนา้ ได้สารละลายสนี ้าเงิน)
– เส้นใยก่ึงสังเคราะห์ที่ได้จากกิจกรรมน้ีมีหลักการผลิตอย่างไร (แนวคาตอบ มีหลักการผลิต คือ ละ
ลายเส้นใยเซลลูโลสในตัวทาละลายท่ีเหมาะสม แล้วนากลับไปเป็นเส้นใยใหม่อีกคร้ังโดยนามาทาปฏิกิริยากับ
สารเคมีจะไดส้ ารที่มีลกั ษณะเหนยี วขน้ เม่ือนาไปเขา้ เครื่องอัดที่มีรูเล็กๆ จะได้เส้นใยยาวท่ีสามารถนามาย้อมสี
ตา่ งๆ หรือนาไปปั่นให้ยาวไดต้ ามตอ้ งการ)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เส้นใย
เซลลโู ลสสามารถนามาปรบั ปรุงคณุ ภาพไดด้ ้วยการทาเป็นเสน้ ใยกงึ่ สงั เคราะห์
4) ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธิบายเพ่ิมเติมเก่ียวกับเส้นใยกึ่งสังเคราะห์ให้นักเรียนเข้าใจว่า เม่ือนาเส้นใยเซลลูโลสมาผ่าน
กระบวนการท่เี หมาะสมจะไดเ้ ส้นใยกงึ่ สังเคราะห์ทเี่ รียกวา่ คิวปราโมเนยี มเรยอน (cuprammonium rayon)
(2) นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเก่ียวกับยางและเส้นใยจากหนังสือเรียนภาษาต่างประเทศหรือ
อนิ เทอร์เนต็ และนาเสนอใหเ้ พ่อื นฟัง คัดคาศัพท์พรอ้ มทัง้ คาแปลลงสมดุ ส่งครู
5) ขั้นประเมนิ (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เข้าใจหรือยังมขี ้อสงสยั ถ้ามี ครูช่วยอธบิ ายเพิ่มเตมิ ให้นกั เรยี นเขา้ ใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรยี นรว่ มกนั แสดงความคดิ เห็นเกย่ี วกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการ
นาความรู้ท่ีได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนกั เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– ยางสุกและยางสังเคราะห์แตกต่างกันอย่างไร (แนวคาตอบ ยางสุกเป็นการนายางธรรมชาติมาผ่าน
กระบวนการเพื่อปรบั ปรุงโครงสรา้ ง ส่วนยางสังเคราะห์ผลิตจากมอนอเมอร์ที่ได้จากการสังเคราะห์แล้วจึงผ่าน
การเกดิ พอลเิ มอรเ์ ป็นยางสงั เคราะห์)
– การสร้างเส้นใยก่ึงสังเคราะห์และเส้นใยสังเคราะห์ขึ้นมามีจุดประสงค์ใด (แนวคาตอบ ต้องการ
ปรบั ปรุงข้อด้อยของเสน้ ใยธรรมชาติ ทาให้สามารถนาเส้นใยไปใช้ประโยชนไ์ ด้หลากหลายขนึ้ )
ขัน้ สรปุ
1) ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันสรปุ เกยี่ วกบั พอลเิ มอร์ โดยร่วมกนั เขียนเป็นแผนท่คี วามคดิ หรอื ผังมโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเนื้อหาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพื่อจัดการเรียนรู้ครั้งต่อไป
โดยใหน้ ักเรยี นศึกษาคน้ ควา้ ลว่ งหน้าในหวั ข้อเซรามกิ ส์
3) ครใู ห้นกั เรียนเตรียมประเด็นคาถามท่ีสงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพื่อนามาอภิปรายร่วมกัน
ในหอ้ งเรียนคร้ังต่อไป
สอื่ และแหล่งการเรียนรู้
1. ใบกิจกรรม สงั เกตการทาเส้นใยกึง่ สังเคราะห์
2. หนังสือ วารสาร สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรืออนิ เทอรเ์ นต็
3. คู่มอื การสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เลม่ 1
4. สือ่ การเรียนรู้ PowerPoint หน่วยการเรยี นรู้ที่ 7 เร่อื ง วัสดใุ นชีวติ ประจาวัน
แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 28
รายวิชาวิทยาศาสตร์ (พ้นื ฐาน) รหสั วชิ า ว23102 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 8 วสั ดใุ นชวี ิตประจาวัน เรือ่ งเซรามกิ ส์และวสั ดุผสม เวลา 2 ช่วั โมง/คาบ
วนั ที่ …………………….………………………… ครผู สู้ อน นางสาวอังคณา ปาสานะโม
สาระสาคญั
เซรามิกส์เป็นวัสดุท่ีผลิตจาก ดิน หิน ทราย และแร่ธาตุต่าง ๆ จากธรรมชาติ มีสมบัติทั่วไป คือ แข็ง
และทนตอ่ การสกึ กร่อน แตเ่ ปราะ เซรามกิ สส์ ามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ดห้ ลากหลายรูปแบบ
วัสดุผสมเป็นวัสดุท่ีเกิดจากวัสดุตั้งแต่ 2 ประเภทที่มีสมบัติแตกต่างกันมารวมตัวกัน เพ่ือนาไปใช้
ประโยชนไ์ ด้มากข้ึน
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหว่างสมบตั ขิ องสสาร
กบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหนย่ี วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การ
เกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี
ตัวชี้วดั
ว 2.1 ม. 3/1 ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิกส์ และ
วัสดุผสม โดยใช้หลักฐานเชิงประจกั ษ์และสารสนเทศ
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551
รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ ซ่อื สตั ย์สุจริต มวี ินยั ใฝ่เรียนรู้
อย่อู ยา่ งพอเพียง มุ่งมนั่ ในการทางาน รักความเป็นไทย มจี ติ สาธารณะ
............................................................................................................................. .............................................
ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น
ความสามารถในการสือ่ สาร :………………………………………………………..
ความสามารถในการคิด :………………………………………………………..
ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี :………………………………………………………..
ด้านการอา่ น คิด วิเคราะห์ และเขียน
การอา่ น :…………………………………………………………………………..
การคิดวเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..
การเขยี น :…………………………………………………………………………..
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. นกั เรียนสามารถอธิบายสมบตั ทิ างกายภาพและการใชป้ ระโยชน์จากเซรามิกส์ได้ (K)
2. นกั เรียนสามารถอธบิ ายสมบตั ทิ างกายภาพและการใชป้ ระโยชนจ์ ากวสั ดุผสมได้ (K)
3. นักเรยี นสามารถแสดงทักษะการเก็บรวบรวมข้อมลู ได้ (P)
4. นกั เรยี นสามารถแสดงความมุ่งมั่นในการทางานได้ (A)
การวัดและการประเมินผลการเรยี นรู้
ผปู้ ระเมิน ครผู ู้สอน นกั เรยี น เพื่อน ผู้ปกครอง
ชิ้นงาน/ภาระงาน /ร่องรอย/หลักฐานการเรียนรู้
ส่ิงท่ตี ้องการวดั /ประเมิน วิธีการวัด เครื่องมอื การวัด เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
ระดับคณุ ภาพ
(Rubric Score)
1. นักเรียนสามารถอธิบายสมบัติทาง - ตรวจใบงาน ช้ินงาน - ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นักเรียนผ่านเกณฑ์
กายภาพและการใช้ประโยชน์จากเซรามิกส์ได้ หรอื ภาระงาน ภาระงาน ร้อยละ 70 ขน้ึ ไป
(K)
2. นักเรียนสามารถอธิบายสมบัติทาง - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน - ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นักเรยี นผา่ นเกณฑ์
กายภาพและการใช้ประโยชน์จากวัสดุผสมได้ หรอื ภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ขน้ึ ไป
(K)
3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ -แบบประเมนิ ทักษะ - ระดบั คุณภาพ ดี
รวบรวมขอ้ มลู ได้ (P) สังเกตพฤติกรรม -แบบประเมินการ ขึ้นไป
สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกลุ่ม
4. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมั่นในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดับคณุ ภาพ ดี
ทางานได้ (A) สังเกตพฤตกิ รรม พฤตกิ รรม ขน้ึ ไป
สาระการเรียนรู้
- เซรามกิ ส์
- วัสดุผสม
กจิ กรรมการเรียนรู้ (กิจกรรม Active Learning)
ขั้นนาเข้าสู่บทเรยี น
1) ครถู ามคาถามนักเรียนเพ่ือกระตนุ้ ความสนใจ เช่น
– ถ้าพูดถงึ เซรามกิ ส์ นกั เรยี นจะนึกถงึ สิ่งใด (แนวคาตอบ เคร่ืองป้นั ดนิ เผาและเครอ่ื งสขุ ภณั ฑ)์
2) นักเรยี นรว่ มกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เร่ือง
เซรามิกส์
ขน้ั จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
จดั กิจกรรมการเรยี นรูโ้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึง่ มีข้นั ตอนดงั นี้
1) ข้ันสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเก่ียวกับเซรามิกส์ท่ีครู
มอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมานาเสนอข้อมูลหน้า
หอ้ งเรียน
(2) ครูตรวจสอบวา่ นกั เรียนทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทึก
ของนักเรียน และถามคาถามเกี่ยวกบั ภาระงาน ดังน้ี
– เซรามิกส์คืออะไร (แนวคาตอบ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนาวัสดุธรรมชาติ เช่น ดินและแร่ธาตุต่างๆ
มาเผาที่อุณหภูมสิ ูง)
– วตั ถดุ บิ หลกั ของเซรามิกส์มอี ะไรบ้าง (แนวคาตอบ ดิน เฟลสปาร์ และควอตซ์)
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนต้ังประเด็นคาถามที่นักเรียนสงสัยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ
1 คาถาม ซงึ่ ครูใหน้ ักเรยี นเตรยี มมาลว่ งหนา้ และให้นกั เรียนช่วยกนั ตอบและแสดงความคดิ เหน็
(4) ครแู ละนักเรียนร่วมกันสรปุ เกย่ี วกบั ภาระงาน โดยครูชว่ ยอธบิ ายให้นกั เรยี นเขา้ ใจว่า เซรามิกส์เป็น
ผลิตภณั ฑท์ ีไ่ ดจ้ ากการนาวัสดุธรรมชาติ เชน่ ดินและแรธ่ าตุต่างๆ มาเผาทอ่ี ุณหภมู สิ ูง โดยมีทัง้ วตั ถดุ ิบหลักและ
วตั ถดุ บิ ทที่ าให้เซรามิกส์มคี ณุ ภาพดีขนึ้
2) ขั้นสารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศกึ ษาเร่ืองเซรามกิ ส์จากใบความรหู้ รือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียน
เข้าใจว่า เซรามิกสเ์ ป็นวัสดุท่ีผลติ จาก ดนิ หิน ทราย และแร่ธาตุต่างๆ จากธรรมชาติ และส่วนมากจะผ่านการ
เผาท่ีอุณหภูมิสูง เพ่ือให้ได้เนื้อสารท่ีแข็งแรง สมบัติทั่วไปของเซรามิกส์ คือ แข็งและทนต่อการสึกกร่อน แต่
เปราะ โดยผลติ ภัณฑใ์ นอุตสาหกรรมเซรามกิ ส์มีหลายประเภท ซงึ่ แต่ละประเภทนาไปใช้ประโยชนแ์ ตกตา่ งกนั
(2) ครแู บง่ นกั เรยี นกล่มุ ละ 5–6 คน สืบคน้ ขอ้ มลู เกี่ยวกับวัสดผุ สมตามขั้นตอนดังน้ี
– แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพ่ือนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามท่ีสมาชิก
กลุ่มช่วยกันกาหนดหัวข้อย่อย เช่น ความหมายของวัสดุผสม ส่วนประกอบของวัสดุผสม และผลิตภัณฑ์จาก
วัสดผุ สม
– สมาชิกกลุ่มแต่ละคนหรือกลุ่มย่อยช่วยกันสืบค้นข้อมูลตามหัวข้อย่อยท่ีตนเองรับผิดชอบ โดยการ
สบื ค้นจากหนงั สอื วารสาร สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรอื อนิ เทอรเ์ นต็
– สมาชิกกลุ่มนาข้อมูลท่ีสืบค้นได้มารายงานให้เพื่อน ๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมท้ังร่วมกันอภิปราย
ซักถามจนคาดวา่ สมาชกิ ทกุ คนมีความร้คู วามเข้าใจท่ตี รงกนั
– สมาชกิ กลุ่มชว่ ยกนั สรุปความร้ทู ีไ่ ด้ท้งั หมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทารายงานการศึกษา
คน้ ควา้ เกีย่ วกบั วสั ดุผสม
(3) ครูและนักเรยี นรว่ มกนั ตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมูลที่ไดจ้ ากการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
(4) ครคู อยแนะนาชว่ ยเหลือนกั เรยี นขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครเู ดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ให้นกั เรียนทกุ คนซักถามเม่ือมปี ญั หา
3) ขัน้ อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
(1) นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ นาเสนอผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมหนา้ หอ้ งเรียน
(2) ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เชน่
– วสั ดุผสมคืออะไร (แนวคาตอบ วัสดุท่ีเกิดจากวัสดุตั้งแต่ 2 ประเภทที่มีสมบัติแตกต่างกันมารวมตัว
กนั )
– เนอ้ื หลกั และวสั ดุเสริมแรงคืออะไร (แนวคาตอบ เน้ือหลัก คือ วัสดุท่ีใช้เป็นส่วนประกอบหลัก และ
ผลิตภณั ฑ์มีสมบตั ิหลกั ตามเน้อื หลกั ส่วนวัสดุเสรมิ แรง คือ วัสดุที่ใส่ปริมาณน้อยเพ่ือเสริมสมบัติของวัสดุที่เป็น
เน้อื หลักให้ดขี นึ้ )
– ผลติ ภัณฑจ์ ากวสั ดุผสมท่ีนักเรียนรู้จักมีอะไรบ้าง และส่วนประกอบคืออะไร (แนวคาตอบ คอนกรีต
เสริมเหล็ก มีเนื้อหลัก คือ ปูนซีเมนต์ และวัสดุเสริมแรง คือ เส้นเหล็ก และหลังคาเสริมใยแก้ว มีเน้ือหลัก คือ
พลาสตกิ และวัสดุเสรมิ แรง คอื เสน้ ใยแก้ว)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า วัสดุผสม
เป็นวสั ดุทีเ่ กดิ จากวสั ดุตัง้ แต่ 2 ประเภทท่ีมีสมบัติแตกตา่ งกันมารวมตวั กัน เพอื่ นาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้มากข้นึ
4) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration)
ครอู ธบิ ายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับวสั ดผุ สมให้นักเรียนเข้าใจว่า วัสดุผสมท่ีนามาผสมกันประกอบด้วยส่วนที่เป็น
เนอ้ื หลัก (matrix) และวัสดเุ สริมแรง (reinforcement material) ทช่ี ว่ ยเสริมสมบัติของวัสดุที่เป็นเนื้อหลักให้
ดีข้ึนโดยวัสดุเสรมิ แรงอาจมลี กั ษณะเปน็ เสน้ หรอื อนุภาคก็ได้
5) ขั้นประเมนิ (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อท่ีเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เข้าใจหรอื ยังมขี ้อสงสยั ถ้ามี ครชู ว่ ยอธบิ ายเพ่ิมเติมใหน้ ักเรยี นเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อย่างไรบา้ ง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการ
นาความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรยี นโดยการให้ตอบคาถาม เช่น
– ผลิตภัณฑ์ท่ีทาจากเซรามิกส์มีข้อดีและข้อด้อยอะไร (แนวคาตอบ ข้อดี คือ แข็งและทนต่อการสึก
กร่อน ส่วนข้อดอ้ ย คือ เปราะ)
– วัสดุผสมมีข้อดีกว่าการใช้วัสดุชนิดเดียวอย่างไร (แนวคาตอบ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้
หลากหลายขึ้น เนื่องจากมีวัสดุเสรมิ แรงทชี่ ว่ ยใหผ้ ลติ ภัณฑ์มสี มบัตดิ ีขน้ึ )
ข้นั สรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับเซรามิกส์และวัสดุผสม โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผัง
มโนทัศน์
ส่อื และแหลง่ การเรยี นรู้
1. หนงั สือ วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เนต็
2. คมู่ อื การสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่ม 1
3. สอ่ื การเรียนรู้ PowerPoint หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 7 เรื่อง วัสดุในชวี ิตประจาวัน
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 29
รายวชิ าวิทยาศาสตร์ (พน้ื ฐาน) รหัสวิชา ว23102 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 8 วสั ดุในชวี ิตประจาวนั เร่อื งการใช้วสั ดอุ ยา่ งประหยดั และคุ้มค่า เวลา 1 ชัว่ โมง/คาบ
วันที่ …………………….………………………… ครูผ้สู อน นางสาวองั คณา ปาสานะโม
สาระสาคัญ
วัสดบุ างชนิดสลายตัวยาก เชน่ พลาสตกิ ยางสังเคราะห์ และเส้นใยสังเคราะห์ การใช้วัสดุเหล่านี้อย่าง
ฟุ่มเฟือยและไม่ระมัดระวังอาจก่อปัญหาต่อส่ิงแวดล้อม ดังนั้นเราจึงควรใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่าเพ่ือ
ไมใ่ ห้สญู เสียทรัพยากรธรรมชาตแิ ละพลังงานในการผลิตวสั ดุและไม่ก่อใหเ้ กิดปัญหาส่ิงแวดลอ้ มดว้ ย
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมบัตขิ องสสาร
กบั โครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การ
เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
ตัวชี้วดั
ว 2.1 ม. 3/2 ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิกส์ และวัสดุผสม โดย
เสนอแนะแนวทางการใช้วัสดอุ ยา่ งประหยดั และคุ้มค่า
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ซื่อสตั ยส์ จุ รติ มีวินัย ใฝ่เรียนรู้
อยู่อยา่ งพอเพียง มุ่งม่นั ในการทางาน รักความเป็นไทย มจี ติ สาธารณะ
............................................................................................................................. .............................................
