6. การสรา้ งความสมั พนั ธ์
เพ่ือให้การด�ำเนินการฝึกอบรมราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
พฒั นากรผู้ด�ำเนินการไม่ควรมองข้ามส่ิงตอ่ ไปนี้ คือ
1 การศกึ ษาประวตั ิผู้เข้าอบรม เพ่ือ
ก) ทราบภูมิหลังผู้เข้าอบรมว่า มีประวัติความเป็นมาอย่างไร
อายุ การศึกษา แนวความคิด ประสบการณ์ เพื่อง่ายต่อการประเมินผล/
ติดตามผล
ข) ผู้เข้าอบรมจะได้ภูมิใจว่า พัฒนากรผู้ด�ำเนินการให้
ความสนใจผูเ้ ข้าอบรมทกุ คนอย่างเสมอหน้า
ค) พั ฒ น า ก ร ผู ้ ด� ำ เ นิ น ก า ร ส า ม า ร ถ ป ร ะ เ มิ น บุ ค ค ล
และสถานการณ์ไดถ้ ูกตอ้ งยงิ่ ข้นึ
ง) พัฒนากรผู้ด�ำเนินการสามารถคาดการณ์หรือวางแผน
การแกป้ ญั หาได้
2 การพูดคุยในส่ิงทีผ่ เู้ ข้าอบรมภูมใิ จ เพ่อื
ก) กระตนุ้ ใหผ้ เู้ ขา้ อบรมอยากแสดงออกเพมิ่ ขนึ้ โดยการพดู คยุ
สิง่ ทีต่ นภูมิใจ
ข) ให้ผู้เข้าอบรมทราบและภูมิใจว่าพัฒนากรผู้ด�ำเนินการ
กท็ ราบและภมู ิใจในผลงานของผูเ้ ข้าอบรมเช่นกนั
ค) เพอ่ื สร้างความเชื่อมน่ั ในตัวเองแกผ่ ้เู ข้าอบรม
3 การพดู คุยระหว่างพกั เพื่อ
ก) สร้างความคนุ้ เคยเป็นการส่วนตัว
ข) สอดแทรกและสอบถามความคิดเห็นส่วนตัวเพิ่มเติม
จากที่อบรม
ค) ลดปัญหาความกดดนั บางประการทเ่ี กดิ ขึ้น
กถา พัฒนากร | 149
เครอ่ื งมือสง่ เสรมิ การมีสว่ นรว่ ม
พัฒนากรมีความจ�ำเป็นที่ต้องมีเครื่องมือเพื่อช่วยในการศึกษาชุมชน
การเรียนรู้ถึงสภาพท่ีแท้จริงของชุมชน ให้มีข้อมูลท่ีถูกต้องและผลักดัน
การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชนของตน เคร่ืองมือดังกล่าว
มีมากมายหลากหลายชนิด พัฒนากรต้องรู้จักเลือกหยิบมาใช้ให้เหมาะสม
กบั เวลา โอกาส สถานการณ์ โดยมตี วั อยา่ งเครอ่ื งมอื สง่ เสรมิ การมสี ว่ นรว่ ม ดงั น้ี
การ การ การ การ
ศกึ ษา วาง ปฏบิ ตั ิ ตดิ ตาม
เทคนคิ /วิธกี าร ชมุ ชน แผน ประเมิน ท�ำเมือ่ ไหร่
ผล
1) การศกึ ษาขอ้ มลู หลงั จากกำ� หนดหวั ขอ้ หรอื
จากเอกสาร ประเดน็ ทจ่ี ะศกึ ษาหรอื
ตอ้ งการเรยี นรู้ จากชมุ ชน
(Document review) แตต่ อ้ งทำ� กอ่ นทที่ มี งานจะ
เดนิ ทางเขา้ หมบู่ า้ น
2) การระบปุ ระเดน็ หลกั กอ่ นเดนิ ทางเขา้ หมบู่ า้ น
และการใชเ้ ครอื่ งชวี้ ดั หลกั และในชว่ งแรกทจี่ ะเรมิ่
(Identification of Key ทำ� งานเพอ่ื ระบเุ รอื่ งสำ� คญั
areas and use of Key
ทจี่ ะหาขอ้ มลู
Indicators) ทนั ทที ท่ี ราบแลว้ วา่ จะเกบ็
3) การสมั ภาษณ์
ขอ้ มลู เรอื่ งอะไร
กง่ึ โครงสรา้ ง
(Semi-Structured
Interview)
150 | กถา พัฒนากร
การ การ การ การ
ศึกษา วาง ปฏบิ ตั ิ ติดตาม
เทคนคิ /วธิ กี าร ชุมชน แผน ประเมิน ทำ� เม่อื ไหร่
ผล
4) การสงั เกตการณ์ เวลาใดกไ็ ดร้ ะหวา่ งทพี่ กั อยู่
(Observation ในชมุ ชน ทำ� ไดท้ ง้ั กลางวนั
techniques) กลางคนื ชว่ งตน้ กลาง
หรอื ทา้ ยระยะเวลาทศี่ กึ ษา
5) การทำ� แผนทห่ี มบู่ า้ น
(Village map) ชมุ ชน
เมอ่ื มคี วามคนุ้ เคยกบั
ชาวบา้ นพอสมควร หรอื
หลงั จากทำ� การสมั ภาษณ์
กงึ่ โครงสรา้ งไปบา้ งแลว้
6) แผนภาพเวนน์ เมอื่ พบวา่ ปรากฏการณ์
(Venn Diagram) หรอื ปญั หา วเิ คราะห์
ใหท้ ราบถงึ สาเหตขุ อง
ปญั หาหรอื เบอื้ งหลงั
ของปรากฏการณร์ วมทงั้
แนวทางทจ่ี ะแกไ้ ขตอ้ ง
ทราบถงึ ความสมั พนั ธ์
และการตดิ ตอ่ กนั ระหวา่ ง
บคุ คล/องคก์ ร กบั บคุ คล/
องคก์ รอน่ื ทมี่ ี
ผลกระทบหรอื มคี วามสำ� คญั
ตอ่ กระบวนการตดั สนิ ใจ
กถา พัฒนากร | 151
การ การ การ การ
ศึกษา วาง ปฏบิ ัติ ตดิ ตาม
เทคนิค/วิธกี าร ชุมชน แผน ประเมนิ ท�ำเมือ่ ไหร่
7) ปฏทิ นิ ตามฤดกู าล ผล
(Seasonal calendar)
หลงั จากการสมั ภาษณ์ และ
8) การวเิ คราะห์ พบวา่ ปญั หาของชมุ ชน/
ภาคตดั ขวาง องคก์ ร นา่ จะเกย่ี วขอ้ งกบั
(Transect) การจดั สรรเวลาหรอื ความ
9) แผนผงั การถา่ ยเท สมั พนั ธร์ ะหวา่ งกจิ กรรม
ทรพั ยากรชวี ภาพ ตา่ งๆ ในรอบปี หรอื เมอื่
(Bio-resource flow)
อยากจะทราบหรอื
ตอ้ งการใหเ้ กดิ การเรยี นรู้
รว่ มกนั วา่ ชาวบา้ นใชเ้ วลา
แตล่ ะปใี หก้ บั กจิ กรรมอะไร
มากทส่ี ดุ
ระหวา่ งอยใู่ นชมุ ชนชว่ ง
ตน้ เมอ่ื ตอ้ งการทราบ
ขอ้ มลู เกยี่ วกบั สภาพ
ทรพั ยากรธรรมชาติ
โครงสรา้ งพน้ื ฐาน และ
สภาพแวดลอ้ มของชมุ ชน
เมอ่ื ไดข้ อ้ มลู ในภาพรวมของ
หมบู่ า้ นแลว้ และตอ้ งการ
กระตนุ้ ใหค้ รวั เรอื นเรยี นรู้
ระบบการพงึ่ พากนั โดย
ธรรมชาตขิ องพชื และสตั ว์
ซงึ่ จะทำ� ใหค้ รวั เรอื น
สามารถประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ย
ในการลงทนุ เพอื่ การผลติ
152 | กถา พัฒนากร
การ การ การ การ
ศกึ ษา วาง ปฏิบตั ิ ติดตาม
เทคนิค/วธิ ีการ ชมุ ชน แผน ประเมิน ทำ� เมอื่ ไหร่
ผล
10) แผนผงั การถา่ ยเท เมอ่ื ไดข้ อ้ มลู ในภาพรวมของ
ทรพั ยากรระหวา่ งหมบู่ า้ น หมบู่ า้ นแลว้ และตอ้ งการ
(Village resource flow) กระตนุ้ ใหช้ าวบา้ นรว่ มกนั
11) การจดั อนั ดบั เมตรกิ พฒั นาระบบการผลติ เพอ่ื
คะแนน (Matrix ranking) การพง่ึ ตนเอง ลดความเสยี
เปรยี บในเชงิ ธรุ กจิ และ
ยกระดบั ฐานะเศรษฐกจิ
ของชมุ ชนในภาพรวม
เมอื่ ตอ้ งการจดั ลำ� ดบั
ความสำ� คญั ของปญั หา
หรอื แนวทางแกไ้ ขปญั หา
หรอื ตอ้ งมกี ารตดั สนิ ใจ
เลอื กทจ่ี ะดำ� เนนิ การบาง
อยา่ งกบั สง่ิ ทม่ี คี วามสำ� คญั
ทสี่ ดุ ของชมุ ชน
12) เมตรกิ คะแนน เมอ่ื ตอ้ งการทราบวา่
แหลง่ ขอ้ มลู ขา่ วสาร แหลง่ ขอ้ มลู ขา่ วสารความรู้
(Matrix scoring of ทสี่ ำ� คญั สำ� หรบั ชาวบา้ น
information source)
คอื แหลง่ ใด
13) แผนผงั ใยแมงมมุ เมอ่ื ตอ้ งการเพมิ่
(Spider diagram) ประสทิ ธภิ าพขององคก์ รโดย
การปรบั ปรงุ โครงสรา้ งและ
ระบบงานขององคก์ ร
กถา พัฒนากร | 153
การ การ การ การ
ศึกษา วาง ปฏิบตั ิ ตดิ ตาม
เทคนคิ /วิธกี าร ชมุ ชน แผน ประเมิน ทำ� เมือ่ ไหร่
ผล
14) แผนทคี่ วามคดิ ใชก้ บั ทกุ กจิ กรรมทเี่ กย่ี วขอ้ ง
(Mind map) กบั ความคดิ การฟน้ื ความ
ทรงจำ� การวางแผน การใช้
15) A-I-C (Appreciate ความคดิ เชงิ สรา้ งสรรคห์ รอื
Influence Control) ใชแ้ สดงความเชอ่ื มโยงใหท้ ่ี
ประชมุ เหน็ ภาพชดั เจนขน้ึ
รวมแนวคดิ ของแตล่ ะคน
โดยการอภปิ รายหรอื การ
เขยี น และเปน็ สอื่ แสดงถงึ
ความรสู้ กึ เปน็ เจา้ ของภาพ
รว่ มกนั และการมสี ว่ นรว่ ม
ในการสรา้ งกรอบความคดิ
ตามภาพของกลมุ่
16) PRA (การประเมนิ เปดิ โลกทศั นข์ องคนในชมุ ชน
สภาวะชนบท เปน็ กระบวนการสง่ เสรมิ การ
แบบมสี ว่ นรว่ ม) เรยี นรขู้ องคนในชมุ ชน การ
คน้ พบแนวทางปอ้ งกนั แกไ้ ข
(Participatory rural ปญั หาชมุ ชน รวมถงึ การ
appraisal)
พฒั นาคนและชมุ ชน
