เอกสารอา้ งอิง
[1] ประภสั สร์ เทพชาตรี. (2554). ประชาคมอาเซยี น. กรงุ เทพฯ : สำ� นักพิมพ์เสมาธรรม.
[2] พชั ร์ นิยมศิลป. (2552). กลไกระงับข้อพพิ าทในอาเซียนกบั การเปน็ องคก์ รทีม่ ี
ฐานทางกฎหมาย. วารสารกระบวนการ ยตุ ิธรรม กระทรวงยตุ ิธรรม, 4(2),
111-132.
[3] HadiSoesastro. (2008). The ASEAN Community : Unblocking the
Roadblocks. Institution of Southeast Asian Studies(ISEAS). ASEAN
Studies Centre : Singapore, Report No.1. 36.
[4] ประสทิ ธ์ิ เอกบตุ ร. (2550). การระงบั ข้อพพิ าททางการค้าของไทยใน WTO.
เอกสารวิชาการหมายเลข 13. โครงการ WTO Watch (จบั กระแสองค์การ
การคา้ โลก). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
[5] พิชัยศักดิ์ หรยางกรู . (2549). รวมขอ้ เขยี นเกีย่ วกบั การระงบั ข้อพิพาททางการคา้ .
กรุงเทพฯ : สำ� นกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
[6] ทัชชมัย ฤกษะสตุ , และแอน พลอยส่องแสง. (2545). กระบวนการระงบั
ขอ้ พิพาท : WTO และASEAN. วารสารกฎหมาย คณะนิติศาสตร์
จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 21(1), 415-430.
[7] พิมพพ์ สุ จวบความสุข. (2551). การระงบั ขอ้ พิพาทในเขตการคา้ เสรีท่ปี ระเทศไทย
เข้ารว่ มเป็นสมาชกิ : เขตการคา้ เสรอี าเซยี น (AFTA), เขตการคา้ เสรไี ทย-
ออสเตรเลีย (TAFTA), เขตการค้าเสรไี ทย-นวิ ซีแลนด์ (TNZCEPA) และ
เขตการค้าเสรอี าเซียน-จนี (ACFTA). (วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑติ ),
กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.
วารสารวชิ าการนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ 41
ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
ปญั หาและอปุ สรรคทางกฎหมายทเ่ี กิดจากสัญญาขายฝาก
อสังหารมิ ทรัพย์
Legal problems and obstacles Arising Contracts Immovable
Property Sale with Redemption Right
ประทีป ทบั อัตตานนท1์
Pratheep Tabauttanon1
Received : August 26, 2020
Revised : October 20, 2020
Accepted : December 18, 2020
1 รองศาสตราจารย(์ พิเศษ) ดร., ผพู้ พิ ากษาอาวุโสในศาลแพง่ กรงุ เทพฯ 10900 43
1 Assoc. Prof. Dr., Senoir Judge, Civil Court, 10900, Thailand
วารสารวชิ าการนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ
ปีที่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564
บทคัดย่อ
บทความนี้ศึกษาสัญญาขายฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ท่ีก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ขายฝากซ่ึงท�ำให้การขายฝากในลักษณะการกู้เงินนี้
เป็นนิติกรรมอ�ำพราง มีผลทางกฎหมายท�ำให้การขายฝากเป็นโมฆะ ต้องบังคับตาม
นติ กิ รรมทถ่ี กู อำ� พรางคอื การกยู้ มื เงนิ การฟอ้ งคดที างแพง่ ผขู้ ายฝากไมส่ ามารถพสิ จู น์
ถึงความจริงดังกล่าวได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อจ�ำกัดทางพยานหลักฐานทางคดี หรือความ
ไม่ร้กู ฎหมายของผ้ขู ายฝาก แม้รัฐจะมมี าตรการทางกฎหมายในการตรวจสอบเจตนา
ของผู้ขายฝากแลว้ ตามกฎกระทรวงฉบบั ท่ี 33 (พ.ศ. 2526) ออกตามพระราชบญั ญัติ
ใหใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายทดี่ นิ พ.ศ. 2497 เรอื่ งวธิ กี ารจดทะเบยี นนติ กิ รรมการขายฝากไว้
กำ� หนดใหพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ทท่ี ำ� การสอบสวนใหช้ ดั เจนวา่ คกู่ รณมี เี จตนาแทจ้ รงิ ในการ
ขายฝากที่ดินหรือไม่ และมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการท�ำ
สัญญาขายฝากทีด่ นิ เพอ่ื เกษตรกรรมหรือทอ่ี ยอู่ าศัย พ.ศ. 2562 แตก่ ฎหมายเนน้ แต่