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
ความสามารถในการสอ่ื สาร :………………………………………………………..
ความสามารถในการคดิ :………………………………………………………..
ความสามารถในการแกป้ ัญหา :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต :………………………………………………………..
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี :………………………………………………………..
ดา้ นการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขียน
การอ่าน :…………………………………………………………………………..
การคิดวิเคราะห์ :…………………………………………………………………………..
การเขียน :…………………………………………………………………………..
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. นักเรยี นสามารถเสนอแนะแนวทางการใช้วสั ดุอย่างประหยัดและคมุ้ ค่าได้ (K)
2. นกั เรียนสามารถแสดงทกั ษะการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ได้ (P)
3. นกั เรยี นสามารถแสดงความมงุ่ มั่นในการทางานได้ (A)
การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ผู้ประเมนิ ครผู ู้สอน นักเรียน เพื่อน ผ้ปู กครอง
ฃช้นิ งาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลักฐานการเรยี นรู้
ส่งิ ท่ตี ้องการวดั /ประเมิน วธิ กี ารวดั เคร่อื งมอื การวดั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
ระดับคณุ ภาพ
(Rubric Score)
1. นักเรียนสามารถเสนอแนะแนวทางการใช้ - ตรวจใบงาน ช้ินงาน - ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นักเรยี นผา่ นเกณฑ์
วสั ดอุ ย่างประหยดั และคุม้ ค่าได้ (K) หรือภาระงาน ภาระงาน ร้อยละ 70 ข้ึนไป
2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ -แบบประเมนิ ทักษะ - ระดบั คณุ ภาพ ดี
รวบรวมขอ้ มลู ได้ (P) สังเกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ขน้ึ ไป
สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกลุ่ม
3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดบั คุณภาพ ดี
ทางานได้ (A) สังเกตพฤติกรรม พฤติกรรม ขนึ้ ไป
สาระการเรยี นรู้
- การใชว้ สั ดุอย่างประหยดั และคุ้มคา่
กจิ กรรมการเรียนรู้ (กจิ กรรม Active Learning)
ขน้ั นาเขา้ สูบ่ ทเรยี น
1) ครูถามคาถามนักเรยี นเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– ชุมชนของนักเรยี นมปี ัญหาเกีย่ วกับขยะพลาสตกิ หรือไม่ (แนวคาตอบ มี)
– การรณรงค์เกี่ยวกับขยะพลาสติกมีความสาคัญเพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะพลาสติกใช้เวลาใน
การย่อยสลายนานทาให้เกดิ ปัญหาขยะสะสมจานวนมาก)
2) นกั เรยี นรว่ มกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับคาตอบ เพ่ือเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้เร่ือง
การใช้วัสดุอยา่ งประหยัดและคุ้มคา่
ข้ันจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
จัดกจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซงึ่ มีขัน้ ตอนดงั นี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเก่ียวกับการใช้วัสดุอย่าง
ประหยัดและคุ้มค่าที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทน
มานาเสนอข้อมูลหนา้ หอ้ งเรียน
(2) ครูตรวจสอบวา่ นกั เรียนทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทึก
ของนกั เรียน และถามคาถามเกี่ยวกับภาระงาน ดงั น้ี
– การใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่ามีวิธีใดบ้าง (แนวคาตอบ การลดการใช้ การใช้ซ้า และการนา
กลบั มาใช้ใหม)่
– การใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่าแต่ละวิธีเหมาะกับวัสดุทุกชนิดหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ
การใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่าแต่ละวิธีไม่เหมาะกับวัสดุทุกชนิด เช่น ยางไม่สามารถนากลับมาใช้ใหม่
(recycle) ได้ เน่อื งจากยางไม่สามารถนามาหลอมขนึ้ รูปใหม่ได้)
(3) ครูเปิดโอกาสให้นกั เรียนต้งั ประเด็นคาถามท่ีนกั เรยี นสงสัยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1
คาถาม ซง่ึ ครูให้นกั เรยี นเตรยี มมาลว่ งหน้า และใหน้ กั เรียนชว่ ยกันตอบและแสดงความคิดเหน็
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การใช้วัสดุ
อย่างประหยัดและคมุ้ คา่ มีหลายวิธี ซ่ึงแต่ละวิธีเหมาะกับวัสดุแต่ละชนิด การใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่ามี
ความสาคญั โดยช่วยลดปญั หาขยะและลดการใชท้ รพั ยากรธรรมชาตไิ ด้
2) ขน้ั สารวจและคน้ หา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องการใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่าจากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน
โดยครูช่วยอธบิ ายให้นักเรียนเข้าใจวา่ การใช้วสั ดอุ ย่างประหยัดและคุ้มค่ามีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีช่วยลดการใช้
ทรพั ยากรธรรมชาติและพลงั งานในการผลติ วสั ดใุ หม่
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม สารวจการใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่าใน
โรงเรียน โดยให้แต่ละกลุ่มสารวจการใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่าบริเวณต่างๆ ในโรงเรียน แล้ว
เปรยี บเทยี บวา่ วิธีใดมกี ารนามาใช้มากทส่ี ดุ
(3) ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู ท่ีได้จากการปฏิบตั กิ จิ กรรม
(4) ครคู อยแนะนาชว่ ยเหลอื นักเรียนขณะปฏบิ ตั ิกจิ กรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ให้นกั เรยี นทกุ คนซกั ถามเมอื่ มีปญั หา
3) ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation)
(1) นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลการปฏิบัตกิ จิ กรรมหน้าห้องเรียน
(2) ครูและนกั เรียนรว่ มกนั อภปิ รายผลจากการปฏิบตั กิ ิจกรรม โดยใช้แนวคาถาม เชน่
– บรเิ วณโรงเรียนมีการใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่าวิธีใดบ้าง (แนวคาตอบ การลดการใช้และการ
ใชซ้ ้า)
– การใชว้ สั ดุอยา่ งประหยัดและคุ้มค่าวิธีใดที่พบมากที่สุดในโรงเรียน (แนวคาตอบ การลดการใช้ เช่น
นกั เรยี นร้อยละ 50 เปลี่ยนมาใชห้ ลอดโลหะแทนหลอดพลาสตกิ และใชแ้ ก้วโลหะแทนแกว้ พลาสติก)
– การใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่าวิธีใดที่ต้องผ่านกระบวนการหลอมเพ่ือข้ึนรูปใหม่ (แนวคาตอบ
การนากลบั มาใชใ้ หม่หรือการรไี ซเคิล)
(3) ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การลดการ
ใช้ การใชซ้ ้า และการนากลบั มาใชใ้ หมเ่ ป็นการใชว้ สั ดอุ ย่างประหยดั และคมุ้ ค่า
4) ข้ันขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูเชื่อมโยงความรู้เข้ากับบูรณาการอาเซียน โดยครูให้นักเรียนเข้าใจถึงการรณรงค์งดใช้ผลิตภัณฑ์
จากพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งของประเทศต่างๆ ในอาเซียนว่า ประเทศต่างๆ ในอาเซียนมีการ
รณรงค์งดใช้ผลิตภัณฑ์จากพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งเพ่ือลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งแต่ละ
ประเทศมีมาตรการท่ีแตกต่างกัน เช่น ฟิลิปปินส์ปรับร้านค้าและห้างสรรพสินค้าท่ีให้ถุงพลาสติกกับลูกค้าเป็น
เงิน 5,000 เปโซฟิลปิ ปนิ ส์ (ประมาณ 3,600 บาท) บรูไนดารุสซาลามรณรงค์ให้ร้านค้าและห้างสรรพสินค้า
งดใหถ้ งุ พลาสติกกบั ลูกค้าในวนั เสาร์และวันอาทิตย์ และสิงคโปร์รณรงค์ให้ผู้ซ้ือของพกถุงผ้าและให้ร้านค้าและ
ห้างสรรพสินคา้ จาหน่ายถุงพลาสติกใบละ 0.1 ดอลลารส์ ิงคโปร์ (ประมาณ 2.2 บาท) แทนการใหฟ้ รี
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 3–4 คน เล่นเกมขยะพารวย โดยครูให้นักเรียนทายราคาต่อกิโลกรัมของ
ขยะรีไซเคิลและเรยี งลาดับราคาจากนอ้ ยไปมาก กลุม่ ใดตอบถกู ตอ้ งมากทสี่ ดุ เปน็ ฝ่ายชนะ
(3) นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเกี่ยวกับการใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่าจากหนังสือ
เรียนภาษาต่างประเทศหรอื อินเทอรเ์ นต็ และนาเสนอให้เพอื่ นฟัง คัดคาศพั ทพ์ รอ้ มทงั้ คาแปลลงสมดุ สง่ ครู
5) ขั้นประเมนิ (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างที่ยังไม่
เขา้ ใจหรือยงั มีข้อสงสยั ถ้ามี ครูชว่ ยอธิบายเพิ่มเตมิ ใหน้ กั เรยี นเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อย่างไรบ้าง
(3) ครแู ละนักเรียนรว่ มกันแสดงความคดิ เห็นเกยี่ วกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และการ
นาความร้ทู ี่ได้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครทู ดสอบความเขา้ ใจของนักเรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น
– การใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่ามีความสาคัญเพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะทาให้ลดปัญหา
ส่ิงแวดล้อมที่เกิดจากขยะจานวนมากและยังเป็นการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่นามาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์
ใหม่)
– การใช้ซ้าและการนากลับมาใช้ใหม่แตกต่างกันในลักษณะใด (แนวคาตอบ การใช้ซ้าเป็นการนา
ผลิตภัณฑ์เดิมมาใช้ใหม่โดยไม่ผ่านกระบวนการใด ส่วนการนากลับมาใช้ใหม่ต้องนาผลิตภัณฑ์เดิมมาผ่าน
กระบวนการเพอ่ื ผลติ เปน็ ผลติ ภัณฑใ์ หม่)
ขน้ั สรุป
1) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับการใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่าโดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท่ี
ความคิดหรอื ผงั มโนทัศน์
2) ครูดาเนินการทดสอบหลังเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรียน เพ่ือวัดความก้าวหน้า/
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 8 ของนกั เรยี น
3) ครูเช่ือมโยงเน้ือหาจากบทเรียนน้ีกับบทเรียนชั่วโมงหน้า เพ่ือให้นักเรียนเตรียมความพร้อมในการ
เรียนชั่วโมงตอ่ ไป โดยการใช้คาถามกระตนุ้ ดงั น้ี
– พอลิเมอร์เกิดจากการรวมตัวกันทางเคมีของมอนอเมอร์ การรวมตัวกันทางเคมีน้ีเรียกว่าอะไร (แนว
คาตอบ การเกิดปฏิกิรยิ าเคมี)
4) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเน้ือหาของบทเรียนชั่วโมงหน้า เพื่อจัดการเรียนรู้คร้ังต่อไป
โดยให้นกั เรียนศึกษาคน้ ควา้ ลว่ งหน้าในหวั ข้อการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
5) ครูให้นักเรยี นเตรียมประเด็นคาถามท่ีสงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพ่ือนามาอภิปรายร่วมกัน
ในห้องเรยี นคร้ังตอ่ ไป
สือ่ และแหลง่ การเรียนรู้
1. แบบทดสอบหลงั เรยี น
2. หนงั สอื วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออนิ เทอรเ์ น็ต
3. คู่มอื การสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เล่ม 1
4. สือ่ การเรียนรู้ PowerPoint หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 7 เร่อื ง วสั ดุในชวี ิตประจาวนั
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 30
รายวิชาวิทยาศาสตร์ (พน้ื ฐาน) รหัสวชิ า ว23102 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 9 ปฏิกริ ิยาเคมี เรอื่ งการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี เวลา 2 ชว่ั โมง/คาบ
วนั ท่ี …………………….………………………… ครผู ูส้ อน นางสาวองั คณา ปาสานะโม
สาระสาคัญ
การเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นการเปล่ียนแปลงท่ีทาให้เกิดสารใหม่ โดยสารท่ีเข้าทาปฏิกิริยา เรียกว่า สาร
ต้ังต้น และสารใหม่ท่ีเกิดข้ึน เรียกว่า ผลิตภัณฑ์ โดยสังเกตการเกิดปฏิกิริยาเคมีได้จากการเปล่ียนแปลง
ลักษณะต่างๆ เช่น การเกิดตะกอน การเกิดฟองแก๊ส การเปล่ียนสีของสารละลาย และการเปลี่ยนแปลง
อณุ หภมู ิของสารละลาย
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหว่างสมบตั ิของสสาร
กบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหนย่ี วระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลีย่ นแปลงสถานะของสสาร การ
เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ตัวชี้วดั
ว 2.1 ม. 3/3 อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมถึงการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมเมื่อเกิดปฏิกิริยา
เคมี โดยใช้แบบจาลองและสมการข้อความ
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตยส์ จุ รติ มวี ินัย ใฝ่เรยี นรู้
อยู่อย่างพอเพยี ง มงุ่ ม่นั ในการทางาน รกั ความเป็นไทย มจี ติ สาธารณะ
............................................................................................................................. .............................................