17) PAR (การวจิ ยั ปฏบิ ตั ิ เมอ่ื ตอ้ งการเนน้ การมสี ว่ นรว่ ม
การแบบมสี ว่ นรว่ ม) ของชมุ ชนในการเขา้ ศกึ ษา
(Participatory Action หาสาเหตุ ปญั หาของชมุ ชน
Research) เพอื่ รว่ มกนั วเิ คราะหว์ างแผน
ดำ� เนนิ การแกไ้ ขปญั หาของ
ชมุ ชนใหเ้ บาบางลง
154 | กถา พัฒนากร
การท�ำงานเปน็ ทมี
การท�ำงานพัฒนาชุมชน ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากผลงานของพัฒนากรเพียงคนเดียว แต่จะต้องมาจาก
ความร่วมมือร่วมใจและการท�ำงานร่วมกันเป็นทีมของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น
ทีมงานพัฒนาชมุ ชนอ�ำเภอ ทีมงานตำ� บล ซง่ึ ประกอบไปดว้ ยภาคสว่ นต่างๆ
เช่น ข้าราชการจากส่วนราชการต่างๆ ท่ีท�ำงานกับชุมชน แกนน�ำชุมชน
องค์กรชุมชนและเครือขา่ ย
การท�ำงานเป็นทมี มีขนั้ ตอนอยา่ งไร
การทำ� งานเปน็ ทมี มขี ้นั ตอนงา่ ยๆ ดังนี้
1 ก�ำหนดวตั ถปุ ระสงคข์ องการท�ำงาน
2 รวบรวมขอ้ มลู ขา่ วสารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ใชก้ ารตรวจสอบปญั หา
ของงานและรวบรวมรายละเอียดทีต่ ้องใชก้ ่อนลงมอื ทำ� งาน
3 ก�ำหนดงาน คือรู้ว่าจะต้องท�ำอะไร ก�ำหนดให้ชัดเจน
เป็นข้อๆ และมีการแบ่งงานกันตามความสามารถและความถนัด
ของแต่ละคน
4 วางแผน ก�ำหนดทางเลือกที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตาม
วตั ถปุ ระสงคไ์ ว้หลายๆ ทาง หาข้อดีและข้อเสียของแต่ละทางเลือก
และเปรียบเทียบกัน เลือกเอาทางเลือกที่ดีท่ีสุดมาวางแผนปฏิบัติ
และปฏิบตั ติ ามแผนท่ีวางไว้
5 ทบทวนผลการด�ำเนินงาน เมื่องานเสร็จแล้วสรุปผล
และพิจารณาใหมว่ ่างานท่ที �ำไว้ได้ผลดีเพยี งใด ตรงตามวัตถุประสงค์
ทก่ี ำ� หนดไวห้ รอื ไม่ เพอ่ื จะไดข้ อ้ คดิ ในการปฏบิ ตั งิ านครง้ั ตอ่ ๆ ไปใหด้ ขี นึ้
กถา พฒั นากร | 155
การทำ� งานเป็นทีมมหี ลักปฏิบตั ิอยา่ งไร
การทจี่ ะทำ� งานเปน็ ทมี ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ หวั หนา้ ทมี และ
ทุกคนในทมี งานตอ้ งยึดหลกั ปฏิบัติต่อไปน้ี
1 ทมี ต้องมีอุดมการณท์ ี่แน่นอน ซง่ึ สมาชิกทกุ คนยอมรบั
2 ถอื ความถกู ตอ้ งซ่งึ ไม่จ�ำเปน็ จะตอ้ งถกู ใจ
3 ประนีประนอมโดยมีน�้ำใจของความร่วมมือเพื่อบรรลุ
เปา้ หมายเดยี วกัน
4 ให้อภัยซ่ึงกันและกนั
5 อย่าพยายามเอาเปรียบกัน
6 ถือวา่ ทุกคนมีความสำ� คัญเทา่ กนั
7 เคารพในสทิ ธแิ ละเสรภี าพส่วนตวั ของผู้อ่ืน
8 อย่าเดน่ แตค่ นเดียว ตอ้ งเดน่ ทงั้ ทมี
9 ถอื วา่ ปัญหาท่ีเกิดขึน้ เปน็ ของธรรมดา
10 เม่ือมีปัญหาหรือไม่พอใจอะไรอย่าเก็บไว้ หรือน�ำไปพูด
ลับหลัง แตใ่ ห้นำ� ปัญหานนั้ มาพดู กันให้เขา้ ใจ
11 รู้จักแบง่ งานและประสานงานกนั
12 มีความคิดเปน็ อิสระในการท�ำงานพอสมควร
13 ตอ้ งปฏิบตั ติ ามกฎหรือระเบยี บของทมี อยา่ งเคร่งครดั
14 ยอมรับผิดเมือ่ ทำ� ผิด
15 เม่ือมีการขัดแย้งกันในกลุ่มให้ถือว่าเป็นการมองปัญหา
คนละด้าน
156 | กถา พฒั นากร
เครือ่ งมือควบคมุ เป้าหมายและผลงานของพัฒนากร:
Scoreboard
เครอ่ื งมอื ควบคมุ เปา้ หมายและผลงานของพฒั นากร : Scoreboard
หมายถึง ตารางคะแนนเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานของพัฒนากร
แต่ละคนกับเปา้ หมายทก่ี ำ� หนด
เคร่ืองมือควบคมุ เปา้ หมายและผลงานของ
พฒั นากร : Scoreboard มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร
เครอ่ื งมอื ควบคมุ เปา้ หมายและผลงานของพฒั นากร : Scoreboard
มปี ระโยชนด์ งั นี้
เหน็ ภาพรวมของเปา้ หมายทส่ี ำ� คญั ของทมี และของแตล่ ะคน
สอ่ื สารและนำ� สขู่ อ้ ตกลงรว่ มกนั ของทมี
ควบคมุ เปา้ หมายและผลงานของทมี
กระตนุ้ ใหเ้ กดิ การแขง่ ขนั ในการทำ� งานอยา่ งสรา้ งสรรค์
แสดงให้เห็นผลงานปัจจุบันซ่ึงช่วยให้เราสามารถปรับปรุง
แกไ้ ขไดท้ นั ทเี พอ่ื ทำ� ใหผ้ ลงานดขี น้ึ
เพอื่ ความโปรง่ ใสในการประเมนิ ผลการปฏบิ ตั งิ านของพฒั นากร
กถา พัฒนากร | 157
ตวั อย่าง
ตารางควบคุมเปา้ หมายและผลงานของพัฒนากร
อ�ำเภอ...................... จงั หวัด...........................ประจ�ำป.ี ................
ชอ่ื -สกุล เป้าหมาย จ�ำนวน ส.ค. - ม.ี ค. เม.ย. - ก.ย. คะแนนรวม
นายคดิ ดี 1. จัดตัง้ กลมุ่ ออมทรพั ย์ฯ ผลงาน คะแนน ผลงาน คะแนน
1 กลมุ่ 6 35
นายตงั้ ใจ 3 กลมุ่ 1 กลมุ่ 3 13
5 หมบู่ า้ น 25
น.ส.รกั ดี 2. สง่ เสรมิ หมู่บา้ นเศรษฐกจิ 5 หมบู่ า้ น เตรยี ม 1 25
พอเพยี งอยเู่ ยน็ เปน็ สุข ความพรอ้ ม
1. ยกระดับกลมุ่ ออมทรพั ยฯ์ 1 กลมุ่ 1 กลมุ่ 3 - 1-
3 ตำ� บล 9
2. สร้างเคร่อื ข่ายเยาวชน 3 ตำ� บล เตรยี ม 1
ความพรอ้ ม
1. เพมิ่ ขดี ความสามารถ 14 หมบู่ า้ น 14 หมบู่ า้ น 3 3 ตำ� บล 9
กพสม./กพสต. 3 ตำ� บล
2. สง่ เสริมหมบู่ ้านเศรษฐกิจ 3 หมบู่ า้ น 1 หมบู่ า้ น 3 2 หมบู่ า้ น 10
พอเพียงอยู่เยน็ เปน็ สขุ
158 | กถา พฒั นากร
Scoreboard มขี น้ั ตอนในการจดั ทำ� อยา่ งไร
ประชมุ เพอ่ื จดั ทำ� ตารางควบคมุ เปา้ หมายและผลงานของพฒั นากร
: Scoreboard มขี นั้ ตอนดงั น้ี
1 ทบทวนเปา้ หมายของกรมการพฒั นาชมุ ชน
2 กระจายเปา้ หมายของกรมการพฒั นาชมุ ชน ไปสเู่ ปา้ หมายของทมี
และเปา้ หมายของบคุ คล
3 รว่ มกนั พจิ ารณากำ� หนดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนเปา้ หมาย โดยควร
พจิ ารณาจาก คณุ ภาพของงานตามหลกั การและกระบวนการพฒั นาชมุ ชน
ประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั ความยง่ั ยนื ความคดิ สรา้ งสรรค์ เปน็ ตน้
4 กำ� หนดเปา้ หมายของบคุ คล และใหค้ ะแนนเปา้ หมายตามเกณฑ์
ทก่ี ำ� หนดตามขอ้ 3
5 รว่ มกนั กำ� หนดวธิ กี ารวดั ผลงานและหว้ งเวลาการวดั ผลงาน เชน่
วดั ผลงานทกุ เดอื น ทกุ สามเดอื น ทกุ หกเดอื น เปน็ ตน้
6 จดั ทำ� ตารางควบคมุ เปา้ หมายและผลงานดงั ตวั อยา่ งในหนา้ 158
โดยตารางคะแนนควรมอี งคป์ ระกอบสำ� คญั คอื เปา้ หมายของทกุ คน ผลงาน
ทป่ี ฏบิ ตั ไิ ด้ และคะแนนทไี่ ดร้ บั
7 ใหค้ ะแนนผลงานตามเกณฑแ์ ละวธิ กี ารทกี่ ำ� หนด
8 นำ� ผลคะแนนมาใชพ้ จิ ารณาความดคี วามชอบ
กถา พัฒนากร | 159
Scoreboard ควรมีลักษณะอย่างไร
Scoreboard ควรมลี กั ษณะดงั น้ี
เขา้ ถงึ ไดง้ า่ ย - อยใู่ นบรเิ วณทสี่ มาชกิ ทมี เหน็ ไดบ้ อ่ ยๆ
เห็นได้ชัดเจน - เป้าหมายส�ำคัญของทีมและของแต่ละคน
รวบรวมไวใ้ นทเ่ี ดยี วกนั ในลกั ษณะทสี่ รา้ งพลงั ใจตอ่ ทมี
เชอื่ มประสาน - ดงึ ดดู ความสนใจของทมี
สะดวก - งา่ ยตอ่ การใช้
กระชบั - พดู ถงึ เปา้ หมาย และผลงานของแตล่ ะคน
ความเปน็ ไปได้ในการบรรลเุ ป้าหมายตา่ งๆ ได้อย่างดเี ลิศ
80%
64%
51%
41% 33%
เปา้ ห1มาย เป้าห2มาย เปา้ ห3มาย เป้าห4มาย เปา้ ห5มาย
