The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by DPT eBook, 2020-07-13 22:56:18

- มยผ.1915-62 ถึง มยผ.1918-62 มาตรฐานประกอบการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย ที่เกี่ยวข้องกับอาคาร การขุดดินและการถมดินในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม (Landslide) และบริเวณลาดเชิงเขา

กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย

Keywords: - มยผ.1915-62 ถึง มยผ.1918-62 มาตรฐานประกอบการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย ที่เกี่ยวข้องกับอาคาร การขุดดินและการถมดินในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม (Landslide) และบริเวณลาดเชิงเขา

มาตรฐานประกอบการปฏิบตั ิเพื่อความปลอดภยั
ที่เกีย่ วขอ งกับอาคาร การขดุ ดนิ และการถมดิน
ในพ้นื ที่เส่ียงภัยดินถลม (Landslide) และบรเิ วณลาดเชงิ เขา

1. มาตรฐานการกอสรางบรเิ วณลาดเชิงเขา (มยผ.1915-62)
2. มาตรฐานประกอบการวิเคราะหค วามมัน่ คงในพ้นื ที่เสี่ยงภัยดินถลม

(มยผ.1916-62)
3. มาตรฐานการปองกันการพงั ทลายสาํ หรับลาดเชงิ เขา (มยผ.1917-62)
4. มาตรฐานการถมดนิ และการบดอัด (มยผ.1918-62)

กรมโยธาธกิ ารและผังเมือง
กระทรวงมหาดไทย
พ.ศ. 2562

ขอมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแหง ชาติ

กรมโยธาธิการและผังเมือง
มาตรฐานประกอบการปฏิบตั ิเพอ่ื ความปลอดภัยที่เกี่ยวของกับอาคาร การขุดดิน

และการถมดนิ ในพนื้ ทเ่ี สยี่ งภัยดินถลม (Landslide) และบรเิ วณลาดเชิงเขา.-- กรงุ เทพฯ : สาํ นัก
ควบคุมและตรวจสอบอาคาร กรมโยธาธกิ ารและผังเมอื ง กระทรวงมหาดไทย, 2562.

121 หนา .

1. ความปลอดภัยในงานกอ สรา ง. 2. การกอ สรา ง -- มาตรฐาน. I. ชอ่ื เร่ือง.

690.23
ISBN 978-974-458-644-5

มาตรฐานประกอบการปฏิบัติเพอ่ื ความปลอดภยั ทีเ่ ก่ียวขอ งกับอาคาร การขดุ ดิน
และการถมดนิ ในพน้ื ท่เี สี่ยงภัยดินถลม (Landslide) และบรเิ วณลาดเชงิ เขา

1. มาตรฐานการกอสรา งบรเิ วณลาดเชิงเขา (มยผ.1915-62)

2. มาตรฐานประกอบการวิเคราะหค วามมนั่ คงในพ้ืนทีเ่ สี่ยงภยั ดินถลม (มยผ.1916-62)

3. มาตรฐานการปอ งกนั การพงั ทลายสําหรับลาดเชิงเขา (มยผ.1917-62)

4. มาตรฐานการถมดนิ และการบดอดั (มยผ.1918-62)

พมิ พค รัง้ ที่ 1 กนั ยายน 2562

จาํ นวน 500 เลม

สงวนลิขสทิ ธต์ิ ามพระราชบัญญัตลิ ขิ สิทธิ์ พ.ศ. 2561

จัดทําโดย สํานักควบคมุ และตรวจสอบอาคาร กรมโยธาธกิ ารและผงั เมือง กระทรวงมหาดไทย
218/1 ถนนพระราม 6 แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท 0-2299-4321 โทรสาร 0-2299-4321

พมิ พที่ หา งหนุ สว นจํากดั พรี-วัน
อาคารเคยู อเวนวิ ชน้ั ท่ี 2 50 ถนน งามวงศวาน แขวง ลาดยาว
เขตจตจุ ักร กรุงเทพมหานคร 10900

โทรศพั ท, โทรสาร 0-2940-5858-9

คณะผูจดั ทํา

โครงการจัดทํารางขอบังคบั และหลักเกณฑตามกฎหมายวาดวยการควบคุมอาคาร
และกฎหมายวาดวยการขดุ ดินและถมดนิ ในพนื้ ที่เส่ยี งภยั ดินถลม (Landslide)

และบริเวณลาดเชงิ เขา

• ผูจดั การโครงการวิจยั ผเู ชย่ี วชาญดา นดินถลม

รองศาสตราจารย ดร.สทุ ธิศักดิ์ ศรลัมพ

• รองผจู ดั การโครงการวิจัย ผเู ชีย่ วชาญดา นวิศวกรรมปฐพี

นายรฐั ธรรม อสิ โรฬาร

• ผทู รงคุณวุฒิ

นายมนญู อารยะศริ ิ
ดร.ยงยุทธ แตศริ ิ
ดร.ธเนศ วรี ะศิริ
ดร.สมบญุ โฆษิตานนท

• คณะผวู จิ ยั

รองศาสตราจารย ดร.วรากร ไมเรยี ง ผเู ช่ยี วชาญดานปองกนั ดนิ ถลม

รองศาสตราจารย ดร.ฐิรวัตร บญุ ญะฐี ผูเ ชี่ยวชาญดานวศิ วกรรมฐานราก

ดร.สสุ ิทธิ์ ฉายประกายแกว ผูเช่ยี วชาญดา นวศิ วกรรมปฐพี

ดร.สรุ ยิ น เปรมปราโมทย ผเู ช่ยี วชาญดานวิศวกรรมปฐพี

ดร.จกั รพนั ธ เทือกตะ ผเู ช่ียวชาญดานวศิ วกรรมโครงสรา ง

นายสรุ ชัย พรภัทรกลุ ผูเชี่ยวชาญดานกฎหมายควบคุมอาคารและกฎหมายขดุ ดนิ ถมดนิ

มาตรฐานประกอบการปฏิบตั ิเพื่อความปลอดภยั ทเี่ กีย่ วของกับอาคาร การขดุ ดนิ และการถมดิน
ในพ้ืนทีเ่ สย่ี งภัยดินถลม (Landslide) และบรเิ วณลาดเชิงเขา

คณะกรรมการกํากับดแู ลการปฏิบตั งิ านของที่ปรึกษา

โครงการจดั ทาํ รา งขอ บังคบั และหลักเกณฑตามกฎหมายวา ดวยการควบคุมอาคาร
และกฎหมายวา ดวยการขดุ ดนิ และถมดินในพื้นที่เส่ียงภัยดินถลม (Landslide)

และบริเวณลาดเชงิ เขา

• ท่ปี รึกษาคณะกรรมการ วศิ วกรใหญ

นายเสถียร เจริญเหรียญ ผอู าํ นวยการสํานกั ควบคมุ และตรวจสอบอาคาร

• ประธานกรรมการ วศิ วกรโยธาเชีย่ วชาญ
วิศวกรโยธาชาํ นาญการพิเศษ
นายสินทิ ธิ์ บุญสทิ ธิ์ วิศวกรโยธาชํานาญการพเิ ศษ
วศิ วกรโยธาชาํ นาญการพิเศษ
• คณะกรรมการ
วศิ วกรโยธาชํานาญการพเิ ศษ
นายอนวชั บรู พาชน
นางสาวสุรีย ประเสรฐิ สุด วศิ วกรโยธาชํานาญการ
นายพรชัย สังขศรี นายชางโยธาปฏบิ ตั ิงาน
นายสมโชค เลงวงศ วิศวกรโยธาปฏบิ ัติการ

• กรรมการและเลขานุการ

นายธนติ ใจสอาด

• กรรมการและผชู ว ยเลขานกุ าร

นายวโิ ชติ กันภัย
นายนาํ พล ฉมิ มงคล
นางสาวสุธาสินี อาทติ ยเ ท่ียง

มาตรฐานประกอบการปฏิบตั เิ พอ่ื ความปลอดภยั ทีเ่ กยี่ วขอ งกบั อาคาร การขดุ ดินและการถมดิน
ในพน้ื ท่เี ส่ยี งภัยดินถลม (Landslide) และบรเิ วณลาดเชงิ เขา

คาํ นาํ

เหตุภัยพิบัติดินถล่มในประเทศไทยเกิดข้ึนในหลายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซ่ึงสร้างความสูญเสียต่อชีวิต
และทรัพย์สินเป็นจํานวนมาก และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากยิ่งข้ึนตามสภาพการแปรปรวนของภูมิอากาศ
ในปัจจุบัน ซงึ่ ปัจจัยความเส่ยี งต่อการเกิดภัยพิบัติดังกล่าวทสี่ ําคัญปจั จัยหนงึ่ ได้แก่ การก่อสร้างอาคารและการขุดดิน
หรือถมดินบริเวณลาดเชิงเขาท่ีไม่ถูกต้อง ดังน้ัน การควบคุมการก่อสร้างอาคาร และการขุดดินหรือถมดิน
ในบริเวณลาดเชงิ เขาให้มคี วามปลอดภยั จึงเป็นมาตรการที่สําคัญในการลดความเส่ยี งต่อการเกิดภัยพิบัติดินถล่ม
ได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ

กรมโยธาธิการและผังเมืองโดยสํานักควบคุมและตรวจสอบอาคารซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ
ในการกําหนดมาตรฐานความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินท่ีเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารในประเทศไทย
ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นที่ปรึกษาโครงการนี้
เพ่ือดําเนินการศึกษาและรวบรวมข้อมูลสําหรับจัดทํามาตรฐานประกอบการปฏิบัติเพ่ือความปลอดภัย
ที่เก่ียวข้องกับอาคาร การขุดดิน และการถมดินในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่ม (Landslide) และบริเวณลาดเชิงเขา
ซ่ึงประกอบด้วยมาตรฐานการก่อสร้างบริเวณ ลาดเชิงเขา (มยผ. 1915-62) มาตรฐานประกอบ
การวิเคราะห์ความม่ันคงในพ้ืนที่เสี่ยงภัยดินถล่ม (มยผ. 1916-62) มาตรฐานการป้องกันการพังทลาย
สําหรับลาดเชิงเขา (มยผ. 1917-62) และมาตรฐานการถมดินและการบดอัด (มยผ. 1918-62) มาตรฐานนี้
จะเป็นส่วนสําคัญที่ทําให้มีแนวทางในการก่อสร้างอาคาร การขุดดินและถมดินในพ้ืนที่เส่ียงภัยดินถล่ม
และบริเวณลาดเชิงเขาเปน็ ไปอย่างถูกต้องตามหลกั วชิ าการ

กรมโยธาธิการและผังเมืองหวังเป็นอย่างย่ิงว่ามาตรฐานดังกล่าวน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ท่ีเกี่ยวข้อง
และทําให้ประชาชนในพื้นที่เสีย่ งภัยดนิ ถลม่ มคี วามปลอดภัยต่อชีวติ และทรัพยส์ นิ เพิ่มมากยงิ่ ข้ึน

(นายมณฑล สุดประเสริฐ)
อธิบดกี รมโยธาธกิ ารและผงั เมือง

มาตรฐานประกอบการปฏบิ ตั ิเพ่ือความปลอดภัยที่เก่ยี วขอ้ งกบั อาคาร การขดุ ดินและการถมดนิ
ในพ้นื ทีเ่ ส่ียงภัยดนิ ถล่ม (Landslide) และบริเวณลาดเชิงเขา

บทนาํ

กรมโยธาธิการและผังเมืองซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการกําหนดมาตรการกํากับดูแลความ
ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร และการขุดดินและถมดิน ได้จัดทําร่างข้อบังคับ
สําหรับควบคุมการก่อสร้างอาคารและการขุดดินหรือถมดินบริเวณพื้นที่เส่ียงภัยดินถล่ม (Landslide)
และบริเวณลาดเชิงเขา รวมถึงมาตรฐานและคู่มือท่ีเก่ียวข้อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ของประชาชนในพ้ืนท่ีเสี่ยงภัย โดยจัดทําข้ึนเพ่ือกําหนดรายละเอียดในการก่อสร้างอาคารบริเวณเชิงเขา
การวิเคราะห์ความม่ันคงในพื้นท่ีเส่ียงภัยดินถล่ม การป้องกันการพังทลายสําหรับลาดเชิงเขา การถมดิน
และการบดอดั ประกอบดว้ ย 4 มาตรฐาน คอื