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น
ความสามารถในการสื่อสาร :………………………………………………………..
ความสามารถในการคิด :………………………………………………………..
ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี :………………………………………………………..
ด้านการอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขียน
การอา่ น :…………………………………………………………………………..
การคิดวเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..
การเขยี น :…………………………………………………………………………..
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. นักเรยี นสามารถอธิบายการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมไี ด้ (K)
2. นักเรยี นสามารถแสดงทักษะการเก็บรวบรวมข้อมลู ได้ (P)
3. นกั เรียนสามารถแสดงความมงุ่ มนั่ ในการทางานได้ (A)
การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ผูป้ ระเมิน ครูผ้สู อน นักเรยี น เพื่อน ผู้ปกครอง
ชิน้ งาน/ภาระงาน /ร่องรอย/หลกั ฐานการเรยี นรู้
ส่ิงท่ีต้องการวดั /ประเมิน วธิ ีการวัด เครอื่ งมือการวัด เกณฑก์ ารให้คะแนน
ระดบั คณุ ภาพ
(Rubric Score)
1. นักเรียนสามารถอธิบายการเกิดปฏิกิริยา - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน - ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นกั เรียนผา่ นเกณฑ์
เคมไี ด้ (K) หรอื ภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ขึน้ ไป
2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ -แบบประเมนิ ทักษะ - ระดบั คณุ ภาพ ดี
รวบรวมข้อมูลได้ (P) สังเกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ขึน้ ไป
สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกล่มุ
3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมั่นในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดับคุณภาพ ดี
ทางานได้ (A) สังเกตพฤตกิ รรม พฤติกรรม ขึน้ ไป
สาระการเรียนรู้
- การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
กิจกรรมการเรยี นรู้ (กิจกรรม Active Learning)
ครูดาเนินการทดสอบก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน เพ่ือตรวจสอบความพร้อม
และพ้ืนฐานของนักเรยี น
ข้ันนาเข้าสู่บทเรยี น
1) ครูถามคาถามนักเรียนเพอ่ื กระตุน้ ความสนใจ เชน่
– กระบวนการท่ีทาใหไ้ ม้กลายเป็นถา่ นไม้คืออะไร (แนวคาตอบ การเผาไหม)้
– กระบวนการนี้เรียกว่าอะไร (แนวคาตอบ การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี)
2) นกั เรยี นรว่ มกนั ตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับคาตอบ เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง
การเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
ข้ันจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
จัดกจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซง่ึ มีข้ันตอนดังนี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบง่ กลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ทคี่ รูมอบหมายใหไ้ ปเรียนรูล้ ่วงหนา้ ใหเ้ พือ่ นๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมานาเสนอข้อมูลหน้า
ห้องเรยี น
(2) ครูตรวจสอบวา่ นกั เรียนทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทึก
ของนักเรยี น และถามคาถามเก่ยี วกับภาระงาน ดังนี้
– ปฏิกิริยาเคมีคืออะไร (แนวคาตอบ การเปล่ียนแปลงทางเคมีของสารตั้งต้นแล้วได้ผลิตภัณฑ์
เกดิ ขน้ึ )
– เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจะมีส่ิงใดแตกต่างจากสารต้ังต้น (แนวคาตอบ
องคป์ ระกอบทางเคม)ี
(3) ครเู ปิดโอกาสให้นักเรยี นตง้ั ประเดน็ คาถามท่ีนกั เรยี นสงสยั จากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1
คาถาม ซ่งึ ครูใหน้ กั เรียนเตรยี มมาล่วงหน้า และใหน้ ักเรียนชว่ ยกันตอบและแสดงความคดิ เห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การ
เกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นกระบวนการที่สารต้ังต้นเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีแล้วส่งผลให้เกิดสาร
ใหมข่ ้นึ
2) ขนั้ สารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครใู ห้นักเรียนศกึ ษาเร่อื งการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีจากใบความร้หู รอื ในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบาย
ให้นักเรียนเข้าใจว่า การเกิดปฏิกิริยาเคมีหรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสาร เป็นการเปล่ียนแปลงท่ีทาให้
เกิดสารใหม่ โดยสารท่ีเข้าทาปฏิกริ ิยา เรียกว่า สารต้ังตน้ และสารใหม่ท่ีเกดิ ข้นึ เรยี กวา่ ผลิตภัณฑ์
(2) ครแู บ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม สงั เกตการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี ตามขน้ั ตอน ดังนี้
– นาหลอดทดลองขนาดกลางมา 4 หลอด แล้วทาการทดลองในแต่ละหลอดตามขั้นตอนที่ 2–5
– หลอดทดลองท่ี 1 ใสส่ ารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์เข้มข้น 0.1 โมลต่อลิตร จานวน 2 ลูกบาศก์
เซนติเมตร ลงในหลอดทดลอง โดยใช้มือจับหลอดทดลองไว้ตลอด จากนั้นหยดสารละลายเลด (II) ไนเตรต
เข้มข้น 0.1 โมลต่อลิตร ทีละหยดจนครบ 5 หยด สังเกตลักษณะของสารและการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นท้ัง
ก่อนและหลังการผสมสาร บันทกึ ผล
– หลอดทดลองท่ี 2 ใส่ผงฟู 1 ช้อนเบอร์ 1 ลงในหลอดทดลอง โดยใช้มือจับหลอดทดลองไว้ตลอด
จากน้ันหยดน้าส้มสายชูกล่ัน 5% ทีละหยดจนครบ 20 หยด สังเกตลักษณะของสารและการเปล่ียนแปลงที่
เกิดขน้ึ ท้ังก่อนและหลงั การผสมสาร บนั ทกึ ผล
– หลอดทดลองที่ 3 ใส่สารละลายด่างทับทิมเข้มข้น 0.1 โมลต่อลิตร จานวน 2 ลูกบาศก์เซนติเมตร
ลงในหลอดทดลอง โดยใช้มือจับหลอดทดลองไว้ตลอด จากนั้นหยดสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 0.1
โมลต่อลิตร ทีละหยดจนครบ 20 หยด สังเกตลักษณะของสารและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นท้ังก่อนและหลัง
การผสมสาร บันทกึ ผล
– หลอดทดลองท่ี 4 ใส่สารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตเข้มข้น 0.1 โมลต่อลิตรจานวน 2
ลกู บาศก์เซนติเมตร ลงในหลอดทดลอง โดยใช้มือจบั หลอดทดลองไว้ตลอด จากนั้นเติมกรดซิตริกประมาณครึ่ง
ช้อนเบอร์ 1 สังเกตลกั ษณะของสารและการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขน้ึ ทงั้ ก่อนและหลังการผสมสาร บันทึกผล
(3) ครูและนกั เรยี นร่วมกันตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมลู ที่ได้จากการปฏบิ ัติกิจกรรม
(4) ครคู อยแนะนาช่วยเหลือนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกจิ กรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ให้นักเรยี นทกุ คนซกั ถามเมอ่ื มปี ัญหา
3) ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation)
(1) นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมหน้าหอ้ งเรียน
(2) ครแู ละนกั เรียนรว่ มกนั อภปิ รายผลจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม โดยใช้แนวคาถาม เช่น
– นกั เรยี นทราบไดด้ ว้ ยวิธใี ดว่าสารผสมเกดิ ปฏิกิริยาเคมี (แนวคาตอบ สังเกตการเกิดตะกอนและฟอง
แก๊สและสงั เกตการเปล่ียนสีและอุณหภูมิ)
– เม่ือผสมสารแต่ละคเู่ กดิ การเปลีย่ นแปลงหรอื ไม่ ลกั ษณะใด (แนวคาตอบ
1) เม่ือหยดสารละลายเลด (II) ไนเตรตลงในหลอดทดลองทีม่ สี ารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์เกิดการ
เปลยี่ นแปลง โดยมตี ะกอนสีเหลอื งเกดิ ขึน้
2) เมือ่ หยดน้าส้มสายชูลงในหลอดทดลองทีม่ ีผงฟเู กิดการเปลีย่ นแปลงโดยมีฟองแกส๊ เกดิ ขน้ึ
3) เม่ือหยดสารละลายกรดไฮโดรคลอริกลงในสารละลายด่างทับทิมเกิดการเปล่ียนแปลง โดยสีของ
สารละลายด่างทบั ทมิ เปลี่ยนจากสมี ว่ งเป็นไมม่ ีสี
4) เมื่อเติมกรดซิตริกลงในหลอดทดลองท่ีมีสารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตเกิดการ
เปลยี่ นแปลง โดยมฟี องแกส๊ เกดิ ข้นึ และอณุ หภูมลิ ดลง)
– ผลสรุปของกจิ กรรมน้คี อื อะไร (แนวคาตอบ เม่ือนาสารตั้งแต่ 2 ชนดิ มาผสมกัน ถ้าเกิดปฏิกิริยาเคมี
จะมสี ารใหมเ่ กิดข้ึน โดยสงั เกตได้จากการมตี ะกอนเกิดข้ึน มีฟองแก๊สเกิดข้ึน การเปล่ียนสีของสารละลาย และ
การเปลย่ี นแปลงอุณหภมู ขิ องสารละลาย แสดงว่าสารทผี่ สมกันทง้ั 4 หลอดมีปฏิกิริยาเคมเี กดิ ขนึ้ )
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เม่ือ
เกิดปฏิกิริยาเคมีจะเกิดการเปล่ียนแปลงที่สังเกตได้ เช่น การเกิดตะกอน การเกิดฟองแก๊ส การเปล่ียนสีของ
สารละลาย และการเปล่ียนแปลงอณุ หภูมิของสารละลาย
4) ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration)
นั ก เ รี ย น ค้ น ค ว้ า ค า ศั พ ท์ ภ า ษ า ต่ า ง ป ร ะ เ ท ศ เ ก่ี ย ว กั บ ก า ร เ กิ ด ป ฏิ กิ ริ ย า เ ค มี จ า ก ห นั ง สื อ เ รี ย น
ภาษาต่างประเทศหรืออนิ เทอรเ์ น็ต และนาเสนอใหเ้ พือ่ นฟัง คดั คาศพั ท์พร้อมทั้งคาแปลลงสมุดสง่ ครู
5) ขั้นประเมิน (Evaluation)
(1) ครูใหน้ กั เรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อทเ่ี รยี นมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เข้าใจหรอื ยังมขี อ้ สงสัย ถา้ มี ครชู ่วยอธิบายเพ่ิมเตมิ ให้นักเรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อยา่ งไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรทู้ ีไ่ ดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรยี นโดยการให้ตอบคาถาม เชน่
– สารต้ังต้นและผลิตภัณฑ์แตกต่างกันเพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะสารตั้งต้นมีองค์ประกอบ
ทางเคมีแตกต่างจากผลติ ภณั ฑ์)
– ลักษณะท่ีเกิดขึ้นจากการเกิดปฏิกิริยาเคมีมีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ การเกิดตะกอน การเกิด
ฟองแก๊ส การเปล่ียนสีของสารละลาย และการเปล่ยี นแปลงอณุ หภมู ิของสารละลาย)
ขั้นสรปุ
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือผัง
มโนทศั น์
สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้
1. แบบทดสอบกอ่ นเรียน
2. ใบกจิ กรรม สังเกตการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
3. หนงั สอื วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชน หรืออนิ เทอร์เนต็
4. ค่มู อื การสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 เลม่ 2
5 ส่อื การเรยี นรู้ PowerPoint หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 8 เรือ่ ง ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 31
รายวิชาวิทยาศาสตร์ (พนื้ ฐาน) รหัสวิชา ว23102 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 9 ปฏิกริ ยิ าเคมี เรอื่ งการเขยี นสมการเคมี เวลา 1 ชัว่ โมง/คาบ
วนั ท่ี …………………….………………………… ครผู สู้ อน นางสาวองั คณา ปาสานะโม
สาระสาคญั
เม่อื เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี อะตอมของสารต้งั ต้นจะจดั เรยี งตัวใหม่ได้เป็นผลิตภณั ฑ์ ซ่ึงมีสมบัติแตกต่างจาก
สารตัง้ ตน้ โดยอะตอมแต่ละชนดิ ก่อนและหลงั เกิดปฏิกิรยิ าเคมมี ีจานวนเท่ากัน ความสัมพนั ธ์ของสารตั้งตน้
และผลติ ภัณฑใ์ นปฏกิ ริ ิยาเคมีสามารถแสดงได้โดยการเขียนสมการเคมี
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหว่างสมบตั ิของสสาร
กบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การ
เกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
ตัวชีว้ ัด
ว 2.1 ม. 3/3 อธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมี รวมถึงการจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมเม่ือเกิดปฏิกิริยา
เคมี โดยใชแ้ บบจาลองและสมการขอ้ ความ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ซื่อสัตย์สจุ ริต มวี ินัย ใฝเ่ รียนรู้
อยู่อย่างพอเพียง มงุ่ มั่นในการทางาน รกั ความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ
............................................................................................................................. .............................................