เฉพาะที่ดินเกษตรกรรมหรือท่ีอยู่อาศัยและวิธีการวางสินไถ่หรือใช้สินไถ่ให้แก่
ผซู้ ื้อฝากเปน็ สำ� คัญเทา่ น้นั
จากการศึกษาพบว่ากฎหมายการขายฝากอสังหาริมทรัพย์ตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ยส์ มควรมกี ารแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ในสว่ นทม่ี มี าตรการทางกฎหมาย
ทอี่ าจแทรกแซงการทำ� นิติกรรมการขายฝากอสงั หารมิ ทรพั ยข์ องประชาชน เพ่อื สรา้ ง
ความม่ันใจว่าคู่สัญญาต้องการท�ำสัญญาขายฝากอย่างแท้จริงและเพื่อคุ้มครอง
คู่สัญญาจากสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ท่ีเป็นนิติกรรมอ�ำพราง แต่นิติกรรม
การขายฝากยังอาจมีประโยชน์โดยตรงแก่ประชาชนที่มีเจตนาในการขายฝาก
อสังหาริมทรัพย์อย่างแท้จริง โดยน�ำเอาอสังหาริมทรัพย์น้ันมาขายฝากจริง และ
มีเจตนาในการซ้ือคืนโดยการไถ่ทรัพย์ กฎหมายควรมีบทบาทในการคุ้มครองเจตนา
เช่นน้ีด้วย โดยการใช้กฎหมายว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์และว่าด้วยสัญญา
จะซอื้ คนื แทนการแสดงเจตนาการขายฝากรฐั ควรมมี าตรการทางกฎหมายในการคมุ้ ครอง
การแสดงเจตนาทำ� นิตกิ รรมขายฝากอสังหารมิ ทรพั ย์ โดยการยกเลิกกฎหมายวา่ ดว้ ย
การขายฝากอสังหาริมทรัพย์เสีย และให้ใช้กฎหมายว่าด้วยการซ้ืออสังหาริมทรัพย์
และสัญญาจะซือ้ คืนอสงั หารมิ ทรพั ยแ์ ทน
คำ� ส�ำคญั : นติ กิ รรมการขายฝาก, นติ ิกรรมอ�ำพราง, คุม้ ครองประชาชน
44 วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ
ปที ี่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564
Abstract
The research article is a study of the Civil and Commercial Code relating
to the legal provisions on sale with right of redemption which lead the unfairness
to the seller. Consequently, this leads a sale with redemption right in context of
a loan agreement is a fictitious contract made to conceal another juristic act and
become a void act. For this reason, the provisions of law relating to a concealed
act shall be applied. According to the Civil lawsuits, buyers often fail to prove the
truth which may result from evidence limitations or law ignorance of the buyer.
Moreover, the government has imposed legal measures to check the will of
seller accordance with the Ministerial Regulation No.33 (B.E.2526), provides the
registration method of a sale with redemption right in the Act Promulgating the
Land Code B.E.2497 by requiring an official to seek the real intent of parties for
land sale with redemption, and enforce the Act on Protection of Persons Making
a Contract of Sale with Right of Redemption for Agricultural or Residential Land
B.E. 2562. However, these laws emphasize only agricultural and residential land
and the measures to redeem the deposit of the price of redemption.
It can be stated that the sale with redemption right may produce a direct
benefit to people who have the actual intention to be bound by the contract.
Therefore, the sale with right of redemption should be amended in areas of
legal measures that may interfere the sale with redemption right of the parties
in order to assure the party’s will and to protect the parties’ benefits from
invalidity of such contract. Moreover, the lawshould play the role to protect such
intents by applying the law of the sale of immovable property and the law of the
repurchasing contract instead of the current contract law.