มยผ. 1915-62 มาตรฐานการกอ่ สรา้ งบรเิ วณลาดเชิงเขา
มยผ. 1916-62 มาตรฐานประกอบการวิเคราะหค์ วามมน่ั คงในพนื้ ทีเ่ ส่ยี งภัยดินถล่ม
มยผ. 1917-62 มาตรฐานการปอ้ งกนั การพงั ทลายสําหรบั ลาดเชงิ เขา
มยผ. 1918-62 มาตรฐานการถมดินและการบดอดั
ในฐานะผู้จัดการโครงการวิจัยจัดทําร่างข้อบังคับและหลักเกณฑ์ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุม
อาคารและกฎหมายว่าด้วยการขุดดินและถมดินในพื้นที่เส่ียงภัยดินถล่ม (Landslide) และบริเวณลาดเชิงเขา
ขอขอบคุณคณะผู้วิจัยทุกท่านที่ได้ช่วยกันดําเนินงาน และขอขอบคุณกรรมการทุกท่านท่ีเสียสละในการดําเนิน
ใหส้ าํ เร็จลุลว่ งด้วยดี

(รองศาสตราจารย์ ดร.สุทธิศกั ดิ์ ศรลัมพ์)
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

ผูจ้ ัดการโครงการวิจยั

มาตรฐานประกอบการปฏิบตั ติ ามกฎหมายวา่ ดว้ ยการควบคุมอาคารและกฎหมายว่าดว้ ยการขุดดินและถมดิน
ในพน้ื ที่เส่ียงภัยดินถลม่ (Landslide) และบรเิ วณลาดเชงิ เขา

สารบญั

มยผ. 1915-62 หนา
มาตรฐานการกอ สรางบริเวณลาดเชงิ เขา
(Standard of Construction on Slope) 1
1
1. ขอบขาย 2
2
2. นยิ ามและสัญลักษณ 4
5
3. มาตรฐานอา งถึง 13
14
4. ลกั ษณะความเสียหายที่เกดิ กับอาคารบรเิ วณพืน้ ทลี่ าดชนั 18

5. แนวทางการปองกนั และลดความรุนแรงจากดินถลม สาํ หรบั การกอสรา งอาคาร

6. การปองกันความเสียหายของอาคารที่กอสรา งบรเิ วณลาดเชิงเขา

7. แนวทางการลดผลกระทบตออาคาร เน่ืองจากการไหลของดนิ โคลนถลม (debris flow)

8. วิธีการหาความสงู และความชนั ของพนื้ ท่ี

9. เอกสารอางอิง

มยผ. 1916-62 19
19
มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหความม่ันคงในพน้ื ท่ีเส่ยี งภัยดนิ ถลม 23

(Standard of Slope Stability Calculation for Safety in Landslide Risk Area) 23
40
1. ขอบขาย 41
2. นิยามและสัญลักษณ 49
3. มาตรฐาน/คูมือ อา งถึง
4. การคาํ นวณหาคาเสถยี รภาพความมั่นคงของลาดเอยี ง (slope)

ในพื้นทเ่ี ส่ยี งภยั ดินถลมและบรเิ วณลาดเชงิ เขา
5. การคาํ นวณหาคา เสถยี รภาพความลาดเอียงโดยวิธีอ่ืนๆ
6. ตัวอยา งการคํานวณเสถยี รภาพความลาดชนั
7. เอกสารอา งอิง

มาตรฐานประกอบการปฏิบัตเิ พื่อความปลอดภัยทเ่ี กย่ี วของกบั อาคาร การขุดดนิ และการถมดนิ (1)
ในพน้ื ที่เส่ยี งภัยดนิ ถลม (Landslide) และบรเิ วณลาดเชงิ เขา

สารบญั (ตอ) หนา

มยผ. 1917-62 51
มาตรฐานการปองกันการพงั ทลายสาํ หรบั ลาดเชิงเขา 51
(Standard of Slope Protection on Slope) 52
53
1. ขอบขาย 78
2. นยิ ามและสญั ลักษณ 83
3. มาตรฐาน/คมู ือ อางถงึ 88
4. วธิ กี ารปองกันการพังทลายกรณีลาดพิบตั ิ (slope failure) 93
5. วิธกี ารปองกันการพังทลายกรณดี นิ ถลม (landslide)
6. วธิ กี ารปองกันการพังทลายกรณีดนิ โคลนถลม (debris flow) 95
7. ตัวอยางการออกแบบ rock bolt 95
8. เอกสารอางองิ 96
96
มยผ. 1918-62 97
มาตรฐานการถมดินและการบดอดั 98
(Standard of Fill and Compaction) 105
105
1. ขอบขาย 107
2. นยิ าม 108
3. มาตรฐานอางถึง
4. ลกั ษณะและวตั ถุประสงคก ารถมดินและบดอัดดิน
5. วัสดุสาํ หรบั การถมดินทวั่ ไป
6. ขน้ั ตอนการถมดนิ และบดอดั ดิน
7. คา การทรุดตวั ท่ียอมใหใ นการถมตามวตั ถุประสงคต างๆ
8. การปรบั ปรุงคุณภาพดินถมเพ่ือปองกันการพิบัติและการทรุดตัวเกินเกณฑ
9. การตรวจสอบการบดอดั
10. เอกสารอางอิง

(2) มาตรฐานประกอบการปฏิบตั ิเพ่อื ความปลอดภัยท่เี กย่ี วขอ งกบั อาคาร การขดุ ดนิ และการถมดิน
ในพ้ืนที่เสีย่ งภัยดนิ ถลม (Landslide) และบริเวณลาดเชงิ เขา

มยผ. 1915-62

มาตรฐานการกอ่ สรา้ งบรเิ วณลาดเชิงเขา (Standard of Construction on Slope)

มาตรฐานประกอบการปฏิบตั ิเพ่ือความปลอดภัยท่ีเก่ียวข้องกับอาคาร การขุดดนิ และการถมดนิ
ในพืน้ ทีเ่ ส่ียงภัยดินถล่ม (Landslide) และบรเิ วณลาดเชิงเขา



มยผ. 1915-62

มาตรฐานการก่อสร้างบริเวณลาดเชิงเขา
(Standard of Construction on Slope)

1. ขอบขา่ ย

1.1 มาตรฐานน้ีใช้กับงานก่อสร้างอาคาร หรือส่ิงก่อสร้างท่ัวไป เช่น บ้าน โรงเรือน อาคารคลังสินค้า
กาแพงกันดิน เป็นต้น แต่มาตรฐานไม่ครอบคลุมถึง อาคารสูง สะพาน โครงสร้างทางชลประทาน เสาส่งไฟฟ้า
ป้ายโฆษณา และโครงสร้างอื่น ๆ ทีไ่ มเ่ ปน็ ลกั ษณะอาคาร
1.2 ข้อกาหนดต่าง ๆ ในมาตรฐานนี้ เป็นขั้นต่าสุดท่ีจาเป็นต่อการก่อสร้างอาคาร เพ่ือให้อาคาร
มีความปลอดภยั หรือลดความรุนแรงจากดนิ ถลม่ ทีม่ ีต่ออาคาร
1.3 ส่วนข้อความอื่นใดที่ไม่ได้ระบุไว้ในรายการประกอบแบบเฉพาะงาน ให้ถือปฏิบัติตามมาตรฐานฉบับน้ี
นอกจากรายการประกอบแบบเฉพาะงานท่ีระบุเป็นอย่างอื่นให้ถือในส่วนท่ีระบุไว้ในรายการประกอบแบบ
เฉพาะงานน้ันเป็นหลัก
1.4 มาตรฐานนใี้ ช้หน่วย SI (International System Units) เปน็ หลกั

2. นิยามและสัญลกั ษณ์

2.1 นิยาม
“ดินถล่ม (landslide)” หมายความว่า เหตุการณ์ท่ีดิน หิน หรือดินปนหิน มีการเคล่ือนตัวลงมาตามแนวลาดเอียง
หรือตามแรงโน้มถ่วงของโลก
“โคลนถล่ม (debris flow)” หมายความว่า เหตุการณ์ท่ีดินถล่มลงมารวมกับเศษซากมวลพิบัติ โดยมีน้า
ในปริมาณมาก แลว้ ไหลลงส่ทู ต่ี า่ ด้วยความเร็วสูงและมีพลังในการพดั พาต้นไม้และหิน กรวดทรายตามลงมาดว้ ย
“ความชัน” หมายความว่า ค่าตัวเลขซึ่งกาหนดเป็นสัดส่วนระหว่างระยะแนวด่ิงต่อระยะแนวราบ
หรือรอ้ ยละของระยะแนวด่ิงตอ่ ระยะแนวราบ หรือองศาของความลาดเอยี งซ่งึ วัดจากแนวราบ
“ลาดเชิงเขา” หมายความว่า พ้นื ท่ีลาดชนั บริเวณภูเขาหรือเนินเขา และพน้ื ท่ีบรเิ วณอน่ื ๆ ที่มคี วามชันมากกว่า
1:5 (ดิง่ : ราบ) หรอื รอ้ ยละ 20
“ยอดลาดชัน” หมายความว่า พื้นท่ีส่วนบนของลาดเชิงเขา ท่ีมีความชันน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1:5 (ดิ่ง : ราบ)
หรือร้อยละ 20

มยผ.1915-62 : มาตรฐานการกอ่ สร้างบรเิ วณลาดเชิงเขา 1

“ตีนลาดชัน” หมายความว่า พ้ืนท่ีส่วนล่างของลาดเชิงเขา ที่มีความชันน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1:5 (ด่ิง : ราบ)
หรือรอ้ ยละ 20
“อาคารสงู ” หมายความวา่ อาคารสงู ท่กี าหนดไว้ในกฎหมายวา่ ด้วยการควบคมุ อาคาร
“สถาบันที่เช่ือถือได้” หมายความวา่ ส่วนราชการหรือบรษิ ัทจากัดท่ีมวี ัตถุประสงค์ในการให้คาปรกึ ษาแนะนา
ด้านวิศวกรรม ซ่ึงมีวิศวกรประเภทวุฒิวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพวิศวกรรม
เป็นผใู้ หค้ าปรกึ ษาแนะนา และลงลายมอื ชือ่ รบั รองผลการตรวจสอบงานวิศวกรรมควบคุม
2.2 สญั ลกั ษณ์

D = ระยะตามแนวราบวัดจากขอบอาคารถึงยอดลาดชนั หรือตีนลาดชนั
H = ระยะตามแนวด่ิงระหวา่ งยอดลาดชนั ถึงตีนลาดชัน โดยพจิ ารณาจากช่วงทีม่ โี อกาส

เกดิ ดินถลม่ มากทสี่ ุด
3. มาตรฐานอา้ งถึง
3.1 มาตรฐานที่ใชอ้ า้ งถงึ ประกอบดว้ ย
3.1.1 มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1105 : มาตรฐานงานฐานราก
3.1.2 มาตรฐานกรมโยธาธกิ ารและผงั เมือง มยผ. 1106 : มาตรฐานงานเสาเข็ม
3.1.3 มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1912-52 : มาตรฐานการป้องกันการพังทลาย
สาหรบั งานขุดดนิ และถมดิน
3.1.4 มาตรฐานกรมโยธาธกิ ารและผังเมือง มยผ. 1918-62 : มาตรฐานการถมดนิ และการบดอดั
3.1.5 มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะห์ความมั่นคง
ในพืน้ ทเ่ี สยี่ งภยั ดินถลม่
3.2 หากข้อกาหนดในมาตรฐานนี้มีความขัดแย้งกับมาตรฐานที่อ้างถึงในแต่ละส่วน ให้ถือข้อกาหนด
ในมาตรฐานนเ้ี ปน็ สาคญั
4. ลักษณะความเสียหายที่เกดิ กับอาคารบรเิ วณพ้ืนทล่ี าดชัน
เม่ือพิจารณาผลกระทบอันเนื่องจากดินถล่ม (landslide) หรือโคลนถล่ม (debris flow) ที่ตาแหน่งของอาคาร
ตามระยะในแนวราบ (D) เทียบกับความสูงของลาดเชิงเขา (H) พบว่าจะมีลักษณะความเสียหายท่ีแตกต่างกัน
ดงั แสดงในรปู ที่ 1 และตารางที่ 1 ตามลาดบั

2 มยผ.1915-62 : มาตรฐานการกอ่ สรา้ งบรเิ วณลาดเชงิ เขา

รูปที่ 1 ตาแหนง่ ของอาคารบรเิ วณพ้นื ทลี่ าดเชิงเขา
(ข้อ 4)