มนษุ ยถ์ กู สรา้ งขนึ้ มาใหท้ ำ� งานไดอ้ ยา่ งดเี ลศิ ทลี ะหนง่ึ อยา่ งเทา่ นนั้
ความส�ำเร็จของงานมิใช่ข้ึนอยู่กับจ�ำนวนเป้าหมายแต่ขึ้นอยู่กับ
หลักการและวิธกี ารพฒั นาชุมชน
160 | กถา พฒั นากร
การจดั การความรู้
การจัดการความรู้ เป็นกระบวนการเรียนรู้และการบริหารจัดการ
เพอื่ ให้ “คน” นำ� ความรมู้ าใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ดงั นนั้ การจดั การความรู้
จงึ เปน็ เครอ่ื งมอื พฒั นาการทำ� งานของพฒั นากรใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ ประสทิ ธผิ ล
ให้คิดเปน็ ท�ำเป็น
ความรู้ แบ่งเปน็ 2 ลกั ษณะ คอื
1 ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ซ่ึงเป็นความรู้ที่ผ่าน
การสะสม รวบรวม เรยี นรแู้ ละพฒั นาเปน็ วทิ ยาการ ทฤษฎี และมกี ารบนั ทกึ
และเผยแพร่ในเอกสารและส่ือต่าง ๆ เป็นความรู้ที่บันทึกและมองเห็น
อยา่ งชัดเจน
2 ความรู้ท่ีแฝงเร้น (Tacit Knowledge) หมายถึง ภูมิปัญญา
ทักษะ ความคดิ พรสวรรค์ เปน็ ประสบการณท์ ไ่ี ดจ้ ากการปฏบิ ตั อิ ยใู่ นหวั คน
เปน็ ความรทู้ ่ฝี ังลกึ ซอ่ นเร้น
ความร้ทู ี่พฒั นากรควรเลอื กมาจดั การ มี 2 ลักษณะ ดังน้ี
ความรู้ของพัฒนากรที่ใช้ในการปฏิบัติงาน หรือ ความรู้
ทเ่ี กิดจากการสะสมประสบการณ์ในการท�ำงานพฒั นาชุมชน
ความรขู้ องชาวบา้ นทพี่ ฒั นากรควรนำ� มาจดั การ หรอื ชว่ ย
ชาวบ้านจดั การ เชน่ ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน ประสบการณ์ในการทำ� งาน
พัฒนาชุมชน การแกป้ ัญหาของชุมชน เปน็ ต้น
กถา พัฒนากร | 161
องคป์ ระกอบหลักในการจดั การความร้ ู แบ่งเป็น 3 สว่ นคือ
สว่ นท่ี 1 ทศิ ทางของการจดั การความรู้หรอื วสิ ัยทศั น์ (Knowledge
Vision) คอื เป้าหมายของการจัดการความรู้ (จัดการความรู้เพ่ืออะไร)
สว่ นที่ 2 การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ (Knowledge Sharing) เป็นหวั ใจ
และเป็นส่วนที่ยาก ต้องท�ำให้เกิดบรรยากาศในการแลกเปลี่ยน ท�ำให้คน
มใี จยินยอมและพร้อมท่ีจะแบ่งปนั และเรียนรู้รว่ มกนั
ส่วนที่ 3 คลังความรู้ (Knowledge Assets) เป็นชุดความรู้
ทเ่ี กบ็ สะสมไวเ้ ปน็ คลงั ความรหู้ รอื ขมุ ความรู้ โดยจดั แบง่ หมวดหมใู่ หเ้ ปน็ ระบบ
เพ่ือสะดวกในการเรียกใช้ มีการระบุแหล่งข้อมูลและชื่อบุคคลอ้างอิง
ซ่ึงสามารถใช้ ICT มาช่วยในการจัดการและใช้เป็นเคร่ืองมือในการส่งเสริม
ใหเ้ กิดเวทีการแลกเปล่ยี นท่ีทรงพลงั
รูปแบบการจัดการความรู้
1 วธิ ีปฏบิ ัติทีไ่ ด้ผลดี (Best Practice)
เปน็ กจิ กรรมกลมุ่ สรา้ งสรรคท์ ม่ี อี ยแู่ ลว้ โดยจดั การประชมุ แลกเปลย่ี น
เรียนรู้ มีผู้ทรงคุณวุฒิหรือวิทยากรช่วยกระตุ้น และตั้งค�ำถามเพ่ือให้กลุ่ม
เหลา่ นน้ั นำ� เสนอกจิ กรรมของตนอยา่ งมชี วี ติ ชวี า และเกดิ การแลกเปลย่ี นเรยี นรู้
ทที่ รงพลัง อาจใชค้ �ำถามตวั อยา่ ง เช่น
มีใครหรือเหตุการณ์ใดที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการพัฒนางาน
จนเกิดเป็น best practice อย่างท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบัน ในช่วงเวลา
ของการพฒั นาดงั กลา่ วใครบา้ งเขา้ มามสี ว่ นรว่ ม รว่ มอยา่ งไร เกดิ กระบวนการ
อะไรบา้ งทเ่ี ปน็ ปจั จยั สำ� คญั นำ� ไปสคู่ วามสำ� เรจ็ ความยากลำ� บากหรอื อปุ สรรค
ที่ต้องเผชิญคืออะไรบ้าง ผ่านมาได้อย่างไร ด้วยวิธีการใด หรือมีปัจจัย
สนับสนนุ อะไรอีกบา้ ง
ใช้ความรู้อะไรบ้างในการด�ำเนินกิจกรรมดังกล่าว เอาความรู้
เหล่านน้ั มาจากไหน
162 | กถา พฒั นากร
มแี ผนจะทำ� ใหด้ ยี งิ่ ขนึ้ อยา่ งไร ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื อะไรบา้ ง
คิดวา่ มีหน่วยงานใดบ้างที่นา่ จะเรียนรูจ้ ากกจิ กรรมของกลมุ่
มีความรู้อะไรบ้างที่พร้อมจะแลกเปลี่ยนกับเพ่ือนร่วมงาน
ในหนว่ ยงานหรอื หน่วยงานอน่ื
2 การถอดบทเรียนการเรียนรู้หลังปฏิบัติการ (After Action
Review : AAR)
เพื่อมุ่งปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพการท�ำงาน AAR
เปน็ การวเิ คราะหบ์ ทเรยี น เป็นการวเิ คราะห์หลงั ปฏบิ ตั ิการ เป็นการเรยี นรู้
ระหวา่ งทำ� งาน เปน็ การถอดบทเรยี นจากการปฏบิ ตั ิ คำ� ถามทใ่ี ชส้ ำ� หรบั AAR
ประกอบดว้ ยชดุ คำ� ถามหลกั คือ
สิง่ ที่คาดว่าจะได้รับจากการทำ� งานคืออะไร
สงิ่ ท่ีเกิดข้นึ จรงิ คืออะไร
ทำ� ไมจงึ แตกตา่ งกนั
สงิ่ ทไ่ี ดเ้ รยี นรแู้ ละวธิ กี ารลด หรอื แกป้ ญั หาความแตกตา่ งคอื อะไร
3 การจัดกิจกรรมเพอ่ื นช่วยเพอ่ื น (Peer Assist)
เป็นรูปแบบการใช้วิธีการล้อมวงพูดคุยกันเป็นหลัก ก่อให้เกิด
บรรยากาศทเ่ี ปน็ กนั เอง เพอื่ แลกเปลย่ี นขอ้ คดิ เหน็ ประสบการณข์ องตนเอง
ไม่มีผิด ไม่มถี กู ทกุ คนสามารถเลา่ ประสบการณห์ รือเร่ืองราวได้อย่างอิสระ
โดยมีเปา้ หมายและวัตถปุ ระสงคร์ ่วมกัน
4 การวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารแบบมสี ่วนรว่ ม (PAR)
เป็นการจัดการความรู้ด้วยเพราะเน้นการสร้างความรู้ (Generation
of Knowledge) สร้างพลังในการเปล่ียนแปลง (Empowerment) และ
สร้างคน (Education Tools)
กถา พัฒนากร | 163
5 การถอดบทเรยี นดว้ ยวงจรปฏบิ ตั กิ าร 4 ขนั้ ตอน (Spiral Model)
โดยมีเป้าหมายของกิจกรรมท่ีต้องการบรรลุ เร่ิมด้วยการวิเคราะห์
สถานการณ์ ณ จดุ เร่มิ ตน้ เพ่อื กำ� หนดทางเลอื กและ ตดั สินใจวางแผน ลงมอื
ปฏิบัติตามแผน สุดท้ายสรุปประเมินผลที่ได้หรือบทเรียน แล้วน�ำกลับไป
วเิ คราะหส์ ถานการณ์ ตดั สินใจวางแผน ลงมือปฏิบัต ิ สรุป ท�ำตอ่ เน่อื งกัน
ไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้ โดยทุกครั้งต้องมีการจดบันทึก
การปฏิบตั ไิ ว้ทกุ ขั้นตอน
6 สนุ ทรยี สนทนา (Dialogue)
เปน็ การสนทนาเพอ่ื แลกเปลย่ี นความรู้ มหี วั ขอ้ หรอื ประเดน็ ทจี่ ะพดู คยุ
จ�ำเป็นต้องก�ำหนดเวลาส�ำหรับการพูดคุย หรือกฎและกติกา ในการฟัง
โดยให้ฟังดว้ ยความตั้งใจ ฟงั ด้วยความเขา้ ใจ และฟงั โดยไม่พูดแทรก
ตวั อยา่ งโครงการ การพัฒนาคุณภาพชวี ิต
วตั ถุประสงค์
เพื่อพัฒนาประชาชนทุกเพศทุกวัย ให้มีคุณภาพชีวิตดีมีความสุข
โดยการปลูกฝังจิตส�ำนึกที่ถูกต้องเก่ียวกับการเป็นพลเมืองท่ีดี ภาวะผู้น�ำ
ในการจดั การกบั ปญั หาชมุ ชน ทกั ษะชวี ติ ในการแกป้ ญั หาสว่ นตวั และสง่ เสรมิ
วิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นรากฐานในการด�ำเนินชีวิตของประชาชน
ในหมู่บ้าน/ชุมชน และเพ่ือเตรียมความพร้อมประชาชนที่จะเป็นผู้น�ำ และ
เปน็ อาสาสมคั รผเู้ สยี สละและมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการพฒั นาชมุ ชนจดุ มงุ่ หมาย