ด้านสมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
ความสามารถในการสอ่ื สาร :………………………………………………………..
ความสามารถในการคิด :………………………………………………………..
ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ :………………………………………………………..
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี :………………………………………………………..
ด้านการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน
การอา่ น :…………………………………………………………………………..
การคิดวเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..
การเขยี น :…………………………………………………………………………..
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. นักเรยี นสามารถอธิบายการจัดเรียงตวั ใหม่ของอะตอมเมือ่ เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมไี ด้ (K)
2. นกั เรยี นสามารถเขยี นสมการเคมโี ดยใชส้ มการขอ้ ความได้ (K)
3. นกั เรียนสามารถแสดงทกั ษะการเกบ็ รวบรวมข้อมูลได้ (P)
4. นกั เรียนสามารถแสดงความมุ่งมนั่ ในการทางานได้ (A)
การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้
ผปู้ ระเมิน ครผู สู้ อน นักเรียน เพื่อน ผูป้ กครอง
ชน้ิ งาน/ภาระงาน /ร่องรอย/หลกั ฐานการเรยี นรู้
สิ่งทีต่ ้องการวัด/ประเมนิ วิธกี ารวัด เครอ่ื งมอื การวัด เกณฑ์การให้คะแนน
ระดับคุณภาพ
(Rubric Score)
1. นักเรียนสามารถอธิบายการเกิดปฏิกิริยา - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน - ใบงาน ช้ินงานหรือ - นกั เรียนผ่านเกณฑ์
เคมไี ด้ (K) หรอื ภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ข้นึ ไป
2. นักเรียนสามารถเขียนสมการเคมีโดยใช้ - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน - ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นักเรยี นผ่านเกณฑ์
สมการข้อความได้ (K) หรือภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ข้ึนไป
3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ -แบบประเมินทักษะ - ระดบั คณุ ภาพ ดี
รวบรวมขอ้ มลู ได้ (P) สังเกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ข้ึนไป
สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกลมุ่
4. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดบั คุณภาพ ดี
ทางานได้ (A) สังเกตพฤตกิ รรม พฤติกรรม ข้ึนไป
สาระการเรยี นรู้
- การเขยี นสมการเคมี
กจิ กรรมการเรยี นรู้ (กิจกรรม Active Learning)
ขนั้ นาเข้าส่บู ทเรียน
1) ครูให้นักเรียนทบทวนความรเู้ ดมิ ท่ไี ด้เรียนรูม้ าแล้ว โดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้
– สารตงั้ ตน้ คืออะไร (แนวคาตอบ สารท่ีทาปฏิกริ ยิ ากันจนเกดิ ผลิตภัณฑ)์
– ผลิตภณั ฑ์คอื อะไร (แนวคาตอบ สารใหมท่ ีเ่ กดิ ขึ้นจากการทาปฏกิ ริ ยิ าระหว่างสารต้งั ต้น)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับคาตอบ เพ่ือเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้
เรอื่ ง การเขยี นสมการเคมี
ขั้นจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
จัดกิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึง่ มขี ้ันตอนดังนี้
1) ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามคาถามนักเรยี นเพ่อื กระตนุ้ ความสนใจ เช่น
– นักเรยี นรจู้ ักสมการเคมหี รือไม่ (แนวคาตอบ ร้จู กั )
– สมการเคมีแสดงข้อมลู ใด (แนวคาตอบ ชนดิ ของสารต้ังต้น ชนิดของผลติ ภณั ฑ์ และทิศทางการ
เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี)
(2) นกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายหาคาตอบเก่ยี วกบั คาถามตามความคิดเห็นของแตล่ ะคน
2) ขนั้ สารวจและคน้ หา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเร่ืองการเกิดปฏิกิริยาเคมีจากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูช่วยอธิบาย
ให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี อะตอมของสารต้ังต้นจะจัดเรียงตัวใหม่ได้เป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีสมบัติ
แตกตา่ งจากสารต้งั ต้น โดยอะตอมแต่ละชนิดกอ่ นและหลังเกิดปฏกิ ิริยาเคมีมีจานวนเท่ากัน
(2) ครแู บ่งนกั เรียนกลมุ่ ละ 5 – 6 คน สบื ค้นขอ้ มูลเก่ียวกับการเขยี นสมการเคมตี ามข้ันตอนดังนี้
– แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพ่ือนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามท่ี
สมาชกิ กล่มุ ช่วยกนั กาหนดหัวขอ้ ย่อย เช่น ความหมายของสมการเคมแี ละหลกั การเขยี นสมการเคมี
– สมาชิกกลุ่มแต่ละคนหรือกลุ่มย่อยช่วยกันสืบค้นข้อมูลตามหัวข้อย่อยท่ีตนเองรับผิดชอบ โดย
การสืบค้นจากหนังสือ วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออนิ เทอรเ์ น็ต
– สมาชิกกลุ่มนาข้อมูลที่สืบค้นได้มารายงานให้เพื่อน ๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมทั้งร่วมกัน
อภิปรายซักถามจนคาดว่าสมาชิกทกุ คนมคี วามรู้ความเข้าใจทตี่ รงกนั
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ทั้งหมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทารายงาน
การศกึ ษาคน้ ควา้ เก่ยี วกับการเขียนสมการเคมี
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมูลท่ีไดจ้ ากการปฏิบัติกิจกรรม
(4) ครคู อยแนะนาชว่ ยเหลอื นักเรยี นขณะปฏบิ ตั ิกจิ กรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ให้นักเรียนทกุ คนซักถามเม่อื มปี ัญหา
3) ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
(1) นกั เรยี นแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการปฏิบัตกิ จิ กรรมหน้าหอ้ งเรยี น
(2) ครแู ละนักเรียนรว่ มกันอภปิ รายผลจากการปฏิบัตกิ จิ กรรม โดยใช้แนวคาถาม เชน่
– สมการเคมคี ืออะไร (แนวคาตอบ การเขียนแสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างสารตง้ั ตน้ กับผลติ ภัณฑ์)
– สมการเคมีใช้เขยี นแสดงความสัมพนั ธข์ องสารได้อยา่ งไร (แนวคาตอบ สมการเคมีแสดงว่า สาร
ต้งั ต้นชนิดใดท่เี กดิ ปฏกิ ิริยาเคมกี ันแลว้ เปล่ียนเปน็ ผลิตภัณฑ์ชนิดใด โดยใช้ลูกศรแสดงทิศทางการเกิดปฏิกิริยา
เคมี ซึ่งหัวลกู ศรจะหนั ไปทางผลิตภณั ฑ์)
– สิ่งใดในสมการทท่ี าให้เราทราบว่าสารใดเป็นสารต้ังต้นและสารใดเป็นผลิตภัณฑ์ อธิบาย (แนว
คาตอบ ลูกศร โดยหัวลูกศรจะหนั ไปทางผลิตภัณฑ์เสมอ)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การเขียน
สมการเคมีเปน็ การเขียนแสดงความสมั พันธร์ ะหว่างสารต้งั ตน้ กบั ผลิตภณั ฑ์
4) ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครูอธบิ ายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการเขียนสมการเคมใี หน้ ักเรียนเข้าใจว่า การเขียนสมการเคมีใช้ลูกศร
() เป็นตวั แสดงใหเ้ ห็นถงึ ทศิ ทางของการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมจี ากสารตั้งตน้ ไปเป็นผลิตภัณฑ์
(2) ครอู ธิบายเรื่องน่ารู้ เร่ือง การเขยี นสมการเคมี ใหน้ ักเรยี นเข้าใจว่า การเขียนสมการเคมีจะมีการ
กากับช่ือสารด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษในวงเล็บ ซึ่งใช้ระบุสถานะของสาร โดยสัญลักษณ์แต่ละชนิดมีดังน้ี
ของแข็งใชส้ ัญลกั ษณ์ s ของเหลวใชส้ ญั ลักษณ์ l แกส๊ ใชส้ ัญลกั ษณ์ g และสารละลายใชส้ ญั ลกั ษณ์ aq
5) ขั้นประเมนิ (Evaluation)
(1) ครูให้นักเรยี นแตล่ ะคนพิจารณาว่า จากหัวขอ้ ทเ่ี รียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างที่ยังไม่
เขา้ ใจหรอื ยังมขี ้อสงสัย ถ้ามี ครูชว่ ยอธิบายเพิ่มเตมิ ให้นักเรียนเขา้ ใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรู้ที่ไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนักเรยี นโดยการให้ตอบคาถาม เช่น
– การเขียนสมการเคมีใหถ้ ูกตอ้ งมคี วามสาคญั เพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะสมการเคมีเป็นสิ่ง
ทีส่ ่อื สารให้ทกุ คนเขา้ ใจตรงกันว่า ปฏิกิริยาเคมีทีเ่ กิดขนึ้ มีสารใดเปน็ สารตัง้ ตน้ และได้สารใดเป็นผลติ ภณั ฑ์)
– “กรดเกลือ + เบส เกลือ” จากสมการเคมี สารใดคือสารตั้งต้นและสารใดคือผลิตภัณฑ์
(แนวคาตอบ กรดเกลอื และเบส คือ สารตั้งตน้ และเกลือ คือ ผลิตภณั ฑ)์
ขน้ั สรุป
1) ครแู ละนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับการเขียนสมการเคมี โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิดหรือ
ผังมโนทัศน์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเน้ือหาของบทเรียนช่ัวโมงหน้า เพ่ือจัดการเรียนรู้คร้ัง
ตอ่ ไป โดยให้นกั เรียนศึกษาคน้ ควา้ ลว่ งหน้าในหวั ขอ้ มวลและพลังงานกับปฏกิ ริ ิยาเคมี
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพื่อนามาอภิปราย
รว่ มกันในหอ้ งเรียนครง้ั ต่อไป
สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้
1. หนงั สอื วารสาร สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรืออนิ เทอรเ์ น็ต
2. คู่มือการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 3 เล่ม 2
3. ส่อื การเรยี นรู้ PowerPoint หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 8 เรื่อง ปฏิกิริยาเคมี
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 32
รายวชิ าวิทยาศาสตร์ (พนื้ ฐาน) รหสั วชิ า ว23102 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 9 ปฏิกิริยาเคมี เรอ่ื งกฎทรงมวล เวลา 2 ชั่วโมง/คาบ
วนั ท่ี …………………….………………………… ครผู ้สู อน นางสาวองั คณา ปาสานะโม
สาระสาคญั
กฎทรงมวล (law of conservation of mass) คอื กฎเกีย่ วกบั มวลของสารซง่ึ กล่าวว่า ผลรวมมวลของ
สารท้งั หมดภายในระบบปิดมีคา่ คงตัว หมายความวา่ มวลของสารจะไม่สูญหายไปหรือเกิดข้ึนใหมใ่ นปฏิกิรยิ า
เคมี โดยมวลของสารกอ่ นเกิดปฏิกริ ิยาเคมีจะเท่ากับมวลของสารหลังเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมบตั ขิ องสสาร
กบั โครงสร้างและแรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การ
เกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
ตัวชวี้ ดั
ว 2.1 ม. 3/4 อธิบายกฎทรงมวลโดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์
คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ซ่อื สตั ย์สุจริต มวี ินัย ใฝ่เรียนรู้
อยู่อย่างพอเพียง มงุ่ มั่นในการทางาน รักความเป็นไทย มีจติ สาธารณะ
............................................................................................................................. .............................................
ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น
ความสามารถในการสอื่ สาร :………………………………………………………..
ความสามารถในการคิด :………………………………………………………..
ความสามารถในการแกป้ ัญหา :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี :………………………………………………………..
ด้านการอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขียน
การอา่ น :…………………………………………………………………………..
การคดิ วเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..
การเขียน :…………………………………………………………………………..
