รปู ท่ี 13 ความลึกและความยาวของการวิบัตสิ ําหรบั Janbu’s Simplified Method
(ขอ 4.3.2.2(2))
4.3.2.3 วิธีการวิเคราะหการเลือ่ นไถลแบบหมนุ
(1) วาดรูปรางของพ้ืนท่ีลาดเอียงท่ีตองการวิเคราะห พรอมทั้งกําหนดคุณสมบัติดิน
และปจจยั ภายนอกตางๆ ทกี่ ระทํากับพนื้ ที่ลาดเอยี ง
(2) กําหนดจุดศูนยกลาง และรัศมี เพ่ือสรางสวนโคงของวงกลมแทนลักษณะผิวการวิบัติ
ทม่ี ีโอกาสเกดิ หรอื เกิดการวบิ ตั แิ ลว
(3) คํานวณคาอัตราสว นความปลอดภัย
(4) เปลี่ยนจุดศูนยกลาง และรัศมีของการวิบัติที่นาจะมีโอกาสเกิดข้ึนไปเร่ือย ๆ จนพบ
คาอตั ราสวนปลอดภยั ทน่ี อยที่สดุ จะเปนลกั ษณะการวบิ ตั ิที่นา จะเกิดขนึ้ มากท่ีสุด
4.3.2.4 เกณฑส าํ หรับการวิเคราะห
โดยทวั่ ไปการวิเคราะหเสถียรภาพเสถียรภาพความมัน่ คงของลาดชัน ควรวิเคราะหท้งั ลาดชัน
ที่ตัดหรือถมใหม (new slope) ลาดชันเดิมที่เคยตัดหรือถมไวกอน (temporary work) และลาดชัน
ตามธรรมชาติ (natural slope) เพื่อหาคาอตั ราสวนความปลอดภัยตามสภาพลาดชนั นนั้ ๆ
หมายเหตุ: ทุกลาดชันตามธรรมชาติไมไดปลอดภัยเพียงพอในทุกกรณี โดยทั่วไปลาดชัน
ตามธรรมชาติจะเกดิ การพังพบิ ัตชิ วงฤดูมรสุม แมว า ไมมีการทาํ กจิ กรรมใด ๆ กต็ าม เชน การตัดตน ไม หรอื การ
พัฒนาพื้นท่ีรอบๆ พ้ืนที่ลาดชันตามธรรมชาติ ดังนั้นเสถียรภาพของลาดชันตามธรรมชาติและบริเวณใกลเคียง
พืน้ ทโี่ ครงการควรประเมินรวมดว ย โดยปกตไิ มควรเปล่ียนแปลงสภาพของลาดชันตามธรรมชาติ และทาํ ลายตนไม
หรือพืชคลุมดินเพราะลาดชันเพิ่งปรับสภาพใหมีความเสถียรมั่นคงข้ึนเพียงเล็กนอย กรณีท่ีลาดชัน
มีคาอัตราสวนความปลอดภัยไมเพียงพอ ไมควรกอสรางส่ิงปลูกสรางท้ังหลายบนพ้ืนท่ีท่ีมีผลตอเสถียรภาพ
ของลาดชนั ตามธรรมชาติในบรเิ วณขา งเคียง
คาอัตราสวนความปลอดภัย (F.S.) ที่แนะนําสําหรับการวิเคราะหความม่ันคงของลาดเชิงเขา
ท่ีมีการกอสรางอาคาร หรือการขุดดินและถมดินในกรณีการใชงานปกติดวยวิธีสมดุลจํากัด
(Limit Equilibrium Method, LEM) แสดงในตารางที่ 4 และ 5 ตามลําดับ สวนคาอัตราสวนปลอดภัย
ในชว งเวลาสําคัญอนื่ ๆ (ตามขอ 4.2.1) สามารถปรับลดลงไดร อ ยละ 15-20 หรอื ตามความเหมาะสม
มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหค วามมัน่ คงในพน้ื ทเี่ สยี่ งภยั ดนิ ถลม 37
ตารางที่ 4 อัตราสว นความปลอดภยั สําหรับการวเิ คราะหความม่นั คงของลาดเชิงเขา
ที่มกี ารกอ สรา งอาคาร ในกรณกี ารใชง านปกติ
(ขอ 4.3.2.4)
ประเภทอาคาร อตั ราสวนความ
ปลอดภัยขัน้ ตํ่า
(ก) อาคารท่จี ําเปนตอ ความเปนอยูของสาธารณชน เชน สถานพยาบาล
ทร่ี ับผูปว ยไวค า งคืน สถานีดบั เพลิง อาคารศูนยบรรเทาสาธารณภัย 1.80
อาคารศูนยส อ่ื สาร ทา อากาศยาน โรงไฟฟา โรงผลติ และเก็บนา้ํ ประปา
1.80
(ข) อาคารเก็บวัตถุอนั ตราย เชน วัตถรุ ะเบิด วตั ถไุ วไฟ วัตถมุ ีพิษ
วตั ถกุ ัมมนั ตรังสหี รือวัตถทุ ร่ี ะเบดิ ได
(ค) อาคารสาธารณะ เชน โรงมหรสพ หอประชุม หอศิลป พิพิธภัณฑสถาน 1.50
หอสมดุ ศาสนสถาน สนามกีฬา อฒั จันทร ตลาด หางสรรพสินคา ศนู ยการคา
สถานีรถ โรงแรม สถานบรกิ าร และอาคารจอดรถ
(ง) สถานศึกษา 1.50
(จ) สถานรบั เลี้ยงเด็กออน 1.50
(ฉ) อาคารท่ีมผี ใู ชอ าคารไดต ้ังแตห า พนั คนขน้ึ ไป 1.50
(ช) อาคารท่ีมีความสูงตัง้ แตส ิบหาเมตรข้ึนไป 1.50
(ซ) สะพานหรอื ทางยกระดบั ที่มีชวงระหวางศูนยกลางตอมอยาว 1.50
ตงั้ แตส บิ เมตรข้ึนไป
(ฌ) เขื่อนเก็บกักน้าํ เขอื่ นทดน้ําหรอื ฝายทดนา้ํ ท่ตี วั เข่ือนหรอื ตัวฝาย 1.50
มคี วามสูงต้งั แตสบิ เมตรข้ึนไป
(ญ) ถนนสายหลกั ทางหลวงสายหลกั 1.50
1.30
(ฎ) โกดังเก็บสนิ คา อาคารเก็บของ พชื ผลทางการเกษตร
(ไมมีผลกระทบตอ ชีวิต) 1.30
(ฏ) พ้นื ที่โลง พืน้ ที่ปา ไม พืน้ ท่ีการเกษตร ลานจอดรถ ถนนสายรอง
(ไมมผี ลกระทบตอชวี ติ )
38 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหความม่นั คงในพน้ื ท่ีเสย่ี งภัยดนิ ถลม
ตารางที่ 5 อัตราสวนความปลอดภยั สําหรับการวิเคราะหความมัน่ คงของลาดเชิงเขา
ทีม่ กี ารขดุ ดนิ หรือถมดนิ ในกรณีการใชงานปกติ
(ขอ 4.3.2.4)
ประเภทงานขุดดินหรอื ถมดิน อัตราสวนความ
ปลอดภัยขั้นต่ํา
งานขดุ ดินแบบถาวร และมีสิ่งกอ สรา งในระยะใกลเคียงที่จะกอใหเกิดอันตราย
ตอชีวติ หรือทรัพยสิน 1.80
งานขุดดินแบบถาวร และไมมีสง่ิ กอ สรางในระยะใกลเคยี ง 1.50
1.50
งานขุดดนิ แบบช่วั คราว และมีส่ิงกอ สรางในระยะใกลเ คยี งท่ีจะกอใหเกิดอันตราย
ตอชวี ติ หรือทรัพยส ิน 1.30
1.80
งานขุดดินแบบชั่วคราว และไมม ีส่ิงกอสรางในระยะใกลเคยี ง
1.50
งานถมดนิ แบบถาวร และมสี ิ่งกอ สรา งในระยะใกลเคียงทจ่ี ะกอ ใหเ กดิ อันตราย 1.50
ตอ ชวี ิตหรือทรัพยส ิน
1.30
งานถมดนิ แบบถาวร และไมม ีสง่ิ กอสรางในระยะใกลเคียง
งานถมดนิ แบบชวั่ คราว และมีส่งิ กอ สรางในระยะใกลเคียงที่จะกอใหเกิดอันตราย
ตอ ชวี ติ หรือทรัพยสิน
งานถมดนิ แบบช่ัวคราว และไมมีสงิ่ กอสรา งในระยะใกลเคียง
4.4 การรายงานผลการวิเคราะหเสถยี รภาพของลาดเอียง
การรายงานผลการคาํ นวณคา เสถยี รภาพความลาดเอยี งตอ งแสดงขอมูลอยา งนอย ดังน้ี
(1) รายงานขอมลู ชัน้ ดนิ
(2) คาตัวแปรทใ่ี ชใ นการคํานวณ
(3) ลักษณะรปู รา งของพน้ื ทลี่ าดเอียง
(4) ลักษณะแนวการวิบตั ิ
(5) คา อัตราสวนความปลอดภยั
มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหความมัน่ คงในพน้ื ท่ีเสยี่ งภัยดินถลม 39
5. การคํานวณหาค่าเสถียรภาพความลาดเอียงโดยวธิ อี ่ืนๆ
การคํานวณหาค่าเสถียรภาพความลาดเอียงโดยวิธีอ่ืนๆ นอกจากวิธีสมดุลจํากัด (Limit Equilibrium Method, LEM)
เพ่ือต้องการหาปริมาณการเคล่ือนตัวหรือหน่วยแรงที่เกิดข้ึนในพ้ืนที่ลาดเอียง สามารถคํานวณโดยใช้
วิธีเชิงตัวเลข (Numerical Method) ซ่ึงวิธีท่ีใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน คือวิธีไฟไนต์อิลิเมนต์
( Finite Element Method, FEM) แ ล ะ วิ ธี ไ ฟ ไ น ต์ ดิ ฟ เ ฟ อ เ ร น ซ์ ( Finite Difference Method, FDM)
ท้ังน้ีขั้นตอนการคํานวณโดยวิธีเชิงตัวเลขมีความยุ่งยากซับซ้อน ส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ในการคาํ นวณ ทง้ั นก้ี ารเตรยี มข้อมลู และเงือ่ นไขในการวเิ คราะหใ์ ห้เป็นไปตามข้อ 4.1 และข้อ 4.2 ตามลาํ ดบั
5.1 เกณฑ์สาํ หรบั การวเิ คราะห์
ผลลพั ธจ์ ากการวิเคราะหต์ ้องสามารถนาํ มาประเมินวา่
(1) สถานะหน่วยแรง (stress) ที่เกิดข้ึนในมวลดินต้องไม่มากกว่ากําลังต้านทานของดิน (mobilized
strength of soil) จนส่งผลให้บริเวณที่เกิดสภาพพลาสติก (plastic zone) ขยายตัวไปเป็นระนาบวิบัติ
(failure plane)
(2) ปริมาณการเคลื่อนตัวสูงสุดท่ีเกิดขึ้นในมวลดิน จะต้องอยู่ในเกณฑ์ใช้งานท่ียอมรับได้
(serviceability) โดยไมส่ ง่ ผลตอ่ การใชง้ านของอาคาร สงิ่ ก่อสร้าง และโครงสรา้ งพน้ื ฐานขา้ งเคียง
5.2 การรายงานผล
การรายงานผลอาจจะแสดงข้อมูลในรูปแบบกราฟิก และ/หรือรูปแบบตารางตัวเลข ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูล
อย่างนอ้ ย ดงั น้ี
(1) ข้อมูลชน้ั ดิน
(2) คา่ ตวั แปรและแบบจาํ ลอง (model) ทใ่ี ช้ในการคาํ นวณ
(3) รูปร่างของพื้นที่ลาดเอียง การแบ่งช้ินส่วนย่อย (mesh generation) และการกําหนดเง่ือนไขขอบ
(boundary condition)
(4) ลักษณะการเคล่อื นตวั ของชน้ิ ส่วนยอ่ ย (mesh deformation)
(5) คา่ หนว่ ยแรงและความเครียดของแต่ละชนิ้ ส่วนย่อย
(6) บรเิ วณทเ่ี กดิ สภาพพลาสตกิ (plastic zone)
(7) คา่ อตั ราสว่ นปลอดภัย (ถ้ามี)
40 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะห์ความมั่นคงในพืน้ ที่เส่ียงภยั ดินถล่ม
6. ตวั อยา งการคาํ นวณเสถียรภาพความลาดชัน
ตัวอยา งรายละเอียดการคํานวณเสถยี รภาพลาดชนั ไดมีการจัดทําไวในคูมือการใชมาตรฐานประกอบการปฏิบัติ
ตามกฎหมายวาดวยการขุดดินและถมดินอยางละเอียด ซึ่งในสวนของมาตรฐานน้ีจะนําเสนอบางสวน
เพอ่ื เปน ตัวอยา งสามารถนําไปประยกุ ตใ ชต อไป
ข้ันตอนการคํานวณเสถียรภาพลาดชัน เริ่มจากการสํารวจสภาพพื้นที่โครงการ เจาะสํารวจช้ันดิน
แปรผลสภาพชั้นดินและลักษณะของช้ันดิน รูปที่ 14 และตารางท่ี 6 แสดงตัวอยางลักษณะชั้นดินท่ีไดจาก
การแปรผลขอมลู จากการเจาะสํารวจและการทดสอบ รูปท่ี 15 ลักษณะหนาตัดที่จะทาํ การวิเคราะหเ สถียรภาพ
ลาดชนั พรอมทัง้ กําหนดเงอื่ นไขในการวเิ คราะห
รปู ที่ 14 ตวั อยางลักษณะของชนั้ ดนิ ที่ใชในการคํานวณ
(ขอ 6)
มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหค วามม่นั คงในพ้นื ที่เส่ยี งภัยดนิ ถลม 41
รปู ที่ 15 ตัวอยา งลักษณะหนาตดั สาํ หรบั การคํานวณหาคา เสถียรภาพ