ตารางท่ี 1 ลกั ษณะความเสียหายทเ่ี กิดกับอาคารเนื่องจากดนิ ถล่ม

ยอดลาดชนั ลาดเชิงเขา ตีนลาดชนั
D>H D<H D<H D>H

- ไดร้ บั ผลกระทบ - ดนิ /หิน ถล่ม - น้ากดั เซาะดินใตฐ้ านราก - น้ากดั เซาะดนิ ใต้ - ได้รับผลกระทบ

เลก็ น้อย หรือ (landslide) ทาให้ - ดนิ /หนิ ถล่ม ฐานราก เล็กนอ้ ย หรือ

ไม่ได้รบั ผลกระทบ พน้ื ดนิ ทรุดตัว (landslide) ทาให้พน้ื ดนิ - ดนิ /หนิ ถล่ม ไมไ่ ดร้ บั ผลกระทบ

หรอื ทรุดแตกตา่ ง ทรุดตวั หรอื ทรดุ แตกตา่ ง (landslide) จากดนิ /หนิ ถลม่

กนั กนั ลงมาทับตัวอาคาร (landslide)

- ฐานราก ตอมอ่ - ฐานราก ตอมอ่ ทาใหผ้ นัง - ดินโคลนจาก

โครงสร้างอาคาร โครงสร้างอาคารเสียหาย หรืออาคารพิบัติ โคลนถล่ม (debris

เสยี หาย หรอื อาคารพบิ ัติ flow) ไหลชนตัว

หรอื อาคารพบิ ตั ิ - พบิ ตั เิ น่ืองจากการเพ่มิ อาคาร ทาให้

น้าหนักจากฐานราก ผนังลม้ เสาหกั

อาคาร หรือฐานราก กดั เซาะฐานราก

ไม่มั่นคง

มยผ.1915-62 : มาตรฐานการกอ่ สรา้ งบรเิ วณลาดเชงิ เขา 3

5. แนวทางการป้องกนั และลดความรุนแรงจากดนิ ถล่ม สาหรับการกอ่ สร้างอาคาร
5.1 การคดั เลอื กพนื้ ท่กี อ่ สรา้ งอาคารมีหลกั เกณฑ์ดงั น้ี

(1) ควรอยู่นอกพ้ืนที่การไหลของโคลนถล่ม (debris flow) โดยพิจารณาจากกฎหมายว่าด้วย
การควบคุมอาคาร หรือแผนท่ีกรมทรัพยากรธรณี เช่น แผนที่เส่ียงภัยดินถล่มระดับชุมชุน เป็นต้น หรือข้อมูล
พนื้ ที่การไหลของโคลนถล่มในอดีต หรือมรี ะยะห่างจากแม่น้าทีเ่ หมาะสม

(2) ต้องมีระยะเว้น (D) จากยอดลาดชนั หรือตนี ลาดชนั ดงั น้ี
(ก) ระยะเวน้ มากกว่า 1 เท่าของความสงู ลาดเชงิ เขา (H) เมื่อลาดเชงิ เขาสูงไมเ่ กิน 40 เมตร
(ข) ระยะเวน้ อยา่ งนอ้ ย 40 เมตร เม่อื ลาดเชงิ เขาสูงมากกว่า 40 เมตร

(3) พ้ืนท่ีท่ีมีระยะเว้นน้อยกว่าเกณฑ์ตาม (2) สามารถใช้เป็นอาคารท่ีไม่มีคนพักอาศัย อาคารช่ัวคราว
พื้นทเี่ กบ็ ของ สวน หรือลานกจิ กรรม เปน็ ต้น

(4) ต้องไมก่ ดี ขวางทางนา้ หรอื ร่องนา้ ตามธรรมชาติ รวมถึงทางระบายน้าสาธารณะ และต้องไม่ถมดิน
ปดิ ทางน้า
5.2 การปรบั พ้นื ท่เี พอื่ ก่อสรา้ งอาคารบนลาดเชิงเขา

(1) ลาดเชิงเขาท่ีมีความชันไม่เกิน 1:2.85 (ร้อยละ 35) สามารถปรับพ้ืนท่ีเพื่อก่อสร้างอาคาร
บนลาดเชิงเขาโดยการขุดดนิ หรอื ถมดินได้ ดงั รปู ที่ 2(ก)

(2) ลาดเชิงเขามีความชันมากกว่า 1:2.85 (ร้อยละ 35) ควรวางฐานรากอาคารไปตามความชัน
ของลาดเชิงเขา ไม่ควรปรบั พนื้ ทโ่ี ดยการขุดดนิ หรือถมดนิ ดงั รปู ที่ 2(ข)
5.3 การถมดินเพ่ือก่อสร้างอาคารบนลาดเชิงเขาต้องทาการบดอัดตามมาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง
มยผ. 1918-62 : มาตรฐานการถมดินและการบดอัด

(ก) กรณีลาดเชงิ เขาทีม่ ีความชนั ไมเ่ กิน 1:2.85 (ร้อยละ 35)

4 มยผ.1915-62 : มาตรฐานการกอ่ สรา้ งบรเิ วณลาดเชิงเขา

(ข) ลาดเชิงเขาทม่ี ีความชนั มากกวา่ 1:2.85 (รอ้ ยละ 35)
รูปที่ 2 การปรับพื้นที่เพ่ือก่อสรา้ งอาคารบนลาดเชงิ เขา

(ขอ้ 5.2)

6. การปอ้ งกนั ความเสียหายของอาคารทีก่ ่อสรา้ งบรเิ วณลาดเชิงเขา

6.1 การพิจารณาเลือกใช้ฐานรากสาหรับพน้ื ทล่ี าดเชิงเขาตอ้ งพจิ ารณาจากปัจจยั ตา่ งๆ ดงั นี้
(1) คา่ กาลงั แบกทานของดินหรือหนิ ในตาแหน่งทจี่ ะวางฐานราก จะมผี ลกบั ขนาดฐานรากหรือจานวน

เสาเข็ม ถ้าไม่มีเอกสารท่ีรับรองโดยสถาบันท่ีเช่ือถือได้แสดงผลการทดลองหรือการคานวณ ค่ากาลังแบกทาน
ของดินประเภทตา่ งๆ และกาลังแบกทานของเสาเข็ม ให้ใช้ตามทีก่ าหนดในกฎหมายวา่ ดว้ ยการควบคมุ อาคาร

(2) ความหนาชนั้ ดนิ หรอื หินบรเิ วณท่จี ะวางฐานราก จะมผี ลกับระดบั การวางฐานราก หรอื ระดบั ปลายเสาเข็ม
- ความหนาชนั้ ดนิ ไม่เกนิ 3 เมตร สามารถเลอื กใชไ้ ดท้ ้ังฐานรากแผ่หรือฐานรากเสาเข็ม
- ความหนาชั้นดนิ มากกวา่ 3 เมตร ควรใชฐ้ านรากเสาเขม็

(3) นา้ หนักลงฐานราก
- น้าหนักไม่เกิน 100 กิโลนิวตันต่อฐาน (10 ตันต่อฐาน) สามารถเลือกใช้ได้ทั้งฐานรากแผ่

หรือฐานรากเสาเข็ม
- นา้ หนักมากกว่า 100 กิโลนิวตันตอ่ ฐาน (10 ตันตอ่ ฐาน) ควรใช้ฐานรากเสาเขม็
โดยทั้ง 2 กรณีต้องพิจารณาเทียบกับค่ากาลังแบกทานของดินหรือหินตาม (1) และความหนาช้ันดนิ

หรอื หินตาม (2) ด้วย
(4) ความชนั ของลาดเชิงเขาจะมผี ลกบั ความมน่ั คงของลาดเชิงเขาโดยรวม

- ความชันไม่เกิน 1:2 (ร้อยละ 50) สามารถเลือกใชไ้ ดท้ งั้ ฐานรากแผ่ หรือฐานรากเสาเขม็
- ความชนั มากกว่า 1:2 (รอ้ ยละ 50) ควรใช้ฐานรากเสาเขม็

มยผ.1915-62 : มาตรฐานการก่อสรา้ งบรเิ วณลาดเชงิ เขา 5

โดยท้ัง 2 กรณีต้องพิจารณาร่วมกับ (1) (2) และ (3) ด้วย รายละเอียดการพิจารณาเลือกใช้
ฐานรากแสดงดังตารางท่ี 2

ตารางท่ี 2 ประเภทฐานรากสาหรับพืน้ ท่ลี าดเชิงเขา

(ข้อ 6.1(4))

ความหนาช้นั ดิน น้าหนักลงฐานราก ความชนั ของ ประเภทฐานราก การตรวจสอบ
ลาดเชิงเขา

ไมเ่ กิน 3 เมตร ไมเ่ กิน 100 ไมเ่ กิน 1:2 ฐานแผ/่ เสาเข็ม พิจารณาข้อ 6.1(1)
กิโลนวิ ตนั ต่อฐาน พจิ ารณาขอ้ 6.1(1)
มากกว่า 1:2 ฐานแผ่/เสาเขม็ และข้อ 6.2
มากกว่า 100 พิจารณาขอ้ 6.1(1)
กิโลนิวตนั ตอ่ ฐาน ไม่เกิน 1:2 ฐานแผ/่ เสาเขม็ พิจารณาข้อ 6.1(1)
และข้อ 6.2
มากกว่า 3 เมตร ไมเ่ กนิ 100 มากกว่า 1:2 ฐานแผ่/เสาเขม็ พิจารณาขอ้ 6.1(1)
กโิ ลนิวตันตอ่ ฐาน พจิ ารณาข้อ 6.1(1)
ไมเ่ กิน 1:2 ฐานแผ่/เสาเขม็ พจิ ารณาขอ้ 6.1(1)
มากกวา่ 100 มากกว่า 1:2 เสาเข็ม พจิ ารณาขอ้ 6.1(1)
กิโลนวิ ตนั ต่อฐาน ไม่เกนิ 1:2 เสาเข็ม
มากกวา่ 1:2 เสาเข็ม

6.2 กรณีใชฐ้ านรากแผใ่ หป้ ฏบิ ัติตามข้อกาหนดดงั ต่อไปน้ี

(1) ฐานรากแผ่ท่ีวางบนดิน ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1105 : มาตรฐาน
งานฐานราก

(2) ฐานรากแผ่ท่ีวางบนหินพืด ฐานรากต้องวางบนช้ันหินที่มีคุณภาพดี ไม่ผุกร่อน และมีการยึดฐาน
เข้ากับหินพืดด้วยเหล็กเดือย (dowel bars) ซ่ึงต้องมีขนาด จานวน และระยะฝังของเหล็กเดือยเพียงพอ
ที่สามารถต้านการเล่ือนไถล ( sliding) การพลิกคว่า (overturning) และการถอน (pullout) ได้
โดยมคี า่ อตั ราส่วนปลอดภัยดังตารางท่ี 3

(3) ฐานรากแผ่หรือกาแพงกันดินที่มีความเสี่ยงต่อการเลื่อนไถล (sliding) สามารถเพ่ิมส่วน
รบั แรงเฉือน (shear key) ใต้ฐานราก เพอื่ เพิ่มแรงดันดินเชงิ รบั (passive pressure) ดังรูปท่ี 3

6 มยผ.1915-62 : มาตรฐานการก่อสรา้ งบรเิ วณลาดเชิงเขา

ตารางที่ 3 คา่ อัตราสว่ นปลอดภัยสาหรบั ฐานรากแผ่ที่วางบนหินพดื
(ขอ้ 6.2 (2))

รปู แบบการพบิ ัติ คา่ อตั ราสว่ นปลอดภยั ข้นั ต่า
การรบั น้าหนกั (bearing capacity) 3.00
1.50
การเล่ือนไถล (sliding) 2.00
การพลิกควา่ (overturning)

การถอน (pullout) 1.50

6.3 กรณีใช้ฐานรากเสาเขม็ ให้ปฏิบัตติ ามข้อกาหนดดังต่อไปนี้
(1) กรณีที่เป็นเสาเข็มไม้ เสาเข็มคอนกรีตหล่อสาเร็จ และเสาเข็มเจาะให้ปฏิบัติตามมาตรฐาน

กรมโยธาธิการและผงั เมือง มยผ. 1106 : มาตรฐานงานเสาเข็ม
(2) กรณที เ่ี ป็นเสาเข็มเหล็ก มีข้อกาหนดดังน้ี
(ก) กาลังของเหล็กรปู พรรณเป็นไปตามทกี่ าหนดในกฎหมายวา่ ดว้ ยการควบคุมอาคาร
(ข) ตอ้ งมรี ะบบปอ้ งกันสนิม ตลอดความยาวเสาเข็ม
(ค) การตอ่ เสาเขม็ ทาได้ทงั้ การเชอ่ื ม หรอื ใช้ข้อตอ่ โดยความแข็งแรงต้องไม่น้อยกว่าเสาเขม็ หลกั
(ง) การติดตั้งทาไดโ้ ดยการเจาะนา หรอื การตอก หรอื การกด ขึ้นกบั ดินฐานรากและการออกแบบ
(จ) ปลายเสาเข็มควรฝงั อยู่ในช้ันดินหรอื หนิ ทีม่ ีความมน่ั คงแขง็ แรง
(ฉ) ความคลาดเคลื่อนในการตอกเสาเข็มเป็นไปตามมาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง

มยผ. 1106 : มาตรฐานงานเสาเข็ม
(3) กรณีฐานรากเสาเข็มต้องรับแรงด้านข้างหรือแรงดัด (โมเมนต์) เสาเข็มต้องมีกาลังรับแรงเฉือน

และแรงดัดไดอ้ ยา่ งเพยี งพอ

มยผ.1915-62 : มาตรฐานการก่อสรา้ งบรเิ วณลาดเชงิ เขา 7

รปู ท่ี 3 การใช้ Shear key ใตฐ้ านรากระดบั ต้ืนหรอื กาํ แพงกนั ดนิ
(ขอ้ 6.2(3))

6.4 ตอ้ งพิจารณาสดั ส่วนความชะลดู ของตอม่อและเสาอาคารใหเ้ หมาะสม การลดความชะลูดทําได้ด้วยการยึด
องค์อาคารเข้าด้วยกันเพ่ือทําให้เป็นโครง (frame) เพื่อให้มีสมรรถนะในการต้านทานแรงกระทําด้านข้างได้ดี
โดยใชค้ านรดั ฐานรากทุกฐาน และมีคานรดั เสาตอม่อทุกระยะไมเ่ กนิ 15 เท่าของดา้ นแคบสดุ ของเสา ดังรปู ท่ี 4
6.5 เสาตอม่อหรือเสาใต้ถุนอาคารควรมีขนาดใหญ่กว่าเสาช้ันบน และมีขนาดไม่เล็กกว่า 25x25 เซนติเมตร
(กว้าง x ยาว) เหล็กแกนในเสาตอม่อต้องไมน่ ้อยกว่า 6 เส้น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กแกนต้องไม่เล็กกวา่
12 มิลลเิ มตร เหล็กปลอกในเสาตอม่อสาํ หรบั อาคารไมเ่ กิน 2 ชนั้ ตอ้ งมรี ะยะเรยี งไม่เกนิ 7.5 เซนตเิ มตร ดงั รูปที่ 5
6.6 ตอ้ งจดั ใหม้ ีระบบระบายนาํ้ ผวิ ดนิ และใต้ดนิ รวมถงึ รางรบั นาํ้ จากหลงั คาท่ีเหมาะสมและเพียงพอ

6.7 กรณีทําการถมดินบริเวณลาดเชิงเขาเพื่อการก่อสร้างอาคาร ต้องจัดให้มีระบบป้องกันการกัดเซาะใต้ฐานราก
ดังตัวอย่างในรูปท่ี 6 และบริเวณผิวดิน ตามมาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1912 : มาตรฐาน
การป้องกันการพงั ทลายสาํ หรบั งานขดุ ดินและถมดิน

8 มยผ.1915-62 : มาตรฐานการกอ่ สรา้ งบริเวณลาดเชงิ เขา

6.8 การใชก้ าแพงกนั ดินบรเิ วณพื้นท่ีลาดเชิงเขา มีขอ้ กาหนดดงั น้ี

(1) ระยะป้องกันดนิ สูงไม่เกนิ 3 เมตร ใช้กาแพงกนั ดนิ แบบเดย่ี ว ดงั รูปท่ี 7(ก)

(2) ระยะป้องกันดินสูงมากกว่า 3 เมตร ใช้กาแพงกันดินแบบขั้น โดยมีความสูงไม่เกิน 1.8 เมตร/กาแพง
ดังรปู ที่ 7(ข)

6.9 ควรลดชอ่ งเปดิ อาคารในทศิ ทางที่ดนิ ถล่ม เช่น ประตู หน้าต่าง ไมค่ วรเปดิ ไปหาลาดชัน เปน็ ต้น ดงั รปู ที่ 8

6.10 ผนังทีก่ ่อชนเสาจะต้องมีการยดึ ผนังก่ออฐิ เข้ากบั เสา โดยจดั เตรียมให้มกี ารฝงั เหล็กเสริมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
ไม่น้อยกว่า 6 มิลลิเมตร ไว้ในเสาทุกระยะ ห่างไม่เกิน 60 เซนติเมตร ยาวจากขอบเสาไม่น้อยกว่า
30 เซนตเิ มตร ดงั รปู ท่ี 9

6.11 ผนังก่ออิฐที่ยาวเกินกว่า 3 เมตร จะต้องมีเสาเอ็น และผนังก่ออิฐที่มีความสูงเกินกว่า 2.50 เมตร
จะต้องมีคานทับหลัง โดยเสาเอ็นและคานทับหลังต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 15 เซนติเมตร มีความหนา
เท่ากับความหนาของผนังที่ก่อ และเสริมเหล็กตามยาวขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 9 มิลลิเมตร
จานวนไม่น้อยกว่า 2 เส้น และเหล็กปลอก (ลูกโซ่) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 6 มิลลิเมตร
ทกุ ระยะห่างไม่เกินกว่า 20 เซนติเมตร เหลก็ เสริมตามยาวของเสาเอ็นหรือคานทับหลังใหฝ้ ังลึกในโครงสร้างพื้นคาน
หรือเสา ดงั รูปท่ี 10

รูปที่ 4 คานรัดฐานราก และคานรดั เสาตอม่อ
(ข้อ 6.4)

มยผ.1915-62 : มาตรฐานการก่อสรา้ งบรเิ วณลาดเชิงเขา 9

รปู ที่ 5 การเสริมเหลก็ เสาตอมอ่ หรอื เสาใตถ้ นุ อาคาร
(ขอ้ 6.5)

รูปท่ี 6 ตัวอยา่ งระบบป้องกันการกัดเซาะใตฐ้ านราก
(ข้อ 6.7)

10 มยผ.1915-62 : มาตรฐานการกอ่ สรา้ งบรเิ วณลาดเชิงเขา

รูปที่ 7 ลักษณะการก่อสร้างกาแพงกนั ดนิ ทเ่ี หมาะสมบริเวณพน้ื ที่ลาดเขา
(ข้อ 6.8)

รูปท่ี 8 ตาแหน่งชอ่ งเปิดอาคารที่เหมาะสมบรเิ วณพนื้ ท่ีลาดเขา
(ขอ้ 6.9)

มยผ.1915-62 : มาตรฐานการก่อสรา้ งบรเิ วณลาดเชงิ เขา 11

รูปท่ี 9 ตัวอย่างการยดึ ผนังก่ออิฐเขา้ กับโครงสร้างอาคาร
(ข้อ 6.10)

ทีม่ า : กรมโยธาธิการและผังเมือง (2557)

รูปท่ี 10 ตวั อยา่ งการก่อสรา้ งเสาเอ็นและคานทับหลัง
(ข้อ 6.11)

ทม่ี า : กรมโยธาธกิ ารและผงั เมอื ง (2557)

12 มยผ.1915-62 : มาตรฐานการกอ่ สร้างบรเิ วณลาดเชิงเขา

7. แนวทางการลดผลกระทบตอ่ อาคาร เนอ่ื งจากการไหลของดินโคลนถลม่ (debris flow)

ความรุนแรงอันเนื่องจากการไหลของดินโคลนถล่มผ่านสง่ิ กีดขวางต่างๆ มไี ด้หลายระดับ ขึ้นอยกู่ ับวัสดทุ ี่ไหลมา
กบั ดินโคลน ขนาดพ้นื ที่การไหล รวมถึงความลาดเอยี งของพนื้ ที่ เปน็ ตน้ ดังนนั้ แนวทางการป้องกันท่ีเหมาะสม
คือ การจัดทาแผนท่ีเส่ียงภัยแสดงพ้ืนที่ดินถล่มและพ้ืนท่ีที่ได้รับผลกระทบจากการไหลของโคลนถล่ม
เพ่ือกาหนดพื้นท่ีปลอดภัยต่อการก่อสร้าง การใช้ฝายดักตะกอน (check dam) รวมถึงต้องมีการเฝ้าระวัง
และการเตือนภัยควบคู่ไปด้วย แต่ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือต้องการลดผลกระทบต่อส่ิงก่อสร้างต่างๆ
สามารถปฏบิ ตั ิดังน้ี

7.1 ยกระดบั อาคารหรอื ส่งิ ปลกู สร้างใหส้ ูงกวา่ ระดบั ดนิ โคลนถล่มโดยการถมดนิ ปรบั ระดับ

7.2 เลือกรูปแบบอาคารแบบท่ีมีชั้นใต้ถุน โดยเสาช้ันใต้ถุนต้องสูงกว่าระดับดินโคลนถล่ม ดังแสดงตัวอย่างใน
รูปท่ี 11 เสาต้องมคี วามแข็งแรงเพยี งพอ และมคี านรดั ฐานราก ตามข้อ 6.4 และ 6.5

7.3 ใช้โครงสร้างลดแรงปะทะของดินโคลนถล่ม เช่น ปลูกต้นไม้ ก่อสร้างคันดิน หรือโครงสร้างเบี่ยงทิศทาง
การไหลของดินโคลน เป็นต้น ดังแสดงตวั อยา่ งในรปู ที่ 12

รปู ที่ 11 ตัวอย่างบ้านแบบมีชั้นใตถ้ ุน เพ่อื ป้องกันผลกระทบจากดนิ ถล่ม
(ขอ้ 7.2)

ทมี่ า : Federal Emergency Management Agency (1989)

มยผ.1915-62 : มาตรฐานการกอ่ สร้างบรเิ วณลาดเชงิ เขา 13

รูปท่ี 12 โครงสรา้ งเบย่ี งทิศทางการไหลดินโคลนถล่ม
(ข้อ 7.3)

ทีม่ า : Hollingsworth and Kovacs (1981)

8. วิธีการหาความสงู และความชนั ของพื้นที่

ขน้ั ตอนการหาความสงู และความชันของพื้นที่ แสดงดังรปู ท่ี 13 โดยมรี ายละเอยี ดดังนี้

8.1 กาหนดตาแหน่งกึ่งกลางการก่อสร้างอาคารหรือพ้ืนที่ เพื่อเป็นตัวแทนของการหาความสูงและความชัน
ของพน้ื ที่

8.2 ขอบเขตการตรวจวัดคือระยะ 40 เมตร ตามแนวพื้นท่ีลาดชันจากตาแหน่งก่ึงกลางการก่อสร้างอาคาร
หรอื พ้ืนที่ ไปทางด้านบนและด้านลา่ งของลาดชนั

8.3 คานวณหาค่าความชันทุกระยะ 5 เมตร ตามแนวพื้นท่ีลาดชัน หรือทุกตาแหน่งท่ีมีการเปลี่ยนแปลง
ความชันท่ีเห็นได้ชดั เจน จากการวัดระยะราบและระยะดงิ่ แลว้ คานวณโดยสมการที่ (1)

ความชัน (m) = (ระยะด่ิง/ระยะราบ) x 100% (1)

8.4 แบ่งกล่มุ ความชันออกเป็น 2 กลุ่ม คอื ความชันไมเ่ กิน 35% และความชนั มากกว่า 35%

8.5 หากช่วงปลายของพ้ืนท่ีสารวจด้านบนหรือด้านล่างมีความชันมากกว่า 35% ให้เพิ่มระยะทางสารวจ
ออกไปอีกจนกระทง่ั ค่าความชนั ของพื้นทไ่ี ม่เกิน 35% (ท่รี ะยะไมน่ ้อยกวา่ 5 เมตร)

8.6 พิจารณาคา่ ความชนั ในกลุ่มเดยี วกัน หากอยู่ติดกนั ให้รวมพืน้ ที่ และหาค่าความชันเฉล่ียใหม่

8.7 หาค่าความสูงของแต่ละช่วงท่ีสอดคล้องกับความชันเฉล่ียในช่วงนั้นๆ โดยคานวณจากระดับยอดลาดชัน
ลบด้วยระดับตนี ลาดชัน ในชว่ งความลาดชันน้ันๆ

8.8 ความชนั ของพ้ืนท่ี คอื คา่ ความชนั ตามขอ้ 8.6 ทีม่ คี า่ ความสงู มากท่ีสดุ ตามขอ้ 8.7

8.9 กรณีท่ีอาคารมีความยาวมากกว่า 25 เมตร วางตามแนวขวางของพ้ืนที่ลาดชัน ให้แบ่งการสารวจ
และคานวณทีละ 25 เมตร แลว้ เลือกบรเิ วณท่ีมคี วามสูงมากทส่ี ดุ เปน็ ตวั แทนของพืน้ ที่

14 มยผ.1915-62 : มาตรฐานการก่อสร้างบรเิ วณลาดเชิงเขา

40

(m) 5 m = (%)
m = (Y/X) x 100% X= ( )
Y= ( )

m > 35%

m ≤ 35%
L >= 5 m.

m ≤ 35% (m) m > 35%

m ≤ 35% m > 35%

รูปที่ 13 ขน้ั ตอนการหาความสูงและความชนั ของพ้นื ท่ี 15
(ขอ้ 8)

มยผ.1915-62 : มาตรฐานการกอ่ สร้างบรเิ วณลาดเชิงเขา

ตัวอยา่ งการคานวณความสงู และความชนั ของพ้นื ท่ีในรปู ที่ 14 ทาได้ดงั น้ี

(ก) กาหนดตาแหนง่ กึง่ กลางการกอ่ สรา้ งอาคารหรือพนื้ ท่ี และขอบเขตการตรวจวัดระยะ 40 เมตร
ตามข้อ 8.1 และ 8.2

(ข) คานวณหาค่าความชนั ทุกระยะ 5 เมตร หรอื ทุกตาแหน่งท่มี ีการเปลยี่ นแปลงความชัน ตามข้อ 8.3
และเพ่ิมระยะทางสารวจออกไปอีกจนกระทั่งค่าความชันของพื้นท่ีไม่เกิน 35% ตามข้อ 8.5

16 มยผ.1915-62 : มาตรฐานการกอ่ สรา้ งบรเิ วณลาดเชงิ เขา

(ค) แบ่งกลุ่มความชนั ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ความชันไม่เกิน 35% และความชันมากกวา่ 35% ตามข้อ 8.4
และพิจารณาค่าความชันในกลุ่มเดยี วกัน หากอยู่ตดิ กนั ให้รวมพน้ื ที่ และหาค่าความชันเฉลี่ยใหม่ ตามข้อ 8.6

(ง) หาคา่ ความสูงของแต่ละช่วงท่สี อดคล้องกบั ความชันเฉล่ียในชว่ งนัน้ ๆ โดยคานวณจากระดับยอดลาดชัน
ลบดว้ ยระดบั ตนี ลาดชัน ในชว่ งความลาดชนั นัน้ ๆ ตามข้อ 8.7

มยผ.1915-62 : มาตรฐานการก่อสร้างบรเิ วณลาดเชิงเขา 17

(จ) คา่ ตวั แทนความชันและความสงู ของพ้นื ท่ี ตามข้อ 8.8
รูปท่ี 14 ตวั อยา่ งประกอบการคานวณความสูงและความชันของพ้นื ท่ี
9. เอกสารอา้ งอิง
9.1 กรมโยธาธิการและผังเมือง, 2557. คู่มือการก่อสร้างอาคารขนาดเล็กในพ้ืนท่ีเส่ียงภัยแผ่นดินไหว. สานัก
ควบคมุ และตรวจสอบอาคาร กรมโยธาธิการและผงั เมอื ง.
9.2 Federal Emergency Management Agency, 1989, Alluvial Fans : Hazards and Management.
Federal Insurance Administration. Office of Loss Reduction. Washington, D.C.
9.3 Hollingsworth, R. and Kovacs, G.S., 1981, Soil slips and debris flows, prediction and
protection: Bulletin of the Association of Engineering Geologists, v. 18, no. 1, p. 17-28.

18 มยผ.1915-62 : มาตรฐานการกอ่ สร้างบรเิ วณลาดเชิงเขา

มยผ. 1916-62

มาตรฐานประกอบการวเิ คราะห์ความมั่นคงในพน้ื ท่เี สีย่ งภยั ดนิ ถลม่
(Standard of Slope Stability Calculation for Safety in Landslide Risk Area)

มาตรฐานประกอบการปฏบิ ตั ิเพื่อความปลอดภยั ทเี่ ก่ยี วข้องกบั อาคาร การขุดดินและการถมดนิ
ในพ้ืนที่เส่ียงภัยดนิ ถล่ม (Landslide) และบรเิ วณลาดเชิงเขา



มยผ. 1916-62

มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหความมั่นคงในพนื้ ที่เสีย่ งภยั ดนิ ถลม
(Standard of Slope Stability Calculation for Safety in Landslide Risk Area )

1. ขอบขาย

1.1 มาตรฐานประกอบการวิเคราะหความม่ันคงในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถลมน้ีจัดทําขึ้นเพ่ือการคํานวณ
คาเสถียรภาพความมั่นคงของลาดเอียง (slope) ที่ทําการกอสรางอาคาร การขุดดินหรือถมดินในพื้นที่เส่ียงภัย
ดินถลมและบรเิ วณลาดเชิงเขา โดยใชวิธสี มดุลจาํ กัด (limit equilibrium) เปนหลัก และสามารถวิเคราะหโ ดย
วิธีอน่ื ๆ เพิม่ เติมได

1.2 มาตรฐานนใ้ี ชห นว ย SI (International System Units) เปนหลกั

2. นิยามและสญั ลักษณ

2.1 นิยาม

“อัตราสวนความปลอดภัย (Factor of Safety, F.S.)” หมายถึง แรงหรือหนวยแรงหรือโมเมนตตานทาน
การวบิ ัติของดินหารดว ยแรงหรอื หนวยแรงหรอื โมเมนตท ่ีออกแบบ
“ความชัน (slope)” หมายถึง คาตัวเลขซ่ึงกําหนดเปนสัดสวนระหวางระยะแนวดิ่งตอระยะแนวราบ
หรือรอ ยละของระยะแนวด่ิงตอ ระยะแนวราบ หรอื องศาของความลาดเอียงซง่ึ วดั จากแนวราบ
“งานขุดดินแบบชั่วคราว” หมายความวา งานขุดดินท่ีใชเวลาไมเกิน 6 เดือน แลวทําการถมดินกลับ
ใหอ ยูในสภาพเดมิ
“งานขุดดินแบบถาวร” หมายความวา งานขุดดินที่ใชเวลาเกิน 6 เดือน หรืองานขุดดินที่ไมมีการถมดินกลับ
ใหอ ยูในสภาพเดมิ
“งานถมดินแบบชั่วคราว” หมายความวา งานถมดินท่ีใชเวลาไมเกิน 6 เดือน แลวทําการรื้อยายดินออก
ใหอ ยูในสภาพเดิม
“งานถมดินแบบถาวร” หมายความวา งานถมดินที่ใชเวลาเกิน 6 เดือน หรืองานถมดินท่ีไมมีการร้ือยายดิน
ออกใหอยูในสภาพเดิม

2.2 สญั ลกั ษณ

bi = ความกวางของช้ินมวลดนิ ที่ i มีหนว ยเปน เมตร

b = คา คงทซ่ี ่งึ ขึน้ กับประเภทของดนิ สําหรับ Janbu’s Simplified Method

มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหความมั่นคงในพื้นที่เส่ยี งภยั ดินถลม 19

c = แรงยึดเหนี่ยวของดิน มหี นว ยเปน กิโลนวิ ตนั ตอตารางเมตร
(กโิ ลกรมั แรงตอตารางเมตร)

cu = แรงยึดเหนี่ยวของดินแบบหนวยแรงรวม มหี นวยเปน กิโลนวิ ตันตอตารางเมตร
(กโิ ลกรมั แรงตอตารางเมตร)

c = แรงยดึ เหนย่ี วของดินแบบหนวยแรงประสทิ ธผิ ล
มีหนว ยเปนกิโลนวิ ตันตอ ตารางเมตร (กิโลกรัมแรงตอตารางเมตร)

ci = แรงยึดเหน่ยี วของดินแบบหนวยแรงประสทิ ธผิ ลของช้ินมวลดนิ ที่ i
มหี นว ยเปน กโิ ลนวิ ตนั ตอตารางเมตร (กโิ ลกรมั แรงตอตารางเมตร)

d = ระยะต้ังฉากทีย่ าวท่ีสุด วัดจากเสน บอกความยาว (L) ถงึ แนวการวิบัติ มหี นว ยเปน เมตร
F.S. = คาอัตราสวนความปลอดภยั

f0 = คาปรับแกซึ่งขึ้นกับสดั สว นของความลึกและความยาวของการวิบัติ
สําหรับ Janbu’s Simplified Method

H = ความลึกของการขุด หรือความสูงของดินถม มีหนว ยเปนเมตร
hi = ความสูงของช้ินมวลดินที่ i มีหนว ยเปนเมตร
hw = ความลึกของระดบั นํ้าใตด นิ มีหนว ยเปนเมตร
i = ลําดบั ชิน้ สวนของมวลดินทใ่ี ชในการวิเคราะหส าํ หรบั การเล่ือนไถลแบบหมุน

li = ความยาวของระนาบไถลของชิน้ มวลดนิ ท่ี i (หรอื li = bi / cosθi ) มหี นวยเปน เมตร

L = ความยาวของการวบิ ตั ิ มีหนวยเปน เมตร
n = จาํ นวนชิน้ ของมวลดินท่ีใชในการวเิ คราะหสาํ หรบั การเล่ือนไถลแบบหมนุ มีหนวยเปนช้ิน

Ni = แรงกระทาํ ตงั้ ฉากบนระนาบไถลของช้ินมวลดนิ ที่ i มีหนว ยเปน กิโลนิวตันตอตารางเมตร
(กิโลกรัมแรงตอตารางเมตร)

N’ = คาตัวเลขทะลทุ ะลวงมาตรฐานท่ปี รบั แกแลว
R = รัศมขี องระนาบสว นโคง เล่ือนไถลแบบหมนุ มีหนว ยเปน เมตร
Su = กาํ ลงั รบั แรงเฉือนของดินแบบไมร ะบายนาํ้ มีหนวยเปน กิโลนิวตนั ตอตารางเมตร

(กโิ ลกรมั แรงตอตารางเมตร)
Ti = แรงเฉอื นบนระนาบไถลของช้ินมวลดินที่ i มหี นว ยเปน กิโลนิวตนั ตอตารางเมตร

(กโิ ลกรมั แรงตอตารางเมตร)

20 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหความมั่นคงในพืน้ ทเ่ี สย่ี งภยั ดนิ ถลม

Ui = แรงดันน้ําทีก่ ระทําตอ ชิ้นมวลดินที่ i มีหนว ยเปน กโิ ลนิวตันตอ ตารางเมตร
(กิโลกรมั แรงตอตารางเมตร)

Wi = น้ําหนกั ของชิน้ มวลดนิ ที่ i มีหนว ยเปน กโิ ลนวิ ตัน (กิโลกรมั แรง)

xi = ระยะทางในแนวราบจากจดุ ก่ึงกลางของมวลดินที่ i ถึงจุดศูนยกลางของผิวการวบิ ตั ิ
มีหนวยเปน เมตร

z = ความลกึ ของระนาบไถลจากผิวดิน สําหรบั การเลือ่ นไถลแบบระนาบ มหี นวยเปน เมตร
φ = มมุ เสียดทานภายในของดิน มีหนว ยเปน องศา

φu = มมุ เสียดทานภายในแบบหนวยแรงรวม มหี นว ยเปน องศา
φi = มมุ เสียดทานภายในแบบหนว ยแรงประสิทธผิ ลของชน้ิ มวลดนิ ท่ี i มหี นว ยเปนองศา

θi = มมุ วางตัวของระนาบไถลของช้นิ มวลดนิ ที่ i มีหนว ยเปน องศา

γ t = หนวยนาํ้ หนักของดนิ ชนื้ มีหนวยเปน กิโลนิวตันตอ ลกู บาศกเ มตร
(กโิ ลกรมั แรงตอลูกบาศกเมตร)

γ sat = หนว ยน้าํ หนกั ของดนิ อมิ่ ตัว มีหนว ยเปนกิโลนิวตันตอลูกบาศกเ มตร
(กโิ ลกรมั แรงตอลูกบาศกเมตร)

γ w = หนวยนา้ํ หนักของน้ํา มหี นว ยเปนกโิ ลนวิ ตนั ตอ ลกู บาศกเมตร
(กิโลกรัมแรงตอลกู บาศกเมตร)

β = ความชันของแนวการวิบัติ มหี นว ยเปนองศา
Sr = ระดับความอิม่ ตัวของดนิ (Degree of Saturation) มหี นว ยเปน เปอรเซนต
E = โมดลู สั ยดื หยนุ (Young’s Modulus) มหี นวยเปนกโิ ลนวิ ตันตอ ตารางเมตร

(กิโลกรมั แรงตอตารางเมตร)

υ = อตั ราสวนปวซอง (Poisson’ Ratio) มีคา ตั้งแต 0 ถึง 0.5 ไมม หี นวย

มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหค วามม่ันคงในพนื้ ที่เสย่ี งภยั ดินถลม 21

การคํานวณหาคา เสถยี รภาพ
ความมนั่ คงของลาดเอยี ง

1. ขอมลู สาํ หรบั การวิเคราะห ปจ จัยภายนอก
- ขอ มลู ชั้นดนิ (soil data) - น้าํ หนักกระทําภายนอก (external load)
- หนา ตดั ของพื้นทล่ี าดเอยี ง (slope section) - แรงจากแผน ดินไหว (seismic load)
- คา ตัวแปร (parameter) ทใี่ ชส ําหรบั การคาํ นวณ - ระดบั นํา้ ใตดิน (ground water level)
- ระดับน้ําผวิ ดนิ (surface water level)
2. เง่อื นไขในการวเิ คราะห - วัสดเุ สริมแรง (reinforcement)
- สภาวะตางๆ (stage condition) - รอยแตกท่ผี ิวดนิ (tension crack)
- ปจจยั ภายนอกตา งๆ

การ
คาํ นวณ

3. การคาํ นวณดว ยวธิ ีสมดุลจาํ กดั 3. การคํานวณดวยวิธอี ่ืนๆ
(Limit Equilibrium) - วธิ ไี ฟไนตอ ิลเิ มนต
(Finite Element Method)
การเล่ือนไถลแบบระนาบ การเล่ือนไถลแบบหมนุ - วิธไี ฟไนตด ฟิ เฟอเรนซ
(translational failure) (rotational failure) (Finite Difference Method)
- วิธวี เิ คราะหลาดอนนั ต - Swedish Method
(infinite slope) - Janbu เกณฑในการวเิ คราะห
- Bishop 1. หนวยแรงท่เี กิดข้ึนในมวลดนิ ตองไม
- Spencer
มากกวา กาํ ลงั ตานทานของดนิ
เกณฑในการวเิ คราะห 2. การเคลือ่ นตัวอยูในเกณฑทีย่ อมรบั ได
-คา F.S. สาํ หรบั ลาดชันการออกแบบอาคารบรเิ วณพน้ื ทลี่ าดชนั
-คา F.S สําหรบั การขุดดินหรือถมดนิ บรเิ วณพน้ื ที่ลาดชนั 4. การรายงานผล
- ขอ มลู ชั้นดนิ
4. การรายงานผล - คา ตวั แปรและแบบจาํ ลองท่ใี ชในการคํานวณ
- ขอมลู ชนั้ ดิน - รปู รา งของพืน้ ทลี่ าดเอียง การแบง ช้นิ สว นยอย
- คาตัวแปรท่ีใชใ นการคํานวณ และการกําหนดเง่ือนไขขอบ
- รูปรางของพื้นทีล่ าดเอียง - ลกั ษณะการเคล่ือนตวั ของชิ้นสว นยอ ย
- ลักษณะแนวการวบิ ตั ิ - คาหนว ยแรงและความเครยี ดของแตละชนิ้ สว น
- คาอัตราสว นความปลอดภัย - บรเิ วณทเ่ี กดิ สภาพพลาสติก
- คาอัตราสว นปลอดภยั (ถา ม)ี

รูปที่ 1 ขน้ั ตอนการคาํ นวณหาคา เสถียรภาพความลาดเอียง
(ขอ 4)

22 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหค วามมั่นคงในพ้นื ทีเ่ สย่ี งภยั ดินถลม

3. มาตรฐานและคูมอื อา งถึง

3.1 มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1911-52 : มาตรฐานประกอบการคํานวณหาคาเสถียรภาพ
ความลาดเอยี งท่ีปลอดภยั ในงานขุดดนิ และถมดนิ

3.2 มาตรฐานกรมโยธาธกิ ารและผงั เมือง มยผ. 1249 : มาตรฐานการเจาะสํารวจดิน

3.3 มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 302-2551 : มาตรฐานการทดสอบเพื่อหาคาแรงแบบเฉือน
ตรง (direct shear test)

3.4 คมู อื การใชมาตรฐานประกอบการปฏบิ ัติตามกฎหมายวา ดว ยการขดุ ดนิ และถมดนิ

หมายเหตุ : หากขอกําหนดในมาตรฐานน้ีมีความขัดแยงกับมาตรฐานที่อางถึงในแตละสวน ใหถือขอกําหนด
ในมาตรฐานนี้เปนสาํ คญั
4. การคํานวณหาคาเสถยี รภาพความม่ันคงของลาดเอียง (slope) ในพ้นื ทเ่ี ส่ียงภยั ดินถลม
และบรเิ วณลาดเชิงเขา

ข้ันตอนการคํานวณหาคาเสถียรภาพความม่ันคงของลาดเอียง เม่ือมีการกอสรางอาคาร การขุดดินและถมดิน
ในพ้ืนท่ีเส่ียงภัยดินถลมและบริเวณลาดเชิงเขา แสดงในรูปที่ 1 เน้ือหาบางสวนเพ่ิมเติมจาก มยผ.1911-52 :
มาตรฐานประกอบการคํานวณหาคาเสถียรภาพความลาดเอียงท่ีปลอดภยั ในงานขดุ ดนิ และถมดิน โดยแบง เปน
4 สว นหลัก คอื

(1) การเตรียมขอ มลู สําหรับการวเิ คราะห
(2) การกาํ หนดเง่ือนไขในการวเิ คราะห
(3) การคาํ นวณหาคา เสถยี รภาพความลาดเอียง
(4) การรายงานผล

4.1 การเตรยี มขอมลู สาํ หรับการวิเคราะห

ขอมูลพน้ื ฐานสาํ หรบั การวิเคราะหประกอบดว ย

4.1.1 ขอมูลช้ันดิน (soil data) และการแปลผล (interpretation) เปนขอมูลท่ีแสดงลักษณะและคุณสมบัติ
ของดินในบรเิ วณทจ่ี ะทาํ การกอ สรางอาคาร การขุดดินหรอื ถมดนิ

4.1.1.1 ขอมูลช้ันดินสามารถทราบไดจากขอมูลที่มีอยูแลวหรือขอมูลจากพื้นท่ีขางเคียง
หรือการเจาะสาํ รวจดนิ สามารถทําไดโดยใชว ิธดี งั ตอ ไปนี้

- การเจาะสํารวจโดยใชเครอ่ื งเจาะสวาน (hand auger)
- การเจาะแบบฉีดลา ง (wash boring) หรือแบบ rotary drilling
- การขดุ บอ สํารวจ (test pits)

มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหความม่ันคงในพ้นื ทเ่ี สย่ี งภัยดนิ ถลม 23

4.1.1.2 จํานวนหลุมเจาะสาํ รวจดนิ ใหเ ปนไปตามมาตรฐาน มยผ. 1249 : มาตรฐานการเจาะสํารวจดิน
4.1.1.3 การเจาะสาํ รวจสําหรับงานกอสรางอาคาร งานขดุ ดินและถมดิน ความลึกของการเจาะสํารวจ
ตองมากกวา 2 เทาของความลึกท่ีระดับตํ่าสุดของงานขุด และความสูงท่ีระดับสูงสุดของงานถม ดังรูปท่ี 2
และ 3 ตามลําดับ อยางไรก็ตามหากพบชั้นดินแข็งภายในระยะที่กําหนดดังกลาว และมีความหนาเพียงพอ
ตอการรักษาเสถยี รภาพของพ้ืนท่ลี าดเอียงอาจหยุดเจาะสํารวจกอนถงึ ความลกึ ท่ีแนะนําไวได

รูปท่ี 2 ความลึกในการเจาะสาํ รวจดินสําหรบั การขุดดนิ
(ขอ 4.1.1.3)

รูปที่ 3 ความลกึ ในการเจาะสาํ รวจดนิ สําหรบั การถมดนิ
(ขอ 4.1.1.3)

24 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหค วามมัน่ คงในพ้นื ที่เสีย่ งภัยดินถลม

4.1.1.4 การเจาะสํารวจดินตองสามารถเก็บตัวอยางดิน หรือทําการทดสอบในสนามเพื่อใหได
คุณสมบัติดินท่ีเพียงพอตอการคํานวณหาคาเสถียรภาพของพื้นท่ีลาดเอียง แตสําหรับพ้ืนที่ภูเขาหรือพ้ืนท่ี
ลาดเชิงเขาการเจาะสํารวจดินอาจไมสามารถทําไดหรือเกิดความยุงยากไมสามารถเก็บตัวอยางเพ่ือนํามาใช
ทดสอบได ซ่งึ สามารถทําการขดุ บอ สํารวจเพอื่ เกบ็ ตวั อยางดินคงสภาพ (undisturbed sample) แทนได

4.1.1.5 การขุดบอสํารวจ (test pit) เปนวิธีที่ใหขอมูลชั้นดินการวางตัวของช้ันดิน ท่ีสมบูรณท่ีสุดวิธีหน่ึง
และยังสามารถถายภาพหรือเก็บขอมูลลักษณะช้ันดินไดอยางชัดเจน ขนาดหลุมมีความกวางประมาณ 0.8-1.0 เมตร
และลึกตามความเหมาะสมหรือจนกระทง่ั ถึงช้นั ดนิ แข็ง ดังรูปที่ 4

รปู ท่ี 4 ลักษณะการเปด บอสํารวจดนิ
(ขอ 4.1.1.4)

ท่ีมา : กรมทรัพยากรธรณี (2549)

4.1.1.6 การเก็บตัวอยางดินและหิน ดําเนินการเก็บตัวอยางได 2 ลักษณะ คือตัวอยางดินไมคงสภาพ
(disturbed sample) และตัวอยา งดินคงสภาพ (undisturbed sample)

ตัวอยางดินไมคงสภาพนํามาทดสอบสอบหาคาคุณสมบัติพ้ืนฐาน (basic properties test)
ของดิน เชน การทดสอบหาปริมาณความชื้นในดิน (water content) ขนาดของเม็ดดิน (sieve analysis)
และหนวยน้าํ หนกั (unit weight) เปน ตน

ตัวอยางดินคงสภาพนํามาทดสอบหาคาคุณสมบัติกําลังรับแรงเฉือน (shear strength)
ซึ่งเคร่ืองมือที่ใชในการเก็บตัวอยางดินในสนามที่ใชโดยทั่วไปคือ tube sampling หรือ box sampling
นอกจากน้ียังสามารถประยุกตใชเคร่ืองมือสําหรับเก็บตัวอยางดินและหินในพื้นท่ีดินถลมได เรียกวา
KU-miniature sampler

มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหค วามมนั่ คงในพืน้ ทเี่ ส่ียงภัยดินถลม 25

- tube sampling หรือ box sampling
tube sampling ห รื อ box sampling เ ป น ก า ร ใ ช ท อ ก ล อ ง ห รื อ แ ห ว น

ในการเก็บตัวอยาง มักใชกับดินท่ีมีความแข็งไมมากประเภท highly weathered soil ซ่ึงใชไดผลดีกับดินที่มี
ระดับผุพังมากแล ะ มีดิน เหนียว ปน อยู เสนผาศูนยกล าง 100 มิล ลิเมตร สูง 250 มิล ลิเมต ร
ผนังของกระบอกเก็บตวั อยางหนา 3 มิลลิเมตร โดยกดลงในดินเพ่อื เก็บตวั อยา ง ดังรูปที่ 5

ข้ันตอนในการเก็บตัวอยางใหนําลังหรือกระบอกเก็บไปวางเทินไวบนบริเวณกอนดิน
ที่จะทําการเก็บตัวอยาง ตัดแตงใหมีขนาดใหญกวาและมีรูปรางคลายลัง หรือกระบอกท่ีใชเก็บตัวอยาง
ตอจากน้ันใชเกรียง (แถบแผนเหล็กบาง) หรือมีดบางคอย ๆ บรรจงปาดแตงกอนดินรอบ ๆ ลังหรือกระบอก
ออกอยางประณีตจนสามารถสวมและกดลังเก็บลงแทนท่ีตัวอยางดินดานบนท่ีถูกปาดแตงออก ทําดังน้ีไปเร่ือย ๆ
ลกึ ลงมาแตล ะครง้ั ๆ ละ 2-3 ซม. จนกระท่ังลงั เกบ็ สวมครอบตัวอยางดนิ ไดครบตลอดความสูงของลังเก็บตามท่ตี องการ
จากนั้นใชมีดหรือเกรียงตัดใตกอนตัวอยางใหขาดออกจากชั้นดินเดิม ตอไปแตงผิวตัวอยางดินกับลังเก็บ
พรอมท้ังเทข้ีผึ้งปดหัว-ทายใหหนาและสนิท เพ่ือปองกันความช้ืนระเหยออก หรืออาจใชฝาโลหะปดหัวทาย
แลวผนกึ ใหส นทิ

- KU-miniature sampler
การเก็บตัวอยางดินคงสภาพโดยเครื่องมือเก็บตัวอยาง KU-miniature นําไปใช

ในหลายพื้นที่ท่ีเกิดดินถลม รูปท่ี 6 ตัวอยางการเก็บตัวอยางดินคงสภาพในพื้นที่ลาดชัน ซึ่งเครื่องมือเก็บตัวอยาง
KU-miniature sampler แสดงดังรูปที่ 7 ประกอบดว ย

(1) อปุ กรณเกบ็ ตวั อยางดนิ KU-miniature sampler
(2) แผนฟลมพลาสตกิ สาํ หรับหอ ตวั อยา งดนิ
(3) กระดาษฟอยด (aluminium foil) สําหรบั หอ ตวั อยา งดนิ
(4) พลาสติกกันกระแทก
(5) พาราฟน และหมอ ตม สาํ หรบั เคลือบตวั อยา งปอ งกันความชนื้

26 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหความม่นั คงในพืน้ ทีเ่ สย่ี งภยั ดินถลม

รปู ท่ี 5 การเก็บตวั อยา งแบบ tube sample ทด่ี ันกระบอกในตวั อยางดิน
(ขอ 4.1.1.6)

ทีม่ า : R.Yoshinaka and T.F.Onodera (1977)

รูปที่ 6 ตวั อยา งการเก็บตัวอยา งดินและหนิ โดยใช KU-miniature sampler ในบรเิ วณพ้ืนทล่ี าดชัน
(ขอ 4.1.1.6)

ท่มี า : สทุ ธศิ กั ดิ์ (2555)

มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหความมน่ั คงในพน้ื ทีเ่ สีย่ งภัยดนิ ถลม 27

รปู ท่ี 7 ชุดเครื่องมอื เก็บตัวอยาง KU-miniature sampler
(ขอ 4.1.1.6)

ทีม่ า : วรากรและคณะ (2546,2547)

4.1.1.7 การทดสอบกาํ ลงั รบั แรงเฉือนโดยตรงสําหรับการวเิ คราะหด านดินถลม

ลาดดินธรรมชาติท่ีเกิดการพิบัติมักเกิดจากการพิบัติของดินที่ผุสลายอยูกับที่ (residual soil)
โดยทั่วไปการทดสอบกําลงั รับแรงเฉอื นมวี ิธีการทดสอบตามหลักการดงั ตอไปนี้

(1) การทดสอบแรงเฉือนแบบเฉือนตรงปกติ (direct simple shear)

การทดสอบแรงเฉือนแบบโดยตรง (direct shear test) ใชมาตรฐานการทดสอบอางอิง
จาก มยผ. 302-2551 (รูปที่ 8) สามารถดําเนินการทดสอบไดทั้งการเฉือนแบบระบายนํ้าและไมระบายนํ้า
การทดสอบดังกลาวสามารถกระทําได โดยการทดสอบตัวอยางดินในสภาพไมอิ่มตัวหรือสภาพที่สามารถ
กาํ หนดความชนื้ ของดนิ ไดต ามความตองการ เพือ่ ทราบกาํ ลังรับแรงเฉือนทไี่ ด ณ ความชืน้ ทที่ ดสอบนน้ั

(2) การทดสอบกาํ ลงั รับแรงเฉอื นคงคา ง (residual shear strength)

ในการทดส อบห าค า กําลั งเ ฉือ นข อ งดิ นโ ดย ทั่ว ไป มั กจ ะหยุ ด การ ท ด ส อ บ
เม่ือคากําลังสูงสุด (peak strength) ไดคาท่ีชัดเจนแลว แตหากทําการเฉือนตอไปจนเลยจุดซ่ึงเปนคากําลังเฉือน
ท่ีมากที่สุดจะพบวา คาแรงตานทานการเฉือนจะลดลง จนกระทั่งเหลือเปนแรงตานทานการเฉือนคงที่
ซ่ึงเรียกวา คากําลังคงคาง (residual strength) แสดงในรูปที่ 9 การทดสอบนี้เหมาะสําหรับบริเวณที่ลาดดิน
มีการพิบัติและคาดการณวามีการสูญเสียกําลังไปแลว หรือบางกรณีท่ียืนยันไดวามีการเคลื่อนตัวของลาดดิน
ตามฤดูกาล การวิเคราะหความม่ันคงของลาดชันจึงควรพิจารณาใชคุณสมบัติดานกําลังรับแรงเฉือนของดิน
ในสภาวะคงคางรว มดวย

28 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหความม่นั คงในพ้นื ทีเ่ สีย่ งภัยดินถลม

(3) การทดสอบการเปลีย่ นแปลงกําลงั รับแรงเฉือนเม่ือความชน้ื เปลย่ี นไป (KU-MDS shear test)

การทดสอบกําลังรับแรงเฉือน (direct shear) ท่ัวๆไป ใชตัวอยางแบบไมถูกรบกวน
(undisturbed sample) ในการทดสอบอยางนอย 3 ตัวอยา ง เพื่อหาคา กําลงั (shear strength parameters,
( c, c, φ, φ ) ) จากความสัมพันธของ Mohr-Coulomb’s ซ่ึงในกรณีที่ตัวอยางเปนดินที่ผุสลายอยูกับท่ี
มีความแปรปรวนตามธรรมชาติ สงผลใหบอยครั้งท่ีตัวอยางทั้ง 3 ตัวอยางจะมีลักษณะแตกตางกัน
จึงตองทําการทดสอบหาคาตัวแปรกําลังรับแรงเฉือนโดยใชตัวอยางเพียงตัวอยางเดียว โดยทําการทดสอบ
เฉือนตัวอยางจนเกือบถึงจุดวิบัติของในแตละ normal load แลวจึง unload เพื่อเพ่ิม normal load ใหม
ซึ่งวิธีน้ีใหคากําลังท่ีนาเช่ือถือกวาในกรณีการทดสอบแบบปกติเมื่อทดส อบดิน residual soil
วิธีนยี้ ังเหมาะสมในกรณีท่ีมีตวั อยางนอ ย

นอกจากการทดสอบแรงเฉือนตามที่กลาวขางตนเพื่อหากําลังของวัสดุแลวยังสามารถหาดวยวิธีการอ่ืนได
เชน การทดสอบแรงอัดสามแกน (triaxial test) เปน ตน

รปู ท่ี 8 เครอ่ื งทดสอบ Direct Shear Test
(ขอ 4.1.1.7)

ท่ีมา : www.gerd.eng.ku.ac.th/Cai/index.html

มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหความมั่นคงในพนื้ ทีเ่ ส่ียงภยั ดินถลม 29

รูปท่ี 9 กาํ ลังของดินท่ีสภาพกําลงั สงู สดุ และกําลังคงคาง
(ขอ 4.1.1.7)

ทมี่ า : Fredlund and Morganstern (1977)

4.1.1.8 คณุ สมบตั ทิ างวิศวกรรมทมี่ ีผลตอ การวเิ คราะหเสถียรภาพความมน่ั คงของลาดเอยี ง
(1) คาหนว ยนํ้าหนกั (unit weight, γ) ของวสั ดทุ ี่ใชในการคํานวณ
(2) คากําลังรับแรงเฉือน (shear strength) ของวัสดุท่ีใชการคํานวณคาเสถียรภาพ

ความลาดเอยี งจะแบงไดเปน 3 กรณี คอื
- กําลังรับแรงเฉือนของดนิ แบบไมร ะบายนํ้า (undrained shear strength) แทนดวยตัวแปร Su

ใชส ําหรบั กรณีงานขุดดนิ และถมดนิ ท่เี ปนดินเหนียวอม่ิ ตวั และมีการกอสรา งโดยเรว็
- กําลังรับแรงเฉือนแบบหนวยแรงรวม (Total Stress) แทนดวยตัวแปร cu และ φu

ใชสําหรับกรณีงานขุดดินและถมดินท่ีเปนดินชื้นไมอ่ิมตัวและไมทราบความดันนํ้าชัดเจน เชน ดินบดอัด
ในขณะถมคนั ดิน เปน ตน

- กําลังรับแรงเฉือนแบบหนวยแรงประสิทธิผล (effective stress) แทนดวยตัวแปร c
และ φ ใชสําหรับกรณีงานขุดดินและถมดินท่ีเปนดินอิ่มตัวและสามารถทราบความดันนํ้าชัดเจน เชน การขุดดิน
หรือถมดินเสร็จนานแลว หรือมีนํ้าไหลผา นคงที่ เปน ตน

30 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหความมัน่ คงในพืน้ ทเี่ สย่ี งภยั ดนิ ถลม

4.1.1.9 การแปลผลการทดสอบ SPT ที่ไดจากการเจาะสาํ รวจ เปนคา กําลงั รบั แรงของดนิ

การทดส อบตอก แบบ ท ะลุท ะล ว ง มา ตรฐ า น (Standard Penetration Test, SPT)
ผลการทดสอบที่ไดระบุเปน คา N คือ คา blow count ทีไ่ ดจ ากการเจาะสํารวจดิน ซึง่ คาท่ไี ดข้ึนอยกู ับพลังงานที่ใช
ในการตอกจากลูกตุมสงถายลงสูปลายกานเจาะ และประสิทธิภาพของอุปกรณในการทดสอบ ดังน้ันผูเจาะสํารวจ
ควรตองมกี ารปรบั แกค า N จากประสทิ ธิภาพของเครื่องมือท่ีทดสอบดว ยทกุ ครั้ง

ผลการทดสอบคา SPT นํามาหาความสัมพันธระหวางคา N’ กับความแข็งแรงของดินเหนียว
และดินทรายได ดังตารางที่ 1 และ 2 ตามลําดบั

ตารางท่ี 1 ความสมั พันธร ะหวาง N’ กับความแข็งแรงของดินเหนียว
(ขอ 4.1.1.9)

N’ (blow/30 cm) ความออน-แขง็ ของดนิ เหนียว cohesion, c (kN/m2)
<2 ออ นมาก (very soft) < 12.5
2-4 ออน (soft) 12.5-25
4-8 25-50
8-15 แข็งปานกลาง (medium) 50-100
15-30 แข็ง (stiff) 100-200
>30 >200
แข็งมาก (very stiff)
แข็งมากทส่ี ุด (hard)

ทีม่ า : Terzaghi และ Peck (1967)

ตารางที่ 2 ความสัมพันธร ะหวา ง N’ กับความแข็งแรงของดินทราย
(ขอ 4.1.1.9)

N’ (Blow/30 cm) ความหลวม-แนน ของดนิ ทราย angle of internal

0-4 หลวมมาก (very loose) friction, Ø (°)
4-10 หลวม (loose) 25-30
10-30 แนน ปานกลาง (medium) 27-32
30-50 แนน (dense) 30-35
>50 แนนมาก (very dense) 35-40
38-45

ท่ีมา : Meyerhof (1956)

การปรับแกคา N เนื่องจากระดับน้ําใตดินสําหรับดินท่ีมีขนาดละเอียดมากหรือดินทรายตะกอน
ที่อยูใตร ะดับน้าํ ใตดนิ สามารถปรบั แกไ ดจากสมการที่ 1

มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหค วามม่ันคงในพื้นท่เี ส่ียงภัยดินถลม 31

N’ = 15 + 0.5 (N – 15 ) เมอ่ื N > 15 .......................... (1)

= N เมื่อ N < 15

โดย N’ = คา ตวั เลขทะลทุ ะลวงมาตรฐานที่ปรบั แกแลว

หมายเหตุ : หากไมสามารถทําการเจาะสํารวจเพื่อทดสอบหาคา SPT ในสนามได
อาจใชวิธีการอื่นซ่ึงเปนท่ียอมรับทั่วไป เชน การทดสอบ Kunzelstab penetration test หรือวิธี light ram
sounding test เปนวิธีการหย่ังทดสอบช้ันดินในสนาม โดยใชแรงกระแทกสงแทงทดสอบผานชั้นดินลงไป
ซึ่งแรงตานการเคลือ่ นทข่ี องแทงทดสอบสามารถใชประมาณคากาํ ลงั และความหนาของชนั้ ดินได