Keywords : sale with right of redemption, concealed act, publicprotection
วารสารวชิ าการนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ 45
ปที ี่ 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
ความเปน็ มาและความสำ� คญั ของปัญหา
บทความน้ีผู้ศึกษามีจุดประสงค์ในการศึกษากฎหมายว่าด้วยการขายฝาก
อสังหาริมทรัพย์เท่าน้ัน ด้วยเห็นว่า การขายฝากอสังหาริมทรัพย์มีผลทางกฎหมาย
ที่รุนแรงกว่าการขายฝากสังหาริมทรัพย์ หากพิจารณาจากประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณชิ ยใ์ นสว่ นทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การขายฝาก (มาตรา 491 ถงึ มาตรา 502) แลว้ เหน็ วา่
สญั ญาขายฝากเปน็ สญั ญาประเภทหนงึ่ ทค่ี สู่ ญั ญาทำ� สญั ญาตอ่ กนั วา่ จะมกี ารขายทรพั ย์
และผู้จะซื้อทรัพย์น้ันยินยอมให้ผู้จะขายทรัพย์ท�ำการซ้ือทรัพย์คืนโดยใช้ค�ำว่า
“ไถท่ รพั ย”์ แทนการ “ซอ้ื คนื ” และผลประโยชนท์ ผ่ี ซู้ อ้ื ทรพั ยไ์ ดจ้ ากผขู้ ายทรพั ยค์ รงั้ แรก
คอื ราคาสนิ ไถห่ รอื ราคาขายฝากทกี่ ำ� หนดไวส้ งู กวา่ ราคาขายฝากทแ่ี ทจ้ รงิ ซงึ่ กฎหมาย
ค�ำนวณให้ไม่เกนิ อัตราร้อยละ 15 ตอ่ ปี จะเหน็ ว่า ที่แท้จริงการขายฝากดังกลา่ วกค็ ือ
การกยู้ มื เงนิ ทมี่ ที รพั ยท์ ขี่ ายฝากเปน็ อปุ กรณท์ ค่ี ำ้� ประกนั วา่ เจา้ หนจี้ ะไดร้ บั การชำ� ระหนี้
คืนรวมทัง้ ผลประโยชนไ์ ม่วา่ จะเรียกวา่ อยา่ งไรก็ตาม โดยหนีอ้ ปุ กรณ์ท่มี ีวตั ถุประสงค์
ในการเป็นประกันการช�ำระหน้ีดังกล่าวเช่นนี้ ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
กม็ กี ฎหมายวา่ ดว้ ยการจำ� นองและจำ� นำ� อนั เปน็ หนอี้ ปุ กรณข์ องมลู หนยี้ มื และถอื เปน็
หนบ้ี รุ มิ สทิ ธดิ ว้ ย แตเ่ มอื่ พจิ ารณาถงึ กฎหมายวา่ ดว้ ยการขายฝากในประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์แล้ว จะเห็นว่า กฎหมายประสงค์ให้การขายฝากเป็นส่วนหน่ึงของ
การขาย โดยก�ำหนดการขายฝากให้อยู่ในหมวด 4 เรื่องการซื้อขายเฉพาะบางอย่าง
ในสว่ นท่ี เรอื่ งการขายฝาก โดยก�ำหนดเง่ือนไขในสัญญาว่า การขายฝากเป็นการขาย
ประเภทหน่ึงท่ีกรรมสทิ ธิ์ในทรัพยต์ กแก่ผู้ซอ้ื ทนั ทีทีม่ กี ารขายทรัพยน์ น้ั แตก่ ฎหมาย
ก�ำหนดเพียงว่าผู้ขายทรัพย์น้ันมีสิทธิซ้ือทรัพย์คืนได้ โดยกฎหมายก�ำหนดว่าหากมี
การซื้อทรัพย์คืน (ไถ่ทรัพย์) แล้ว ให้กรรมสิทธ์ิในทรัพย์ท่ีขายฝากตกแก่ผู้ไถ่ทรัพย์
ตงั้ แตเ่ วลาทผี่ ไู้ ถไ่ ดช้ ำ� ระสนิ ไถห่ รอื วางทรพั ยอ์ นั เปน็ สนิ ไถแ่ ลว้ (มาตรา 492 วรรคหนง่ึ )
และกฎหมายให้ถอื วา่ บุคคลผ้ไู ถ่ยอ่ มไดร้ บั คนื ไปโดยปลอดจากสทิ ธิใดๆ ซึ่งผซู้ อ้ื เดมิ
หรอื ทายาท หรอื ผรู้ บั โอนจากผซู้ อื้ เดมิ กอ่ ใหเ้ กดิ ขน้ึ กอ่ นเวลาไถ่ (มาตรา 502 วรรคหนงึ่ )
และหากมีการจดทะเบียนเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว และการเช่าดังกล่าวไม่มี