(ขอ 6)
ตารางท่ี 6 คุณสมบตั ขิ องดินที่ใชสาํ หรบั การวเิ คราะหเ สถียรภาพโดยวิธีสมดุลจาํ กัด
(ขอ 6)
ลาํ ดบั ช้นั ดนิ cφγ E υ
(kN/m2) (°) (kN/m3) (kN/m2) 0.3
0.3
1 ดินเปลือก 50.0 10.0 17.7 12,000 0.3
0.3
2 ดนิ เหนียวแข็งปานกลาง 27.9 0.0 15.2 6,696 0.3
3 ดินเหนยี วแข็ง 44.4 0.0 23.1 10,656
4 ดินเหนียวแข็งถงึ แข็งมาก 79.3 0.0 16.2 19,032
5 ดนิ ทราย 0.0 38.5 19.3 30,000
หมายเหตุ : การวิเคราะหดวยวิธีสมดุลจํากัดใชคา c, φ และ γ เทาน้ัน เม่ือวิเคราะหดวยวิธีไฟไนตอิลิเมนต
ใชคา c, φ , γ, E และ υ
6.1 ตัวอยางการคํานวณดวยวิธสี มดลุ จาํ กัดโดยใชต าราง
การคาํ นวณโดยใชต ารางคํานวณสามารถทาํ ได ดังนี้
(1) วาดรูปหนาตัดท่ีตองการวิเคราะห แลวกําหนดตําแหนงจุดศูนยกลางและรัศมีเพื่อเปนตัวแทน
ของวงการวิบตั ิ ดงั รูปที่ 16
(2) แบงชิ้นสวนมวลดินตามแนวดิ่งใหมีความกวางเทาๆ กัน และแบงเพิ่มเติมบริเวณท่ีเปนจุดเปลี่ยน
ความชนั และบริเวณท่วี งการวบิ ตั ิตัดกบั ชัน้ ดนิ ดงั รปู ท่ี 17
42 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหความม่นั คงในพน้ื ท่เี สย่ี งภยั ดินถลม
(3) วัดความกวางของแตละช้ินสวน คํานวณนํ้าหนัก และหาคากําลังรับแรงเฉือนของดินบริเวณ
ท่ีวงการวบิ ัติตดั ผา น แลว นาํ ผลใสในตารางคาํ นวณ
(4) คํานวณคาตางๆ ในตารางโดยวิธี Simplified Bishop ดังตารางท่ี 7 ไดคาอัตราสวนความปลอดภัย
สําหรับผวิ การวบิ ัตทิ ก่ี าํ หนดเทา กบั 2.06
รูปที่ 16 การกาํ หนดจดุ ศนู ยกลางและรศั มสี ําหรับการวเิ คราะห
(ขอ 6)
รปู ที่ 17 การแบง ชิ้นสวนมวลดินตามแนวด่ิง 43
(ขอ 6)
มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหความมน่ั คงในพน้ื ทเ่ี ส่ยี งภัยดนิ ถลม
44 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหค วามม่นั คงในพ้นื ที่เส่ยี งภัยดนิ ถลม ตารางท่ี 7 ตัวอยางการคาํ นวณดว ยวิธีสมดุลจํากดั โดยใชตารางคาํ นวณ (ขอ 6)
(1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) (8) (9) (10) (11) (12) (13)
Slice No. c tanφ c.bi γ.hi.bi [(7)+(8)]*(9) Mθ (10)/Mθ (9)*sinθi
φ bi θi hi T2 T3
(m) (deg.) (m) 0.75 0.75
(kN/m2) (deg.) 1.90 46.44 1.05 (kN) (kN) (kN) T1 1.00 0.75 T4 T1 T2 T3 T4
2.53 41.27 3.05 1.00 0.81
1 50 10 2.55 35.67 5.00 0.18 94.84 37.15 101.39 0.77 0.99 0.85 0.75 130.94 134.98 134.37 135.00 26.92
1.18 31.41 6.31 0.99 0.89
2 27.9 0 4.00 26.56 6.78 0.00 70.46 132.23 70.46 0.75 0.99 0.95 0.75 93.74 70.56 93.74 93.74 87.22
4.00 18.67 6.44 1.00 0.98
3 27.9 0 4.00 11.44 5.54 0.00 71.08 208.90 71.08 0.81 1.00 1.00 0.81 87.49 71.35 87.49 87.49 121.81
2.50 5.05 4.88 1.00 1.00
4 44.40 0 2.50 0.46 5.00 0.00 52.20 122.69 52.20 0.85 1.00 1.00 0.85 61.16 52.51 61.16 61.16 63.94
3.08 -4.61 4.11 1.00 0.98
5 44.40 0 4.55 -10.94 1.88 0.00 177.60 475.02 177.60 0.89 0.89 198.55 178.85 198.55 198.55 212.40
6 44.40 0 0.00 177.60 496.46 177.60 0.95 0.95 187.46 178.73 187.46 187.46 158.93
7 44.40 0 0.00 177.60 474.00 177.60 0.98 0.98 181.20 178.43 181.20 181.20 94.01
8 44.40 0 0.00 111.00 281.82 111.00 1.00 1.00 111.43 111.40 111.43 111.43 24.81
9 44.40 0 0.00 111.00 288.75 111.00 1.00 1.00 111.00 111.42 111.00 111.00 2.32
10 44.40 0 0.00 136.75 292.42 136.75 1.00 1.00 137.20 137.10 137.20 137.20 -23.50
11 44.40 0 0.00 202.02 197.60 202.02 0.98 0.98 205.76 202.13 205.76 205.76 -37.50
Σ 1505.95 1427.47 1509.37 1510.01 731.35
F.S. = SUM of COL.(12)/SUM of COL.(13)
Trial No. T1 T2 T3 T4
Assumed F 1.500 2.059 1.952 2.064
Calculated F 2.059 1.952 2.064 2.065
Difference of F -0.559 0.107 -0.112 -0.001
6.2 ตวั อยา งการคาํ นวณดว ยวิธสี มดลุ จํากดั โดยใชโ ปรแกรมคอมพวิ เตอร
การคาํ นวณโดยใชโปรแกรมคอมพิวเตอรส ามารถทําได ดงั น้ี
(1) ปอนขอมลู คุณสมบตั ิดนิ และขอ มลู รปู รา งของช้ันดนิ
(2) กาํ หนดวิธีการคน หาคาอตั ราสวนความปลอดภัยท่ตี ํ่าทีส่ ดุ
การคํานวณเสถียรภาพลาดชันโดยใชโปรแกรมคอมพิวเตอรไดหลายโปรแกรม เชน KUslope 2.0 ,Slope-W,
Slide เปนตน ตวั อยา งผลการคํานวณใชโปรแกรม KUslope 2.0 แสดงดังรูปที่ 18 ซง่ึ สามารถสรุปไดดังนี้
ลาดชันมีความปลอดภัยเพียงพอทั้งในระหวางการกอสรางและใชงาน คือในระหวางการกอสรางมีคา
อัตราสวนความปลอดภัย 1.87-1.96 (มากกวา 1.30) และในชวงการใชงานมีคาอัตราสวนความปลอดภัย
1.56-2.46 (มากกวา 1.50)
รปู ที่ 18 ตัวอยา งผลการคํานวณโดยโปรแกรม KUslope 2.0
(ขอ 6)
มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหความม่ันคงในพน้ื ทเี่ สีย่ งภัยดนิ ถลม 45
6.3 ตวั อยางการคํานวณดว ยวธิ ไี ฟไนตอ ลิ เิ มนต
การคํานวณโดยใชโปรแกรมคอมพิวเตอรส ามารถทาํ ได ดงั น้ี
การคํานวณดวยวิธีไฟไนตอิลิเมนตสามารถทําไดโดยการใชโปรแกรมคอมพิวเตอร เชน โปรแกรม Plaxis,
Midas เปนตน ซึ่งแตละโปรแกรมมีหลักการที่คลายกัน ซ่ึงอาจมีรายละเอียดการใชงานท่ีแตกตางกันบาง
โดยท่วั ไปมหี ลกั การดงั น้ี
(1) กาํ หนดคุณสมบตั ชิ นั้ ดินทใี่ ชในการวิเคราะห
(2) กําหนดเง่อื นไขขอบเขต (boundary condition)
(3) แบง ช้นิ สวนยอย (mesh generation) สาํ หรับแตละกรณีการวเิ คราะห ดังรูปท่ี 19
(4) กาํ หนดคาเริ่มตนตางๆ เชน หนว ยแรง ระดับนํ้า เปน ตน
(5) วิเคราะหหนวยแรงในมวลดิน ลักษณะการเคลื่อนตัว และบริเวณที่เกิดสภาพพลาสติก
(plastic zone) ผลการวิเคราะหสาํ หรับแตล ะกรณีแสดงในตารางท่ี 8 และรูปท่ี 20 ถงึ 22 ตามลาํ ดับ
ตารางท่ี 8 สรุปผลการคาํ นวณดวยวธิ ีไฟไนตอลิ เิ มนต
(ขอ 6)
ลําดบั กรณี Live Load F.S. ระยะการเคลื่อน
(kN/m2) ตัวในแนวราบ
(cm.)
1 กรณีทาํ การขดุ ดินท่คี วามลึกไมเกิน 6 เมตร 20 2.32 5.5
2 กรณีทาํ การขดุ ดินทีค่ วามลึกไมเกนิ 12 เมตร 20 2.04 7.1
(ตอ จากกรณี 1)
3 กรณหี ลงั จากขดุ ดนิ แลวเสรจ็ และมนี ํ้าในบอขดุ ดนิ 10 2.92 5.0
4 กรณีระดับนํา้ ในบอลดระดับอยา งรวดเรว็ 10 1.90 7.4
หมายเหตุ : การวิเคราะหดว ยวธิ ีไฟไนตอลิ ิเมนตจ ะทําการวเิ คราะหต ามข้ันตอนการกอ สราง เชน ทาํ การขุดดิน
ที่ความลกึ 6 เมตร ข้นั ตอนตอมาทําการขุดตอจากเดมิ 6 เมตร ขุดตอ ไปถึง 12 เมตร หลังจากนนั้ เตมิ นํ้าเต็มบอ
และสมมติกรณนี าํ้ ลดอยางรวดเรว็ เปน ตน
6.4 การออกแบบปอ งกนั การพงั ทลายของพ้ืนที่ลาดเอยี ง
สําหรับตัวอยางการออกแบบปองกันการพังทลายของพื้นที่ลาดเอียงดวยวิธีการตางๆ เชน การเสริมแรง
ดวย เสาเข็ม เข็มพืด เข็มสมอ เปนตน แสดงรายละเอียดในคูมือการใชมาตรฐานประกอบการปฏิบัติ
ตามกฎหมายวาดว ยการขุดดินและถมดนิ
46 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหค วามมน่ั คงในพืน้ ท่เี สย่ี งภยั ดนิ ถลม
กําหนดแรง การแบงช้ินสวนยอ ย
เงื่อนไขขอบ เงอ่ื นไขขอบ
เงือ่ นไขขอบ
รูปท่ี 19 ตัวอยา งการแบง ชิ้นสว นยอยและการกาํ หนดเง่ือนไขขอบ
(ขอ 6)
รูปที่ 20 ตวั อยางผลการวิเคราะหห นวยแรงในมวลดิน 47
(ขอ 6)
มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหความมน่ั คงในพื้นท่ีเสีย่ งภยั ดินถลม
รปู ที่ 21 ตวั อยางลักษณะการเคล่อื นตัว
(ขอ 6)
รูปที่ 22 ตวั อยางบริเวณที่เกิดสภาพพลาสตกิ
(ขอ 6)
48 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวเิ คราะหค วามมั่นคงในพื้นท่เี สี่ยงภยั ดินถลม
7. เอกสารอา งอิง
7.1 รายงานการศกึ ษาพฤติกรรมการเกดิ นํ้าทวม-ดนิ ถลม ในพืน้ ทต่ี น แบบเพอื่ สรา งแบบจําลองสําหรบั กําหนดเกณฑ
และวธิ กี ารในการเตือนภัย, 2551. สาํ นกั งานคณะกรรมการวิจยั แหง ชาต.ิ
7.2 วรากร ไมเรียงและบรรพต กุลสุวรรณ, 2548. การศึกษาพฤติกรรมการพิบัติของลาดดินในพ้ืนที่ตนน้ํา
ของลุมน้าํ ยอ ยแมน ํา้ จันทบรุ .ี วิทยานิพนธป ริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.
7.3 วรากร ไมเรียงและนงลักษณ ไทยเจียมอารีย, 2546. เสถียรภาพของลาดดินในพ้ืนท่ีลุมนํ้ากอ
โดยใชคุณสมบตั ทิ างวศิ วกรรม. วิทยานิพนธปรญิ ญาโท, มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.
7.4 สุทธิศักด์ิ ศรลัมพ, 2555. สารคดภี าพ วิศวกรรมปฐพี ชดุ ธรณภี ัย. พิมพครัง้ ที่ 1. หจก. พรวี นั , กรงุ เทพฯ.
7.5 สุทธิศักด์ิ ศรลัมพ และ สูรย พัฒนาประทีป, 2556. “คุณสมบัติทางวิศวกรรมของดินท่ีผุพังมาจาก
หินแกรนิตยุคครีเตเชียสในประเทศไทยสําหรับการสรางแบบจําลองเพ่ือประเมินโอกาสในการเกิดดินถลม.