คอื ชุมชนอยู่เยน็ เปน็ สุข
การดำ� เนนิ งานทที่ ำ� ใหป้ ระชาชนมคี ณุ ภาพชวี ติ ดีมคี วามสขุ จะดำ� เนนิ การ
ใน 2 ลักษณะ คอื
1. ปฏิบตั ิการแก้จนแบบเข้าถงึ ทุกครัวเรอื น
2. สง่ เสริมวถิ ีชวี ติ แบบเศรษฐกจิ พอเพียง
164 | กถา พัฒนากร
1 ปฏิบัติการแก้จนแบบเขา้ ถึงทกุ ครวั เรือน
หลกั การ
ใช้รปู แบบประสาน 2 พลัง คือ พลังจากภายในชมุ ชน (Inside-out)
โดยกระบวนการแผนชุมชน และพลังจากภายนอก (Outside-in) โดย
ชุดปฏบิ ตั ิการแกจ้ นไปปฏบิ ตั กิ าร 4 ท เพ่อื นำ� ไปสู่ 3 พ
ภายใต้หลักการมีส่วนรวมของประชาชน (People Participation)
และประชาชนเป็นศูนย์กลาง (People Centered)
สมมตฐิ าน
เปล่ยี นความคดิ ชีวิตจึงเปล่ยี น
เปลี่ยนทัศนะ อนาคตจึงเปลีย่ น
วตั ถุประสงค์
1 เพอ่ื ยกระดับรายไดค้ รัวเรือนยากจนใหพ้ ้นเสน้ ความยากจน
2 เพื่อปรับทัศนะและเพ่ิมขีดความสามารถของคนจนในการแก้
ปัญหาความยากจนดว้ ยตนเอง
3 เพื่อให้ชุมชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคม
และความยากจนดว้ ยกระบวนการแผนชมุ ชน
กระบวนการ
ระดับบุคคล โดยการไปเคาะประตูบ้านของครัวเรือนยากจน
ทกุ ครวั เรอื นเพอ่ื กระตนุ้ ใหค้ นในครอบครวั ไดเ้ ขา้ ใจสภาวะทตี่ นเองไมส่ ามารถ
จดั การชวี ติ ความเปน็ อยขู่ องตนเองและครอบครวั และเกดิ ความคดิ ทตี่ อ้ งการ
หาความเปลี่ยนแปลงสภาวะปัจจุบนั ให้ดขี ้ึน
ระดบั ชมุ ชน โดยการจดั เวทปี ระชาคมเพอ่ื ตรวจสอบคนจนทแ่ี ทจ้ รงิ
เพอื่ ใหช้ ดุ ปฏบิ ตั กิ ารรกู้ ลมุ่ เปา้ หมายทถี่ กู ตอ้ ง หลงั จากเคาะประตแู ละทราบ
ปัญหาความต้องการของครัวเรือนยากจนแล้ว จึงน�ำข้อมูลดังกล่าวมาใช้
ในการปรบั แผนชมุ ชนใหส้ อดรบั กบั ปญั หาและความตอ้ งการดงั กลา่ ว รวมทง้ั
ใชก้ ลไกของชมุ ชน อบต./เทศบาล อำ� เภอ จงั หวดั ไปสนบั สนนุ กระบวนการแกจ้ น
กถา พฒั นากร | 165
ดงั นน้ั ครวั เรอื นยากจนจะพน้ จากความยากจนไดด้ ว้ ยการสรา้ งความพรอ้ ม
ของครวั เรอื นยากจนในชุมชน 4 ประการ (4ท) คอื
1 การปรบั ทัศนะ ต่อชีวติ และตอ่ การงาน
2 การพัฒนาทักษะ ในการท�ำงานและการประกอบอาชพี
3 การใชท้ รพั ยากรซง่ึ หมายถงึ ปจั จยั การผลติ ทด่ี นิ ทนุ ตา่ งๆ ทงั้ ของ
ครวั เรือนและของชมุ ชน
4 การหาทางออก ในการแกไ้ ขปญั หาทีเ่ หมาะสมกบั ตนเอง
เพ่ือน�ำไปสู่วิถีการด�ำรงชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
มคี วามสุขพอเพียง และครอบครัวอบอุ่นพอเพยี ง
กรอบแนวคิดโครงการปฏบิ ัตกิ ารแก้จนแบบเขา้ ถึงทุกครวั เรอื น
จงั หวดั อำ� ภอ
ชดุ ปฎบิ ตั กิ ารแกจ้ น
(หมบู่ า้ น/ครวั เรอื น/พฒั นากร/ผนู้ ำ� ชมุ ชน (เชน่ อช./ผนู้ ำ� อช./ผนู้ ำ� สตร/ี ศอช.ต)
พลงั จากภายในชมุ ชน คนจน และ ครอบครัว พลงั จากภายนอก
(Inside-out) (Outside-in)
โดยกระบวนการ ปฏบิ ตั กิ าร 4 ท
แผนชมุ ชน 1. รว่ มกนั พจิ ารณา ทศั นะ ตอ่ ชวี ติ โดยชดุ ปฏบิ ตั กิ าร
แกจ้ นไปปฏบิ ตั กิ าร
คนทคี่ วร ตอ่ การงาน
สงเคราะห์ 2. รว่ มกนั ศกึ ษา ทกั ษะ ฝมี อื แรงงาน คนทส่ี ามารถ
3. รว่ มกนั ประเมนิ ทรพั ยากร ทด่ี นิ พฒั นาตนเองได้
ปจั จยั การผลติ
4. รว่ มกนั วเิ คราะห์ ตดั สนิ ใจ สรปุ
ทางออก (แนวทางแกจ้ น)
เขา้ สกู่ ระบวนการ พน้ จน 3พ เขา้ สกู่ ระบวนการ
สงเคราะห์ เศรษฐกจิ พอเพยี ง พฒั นาตนเองและ
ความสขุ พอเพยี ง
ครอบครวั อบอนุ่ พอเพยี ง ครอบครวั
สว่ นราชการทเี่ กยี่ วขอ้ ง/องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ /ธกส./ออมสนิ /SMEs/ภาคเอกชน/ชมุ ชน
/กลมุ่ /องคก์ ร/เครอ่ื ขา่ ย/กลมุ่ ออมทรพั ยเ์ พอ่ื การผลติ /กองทนุ หมบู่ า้ น/SML/กลมุ่ อาชพี /OTOP
166 | กถา พัฒนากร
2 ส่งเสรมิ วถิ ชี วี ติ แบบเศรษฐกจิ พอเพียง
หลกั การ
1 ใช้หลักการพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วม “ยึดประชาชนเป็น
ศนู ย์กลางการพฒั นา”
2 ยึดหลัก “การท�ำงานร่วมกัน” (work with, not work for)
และหลกั “การเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ตั ”ิ (learning by doing) เปน็ หลกั การสำ� คญั
ในการท�ำงานรว่ มกัน
3 ใชเ้ ทคนคิ “การกระตนุ้ ความคดิ สรา้ งจติ สำ� นกึ ” ดว้ ยการตงั้ คำ� ถาม
ที่โดนใจ (asking the right questions)
4 เร่ิมด้วย “ตัวช้วี ดั 6x2” เปน็ เป้าหมาย (begin with the ends
in mind)
กระบวนการ
ชุดปฏิบัติการโดยพัฒนากร ผู้น�ำชุมชน อาสาพัฒนาชุมชน และ/
หรอื ผูน้ ำ� ชุมชนท่ผี า่ นระบบมาตรฐานงานพฒั นาชุมชน มชช. ไปท�ำงานร่วม
กับกลุ่มสตรี และเยาวชนในลักษณะ “ท�ำไป เรียนรู้ไป” เพ่ือให้ “ทุกคน
ทกุ ครอบครวั ในหมบู่ า้ น” ไดน้ ำ� ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งไปใชเ้ ปน็ รากฐาน
ในการดำ� รงชวี ติ ดว้ ยการเออ้ื อำ� นวย ขยายผล ใหม้ กี ารปฏบิ ตั โิ ดยพรอ้ มเพรยี งกนั
จากการเร่ิมต้นด้วยค�ำถามท่ีโดนใจตามตัวชี้วัด 6x2 เพ่ือให้สามารถตอบ
ตนเองไดว้ า่ แตล่ ะเรอ่ื งม/ี ทำ� แลว้ หรอื ไม่ ทงั้ ในระดบั ครวั เรอื น และระดบั ชมุ ชน
กถา พัฒนากร | 167
ระดบั ครัวเรือน
จากการปฏิบัติดังกล่าวจะท�ำให้สามารถแยกครัวเรือนได้เป็น 3
ลักษณะ คือ
1 ครัวเรือนที่ปฏิบัติแล้วเกิดผลส�ำเร็จ ให้ท�ำการสนับสนุนให้เป็น
ตวั อย่างแกค่ รัวเรอื นอ่นื
2 ครัวเรือนที่ก�ำลังปฏิบัติ ชุดปฏิบัติการต้องให้ก�ำลังใจ เพื่อให้
สามารถปฏิบตั ิต่อไปจนส�ำเร็จ และเปน็ ตวั อยา่ งได้
3 ครัวเรือนท่ียงั ไม่ปฏบิ ตั ิ โดยอาจจะยังไมเ่ คยรับรู้ หรอื ยังไมพ่ รอ้ ม
ให้พยายามสร้างแรงจงู ใจ เพือ่ ให้เกดิ ความสนใจและลงมอื ปฏบิ ัติ
ระดบั ชมุ ชน
สำ� หรบั ระดบั ชมุ ชน/หมูบ่ า้ น ชุดปฏบิ ัติการจะตอ้ งสนบั สนนุ ใหช้ มุ ชน
ดำ� เนนิ การ เพอื่ ชว่ ยใหค้ รวั เรอื นในชมุ ชน/หมบู่ า้ นปฏบิ ตั โิ ดยพรอ้ มเพรยี งกนั
และมกี ารพจิ ารณาเพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรปู้ รชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งในชวี ติ
ประจ�ำวัน ซ่ึงแต่ละชุมชนสามารถเพิ่มเติมตัวช้ีวัดและด�ำเนินการ
ตามสถานการณ์ และความเหมาะสมของแตล่ ะพนื้ ท่ีได้
ทง้ั นช้ี ดุ ปฏบิ ตั กิ ารสามารถใชร้ ะบบมาตรฐานงานพฒั นาชมุ ชน (มชช.)
มาเป็นเคร่อื งมือชว่ ยใหเ้ กดิ ความรู้และพฒั นาดงั กลา่ วได้
168 | กถา พัฒนากร
กรอบแนวคิดในการท�ำงาน
เพอื่ ขบั เคลอ่ื น “ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง”
ใหเ้ ปน็ รากฐานของชวี ติ ประชาชนในหมบู่ า้ น
ผ้สู นบั สนุน ภาคพี นั ธมติ ร ชดุ ปฎบิ ตั กิ าร ทป่ี รกึ ษา
ปลดั อ�ำเภอ สมาพันธ์องคก์ ารพช. พฒั นากร ผนู้ ำ� ชมุ ชน อาสาพฒั นาชมุ ชน ปราชญช์ าวบา้ น ฯลฯ
ปลัด อบต.
