The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) โดยได้วางแผนและจัดกลุ่มนักเรียนใหม่จำนวน 6 กลุ่มโดยยึดทักษะและความสามารถต่อการอ่านเขียนของนักเรียนเป็นเกณฑ์ในการจัดกลุ่มนักเรียน กล่าวคือ นักเรียนที่เรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ทักษะการอ่านเขียนเทียบเท่ากับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้เรียนอยู่กลุ่มความสามารถเดียวกันกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และนักเรียนที่เรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ทักษะการอ่านเขียนเทียบเท่ากับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้เรียนอยู่กลุ่มความสามารถเดียวกันกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดลนี้จะจัด การเรียนรู้ในคาบวิชาสอนซ่อมเสริมรูปแบบออนไลน์และจัดกลุ่มนักเรียนจำนวน 6 กลุ่มดังนี้
กลุ่มที่ 1 : พยัญชนะ สระและคำแม่ ก กา
กลุ่มที่ 2 : การแจกลูกสะกดคำ
กลุ่มที่ 3 : มาตราตัวสะกด (ตรงมาตรา)
กลุ่มที่ 4 : มาตราตัวสะกด (ไม่ตรงมาตรา)
กลุ่มที่ 5 : ฝึกผันวรรณยุกต์ คำควบกล้ำ อักษรนำ
กลุ่มที่ 6 : ฝึกอ่านเขียนจับใจความ
การจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) ซึ่งคำว่า CARES เป็นคำนามในภาษาอังกฤษ แปลว่า การเอาใจใส่ หมายถึง การเอาใจในการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนเนื่องจากทักษะ การอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง เป็นทักษะพื้นฐานของการเรียนรู้ซึ่งหากนักเรียนมีทักษะการอ่านเขียนได้แล้ว นักเรียนก็มีโอกาสที่จะเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ด้วยตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยคณะครูได้ร่วมกันนิยามและให้ความหมายของโมเดล CARES U ดังนี้
C: Children การเน้นเด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลางของการจัดการเรียนรู้ กล่าวคือนักเรียนมีความหลากหลาย มีพื้นฐานและลักษณะของการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน การจัดการเรียนรู้จึงต้องมีหลากหลายเพื่อตอบสนองนักเรียน
A: Ability to Read & Write ความสามารถพื้นฐานของทักษะการอ่านเขียนภาษาไทย การอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง เป็นทักษะพื้นฐานของการเรียนรู้ซึ่งหากนักเรียนมีทักษะการอ่านเขียนได้แล้ว นักเรียนก็มีโอกาสที่เรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ด้วยตนเอง
R: Responsibility ความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างนักเรียนและครูผู้สอน การจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนสามารถอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง คือความรับผิดชอบร่วมกัน นักเรียนรับผิดชอบต่อตนเองด้วยการตั้งใจฝึกฝนกระบวนการอ่านเขียน ครูทุกคนร่วมรับผิดชอบด้านการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยโดยถือว่าการสอนซ่อม การสอนเสริมภาษาไทยเป็นหน้าที่ของครูทุกคนในโรงเรียน ไม่ใช่ของครูภาษาไทยเพียง ผู้เดียว
E: Effectiveness ประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่อง เขียนคล่องมากขึ้นกว่าเดิมโดยวัดและประเมินผลจากสภาพจริง
S: System การทำงานอย่างเป็นระบบ มีคณะทำงานกำกับนิเทศ ติดตาม ประเมินผล คอยช่วยเหลือ ประสานระหว่างกันเพื่อให้การจัดการเรียนรู้เป็นระบบ
U: You คือ เธอ หมายถึง นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้สามารถพัฒนาทักษะการอ่านเขียนภาษาไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nuslan.se, 2021-09-18 00:08:23

การจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่าน

การจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) โดยได้วางแผนและจัดกลุ่มนักเรียนใหม่จำนวน 6 กลุ่มโดยยึดทักษะและความสามารถต่อการอ่านเขียนของนักเรียนเป็นเกณฑ์ในการจัดกลุ่มนักเรียน กล่าวคือ นักเรียนที่เรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ทักษะการอ่านเขียนเทียบเท่ากับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้เรียนอยู่กลุ่มความสามารถเดียวกันกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และนักเรียนที่เรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ทักษะการอ่านเขียนเทียบเท่ากับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้เรียนอยู่กลุ่มความสามารถเดียวกันกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดลนี้จะจัด การเรียนรู้ในคาบวิชาสอนซ่อมเสริมรูปแบบออนไลน์และจัดกลุ่มนักเรียนจำนวน 6 กลุ่มดังนี้
กลุ่มที่ 1 : พยัญชนะ สระและคำแม่ ก กา
กลุ่มที่ 2 : การแจกลูกสะกดคำ
กลุ่มที่ 3 : มาตราตัวสะกด (ตรงมาตรา)
กลุ่มที่ 4 : มาตราตัวสะกด (ไม่ตรงมาตรา)
กลุ่มที่ 5 : ฝึกผันวรรณยุกต์ คำควบกล้ำ อักษรนำ
กลุ่มที่ 6 : ฝึกอ่านเขียนจับใจความ
การจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) ซึ่งคำว่า CARES เป็นคำนามในภาษาอังกฤษ แปลว่า การเอาใจใส่ หมายถึง การเอาใจในการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนเนื่องจากทักษะ การอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง เป็นทักษะพื้นฐานของการเรียนรู้ซึ่งหากนักเรียนมีทักษะการอ่านเขียนได้แล้ว นักเรียนก็มีโอกาสที่จะเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ด้วยตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยคณะครูได้ร่วมกันนิยามและให้ความหมายของโมเดล CARES U ดังนี้
C: Children การเน้นเด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลางของการจัดการเรียนรู้ กล่าวคือนักเรียนมีความหลากหลาย มีพื้นฐานและลักษณะของการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน การจัดการเรียนรู้จึงต้องมีหลากหลายเพื่อตอบสนองนักเรียน
A: Ability to Read & Write ความสามารถพื้นฐานของทักษะการอ่านเขียนภาษาไทย การอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง เป็นทักษะพื้นฐานของการเรียนรู้ซึ่งหากนักเรียนมีทักษะการอ่านเขียนได้แล้ว นักเรียนก็มีโอกาสที่เรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ด้วยตนเอง
R: Responsibility ความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างนักเรียนและครูผู้สอน การจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนสามารถอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง คือความรับผิดชอบร่วมกัน นักเรียนรับผิดชอบต่อตนเองด้วยการตั้งใจฝึกฝนกระบวนการอ่านเขียน ครูทุกคนร่วมรับผิดชอบด้านการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยโดยถือว่าการสอนซ่อม การสอนเสริมภาษาไทยเป็นหน้าที่ของครูทุกคนในโรงเรียน ไม่ใช่ของครูภาษาไทยเพียง ผู้เดียว
E: Effectiveness ประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่อง เขียนคล่องมากขึ้นกว่าเดิมโดยวัดและประเมินผลจากสภาพจริง
S: System การทำงานอย่างเป็นระบบ มีคณะทำงานกำกับนิเทศ ติดตาม ประเมินผล คอยช่วยเหลือ ประสานระหว่างกันเพื่อให้การจัดการเรียนรู้เป็นระบบ
U: You คือ เธอ หมายถึง นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้สามารถพัฒนาทักษะการอ่านเขียนภาษาไทย

Keywords: CARES U

คำนำ

นวัตกรรมเรื่อง “การจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่าน
คล่องเขยี นคล่องของนักเรียนในสถานการณโ์ รคติดต่อเชือ้ ไวรสั โคโรน่า 2019 (COVID-19)” เปน็ นวตั กรรม
ที่โรงเรียนชุมชนบ้านปาแดปาลัสคิดค้นภายใต้โครงการ Innovation For Thai Education (IFTE) นวัตกรรม
การศึกษาเพ่อื พฒั นาการศึกษาซ่ึงการคิดคน้ นวัตกรรมครั้งนี้มีวตั ถปุ ระสงคพ์ ฒั นะทักษะการอา่ นเขยี นภาษาไทย
ของนักเรียนที่ได้คะแนนการวัดและประเมินผลความสามารถด้านภาษาไทยปีการศึกษา 2563 อยู่ในระดับ
พอใช้และปรับปรงุ

ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง
ของนักเรียนในสถานการณโ์ รคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19 นั้น นกั เรยี นไดพ้ ฒั นาทักษะการอ่าน
เขยี นภาษาไทยดียิ่งขน้ึ สามารถพัฒนาทักษะการอ่านแบบแจกลูกสะกด

ขอขอบคุณ คณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน ผู้อำนวยการโรงเรียน ครู ผู้ปกครองนกั เรยี นและผู้ท่ี
มีสว่ นเก่ียวขอ้ งทุกท่านที่ให้ความรว่ มมอื ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมจนประสบความสำเร็จและหวังเป็นอย่างย่ิง
ว่านวัตกรรมเรื่อง “การจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่อง
เขียนคล่องของนักเรียนในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19)” จะเป็นประโยชน์
ต่อครู โรงเรยี นและหน่วยงานตา่ ง ๆ ในการนำไปประยกุ ต์ใช้เพ่อื แกป้ ัญหาการอ่านออกเขยี นได้ อา่ นคลอ่ งเขียน
คลอ่ งของนักเรยี น

ฝ่ายบริหารวชิ าการ
โรงเรียนชมุ ชนบ้านปาแดปาลัส

สารบัญ

เรอ่ื ง หนา้
คำนำ............................................................................................................................. ............. ก
สารบญั …………………………………………………………………………………………………………………....... ข
สารบญั ตาราง……………………………………………………………………………………………………………... ค
สารบญั รปู ภาพ……………………………………………………………………………………………………………. ง
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา...........……………………………………………………………….. 1
วัตถุประสงค์……………………………………………………………………………………………………………….. 2
กลมุ่ เป้าหมาย……………………………………………………………………………………………………........... 3
หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎีทีใ่ ช้...................................................................................................... 3
3
- แนวคิดทฤษฎีเกย่ี วกบั การเรยี นรู้........................................................................................ 3
- แนวคิดทฤษฎีเกยี่ วกับการอ่านและการเขียน..................................................................... 8
- แนวคดิ ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการเรียนรภู้ าษาไทย............................................................ 9
- แนวคิดทฤษฎเี กย่ี วกบั การสอนซอ่ มเสริม........................................................................... 9
- งานวจิ ัยท่เี กีย่ วขอ้ ง............................................................................................................. 10
การออกแบบนวัตกรรม............................................................................................................. 11
วธิ ดี ำเนนิ การ............................................................................................................................. 12
- ข้ันวางแผน......................................................................................................................... 13
- ขัน้ ดำเนนิ การ..................................................................................................................... 17
- ขนั้ ตรวจสอบ...................................................................................................................... 17
- ข้นั ปรบั ปรุงพฒั นา.............................................................................................................. 18
ผลการสร้างนวตั กรรม............................................................................................................... 18
- ผลทเ่ี กดิ กบั นกั เรยี น........................................................................................................... 19
- ผลที่เกิดกับครู.................................................................................................................... 19
- ผลที่เกิดขึ้นกบั โรงเรยี น...................................................................................................... 19
- ผลทเ่ี กิดขนึ้ กบั ผู้ปกครองและชมุ ชน................................................................................... 20
ปัจจยั ความสำเรจ็ ...................................................................................................................... 20
บทเรยี นทไี่ ดร้ บั .......................................................................................................................... 20
การเผยแพรน่ วตั กรรม............................................................................................................... 21
บรรณานุกรม............................................................................................................................. 23
ภาคผนวก........................................................................................ .......................................... 24
- ภาคผนวก ก คำส่งั โรงเรยี นชุมชนบา้ นปาแดปาลัส............................................................ 29
- ภาคผนวก ข แบบหดั อ่านภาษาไทย.................................................................................. 32
- ภาคผนวก ค แผนการสอนซ่อมเสริม................................................................................. 40
- ภาคผนวก ง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน........................................................ 61
- ภาคผนวก จ ผลการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ......................................... 70
- ภาคผนวก ฉ ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ................................................................................... 73
- ภาคผนวก ช ประมวลภาพ.................................................................................................

สารบญั ตาราง

ตาราง หนา้
ตารางที่ 1
ตารางท่ี 2 แสดงกำหนดการวางแผนการสร้างนวัตกรรม................................................... 12
ตารางที่ 3
ตารางท่ี 4 แสดงกำหนดการดำเนินการสร้างนวัตกรรมและนำนวตั กรรมไปใช.้ ................. 13
ตารางท่ี 5
แสดงผลความคดิ เหน็ ของผู้เชียวชาญท่ีมีตอ่ แบบหัดอ่านภาษาไทย.................. 62
ตารางท่ี 6
แสดงผลความคิดเหน็ ของผู้เชียวชาญทม่ี ตี อ่ แผนการสอนซ่อมเสรมิ ................. 63
ตารางที่ 7
แสดงผลดัชนมี สอดคล้อง IOC ระหวา่ งข้อคำถามกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 64
ตารางท่ี 8 ของแบบทดสอบ................................................................................................

แสดงผลดชั นีความสอดคล้อง (IOC) ระหวา่ งข้อคำถามกบั กับประเด็น 69
การประเมินความพงึ พอใจ.................................................................................

แสดงผลการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของนักเรียนก่อนและหลัง 71
การจัดการเรยี นรูโ้ ดยใชโ้ มเดล CARES U..........................................................

แสดงผลการประเมินความความพงึ พอใจของนกั เรียนตอ่ การจดั การเรียนรโู้ ดย 72
ใชโ้ มเดล CARES U...........................................................................................

สารบญั ภาพ

ภาพ หนา้
ภาพที่ 1
แสดงวงจรคุณภาพ (PDCA) สำหรบั การขับเคล่ือนนวตั กรรมการจดั การเรยี นร้โู ดย 11
ภาพที่ 2 ใชโ้ มเดล CARE U...................................................................................................

ภาพที่ 3 แสดงโมเดล CARES U เพ่ือพัฒนาการอ่านออก เขยี นได้ อ่านคล่องเขียนคลอ่ ง 12
ภาพท่ี 4 ของนักเรียน............................................................................................................

ภาพที่ 5 แสดงการจัดการเรียนรู้ดว้ ยชอ่ งทางกลุม่ Line และ Google Meet..................... 16

ภาพท่ี 6 แสดงการทบทวนหลังปฏิบัติงาน (After Action Review : AAR) และ 17
ภาพท่ี 7 กระบวนการ PLC...................................................................................................
ภาพที่ 8
แสดงคะแนนเฉลีย่ คะแนนร้อยละ และคะแนนร้อยละของความก้าวหน้าหลัง 18
ภาพที่ 9 การเรยี นร้โู ดยใช้โมเดล CARES U..........................................................................

ภาพท่ี 10 แสดงการนำเทคโนโลยปี รับใช้ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U........... 19
ภาพที่ 11
ภาพท่ี 12 แสดงแบบหดั อ่านภาษาไทยเลม่ ที่ 1 – 6 .............................................................. 30

แสดงการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้การจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้โมเดล CARES U กบั 74
นักเรยี นกลุม่ ท่ี 1 – 6.............................................................................................

แสดงการใช้ไลน์กลุม่ ในการติดตอ่ ประสานงาน มอบหมายงานและการส่งการบ้าน 75
ของนักเรียน............................................................................................................