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. นักเรียนสามารถอธบิ ายกฎทรงมวลได้ (K)
2. นักเรยี นสามารถสังเกตการเปล่ยี นแปลงของมวลเม่ือเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีได้ (K)
3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้ (P)
4. นักเรยี นสามารถแสดงความม่งุ มัน่ ในการทางานได้ (A)
การวดั และการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ผปู้ ระเมิน ครูผ้สู อน นักเรยี น เพ่ือน ผปู้ กครอง
ช้นิ งาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลักฐานการเรียนรู้
สิ่งทตี่ ้องการวัด/ประเมนิ วิธีการวดั เครอ่ื งมอื การวัด เกณฑก์ ารให้คะแนน
1. นักเรยี นสามารถอธบิ ายกฎทรงมวลได้ (K)
ระดับคุณภาพ
(Rubric Score)
- ตรวจใบงาน ชิ้นงาน - ใบงาน ช้ินงานหรือ - นกั เรียนผา่ นเกณฑ์
หรอื ภาระงาน ภาระงาน ร้อยละ 70 ขน้ึ ไป
2. นักเรียนสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลง - ตรวจใบงาน ช้ินงาน - ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นักเรียนผา่ นเกณฑ์
ของมวลเมอื่ เกิดปฏิกิริยาเคมไี ด้ (K) หรือภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ข้ึนไป
3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ -แบบประเมินทักษะ - ระดบั คณุ ภาพ ดี
รวบรวมขอ้ มูลได้ (P) สังเกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ขึ้นไป
สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกลุ่ม
4. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดับคุณภาพ ดี
ทางานได้ (A) สังเกตพฤตกิ รรม พฤติกรรม ขน้ึ ไป
สาระการเรยี นรู้
- กฎทรงมวล
กิจกรรมการเรยี นรู้ (กิจกรรม Active Learning)
ขนั้ นำเข้ำสบู่ ทเรยี น
1) ครูถามคาถามนักเรียนเพื่อกระตุ้นความสนใจ เช่น
– สารตั้งต้นและผลิตภณั ฑ์แตกตา่ งกันในเรื่องใด (แนวคาตอบ การจัดเรียงอะตอมในโมเลกุล)
– สงิ่ อ่ืนท่ีนอกเหนือจากสารต้ังตน้ และผลติ ภณั ฑเ์ รยี กว่าอะไร (แนวคาตอบ สง่ิ แวดลอ้ ม)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพ่ือเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้
เรอื่ ง กฎทรงมวล
ขัน้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซึ่งมีข้ันตอนดงั นี้
1) ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเก่ียวกับมวลและพลังงานกับ
การเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพ่ือนๆ ในกลุ่มฟัง จากนั้นให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทน
มานาเสนอขอ้ มลู หน้าหอ้ งเรียน
(2) ครตู รวจสอบวา่ นักเรียนทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทึก
ของนกั เรยี น และถามคาถามเกย่ี วกบั ภาระงาน ดงั นี้
– ขอบเขตของสิ่งท่ีต้องการศึกษาแบ่งเป็นก่ีส่วน อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 2 ส่วน คือ ระบบและ
สิ่งแวดล้อม)
– เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี มวลและพลังงานเกิดการเปล่ียนแปลงหรือไม่ (แนวคาตอบ มวลไม่เกิด
การเปล่ยี นแปลงตามกฎทรงมวล ส่วนพลังงานเกดิ การเปล่ียนแปลง)
(3) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งประเด็นคาถามท่ีนักเรียนสงสัยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ
1 คาถาม ซ่ึงครใู ห้นักเรียนเตรยี มมาล่วงหนา้ และใหน้ ักเรียนช่วยกนั ตอบและแสดงความคิดเห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การศึกษา
การเกิดปฏิกิริยาเคมีต้องกาหนดขอบเขตของสิ่งท่ีต้องการ โดยแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ระบบ (system) และ
ส่งิ แวดลอ้ ม (surrounding) และเม่ือเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ระบบจะมีมวลคงที่และมพี ลงั งานเปลยี่ นไป
2) ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเรื่องมวลและพลังงานกับปฏิกิริยาเคมีจากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดย
ครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การศึกษาการเกิดปฏิกิริยาเคมีต้องมีการกาหนดขอบเขตของส่ิงที่ต้องการ
ศึกษาเป็นระบบและส่ิงแวดล้อม โดยในการเกิดปฏิกิริยาเคมีระบบและสิ่งแวดล้อมอาจมีการถ่ายโอนมวลและ
พลงั งานใหแ้ ก่กันทาให้ระบบเกิดการเปลีย่ นแปลง โดยแบง่ เปน็ ระบบเปิดและระบบปดิ
(2) ครูแบง่ นกั เรยี นกลมุ่ ละ 5–6 คน ปฏิบัตกิ จิ กรรม สังเกตการเปลี่ยนแปลงมวลเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี
ตามข้นั ตอน ดงั นี้
ตอนที่ 1
– วางบกี เกอร์ขนาด 250 ลกู บาศก์เซนติเมตรบนเคร่อื งชัง่ สาร
– นาหลอดทดลองขนาดกลางมา 2 หลอด หลอดทดลองที่ 1 ใส่สารละลายแบเรียมคลอไรด์
เข้มข้น 0.1 โมลต่อลิตร จานวน 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร และหลอดทดลองที่ 2 ใส่สารละลายโซเดียมซัลเฟ
ตเขม้ ขน้ 0.1 โมลตอ่ ลิตร จานวน 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร จากนั้นนาหลอดทดลองทั้ง 2 หลอดไปใส่รวมกันใน
บีกเกอร์ บนั ทึกมวลท่ีวดั ได้
– เทสารละลายในหลอดทดลองที่ 1 ลงในหลอดทดลองที่ 2 แล้ววางหลอดทดลองลงในบีกเกอร์
เหมือนเดมิ สังเกตการเปลีย่ นแปลงและอ่านคา่ มวลเม่ือปฏิกริ ยิ าเคมีส้ินสดุ บนั ทึกผล
ตอนที่ 2
– วางบกี เกอรข์ นาด 250 ลกู บาศก์เซนติเมตรบนเครือ่ งช่ังสาร
– ใสเ่ ม็ดหินปนู 2–3 เม็ดลงในบีกเกอร์ และใส่สารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 0.1 โมลต่อ
ลิตร จานวน 10 ลูกบาศก์เซนติเมตร ลงในหลอดทดลองขนาดใหญ่ แล้วปิดด้วยจุกยาง จากนั้นนาไปใส่ในบีก
เกอรท์ ีม่ ีเม็ดหนิ ปูน บนั ทึกมวลทีว่ ดั ได้
– ใส่เม็ดหินปูนลงในหลอดทดลองขนาดใหญ่แล้วปิดด้วยจุกยางทันที แล้ววางหลอดทดลองลงใน
บกี เกอรเ์ หมอื นเดมิ สังเกตการเปลีย่ นแปลงและอ่านค่ามวลเมอื่ ปฏกิ ิรยิ าเคมสี ิ้นสดุ บนั ทกึ ผล
(3) ครแู ละนักเรียนรว่ มกันตรวจสอบความถกู ตอ้ งของข้อมลู ท่ีได้จากการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม
(4) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ ห้องเรียนและเปิด
โอกาสให้นักเรยี นทกุ คนซักถามเมือ่ มปี ัญหา
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation)
(1) นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมหนา้ ห้องเรยี น
(2) ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั อภปิ รายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใช้แนวคาถาม เชน่
– สารผสมในตอนที่ 1 และตอนที่ 2 เกิดปฏิกิริยาเคมีหรือไม่ สังเกตจากอะไร (แนวคาตอบ
เกิดปฏิกริ ิยาเคมี โดยสังเกตจากตอนท่ี 1 สารผสมมีตะกอนสีขาวขุ่นเกิดข้ึน ส่วนตอนท่ี 2 สารผสมมีฟองแก๊ส
เกดิ ขนึ้ และเมด็ หนิ ปูนหายไป)
– มวลของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาเคมีและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีเท่ากันหรือไม่ (แนวคาตอบ มวล
ของสารก่อนเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมเี ท่ากับมวลของสารหลังเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี)
– ในตอนที่ 2 นักเรียนต้องปิดจุกยางทันทีเพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะต้องการให้
เกิดปฏิกิริยาเคมีในระบบปิด เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่เกิดข้ึนมีสถานะแก๊ส ถ้าไม่ปิดจุกยางทันที แก๊สจะแพร่ออก
จากหลอดทดลอง ทาใหไ้ ม่สามารถเปรียบเทยี บมวลของสารก่อนเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีกับหลงั เกิดปฏกิ ิริยาเคมีได้)
– จากกิจกรรมสรุปได้ว่าอะไร (แนวคาตอบ มวลของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาเคมีเท่ากับมวลของ
สารหลงั เกิดปฏิกิรยิ าเคม)ี
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เมื่อ
เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี มวลรวมของสารตง้ั ต้นเท่ากับมวลรวมของผลิตภัณฑซ์ ่ึงเป็นไปตามกฎทรงมวล
4) ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration)
(1) ครอู ธิบายเร่ืองน่ารู้ เร่อื ง ระบบของปฏกิ ิรยิ าเคมี ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวา่ การจาแนกปฏิกิริยาเคมีเป็น
ระบบเปิดและระบบปิดต้องพิจารณาจากการถ่ายโอนมวลให้กับส่ิงแวดล้อม ไม่ใช่การเปิดหรือปิดภาชนะ
ระหว่างการเกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น ปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารละลาย 2 ชนิดในภาชนะเปิด ได้ผลิตภัณฑ์เป็น
ของแข็งที่ไม่ละลายในน้า โดยไม่มีฟองแก๊สเกิดข้ึน แสดงว่าไม่มีการถ่ายโอนมวลให้กับส่ิงแวดล้อม ดังน้ันจึง
จดั เปน็ ระบบปิด ถงึ แม้ว่าปฏิกริ ยิ าเคมีจะเกิดขึ้นในภาชนะเปดิ
5) ขน้ั ประเมนิ (Evaluation)
(1) ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะคนพิจารณาวา่ จากหวั ข้อทเ่ี รียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เข้าใจหรือยงั มีข้อสงสยั ถ้ามี ครชู ว่ ยอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อยา่ งไรบา้ ง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความร้ทู ่ีได้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคาถาม เชน่
– ระบบปิดคือระบบท่ปี ฏิกริ ยิ าเคมีเกิดในภาชนะปิดเท่านั้นใช่หรือไม่ อธิบาย (แนวคาตอบ ไม่ใช่
โดยระบบปิดอาจเกดิ ในภาชนะเปิดได้ แตป่ ฏิกริ ิยาเคมที ่เี กิดตอ้ งไม่มีการถ่ายโอนมวลใหก้ ับส่งิ แวดล้อม)
– ถ้าต้องการศึกษากฎทรงมวลต้องศึกษาในระบบปิดเพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะระบบปิด
ไม่มกี ารถา่ ยโอนมวลใหส้ ่งิ แวดล้อม จึงเปรียบเทียบมวลกอ่ นเกดิ และหลังเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีได้ถกู ต้อง)
ขั้นสรุป
ครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรุปเกี่ยวกบั กฎทรงมวล โดยร่วมกันเขยี นเปน็ แผนท่คี วามคิดหรอื ผงั มโนทัศน์
สื่อ และแหลง่ การเรียนรู้
1. ใบกจิ กรรม สังเกตการเปลย่ี นแปลงมวลเม่อื เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
2. หนงั สือ วารสาร สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรอื อนิ เทอรเ์ น็ต
3. ค่มู อื การสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เล่ม 2
4. สอื่ การเรียนรู้ PowerPoint หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 8 เรื่อง ปฏกิ ิรยิ าเคมี
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 33
รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ (พนื้ ฐาน) รหสั วิชา ว23102 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 9 ปฏกิ ิริยาเคมี เรือ่ งการเปลย่ี นแปลงพลงั งานของระบบ (1) เวลา 1 ช่ัวโมง/คาบ
วันท่ี …………………….………………………… ครูผสู้ อน นางสาวอังคณา ปาสานะโม
สาระสาคญั
ปฏกิ ริ ิยาดูดความร้อน (endothermic reaction) คือ ปฏกิ ริ ยิ าเคมที ่ีมกี ารถ่ายโอนความร้อนจาก
สิ่งแวดลอ้ มเข้าสู่ระบบ ท่าให้อณุ หภูมขิ องสงิ่ แวดล้อมตา่ ลง
ปฏกิ ิรยิ าคายความร้อน (exothermic reaction) คือ ปฏิกิรยิ าเคมที ี่มีการถา่ ยโอนความร้อนจากระบบ
ออกสู่ส่ิงแวดลอ้ ม ท่าให้อุณหภมู ขิ องสิ่งแวดล้อมสูงข้ึน
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมบัติของสสาร
กับโครงสรา้ งและแรงยดึ เหน่ียวระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร การ
เกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
ตัวช้วี ดั
ว 2.1 ม. 3/5 วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความร้อนและปฏิกิริยาคายความร้อนจากการเปลี่ยนแปลง
พลังงานความรอ้ นของปฏกิ ริ ยิ า
คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคต์ ามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551
รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ซ่อื สัตยส์ ุจริต มวี ินัย ใฝเ่ รียนรู้
อยู่อย่างพอเพียง ม่งุ มน่ั ในการทางาน รกั ความเป็นไทย มีจติ สาธารณะ
............................................................................................................................. .............................................
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น
ความสามารถในการส่อื สาร :………………………………………………………..
ความสามารถในการคดิ :………………………………………………………..
ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..
ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ :………………………………………………………..
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี :………………………………………………………..
ดา้ นการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขียน
การอา่ น :…………………………………………………………………………..
การคดิ วเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..
การเขยี น :…………………………………………………………………………..