ปลัดเทศบาล สมาคมผ้นู ำ� อช. Work Learning
หน่วยงานภาคี สมาคมผ้นู ำ� สตรี with by doing
กษ./ สธ./ ศธ. สมาคมผู้นำ� อาชพี
/กศน./ ฯลฯ สมาคมเครือขา่ ย OTOP กลมุ่ เปา้ หมายหลกั
สมาคมกลมุ่ ออมทรัพย์ กลมุ่ สตรแี ละเยาวชน
กระตนุ้ ความคดิ สรา้ งจติ สำ� นกึ เรมิ่ ตน้ ดว้ ยตวั ชวี้ ดั 6x2
ตงั้ คำ� ถามทโ่ี ดนใจ เปน็ เปา้ หมายวา่ ม/ี ทำ� แลว้ หรอื ไม่
(begin with the ends in mind)
(asking the right question)
เออื้ อำ� นวย ขยายผล ใหป้ ฏบิ ตั พิ รอ้ มเพรยี งกนั ทกุ คน
ทกุ ครอบครวั ในหมบู่ า้ น
ครวั เรอื น ชมุ ชน
ปฎบิ ตั แิ ลว้ กำ� ลงั ปฎบิ ตั ิ ยงั ไมป่ ฎบิ ตั ิ เรยี นรปู้ รชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
เปน็ ตวั อยา่ ง ใหก้ ำ� ลงั ใจ สรา้ งแรงจงู ใจ ในชวี ติ ประจำ� วนั
มกี ารปฎบิ ตั โิ ดยพรอ้ มเพรยี งกนั
กถา พฒั นากร | 169
ตัวช้ีวดั 6x2
ระดับคะแนน คะ
12 แนน
ตวั ชว้ี ัด 3 ท่ไี ด้
1.ด้านการลดรายจา่ ย ≤50 % ของ คร. ทั้งหมด 51-75 % ของ คร. ทงั้ หมด >75 % ของ คร. ทง้ั หมด
1.1 ครัวเรอื นทำ� สวนครวั ≤50 % ของ คร. ทัง้ หมด 51-75 % ของ คร. ทงั้ หมด >75 % ของ คร. ทง้ั หมด
1.2 ครวั เรอื นปลอดอบายมุข
2. ดา้ นการเพม่ิ รายได้ ≤20 % ของ คร. ท้งั หมด 21-30 % ของ คร. ทั้งหมด >30 % ของ คร. ทงั้ หมด
2.1 ครวั เรอื นมอี าชพี เสริม ≤30 % ของ คร. ทั้งหมด 31-50 % ของ คร. ทง้ั หมด >50 % ของ คร. ทง้ั หมด
2.2 ครัวเรอื นใช้เทคโนโลยที ่ี
เหมาะสม ≤50 %ของ คร. ทั้งหมด 51-75 % ของ คร. ทั้งหมด >75 % ของ คร. ทง้ั หมด
3. ดา้ นการประหยดั มี 1 กลุ่ม มี 1 กลุ่มและมีกจิ กรรมเพอ่ื มี 2 กลุ่มและเช่ือมโยง
3.1 ครวั เรอื นมกี ารออมทรัพย์ หมบู่ า้ น เป็นเครือข่าย
3.2 ชุมชนมีกลุม่ ออมทรัพยฯ์
4. ด้านการเรยี นรู้ มีภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน มีกจิ กรรมสบื ทอดและใช้ มีกิจกรรมสืบทอดและ
4.1 ชมุ ชนมกี ารสืบทอดและใช้ อยา่ งน้อย 1 เร่ือง ภมู ิปญั ญาทอ้ งถน่ิ 1 อยา่ ง ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น 2
ภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่น มกี จิ กรรมเรยี นรู้ 1 กจิ กรรม มศี ูนย์เรียนรแู้ ละการจดั อย่างมีเครือข่ายเรียนรู้
4.2 ครวั เรอื นมกี ารเรียนร้ปู รชั ญา กจิ กรรม กับชมุ ชนอน่ื
เศรษฐกิจพอเพียงในชีวิต
ประจ�ำวัน
5. ดา้ นการอนรุ กั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ มและ ≤50 % ของ คร. ท้ังหมด 51-75 % ของ คร. ทั้งหมด >75 % ของ คร. ทง้ั หมด
ใชท้ รพั ยากรธรรมชาตอิ ยา่ งยง่ั ยนื มกี ารปลกู ตน้ ไม้ ปลี ะ 1 ครง้ั มีกิจกรรมการ ปลกู ต้นไม้ มกี จิ กรรมการปลกู ตน้ ไม้
5.1 ชุมชนใช้วัตถุดิบอย่างย่ังยืน และดูแลรักษา ปลี ะ 2-3 ครั้ง มากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป
ในการประกอบอาชีพ
5.2 ชมุ ชนปลกู ต้นไม้ใหร้ ม่ รืน่ เปน็
หม่บู า้ นน่าอยู่
6. ดา้ นการเอือ้ อารตี ่อกนั ≤50 % ของคนจน/ด้อย 51-75 % ของคนจน/ >75 % ของคนจน/
6.1 ชุมชนมีการดูแลช่วยเหลือ โอกาส/ประสบปญั หา ดอ้ ยโอกาส /ประสบปญั หา ดอ้ ยโอกาส/ประสบปญั หา
คนจน คนด้อยโอกาส และคน มกี จิ กรรมการแก้ปญั หา
ประสบปญั หา ร่วมกัน 1 กิจกรรม มีกจิ กรรมการแก้ปญั หา มีกิจกรรมการแกป้ ัญหา
6.2 ชุมชน “รู้รักสามัคค”ี ร่วมกนั 2 กิจกรรม รว่ มกัน 3 กิจกรรมขน้ึ ไป
รวมคะแนน
170 | กถา พฒั นากร
GIVE A MAN A FISH
AND HE EATS FOR A DAY ;
TEACH A MAN TO FISH
AND HE EATS FOR LIFE.
จับปลาให้เขา
มีกนิ ชัว่ คราว
สอนเขาจับปลา
กนิ ชัว่ ชวี า
ทา้ ยกถา
ทา้ ยกถา
กถาพัฒนากรเล่มนี้ เป็นแนวทางหนึ่งท่ีพยายามจะตอบค�ำถามท่ีว่า
“พัฒนากร” มกี ระบวนการทำ� งานพนื้ ฐานอยา่ งไร
“พัฒนากร” สามารถศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง ฝึกฝนทักษะเอาเอง
จนตัวเองมีความเช่ือมั่นและมีความเชี่ยวชาญที่จะบรรเลงเพลงพัฒนาได้
ดังน้ัน
“กระบี”่ ของกระบวนเพลงพัฒนา อย่ทู ี่ ใจ หาใชอ่ ยูท่ ่ีคัมภีร์
“กระบ่”ี ของกระบวนเพลงพฒั นา อยทู่ ี่ คิด หาใชอ่ ยทู่ ี่การทอ่ งจำ�
“กระบี่” ของกระบวนเพลงพัฒนา อยู่ท่ี ทำ� หาใชอ่ ยทู่ ่ีโครงการ
ในยุทธจักรแห่งการพัฒนา ไม่อนุญาตให้ใครอยู่นิ่งเฉย โดยไม่ถูก
ลบั เหลยี่ มลูบคม
ในยุทธจักรแห่งการพฒั นา ไม่เคยหยดุ ยง้ั การทา้ ทายความคดิ ความรู้
ความสามารถของเหล่าผู้กล้า บรรเลงกระบวนเพลงพัฒนา เพ่ือต่อสู้กับ
ความยากจน
ในยุทธจักรแห่งการพัฒนา ไม่ปรากฏมีผู้ประสบความส�ำเร็จ
โดยไมฝ่ ึกฝนพฒั นาตนเองอยา่ งตอ่ เนือ่ งสม�่ำเสมอ
แต.่ ..นำ�้ ใจไมเ่ คยแล้งในยุทธจักรแห่งการพฒั นานี้
กถา พัฒนากร | 173
ไปหาประชาชน
ใชช้ วี ติ อยู่ทา่ มกลางประชาชน
เรยี นรู้จากประชาชน
ทำ� งานร่วมกบั ประชาชน
วางแผนงานร่วมกบั ประชาชน
เริม่ งานจากส่ิงท่ีประชาชนมี
สอนโดยแสดงให้ดู
ใหป้ ระชาชนเรียนรูจ้ ากการทำ� งาน
174 | กถา พัฒนากร
มาร์ชพฒั นาชุมชน
คำ� ร้องโดย อาจินต์ ปญั จพรรค์
ท�ำนองโดย นารถ ถาวรบตุ ร
ขับรอ้ ง หมู่ชาย-หญิง สนั ติ ลุนเผ่ สวลี ผกาพันธุ์
(สรอ้ ย) ไทยเราทง้ั ชาติ เกง่ ฉกาจยนื หยดั ทกุ คน นำ้� ใจเขม้ ขน้ ดงั่ นำ้� มนต์
มหศั จรรย์
(ช) รกั ในเชอื้ ชาต ิ (ญ) รักเสมือนญาติ
(ช) รักแผน่ พืน้ ดนิ (ญ) รักแหลง่ หากิน
(พรอ้ ม) พระเจา้ แผน่ ดนิ ทอ้ งถน่ิ เมอื งไทย รกั ไวต้ ลอดกาล สรา้ งหลกั ฐาน
และมีงานทำ� ประกอบกิจกรรมร่ำ� รวยเพราะชว่ ยตวั เอง
(ช) เอาเร่ียวแรงงานลงหว่านดิน หากนิ เป็นสุข (ญ) หากินเปน็ สุข
(ช) เราบกุ เราทำ� ไม่ร่�ำไร สรา้ งไว้ยง่ิ กว่าเก่า
(ญ) สรา้ งไวย้ ิง่ กว่าเกา่
(พร้อม) เกิดความสมบูรณ์พูนสุขพลัน เราร่วมกันช่วยปกครอง
ทอ้ งถิน่ เราหนกั แรงแบ่งเบาเพราะเราสามคั คี
(สร้อย).....................
(ญ) ร่วมท�ำงานกับรัฐบาลประสานประสม
(พร้อม) ชว่ ยถม ชว่ ยทำ� ถนน บอ่ น�้ำ ตอ้ งทำ� ให้มี
(ช) ขดุ เราขุดให้พรอ้ ม (ชะ) (ญ) ซอ่ มเราซ่อมใหด้ ี (ชา้ )
(ช) สร้างกนั ทันที (ชะ) (ญ) อยา่ ไดร้ รี อ (ชา้ )
(สร้อย).....................