การประชุมวิชาการวิศวกรรมโยธาแหงชาติครั้งท่ี 18. โรงแรมดิเอ็มเพรส เชียงใหม. ระหวางวันที่ 8-10
พฤษภาคม 2556 จดั โดย มหาวิทยาลยั เชยี งใหม.
7.6 สูรย พัฒนาประทีป, 2559. การวิเคราะหโอกาสเกิดดินถลมดวยวิธีความนาจะเปนท่ีมีผลจาก
ความไมแนน อนของคณุ สมบตั ดิ ิน. วิทยานิพนธปรญิ ญาโท, มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.
7.7 Bishop, A.W., 1955. “The use of the slip circle in the stability analysis of slopes”,
Geotechnique Vol. 5(1).
7.8 Fellenius, W., 1927. “Erdstatische Berechnungen mit Reibung and Kohaesion und unter
Annahme kres-zylinferische Gleitflachen“, Ernst, Berlin.
7.9 Fredlund and Morganstern, 1997. Stress State Variables for Unsaturated Soils. Cited by D.G.
Fredlund and H. Rahardjo. Soil Mechanics for Unsaturated Soils. John Wiley & Son, INC.,
New York.
7.10 Janbu, N., 1954. "Application of Composite Slip Surface for Stability Analysis",
Proceedings, European Conference on Stability of Earth Slopes, Stockholm.
7.11 Meyerhof, G.C., 1956. Penetration tests and bearing capacity of cohesionless soils. Journal
of the Soil Mechanics and Foundations Division, ASCE, Vol.82, No.SM1, 1-19 pp.
7.12 Terzaghi, K., R.B. Peck and G. Mesri., 1996. Soil mechanics in engineering practice.
3rd , John Wiley & Sons, Singapore, 549 p.
มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหค วามม่นั คงในพนื้ ทีเ่ สย่ี งภยั ดนิ ถลม 49
7.13 Yoshinaka, R. and T.F.Onodera. 1997. Undisturbed sampling of decomposed granite soil
and its mechanical properties. Soil sampling paper presented at the specialty session 2 internal
conference on soil mechanical and foundation engineering, Tokyo.
50 มยผ.1916-62 : มาตรฐานประกอบการวิเคราะหค วามม่นั คงในพื้นทีเ่ สี่ยงภยั ดนิ ถลม
มยผ. 1917-62
มาตรฐานการป้องกนั การพงั ทลายสาํ หรบั ลาดเชิงเขา
(Standard of Slope Protection on Slope)
มาตรฐานประกอบการปฏบิ ัตเิ พ่ือความปลอดภยั ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกบั อาคาร การขดุ ดนิ และการถมดนิ
ในพน้ื ท่เี สี่ยงภยั ดินถลม่ (Landslide) และบริเวณลาดเชงิ เขา
มยผ. 1917-62
มาตรฐานการปอ้ งกันการพงั ทลายสาหรับลาดเชิงเขา
(Standard of Slope Protection on Slope)
1. ขอบขา่ ย
1.1 มาตรฐานการป้องกันการพังทลายสาหรับลาดเชิงเขาน้ีจัดทาขึ้นเพื่อกาหนดรายละเอียดในการป้องกัน
การพังทลายสาหรับงานก่อสร้างอาคาร งานขุดดินและถมดิน ในพื้นท่ีเสี่ยงภัยดินถล่ม (landslide)
และบริเวณลาดเชงิ เขา โดยแบ่งการพิบตั ิเปน็ 3 รปู แบบ คอื 1. ลาดพิบัติ (slope failure) 2. ดินถลม่ (landslide)
และ 3. ดินโคลนถล่มหรอื การไหลของซากมวลพบิ ตั ิ (debris flow)
1.2 มาตรฐานนใี้ ชห้ น่วย SI (International System Units) เปน็ หลกั
2. นิยามและสัญลกั ษณ์
2.1 นยิ าม
“การป้องกันการพังทลายสาหรับลาดเชิงเขา” หมายถึง การเพิ่มความมั่นคงให้กับพ้ืนที่ลาดเอียง
จากการก่อสรา้ ง การขุดดินหรือถมดิน
“ลาดพบิ ตั ิ (slope failure)” หมายถงึ เหตุการณท์ ี่ดนิ หนิ หรอื ดนิ ปนหิน มกี ารเคล่ือนตวั ลงมา
ตามแนวลาดเอยี ง หรือตามแรงโนม้ ถว่ งของโลก มกั เกดิ ขึ้นในพื้นทีแ่ คบๆ ที่มีความลาดชันสูง บางส่วนเกิดจาก
การขุดตดั ลาดเชิงเขาทาใหล้ าดเขาขาดเสถียรภาพ
“ดินถลม่ (landslide)” หมายถงึ เหตุการณ์ท่ีดนิ หิน หรือดินปนหิน มกี ารเคลื่อนตวั ลงมาตามแนวลาดเอยี ง
หรอื ตามแรงโน้มถ่วงของโลก
“โคลนถล่ม (debris flow)” หมายถึง เหตุการณ์ทีด่ ินถลม่ ลงมารวมกับเศษซากมวลพบิ ัติ โดยมีน้าในปริมาณมาก
แล้วไหลลงสทู่ ตี่ ่าด้วยความเร็วสงู และมีพลงั ในการพัดพาต้นไมแ้ ละหนิ กรวดทรายตามลงมาดว้ ย
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพงั ทลายสาหรับลาดเชิงเขา 51
2.2 สัญลักษณ์
Fall = แรงดึงปลอดภัย
T = แรงดงึ ท่ีต้องการ
Dh = ขนาดเส้นผ่านศูนยก์ ลางหลมุ เจาะ
W = น้าหนักของมวลดินหรอื หนิ
R = แรงเสียดทานจากระนาบเอยี ง
U = แรงดนั นา้
V = แรงดันนา้ เนอื่ งจาก Tension Crack
= มุมของระนาบเอียง
= มุมระหวา่ ง Rock Bolt กับระนาบเอยี ง
= มมุ เสยี ดทานภายในของดิน มีหน่วยเปน็ องศา
Fs = หนว่ ยแรงดงึ ท่ยี อมให้ มีหนว่ ยเป็นกโิ ลนิวตนั ตอ่ ตารางเมตร
Ur = แรงยึดเกาะระหว่างหนิ กับคอนกรตี มีหน่วยเปน็ กิโลนิวตันต่อตารางเมตร
Us = แรงยดึ เกาะระหวา่ งเหลก็ กบั คอนกรีต มหี น่วยเป็นกโิ ลนิวตันตอ่ ตารางเมตร
3. มาตรฐานและคู่มอื อ้างถึง
3.1 มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1912-52 : มาตรฐานการป้องกันการพังทลายสาหรับงาน
ขดุ ดนิ และถมดิน
3.2 มาตรฐานกรมโยธาธิการและผังเมือง มยผ. 1911-52 : มาตรฐานประกอบการคานวณหาค่าเสถียรภาพ
ความลาดเอยี งที่ปลอดภยั ในงานขุดดินและถมดนิ และค่มู ืออธิบายมาตรฐาน
3.3 คู่มือการแนะนา แก้ไข และการปฏิบัติการชะล้างพังทลายและเคล่ือนตัวของเชิงลาด กรมทางหลวง
ปี พ.ศ. 2551
หมายเหตุ : หากข้อกาหนดในมาตรฐานน้มี คี วามขัดแยง้ กับมาตรฐานทีอ่ ้างถงึ ในแต่ละส่วน ใหถ้ ือข้อกาหนด
ในมาตรฐานนเี้ ป็นสาคญั
52 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพงั ทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา
4. วิธีการป้องกนั การพงั ทลายกรณีลาดพบิ ัติ (slope failure)
4.1 หลกั การปอ้ งกนั การพงั ทลายโดยมาตรการทางวศิ วกรรม
หลักการป้องกันการพังทลายสาหรับลาดพิบัติ (slope failure) ในงานก่อสร้างอาคาร งานขุดดิน
และถมดิน บริเวณพ้ืนท่ีเสี่ยงภัยดินถล่มและบริเวณลาดเชิงเขา สามารถใช้ได้วิธีใดวิธีหน่ึงหรือหลายวิธีร่วมกัน
เพอื่ เพม่ิ เสถยี รภาพของพืน้ ทีล่ าดเอียง ซ่ึงวธิ ีทีน่ ิยมใช้โดยท่ัวไปมีดังนี้
4.1.1 วธิ กี ารใช้น้าหนักยนั (buttressing)
การป้องกันทาโดยใช้วัสดุ เช่น ดิน หิน หรือวัสดุจากการก่อสร้าง เป็นต้น มาวางยันไว้บริเวณฐาน
ของพืน้ ทีล่ าดเอยี ง
ห ลั ก ก า ร ใ ช้ น้ า ห นั ก ยั น เ ป็ น ก า ร เ พิ่ ม แ ร ง ต้ า น ท า น ใ ห้ กั บ พื้ น ท่ี ล า ด เ อี ย ง โ ด ย ใ ช้ วั ส ดุ ค้ า ยั น บ ริ เ ว ณ ฐ า น
ของพนื้ ทล่ี าดเอียง ตัวอย่างดงั รูปที่ 1
ข้อควรคานงึ ถงึ
(1) วัสดุค้ายันควรมีความหนาแน่นสูงเพียงพอ เช่น ความหนาแน่นมากกว่า 15 กิโลนิวตัน
ต่อลกู บาศก์เมตร (1,500 กโิ ลกรมั แรงต่อลกู บาศก์เมตร)
(2) ก ร ณี ผู้ อ อ ก แ บ บ เ ห็ น ว่ า มี ปั ญ ห า เ กี่ ย ว กั บ ก า ร ร ะ บ า ย น้ า ใ ต้ ดิ น ค ว ร จั ด ห า วั ส ดุ ถ ม
ที่สามารถระบายน้าออกได้เองตามธรรมชาติหรือมีระบบระบายน้าภายใน และวัสดุค้ายันต้องสามารถป้องกัน
การสูญเสียวสั ดภุ ายในจากไหลซมึ ของนา้ ใต้ดนิ ได้
(3) ควรคานึงถึงการป้องกนั การกัดเซาะผวิ หน้าของพนื้ ทล่ี าดเอยี งเน่ืองจากน้าผวิ ดนิ
รปู ท่ี 1 ตัวอยา่ งการใช้นา้ หนักยันบริเวณฐานพน้ื ทีล่ าดเอียง
(ข้อ 4.1.1)
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพังทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา 53
4.1.2 วธิ ีการลดน้าหนกั (unloading)
หลักการลดน้าหนักเป็นการลดแรงกระทาต่อพ้ืนที่ลาดเอียงโดยการขุดดินออกหรือเปลี่ยนลักษณะรูปร่าง
ของพื้นที่ลาดเอียงเดิมท่ีมีความมั่นคงน้อยให้มีความม่ันคงมากข้ึน ตัวอย่างการตัดดินส่วนบนออก
การปรับความลาดชนั และการทาลาดเอียงเปน็ แบบขัน้ บนั ได ดงั รปู ที่ 2 ถึง 4 ตามลาดบั
ขอ้ ควรคานึงถึง
(1) ควรคานึงถึงการปอ้ งกนั การกดั เซาะผิวหน้าของพื้นทล่ี าดเอยี งเน่ืองจากนา้ ผวิ ดนิ
รูปที่ 2 ตัวอยา่ งการตดั ส่วนบนของพ้นื ทีล่ าดเอียง
(ขอ้ 4.1.2)
รูปท่ี 3 ตวั อยา่ งการปรับความชันของพ้นื ท่ีลาดเอียง
(ขอ้ 4.1.2)
รูปที่ 4 ตัวอยา่ งการตัดพืน้ ท่ีลาดเอยี งเปน็ ข้ันบนั ได
(ข้อ 4.1.2)
54 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพังทลายสาหรับลาดเชงิ เขา
4.1.3 วิธีการใชโ้ ครงสรา้ งกนั ดิน (retaining structure)
หลักการเม่ือมีการขุดดินหรือถมดินจนเกิดความต่างระดับของผิวดินมากกว่าความสูงท่ีมวลดินจะสมดุลอยู่ได้
ด้วยตัวเอง จึงจาเป็นต้องมีโครงสร้างกันดินช่วยพยุงป้องกันการพังทลายหรือการเคล่ือนตัวของมวลดิน
มากเกินไปโดยใช้หลักการเพิ่มแรงต้านทานให้กับพื้นท่ีลาดเอียง โดยทาหน้าท่ีรับแรงดันด้านข้างและต้านทาน
การเล่อื นไถลของพืน้ ที่ลาดเอียง โครงสรา้ งทใ่ี ชใ้ นการปอ้ งกนั เชน่ กาแพงกนั ดินแบบต่าง ๆ เข็มพืดกนั ดนิ และ
เสาเข็มร่วมกบั แผน่ คอนกรีต ตวั อย่างดังรูปที่ 5 ถงึ 7 ตามลาดับ
การคานวณออกแบบกาแพงกันดินต้องมีการตรวจสอบการเล่ือนไถล (sliding) บริเวณฐานกาแพงกันดิน ตรวจสอบ
การล้มคว่าของกาแพงกันดิน (overturning) ตรวจสอบการรับน้าหนัก (bearing capacity) บริเวณ
ฐานกาแพงกันดิน ตรวจสอบเสถียรภาพโดยรวม (overall stability) และตรวจสอบการวิบัติของโครงสร้าง
(structural failure)
รายละเอียด การคานวณ ออกแบ บแล ะตรวจส อบเสถี ยรภาพข อง กาแ พง กันดิน แล ะเข็ ม พืด แสด ง ไว้ ใ น