แสดงการเรียนร้ขู องนักเรยี ท่เี รียนโดยใช้โมเดล CARES U..................................... 76

แสดงชิ้นงานของนกั เรียนโดยใช้โมเดล CARES U ................................................. 77

แสดงการเผยแพรน่ วตั กรรม.................................................................................... 78

รายงานวิธปี ฏิบัตทิ ีเ่ ปน็ เลิศ (Best Practice)

1. ชื่อนวตั กรรม : การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชโ้ มเดล CARES U เพอ่ื พฒั นาการอ่านออกเขียนได้ อา่ นคลอ่ ง
เขียนคล่องของนกั เรยี นในสถานการณ์โรคติดต่อเชอื้ ไวรสั โคโรน่า 2019 (COVID -19)

2. ช่อื ผสู้ รา้ ง

ฝา่ ยบรหิ ารงานวชิ าการ

โรงเรยี นชุมชนบา้ นปาแดปาลัส ตำบลปากู อำเภอทุง่ ยางแดง จงั หวดั ปตั ตานี

มอื ถือ 0954392378 E-mail address : [email protected]

3. แนวทางการคิดคน้ นวัตกรรม : การสรา้ งนวตั กรรมใหม่

4. ประเภทของนวตั กรรม : การจดั การเรียนรู้

5. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ ซึ่งแสดงถึงเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกราชของชาติไทยที่มี

ความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรม และเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยมายาวนาน ภาษาไทยนอกจากจะเป็นภาษา
ประจำชาติแล้ว ยังเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารระหว่างคนในชาติด้วยกัน เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้
ประสบการณจ์ ากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพ่อื พัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วจิ ารณ์ สร้างสรรค์
ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ใน
การพัฒนาอาชพี ให้มีความมัน่ คงทางเศรษฐกจิ นอกจากน้ภี าษาไทยยงั เป็นสอ่ื แสดงใหเ้ ห็นถงึ ความเจริญรุ่งเรือง
ทางวัฒนธรรมอันลำ้ ค่า ซงึ่ มีมาแต่โบราณกาล ดังน้ันจึงเป็นหน้าที่ของคนไทย ทุกคนในชาติที่พึงหวงแหน และ
รักษาความเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทยให้คงอยู่สืบไป (วัลยา อ่ำหนองโพธิ์. 2557 : 1)

กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความสำคัญ และประโยชน์ของทักษะทางภาษาที่มีต่อ
การเรียนรู้ของนักเรียน จึงกำหนดการอ่านและการเขียนไว้ในหลักสูตรประถมศึกษาฉบับต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
จนมีการประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 โดยกำหนดทักษะการอ่าน
และการเขียนไว้เป็นสมรรถนะท่ีจะต้องพัฒนาใหเ้ กิดขึ้นกับนักเรียน คือความสามารถในการส่อื สารทั้งในการรับ
สารและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกและทัศนะของ
ตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้ง
กำหนดเป็นมาตรฐานและตัวชวี้ ดั ในกลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย (ไพรินทร์ พึ่งพงษ์. 2556 : 4) ดังนั้นทักษะ
การอ่านและการเขียนจึงเป็นทักษะทางภาษาที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของคนเพราะ
การดำรงชีวิตประจำวันของคนเรานั้น การอ่านและการเขียนเป็นการสื่อความหมายถึงกันได้อย่างถูกต้อง
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็น ต้องพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ กล่าวคือ ต้องอ่านเขียนได้ถูกต้อง
รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ (ไพวรรณ ชาติผา. 2556 : 135)

สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดปัตตานีและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 3
ไดใ้ หค้ วามสำคัญตอ่ การเรียนการสอนวชิ าภาษาไทยเพื่อนำพาประเทศสู่ความเจรญิ ก้าวหน้า โดยใหค้ วามสำคัญ
ต่อการเรียนรู้ของนักเรียนตั้งแต่เริ่มเรียนและกำหนดนโยบายสำคัญต่อการเรียนวิชาภาษาไทย คือ นักเรียน
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 สามารถอ่านออกเขียนได้ และ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6
สามารถอ่านได้คล่อง เขยี นคล่อง เนื่องจากทกั ษะการอา่ นเขียนภาษาไทยเปน็ ทักษะพื้นฐานของการเรียนรู้กลุ่ม
สาระการเรียนรู้อื่น ๆ ต่อไปในอนาคต หากทักษะการอ่านเขียนภาษาไทยของนักเรียนมีปัญหา นักเรียนอ่าน
ไม่ออก และเขียนไม่ได้ หรอื ออกเสียงตัวสะกดผิด ย่อมส่งผลให้นักเรียนไม่เข้าใจความหมาย หรืออาจแปล

2

ความหมายของคำนั้นผิดไป ด้วยเหตุนี้การอ่าน และการเขียนคำมาตราตัวสะกด จึงเป็นปัญหาด้านการใช้
ภาษาที่สำคัญอย่างหนึ่ง ท่ีครูผู้สอนจะตอ้ งเรง่ แก้ไข ซง่ึ สอดคลอ้ งกับงานวิจยั ของมิสอุทัยวรรณ อรรคเสลา (2557
: 1) ที่กล่าวว่า “นักเรียนมีปัญหาทางด้านการเขียนสะกดคำไม่ถูกต้อง และอ่านไม่เป็น ทำให้ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนของนักเรียนต่ำ มีผลต่อการเรียนการสอนในกลมุ่ สาระการเรียนรู้อ่นื อกี ด้วย”

จากการติดตามผลการวัดผลประเมินผลการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียน โรงเรียนชุมชนบ้านปาแด
ปาลัส ระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 – 3 และการอ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา
ปที ี่ 4 – 6 ปกี ารศกึ ษา 2563 โดยใชแ้ บบทดสอบของสถาบันภาษาไทย สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา
เป็นเครื่องมือในการประเมินจำนวนนักเรียนโรงเรียนชุมชนบ้านปาแดปาลัส ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่
1 – 6 จำนวน ทั้งหมด 92 คน ผลปรากฏว่า 1) ทักษะด้านการอ่าน จำนวนนักเรียนที่ได้คะแนนระดับดีมาก
เท่ากับ 32 คน คิดเป็นร้อยละ 34.78 ระดับดี จำนวน 29 คน คิดเป็นร้อยละ 31.52 ระดับพอใช้ จำนวน 31
คน คิดเป็นร้อยละ 22.83 และกลุ่มปรับปรุง จำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 10.87 และ 2) ทักษะด้าน
การเขยี น จำนวนนกั เรียนทีไ่ ดค้ ะแนนระดบั ดีมากเท่ากบั 16 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 17.39 ระดบั ดี จำนวน 27 คน
คิดเป็นร้อยละ 29.35 ระดับพอใช้ จำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 32.61 และกลุ่มปรับปรุง จำนวน 19 คน
คดิ เป็นรอ้ ยละ 20.65 (รายงานผลการวัดและประเมนิ ผลความสามารถด้านภาษาไทย. 2563 : 8)

ผลจากการวัดและประเมินผลการทดสอบการอ่านเขียนปีการศึกษา 2563 พบว่านักเรียนในระดับ
ปรับปรุงทั้งด้านการอ่านและการเขียนมีจำนวนมากกว่าร้อยละ 50 หากนักเรียนกลุ่มดังกล่าวไม่ได้รับ
การพัฒนาอย่างเร่งดว่ นอาจส่งผลใหน้ ักเรียนรูส้ ึกว่าการเรยี นเปน็ ส่ิงทนี่ ่าเบ่ือ ยากเกนิ ความสามารถของตนเอง
จนสุดทา้ ยอาจมีความคิดอยากออกจากระบบการศึกษา จึงทำให้ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี น ฝา่ ยบริหารงานวิชาการ
และครูผู้สอนทุกคนร่วมกันวิเคราะห์ด้วยกระบวนการ PLC ถึงสาเหตุที่นักเรียนกลุ่มระดับปรับปรุงและระดับ
พอใช้มีจำนวนมาก จึงค้นพบว่า นักเรียนบางคนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ นักเรียนบางคนอ่านไม่คล่อง เขียน
ไม่คล่อง แล้วได้ข้อสรุปว่าความสามารถในการอ่านและเขียนของนักเรียนนั้นไม่สอดคล้องกับระดับช้ัน
ของนักเรียน เช่น นักเรียนบางคนอยูร่ ะดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ทักษะการอ่านเขียนเทียบเท่ากับนักเรยี น
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และนักเรียนบางคนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ทักษะการอ่านเขียน
เทียบเท่ากับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยเหตุดังกล่าวจึงได้ค้นคว้าหาแนวทางในการแก้ปัญหา
การอ่านเขียนภาษาไทยจนค้นพบวิธีการท่ีนักการศึกษานำมาใช้แก้ปัญหาทักษะการอ่านเขียนภาษาไทย
ของนกั เรยี นไดผ้ ล คอื การใชแ้ บบหัดอา่ นภาษาไทย ดงั น้นั เพอื่ พฒั นาทักษะการอา่ นและการเขียนของนักเรียน
ให้ดียิ่งข้ึน จึงได้สร้างนวัตกรรมด้านการจัดการเรยี นรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียน
ได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) โดย
คาดหวังว่าการจัดการเรียนรู้นวัตกรรมดังกล่าวสามารถพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนของนักเรียน และ
สามารถยกระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยและผลสมั ฤทธิท์ างการศกึ ษาระดับข้ัน
พน้ื ฐาน (O - NET) ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 โรงเรียนชุมชนบ้านปาแดปาลัส ให้สูงข้นึ

6. วตั ถปุ ระสงค์
6.1 เพื่อสร้างและใช้วิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้

อ่านคล่องเขียนคลอ่ งของนกั เรียนโรงเรียนชมุ ชนบ้านปาแดปาลัส
6.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนา

การอ่านออกเขียนได้ อา่ นคล่องเขยี นคลอ่ งของนกั เรยี นโรงเรยี นชมุ ชนบา้ นปาแดปาลสั
6.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนโดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออก

เขยี นได้ อ่านคล่องเขียนคลอ่ งของนักเรียนโรงเรยี นชมุ ชนบา้ นปาแดปาลัส

3

7. กลมุ่ เปา้ หมาย
7.1 ประชากร
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 โรงเรียนชุมชนบ้านปาแดปาลัส หมู่ที่ 1 ตำบลปากู

อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 3 ที่กำลังเรียนใน
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 94 คน

7.2 กลุ่มตัวอยา่ ง
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 โรงเรียนชุมชนบ้านปาแดปาลัส หมู่ที่ 1 ตำบลปากู

อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 3 ที่กำลังเรียนในภาค
เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 49 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
โดยคัดเลือกจากกลุ่มนักเรียนได้คะแนนอยู่ในระดับพอใช้และระดับปรับปรุงของผลการวัดและประเมินผล
ความสามารถดา้ นภาษาไทยปีการศกึ ษา 2563

8. หลักการ แนวคดิ ทฤษฎีทีใ่ ช้
หลักการ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U

เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนโรงเรียนชุมชนบ้านปาแดปาลัส
ประกอบด้วย แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการอ่านและการเขียน แนวคิดทฤษฎี
เกยี่ วกับการจดั การเรยี นรู้ภาษาไทย และแนวคดิ ทฤษฎีเกี่ยวกบั การสอนซอ่ มเสรมิ รายละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี

8.1 แนวคิดทฤษฎเี กยี่ วกบั การเรียนรู้
พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา (2559 : 6) กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดด์ ว่าประกอบด้วย

3 หลักการ ได้แก่ 1) หลักการความพึงพอใจ เน้นถึงการสร้างความพึงพอใจกับนักเรียน โดยการชื่นชม การให้
รางวัล เป็นต้น 2) หลักของความพร้อม เน้นว่าการเรียนรูจ้ ะมีประสิทธิภาพมากทีส่ ุดเมือ่ นักเรียนมคี วามพรอ้ ม
ทงั้ ดา้ นร่างกาย สตปิ ัญญา สังคมและอารมณ์ อนั จะทำใหก้ ารเรยี นรูเ้ ปน็ ไปอย่างมีประสทิ ธผิ ล และ 3) หลกั ของ
การฝึกหัด กล่าวคือนักเรียนต้องมีการฝึกฝนอยู่เสมอ ไม่ทิ้งช่วงการฝึกไว้นานเพราะอาจจะท ำให้ลืมได้
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์ ที่เน้นในเรื่องการเสริมแรง กล่าวคือพฤติกรรมใด
ที่ได้รับการเสริมแรง จะมีแนวโน้มที่จะเกิดพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก แนวทางการเสริมแรงประกอบด้วย การให้
นักเรียนได้มีส่วนร่วมหรือลงมือทำด้วยตนเอง การให้มีความก้าวหน้าที่ละน้อย ๆ และการให้นักเรียนรู้ผล
ของการกระทำในทนั ที

จากทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ องธอร์นไดด์และสกินเนอร์ ทีก่ ลา่ วไวข้ ้างต้น สามารถนำมาประยุกต์ใช้
ในจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนได้
เป็นอย่างดี โดยการจัดการเรียนรู้นั้น ควรพิจารณาถึงความพร้อมและความพึงพอใจของนักเรียน ควรสร้าง
แบบหัดอ่านให้มีความน่าสนใจทั้งในด้านเนื้อหาและรูปแบบ ควรเน้นการฝึกฝนซ้ำ ๆ รวมถึงการออกแบบให้มี
การเสริมแรงในการทำจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อดึงดูดให้นักเรียนสนใจในการเรียนรู้ อันจะทำให้การจัด
กระบวนการเรยี นรู้เกิดประโยชน์ตอ่ นกั เรยี นอยา่ งแทจ้ รงิ

8.2 แนวคดิ ทฤษฎีเกย่ี วกับการอ่านและการเขยี น
8.2.1 การอา่ น
8.2.1.1 ความหมายของการอา่ น
การอ่านเป็นทักษะที่มีความสำคัญอย่างมาก ใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้จากสื่อ

ต่าง ๆ ดังน้ันจงึ จำเปน็ อยา่ งยิ่งทีจ่ ะต้องฝกึ ฝนการอ่านให้มปี ระสิทธิภาพ ซ่ึงมนี ักการศกึ ษาได้ให้ความหมายของ
การอา่ นไว้ดงั นี้

4

ไกรษร ประดับเพชร (2561 : 14) การอ่าน คือ กระบวนการทางสมองที่สามารถรับรู้และ
เข้าใจความหมายของคำหรือสัญลักษณ์โดยแปลออกมาเป็นความหมาย ใช้สื่อความคิดและความรู้ระหว่าง
ผู้เขียนกบั ผู้อา่ น ให้เข้าใจตรงกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้อ่าน และผู้อ่านสามารถนำเอาความหมายนัน้ ๆ
ไปใช้ให้เปน็ ประโยชนไ์ ด้

ชนศิ า แจง้ อรุณ (2559 : 5) การอ่าน คือ การอา่ น หมายถงึ กระบวนการทางความคิดในการ
รบั สารขณะทอี่ า่ นสมองของผู้อา่ นจะต้องแปลความหมาย ตคี วามขอ้ ความหรอื เรอ่ื งราวที่อา่ นไปด้วยตลอดเวลา
ในระหวางที่ผู้อ่านกาลังอ่านหนังสืออยู่นั้น จะต้องใช้กลวิธีหลาย ๆ อย่าง เพื่อช่วยให้เข้าใจเรื่องราวได้เร็วขึ้น
ได้แก่ ความรู้เดิมในคำศพั ท์เพือ่ ใชอ้ ธิบายความหมาย แปลความ ตคี วาม และขยายความจากเรือ่ งที่อา่ นได้

สุวิมาลย์ ยืนยัง (2556 : 13) การอ่าน คือ กระบวนการทางสมองในการแปลสัญลักษณ์
ถอดความหมายจากสัญลักษณ์นต่าง ๆ ที่ปรากฏต่อสายตาออกมาเป็นความคิด ความเข้าใจ เป็นการพัฒนา
ความคิดโดยใช้ความสามารถในการสงั เกต การจำรูปคำและการใชป้ ระสบการณ์

สรุปได้ว่า การอ่าน คือ การแปลความหมายของตัวอักษรที่อ่านออกมาเป็นความรู้ ความคิด
และเกิดความเข้าใจเรื่องราวที่อ่านตรงกับเรื่องราวที่ผู้เขียนได้เขียน ผู้อ่านสามารถนำความรู้ ความคิด หรือ
สาระจากเรื่องราวที่อา่ นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

8.2.1.2 ความสำคัญของการอา่ น
การอ่านเปน็ เครอ่ื งมือสำหรับการแสวงหาความรู้ การเรยี นรู้ และพัฒนาสติปญั ญาของคนใน

สงั คม พฒั นาไปสูส่ งิ่ ทีด่ ที ส่ี ดุ ในชวี ติ ซง่ึ ความสำคัญของการอา่ นมดี ังนี้

1. การอา่ นเป็นเครื่องมอื ในการแสวงหาความรู้ โดยเฉพาะผทู้ อ่ี ยู่ในวยั ศึกษาเลา่ เรียน
จำเปน็ ตอ้ งอ่านหนังสอื เพื่อการศกึ ษาหาความรดู้ า้ นต่าง ๆ

2. การอ่านเป็นเครอ่ื งมอื ช่วยใหป้ ระสบความสำเรจ็ ในการประกอบอาชีพ เพราะสามารถ
นำความรทู้ ่ีไดจ้ ากการอ่านไปพฒั นางานของตนได้

3. การอา่ นเป็นเคร่ืองมอื สืบทอดทางวฒั นธรรมของคนรนุ่ ต่อ ๆ ไป
4. การอ่านเปน็ วธิ ีการสง่ เสริมให้คนมีความคิดอา่ นและฉลาดรอบรู้ เพราะประสบการณ์ที่
ไดจ้ ากการอา่ นเมื่อเก็บสะสมเพิ่มพนู นานวนั เข้า ก็จะทำให้เกดิ ความคดิ เกิดสติปญั ญา เป็นคนฉลาดรอบรู้ได้
5. การอ่านเปน็ กิจกรรมที่ก่อให้เกดิ ความเพลดิ เพลินบันเทิงใจ เป็นวธิ หี นงึ่ ในการแสวงหา
ความสุขให้กบั ตนเองท่งี า่ ยท่สี ดุ และไดป้ ระโยชน์คมุ้ ค่าทส่ี ุด
8.2.1.3 ระดับของการอ่าน
ระดบั ของการอ่านแบ่งเปน็ 2 ระดบั คือ
1. อ่านออก การท่ผี ู้อา่ นรจู้ ักพยญั ชนะ สระและเครือ่ งหมายต่างๆ สามารถอา่ นออกเสยี ง
ออกมาเป็นคำได้อย่างถกู ต้อง
2. อ่านคล่อง เป็นการอ่านที่แตกต่างจากระดับแรกโดยสิ้นเชิง เพราะการอ่านเป็นนั้น
หมายความว่า ผู้อ่านจะต้องอ่านได้ถูกต้อง คล่องแคล่ว จับใจความได้ตรงตามท่ีผู้เขียนต้องการ ทราบ
ความหมายของข้อความทุกอยา่ งรวมถึงความหมายที่ผ้เู ขียนเจตนาแฝงเร้นไว้ สามารถเขา้ ใจเจตนาและอารมณ์
ของผู้เขียน ตลอดจนสามารถประเมินคุณค่าและเลือกรับสิ่งดีๆจากงานเขียนนั้นได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
ฝกึ ฝนทักษะในการอา่ นของตนเองใหม้ าก เพ่อื ที่จะได้อา่ นคลอ่ ง ซ่งึ ต้องอาศยั เวลาในการฝกึ ฝนคอ่ นขา้ งนาน
8.2.1.4 จุดมงุ่ หมายของการอา่ น
1) การอา่ นเพื่อการศึกษาค้นควา้ ต้องการได้รบั ความรูจ้ ากเน้ือเร่ืองท่ีอ่าน เชน่ การอ่านหนังสือ
ประเภทตำรา สารคดี หรอื หนังสืออ่านเพ่ิมเติมของนักเรียนและนกั ศึกษา เพอื่ รแู้ ละเข้าใจเรื่องราวตามหลักสูตร
และอ่านวารสาร หนังสือพิมพ์ และข้อความต่าง ๆ เพื่อให้ทราบเรื่องราวอันเป็นข้อความรู้ หรือเหตุการณ์

5

บ้านเมือง ผู้ประกอบอาชีพต่างๆก็ต้องอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในสาขาอาชีพของตน หรือเพื่อทำความเข้าใจ
วิทยาการใหม่ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าแม้แต่ในหนังสือประเภทบันเทิงคดีสำหรับ
บุคคลทั่วไป ก็ยังให้ความรู้ควบคู่ไปกับความบันเทิง เพราะบุคคลทั่วไปอ่านหนังสือต่างๆ เพื่อขยายความรู้
ความสนใจใหก้ ว้างขวาง

2) การอ่านเพื่อความบันเทิง บุคคลบางประเภทมีความชอบที่จะอ่านเพื่อความบันเทิง
มากกว่าอ่านเพื่อความรู้ เนื่องจากว่า ความบันเทิงเป็นอาหารทางใจซึ่งมีความจำเป็นต่อชีวิตของมนุษย์
เช่นเดียวกันกับอาหารและอากาศ จึงมักจะเลือกอ่านแต่หนังสือที่ส่งเสริมสุขภาพจิตให้แจ่มใส มีความสุข คน
ไทยเรานั้นใช้การอ่านเป็นเครื่องให้ความบันเทิงใจมาเป็นเวลาติดต่อกันนานหลายปี เห็นได้จากนิทานร้อยแกว้
และนิทานคำกลอนสำหรับอ่าน กลอนเพลงยาว นิราศ ตลอดจนวรรณกรรมอื่น ๆ ที่ถูกแต่งขึ้นอย่างมากมาย
และหลากหลายในสมัยก่อน ล้วนแต่มีส่วนให้ความบันเทิงใจแก่ผู้อ่านทั้งสิ้น จวบจนปัจจุบันนี้ก็มียัง นวนิยาย
เรือ่ งสนั้ สารคดี การต์ นู มีภาพประกอบตา่ งๆ มากมายเพ่ือสร้างรอยย้มิ ความสนุกสนานเพลิดเพลินให้กับผู้อ่าน
โดยวธิ ีการอ่านง่าย ๆ และสามารถทำไดห้ ลายโอกาส เชน่ ระหว่างทค่ี อยบุคคลท่ีนดั หมาย คอยเวลารถไฟออก
เป็นต้น หรอื อ่านหนงั สอื ประเภทบันเทงิ คดีในเวลาวา่ ง

3) การอ่านเพื่อความคิดหรือเพื่อสนองความต้องการอื่นๆ นอกจากความต้องการในการหา
ความรู้และความบันเทิงแล้ว คนบางคนยังแสวงหาคำตอบอื่นๆให้กับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิดทาง
ปรัชญา วัฒนธรรม จริยธรรม และความคิดเห็นทั่วไป ที่จะมักแทรกอยู่ในหนังสือแทบทุกประเภท การศึกษา
แนวคิดของผู้อื่น เพื่อเป็นแนวทางความคิดของตนเองและอาจนำมาเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิต หรือ
แก้ปัญหาต่าง ๆ หรืออ่านเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ กล่าวคือการอ่านหนังสือมากๆ จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถ
ปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี รู้จักการวางตัวที่เหมาะสม มีความคิดกว้างขวางทันสมัย สามารถแก้ปัญหาและ
ตัดสินใจไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง โดยอาจเรียนรจู้ ากเรอ่ื งราวในหนังสอื ทเี่ ป็นคตสิ อนใจหรือเปน็ อุทาหรณ์

8.2.1.5 ประเภทของการอา่ น
ลาวัณย์ สังขพันธานนท์ และคณะ (2559 : 18 - 21) ได้แบ่งประเภทของการอ่านออกเป็น 2
ประเภท ดงั นี้
1. การจำแนกประเภทตามลักษณะการอา่ น แบ่งได้ 2 ประเภท คอื

1.1 การอ่านออกเสยี ง หมายถึง การอ่านโดยวิธีการเปล่งเสียงออกมาเปน็ ถ้อยคำหรือ
เสียงแล้วถ่ายทอดเสียงออกมาเป็นความคิด

1.2 การอ่านในใจ คือ การอ่านที่ถ่ายทอดตัวอักษรออกมาเป็นความคิดโดยตรง
การอ่านในใจเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยทักษะและความชำนาญ ผสมผสานกับการหมั่นฝึกฝนตนเองเพื่อก่อให้เกิด
ความชำนาญในการอ่าน ทักษะที่สำคัญในการอ่านในใจ ได้แก่ ทักษะการอ่านได้เร็วและทักษะการเข้าใจ
ความหมาย ทักษะในการอ่านเร็ว เป็นเร่ืองของกลไกการอ่านหรือการเคลื่อนไหวของสายตา ทักษะการเข้าใจ
ความหมายเป็นหวั ใจสำคัญของการอา่ น เพราะหากมีระดับความเร็วในการอ่านดีแต่ไม่สามารถเข้าใจเน้ือความ
ของสิ่งที่อ่านได้ การอ่านก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ การที่ผู้อ่านจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่านได้จะต้องมี
พื้นฐานเก่ยี วกับสิ่งต่อไปนี้ คอื

1.2.1 ความรู้พื้นฐานเรื่องคำและไวยากรณ์ ได้แก่ การรู้จักความหมายของ
คำศพั ท์หนา้ ที่ของคำและประโยค

1.2.2 การรู้จักย่อหน้าหรือปริเฉท (Paragraph) ผู้อ่านมีความจำเป็นต้องรู้
ความสำคัญของการย่อหน้า เพราะในแต่ละย่อหน้าจะมีใจความสำคัญ (Main Idea) หนึ่งย่อหน้าจะแสดง
ประโยคใจความสำคัญไว้หนึ่งประโยค เรียกว่า ประโยคหลัก (Topic Sentence) จากนั้นจะใช้ประโยค
พลความ (Supporting Sentence) เป็นประโยคเสริมเพื่ออธิบายหรือขยายความตามปกติใจความสำคัญของ

6

แต่ละยอ่ หนา้ สว่ นมากจะปรากฏท่ีต้นหรือตอนท้ายของย่อหน้าหรืออาจปรากฏท่ีตอนกลางของย่อหน้าก็ได้หน่ึง
ยอ่ หน้าจะมใี จความสำคญั เพยี งหนง่ึ ใจความเท่าน้นั

1.2.3 ภูมิหลังและประสบการณ์ของผู้อ่าน ผ้อู า่ นทม่ี ปี ระสบการณ์ได้พบเห็น
หรอื ได้คนุ้ เคยกับเหตกุ ารณ์หรือเรอื่ งราวน้นั ๆ จะทาให้ผู้อา่ นเขา้ ใจเรอ่ื งราวทีอ่ ่านไดช้ ดั เจนมากยง่ิ ขน้ึ

2. การจำแนกประเภทตามวธิ ีการอา่ น แบง่ ได้ 5 ประเภท คอื
2.1 การอ่านอย่างคร่าว ๆ เป็นวิธีการอ่านที่จะใช้เมื่อต้องการสำรวจว่าจะอ่าน

หนังสือนั้นต่อไปโดยละเอียดหรือไม่ การอ่านอย่างคร่าว ๆ จะอ่านเพียงชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่งสารบัญ คำนา หรือ
เป็นการอ่านเพียงบางตอนเพื่อดูจำนวน การอ่านเพื่อสังเกตเนื้อหา หรือการอ่านเพื่อดูดรรชนี ค้นหาหัวข้อท่ี
ต้องการว่ามีหรือไม่

2.2 การอ่านแบบตรวจตรา เป็นวิธีการอ่านละเอียดในข้อความที่ต้องการรู้ เป็นการ
อ่านเพื่อเก็บข้อมูล คือ การอ่านหนังสือในหัวข้อเรื่องเดียวกันจากหนังสือหลาย ๆ เล่มเพื่อเปรียบเทียบและ
คัดเลือกก่อนจะสรุปและนำส่วนที่ตนเองต้องการมาใช้ นิยมใช้กันมากในการอ่านเพื่อการทำรายงาน การ
ทำวิจยั การค้นควา้ หรอื การทำวทิ ยานิพนธ์

2.3 การอ่านแบบศึกษาค้นคว้า เป็นการอา่ นอย่างละเอียดถี่ถว้ นตั้งแตห่ น้าแรกจนถึง
หน้าสุดท้ายเพื่อให้รู้เนื้อหาอย่างละเอียดลึกซึ้งทุกขั้นตอนและเก็บแนวคิดเพื่อสรุปสาระส ำคัญของเนื้อความ
ท้ังหมด

2.4 การอ่านเชิงวิเคราะห์หรือการอ่านตีความ เป็นวิธีการอ่านที่ต่อเนื่องจากวิธี
การอ่านแบบศึกษาค้นคว้า คือการอ่านอย่างละเอียดให้ได้ใจความครบถ้วน แล้วจึงแยกแยะส่วนประกอบออก
ให้ได้วา่ สว่ นต่าง ๆ นนั้ มีความหมายและความสำคัญอย่างไร

2.5 การอ่านโดยใช้วิจารณญาณ คือ การอ่านโดยสอดแทรกการวิพากษ์วิจารณ์ของ
ผู้อ่านไปด้วย โดยผู้อ่านจะต้องมีความรู้พื้นฐานมากและต้องอาศัยเทคนิคการอ่านทุกวิธีอย่างมีประสิทธิภาพ
แล้วจึงเกิดการสรุปประมวลเปน็ ความคิดรวบยอด สามารถวิพากษ์วจิ ารณ์อยา่ งมีเหตผุ ลและถูกต้อง สรุปได้ว่า
ประเภทของการอ่านจำแนกได้ตามลกั ษณะการอา่ น และวธิ กี ารอา่ นซึ่งขึน้ อยู่กบั จุดประสงค์ของผู้อ่าน

8.2.2 การเขียน
8.2.2.1 ความหมายของการเขียน
นอกจากทักษะการฟงั การพดู และการอ่านแล้ว ทกั ษะการเขยี นถือเปน็ ทกั ษะหนงึ่ ทจ่ี ำเปน็
ของการเรียนวชิ าภาษาไทยเพราะสังคมปัจจบุ ันเรามีความจำเป็นต้องมีการสื่อสารดว้ ยการเขียนมากข้ึนโดยนัก
การศกึ ษาไดใ้ หค้ วามหมายของการเขียนดังนี้
นิภาพรรณ ศรีพงษ์ (2559 : 145) การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด
ความตอ้ งการ ความปรารถนาและอ่ืนๆ ของผู้เขียนออกมาเป็นตวั อกั ษรเพอ่ื ให้ผู้อ่นื ได้รบั ทราบโดยการอ่าน
สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (2554 : 12) การเขียน คือการสื่อสารที่เป็นลายลกั ษณ์อักษรเพื่อแสดง
ความรู้ ความคดิ หลกั การ และวิธีการต่าง ๆ โดยอาศัยความรู้ ความคิด ทัศนคติ และอารมณ์ ของผู้เขียน
สุนิษา เกาะอ้อม (2562 : 12) การเขียน คือ การถ่ายทอดความรู้ ความคิดโดยเชื่อมโยงผ่าน
กระบวนการแล้วนำมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรจากผสู้ ่งสารไปยังผู้รับสาร อาจจะเปน็ ร้อยแก้วหรือร้อยกรอง
ก็ได้
จากความหมายขา้ งตน้ จงึ สรปุ ไดว้ า่ การเขยี น หมายถงึ การถ่ายทอดความรู้ ความรสู้ ึกนึกคิด
เรื่องราว ตลอดจนประสบการณ์ตา่ ง ๆ ไปสู่ผู้อื่นโดยใช้ตัวอักษรเป็นเครื่องมอื ในการถ่ายทอด การเขียนจึงเปน็
วิธีการสื่อสารที่สำคัญในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด และประสบการณ์เพื่อส่ื อสารไปยังผู้รับสารได้อย่าง
กวา้ งไกล

7

8.2.2.2 ความสำคัญของการเขียน
1. ใช้เป็นสื่อในการเขียนภาษาไทยมีแบบแผนและถ้อยคำสำนวนสำหรับใช้โดยเฉพาะ
ผู้เขียนจะต้องเขยี นให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้อ่านจะได้อ่านด้วยความเข้าใจและเพื่อ ตอบสนองตามความต้องการของ
ผู้เขียนท่ีตอ้ งการใหผ้ ู้อ่านรู้อะไรบ้าง
2. เป็นการให้ความรู้ การเขียนให้ผู้อ่านนั้น ผู้เขียนจะต้องมีจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งคือการให้
ความรู้แก่ผู้อ่าน เพื่อพัฒนาสติปัญญาให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น กล่าวคือ เมื่อผู้อ่านอ่านข้อความนั้นแล้วสามารถนำไป
ปรบั ปรงุ เปล่ยี นแปลงตัวเองได้
3. เปน็ การพฒั นาความคดิ ผูอ้ า่ นไดอ้ ่านข้อเขียนทผี่ ูเ้ ขียนเขยี นไว้ ขอ้ เขยี นเหลา่ น้นั ช่วยพัฒนา
ความคดิ ความเข้าใจ ความตอ้ งการของผูอ้ า่ นไดม้ ากน้อยเพียงไร
8.2.2.3 หลักการเขียน
การเขียนเพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจตามที่ต้องการนั้น มีความจำเป็นต้องระมัดระวังให้
มากเกี่ยวกับการใช้ภาษา ควรใช้ถ้อยคำที่ผู้อ่านอ่านแล้วเข้าใจทันที เขียนด้วยลายมือที่ชัดเจน อ่านง่าย
เป็นระเบียบและผู้เขยี นจะตอ้ งใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักการเขียน ใช้คำให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล
ดว้ ยจึงจะถือว่าผเู้ ขียนมหี ลกั การและใชภ้ าษาได้ดี มีประสิทธภิ าพซง่ึ การเขยี นมีหลักท่คี วรปฏบิ ัติดังต่อไปน้ี
1. เขยี นใหช้ ัดเจน อา่ นง่าย เปน็ ระเบยี บ
2. เขยี นให้ถกู ต้อง สะกด การันต์ วรรณยุกต์
3. ใช้ถ้อยคำที่สุภาพ เหมาะสมกบั กาลเทศะและบุคคล
4. ใชภ้ าษาทงี่ า่ ย ๆ สนั้ ๆ กะทัดรัด สื่อความหมายเข้าใจได้ดี
5. ใช้ภาษาเขยี นท่ดี ี ไมค่ วรใช้ภาษาพดู ภาษาโฆษณาหรือภาษาท่ีไมไ่ ด้มาตรฐาน
8.2.2.4 ลกั ษณะการเขยี นท่ีดี
ลักษณะการเขียนทีด่ ี มลี ักษณะดงั น้ี
1. การเขยี นให้สะอาด เรียบร้อย ลายมอื ชดั เจน อ่านงา่ ย เข้าใจงา่ ย
2. เขยี นสะกด การันต์ วรรณยุกตใ์ หถ้ ูกตอ้ ง
3. ควรเขียนใหไ้ ดใ้ จความดี ชัดเจน ไมก่ ำกวม เขา้ ใจยาก
4. ใช้ภาษาง่าย ๆ สนั้ กะทดั รัด ได้ความดี ไมเ่ ขยี นเยน่ิ เย้อ ฟมุ่ เฟอื ยเกนิ จำเปน็
5. ใชภ้ าษาใหถ้ ูกแบบแผนการใช้ภาษา หลกี เลี่ยงใช้คำหรอื สำนวนมาปะปนกับภาษา
ตา่ งประเทศหรอื ภาษาท่ีใชใ้ นส่อื มวลชน
8.2.2.5 องค์ประกอบของการเขยี น
การเขียนข้อเขียนประเภทใด ๆ ก็ตาม ทัง้ บทความ ย่อความ เรยี งความ จดหมาย ฯลฯ
ผูเ้ ขยี นจะต้องมีส่ิงเหลา่ นีเ้ ปน็ ส่วนประกอบท่ีสำคัญ ได้แก่
1. คำ
2. ประโยค
3. ขอ้ ความสั้นๆ
4. ขอ้ ความยาวๆ
5. เน้ือหา
6. ภาษา
7. ความร้สู ึกและแรงจูงใจ

8

8.3 แนวคิดทฤษฎีเก่ยี วกับการจัดการเรยี นรู้ภาษาไทย
8.3.1 ความหมายของการจดั การเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้ไม่ใช่เเปนเพียงการถ่ายทอดเนื้อหาวิชา โดยใชวิธีการบอกใหจดจํา และ

นําไปทองจำเพื่อการสอบเทานั้น แต่การจัดการเรียนรูเป็นศาสตรอย่างหน่ึงซ่ึงมีความหมายที่ลึกซึ้งกวาน้ัน
กลาวคือ วิธีการใดก็ตามที่ผู้สอนนํามาใชเพื่อใหผู้เรียนเกิดการเรียนรูเรียกได้วาเป็นการจัดการเรียนรู้
นักการศึกษาหลายทา่ น ไดใ้ หความหมายของการจดั การเรียนรูในทัศนะตา่ ง ๆ ดังน้ี

สุภณิดา พัฒธร และคณะ (2557 : 8 ) การจัดการเรียนรู้คือ กระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
ผู้สอนกบั ผู้เรียนเพือ่ ที่จะทำให้ผ้เู รยี นเกิดการเรียนร้ตู ามวตั ถปุ ระสงคข์ องผู้สอน

สุราษฎร์ พรมจันทร (ม.ป.ป. : 1) การจัดการเรียนรู้ หมายถงึ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
ที่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่พึง ปรารถนา
ตามจดุ มงุ่ หมายหรือวตั ถปุ ระสงค์ท่ีไดว้ างไว้

สุมน อมรวิวัฒน (2543 : อ้างถึงใน วิทยา พัฒนเมธาดา 2560 : 4) การจัดการเรียนรู้คือ
สถานการณอ์ ยา่ งหนง่ึ ทมี่ ีส่ิงต่อไปนเี้ กดิ ขึ้น ไดแ้ ก่

1. มีความสัมพันธ์และมีปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้น ระหว่างผู้สอนกับ ผู้เรียน ผู้เรียนกับ
ผเู้ รียน ผเู้ รียนกับสิ่งแวดล้อม และผู้สอนกับสงิ่ แวดลอ้ ม

2. ความสัมพนั ธแ์ ละการมีปฏสิ มั พนั ธ์ก่อใหเ้ กดิ การเรยี นรู้และประสบการณใ์ หม่
3. ผเู้ รียนสามารถนำประสบการณใ์ หมน่ ้ันไปใชไ้ ด้
จากความหมายของการจัดการเรียนรู้ข้างต้น จึงสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ หมายถึง
กระบวนการท่ีทำให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การพัฒนา ความคิดและความสามารถของตนเอง
หลังจากการไดร้ บั การเรียนรู้
8.3.2 แนวการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ภาษาไทย
อมั พร องั ศรีพวง (อ้างอิงใน วิมลรตั น์ สนุ ทรโรจน์. 2557) ไดใ้ ห้แนวการจดั กิจกรรมการเรียน
ภาษาไทยไว้ดังนี้
1. ฝกึ ทักษะการฟงั พดู อ่าน และเขยี นใหถ้ ูกต้อง คล่องแคล่ว โดยการฝกึ ทกั ษะแตล่ ะอย่างให้
แมน่ ยำแลว้ จึงฝึกทักษะท้ัง 5 ให้สัมพนั ธ์กันและส่งเสริมการคิด ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์
2. ฝึกทักษะทางภาษาซ้ำ ๆ และบ่อยๆ จนเกิดความชํานาญ และหมั่นฝึกฝน ทบทวนอยู่
เสมอ ครผู ู้สอนตองส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นฝกึ ทักษะเป็นรายบุคคลอย่างทว่ั ถงึ ทางภาษา
3. ฝกึ ให้ผเู้ รยี น รหู้ ลกั เกณฑ์ทางภาษาควบคู่ไปกับการใช้ภาษาและรจู้ ักวัฒนธรรม
4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ และทักษะที่ได้จากการเรียนภาษาไทยไปใช้เป็นเครื่องมือ
ส่อื สารในชวี ติ ประจำวนั และใช้เป็นพ้ืนฐานในการเรยี นกลุ่มประสบการณอ์ ืน่ ๆ
5. ปลูกฝังเจตคตทิ ีด่ ตี ่อการเรียนภาษาไทย โดยสอนให้เหน็ คุณคา่ และตระหนกั ในความสำคัญ
ของภาษาไทย ทั้งในส่วนที่จำเป็นต้องใช้เพื่อการสื่อสาร และในด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ
ของชาติ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยระดับประถมศึกษาควรคำนึงถึงจุดประสงค์ ความพร้อม
ของผู้เรียน ควรให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน และมีการฝึกฝนทางภาษา
มีการบูรณาการสอนกับวิชาอื่น ๆ ตามความเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักเรียนร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน
มากที่สุด เน้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดตัดสินใจเอง รู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเอง ควรใช้การสอนหลาย ๆ วิธี นอกจากน้ัน
ครูควรสอดแทรกคุณธรรม และให้รู้จักการทำงานร่วมกับคนอื่นได้ อย่างมีประสิทธิภาพ การเรียนการสอน
นอกจากจะมีความสำคัญในตวั มนั เองแล้ว ยังเปน็ ปจั จยั สำคญั ท่ชี ่วยให้ผเู้ รียนสามารถเรยี นวิชาอืน่ ๆ ไดอ้ ีก

9

8.4 แนวคดิ ทฤษฎเี กย่ี วกบั การสอนซ่อมเสรมิ
8.4.1 ความหมายของการสอนซอ่ มเสริม
นักการศึกษาได้ให้ความหมายการสอนซ่อมเสรมิ ในทศั นะต่าง ๆ ดังน้ี
ประคอง สุทธสิ าร (2553 : 12) ระบวุ า่ การสอนซอ่ มเสริม หมายถงึ การแกไ๎ ขข้อบกพร่องของ

นักเรียน เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถบรรลุจุดประสงค์ การเรียนรู๎ที่ตั้งไว้ได้ ทั้งยังช่วยให้นักเรียนมีความรู้
เพิ่มเติมขึ้นกว่าเดิม และช่วยเสริมทักษะการเรียนรู๎ใหม่ ๆ ให้แก่ผู้เรียนโดยอาศัยวิธีการสอน และสื่อการเรียน
ใหม่ ๆ เขา้ ช่วยโดยอาจสอนเปน็ รายบุคคลหรอื รายกลุ่มกไ็ ด้

กนก เอี่ยมศรีชาญชัย (2558 : 31) การสอนซ่อมเสริมเป็นการสอนนอกชั้นเรียนปกติ
ในเนื้อหาที่เรียนมาแล้วในชั้นเรียนปกติ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องให้กับนักเรียนเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้

กรรณิการ์ กันทะวงศ์ (2560 : 14) กล่าวว่า การสอนซ่อมเสริม คือ การช่วยเหลือและแก้ไข
ข้อบกพร่องผู้เรียนให้มีพัฒนาการทางการเรียนรู้ที่ดีขึ้น ซึ่งการจัดการเรียนรู้นั้นจะแตกต่างจากการเรียน
ในห้องเรียนปกติ อาจจะจัดการเรียนรู้เป้นรายบุคคลหหรือกลุ่มก็ได้เพื่อส่งเสริมสติปัญญาให้เป็นไปตาม
ความสามารถของแต่ละบุคคล

การสอนซ่อมเสริมจึงเป็นกิจกรรมที่จัดให้กับนักเรียนที่เรียนอ่อนได้แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ
และเพื่อช่วยให้มีพื้นฐานมั่นคงในการเรียนรู้กับทั้งส่งเสริมให้นักเรียนที่เรียนดีอยู่แล้วได้พัฒนาตนเองให้ถึงขีด
สูงสุด จึงสรุปได้ว่า การสอนซ่อม คือ การสอนนักเรียนที่เรียนอ่อน เรียนไม่ทันเพื่อในชั้นให้เรียนทันเพื่อนใน
ระดบั ชั้นเดยี วกัน และการสอนเสริม คือ การสอนนกั เรียนทเ่ี ก่งให้ไดใ้ ช้ความสามารถที่มีอยู่ให้เต็มท่ี เป็นไปตาม
แนวทางทถี่ ูกต้องและเป็นประโยชน์

8.4.2 จดุ มุ่งหมายของการสอนซอ่ มเสริม
1. เพื่อใหน้ กั เรยี นเรียนทันเพือ่ นในช้ัน
2. เพ่อื ให้นักเรียนแขง่ ขันกับตนเองจนสามารถเรยี นดีข้ึนกว่าเดมิ
3. เพอื่ ใหน้ กั เรยี นประสบผลสำเรจ็ มากขน้ึ
4. เพ่อื ชว่ ยให้นกั เรยี นได้พฒั นาไปถงึ ขีดระดับความสามารถที่แทจ้ ริงของตนเอง
8.4.3 หลักการและแนวคดิ ในการสอนซอ่ มเสรมิ
1. ครูตอ้ งรูข้ อ้ บกพร่องของนกั เรียนก่อนการสอนซอ่ มเสริมครูควรทดสอบหาข้อบกพร่อง
เพือ่ ครูจะไดแ้ กไ้ ขข้อบกพรอ่ งและเสริมการเรียนของนกั เรยี นให้ถกู วิธไี ด้
2. การสอนตอ้ งเริ่มจากสิ่งทน่ี กั เรียนรหู้ รือประสบการณ์พ้ืนฐานของนักเรียนครูควรสอนจาก
สิ่งท่นี กั เรียนรแู้ ล้วไปหาสง่ิ ท่ียงั ไม่รู้
3. ครคู วรร้จู กั เลอื กวสั ดุอปุ กรณ์การสอนใหเ้ หมาะสมวสั ดุอุปกรณต์ ่างๆเป็นส่ิงเรา้ ใจนกั เรยี น
และเปน็ เครื่องชว่ ยสอนที่สำคัญท่ที ำให้นกั เรยี นเกิดความเข้าใจบทเรยี นดยี ่ิงขึ้น
4. ครูควรหลกี เล่ียงการทำงานซ้ำๆซากๆการให้งานนกั เรยี นเปน็ เรือ่ งสำคัญเพราะนักเรยี น
เรยี นอ่อนความสนใจและความอดทนในการทำงานมีน้อย
5. ครคู วรสรา้ งบรรยากาศในห้องเรียนให้สนกุ สนานนา่ เรียนดว้ ยการจดั กิจกรรมการเรยี น
ตา่ ง ๆ หลาย ๆ วธิ ีเพื่อชว่ ยให้นักเรยี นเกดิ ความสนใจความอยากรู้อยากเหน็ รวมท้งั มสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรม

8.5 งานวจิ ัยท่ีเก่ยี วข้อง

สุวิมาลย์ ยืนยัง (2556 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาและพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย
ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้เทคนิค CIRC โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ
นักเรยี นระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรยี นบ้านหนองขวาง สังกดั สำนกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษา
บุรีรมั ย์ เขต 4 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 30 คน ได้มาโดยวธิ กี ารสุ่มอยา่ งง่าย ผลการวจิ ัยพบว่า

10

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างหลังจากการเรียนรู้ด้วยแบบหัดอ่านภาษาไทยและเขียน
ภาษาไทยของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้เทคนิค CIRC สูงกว่าผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนกอ่ นเรียนอย่างมนี ยั สำคัญทีร่ ะดับ .05 และความพงึ พอใจของนกั เรยี นทีม่ ตี ่อการเรียนดว้ ยแบบหัด
อ่านภาษาไทยและเขียนภาษาไทยของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้เทคนิค
CIRC โดยรวมอยู่ในระดับมาก

กนก เอี่ยมศรีชาญชัย (2558 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรม
การสอนซ่อมเสริมการอ่านภาษาไทย สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียน
ระดับช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2557 โรงเรยี นเทศบาลวัดเขยี น โดยคดั เลอื กนักเรียนที่
มผี ลสัมฤทธ์ทิ างด้านการอ่านภาษาไทยต่ำกว่าเกณฑ์ จำนวน 50 คน โดยใช้วธิ ีการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 23 คน
พบว่า ความสามารถในการอ่านภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้ชุดกิจกรรม
การสอนซ่อมเสริมการอ่านภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ
ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อชุดกิจกรรมการสอนซ่อมเสริมการอ่านภาษาไทย
ภาพรวมอยใู่ นระดับมากทีส่ ุด

ทิพยฉัตร พละพล (2561 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาและพัฒนาชุดการสอนภาษาไทย เรื่อง ชนิด
ของคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งกำลัง
ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนวัดคลองบางเดื่อ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน 20 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม ผลการศึกษาพบวา่
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดการสอน
ภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อ
การเรยี นวชิ าภาษาไทยที่ไดร้ บั การสอนโดยใช้ชดุ การสอนภาษาไทย โดยรวมอยูใ่ นระดบั มากที่สดุ

9. การออกแบบนวัตกรรม
จากกระบวนการ PLC ระหว่างผู้อำนวยการโรงเรียน ฝ่ายบริหารงานวิชาการและครูผู้สอนทุกคน

พบวา่ นกั เรียนมีปัญหาดา้ นการอ่าน การเขียน กลา่ วคอื นกั เรียนบางคนอ่านไม่ออก เขียนไมไ่ ด้ นักเรยี นบางคน
อ่านไม่คล่อง เขียนไม่คล่อง จึงได้ข้อสรุปวา่ ความสามารถในการอา่ นและเขยี นของนักเรยี นนัน้ ไมส่ อดคล้องกับ
ระดับช้ันของนักเรยี น เช่น นักเรยี นบางคนอยรู่ ะดับชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ทกั ษะการอ่านเขียนเทียบเท่ากับ
นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และนักเรียนบางคนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ทักษะการอ่าน
เขยี นเทยี บเทา่ กับนกั เรียนระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4

จากการคน้ พบปญั หาดังกล่าว โรงเรียนจึงเลอื กใช้กระบวนการการจัดการเรยี นร้โู ดยใช้โมเดล CARES
U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโค
โรน่า 2019 (COVID -19) โดยได้วางแผนและจัดกลุ่มนักเรียนใหม่จำนวน 6 กลุ่มโดยยึดทักษะและ
ความสามารถต่อการอ่านเขียนของนักเรียนเป็นเกณฑ์ในการจัดกลุ่มนักเรียน กล่าวคือ นักเรียนที่เรียนอยู่
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ทักษะการอ่านเขียนเทียบเท่ากบั นักเรยี นระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 ให้เรียน
อยู่กลุ่มความสามารถเดียวกันกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และนักเรียนที่เรียนอยู่ระดับชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 3 แต่ทักษะการอ่านเขียนเทียบเท่ากับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้เรียนอยู่กลุ่ม
ความสามารถเดียวกันกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดลนี้จะจัด
การเรยี นรู้ในคาบวชิ าสอนซ่อมเสริมรปู แบบออนไลนแ์ ละจัดกลมุ่ นกั เรยี นจำนวน 6 กลุม่ ดังนี้

กลมุ่ ที่ 1 : พยัญชนะ สระและคำแม่ ก กา
กลุ่มท่ี 2 : การแจกลูกสะกดคำ
กลุ่มที่ 3 : มาตราตวั สะกด (ตรงมาตรา)

11

กลุ่มท่ี 4 : มาตราตัวสะกด (ไมต่ รงมาตรา)
กล่มุ ที่ 5 : ฝกึ ผันวรรณยุกต์ คำควบกล้ำ อกั ษรนำ
กลุ่มท่ี 6 : ฝกึ อา่ นเขยี นจับใจความ
การจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง
ของนักเรยี นในสถานการณโ์ รคติดต่อเช้ือไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) ซึง่ คำวา่ CARES เป็นคำนามใน
ภาษาอังกฤษ แปลว่า การเอาใจใส่ หมายถึง การเอาใจในการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนเนื่องจากทักษะ
การอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง เป็นทักษะพื้นฐานของการเรียนรู้ซึ่งหากนักเรียนมีทักษะการอ่าน
เขียนได้แล้ว นักเรียนก็มีโอกาสที่จะเรียนรู้ทักษะอื่น ๆ ด้วยตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยคณะครูได้ร่วมกันนิยาม
และใหค้ วามหมายของโมเดล CARES U ดงั น้ี
C: Children การเน้นเด็กนักเรียนเป็นศูนย์กลางของการจัดการเรียนรู้ กล่าวคือนักเรียนมีความ
หลากหลาย มีพื้นฐานและลักษณะของการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน การจัดการเรียนรู้จึงต้องมีหลากหลายเพ่ือ
ตอบสนองนักเรียน
A: Ability to Read & Write ความสามารถพื้นฐานของทักษะการอ่านเขียนภาษาไทย การอ่าน
ออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง เป็นทักษะพื้นฐานของการเรียนรู้ซึ่งหากนักเรียนมีทักษะการอ่านเขียนได้
แลว้ นักเรยี นก็มีโอกาสที่เรยี นรทู้ กั ษะอ่นื ๆ ด้วยตนเอง
R: Responsibility ความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างนักเรียนและครูผู้สอน การจัดการเรียนรู้ให้
นักเรียนสามารถอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่อง คือความรับผิดชอบร่วมกัน นักเรียนรับผิดชอบต่อ
ตนเองด้วยการตั้งใจฝกึ ฝนกระบวนการอ่านเขียน ครูทุกคนร่วมรับผิดชอบด้านการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยโดย
ถือว่าการสอนซ่อม การสอนเสริมภาษาไทยเป็นหน้าที่ของครูทุกคนในโรงเรียน ไม่ใช่ของครูภาษาไทยเพียง
ผู้เดยี ว
E: Effectiveness ประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเขียนได้
อา่ นคลอ่ ง เขยี นคล่องมากขนึ้ กวา่ เดมิ โดยวดั และประเมินผลจากสภาพจรงิ
S: System การทำงานอย่างเปน็ ระบบ มีคณะทำงานกำกบั นิเทศ ติดตาม ประเมนิ ผล คอยช่วยเหลือ
ประสานระหวา่ งกนั เพื่อใหก้ ารจัดการเรยี นรู้เป็นระบบ
U: You คือ เธอ หมายถึง นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้สามารถพัฒนาทักษะการอ่านเขียน
ภาษาไทย

10. วิธดี ำเนินการ
กระบวนการสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออก

เขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19)
ไดน้ ำกระบวนการวงจรคณุ ภาพ (PDCA) ในการดำเนินการสรา้ งและใช้นวัตกรรมโดยมีขนั้ ตอนดังน้ี

ภาพที่ 1 แสดงวงจรคุณภาพ (PDCA) สำหรับการขับเคลือ่ นนวัตกรรมการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้โมเดล CARE U

12

ประชมุ / วางแผน
PLC

CARES Uจัดกลมุ่ นกั เรียน วดั / ประเมนิ ผล

จัดกระบวนเรียนรู้

Output / Outcome

นักเรยี น

ภาพที่ 2 แสดงโมเดล CARES U เพ่อื พฒั นาการอ่านออก เขียนได้ อา่ นคล่องเขยี นคลอ่ งของนักเรียน

10.1 ขั้นวางแผน (Plan : P) เป็นขั้นตอนการวางแผนในการดำเนินการแก้ปัญหากลุ่มนักเรียนได้
คะแนนอยู่ในระดับพอใช้และระดับปรับปรุงของผลการวัดและประเมินผลความสามารถด้านภาษาไทย
ปกี ารศกึ ษา 2563 โดยได้กำหนดขัน้ ตอนตามตารางที่ 1

ตารางท่ี 1 แสดงกำหนดการวางแผนการสร้างนวตั กรรมจัดการเรียนรู้โดยใชโ้ มเดล CARES U

ที่ กำหนดการ ผ้รู ับผดิ ชอบ ระยะเวลา
22 ม.ี ค. 64
1 ประชุมวางแผน กำหนดนโยบาย - ผ้อู ำนวยการโรงเรียน
22 มี.ค. 64 – 30 เม.ย. 64
และวธิ กี ารแก้ปัญหาการอา่ น - ฝา่ ยบรหิ ารงานวชิ าการ 29 มี.ค. 64

เขียนของนักเรียน - ครผู ้สู อน

2 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและ - ฝ่ายบริหารงานวิชาการ

เอกสารงานวจิ ัยท่เี กี่ยวข้อง - ครูผู้สอน

3 กำหนดรูปแบบนวตั กรรมและ - ฝา่ ยบรหิ ารงานวชิ าการ

แบง่ หน้าทค่ี วามรับผดิ ชอบ - ครผู สู้ อน

13

10.2 ขั้นดำเนินการ (Do : D) เป็นขั้นตอนการดำเนินการสร้างนวัตกรรมและการนำนวัตกรรม
การจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออก เขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียน
ในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างในภาคเรียนท่ี 1
ปีการศึกษา 2564 ดงั ตารางท่ี 2

ตารางที่ 2 แสดงกำหนดการดำเนนิ การสร้างนวัตกรรมและนำนวัตกรรมไปใช้กับกลมุ่ ตวั อยา่ ง

ที่ กำหนดการ ผรู้ บั ผดิ ชอบ ระยะเวลา

1 สร้างแบบหัดอา่ นภาษาไทย คณะกรรมการฝ่ายสรา้ งแบบหดั อา่ น 12 เม.ย. 64 – 10 พ.ค. 64
จำนวน 6 เล่ม ภาษาไทย

2 สร้างแผนการสอนซ่อมเสรมิ คณะกรรมการฝา่ ยสร้างแผนการ 12 เม.ย. 64 – 10 พ.ค. 64
สอนซอ่ มเสริม

3 สร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ คณะกรรมการฝา่ ยสรา้ งแบบทดสอบ 12 เม.ย. 64 – 10 พ.ค. 64
ทางการเรียน วดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน

4 สร้างแบบประเมนิ ความพงึ พอใจ คณะกรรมการฝา่ ยสรา้ งแบบ 12 เม.ย. 64 – 10 พ.ค. 64
ประเมินความพงึ พอใจ

5 คดั กรองกลมุ่ นักเรียน คณะกรรมการฝา่ ยคัดกรองกลุม่ 1 ม.ิ ย. 64 – 10 มิ.ย. 64
นักเรียน

6 ดำเนินการสอนซอ่ มเสริม ครูผู้สอนซอ่ มเสริม 16 มิ.ย. 64 – 25 ส.ค. 64

10.2.1 การสรา้ งแบบหัดอา่ นภาษาไทย มีขั้นตอนการสร้างและตรวจสอบคณุ ภาพดงั นี้
1. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องการจัดการเรียนรู้โดยการสอนซ่อม

เสริมด้วยแบบหดั อ่านภาษาไทย
2. กำหนดกรอบเน้ือหา หวั ข้อและรูปแบบของแบบหัดอา่ นภาษาไทยซึ่งเนน้ คำพน้ื ฐานโดย

แบบหัดอา่ นภาษาไทยแต่ละเลม่ เร่ิมจากแบบหัดอา่ นภาษาไทยที่ง่ายสแู่ บบฝึกหัดการอ่านทย่ี ากข้นึ
3. ดำเนนิ การสร้างแบบหัดอ่านภาษาไทยตามกรอบที่ไดก้ ำหนดไว้ จำนวน 6 เล่ม ดังน้ี
เล่มท่ี 1 : พยัญชนะ สระและคำแม่ ก กา
เลม่ ที่ 2 : การแจกลูกสะกดคำ
เลม่ ที่ 3 : มาตราตวั สะกด (ตรงมาตรา)
เลม่ ท่ี 4 : มาตราตวั สะกด (ไมต่ รงมาตรา)
เลม่ ท่ี 5 : ฝึกผันวรรณยุกต์ คำควบกล้ำ อกั ษรนำ
เล่มที่ 6 : ฝกึ อ่านเขียนจับใจความ
4. ดำเนินการสร้างแบบประเมินคุณภาพของแบบหัดอ่านภาษาไทยโดยใช้แบบมาตราส่วน

ประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั ของลเิ คอรท์ (Likert) คือ
5 คะแนน หมายถงึ เหมาะสมมากที่สุด
4 คะแนน หมายถงึ เหมาะสมมาก
3 คะแนน หมายถงึ เหมาะสมปานกลาง
2 คะแนน หมายถงึ เหมาะสมน้อย
1 คะแนน หมายถงึ เหมาะสมนอ้ ยทสี่ ุด

5. นำแบบหัดอ่านภาษาไทยและแบบประเมินคุณภาพของแบบหัดอ่านภาษาไทยเสนอต่อ
ผ้เู ชยี่ วชาญจำนวน 3 คน เพือ่ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งและความเหมาะสมของเน้ือหารวมท้งั รปู แบบการพิมพ์

14

และขนาดของตัวอกั ษร ซง่ึ ผเู้ ชยี วชาญดังกลา่ ว ไดแ้ ก่

1. นายมาหามะ สะหะเมา๊ ะ ผ้อู ำนวยการชำนาญการพิเศษ

2. นางนริ วรรณา ยาชารัด ครูชำนาญการพเิ ศษ

3. นางสาวอมี าน สาหาด ครชู ำนาญการพเิ ศษ

6. นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาพิจารณาเพื่อหาค่าคุณภาพของแบบหัดอ่านภาษาไทย

โดยกำหนดคะแนนเฉล่ยี การหาคา่ คุณภาพตามเกณฑ์ (สนิ พนั ธพุ์ นิ ิจ. 2553 : 155) ดังน้ี

4.50 – 5.00 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมมากท่สี ดุ

3.50 – 4.49 หมายถึง มีความเหมาะสมมาก

2.50 – 3.49 หมายถึง มคี วามเหมาะสมปานกลาง

1.50 – 2.49 หมายถึง มคี วามเหมาะสมน้อย

1.00 – 1.49 หมายถงึ มีความเหมาะสมนอ้ ยทสี่ ุด

ซ่ึงคะแนนเฉลี่ยการหาค่าคุณภาพที่ยอมรับได้ คือ คะแนนเฉลี่ยมากกว่าหรือเท่ากับ 3.50

และผลการประเมินปรากฏว่าคะแนนคุณภาพของแบบหัดอ่านภาษาไทยอยู่ท่ีระดับมีความเหมาะสมมากท่ีสุด

มีคะแนนเฉล่ยี เท่ากับ 4.60 (ภาคผนวก จ ตารางท่ี 3 หนา้ 62)

7. ปรับปรุงรูปแบบการพิมพ์และความสวยงามของรูปภาพตามข้อเสนอแนะของผู้เชียวชาญ

แลว้ จัดพมิ พแ์ บบหดั อา่ นภาษาไทยเพ่ือนำไปใช้กับกลมุ่ ตัวอย่าง

10.2.2 การสร้างแผนการสอนซอ่ มเสรมิ มขี ัน้ ตอนการสร้างและตรวจสอบคณุ ภาพดังนี้
1. ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโรงเรียนชุมชนบ้านปาแดปาลัส ฉบับปรุง

พ.ศ. 2563 ตามหลักสูตรแกนกลางข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551
2. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและเอกสารงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ งการจัดทำแผนการสอนซอ่ มเสรมิ
3. จัดทำแผนการสอนซ่อมเสริม จำนวน 6 เล่ม ซึ่งเป็นแผนการสอนซ่อมเสริมรายชั่วโมง

จำนวน 30 ชั่วโมง
4. จัดทำแบบประเมินคุณภาพของแผนการสอนซ่อมเสริมโดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนแบบ

มาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดบั ของลเิ คอร์ท (Likert) และกำหนดเกณฑ์การหาค่าคุณภาพดังนี้
5 คะแนน หมายถงึ เหมาะสมมากทส่ี ดุ
4 คะแนน หมายถึง เหมาะสมมาก
3 คะแนน หมายถึง เหมาะสมปานกลาง
2 คะแนน หมายถึง เหมาะสมน้อย
1 คะแนน หมายถึง เหมาะสมนอ้ ยทส่ี ุด

5. นำแผนการสอนซ่อมเสริมและแบบประเมินคุณภาพของแผนการสอนซ่อมเสริมให้
ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องของภาษาและประเมินความเหมาะสมของแผนการ สอนซ่อมเสริมโดย
กำหนดเกณฑ์การตัดสินคุณภาพของแบบประเมิน คือ ระดับคะแนนเฉลี่ยมากกว่าหรือเท่ากับ 3.50 ซึ่งผล
การประเมินความเหมาะสมของแผนการสอนซ่อมเสริมได้คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 คือ มีความเหมาะสมมาก
หมายถึง สามารถนำแผนการสอนซอ่ มเสรมิ ไปใช้ในการเรยี นการสอนได้ (ภาคผนวก จ ตารางท่ี 4 หน้า 63)

6. ปรับปรงุ แกไ้ ขแผนการสอนซอ่ มเสริมตามข้อเสนอแนะของผู้เชย่ี วชาญเกยี่ วกับการพมิ พผ์ ิด พมิ พ์ตก
และการวดั และประเมนิ ผลให้สอดคล้องกับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ แล้วจดั พมิ พ์เพือ่ นำไปใช้กบั กลุม่ ตัวอยา่ ง

15

10.2.3 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีขั้นตอนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพ
ดังนี้

1. ศึกษาทฤษฎี แนวคิดและงานวิจัยเกี่ยวกับแนวทางการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น

2. กำหนดรูปแบบและจำนวนขอ้ ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
3. สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 6 แบบทดสอบ โดยกำหนดคะแนน
แบบทดสอบดา้ นการอา่ นเท่ากับ 20 คะแนนและคะแนนแบบทดสอบดา้ นการเขียนเทา่ กับ 20 คะแนน
4. นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความ
เที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบและนำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่าดัชนีความ
สอดคล้อง (IOC) ซึ่งข้อสอบที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่าหรือเทา่ กับ 0.50 จึงถือว่ามีความสอดคล้องอยู่
ในเกณฑ์ท่ยี อมรับได้ (ไพศาล วรคำ. 2558 : 269) โดยมีเกณฑก์ ารพิจารณาดังน้ี

+ 1 หมายถึง แนใ่ จว่าข้อสอบวัดตรงตามวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้
0 หมายถึง ไม่แนใ่ จว่าข้อสอบวัดตรงตามวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้
- 1 หมายถงึ แน่ใจวา่ ขอ้ สอบวัดไมต่ รงตามวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรู้

5. นำผลการประเมินจากผู้เช่ียวชาญมาวิเคราะห์หาคา่ ดัชนีความสอดคล้องระหวา่ งข้อคำถาม
กับจุดประสงค์การเรียนรู้ (IOC) ซึ่งพบว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 6 แบบทดสอบ มีค่า
ดชั นคี วามสอดคล้องระหวา่ งข้อคำถามกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ตัง้ แต่ 0.67 - 1.00 กลา่ วคอื แบบทดสอบวัดผล
สมั ฤทธิท์ างการเรยี นสามารถนำไปใชไ้ ด้ทัง้ หมด (ภาคผนวก จ ตารางที่ 5 หนา้ 64 - 68)

6. ปรับปรุงและแก้ไขแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามข้อเสนอแนะของ
ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แก้ไขคำสั่งให้ชัดเจน ปรับระดับคำศัพท์และความยากของภาษาให้เหมาะสม แล้วพิมพ์
แบบทดสอบเพอื่ นำไปใช้กลุ่มตวั อย่าง

10.2.4 การสรา้ งแบบประเมนิ ความพงึ พอใจ มขี ้นั ตอนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพดงั นี้
1. ศกึ ษาเอกสาร แนวคิด หลักการ ทฤษฎีทเี่ กี่ยวข้องกับการสร้างแบบประเมนิ ความพึงพอใจ

ของนักเรียนที่มีต่อการจดั การเรยี นรู้
2. สร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใช้โดยใช้โมเดล CARES U

จำนวน 10 ข้อ ซง่ึ เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scale) 5 ระดบั ของลิเคอร์ (Likert) ดังน้ี
5 หมายถงึ มีความพงึ พอใจระดับมากทส่ี ุด
4 หมายถึง มีความพึงพอใจระดบั มาก
3 หมายถงึ มีความพงึ พอใจระดับปานกลาง
2 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจระดับนอ้ ย
1 หมายถึง มีความพึงพอใจระดบั นอ้ ยทสี่ ุด

3. นำแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยโมเดล CARES U เสนอต่อ
ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบและนำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ
มาคำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ซึ่งค่าดัชนีความสอดคล้องมากกว่าหรือเท่ากับ 0.50 ถือว่ามีความ
สอดคลอ้ งอย่ใู นเกณฑ์ทีย่ อมรับได้และคา่ ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) จากการประเมนิ ของผเู้ ชียวชาญมีค่าตั้งแต่
0.67 - 1.00 (ภาคผนวก จ ตารางท่ี 5 หน้า 69)

4. ปรับปรุงภาษาให้กระชบั และเขา้ ใจงา่ ยแล้วจดั พิมพเ์ พื่อนำไปกบั กลุ่มตัวอยา่ ง

16
10.2.5 การคัดกรองกลุ่มนักเรียน มขี ั้นตอนดงั น้ี

1. คณะกรรมการฝ่ายคัดกรองกลุ่มนักเรียนตรวจสอบรายชือ่ กลุ่มนักเรยี นทีไ่ ด้คะแนนระดับ
พอใช้และระดับปรับปรงุ ของผลการวดั และประเมินผลความสามารถดา้ นภาษาไทยปกี ารศกึ ษา 2563

2. คณะกรรมการฝ่ายคัดกรองกลุ่มนักเรียนสอบถามและปรึกษาครูประจำชั้นและครูผู้สอน
รายวิชาภาษาไทยเกี่ยวกบั การเรียนร้ภู าษาไทยของนกั เรียนกลมุ่ ดังกลา่ ว

3. ครูประจำชั้นดำเนินการจำแนกกลุ่มนักเรียนตามรายชื่อที่เป็นกลุ่มเป้าหมายออกเป็น
จำนวน 6 กลุ่มตามระดับของแบบหดั อา่ นภาษาไทยซ่งึ เปน็ การคดั กรองนักเรียนเบื้องต้น

4. คณะกรรมการฝ่ายคัดกรองกลุ่มนักเรียนดำเนนิ การคัดกรองกลุ่มนักเรียนเพ่ือจำแนกระดับ
ความสามารถการอ่านเขียนภาษาไทยของนักเรียนด้วยแบบทดสอบเพอ่ื คดั กรองกลุ่มนักเรียน

5. คณะกรรมการฝ่ายคัดกรองกลุ่มนักเรียนแจ้งรายชื่อนักเรียนแต่ละระดับแก่ครูผู้สอน
ซอ่ มเสริมทราบ

10.2.6 การสอนซ่อมเสริม มีข้นั ตอนดงั น้ี
1. ครูศึกษาแผนการสอนซ่อมเสริมใหเ้ ขา้ ใจ
2. ครูชี้แจงแก่นักเรียนและผู้ปกครองนักเรียนทราบเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล

CARES U เพื่อพัฒนาการอา่ นออก เขียนได้ อา่ นคล่องเขียนคลอ่ งของนกั เรยี นในสถานการณ์โรคติดตอ่ เชื้อไวรัส
โคโรน่า 2019 (COVID -19) โดยการเรียนด้วยแบบหัดอ่านภาษาไทยควบคู่การออนไลน์ผ่านช่องทางกลุ่ม
Line, YouTube และ Google Meet

ภาพท่ี 3 แสดงการจัดการเรียนรดู้ ว้ ยชอ่ งทางกลมุ่ Line และ Google Meet

3. ครูสร้างสื่อและเครื่องมือ แบบฝึกหัดสำหรับการจัดการเรียนรู้แบบ On Hand, On
Demand และ Online

4. ครูและนกั เรียนดำเนินการเรยี นรู้ตามแผนการสอนซ่อมเสรมิ ท่คี รูผ้สู อนได้เตรยี มไว้
5. ครบู ันทกึ ผลการสอนซอ่ มเสรมิ แตล่ ะแผนเพื่อปรับปรงุ การสอนซ่อมเสริมให้ดยี ง่ิ ขนึ้
6. ครูให้นักเรียนทำแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U
เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียน เมื่อกระบวนการจัดการเรียนรู้ครบจำนวน
30 ชัว่ โมง

17
10.3 ข้ันตรวจสอบ (Check : C) เปน็ ข้นั ตอนการตรวจสอบการจดั การเรียนรู้ มีขน้ั ตอนดงั นี้

1. ครูตรวจสอบผลการจดั การเรยี นรขู้ องตนเองเป็นไปตามท่ไี ดว้ างแผนหรือไม่
2. ครผู ูต้ รวจสอบและประเมนิ ผลผลติ (Output) และ ผลลพั ธ์ (Outcome) ของนกั เรียนกลุ่ม
ที่ตนเองจดั การเรียนร้เู ป็นไปตามทคี่ าดหวงั หรอื ไม่
3. ครูให้และรับข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้โดยให้ข้อข้อมูล
ยอ้ นกลบั (Feedback) ระหว่างครผู ูก้ ับนกั เรยี น และครกู ับฝา่ ยบริหารงานวชิ าการ
10.4 ขั้นปรับปรุงพัฒนา (Act : A) เป็นขั้นตอนการปรับปรุง แก้ไข และประเมินผลการดำเนินงาน
เพ่อื ให้บรรลเุ ป้าหมายตามทไ่ี ด้กำหนดไว้ โดยมีข้นั ตอนดงั นี้
1. ครูผู้สอนรว่ มกนั แลกเปล่ยี นแนวทางการจัดการเรยี นรู้ที่ประสบความสำเร็จของตนเองผ่าน
กระวนการ PLC ระหว่างครผู ู้สอนด้วยกันโดยกำหนด 2 สปั ดาห์ต่อ 1 ครง้ั
2. ครูผู้สอนร่วมกันแลกเปลี่ยนปัญหาของการจัดการเรียนรู้ที่ที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขผ่าน
กระวนการ PLC ระหว่างครูผู้สอนกับผู้อำนวยการโรงเรียนและฝ่ายบริหารงานวิชาการโดยกำหนดเดือนละ 1
ครงั้
3. ฝ่ายบริหารงานวิชาการ และครูผู้สอนร่วมกันทบทวนหลังปฏิบัติงาน (After Action
Review : AAR) โดยทบทวนวิธีการทำงานทั้งด้านความสำเร็จและปัญหาที่เกิดข้ึนเพื่อรายงานสรุปผลแก่
ผอู้ ำนวยการโรงเรียนเก่ยี วกับการดำเนินงานการจดั การเรยี นรู้โดยใชโ้ มเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออก
เขียนได้ อ่านคล่องเขยี นคลอ่ งของนกั เรยี น

ภาพท่ี 4 แสดงการทบทวนหลังปฏิบัติงาน (After Action Review : AAR) และกระบวนการ PLC

18
11. ผลการสร้างนวัตกรรม

11.1 ผลทเี่ กิดกับนักเรยี น
นักเรียนได้รับการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนดีขึ้น นักเรียนแต่ละกลุ่มสามารถอ่านคำศัพท์
แบบแจกลูกสะกดได้มากยงิ่ ขึน้ จนสามารถอ่านคำศัพท์ตา่ ง ๆ ได้มากย่ิงขนึ้ ความสามารถในการอ่านจับใจความ
ของนกั เรียนได้ดยี ่งิ ขึ้น ส่งผลใหน้ กั เรยี นรู้สกึ มคี ุณคา่ ต่อตนเอง มีความภาคภูมใิ จต่อเองมากย่งิ ขึ้น มีความพร้อม
ในการเรียนรู้รายวิชาอื่น ๆ มากกว่าเดิมเนื่องจากนักเรียนสามารถอ่านเนื้อหาของรายวิชาอื่น ๆ ได้ดีกว่าเดิม
และผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียนที่เรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียน
คล่องของนักเรียนที่เห็นเด่นชัด คอื นักเรียนรักและสนใจในการเรียนรูว้ ชิ าภาษาไทยมากย่งิ ขึ้น
คะแนนเฉลย่ี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรยี นโดยใช้โมเดล CARES U เพ่ือพัฒนาการอา่ นออกเขียนได้
อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนโรงเรียนชุมชนบ้านปาแดปาลัสสูงขึ้น คะแนนร้อยละก่อนเรียนมีค่าเท่ากับ
37.50 คะแนนร้อยละหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 47.50 และคะแนนเฉลี่ยความก้าวหน้ามีค่าสูงถึงร้อยละ 10
ดงั รปู ภาพที่ 5

ภาพที่ 5 แสดงคะแนนเฉลี่ย คะแนนรอ้ ยละ และคะแนนร้อยละของความก้าวหนา้ หลงั การเรียนรโู้ ดยใช้โมเดล
CARES U

ระดบั ความพงึ พอใจของนักเรียนต่อการเรียนรู้โดยใชโ้ มเดล CARES U เพือ่ พัฒนาการอา่ นออกเขียนได้
อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนโรงเรียนชุมชนบ้านปาแดปาลัส โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ระดับมาก
ที่สุด มีคะแนนเฉลีย่ เท่ากบั 4.79 และค่าเบีย่ งเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.51 ซง่ึ ประเด็นที่นักเรียนมีความพึงพอใจ
ระดับมากที่สุด คือ แบบหัดอ่านภาษาไทยมีรูปเล่มและภาพประกอบสวยงาม น่าสนใจ รองลงมา คือนักเรียน
รู้สึกสนุกกับกิจกรรมที่ครูจัดระหว่างเรียนซ่อมเสริมด้วยแบบหัดอ่านภาษาไทย และประเด็นที่นักเรียนมีความ
พึงพอใจระดับน้อยที่สุด คือ เวลาที่ใช้ในการเรียนซ่อมเสริมด้วยแบบหัดอ่านภาษาไทยเพียงพอและเหมาะสม
(ภาคผนวก ฉ ตารางท่ี 8 หน้า 72)

19
11.2 ผลที่เกดิ กบั ครู

ครูมีความภาคภูมิใจที่มีส่วนในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้
อา่ นคลอ่ งเขยี นคล่องของนักเรยี นจนนกั เรียนรสู้ ึกตนเองมีคุณคา่ มากยิ่งขนึ้

ครูเกิดการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ผ่านกระบวนการชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)
และกระบวนการทบทวนหลังปฏิบัติงาน (After Action Review : AAR) โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใน
การแกป้ ญั หาการจดั การเรยี นรู้ในสถานการณ์โรคติดตอ่ เช้อื ไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19)

ครูรู้จักปรับกระบวนการจัดการเรียนรูใ้ ห้เหมาะสมกับสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา่
2019 (COVID -19) โดยการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้
ควบคู่กับการใช้แบบหัดอ่านภาษาไทยทั้ง 6 เล่ม เช่น การนำแอปพลิเคชัน Line สำหรับติดต่อสื่อสาร
การสนทนา การมอบหมายงานหรือสั่งการบ้าน การตรวจงาน การนำโปรแกรม Google Meet สำหรับจัด
กระบวนการเรียนรู้ การนำเว็บไซต์ Live Worksheets สำหรับให้นกั เรยี นทำใบงาน หรือทำแบบทดสอบ และ
การนำโปรแกรม PowerPoint มาใชค้ วบคู่กับการใช้ โปรแกรม Google Meet แทนการใช้กระดานดำ

ภาพที่ 6 แสดงการนำเทคโนโลยีปรบั ใช้ในการจัดการเรียนรู้โดยใชโ้ มเดล CARES U
11.3 ผลทเี่ กิดขึน้ กบั โรงเรยี น
โรงเรียนมีนวัตกรรมที่สามารถพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของ

นักเรียนในสถานการณ์โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) จนสามารถพัฒนาการอ่านเขียนของ
นกั เรียนกลุ่มระดบั ปรบั ปรุงและพอใช้ให้ดีขนึ้

11.4 ผลที่เกดิ ขน้ึ กับผูป้ กครองและชมุ ชน
ผู้ปกครองและชุมชนให้ความเชื่อมั่นในการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนถึงแม้ในสถานการณ์

โรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) จนผู้ปกครองและชุมชนให้การยอมรับถึงความสามารถใน
การจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน ผู้ปกครองมีโอกาสในการติดต่อสื่อสารกับครูผู้สอนโดยตรงผ่านแอป
พลิเคชัน Line ส่งผลใหผ้ ู้ปกครองสามารถตดิ ตามและช่วยเหลอื การเรยี นของบุตรตนเองมากย่งิ ข้นึ

20

12. ปัจจยั ความสำเร็จ
1. การมีทัศนคติที่ดีและความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ร่วมกันของบุคลากรทุกคนในโรงเรียนต่อ

การพฒั นาการอ่านออกเขียนได้ การอา่ นคล่องเขยี นคล่องของนักเรยี นโดยไม่ถอื วา่ การสอนภาษาไทยเปน็ หน้าท่ี
ของครูผสู้ อนรายวชิ าภาษาไทยเพยี งคนเดียวเทา่ นั้น

2. กระบวนการติดตามและประเมินผล กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) และ
กระบวนการทบทวนหลังปฏิบัติงาน (After Action Review : AAR) มคี วามสำคัญในการสรา้ งความสำเร็จของ
การนำนวัตกรรมไปใช้

3. การตดิ ตามและการมีส่วนร่วมในการชว่ ยเหลือดูแลนักเรยี นของผู้ปกครองสง่ ผลให้การจัดการเรียนรู้
โดยใชโ้ มเดล CARES U เพ่ือพฒั นาการอ่านออกเขยี นได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนประสบความสำเร็จ

13. บทเรยี นท่ไี ดร้ ับ
1. ครูจำเป็นต้องมีทักษะด้านคอมพิวเตอร์เบื้องต้นและทักษะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

เพ่อื ใหเ้ กิดประสิทธิภาพในการจัดการเรยี นรู้
2. ผู้ปกครองมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือครูผู้สอนต่อจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพ่ือ

พฒั นาการอา่ นออกเขยี นได้ อา่ นคลอ่ งเขียนคลอ่ งของนกั เรยี น
3. การนำเทคโนโลยีมาใชใ้ นการจดั การเรยี นร้ใู นสถานการณโ์ รคติดต่อเช้ือไวรสั โคโรน่า 2019 (COVID

-19) เป็นสิ่งใหม่สำหรับครูสอนและนักเรียน ดังนั้นการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ การทำแบบฝึกหัดและการส่ง
การบ้านของนักเรียนอาจล่าช้ากว่าจัดการเรียนรู้แบบปกติ ครูผู้สอนจึงควรปรับการจัดการเรียนรู้ การวัดและ
ประเมนิ ผลให้มีความเหมาะสม

14. การเผยแพร่นวตั กรรม
โรงเรียนได้นำนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้

อา่ นคลอ่ งเขียนคลอ่ งของนักเรยี นในสถานการณโ์ รคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID -19) เผยแพร่ดังนี้
14.1 เผยแพรแ่ ก่ผู้ปกครองนักเรียนผ่านแอปพลิเคชนั กลุ่มไลนช์ ื่อ “Open House”
14.2. เผยแพร่แกค่ รผู สู้ อนและผู้อำนวยการโรงเรียนในศูนยเ์ ครือขา่ ยทงุ่ ยางแดงผา่ นแอปพลิเคชันกลุ่ม

ไลน์ชอ่ื “ชมรมผอครู&บุคลากรทุ่ง”
14.3 เผยแพร่แก่ครูผู้สอนและผู้อำนวยการโรงเรียนระดับเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี

เขต 3 ผ่านแอปพลเิ คชนั กล่มุ ไลนช์ ่ือ “กลุ่มวชิ าการ สพป.ปน3”
14.4 เผยแพร่แกบ่ คุ คลท่วั ไปผ่านเพจเฟชบุ๊กของโรงเรยี นตามลงิ ค์ https://bit.ly/2XsAScu
14.5 เผยแพรแ่ ก่บคุ คลทวั่ ไปผ่านเว็บไซต์ www.anyflip.com ตามลิงค์ https://bit.ly/3hJU64P

บรรณานกุ รม

กนก เอ่ยี มศรชี าญชยั . (2558). การพฒั นาชุดกจิ กรรมการสอนซ่อมเสริมการอา่ นภาษาไทย สำหรับนักเรียน
ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 2. วิทยานพิ นธ์ครุศาสตรมหาบณั ฑติ . สาขาวชิ าหลักสตู รและวิธสี อน.
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเทพสตรี.

กรรณิการ์ กันทะวงศ์. (2560). การพฒั นากิจกรรมสอนซ่อมเสรมิ ตามแนวคดิ การเสรมิ ตอ่ การเรยี นรูร้ ว่ มกับ
การใชค้ าราโอเกะเพือ่ พัฒนาความสามารถในการอ่านออกเสียงคำที่มตี ัวสะกด สำหรบั นักเรยี น
ที่ใชภ้ าษาไทยเปน็ ภาษาที่สอง. วทิ ยานิพนธศ์ ึกษาศาสตรมหาบัณฑติ . สาขาวิชาหลักสูตรและ
วิธีสอน. มหาวิทยาลยั นเรศวร.

ไกรษร ประดบั เพชร. (2561). การพัฒนาแบบฝกึ ทักษะโดยใช้เทคนคิ การอ่านแบบ SQ4R เพื่อส่งเสริม
ทกั ษะการอ่านจับใจความของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่3 โรงเรียนไตรคามประชาสรรค์.
โครงการวิจัยและพฒั นานวัตกรรมแลกเป้า สพฐ. ปีงบประมาณ 2561. โรงเรียนไตรคามสวรรค์.

ชนศิ า แจ้งอรุณ. (2559). การพัฒนาทักษะการอา่ นออกเสียงคําในภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน
ในรายวิชาภาษาไทยเพ่ืออาชพี สำหรับผเู้ รียนระดับประกาศนียบตั รวิชาชีพ ชั้นปีท่ี 2 วิทยาลัย
อาชีวศึกษาสันติราษฎร์ ในพระอุปถัมภ์ ฯ. วจิ ยั ในช้ันเรียน. วทิ ยาลยั อาชวี ศึกษาสนั ติราษฎร

ทิพยฉัตร พละพล. (2561). การพัฒนาชุดการสอนภาษาไทย เรือ่ ง ชนิดของคำสำหรบั นักเรียนช้ันระถม
ศกึ ษาปที ่ี 6. วิทยานิพนธค์ รศุ าสตรมหาบณั ฑิต. สาขาวชิ าหลักสูตรและวธิ ีสอน. มหาวทิ ยาลัย
ราชภฏั นครสวรรค.์

นิภาพรรณ ศรีพงษ์. (2559). ภาษาไทย = การฟัง การอา่ น การพดู การเขยี น. นครราชสมี า : มหาวทิ ยาลัย
เทคโนโลยีราชมงคลอสี าน.

ประคอง สทุ ธิสาร. (2553) การสอนซ่อมเสริม. พิมพ์คร้ังท่ี 2. กรุงเทพฯ: วฒั นาพานิช.

ฝ่ายบริหารงานวิชาการ. (2563). รายงานผลการวดั และประเมนิ ผลความสามารถด้านภาษาไทยปกี ารศกึ ษา
2563. ปตั ตานี : โรงเรยี นชมุ ชนบา้ นปาแดปาลสั

พงษ์พันธ์ พงษโ์ สภา. (2559). จติ วทิ ยาการศึกษา. พมิ พ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : พฒั นาศึกษา.

ไพรนิ ทร์ พง่ึ พงษ.์ (2556). การพฒั นาผลสัมฤทธทิ์ างการอ่านและเขียนสะกดคำที่มสี ระประสมของนกั เรยี น
ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 1 โดยใชย้ ุทธวธิ ีพหุปญั ญา แผนผงั ความคิดและแบบฝกึ เสริมทักษะ.
วทิ ยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต.นครปฐม : มหาวิทยาลัยศลิ ปากร.

ไพวรรณ ชาตผิ า. (2556). การพฒั นาการอ่าน และการเขยี นคำที่มีตวั สะกดไมต่ รงมาตรา โดยใช้แบบ
ฝึกกลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 2. วารสารบัณฑิตศกึ ษา.

ไพศาล วรคำ. (2558). การวดั ทางการศึกษา. พิมพค์ ร้ังที่ 7. กรุงเทพ : ตักสิลาการพมิ พ์.

มสิ อทุ ัยวรรณ อรรคเสลา. (2557). การพฒั นาทักษะการอ่านและเขยี นคำมาตราตวั สะกดโดยใชแ้ บบฝกึ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2. กรงุ เทพฯ : โรงเรยี นอัสสมั ชัญ
แผนกประถม.

บรรณานุกรม (ต่อ)

ลาวณั ย์ สังขพนั ธานนท์ และคณะ. (2559). การอา่ นเพอื่ พัฒนาคุณภาพชวี ิต. พิมพค์ รัง้ ท่ี 3 กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

วัลยา อ่ำหนองโพธิ์. (2557). การพัฒนาแบบฝกึ ทักษะการเขยี นสะกดคำเรื่องมาตราตวั สะกด โดยใช้แผนผงั
ความคิดสำหรับนกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 1. วทิ ยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต.
มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.