(ช) สรา้ งชุมชนไมบ่ น่ เลย (ญ) งานเราเคยไม่ยอ่ ย่น
(พรอ้ ม) เราทกุ คนเลอื ดชาวชนบท ทรหดมา เรามาพฒั นากนั เอาแรงปนั
ไม่ละลด ใหป้ รากฏเร็วไว ทำ� เข้าไป
กถา พฒั นากร | 175
ภาพชีวติ นกั พัฒนา
คำ� รอ้ ง แสงทพิ ย์ วงศ์ระวี
ทำ� นอง เรียบเรียงฯ สนุ ันท์ พันธปกรณ์
ขับร้อง วนิ ัย พนั ธุรกั ษ์ รงุ่ ฤดี แพ่งผ่องใส
ชวี ติ อนั คลาดคลำ่� อยใู่ นตำ� บลผองเราทกุ คนทมุ่ เทศรทั ธา ลำ� บากเพยี ง
ไหนไม่เคยน�ำพา ชวี ิตนกั พฒั นาสร้างสรรค์มาเพ่อื เหลา่ มวลชน
เราเยย่ี มเยอื นไปทว่ั ในถนิ่ กนั ดาร มเิ คยทอ้ งานสกู่ รำ� แดดฝน เราเหนอื่ ย
เพียงกายแต่ใจสุขล้น เพื่อหวงั ใหไ้ ทยทุกคนได้พ้นความยากแคน้ ท่ัวไป
อยู่ต�ำบลไหนใจก็สุข ไม่มีความทุกข์ไม่วุ่นวายใจ ใกล้ชิดปรองดอง
พี่น้องมากมาย ร่วมแรงร่วมใจเกอื้ กูลกันมา
จะไม่ลมื นอ้ งพ่ใี นตำ� บลใด ถึงตัวแสนไกลฝากใจไปหา รอยเปี่ยมไมตรี
ท่ีเหล่าประชา ประทบั ไว้บนดวงหนา้ เปน็ เหมอื นตราแหง่ ความภาคภูมิ
176 | กถา พฒั นากร
คนท�ำทาง
คำ� รอ้ ง อาจินต์ ปญั จพรรค์
ทำ� นอง เรยี บเรยี งฯ นารถ ถาวรบุตร
ขับรอ้ ง หมู่ชาย-หญงิ สนั ติ ลุนเผ่ สวลี ผกาพนั ธ์ุ
ประวตั ศิ าสตร์ อาจมใี นหลายดา้ น
แตค่ นที่ท�ำงาน ไม่เคยจะเอย่ ออกนาม
คนทแี่ บกหาม ลยุ น้�ำลุยโคลนคนทส่ี รรคส์ รา้ ง
จากปา่ เป็นเมือง รงุ่ เรอื งงามเพยี งเวียงวงั
ด้วยเลือดด้วยเน้ือของคนทำ� ทาง
ถางทางตั้งตน้ ให้คนตอ่ ไป
จากปา่ เปลย่ี ว เท่ียวไปในทกุ ถิน่
ดงั โบกโบยบนิ พื้นดนิ เปน็ ถ่นิ อาศยั
หนาวเหน็บเจบ็ กาย ภยั ร้ายเพยี งใดไมเ่ คยไหวหว่ัน
รุดหนา้ ฝา่ ฟนั กา้ วไปใหค้ นเดินตาม
ทุกย่างกา้ วเขาเหมอื นเงาเลือนราง
ฝงั นาม ฝงั ร่าง อยกู่ ลางแผน่ ดิน
กถา พัฒนากร | 177
จำ� ขน้ึ ใจ
คำ� ร้อง สรุ ักษ์ สุขเสวี
ท�ำนอง เรียบเรียงฯ เศกพล อุน่ สำ� ราญ
ฉันรู้สึกโชคดที ่ไี ด้เกดิ มา สวมเครื่องแบบสมญาข้าราชการ
และได้ทำ� ภาระหน้าท่ีส�ำคญั รับใชง้ านเพอ่ื พ่อหลวงแหง่ ไทย
สานประโยชนข์ องชาตแิ ละปวงประชา เ หมอื นคำ� สัตย์สญั ญาท่มี อบเอาไว้
ด้วยหลักการเลิศล�้ำ หลกั ธรรมคำ้� ใจ ภาคภูมิในเกียรติยศศกั ด์ิศรี
จะเดินตามรอยเท้าของพ่อดว้ ยความตงั้ ใจ
จะเติมเตม็ ความหมายขา้ ราชการที่ดี
มอบชีวติ ทมุ่ เทให้แผ่นดนิ นี้ ทำ� ความดเี พื่อชาติไทย
สูงท่สี ุดของชวี ิตคนหนงึ่ คน ต้องพิสูจนว์ ่าตนไดท้ ำ� อะไร
ด้วยสัจจะทฉ่ี นั ปฏิญาณให้ไป ฉนั ภมู ใิ จทีท่ �ำตามได้จรงิ
ยดึ มน่ั หวั ใจ ในหลักเที่ยงธรรม ร ับ ใ ชป้ ระชาชน ทกุ คนเท่าเทียมกัน
มน่ั คงความดตี ลอดไป...
ฉนั รู้สึกโชคดีที่ได้เกดิ มา สวมเครอื่ งแบบสมญาข้าราชการ
และได้ทำ� ภาระหนา้ ทส่ี �ำคญั รับใช้งานเพือ่ พอ่ หลวงแห่งไทย
จะเดนิ ตามรอยเทา้ ของพอ่ ดว้ ยความต้งั ใจ
จะเตมิ เต็มความหมายของขา้ ราชการที่ดี
มอบชวี ิตทุ่มเทใหแ้ ผน่ ดินนี ้ ท �ำ ค วามดเี พอ่ื ชาติไทย
สูงทส่ี ดุ ของชีวติ คนหน่งึ คน ต้องพสิ จู นว์ ่าตนไดท้ ำ� อะไร
ด้วยสัจจะท่ฉี นั ปฏิญาณให้ไป ฉนั ภมู ใิ จทที่ �ำตามไดจ้ รงิ
(ทดแทนคณุ ให้พอ่ หลวงและแผน่ ดิน)
178 | กถา พฒั นากร
ค่านิยมของขา้ ราชการ
กรมการพัฒนาชมุ ชนทีพ่ ึงประสงค์
ABC DEF
A Appreciation ชนื่ ชม
การตระหนกั เขา้ ใจ ชื่นชมยนิ ดี ยอมรับนบั ถอื
ยกยอ่ งให้เกียรติในคณุ ค่าและความสำ� คญั ของผู้อืน่
B Bravery กลา้ หาญ
ความกลา้ หาญ ไมเ่ กรงกลัวตอ่ อันตราย หรือความยากลำ� บาก
หรอื สถานการณย์ งุ่ ยาก ไม่สบายใจ
C Creativity สร้างสรรค์
ความคดิ รเิ ริ่ม สร้างสรรค์ ประดษิ ฐ์ คดิ คน้ สิ่งใหม่
ดว้ ยความคดิ ของตนเอง ไม่ธรรมดา
D Discovery ใฝร่ ู้
การใฝร่ ู้ การค้นหา การค้นพบ ข่าวสาร ความรู้ สถานที่
และวตั ถตุ า่ งๆ เป็นครัง้ แรก
E Empathy เขา้ ใจ
ความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ ความร้สู ึกนกึ คิด
หรอื ประสบการณข์ องผ้อู ื่น โดยการ “เอาใจเราไปใส่ใจเขา”
จนิ ตนาการวา่ หากอย่ใู นสถานการณน์ ั้นจะเป็นเช่นไร
F Facilitation เออ้ื อ�ำนวย
การทำ� ใหง้ ่าย การทำ� ใหง้ านนั้นเป็นไปได้ การเออ้ื อำ� นวย
ความสะดวกให้ผอู้ ื่นท�ำงานในวถิ ที างทเี่ หมาะสมกับตัวเขาเอง
กถา พฒั นากร | 179
พกั สกั นดิ …
เตมิ ข้อคิด
ในการท�ำงาน
180 | กถา พฒั นากร
จคาณุ กภคารพรภแหม์ ่งาชรีวดิตาถ:งึปเฏชิงิทตินะแกหอ่งนความหวงั
- ศ.ดร. ป๋วย อึ้งภากรณ์
เมื่อผมอยู่ในครรภ์ของแม่ ผมอยากให้แม่ได้กินอาหารถูกหลัก
โภชนาการและได้รับการเอาใจใส่ด้านสวสั ดิการแม่และเดก็
ผมไม่ต้องการมีพี่น้องมากมายอย่างท่ีพ่อแม่ผมมีมา และผม
ไม่อยากให้แม่มนี อ้ งกระชัน้ ชิดกบั ผมเกนิ ไปนัก
แม่กับพ่อผมจะแต่งงานกันตามประเพณีหรือไม่ ไม่ส�ำคัญ
ทีส่ �ำคัญคอื แม่กบั พอ่ ตอ้ งอย่รู ว่ มกัน และไมท่ ะเลาะกันบอ่ ยๆ
ในระยะ ๒ - ๓ ปีหลังจากที่ผมเกิดมา ผมอยากให้แม่กับผม
ไดก้ นิ อาหารทถ่ี กู หลกั โภชนาการ เพราะเปน็ ระยะทร่ี า่ งกายและสมอง
ผมเตบิ โตข้ึน และเปน็ ระยะทจ่ี ะส่งผลดผี ลรา้ ยใหผ้ มในอนาคต
ผมต้องการไปโรงเรียน และอยากให้พ่ีสาวหรือน้องสาวผมได้
เรยี นหนงั สอื ดว้ ย แลว้ เรยี นรวู้ ชิ าทจี่ ะไปทำ� งานได้ กบั ใหโ้ รงเรยี นอบรม
สงั่ สอนเรอ่ื งศลี ธรรมจรรยาใหเ้ รา ถา้ เผอญิ ผมเรยี นเกง่ ไปไดถ้ งึ ชนั้ สงู ๆ
ก็ขอให้มีโอกาสได้เรียนสงู ทส่ี ุด
เมอ่ื ออกจากโรงเรยี น ผมกอ็ ยากทำ� งานเลยี้ งชพี และงานนนั้ ควร
จะนา่ สนใจพอที่จะรูส้ ึกว่า ผมไดท้ ำ� ประโยชนแ์ ก่คนอ่นื
กถา พฒั นากร | 181
บา้ นเมอื งทผ่ี มอยคู่ วรจะมขี อ่ื มแี ป มคี วามสงบเรยี บรอ้ ยปลอดภยั
และพวกเราไมถ่ ูกกดขข่ี ่มเหงประทษุ ร้าย
บ้านเมืองเราควรจะติดต่อมีความสัมพันธ์อันมีประโยชน์และ
ชอบธรรมกับต่างประเทศ เราจะได้เรียนรู้วิชาท้ังด้านปัญญาและด้าน
อาชพี จากมนษุ ยท์ ว่ั โลก กบั เราจะไดม้ ที นุ จากตา่ งประเทศมาชว่ ยเราพฒั นา
บา้ นเมอื งของเราสง่ สนิ คา้ ทผี่ มทำ� ขน้ึ หรอื ทเ่ี พอื่ นรว่ มชาตผิ มทำ�
ขึ้นไปขายตา่ งประเทศ ราคาสินค้านน้ั ควรจะเปน็ ราคาทย่ี ุตธิ รรม
ถ้าผมเป็นชาวนา ผมกอ็ ยากมีทน่ี าของผมเปน็ กรรมสทิ ธิ์ และมี
ชอ่ งทางทจี่ ะไดส้ นิ เชอื่ มาลงทนุ ไดว้ ชิ าแบบใหมม่ าใชเ้ พาะปลกู ไดต้ ลาด
ม่ันคง และราคายตุ ิธรรมส�ำหรับพชื ผลของผม
ถา้ ผมเป็นชาวเมืองทำ� งานรับจา้ งเขา ผมกอ็ ยากมหี ้นุ ส่วนในงาน
ที่ผมท�ำ และมสี ว่ นในการด�ำเนนิ งานโรงงาน หรือหา้ งที่ผมทำ� อยู่
ในฐานะทเี่ ปน็ มนษุ ย์ ผมอยากจะไดอ้ า่ นหนงั สอื พมิ พถ์ กู ๆ หนงั สอื
ถูกๆ มีวทิ ยฟุ ัง มีโทรทศั น์ดู (แต่ไมอ่ ยากฟังหรือดูโฆษณาสินค้ามากนัก)
ผมอยากมีสุขภาพแข็งแรง และหวังว่ารัฐบาลจะจัดให้มีบริการ
อนามัยป้องกันโรคชนิดฟรี และบริการรักษาโรคชนิดที่ถูกและเรียกหา
ได้งา่ ย
182 | กถา พฒั นากร