มยผ. 1912-52 : มาตรฐานการป้องกันการพังทลายสาหรับงานขุดดินและถมดิน และคู่มือการใช้มาตรฐาน
ดงั กล่าว
ขอ้ ควรคานึงถงึ
(1) ก า ร อ อ ก แ บ บ ก า แ พ ง กั น ดิ น แ บ บ ใ ช้ เ ส า เ ข็ ม ร่ ว ม กั บ แ ผ่ น ค อ น ก รี ต ค ว ร วิ เ ค ร า ะ ห์
โดยใชห้ ลกั การของเสาเข็มรบั แรงดา้ นข้างดว้ ย
(2) ผ้อู อกแบบควรจดั ใหม้ ีระบบการระบายน้าหลังกาแพงกันดินเพ่ือลดแรงดนั เน่ืองจากน้า
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกนั การพังทลายสาหรับลาดเชิงเขา 55
รปู ที่ 5 กาแพงกันดนิ แบบตา่ งๆ
(ข้อ 4.1.3)
รูปที่ 6 เขม็ พดื กนั ดิน
(ข้อ 4.1.3)
56 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพงั ทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา
รูปท่ี 7 เสาเขม็ รว่ มกบั แผน่ คอนกรีต
(ขอ้ 4.1.3)
4.1.4 วธิ กี ารปรับปรุงคณุ ภาพดิน (soil improvement)
เน่ืองจากดินท่ีมีอยู่ในพ้ืนท่ี การก่อสร้างอาคาร การขุดดินหรือถมดินอาจมีคุณสมบัติไม่เหมาะสมกับ
ลักษณะที่ต้องการ เช่น มีกาลังรับแรงเฉือนต่า เป็นต้น จึงต้องทาการปรับปรุงคุณภาพดินดังกล่าว
ให้มีคุณสมบัติที่ดีข้ึน โดยวิธีการปรับปรุงคุณภาพดินจะเป็นการเพิ่มแรงต้านทานให้กับพื้นที่ลาดเอียงทาให้ดิน
มคี วามแข็งแรงสามารถรบั แรงเฉือนเพื่อต้านทานการวิบัติได้ ซ่งึ รปู แบบการปรบั ปรุงคุณภาพดินมีท้งั ใช้สารเคมี
เช่น การใช้ซีเมนต์หรือปูนขาวผสมในดินเป็นลักษณะเสาเข็ม ( soil cement column) ดังรูปท่ี 8
และการเสริมความแข็งแรงให้ดินโดยใช้วัสดุต่างๆ เช่น แผ่นใยสังเคราะห์ (geotextile) หรือตะปูยึดดิน
(soil nail) เป็นต้น ดังรูปที่ 9 และ 10 ตามลาดับ รายละเอียดการคานวณออกแบบการปรับปรุงโดยการ
ใช้ซีเมนต์แสดงไว้ใน มยผ. 1912-52 : มาตรฐานการป้องกันการพังทลายสาหรับงานขุดดินและถมดิน และ
คูม่ อื การใช้มาตรฐานดังกลา่ ว
ข้อควรคานึงถึง
(1) การปรับปรุงคุณภาพดินโดยการใช้สารเคมี ต้องมีการทดสอบกาลังรับแรงเฉือนของดิน
ทไ่ี ดห้ ลังการใส่สารผสม ทงั้ ผลในหอ้ งปฏิบตั กิ าร และการทดสอบจริงในสนามกอ่ นนาไปใช้จริง
(2) กรณีท่ีดินเดิมมีกาลังรับแรงเฉือนต่ามาก (very soft clay) ควรทาการวิเคราะห์การเคลื่อนตัว
ของดนิ ควบคู่ไปด้วย
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพงั ทลายสาหรับลาดเชงิ เขา 57
รปู ที่ 8 ตัวอยา่ งการปรับปรงุ คณุ ภาพดนิ โดยวิธีเสาเข็มดินซเี มนต์
(ขอ้ 4.1.4)
รูปท่ี 9 ตวั อยา่ งการเสรมิ ความแขง็ แรงใหด้ ินโดยใชแ้ ผน่ ใยสงั เคราะห์
(ข้อ 4.1.4)
รูปท่ี 10 ตวั อยา่ งการเสริมความแข็งแรงใหด้ ินโดยใช้ soil nail
(ข้อ 4.1.4)
สาหรับมาตรฐานน้ีจะเสนอรายละเอียดวิธีการปรับปรุงคุณภาพดิน (soil improvement)
ด้วยการเสริมแรงโดยใช้ สลักยึดหิน (rock bolt) วิธีการป้องกันการกัดเซาะบริเวณปลายเชิงลาด (toe slope)
เช่น กล่องลวดตาข่าย อิฐบล็อกประสาน ผ้าห่มดินและหมอนกันดิน การทา grid beam และการใช้คอนกรีตพ่น
(shotcrete)
58 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพงั ทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา
4.1.4.1 การเสริมความแขง็ แรงด้วยสลกั ยึดหนิ (rock bolt)
(1) หลักการ
การทาสลักยึดหิน (rock bolt) ใช้หลักการเดียวกันกับการทาตะปูยึดดิน (soil nail) ซง่ึ soil nail
ใช้สาหรับยึดดิน ส่วน rock bolt ใช้สาหรับยึดดินปนหิน หรือหิน อย่างเ ดียว โดยใช้เหล็กเส้น
ทีม่ ีความยาวและกาลงั พอท่ีจะช่วยเพ่มิ แรงต้านทานการเลื่อนตวั และเพ่ิมกาลังให้กับแนวรอยเล่อื ย ดงั รูปท่ี 11
(2) รปู แบบการปอ้ งกนั
rock bolt คือ เหล็กข้ออ้อยรับแรงดึงที่ทาการตรึงด้วยแรงดึงในระหว่างติดตั้ง
ปลายดา้ นในยึดตดิ กบั หนิ ส่วนปลายด้านหนึง่ มแี ผน่ เหลก็ รับแรง และนอ๊ ตยึดติดกับคอนกรตี พ่นไว้
รูปท่ี 11 ตัวอยา่ งการเสรมิ ความแข็งแรงใหด้ ินโดยใช้ rock bolt
(ข้อ 4.1.4.1)
(3) วธิ ีการวเิ คราะหอ์ อกแบบ
การออกแบบ rock bolt เพ่ือเพ่ิมความมั่นคงของลาดเขาต้องมีข้อกาหนดในการออกแบบ
ดงั น้ี ตวั อยา่ งรายละเอียดแสดงดา้ นท้ายมาตรฐาน
(ก) คุณสมบตั ิพ้ืนฐานของ rock bolt และหลมุ เจาะ
- ความยาวของ rock bolt
- ความยาวท่ีใช้ (effective length, le) 40%
- ขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางหลุมเจาะ (Dh)
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพังทลายสาหรบั ลาดเชิงเขา 59
(ข) คานวณแรงดึงสูงสุดของ rock bolt
แรงดงึ ปลอดภัย (Fall) = (xD2/4)xfs .... (1)
แรงยดึ เกาะระหวา่ งหินกับคอนกรีต (Ur) = urx(xDh2/4)xle .... (2)
แรงยดึ เกาะระหว่างเหลก็ กับคอนกรตี (Us) = usx(xD2/4)xle .... (3)
เลือกค่าน้อยระหว่าง (1) (2) และ (3) ใช้เป็นค่ากาลังรับแรงดึงสูงสุดท่ี rock
bolt สามารถรบั ได้
(ค) คานวณความยาว พนื้ ที่ และนา้ หนกั ของผวิ การพิบัติ
จากผลการวิเคราะห์ความม่ันคงของลาดดิน สามารถคานวณหาพ้ืนท่ี และ
ความยาวของผิวการพิบัติ เพ่ือทาให้รูปร่างการพิบัติง่าย (simplified) เป็นลักษณะ
ของการเคล่ือนที่บนระนาบเอียงดังรูปที่ 12 แล้วนามาใช้ในการคานวณหาค่าแรงดึง
ที่ต้องการต่อไป ได้ดงั น้ี
c A (W cos U T sin ) tan
F.S.
W sin V T cos
(ง) คานวณแรงดึงท่ตี อ้ งการ
แรงดึงทีต่ อ้ งการ (T) = W (F.S.sin cos tan ) cA
F.S.cos sin tan
V
U
ROCK BOLT
T
W.sin R W.cos
W
รปู ที่ 12 แรงท่ีเกิดข้นึ ในมวลดินหรอื หินบนระนาบเอียง
(ข้อ 4.1.4.1)
(จ) คานวณระยะหา่ งของ Rock Nail
พ้นื ท่รี ับแรงต่อ Rock Nail 1 หลมุ = Tmax /(T/Lf)
60 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพังทลายสาหรับลาดเชิงเขา
(4) วัสดุ และวธิ ีการกอ่ สรา้ ง
(ก) วสั ดุ
- เหลก็ สลกั (bolt) ทําด้วยเหล็กขอ้ อ้อยชุบกลั วาไนท์
- ขนาดและรปู รา่ งของแผ่นเหลก็ รับแรง (bearing plate) ทงั้ แผน่ เหลก็ รบั แรง
แหวนรองและน๊อต ซ่ึงต้องสัมผัสอากาศตลอดเวลานั้นต้องชุบด้วยกัลวาไนท์
เพื่อป้องกนั การผกุ ร่อน
- มอร์ตาร์จะประกอบด้วย ทรายละเอียด ปูนซีเมนต์ และน้ําที่ผสมกัน
เปน็ เนอ้ื เดียวกัน
(ข) การทดสอบ rock bolt
- ก่อนเริ่มต้องทําการทดลองติดต้ังและดึง rock bolt เพื่อตรวจสอบว่าเป็นไป
ตามที่กําหนดในการออกแบบหรือไม่ โดย rock bolt ท่ีทดลองต้องติดต้ังในสภาพหิน
ที่เหมือนกับ rock bolt ที่จะทําการติดตั้งในบริเวณมวลหินท่ีจะปรับปรุงเสถียรภาพ
ตอ่ ไป
- การทดสอบ pullout tests ของ rock bolt จะดําเนินการหลังจากติดต้ัง
แล้ว 28 วนั
(ค) การตดิ ต้ัง rock bolt
- ตอ้ งดาํ เนนิ การตดิ ตั้ง rock bolt ทันทหี ลงั จากขดุ หนิ ท่ีผแุ ละขนยา้ ยหนิ เสรจ็ แล้ว
- ต้องเจาะรูให้ได้ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
ของสลักได้ไม่น้อยกว่า 44 มิลลิเมตร (เช่น เมื่อใช้เหล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
32 มิลลิเมตร จะต้องใช้ขนาดรูรูเจาะไม่น้อยกว่า 76 มิลลิเมตร) ความลึกและ
ตําแหน่งตามที่ออกแบบ และก่อนท่ีจะทําการติดต้ังสลักยึดหินต้องทําความสะอาด
รเู จาะด้วยแรงดนั ลม และ/หรือนา้ํ ภายใตแ้ รงดนั ก่อน
- ก่อนติดตั้ง rock bolt ต้องทําความสะอาดเหล็กยึดให้ปราศจากสนิม
คราบสะเก็ด คราบนา้ํ มัน หรือสิง่ อ่ืนใดที่เคลอื บอยใู่ ห้หมด
- วิธีการอัดฉีดมอร์ตาร์ให้สามารถอุดช่องว่างระหว่าง rock bolt กับผิวหน้าหิน
ไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ ตลอดความยาวของ rock bolt
(5) ขอ้ ควรคํานงึ ถึง
( ก ) ข น า ด ค ว า ม ย า ว ข อ ง rock bolt ต้ อ ง ย า ว ม า ก ก ว่ า ข อ บ เ ข ต ว ง พิ บั ติ
จงึ จะมีประสิทธภิ าพในการเสรมิ แรง
(ข) ต้องมีระบบระบายน้าํ ใต้ดิน เชน่ weep hole เพอื่ ช่วยระบายนาํ้ ออกจากมวลหิน
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพังทลายสําหรบั ลาดเชิงเขา 61
4.1.5 วธิ กี ารป้องกันการกดั เซาะ (erosion control)
การป้องกันการกัดเซาะเป็นการลดปริมาณการไหล ความเร็ว และอัตราการไหลซึมของน้าลงในดิน
บริเวณพ้ืนที่ลาดเอียง ซึ่งการกัดเซาะดังกล่าวอาจทาให้พื้นท่ีลาดเอียงมีความชันเพิ่มข้ึนหรือเพ่ิมแรงดันน้า
ในมวลดิน สง่ ผลใหเ้ กดิ การวบิ ตั ไิ ด้ แนวทางการป้องกันการกดั เซาะมหี ลายวธิ ี ดังนี้
4.1.5.1 การระบายน้าผวิ ดนิ
การระบายน้าผิวดินมีจุดประสงค์เพ่ือดักน้าผิวดินท่ีไหลมาจากส่วนบนของพื้นที่ลาดเอียงแล้ว
ระบายออกจากพื้นที่ โดยทางระบายน้าต้องสามารถรองรับปริมาณน้าฝนสูงสุดในพื้นที่ได้ และควรมีความชัน
เพียงพอ เพอ่ื ใหน้ ้าไหลด้วยความเรว็ ทไ่ี มเ่ กดิ การตกตะกอน ดังตวั อย่างในรปู ท่ี 13
ขอ้ ควรคานงึ ถึง
(1) ทางระบายน้าบนผิวดินต้องอยู่นอกแนวท่ีคาดว่าจะเกิดการวิบัติ หรือต้องมีการป้องกัน
การไหลลน้ ของทางระบายน้า
รปู ที่ 13 ตัวอยา่ งทางระบายน้าบนพ้นื ที่ลาดเอียง
(ขอ้ 4.1.5.1)
4.1.5.2 การใช้วัสดุคลุมดิน เช่น การปลูกพืชคลุมดิน การพ่นคอนกรีตปิดทับผิวหน้าลาดเอียง
(shotcrete) หรอื การใช้หนิ ท้ิง (rock riprap) ดังรปู ที่ 14
ข้อควรคานึงถงึ
(1) ชนดิ ของพืชคลุมดินควรเปน็ ไม้ในท้องถิ่น หรอื ทนต่อสภาพภมู ิอากาศในพนื้ ทไ่ี ด้
(2) กรณใี ช้ shotcrete ต้องมีระบบระบายน้าใต้ดนิ เชน่ ท่อระบายน้าในแนวราบ เปน็ ต้น
62 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพงั ทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา
รูปที่ 14 ตัวอย่างการป้องกันการกดั เซาะโดยใช้หินทิ้ง
(ข้อ 4.1.5.2)
4.1.5.3 กล่องลวดตาขา่ ย ไดแ้ ก่ เกเบียน (gabion) และแมทเทรส (mattress)
(1) หลกั การ
กล่องลวดตาข่ายใช้สาหรับป้องกันการพังทลายจากการกัดเซาะของดินและหินภูเขา
โดยเฉพาะบริเวณปลายเชงิ ลาด (toe slope) นอกจากน้ียังช่วยในเร่อื งของแรงต้านบริเวณด้านล่างของลาดชนั
ให้ลาดชันมเี สถยี รภาพมั่นคงขึ้นได้ดว้ ย หลักการทางานเช่นเดียวกบั กาแพงกันดิน ซึ่งกล่องลวดตาข่ายทาหน้าท่ี
เป็นโครงสร้างกันดินช่วยพยุงป้องกันการพังทลายหรือการเคล่ือนตัวของมวลดิน โดยใช้หลักการเพิ่มแรง
ต้านทานให้กับพื้นท่ีลาดเอียง โดยทาหน้าท่ีรับแรงดันด้านข้างและต้านทานการเล่ือนไถลของพ้ืนที่ลาดเอียง
แสดงตวั อย่างดังรูปท่ี 15
รปู ที่ 15 ตวั อย่างการป้องกันการกัดเซาะโดยใช้กล่องลวดตาข่าย
(ขอ้ 4.1.5.3)
(2) รปู แบบการป้องกัน
กล่องลวดตาข่ายเป็นโครงสร้างลวดตาข่ายประกอบเป็นกล่องแต่ละกล่องต้องมีรูปทรง
เป็นลูกบาศก์สี่เหลี่ยม ขนาดกว้างและยาวตามที่ออกแบบ โดยประกอบขึ้นจากแผงลวดตาข่ายช้ินเดียวกัน
และข้ึนรูปเป็นรูปกล่อง เสริมความมั่นคงแข็งแรงด้วยลวดโครงที่มีขนาดใหญ่กว่าลวดใช้ถักตาข่าย ภายใน
กล่องบรรจุกรวดหรือหิน กลอ่ งลวดตาข่ายสามารถนามาปรับใช้งานได้หลากหลายรปู แบบ เช่น
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพงั ทลายสาหรับลาดเชงิ เขา 63
- ใช้ในโครงการสร้างถนน เพื่อป้องกันการพิบัติของลาดชันเมื่อมีการตัดถนน
และเพม่ิ ความแขง็ แรงให้กับลาดชัน
- ใช้ในโครงการสร้างป้องกันการกัดเซาะ เพื่อป้องกันการกัดเซาะหน้าดินท่ีเกิดจากน้า
เช่น เขือ่ นปอ้ งกนั ตล่งิ ริมแม่นา้ บรเิ วณปลายลาดเชงิ เขา เปน็ ต้น
(3) วิธกี ารวิเคราะห์ออกแบบกลอ่ งรปู ตาข่าย
- การออกแบบกาแพงกล่องรูปตาข่าย คล้ายกับวิธีการออกแบบกาแพงกันดิน
โดยการพิจารณาน้าหนักรวมของโครงสร้างกาแพงกล่องรูปตาข่าย ท่ีใช้ต้านทานแรงดันด้านข้างที่เกิดจากมวลดิน
หลังกาแพง การออกแบบจะเร่ิมจากการกาหนดขนาดของกล่องรูปตาข่ายที่ใช้ จากนั้นจะพิจารณาแรงดัน
ที่กระทาต่อกล่องรูปตาข่าย เพื่อตรวจสอบโมเมนต์ท่ีจะทาให้กาแพงเกิดการพลิกคว่า (overturning)
ตรวจสอบแรงต้านทานการเล่ือนไถล (sliding) ตรวจสอบกาลังรับน้าหนักแบกทานของดินฐานราก
(bearing capacity) และตรวจสอบเสถียรภาพโดยรวม (overall stability) ของโครงสร้าง ดังรูปที่ 16
เพื่อให้โครงสร้างมีอัตราส่วนความปลอดภัย (factor of safety) ที่เหมาะสม และหากโครงสร้าง
ท่ีกาหนดเบ้ืองต้นเกิดการพังทลายในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งให้ปรับขนาดของโครงสร้างและตรวจสอบ
การพงั ทลายแบบต่างๆ
- กล่องรูปตาข่ายจะต้องวางบนช้ันดินฐานรากที่มีความแน่น มั่นคง และแข็งแรง
เพื่อป้องกันการยุบตัวและการพังทลายของดินฐานราก เน่ืองจากน้าหนักของตัวกล่องรูปตาข่ายเอง
โดยเฉพาะอย่างย่ิงฐานรากของกาแพงกันดินแบบกล่องรูปตาข่าย ต้องไม่มีชั้นดินอ่อนหรือวัสดุอื่นใด
ที่มกี าลงั รับน้าหนักไดน้ ้อย
พิบตั ิแบบเลื่อนไถล พบิ ัติแบบล้มควา่ พิบัตแิ บบรวม พบิ ตั ิเนอื่ งฐานราก
น้าหนักไมพ่ อ
รูปที่ 16 ตัวอยา่ งรปู แบบการพิบตั ิในกรณใี ช้กลอ่ งลวดตาขา่ ย
(ข้อ 4.1.5.3)
64 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพงั ทลายสาหรับลาดเชงิ เขา
(4) วสั ดุ และวิธกี ารกอ่ สร้าง
(ก) วสั ดุ
- ลักษณะทั่วไป
กล่องลวดตาข่ายเป็นรูปตาข่ายหกเหลี่ยม มีโครงยึดเป็นกล่อง ลักษณะกล่อง
เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงกลางมีผนังตรงกลางมีผนังลวดตาข่ายกั้นเป็นระยะ มีฝาปิด
และเปดิ สําหรับบรรจุหินไดโ้ ดยสะดวก โดยตอ้ งปราศจากรอยตําหนิ รอยปรแิ ตกร้าว
- การต้านแรงดงึ
ลวดเหล็ก ซ่ึงนํามาทําเป็นกล่องลวดตาข่ายต้องมีการทดสอบต้านแรงดึง
(tensile strength) ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อตุ สาหกรรม มอก. 71-2532
- ขนาดของรูปตาขา่ ย
ลวดเหล็ก ต้องทําการถักให้เป็นรูปหกเหล่ียมมีลักษณะดังนี้ ขนาดตาข่าย
ลักษณะเป็นรูปหกเหล่ียมขนาด 8 x 10 เซนติเมตร หรือ 10 x 12 เซนติเมตร หรือ
ตามทอ่ี อกแบบ ดังรปู 17
รูปท่ี 17 ตวั อย่างลกั ษณะตาขา่ ยกล่อง
(ข้อ 4.1.5.3)
ทม่ี า : http://www.wulwith.com/gabion.php
(ข) วิธีการกอ่ สรา้ ง/ตดิ ตงั้
- หลังจากปรับแต่งพื้นดินท่ีจะวางกล่องลวดตาข่าย ให้ได้ดีแล้ว จึงติดต้ัง
กล่องลวดตาข่าย ลงในตําแหน่งที่เหมาะสมโดยต้องยึดและประกอบกลอ่ งลวดตาข่าย
เข้าด้วยกัน จากนั้นใส่หิน มีขนาดใหญ่พอที่จะไม่หลุดออกจากช่องเปิดลงใน
กล่องลวดตาข่าย ซ่ึงหินควรมีขนาดระหว่าง 100 มิลลิเมตร ถึง 200 มิลลิเมตร
ในการใส่หินใหญ่น้ีอาจต้องเรียงหินให้มีหินขนาดเล็กแทรกระหว่างช่องว่าง
ของหินขนาดใหญ่สําหรับกล่องท่ีใช้เป็นผิวหน้าที่ต้ังตรงและสามารถมองเห็นได้
การเรียงหินต้องเรียงด้วยความประณีต เพื่อให้ได้ผิวหน้าที่เรียบสวยใส่หินลงใน
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพงั ทลายสาํ หรับลาดเชิงเขา 65
กล่องลวดตาข่าย และต้องกระทําโดยให้มีความหนาชั้นละ 300 มิลลิเมตร
ต่อเน่ืองกนั ในแตล่ ะช่องกลอ่ งจากนั้นจงึ วนมาใส่อีกไปจนเต็มกล่อง
การกระทําดังน้ีจะช่วยป้องกันไม่ให้ผนังข้างของกล่องลวดตาข่ายเสียรูปร่าง
เน่ืองจากแรงดันของหินเพียงด้านเดียว พึงต้องใช้ความระมัดระวังในการใส่หิน
เนื่องจากความคมและแรงกระแทกของหินอาจทําให้ PVC ทหี่ มุ้ ลวดฉีกขาดได้
(5) ข้อควรคํานงึ ถงึ
ปัจจัยอ่ืนๆ เป็นการใช้การเจริญเติบโตของพืชช่วยในการยึดเกาะทําให้ตาข่ายลวด
มีความเช่ือมแน่นมากขึน้ และทาํ ให้อายกุ ารใช้งานนานขึ้น
4.1.5.4 block wall
block wall หลักการทํางานเช่นเดยี วกับกาํ แพงกันดนิ เช่น การทําอฐิ บลอ็ กประสาน
(1) หลกั การ
อิฐบล็อกประสานสามารถใช้ได้ท้ังบริเวณท่ีราบสูงหรือที่ราบภูเขา กรณีที่ลาดดิน
มีความเสี่ยงจากการสูญเสียเสถียรภาพ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้คนในบริเวณน้ันๆ การสร้างกําแพงกันดิน
ด้วยอิฐบล็อกประสานเป็นหนึ่งในการวิธีป้องกันท่ีง่ายต่อการออกแบบและก่อสร้าง เหมาะสําหรับพื้นที่
ทุรกนั ดาร ท่ปี ระสบปัญหาในการจัดหาผ้ทู ่มี คี วามรแู้ ละความชํานาญในการออกแบบ รวมถงึ การขาดแคลนวสั ดุ
ท่ตี ้องใช้ในการกอ่ สรา้ ง ซึง่ อิฐบล็อกประสานสามารถกอ่ ไดท้ กุ แนวตามความลาดชันของดิน และมีความยดื หยุ่น
ในการก่อสร้าง ดังรปู ท่ี 18
รูปท่ี 18 ตัวอยา่ งการปอ้ งกันการกดั เซาะโดยใช้อฐิ บล็อกประสาน
(ข้อ 4.1.5.4)
ทม่ี า : สทุ ธศิ ักดิ์ และคณะ (2560)
66 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพังทลายสําหรับลาดเชิงเขา
(2) รปู แบบการป้องกนั
อิฐบล็อกประสาน เป็นการป้องกันเสถียรภาพของดินและการกัดเซาะบริเวณพ้ืนที่ลาดชัน
ด้วยวิธีที่ง่ายและประหยัดประชาชนในพื้นที่สามารถก่อสร้างเองได้ และ สามารถประยุกต์ใช้ได้กับ
ความลาดชนั ของดินที่มีหลากหลายได้ ดังรูปท่ี 19
(3) วธิ กี ารวิเคราะห์ออกแบบ
หลักการออกแบบเช่นเดยี วกับกาแพงกนั ดนิ ซง่ึ ปกติก่อสรา้ งไดท้ ี่ความสูง 1.50-2.0 เมตร
(4) วสั ดุและวิธกี ารกอ่ สร้าง
- อิฐบลอ็ กประสาน มีสว่ นผสม ไดแ้ ก่ ปนู ซีเมนต์ มอตา้ หรือ ดนิ จากพนื้ ที่ และนา้
- อฐิ บลอ็ กประสาน มี shear key ทาเปน็ ลกั ษณะข้ันบันไดยาวตลอดความลกึ ของตัวกอ้ น
- อิฐบล็อกประสานมีลักษณะเป็นพีระมิดหัวตัด ด้านบนมีลักษณะเป็นข้ันบันได
ในการเรียงซ้อนกนั จะใช้ อิฐบลอ็ กประสานอกี กอ้ นวางบนดา้ นท่ีเป็นขัน้ บันได
- อิฐบล็อกประสานสามารถกอ่ ได้ทุกแนวตามความลาดชันของดิน มีความยืดหย่นุ
- ใช้หมุดยึดที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 35 มิลลิเมตร ความยาว 700 มิลลิเมตร
จานวน 4 หมุดต่อพ้ืนที่กาแพงกันดินอิฐบล็อกประสาน 1 ตารางเมตร ตัวหมุดยึดเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้
เรื่อง soil nail มีลักษณะเป็นแท่งเหล็กยาว เจาะนาด้วยสว่าน แล้วแทงยึดผ่านก้อนอิฐบล็อกประสานเข้าไปใน
ลาดดินด้านหลัง ระยะฝังยาว 0.70 เมตร ลักษณะหมุดยึดก้อนอิฐบล็อกประสานทาให้อิฐบล็อกประสาน
มีเสถยี รภาพ และมีความแข็งแรงมากขึ้น
- การก่อสร้างเริ่มจากการปรับหน้าดินให้มีความเหมาะสม นาอิฐบล็อกไปติดตั้ง
ตามลาดชนั ที่ทาการปรบั แล้ว โดยวางสลับฟนั ปลาและมีการเสรมิ หมดุ ยึด (soil nail) ให้ได้ตามแนวทก่ี าหนดไว้
ตวั อยา่ งแสดงดังรปู ที่ 20
- สามารถใช้วัสดดุ นิ ในพื้นทผี่ ลิตบล็อกขน้ึ ไดเ้ พือ่ ชว่ ยลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการก่อสรา้ ง
(5) ข้อควรคานงึ ถงึ
- อัตราส่วนผสม (mix design) ในแต่ละพ้ืนท่ีอาจไม่เหมือนกัน เนื่องจากวัสดุดิน
แต่ละพ้ืนท่ีมีคุณสมบัติความแตกต่างกันจึงต้องมีการทดสอบกาลังรับแรงในห้องปฏิบัติการ ก่อนดาเนินการ
ก่อสร้างจรงิ
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกนั การพงั ทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา 67