ผลเสียหายแก่ผู้ขาย กฎหมายก็ก�ำหนดให้มีผลสมบูรณ์อยู่ต่อไป แต่ไม่ให้เกินหน่ึงปี
(มาตรา 502 วรรคสอง)
46 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ
ปีที่ 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
ดังนั้น จึงเห็นว่าวัตถุประสงค์ของการขายฝากตามกฎหมายเป็นเรื่องเอกเทศ
สญั ญาประเภทหนง่ึ ในบรรพสาม โดยกฎหมายไมม่ วี ตั ถปุ ระสงคใ์ หเ้ ปน็ สญั ญาอปุ กรณ์
ของมูลหนี้อย่างแท้จริงแต่อย่างใด ท่ีให้คู่สัญญาอาจท�ำข้อตกลงในการขายทรัพย์
และกำ� หนดระยะเวลาในการซอื้ ทรพั ยค์ นื จากผซู้ อื้ รายเดมิ ทง้ั มเี งอื่ นไขไมใ่ หผ้ ซู้ อ้ื ทรพั ย์
นนั้ ดำ� เนนิ การใดๆ ทเี่ ปน็ การรอนสทิ ธใิ นทรพั ยน์ นั้ ในระหวา่ งระยะเวลาทผ่ี ขู้ ายฝากอาจ
ใช้สิทธิในการซ้ือทรัพย์คืน แต่จากการปฏิบัติตามกฎหมายของประชาชนในเรื่องการ
ขายฝากอสงั หารมิ ทรพั ยน์ ี้ ประชาชนไดใ้ ชก้ ฎหมายนเ้ี ชน่ เดยี วกบั เรอื่ งการจำ� นองทรพั ย์
เพื่อให้เป็นประกันการช�ำระหนี้ตามมูลหนี้อื่น ซึ่งการใช้นิติกรรรมในลักษณะน้ี
เป็นการแสดงนิติกรรมอ�ำพราง ท่ีคู่สัญญาได้ปกปิดเจตนาในการกู้เงินกันและ
แสดงเจตนาในนติ กิ รรมขายฝากอสงั หารมิ ทรพั ยท์ มี่ ปี ระมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
บังคบั ใช้ ทั้งใชบ้ ทบัญญัตใิ นเร่ืองการขายฝากมาบังคบั ใช้ ท้ังทีค่ ูส่ ญั ญาตอ้ งการแสดง
เจตนาในการกเู้ งนิ และตกลงใหน้ ำ� ทรพั ยท์ ขี่ ายฝากมาเปน็ หลกั ประกนั ในการชำ� ระหนี้
เท่าน้ัน ท้ังน�ำเอาเง่ือนเวลาในสัญญาขายฝากที่เป็นนิติกรรมอ�ำพรางนั้นมาบังคับใช้
โดยไมต่ อ้ งนำ� คดดี งั กลา่ วใหศ้ าลพจิ ารณาคดี แมใ้ นรฐั จะไดอ้ อกกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี 33
(พ.ศ. 2526) ซ่ึงออกตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. 2497
เร่ืองวิธีการจดทะเบียนนิติกรรมการขายฝากไว้เท่านั้น โดยกฎกระทรวงดังกล่าวมี
สาระสำ� คญั ให้พนักงานเจา้ หน้าที่ท�ำการสอบสวนให้ไดค้ วามชดั เจนว่าคู่กรณีมเี จตนา
อย่างแทจ้ รงิ ในการขายฝากท่ดี นิ
ตามแนวคดิ ในเรอื่ งนติ กิ รรมอำ� พรางน้ี กฎหมายไดอ้ อกแบบเพอ่ื การแทรกแซง
การแสดงเจตนาของคู่สัญญาหากปรากฏว่า คู่สัญญาได้ตกลงในสัญญาใดแล้ว
แตเ่ จตนาทแ่ี ทจ้ รงิ ทค่ี สู่ ญั ญานนั้ ตอ้ งการใหเ้ ปน็ ไปกลบั มใิ ชเ่ จตนาทคี่ สู่ ญั ญาแสดงออกนี้
กฎหมายได้ก�ำหนดให้น�ำเงื่อนไขและข้อบังคับแห่งกฎหมายที่เก่ียวกับนิติกรรมที่
ถูกอ�ำพรางมาใช้บังคับ [1] ห้ามมิให้น�ำกฎหมายเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกแสดงออก
โดยกฎหมายบัญญัติว่า เป็นการแสดงเจตนาลวงมาใช้บังคับ ซึ่งบุคคลฝ่ายท่ีสาม
กระทำ� โดยสจุ รติ และตอ้ งเสยี หายจากการแสดงเจตนาลวงนจ้ี ะไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการ
แสดงเจตนาของบคุ คลนน้ั แตร่ ะหวา่ งคสู่ ญั ญา กฎหมายกำ� หนดใหน้ ติ กิ รรมเชน่ วา่ นน้ั