วิทยา พฒั นเมธาดา. (2560). การจดั การเรยี นรู้ (Learning Management). สืบคน้ เมื่อ 13 กนั ยายน 2564,
จาก https://www.kansuksa.com/8/

วมิ ลรตั น์ สุนทรโรจน.์ (2557). เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชาพัฒนาการเรยี นการสอน. พมิ พ์ครงั้ ท5่ี
ภาควชิ าหลักสูตรและการสอน. คณะศึกษาศาสตร์. มหาวิทยาลยั มหาสารคาม

สิน พนั ธพุ์ นิ จิ . (2553). เทคนคิ การวจิ ยั ทางสังคมศาสตร.์ กรุงเทพฯ : วทิ ยพัฒน์.

สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย์. (2554). หลักภาษาไทย. พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๑๕. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.

สนุ ิษา เกาะอ้อม. (2562). การพฒั นาความสามารถความเรยี งภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2
โดยใช้ผงั ความคดิ . วทิ ยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลกั สูตรและวิธสี อน.
มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บณั ฑิตย์.

สุภณิดา พฒั ธร, วิวัฒน์ ชนิ นาทศริ กิ ลุ และคณะ. (2557). คู่มือการจัดระบบการเรียนการสอนทเ่ี น้นผเู้ รียน
เป็นสำคญั . พิมพ์คร้ังท่ี 2 . ปทมุ ธานี : มหาวทิ ยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์

สุราษฎร์ พรมจนั ทร. (ม.ป.ป.) การจดั การเรียนการสอน สบื คน้ เมื่อ 13 กันยายน 2564, จาก
http://www.fte.kmutnb.ac.th/km/L-COURSE11.pdf

สุวมิ าลย์ ยนื ยงั . (2556). การพฒั นาทักษะการอา่ นและเขียนภาษาไทยของนกั เรียนระดับชน้ั ประถมศกึ ษา
ปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรยี นรเู้ ทคนิค CIRC. วทิ ยานิพนธค์ รุ ุศาสตรมหาบณั ฑิต .ภาควิชา
หลกั สตู รและวิธีสอน. มหาวิทยาลัยราชภฏั บรุ ีรัมย์

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก

คำสั่งโรงเรยี นชุมชนบ้านปาแดปาลสั

คำสั่งโรงเรยี นชมุ ชนบา้ นปาแดปาลัส

ที่ ๔๑ / ๒๕๖๔

เร่อื ง แต่งต้ังคณะกรรมการดำเนนิ การการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้โมเดล CARES U เพ่อื พฒั นาการอ่านออก

เขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรยี น

....................................................................

ด้วยโรงเรียนชุมชนบ้านปาแดปาลัสได้ดำเนินการจัดทำนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล

CARES U เพื่อพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียนเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเขียน

ภาษาไทยของนกั เรยี นโดยกำหนดให้นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที ี่ ๑ – ๓ ตอ้ งอ่านออกเขียนได้ และนกั เรียนช้ัน

ประถมศึกษาปีที่ ๔ – ๖ ตอ้ งอ่านคลอ่ งเขยี นคล่อง

เพอ่ื ให้การดำเนินงานเปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์ จึงขอแตง่ ต้งั คณะกรรมการดำเนนิ งาน ดังต่อไปนี้

๑. คณะกรรมการอำนวยการ ประกอบด้วย

๑.๑ นายมาหามะ สะหะเม๊าะ ผ้อู ำนวยการ ประธานกรรมการ

๑.๒ นายนสุ ลัย สือแม ครู คศ. ๒ รองประธานกรรมการ

๑.๓ นายอามนี หะแว ครู คศ. ๒ กรรมการ

๑.๔ นางนิรุสมนี ี เจะ๊ หลง ครู คศ. ๒ กรรมการ

๑.๕ นางสาวลนี า กอและ ครู คศ. ๒ กรรมการ

๑.๖ นางสาวอมี าน สาหาด ครู คศ. ๓ กรรมการและเลขานุการ

หนา้ ที่ ประชุมวางแผนการดำเนินงาน การบรหิ ารงบประมาณ ให้คำปรึกษา อำนวยความสะดวก เพ่ือให้การ

ดำเนนิ งานบรรลตุ ามวัตถปุ ระสงค์

๒. คณะกรรมการดำเนนิ การสร้างแบบหัดอ่านภาษาไทย ประกอบดว้ ย

๒.๑ นางสาวอีมาน สาหาด ครู คศ. ๓ ประธานกรรมการ

๒.๒ นางนิรวรรณา ยาชะรดั ครู คศ. ๓ รองประธานกรรมการ

๒.๓ นางสาวลีนา กอและ ครู คศ. ๒ กรรมการ

๒.๔ นางตอฮีเราะห์ บือแนจือปอ พนักงานราชการ กรรมการ

๒.๕ นางรอฮมี ๊ะ ดือมาน๊ิ ครู คศ. ๒ กรรมการและเลขานุการ

หนา้ ท่ี ออกแบบและจดั ทำแบบหัดอา่ นภาษาไทย จำนวน ๖ เลม่ ให้มคี ุณภาพและเหมาะสมกบั ไปใชเ้ ปน็

นวตั กรรมดา้ นการจัดการเรียนรู้เพอื่ พฒั นาการอา่ นเขียนของนักเรยี น

๓. คณะกรรมการดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรยี นรู้ ประกอบด้วย

๓.๑ นางนิรวรรณา ยาชะรดั ครู คศ. ๓ ประธานกรรมการ
กรรมการ
๓.๒ นางสาวใสนะ เจะโกะ ครู คศ. ๒ กรรมการและเลขานุการ

๓.๒ นางตอฮเี ราะห์ บอื แนจือปอ พนกั งานราชการ

หน้าท่ี จดั ทำแผนการจัดการเรียนรู้เพ่ีอไปใชค้ วบคู่กบั แบบหัดอา่ นภาษาไทย

๔. คณะกรรมการดำเนินการสรา้ งแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วย

๔.๑ นางสาวนาซอฟะ เปาะอีแต ครผู ูช้ ่วย ประธานกรรมการ

/๔.๒ นางสาววนั ฟาตีมะห์ หะยีสาแมง็

๔.๒ นางสาววันฟาตมี ะห์ หะยีสาแมง็ พนกั งานราชการ กรรมการ
กรรมการ
๔.๓ นางนิรุสมีนี เจ๊ะหลง ครู คศ. ๒ กรรมการและเลขานุการ

๔.๔ นางสาวรูไวดา สอื นิ ครู คศ. ๑

หน้าที่ สร้างแบบทดสอบววดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนใหม้ ีคุณภาพ

๕. คณะกรรมการดำเนินการสร้างแบบประเมนิ ความพึงพอใจ ประกอบด้วย

๕.๑ นายอามีน หะแว ครู คศ. ๒ ประธานกรรมการ
กรรมการ
๕.๒ นางสาวพาตเี มาะ เสง็ ครูพ่ีเล้ยี งเด็กพิการ กรรมการ
กรรมการและเลขานุการ
๕.๓ นางซารหี ม๊ะ ตันหยงมะ พนกั งานราชการ

๕.๔ นายยสุ รอน เจะนุ๊ ธรุ การฯ

หนา้ ที่ สร้างแบบประเมินความพอใจของนักเรยี นที่เหมาะสม

๖. คณะกรรมการดำเนินงาน จดั กิจกรรมการเรียนการสอน
๖.๑ นกั เรียนกลุ่มที่ ๑ ประกอบดว้ ย
๖.๑.๑ นางสาวลีนา กอและ
๖.๑.๒ นางตอฮีเราะห์ บือแนจอื ปอ
๖.๒ นกั เรียนกลุ่มที่ ๒ ประกอบด้วย
๖.๒.๑ นางสาวอีมาน สาหาด
๖.๒.๒ นายนุสลัน สือแม

๖.๓ นกั เรียนกลุ่มที่ ๓ ประกอบดว้ ย

๖.๓.๑ นางสาวรูไวดา สอื นิ

๖.๔ นกั เรียนกลุ่มที่ ๔ ประกอบด้วย
๖.๔.๑ นางนริ วรรณา ยาชะรัด

๖.๕ นักเรียนกลุ่มท่ี ๕ ประกอบด้วย
๖.๕.๑ นางนริ ุสมีนี เจ๊ะหลง
๖.๕.๒ นางสาวนาซอฟะ เปาะอีแต

๖.๖ นกั เรียนกลุ่มที่ ๖ ประกอบดว้ ย
๖.๖.๑ นางสาวใสนะ เจะโกะ
๖.๖.๒ นางรอฮีมะ๊ ดือมานิ๊

หนา้ ท่ี ดำเนนิ การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนตามแผนการดำเนินงาน และดำเนนิ การทดสอบการอา่ น การเขียน

๗. คณะกรรมการฝา่ ยบันทึกภาพ ประกอบด้วย

๗.๑ นายอามนี หะแว ครู คศ. ๒ ประธานกรรมการ

๗.๒ นางสาวพาตเี มาะ เส็ง ครพู ี่เลย้ี งเด็กพิการ กรรมการ

๗.๓ นางสาววันฟาตมี ะห์ หะยีสาแม็ง พนกั งานราชการ กรรมการ

๗.๔ นายยสุ รอน เจะนุ๊ ธรุ การฯ กรรมการและเลขานุการ

หน้าที่ บนั ทกึ ภาพ รวบรวมภาพ และรายงานผลการดำเนินงานผ่านเว็ปไซต์โรงเรยี น

๔. คณะกรรมการฝา่ ยประเมินผลและสรุปผล

๔.๑ นางสาวรอฮีม๊ะ ดือมาน๊ิ ครู คศ. ๒ ประธานกรรมการ

/๔.๒ นายนุสลัน สือแม

๔.๒ นายนสุ ลัน สอื แม ครู คศ. ๒ รองประธานกรรมการ

๔.๓ นางสาวลีนา กอและ ครู คศ. ๒ กรรมการ

๔.๔ นางสาวอีมาน สาหาด ครู คศ. ๓ กรรมการและเลขานุการ

หนา้ ที่ ดำเนนิ การจดั ทำแบบทดสอบการอา่ น การเขยี น ประเมินผล สรปุ ผลและรายงานผลการดำเนินงานต่อ

ผู้อำนวยการโรงเรยี น

ขอให้ครแู ละบุคลากรทางการศึกษาท่ีไดร้ ับคำส่ังแต่งตั้ง ปฏบิ ัตหิ น้าที่ด้วยความรบั ผิดชอบ เพ่ือให้
บรรลุผลตามวตั ถุประสงค์ มปี ระสิทธิภาพ ประสิทธิผลสงู สุดต่อนกั เรยี น และเป็นประโยชน์สูงสดุ ตอ่ สถานศึกษา

ทงั้ นตี้ งั้ แต่วนั ที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๔

สั่ง ณ วันที่ ๓๑ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๖๔

(นายมาหามะ สะหะเมา๊ ะ)
ผอู้ ำนวยการโรงเรียนชมุ ชนบ้านปาแดปาลสั

คำส่งั โรงเรียนชุมชนบา้ นปาแดปาลัส
ที่ ๔๖ / ๒๕๖๔

เร่ือง แต่งตงั้ ผเู้ ช่ียวชาญเพ่อื ตรวจสอบเคร่อื งมือนวตั กรรมการจัดการเรียนรโู้ ดยใช้โมเดล CARES U เพอื่
พฒั นาการอา่ นออกเขียนได้ อา่ นคลอ่ งเขยี นคล่องของนักเรยี น ปีการศกึ ษา ๒๕๖๔
....................................................................
ด้วยโรงเรียนชุมชนบ้านปาแดปาลัสได้ดำเนินการจัดทำนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ภายใต้โครงการ

Innovation For Thai Education (IFTE) นวัตกรรมการศึกษาเพื่อพัฒนาการศึกษาของสำนักงานศึกษาธิการ
จงั หวดั ปัตตานี เพ่ือพัฒนาทักษะการอ่านเขียนภาษาไทยของนักเรยี นโดยกำหนดให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
๑ – ๓ ต้องอ่านออกเขยี นได้ และนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๔ – ๖ ต้องอา่ นคล่องเขียนคลอ่ ง ดังนัน้ โรงเรยี น
ชุมชนบา้ นปาแดปาลัสจงึ ริเริ่มสร้างนวตั กรรมด้านการจัดการเรยี นรู้

เพอื่ ใหก้ ารดำเนนิ การจัดทำนวตั กรรมการจัดการเรียนรโู้ ดยใช้โมเดล CARES U เพอื่ พฒั นาการอ่าน
ออกเขียนได้ อ่านคล่องเขียนคล่องของนักเรียน ปีการศึกษา ๒๕๖๔ เป็นไปตามวัตถุประสงค์จึงขอแต่งต้ัง
คณะกรรมการดำเนนิ งาน ดงั ตอ่ ไปนี้

๑. คณะผ้เู ชียวชาญสำหรับตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือนวัตกรรม ประกอบด้วย

๑.๑ นายมาหามะ สะหะเมา๊ ะ ผอู้ ำนวยการ ประธานกรรมการ

๑.๒ นางสาวอมี าน สาหาด ครู คศ. ๓ กรรมการ

๑.๓ นางนริ วรรณา ยาชะรัด ครู คศ. ๓ กรรมการและเลขานุการ

มีหน้าที่ ให้คำแนะนำ ข้อเสนอแนะและตรวจสอบคณุ ภาพของแบบหัดอา่ นภาษาไทย แบบทดสอบวดั
ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนและแบบประเมนิ ความพึงพอใจของนกั เรียน

ขอให้ครแู ละบุคลากรทางการศึกษาท่ีได้รับคำส่ังแต่งต้ัง ปฏบิ ัติหน้าทด่ี ้วยความรับผิดชอบ เพ่ือให้บรรลุ
ตามวัตถุประสงค์ มปี ระสิทธิภาพ ประสทิ ธิผลสงู สดุ ตอ่ นกั เรยี น และเป็นประโยชน์สงู สดุ ตอ่ สถานศึกษา

ทงั้ นี้ตง้ั แตว่ ันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๔

สงั่ ณ วนั ท่ี ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๔

(นายมาหามะ สะหะเมา๊ ะ)
ผ้อู ำนวยการโรงเรยี นชุมชนบ้านปาแดปาลสั

ภาคผนวก ข

แบบหัดอ่านภาษาไทย

30

31

ภาคผนวก ค

แผนการสอนซอ่ มเสริม

33

แผนการสอนซอ่ มเสริม

กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย กลมุ่ ที่ ๔

เล่มที่ ๔ มาตราตวั สะกด (ไมต่ รงมาตรา) เวลาเรียน ๓๐ ชั่วโมง

แผนการสอนที่ ๑ การอา่ นและเขียนสะกดคำแม่กก เวลา ๑ ชั่วโมง

………………………………………………………………………………………………………………………………………….

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
๑. นกั เรียนสามารถอา่ นและเขยี นคำมาตราตวั สะกดแม่กกได้ถกู ต้อง
๒. นักเรียนสามารถบอกความหมายของคำได้ถูกต้อง

สาระการเรียนรู้
๑. การอ่านและการเขยี นคำมาตราตัวสะกดแม่กก เช่นคำวา่ ปกี , ราก, ตกึ , ผัก, ครก, หมวก,

เค้ก, เลข, โรค, เมฆ เป็นต้น
๒. การบอกความหมายของคำมาตราตวั สะกดแม่กก

กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขัน้ นำเขา้ สูบ่ ทเรยี น
1. ครทู ักทายนักเรียน
2. แจ้งจุดประสงคก์ ารเรียนรู้
๓. ครูจดั กลุ่มคำออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มท่ี 1 ได้แก่ นก เคก้ หมวก และ กลมุ่ ท่ี 2 ไดแ้ ก่ เลข

เมฆ จากนนั้ ครสู นทนาซักถามนกั เรียนวา่ “คำในกลมุ่ ท่ี 1 มีอะไรท่ีเหมอื นกัน” (ตวั สะกดเหมอื นกัน) และ
“คำในกลุม่ ท่ี 2 มีอะไรท่เี หมือนกัน” (อ่านออกเสยี ง ก สะกด เหมอื นกนั แต่ตัวสะกดเป็นตวั อนื่ )

ขนั้ สอน
1. นักเรียนอา่ นใบความรมู้ าตราตวั สะกด เรอื่ ง มาตราแม่กก จากแบบหัดอา่ น เล่ม ๔
2. ครนู ำบตั รคำมาตราตัวสะกดแม่กก จากแบบหัดอ่าน เล่ม ๔ เช่นคำว่า ปีก, ราก, ตึก,
เชือก, ผัก, นก, ครก, พริก, หมวก, เค้ก ให้นักเรียนอ่านออกเสียงคำพร้อมกัน และสังเกตว่า “คำที่อ่านมี
อะไรเหมือนกัน” (มี ก เปน็ ตวั สะกดเหมอื นกนั )
๓. ครูนำบัตรคำมาตราตัวสะกดแม่กก จากแบบหัดอ่าน เล่ม ๔ เช่นคำว่า เลข, โรค,เมฆ, สุนัข, โชคดี,
สุข, ภาคใต้, พญานาค, ประมุข, สามัคคี ให้นักเรียนอ่านออกเสียงคำพร้อมกัน และสังเกตว่า “คำท่ีอ่านมี
อะไรเหมือนกัน” (อ่านออกเสียง ก สะกดเหมือนกนั แต่ตวั สะกดเป็นตวั อนื่ )
๔. ครูอธิบายเกี่ยวกับมาตราตัวสะกดแม่กก ว่าเป็นคำท่ีมี ก เป็นตัวสะกด และคำที่มีเสียงเหมือน ก
เป็นตัวสะกด ได้แก่ คำที่สะกดด้วย ข, ค และ ฆ เช่นคำว่า ปีก, ราก, ตึก, ผัก, ครก, หมวก, เค้ก, เลข, โรค, เมฆ
เปน็ ตน้
๕. นักเรยี นฝกึ อา่ นคำจากแบบหดั อ่าน เลม่ ๔ พร้อมกัน
๖. นกั เรียนเขียนตามคำบอก โดยเขยี นลงในสมุด
๗. นกั เรียนนำสง่ ครูเพื่อตรวจความถูกตอ้ ง จากนัน้ ให้นักเรียนแก้ไขข้อท่ผี ดิ
ข้นั สรปุ
1. นักเรียนรว่ มกนั ยกตวั อย่างคำมาตราแม่กก คนละ 1 คำ แล้วเฉลยร่วมกัน

34

ส่อื /นวตั กรรม
๑. แบบหดั อา่ น เล่ม ๔
๒. Google Meet
๓. Line
๔. You tube
๕. แบบทดสอบการอา่ น
๖. แบบทดสอบการเขยี น

การวัดและประเมินผล

วธิ ีการวัดและประเมินผล เครือ่ งมือวัดผลและประเมินผล เกณฑ์ในการวดั ผล
- ทดสอบการอา่ น - แบบทดสอบการอา่ น และประเมนิ ผล

- ทดสอบการเขียน - แบบทดสอบการเขยี น - อ่านถูก ได้ ๑ คะแนน
- อา่ นผดิ ได้ ๐ คะแนน

- เขียนถูก ได้ ๑ คะแนน
- เขยี นผิด ได้ ๐ คะแนน

ข้อเสนอแนะ/ความคดิ เหน็ ของผู้บรหิ าร

............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ..........................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. ...............................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................................................................