รูปท่ี 19 ตัวอย่างลักษณะรูปแบบอฐิ บล็อกประสาน
(ข้อ 4.1.5.4)
ทม่ี า : สุทธศิ ักด์ิ และคณะ (2558,2559)
รูปท่ี 20 ตวั อยา่ งการกอ่ สร้างอิฐบล็อกประสาน
(ขอ้ 4.1.5.4)
ที่มา : สุทธิศกั ด์ิ และคณะ (2560)
68 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกันการพงั ทลายสาหรับลาดเชิงเขา
4.1.5.5 ผา้ หม่ ดนิ (Erosion Control Blanket, ECB) และหมอนกนั ดิน (Erosion Control Log, ECL)
(1) หลกั การ
ผ้าห่มดินและหมอนกันดินใชส้ าหรับการป้องกันการกัดเซาะของหน้าดิน (รูปที่ 21) ในขณะท่ี
หญ้าหรือพืชยังไม่เจริญเติบโต การปลูกพืชคลุมดินด้วยผ้าห่มดิน มีประสิทธิภาพและค่าใช้จ่ายต่า
เพ่ือเก็บกกั ตะกอนพร้อมควบคมุ ความแรงจากการไหลของน้าดว้ ยหมอนกนั ดิน
(2) รูปแบบการป้องกนั
ผ้าห่มดินใช้สาหรับป้องกันการกัดเซาะของหน้าดินอันเนื่องจากน้าผิวดิน (surface water)
ก่อนท่พี ืชจะเจริญเติบโตในพน้ื ท่ลี าดชัน แต่ไม่สามารถป้องกันปญั หาดนิ ยุบตัวหรือการเล่อื นไถลของลาดดินเนื่องจาก
การวบิ ัตหิ รอื พงั ทลายของมวลดินได้
(3) วิธีการวเิ คราะห์ออกแบบ
การวิเคราะห์ออกแบบข้ึนอยู่กับปริมาณน้าฝนท่ีตกลงมาเป็นน้าผิวดิน ซ่ึงโดยปกติหมอนกันดิน
ดา้ นบนบรเิ วณลาดชัน ควรวางให้ถ่ีกว่าบริเวณด้านลา่ ง เพอื่ ชะลอความเร็วของนา้ ทีไ่ หลลงมา
(4) วัสดุและวธิ ีการกอ่ สร้าง
(ก) วสั ดุ
- ผ้าห่มดิน (Erosion Control Blanket, ECB) ทาจากเส้นใยธรรมชาติ
ท่ีนามาใช้ในการผลิตต้องสามารถย่อยสลายได้เอง (bio-degradable) โดยมีอายุ
การใช้งานหลังการติดต้ังไม่ต่ากว่า 2 ปี เช่น ใยปาล์ม (EFB fiber) หรือใยมะพร้าว
(coir) โดยใช้เคร่ืองจักรกลทาให้เป็นแผ่นผืนประกบท้ังสองด้านด้วยตาข่ายเสริมแรง
ทาจากวัสดุสังเคราะห์ประเภท polypropylene (PP) ที่รับแรงดึงทางแนวต้ัง
และแนวนอนได้ โดยใยธรรมชาติและตาข่ายจะถูกเย็บหรือตรึงให้เป็นผืนเดียวกัน
อยา่ งราบเรียบ ไม่ยืดหรือหดตวั ตลอดความยาวท้งั ผืนเมอ่ื คล่ีออกจากม้วน
- หมอนกันดิน (Erosion Control Log, ECL) ทาจากเส้นใยธรรมชาติ
เช่นเดียวกันกับผ้าห่มดิน โดยใช้เครื่องจักรกลอัดเส้นใยลงในปลอกตาข่ายพีพี
ทม่ี คี วามเหนยี วแตโ่ ค้งงอได้ โดยตาขา่ ยดังกล่าวจะต้องมีช่องเปิดเป็นตารางช่องเท่าๆ
กันและไม่มีรอยต่อของปลอกใยธรรมชาติท่ีอัดแน่นจะต้องมีน้าหนักสม่าเสมอกัน
ตลอดความยาวทั้งท่อน
- หมุดสาหรับยึดผ้าห่มดินและหมอนกันดิน มีความยาวและระยะการยึด
ตอ้ งเพยี งพอท่ีจะฝังในดินโดยไมโ่ ยกคลอน ซง่ึ หมดุ ไมท้ น่ี ามาใช้ เชน่ ไมไ้ ผ่
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพงั ทลายสาหรับลาดเชงิ เขา 69
(ข) วิธีการก่อสรา้ ง
- เตรียมหน้าดินให้มีความหนาและระดับความเอียงตามท่ีกาหนดไว้
จากนั้นโรยเมล็ดพืชพันธ์ุท่ีหาง่ายและเจริญเติบโตได้ง่าย โดยหยอดเมล็ดเป็นแถว
โดยมรี ะยะห่างระหว่างแถวประมาณ 30-50 เซนตเิ มตร อัตราอยา่ งน้อย 1 กิโลกรัม/
400 ตารางเมตร ก่อนทาการปลูกพืชให้ใช้ปุ๋ยรองพน้ื ปลูกหรือจะปลกู วิธีการอย่างอื่น
แต่ขอให้พืชข้ึน พรวนดินให้เมล็ดหญ้าฝังลึกลงประมาณ 3-5 เซนติเมตร
แล้วจึงปูผ้าห่มดิน ปรับให้แนบกับผิวดินยึดด้วยหมุดไม้ ระยะห่างของหมุดเป็นไป
ตามที่กาหนด รอยต่อของผ้าห่มดิน ทับซ้อนไม่ต่ากว่า 10 เซนติเมตร ตามทิศทางลม
ทั้งแนวต้งั และแนวนอน
(5) ขอ้ ควรคานึงถึง
(ก) ช่องตาข่ายของผ้าห่มดินควรมีช่องเปิดที่เพียงพอในการป้องกันการกัดเซาะและ
เสน้ ใยเหมาะสมกับพืชเจริญเติบโตข้นึ ไดง้ ่าย
(ข) หมุดไม้สาหรับยึดผ้าห่มดินและหมอนกัน เป็นไม้ที่นามายึดต้องไม่มี
การเจริญเติบโต หรอื ใชว้ สั ดอุ ืน่ ๆแทนได้
(ค) สามารถใช้วัสดุอื่นนอกจากผ้าห่มดินได้ เช่น Erosion Control Mat (ECM)
ถุงกระสอบปา่ น แตต่ ้องสามารถป้องกันการกัดเซาะของผิวหน้าดนิ ในระหวา่ งทีห่ ญ้ายงั ไม่เจรญิ เตบิ โต
(ง) การรดน้าโดยใช้เครื่องสูบน้ากาลังสูง ต้องพึงระวังอย่าให้แรงกระแทกของน้า
ทาความเสียหายใหแ้ กผ่ ้าห่มดนิ ควรฉดี น้าขึน้ ส่อู ากาศให้ตกลงมาในลักษณะใกล้เคียงกบั ฝนตามธรรมชาติ
(จ) กรณีฤดูแล้งที่ไม่เหมาะสมในการงอกของเมล็ดหญ้า ควรรดน้าอย่างน้อย
วันละครง้ั จนหญ้าแทงยอดข้ึนพน้ ผา้ ห่มดนิ จากนัน้ จงึ ปรับความถ่ีเปน็ 1 ครง้ั ต่อ 2 วัน จนหญ้าขน้ึ ท่วั กนั ดี
(ฉ) ทกุ จดุ ทเ่ี ป็นการต่อหมอนควรวางให้ปลายชดิ ติดกนั แน่นทีส่ ุด เพ่ือมิใหเ้ กดิ ร่องน้า
ระหว่างรอยตอ่ ได้
4.1.5.6 คานตาขา่ ย (grid beam)
(1) หลกั การ
การป้องกันลาดชันด้วยวิธีคานตาข่าย (gird beam) มีหลักการทางานคล้ายผ้าห่มดินคือ
ป้องกันการกัดเซาะ แต่ต้องการรักษาต้นไม้ในพ้ืนที่ลาดเชิงเขาไว้ โดยไม่ทาลายต้นไม้หรือทาลายให้น้อยที่สุด
หรือหากบริเวณนั้นไม่มีต้นไม้ สามารถทาการปลูกต้นไม้เพ่ือป้องกันการกัดเซาะพ้ืนที่ลาดเชิงเขาได้
ทงั้ น้ีขนึ้ อยูก่ บั ความเหมาะสมสภาพภูมปิ ระเทศของพ้นื ที่บรเิ วณน้ัน ดงั รูปที่ 22
70 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพังทลายสาหรับลาดเชงิ เขา
ผ้าหอ่ มดิน
(Erosion Control Blanket)
หมอนกันดนิ หมุดยึด
(Erosion Control log)
ผา้ หม่ ดิน
(Erosion Control Blanket)
หมอนกันดิน
(Erosion Control Log)
รูปท่ี 21 ตวั อย่างผ้าห่มดนิ และหมอนกนั ดนิ ในพ้ืนที่ลาดเชงิ เขา
(ขอ้ 4.1.5.5)
ทีม่ า : ภาพถา่ ยโดย สุทธิศักดิ์ ศรลมั พ์
(2) รปู แบบการป้องกนั
การทาคานตาข่าย (grid beam) เพื่อป้องกันการกัดเซาะ ทาเป็นช่องตาข่ายยึดไว้ในพื้นท่ี
ลาดเอียง ทาจากคอนกรีต ลวดตาข่าย หรือไม้ เป็นต้น สามารถทาการป้องกันลาดชันร่วมกับวิธีการอื่น ๆ
เช่น การทา soil nail , การทา shotcrete เปน็ ต้น ดังรปู ที่ 23
(3) วิธีการวเิ คราะหอ์ อกแบบ
การออกแบบขนาด คานตาข่าย (gird beam) ข้ึนอยู่กับร่องการกัดเซาะหน้าดิน
และระยะทางของลาดชันที่น้าจะไหลผ่าน ซึ่งความลึกที่ทาการฝังคานตาข่ายลงไปในแนวตามความลึก
ตอ้ งลึกกว่าร่องท่เี กิดการกดั เซาะและระยะห่างของคานตาขา่ ยต้องขน้ึ อยูก่ ับความยาวของลาดชนั ที่รับนา้ ผิวดิน
ลงมา สาหรับกรณีมีการทา soil nail ร่วมกับคานตาข่าย สามารถเพิ่มระยะห่างของคานตาข่ายได้
หากไมต่ อ้ งการรกั ษาต้นไม้ไว้สามารถทา shortcrete ร่วมได้
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพงั ทลายสาหรบั ลาดเชิงเขา 71
(4) วัสดุและวธิ ีการกอ่ สรา้ ง
วัสดุทาจากตาขา่ ยลวดเหล็ก (steel wire mesh) หรอื วัสดุอืน่ ๆ ที่สามารถทาเป็นตาข่าย (grid) ได้
การก่อสร้างต้องมีการสารวจสภาพภูมิประเทศว่ามีความเหมาะสมที่จะดาเนินการมากน้อย
เพียงใด โดยการวางแนวทากรดิ ไมค่ วรให้มีการทาลายตน้ ไมใ้ นแนวที่คัดเลอื ก
(5) ขอ้ ควรคานงึ ถงึ
การทาคานตาข่าย (grid beam) ต้องระวังผิวหน้าของดินจากฝนตกหนัก ในขณะที่
ยังไม่มีต้นไมข้ ึ้น อาจจาเปน็ ตอ้ งมวี สั ดุคลุมผวิ หน้าดนิ กอ่ นทีต่ ้นไมจ้ ะขน้ึ เชน่ ผา้ ห่มดิน ถุงกระสอบป่าน เปน็ ต้น
รปู ท่ี 22 ตวั อย่างแบบ grid beam system
(ข้อ 4.1.5.6)
ทม่ี า : Gue and Wong (2009)
รูปท่ี 23 การทา grid beam รว่ มกับ soil nail
(ข้อ 4.1.5.6)
ทม่ี า : Xiaohua, et al. (2017)
4.1.5.7 การใช้คอนกรตี พ่น (shotcrete)
การฉีดพ่นคอนกรีตเป็นการป้องกันการกัดเซาะหน้าดิน โดยรักษาผิวหน้าไม่ให้เกิดการเคลื่อน
พังทลายของหน้าดิน ทั้งนี้อาจช่วยเพิ่มความแข็งแรงของลาดชันได้ หากมีการใช้ตะแกรงเหล็ก
เสริมด้วย wire mesh นอกจากนี้การฉีดพ่นคอนกรีตบนเชิงลาดหินท่ีมีแนวโน้มหรือลักษณะของความ
ไมเ่ สถยี รภาพ ของก้อนหนิ ทมี่ ีโอกาสร่วงหลน่ ลงมาได้ เป็นเทคนิควิธกี ารแก้ไขแบบถาวรอีกวธิ หี นงึ่ ดงั รูปท่ี 24
72 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกันการพงั ทลายสาหรบั ลาดเชิงเขา
รปู ที่ 24 ตวั อยา่ งการฉีดพ่นคอนกรตี (shotcrete)
(ขอ้ 4.1.5.7)
ท่ีมา : ภาพถา่ ยโดย รัฐธรรม อิสโรฬาร (2558)
คุณสมบตั ิของวัสดุท่ีนามาทาเปน็ สว่ นผสม มรี ายละเอียดดังนี้
(1) ปูนซีเมนต์ ให้ใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทที่ 1 ในกรณีท่ีไม่ใช่สถานที่ที่มีอันตราย
จากซัลเฟตเปน็ พเิ ศษ ปนู ซเี มนต์ทผ่ี ลติ จะตอ้ งมคี ุณภาพสมา่ เสมอและเปน็ ไปตามมาตรฐานที่กาหนดไว้
(2) ทราย ตอ้ งเป็นทรายสะอาด ไม่มฝี นุ่ ดนิ ปน จะเป็นทรายบกหรอื ทรายแม่นา้ ก็ได้
(3) หินจะนามาใชใ้ นกรณีท่ีทรายมขี นาดคละละเอียดมากจนเกินไป หรือมีฝุ่นมากเกินไป ซึ่งจะทา
ให้การพ่นส่วนผสมไม่ออก จึงต้องนาหินเกล็ดมาช่วยผสม ข้อด้อย ควรสร้างการสะท้อนกลับของหิน
ขณะพน่ คอนกรีต ซง่ึ ตบแตง่ ใหเ้ รียบได้ยาก และไมส่ ามารถทาการฉาบผวิ ท่บี าง ๆ ได้
(4) น้า ต้องเป็นน้าสะอาด มีความขุ่นไม่เกิน 2,000 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ไม่เป็นกรดหรือด่าง
ปราศจากน้ามัน และสารอินทรีย์อ่ืน ๆ ในปริมาณที่จะเป็นอันตรายต่อคอนกรีตหรือเหล็กเสริม ซึ่งปริมาณน้าท่ีใช้
ผสมคอนกรตี โดยปกตจิ ะกาหนดเป็นอตั ราสว่ นของนา้ ตอ่ ซีเมนตโ์ ดยน้าหนกั
(5) ตาข่ายท่ีใช้เสริมความแข็งแรงสามารถใช้ตาข่ายท่ีเป็นเหล็กตะแกรงส่ีเหล่ียมหรือหกเหล่ียม
หรือแผ่นใยสงั เคราะห์ (geotextile)
วธิ ีการพน่ คอนกรีต (shotcreting process) สามารถแยกได้ 2 ประเภท คอื