เป็นโมฆะ [2] โดยในส่วนน้ีมีค�ำพิพากษาศาลฎีกา 4686/2552 ได้วางหลักไว้แล้วว่า
“เม่ือสัญญาขายฝากที่ดินเป็นนิติกรรมอ�ำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงินจึงเป็นนิติกรรม
วารสารวิชาการนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ 47
ปที ่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564
ที่ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหน่ึง
จ�ำเลยจะขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองช�ำระเงินตามราคาขายฝากท่ีดินเป็นต้นเงินกู้ไม่ได้
แต่ต้องบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมเงินที่ถูกอ�ำพรางไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณชิ ย์ มาตรา 155 วรรคสอง โดยถอื เพยี งวา่ สญั ญาขายฝากทด่ี นิ เปน็ หลกั ฐาน
ว่าโจทก์ท้ังสองได้กู้ยืมเงินจากจ�ำเลย และโจทก์ทั้งสองได้มอบโฉนดท่ีดินของตน
ใหจ้ ำ� เลยยดึ ถอื ไวเ้ ปน็ หลกั ประกนั เงนิ กเู้ ทา่ นนั้ สำ� หรบั การขายฝากทดี่ นิ ระหวา่ งโจทก์
ท้งั สองและจ�ำเลยเมือ่ ตกเปน็ โมฆะดงั วนิ จิ ฉัยแล้ว ศาลชอบที่จะพิพากษาใหเ้ พกิ ถอน
เสียได้โดยจ�ำเลยยังคงยึดถือโฉนดท่ีดินของโจทก์ท้ังสองไว้ได้จนกว่าโจทก์ทั้งสอง
จะช�ำระเงินก้แู ละดอกเบย้ี แกจ่ �ำเลยครบถว้ น”
การขายฝาก (repurchase หรือ redemption หรือ sale with right of
redemption) มีท่ีมาจากแนวคิดของกฎหมายโรมันในเร่ืองหน้ีอันเนื่องมาจากสัญญา
(ex contractu) แต่ในกฎหมายโรมันไม่ปรากฏเร่ืองการขายฝากแต่อย่างใด มีแต่การ
จ�ำน�ำ (pignus) ที่น�ำเอาทรัพย์มาเป็นประกันการช�ำระหน้ี และจ�ำนอง (hypotheca)
ที่น�ำเอาทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์มาเป็นหลักทรัพย์ท่ีประกันการช�ำระหนี้
โดยไม่ต้องส่งมอบการครอบครองให้แก่ผู้รับจ�ำนองที่เป็นเจ้าหนี้ในเงินกู้ยืม
ทต่ี า่ งไปจากการจำ� นำ� แตใ่ นปจั จบุ นั ในตา่ งประเทศไดแ้ ก่ สหพนั ธส์ าธารณรฐั เยอรมนี
สาธารณรฐั ฝรงั่ เศส ประเทศญป่ี นุ่ และสหราชอาณาจกั ร ตา่ งกม็ กี ฎหมายลกั ษณะการ
ขายฝากทัง้ สิน้
นับแต่สยามมีสนธิสัญญาเบาว์ริงกับชาติตะวันตก ท�ำให้ความต้องการ
ด้านท่ีดินเพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็วด้วยเหตุที่ดินกลายเป็นปัจจัยการผลิตข้าวและสินค้า
ทางเกษตรเพื่อการค้ามากข้ึน ประกอบกับคนจีนที่อพยพเข้ามาตั้งแต่ช่วงการก่อตั้ง
กรุงรัตนโกสินทร์มีการสะสมทุนจ�ำนวนมากแล้ว จึงมีการออกเงินให้ชาวนากู้และ
เรยี กดอกเบยี้ ในอตั ราสงู แมใ้ นกฎหมายตราสามดวงจะไมป่ รากฏเรอ่ื งการขายฝากไว้
แต่การครอบครองที่ดินในยุคก่อนที่ประเทศไทยจะมีการออกเอกสารสิทธ์ิโดยเฉพาะ
โฉนดทด่ี นิ ตามพระราชบญั ญตั อิ อกโฉนดทด่ี นิ ร.ศ.127 ราษฎรทหี่ กั ลา้ งถางพงจนเปน็
ไรน่ ายอ่ มมสี ทิ ธิในการครอบครองทด่ี ินดังกลา่ ว เพียงแต่ตอ้ งแจ้งใหผ้ ู้ใหญบ่ ้านทราบ
เพอ่ื ประโยชนใ์ นการเกบ็ ภาษขี า้ วเทา่ นน้ั ดงั นน้ั การแสวงหาทด่ี นิ ในประเทศในขณะนนั้
จงึ ไมเ่ ปน็ เรอ่ื งยาก เมอื่ ชาวนาตอ้ งกเู้ งนิ จากคนจนี ซงึ่ เปน็ พอ่ คา้ คนกลางทเ่ี ชอื่ มระหวา่ ง
48 วารสารวชิ าการนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ
ปที ่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564
ชาวนาผู้ผลิตข้าวและโรงสีข้าว ชาวจีนที่ไม่มีสังกัดตามกฎหมายตราสามดวง [3]
จึงไม่อาจขึ้นศาลได้ ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับเงินกู้พร้อมดอกเบ้ียคืนภายใน
กำ� หนด จงึ มกี ารตกลงกนั วา่ ชาวนาผกู้ ตู้ อ้ งทำ� สญั ญาโอนทดี่ นิ หรอื โอนการครอบครอง
ที่ดินให้แก่ผู้ให้กู้เสียก่อน โดยถือกันว่าทรัพย์สินท่ีมีค่าคือที่ดิน หากชาวนาได้เงิน
จากการผลิตข้าวภายในระยะเวลาที่ก�ำหนดในสัญญาแล้ว จึงท�ำการไถ่ท่ีดินคืนได้
(ค�ำว่า ”ไถ่” หมายถึง การถอนหรือคืน) แต่เงื่อนไขในการก�ำหนดราคาขายฝาก
โดยเฉพาะทรัพย์ท่ีเป็นที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์น้ี ส่วนมากผู้ให้กู้จะก�ำหนดราคา
ขายฝากต�่ำกว่าราคาท่ีแท้จริงมาก ซึ่งอาจเกิดจากการก�ำหนดราคาขายฝากของ
ผู้ให้กู้หรือผู้ซ้ือฝาก หรือผู้กู้หรือผู้ขายฝากไม่ต้องการใช้เงินจ�ำนวนมากในการ
ไถ่ที่ดินคืน เพราะว่าจ�ำนวนเงินขายฝากย่อมหมายถึงจ�ำนวนดอกเบ้ียที่ต้อง
ช�ำระแก่ผู้ซื้อฝากด้วย แต่เมื่อครบก�ำหนดแล้ว ผู้ขายฝากไม่ท�ำการไถ่ทรัพย์ที่
ขายฝากไป ย่อมท�ำให้ทรัพย์ท่ีขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ซื้อฝากอย่างถาวร
ซึ่งผู้ซ้ือฝากอาจใช้เงินจ�ำนวนไม่มากในการซื้อฝากทรัพย์น้ัน ดังน้ันจึงเป็นสิ่งที่ผู้ซ้ือ
ฝากซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ นายทนุ เงนิ กนู้ ยิ มใช้ ดว้ ยการขายฝากนใ้ี นขณะทำ� สญั ญาขายฝาก
ทรัพย์ท่ีขายฝากตกเป็นกรรมสิทธ์ิแก่ผู้ซ้ือฝากแล้ว เพียงแต่ผู้ขายฝากมีสิทธิในการ
ไถ่ทรัพย์คืนในราคาและก�ำหนดเวลาท่ีตกลงกันเท่านั้น ทั้งผู้ซื้อฝากยังอาจก�ำหนด
อตั ราดอกเบยี้ ไวใ้ นจำ� นวนเงนิ ทขี่ ายฝากกนั ดว้ ย ดงั นน้ั การขายฝากจงึ เปน็ การแสวงหา
ผลประโยชน์จากผู้ขายฝากที่ไม่มีทางเลือกในการหาสินเชื่อทางแหล่งเงินทุนอื่น
และเส่ียงในการที่ไม่อาจไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากได้ทัน ซ่ึงผู้ซ้ือฝากจะได้รับผลประโยชน์
จากทรัพย์ท่ีมีราคาต�่ำกว่าท้องตลาด และดอกเบี้ยที่ได้รับจากผู้ขายฝากอีกด้วย
โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในเรื่องการขายฝากนี้เคยมีการแก้ไขแล้วครั้ง
หนงึ่ ตามพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ 12)
พ.ศ. 2541 มาตรา 499 “สินไถ่นั้นถ้าไม่ได้ก�ำหนดกันไว้ว่าเท่าใด ให้ไถ่ตามราคา
ที่ขายฝาก ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากท่ีก�ำหนดไว้สูงกว่า
ราคาขายฝากทแ่ี ทจ้ รงิ เกนิ อตั รารอ้ ยละสบิ หา้ ตอ่ ปี ใหไ้ ถไ่ ดต้ ามราคาขายฝากทแี่ ทจ้ รงิ
รวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี” ได้แก้ไขในส่วนของการก�ำหนดสินไถ่
ท่ีสูงเกนิ ควร เพอื่ หลกี เลี่ยงกฎหมายห้ามเรียกดอกเบ้ียเกินอตั รา รวมทงั้ ในกรณที ีถ่ งึ
ก�ำหนดเวลาไถ่ผู้ซื้อฝากมักจะหลีกเลี่ยงไม่ยอมให้มีการไถ่จนเป็นเหตุให้ผู้ขายฝาก
ตอ้ งสญู เสียกรรมสทิ ธใ์ิ นทรัพย์สินไปโดยไม่ชอบธรรม
วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ 49
ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 เป็นส่วนหนึ่ง
ของความพยายามท่ีจะแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยที่มุ่งหมายท่ีจะตีกรอบจ�ำกัดการ
ใช้หลักความศักด์ิสิทธิ์ของการแสดงเจตนาและเสรีภาพของบุคคลเพื่อแก้ไขความ
ไมเ่ ปน็ ธรรมและความไมส่ งบสขุ ในสงั คม โดยกำ� หนดแนวทางใหก้ บั ศาลเพอื่ ใชใ้ นการ
พิจารณาว่าข้อสัญญาหรือข้อตกลงใดที่ไม่เป็นธรรม และให้อ�ำนาจแก่ศาลที่จะส่ัง
ให้ข้อสัญญาหรือข้อตกลงที่ไม่เป็นธรรมนั้นไม่มีผลบังคับ หรือใช้ได้เท่าท่ีเป็นธรรม
และพอสมควรแก่กรณี โดยกฎหมายก�ำหนดให้ศาลมีอ�ำนาจเข้าไปตรวจสอบได้
ซึ่งมีสัญญาขายฝากรวมอยู่ด้วย และก�ำหนดชัดเจนว่า ข้อตกลงที่ถือได้ว่าเป็นการได้
เปรยี บคสู่ ญั ญาอกี ฝายหนง่ึ นนั้ เปน็ ขอ้ ตกลงทมี่ ลี กั ษณะหรอื มผี ลใหค้ สู่ ญั ญาอกี ฝา่ ยหนง่ึ
ปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมาย ได้ตามปกติ ซึ่งมาตรา 4
วรรคสามของพระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ วไดย้ กตวั อยา่ งของขอ้ ตกลงทอ่ี าจถอื ไดว้ า่ ทำ� ให้
ได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝายหนึ่งคือข้อตกลงในสัญญาขายฝากท่ีผู้ซื้อฝากก�ำหนดราคา
สินไถส่ ูงกวา่ ราคาขาย บวกอตั ราดอกเบี้ยเกินกวา่ รอ้ ยละสบิ หา้ ตอ่ ปเี ทา่ นน้ั
จากสถิติของกรมท่ีดินระหว่างเดือนมกราคม ถึงเดือนกรกฎาคม 2560
ปรากฏวา่ มกี ารทำ� นติ กิ รรมขายฝากอสังหาริมทรพั ย์ 43,455 เรือ่ ง ในขณะท่นี ิติกรรม
การขายท่ีดินมีตั้งแต่ 40,000 เรื่อง ถึง 60,000 เรื่อง และนิติกรรมการจ�ำนองท่ีดิน
มีตง้ั แต่ 69,000 เรอื่ งจนถงึ 120,000 เรอื่ ง [4] และจากส�ำรวจสถิติการขายฝากต้ังแต่
ปี 2556-2560 แลว้ จะเหน็ วา่ การจดทะเบยี นขายฝากโดยเฉลยี่ ตอ่ ปอี ยทู่ ี่ 66,521 ราย
โ ด ย มี ก ร ณี ตั ว อ ย ่ า ง ก า ร ข า ย ฝ า ก ท่ี ดิ น ใ ห ้ กั บ น า ย ทุ น เ งิ น กู ้ ใ น ห ล า ย จั ง ห วั ด
ซ่ึงที่ผ่านมารัฐบาลพยายามแก้ไขโดยจัดให้มีกลไกการเจรจาไกล่เกล่ียประนอมหน้ี
ให้กับเกษตรกรคนจนที่เป็นหนี้นอกระบบโดยการขายฝากที่ดินให้กับนายทุนเงินกู้
ตัวอย่างเช่น ในจังหวัดอุดรธานี มีการเจรจาประนอมหน้ี จนสามารถคืนโฉนดที่ดิน
แกล่ กู หน้ี 780 ฉบบั เนอื้ ทร่ี วมกวา่ 3.7 พนั ไร ่ ในจงั หวดั นครราชสมี า ไดค้ นื โฉนดทด่ี นิ
907 ฉบบั เนอ้ื ทม่ี ากกวา่ 3 พนั ไร่ [5] และในพนื้ ทอี่ กี จำ� นวนมากทร่ี ฐั มไิ ดเ้ ขา้ ไปในการเจรจา