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. นักเรยี นสามารถอธบิ ายปฏิกิริยาดูดความร้อนและปฏิกิรยิ าคายความร้อนได้ (K)
2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลได้ (P)
3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมัน่ ในการทางานได้ (A)
การวัดและการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ผู้ประเมนิ ครผู สู้ อน นกั เรียน เพ่ือน ผู้ปกครอง
ชิน้ งาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลักฐานการเรียนรู้
สงิ่ ทีต่ ้องการวัด/ประเมิน วธิ ีการวัด เครอ่ื งมือการวัด เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
ระดับคุณภาพ
(Rubric Score)
1. นักเรียนสามารถอธิบายปฏิกิริยาดูดความ - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน - ใบงาน ช้ินงานหรือ - นักเรียนผา่ นเกณฑ์
ร้อนและปฏกิ ิรยิ าคายความรอ้ นได้ (K) หรือภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ขน้ึ ไป
2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ -แบบประเมนิ ทกั ษะ - ระดับคุณภาพ ดี
รวบรวมข้อมลู ได้ (P) สังเกตพฤติกรรม -แบบประเมินการ ขึน้ ไป
สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกลุม่
3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมั่นในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดับคุณภาพ ดี
ทางานได้ (A) สงั เกตพฤติกรรม พฤตกิ รรม ข้นึ ไป
สาระการเรียนรู้
- การเปลีย่ นแปลงพลงั งานของระบบ (1)
กจิ กรรมการเรียนรู้ (กิจกรรม Active Learning)
ขน้ั นาเขา้ สูบ่ ทเรียน
1) ครใู ห้นักเรียนทบทวนความรู้เดมิ ทไี่ ด้เรียนรูม้ าแลว้ โดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้
– หลักการสาคัญของกฎทรงมวลคืออะไร (แนวคาตอบ เม่ือปฏิกิริยาเคมีเกิดในระบบปิด มวล
กอ่ นเกิดปฏิกริ ิยาเคมีจะเท่ากบั มวลหลงั เกิดปฏิกริ ิยาเคมเี สมอ)
– เม่ือเกิดปฏิกิริยาเคมี พลังงานจะมีค่าคงท่ีเหมือนมวลหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ ไม่ โดย
พลงั งานอาจมีค่าเพิ่มขึน้ หรือลดลง)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้
เรือ่ ง การเปลี่ยนแปลงพลังงานของระบบ
ขนั้ จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
จดั กจิ กรรมการเรยี นรูโ้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซงึ่ มขี ั้นตอนดงั นี้
1) ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
(1) ครถู ามคาถามนกั เรียนเพอ่ื กระตนุ้ ความสนใจ เชน่
– นักเรียนใช้วิธีใดเพ่ือระบุว่าปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นมีการเปล่ียนแปลงพลังงาน (แนวคาตอบ วัด
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของสง่ิ แวดลอ้ ม)
– การถา่ ยโอนพลังงานเกิดขึ้นระหว่างสว่ นใด (แนวคาตอบ เกิดข้ึนระหวา่ งระบบกบั สงิ่ แวดลอ้ ม)
(2) นักเรยี นร่วมกนั อภิปรายหาคาตอบเก่ียวกับคาถามตามความคิดเหน็ ของแต่ละคน
2) ขน้ั สารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเร่ืองมวลและพลังงานกับปฏิกิริยาเคมีจากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดย
ครชู ่วยอธบิ ายใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจว่า เม่ือเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี สารต้งั ตน้ ตอ้ งดูดพลังงานจากส่ิงแวดล้อมเพ่ือใช้ในการ
สลายพันธะเคมี จากน้ันจะคายพลังงานให้กับส่ิงแวดล้อมเพ่ือสร้างพันธะเคมีใหม่เป็นผลิตภัณฑ์ โดยการ
เปลี่ยนแปลงพลังงานรวมของระบบวดั ได้จากการเปลยี่ นแปลงของอณุ หภูมิ
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5–6 คน สืบค้นข้อมูลเก่ียวกับการเปล่ียนแปลงพลังงานของระบบตาม
ข้ันตอนดังน้ี
– แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพ่ือนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามท่ี
สมาชกิ กลุ่มช่วยกันกาหนดหัวข้อย่อย เชน่ ปฏิกริ ิยาดดู ความรอ้ นและปฏิกิริยาคายความร้อน
– สมาชิกกลุ่มแต่ละคนหรือกลุ่มย่อยช่วยกันสืบค้นข้อมูลตามหัวข้อย่อยที่ตนเองรับผิดชอบ โดย
การสืบคน้ จากหนังสือ วารสาร สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรืออนิ เทอร์เนต็
– สมาชิกกลมุ่ นาขอ้ มลู ทีส่ ืบค้นไดม้ ารายงานใหเ้ พอื่ นๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมทั้งร่วมกันอภิปราย
ซักถามจนคาดว่าสมาชกิ ทกุ คนมคี วามรู้ความเขา้ ใจทตี่ รงกัน
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ท่ีได้ทั้งหมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทารายงาน
การศึกษาคน้ ควา้ เกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงพลังงานของระบบ
(3) ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมูลท่ีได้จากการปฏิบตั ิกจิ กรรม
(4) ครคู อยแนะนาชว่ ยเหลือนักเรียนขณะปฏบิ ัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ใหน้ ักเรยี นทุกคนซกั ถามเมื่อมีปญั หา
3) ข้ันอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
(1) นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ นาเสนอผลการปฏิบตั ิกิจกรรมหนา้ หอ้ งเรยี น
(2) ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภปิ รายผลจากการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถาม เชน่
– ปฏิกิริยาเคมีแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 2 ประเภท ได้แก่ ปฏิกิริยาดูดความ
ร้อนและปฏกิ ิริยาคายความร้อน)
– ปฏิกิริยาเคมีแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร (แนวคาตอบ ปฏิกิริยาดูดความร้อนมีการถ่าย
โอนความร้อนจากส่ิงแวดลอ้ มเข้าสรู่ ะบบ ส่วนปฏิกิริยาคายความร้อนมีการถ่ายโอนความร้อนจากระบบออกสู่
สิ่งแวดลอ้ ม)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า ปฏิกิริยา
เคมีที่มีการถ่ายโอนความร้อนจากส่ิงแวดล้อมเข้าสู่ระบบเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน ส่วนปฏิกิริยาที่มีการถ่าย
โอนความร้อนจากระบบออกสสู่ ่ิงแวดลอ้ มเปน็ ปฏกิ ิรยิ าคายความร้อน
4) ข้ันขยายความรู้ (Elaboration)
ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงพลังงานของระบบให้นักเรียนเข้าใจว่า ปฏิกิริยาดูดความ
รอ้ นและปฏกิ ิรยิ าคายความร้อนมีการถ่ายโอนพลังงาน (ความร้อน) ระหว่างระบบและส่ิงแวดล้อมแตกต่างกัน
และการเปล่ียนแปลงพลังงานระหว่างสารต้ังต้นและผลิตภัณฑ์แตกต่างกัน โดยการสังเกตการเปลี่ยนแปลง
พลังงานจะใช้เคร่ืองมือท่ีเหมาะสมในการวัดอุณหภูมิ เช่น เทอร์มอมิเตอร์ หัววัดที่สามารถตรวจสอบการ
เปล่ยี นแปลงของอุณหภมู ิไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่อื ง
5) ขั้นประเมนิ (Evaluation)
(1) ครใู หน้ ักเรยี นแตล่ ะคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เขา้ ใจหรือยังมขี ้อสงสัย ถ้ามี ครชู ว่ ยอธิบายเพิ่มเตมิ ใหน้ กั เรียนเข้าใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อย่างไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรู้ท่ีได้ไปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนักเรยี นโดยการใหต้ อบคาถาม เชน่
– เราจะสรุปวา่ ปฏิกิรยิ าเคมีเป็นปฏิกริ ิยาดดู ความร้อนหรือปฏกิ ิรยิ าคายความร้อนโดยสังเกตจาก
ส่ิงใด (แนวคาตอบ สังเกตจากการเปลย่ี นแปลงของอณุ หภูมิ)
– นอกจากอุณหภูมิ สิ่งใดท่ีสามารถบอกได้ว่าปฏิกิริยาเคมีเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อนหรือ
ปฏกิ ิริยาคายความร้อน (แนวคาตอบ การเปลี่ยนแปลงพลงั งานของสารตัง้ ต้นไปเปน็ ผลติ ภัณฑ)์
ขัน้ สรุป
ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับการเปล่ียนแปลงพลังงานของระบบ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนท่ี
ความคดิ หรือผังมโนทัศน์
สอ่ื และแหลง่ การเรยี นรู้
1. หนังสือ วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน หรอื อินเทอร์เนต็
2. คู่มือการสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 เลม่ 2
3. สอื่ การเรยี นรู้ PowerPoint หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 8 เรือ่ ง ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 34
รายวชิ าวิทยาศาสตร์ (พนื้ ฐาน) รหสั วชิ า ว23102 กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 9 ปฏิกิริยาเคมี เรือ่ งการเปล่ียนแปลงพลังงานของระบบ (2) เวลา 2 ชวั่ โมง/คาบ
วนั ท่ี …………………….………………………… ครูผสู้ อน นางสาวอังคณา ปาสานะโม
สาระสาคญั
การเปลี่ยนแปลงพลงั งานของระบบสงั เกตได้จากการเปลีย่ นแปลงอุณหภมู ิของส่งิ แวดล้อม ถา้ อุณหภมู ิ
ต่าลง แสดงวา่ เปน็ ปฏกิ ริ ิยาดูดความร้อน และถ้าอณุ หภูมิสูงข้ึน แสดงว่าเปน็ ปฏกิ ิรยิ าคายความร้อน
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหว่างสมบัติของสสาร
กับโครงสร้างและแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การ
เกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี
ตัวชวี้ ัด
ว 2.1 ม. 3/5 วิเคราะห์ปฏิกิริยาดูดความร้อนและปฏิกิริยาคายความร้อนจากการเปล่ียนแปลง
พลังงานความรอ้ นของปฏกิ ิริยา
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคต์ ามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551
รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ซอ่ื สตั ย์สุจริต มวี นิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้
อยู่อยา่ งพอเพียง ม่งุ มน่ั ในการทางาน รักความเปน็ ไทย มีจิตสาธารณะ
............................................................................................................................. .............................................
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น
ความสามารถในการสอื่ สาร :………………………………………………………..
ความสามารถในการคดิ :………………………………………………………..
ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี :………………………………………………………..
ด้านการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียน
การอา่ น :…………………………………………………………………………..
การคดิ วิเคราะห์ :…………………………………………………………………………..
การเขียน :…………………………………………………………………………..
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. นกั เรยี นสามารถสังเกตการเปลย่ี นแปลงพลังงานของระบบได้ (K)
2. นักเรยี นสามารถแสดงทักษะการเก็บรวบรวมข้อมลู ได้ (P)
3. นักเรียนสามารถแสดงความม่งุ ม่นั ในการทางานได้ (A)
การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ผู้ประเมนิ ครผู ู้สอน นกั เรยี น เพื่อน ผู้ปกครอง
ช้ินงาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลักฐานการเรยี นรู้
สิง่ ทีต่ ้องการวัด/ประเมิน วิธีการวัด เคร่อื งมือการวัด เกณฑก์ ารให้คะแนน
ระดับคณุ ภาพ
(Rubric Score)
1. นักเรียนสามารถสังเกตการเปล่ียนแปลง - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน - ใบงาน ช้ินงานหรือ - นักเรยี นผา่ นเกณฑ์
พลงั งานของระบบได้ (K) หรือภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ขน้ึ ไป
2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ -แบบประเมนิ ทกั ษะ - ระดับคณุ ภาพ ดี
รวบรวมขอ้ มลู ได้ (P) สงั เกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ข้นึ ไป
สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกลุ่ม
3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งม่ันในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดบั คุณภาพ ดี
ทางานได้ (A) สังเกตพฤตกิ รรม พฤตกิ รรม ขน้ึ ไป
สาระการเรียนรู้
- การเปลยี่ นแปลงพลงั งานของระบบ (2)
กจิ กรรมการเรียนรู้ (กจิ กรรม Active Learning)
ขนั้ นาเข้าสู่บทเรียน
1) ครใู หน้ กั เรยี นทบทวนความรเู้ ดิมท่ีได้เรยี นรมู้ าแลว้ โดยใชค้ าถามต่อไปน้ี
– เม่ือใช้การเปลี่ยนแปลงพลังงานเป็นเกณฑ์ ปฏิกิริยาเคมีแบ่งเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง (แนว
คาตอบ 2 ประเภท ได้แก่ ปฏกิ ริ ิยาดูดความรอ้ นและปฏิกริ ิยาคายความร้อน)
– พลงั งานของสารในระบบมีลักษณะใดเม่ือเกดิ ปฏิกิรยิ าคายความร้อน (แนวคาตอบ ผลิตภัณฑ์ท่ี
เกิดขึ้นมีพลังงานตา่ กว่าสารต้งั ต้น)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้
เรอ่ื ง การเปลีย่ นแปลงพลงั งานของระบบ
ขนั้ จัดกิจกรรมการเรียนรู้
จดั กิจกรรมการเรยี นรู้โดยใชก้ ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซง่ึ มขี ้นั ตอนดงั นี้
1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
(1) ครูถามคาถามนักเรยี นเพ่อื กระตุน้ ความสนใจ เช่น
– นักเรียนสามารถใช้การสัมผัสเพ่ือระบุประเภทของปฏิกิริยาดูดความร้อนและปฏิกิริยาคาย
ความร้อนไดห้ รือไม่ (แนวคาตอบ ใช้ได)้
– การสัมผัสสามารถระบุประเภทของปฏิกิริยาดูดความร้อนและปฏิกิริยาคายความร้อนได้
อยา่ งไร (แนวคาตอบ ถ้าสมั ผสั ภาชนะใส่สารผสมแล้วรู้สึกเย็น แสดงว่าเป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน แต่ถ้าสัมผัส
ภาชนะใส่สารผสมแลว้ รู้สึกรอ้ น แสดงวา่ เป็นปฏิกริ ยิ าคายความรอ้ น)