(1) กระบวนการผสมแหง้ (dry mix process)
(2) กระบวนการผสมเปียก (wet mix process)
การเลือกใช้กระบวนการผสมแหง้ หรือกระบวนการผสมเปยี กข้ึนอยกู่ ับปัจจัยต่าง ๆ เช่น รายละเอียด
ของการทางาน ความเหมาะสมของวัสดุมวลรวมที่นามาใช้งาน การบารุงรักษาเคร่ืองจักร เครื่องมือต่าง ๆ
และคา่ ใชจ้ ่ายในการลงทนุ เปน็ ตน้
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกนั การพงั ทลายสาหรับลาดเชิงเขา 73
ข้อจากัดของการใชค้ อนกรีตพ่น
(1) ความคงทนถาวร ซง่ึ คอนกรีตพ่นจะเสื่อมสภาพตามระยะเวลาท่ีเปล่ยี นไป รวมท้ังการกัดกร่อน
ตามสภาพภูมอิ ากาศ
(2) พื้นท่ีท่ีมนี า้ ไหลผ่านผิวดินไมเ่ หมาะกับการทาคอนกรีตพ่น ในบางกรณีทน่ี า้ สามารถซึมลงใต้ดิน
จะทาใหแ้ รงดนั นา้ ภายในดนิ เพิ่มข้ึน มีผลให้คอนกรีตพ่นท่คี ลุมพน้ื ผวิ อยู่เกิดการแตกหกั เสยี หายได้
(3) ความสวยงาม พื้นผิว คอนกรีตพ่นไม่มีความสวยงาม แต่สามารถตกแต่งพื้นผิว
ให้เกิดความสวยงามได้ เช่น ใช้เปลือกมะพร้าวติดเข้ากับตาข่าย เพ่ือให้สามารถปลูกพืชคลุม
บรเิ วณที่ทาคอนกรีตพ่น เปน็ ต้น
(4) ความหนาของคอนกรีตพ่นสามารถทาได้ต้ังแต่ 7.5 ถึง 15 เซนติเมตร ถ้าความหนาเกิน
7.5 เซนติเมตร จะต้องทาการฉีดพ่น 2 ครั้ง โดยหลังจากฉีดพ่นเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องทาการบ่มพ้ืนผิว
ของคอนกรีตพน่ ทนั ที
4.1.6 วธิ กี ารระบายน้าใต้ดนิ (drainage)
เม่ือพื้นที่การก่อสรา้ ง การขดุ ดินหรือถมดิน ทม่ี นี า้ ใตด้ นิ อยู่ในระดับสูงและมผี ลให้กาลังของดินลดลง จึงตอ้ งจัด
ให้มีการระบบระบายน้าใต้ดินเพื่อเป็นการลดแรงดันน้าท่ีกระทาต่อพ้ืนท่ีลาดเอียง ทาให้พื้นท่ีลาดเอียง
มีเสถียรภาพมากขน้ึ
รูปแบบการปอ้ งกนั โดยการระบายนา้ ใต้ดนิ
(1) การขดุ ร่องดกั นา้ ใตด้ นิ หรอื ร่องระบายน้าใตด้ นิ
การขุดร่องดักน้าใต้ดินทาโดยการวางร่องขวางทิศทางของน้าใต้ดิน ก่อนท่ีน้าจะไหลเข้าสู่
บริเวณพ้ืนท่ีลาดเอียง น้าที่ซึมผ่านมาจะไหลไปตามแนวร่องดักน้าใต้ดิน ทาให้น้าใต้ดินบริเวณพ้ืนที่
ลาดเอียงลดระดบั ลง สามารถใชไ้ ดท้ ้งั ป้องกนั และซอ่ มแซมการวิบัติ ดังรปู ที่ 25
รปู ท่ี 25 ตัวอยา่ งการขดุ รอ่ งดักนา้ ใต้ดนิ
(ข้อ 4.1.6(1))
74 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพงั ทลายสาหรับลาดเชงิ เขา
ร่องระบายน้าใต้ดินจะทาหน้าท่ีระบายน้าให้ไหลผ่านพื้นที่ลาดเอียงโดยสะดวก จึงเป็นการ
ลดระดับน้าหรือแรงดันน้าไปด้วย วิธีการนี้เหมาะสาหรับการแก้ไขการวิบัติที่มีความลึกไม่เกิน 4-6 เมตร
มีความชันไม่มาก และเป็นพ้ืนที่บริเวณกว้าง ท้ังนี้บางกรณีต้องทาการค้ายันร่องขณะขุดด้วย ตัวอย่างดังรูปท่ี
26 และ 27
รปู ท่ี 26 ตัวอยา่ งรูปตัดรอ่ งระบายนา้ ใตด้ นิ
(ขอ้ 4.1.6(1))
รปู ท่ี 27 ตัวอย่างแปลนการจัดวางรอ่ งระบายนา้ ใตด้ ิน
(ขอ้ 4.1.6 (1))
(2) การใช้ท่อระบายน้าในแนวราบ (horizontal drain) เป็นวิธีการลดระดับน้าสาหรับพ้ืนท่ีลาดเอียง
ท่ีมีความชันค่อนข้างมาก โดยการเจาะหลุมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 50–150 มิลลิเมตร เข้าไปในพ้ืนท่ี
ลาดเอียงบริเวณท่ีเกิดการเคล่ือนตัวในแนวทามุม 2–15 องศา กับแนวระดับ เพื่อให้น้าใต้ดินระบายออกได้
โดยแรงโน้มถ่วง ท้ังน้ีความยาวของหลุมเจาะควรมีความยาวมากกว่าแนวการวิบัติท่ีได้จากการวิเคราะห์
หรือเกิดข้ึนจริง ซ่ึงอาจมีความยาวได้ถึง 5–20 เมตร แล้วติดต้ังท่อระบายน้าเจาะรูพรุนตลอดความยาวของหลุมเจาะ
โดยทอ่ ระบายอาจห้มุ ดว้ ยแผน่ ใยสงั เคราะห์เพ่อื ป้องกันท่ออุดตันจากเศษดนิ ดังรูปที่ 28
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกันการพงั ทลายสาหรับลาดเชิงเขา 75
รูปท่ี 28 ตวั อยา่ งการใชท้ ่อระบายน้าในแนวราบ
(ข้อ 4.1.6(2))
(3) การใช้ช้ันระบายน้าสาหรับดินถม กรณีการใช้น้าหนักยันเพ่ือเพ่ิมเสถียรภาพและไม่ต้องการ
ให้น้าซึมผ่านวัสดุถมสามารถใช้ชั้นทรายระบายน้าเพ่ือรับน้าท่ีซึมผ่านมาจากพื้นที่ลาดเอียงเดิม ดังตัวอย่าง
รปู ที่ 29 โดยหลกั ในการออกแบบช้ันกรองมี 2 ขอ้ คือ
ก. piping requirement ขนาดของวัสดุกรอง (หรือช่องว่างระหว่างเม็ดดิน) ต้องมีขนาดเล็ก
พอท่จี ะป้องกันไมใ่ ห้เม็ดดนิ ในพน้ื ที่ลาดเอียงถูกกดั เซาะและไหลตามน้าที่ซมึ ผา่ นออกมาได้
ข. drainage requirement ขนาดของวัสดุกรอง (หรือช่องว่างระหว่างเม็ดดิน) จะต้องใหญ่
พอทจ่ี ะยอมใหน้ า้ ไหลซึมออกไดส้ ะดวกโดยไมเ่ กดิ ความดนั นา้ สะสมขนึ้ ในชั้นดินถมหรอื ชน้ั ระบายน้า
ขอ้ ควรคานึงถงึ
(1) การวิเคราะห์ ต้องคานวณค่าเสถียรภาพความลาดเอียงของพ้ืนที่ลาดเอียงก่อนการลดระดับน้าใต้ดิน
และหลังจากลดระดบั นา้ ใต้ดิน
(2) การป้องกันการวิบัติโดยการระบายน้าใต้ดินควรมีการคานึงถึงการพัดพาดินมวลละเอียด
ออกมากับการระบายนา้ ดว้ ย โดยอาจใช้แผน่ ใยสงั เคราะห์หรือการออกแบบขนาดวัสดุกรองท่เี หมาะสม
รูปที่ 29 ตัวอย่างการใช้ชัน้ ระบายน้าสาหรับดินถม
(ขอ้ 4.1.6(3))
76 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพังทลายสาหรบั ลาดเชิงเขา
นอกจากน้ียังสามารถนาวัสดุท้องถ่ินและวสั ดุหาง่ายเพ่ือนามาใชป้ ้องกันการน้ากัดเซาะผิวหน้าเชิงลาด
ได้ด้วย สาหรับบริเวณพื้นท่ีชนบท เช่น การใช้ฟางข้าวยึดด้วยไม้ไผ่สาน การใช้ตาข่ายพลางแสง (ผ้าแสลน)
ยึดด้วยหมุด และการเปล่ียนทิศทางน้าด้วยกระสอบทรายหรือถังน้า เป็นต้น ดังรูปท่ี 30 ถึง 32 ตามลาดับ
ซึ่งแนวทางแกไ้ ขทเ่ี บ้ืองต้นสามารถชว่ ยชะลอความเร็วบริเวณผวิ หนา้ เชิงลาดได้
รปู ที่ 30 รูปแบบการใช้ฟางขา้ วยดึ ด้วยไมไ้ ผส่ านป้องกนั การกดั เซาะผิวหน้าเชิงลาด
ท่มี า : กรมทางหลวง (2551)
รูปท่ี 31 ผ้าแสลนสามารถนามาประยกุ ต์ใชใ้ นการปอ้ งกันการกดั เซาะผิวหน้าเชิงลาดได้
ทม่ี า : กรมทางหลวง (2551)
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกันการพังทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา 77
รูปท่ี 32 การใชถ้ ังขนาด 200 ลติ ร ผ่าครึง่ เป็นรางระบายนา้ ช่วั คราว
ท่ีมา : กรมทางหลวง (2551)
4.2 แนวทางการพจิ ารณาเลือกใช้วธิ กี ารป้องกนั การพังทลาย
แนวทางการพิจารณาเลอื กใช้วิธีการปอ้ งกันการพังทลายของลาดเอยี ง ตอ้ งคานงึ ถงึ
4.2.1 สาเหตุที่จะก่อให้เกิดการพงั ทลาย
4.2.2 ความลึกในการขดุ หรอื ความสูงในการถมดิน
4.2.3 ระยะห่างจากเขตท่ดี นิ และพืน้ ทีก่ ารก่อสร้าง
4.2.4 ประเภทของดิน
4.2.5 สภาพน้าใต้ดนิ
4.2.6 ประเมนิ ลกั ษณะผลกระทบจากการพังทลาย
4.2.7 ประเมินราคาค่ากอ่ สรา้ งเพ่ือปอ้ งกันการพงั ทลาย
5. วิธีการป้องกันการพังทลายกรณดี ินถลม่ (landslide)
การป้องกันการพังทลายจากดินถล่ม (landslide) ต้องทาการจัดการท้ังน้า หิน ดิน และซากวัสดุต่างๆ
ท่ีผสมปนกันมา ด้วยมาตรการทางวิศวกรรม เช่น เทคนิคท่อลดแรงดันน้า (horizontal drain and shaft)
การทาตาข่ายแรงดึงสูงป้องกันหินร่วง (high strength netting) หรือสร้างกาแพงกั้นรั้วป้องกันหินร่วง
(rock fall protection fence) เป็นต้น ซ่ึงวิธีการเหล่านี้ไม่สามารถป้องกันการพังทลายจากดินถล่มได้อย่างสมบูรณ์
เน่ืองจากการพิบัติดังกล่าวเป็นพื้นที่บริเวณกว้างการป้องกันจริงเป็นเพียงการบรรเทาความเสียหายให้น้อยลง
นอกจากมาตรการดังกล่าวแล้วควรมีเคร่ืองมือการตรวจวัดและเฝ้าระวัง (monitoring and warning)
เพ่ือติดตามการเกิดดินถล่มในพื้นที่เสี่ยงภัย แจ้งให้ประชาชนในพ้ืนที่ได้รับทราบข้อมูลได้ทันเหตุการณ์และเตรียมตัว
ในการปฏิบตั ิตวั เมื่อเผชิญเหตุการณ์ตอ่ ไป
78 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกนั การพงั ทลายสาหรับลาดเชงิ เขา
5.1 ทอ่ ลดแรงดันน้า (horizontal drain and shaft)
ปัญหาการพิบัติของลาดดินในพ้ืนที่ภูเขาน้ันโดยส่วนมากจะเกิดจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้าใต้ดิน
เนื่องจากฝนตกหนัก ทาให้ดินอยู่ในสภาวะอิ่มตัวด้วยน้าจนเป็นสาเหตุให้กาลังรับแรงเฉือนของดินมีค่าลดลง
ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาประเภทน้ี คือ การควบคุมระดับน้าใต้ดินในลาดดินให้อยู่ในระดับที่ต่ากว่า
ระนาบการพบิ ัติ ซง่ึ วธิ กี ารแก้ไขน้ันมีหลายประเภทข้ึนอยู่กับ สภาพของพื้นที่ ลักษณะโครงสรา้ งทางธรณีวิทยา
ระดับและตาแหน่งของน้าใต้ดิน เป็นต้น รูปแบบการแก้ไขโดยใช้เทคนิคท่อลดแรงดันน้า (horizontal drain
and shaft) เปน็ วธิ ที ่ีใชก้ นั ค่อนข้างแพร่หลายในหลายประเทศ
การสร้างระบบระบายน้าแบบ shaft drain ในพ้นื ทีภ่ เู ขา แสดงในรปู ที่ 33
- มีลักษณะเปน็ ทอ่ คอนกรตี เสริมเหลก็
- ระดบั ความลึกในการติดตงั้ นน้ั จะอยลู่ กึ กว่าระนาบการพิบตั ิ ซง่ึ ไดจ้ ากการวเิ คราะห์
- การออกแบบระบบระบายนา้ ในลาดดิน แสดงขัน้ ตอนดงั รปู ที่ 34
- ระบบ shaft drain ทาหน้าท่ีได้ 2 รูปแบบคือ เป็นระบบระบายน้าและโครงสร้างป้องกัน
(drainage and retaining structure)
รปู ท่ี 33 การตดิ ต้งั ระบบ shaft drain สาหรับระบายนา้ ใต้ดิน 79
(ข้อ 5.1)
ท่มี า: Pulko et al. (2012)
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพังทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา
-
No
Yes
(numerical)
No
(F.S.)