ผมหวงั วา่ จะมเี วลาพกั ผอ่ นเปน็ ของตนเองบา้ ง จะไดม้ คี วามสขุ
ร่วมกับครอบครัวผม ถ้าอยากไปเท่ียวสวนก็ไปได้ อยากดูศิลปะชนิด
ต่างๆ ก็ไดช้ ม อยากไปงานวดั งานวฒั นธรรมก็ไดไ้ ปเทยี่ ว
ผมจ�ำเป็นต้องมีอากาศบริสุทธิ์ส�ำหรับหายใจ และน้�ำสะอาด
สำ� หรบั ดม่ื
ผมอยากได้ร่วมมือเป็นสหกรณ์กับเพ่ือนฝูง จะได้ช่วยกัน
เขาบ้าง เราบา้ ง แลว้ แตค่ วามจำ� เปน็
ผมจ�ำเปน็ ต้องมโี อกาสไดร้ ว่ มงานของชุมชนทีผ่ มอาศัยอยู่ และ
สามารถมีปากมเี สียงในการกำ� หนดชะตาของบา้ นเมอื ง ทางเศรษฐกิจ
สังคมและการเมอื งในประเทศของผม
เมียผมก็ควรมีโอกาสอย่างเดียวกัน และเราทั้งสองคน ควรได้
รบั ความรู้ และทราบวิธกี ารวางแผนครอบครวั
พอผมแก่ลง บ้านเมืองก็ควรจะให้บริการทางการเงินและ
สงั คมสงเคราะห์แก่ผม เพราะผมก็ไดอ้ อกเงนิ บ�ำรุงมาตลอด
เมอื่ ผมตายแลว้ และเผอญิ มีทรัพย์สมบตั ิเหลืออยู่ ผมอยากให้
รฐั บาลแบง่ ใหเ้ มยี ผมไวพ้ อกนิ แลว้ เอาทเี่ หลอื ไปทำ� ประโยชนใ์ หค้ นอนื่
ไดอ้ ยดู่ กี ินดีด้วย
นีแ่ หละคือความหมายอันแท้จริงแห่งชีวิต
นแ่ี หละคอื การพัฒนาเพื่อประโยชน์ของทกุ คน
กถา พัฒนากร | 183
กาลามสตู รสมัย
เนาวรัตน์ พงษไ์ พบลู ย์
หมูบ่ า้ นหน่ึงนามวา่ กาลามะ เกดิ ภาวะวนุ่ วายหลายสถาน
ขาดผนู้ �ำ ผูน้ ้อยพลอยรงั ควาน อลหมา่ นมากมายทุกมุมเมอื ง
เฮที่ไหน เฮด้วย ชว่ ยเฮน่ัน ท่ีเงยี บงันโงง่ งก็งมเงือ่ ง
ทย่ี กหู ชูหาง ก็ยา่ งเย้ือง ตนื่ ขา่ วลอื ถือข่าวเลื่อง อย่เู นืองนนั ต์
จงึ พระพุทธองค์ทรงโปรดสตั ว์ เทศนาดำ� รัส ตัดโมหนั ธ์
หลกั ความเช่อื สบิ อยา่ งในทางธรรม คนทั้งน้นั นิง่ ฟงั โดยตั้งใจ
หนงึ่ ฟงั ตามกันมาอยา่ ได้เช่ือ สอง ท�ำกันทุกเม่ือ เชื่อไม่ได้
สาม ตน่ื ข่าวป่าวมาอย่าเช่ือไป ส่ี อยา่ ไวใ้ จแมแ้ ต่ต�ำรา
หา้ อยา่ เชือ่ เพราะเดาเอาเองเลน่ หก กะเกณฑ์คาดคะเนไวล้ ว่ งหนา้
เจด็ เพราะนึกตรกึ ตรองหรอื ตรวจตรา แปด เพราะว่าตอ้ งตามธรรมเนียมตน
เกา้ อย่าเช่ือเพราะเพือ่ ควรเช่ือเขา สิบ ครเู ราแทแ้ ท้มาแต่ตน้
กใ็ ช่จกั เชือ่ ได้นำ้� ใจคน จงเช่ือผล เชือ่ เหตุ สงั เกตเทอญ
184 | กถา พฒั นากร
นทิ านสอนใจ คนตดั ไม้
กาลครั้งหนึ่ง.....
มคี นตดั ไม้ที่เก่งมากคนหน่งึ ซ่ึงไดท้ �ำงานกบั พอ่ ค้าไม้
เนอ่ื งจากพ่อคา้ ไม้ ได้จ่ายผลตอบแทนและสภาพการทำ� งานทดี่ ใี หแ้ กเ่ ขา
ดงั นนั้ คนตดั ไมจ้ ึงต้ังใจแนว่ แน่ที่จะทำ� งานของเขาใหด้ ีท่สี ดุ
เจา้ นายได้ใหข้ วานและบอกให้เขาไปตัดไม้ในพื้นทีท่ ่ีกำ� หนดให้
ในวนั แรกคนตดั ไม้ สามารถตัดไมไ้ ด้ถึง 18 ตน้
เจา้ นายประทับใจในตัวเขามาก และกลา่ วชมเขา
“ดีมาก ทำ� งานใหด้ ีตอ่ ไปนะ”
เพราะเขาไดร้ ับก�ำลังใจทด่ี ีจากเจ้านาย เขาจงึ ต้งั ใจทีจ่ ะท�ำงานหนกั ข้ึน
ในวันต่อมา แตเ่ ขากลับตัดไม้ไดเ้ พยี ง 15 ต้นเทา่ นัน้
ในวันท่ีสาม เขาเพียรพยายามมากข้ึนไปอีก แต่กลับตัดไม้ได้เพียง 10 ต้นเท่าน้ัน
แตล่ ะวันผ่านไปเขากลับตดั ไมไ้ ด้น้อยลงทกุ ที
คนตัดไมร้ ำ� พึงกบั ตนเองว่า ความแข็งแรงของเขาคงลดน้อยถอยลงเสียแลว้
เขาจงึ ไปหาเจา้ นายของเขาเพื่อขอโทษ
และบอกกบั เจา้ นายวา่ เขาไม่เข้าใจวา่ ท�ำไมผลลพั ธม์ นั จึงเปน็ เช่นน้ี
เจา้ นายจึงถามเขาวา่ “ เธอไดล้ บั ขวานคร้งั สดุ ทา้ ยเม่ือไหร่ ? ”
“ลับขวานเหรอครบั ?
ผมไมม่ เี วลาทีจ่ ะลบั ขวานของผมเลย ผมยงุ่ อยู่แตก่ ารตดั ต้นไม”้
กถา พัฒนากร | 185
ขอ้ คดิ ของเรื่องน้ี
ชวี ิตของพวกเราก็เช่นกนั
บางครงั้ เรายงุ่ เสียจนไมม่ ีเวลาจะลับขวานให้คมอย่เู สมอ
ในโลกทกุ วนั นด้ี เู หมอื นทกุ คนจะยงุ่ มากขน้ึ แตก่ ลบั มคี วามสขุ นอ้ ยลงกวา่ เคย
ท�ำไมจึงเปน็ เชน่ น้ัน?
เปน็ ไปไดห้ รอื เปลา่ ทวี่ า่
พวกเราลมื ทีจ่ ะมีชีวติ อยอู่ ยา่ งชาญฉลาดท่จี ะลบั ชีวิตของเราใหค้ ม
มันไมผ่ ดิ ท่ีเราจะท�ำงานหนกั
แต่เราไม่ควรวุน่ วายจนละเลยสงิ่ ที่สำ� คัญในชวี ติ เชน่ ชีวติ สว่ นตวั
การเอาใจใส่ผอู้ ่นื การให้เวลากับการอ่านหนงั สือ และอื่นๆ
เราทุกคนตอ้ งการเวลาทีจ่ ะผ่อนคลาย ทจี่ ะคดิ ท่จี ะสรา้ งสมาธิ
และทจี่ ะได้เรียนรู้และเตบิ โต
ถา้ เราไมย่ อมใช้เวลาท่ีจะลับคมใหแ้ กช่ วี ิตของเรา
เราจะกลายเปน็ ผู้ทีโ่ งเ่ ขลาและสญู เสยี ซึ่งประสทิ ธผิ ลและศกั ยภาพของเรา
เปน็ ความรบั ผดิ ชอบของเราทจ่ี ะตอ้ งรักษาและพฒั นาศกั ยภาพของตน
เพราะมนั จะเปน็ สว่ นหน่ึงทจ่ี ะรับประกนั ความสำ� เรจ็
และความเป็นทตี่ อ้ งการในอาชพี ของตวั เรา
ดงั นน้ั ขอใหเ้ ริม่ ต้นตั้งแต่วนั น้ี
ลองคดิ หาหนทางท่ีจะพฒั นาศักยภาพของเรา
เพื่อทีจ่ ะทำ� ให้เราสามารถทำ� งานได้อยา่ งมีประสิทธิผล
และสรา้ งมูลคา่ เพ่ิมใหแ้ ก่งานของเรามากข้ึน
186 | กถา พฒั นากร
นิทานสอนใจ ประตูเหล็ก
พระราชาองค์หน่ึง ทรงตั้งค�ำถามเพื่อทดสอบขุนนางช้ันผู้ใหญ่ข้ึนมา
คำ� ถามหนง่ึ พระองคท์ รงพาขนุ นางเหลา่ นไ้ี ปยงั ดา้ นหนา้ ประตเู หลก็ ทม่ี ขี นาด
มหมึ าบานหนงึ่ จากนั้นทรงตรัสกบั ขนุ นางว่า
“นี่คือประตูบานใหญ่ที่สุดในอาณาจักรของพวกเรา พวกเจ้าใคร
เปิดมันออกได้บ้าง” เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากัน และมองไปท่ีประตูเหล็ก
ทสี่ งู ใหญบ่ านนนั้ จากนนั้ กพ็ ากนั สา่ ยหวั ขนุ นางชน้ั ผใู้ หญบ่ างคนกระซบิ กนั วา่
“ประตบู านใหญซ่ ะขนาดนี้ มหิ นำ� ซำ้� ยงั ทำ� มาจากเหลก็ ตอ้ งหนกั แนๆ่
คนคนเดยี วจะไปผลกั ออกไดย้ งั ไง” บางคนกพ็ ดู วา่ “ดา้ นหลงั ของประตบู านนี้
ถูกล็อกเอาไว้แน่ๆ ผลักไม่ออกหรอก” ยังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่บางคนพูดต่อ
อกี วา่
“ประตบู านนไี้ ม่เคยถกู เปิดออก ตอ้ งเป็นสนิมแนๆ่ เปดิ ไมอ่ อกหรอก
ไม่ตอ้ งลองจะดีกว่า”
ขุนนางช้ันผู้ใหญ่คนหน่ึงกระแอมสองคร้ัง
จากนั้นก็พูดว่า “อายุเราก็ขนาดนี้แล้ว จะมีแรง
ผลักประตูท่ีหนักขนาดน้ีได้อย่างไรกัน” เหล่า
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างพากันพูดคุยแสดงความ
คิดเห็นกันอย่างเซ็งแซ่ ขุนนางจ�ำนวนหน่ึง
ไมเ่ ขา้ ใจเจตนาของพระราชา และพากนั คดิ วา่ การยนื
ดสู ถานการณอ์ ยเู่ งยี บๆ นา่ จะเปน็ วธิ ที ดี่ ที สี่ ดุ กเ็ ลยยนื
ดูอยู่เฉยๆ ไมท่ ำ� อะไรทง้ั สิ้น
กถา พฒั นากร | 187
ขุนนางบางท่านก็ท�ำเป็นเดินวางท่าไปข้างหน้าประตูบานนี้ แต่ก็ได้
แค่คิด แต่ไม่ได้ลงมือท�ำอะไร เพราะพวกเขาไม่อยากจะเป็นคนโง่ในสายตา
ของคนอื่น
ขณะท่ีเหล่าขุนนางก�ำลังขบคิดกันอย่างหนักอยู่นั้น พระโอรสน้อย
ซึ่งมีพระชมมายุเพียง 7 พรรษาทรงว่ิงผ่านมา พระโอรสเห็นพระบิดาและ
เหลา่ ขนุ นางชน้ั ผใู้ หญก่ ำ� ลงั มองประตเู หลก็ บานใหญบ่ านนนั้ กร็ สู้ กึ แปลกพระทยั
จงึ เดนิ ไปยงั ดา้ นหนา้ ของประตใู หญ่ และใชม้ อื นอ้ ยๆ ของพระองคผ์ ลกั มนั เบาๆ
ประตูเหล็กขนาดใหญก่ ็ถกู เปดิ ออกในทันที!!!