(2) นักเรยี นร่วมกันอภิปรายหาคาตอบเกย่ี วกบั คาถามตามความคิดเหน็ ของแต่ละคน
2) ขัน้ สารวจและคน้ หา (Exploration)
(1) ครแู บง่ นกั เรยี นกลมุ่ ละ 5–6 คน ปฏบิ ตั ิกจิ กรรม สงั เกตการเปลย่ี นแปลงพลังงานเมื่อเกิดปฏิกิริยา
เคมี ตามข้ันตอน ดงั น้ี
– ช่ังแอมโมเนียมคลอไรด์และแคลเซียมไฮดรอกไซด์ชนิดละ 2 กรัม ลงในจานเพาะแต่ละใบ
จากนัน้ ใช้มอื สัมผสั จานเพาะของสารทั้ง 2 ชนดิ บนั ทึกผล
– ผสมแอมโมเนียมคลอไรด์และแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในบีกเกอร์ขนาด 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร
แลว้ ดูดน้ากลนั่ จนเต็มหลอดหยดแลว้ คอ่ ยๆ หยดลงในสารผสมจานวน 5 หลอด จากนนั้ คนสารผสมใหเ้ ขา้ กัน
– ใชม้ ือสัมผสั บกี เกอร์ของสารผสม บันทึกผล
– ดาเนินการเช่นเดียวกับขั้นตอนท่ี 1–3 แต่เปลี่ยนสารเป็นโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตกับ
น้าตาลทราย
(2) ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม
(3) ครูคอยแนะนาช่วยเหลือนักเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเดินดูรอบ ๆ ห้องเรียนและเปิด
โอกาสใหน้ ักเรียนทกุ คนซักถามเม่อื มีปัญหา
3) ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation)
(1) นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมหน้าหอ้ งเรยี น
(2) ครูและนกั เรียนร่วมกันอภปิ รายผลจากการปฏบิ ัติกิจกรรม โดยใช้แนวคาถาม เช่น
– สารผสมทง้ั 2 กรณมี ีปฏิกิริยาเคมีเกิดข้ึนหรือไม่ สังเกตจากอะไร (แนวคาตอบ มีปฏิกิริยาเคมี
เกิดข้ึน สังเกตจากอุณหภูมิของสง่ิ แวดล้อมเปลย่ี นแปลงไปและมฟี องแกส๊ เกดิ ข้ึน)
– สารผสมท้ัง 2 กรณีทาปฏิกิริยาเคมีในระบบเปิดหรือระบบปิด สังเกตจากอะไร (แนวคาตอบ
ระบบเปิด สังเกตจากปฏิกิริยาเคมีมีฟองแก๊สเกิดขึ้นและฟองแก๊สแพร่ออกสู่ส่ิงแวดล้อมเนื่องจากไม่ได้ปิดปาก
บกี เกอรไ์ ว)้
– สารผสมใดเกิดปฏิกิริยาดูดความร้อนและสารผสมใดเกิดปฏิกิริยาคายความร้อน สังเกตจาก
อะไร (แนวคาตอบ สารผสมระหว่างแอมโมเนียมคลอไรด์ แคลเซียมไฮดรอกไซด์ และน้ากลั่นเกิดปฏิกิริยาดูด
ความร้อน สังเกตจากเม่ือสัมผัสบีกเกอร์ของสารผสม บีกเกอร์มีอุณหภูมิต่าลง แสดงว่าเป็นปฏิกิริยาเคมีที่ดูด
ความร้อนจากส่ิงแวดล้อม ส่วนสารผสมระหว่างโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต น้าตาลทราย และน้ากลั่น
เกิดปฏิกิริยาคายความร้อน สังเกตจากเมื่อสัมผัสบีกเกอร์ของสารผสม บีกเกอร์มีอุณหภูมิสูงขึ้น แสดงว่าเป็น
ปฏกิ ิรยิ าเคมที ค่ี ายความรอ้ นสู่ส่ิงแวดล้อม)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า การ
เกิดปฏิกิริยาเคมีมีการเปล่ียนแปลงพลังงาน โดยปฏิกิริยาเคมีท่ีทาให้สิ่งแวดล้อมมีอุณหภูมิต่าลงเป็นปฏิกิริยา
ดดู ความร้อน สว่ นปฏกิ ิรยิ าเคมีทที่ าให้สิง่ แวดลอ้ มมีอณุ หภมู ิสูงขน้ึ เป็นปฏกิ ริ ยิ าคายความรอ้ น
4) ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration)
นักเรียนค้นคว้าคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเก่ียวกับการเปล่ียนแปลงพลังงานของระบบจากหนังสือ
เรยี นภาษาต่างประเทศหรอื อินเทอร์เน็ต และนาเสนอให้เพ่อื นฟัง คัดคาศพั ท์พรอ้ มทัง้ คาแปลลงสมุดสง่ ครู
5) ข้ันประเมิน (Evaluation)
(1) ครูใหน้ กั เรยี นแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหัวข้อที่เรยี นมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เขา้ ใจหรอื ยังมีขอ้ สงสยั ถ้ามี ครชู ่วยอธิบายเพม่ิ เติมใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อยา่ งไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับประโยชน์ท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรู้ทไ่ี ด้ไปใชป้ ระโยชน์
(4) ครูทดสอบความเข้าใจของนกั เรียนโดยการให้ตอบคาถาม เชน่
– การใช้มือสามารถบอกการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิได้ในลักษณะใด (แนวคาตอบ บอกได้ว่า
อุณหภมู ิสงู ข้นึ หรอื ตา่ ลง แต่ไมส่ ามารถบอกไดว้ า่ สงู ข้ึนหรอื ตา่ ลงเทา่ ใด)
– ถ้าวัดอุณหภูมิหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีพบว่า อุณหภูมิเพิ่มข้ึน 10 องศาเซลเซียส จะสรุปว่า
ปฏิกิริยาเคมีน้ีเป็นปฏิกิริยาเคมีประเภทใด เพราะอะไร (แนวคาตอบ ปฏิกิริยาคายความร้อน เพราะอุณหภูมิ
ของสิ่งแวดล้อมสูงขน้ึ )
ข้นั สรปุ
1) ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สรุปเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพลังงานของระบบ โดยร่วมกันเขียนเป็นแผน
ท่คี วามคดิ หรอื ผังมโนทศั น์
2) ครูมอบหมายให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าเน้ือหาของบทเรียนช่ัวโมงหน้า เพ่ือจัดการเรียนรู้ครั้ง
ต่อไป โดยใหน้ ักเรยี นศึกษาคน้ คว้าล่วงหน้าในหัวข้อปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจาวัน
3) ครูให้นักเรียนเตรียมประเด็นคาถามที่สงสัยมาอย่างน้อยคนละ 1 คาถาม เพ่ือนามาอภิปราย
ร่วมกันในหอ้ งเรียนครงั้ ต่อไป
สื่อ และแหล่งการเรยี นรู้
1. ใบกิจกรรม สงั เกตการเปลี่ยนแปลงพลังงานเมื่อเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
2. หนังสือ วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน หรืออนิ เทอร์เน็ต
3. ค่มู ือการสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 เลม่ 2
4. ส่อื การเรียนรู้ PowerPoint หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 8 เรอื่ ง ปฏกิ ริ ิยาเคมี
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 35
รายวชิ าวิทยาศาสตร์ (พ้ืนฐาน) รหัสวิชา ว23102 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 9 ปฏกิ ิรยิ าเคมี เร่อื งการเกิดปฏกิ ิริยาเคมใี นชีวิตประจาวัน (1) เวลา 1 ช่วั โมง/คาบ
วันที่ …………………….………………………… ครูผสู้ อน นางสาวองั คณา ปาสานะโม
สาระสาคัญ
การเผาไหม้และการเกิดสนิมของเหล็กเป็นปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารต่าง ๆ กับแก๊สออกซิเจน โดยการ
เผาไหม้เป็นปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารกับแก๊สออกซิเจน เม่ือเกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ จะได้ผลิตภัณฑ์เป็น
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้า ส่วนการเกิดสนิมของเหล็กเกิดจากปฏิกิริยาเคมีระหว่างเหล็ก น้า และแก๊ส
ออกซิเจน ไดผ้ ลิตภัณฑ์เป็นสนิมของเหล็ก
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสมบตั ขิ องสสาร
กบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหนีย่ วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การ
เกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี
ตวั ชวี้ ดั
ว 2.1 ม. 3/6 อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรด
กับเบส และปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และอธิบายปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิด
ฝนกรด การสงั เคราะห์ด้วยแสง โดยใช้สารสนเทศ รวมทั้งเขียนสมการข้อความแสดงปฏิกริ ยิ าดงั กลา่ ว
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซ่ือสตั ยส์ จุ ริต มวี ินัย ใฝเ่ รียนรู้
อย่อู ย่างพอเพยี ง มุ่งมนั่ ในการทางาน รกั ความเปน็ ไทย มจี ิตสาธารณะ
............................................................................................................................. .............................................
ด้านสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น
ความสามารถในการสื่อสาร :………………………………………………………..
ความสามารถในการคดิ :………………………………………………………..
ความสามารถในการแกป้ ัญหา :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต :………………………………………………………..
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี :………………………………………………………..
ด้านการอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขียน
การอ่าน :…………………………………………………………………………..
การคิดวเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..
การเขยี น :…………………………………………………………………………..
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้และเขยี นแสดงดว้ ยสมการขอ้ ความได้ (K)
2. นกั เรยี นสามารถอธิบายปฏิกิรยิ าการเกดิ สนิมของเหล็กและเขยี นแสดงดว้ ยสมการข้อความได้ (K)
3. นักเรยี นสามารถแสดงทกั ษะการเก็บรวบรวมขอ้ มูลได้ (P)
4. นักเรยี นสามารถแสดงความมงุ่ มนั่ ในการทางานได้ (A)
การวดั และการประเมินผลการเรียนรู้
ผ้ปู ระเมิน ครูผู้สอน นกั เรยี น เพ่ือน ผู้ปกครอง
ช้นิ งาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลกั ฐานการเรยี นรู้
สงิ่ ท่ีต้องการวัด/ประเมิน วธิ ีการวัด เคร่อื งมือการวัด เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
ระดับคณุ ภาพ
(Rubric Score)
1.นักเรียนสามารถอธิบายปฏิกิริยาการเผา - ตรวจใบงาน ช้ินงาน - ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นักเรียนผา่ นเกณฑ์
ไหม้และเขียนแสดงดว้ ยสมการขอ้ ความได้ (K) หรอื ภาระงาน ภาระงาน ร้อยละ 70 ขึ้นไป
2.นักเรียนสามารถอธิบายปฏิกิริยาการเกิด - ตรวจใบงาน ช้ินงาน - ใบงาน ชิ้นงานหรือ - นกั เรียนผา่ นเกณฑ์
สนิมของเหล็กและเขียนแสดงด้วยสมการ หรือภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ขึน้ ไป
ขอ้ ความได้ (K)
2. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ -แบบประเมินทักษะ - ระดบั คณุ ภาพ ดี
รวบรวมข้อมลู ได้ (P) สังเกตพฤติกรรม -แบบประเมินการ ข้ึนไป
สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกลมุ่
3. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมั่นในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดบั คณุ ภาพ ดี
ทางานได้ (A) สังเกตพฤติกรรม พฤติกรรม ขึน้ ไป
สาระการเรยี นรู้
- ปฏกิ ิรยิ าเคมใี นชวี ิตประจาวัน
กจิ กรรมการเรียนรู้ (กจิ กรรม Active Learning)
ขน้ั นาเข้าสู่บทเรยี น
1) ครถู ามคาถามนักเรียนเพ่ือกระต้นุ ความสนใจ เช่น
– ในชีวิตประจาวัน นักเรียนพบปฏิกิริยาเคมีใดบ้าง (แนวคาตอบ การเผาไหม้และการเกิดสนิม
ของเหล็ก)
– นักเรียนทราบได้อย่างไรว่ามีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้น (แนวคาตอบ สังเกตจากการเปลี่ยนแปลงที่
เกิดขนึ้ หลังเกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น การเผาไหม้มีประกายไฟและความร้อนเกิดขึ้นและการเกิดสนิมของเหล็กทา
ให้เหลก็ ที่เป็นสีเงนิ วาวมตี ะกอนของสนิมเกาะอย)ู่
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้
เรื่อง การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีในชีวิตประจาวัน
ข้ันจัดกิจกรรมการเรียนรู้
จดั กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Process) ซ่งึ มีขนั้ ตอนดังนี้
1) ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement)
(1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนแล้วเปิดโอกาสให้นักเรียนในกลุ่มนาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีใน
ชีวิตประจาวัน ที่ครูมอบหมายให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าให้เพ่ือนๆ ในกลุ่มฟัง จากน้ันให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมา
นาเสนอข้อมูลหน้าห้องเรยี น
(2) ครูตรวจสอบวา่ นักเรียนทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายไปหรือไม่ โดยตรวจสอบจากการจดบันทึก
ของนกั เรียน และถามคาถามเกี่ยวกบั ภาระงาน ดังน้ี
– ปฏิกิริยาเคมีแต่ละชนิดมีผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมแตกต่างกันหรือไม่ (แนวคาตอบ
แตกต่างกัน)
– การเรียนรู้ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจาวันมีความสาคัญอย่างไร (แนวคาตอบ ทาให้เข้าใจว่า
ปฏิกิริยาเคมีเหล่านั้นเกิดข้ึนได้อย่างไร เพื่อนาไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือทาให้เกิดผลกระทบต่อ
ตนเองและสิง่ แวดลอ้ มน้อยทส่ี ดุ )
(3) ครเู ปิดโอกาสใหน้ กั เรียนต้งั ประเด็นคาถามท่นี กั เรยี นสงสัยจากการทาภาระงานอย่างน้อยคนละ 1
คาถาม ซงึ่ ครใู ห้นกั เรยี นเตรยี มมาล่วงหนา้ และใหน้ กั เรยี นช่วยกันตอบและแสดงความคดิ เห็น
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเก่ียวกับภาระงาน โดยครูช่วยอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การเรียนรู้
เกี่ยวกับการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีทาให้เข้าใจว่าปฏิกิริยาเคมีเหล่าน้ันเกิดข้ึนได้อย่างไร เพื่อนาไปประยุกต์ใช้ให้เกิด
ประโยชน์ หรอื ทาใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ ตนเองและสง่ิ แวดล้อมน้อยทส่ี ดุ
2) ข้ันสารวจและคน้ หา (Exploration)
(1) ครูให้นักเรียนศึกษาเร่ืองปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจาวันจากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครู
ชว่ ยอธิบายให้นักเรยี นเข้าใจว่า
– การเผาไหม้เป็นปฏิกิริยาเคมีระหว่างสารกับแก๊สออกซิเจน เม่ือเกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์