//
(monitoring)
Yes
No
รูปท่ี 34 ผงั แสดงแนวทางการออกแบบระบบระบายนา้ เพ่อื ใช้ลดระดับนา้ ใตด้ ิน
(ข้อ 5.1)
ท่มี า: design guidelines for horizontal drains used for slope stabilization (2013)
80 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกนั การพงั ทลายสาหรบั ลาดเชงิ เขา
5.2 การปอ้ งกนั หนิ รว่ ง
ปรากฏการณ์การตกกระแทกจากการเคล่ือนตัวของมวลหิน ข้ึนอยู่กับลักษณะของความลาดชัน
และความสูงของเชิงลาดและขนาดของมวลหิน เป็นต้น มวลหินท่ีมีขนาดเล็ก (ไม่เกิน 0.5 ลูกบาศก์เมตร)
จะตกได้เร็วกว่า มวลหินท่ีมีขนาดใหญ่ (เกิน 0.5 ลูกบาศก์เมตร) และโดยทั่วไปลักษณะของการตกอาจจะเป็น
แบบกล้ิง (rotation) มาตามผิวหน้าเชิงลาด หรือกระดอนและกระแทกกับผิวหน้าเชิงลาดเป็นจังหวะ
หรือเลื่อนไถล (sliding) หรือร่วงหล่นลงมาโดยมิได้มีการสัมผัสกับผิวหน้าเชิงลาดซ่ึงจะเกิดในกรณีที่เชิงลาด
มีความลาดชันสงู
วิธีการป้องกันหินร่วงมีหลายวิธี ได้แก่แบบถาวรและชั่วคราว สาหรับมาตรฐานน้ีจะนาเสนอ 2 วิธี
คือ การป้องกันด้วยตาข่ายแรงดึงสูงป้องกันหินร่วง (high strength netting) และรั้วป้องกันหินร่วง
(rock fall protection fence)
5.2.1 ตาขา่ ยแรงดงึ สูงปอ้ งกนั หนิ ร่วง (high strength netting)
การใช้ตาข่ายป้องกันหินร่วงนับว่าเป็นวิธีการที่ดีและเหมาะสมท่ีสุดวิธีหน่ึงท่ีสามารถหยุดยั้งการตกของหิน
ลงบนพ้ืนได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก โดยนิยมใช้กันท่ัวไปและในทุกลักษณะหรือประเภทของเชิงลาด
ไมว่ า่ จะเป็นเชงิ ลาดหิน (rock slope) หรือเชงิ ลาดดนิ ปนหิน ดงั รูปที่ 35
การก่อสร้าง ติดตั้ง ถูกต้อง ต้องมีการยึดแน่นท้ังสมอยึดบริเวณด้านบน (top anchorage) ตามลักษณะ
ของดินหรือหินบริเวณเชิงลาดในการออกแบบเพื่อติดต้ังสาหรับบริเวณส่วนล่างของตาข่าย มีการออกแบบ
เพื่อให้มีช่องเปิดออกได้ประมาณ 0.30 – 0.60 เมตร พร้อมก่อสร้างรางรับก้อนหินท่ีร่วงไถลลงมาโดยมีทรายหรือ
กรวดขนาดเลก็ หรือวสั ดุท่ีสามารถดูดซบั พลงั งานของการตก ทงั้ นี้อาจมีการฉดี พ่นคอนกรีตร่วมด้วย
รูปที่ 35 ตวั อย่างการปอ้ งกันหนิ รว่ งด้วยวธิ ี high strength netting ร่วมกบั shotcrete
(ข้อ 5.2.1)
ท่มี า : ภาพถา่ ยโดย รฐั ธรรม อสิ โรฬาร (2558)
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกันการพงั ทลายสาหรับลาดเชงิ เขา 81
5.2.2 รัว้ ปอ้ งกันหนิ รว่ ง (rock fall protection fence)
ร้ัวดักหินร่วงหรือป้องกันหินร่วง โดยท่ัวไปจะเป็นลักษณะ flexible catch fence เป็นมาตรการตั้งรับ
(passive defense measures) โดยใช้ตาข่ายที่มีกาลังรับแรงดึงสูงร่วมกับเสาเหล็ก และลวดเหล็กรับแรงดึง
(tension wire or wire rope) เพื่อยึดร้ัง ท้ังระบบสามารถรับแรงกระแทกของมวลหิน และดักมวลหินร่วงไว้ได้
ฐานของเสาเหล็กจะฝังอยู่ในดินหรือฐานคอนกรีต หรือ concrete barrier ซึ่งอาจจะมีร่องดักเก็บก้อนหินร่วง
(catch pit) หรือไม่มีกไ็ ด้ ดังรูปที่ 36
รปู ที่ 36 ตัวอย่างการป้องกนั หนิ รว่ งดว้ ยกาแพงกั้นรั้ว
(ข้อ 5.2.2)
ท่มี า: กรมทางหลวง (2551)
82 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกนั การพงั ทลายสาหรับลาดเชิงเขา
6. วิธีการป้องกนั การพังทลายกรณีโคลนถลม่ (Debris Flow)
การลงทุนในการก่อสร้างเพ่ือป้องกันโคลนถล่มต้องใช้งบประมาณมาก วิธีหน่ึงทางด้านวิศวกรรม
ท่ีอาจนามาใช้ได้เป็นการบรรเทาความรุนแรง คือ โครงสร้างที่ใช้สาหรับดักตะกอนเพื่อลดความเร็วในการไหลลง
เชน่ เขือ่ นดักตะกอน (check dam) สะพานลอยโคลนถลม่ (weir duct) debris baffles และ flexible debris
flow barriers เป็นต้น ส่ิงที่จาเป็นต้องมีในพ้ืนท่ีเสี่ยงภัยดินถล่ม คือ เคร่ืองมือการตรวจวัดและ
เฝ้าระวัง (monitoring และ warning) เชน่ เดยี วกับกรณเี กิดเหตุการณด์ ินถลม่ (landslide)
6.1 เขอ่ื นดกั ตะกอน (check dam)
เขื่อนดักตะกอน (check dam) เป็นโครงสร้างทางวิศวกรรมที่ใช้สาหรับดักตะกอนทรายที่อยู่ในทางของแม่น้า
ลดการเดินทางของตะกอนที่อยู่ในทางน้า ป้องกนั การกัดเซาะ และยับย้ังการไหลของโคลนถล่ม (debris flow)
รูปท่ี 37 แสดงแนวคดิ และวธิ ีใช้งานเขือ่ นดักตะกอน
(1) ในช่วงที่ยังไม่มีการก่อสร้าง เข่ือนดักตะกอน (check dam) เม่ือเริ่มมีการไหลของตะกอนลงมา
ตามรอ่ งน้า
(2) ตะกอนทลี่ งมาจะเริ่มมีการกัดเซาะท่ีตีนของลาดดนิ ที่อยู่ด้านข้างของร่องน้าทาใหเ้ กิดดินถลม่ ลงมา
ทาให้นอกจากมีตะกอนที่มาจากการไหลของดินโคลนถล่ม (debris flow) แล้วยังมีตะกอนที่เกิดจากดินถล่ม
เพ่มิ ข้ึนอกี
(3) หลังจากมกี ารสรา้ งเขอื่ นดักตะกอน (check dam)
(4) ลดความเรว็ ของนา้ ทาใหไ้ ม่เกดิ การกัดเซาะ
(5) กกั ตะกอนบางสว่ นทม่ี าจากดินโคลนดว้ ย
หน้าที่หลกั ของเขอ่ื นดกั ตะกอน (check dam) ประกอบไปดว้ ย
- เพอ่ื ป้องกันการกัดเซาะในแนวดิ่งหรือลาดชนั ของทอ้ งน้า (mitigate vertical bed slope)
- เพื่อป้องกันการกัดเซาะตล่ิงด้านข้างของร่องน้า (renovate the channel) เน่ืองจากลักษณะของ
ร่องน้าตามธรรมชาติจะไม่ได้ไหลเป็นเส้นตรง ซ่ึงโดยปกติตลิ่งของร่องน้าจะถูกกัดเซาะด้วยสาเหตุนี้
ดังนั้นจึงจาเป็นต้องสร้างเขื่อนดักตะกอน (check dam) เพื่อควบคุมทิศทางการไหลเพื่อป้องกันการกัดเซาะ
ทจี่ ะเกดิ ขึน้ (scouring)
- เพ่ือป้องกันการพังทลาย (fix the toe of levee) เนื่องจากการสร้าง เขื่อนดักตะกอน
(check dam) เป็นการยกท้องน้าด้านเหนือน้าขึ้นและเป็นการยึดติดกับพ้ืนที่ส่วนล่าง (toe) ของภูเขา
เพ่อื ป้องกนั การพงั ทลายของตลิง่ ได้ดว้ ย
มยผ.1917-62 : มาตรฐานการปอ้ งกนั การพังทลายสาหรับลาดเชงิ เขา 83
1 23
4 5
รปู ที่ 37 แนวคิดและวธิ กี ารทางานของโครงสรา้ งเข่ือนดักตะกอน (check dam)
(ข้อ 6.1)
ทม่ี า: เอกสารอบรม Summer Training Course for Slope Land Disaster Reduction (2013)
6.2 weir duct
weir duct เป็นลักษณะการทาท่อขนาดใหญ่ ฝาย หรือสะพานลอย เพ่ือรองรับน้าและตะกอนที่ไหล
มาจากดินโคลนถล่ม ทั้งนี้ต้องมีระบบระบายน้าที่ดีพอเพ่ือไม่ให้บริเวณพ้ืนท่ีรับน้าถัดจาก weir duct
เกดิ การพบิ ตั ขิ ึ้น รปู ท่ี 38 แสดงตวั อยา่ ง weir duct
weir duct
รูปที่ 38 ตวั อยา่ ง Weir Duct
(ขอ้ 6.2)
ทมี่ า: https://blogs.agu.org/landslideblog/2011/07/31/landslide-protection-new-zealand-style
84 มยผ.1917-62 : มาตรฐานการป้องกันการพังทลายสาหรับลาดเชิงเขา