The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปีที่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ

ปีที่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564

วารสารวชิ าการนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ
Journal of Law,Thaksin University

ปีที่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
ทปี่ รึกษา คณบดีคณะนิตศิ าสตร์ (รองศาสตราจารย์ ดร.กรกฎ ทองขะโชค)
รองคณบดีคณะนิตศิ าสตร์ (ผชู้ ่วยศาสตราจารย์กฤษฎา อภนิ วถาวรกลุ )
บรรณาธกิ ารประจ�ำฉบับ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยศ์ ภุ วรี ์ เกลยี้ งจนั ทร์ รองคณบดคี ณะนติ ศิ าสตร์
กองบรรณาธกิ าร ศาสตราจารย์ ดร.สมคดิ เลศิ ไพฑูรย์
ศาสตราจารย์ ดร.จุมพต สายสนุ ทร
ศาสตราจารย์ ดร.ทวีเกยี รต์ิ มนี ะกนษิ ฐ์
ศาสตราจารยม์ าลี พฤษพงศาวลี
รองศาสตราจารย์ ดร.กิตพิ งศ์ หังสพฤกษ์
รองศาสตราจารย์ ดร.พันธท์ุ พิ ย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
ศาสตราจารยพ์ รชัย สุนทรพันธ์
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.อคั คกร ไชยพงศ์
อาจารย์ ดร.อุกฤษฏ์ มุสกิ พนั ธ์ุ
อาจารย์ ดร.จนั ทราทพิ ย์ สขุ มุ
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ธนากร โกมลวานิช
ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารยอ์ านนท์ ศรีบญุ โรจน์
อาจารยน์ ฤมล ฐานสิ โร
กองจัดการ นางชาโลมา กองสวัสดิ์
นายอนุชา ขนุ แกว้
นายวรี ะ ชุมช่วย
สถานทีต่ ดิ ต่อ กองบรรณาธกิ ารวารสารวชิ าการนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ
คณะนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ วิทยาเขตสงขลา
140 ม.4 ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลา 90000
โทร. 074 -317687 โทรสาร. 074-317686

วัตถุประสงค ์ วารสารวชิ าการนติ ศิ าสตรเ์ ปน็ วารสารวชิ าการรายปี (1 ฉบบั ตอ่ ป)ี
ของคณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ ทจ่ี ดั ท�ำข้นึ เพ่อื สง่ เสรมิ
สนับสนุนให้คณาจารย์ บุคลากร นิสิตของมหาวิทยาลัยทักษิณ
และนกั วชิ าการทว่ั ไป ไดม้ โี อกาสเสนอผลงานวชิ าการเพอื่ เผยแพร่
และแลกเปลี่ยนวิทยาการอันเป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคมและ
ประเทศชาติ
ก�ำหนดออก ปลี ะ 1 ฉบับ (กรกฎาคม - มิถุนายน)
จำ� นวนพมิ พ ์ 300 ฉบบั
การเผยแพร ่ มอบเป็นอภินันทนาการแก่ห้องสมุดหน่วยงานรัฐและเอกชน
สถาบนั การศกึ ษา



บทบรรณาธกิ าร

วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ฉบบั นเ้ี ป็นปีท่ี 9 ฉบับท่ี 11
(เดอื นกรกฎาคม 2563 – มถิ ุนายน 2564) ซึง่ มีบทความวชิ าการทางดา้ นนิติศาสตร์
ที่มีเนื้อหาหลากหลายน่าสนใจจ�ำนวน 7 เรื่องจากผู้เขียนที่มีความหลากหลาย
เช่นกัน อันประกอบไปด้วยบทความวิชาการทางด้านกฎหมายมหาชนเร่ือง
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กับ
องค์กรอัยการ เกณฑ์การวินิจฉัยความเป็นสัญญาทางปกครอง ศึกษาเฉพาะกรณี
สญั ญาเขา้ รว่ มจดั ทำ� บรกิ ารสาธารณะและสญั ญาใหเ้ อกสทิ ธแ์ิ กฝ่ า่ ยปกครอง ทางดา้ น
กฎหมายระหวา่ งประเทศเปน็ บทความวชิ าการเรอ่ื งพธิ สี ารวา่ ดว้ ยกลไกระงบั ขอ้ พพิ าท
ของอาเซียน 2004 และข้อพิจารณาบางประการ ข้อพิจารณาในการเข้าเป็นภาคี
แหง่ อนสุ ญั ญาระหวา่ งประเทศวา่ ดว้ ยกฎเกณฑก์ ารลา่ วาฬ ค.ศ. 1946 ของประเทศไทย
ทางด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเร่ืองการวิจัยเกี่ยวกับการกระท�ำความผิด
ของเด็กและเยาวชนในประเทศไทย เปรียบเทียบหลักเกณฑ์ทางกฎหมายกับ
มลรัฐอินเดียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ความเหล่ือมล้�ำในกระบวนการยุติธรรม
เก่ียวกับคดีทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในประเทศไทย และสุดท้าย
เป็นบทความวิชาการทางด้านกฎหมายแพ่งเรื่องปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมาย
ทเี่ กดิ จากสญั ญาขายฝากอสงั หารมิ ทรพั ย์ ในฐานะบรรณาธกิ าร ขา้ พเจา้ หวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ
ว่าบทความในวารสารฉบับนี้จะเป็นส่ือในการให้บริการวิชาการของคณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยทักษิณ และเป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าของประชาชนท่ัวไป
นักเรยี น นกั ศกึ ษา นักวชิ าการตลอดท้ังผปู้ ฏบิ ัตบิ งั คับใชก้ ฎหมาย

สุดท้าย ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณผู้เขียนทุกท่านทั้งภายในและภายนอก
หนว่ ยงานท่ใี ห้ความสนใจสง่ บทความตีพิมพใ์ นฉบบั นี้

ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ศุภวีร์ เกล้ียงจนั ทร์
บรรณาธกิ ารประจำ� ฉบบั



สารบัญ

ความสมั พนั ธ์ระหว่างรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย
พทุ ธศักราช 2560 กับองค์กรอัยการ
รวนิ ท์ ชยั ภวิ ตั รภกั ด.ี .............................................................................................1
พิธีสารว่าดว้ ยกลไกการระงบั ข้อพพิ าทของอาเซียน 2004
และข้อพจิ ารณาบางประการ
ธรี ยทุ ธ ปกั ษา.......................................................................................................19
ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายที่เกิดจากสญั ญาขายฝาก
อสังหาริมทรัพย์
ประทปี ทับอัตตานนท์.......................................................................................43
การวิจยั เกยี่ วกบั การกระท�ำความผดิ ของเดก็ และเยาวชนในประเทศไทย :
เปรยี บเทยี บหลักเกณฑ์ทางกฎหมายกับมลรฐั อินเดยี นา
ประเทศสหรัฐอเมรกิ า
ปพนธรี ์ ธรี ะพนั ธ.์ ...............................................................................................59
ความเหล่ือมล�ำ้ ในกระบวนการยตุ ิธรรมเกีย่ วกบั คดที รพั ยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย
จดิ าภา พรยง่ิ และ รญิ ญาภทั ร์ ณ สงขลา.............................................................71
ขอ้ พิจารณาในการเข้าเปน็ ภาคีแห่งอนุสญั ญาระหว่างประเทศ
วา่ ดว้ ยกฎเกณฑก์ ารล่าวาฬ ค.ศ.1946 ของประเทศไทย
กำ� แพง ลอ้ มเมอื ง................................................................................................91

สารบญั (ตอ่ )

เกณฑ์การวนิ จิ ฉัยความเปน็ สัญญาทางปกครอง :
ศกึ ษาเฉพาะกรณีสญั ญาเข้าร่วมจัดท�ำบริการสาธารณะ
และสญั ญาใหเ้ อกสิทธ์แิ ก่ฝา่ ยปกครอง
เดชา สนิ ธเุ พช็ ร.์ ..................................................................................................121

ความสัมพนั ธ์ระหว่างรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย
พุทธศกั ราช 2560 กับองคก์ รอัยการ

Relations between the Constitution of the Kingdom of
Thailand B.E. 2560 with the public prosecution
organization

รวนิ ท์ ชัยภิวตั รภกั ด1ี
Rawin Chaipiwatpakdee1
Received : April 30, 2020

Revised : June 26, 2020
August 31, 2020

Accepted : September 18, 2020

1 ผูช้ ว่ ยเลขานุการรองอัยการสงู สดุ , อัยการประจ�ำสำ� นกั งานอัยการสงู สดุ กรุงเทพฯ 10210
1 Assistant Secretary to the Deputy Attorney General, Public Prosecutor attached to the Office of the
Attorney General, 10210, Thailand.

วารสารวชิ าการนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ 1

ปีที่ 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564

บทคัดย่อ

รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2560 แบง่ ออกเปน็ 16 หมวด
กับอกี 1 บทเฉพาะกาล ซ่ึงบทบญั ญตั ขิ ององคก์ รอัยการถูกก�ำหนดไว้ในหมวดท่ี 13
มาตรา 248 โดยบญั ญตั ถิ งึ หนา้ ทแ่ี ละอำ� นาจขององคก์ รอยั การ อสิ ระในการพจิ ารณา
ส่ังคดี และการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการ กับท้ังการบริหารงานบุคคล
การงบประมาณ และการด�ำเนินการอื่นขององค์กรอัยการ รวมทั้งมาตรการป้องกัน
มใิ หพ้ นกั งานอยั การกระทำ� หรอื ดำ� รงตำ� แหนง่ อนั อาจมผี ลในการสง่ั คดหี รอื การปฏบิ ตั ิ
หนา้ ที่ หรืออาจทำ� ใหม้ ีการขัดกันแห่งผลประโยชน์
ค�ำส�ำคัญ : รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 248
องค์กรอยั การ สำ� นกั งานอยั การสงู สดุ

Abstract

The Constitution of the Kingdom of Thailand B.E. 2560 is divided into 16
Chapter and 1 Transitory provisions, which the provisions of the public
prosecution organization are set out in Chapter 13, Section 248, which provides
duties and powers of the public prosecution organization, independent in
trial order and the performance of duties of the public prosecutor, with both
human resource management, budgeting, and other operations of the public
prosecution organization, including measures to prevent the public prosecutor
from acting or holding a position that may result in the case or performance of
duty or may cause conflicts of interest.
Keyword : The Constitution of the Kingdom of Thailand B.E. 2560 Section 248,
The public prosecution organization, The office of the Attorney General

2 วารสารวชิ าการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ

ปีท่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

บทนำ�

องคก์ รอยั การถกู สถาปนาขน้ึ อยา่ งเปน็ ทางการครงั้ แรกในประเทศไทยเมอ่ื วนั ที่
1 เมษายน พ.ศ. 2436 ซง่ึ ปจั จุบันน้มี อี ายถุ งึ 127 ปีแล้ว อยา่ งไรกต็ าม อ�ำนาจหนา้ ท่ี
และภารกจิ ขององคก์ รอยั การเพง่ิ จะถกู นำ� มาบญั ญตั ไิ วใ้ นรฐั ธรรมนญู อนั เปน็ กฎหมาย
สงู สดุ ในการปกครองประเทศครงั้ แรกในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช
25502 [1] ตอ่ มาเม่อื มีการประกาศใชร้ ัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช
2560 จึงมีการบัญญัติถึงองค์กรอัยการอีกครั้งหนึ่ง โดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้
ไดแ้ บ่งออกเป็น 16 หมวด กบั อีก 1 บทเฉพาะกาล ซึ่งบทบัญญตั ิเร่ืององค์กรอยั การ
ถกู กำ� หนดไวใ้ นหมวด 13 ซง่ึ มเี พยี งมาตราเดยี ว คอื มาตรา 248 โดยบญั ญตั ไิ วค้ วามวา่

“องคก์ รอยั การมหี นา้ ทแี่ ละอาํ นาจตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นรฐั ธรรมนญู และกฎหมาย

พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาส่ังคดีและการปฏิบัติหน้าท่ีให้เป็น
ไปโดยรวดเร็ว เที่ยงธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง และไม่ให้ถือว่าเป็นคําสั่งทาง
ปกครอง

2 รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2550 มาตรา 255 บญั ญัตวิ ่า
“พนักงานอัยการมีอ�ำนาจหน้าที่ตามท่ีบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้และตามกฎหมายว่าด้วยอ�ำนาจ
และหนา้ ท่ีของพนกั งานอยั การและกฎหมายอน่ื
พนกั งานอัยการมอี ิสระในการพิจารณาสั่งคดแี ละการปฏิบตั หิ นา้ ทใ่ี หเ้ ป็นไปโดยเท่ียงธรรม
การแต่งตั้งและการให้อัยการสูงสุดพ้นจากต�ำแหน่งต้องเป็นไปตามมติของคณะกรรมการอัยการ
และได้รับความเห็นชอบจากวฒุ สิ ภา
ใหป้ ระธานวฒุ ิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแตง่ ตัง้ อัยการสูงสุด
องคก์ รอยั การมหี นว่ ยธรุ การทเี่ ปน็ อสิ ระในการบรหิ ารงานบคุ คล การงบประมาณ และการดำ� เนนิ การอนื่
โดยมีอัยการสูงสุดเปน็ ผบู้ ังคบั บญั ชา ท้ังน้ี ตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ
พนักงานอัยการต้องไม่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐในท�ำนองเดียวกัน เว้นแต่
จะได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอัยการ ท้ังต้องไม่ประกอบอาชีพหรือวิชาชีพ หรือกระท�ำกิจการใด
อันเป็นการกระทบกระเทือนถึงการปฏิบัติหน้าท่ี หรือเส่ือมเสียเกียรติศักดิ์แห่งต�ำแหน่งหน้าท่ีราชการ และ
ต้องไม่เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือที่ปรึกษากฎหมาย หรือด�ำรงต�ำแหน่งอ่ืนใดที่มีลักษณะงานคล้ายคลึง
กันน้ันในห้างหนุ้ ส่วนบรษิ ัท
ให้น�ำบทบัญญัติมาตรา 202 มาใช้บังคบั โดยอนโุ ลม”
ดูรายละเอียดของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กับ
องคก์ รอยั การและพนกั งานอยั การ ไดท้ ี่ อำ� นาจ เนตยสภุ า รวนิ ท์ ชยั ภวิ ตั รภกั ดี และธรี ชั ลมิ ปยารยะ, (2559).
ค�ำอธิบายกฎหมายว่าด้วยองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ, (พิมพ์คร้ังท่ี 6 แก้ไขเพ่ิมเติม). กรุงเทพฯ:
วิญญูชน, น.23-40. ซ่ึงหลักกฎหมายบางประการของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้น�ำมาจากรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้น�ำสาระบางประการจากหนังสือดังกล่าว
ข้างต้นท่ผี ูเ้ ขยี นรว่ มแต่งมาไว้ในบทความน้ดี ว้ ย

วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ 3

ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564

การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดําเนินการอ่ืนขององค์กร
อัยการให้มีความเป็นอิสระ โดยให้มีระบบเงินเดือนและค่าตอบแทนเป็นการเฉพาะ
ตามความเหมาะสมและการบรหิ ารงานบคุ คลเกย่ี วกบั พนกั งานอยั การตอ้ งดาํ เนนิ การ
โดยคณะกรรมการอัยการ ซ่ึงอย่างน้อยต้องประกอบด้วยประธานกรรมการซ่ึงต้อง
ไม่เป็นพนักงานอัยการ และผู้ทรงคุณวุฒิบรรดาที่ได้รับเลือกจากพนักงานอัยการ
ผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบุคคลซึ่งไม่เป็นหรือเคยเป็นพนักงานอัยการ
มากอ่ นสองคน ทัง้ น้ี ตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ิ

กฎหมายตามวรรคสาม ตอ้ งมมี าตรการปอ้ งกนั มใิ หพ้ นกั งานอยั การกระทาํ การ
หรอื ดาํ รงตาํ แหนง่ ใดอนั อาจมผี ลใหก้ ารสงั่ คดหี รอื การปฏบิ ตั หิ นา้ ทไ่ี มเ่ ปน็ ไปตามวรรค
สอง หรอื อาจทาํ ให้มกี ารขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทง้ั น้ี มาตรการดงั กลา่ วต้องกําหนด
ใหช้ ดั แจง้ และใชเ้ ปน็ การทวั่ ไป โดยจะมอบอาํ นาจใหม้ กี ารพจิ ารณาเปน็ กรณๆี ไปมไิ ด”้

เมอื่ พจิ ารณาบทบญั ญตั มิ าตรา 248 แลว้ สามารถแบง่ เนอื้ หาออกเปน็ 4 หวั ขอ้
ดว้ ยกัน ดงั นี้

1. อ�ำนาจและหน้าทขี่ ององค์กรอยั การ

องค์ประกอบขององค์กรอัยการฐ [2] ได้แก่ คณะกรรมการอัยการ (ก.อ.)
อัยการสูงสุด พนักงานอัยการอ่ืน และส�ำนักงานอัยการสูงสุด ตามพระราชบัญญัติ
องคก์ รอยั การและพนกั งานอยั การ พ.ศ. 2553 มาตรา 7 ซงึ่ บญั ญตั วิ า่ “องคก์ รอยั การ
ประกอบดว้ ย ก.อ. อยั การสงู สดุ และพนกั งานอยั การอน่ื โดยมสี ำ� นกั งานอยั การสงู สดุ
เป็นหน่วยธรุ การ”

ดังนน้ั อ�ำนาจและหนา้ ที่ขององคก์ รอัยการ จงึ หมายถึงอ�ำนาจและหน้าทีข่ อง
องค์ประกอบดังกล่าว โดยอ�ำนาจและหน้าที่น้ีเป็นไปตามท่ีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
และกฎหมายต่างๆ ดังน้ี

1.1 อำ� นาจและหน้าที่ขององค์กรอัยการตามทบ่ี ัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
เชน่ อำ� นาจและหนา้ ทขี่ องอยั การสงู สดุ ในการรอ้ งขอใหศ้ าลรฐั ธรรมนญู สงั่ การ
ให้บุคคลเลิกใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พทุ ธศักราช 2560 มาตรา 49 ซงึ่ บัญญัติว่า

4 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ

ปที ่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564

“บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพ่ือล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมไิ ด้

ผู้ใดทราบว่ามีการกระท�ำตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุด
เพ่ือร้องขอใหศ้ าลรฐั ธรรมนญู วินิจฉยั สง่ั การใหเ้ ลิกการกระทำ� ดงั กลา่ วได้