จะได้ผลติ ภัณฑเ์ ปน็ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และนา้ เขียนแสดงด้วยสมการข้อความ คือ
เชอ้ื เพลิง + แก๊สออกซิเจน ความรอ้ น แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ + น้า
– การเกิดสนิมของเหล็กเกิดจากปฏิกริ ิยาเคมีระหว่างเหลก็ (ไอร์ออน) นา้ และแก๊สออกซิเจน ได้
ผลิตภัณฑ์เป็นสนมิ ของเหล็ก เขยี นแสดงด้วยสมการขอ้ ความ คอื
ไอร์ออน + น้า + แกส๊ ออกซเิ จน ไอร์ออน (II) ออกไซด์ + แก๊สไฮโดรเจน
(2) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5 – 6 คน ปฏิบัติกิจกรรม ทดลองการเกิดสนิมของเหล็ก ตามข้ันตอน
ดงั น้ี
ขัน้ ท่ี 1 กาหนดปญั หา
– ตะปูท่ีเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมกี บั น้าและแก๊สออกซเิ จนจะเกดิ สนิมได้หรือไม่ หรือสนิมเกิดจากตะปูทา
ปฏิกิริยากับนา้ และแกส๊ ออกซเิ จนได้หรือไม่
ขั้นที่ 2 กาหนดสมมุตฐิ าน
– ตะปูทเ่ี กดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีกบั นา้ และแก๊สออกซิเจนนา่ จะเกิดสนมิ
ข้นั ท่ี 3 ทดสอบสมมุติฐาน
– นาตะปูยาวประมาณ 5 เซนติเมตร จานวน 3 ตัว มาขัดผิวให้สะอาดด้วยกระดาษทราย แล้ว
นาตะปแู ตล่ ะตัวมาทาการทดลองในบีกเกอรข์ นาด 50 ลกู บาศก์เซนติเมตร ดังนี้
ตะปตู ัวที่ 1 วางให้สมั ผัสอากาศ
ตะปตู วั ที่ 2 แชใ่ นน้าท่ีมีอยคู่ ร่งึ บกี เกอร์
ตะปูตวั ที่ 3 ทาสีน้ามันเคลือบตะปแู ลว้ แช่ในนา้ ท่มี อี ยคู่ รงึ่ บีกเกอร์
– วางบีกเกอร์ทั้ง 3 ใบทิง้ ไวป้ ระมาณ 1 วัน สังเกตผลทเ่ี กิดข้ึน แลว้ บนั ทึกลงในตารางบันทกึ ผล
ขน้ั ที่ 4 วเิ คราะหผ์ ลการทดลอง
– แปลความหมายขอ้ มูลที่ได้จากตารางบันทึกผลการทดลอง
– นาข้อมลู ทีไ่ ดม้ าพจิ ารณาเพือ่ อธิบายว่าเปน็ ไปตามทน่ี ักเรยี นกาหนดสมมุติฐานไวห้ รือไม่
ขั้นที่ 5 สรุปผลการทดลอง
– นักเรยี นร่วมกนั สรปุ ผลการทดลองแล้วเขยี นรายงานสรุปผลการทดลองส่งครู
(3) ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัตกิ จิ กรรม
(4) ครูคอยแนะนาชว่ ยเหลอื นกั เรยี นขณะปฏิบัตกิ จิ กรรม โดยครูเดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ให้นกั เรยี นทุกคนซกั ถามเมื่อมีปญั หา
3) ขน้ั อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation)
(1) นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าหอ้ งเรยี น
(2) ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม โดยใช้แนวคาถาม เช่น
– เราใชก้ ระดาษทรายขัดตะปกู ่อนการทดลองเพื่ออะไร (แนวคาตอบ เพื่อทาให้ตะปูสะอาด ไม่มี
ส่งิ สกปรกเกาะตดิ และขัดสารที่เคลอื บตะปอู อก ทาให้ขณะทดลองจะสังเกตการเปล่ยี นแปลงได้ชดั เจน)
– ตะปูแต่ละตัวมีการเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึนลักษณะใด (แนวคาตอบ ตะปูที่วางให้สัมผัสอากาศ
พบว่ามีสนิมเกิดขึ้นเล็กน้อย ตะปูที่แช่ในน้าท่ีมีอยู่คร่ึงบีกเกอร์พบว่าส่วนที่จมอยู่ในน้าเกิดสนิมและเกิดมาก
บริเวณรอยตอ่ ระหว่างนา้ กบั อากาศ สว่ นตะปูทีท่ าสนี า้ มันเคลือบไว้แล้วแชใ่ นนา้ ท่มี อี ย่คู ร่ึงบีกเกอร์พบว่าไม่เกิด
การเปลี่ยนแปลง)
– น้าและแก๊สออกซิเจนมีส่วนในการเกิดสนิมของตะปูหรือไม่ สังเกตจากอะไร (แนวคาตอบ มี
สว่ น โดยสงั เกตจากตะปูตัวที่ 2 เกิดสนมิ ในส่วนทจ่ี มอยูใ่ นนา้ และเกดิ มากบรเิ วณรอยตอ่ ของนา้ และอากาศ)
– การทาสีน้ามนั เคลอื บตะปูมผี ลตอ่ การเกดิ สนิมของตะปอู ยา่ งไร (แนวคาตอบ ป้องกันไม่ให้ตะปู
เกิดสนิม เนือ่ งจากสนี ้ามันเปน็ ตัวขดั ขวางไม่ให้นา้ และแกส๊ ออกซเิ จนในอากาศสมั ผสั กบั ตะปู)
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยครูเน้นให้นักเรียนเข้าใจว่า เหล็กเม่ือ
สัมผัสกับน้าและแก๊สออกซิเจนในอากาศ จะทาให้เกิดสนิมซึ่งเป็นสาเหตุที่ทาให้เหล็กผุ เราสามารถป้องกัน
ไมใ่ หเ้ หล็กเกดิ สนมิ ได้โดยการทาสนี ้ามันเคลอื บไว้
4) ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration)
นกั เรยี นค้นควา้ คาศัพท์ภาษาต่างประเทศเก่ียวกับการเผาไหม้และการเกิดสนิมของเหล็ก จากหนังสือ
เรียนภาษาตา่ งประเทศหรืออินเทอรเ์ น็ต และนาเสนอให้เพือ่ นฟัง คดั คาศพั ท์พร้อมทัง้ คาแปลลงสมุดส่งครู
5) ข้นั ประเมิน (Evaluation)
(1) ครใู ห้นกั เรยี นแต่ละคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ข้อที่เรยี นมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างท่ียังไม่
เข้าใจหรือยงั มขี อ้ สงสัย ถา้ มี ครชู ่วยอธิบายเพมิ่ เตมิ ให้นกั เรียนเขา้ ใจ
(2) นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข
อยา่ งไรบ้าง
(3) ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรม และ
การนาความรทู้ ีไ่ ดไ้ ปใช้ประโยชน์
(4) ครูทดสอบความเขา้ ใจของนักเรยี นโดยการให้ตอบคาถาม เชน่
– ผลิตภณั ฑจ์ ากการเผาไหม้เชอ้ื เพลงิ อยา่ งสมบรู ณ์คืออะไร (แนวคาตอบ แก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์และนา้ )
– อุปกรณ์ที่เป็นโลหะมักเกิดสนิมง่ายเพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะแก๊สออกซิเจนและไอน้า
เป็นส่วนประกอบของอากาศ ซ่งึ เกิดปฏิกิรยิ าเคมกี บั โลหะบางชนดิ ได้สนมิ เปน็ ผลติ ภัณฑ์)
ขน้ั สรปุ
ครูและนกั เรียนรว่ มกันสรปุ เกีย่ วกบั การเกิดปฏกิ ิริยาเคมีในชีวิตประจ้าวัน โดยร่วมกันเขียนเป็นแผนที่ความคิด
หรอื ผังมโนทศั น์
สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้
1. ใบกิจกรรม ทดลองการเกดิ สนิมของเหล็ก
2. หนงั สอื วารสาร สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชน หรืออนิ เทอร์เน็ต
3. ค่มู อื การสอน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3 เลม่ 2
4. ส่ือการเรียนรู้ PowerPoint หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 8 เร่ือง ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 36
รายวิชาวิทยาศาสตร์ (พืน้ ฐาน) รหัสวิชา ว23102 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2564
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 9 ปฏิกริ ยิ าเคมี เรือ่ งการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมใี นชวี ติ ประจาวัน (2) เวลา 2 ชวั่ โมง/คาบ
วันที่ …………………….………………………… ครูผูส้ อน นางสาวอังคณา ปาสานะโม
สาระสาคญั
– กรดทาปฏกิ ริ ิยากับโลหะได้หลายชนดิ ได้ผลิตภณั ฑ์เปน็ เกลือของโลหะและแก๊สไฮโดรเจน
– กรดทาปฏกิ ริ ิยากับเบส ไดผ้ ลิตภณั ฑเ์ ป็นเกลือของโลหะและนา หรอื อาจไดเ้ พยี งเกลอื ของโลหะ
– เบสทาปฏกิ ริ ิยากบั โลหะบางชนดิ ได้ผลิตภณั ฑ์เป็นเกลือของเบสและแก๊สไฮโดรเจน
มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหว่างสมบตั ขิ องสสาร
กบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การ
เกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี
ตวั ชีว้ ดั
ว 2.1 ม. 3/6 อธิบายปฏิกิริยาการเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาของกรด
กับเบส และปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ และอธิบายปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิด
ฝนกรด การสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้สารสนเทศ รวมทงั เขียนสมการข้อความแสดงปฏิกิริยาดงั กล่าว
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซอื่ สตั ย์สจุ รติ มวี ินัย ใฝ่เรียนรู้
อยูอ่ ยา่ งพอเพยี ง มงุ่ ม่ันในการทางาน รกั ความเป็นไทย มีจิตสาธารณะ
............................................................................................................................. .............................................
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น
ความสามารถในการส่ือสาร :………………………………………………………..
ความสามารถในการคดิ :………………………………………………………..
ความสามารถในการแก้ปัญหา :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ :………………………………………………………..
ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี :………………………………………………………..
ดา้ นการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน
การอ่าน :…………………………………………………………………………..
การคิดวเิ คราะห์ :…………………………………………………………………………..
การเขยี น :…………………………………………………………………………..
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. นักเรียนสามารถอธิบายการเกิดปฏิกิริยาเคมีของกรดกับโลหะและเบสและเขียนแสดงด้วยสมการ
ข้อความได้ (K)
2. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีของเบสกับโลหะและเขียนแสดงด้วยสมการข้อความได้
(K)
3. นักเรยี นสามารถแสดงทักษะการเกบ็ รวบรวมข้อมูลได้ (P)
4. นกั เรียนสามารถแสดงความมุ่งมนั่ ในการทางานได้ (A)
การวัดและการประเมนิ ผลการเรียนรู้
ผูป้ ระเมิน ครผู ู้สอน นกั เรยี น เพ่ือน ผปู้ กครอง
ชน้ิ งาน/ภาระงาน /รอ่ งรอย/หลกั ฐานการเรียนรู้
สิง่ ที่ต้องการวดั /ประเมิน วิธกี ารวดั เคร่ืองมอื การวดั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
ระดบั คุณภาพ
(Rubric Score)
1. นักเรียนสามารถอธิบายการเกิดปฏิกิริยา - ตรวจใบงาน ช้ินงาน - ใบงาน ช้ินงานหรือ - นักเรียนผ่านเกณฑ์
เคมีของกรดกับโลหะและเบสและเขียนแสดง หรอื ภาระงาน ภาระงาน รอ้ ยละ 70 ข้นึ ไป
ดว้ ยสมการขอ้ ความได้ (K)
2. นักเรียนสามารถอธิบายการเกิดปฏิกิริยา - ตรวจใบงาน ชิ้นงาน - ใบงาน ช้ินงานหรือ - นกั เรียนผา่ นเกณฑ์
เคมีของเบสกับโลหะและเขียนแสดงด้วย หรอื ภาระงาน ภาระงาน ร้อยละ 70 ข้ึนไป
สมการข้อความได้ (K)
3. นักเรียนสามารถแสดงทักษะการเก็บ - ประเมินจากการ -แบบประเมินทกั ษะ - ระดบั คุณภาพ ดี
รวบรวมข้อมลู ได้ (P) สงั เกตพฤตกิ รรม -แบบประเมินการ ขึ้นไป
สังเกตพฤติกรรมการ
ทางานกล่มุ
4. นักเรียนสามารถแสดงความมุ่งมั่นในการ - ป ร ะ เ มิ น จ า ก ก า ร -แ บ บ สั ง เ ก ต - ระดบั คุณภาพ ดี
ทางานได้ (A) สงั เกตพฤตกิ รรม พฤติกรรม ข้ึนไป
สาระการเรียนรู้
- ปฏิกริ ิยาเคมใี นชีวิตประจาวัน
กิจกรรมการเรยี นรู้ (กิจกรรม Active Learning)
ขนั้ นาเขา้ สูบ่ ทเรียน
1) ครูถามคาถามเกย่ี วกับประสบการณเ์ ดิมของนักเรียน เช่น
– ยกตัวอย่างสารละลายกรดและเบสท่ีนักเรียนรู้จัก (แนวคาตอบ สารละลายกรด เช่น
สารละลายกรดไฮโดรคลอริกและสารละลายกรดแอซีติก สารละลายเบส เช่น สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์
และสารละลายนา้ ปูนใส)
– ในการทาการทดลอง นักเรียนต้องระวังการใช้กรดและเบสเพราะอะไร (แนวคาตอบ เพราะ
กรดและเบสสามารถทาใหเ้ กิดการระคายเคืองต่อเน้ือเย่ือของรา่ งกายได้)
2) นักเรียนร่วมกันตอบคาถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคาตอบ เพื่อเช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้
เรอื่ ง การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีในชีวติ ประจาวัน
ขน้ั จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
จดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Process ) ซ่ึงมีขัน้ ตอนดังนี้
1) ข้นั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
(1) ครถู ามคาถามนกั เรยี นเพ่ือกระตุ้นความสนใจ เชน่
– ถ้าหยดกรดลงบนเหล็กจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ เกิดการ
เปล่ียนแปลง โดยกรดทาปฏิกริ ยิ ากับเหล็กทาให้เหล็กกร่อน)
– ถ้าผสมกรดและเบสเข้าด้วยกันจะเกิดการเปล่ียนแปลงหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ เกิดการ
เปลย่ี นแปลง โดยเกิดเกลือของโลหะ)
(2) นกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายหาคาตอบเก่ยี วกับคาถามตามความคิดเห็นของแตล่ ะคน
2) ขั้นสารวจและค้นหา (Exploration)
(1) ครูแบ่งนักเรียนกลุ่มละ 5–6 คน สืบค้นข้อมูลเก่ียวกับการเกิดปฏิกิริยาเคมีของกรดและเบสตาม
ข้นั ตอนดังนี้
– แต่ละกลุ่มวางแผนการสืบค้นข้อมูล โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้เพื่อนสมาชิกช่วยกันสืบค้นตามที่
สมาชิกกลุ่มช่วยกันกาหนดหัวข้อย่อย เช่น ปฏิกิริยาเคมีของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยาเคมีของกรดกับเบส และ
ปฏกิ ริ ยิ าเคมขี องเบสกับโลหะบางชนดิ
– สมาชิกกลุ่มแต่ละคนหรือกลุ่มย่อยช่วยกันสืบค้นข้อมูลตามหัวข้อย่อยที่ตนเองรับผิดชอบ โดย
การสบื คน้ จากหนังสอื วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชน หรืออินเทอร์เน็ต
– สมาชิกกลุ่มนาข้อมูลท่ีสืบค้นได้มารายงานให้เพื่อน ๆ สมาชิกในกลุ่มฟัง รวมทั้งร่วมกัน
อภปิ รายซักถามจนคาดว่าสมาชกิ ทุกคนมีความรคู้ วามเขา้ ใจทีต่ รงกนั
– สมาชิกกลุ่มช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้ท้ังหมดเป็นผลงานของกลุ่ม และช่วยกันจัดทารายงาน
การศึกษาคน้ คว้าเกีย่ วกับการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมีของกรดและเบส
(2) ครแู ละนักเรยี นร่วมกันตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมลู ที่ไดจ้ ากการปฏบิ ัติกิจกรรม
(3) ครูคอยแนะนาช่วยเหลอื นกั เรียนขณะปฏิบตั ิกจิ กรรม โดยครเู ดินดูรอบๆ ห้องเรียนและเปิดโอกาส
ให้นักเรียนทุกคนซกั ถามเมอื่ มปี ญั หา
3) ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation)