6.3 debris baffles
debris baffles (รปู ที่ 39) ลักษณะการทางานคล้าย check dam โดยมีสิ่งดักชะลอนา้ และตะกอนที่มาพร้อม
กบั ดนิ โคลนถลม่
วัตถุประสงค์ในการทารูปแบบน้ีเพ่ือประหยัดทรัพยากรและใช้พลังงานท่ีอยู่โดยรอบในการป้องกันดินโคลน
ซ่ึงลักษณะคล้ายตารางหมากรุก ประกอบด้วยท่อโลหะเป็นทรงกระบอกด้านในมีมวลน้า มีเหล็กเส้น
ยดึ เปน็ โครงขา่ ย โดยตัวกระบอกยึดเข้ากบั ฐานคอนกรตี เสรมิ เหลก็
ลักษณะการจัดเรียงแถว ขนาดความกว้าง ความสูง ระยะห่างของ และจานวนแถว debris baffles ท่ี
มผี ลตอ่ การป้องกนั และตวั อยา่ งการนา baffles ไปใช้ป้องกันดินโคลนถล่ม ดังรปู ท่ี 40
รูปที่ 39 รปู แบบ debris baffles
(ขอ้ 6.3)
ทีม่ า : Goga et el. (2016)
รปู ที่ 40 ตวั อยา่ ง debris baffles ในฮ่องกง 85
(ขอ้ 6.3)
ทม่ี า : เอกสารประกอบการบรรยายของ Charles W.W.Ng.
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพังทลายสาหรบั ลาดเชิงเขา
6.4 flexible debris flow barriers
flexible debris flow barriers หลักการคล้ายกับเข่ือนดักตะกอน ซ่ึงใช้ป้องกันเหตุการณ์มวลหินและโคลนไหล
โดยต้องศกึ ษาลักษณะท่เี กิดดินโคลน เช่น ความสูงในการไหล ความเร็วดา้ นหน้า เพอ่ื หาความกระจายการไหล
เพอ่ื นามาคานวณออกแบบ flexible debris flow barriers
ข้อดีของวิธีการนี้ คือ ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว ซึ่งอุปกรณ์ท่ีจาเป็น รวมถึงวัสดุต่าง ๆ สามารถบรรทุกได้
โดยรถบรรทกุ ไม่ต้องใช้เคร่อื งจักรหนกั เมอื่ การก่อสรา้ งเสร็จทาใหด้ ูโปร่ง และช่วยให้ภูมิทัศน์ดีขน้ึ
วิธีการป้องกันจะมีช่วงที่ก้ันคันดินหน่ึงไปอีกฝ่ังหน่ึง ระหว่างก้นแม่น้าและใช้มุมตาข่ายท่ีต่า ส่วนพ้ืนท่ีว่าง
ด้านบน น้าสามารถไหลออกได้ตามปกติ และระดับน้าไม่ทาให้เกิดความเสียหาย นอกจากน้ียังช่วยหลีกเลี่ยง
จากสัตว์น้าได้ ดังรูปท่ี 41 ตาข่ายป้องกันจะแบ่งเป็นช่วง ๆ โดยใช้สาย cable ในการยึดรั้ง และฝังบริเวณ
คันดินทง้ั 2 ฝ่งั สาย cable จะเป็นสมอยึดกับคนั ดิน ถ้าความกว้างของตาข่ายมรี ะยะมากสามารถติดต้ัง cable
ไว้ตรงกลางได้ (โดยท่ัวไปตาข่ายมีความกว้างมากกว่า 15-20 เมตร) เม่ือมีวัสดุโคลนถล่มมากระทา cable
จะทางาน ในกรณีที่เกดิ การไหลขา้ มท่ีก้ัน ดา้ นบนสาย cable จึงต้องมีระบบการปอ้ งกนั ด้วย
ส่วนประกอบของ flexible debris flow barriers
(1) ตาข่าย (net) ขนาดตาข่ายต้องมีความเหมาะสมกับสภาพแม่น้าและวัสดุสามารถระบายน้า
ไดเ้ ป็นอย่างดี
(2) วัสดุยึดร้ังสาย cable (supporting cables) ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์นาหนักของวัสดุที่พัดพามา
cable สามารถมีได้หลายเส้น ซ่ึงการยึดสาย cable หลาย ๆ เส้นจะช่วยกระจายรับแรง ตาแหน่งของ
สาย cable ปรับใหเ้ หมาะสมกบั ทกี่ น้ั (barriers)
(3) wing cables and edge cables
(4) อปุ กรณ์หยดุ การเคลือ่ นท่ี (brake elements)
(5) สมอยดึ (anchoring)
(6) ตัวยึดรั้ง (supports) ในกรณีที่ช่วงความกว้างมากกว่า 15-20 เมตร สาหรับก้นคลองท่ีใหญ่
ควรเพิม่ การยดึ รงั้ เขา้ ไปเพ่ือใหเ้ กดิ ประโยชน์มากขนึ้
(7) การชะลอแรงต้าน (abrasion protection)
การคานวณออกแบบต้องพิจารณาปริมาตรมวลวัสดุที่พัดพามายังท่ีดักดินโคลน ซึ่งต้องใช้
ประสบการณใ์ นสนามรว่ มกบั ผลการวิเคราะห์ รูปท่ี 42 แสดงตวั อยา่ ง flexible debris flow barriers
86 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกนั การพงั ทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา
รูปท่ี 41 ตัวอย่างรปู แบบทั่วไปของ flexible debris flow barriers
(ข้อ 6.4)
ที่มา : Axel (2013)
รูปที่ 42 ตวั อยา่ ง flexible debris flow barriers
(ขอ้ 6.4)
ท่ีมา : Axel (2013)
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพงั ทลายสาหรับลาดเชงิ เขา 87
7. ตวั อยา่ งการออกแบบ rock bolt
รายละเอียดวิธีการออกแบบป้องกันการพังทลายท่ัวไป มีเน้ือหาแสดงใน มยผ. 1912-52 : มาตรฐาน
การป้องกันการพังทลายสาหรับงานขุดดินและถมดิน มาตรฐานน้ีจึงแสดงตัวอย่างการออกแบบ rock bolt
เนื่องจากวธิ กี ารนีย้ งั ไม่มีรายละเอียดเกยี่ วกบั การออกแบบดังกลา่ ว
การออกแบบ rock bolt เพอ่ื เพม่ิ ความมน่ั คงของลาดเขา มรี ายละเอียด ดังน้ี
(1) คุณสมบตั พิ ้นื ฐานของ rock bolt และหลุมเจาะ
ความยาวของ rock bolt = 10.0 เมตร
ความยาวทใ่ี ช้
(Effective Length, le) 40% = 0.4x10.0 เมตร
= 4.0 เซนติเมตร
ขนาดเส้นผา่ นศูนยก์ ลางหลมุ เจาะ (Dh) = 7.6
(2) คานวณแรงดึงสูงสดุ ของ Rock Bolt = 32 มลิ ลิเมตร
ขนาดเส้นผ่านศูนยก์ ลางเหล็ก (D) =
กาลงั รบั แรงดึงประลยั (fy) = 4,000 กิโลกรัมตอ่ ตารางเซนติเมตร
กาลังรบั แรงดึงทยี่ อมให้ (จดุ คลาก) (fs) =
0.65xfy กโิ ลกรัมตอ่ ตารางเซนติเมตร
แรงดึงปลอดภยั (Fall) = 2,600
= (xD2/4)xfs
=
(x3.22/4x1000)x2600/1000
20.9 ตนั /เสน้ .... (1)
หนว่ ยแรงยึดเกาะระหวา่ ง = 30.0 ตัน/ตารางเมตร
หนิ กับคอนกรีต (ur) = urx(xDh2/4)xle
แรงยึดเกาะระหวา่ งหนิ กับคอนกรตี (Ur) = 30.0x(x7.62/4)x4.0
= 28.7 ตนั /หลมุ เจาะ .... (2)
หนว่ ยแรงยดึ เกาะระหวา่ ง
เหล็กกบั คอนกรตี (us) = 2.29xfc’0.5/D
= 2.29x1740.5/(32/10)
= 9.44 กโิ ลกรัมตอ่ ตารางเซนติเมตร
88 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพงั ทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา
แรงยึดเกาะระหวา่ ง = usx(xD2/4)xle
เหลก็ กบั คอนกรตี (Us)
= (9.44x10)x(x3.22/4x1000)x4.0
= 38.0 ตัน/หลุม .... (3)
เลอื กค่านอ้ ยระหว่าง (1) (2) และ (3) ใชเ้ ปน็ คา่ กาลังรบั แรงดึงสูงสดุ ท่ี rock bolt สามารถรับได้
ดังนน้ั คา่ แรงดงึ สงู สดุ ของ
rock bolt (Tmax) = 20.9 ตนั /หลุมเจาะ
(3) คานวณความยาว พน้ื ที่ และน้าหนักของผวิ การพิบัติ
ตัวอย่างจากผลการวิเคราะห์ความม่ันคงของลาดดิน ดังรูปท่ี 43 สามารถคานวณหาพ้ืนท่ี และความยาว
ของผิวการพิบัติ เพ่ือ Simplified รูปร่างการพิบัติให้เป็นลักษณะของการเคลื่อนท่ีบนระนาบเอียง ดังรูปที่ 44
แล้วนามาใช้ในการคานวณหาค่าแรงดงึ ทตี่ ้องการตอ่ ไป ไดด้ ังน้ี
V
U
ROCK BOLT
T
W.sin R W.cos
W
รูปที่ 43 แรงทีเ่ กิดข้นึ ในมวลดินหรอื หนิ บนระนาบเอียง
เมอ่ื W = น้าหนักของมวลดินหรือหนิ
R = แรงเสียดทานจากระนาบเอียง
U = แรงดันน้า
V = แรงดันนา้ เน่ืองจากรอยแตกทผี่ ิวดนิ (tension crack)
T = แรงดึงจาก rock bolt
= มุมของระนาบเอียง
= มมุ ระหวา่ ง rock bolt กบั ระนาบเอียง
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกันการพังทลายสาหรับลาดเชงิ เขา 89
เม่อื จัดรปู สมการใหม่ในรปู ของค่าอตั ราส่วนความปลอดภัย (F.S) จะได้
F.S. c Lf (W cos U T sin ) tan
W sin V T cos
พน้ื ท่ีการพิบัติ (Af) = 250.3 ตารางเมตร
ความยาวของผิวการพิบตั ิ (Lf) = 61.4 เมตร
หน่วยนา้ หนกั ของมวลหิน () = 2.6 ตนั /ลกู บาศก์เมตร
นา้ หนักของผวิ การพิบัติ = Afx
= 650.9
ตนั /เมตร
(4) คานวณแรงดึงที่ต้องการ = 2.5 ตนั /ตารางเมตร
หน่วยแรงยึดเกาะของหิน = 0.5 ตัน/ตารางเมตร
หนว่ ยแรงยึดเกาะของหิน
(ใชใ้ นการออกแบบ rock bolt) = 24 องศา
มมุ เสียดทานภายในของหนิ = 30 องศา
มุมลาดเอียงของลาดเขา
หลังการปรับปรงุ (เฉล่ีย) =0 เมตร
ระดับน้าใต้ดิน = 1.5
ค่าอตั ราส่วนปลอดภัยทต่ี อ้ งการ
= W (F.S.sin cos tan) cLf
แรงดงึ ทต่ี ้องการ (T) F.S.cos sin tan
= 133.08 ตนั
90 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพงั ทลายสาหรบั ลาดเชิงเขา
(5) คานวณระยะหา่ งของ rock bolt = 133.08/61.4
T/Lf
= 2.18 ตนั /เมตร
พ้ืนที่รับแรงตอ่ rock bolt 1 หลุม
(bearing area) = Tmax /(T/Lf)
= 20.9/2.18
กาหนดระยะห่างในแนวด่ิง
ของ rock bolt (sy) = 9.6 ตารางเมตร
ดังนั้น ระยะหา่ งในแนวราบ
ของ rock bolt (sx) = 3.0 เมตร
ใชร้ ะยะหา่ งในแนวราบ = Bearing Area/sy
= 9.6/3.0
= 3.2 เมตร
= 3.0 เมตร
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพงั ทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา 91
ูรป ่ีท 44 ผลการ ิวเคราะ ์หความ ั่มนคงของลาดเขา
92 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกนั การพังทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา
8. เอกสารอา้ งอิง
8.1 กรมทางหลวง.2551.คูม่ ือการแนะนา แกไ้ ข และการปฏิบตั ิการชะลา้ งพงั ทลายและเคล่ือนตวั ของเชิงลาด.
8.2 งานก่อสร้างงานซ่อมเสริมเสถียรภาพเพ่ือป้องกันการพังทลายลาดเชิงเขา (Slope Protection) ที่บริเวณ
กม.242 – 253 (ช่วงโคกคลี–บ้านวะตะแบก), 2558. คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.
8.3 สุทธิศักด์ิ ศรลัมพ์, วิทวัส ศรีเรือง, นายฐปกรณ์ ผลมานะ และ นายยุทธพล จิรัฐติกร, 2558.การพัฒนา
กาแพงกนั ดิน TOR-BLOCK เพอ่ื ปอ้ งกันดินถล่มและแผ่นดินไหว. วิศวกรรมศาสตร์,มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
8.4 สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์, จักรวรินทร์ วัชรเลิศวาณิช, นรวรรธน์ ถวิลนพนันท์ และวิษณุพร พรรษา, 2559.
ก า ร พั ฒ น า ก า แ พ ง กั น ดิ น TOR-BLOCK ส า ห รั บ ก า ร ผ ลิ ต เ ชิง อุ ต ส า หก ร ร ม . วิ ศ ว ก ร ร ม ศ า สตร์
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
8.5 สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์, จักรวรินทร์ วัชรเลิศวาณิช,นรวรรธน์ ถวิลนพนันท์ และวิษณุพร พรรษา , 2560.
บล๊อกเชื่อมต่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน. คาขอรับอนุสิทธิบัตร เลขที่ 1703001823, คาขอรับสิทธิบัตร
การออกแบบผลิตภัณฑ์ เลขที่ 1702003703 และ 1702003704: เป็นกาแพงป้องกันดินพังทลายท่ีชุมชน
สามารถผลติ และกอ่ สร้างได้เอง โดยใชต้ น้ ทุนตา่ .
8.6 เอกสารอบรม Summer Training Course for Slope Land Disaster Reduction., 2013. Soil and
Water Conservation Bureau of Tiwan.
8.7 Axel Volkwein, 2014. Flexible debris flow barriers Design and application. WSL Berichte
ISSN 2296-3456.
8.8 Charles W.W. Ng, Mechanisms of Debris Flow-Barrier Interaction and Mitigation Measures,
The Hong Kong University of Science and Technology.
8.9 Design Guidelines for Horizontal Drains used for Slope Stabilization, 2013 March,
Washington State Department of Transportation, WSDOT research report.
8.10 Gue See Sew and Wong Shiao Yun, 2009.Slope engineering design and construction
practice in Malaysia. CIE-IEM joint seminar on geotechnical.
8.11 Goga Chakhaia, Eduard Kukhalashvili, Robert Diakonidze, Nugzar Kvashilava, Levan
Tsulukidze, Shorena Kupreishvili and Tamriko Supatashvili, Irina Khubulavah, 2016.
The Evaluation of Debris Flows Influence on the Pass through Type Debris Flow against.
Construction, American Scientific Research Journal for Engineering, Technology, and Sciences
(ASRJETS) Volume 20, No1,pp 224-234.
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกันการพังทลายสาหรับลาดเชิงเขา 93
8.12 Pulko, B., Majes, B., Mikos, M., 2012. Reinforced concrete shafts for the structural
mitigation of large deep-seated landslides: an experience from the Macesnik and the Slano
blato landslides (Slovenia), Landslides, Springer.
8.13 Xiaohua Bao , Wenyu Liao , Zhijun Dong , Shanyong Wang and Waiching Tang, 2017.
Development of Vegetation-Pervious Concrete in Grid Beam System for Soil Slope Protection.
8.14 https://blogs.agu.org/landslideblog/2011/07/31/landslide-protection-new-zealand-style.
8.15 http://www.wulwith.com/gabion.php.
94 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพังทลายสาหรับลาดเชิงเขา
มยผ. 1918-62
มาตรฐานการถมดินและการบดอดั
(Standard of Fill and Compaction)
มาตรฐานประกอบการปฏบิ ัตเิ พ่ือความปลอดภัยทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั อาคาร การขุดดินและการถมดิน
ในพน้ื ทเ่ี สี่ยงภยั ดนิ ถล่ม (Landslide) และบรเิ วณลาดเชิงเขา
มยผ. 1918-62
มาตรฐานการถมดินและการบดอดั
(Standard of Fill and Compaction)
1. ขอบข่าย
1.1 มาตรฐานการถมดินและการบดอัดน้ีจัดทําขึ้นเพ่ือกําหนดรายละเอียดและวิธีการถมดินบริเวณพื้นราบ
พ้ืนที่ลาดชัน การถมบ่อน้ํา รวมถึงการถมดินเพ่ือโครงการบ้านจัดสรร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย
แกเ่ จ้าของทีด่ นิ ข้างเคยี งหรือบคุ คลอ่ืนทเี่ กี่ยวขอ้ ง ซึ่งไมร่ วมงานถมและบดอดั หิน งานทางหลวง และงานเขื่อนดนิ กั้นน้าํ
2. นยิ าม
“ถมดนิ ” หมายถงึ การกระทําใด ๆ ตอ่ ดินหรอื พ้ืนดินเพ่อื ให้ระดบั ดินสูงกว่าเดมิ
“บดอัด” หมายถึง กระบวนการปรับปรุงคุณภาพดิน หรือการทําให้ดินแน่นข้ึน โดยการลดช่องว่าง
หรอื โพรงอากาศระหวา่ งเมด็ ดินลง
“วัสดถุ ม” หมายถงึ วัสดทุ ไ่ี ดจ้ ากการขุดดิน จากบอ่ ยืมดนิ หรอื ทอี่ นื่ ๆ แลว้ นํามาใช้ในการถมดนิ
“วัสดเุ หลือใช้” หมายถึง ดนิ หนิ กรวด คอนกรตี หรือแอสฟัลท์ ท่เี หลอื ใช้จากการกอ่ สร้าง
“ขยะ” หมายถึง เศษกระดาษ เศษผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า เศษวัตถุ ถุงพลาสติก ภาชนะที่ใส่อาหาร เถ้า
มูลสัตว์ ซากสัตว์ หรือสิ่งอ่ืนใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาด ท่ีเลี้ยงสัตว์หรือที่อ่ืน และหมายความรวมถึงมูลฝอยติดเช้ือ
มลู ฝอยทเ่ี ป็นพษิ หรืออันตรายจากชุมชน
“ความหนาแน่นของดนิ ” หมายถึง อัตราสว่ นระหว่างนํา้ หนักตอ่ ปรมิ าตรของดิน
“ปรมิ าณความชื้นในดิน” หมายถึง ปรมิ าณน้าํ ทถ่ี กู อนุภาคของดนิ ดูดยึดไว้
“ความชัน” หมายถึงค่าตัวเลขซึ่งกําหนดเป็นสัดส่วนระหว่างระยะแนวดิ่งต่อระยะแนวราบหรือร้อยละ
ของระยะแนวดงิ่ ต่อระยะแนวราบ หรือองศาของความลาดเอยี งซึ่งวัดจากแนวราบ
“พื้นท่ีลาดชนั ” หมายถึง พนื้ ดนิ ทมี่ คี วามชันมากกว่า 1:5 (ด่งิ : ราบ) หรอื ร้อยละ 20
“บ้านจัดสรร” หมายถึง สถานท่ีหรือบริเวณท่ีมีหน่วยงานย่ืนขออนุญาตจัดสรรแบ่งแปลงที่ดิน สําหรับ
ปลูกสร้างอาคารให้กับผู้ท่ีเข้ามาอยู่อาศัยได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน การจัดสรรแบ่งแปลงท่ีดินเป็นไปตาม
พระราชบญั ญัตกิ ารจัดสรรทด่ี นิ พ.ศ.2543
มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดนิ และการบดอัด 95
3. มาตรฐานอางถึง
3.1 มาตรฐานท่ีใชอางถึงประกอบดวย
3.1.1 มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1912-52 : มาตรฐานการปองกันการพังทลายสําหรับ
งานขุดดินและถมดิน
3.1.2 มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะห
ความมั่นคงในพนื้ ท่เี สี่ยงภยั ดินถลม
3.1.3 มาตรฐานกรมโยธาธกิ ารและผงั เมือง มยผ. 1914-52 : มาตรฐานการระบายน้าํ สําหรับงานถมดนิ
3.1.4 มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 2204-57 : มาตรฐานการทดสอบหาคาความแนน
ของวสั ดงุ านทางในสนาม (field density test)
4. ลกั ษณะและวตั ถุประสงคการถมดินและบดอดั ดิน
4.1 การถมปรับระดบั พ้ืนดิน
การถมดินเพื่อยกหรือปรับระดับพ้ืนดินใหไดระดับตามที่กําหนด เชน การถมดินเพ่ือใชเปนพ้ืนท่ีอยูอาศัย
หรือท่เี รยี กกันทัว่ ๆ ไปวา “การถมท่ี” สวนใหญจ ะถมเพื่อยกระดบั พ้ืนดินใหอยเู หนือระดับนํ้าที่อาจจะทว มถึง เปนตน
การถมดินในลักษณะนี้ไมไดมีวัตถุประสงคเพ่ือใหดินที่ถมสามารถใชในการรับนํ้าหนักหรือใชเปนโครงสราง
ทางวศิ วกรรมไดโ ดยตรง
4.2 การถมเพือ่ เปน โครงสรางทางวิศวกรรม
การถมเพ่ือเปนโครงสรางทางวิศวกรรม เปนการถมและบดอัดดินเพ่ือใหมีคุณสมบัติที่เพียงพอในการท่ีจะใช
รับนํ้าหนักตามที่วิศวกรไดออกแบบไว เชน การถมและบดอัดโครงสรางถนน การใชดินถมเพ่ือรองรับฐานรากอาคาร
หรือเปนการถมเพื่อใชดินท่ีบดอัดแลวเปนโครงสรางทางวิศวกรรม ซึ่งจะตองไดคุณสมบัติทางวิศวกรรม
ตามท่ีวศิ วกรกําหนด เชน เขือ่ น หรอื คนั กน้ั นํ้า เปนตน
4.3 การถมในโครงการบา นจัดสรร
การถมเพื่อปรับระดับพื้นดินของพื้นที่ขนาดใหญ ที่มีบานพักอาศัยหลายหลังและมีพ้ืนท่ีสวนกลาง ไดแก
การถมภายในบริเวณโครงการบานจัดสรรซ่ึงมีท้ังพื้นที่สวนท่ีเปนการถมเพ่ือเปนโครงสรางทางวิศวกรรม เชน
ถนน หรืออาคารที่จะถายน้ําหนักโดยตรงลงสูดินที่ถมบดอัดและพ้ืนที่สวนท่ีเปนการถมโดยไมไดรับน้ําหนัก
หรอื โครงสรางทางวศิ วกรรม เชน พน้ื ท่โี ดยรอบอาคาร สวนบรเิ วณสว นกลางของอาคาร เปนตน
96 มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดินและการบดอดั
5. วัสดุสําหรบั การถมดนิ ทว่ั ไป
วัสดุท่ีจะนํามาใชในการถมที่ดินน้ันจะตองพิจารณาถึงวัตถุประสงคของการใชงานของดินถมน้ัน ไดแก
การปนเปอนตอสิ่งแวดลอมจากวัสดุท่ีนํามาถม ความแข็งแรงท่ีตองการจากวัสดุท่ีใชถม ความคงทนตอ
การเปลี่ยนแปลงสภาพและการทรดุ ตวั ทอี่ าจจะเกิดข้นึ ภายหลงั การถม เปน ตน
5.1 วัสดุถมสําหรับงานทั่วไป สามารถใชวัสดุที่ไมกอใหเกิดการปนเปอนตอส่ิงแวดลอมและเปนไปตาม
วัตถุประสงคของการถมตามที่ไดกลาวขางตน ในกรณีการถมโดยใชขยะ จะตองเปนไปตามกฎหมาย
และตองไดรับการอนุญาตจากหนวยงานท่ีเก่ียวของ เชน กฎหมายสงเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดลอม
แหงชาติ เปนตน
5.2 วัสดุถมสําหรับใชเปนโครงสรางทางวิศวกรรม เชน ดินถมเพ่ือการรับน้ําหนักโครงสราง ดินถมงานถนน เปนตน
ทั้งน้ีตองใชดินท่ีสามารถบดอัดใหมีความหนาแนนสูงข้ึนได มีความคงทนไมเปล่ียนแปลงคุณสมบัติ
ตามสภาพแวดลอ ม และไดค ณุ สมบัติทางวิศวกรรมตามกําหนด โดยควรยกเวน ดินท่มี ลี ักษณะดังนี้
(1) ดนิ ที่มสี ารอนิ ทรียป น เชน หนาดิน หรอื ดินทมี่ รี ากไมป น เปนตน
(2) วัสดุท่ีมีสารปนเปอ นเกนิ กวา มาตรฐาน ซ่ึงจะเปนอันตรายตอดนิ และแหลงนํ้าทง้ั บนดินและใตดนิ
(3) ดินที่อาจจะมคี ุณสมบัตเิ ปล่ียนไปตามการเปล่ียนแปลงความชืน้ และอาจจะกอ ใหเกิดปญหาทางวศิ วกรรม
ไดแ ก ดินบวมตวั หรือดนิ กระจายตัว เปนตน ซง่ึ สามารถทดสอบไดจ ากการทดสอบในหองปฏิบตั ิการ
(4) วัสดุท่ีเปยกหรือชุมน้ํามาก ไมสามารถรับนํ้าหนักเครื่องจักรในการบดอัด หรือไมสามารถบดอัดได
เชน ดินโคลน ดินเลน หรอื ดนิ ปนสารละลายเบนโทไนต (bentonite) เปน ตน
(5) ดินที่ทําการบดอัดตามวิธีการบดอัดตามวิธีมาตรฐาน (Proctor test) ในหองปฏิบัติการ
แลวความหนาแนน แหงไมเ พิ่มขน้ึ แตกลบั ลดลงเม่อื เพิ่มความช้ืน
(6) ดนิ ถมที่มีไม โลหะ พลาสติก กอนหิน หรอื วัสดทุ ม่ี ขี นาดใหญกวา 20 เซนตเิ มตร อนั จะเปนผลเสีย
ตอการนําไปใชในสวนงานถมที่ตองรองรับนํ้าหนัก หรือทําใหการขุด หรือการติดตั้งเสาเข็มเปนไปอยางลําบาก
(พจิ ารณาเปนกรณีตามลกั ษณะการใชง าน และควรไดร บั การเหน็ ชอบจากวิศวกรผูออกแบบ)
(7) ดินที่มีสารท่ีกอใหเกิดการกัดกรอนตอโครงสราง เชน คลอไรด หรือซัลเฟต ซ่ึงมักพบในดิน
ท่ีอยูใกลชายฝงทะเล เปนตน (พิจารณาเปนกรณีตามตามลักษณะการใชงาน และควรไดรับการเห็นชอบ
จากวิศวกรผอู อกแบบ ซึ่งอาจจะตองมกี ารพิจารณาปอ งกันผลกระทบทีจ่ ะเกดิ ข้ึนที่โครงสรา งฐานราก)
5.3 วัสดุถมในโครงการบานจัดสรร เปนวัสดุถมที่ใชเชนเดียวกับ ขอ 5.1 และ 5.2 แตตองไมเปนขยะ
และไมแนะนําใหใชเศษวัสดุกอสรางเพื่อใชเปนวัสดุถม เวนแตจะไดรับความเห็นชอบจากวิศวกรผูรับผิดชอบ
ในการออกแบบอาคารหรือโครงสรางท่ีจะกอสราง กรณีที่จะมีการปลูกตนไม ดินถมควรมีคาความเค็มไมเกิน
8 deci siemens/metre (dS/m) และคา pH อยูระหวา ง 6.0-7.5
มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดนิ และการบดอัด 97
6. ขน้ั ตอนการถมดินและบดอัดดนิ
6.1 งานถมบนพืน้ ราบเพื่อปรบั ระดับพ้นื ดนิ หรือถมดนิ เพอื่ เปน โครงสรา งทางวศิ วกรรม
6.1.1 ขน้ั ตอนการถมดิน
(1) การสํารวจระดับพ้ืนดินเพ่ือนําไปใชในการคํานวณปริมาณดินถม การสํารวจจะตองเปนไปตาม
การรับรองจากวิศวกรผูออกแบบกําหนด โดยจุดสํารวจจะกระทําทุกๆ 20-25 เมตร เปนอยางมาก
หากเปนพื้นที่บอนํ้าควรพิจารณาถึงช้ันเลนที่จะตองลอกหรือถมไล โดยควรทําการหยั่งความหนาของเลน
เพื่อนํามาใชในการคํานวณปริมาตรดินถมใหถูกตองตอไป คาระดับที่ไดจากการสํารวจจะนํามาเฉลี่ยท้ังพ้ืนที่
หรือเปนโซน ท้ังนี้ควรพิจารณาถึงจุดสํารวจท่ีตางระดับกันมาก เชน พื้นที่รองสวนกับพื้นที่ทําคันนา เปนตน
การสํารวจทําไดทั้งกอนและหลังการขุดลอกหนาดิน ถาดําเนินการกอนใหนําคามาหักลบกับความหนาเฉลี่ย
ทจ่ี ะทําการขุดลอกหนา ดินออก
(2) การจัดเตรยี มพ้นื ที่
ตองเตรียมพ้ืนท่ีโดยการกําจัดหญาหรือวัชพืชบริเวณหนาดินโดยการขุดลอกหนาดินออกไปอยางนอย
30 เซนติเมตร กอนดําเนินการบดอัดดิน ตนไมใหญควรถอนรากและโคนออก นอกจากนั้นหากถมบนบริเวณ
พ้ื น ที่ ดิ น อ อ น อ า จ ต อ ง มี ก า ร เ ส ริ ม กํ า ลั ง ดิ น เ พ่ื อ ป อ ง กั น ยุ บ ตั ว ห รื อ เ ค ล่ื อ น ตั ว ข อ ง ดิ น ข ณ ะ ดํ า เ นิ น ก า ร
ในกรณีที่เปนพื้นท่ีน้ําขังควรระบายนํ้าออกจากพ้ืนท่ีกอนทําการถม เวนแตเปนบอที่มีความลึกและขอบบอ
อาจจะพิบัติเม่ือสูบนํ้าออก การสูบนํ้าอาจจะทําไมไดในกรณีที่มีขยะท่ีผุสลายไดหรือเปนพ้ืนท่ีดินเลน
จะตองขุดและลอกเอาขยะหรือเลนดังกลาวออก เวนแตสามารถถมไลเลนไดแตในสุดทายก็จะตองขุดเอาเลน
ท่ไี ลออกจากพ้ืนทก่ี ารถม
(3) ความหนาและการเกล่ียดินถม
คุณภาพของวัสดุดินถมตองเปนไปตามขอ 5 หรือตามขอกําหนดเฉพาะของงานนั้นๆ
การเกล่ียดินถมจะตองแบงช้ันถมอยางสมํ่าเสมอ ความหนาของดินแตละช้ันขึ้นอยูกับวัตถุประสงคในการถม
เชน กรณีถมท่ีเพ่ือปรับระดับพ้ืนดิน ควรทําการแบงช้ันการถมโดยแบงคร่ึงความหนารวมของการถม
แตตองไมเกินชั้นละ 1.00-1.25 เมตร หากเปนกรณีการถมเพ่ือรับน้ําหนักหรือเปนโครงสรางทางวิศวกรรม
จะตองใชความหนาของดินกอนบดอัดไมเกิน 30 เซนติเมตร เวนแตจะมีมาตรฐานของหนวยราชการอื่นกําหนดเฉพาะ
โดยท้ังสองกรณีดังท่ีกลาวตองใชวัสดุและเคร่ืองมือในการบดอัดที่ตางกัน และควรพิจารณาความหนารวมของ
การถมทงั้ หมดวาจะตอ งไมท าํ ใหดินฐานรากหรือตัวดนิ ถมเองพบิ ตั ิ ซง่ึ จะตอ งมีการประเมนิ โดยวศิ วกร
(4) การควบคุมปริมาณความช้ืนของดนิ ถม
ในกรณีการถมเพื่อรับนํ้าหนักหรือเปนโครงสรางทางวิศวกรรม ตองมีการตรวจสอบความชื้นของดินกอนถม
เพื่อใชควบคุมความชื้นระหวางการบดอัดดิน และมีการใหน้ําเพ่ือเพ่ิมความชื้นตามท่ีวิศวกรกําหนด
โดยความชื้นของดินถมตองสมาํ่ เสมอตลอดในทุกช้ันการบดอดั ดิน
98 มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดินและการบดอดั
(5) การถมดินใกล้กับโครงสร้าง เช่น ท่อระบายนํ้า โครงสร้างอาคาร ตอม่อสะพาน กําแพงกันดิน
โครงสร้างอ่ืนๆ รวมถึงดินถมด้านข้างหรือภายในบ่อขุดควรต้องให้ความระมัดระวังแรงดันจากการถมหรือกองดิน
ทอ่ี าจจะสง่ ผลกระทบต่อความปลอดภยั ของโครงสรา้ งข้างเคยี ง ท้งั นี้ตอ้ งพจิ ารณาประเด็นดังต่อไปน้ี
(ก) กําลังหรืออายุของโครงสร้างข้างเคียง ลักษณะฐานรากเช่นฐานรากบนพ้ืนดิน
(on-ground) หรือเสาเขม็ สั้นในชัน้ ดินอ่อน ซง่ึ อาจจะเคลื่อนตวั และเสียหายไดง้ า่ ย
(ข) ความเสยี หายตอ่ โครงสร้างใต้ดนิ เช่น ระบบท่อและบอ่ พัก
(ค) รูปแบบและวิธกี ารถมดินจะต้องไมส่ รา้ งความเดือดร้อนรําคาญใหก้ บั ผูอ้ ย่อู าศัยขา้ งเคยี ง
(ง) การพงั ทลายของพ้ืนที่ทต่ี ่ํากวา่ หรือบอ่ ขดุ ข้างเคยี ง
6.1.2 ขั้นตอนการบดอัดดิน
(1) การบดอดั ดินสําหรบั งานปรับระดบั พ้นื ที่ วสั ดถุ มต้องได้รบั การบดอัดเป็นชั้น ๆ โดยมชี นั้ การบดอัด
ไม่มากไปกว่า 1.00-1.25 เมตร และเดินย่ําด้วยรถแทรคเตอร์ D4 เป็นอย่างต่ํา เป็นจํานวน 3 รอบ
เป็นอย่างนอ้ ยหรือตามทีผ่ ู้ออกแบบกําหนด
(2) การบดอัดดนิ สําหรับใชเ้ ปน็ โครงสรา้ งเพือ่ การรับแรง ตอ้ งปฏบิ ตั ดิ งั นี้
(ก) สํารวจระดับและเตรยี มพื้นที่ตามหัวขอ้ 6.1.1
(ข) ทดสอบการบดอัดในห้องปฏิบัติการตามมาตรฐานที่กําหนดตามลักษณะการใช้งาน
เช่น standard compaction หรือ modified compaction ทั้งนี้ดินที่จะใช้ในการทดสอบจะต้องเป็นดิน
ท่ีจะใช้ในการบดอัดจริง โดยสุ่มเก็บตัวอย่างจากแหล่งดิน จํานวนของการทดสอบอย่างน้อย 3 การทดสอบ
ต่อ 1 แหล่งดิน ส่วนคุณสมบัติทางวิศวกรรม เช่น ค่า CBR ค่ากําลังรับแรงเฉือน หรือค่าความซึมน้ํา
ให้ดําเนินการทดสอบตามที่วิศวกรหรือมาตรฐานของงานนั้นกําหนด โดยจะต้องเตรียมตัวอย่างเพื่อทดสอบ
ให้ได้ตามค่าความหนาแน่นและความชื้นท่ีสอดคล้องกับค่าข้ันตํ่าที่ยอมให้ในการควบคุมงาน (ยกเว้นการ
ทดสอบ CBR) เช่น เตรียมความหนาแน่นดินที่ 97% ของค่าความหนาแน่นแห้งสูงสุด และความชื้น +2%
จากคา่ ความชื้นท่เี หมาะสม เพอ่ื นาํ มาทดสอบค่ากาํ ลังรบั แรงเฉอื นของดินบดอดั เปน็ ต้น
(ค) ค่าความหนาแน่นภายหลังการบดอัดดินในสนาม จะกําหนดจากผลการทดสอบ
ในห้องปฏิบัติการตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น โดยจะกําหนดเป็นร้อยละข้ันตํ่าของค่าความหนาแน่นแห้งสูงสุด
ที่ทดสอบได้ในห้องปฏิบัติการ เช่น ร้อยละ 97 หรือ ร้อยละ 95 เป็นต้น ทั้งนี้หากไม่ได้กําหนดเป็นอย่างอื่น
ต้องทําการถมบดอัดให้ได้ความแน่นอย่างน้อยร้อยละ 90 ของความแน่นแห้งสูงสุดแบบมาตรฐาน (standard
Proctor test) และต้องมีความหนาแน่นแห้งของดินถมบดอัดไม่ต่ํากว่า 15 กิโลนิวตันต่อลูกบาศก์เมตร
ยกเวน้ ดนิ ทีม่ ีการปรบั ปรุงด้านวศิ วกรรมเพือ่ ให้มคี ุณสมบตั ติ ามท่ีผอู้ อกแบบตอ้ งการ
มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดินและการบดอัด 99
(ง) การบดอัดในแต่ละช้ันต้องมีความหนาของชั้นดินก่อนบดอัดไม่เกิน 30 เซนติเมตร
หรือปรับเพิม่ ลดได้เมอื่ มกี ารทาํ แปลงทดสอบการบดอัดแลว้ ไดค้ วามหนาแน่นตามทีก่ าํ หนด
(จ) หากไม่ได้กําหนดเป็นอย่างอ่ืนความคลาดเคล่ือนของความชื้นวัสดุดินถมระหว่าง
การบดอดั ต้องไม่เกิน ±3% จากขอ้ กําหนด
(ฉ) หากมีฝนตกขณะบดอัดดินต้องหยุดการบดอัดและตรวจสอบความช้ืนของวัสดุดินถม
ก่อนดําเนินการบดอัดในช้ันถัดไป และหากช้ันท่ีบดอัดไปแล้วเปียกแฉะหรือเปล่ียนสภาพจะต้องลอกไปถึง
ช้ันทมี่ คี วามหนาแนน่ และความชน้ื ตามมาตรฐานกําหนดกอ่ นที่จะทําการบดอดั ต่อไป
(ช) ปรมิ าณการทดสอบความแนน่ ของดินในสนามตอ้ งมีการทดสอบตามตารางท่ี 1
ตารางที่ 1 ปรมิ าณการทดสอบความแนน่ ของดินในสนาม
(ขอ้ 6.1.2(ฉ))
ขนาดพ้ืนท่ีการบดอดั ปริมาณการทดสอบ
บรเิ วณท่ถี ูกจาํ กดั (confined area) ทดสอบทุก ๆ 50 ตารางเมตร/ 2 ชัน้ การบดอัด
เชน่ บริเวณใกลโ้ ครงสรา้ ง เปน็ ตน้
น้อยกวา่ 1,000 ตารางเมตร 1 ตําแหน่ง/ ชน้ั การบดอดั
ต้งั แต่ 1,000 ถงึ 2,500 ตารางเมตร 2 ตาํ แหน่ง/ ชนั้ การบดอดั
มากกว่า 2,500 ตารางเมตร 3 ตาํ แหนง่ / ชนั้ การบดอดั
และเพิม่ การทดสอบทกุ ๆ 2,500 ตารางเมตร
(3) การบดอัดดินถมต้องควบคุมอย่างเป็นระบบ การเลือกเครื่องมือบดอัดจะต้องพิจารณา
อย่างเหมาะสมกบั งานทที่ าํ ถา้ การตรวจสอบพบความผดิ ปกติหลายจุดตอ้ งมกี ารบดอดั ดินถมใหมอ่ กี ครง้ั
(4) การบดอัดใกล้กับโครงสร้างท้ังบนดินและใต้ดินต้องไม่ทําให้โครงสร้างเสียหายและไม่ทําให้เกิด
ความเดือดร้อนราํ คาญต่อพื้นท่ีข้างเคยี ง
(5) การบดอัดดินเพื่อใช้เป็นโครงสร้างทางวิศวกรรม เช่น คันดินก้ันนํ้าหรือเข่ือน ในส่วนท่ีจะต้อง
บดอัดส่วนของลาดดินให้ได้ความชันตามกําหนดต้องบดอัดดินเกินส่วนที่ต้องการอย่างน้อย 1.0 เมตร แล้วจึง
ตดั ดนิ ให้ไดร้ ปู รา่ งของลาดชนั ตามทต่ี ้องการ
(6) การพองตัวของดินบดอัด อาจเกิดขึ้นได้ขณะทําการบดอัดดินเมื่อดินอยู่ในสภาพที่เกือบอ่ิมตัวด้วยน้ํา
ดังนน้ั เพือ่ ลดการพองตัวของดนิ อาจสามารถหลกี เล่ยี งไดโ้ ดย
- ตรวจสอบให้แน่ชัดว่าวัสดุดินถมไม่อยใู่ นสภาพเกือบอ่ิมตัวดว้ ยนาํ้
- จัดเตรียมระบบระบายน้าํ และป้องกันนา้ํ สว่ นเกินระหวา่ งการบดอัด
- ต้องจัดเส้นทางขนสง่ วัสดไุ ม่ใหก้ ระทบกบั การบดอัด
100 มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดนิ และการบดอัด
6.1.3 ภายหลงั การบดอดั ดนิ
(1) ตองไมใชพ้ืนท่ีบริเวณขอบดานบนของคันดินถม เปนทางสัญจรหรือกองดินหรือกองวัสดุอ่ืนใด
ในลักษณะท่ีอาจทําใหเกิดการพังทลายของดินหรืออาจเปนภยันตรายกับสิ่งปลูกสรางในบริเวณนั้น เวนแต
มีระบบปองกันตามมาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1912-52 : มาตรฐานการปองกันการพังทลาย
สาํ หรบั งานขุดดินและถมดิน หรอื ผอู อกแบบไดทําการวเิ คราะหโ ดยคาํ นงึ ถึงน้ําหนักกระทาํ ดงั กลาวแลว
(2) ตองมีการปองกันความเสียหายพื้นผิวดินภายหลังการบดอัดแลวตอการกัดเซาะของนํ้า
หรือปจจัยเส่ียงอ่ืน ๆ เชน การจัดทํารองระบายน้ําผิวดินท้ังชั่วคราวหรือถาวรไมใหน้ําไหลลงลาดดินถม
โดยทไี่ มไดค วบคุม เปนตน
6.1.4 การจดบนั ทกึ ระหวางการถมและบดอัดดิน
ควรมีการจดบันทึกระหวางการกอสรางถึงสภาพหนางาน งานที่ไดทํา การทดสอบ และการแกไข
หรอื เปลย่ี นแปลงแบบ อยา งนอยดังน้ี
(1) ลักษณะขอบเขตพน้ื ทที่ ่ีทาํ การถมและบดอดั ดิน
(2) คา ระดับกอนหรอื หลงั การถางหรือลอกหนาดนิ
(3) ตําแหนงของตนไมหรือพมุ ไมใ หญท ี่ตัดออกไป
(4) คา ระดับหลังการถมและบดอัดดินแลวเสรจ็
(5) ชนิดหรอื ประเภทของวสั ดถุ มท่ใี ชบ ริเวณตา ง ๆ
(6) แหลง ของวัสดุถมที่ใชบรเิ วณตาง ๆ
(7) ตําแหนง ชนิด และผลของการทดสอบ หากเปนการทดสอบซํ้าในบริเวณท่ีทดสอบแลว
ไมผานเกณฑ ควรระบใุ หชดั เจน
(8) เมอ่ื พบวาดนิ ในบริเวณที่ทดสอบไมผา นเกณฑควรระบุใหชัดเจนถึงการแกปญหา
6.2 งานถมปรับระดับท่ีบนพน้ื ทล่ี าดเชงิ เขา
(1) การถมดินบนพื้นท่ีลาดเชิงเขา หากเปนการตัดไหลเขาและถมดินลงไปในพื้นท่ีที่ไมสามารถ
จะบดอัดดินถมได เชน การตัดไหลเขาแลวถมดินลงไปในลาดเชิงเขาที่สูงชันเพ่ือกอสรางสิ่งปลูกสรางดานบน
กรณีน้ีหามกอสรางอาคารหรือส่ิงปลูกสรางบนสวนของดินถม จะตองกอสรางในพื้นท่ีของสวนของดินตัด
ทีเ่ ปน พนื้ ดินเดิมทมี่ ั่นคงและควรมีระยะเวนตาง ๆ ดังแสดงตามรูปท่ี 1
(2) ในกรณีที่จะทําการกอสรางส่ิงปลูกสรางบนดินถม หรือกรณีท่ีมีส่ิงปลูกสรางดานลางลาดชัน
ท่ี อ า จ ไ ด รั บ ผ ล ก ร ะ ท บ จ า ก ดิ น ถ ม ห า ก เ กิ ด ก า ร พิ บั ติ ต อ ง มี ก า ร คํ า น ว ณ ค ว า ม ม่ั น ค ง ข อ ง ล า ด ชั น
ตามมาตรฐานประกอบการวิเคราะหความมั่นคงในพื้นท่ีเสี่ยงภัยดินถลม มยผ. 1916-62 เพ่ือกําหนดรูปราง
มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดนิ และการบดอัด 101
ของลาดดินถมใหเหมาะสม ท้ังนี้การถมดินบริเวณพ้ืนท่ีลาดเชิงเขา เมื่อความสูงในการถมมากกวา 1.5 เมตร
จะตองมีรองดินถม (key) บริเวณปลายพ้ืนท่ีลาดเอียงสูงอยางนอย 50 เซนติเมตร กวางอยางนอย 3 เมตร
และใหตัดดินเดมิ จนถงึ ช้ันดินท่มี ีความแขง็ แรงเปนข้ันๆ กอ นการถมดนิ ดังรปู ท่ี 2 ท้งั นเ้ี พอื่ เปนการลอกหนาดิน
ท่ีหลวมออก การทําเปน ขั้นจะทําใหการบดอัดดินแนบเขา กับลาดดินมากขึ้น
รปู ที่ 1 ระยะเวน เมือ่ มกี ารถมดินและขดุ ดินบริเวณพนื้ ที่ลาดเชงิ เขา
(ขอ 6.2 (1))
(3) ตองจัดใหมีระบบระบายนํ้าผิวดินเพื่อไมใหเกิดการกัดเซาะดินถมลงสูพ้ืนที่ขางเคียงหรืออุดตัน
ระบบระบายนํ้าสาธารณะและไมกอใหเกิดน้ําทวมในพื้นท่ีขางเคียงรวมท้ังไมกอใหเกิดการกัดเซาะถนน
ทอ ระบายนาํ้ บอ นา้ํ หรือโครงสรา งในบรเิ วณขางเคยี ง
(4) ตองจัดใหมีระบบระบายน้ําผิวดินและปองกันการกัดเซาะของลาดดินถมไมใหน้ําจากลาดเขาไหล
ลงมาสูลาดดินถมโดยตรง จะตองมีการทํารางดักน้ําและระบายออกในพื้นที่ท่ีจะไมถูกกัดเซาะ ลาดดินถม
จะตองมีการปองกันการกัดเซาะ อยางนอยเปนพืชคลุมดินและรูปแบบท่ีมีประสิทธิภาพมากข้ึนเมื่อลาดชัน
มีความชนั มากขน้ึ
(5) การบดอดั ดินปฏิบตั ิตามขั้นตอนขอ 6.1.1-6.1.2
รูปท่ี 2 รองดนิ ถมบรเิ วณปลายพน้ื ทล่ี าดเชิงเขา
(ขอ 6.2 (2))
102 มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดินและการบดอดั
6.3 การถมบอนํ้า
หากบอนํ้ามีความตื้นกวา 2.5 เมตร ซึ่งพอจะอยูในวิสัยท่ีจะระบายนํ้าออกโดยไมเกิดการเคลื่อนพัง
และกระทบตอพื้นท่ีขางเคียง ใหดําเนินการระบายนํ้าออก ลอกเลน แลวถมดิน หรืออาจจะถมไลเลนพรอมกับ
ระบายน้ําออก แลวจึงขุดเลนท่ีถูกดันออกไปจากพ้ืนที่ ท้ังนี้หากบอน้ํามีความลึกเฉล่ียลึกกวา 2.5 เมตร
จะตองมีขอพจิ ารณาดงั ตอไปนี้
6.3.1 ขอ พิจารณาเพอื่ ความปลอดภัยและผลกระทบตอส่ิงแวดลอ มเน่ืองจากการถมดินบอนาํ้
(1) การสูบนํ้าออกเพ่ือถมดินอาจจะทําใหดินรอบบอเกิดการเคลื่อนตัวและสงผลกระทบตอพื้นที่ขางเคียง
ห า ก ต อ ง ก า ร สู บ นํ้ า อ อ ก ต อ ง มี ก า ร สํ า ร ว จ ช้ั น ดิ น แ ล ะ วิ เ ค ร า ะ ห ค ว า ม ม่ั น ค ง ข อ ง ล า ด ชั น ร อ บ บ อ นํ้ า
เพือ่ นํามากาํ หนดอัตราการลดระดับนาํ้ ท่ีไมเ กิดอันตราย
(2) น้ําที่สูบออกอาจจะมีความเค็มหรือมีความเปนพิษที่มีระดับความอันตรายตอพืชหรือสุขภาพ
การทงิ้ หรือจดั การน้าํ ควรพิจารณาผลกระทบกับพน้ื ท่ีขา งเคียงดว ย
(3) หามกองดินริมบอน้ําเพื่อรอการถมสูงเกิน 2 เมตรและตองเวนระยะหางจากขอบบอน้ําอยางนอย
เทากับ 1 เทาของความลกึ สงู สุดของบอนํ้า เพ่ือปอ งกนั ผลกระทบตอการเคลื่อนตัวของดิน
(4) ในกรณีท่ีไมสามารถระบายน้ําออกได การถมดินลงไปในบอน้ําเพ่ือไลเลนและดันน้ําออก
ตอ งจัดทางระบายนํ้าทจ่ี ะไหลออกใหลงไปสูระบบระบายทเี่ พียงพอโดยจะตองไมใหนํ้าทวมขงั ไปยงั พื้นที่ขางเคียง
6.3.2 ขอ พจิ ารณาทั่วไปเพ่อื การถมดนิ บอน้าํ
ตองกําจัดหญาหรือวัชพืช หรือตนไม บริเวณริมตลิ่งท่ีจะถูกดินถม และวัชพืชที่ลอยนํ้า รวมถึงขยะเอาออก
ใหห มดกอนการถมดิน
6.3.3 วัสดุในการถมดินบอนํา้
วัสดุในการถมดินบอน้ําเปนไปตามขอ 5 ยกเวนกรณีที่ตองการใชฐานรากเสาเข็มตอก ไมควรถมดวยดินทราย
กรวด หรือซากวัสดุกอสราง เพราะจะไมสามารถตอกเสาเข็มได
6.3.4 วิธีการถมดินบอนาํ้
(1) ในกรณีท่ีสามารถจะระบายนํ้าออกไดอยางปลอดภัย ใหทําการขุดลอกเลนออก หรือถาถมไลเลน
ตอ งขุดตกั เลนออก
(2) ในกรณีท่ีไมสามารถจะระบายนํ้าออกจากบอได ใหเริ่มถมจากขอบบอบริเวณท่ีมีความชันนอย
และมคี วามลกึ ไมมากเมอ่ื เทียบกบั บริเวณอน่ื ๆ ในพ้นื ที่โครงการ
(3) ตอเน่ืองจากขอ (2) ใหถมไลเลนไปทางบริเวณที่เปนจุดที่ลึกท่ีสุดของบอ เพ่ือใหมวลดินถม
มคี วามมั่นคงโดยเร็ว โดยใชร ถยํา่ นวดดินใหไ หลไปตามทิศทีต่ องการ
(4) เม่ือดนิ ถมสงู กวา ระดบั น้ําในบอ ใหทาํ การบดอดั ตามขน้ั ตอนขอ 6.1
มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดินและการบดอัด 103
6.3.5 ขอ ควรคาํ นึงถึง
ภายหลังการถมดินบอน้ําอาจจะมีการทรุดตัวอยางมาก ทั้งสาเหตุจากวัสดุถมที่เปยกชุมนํ้าหากถม
โดยไมไดระบายน้ําออก อีกท้งั ยงั ยากตอการบดอัดดินถมใหแนนได นอกจากนั้นโอกาสท่ีจะเหลือดินเลนตกคาง
ท่ีกนบอ ที่อาจจะไมสามารถนําออกมาได ทําใหอาจจะเกิดการทรุดตัวระยะยาวของดินถมท้ังหมดได
ท้ังนี้จะสงผลกระทบโดยตรงตอการใชงานพ้ืนท่ีท้ังตัวอาคารเองและพ้ืนที่รอบอาคารรวมท้ังระบบ
สาธารณูปโภคตาง ๆ ท่ีต้ังอยูบนดินถม ดังนั้นจึงตองพิจารณาการใชพื้นท่ีอยางเหมาะสม หรือตองมีการ
ปรับปรุงคุณภาพดินโดยวิธีการที่เหมาะสม เชน การใชน้ําหนักกดทับกอน (preloading) การระบายนํ้าในแนวดิ่ง
ดวยแถบระบายน้ํา (prefabricated vertical drain, PVD) หรือการใช vacuum consolidation method (VCM)
เพ่อื เรงการทรุดตัวใหเ กดิ ในชวงระหวางการปรับปรุงคณุ ภาพดนิ ซ่ึงจะทาํ ใหก ารทรดุ ตัวในขณะใชงานเหลอื ไมมาก
6.4 การถมในโครงการบา นจัดสรร
การถมดินในพ้ืนท่ีบานจัดสรร มีทั้งการถมเพื่อปรับระดับพื้นท่ีและการถมเพ่ือใชเปนโครงสรางทางวิศวกรรม
ไดแก ถนนในโครงการ เปนตน การดําเนินการใหเปนไปตามขอ 5 และ ขอ 6.1 ถึง 6.3 ตามที่ไดกลาวมา
โดยมขี อ กาํ หนดเพ่ิมเติมดงั ตอ ไปน้ี
6.4.1 การประเมินการทรดุ ตัวเนอ่ื งจากนาํ้ หนักดนิ ถม
การถมดินในพื้นท่ีแปลงบานจัดสรรหรือถนนที่มีดินฐานรากซ่ึงสามารถทรุดตัวไดสูง เชน ดินเหนียวออน
ดินที่ถมลงในบอนํ้า ดินท่ีถมในบริเวณพื้นที่ต่ํา และดินฐานรากท่ีถมใหม ผูประกอบการโครงการบานจัดสรร
ควรทําการเจาะสํารวจและประเมินการทรุดตัวของดินฐานรากอยางนอยโครงการละ 3 หลุม พรอมท้ังทดสอบคุณสมบัติ
การทรุดตัวของดิน ในหองปฏิบัติการเเละคํานวณคาการทรุดตัวของชั้นดินตามเวลา เพ่ือใชอางอิงใน
การประเมนิ ผลกระทบทอ่ี าจเกิดขน้ึ จากการทรุดตัวดงั กลา ว
6.4.2 เครือ่ งจกั รสําหรับงานบดอดั ดนิ ในโครงการบานจัดสรร
การถมดินเพ่ือถมปรับระดับพ้ืนที่ดําเนินการโดยการใชเคร่ืองจักรเดินย่ํา เคร่ืองจักรท่ีใชไดแก รถแบคโฮ
รถแทรกเตอร หรือรถบด เปนตน โดยตองมีความดันท่ีกดลงบนพื้น (ground pressure) มากกวา
27.6 กิโลนิวตันตอตารางเมตร (4 psi) เชน รถแทรคเตอร D4 เปนตน สําหรับสวนของถนนหรือสวนที่จะใช
รับนํ้าหนกั หรอื เปนโครงสรางทางวศิ วกรรม ใหใ ชเ ครอื่ งจกั รและวธิ ตี ามมาตรฐานการถมบดอดั ถนน
6.4.3 วิธกี ารถมดินในโครงการบานจดั สรร
(1) ความสูงดินถมรวมตองไมเกิน 3 เมตร และความหนาดินถมแตละชั้นตองสูงไมเกิน 1.00-1.25 เมตร
โดยภายหลงั การบดอดั แลว รถแทรกเตอรตอ งไมจ มและไมเห็นรองลอรถแทรกเตอร จงึ จะถมช้นั ตอไปได
(2) กรณีความสูงดินถมรวมมากกวา 3 เมตร ดินที่ถมหรือดินฐานรากอาจจะพิบัติได ดังนั้น
จงึ ควรปรกึ ษาวศิ วกรผเู ชย่ี วชาญเฉพาะทาง
104 มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดินและการบดอดั
6.4.4 ข้อควรคาํ นงึ ถงึ
เนื่องจากการถมปรับระดับพ้ืนที่ไม่ได้มีการบดอัดดินเหมือนการถมบดอัดดินเพื่อเป็นโครงสร้างทางวิศวกรรม
ดงั นน้ั ตัวดินถมเองจะยงั มีช่องว่างทีอ่ าจจะมกี ารทรุดตวั หลงั จากถมไปแลว้ ได้ ทั้งนกี้ ารทรุดตัวจะเกิดเม่อื ผา่ นฤดฝู น
ไป 1 หรือ 2 คร้ัง และจะลดลงหรือแทบจะหยุด (ไม่เก่ียวกับการทรุดตัวของดินฐานรากจากนํ้าหนักดินถม
ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้มากในพืน้ ท่ีท่ีดินฐานรากเปน็ ดนิ เหนียวอ่อน) ทั้งนเี้ นอ่ื งจากนํ้าฝนจะไหลซึมเข้าไปและทําให้
เกิดการทรุดตัวเพิ่มเติม ดังน้ันเพื่อให้ระดับการถมดินสุดท้ายได้ตามกําหนด จึงควรถมดินเผอ่ื การทรุดตัวของดินถม
ประมาณร้อยละ 6 ของความสูงดินถม แต่ไม่ควรน้อยกว่า 5 เซนติเมตร เพ่ือลดปัญหาการยุบตัวของดินถม
(กรณีใชว้ ัสดุคัดเลือกทางวศิ วกรรมหรือวัสดุถมแบบแห้งใหว้ ศิ วกรผทู้ เี่ กี่ยวขอ้ งเปน็ ผูก้ าํ หนดคา่ การทรดุ ตัว)
7. คา่ การทรดุ ตัวที่ยอมใหใ้ นการถมตามวตั ถปุ ระสงค์ตา่ งๆ
7.1 ค่าการทรดุ ตัวที่ยอมให้ของดนิ ถมเพือ่ เป็นโครงสรา้ งทางวิศวกรรมไมค่ วรเกนิ 1% ของความสงู ดินถม
7.2 ค่าการทรุดตัวที่ยอมให้ของดินถมเพื่อปรับระดับพื้นที่ในงานโครงการบ้านจัดสรรควรมีค่าไม่เกิน 6%
ของความสงู ดินถม
7.3 ค่าการทรุดตัวของดินฐานรากจากการถมดินลงในพื้นท่ีดินอ่อน พ้ืนท่ีดินถมบ่อ หรือพื้นที่ท่ีได้ประเมิน
การทรุดตัวตามข้อ 6.4.1 ต้องไม่มากกว่า 30 เซนติเมตร ในเวลา 5 ปี ตามผลการวิเคราะห์การอัดตัวคายนํ้า
(consolidation) เฉล่ยี ทง้ั ในทิศทางเดียว (1-D) และสองทศิ ทาง (2-D) ของการระบายนํ้าของช้นั ดนิ
8. การปรับปรุงคุณภาพดนิ ฐานรากเพอ่ื ปอ้ งกันการพบิ ตั เิ เละการทรุดตัวเกนิ เกณฑ์
ชั้นดินถมน้ันสามารถทําการบดอัดด้วยวิธีต่าง ๆ ตามท่ีได้กล่าวมาข้างต้น หากดินฐานรากเป็นดินเหนียวอ่อน
อาจจะทาํ ให้เกดิ การทรุดตวั ในระยะยาวได้ ทงั้ นเ้ี พอ่ื ลดปญั หาการทรดุ ตัวของช้นั ดินฐานรากจากน้ําหนกั ของดินถม
จําเป็นต้องทาํ การปรบั ปรงุ คณุ ภาพดนิ ฐานรากเพอื่ ลดปญั หาการทรุดตัว โดยหลักทัว่ ไปมดี ้วยกนั 2 ประการได้แก่
(1) การสร้างโครงสร้างเพื่อถ่ายน้ําหนักดินถมผ่านชั้นดินอ่อนลงสู่ชั้นดินที่แข็งกว่า เทคนิคน้ีได้แก่
การกอ่ สร้างเสาเข็ม-ดนิ ซีเมนต์ การใช้เสาเข็มคอนกรตี เปน็ bearing unit หรือแม้กระท่ังการใชเ้ สาเขม็ ไม้
(2) การปรับปรุงดินเหนียวอ่อนให้มีคุณสมบัติทางวิศวกรรมดีขึ้น เทคนิคเร่ิมตั้งแต่การขุดลอกดิน
ที่มีปัญหาออกแล้วบดอัดกลับด้วยดินท่ีดีกว่า (soil replacement) การ preload การเร่งการทรุดตัว
พร้อมการ preload เช่น การติดตั้ง prefabricated vertical drains (PVD) เพ่ือระบายนํ้าออกจากมวลดิน
หรอื การเร่งการระบายนาํ้ ออกด้วยการใช้เทคนคิ vacuum consolidation method (VCM) เป็นตน้
การนําเทคนิคการปรับปรุงคุณภาพดินไปใช้ต้องพิจารณาองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน มาเปรียบเทียบ
การปรบั ปรงุ การทรุดตวั ดว้ ยวิธีต่าง ๆ ได้แสดงในตารางที่ 2
มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดินและการบดอัด 105
106 มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดินและการบดอดั ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบวิธกี ารปรับปรุงคณุ ภาพดนิ ในดานตา งๆ (สทุ ธศิ กั ด,ิ์ 2561)
(ขอ 8)
เงอ่ื นไข/วิธี soil replacement concrete pile soil-cement column prefabricated vertical drains vacuum consolidation method
ความหนาดนิ ออ น 3-5 เมตร เหมาะสมทสี่ ุด ทําได ทาํ ได
ความหนาดนิ ออน 5-18 เมตร ไมเหมาะสม ทาํ ได ทําได เหมาะสมทส่ี ดุ เหมาะสมท่ีสุด
ความหนาดนิ ออ น 18-25 เมตร ไมเ หมาะสม ทําไดย าก เหมาะสมที่สดุ
เทคนิคในการกอสรา งและคมุ งาน ไมซบั ซอน เหมาะสม เหมาะสมทีส่ ุด ซบั ซอน ซับซอน
เปนเทคนคิ ทีแ่ พรห ลายในประเทศ ใช ปานกลาง เพงิ่ เริ่มเขามาใช
เปน เทคนิคทแ่ี พรห ลายในตา งประเทศ ใช ทําไดแ ตอาจจะแพง ทาํ ไดยาก ใช ใช
การลดการทรุดตวั ของดนิ ถมในระยะยาว - เหมาะสม เหมาะสม
งานปองกนั งานขุด/ลาดชัน - ไมซับซอ น ปานกลาง เหมาะสม เหมาะสม
สถิติการพบปญหาในระยะยาว ไมม ี มีกรณีที่พบปญหา ไมม ี
ผลกระทบตอ ทีด่ นิ ขางเคยี ง ไมม ี ใช ใช ดินเคลอื่ นตัวออก ดนิ เคล่อื นตัวเขา
ความเรว็ ในการกอ สรา ง ชา ชา เร็ว
ราคาคากอสรา งรวมทัง้ ระบบ - ไมน ิยม/ราคาสงู ใช 2x x
ไมเหมาะกบั ดนิ ออ นมากหรอื มีการ พ้นื ที่ขา งเคียงอาจจะไดร บั ผลกระทบ
ขอ จํากัด ดินออนหนามากไมไ ด เหมาะสม เหมาะสม consolidate ไดยาก, ไมเ หมาะกับ จากแรง vacuum,ตอ งมีการเวน ระยะ
ชน้ั ดนิ ออ นท่หี นามาก เพราะ stress กบั ท่ีดินหรือสงิ่ ปลูกสรา งขา งเคียง
ขอเดน ถา ทาํ ไดจะประหยัด แลวแตกรณี แลวแตก รณี จะสงผลไปไดไ มถงึ ,
หมายเหตุ การ preloading ไมถ กู ตอ ง กอสรา งไดเ รว็ สามารถแกปญหาการ
Soil replacement มีกรณที พ่ี บปญ หา มีกรณีทีพ่ บปญ หา ทาํ ใหไ มไ ดแกปญ หา ทรุดตวั ท้งั การทรดุ ตวั รวมและการทรุด
Concrete pile แกปญหาการทรุดตัวรวมและ ตวั ตางกนั ในระยะยาวไดดี
Soil-cement column (SCC) ไมมี ไมมี การทรุดตวั แตกตางกันไดดี
PVD with preloading (PVD)
Vacuum consolidation (VCM) เร็ว เร็ว
3.5x 3x
ราคาสงู ,อาจเกดิ การทรดุ ตัว คุณภาพข้นึ อยูกบั การควบคมุ งาน,
ไมเทากันระหวา งเข็ม มีปญ หาการทรดุ ตวั แตกตางกนั
ระหวางสวนที่มีและไมม เี สาเข็ม,
ไมเ หมาะสมกับดนิ ทม่ี ีความเปน
อินทรยี ส ารสงู ,ระยะยาวมปี ญ หา
เร่อื ง creep
กอสรา งไดเรว็ แกป ญ หา การทรดุ กอ สรา งไดเร็ว แกป ญหาการทรดุ
ตัวโดยรวมได ตัวรวมได
คือ การขุดดนิ ออกแลว บดอัดดินใหมแ ทนท่ี
การใชเ สาเข็มตอกปพู รม
การใชเสาเขม็ ดิน-ซเี มนตปพู รม
Preload ดว ย ดนิ ถมและเรงการทรดุ ตวั ดว ย PVD
Preload ดวย Vacuumและเรง การทรุดตัวดว ย PVD
9. การตรวจสอบการบดอัด
การตรวจสอบความหนาแนน ของดินในสนาม (field density test) ภายหลงั การบดอดั มีเทคนคิ ดังน้ี
9.1 การทดสอบแบบใชกรวยทราย (sand cone method, ASTM D1556)
เปนการทดสอบที่ใชทรายเพ่ือชวยในการหาปริมาตรของหลุม ซ่ึงขนาดของเม็ดทรายจะตองมีลักษณะกลม
และมีขนาดสมํ่าเสมอกัน โดยอาจจะใชทรายท่ีรอนผานตะแกรงเบอร 20 คางตะแกรงเบอร 30 แทนได
เพ่ือใหไดผลความหนาแนนท่ีเทากันโดยตลอด และไมเกิดการแยกตัวของเม็ดทรายขณะทําการทดสอบ
รายละเอียดการทดสอบใหปฏิบัติตามมาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 2204-57:
มาตรฐานการทดสอบหาคา ความแนน ของวัสดุงานทางในสนาม (field density test)
ขอควรระวังเพ่ือปองกันการผิดพลาด คือ ตองปองกันไมใหเกิดชองวางภายใตแผนรอง ทรายที่ใช
ในการทดสอบตองสะอาดและแหง ไมจับตัวเปนกอน และไมควรทดสอบดวยวิธีนี้หากในหลุมมีน้ําขัง
หรอื แฉะ เพราะทรายจะไหลไมส ะดวก
9.2 การทดสอบแบบใชลกู โปง ยาง (rubber balloon method, ASTM D2167)
เปนการทดสอบที่ใชน้ําเพื่อชวยในการหาปริมาตรของหลุมซ่ึงสะดวกและรวดเร็วกวาการทดสอบแบบใชกรวยทราย
โดยการทดสอบตองอาศัยลมจากลูกบอลบีบอัดลงไปตรงสวนบนของผิวนํ้าในหลอดแกวของเคร่ืองมือ เพ่ือทําใหน้ํา
ในหลอดแกวถูกดันออกไปในลูกโปงยางและไหลลงไปในหลุมทดสอบที่ขุดเอาไวใตแผนรอง ลมท่ีอัดลงไปนี้
มสี ว นชวยใหน ้ําในลูกโปงยางอดั แนบสนิทกบั กมหลุม ทําใหไ ดคาปริมาตรของหลุมทที่ ดสอบ
ขอควรระวังเพื่อปองกันการผิดพลาด คือ ควรปองกันไมใหเกิดชองวางภายใตแผนรอง และพ้ืนผิว
ในการติดตั้งอุปกรณไมไดระดบั และระวงั ลูกโปงยากแตก
9.3 การทดสอบแบบนวิ เคลยี ร (nuclear method)
การทดสอบโดยวิธีนี้เปนการหาคาความหนาแนนของดินและปริมาณความช้ืนของดินบดอัดแนน โดยใชรังสีแกมมา
(Gamma ray) สงผานชนั้ ดินท่ีตองการ กอนท่ีจะไปเขาเครื่องรบั รังสี ถารังสีสะทอนกลับไปยังเครื่องรับมาก แสดงวา
ดนิ มีความหนาแนน สูง สวนการหาปริมาณความช้ืนโดยใชนิวตรอน (Neutron) สง ผา นเขา ไปในดนิ และสะทอน
ไปยังเครื่องรับอนุภาคของนิวตรอนจะไปชนกับอะตอมของไฮโดรเจนซ่ึงเปนองคประกอบของน้ํา
ถานิวตรอนสะทอ นกลบั เขา เครอ่ื งรับชา แสดงวา ปริมาณนา้ํ ในมวลดินมาก
ขอควรระวังเพื่อปองกันการผิดพลาด คือตองมีการสอบเทียบเคร่ืองมือ (calibration) กอนการใชงาน
และตองเตรียมพนื้ ผวิ ดนิ ทดสอบเพ่อื ใหแนบกับเครื่องมอื และตอ งตรวจสอบคุณภาพของเครืองมอื อยูสมํา่ เสมอ
เพื่อไมใ หม กี ารรั่วไหลของรังสี
มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดนิ และการบดอดั 107
10. เอกสารอา งอิง
10.1 Australian Standard (2007) : AS 3798-2007. Guidelines on Earthworks for Commercial and
Residential Developments.
10.2 สทุ ธิศกั ดิ์ ศรลมั พ. 2561. การแกป ญหาการทรดุ ตวั ของงานถนน งานถมที่ และถมบอ ดิน
ในพื้นที่ดินเหนียวออนกรุงเทพฯ ดวยการปรับปรุงคุณภาพดิน และเทคนิค VCM. หนวยวิจัยการออกแบบ
และวิจัยดานวิศวกรรมปฐพี ศูนยวิจัยและพัฒนาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก คณะวิศวกรรมศาสตร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.
108 มยผ.1918-62 : มาตรฐานการถมดินและการบดอดั