ในกรณที อ่ี ยั การสงู สดุ มคี ำ� สงั่ ไมร่ บั ดำ� เนนิ การตามทรี่ อ้ งขอ หรอื ไมด่ ำ� เนนิ การ
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันท่ีได้รับค�ำร้องขอ ผู้ร้องขอจะย่ืนค�ำร้องโดยตรงต่อศาล
รัฐธรรมนูญกไ็ ด้

การดำ� เนนิ การตามมาตรานไ้ี มก่ ระทบตอ่ การดำ� เนนิ คดอี าญาตอ่ ผกู้ ระทำ� การ
ตามวรรคหนึ่ง”

1.2 อำ� นาจและหนา้ ทขี่ ององคก์ รอยั การตามทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นกฎหมายอน่ื เชน่
1.2.1 อำ� นาจและหนา้ ทข่ี องพนกั งานอยั การตามพระราชบญั ญตั อิ งคก์ ร
อยั การและพนักงานอยั การ พ.ศ. 2553 [3] อาทิ
ก. พนักงานอัยการมีอํานาจและหน้าที่ดําเนินคดีแทนรัฐบาล หน่วยงาน
ของรัฐที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ราชการส่วนกลาง หรือราชการส่วนภูมิภาค
ในคดแี พง่ หรอื คดีปกครอง ซ่ึงพนกั งานอัยการมอี ำ� นาจดำ� เนินคดไี ด้ทง้ั ในศาล หรอื
ในกระบวนการทางอนุญาโตตุลาการทั้งปวง โดยพนักงานอัยการยังคงมีอํานาจ
และหน้าท่ีตามกฎหมายอ่ืนซึ่งบัญญัติว่าเป็นอํานาจและหน้าท่ีของสํานักงานอัยการ
สูงสุดหรือพนักงานอัยการ ตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ
พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (3)
ข. พนกั งานอยั การมอี ํานาจและหนา้ ท่ีแกต้ า่ งแทน ในคดีแพง่ คดปี กครอง
หรือคดีอาญา ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกฟ้องในเร่ืองการท่ีได้กระทําไปตามหน้าที่ หรือ
ในคดีแพ่งหรือคดีอาญาที่ราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดถูกฟ้องในเรื่องการท่ีได้กระทําตามคําส่ัง
ของเจ้าหน้าท่ีของรัฐซึ่งได้สั่งการโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือเข้าร่วมหรือช่วยเหลือ
เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทําการในหน้าที่ราชการ เมื่อพนักงานอัยการเห็นสมควร
พนักงานอัยการจะรับแก้ต่างให้ได้ ตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงาน
อัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (4)

วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ 5

ปีท่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564

ค. พนักงานอัยการมีอํานาจและหน้าท่ีว่าต่างหรือแก้ต่าง ในคดีแพ่ง
คดปี กครอง หรอื กรณมี ีข้อพิพาททต่ี ้องดําเนนิ การทางอนญุ าโตตลุ าการ ท่หี น่วยงาน
ของรฐั ซ่งึ มไิ ดก้ ล่าวใน มาตรา 14 (3) หรือนติ ิบคุ คลซ่ึงมใิ ชห่ น่วยงานของรฐั แต่ไดม้ ี
พระราชบญั ญตั หิ รอื พระราชกฤษฎกี าจดั ตง้ั ขน้ึ เปน็ คกู่ รณแี ละมใิ ชก่ รณที เ่ี ปน็ ขอ้ พพิ าท
กับรัฐบาลหรือระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง เม่ือเห็นสมควรพนักงานอัยการ
จะรบั ว่าตา่ งหรอื แก้ตา่ งให้ได้ ตามพระราชบญั ญตั อิ งคก์ รอยั การและพนกั งานอัยการ
พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (5)

ง. เมอื่ พนกั งานอยั การเหน็ สมควรพนกั งานอยั การมอี าํ นาจเปน็ โจทกฟ์ อ้ งเอง
ในคดีท่ีราษฎรฟ้องเองไม่ได้โดยมีกฎหมายห้าม เช่น คดีอุทลุมหรือคดีท่ีผู้สืบสันดาน
ฟ้องบุพการีของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15623 เป็นต้น
ตามพระราชบัญญัตอิ งคก์ รอยั การและพนักงานอยั การ พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (6)

จ. พนกั งานอยั การมีอ�ำนาจและหนา้ ที่ในการดําเนนิ การตามทีเ่ หน็ สมควร
เกี่ยวกับการบังคับคดีอาญาเฉพาะในส่วนของการยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตาม
คาํ พพิ ากษา ในการนม้ี ใิ หเ้ รยี กคา่ ฤชาธรรมเนยี มจากพนกั งานอยั การ ตามพระราชบญั ญตั ิ
องค์กรอัยการและพนกั งานอยั การ พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (7)

ฉ. กรณีที่มีการผิดสัญญาประกันจําเลย หรือสัญญาประกันรับส่ิงของ
ไปดูแลรักษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พนักงานอัยการ
มีอํานาจและหน้าท่ีดําเนินคดีในการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานั้น ในการนี้มิให้
เรียกค่าฤชาธรรมเนียมจากพนักงานอัยการ ตามพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและ
พนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (8)

1.2.2 อ�ำนาจและหน้าท่ีของพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธี
พจิ ารณาความอาญา

เช่น อ�ำนาจสอบสวนคดีนอกราชอาณาจักรของอัยการสูงสุดหรือ
ผรู้ กั ษาการแทนตามมาตรา 20 การเปน็ โจทกฟ์ อ้ งคดอี าญาตามมาตรา 28 (1) ฟอ้ งคดี
ที่เก่ียวเนื่องกับคดีอาญาตามมาตรา 40 พนักงานอัยการย่ืนฟ้องคดีอาญา
เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายตามมาตรา 43 พนักงานอัยการมีอ�ำนาจ

3 มาตรา 1562 บัญญัติว่า “ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เม่ือผู้น้ันหรือ
ญาติสนิทของผู้นน้ั ร้องขอ อัยการจะยกคดีขึน้ วา่ กล่าวกไ็ ด้”

6 วารสารวชิ าการนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ

ปีที่ 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

ย่นื ค�ำร้องตอ่ ศาลขอหมายขังผู้ตอ้ งหาตามมาตรา 87 วรรคสาม เป็นผู้รอ้ งขอให้ศาล
ปล่อยบุคคลที่ถูกควบคุมหรือขังโดยผิดกฎหมายตามมาตรา 90 เข้าร่วมการ
สอบปากค�ำเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีที่เป็นผู้เสียหายหรือพยานตามมาตรา 133 ทวิ
การดำ� เนนิ การของพนักงานอยั การกรณหี าตวั ผกู้ ระทำ� ความผดิ ไมไ่ ด้ตามมาตรา 141
การด�ำเนินการของพนักงานอัยการกรณีมีตัวผู้กระท�ำความผิดตามมาตรา 142
การสั่งคดีของพนักงานอัยการและการสั่งคดีวิสามัญฆาตกรรมตามมาตรา 143
อ�ำนาจและหน้าท่ีของพนักงานอัยการในคดีที่อาจเปรียบเทียบได้ตามมาตรา 144
อ�ำนาจและหน้าท่ีของพนักงานอัยการในกรณีท่ีมีค�ำส่ังไม่ฟ้องและค�ำสั่งนั้นไม่ใช่ของ
อัยการสูงสุดตามมาตรา 145 ให้แจ้งค�ำส่ังเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีของพนักงานอัยการ
ใหผ้ ตู้ อ้ งหาและผรู้ อ้ งทกุ ขท์ ราบตามมาตรา 146 เปน็ ผรู้ อ้ งขอใหศ้ าลไตส่ วนการชนั สตู ร
พลิกศพตามมาตรา 150 วรรคสาม พนักงานอัยการเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวน
ในการท�ำส�ำนวนการสอบสวนกรณีความตายเกี่ยวข้องกับเจ้าพนักงานตามมาตรา
155/1 พนักงานอัยการต้องส่งส�ำนวนชันสูตรพลิกศพในกรณีท่ีความตายมิได้เป็นผล
แห่งการกระท�ำอาญาไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดตามมาตรา 156 มีอ�ำนาจอุทธรณ์
คดีอาญาต่อศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 193 มีอ�ำนาจฎีกาคัดค้านค�ำพิพากษาหรือ
คำ� ส่ังศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 216 มีอำ� นาจยื่นคำ� ร้องขอสืบกอ่ นฟอ้ งคดตี ามมาตรา
237 ทวิ เป็นต้น

1.2.3 อำ� นาจและหนา้ ทขี่ องพนกั งานอยั การตามประมวลกฎหมายอาญา
เช่น มีอ�ำนาจและหน้าท่ีในเร่ืองการใช้บังคับวิธีการเพ่ือความปลอดภัย
ตามมาตรา 13 ถงึ มาตรา 17 มอี �ำนาจแถลงต่อศาลเพ่อื ให้ศาลเปลี่ยนโทษกกั ขงั เป็น
โทษจ�ำคุกตามมาตรา 27 มีอ�ำนาจฟ้องขอให้กักกันตามมาตรา 4 มีอ�ำนาจเสนอให้
ศาลสั่งให้ท�ำทัณฑ์บนและสั่งให้มีประกันจากผู้จะก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตราย
แก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นหรือจะท�ำการใดให้เกิดความเสียหายแก่ส่ิงแวดล้อม
หรือทรัพยากรธรรมชาตติ ามมาตรา 46 เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้เขียนเห็นว่าส�ำนักงานอัยการสูงสุดควรส่งเสริมบทบาทของพนักงาน
อัยการในการสอบสวนคดีอาญา ให้มีอ�ำนาจและหน้าท่ีเฉกเช่นเดียวกับพนักงาน
อัยการในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศเกาหลีใต้ หรือประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
เน่ืองจากพนักงานอัยการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการด�ำเนินคดีอาญา โดยเฉพาะเร่ือง

วารสารวชิ าการนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ 7

ปีท่ี 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

การชั่งน�้ำหนักพยานหลักฐานท่ีจะน�ำมาเสนอในช้ันศาล ซึ่งแม้ปัจจุบันน้ีพนักงาน
อัยการมีอ�ำนาจสอบสวนคดีอาญาหรือเข้าร่วมการสอบสวนคดีอาญากับพนักงาน
สอบสวนในคดีบางประเภท เช่น คดีนอกราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 204 หรือคดีพิเศษโดยสอบสวนร่วมกับพนักงาน
สอบสวนคดพี เิ ศษ ตามพระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 325
เป็นต้น อย่างไรก็ตาม บทบาทดังกล่าวควรจะเพ่ิมมากขึ้นไปในคดีอาญาท่ีส�ำคัญ
หรือคดีท่ีประชาชนให้ความสนใจแม้ว่าเป็นคดีซึ่งเกิดเหตุในราชอาณาจักรก็ตาม
ทวา่ ปจั จบุ นั นย้ี งั ไมม่ กี ฎหมายรบั รองหรอื ใหอ้ ำ� นาจหนา้ ทดี่ งั กลา่ วแกพ่ นกั งานอยั การ
ส�ำนักงานอัยการสูงสุดอันเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของพนักงานอัยการจึงควรเสนอ
ให้มีการแกไ้ ขกฎหมายใหส้ อดคล้องกับอ�ำนาจและหนา้ ท่นี ี้ รวมทัง้ เผยแพรใ่ หค้ วามรู้
กบั ประชาชนถงึ ประโยชนท์ จี่ ะไดร้ บั หากใหพ้ นกั งานอยั การไดม้ บี ทบาทในการสอบสวน
คดอี าญาเพ่มิ มากขน้ึ

4 มาตรา 20 บญั ญตั วิ า่ “ถา้ ความผดิ ซงึ่ มโี ทษตามกฎหมายไทยไดก้ ระทำ� ลงนอกราชอาณาจกั รไทย ใหอ้ ยั การ
สงู สดุ หรอื ผรู้ กั ษาการแทนเปน็ พนกั งานสอบสวนผรู้ บั ผดิ ชอบหรอื จะมอบหมายหนา้ ทน่ี น้ั ใหพ้ นกั งานอยั การ
หรอื พนักงานสอบสวนคนใดเป็นผ้รู บั ผิดชอบทำ� การสอบสวนแทนก็ได้
ในกรณีที่อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนมอบหมายให้พนักงานสอบสวนคนใดเป็นผู้รับผิดชอบ
ท�ำการสอบสวน อัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนจะมอบหมายให้พนักงานอัยการคนใดท�ำการสอบสวน
รว่ มกบั พนกั งานสอบสวนกไ็ ด้
ให้พนักงานอัยการท่ีได้รับมอบหมายให้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบหรือให้ท�ำการสอบสวน
ร่วมกับพนักงานสอบสวนมีอ�ำนาจและหน้าที่ในการสอบสวนเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน บรรดาอ�ำนาจ
และหน้าทีป่ ระการอ่ืนทก่ี ฎหมายบัญญตั ไิ ว้ใหเ้ ป็นอ�ำนาจและหนา้ ท่ขี องพนกั งานอัยการ
ในกรณีทพ่ี นักงานอัยการทำ� การสอบสวนร่วมกับพนกั งานสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนปฏบิ ัตติ าม
คำ� ส่งั และคำ� แนะน�ำของพนักงานอยั การในเรื่องทเี่ กยี่ วกับการรวบรวมพยานหลักฐาน
ในกรณีจำ� เป็น พนกั งานสอบสวนต่อไปนม้ี อี �ำนาจสอบสวนในระหว่างรอคำ� สั่งจากอัยการสูงสดุ หรือ
ผรู้ ักษาการแทน
(1) พนักงานสอบสวนซงึ่ ผูต้ อ้ งหาถูกจบั ในเขตอำ� นาจ
(2) พนักงานสอบสวนซึ่งรัฐบาลประเทศอ่ืนหรือบุคคลที่ได้รับความเสียหายได้ร้องฟ้องให้ทำ� โทษ
ผู้ต้องหา
เม่ือพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวน แล้วแต่กรณี เห็นว่าการ
สอบสวนเสร็จแล้ว ให้ท�ำความเห็นตามมาตรา 140 มาตรา 141 หรือมาตรา 142 ส่งพร้อมส�ำนวนไปยัง
อยั การสูงสดุ หรือผรู้ กั ษาการแทน”
5 มาตรา 32 บัญญัติว่า “ในกรณีท่ี กคพ. เห็นว่า เพ่ือประสิทธิภาพในการปราบปรามการกระท�ำความผิด
คดีพิเศษ กคพ. จะให้ความเห็นชอบให้คดีพิเศษคดีหนึ่งคดีใดหรือคดีประเภทใดต้องมีพนักงานอัยการหรือ
อยั การทหาร แลว้ แตก่ รณี มาสอบสวนรว่ มกบั พนกั งานสอบสวนคดพี เิ ศษหรอื มาปฏบิ ตั หิ นา้ ทรี่ ว่ มกบั พนกั งาน
สอบสวนคดพี เิ ศษเพอ่ื ใหค้ ำ� แนะนำ� และตรวจสอบพยานหลกั ฐานตงั้ แตช่ นั้ เรมิ่ การสอบสวน แลว้ แตก่ รณี กไ็ ด้
เว้นแต่การสอบสวนคดีพเิ ศษทีม่ ีลักษณะอยา่ งหน่งึ อย่างใดตามมาตรา 21 วรรคหนงึ่ (1) (ค) หรือ (ง) ต้องมี
พนักงานอัยการหรืออัยการทหารมาสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษทุกคดี แล้วแต่กรณีท้ังน้ี
การสอบสวนรว่ มกนั หรอื การปฏบิ ตั หิ นา้ ทรี่ ว่ มกนั ดงั กลา่ วใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารท่ี กคพ. กำ� หนด”

8 วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ

ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564

2. หลกั ประกันความเป็นอสิ ระของพนักงานอัยการและองค์กรอัยการ

รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2560 มาตรา 248 วรรคสอง
บัญญัติว่า “พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าท่ีให้
เป็นไปโดยรวดเร็ว เที่ยงธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง และไม่ให้ถือว่าเป็นคําสั่ง
ทางปกครอง”

เน่ืองจาก ความสำ� คญั ของบทบาทของพนกั งานอัยการในฐานะเป็นผอู้ ำ� นวย
ความยุตธิ รรมทางอาญา รกั ษาผลประโยชนข์ องรฐั และคมุ้ ครองประโยชนส์ าธารณะ
ท�ำให้เกิดความจ�ำเป็นที่ต้องสร้างหลักประกันความเป็นอิสระของพนักงานอัยการ
ในการใช้ดุลพนิ จิ ส�ำหรับพจิ ารณาส่ังคดกี ารปฏิบตั ิหน้าทโ่ี ดยเทีย่ งธรรมและปราศจาก
อคติท้งั ปวงโดยไมล่ �ำเอยี งและเข้าข้างฝ่ายใด

นอกจากนั้น การสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการต้องเป็นไป
ด้วยความรวดเร็ว เน่ืองจากการกระท�ำของพนักงานอัยการเก่ียวข้องกับบุคคล
หลายฝ่าย ไม่วา่ จะเปน็ ผเู้ สียหาย ผตู้ อ้ งหา จ�ำเลย พยาน เจ้าหน้าท่หี รอื เจา้ พนกั งาน
หากการดำ� เนนิ การของพนกั งานอยั การมคี วามลา่ ชา้ แลว้ ยอ่ มเกดิ ผลกระทบตอ่ บคุ คล
ต่างๆ ทเ่ี ก่ียวข้องรวมทัง้ กระบวนการยุติธรรมได้

อนง่ึ ความอสิ ระในทน่ี ้ี หมายถงึ ความเปน็ อสิ ระทจี่ ะสง่ั คดี เชน่ สงั่ ฟอ้ งคดหี รอื
สงั่ ไมฟ่ อ้ งคดี สง่ั ใหพ้ นกั งานสอบสวนทำ� การสอบสวนเพมิ่ เตมิ สงั่ ใหพ้ นกั งานสอบสวน
แจ้งข้อหาเพิ่มเติม สั่งให้ส่งพยานมาเพ่ือซักถาม สั่งให้งดการสอบสวน สั่งอนุญาต
หรือไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว สั่งคดีเปรียบเทียบ และปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจาก
การแทรกแซงหรือกดดันจากฝ่ายหน่ึงฝ่ายใด แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นอิสระจาก
การตรวจสอบอันจะท�ำให้พนักงานอัยการขาดความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าท่ี
ซึ่งหากปรากฏหลักฐานว่าพนักงานอัยการคนใดสั่งคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือ
ทุจรติ ต่อหน้าทีย่ ่อมไดร้ บั การลงโทษตามกฎหมาย

ส่วนท่ีมาตรา 248 วรรคสอง ก�ำหนดว่า การสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าท่ี
ของพนักงานอัยการไม่ให้ถือว่าเป็นคําสั่งทางปกครอง ซ่ึงมีผลให้การด�ำเนินการ
ดังกล่าวของพนักงานอัยการไม่ตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจตรวจสอบของศาลปกครองน้ัน
เห็นว่าการด�ำเนินการท่ีไม่อยู่ภายใต้อ�ำนาจของศาลปกครองนี้เฉพาะการด�ำเนินการ

วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 9

ปที ี่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

ของพนักงานอยั การทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั กระบวนการยุติธรรมเทา่ นัน้ เช่น การสัง่ ฟอ้ งหรอื
ไมฟ่ อ้ งคดอี าญา การรบั วา่ ตา่ งหรอื แกต้ า่ งคดแี พง่ ของหนว่ ยงานราชการ การใชด้ ลุ พนิ จิ
ให้ปล่อยตัวช่ัวคราวผู้ต้องหา เป็นต้น แต่หากเป็นการกระท�ำของพนักงานอัยการ
ที่ไม่เก่ียวข้องกับกระบวนการยุติธรรมโดยตรงแล้วย่อมอยู่ภายใต้อ�ำนาจของ
ศาลปกครองได้ เช่น การที่อัยการสูงสุดลงนามในสัญญาทางปกครองว่าจ้างเอกชน
ก่อสร้างอาคารสำ� นกั งานอยั การสงู สุด เป็นตน้

ทง้ั นี้ พระราชบญั ญตั อิ งคก์ รอยั การและพนกั งานอยั การ พ.ศ. 2553 มาตรา 21
วรรคหนง่ึ มบี ทบญั ญตั ทิ ำ� นองเดยี วกบั รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช
2560 มาตรา 248 วรรคสองเชน่ กนั ความวา่ “พนกั งานอยั การมอี สิ ระในการพจิ ารณา
ส่ังคดีและการปฏบิ ัติหน้าทีใ่ ห้เป็นไปตามรฐั ธรรมนญู และตามกฎหมายโดยสุจรติ และ
เที่ยงธรรม”

3. การบริหารงานบคุ คล การงบประมาณ และการดำ� เนนิ การอนื่ ของ
องคก์ รอยั การ

รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2560 มาตรา 248 วรรคสาม
บัญญัตวิ ่า “การบรหิ ารงานบคุ คล การงบประมาณ และการดําเนนิ การอน่ื ขององค์กร
อัยการให้มีความเป็นอิสระ โดยให้มีระบบเงินเดือนและค่าตอบแทนเป็นการเฉพาะ
ตามความเหมาะสมและการบรหิ ารงานบคุ คลเกย่ี วกบั พนกั งานอยั การตอ้ งดาํ เนนิ การ
โดยคณะกรรมการอัยการ ซ่ึงอย่างน้อยต้องประกอบด้วยประธานกรรมการซ่ึงต้อง
ไม่เป็นพนักงานอัยการ และผู้ทรงคุณวุฒิบรรดาที่ได้รับเลือกจากพนักงานอัยการ
ผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบุคคลซ่ึงไม่เป็นหรือเคยเป็นพนักงานอัยการ
มากอ่ นสองคน ทัง้ นี้ ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ”ิ

กล่าวคือ การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดําเนินการอื่นของ
องค์กรอัยการให้มีความเป็นอิสระ โดยให้มีระบบเงินเดือนและค่าตอบแทนเป็นการ
เฉพาะตามความเหมาะสม ทงั้ นเี้ พราะรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช
2560 ประสงคใ์ หอ้ งคก์ รอยั การมคี วามเปน็ อสิ ระ ไมต่ กอยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจบงั คบั บญั ชา
ของรัฐบาลหรอื ฝ่ายการเมือง เพื่อให้องค์กรอัยการและพนกั งานอัยการปฏิบัตหิ น้าที่
ในการอ�ำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงรัฐธรรมนูญ

10 วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ

ปที ี่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2560 มาตรา 141 บัญญัตไิ วส้ อดคล้องกนั [4]
ความว่า

“งบประมาณรายจา่ ยของแผน่ ดนิ ใหท้ ำ� เปน็ พระราชบญั ญตั ถิ า้ พระราชบญั ญตั ิ
งบประมาณรายจ่ายประจ�ำปีงบประมาณออกไม่ทันปีงบประมาณใหม่ให้ใช้กฎหมาย
ว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณปีก่อนนนั้ ไปพลางกอ่ น

รัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอกับการปฏิบัติหน้าท่ีโดยอิสระของ
รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ และองค์กรอัยการ ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้
ในกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ในกรณีท่ีเห็นว่างบประมาณที่ได้รับ
จัดสรรอาจไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าท่ี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กร
อยั การจะย่ืนค�ำขอแปรญัตติตอ่ คณะกรรมาธิการโดยตรงก็ได้”

สว่ นทบ่ี ญั ญตั วิ า่ การบรหิ ารงานบคุ คลเกย่ี วกบั พนกั งานอยั การตอ้ งดาํ เนนิ การ
โดยคณะกรรมการอัยการ ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยประธานกรรมการซึ่งต้อง
ไม่เป็นพนักงานอัยการ และผู้ทรงคุณวุฒิบรรดาที่ได้รับเลือกจากพนักงานอัยการ
ผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบุคคลซึ่งไม่เป็นหรือเคยเป็นพนักงานอัยการ
มากอ่ นสองคน ทงั้ นี้ ตามทร่ี ฐั ธรรมนญู บญั ญตั ไิ วน้ น้ั ตอ่ มาไดม้ กี ารแกไ้ ขพระราชบญั ญตั ิ
ระเบยี บข้าราชการฝา่ ยอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 186 ให้สอดคล้องกบั รัฐธรรมนูญ
แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2560 ความวา่

“ให้มีคณะกรรมการอยั การคณะหน่ึง เรยี กโดยย่อว่า “ก.อ.” ประกอบด้วย

(1) ประธาน ก.อ. ซึ่งข้าราชการอัยการเว้นแต่ผู้ด�ำรงต�ำแหน่งอัยการผู้ช่วย
เป็นผู้เลือกจากผู้รับบ�ำเหน็จหรือบ�ำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบ�ำเหน็จบ�ำนาญ
ขา้ ราชการหรอื กฎหมายวา่ ดว้ ยกองทนุ บำ� เหนจ็ บำ� นาญขา้ ราชการ และเคยรบั ราชการ
เปน็ ขา้ ราชการอยั การมาแลว้ ในตำ� แหนง่ ไมต่ ำ�่ กวา่ อธบิ ดอี ยั การหรอื อธบิ ดอี ยั การภาค
หรือเคยรับราชการในต�ำแหน่งไม่ต�่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า
ทง้ั น้ี ตอ้ งไมเ่ คยเปน็ สมาชกิ หรอื เจา้ หนา้ ทพี่ รรคการเมอื งในระยะสบิ ปกี อ่ นไดร้ บั เลอื ก

(2) อยั การสูงสดุ เปน็ รองประธาน ก.อ.

(3) รองอัยการสงู สุดตามล�ำดบั อาวโุ สจำ� นวนห้าคนเปน็ กรรมการอยั การ

6 แก้ไขโดยพระราชบญั ญัติระเบยี บข้าราชการฝ่ายอยั การ (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2561 มาตรา 3

วารสารวชิ าการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ 11

ปที ี่ 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564

(4) กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิจ�ำนวนหกคน ซ่ึงข้าราชการอัยการเว้นแต่
ผดู้ �ำรงต�ำแหน่งอยั การผู้ช่วยเปน็ ผูเ้ ลือกจาก

(ก) ขา้ ราชการอยั การชนั้ 5 ขนึ้ ไป ซง่ึ มไิ ดเ้ ปน็ กรรมการอยั การโดยตำ� แหนง่ อยแู่ ลว้
จำ� นวนส่คี น

(ข) ผรู้ ับบำ� เหน็จหรอื บ�ำนาญตามกฎหมายวา่ ดว้ ยบำ� เหนจ็ บ�ำนาญขา้ ราชการ
หรือกฎหมายว่าด้วยกองทุนบ�ำเหน็จบ�ำนาญข้าราชการ ซ่ึงเคยรับราชการเป็น
ขา้ ราชการอยั การมาแล้วจำ� นวนสองคน

(5) กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิจ�ำนวนสองคน ซึ่งข้าราชการอัยการเว้นแต่
ผดู้ ำ� รงตำ� แหนง่ อยั การผชู้ ว่ ยเปน็ ผเู้ ลอื กจากผซู้ งึ่ ไมเ่ ปน็ หรอื เคยเปน็ ขา้ ราชการอยั การ
มาก่อน และเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการงบประมาณ ด้านการพัฒนาองค์กร หรือ
ด้านการบรหิ ารจดั การ

ใหอ้ ธิบดอี ัยการ ส�ำนักงานคณะกรรมการอยั การ เปน็ เลขานกุ าร ก.อ.”

อยา่ งไรกต็ าม กรณที ร่ี ฐั ธรรมนญู ฉบบั ปจั จบุ นั กำ� หนดใหป้ ระธานคณะกรรมการ
อัยการ (ก.อ.) ต้องไม่เป็นพนักงานอัยการนั้น ด้วยความเคารพต่อบทบัญญัติของ
กฎหมาย ผู้เขียนเห็นว่า เป็นการบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับสภาพแห่งความเป็นจริง
และกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาในการปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ดา้ นการบรหิ ารงานบคุ คลขององคก์ รอยั การ
ทั้งน้ีเน่ืองจากประธาน ก.อ. ควรเป็นบุคคลท่ีมีความรู้และความเข้าใจในปัญหาของ
องค์กรอัยการมากท่ีสุด จึงจะสามารถเป็นผู้น�ำและแก้ปัญหาการบริหารงานบุคคล
ขององค์กรอัยการได้ ซ่ึงหากเปรียบเทียบกับองค์กรอื่นในกระบวนยุติธรรมด้วยกัน
เช่น ศาลยุติธรรมซง่ึ กฎหมายก�ำหนดให้ประธานศาลฎีกาเป็นประธานคณะกรรมการ
ตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) โดยต�ำแหน่ง7 หรือศาลปกครองซึ่งกฎหมายก�ำหนดให้

7 พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2553 มาตรา 36 บัญญัติว่า “ให้มี
คณะกรรมการตลุ าการศาลยุตธิ รรมคณะหนึง่ เรยี กโดยย่อวา่ “ก.ต.” ประกอบดว้ ย
(1) ประธานศาลฎกี าเปน็ ประธานกรรมการ
(2) กรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิจ�ำนวนสิบสองคน ซ่ึงข้าราชการตุลาการในแต่ละ
ชนั้ ศาล เวน้ แต่ ผดู้ ำ� รงตำ� แหนง่ ผชู้ ว่ ยผพู้ พิ ากษา เปน็ ผเู้ ลอื กจากขา้ ราชการตลุ าการในชนั้ ศาลของตนเอง ดงั นี้
(ก) ศาลฎีกา ให้เลือกจากข้าราชการตุลาการที่ด�ำรงต�ำแหน่งในศาลฎีกาในต�ำแหน่งท่ีไม่ต่�ำกว่า
ผู้พิพากษาศาลฎกี า จ�ำนวนหกคน
(ข) ศาลอทุ ธรณ์ ใหเ้ ลอื กจากขา้ ราชการตลุ าการทดี่ ำ� รงตำ� แหนง่ ในศาลอทุ ธรณแ์ ละศาลอทุ ธรณภ์ าค
ในต�ำแหน่งท่ไี มต่ ่ำ� กวา่ ผู้พพิ ากษาศาลอทุ ธรณห์ รอื ผูพ้ พิ ากษาศาลอุทธรณภ์ าค จ�ำนวนสคี่ น

12 วารสารวิชาการนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ

ปีท่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564

ประธานศาลปกครองสงู สดุ ประธานคณะกรรมการศาลปกครอง (ก.ศป.) โดยตำ� แหนง่ 8
เพราะฉะนน้ั ในสว่ นขององคก์ รอยั การกค็ วรจะบญั ญตั กิ ฎหมายใหเ้ ปน็ ไปในแนวทาง
เดยี วกนั กบั ศาลยตุ ธิ รรมและศาลปกครองโดยกำ� หนดใหอ้ ยั การสงู สดุ เปน็ ประธาน ก.อ.
โดยต�ำแหน่งเชน่ กนั

4. ขอ้ ห้ามของพนกั งานอัยการในบทบาทอืน่

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 248 วรรคสี่
บัญญัติว่า “กฎหมายตามวรรคสาม ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้พนักงานอัยการ
กระทาํ การหรอื ดาํ รงตาํ แหนง่ ใดอนั อาจมผี ลใหก้ ารสงั่ คดหี รอื การปฏบิ ตั หิ นา้ ทไ่ี มเ่ ปน็ ไป
ตามวรรคสอง หรืออาจทําให้มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว
ต้องกําหนดให้ชัดแจ้งและใช้เป็นการท่ัวไป โดยจะมอบอํานาจให้มีการพิจารณาเป็น
กรณีๆ ไปมิได”้

ตอ่ มาไดม้ กี ารแกไ้ ขพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการฝา่ ยอยั การ พ.ศ. 2553
มาตรา 67(5) และ (6)9 ใหส้ อดคล้องกับรฐั ธรรมนูญฉบบั ปจั จุบันน้ี ความว่า

(ค) ศาลชั้นต้น ให้เลือกจากข้าราชการตุลาการท่ีด�ำรงต�ำแหน่งในศาลชั้นต้นในต�ำแหน่งท่ีไม่ต�่ำกว่า
ผพู้ ิพากษาหวั หน้าศาล จ�ำนวนสองคน
(3) กรรมการตุลาการศาลยตุ ิธรรมผทู้ รงคณุ วุฒจิ ำ� นวนสองคน ซึ่งขา้ ราชการตุลาการทกุ ชัน้ ศาล เว้น
แต่ผู้ด�ำรงต�ำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา เป็นผู้เลือกจากบุคคลซึ่งไม่เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการศาล
ยตุ ธิ รรม และมคี ณุ สมบตั ิและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 39
ในการเลอื กกรรมการตลุ าการศาลยตุ ธิ รรมผทู้ รงคณุ วฒุ ติ ามวรรคหนง่ึ (2) สำ� หรบั ขา้ ราชการตลุ าการซงึ่
ดำ� รงตำ� แหนง่ ทเี่ รยี กชอ่ื อยา่ งอน่ื ตามมาตรา 11 วรรคสอง หรอื ผซู้ งึ่ ไดร้ บั คำ� สงั่ ใหไ้ ปชว่ ยราชการในศาลอน่ื ตาม
มาตรา 21 ใหม้ สี ทิ ธเิ ลอื กและได้รบั เลอื กเป็นกรรมการตลุ าการศาลยุติธรรมในช้นั ศาลซึ่งขา้ ราชการตลุ าการ
ผู้นั้นมีเงินเดือนอยู่ในชั้นศาลนั้นในขณะที่จัดให้มีการเลือก ส่วนผู้พิพากษาอาวุโสให้มีสิทธิเลือกกรรมการ
ตลุ าการศาลยตุ ธิ รรมในชัน้ ศาลทต่ี นปฏิบตั ิหน้าที่ แต่ไมม่ ีสิทธิไดร้ บั เลือกเปน็ กรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
ห้ามมใิ ห้กรรมการบริหารศาลยตุ ธิ รรมเปน็ กรรมการตลุ าการศาลยุติธรรมในคราวเดยี วกัน
ใหเ้ ลขาธกิ ารสำ� นกั งานศาลยตุ ธิ รรมเปน็ เลขานกุ าร และให้ ก.ต. แตง่ ตง้ั ขา้ ราชการศาลยตุ ธิ รรมจำ� นวน
ไมเ่ กินสองคนเป็นผูช้ ่วยเลขานกุ าร”
8 รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2560 มาตรา 198 บญั ญตั วิ า่ “การบรหิ ารงานบคุ คลเกยี่ วกบั
ตลุ าการศาลปกครองตอ้ งมคี วามเปน็ อสิ ระและดำ� เนนิ การโดยคณะกรรมการตลุ าการศาลปกครองซง่ึ ประกอบ
ด้วยประธานศาลปกครองสูงสดุ เป็นประธาน และกรรมการผทู้ รงคณุ วฒุ ซิ ึ่งเป็นตุลาการในศาลปกครอง และ
ผูท้ รงคณุ วุฒิซง่ึ ไม่เป็นหรอื เคยเปน็ ตลุ าการในศาลปกครองไม่เกนิ สองคน บรรดาท่ไี ดร้ ับเลอื กจากขา้ ราชการ
ตุลาการศาลปกครอง ทง้ั นี้ ตามท่กี ฎหมายบัญญัต”ิ
9 แก้ไขโดยพระราชบญั ญัตริ ะเบียบขา้ ราชการฝ่ายอยั การ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2561 มาตรา 10

วารสารวชิ าการนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ 13

ปที ี่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564

“ขา้ ราชการอยั การต้อง
(1) ไม่ประกอบอาชีพ หรือวิชาชีพ หรือกระท�ำกิจการใดอันเป็นการกระทบ
กระเทือนถึงการปฏิบัติหน้าที่ หรือเสื่อมเสียเกียรติศักด์ิแห่งต�ำแหน่งหน้าที่ราชการ
ตามระเบียบที่ ก.อ. ก�ำหนด
(2) ไม่เป็นกรรมการหรือผู้ด�ำรงต�ำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหาร
พรรคการเมอื งหรือเจา้ หน้าท่ีในพรรคการเมือง
(3) ไม่เป็นผู้ด�ำรงต�ำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการ
ศาลปกครอง กรรมการการเลือกต้ัง กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดิน
กรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ กรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแห่งชาติ
หรอื ตำ� แหนง่ อน่ื ตามที่ ก.อ. ก�ำหนด
(4) ไม่เป็นขา้ ราชการอ่ืนซง่ึ มีตำ� แหนง่ หรือเงนิ เดอื นประจำ�
(5) ไมเ่ ป็นกรรมการในรัฐวสิ าหกิจหรือกิจการอื่นของรฐั ในท�ำนองเดยี วกัน
(6) ไม่เป็นกรรมการ ผู้จัดการ ท่ีปรึกษากฎหมาย หรือด�ำรงต�ำแหน่งอื่นใด
ในหา้ งหนุ้ สว่ นหรอื บรษิ ทั หรอื กจิ การอนื่ ใดทม่ี ลี กั ษณะทำ� นองเดยี วกบั หา้ งหนุ้ สว่ นหรอื
บริษัทท่ีมีวัตถุประสงค์มุ่งหาผลก�ำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นท่ีปรึกษาของ
ผ้ดู �ำรงตำ� แหนง่ ทางการเมืองหรอื ดำ� รงตำ� แหน่งอน่ื ใดในลักษณะเดียวกัน”
ดงั นนั้ ตำ� แหนง่ ตา่ งๆ ทหี่ า้ มพนกั งานอยั การเปน็ ตามอนมุ าตรา (5) และ (6) น้ี
จงึ ได้แก่
1). ไม่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐในท�ำนองเดียวกัน
เช่น ไม่เป็นกรรมการในการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือการประปาส่วนภูมิภาค เป็นต้น
ซึ่งกรณีนี้เป็นการบัญญัติหลักการขึ้นมาใหม่ท่ีห้ามพนักงานอัยการเป็นกรรมการ
ดังกล่าวโดยเด็ดขาด เพราะก่อนหน้าน้ีพนักงานอัยการสามารถเป็นกรรมการ
ในรัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐได้ ทั้งน้ีเน่ืองจากพนักงานอัยการเป็นบุคคล
ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย และการด�ำเนินงานของรัฐวิสาหกิจหรือ
กิจการอื่นของรัฐในปัจจุบันนี้ย่อมใช้กฎหมายในการขับเคล่ือนหน่วยงาน หากท�ำ
ไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็อาจถูกบุคคลอื่นฟ้องคดีได้ ท้ังคดีแพ่ง คดีปกครอง และ

14 วารสารวชิ าการนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ

ปที ี่ 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564

คดอี าญา ด้วยความเคารพต่อบทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย ผู้เขียนจึงไม่เห็นดว้ ยกบั กรณี
ขอ้ หา้ มนี้ เนอ่ื งจากเหน็ วา่ เป็นการไมก่ ่อให้เกดิ ประโยชนต์ อ่ รัฐและประชาชน เพราะ
จะท�ำให้หน่วยงานนน้ั ๆ จ�ำตอ้ งจา้ งเอกชนในการให้ค�ำปรึกษาทางกฎหมาย อันเปน็
การส้ินเปลืองภาษีของประชาชนและงบประมาณของรัฐ อีกทั้งพนักงานอัยการนั้น
เปน็ ขา้ ราชการคนหนง่ึ เฉกเชน่ เดยี วกบั ขา้ ราชการอน่ื ๆ เมอ่ื ขา้ ราชการสงั กดั หนว่ ยงานอน่ื
ยงั สามารถเป็นกรรมการดังกลา่ วได้ ก็ไมค่ วรหา้ มพนกั งานอัยการเช่นกนั โดยเฉพาะ
พนักงานอัยการซึ่งมีหน้าท่ีโดยตรงท่ีต้องคุ้มครองประโยชน์ของรัฐและประชาชน
อยแู่ ลว้ ส่วนทม่ี ผี ู้เกรงวา่ เมื่อพนกั งานอัยการเป็นกรรมการนีแ้ ล้ว จะก่อให้เกดิ ปัญหา
ในการพิจารณาส่ังคดี ผู้เขียนเห็นว่าพนักงานอัยการแต่ละคนย่อมมีอิสระในทาง
ส่ังคดีตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กับทั้งต้องรับผิดชอบต่อความเห็นทางคดี
ของตน หากกระท�ำโดยทุจริตก็ย่อมได้รับการลงโทษเฉกเช่นเดียวกับข้าราชการหรือ
บุคคลอื่นๆ ประกอบกับความเห็นทางคดีของพนักงานอัยการย่อมต้องเปิดเผย
ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ดังน้ัน
ขอ้ อา้ งดงั กลา่ วผเู้ ขยี นเหน็ วา่ ไมอ่ าจหกั ลา้ งผลประโยชนข์ องประเทศและประชาชนลงได้

2). ไม่เป็นกรรมการ ผู้จัดการ ท่ีปรึกษากฎหมาย หรือด�ำรงต�ำแหน่งอื่นใด
ในหา้ งหนุ้ สว่ นหรอื บรษิ ทั หรอื กจิ การอนื่ ใดทมี่ ลี กั ษณะทำ� นองเดยี วกบั หา้ งหนุ้ สว่ นหรอื
บริษัทที่มีวัตถุประสงค์มุ่งหาผลก�ำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน เช่น ไม่เป็นกรรมการ
ผู้จดั การ ทป่ี รึกษากฎหมายในบรษิ ทั เอกชนหรือหา้ งห้นุ ส่วนจำ� กดั หรอื หนุ้ สว่ นสามัญ
ไมจ่ ดทะเบยี น หรอื ไม่เปน็ ผเู้ รมิ่ กอ่ การในบรษิ ัทจ�ำกัด เป็นต้น

อน่ึง มีปัญหาว่าพนักงานอัยการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทมหาชนจ�ำกัดหรือ
บริษัทเอกชนจ�ำกัดได้หรือไม่ ผู้เขียนเห็นว่าพนักงานอัยการสามารถถือหุ้นใน
บรษิ ทั มหาชนจำ� กดั หรอื บรษิ ทั เอกชนจำ� กดั ได้ เนอ่ื งจากการถอื หนุ้ ดงั กลา่ ว พนกั งานอยั การ
ไมไ่ ดม้ อี ำ� นาจในการบรหิ ารจดั การบรษิ ทั โดยตรง เพราะโดยสาระแลว้ ผถู้ อื หนุ้ มสี ถานะ
แตกตา่ งจากกรรมการ ผู้จัดการ และท่ปี รกึ ษากฎหมาย ทมี่ อี ำ� นาจบรหิ ารจัดการหรอื
ใหค้ �ำปรึกษาแกไ้ ขปัญหาของกจิ การธุรกิจโดยตรง

3). ไม่เป็นท่ีปรึกษาของผู้ด�ำรงต�ำแหน่งทางการเมืองหรือด�ำรงต�ำแหน่งอื่นใด
ในลักษณะเดียวกัน เช่น ไม่เป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เปน็ ตน้

วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ 15

ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564

ทงั้ นี้ บทบญั ญตั เิ ชน่ นม้ี ขี น้ึ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หพ้ นกั งานอยั การ
กระทําการหรือดํารงตําแหน่งใดท่ีอาจมีผลให้การสั่งคดีหรือการปฏิบัติหน้าที่มีการ
ขดั กันแห่งผลประโยชนข์ องพนักงานอยั การ และไม่เป็นไปตามมาตรา 248 วรรคสอง
กลา่ วคอื ไมเ่ ปน็ อสิ ระในการพจิ ารณาสงั่ คดแี ละการปฏบิ ตั หิ นา้ ทไี่ มเ่ ปน็ ไปโดยรวดเรว็
เท่ียงธรรม และปราศจากอคติทง้ั ปวง

บทสรปุ

จากค�ำอธิบายข้างต้นจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พทุ ธศกั ราช 2560 ไดบ้ ญั ญตั ถิ งึ อำ� นาจหนา้ ท่ี หลกั ประกนั ความเปน็ อสิ ระ การบรหิ ารงาน
บคุ คล การงบประมาณ และการด�ำเนินการอืน่ ขององคก์ รอัยการ รวมทง้ั ขอ้ หา้ มของ
พนักงานอัยการในบทบาทอื่น ซึ่งกฎหมายระดับพระราชบัญญัติที่กำ� หนดไว้สอดรับ
กับรฐั ธรรมนญู ฉบบั ปจั จุบันนบี้ างมาตรากไ็ ด้มอี ยู่เดิมแลว้ บางมาตรากเ็ ปน็ การแก้ไข
เพมิ่ เตมิ ขน้ึ ใหม่ โดยทง้ั รฐั ธรรมนญู ฉบบั ปจั จบุ นั และกฎหมายดงั กลา่ วถกู บญั ญตั ขิ น้ึ มา
กเ็ พอื่ วตั ถปุ ระสงคใ์ หอ้ งคก์ รอยั การและพนกั งานอยั การสามารถอำ� นวยความยตุ ธิ รรม
ใหแ้ กป่ ระชาชนและรกั ษาผลประโยชนข์ องรฐั ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ สมกบั เปน็ องคก์ ร
หลักองค์กรหน่ึงในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม กฎหมาย
แต่ละฉบับย่อมมีพลวัตเฉกเช่นเดียวกับสังคม เมื่อสังคมเปล่ียนแปลงไปกฎหมาย
กย็ ่อมเปล่ยี นแปลงให้เหมาะสมได้เช่นกัน

เอกสารอา้ งอิง

[1] รวินท์ ชัยภวิ ตั รภกั ด.ี (2555). หลักการสำ� คญั ของรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั ร
ไทย พุทธศักราช 2550 ทีม่ ตี ่อ องค์กรอยั การและพนักงานอัยการ, วารสาร
กฎหมาย คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั 30(2), 85-112.

[2] อำ� นาจ เนตยสุภา, รวินท์ ชัยภวิ ตั รภกั ดี, และธีรชั ลมิ ปยารยะ. (2559). ค�ำอธิบาย
กฎหมายว่าดว้ ยองคก์ ร อยั การและพนักงานอยั การ, (พมิ พ์คร้ังท่ี 6 แกไ้ ข
เพิ่มเตมิ ). กรุงเทพฯ: วญิ ญูชน.

16 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ

ปีที่ 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564

[3] โชคชยั สิทธผิ ลกลุ , และฤทธิกร ศริ ปิ ระเสริฐ โชค. (2559). ระบบงานอัยการกบั
การอ�ำนวยความยุติธรรมเพือ่ รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเชยี่ น
(AEC). วารสารชุมชนวิจยั 10(2), 17-30.

[4] สนธยา เครือเวทย์. (2560). การบริหารส�ำนักงานอยั การสงู สุดไทยกบั
ความรบั ผิดชอบและตรวจสอบได้. วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์,
6(2-04), 773-782.

วารสารวิชาการนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ 17

ปีที่ 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564



พิธสี ารว่าดว้ ยกลไกการระงบั ขอ้ พิพาทของอาเซยี น 2004
และขอ้ พิจารณาบางประการ

ASEAN Protocol on Dispute Settlement Mechanism 2004
and Considerations

ธรี ยุทธ ปักษา1*
Teerayut Paksa1*
Received : July 26, 2020
Revised : August 27, 2020
Accepted : September 9, 2020

1 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์., คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ สงขลา 90000 19
1 Asst. Prof., Faculty of Law, Thaksin University, SongKhla, 90000, Thailand
*Corresponding author : E-mail address : [email protected]

วารสารวิชาการนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ

ปที ี่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

บทคัดย่อ

ใน ค.ศ. 2007 อาเซียนได้จัดท�ำกฎบัตรอาเซียนและพิธีสารท่ีเกี่ยวข้องกับ
กระบวนการระงับข้อพิพาท ซ่ึงกฎบัตรอาเซียนเปรียบเสมือนธรรมนูญสูงสุดของ
อาเซียนโดยการปรับเปล่ียนจากการเป็นองค์กรท่ีมีฐานทางการเมืองมาสู่องค์กรท่ี
มีฐานทางกฎหมายอันส่งผลให้อาเซียนเกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
มากย่ิงขึ้น อย่างไรก็ดี แทนท่ีกฎบัตรอาเซียนจะช่วยให้เกิดความก้าวหน้าและ
เปน็ ทยี่ อมรบั ในสายตาของประชาคมโลกมากขนึ้ แตก่ ฎบตั รอาเซยี นกลบั เปน็ เพยี งแค่
ความตกลงท่ีปราศจากประสิทธิภาพและไม่มีความโดดเด่นเหมือนท่ีคาดหวังเอาไว้
ซ่ึงบทความนี้จะอธิบายและศึกษาถึงความจ�ำเป็นในการปรับปรุงแก้ไขกระบวนการ
ระงับข้อพิพาททางเศรษฐกิจที่บัญญัติเอาไว้ในกฎบัตรอาเซียน และพิธีสารว่าด้วย
กลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004 เพื่อเป็นประโยชน์ส�ำหรับบรรดา
ประเทศสมาชกิ อาเซยี นเองในการทจี่ ะระงบั ขอ้ พพิ าททางเศรษฐกจิ ทเี่ กดิ ขนึ้ ในอาเซยี น

ค�ำสำ� คัญ : อาเซยี น กฎบัตรอาเซยี น การระงบั ข้อพพิ าท

Abstract

In 2007, the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) has created
the Charter and Protocol concerning the dispute resolution mechanism, which
the ASEAN Charter deems a constitution of ASEAN by being transformed from
a politic - based organization to a law - based organization which could cause
the more effectiveness of enforcing the law in ASEAN. However, such Charter
has been expected to be an instrument which could lead to the Development
in ASEAN and be acceptable to international communities, but the Charter is
only an ineffective and insignificant agreement. This article will explain and study
on the necessities for amending the economic dispute settlement process as
provided in the 2004 ASEAN Charter and the Protocol on Enhanced Dispute
Settlement Mechanism in order to strengthen the economic dispute resolution
for the member states of the ASEAN.

Keywords : ASEAN, ASEAN Charter, Dispute resolution

20 วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ

ปีท่ี 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564

บทนำ�

ประชาคมอาเซียน(ASEAN Community) ก่อตั้งเม่ือ ค.ศ. 2015 ซึ่งเป็นการ
รวมตัวกันของประเทศสมาชิกในภูมิภาคอาเซียน2 เพ่ือเพ่ิมอ�ำนาจต่อรองและ
เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางตลาดของอาเซียนในเวทีระหว่างประเทศโดย
ประชาคมอาเซียนประกอบด้วยประชาคมย่อย 3 ประชาคม โดยทั้ง 3 ประชาคมนี้
จะมีความเกยี่ วโยงสัมพันธก์ ัน ได้แก่ 1. ประชาคมการเมอื งและความมนั่ คงอาเซียน
(ASEAN Political-Security Community) 2. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN
Economic Community) และ 3. ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN
Socio-Cultural Community)

ส�ำหรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) น้ันมี
เป้าหมายในการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจของอาเซียนเพื่อท�ำให้ประชาชนของบรรดา
ประเทศสมาชิกมีการค้าขายระหว่างกันมากข้ึน มีการเดินทางไปมาหาสู่กันได้ง่าย
สะดวก และมีศักยภาพในการแข่งขันกับประชาคมโลก ทั้งนี้อาเซียนยังได้มีการ
จัดท�ำแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) เพ่ือให้บรรลุ
วัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซ่ึงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีลักษณะเด่นๆ
ที่ส�ำคัญ คือ ช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน
ช่วยขยายการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาคอาเซียนให้สูงขึ้นและสร้างความ
เทา่ เทียมกันในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทงั้ นี้ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี นจะร่วมกัน
เป็นตลาดเดียวและฐานการผลิตเดียวกัน โดยมีการเคล่ือนย้ายสินค้า การบริการ
เงนิ ลงทุนและแรงงานฝมี อื อย่างเสรี [1]

2 อาเซียนก่อต้ังข้ึนมาโดยปฏิญญากรุงเทพมหานคร(Bangkok Declaration) เมื่อวันท่ี 8 สิงหาคม 2510
โดยการรเิ รมิ่ ของผแู้ ทนประเทศในแถบเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ 5 ประเทศดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ ประเทศอนิ โดนเี ซยี
ประเทศมาเลเซีย ประเทศฟลิ ปิ ปนิ ส์ ประเทศสิงคโปร์ และประเทศไทยซ่งึ ในเวลาตอ่ มาเรมิ่ มีประเทศต่างๆ
ทยอยเขา้ รว่ มเปน็ สมาชกิ เพม่ิ เตมิ คอื ประเทศบรไู นดารสุ ซาราม ประเทศเวยี ดนาม ประเทศลาว ประเทศพมา่
และประเทศกัมพูชา ตามล�ำดับ ซึ่งท�ำให้อาเซียนมีประเทศสมาชิกในปัจจุบันท้ังสิ้นรวม 10 ประเทศ
โดยอาเซียนก่อตั้งขึ้นเพ่ือส่งเสริมความร่วมมือกันในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมสันติภาพ
และความม่ันคงของภูมิภาคทั้งนี้ เมื่อการค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มท่ีเกิดการกีดกันและแข่งขันทางการ
ค้าที่รุนแรงมากยิ่งข้ึน อาเซียนจึงมุ่งเน้นความส�ำคัญในการเสริมสร้างความแข่งแกร่งทางเศรษฐกิจร่วมกัน
ระหว่างประเทศสมาชกิ โดยอาเซยี นไดม้ ีการร่วมกันจดั ทำ� ความตกลงเขตการคา้ เสรีอาเซยี น (ASEAN Free
Trade Area) เพื่อท่ีจะให้การค้าของอาเซียนเป็นไปอย่างเสรี เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน
ในเวทโี ลกโดยการลดและยกเลกิ ภาษรี วมถงึ อปุ สรรคทมี่ ใิ ชภ่ าษรี ะหวา่ งกนั เพอื่ ใหอ้ าเซยี นเปน็ ตลาดขนาดใหญ่
และมีประสทิ ธภิ าพเพือ่ ท่จี ะจงู ใจนักลงทนุ เขา้ สูภ่ ูมิภาคอาเซียน

วารสารวิชาการนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ 21

ปที ่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

นอกจากน้ี อาเซียนยังได้มีการจัดท�ำกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter)
ซ่ึงกฎบัตรอาเซียนนั้นเปรียบเสมือนธรรมนูญของอาเซียนในการวางกรอบโครงสร้าง
ขององค์กรและวางกรอบทางกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่อาเซียนในการ
ด�ำเนินตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตกลงร่วมกัน ท้ังนี้ กฎบัตรอาเซียน
จะสง่ ผลใหอ้ าเซยี นเปน็ องคก์ รทม่ี ฐี านทางกฎหมาย(Rule-Based Organization) กลา่ วคอื
เป็นองค์กรที่ด�ำเนินการใดๆด้วยกฎและกติกาท่ีวางเอาไว้ เคารพในกฎระเบียบและ
ยดึ มน่ั ในหลกั นติ ธิ รรม หลกั ธรรมาภบิ าลมกี ฎหมายเปน็ เครอ่ื งมอื ในการขจดั อปุ สรรค
ทั้งปวงท่สี ง่ ผลตอ่ การรวมกลมุ่ ทางเศรษฐกจิ ของอาเซยี น

หากจะกล่าวถึงกระบวนการระงับข้อพิพาทของอาเซียนน้ัน ในช่วงแรก
อาเซียนยังไม่มีกระบวนการระงับข้อพิพาทท่ีเด่นชัดมากนัก กล่าวคือ ในปฏิญญา
กรงุ เทพมหานคร (Bangkok Declaration) ไมไ่ ดก้ ลา่ วถงึ บทบญั ญตั ใิ ดๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั
กระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าทมากนกั เปน็ เพยี งแคค่ วามตกลงกนั อยา่ งกวา้ งๆ วา่ จะตอ้ ง
รักษาสันติภาพภายในภูมิภาคและด�ำเนินการระงับข้อพิพาทต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วย
สนั ตวิ ธิ ี ตอ่ มาอาเซยี นไดม้ กี ารรว่ มมอื กนั มากขนึ้ เชน่ ความรว่ มมอื การใหส้ ทิ ธปิ ระโยชน์
ทางการค้าระหว่างกัน (Preferential Trading Arrangements) การจดั ต้งั เขตการค้าเสรี
อาเซียน (ASEAN Free Trade Area) ความตกลงการคา้ สนิ คา้ ของอาเซียน (ASEAN
Trade in Goods Agreement) ในชว่ งนจ้ี งึ ไดเ้ รมิ่ มกี ารพฒั นากระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าท
ทางเศรษฐกิจของอาเซียนโดยมีการบัญญัติเกี่ยวกับกระบวนการระงับข้อพิพาทและ
ออกพิธีสารวา่ ดว้ ยกลไกการระงบั ขอ้ พิพาทออกมาบงั คบั ใช้ [2]

อย่างไรก็ดี การที่อาเซียนมักจะท�ำอะไรด้วยการตกลงก่อนแล้วค่อยเจรจากัน
ภายหลัง (Agree First, Talk After) ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาซึ่งแทนที่กฎบัตร
จะช่วยให้มีการเปล่ียนแปลงอาเซียนก้าวหน้าและเป็นที่ยอมรับในสายตาของ
ประชาคมโลกมากขน้ึ แต่กลบั เป็นเพียงความตกลงทป่ี ราศจากประสิทธภิ าพและไมม่ ี
ความโดดเด่นเหมือนท่ีคาดหวังเอาไว้ซ่ึงบทความน้ีจะศึกษาให้เห็นถึงวิวัฒนาการ
ในด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนรวมถึงกระบวนการระงับข้อพิพาท
ทางเศรษฐกจิ ของอาเซยี นวา่ มปี ญั หาทอี่ าจสง่ ผลกระทบตอ่ ความเชอ่ื มน่ั ของประเทศ
สมาชิกและประชาคมโลกอย่างไรซ่ึงผู้เขียนเห็นว่ามีความจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่อาเซียน
จ�ำต้องทบทวนปรับปรุงกระบวนการระงับข้อพิพาททางเศรษฐกิจท่ีบัญญัติเอาไว้ใน

22 วารสารวิชาการนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ

ปีท่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) และพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของ
อาเซียน 2004 (Enhanced Dispute Settlement Mechanism) เพ่ือเป็นประโยชน์
ส�ำหรับบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียนเองในการท่ีจะรองรับข้อพิพาททางเศรษฐกิจ
ท่ีเกิดขึ้นในภูมิภาคและสานต่อนโยบายการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีตามแนวทาง
วถิ ีอาเซยี น (ASEAN Way)

พิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004 และ
ขอ้ พจิ ารณาบางประการ

อาเซียนได้จัดต้ังคณะท�ำงานว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน
(Task Force on ASEAN Dispute Settlement Mechanism) ซง่ึ คณะทำ� งานประกอบไปดว้ ย
ผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นกฎหมายของอาเซยี นเพอื่ พฒั นากระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าททม่ี อี ยเู่ ดมิ
ให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน มีความเป็นระบบท่ีมีฐานทางกฎหมาย (Rule-Based)
มากยิง่ ข้ึน [3] ซง่ึ คณะท�ำงานไดร้ ่วมประชมุ และรายงานความคืบหนา้ ของการดำ� เนนิ
งานให้ท่ีประชุมเจ้าหน้าท่ีอาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (SEOM) และที่ประชุม
รฐั มนตรเี ศรษฐกิจอาเซยี น (AEM) ไดร้ ับทราบ จนในท่ีสดุ คณะท�ำงานก็ไดจ้ ัดท�ำรา่ ง
พธิ สี ารสำ� เรจ็ ในวนั ที่ 10 กนั ยายน พ.ศ. 2547 โดยไดเ้ สนอตอ่ ทปี่ ระชมุ เจา้ หนา้ ทอี่ าวโุ ส
ดา้ นเศรษฐกจิ ของอาเซยี น (SEOM) ใหค้ วามเหน็ ชอบโดยเหตผุ ลในการปรบั ปรงุ แกไ้ ข
พธิ สี ารนน้ั กเ็ พอ่ื เสรมิ สรา้ งความมนั่ ใจวา่ คำ� ตดั สนิ จะผกู พนั คพู่ พิ าทใหต้ อ้ งปฏบิ ตั ติ าม
โดยค�ำตัดสินดังกล่าวจะอยู่บนพ้ืนฐานทางกฎหมาย(Based solely on legal
considerations) มากกว่าอยู่บนพื้นฐานทางการเมืองตลอดจนเพื่อปรับปรุง
กระบวนการระงับข้อพิพาทของอาเซียนตามแบบของความเข้าใจว่าด้วยการ
ระงับข้อพาท ค.ศ. 1994 ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซ่ึงได้รับการยอมรับจาก
นานาประเทศ [4]

ตอ่ มาในการประชมุ สดุ ยอดอาเซยี น ครงั้ ที่ 10 ทป่ี ระชมุ รฐั มนตรเี ศรษฐกจิ อาเซยี น
(AEM) ได้ร่วมลงนามพธิ สี ารว่าดว้ ยกลไกการระงบั ข้อพพิ าทของอาเซยี น ค.ศ. 2004
(ASEAN Protocol on Enhanced Dispute Settlement Mechanism 2004)
ณ กรุงเวียงจันทร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งพิธีสารว่าด้วยกลไก
การระงับข้อพพิ าทของอาเซียน ค.ศ. 2004 มีขนั้ ตอนดงั น้ี

วารสารวิชาการนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 23

ปีท่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564

1. การเจรจาปรกึ ษาหารือ

พิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004 ได้ก�ำหนด
กระบวนการเจรจาปรกึ ษาหารอื ระหวา่ งประเทศสมาชกิ ทพ่ี พิ าทไวว้ า่ หากเกดิ กรณที ี่ (1)
ประเทศสมาชิกใดเห็นว่าสิทธิประโยชน์ของตนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมได้รับ
ความเสยี หายไมว่ า่ ทงั้ หมดหรอื บางสว่ นจากการทป่ี ระเทศสมาชกิ อนื่ ใชม้ าตรการขดั ตอ่
ความตกลงทางเศรษฐกิจหรอื (2) เกดิ สถานการณ์ใดๆ ทท่ี �ำใหไ้ ม่สามารถด�ำเนนิ การ
เพื่อให้บรรลุความตกลงดังกล่าวนี้ ประเทศสมาชิกท่ีได้รับความเสียหายสามารถ
ที่จะขอเจรจาปรึกษาหารือกับประเทศสมาชิกอ่ืนที่เก่ียวข้องเพื่อระงับข้อพิพาท3
ซึ่งค�ำร้องขอเจรจาปรึกษาหารือน้ันจะต้องท�ำเป็นหนังสือแจ้งต่อท่ีประชุมเจ้าหน้าท่ี
เศรษฐกจิ อาวโุ ส (SEOM) พรอ้ มทง้ั ระบมุ าตรการทเ่ี กยี่ วกบั ขอ้ พพิ าทและขอ้ กฎหมาย
ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง4 ทัง้ น้ี ประเทศสมาชิกท่ไี ดร้ ับค�ำร้องขอเจรจาปรกึ ษาหารอื จะตอ้ งตอบรบั
ค�ำร้องขอภายในระยะเวลา 10 วัน และต้องจัดให้มีการเจรจาปรึกษาหารือภายใน
ระยะเวลา 30 วนั นบั ตงั้ แตว่ นั ทไี่ ดร้ บั คำ� รอ้ งขอ5 สำ� หรบั ในกรณเี รง่ ดว่ นฉกุ เฉนิ รวมถงึ
กรณสี ินคา้ เนา่ เสียง่ายนั้นให้ประเทศสมาชกิ ท่พี ิพาท คณะกรรมการวนิ จิ ฉัยข้อพิพาท
และองค์กรอุทธรณ์จะต้องพยายามทุกวิถีทางเพ่ือเร่งกระบวนการระงับข้อพิพาท
ใหเ้ รว็ ท่สี ดุ 6

เม่ือพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่าพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาท
ของอาเซียน ค.ศ. 2004 ได้ให้ความส�ำคัญกับกระบวนการเจรจาปรึกษาหารือกัน
ระหว่างประเทศที่พิพาทโดยก�ำหนดให้เป็นขั้นตอนแรกในการระงับข้อพิพาท ท้ังน้ี
การยื่นค�ำร้องขอเจรจาปรึกษาหารือจะต้องท�ำเป็นหนังสือและต้องแจ้งต่อที่ประชุม
เจา้ หนา้ ทเ่ี ศรษฐกจิ อาวโุ ส (SEOM) นนั้ ยงั เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการเจรจาในการทราบและ
เล็งเห็นเก่ียวกับก�ำหนดวันเริ่มต้นและวันส้ินสุดกระบวนการเจรจาปรึกษาหารือด้วย
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มเติมในส่วนของกรณีเร่งด่วนฉุกเฉินรวมถึงกรณีสินค้าเน่าเสียง่าย
โดยได้ก�ำหนดใหป้ ระเทศสมาชกิ ทพ่ี ิพาท คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพพิ าทและองคก์ ร
อุทธรณ์จะต้องพยายามทุกวิถีทางเพ่ือเร่งกระบวนการระงับข้อพิพาทให้เร็วที่สุดซ่ึง

3 EDSM, Article 3.2.
4 EDSM, Article 3.3.
5 EDSM, Article 3.4.
6 EDSM, Article 3.5.

24 วารสารวิชาการนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ

ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564

ถอื วา่ เปน็ การนำ� เอาบทบญั ญตั ทิ อี่ ยใู่ นความเขา้ ใจวา่ ดว้ ยการระงบั ขอ้ พาท ค.ศ. 1994
ขององค์การการค้าโลกมาปรับใช้ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระงับข้อพิพาท
แก่กรณีดังกล่าว แต่ผู้เขียนเห็นว่ายังคงขาดความชัดเจนในเรื่องของระยะเวลา
เนอ่ื งจากวา่ พธิ สี ารวา่ ดว้ ยกลไกการระงบั ขอ้ พพิ าทของอาเซยี น ค.ศ. 2004 กำ� หนดวา่
ประเทศสมาชิกที่พิพาท คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทและองค์กรอุทธรณ์จะต้อง
พยายามทกุ วถิ ที างเพอ่ื เรง่ กระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าทใหเ้ รว็ ทสี่ ดุ เทา่ นน้ั ไมไ่ ดก้ ำ� หนด
เรอ่ื งของระยะเวลาเอาไวเ้ หมอื นอยา่ งความเขา้ ใจวา่ ดว้ ยการระงบั ขอ้ พาท ค.ศ. 19947
ในประเดน็ ดงั กล่าวนี้จึงสมควรไดร้ ับการพิจารณาแก้ไข

2. การประสานทา่ ที การประนปี ระนอมและการไกล่เกล่ยี ข้อพิพาท

ประเทศสมาชิกท่ีพิพาทสามารถเลือกใช้กระบวนการประสานท่าที (Good
Offices) การประนีประนอม (Conciliation) และการไกล่เกล่ีย (Mediation) โดยจะ
เร่ิมกระบวนการดังกล่าวน้ีในระยะเวลาใดหรือยุติกระบวนการน้ีในเวลาใดก็ได้8และ
ประเทศสมาชิกท่ีพิพาทอาจตกลงใช้กระบวนการดังกล่าวข้างต้นควบคู่ไปกับ
กระบวนการระงับข้อพิพาทตามพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน
ค.ศ. 2004 นไี้ ด9้ ทงั้ นี้ เลขาธกิ ารอาเซยี น (Secretary-General of ASEAN) อาจเสนอตวั
เป็นคนกลางโดยต�ำแหน่งในการช่วยเหลือและสนับสนุนกระบวนการประสานท่าที
(Good Offices) การประนีประนอม (Conciliation) และการไกล่เกลี่ย (Mediation)
ระหวา่ งประเทศสมาชกิ กไ็ ด้10 ทง้ั นพ้ี ธิ สี ารวา่ ดว้ ยกลไกการระงบั ขอ้ พพิ าทของอาเซยี น
ค.ศ. 2004 เหน็ วา่ บคุ คลผเู้ ปน็ คนกลางในการดำ� เนนิ การระงบั ขอ้ พพิ าทดงั กลา่ วขา้ งตน้ นี้
ควรเป็นคนกลางที่ได้รับความน่าเชื่อถือจากประเทศสมาชิก ช่วยด�ำเนินการให้
ค่พู พิ าทท้งั สองฝ่ายไดพ้ ูดจาปรึกษา ปรบั ความเข้าใจและทบทวนนโยบายทางการค้า

7 สำ� หรบั ในกรณเี รง่ ดว่ นฉกุ เฉนิ หรอื กรณสี นิ คา้ เนา่ เสยี งา่ ยนน้ั ความเขา้ ใจวา่ ดว้ ยการระงบั ขอ้ พพิ าท ค.ศ. 1994
ขอ้ 4.8 กำ� หนดวา่ ประเทศคู่พพิ าทจะต้องดำ� เนินการเจรจาปรึกษาหารอื กนั ภายในระยะเวลาไมเ่ กิน 10 วัน
นับจากวันท่ีได้รับค�ำร้องขอ ถ้าหากการเจรจาปรึกษาหารือนั้นไม่อาจระงับได้ภายในระยะเวลา 20 วัน
หลงั จากวนั ทไ่ี ดร้ บั คำ� รอ้ งขอ ประเทศคพู่ พิ าททเี่ ปน็ ฝา่ ยฟอ้ งรอ้ งอาจรอ้ งขอใหม้ กี ารจดั ตงั้ คณะกรรมการวนิ จิ ฉยั
ข้อพิพาท (Panel) ได้ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวน้ีจะสามารถช่วยเร่งกระบวนการระงับข้อพิพาทที่เก่ียวข้องกับ
สนิ คา้ ทเ่ี นา่ เสยี งา่ ยใหเ้ กดิ ความรวดเรว็ มากยง่ิ ขน้ึ และสง่ ผลกระทบตอ่ สนิ คา้ เหลา่ นใ้ี หน้ อ้ ยทส่ี ดุ เทา่ ทจี่ ะเปน็ ไปได้
8 EDSM, Article 4.1.
9 EDSM, Article 4.2.
10 EDSM, Article 4.3.

วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ 25

ปีท่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

อันเปน็ สาเหตุท่ีท�ำให้เกิดความขัดแยง้ แหง่ ข้อพพิ าท ซ่ึงพธิ สี ารวา่ ด้วยกลไกการระงบั
ขอ้ พพิ าทของอาเซยี น ค.ศ. 2004 ไดใ้ หค้ วามสำ� คญั กบั กระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าทใน
ข้ันตอนของการเจรจาปรึกษาหารือน้ีเป็นอย่างมากเพราะหากข้ามขั้นตอนดังกล่าวนี้
ไปแล้ว คดีข้อพิพาทก็จะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายในการจัดตั้งคณะกรรมการ
วินิจฉัยข้อพิพาทหรือองค์กรอุทธรณ์ต่อไป ซึ่งอาจท�ำให้คดีเกิดความล่าช้าและ
มคี ่าใชจ้ า่ ยอื่นๆ ตามมา และอาจสง่ ผลกระทบความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศสมาชกิ
อีกด้วย ซึ่งหากประเทศที่พิพาทสามารถระงับข้อพิพาทโดยการเจรจาปรึกษาหารือ
การประสานท่าที การประนีประนอมและการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยมีเลขาธิการ
อาเซียน (Secretary-General of ASEAN) เป็นผู้ด�ำเนินการท่ีจะช่วยระงับข้อพิพาท
ให้รวดเร็วที่สุดและเป็นที่พอใจของคู่พิพาทก็จะถือได้ว่าเป็นการระงับข้อพิพาท
ทางการทูต (Diplomatic Settlement) ท่ีสามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
สมาชกิ ทพี่ ิพาทไดเ้ ป็นอย่างดี

3. คณะกรรมการวนิ ิจฉยั ขอ้ พิพาท

พิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004 ก�ำหนดว่า
หากประเทศสมาชิกท่ีได้รับค�ำร้องขอเจรจาปรึกษาหารือไม่ตอบรับค�ำร้องขอเจรจา
ปรึกษาหารือภายในระยะเวลา 10 วัน หรือไม่ด�ำเนินการเจรจาปรึกษาหารือภายใน
ระยะเวลา 30 วนั หรอื ดำ� เนนิ การเจรจาปรกึ ษาหารอื แลว้ ไมส่ ามารถยตุ ขิ อ้ พพิ าทไดภ้ ายใน
ระยะเวลา 60 วันนับต้ังแต่วันท่ีได้รับค�ำร้องขอเจรจาปรึกษาหารือ ประเทศสมาชิก
ท่ีย่ืนค�ำร้องขอเจรจาปรึกษาหารือสามารถร้องขอต่อท่ีประชุมเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจ
อาวุโส (SEOM) ให้จัดตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (Panel) เพ่ือพิจารณา
ข้อพิพาทดังกล่าวได้11 เว้นแต่จะมีฉันทามติไม่จัดต้ังคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท
ซ่ึงคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (Panel) ประกอบไปด้วยองค์คณะทั้งหมด 3 คน
เวน้ แตใ่ นกรณที ปี่ ระเทศสมาชกิ ทพ่ี พิ าทตกลงใหม้ อี งคค์ ณะ 5 คน12 สำ� หรบั คณุ สมบตั ิ
และอำ� นาจหนา้ ทขี่ องคณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ขอ้ พพิ าทนน้ั ไดบ้ ญั ญตั เิ อาไวใ้ นภาคผนวก
ท่ี 2 (Appendix II) แนบท้ายพิธีสาร โดยห้ามคนชาติของประเทศที่พิพาทท�ำหน้าท่ี
เป็นคณะกรรมการวินิจฉยั ขอ้ พิพาทในขอ้ พิพาทดงั กล่าว เว้นแต่คูพ่ ิพาทยินยอม

11 EDSM ,Article 5.1
12 EDSM, Appendix II Working Procedures of the Panel , Article 1.1, 1.5.

26 วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ

ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564

เม่ือพิจารณากระบวนการของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทในพิธีสาร
ว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004 แล้วพบว่า โดยส่วนใหญ่
นั้นมีการก�ำหนดเอาไว้คล้ายคลึงกับความเข้าใจว่าด้วยการระงับข้อพาท ค.ศ. 1994
ขององคก์ ารการคา้ โลก กระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าททางการคา้ มคี วามจำ� เปน็ อยา่ งมาก
ที่จะต้องมีคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทท่ีมีความรู้ ความช�ำนาญในด้านกฎหมาย
ระหว่างประเทศ เน่ืองจากความซับซ้อนท่ีมากข้ึนของการท�ำธุรกิจระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ควรมีการเพิ่มเติมในส่วนของบัญชีรายชื่อของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท
(Panel lists) ทมี่ ีความรู้ ความชำ� นาญในด้านกฎหมายเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศหรือ
ผู้เช่ียวชาญเฉพาะด้านเพ่ือเสริมสร้างความเช่ือมั่นระหว่างคู่พิพาทรวมถึงประเทศ
สมาชิก และยังช่วยในเร่ืองของความรวดเร็วในการเริ่มต้นกระบวนการพิจารณาคดี
อีกทั้งความสับสนในการก�ำหนดจ�ำนวนขององค์คณะของคณะกรรมการวินิจฉัย
ข้อพิพาทว่าจะเป็น 3 คนหรือ 5 คนนั้น ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของข้อพิพาทหรือ
จะมไี ดใ้ นกรณใี ดบา้ ง แมจ้ ะไดบ้ ญั ญตั เิ อาไวแ้ ลว้ วา่ ขน้ึ อยกู่ บั ความยนิ ยอมของคพู่ พิ าท
แต่ก็ควรสร้างความชัดเจนในรายละเอียดให้มากกว่านี้ ซึ่งหากเกิดความขัดแย้ง
ในการกำ� หนดจำ� นวนขององคค์ ณะแลว้ กจ็ ะยงิ่ สง่ ผลใหเ้ กดิ ความลา่ ชา้ ของกระบวนการ
พจิ ารณาคดี อกี ทง้ั กระบวนการพิจารณาควรมีความยดื หยนุ่ ในการพจิ ารณาคดี เชน่
การรับรองลายมือช่ืออิเล็กทรอนิกส์ การส่งข้อมูลข่าวสารทางคอมพิวเตอร์โดยผ่าน
ทางอินเทอรเ์ น็ตเพื่อเป็นการสอดรบั กับยุคแหง่ ข้อมลู ข่าวสาร

สำ� หรบั ในเรอื่ งการยน่ื คำ� รอ้ งขอแตง่ คณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ขอ้ พพิ าทนน้ั พธิ สี าร
ว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004 ก�ำหนดให้ค�ำร้องขอแต่งต้ัง
คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (Panel) นั้นจะต้องท�ำเป็นหนังสือโดยระบุด้วยว่า
ได้มีการเจรจาปรกึ ษาหารือมาแล้วหรอื ไม่ ท้ังนี้จะตอ้ งระบถุ งึ มาตรการทเ่ี ปน็ ประเดน็
ข้อพพิ าทพรอ้ มทัง้ สรุปประเด็นข้อกฎหมายทีเ่ กย่ี วขอ้ งเพือ่ ทจ่ี ะเขา้ ใจถงึ สภาพปญั หา
อย่างชัดเจนแก่ท่ีประชุมเจ้าหน้าท่ีเศรษฐกิจอาวุโส (SEOM) เพื่อพิจารณาในการ
ประชุมเจ้าหน้าท่ีเศรษฐกิจอาวุโสครั้งแรกท่ีจัดประชุมขึ้นภายหลังจากที่มีค�ำร้อง
ขอให้ตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (Panel) โดยย่ืนค�ำร้องขอดังกล่าวในวาระ
การประชุม ท้ังน้ี คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (Panel) มีอ�ำนาจหน้าที่พิจารณา
คดีข้อพิพาท ข้อเท็จจริงแห่งคดีข้อพิพาท ความตกลงที่เก่ียวข้อง รวมถึงจัดท�ำสรุป

วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ 27

ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

พร้อมทั้งค�ำตัดสิน13 คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (Panel) จะต้องด�ำเนิน
กระบวนการพิจารณาตามบทบัญญัติในพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของ
อาเซียน ค.ศ. 2004 นี้และกระบวนการพิจารณาจะต้องเป็นความลับและกระท�ำ
กนั ระหวา่ งคณะกรรมการวินจิ ฉัยขอ้ พิพาท14

สว่ นในเรอ่ื งของคำ� ฟอ้ งนน้ั ประเทศสมาชกิ ทพ่ี พิ าทแตล่ ะฝา่ ยจะตอ้ งยน่ื คำ� ฟอ้ ง
(Written Submission) ซ่ึงค�ำฟ้องดังกล่าวนี้จะต้องระบุถึงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย
รวมถึงข้อกล่าวอ้างในประเด็นข้อพิพาทและยื่นค�ำฟ้องดังกล่าวต่อคณะกรรมการ
วนิ จิ ฉยั ขอ้ พพิ าท (Panel) กอ่ นการประชมุ ของคณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ขอ้ พพิ าทในครง้ั แรก
โดยในการประชมุ นใ้ี หป้ ระเทศสมาชกิ ทเ่ี ปน็ ฝา่ ยฟอ้ งคดไี ดแ้ สดงความเหน็ ในประเดน็
ข้อพิพาทก่อนประเทศสมาชิกฝ่ายที่ถูกฟ้องคดี ซึ่งพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับ
ข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004 ก�ำหนดกระบวนการรับรองรายงานของ
คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทว่า คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (Panel) จะต้อง
ร่างรายงานค�ำตัดสินโดยพิจารณาจากข้อมูลหรือถ้อยแถลงที่ได้รับจากคู่พิพาท
ท้ังนี้ การด�ำเนินกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (Panel)
จะต้องเป็นความลับและร่างรายงานลับหลังคู่พิพาท15 ซึ่งการรักษาความลับตลอด
กระบวนการพิจารณาคดีของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทน้ันจะสามารถช่วยให้
เกิดความเชื่อใจของคู่พิพาทในการท่ีจะให้ข้อเท็จจริงท่ีเกิดขึ้นอย่างเปิดเผยอันส่งผล
ใหค้ ณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ขอ้ พพิ าทดำ� เนนิ กระบวนการพจิ ารณาคดไี ดอ้ ยา่ งรวดเรว็ และ
จดั ทำ� รายงานออกมาไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและชดั เจนมากย่ิงข้ึน

คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (Panel) ต้องส่งรายงานสรุปข้อเท็จจริงและ
คำ� ตดั สนิ ให้แก่ทีป่ ระชมุ เจา้ หนา้ ท่เี ศรษฐกจิ อาวุโส (SEOM) ภายในระยะเวลา 60 วัน
นบั ตงั้ แตว่ นั ทแ่ี ตง่ ตงั้ คณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ขอ้ พพิ าท สำ� หรบั กรณพี เิ ศษ คณะกรรมการ
วนิ ิจฉัยข้อพิพาท (Panel) อาจขยายระยะเวลาดงั กล่าวเพิม่ อีก 10 วนั กไ็ ด้ แต่จะต้อง
ให้โอกาสประเทศสมาชิกที่พิพาทได้พิจารณารายงานดังกล่าวก่อนส่งไปให้ท่ีประชุม
เจ้าหน้าท่ีเศรษฐกิจอาวุโส (SEOM) รับรองรายงาน ซ่ึงท่ีประชุมเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจ
อาวุโส (SEOM) จะต้องรับรองรายงานของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (Panel)

13 EDSM, Article 7.
14 EDSM, Appendix 1.1,1.2.
15 EDSM, Article 8.5.

28 วารสารวชิ าการนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ

ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

ภายในระยะเวลา 30 วนั นบั จากวนั ท่ีคณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ขอ้ พิพาทส่งมอบรายงาน
เวน้ แตป่ ระเทศสมาชกิ ทพ่ี พิ าทฝา่ ยใดฝา่ ยหนงึ่ แจง้ วา่ จะอทุ ธรณค์ ำ� ตดั สนิ หรอื ทปี่ ระชมุ
เจ้าหน้าท่ีเศรษฐกิจอาวุโส (SEOM) มีฉันทามติไม่รับรองรายงานของคณะกรรมการ
วนิ จิ ฉัยขอ้ พิพาท16

เม่ือพิจารณากระบวนการรับรองรายงานของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท
(Panel) แลว้ พบวา่ มีการใช้ฉนั ทามติแบบกลบั (Negative Consensus) ในการรับรอง
รายงาน ซ่งึ ได้ลอกแบบมาจากความเข้าใจวา่ ดว้ ยการระงับขอ้ พิพาท ค.ศ. 1994 ของ
องค์การการค้าโลก ซึ่งการใช้ฉันทามติแบบกลับนี้จะท�ำให้ประเทศคู่พิพาทคัดค้าน
รายงานค�ำตัดสินได้ยากย่ิงข้ึน ทั้งนี้ยังเป็นการท�ำให้กระบวนการรับรองค�ำตัดสิน
เป็นไปโดยอัตโนมัติอันส่งผลให้เกิดความรวดเร็วในการด�ำเนินกระบวนการตาม
ระยะเวลาท่ีก�ำหนดเอาไว้ส่วนข้อแตกต่างนั้นอยู่ตรงท่ีองค์กรในการรับรองรายงาน
โดยพธิ สี ารวา่ ดว้ ยกลไกการระงบั ขอ้ พพิ าทของอาเซยี น ค.ศ. 2004 กำ� หนดใหท้ ปี่ ระชมุ
เจ้าหน้าที่เศรษฐกิจอาวุโส (SEOM) ท�ำการรับรองรายงาน แต่ในความเข้าใจว่าด้วย
การระงับข้อพิพาท ค.ศ. 1994 ก�ำหนดให้องค์กรระงับข้อพิพาทท�ำการประชุมเพ่ือ
รับรองรายงาน17

4. องค์กรอทุ ธรณ์

พิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004 ได้ก�ำหนด
กระบวนการในการอุทธรณ์ไว้ว่า องค์กรอุทธรณ์ (Appellate Body) จะได้รับการ
แต่งต้ังโดยที่ประชุมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ซึ่งองค์กรอุทธรณ์
จะประกอบไปด้วยสมาชิกจ�ำนวน 7 คน โดยมีวาระด�ำรงต�ำแหน่ง 4 ปี18 สมาชิก
องค์กรอุทธรณ์จะประกอบไปด้วยบุคคลที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเช่ียวชาญ
ด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ หรือด้านเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้พิธีสารว่าด้วย
กลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004 โดยไม่ค�ำนึงถึงสัญชาติและไม่มี
ความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลในเรื่องใดๆ19 ซ่ึงพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาท
ของอาเซียน ค.ศ. 2004 ก�ำหนดให้ที่ประชุมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอาเซียน (AEM)

16 EDSM, Article 9.1.
17 DSU, Article 2.1.
18 EDSM, Article 12.1.
19 EDSM, Article 12.3.

วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษณิ 29

ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564

มอี ำ� นาจหนา้ ทใี่ นการจดั ตงั้ องคก์ รอทุ ธรณข์ นึ้ มาเปน็ องคก์ รเฉพาะ ซง่ึ ไมไ่ ดม้ ลี กั ษณะ
เปน็ องคก์ รถาวร (Standing Appellate Body) เหมอื นอยา่ งองคก์ รระหวา่ งประเทศอนื่ ๆ
เช่น องคก์ รอุทธรณ์ (Appellate Body) ขององค์การการคา้ โลก

ทงั้ น้ี องค์กรอุทธรณ์จะมีองคค์ ณะในการพจิ ารณาคดี 3 คน โดยผลดั เปล่ยี น
หมุนเวียนกันท�ำหน้าท่ีในการพิจารณาคดี และสมาชิกองค์กรอุทธรณ์จะต้อง
ไม่เข้าร่วมในการพิจารณาคดีท่ีตนมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม20
โดยองคก์ รอทุ ธรณม์ อี ำ� นาจหนา้ ทพี่ จิ ารณาคดแี ละตคี วามเฉพาะประเดน็ ขอ้ กฎหมาย
ซึ่งได้ยกข้ึนว่ากันมาแล้วในรายงานของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท โดยองค์กร
อุทธรณ์สามารถยืนตาม (Uphold) แกไ้ ข (Modify) หรือกลับ (Reverse) ค�ำตัดสินของ
คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทก็ได้21 และองค์กรอุทธรณ์จะต้องพิจารณาคดีและ
ทำ� รายงานคำ� ตดั สนิ ใหเ้ สรจ็ สน้ิ ภายในระยะเวลา 60 วนั นบั ตงั้ แตว่ นั ทปี่ ระเทศสมาชกิ
ท่ีพิพาทแจ้งว่าจะอุทธรณ์ค�ำตัดสินของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท (Panel)
หากองค์กรอุทธรณ์พิจารณาแล้วพบว่าไม่สามารถท�ำรายงานค�ำตัดสินให้เสร็จส้ิน
ภายในกำ� หนดระยะเวลา 60 วนั ดงั กลา่ ว กส็ ามารถขยายระยะเวลาดงั กลา่ วไดแ้ ตท่ ง้ั นี้
จะต้องไมเ่ กนิ 90 วัน22

ที่ประชุมเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจอาวุโส (SEOM) จะต้องรับรองรายงานของ
องค์กรอุทธรณ์ภายในระยะเวลา 30 วันนับจากวันที่ส่งรายงานดังกล่าวให้ประเทศ
สมาชิกพิจารณา เว้นแต่ท่ีประชุมเจ้าหน้าท่ีเศรษฐกิจอาวุโส (SEOM) จะมีฉันทามติ
ไม่รับรองรายงานดังกล่าว ซ่ึงการลงมติรับรองหรือไม่รับรองรายงานจะต้องกระท�ำ
ให้เสร็จส้ินภายในระยะเวลา 30 วันนับต้ังแต่วันท่ีส่งรายงานให้แก่ประเทศสมาชิก
พิจารณา23และท้ายที่สุดค�ำตัดสินขององค์กรอุทธรณ์จะต้องไม่เป็นการเพิ่มหรือ
ลดสิทธิพันธกรณีภายใต้ความตกลงน้ัน24 และรายงานค�ำตัดสินจะต้องก�ำหนดราย
ละเอียดค่าใช้จ่ายที่ประเทศสมาชิกคู่พิพาทและฝ่ายที่สาม (Third Party) จะต้อง
รับผิดชอบจ่ายคืนเงินกองทุนกลไกการระงับข้อพิพาท (ASEAN DSM Fund)
โดยจะพจิ ารณาเปน็ รายกรณไี ป25

20 EDSM, Article 12.2.
21 EDSM, Article 12.6.
22 EDSM ,Article 12.5
23 EDSM ,Article 12.13
24 EDSM, Article 14.2.
25 EDSM, Article 14.3.

30 วารสารวิชาการนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ

ปที ่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564

ส�ำหรับกระบวนการระงับข้อพิพาทในอาเซียนโดยทั่วไปน้ัน นับว่ามีวิธีการ
ระงับข้อพิพาทท่ีมีความแตกต่างจากการระงับข้อพิพาทในภูมิภาคอื่นๆ กล่าวคือ
อาเซียนยึดถือแนวทางการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการเจรจาปรึกษาหารืออันเป็นการ
ระงบั ขอ้ พิพาทดว้ ยการทตู ท่ีเรียบง่าย อะลุม่ อลว่ ยซึ่งกันและกัน หลีกเลี่ยงและชะลอ
การเผชญิ หนา้ กนั มากกวา่ ทจี่ ะมาตดั สนิ ชถ้ี กู หรอื ผดิ เพอ่ื เปน็ การรกั ษามติ รภาพระหวา่ งกนั
ซึ่งแนวทางดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดวัฒนธรรมในการด�ำรงอยู่ของอาเซียนหรือที่เรียก
อีกอย่างหนึ่งว่าวิถีอาเซียน (ASEAN Way) ต่อมาภายหลัง อาเซียนจ�ำเป็นท่ีจะต้อง
ปรับเปล่ียนแนวความคิดและกฎเกณฑ์หลายๆ อย่างเพ่ือความอยู่รอดของอาเซียน
ที่มีสาเหตุท้ังปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกจึงได้มีการจัดท�ำกฎบัตรอาเซียนขึ้นมา
ซ่ึงท�ำให้อาเซียนเปลี่ยนแปลงจากองค์กรที่มีฐานทางการเมืองเปลี่ยนไปสู่องค์กรท่ีมี
ฐานทางกฎหมาย กล่าวคอื จะเปน็ องค์กรทด่ี �ำเนนิ การใดๆ ดว้ ยกฎกตกิ าทว่ี างเอาไว้
เคารพในกฎระเบียบ ยึดมั่นในหลักนิติธรรมและหลักธรรมาภิบาลเพ่ือขจัดอุปสรรค
ทัง้ ปวงที่สง่ ผลตอ่ การรวมกลมุ่ ทางเศรษฐกิจของอาเซียน [5]

อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการระงับข้อพิพาท
ทางเศรษฐกิจของอาเซียนให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นหรือพัฒนาให้ดีท่ีสุดเท่าที่
เคยมีมาซ่ึงพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004 (ASEAN
Protocol on Enhanced Dispute Settlement Mechanism 2004) มีวัตถุประสงค์
ท่ีจะระงับข้อพิพาททางเศรษฐกิจโดยอยู่บนหลักการพ้ืนฐานทางกฎหมาย มีความ
เสมอภาค รวดเร็วรวมถึงความมีประสิทธิภาพและเหมาะสมเป็นท่ียอมรับ
แต่ปัจจุบันยังไม่เคยมีข้อพิพาททางเศรษฐกิจของอาเซียนใดเข้าสู่กระบวนการ
ดงั กลา่ วนเี้ ลย ประเทศสมาชกิ อาเซยี นยงั หนั กลบั ไปใชว้ ธิ รี ะงบั ขอ้ พพิ าทแบบวถิ อี าเซยี น
มาใช้แก้ปัญหา เช่น การท�ำข้อตกลงมาเสริมหรือผ่านการเจรจาตกลงแบบทวิภาคี
เพอื่ หาแนวทางออกเปน็ การเฉพาะ หรอื นำ� ขอ้ พพิ าทเขา้ สกู่ ระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าท
ขององค์การการค้าโลก ซึ่งบทความน้ีจะท�ำการศึกษาพิจารณาข้อสังเกตและ
ขอ้ เสนอแนะดงั กลา่ ว

วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ 31

ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564

1. ปญั หาการขาดองคก์ รระงบั ขอ้ พิพาทโดยเฉพาะ

กฎบัตรอาเซียนน้ันได้ก�ำหนดให้ที่ประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นองค์กรสูงสุด
ของอาเซียน ซ่ึงท่ีประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นการประชุมในระดับประมุขของรัฐหรือ
ระดับหัวหน้ารัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนในการท�ำหน้าที่ก�ำหนดนโยบาย
และแนวทางในการร่วมมือของบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียน ท้ังยังมีอ�ำนาจในการ
อนุมัติจัดต้ังหรือยุบองค์กรระดับรัฐมนตรีเฉพาะสาขาและองค์กรอื่นๆ ของอาเซียน
รวมถึงการแต่งต้ังเลขาธิการอาเซียนตามข้อเสนอแนะท่ีประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ
อาเซียนอย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงกระบวนการระงับข้อพิพาทของอาเซียนจาก
กฎบัตรอาเซียนและพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004
พบวา่ มีองคก์ รทีเ่ กี่ยวขอ้ งในกระบวนการระงบั ขอ้ พิพาทหลกั ๆ อยู่ 3 องค์กร26 คอื
ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ท่ีประชุมเจ้าหน้าท่ีเศรษฐกิจอาวุโส
(SEOM) ท่ีประชุมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอาเซยี น (AEM) ซึ่งเมือ่ พจิ ารณาแลว้ จะเป็น
ท่ีประชุมทางการเมืองชนชั้นผู้น�ำเสียส่วนใหญ่ กล่าวคือ เป็นการประชุมระดับผู้น�ำ
การประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน การประชุมระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ
การประชมุ ระดบั รฐั มนตรเี ฉพาะสาขา ซง่ึ ขาดความตอ่ เนอื่ งและความถาวรขององคก์ ร

การที่อาเซียนไม่มีองค์กรระงับข้อพิพาทที่ท�ำหน้าที่โดยเฉพาะเป็นการถาวร
และมคี วามตอ่ เนอ่ื งเหมอื นอยา่ งองคก์ รระงบั ขอ้ พพิ าท (DSB) ขององคก์ ารการคา้ โลก
อาเซยี นมเี พยี งองคก์ รทถี่ กู จดั ตง้ั มาแคเ่ พยี งชวั่ คราว อนั ไดแ้ กท่ ปี่ ระชมุ ในระดบั ตา่ งๆ
เช่น ท่ีประชมุ สดุ ยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ที่ประชมุ เจ้าหน้าทเี่ ศรษฐกจิ อาวโุ ส
(SEOM) และทปี่ ระชมุ รฐั มนตรดี า้ นเศรษฐกจิ อาเซยี น (AEM) ซงึ่ เปน็ เพยี งตวั แทนจาก
ประเทศสมาชิกอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นผู้น�ำหรือตัวแทนด้านเศรษฐกิจที่มารวมตัวกัน
ในคราวหนงึ่ คราวใดเทา่ นนั้ ไมม่ ลี กั ษณะเปน็ องคก์ รถาวรรวมถงึ ยงั ขาดความตอ่ เนอื่ ง
ในการดำ� เนนิ งานหากมกี ารเปลยี่ นแปลงผนู้ ำ� หรอื ตวั แทนของประเทศสมาชกิ ซงึ่ เกดิ ขน้ึ

26 กฎบตั รอาเซยี นไดก้ ำ� หนดใหม้ อี งคก์ รตา่ งๆ ในประชาคมอาเซยี นทงั้ หมด 9 องคก์ ร ไดแ้ ก่ ทป่ี ระชมุ สดุ ยอด
อาเซยี น (ASEAN Summit), คณะมนตรปี ระสานงานอาเซยี น (ASEAN Coordinating Council), คณะมนตรี
ประสานงานประชาคมอาเซยี น (ASEAN Community Councils), องคก์ รระดบั รฐั มนตรเี ฉพาะสาขา (ASEAN
Sectoral Ministerial Bodies), เลขาธิการอาเซียนและสำ� นักงานเลขาธิการอาเซียน (Secretary-General of
ASEAN and ASEAN Secretariat), คณะกรรมการผแู้ ทนถาวรประจ�ำอาเซยี น (Committee of Permanent
Representatives to ASEAN), ส�ำนักงานอาเซียนแห่งชาติองค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียน (ASEAN Human
Rights Body) และมลู นธิ อิ าเซยี น (ASEAN Foundation)

32 วารสารวิชาการนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ

ปที ่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564

บ่อยครั้ง ซ่ึงความไม่ต่อเนื่องในการด�ำเนินงานนี้อาจเป็นอุปสรรคส�ำคัญท่ีถือเป็น
ขอ้ บกพรอ่ งตอ่ กระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าท ดงั นน้ั อาเซยี นควรทจ่ี ะจดั ตงั้ องคก์ รระงบั
ข้อพิพาทขึ้นมาโดยเฉพาะเพ่ือเป็นศูนย์กลางในการท�ำหน้าที่คอยดูแล บริหาร
ออกกฎระเบียบและจัดการกระบวนการระงับข้อพิพาทของอาเซียนท้ังกระบวนการ
เพ่ือเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความมีประสิทธิภาพทั้งกระบวนการพิจารณา
ความถูกต้องของค�ำตัดสินตลอดจนการดูแลการปฏิบัติตามให้เป็นไปตามค�ำตัดสิน
หรือค�ำแนะน�ำ

2. ปญั หากระบวนการพิจารณา

2.1 ปญั หาการใหส้ ทิ ธิในการเลือกเวทีระงับข้อพพิ าท

การให้สิทธิเลือกเวทีระงับข้อพิพาท (Forum Shopping) ได้ก�ำหนดไว้
ในพธิ สี ารวา่ ดว้ ยกลไกการระงบั ขอ้ พพิ าทของอาเซยี น ค.ศ. 2004 ขอ้ 1.3 ซง่ึ บญั ญตั วิ า่
“บทบัญญัติของพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004 น้ี
จะไมก่ ระทบสทิ ธขิ องประเทศสมาชกิ ทจี่ ะใชเ้ วทอี นื่ ๆ ในการระงบั ขอ้ พพิ าททเี่ กย่ี วกบั
ประเทศสมาชิก ประเทศสมาชิกสามารถที่จะใช้เวทีอ่ืนๆ ในการระงับข้อพิพาท
ไดท้ ุกเมือ่ ตราบทยี่ ังไมไ่ ด้มกี ารร้องขอตอ่ ท่ีประชุมเจ้าหนา้ ทีเ่ ศรษฐกิจอาวโุ ส (SEOM)
ให้ท�ำการระงับข้อพิพาทตามข้อ 5 วรรคหน่ึงของพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับ
ขอ้ พพิ าทของอาเซยี น ค.ศ. 2004 น”้ี 27 และเมอ่ื ไดพ้ จิ ารณาประกอบกบั กฎบตั รอาเซยี น
ขอ้ 28 กไ็ ดม้ กี ารบญั ญตั ถิ งึ การใหส้ ทิ ธใิ นการเลอื กเวทรี ะงบั ขอ้ พพิ าทวา่ “หากมไิ ดร้ ะบุ
ไว้เป็นอย่างอ่ืน ประเทศสมาชิกยังคงมีสิทธิท่ีจะใช้วิธีการระงับข้อพิพาทอย่างสันติ
ท่ีระบุไว้ในข้อ 33(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ หรือตราสารทางกฎหมายระหว่าง
ประเทศอนื่ ๆ ทปี่ ระเทศสมาชิกคูพ่ ิพาทเปน็ ภาคี”28

เม่ือพิจารณาท้ังพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน
ค.ศ. 2004 ข้อ 1.3 และกฎบัตรอาเซยี น ข้อ 28 แลว้ การใหส้ ทิ ธใิ นการเลือกเวทีระงบั
ขอ้ พพิ าทนบั วา่ กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาสง่ ผลตอ่ ความเชอื่ มนั่ ของกระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าท
ของอาเซียน เมื่อเกิดข้อพิพาทประเทศสมาชิกอาเซียนกลับหันไปใช้เวทีอ่ืนระงับ

27 EDSM , Article 1.3
28 ASEAN Charter, Article 28 “Unless otherwise provided for in this Charter , Member States have right
of recourse to the modes of peaceful settlement contained in Article 33(1) of the United Nations or any
other international legal instruments to which the disputing Member States are parties.”

วารสารวชิ าการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ 33

ปที ่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564

ขอ้ พพิ าทเสมอ เชน่ ประเทศสมาชกิ อาเซยี นทพี่ พิ าทหนั ไปใชก้ ระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าท
ขององค์การการค้าโลก อีกทั้ง เมื่อพิจารณาดูจากกฎบัตรอาเซียนในข้อ 24.3 แล้ว
พบวา่ ไดม้ กี ารกำ� หนดเอาไวเ้ ปน็ อยา่ งดวี า่ ใหร้ ะงบั ขอ้ พพิ าทใดๆ อนั เกดิ จากการบงั คบั
ใชค้ วามตกลงทางเศรษฐกจิ ของอาเซยี นดว้ ยพธิ สี ารวา่ ดว้ ยกลไกการระงบั ขอ้ พพิ าทของ
อาเซยี น (ASEAN Protocol on Enhanced Dispute Settlement Mechanism 2004)
ซึ่งเท่ากับว่าเกิดความขัดแย้งในตัวบทกฎหมายและเจตนารมณ์แห่งวัตถุประสงค์
ของกฎบัตรอาเซียน

ท้ังนี้ หากพิจารณาเปรียบเทียบกับความเข้าใจว่าด้วยการระงับข้อพิพาท
ค.ศ. 1994 ขององคก์ ารการคา้ โลกแลว้ พบวา่ กระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าทขององคก์ าร
การค้าโลกมีความโดดเด่นมากในเรื่องน้ี ซ่ึงความเข้าใจว่าด้วยการระงับข้อพาท
ค.ศ. 1994 ก�ำหนดว่า “ข้อพิพาทท่ีเกิดข้ึนจะต้องระงับโดยใช้ความเข้าใจว่าด้วยการ
ระงับขอ้ พาท ค.ศ. 1994 เท่านน้ั ประเทศสมาชกิ องค์การการคา้ โลกจะไมส่ ามารถใช้
เวทรี ะงบั ขอ้ พพิ าทอนื่ ๆ ได้ แมว้ า่ จะมกี ระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าทอน่ื ใดนอกเหนอื จาก
กรอบความตกลงขององค์การการค้าโลก”29 ซ่ึงส่งผลให้ข้อพิพาทใดๆ ท่ีเกิดขึ้น
ล้วนได้รับการพิจารณาคดีจากองค์กรระงับข้อพิพาททั้งสิ้น ท้ังน้ี การท่ีความเข้าใจ
ว่าด้วยการระงับข้อพาท ค.ศ. 1994 ได้ก�ำหนดเอาไว้เช่นนี้ก็เพราะว่าท่ีผ่านมานั้น
กระบวนการระงับข้อพิพาทของแกตต์ (GATT) มีความกระจัดกระจาย ไมม่ ีความเป็น
อนั หนึง่ อนั เดียวกนั ค่พู ิพาทสามารถเลือกใชค้ วามตกลงขา้ งเคียง (Side Agreement)
หรือเลือกใช้วิธีการระงับข้อพิพาทท่ีเห็นว่าเกิดประโยชน์หรือเล็งเห็นผลของค�ำตัดสิน
ได้แน่นอนว่าสามารถเป็นฝ่ายชนะคดีได้เหมือนอย่างที่ประเทศสมาชิกอาเซียนก�ำลัง
ประสบพบเจออยู่ในปัจจุบันซ่ึงปัญหาดังกล่าวข้างต้นน้ีส่งผลให้ปัจจุบันไม่เคยมีคดี
ข้อพิพาทใดเขา้ สกู่ ระบวนการระงบั ข้อพพิ าททางเศรษฐกิจของอาเซยี น และประเทศ
สมาชกิ อาเซยี นอาจจะไมน่ ำ� เอากระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าททางเศรษฐกจิ ของอาเซยี น
มาใชเ้ ลย ทง้ั ๆ ทป่ี ระเทศสมาชกิ อาเซยี นควรทจ่ี ะเชอื่ มน่ั ในกระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าท
ทางเศรษฐกิจการค้าของตนเอง

29 DSU, Article 23Strengthening of the Multilateral System “when Members seek the redress of a
violation of obligations or other nullification or impairment of benefits under the covered agreements
or an impediment of any objective of the covered agreement, they shall have recourse to, and abide
by, the rules and procedures of this Understanding.”

34 วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ

ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

2.2 ปัญหาการบังคับให้เปน็ ไปตามคำ� ตัดสนิ ขององค์กรทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
เนอ่ื งจากการปฏบิ ตั ติ ามคำ� ตดั สนิ หรอื คำ� แนะนำ� นน้ั ถอื เปน็ สงิ่ ทมี่ คี วามจำ� เปน็
และสำ� คญั มาก กลา่ วคอื หากกระบวนการดงั กลา่ วบญั ญตั เิ อาไวอ้ ยา่ งชดั เจน มอี งคก์ ร
ที่คอยสอดส่องดูแลการปฏิบัติตามค�ำตัดสินก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้าง
ความเชอ่ื มน่ั นา่ เชอื่ ถอื ใหแ้ กก่ ระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าท ซงึ่ กระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าท
ทางเศรษฐกิจของอาเซียนนั้น พิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน
ค.ศ. 2004 ก�ำหนดว่า “ประเทศสมาชิกฝ่ายท่ีแพ้คดีจะต้องปฏิบัติตามค�ำตัดสินหรือ
ค�ำแนะน�ำของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทหรือองค์กรอุทธรณ์ภายในระยะเวลา
60 วันนับตั้งแต่วันท่ีที่ประชุมเจ้าหน้าท่ีเศรษฐกิจอาวุโส (SEOM) รับรองรายงาน30
อย่างไรก็ตาม ภายในระยะเวลา 14 วันนับตั้งแต่วันที่ท่ีประชุมเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจ
อาวโุ ส (SEOM) ไดร้ บั รองรายงาน ประเทศสมาชกิ ฝา่ ยทแี่ พค้ ดอี าจขอขยายระยะเวลา
ในการปฏิบัติตามค�ำตัดสินได้หากจำ� เป็น ทั้งน้ี ประเทศสมาชิกฝ่ายที่ชนะคดีจะต้อง
ไมป่ ฏิเสธค�ำขอขยายระยะเวลาโดยไมม่ ีเหตุผล31

ประเทศสมาชิกฝ่ายท่ีแพ้คดีจะต้องท�ำรายงานเสนอต่อท่ีประชุมเจ้าหน้าที่
เศรษฐกิจอาวุโส (SEOM) เพ่ือรายงานความคืบหน้าในการปฏิบัติตามค�ำตัดสิน32
ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกท่ีพิพาทอาจขอให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตาม
(Compliance Panel) เพ่ือตรวจสอบว่าประเทศสมาชิกฝ่ายท่ีแพ้คดีได้ปฏิบัติตาม
คำ� ตดั สนิ หรอื ไม่ ซง่ึ หากเปน็ ไปไดค้ ณะกรรมการตรวจสอบการปฏบิ ตั ติ าม (Compliance
Panel) อาจมาจากคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีเดิมก็ได้ และจัดท�ำรายงาน
ใหเ้ สรจ็ ภายใน 60 วัน”33

จากการศึกษาประเด็นปัญหาการบังคับให้เป็นไปตามค�ำตัดสินขององค์กร
ทเ่ี กยี่ วขอ้ งนน้ั พบว่าพิธีสารวา่ ด้วยกลไกการระงับขอ้ พิพาทของอาเซยี น ค.ศ. 2004
มขี ้อบกพรอ่ งดงั นี้

1. ความไม่ชัดเจนของวิธีการในการขยายระยะเวลา พิธีสารว่าด้วยกลไก
การระงบั ขอ้ พพิ าทของอาเซยี น ค.ศ. 2004 กำ� หนดเอาไวแ้ ตเ่ พยี งวา่ “ประเทศสมาชกิ

30 EDSM, Article 15.1.
31 EDSM, Article 15.2,15.3.
32 EDSM, Article 15.4.
33 EDSM, Article 15.5.

วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ 35

ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564

ฝา่ ยทแ่ี พค้ ดอี าจขอขยายระยะเวลาในการปฏบิ ตั ติ ามคำ� ตดั สนิ ได้ ทง้ั นี้ ประเทศสมาชกิ
ฝา่ ยทช่ี นะคดจี ะตอ้ งไมป่ ฏเิ สธคำ� ขอขยายระยะเวลาโดยไมม่ เี หตผุ ล” แตไ่ มไ่ ดก้ ำ� หนด
ไวว้ า่ จะสามารถขยายระยะเวลาไดเ้ พยี งใดซง่ึ อาจสง่ ผลใหก้ ระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าท
เกิดความล่าช้าโดยไม่จ�ำเป็น ท้ังนี้เม่ือเปรียบเทียบกับความเข้าใจว่าด้วยการระงับ
ขอ้ พพิ าท ค.ศ. 1994 แลว้ พบวา่ ใหอ้ งคก์ รระงบั ขอ้ พพิ าทกำ� หนดระยะเวลาทเี่ หมาะสม
(reasonable of time) เพ่ือให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตาม ซ่ึงระยะเวลาท่ีเหมาะสมน้ี
จะต้องมีก�ำหนดระยะเวลาไม่เกิน 18 เดือนนับต้ังแต่วันท่ีมีการรับรองรายงานของ
คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทหรือขององค์กรอุทธรณ์ ดังนั้น พิธีสารว่าด้วยกลไก
การระงบั ขอ้ พพิ าทของอาเซยี น ค.ศ. 2004 จงึ ควรนำ� เอาบทบญั ญตั เิ กยี่ วกบั การขยาย
ระยะเวลาขององค์การการค้าโลกมาเป็นแบบอย่าง34 แต่อาจแก้ไขในส่วนของระยะ
เวลาท่ีเหมาะสม ซึ่งควรก�ำหนดให้ส้ันกว่าความเข้าใจว่าด้วยการระงับข้อพาท
ค.ศ. 1994 เนือ่ งจากว่าประเทศสมาชกิ ของอาเซยี นมเี พยี ง 10 ประเทศ ความย่งุ ยาก
หรือความซับซ้อนในการปฏิบัติตามค�ำตัดสินหรือค�ำแนะน�ำอาจมีน้อยกว่าองค์การ
การค้าโลกซง่ึ มปี ระเทศสมาชิกจำ� นวนมากหลายเทา่

2. ความไม่ชัดเจนของการจัดท�ำรายงานความคืบหน้าของประเทศผู้แพ้คดี
พธิ ีสารวา่ ดว้ ยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซยี น ค.ศ. 2004 กำ� หนดไวเ้ พยี งแตว่ า่
“ประเทศสมาชิกฝ่ายท่ีแพ้คดีจะต้องท�ำรายงานเสนอต่อท่ีประชุมเจ้าหน้าที่เศรษฐกิจ
อาวโุ ส (SEOM) เพอื่ รายงานความคบื หนา้ ในการปฏบิ ตั ติ ามคำ� ตดั สนิ ” ซงึ่ การกำ� หนด
เอาไว้เพียงเท่าน้ี อาจท�ำให้เกิดปัญหาว่ารายงานดังกล่าวนี้จะต้องยื่นต่อที่ประชุม
เจ้าหน้าท่ีเศรษฐกิจอาวุโส (SEOM) ภายในก�ำหนดระยะเวลาเท่าใดหรือส่งรายงาน
บ่อยแค่ไหน [6] ซึ่งส่งผลให้ขาดความชัดเจนของกระบวนการดังกล่าว ท้ังน้ี
เม่ือเปรียบเทียบกับความเข้าใจว่าด้วยการระงับข้อพาท ค.ศ. 1994 แล้ว พบว่า
กำ� หนดใหป้ ระเทศสมาชกิ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งมหี นา้ ทใ่ี นการจดั ทำ� รายงานความคบื หนา้ ในการ
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ เสนอแนะหรอื คำ� ชขี้ าดเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรใหแ้ กอ่ งคก์ รระงบั ขอ้ พพิ าท
อย่างน้อย 10 วันก่อนการประชุมขององค์กรระงับข้อพิพาทเช่นว่าน้ันในแต่ละคร้ัง
ซึ่งการก�ำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนเช่นน้ีจะช่วยท�ำให้กระบวนการปฏิบัติตามค�ำตัดสิน
เกิดประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน ดังน้ัน พิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของ
อาเซยี น ค.ศ. 2004 จึงควรนำ� เอาบทบญั ญตั ิเกย่ี วกบั การจัดทำ� รายงานความคืบหน้า

34 DSU,Article 21,22.

36 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ

ปีท่ี 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564

ในการปฏิบัติตามค�ำตัดสินขององค์การการค้าโลกมาเป็นแม่แบบในการปรับปรุง
กระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าทของอาเซียนต่อไป

อย่างไรก็ตาม เม่ือพิจารณาจากกฎบัตรอาเซียนในข้อ 27 พบว่า ก�ำหนดให้
เลขาธิการอาเซียนโดยการช่วยเหลือของส�ำนักงานเลขาธิการอาเซียนหรือองค์กร
อาเซียนอ่ืนๆ ท่ีได้รับการแต่งตั้งจะต้องสอดส่องดูแลการปฏิบัติตามผลการวินิจฉัย
ขอ้ เสนอแนะหรอื ขอ้ ตดั สนิ ใจซง่ึ เปน็ ผลมาจากกระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าทของอาเซยี น
และส่งรายงานไปยังที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งถือเป็นแรงกดดันอีกอย่างหน่ึง
ที่นับว่ามีประสิทธิภาพในการช่วยสอดส่องดูแลการปฏิบัติตามค�ำตัดสินดังกล่าว
แตจ่ ะตอ้ งไมเ่ ปน็ การซำ�้ ซอ้ นอำ� นาจหนา้ ทข่ี องคณะกรรมการตรวจสอบการปฏบิ ตั ติ าม
(Compliance Panel) ที่ประเทศสมาชิกคู่พิพาทรอ้ งขอให้มกี ารจัดตงั้ ขึ้นมาดว้ ย35

2.3 ปัญหาการลงมติ
ปญั หาสำ� คัญท่ไี ด้รับการวิพากษ์วิจารณ์มาในชว่ งระยะหลงั ๆ ทีอ่ าจส่งผลเสีย
ต่อการด�ำเนินงานของอาเซียนอีกอย่างหน่ึงคือ การลงมติหรือการท�ำค�ำตัดสิน
ซ่ึงปัจจุบันการลงมติของอาเซียนหรือการท�ำค�ำตัดสินของอาเซียนใช้หลักฉันทามติ
(Consensus) ซง่ึ หมายถงึ การลงมตใิ ดๆ ในเร่ืองใดเรอื่ งหนึ่งนั้นจะสามารถกระทำ� ได้
ก็ต่อเมื่อสมาชิกทุกคนเห็นพ้องต้องตรงกันโดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคัดค้าน (Veto)
หากสมาชกิ ใดคัดคา้ นก็จะท�ำให้มตใิ นเรอ่ื งน้ันๆ ตกไปหรอื สนิ้ ผลไป
เมื่อพิจารณาจากกฎบัตรอาเซียนแล้วพบว่า หลักฉันทามติ (Consensus)
ได้ปรากฏอยู่ในหมวด 7 ขอ้ 20 เร่อื งการปรกึ ษาหารือและฉนั ทามติ ดงั นี้
กฎบัตรอาเซียน ข้อ 20.1 บัญญัติว่า “โดยหลักการพื้นฐาน ให้การตัดสินใจ
ของอาเซียนอยู่บนพ้ืนฐานของการปรึกษาหารือและฉันทามติ (Consultation and
Consensus)
ทั้งน้ี ในการอนุวัติข้อผูกพันทางด้านเศรษฐกิจการค้าอาจน�ำเอาสูตรการ
เข้าร่วมแบบยืดหยุ่น รวมถึงสูตรอาเซียนที่ไม่รวมประเทศสมาชิกบางรัฐมาใช้หาก
มฉี นั ทามติ (ASEAN Minus X)”

35 EDSM, Article 15.5.

วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ 37

ปที ี่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564

กฎบัตรอาเซียน ข้อ 20.2 บัญญัติว่า “หากไม่สามารถหาฉันทามติได้
ทป่ี ระชมุ สดุ ยอดอาเซยี น (ASEAN Summit) อาจตดั สนิ วา่ การตดั สนิ ใจเรอ่ื งใดเรอ่ื งหนง่ึ
จะสามารถทำ� ไดอ้ ยา่ งไร”

เม่ือพิจารณาข้างต้นแล้วจะเห็นได้ว่า กระบวนการตัดสินใจของอาเซียนใน
การลงมตเิ รอื่ งใดเรอื่ งหนงึ่ นนั้ จะตดั สนิ อยบู่ นพนื้ ฐานของหลกั ฉนั ทามติ (Consensus)
ซง่ึ อาจกอ่ ใหเ้ กิดความลา่ ชา้ กลา่ วคือ หากอาเซียนจะตดั สินใจหรือลงมตใิ นเร่อื งใดๆ
แลว้ ประเทศสมาชกิ อาเซยี นทงั้ หมดหรอื ทปี่ ระชมุ จะตอ้ งยนิ ยอมเหน็ ชอบดว้ ยทง้ั หมด
ซงึ่ ในทางปฏบิ ตั พิ บวา่ มกั จะมกี ารคดั คา้ นหรอื โตแ้ ยง้ อยเู่ สมอทำ� ใหเ้ รอ่ื งใดๆ ทจี่ ะตอ้ ง
ตดั สนิ ใจหรอื ลงมตนิ นั้ ไมส่ ามารถสำ� เรจ็ ลงไดด้ ว้ ยหลกั การใชฉ้ นั ทามติ และหากมองถงึ
ในด้านเศรษฐกิจน้ัน กระบวนการตัดสินใจนอกจากจะยึดหลักฉันทามติแล้ว ยังได้
น�ำเอาหลัก ASEAN Minus-X มาใช้บังคับด้วย36 ซึ่งถือเป็นหลักการท่ีช่วยให้
กระบวนการลงมติของอาเซียนสามารถกระท�ำได้รวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม กล่าวคือ
หากมีการเจรจาตกลงกันถึงมาตรการทางการค้าท่ีจะเปิดเสรีการค้าในอาเซียน
ประเทศสมาชกิ ใดมคี วามพรอ้ มกส็ ามารถทจ่ี ะดำ� เนนิ การรว่ มกนั ไปกอ่ น สว่ นประเทศ
สมาชิกท่ียังไม่พร้อมที่จะเปิดเสรีทางการค้านั้นก็ค่อยเข้ามาร่วมด�ำเนินการได้
เมอื่ มคี วามพรอ้ มแตใ่ นระหวา่ งนนั้ จะไมส่ ามารถไดร้ บั ผลประโยชนใ์ ดๆ ในทางการคา้
ร่วมกับประเทศที่มีความพร้อมท่ีด�ำเนินการไปก่อนแล้ว ซ่ึงตรงนี้ หากมองในแง่ดี
ก็จะก่อให้เกิดแรงกดดันส�ำหรับประเทศที่ยังไม่มีความพร้อมที่ต้องการผลประโยชน์
ในทางการคา้ จากการเปดิ เสรรี ว่ มกนั แตห่ ากมองในแงล่ บแลว้ นนั้ หลกั ASEAN Minus X
อาจสง่ ผลใหก้ ารดำ� เนนิ การตา่ งๆ ของอาเซยี นใชร้ ะยะเวลานาน สง่ ผลใหเ้ กดิ ความลา่ ชา้ ได้

ดังนัน้ เพอ่ื ใหป้ ระเทศสมาชกิ อาเซียนมกี ารพัฒนาไปในแนวทางเดยี วกันและ
แก้ไขปัญหาการคัดค้านของประเทศสมาชิกส่วนน้อยท่ีอาจท�ำให้กระบวนการต่างๆ
ของอาเซยี นเกดิ ความลา่ ชา้ อกี ทง้ั ยงั เปน็ ไปตามทฤษฎเี กยี่ วกบั การรวมกลมุ่ ทางการเมอื ง
(Political Integration Theory) ในเร่ืองของการลงมติ จึงสมควรน�ำเอาการตัดสินใจ
ลงมตแิ บบเสียงข้างมาก (Simple Majority) มาใชใ้ นประชาคมอาเซยี นโดยอาจนำ� มา
ปรับใช้ในประชาคมด้านเศรษฐกิจก่อนแล้วค่อยน�ำเอาไปปรับใช้กับประชาคม
ด้านอื่นๆ ของอาเซยี น

36 ASEAN Charter 20.1.

38 วารสารวิชาการนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ

ปีที่ 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564

นอกจากน้ี การท่ีประเทศสมาชิกในอาเซียนไม่เคยใช้กระบวนการระงับ
ข้อพิพาทตามพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาทของอาเซียน ค.ศ. 2004
เลย อาจเปน็ เพราะอาเซยี นยงั คงยดึ ตดิ และยดึ มน่ั ในวถิ อี าเซยี น กลา่ วคอื ประเทศสมาชกิ
อาเซยี นมกั ใชว้ ธิ กี ารระงบั ขอ้ พพิ าทระหวา่ งกนั โดยอาศยั วถิ แี หง่ อาเซยี น (ASEAN Way)
ซง่ึ วถิ แี หง่ อาเซยี นหรอื มรรควธิ แี หง่ อาเซยี นถอื เปน็ แนวทางในการดำ� เนนิ ความสมั พนั ธ์
ระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งอาเซียนจะให้ความส�ำคัญกับกลไกหรือการด�ำเนินงาน
ที่ไม่เป็นทางการ (informal) ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ อาเซียนเน้น
การเจรจาปรกึ ษาทางการทตู หรอื การประนปี ระนอมกนั มากกวา่ จะชถี้ กู หรอื ชผ้ี ดิ อนั เปน็
การเสริมสร้างมิตรภาพหรือน�้ำใจกันระหว่างประเทศสมาชิกรวมถึงอัตลักษณ์ค่านิยม
ร่วมกันระหว่างบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียนที่เคารพอ�ำนาจอธิปไตยโดยจะ
ไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน (Non-Intervention) ค�ำว่า “วิถีแห่งอาเซียน”
จึงได้รับการน�ำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย จากประสบการณ์ของอาเซียนท่ีผ่านมาน้ัน
อาเซียนมีการจัดท�ำข้อตกลงร่วมกันต่างๆ มากมายแต่กลับละเลยในการปฏิบัติตาม
ข้อผูกพันอย่างเคร่งครัดรวมถึงยังขาดมาตรการบังคับทางกฎหมายท่ีมีประสิทธิภาพ
ส�ำหรับการระงับข้อพิพาทนั้น ประเทศสมาชิกพยายามที่จะหลีกเล่ียงหรือชะลอ
ความขดั แยง้ ทม่ี อี ยโู่ ดยเนน้ การพดู จาเจรจาปรกึ ษาหารอื กนั ระหวา่ งผนู้ ำ� ของประเทศ
สมาชกิ [7]

บทสรุป

ประชาคมอาเซยี น (ASEAN Community) กอ่ ตง้ั ขนึ้ มาเพอ่ื สง่ เสรมิ ความรว่ มมอื
และความก้าวหน้าท้ังในด้านการเมือง ความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม
วัฒนธรรมระหว่างกัน การรวมตัวกันเป็นประชาคมของอาเซียนเป็นปัจจัยส�ำคัญ
ที่จะช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
ทางการค้ากับนานาประเทศ ซ่งึ นโยบายด้านเศรษฐกิจของอาเซียนนั้นได้มกี ารจัดทำ�
แผนงานในเชงิ บูรณาการทปี่ รากฏอยใู่ นพมิ พเ์ ขียวประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC
Blueprint) เพื่อสร้างพนั ธะสญั ญาระหว่างประเทศสมาชกิ ทมี่ ุ่งสง่ เสริมให้อาเซยี นเป็น
ตลาดเดยี ว มฐี านการผลติ รว่ มกนั มกี ารเปดิ ตลาดอยา่ งเสรแี ละลดอปุ สรรคทางการคา้
ใหน้ อ้ ยที่สดุ เทา่ ที่จะเปน็ ไปได้ ทง้ั ในด้านสินคา้ การบริการ เงินทนุ และแรงงานฝมี อื

วารสารวชิ าการนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ 39

ปีท่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564

เมือ่ พิจารณากลับไปถึงกระบวนการระงบั ขอ้ พพิ าททางเศรษฐกจิ ของอาเซยี น
ต้ังแต่ในช่วงแรกๆ เช่น ความร่วมมือในการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA)
การระงับข้อพิพาทต่างๆ ที่เกิดข้ึนจะเร่ิมจากการรอมชอม ประนีประนอมโดยเน้น
การเจรจาปรึกษาหารือกันอย่างฉันท์มิตรระหว่างกัน หากยังไม่สามารถระงับ
ข้อพิพาทเช่นว่าน้ันได้ก็อาจมีการส่งประเด็นข้อพิพาทให้ที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ
อาเซียน (AEM) หรือท่ีประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) เพื่อหาทางออก
ใหแ้ กป่ ระเทศสมาชกิ ซงึ่ จะเหน็ ไดว้ า่ ทป่ี ระชมุ อาเซยี นตา่ งๆ ทกี่ ลา่ วมานลี้ ว้ นคดั เลอื ก
มาจากตวั แทนของแตล่ ะประเทศสมาชกิ ลว้ นแลว้ แตเ่ ปน็ ตวั แทนทางการเมอื ง ดงั นนั้
เมื่อให้ตัวแทนทางการเมืองเหล่านี้มาระงับข้อพิพาทต่างๆ ที่เกิดข้ึนก็ย่อมที่จะใช้
วิธีการทางการเมือง ความสัมพันธ์ทางการทูตหรือส่วนตัวเข้าแก้ไขปัญหาข้อพิพาท
ดังกล่าวซ่ึงอาจมีท้ังข้อดีและข้อเสีย แต่จะพบว่ายิ่งอาเซียนมีความร่วมมือ
ทางเศรษฐกิจภายในอาเซียนหรือท�ำความตกลงทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่นๆ
นอกอาเซียนมากข้ึนเท่าใดก็จะพบว่าส่ิงที่จะส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
ในการร่วมมือกันคือ กติกาหรือกฎหมายออกมาใช้บังคับ ซึ่งต่อมาก็มีการพัฒนา
กลไกการระงบั ข้อพพิ าทโดยมกี ารองิ กฎเกณฑท์ างกฎหมาย (Rule-Based) มากยงิ่ ขนึ้
ซึ่งปรากฏอยู่ในกฎบัตรอาเซียนรวมถึงพิธีสารว่าด้วยกลไกการระงับข้อพิพาท 2004
ด้วยแต่ท้ังนี้ บทบัญญัติในบางข้อของกฎบัตรอาเซียนยังมีความคลุมเครือและ
อาจไม่ส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพเหมือนอย่างที่ประเทศสมาชิกคาดหวังเอาไว้ว่า
กฎบัตรอาเซียนจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอาเซียนด้วยการลบภาพ
เกา่ ๆ ทีเ่ คยเกดิ ขึ้นมาออกให้หมด ซงึ่ ในท้ายทสี่ ุดแลว้ กฎบตั รอาเซียนยังไมส่ ามารถ
ตดั ปญั หาเดมิ ๆ ออกไปไดท้ ง้ั หมด ทงั้ น้ี คงตอ้ งรอดกู ารปรบั ปรงุ แกไ้ ขกฎบตั รอาเซยี น
และพิธีสารอ่ืนๆ ในอนาคตข้างหน้าโดยอาจจะต้องฝากความหวังไว้กับผู้น�ำยุคใหม่
หรือประชาชนคนอาเซียนรุ่นใหม่ต่อไปภายใต้วิสัยทัศน์ท่ีจะท�ำให้อาเซียนประสบ
ความส�ำเร็จและม่ันคง ประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องยอมสละผลประโยชน์
บางประการเพอ่ื ผลประโยชนส์ ว่ นรวม เนน้ การพงึ่ พาอาศยั กนั ระหวา่ งประเทศสมาชกิ
ทมี่ คี วามเกยี่ วพนั กนั ในทางภมู ศิ าสตร์ อกี ทง้ั ยงั ตอ้ งยดึ มน่ั ในหลกั การและวตั ถปุ ระสงค์
อย่างจริงจังในการร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติตามพันธกรณีแห่งความตกลงเพื่อน�ำไป
สูค่ วามสำ� เรจ็ ตามเปา้ หมาย

40 วารสารวิชาการนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ

ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564


Click to View FlipBook Version