ลงชือ่ ................................................
(นายมาหามะ สะหะเมา๊ ะ)

ผอู้ ำนวยการโรงเรียนชุมชนบา้ นปาแดปาลัส

35

บันทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้
๑. ผลการจดั การเรยี นรู้

............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
.........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
.........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................

๒. ปัญหาและอุปสรรค
............................................................................................................................. ................................................
.......................................................................................................................................................... ...................
............................................................................................................... ..............................................................
............................................................................................................................. ................................................
................................................................................................................................................ .............................
..................................................................................................... ........................................................................
............................................................................................................................. ................................................

๑ แนวทางแก้ไข
............................................................................................................................. ................................................
.............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................. ................................................
.............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................

ลงช่อื ..........................................ครผู ู้สอน
(................................................)
ครูโรงเรียนชมุ ชนบ้านปาแดปาลัส

36

แผนการสอนซอ่ มเสริม

กล่มุ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย กลุ่มท่ี 5

หนว่ ยที่ ๗ การผันวรรณยุกต์ เวลา ๑๐ ชว่ั โมง

แผนการสอนท่ี ๒ การผนั วรรณยกุ ต์อกั ษรกลาง เวลา ๑ ชัว่ โมง

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

๑. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

นักเรยี นสามารถผนั วรรณยุกต์อกั ษรกลางไดถ้ ูกตอ้ ง

๒. สาระการเรียนรู้

การผันวรรณยุกต์อักษรกลาง

๓. กจิ กรรมการเรียนรู้

ขัน้ นำเขา้ สูบ่ ทเรยี น

๑. กิจกรรมเกมอักษรกลาง โดยใหน้ กั เรยี นตตี วั ตนุ่ ใน Wordwall ที่เปน็ อกั ษรกลาง

ขั้นสอน
๑. ทบทวนอักษรกลาง มีตวั อะไรบ้าง กี่ตวั พร้อมใหน้ กั เรยี นฝกึ อ่าน

๒. ครเู ปิดสอื่ การสอน เร่ือง หลักการผันวรรณยุกต์อักษรกลาง โดยอธิบายเพม่ิ หลกั การผันวรรณยกุ ต์
อักษรกลาง ผนั ได้ ๕ เสียง รปู และเสียงวรรณยุกต์ตรงกัน

37

๓. ฝกึ อ่านคำจากภาพ ในส่ือการสอน ดงั น้ี

๔. เม่ือนักเรยี นเข้าใจแล้ว ใหน้ กั เรียนเขียนตารางและคำท่ีกำหนดใหต้ อ่ ไปนล้ี งในสมุด นำคำแตล่ ะ
ข้อเขียนลงในช่องเสยี งวรรณยุกต์ใหถ้ ูกต้อง และให้นักเรยี นอา่ นพร้อมกันและอ่านทีละคน

คำ เสยี งวรรณยกุ ต์
สามัญ เอก โท ตรี จัตวา

ดาว

ไก่

ได้

ปู่

จาน

38

๕. ให้นกั เรยี นทำแบบทดสอบเขียนตามคำบอก ๑๐ คำ ไดแ้ ก่ กาง แป้ง อุม้ ดนิ ไต่ โอง่ ต้ม ป๋ยุ
ก้อน โอย๊ พร้อมอา่ นใหถ้ ูกต้อง
ขัน้ สรุป

๑. นกั เรยี นรว่ มกนั ยกตวั อยา่ งคำทีผ่ นั วรรณยกุ ตอ์ ักษรกลาง คนละ 1 คำ แลว้ เฉลยรว่ มกัน

๔. ส่อื /นวัตกรรม
๗. แบบหดั อ่าน เล่ม ๕
๘. Google Meet
๙. Line
๑๐.You tube
๑๑.แบบทดสอบการอา่ น
๑๒.แบบทดสอบการเขยี น

๕. การวัดและประเมินผล เคร่ืองมือวัดผลและประเมินผล เกณฑ์ในการวัดผล
วธิ ีการวัดและประเมินผล - แบบทดสอบการอ่าน และประเมนิ ผล

- ทดสอบการอา่ น - แบบทดสอบการเขยี น - อา่ นถกู ได้ ๑ คะแนน
- ทดสอบการเขยี น - อา่ นผิด ได้ ๐ คะแนน

- เขียนถกู ได้ ๑ คะแนน
- เขยี นผดิ ได้ ๐ คะแนน

ข้อเสนอแนะ/ความคิดเหน็ ของผบู้ รหิ าร

............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ..........................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. ...............................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................................................................

ลงช่ือ................................................
(นายมาหามะ สะหะเมา๊ ะ)

ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นชมุ ชนบา้ นปาแดปาลัส

39

บันทกึ ผลหลังการจดั การเรยี นรู้

๑. ผลการจดั การเรียนรู้

............................................................................................................................. .................................................
.................................................................................. ............................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
.........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................. .................................................
..............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................................
............................................................................................................................. .................................................
.........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................

๒. ปญั หาและอปุ สรรค
............................................................................................................................. ................................................
.......................................................................................................................................................... ...................
............................................................................................................... ..............................................................
............................................................................................................................. ................................................
................................................................................................................................................ .............................
..................................................................................................... ........................................................................

๓. แนวทางแก้ไข
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................. ................................................
.............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................. ................................................
............................................................................................................................. ................................................

ลงชื่อ..........................................ครูผสู้ อน
(................................................)
ครโู รงเรียนชมุ ชนบา้ นปาแดปาลสั

ภาคผนวก ง

แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น

ภาคผนวก จ

ผลการตรวจสอบคุณภาพเครอ่ื งมือ

62

ผลหาคุณภาพของแบบหดั อ่านภาษาไทยสำหรบั นวตั การมการจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ มเดล CARES

ตารางที่ 3 แสดงผลความคิดเห็นของผู้เชียวชาญที่มีต่อแบบหัดอ่านภาษาไทยสำหรับนวัตการมการจัด
การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ มเดล CARES

ที่ รายการประเมนิ คณุ ภาพ ผู้เช่ียวชาญคนที่ ̅ ระดบั ความ
123 เหมาะสม
1 รปู เลม่ ของแบบฝึกเสริมทกั ษะ 4.67 0.58 เหมาะสมมากที่สุด
สวยงาม น่าสนใจ 545 เหมาะสมมากที่สุด
เหมาะสมมาก
2 ภาพประกอบมสี ีสนั สวยงาม ชัดเจน 5 5 4 4.67 0.58 เหมาะสมมากทส่ี ุด
และเหมาะสม เหมาะสมมากทส่ี ุด
เหมาะสมมากทส่ี ุด
3 พิมพ์และจัดรูปแบบถูกต้องตามหลัก 4 4 5 4.33 0.58 เหมาะสมมาก
เอกสารวิชาการ เหมาะสมมาก
เหมาะสมมากทส่ี ุด
4 ขนาดของตวั อักษรมีความเหมาะสม 5 5 5 5.00 0.00 เหมาะสมมากทส่ี ุด
กบั นกั เรยี น
เหมาะสมมากทีส่ ดุ
5 นา่ สนใจและเป็นประโยชนต์ อ่ 5 5 4 4.67 0.58
นักเรยี น

6 จัดเรยี งลำดบั เน้ือหาและแบบฝกึ หดั 4 5 5 4.67 0.58
จากงา่ ยไปยาก

7 คำแนะนำสำหรบั ครแู ละนักเรียน 5 4 4 4.33 0.58
ชัดเจนและเขา้ ใจง่าย

8 คำศัพท์และประโยคเหมาะสมกับ 4 4 5 4.33 0.58
ระดับชนั้ ของนกั เรยี น

9 ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านภาษาไทย 5 4 5 4.67 0.58
ของนักเรยี นให้ดขี ้นึ

10 เปน็ สอ่ื การสอนใหน้ กั เรยี นฝกึ อ่าน 4 5 5 4.67 0.58
คำศัพท์ภาษาไทยไดง้ ่าย
46 45 47
คะแนนรวม 4.60 4.50 4.70 4.60 0.50

คะแนนเฉลีย่

63

ผลหาคณุ ภาพของแผนการสอนซอ่ มเสรมิ สำหรับนวัตการมการจัดการเรยี นร้โู ดยใชโ้ มเดล CARES

ตารางที่ 4 แสดงผลความคิดเห็นของผู้เชียวชาญที่มีต่อแผนการสอนซ่อมเสริมสำหรับนวัตการมการจัด
การเรียนร้โู ดยใช้โมเดล CARES

ท่ี รายการประเมนิ คุณภาพ ผเู้ ชีย่ วชาญคนท่ี ระดบั ความ
เหมาะสม
1 2 3 ̅

1 ระบจุ ุดประสงค์เชงิ พฤติกรรมได้ 4 4 5 4.33 0.58 เหมาะสมมาก
ชัดเจน เข้าใจงา่ ย

2 สาระการเรยี นรเู้ หมาะสมกบั เวลาท่ีใช้ 4 5 4 4.33 0.58 เหมาะสมมาก
ในการจัดการเรียนรู้

3 ลำดับข้ันตอนกจิ กรรมจากงา่ ยไปยาก 5 5 5 5.00 0.00 เหมาะสมมากที่สุด

4 ออกแบบกจิ กรรมการเรียนร้แู บบ 4 5 4 4.33 0.58 เหมาะสมมาก
Active Learning

5 สอ่ื สอดคล้องกับกิจกรรมการเรยี นรู้ 5 4 4 4.33 0.58 เหมาะสมมาก

6 ส่ือสามารถกระตุ้นความสนใจของ 4 4 5 4.33 0.58 เหมาะสมมาก
นกั เรียน

7 สอ่ื สามารถช่วยให้ประหยดั เวลา 4 5 5 4.67 0.58 เหมาะสมมากทส่ี ดุ
ในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

8 การวดั และประเมนิ สอดคลอ้ งกับ 4 4 5 4.33 0.58 เหมาะสมมาก
จุดประสงค์การเรยี นรู้

9 การวัดและประเมินสอดคลอ้ งกบั 4 4 5 4.33 0.58 เหมาะสมมาก
เน้ือหาสาระการเรียนรู้

10 เครื่องมอื และเกณฑ์การวัดมคี วาม 5 5 4 4.67 0.58 เหมาะสมมากทส่ี ุด
เหมาะสม

คะแนนรวม 43 45 46

คะแนนเฉล่ีย 4.30 4.50 4.60 4.47 0.52 เหมาะสมมาก

64

ตารางที่ 5 แสดงผลดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์การเรียนรู้ของแบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นสำหรับนกั เรยี นกล่มุ ที่ 1 - 6

ขอ้ ที่ ผ้เู ชี่ยวชาญคนที่ ผลรวม ค่าเฉลย่ี สรุปผล ข้อที่ ผู้เชย่ี วชาญคนที่ ผลรวม คา่ เฉลีย่ สรุปผล
123 ของ (IOC) 123 ของ (IOC)
คะแนน ใช้ได้ คะแนน ใช้ได้
ใช้ได้ ใช้ได้
แบบทดสอบสำหรับนกั เรยี นกลมุ่ ที่ 1 ใชไ้ ด้ 30 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้
ใชไ้ ด้ ใช้ได้
1 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้ 31 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้
ใชไ้ ด้ ใช้ได้
2 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้ 32 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้
ใชไ้ ด้ ใช้ได้
3 +1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้ 33 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
ใช้ได้ ใช้ได้
4 +1 0 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้ 34 +1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้
ใชไ้ ด้ ใช้ได้
5 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 35 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้
ใช้ได้ ใชไ้ ด้
6 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้ 36 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้ ใชไ้ ด้
7 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้ 37 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้
ใช้ได้ ใชไ้ ด้
8 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้ 38 0 +1 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้ ใชไ้ ด้
9 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 39 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้
ใช้ได้ ใชไ้ ด้
10 +1 +1 +1 3 1 ใชไ้ ด้ 40 0 +1 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้
ใชไ้ ด้ ใชไ้ ด้
11 +1 0 +1 2 1 ใชไ้ ด้ แบบทดสอบสำหรบั นกั เรียนกลมุ่ ที่ 2 ใชไ้ ด้
ใช้ได้ ใชไ้ ด้
12 0 +1 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้ 1 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้
ใชไ้ ด้ ใช้ได้
13 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 2 +1 0 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้
ใช้ได้ ใช้ได้
14 1 0 +1 2 0.67 3 0 +1 +1 2 0.67

15 +1 +1 +1 3 1 4 0 +1 +1 2 0.67

16 +1 +1 +1 3 1 5 0 +1 +1 2 0.67

17 0 +1 +1 2 0.67 6 +1 +1 +1 3 1.00

18 +1 +1 +1 3 1 7 +1 0 +1 2 0.67

19 +1 +1 +1 3 1 8 +1 +1 +1 3 1.00

20 0 +1 +1 2 0.67 9 +1 +1 +1 3 1.00

21 +1 +1 +1 3 1 10 +1 0 +1 2 0.67

22 +1 +1 +1 3 1 11 +1 +1 +1 3 1.00

23 +1 +1 +1 3 1 12 0 +1 +1 2 0.67

24 +1 +1 0 2 0.67 13 +1 +1 +1 3 1.00

25 +1 +1 +1 3 1 14 +1 +1 +1 3 1.00

26 +1 +1 +1 3 1 15 +1 +1 +1 3 1.00

27 +1 +1 +1 3 1 16 +1 +1 +1 3 1.00

28 0 +1 +1 2 0.67 17 0 +1 +1 2 0.67

29 +1 0 +1 2 0.67 18 +1 +1 +1 3 1.00

65

ตารางที่ 5 แสดงผลดัชนีความสอดคล้อง(IOC) ระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์การเรียนรู้ของแบบทดสอบ
วดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนสำหรับนักเรยี นกลมุ่ ท่ี 1 – 6 (ตอ่ )

ข้อท่ี ผเู้ ช่ยี วชาญคนที่ ผลรวม ค่าเฉลี่ย สรปุ ผล ขอ้ ท่ี ผูเ้ ชย่ี วชาญคนท่ี ผลรวม ค่าเฉลี่ย สรุปผล
123 ของ (IOC) 123 ของ (IOC)
คะแนน คะแนน

19 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้ 6 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้

20 0 +1 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้ 7 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้

21 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้ 8 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้

22 +1 +1 0 2 0.67 ใชไ้ ด้ 9 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้

23 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 10 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้

24 +1 +1 0 2 0.67 ใช้ได้ 11 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้

25 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้ 12 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้

26 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้ 13 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้

27 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 14 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้

28 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 15 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้

29 +1 0 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้ 16 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้

30 0 +1 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้ 17 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้

31 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 18 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้

32 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 19 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้

33 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้ 20 0 +1 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้

34 +1 +1 0 2 0.67 ใชไ้ ด้ 21 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้

35 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 22 0 +1 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้

36 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้ 23 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้

37 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 24 +1 0 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้

38 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 25 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้

39 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 26 +1 +1 0 2 0.67 ใชไ้ ด้

40 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 27 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้

แบบทดสอบสำหรับนกั เรยี นกล่มุ ท่ี 3 ใช้ได้ 28 0 +1 1 2 0.67 ใชไ้ ด้

1 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้ 29 +1 0 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้

2 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้ 30 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้

3 0 +1 +1 2 0.67 ใช้ได้ 31 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้

4 0 +1 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้ 32 0 +1 +1 2 0.67 ใชไ้ ด้

5 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 33 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้


Click to View FlipBook Version