นอกจากน้ีไดมีการรวบรวมคุณสมบัติทางดานกําลังรับแรงเฉือนจากผลการทดสอบตัวอยาง
ดิ น ที่ ผุ ม า จ า ก หิ น ด ว ย วิ ธี KU-MDS (variable degree of saturation multi stage direct shear test)

ซึ่งผลท่ีไดจะประกอบไปดวยคา cohesion ( c ) และ friction angle (φ ) ของแตละระดับเปอรเซ็นต
ความอ่มิ ตวั ดังแสดงในตารางท่ี 3

ตารางที่ 3 คณุ สมบตั ิทางดา นกําลงั รบั แรงเฉอื นของดินท่ีผุพงั มาจากกลมุ หนิ ที่มคี วามออ นไหวตอดินถลม
(ขอ 4.1.1.9)

rock rock name cohesion,c (kN/m2) internal friction angle, φ (degree)
group Sr= 60% Sr= 80% Sr= 95% Sr= 60% Sr= 80% Sr= 95%

G1 Granite 34.0 16.0 12.0 35.51 30.76 28.26

G2 Volcanic 61.0 32.0 19.0 34.10 28.92 22.91

G3 Sandstone and 28.0 21.0 15.0 29.46 25.02 27.50
Siltstone

G4 Shale and 43.0 21.0 14.0 36.83 31.34 25.99
Mudstone

G5 Interbeded 61.0 21.0 10.0 35.08 29.06 28.52
Sedimentary

G6 Metamorphic 42.0 17.0 12.0 34.82 31.11 30.14

G9 Sedimentary rock 119.0 60.0 10.0 30.03 28.57 29.45
on Khorat plateau

ที่มา : สุทธศิ กั ดแิ์ ละสูรย (2556), สรู ย (2559)

หมายเหตุ : คากําลังรับแรงของดินในตารางท่ี 1 ถึง 3 เปนเพียงคาแนะนําเทานั้น
สําหรับการวิเคราะหเสถียรภาพความมั่นคง ผูออกแบบตองใชดุลพินิจในการคัดเลือกคาที่เหมาะสม เนื่องจาก
การไดม าของคา กาํ ลงั รับแรงของดินสามารถนํามาไดจ ากหลายวธิ ี ข้ึนอยกู บั ผูออกแบบจะพิจารณาเลือกใช

32 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหค วามมัน่ คงในพนื้ ที่เสี่ยงภยั ดินถลม

4.1.2 ตําแหนงหนาตัดของพ้นื ที่ลาดเอยี งท่ีใชในการวิเคราะห ใหพ ิจารณาจากหนา ตัดดังตอ ไปนี้

(1) หนา ตดั ทว่ั ไป (typical section)

(2) หนาตดั วิกฤติ (critical section) ใหพ ิจารณาจาก

- หนา ตัดที่มคี วามลกึ ในการขดุ มากทส่ี ุด หรอื มคี วามสงู ในการถมมากท่ีสุด

- หนา ตดั บริเวณทีช่ ัน้ ดนิ มีกําลงั ตา่ํ ท่สี ดุ หรอื ชน้ั ดนิ ออ นมคี วามหนามากทสี่ ุด

- หนาตดั ท่ีมคี วามชันมากทีส่ ุด หรือมคี วามชันในการถมมากท่ีสดุ

- หนา ตัดท่มี ีนํา้ หนกั อาคารทีจ่ ะกอสรา งตงั้ อยู

(3) หนาตัดขณะขุดดินหรือถมดิน (temporary section during excavation or fill) สําหรับกรณี
ที่มีการแบง ชว งการขุดดนิ หรือถมดนิ และมหี นา ตัดหรอื แรงกระทําท่ีแตกตางจากหนาตัดท่ัวไป

4.2 เงอ่ื นไขในการวิเคราะห

ในการคํานวณหาคาเสถียรภาพความลาดเอียงสําหรับงานกอสรางอาคาร งานขุดดินและถมดิน ตองคํานึงถึง
ชวงเวลาสําคัญและปจจัยตางๆ ท้ังในการกอ สรา งและการใชง าน ดงั นี้

4.2.1 ชวงเวลาสําคญั สําหรับการวิเคราะหเ สถยี รภาพ

(1) ขณะทาํ การกอ สรางอาคาร การขุดดนิ หรอื ถมดิน

(2) ขณะใชงานปกติ

(3) สภาวะวิกฤติ เชน กรณีปริมาณน้ําฝนและชวงเวลาท่ีฝนตกสะสมตอเน่ืองกันเปนเวลานาน
สง ผลใหก ําลงั รับแรงของดินหรอื หนิ ลดตา่ํ ลงมาก เปน ตน

4.2.2 ปจจัยภายนอกทม่ี ผี ลตอ เสถยี รภาพของพื้นทลี่ าดชัน

(1) นํ้าหนักกระทําภายนอก (external load) คือ แรงกระทําท่ีเกิดจากเครื่องจักรในการกอสราง
การจราจร หรือสิ่งปลูกสราง อาคาร เปนตน โดยกําหนดใหนํ้าหนักจากเครื่องจักรหรือการจราจรขณะขุดดิน
หรือถมดินมีคาไมนอยกวา 20 กิโลนิวตันตอตารางเมตร (2,000 กิโลกรัมแรงตอตารางเมตร) และนํ้าหนัก
กระทาํ ภายนอกขณะใชง านไมนอ ยกวา 10 กโิ ลนิวตันตอ ตารางเมตร (1,000 กโิ ลกรมั แรงตอ ตารางเมตร)

(2) แรงจากแผนดินไหว (seismic load) สามารถประยุกตใชหลักการเสมือนสถิตย (pseudo static)
โดยการใชสัมประสิทธ์ิความส่ันสะเทือนคูณกับน้ําหนักของมวลดิน ซึ่งมีคาแตกตางกันตามภูมิภาคตางๆ
ของประเทศไทย

(3) ระดับน้ําใตดนิ (ground water level) เมือ่ ฝนตกจนทาํ ใหร ะดบั นาํ้ ใตด นิ สูงขึน้ จนกระทง่ั ถึงผวิ ดิน

มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหค วามม่นั คงในพ้ืนท่ีเสี่ยงภยั ดนิ ถลม 33

(4) ระดับนํ้าผิวดิน (surface water level) คือ ระดับนํ้าอิสระท่ีอยูดานขางพ้ืนที่ลาดเอียง
เชน แมน า้ํ หรืออา งเกบ็ นํา้ เปน ตน

(5) วัสดุเสริมแรง (reinforcement) คือ วัสดุท่ีใสเขาไปในดินเพ่ือชวยเพ่ิมเสถียรภาพ เชน เสาเข็ม
(pile) เสาเข็มดินซีเมนต (cement column) แผนใยสังเคราะห (geotextile) ตาขายสังเคราะห (geogrid)
หรอื สลักยดึ ดิน (soil nail) เปน ตน

(6) รอยแตกท่ีผิวดิน (tension crack) คือ รอยแตกที่เกิดขึ้นบนผิวดินเน่ืองจากการแหงตัว
(desiccation crack) หรือการเคลื่อนตัวเล็กนอยทําใหเกิดแรงดึงบริเวณผิวบนของขอบการขุดดินหรือเนินดิน
ซึ่งดินบริเวณท่ีเกิดรอยแตกจะไมมีการสัมผัสกันจึงไมสามารถมีแรงตานทานการวิบัติได ผิวเคล่ือนจึงมักเริ่มตน
เกิดที่ปลายของรอยแตก และหากมีแรงดันนํ้าเสริมในรอยแตกดังกลาว จะทําใหเกิดการวิบัติงายขึ้นอีกดวย
ดงั รูปที่ 10

รูปที่ 10 การเกิดรอยแตกทีผ่ ิวดนิ และแรงดนั นาํ้ ในรอยแตก
(ขอ 4.2.2 (6))

4.3 การคํานวณหาคาเสถียรภาพความลาดเอยี งโดยวิธีสมดุลจํากดั
การคํานวณหาคาเสถียรภาพความลาดเอียงโดยวิธีสมดุลจํากัด (limit equilibrium) เพื่อหาคาอัตราสวน
ความปลอดภัยของลาดเอียง ข้ึนอยูกับลักษณะการวิบัติ (mode of failure) ซ่ึงสามารถแยกออกเปน
2 ลักษณะดังตอ ไปนี้
4.3.1 การเลือ่ นไถลแบบระนาบ (translational failure)

4.3.1.1 ใชสําหรับกรณีที่ผิวการวิบัติมีลักษณะเปนแผนบางๆ เล่ือนลงตามผิวลาด ซึ่งสวนใหญ
เกิดกับพื้นท่ีลาดเอียงตามธรรมชาติ หรือพื้นที่ลาดเอียงที่มีผิวบังคับการวิบัติ เชน ช้ันดินออนซึ่งวางตัว
อยบู นช้นั ดนิ แข็ง การวิบตั จิ ะเกดิ บริเวณรอยตอของชัน้ ดินท้ังสอง เปนตน

4.3.1.2 การเลื่อนไถลแบบระนาบจะพิจารณาโดยเทียบจากสัดสวนระหวางความหนาของการวิบัติ
กับความยาวของระนาบการวิบัตติ องนอ ยกวา 1:10 ดังแสดงในรปู ที่ 11

34 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหค วามมัน่ คงในพนื้ ที่เสี่ยงภัยดนิ ถลม

4.3.1.3 อตั ราสวนความปลอดภยั ของการเลื่อนไถลแบบระนาบสามารถคํานวณโดยสมการท่ี 2

F.S. = c + [(γ sat − γ w )hw + γt (z − hw )]tanφ cos2 β .......................... (2)
[γ hsat w + γ t (z − hw )]sin β cos β

รูปที่ 11 การเลอื่ นไถลแบบระนาบ
(ขอ 4.3.1.2)

4.3.2 การเลือ่ นไถลแบบหมนุ (rotational failure)
4.3.2.1 ใชสําหรับการวิเคราะหเสถียรภาพของดินท่ีมีลักษณะเปนเนื้อเดียวกัน (homogeneous soil)

โดยสมมุติวาแนวการวิบัติเปนสวนโคง ดังรูปท่ี 12 ซึ่งอาจจะเปนสวนโคงวงกลม (circular arc) หรือไมใช
สวนโคง วงกลม (non-circular)

รูปท่ี 12 การเลือ่ นไถลแบบหมนุ 35
(ขอ 4.3.2.1)

มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหค วามมัน่ คงในพน้ื ท่เี สี่ยงภยั ดนิ ถลม

4.3.2.2 อัตราสวนความปลอดภัยของการเล่ือนไถลแบบหมุนสามารถคํานวณโดยวิธีการตางๆ
เชน Swedish Method, Janbu’s Simplified Method และ Bishop’s Simplified Method ตามสมการท่ี 3 ถงึ 8

(1) Ordinary Method of Slices หรือ Swedish Method (Fellenius, 1927)


 
F.S. = n  ci .li + (Wi .cosθi −Ui ).tan φi  .......................... (3)
 
∑  n 

i =1 ∑Wi .sinθi 

 i=1 

(2) Janbu’s Simplified Method (1954)

∑ ( )F.S. = n  φ 
 ci bi + bi γ t hi − γ w .hwi . tan i 
f0 cosθi M θ
i=1  
.......................... (4)
n
∑γ tbi .hi .tanθi
i =1

เมือ่ Mθ = cosθi + (sinθi tanφ i ) .......................... (5)
F.S.

โดยท่ี

f0 คอื คา ปรบั แกซ่งึ ขน้ึ กบั สดั สวนของความลึก (d) และความยาว (L) ของการวิบัติดงั รูปที่ 13
สามารถหาไดจากสมการที่ 6

 d − 1.4 d  2 
 L  
f0 = 1 + b  L   .......................... (6)

b คือ คา คงทซี่ ึ่งขน้ึ กบั ประเภทของดนิ ดงั นี้

- กรณี φ = 0 ใหใช b = 0.69

- กรณี c = 0 ใหใ ช b = 0.31

- กรณี φ > 0 และ c > 0 ใหใช b = 0.50

(3) Bishop’s Simplified Method (Bishop, 1955)

∑ ( )F.S. =  
n  ci bi + bi γ t hi − γ w .hwi . tan φ i 

i=1  n  .......................... (7)
.......................... (8)
∑γ tbi .hi .sinθi
i =1

เมื่อ Mθ = cosθi + (sinθi tanφ i )
F.S.

36 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหความม่นั คงในพ้นื ทเ่ี สย่ี งภยั ดินถลม


Click to View FlipBook Version