ท่ีแท้แล้วน่ีเป็นประตูท่ีไม่ได้ใส่กลอน ไม่ได้ถูกล็อก แม้ว่าบนประตู
จะมีคราบสนิมเป็นดวงๆ แต่ก็ไม่ได้ท�ำให้ประตูถูกล็อกตาย ประตูบานใหญ่
ทขี่ นุ นางชน้ั ผใู้ หญเ่ หลา่ นน้ั ไมไ่ ดเ้ ปดิ กลบั ถกู เดก็ ทม่ี อี ายเุ พยี ง 7 ขวบเปดิ ออกได้
บนโลกใบนข้ี อเพยี งแค่มีความตั้งใจจะท�ำ กจ็ ะพบวา่ ประตูหลายบาน
ไม่ได้ถูกล็อกไว้ ประตูที่ไม่ได้ล็อกนั้น ด้านหลังของมันก็คือ โลกท่ีไม่มีใคร
เคยเห็น ขอเพียงแค่คุณกล้าย่ืนมือออกมา ประตูทุกบานในโลกใบนี้ก็จะถูก
เปิดออก
แตใ่ นชวี ติ จรงิ มคี นหลายคนทเ่ี ปน็ เหมอื นกบั ขนุ นางชนั้ ผใู้ หญเ่ หลา่ นน้ั
ยังไม่ทันได้ลองท�ำ ก็คิดว่าตนเองท�ำไม่ได้ คนประเภทน้ีมักจะอยู่ในกรอบ
ที่ท้ังเล็กและแคบ ไม่ได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ มากเท่าใด รวมทั้งไม่สามารถ
คิดไตร่ตรองเก่ียวกับส่ิงเหล่านี้ได้ จึงไม่ก้าวหน้าและประสบความส�ำเร็จ
เทา่ ท่ีควร พวกเขาใชช้ วี ติ แบบเดิมๆ ไม่เปล่ยี นแปลง เป็นคนทม่ี ชี วี ิตราวกับ
น�ำ้ น่งิ ในหนอง แมจ้ ะมคี วามฝนั กย็ ากท่จี ะทำ� ใหเ้ ป็นจริงได้
แล้วท่านผู้อา่ น เป็นอย่างขนุ นาง หรอื เปน็ อย่างพระโอรสน้อย
188 | กถา พฒั นากร
นทิ านสอนใจ ปลา กับตปู้ ลา
มีปลาตัวหน่ึง ถูกจับได้ตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ ชาวประมงเห็นมันตัวเล็กมาก
แตม่ ีลักษณะทสี่ วยงาม จงึ มอบใหเ้ ปน็ ของขวญั แก่ลกู สาวของตนเอง
เด็กหญงิ จับมันใสต่ ้ปู ลา และเลยี้ งไวต้ ้ังแต่นั้นมา
มันว่ายไปมาในตู้ปลา มักจะชนกับผนังตู้เป็นประจ�ำ จึงรู้สึกไม่มีความสุข
ภายหลงั มนั ตวั โตขน้ึ เรอื่ ยๆ จนวา่ ยไปมาลำ� บากขนึ้ เดก็ หญงิ จงึ เปลย่ี นตปู้ ลา
ใหม้ ขี นาดใหญข่ น้ึ มันจงึ วา่ ยไปมาไดส้ ะดวกมากขึ้น
แตท่ กุ คร้ังทม่ี นั ว่ายชนผนังตู้ อารมณเ์ บกิ บานของมนั กจ็ ะหมน่ หมอง มันเร่ิม
ร้สู ึกเกลยี ดชีวติ ทว่ี นเวียนอยเู่ ดิม อย่างน้ี จงึ ลอยตวั อยใู่ นน้�ำไมข่ ยับ รวมทง้ั
ไมค่ อ่ ยกินอาหารเหมือนที่ผ่านๆ มา
เดก็ หญิงเหน็ อยา่ งนั้น ก็รสู้ ึกสงสาร จงึ ปลอ่ ยมันกลับลงทะเล มนั ว่ายน้ำ� ไป
มาในทะเลไมห่ ยุด อยา่ งไมม่ ีความสขุ
วันหนึง่ มันพบปลาตัวอน่ื ๆ ปลาตวั น้ันถามว่า
“นายดูไมม่ ีความสขุ เท่าไหรน่ ะ”
มันถอนใจ แลว้ ตอบกลับไปว่า
“อา..ต้ปู ลาใบนีใ้ หญเ่ กนิ ไปแลว้ ฉนั วา่ ยอยา่ งไรกไ็ มถ่ งึ ขอบเสียที!”
กถา พฒั นากร | 189
เราคล้ายปลาตัวนี้ไหม อยู่ในตู้ปลานาน จนใจแคบเหมือนตู้ปลา
ไม่กล้าท�ำอะไรใหม่ๆ ท่ีแตกต่าง แล้ววันหนึ่งเม่ือพบกับอาณาเขตกว้าง
ใหญ่กว่าเดมิ จึงไมส่ ามารถท่ีจะปรบั ตวั ยอมรับมันได้ เพราะสุดท้ายเราก็ยงั
ยดึ ตดิ กบั ผนงั บางอยา่ งทอ่ี ยใู่ นใจเรา แมว้ า่ จะอยทู่ า่ มกลางมหาสมทุ รกวา้ งใหญ่
แตก่ ย็ งั ไมส่ ามารถสมั ผสั ถงึ ความอสิ ระไดเ้ ลย ถา้ เราไมเ่ ปดิ ใจ ไมเ่ ปดิ ตวั เองออก
เราก็ไม่มีทางได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ย่ิงไม่มีวันก้าวหน้าและเติบโต คนที่ประสบ
ความสำ� เรจ็ ทส่ี ดุ ในกลมุ่ กค็ อื คนทมี่ จี ติ ใจทเ่ี ปดิ กวา้ ง เขาเหลา่ นน้ั จะกา้ วหนา้
เรว็ ทสี่ ดุ มปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ผอู้ นื่ ทดี่ ที สี่ ดุ และจะไดร้ บั โอกาสประสบความสำ� เรจ็
ได้งา่ ยทสี่ ดุ
190 | กถา พฒั นากร
คณะท�ำงาน
1. คณะที่ปรกึ ษา ที่ปรึกษา
1.1 ดร.นิรนั ดร์ จงวุฒิเวศย์ ทีป่ รกึ ษา
1.2 อธบิ ดีกรมการพฒั นาชมุ ชน ทีป่ รกึ ษา
1.3 รองอธบิ ดกี รมการพฒั นาชุมชนทุกคน หวั หน้าคณะทำ� งาน
คณะทำ� งาน
2. คณะทำ� งานจัดทำ� กถาพฒั นากร คณะท�ำงาน
2.1 นายทวปี บตุ รโพธ์ิ คณะทำ� งาน
2.2 นางปราณี รัตนประยูร คณะทำ� งาน
2.3 นางอจั ฉราวรรณ มณขี ัติย์ คณะทำ� งาน
2.4 นางสาวศศิธร อนิ ทกุล คณะท�ำงาน
2.5 นายไพบลู ย์ บูรณสนั ติ คณะท�ำงาน
2.6 นายทรงพล วิชัยขทั คะ คณะท�ำงาน
2.7 นายรอ่ งก้ี พลเยยี่ ม คณะทำ� งาน
2.8 นายรงั สรรค์ หงั สนาวนิ คณะทำ� งาน
2.9 นางสาวขวัญดาว ลอื เปี่ยม คณะทำ� งาน
2.10 นางสาวพพู ิศ ลาวัลย์ คณะท�ำงาน
2.11 นางกาญจนวรรณ ชว่ ยมน่ั คง คณะทำ� งาน
2.12 นางพัชรินทร์ พานำ� มา คณะท�ำงาน
2.13 นางสาวนนั ทรัตน์ สุขศรี
2.14 นางชตุ ิมณฑน์ วงษค์ ำ� หาร
2.15 นางจุฑารตั น์ ชนุ เกาะ
กถา พัฒนากร | 191
2.16 นายด�ำรง สมหอม คณะท�ำงาน
2.17 นายพชร พลายพิชิต คณะทำ� งาน
2.18 นางสาวพชั รันธร จนั ทร์เพ็ญโรจน์ คณะทำ� งาน
2.19 นายวสิ ุทธ์ิ วงศส์ วา่ ง คณะท�ำงาน
2.20 นางสาวปฐมพร คงสมบรณู ์ คณะทำ� งาน
2.21 นางสาวชนมณฐั รอดบญุ ธรรม เลขานุการ
2.22 นายสรุ ศกั ดิ์ อกั ษรกลุ เลขานุการรว่ ม
2.23 นางสาวกนกนจิ พนาวาส ผู้ชว่ ยเลขานุการ
2.24 นางสาวศริ นิ ทร กะวะนิช ผู้ช่วยเลขานุการ
192 | กถา พฒั นากร
194 | กถา พฒั นากร