กับนายทุน ผู้ขายฝากที่ทรัพย์หลุดไป ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม กรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ที่ขายฝากย่อมตกแก่ผู้ซ้ือฝาก ซ่ึงจากเหตุการณ์ดังกล่าวอาจชี้ให้เห็นถึงปัญหา
ทางกฎหมายในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการขายฝากในปัจจุบันท่ีมีความจ�ำเป็น
ต้องมีกลไกทางกฎหมายเพ่ือสร้างความเป็นธรรม และแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล�้ำ
อยา่ งเร่งดว่ น
50 วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ
ปที ่ี 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
หากพจิ ารณาจากคา่ ธรรมเนยี มในการทำ� นติ กิ รรมการขายและการขายฝากแลว้
จะเหน็ วา่ กรมทด่ี นิ เรยี กค่าธรรมเนยี มเท่ากนั ในอตั ราร้อยละ 2 ของราคาทรพั ยต์ าม
ราคาประเมินเท่าน้ัน แต่ผู้ขายฝากต้องเสียค่าธรรมเนียมในการไถ่ทรัพย์คืนในอัตรา
50 บาทต่อคร้ัง [6] จึงไม่เป็นเหตุผลในการอ้างถึงค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียน
การขายฝากสูงหรือตำ่� กว่าการจดทะเบยี นการขายท่ีดิน
ปัจจุบันนี้ กลุ่มนายทุนผู้ให้สินเช่ือได้ประกอบธุรกิจในการให้สินเชื่อ
แก่ประชาชนท่ัวไป โดยเฉพาะเกษตรกรท่ีไม่สามารถเข้าสู่ระบบสินเชื่อของสถาบัน
การเงินที่เป็นทางการได้ ซึ่งในการให้สินเชื่อน้ี กลุ่มนายทุนได้ใช้วิธีการขายฝาก
อสังหาริมทรัพย์แทนการจ�ำนองเพื่อเป็นหลักประกันในการช�ำระหน้ีของผู้กู้ยืม
ทเ่ี ปน็ ผขู้ ายฝาก จากการสำ� รวจอาชพี ในลกั ษณะปลอ่ ยเงนิ ใหก้ นู้ ้ี ปรากฏวา่ มแี ฟรนไชส์
อสงั หารมิ ทรพั ยห์ ลายแหง่ ทมี่ ลี กั ษณะกจิ การเปน็ ตวั แทนหรอื นายหนา้ อสงั หารมิ ทรพั ย์
โดยมุ่งเน้นให้บริการรับฝากซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยเรียกเก็บเงินค่าสิทธิแรกเข้าถึง
299,500 บาท [7] ซึ่งจะเห็นว่าธุรกิจประเภทน้ีก�ำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมี
ผ้เู ขา้ มาร่วมในการประกอบอาชพี น้ีมากขึ้น ผลจากการขายฝากทคี่ สู่ ัญญาไม่มีเจตนา
ขายฝากอยา่ งแท้จริงก่อใหเ้ กิดการสญู เสียทด่ี ินหรืออสังหารมิ ทรัพยเ์ พิม่ ขน้ึ
ในวนั ท่ี 13 กรกฎาคม 2560 พนั ตำ� รวจเอกดุษฏี อารยวุฒิ รองปลดั กระทรวง
ยุติธรรม ได้กล่าวในการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง “หนี้นอกระบบ บริหาร
จัดการอย่างเป็นธรรมและย่ังยืนได้อย่างไร”โดยระบุว่า [8] “การท�ำสัญญาขายฝาก
ท�ำให้สูญเสียทรัพย์สินและท่ีดินให้กับนายทุนจ�ำนวนมาก ต่างจากการจ�ำนอง
ทจี่ ะตอ้ งเขา้ กระบวนการบงั คบั คดี โดยพบวา่ พน้ื ทภ่ี าคอสี านและภาคเหนอื พบปญั หา
ประชาชนเป็นหน้ีนอกระบบและต้องเสียทรัพย์จากการขายฝากมากที่สุด เน่ืองจาก
การขายฝากเปน็ การท�ำสญั ญาในระยะสั้น ประมาณ 3 ถงึ 65 เดอื น ทำ� ให้เกษตรกร
ส่วนใหญ่ไม่สามารถหาเงินมาใช้หน้ีได้ทัน รวมถึงบางรายเม่ือครบก�ำหนดสัญญา
เจ้าหน้ีไม่ยอมโอนทรัพย์คืนให้แก่ลูกหน้ี ทรัพย์ดังกล่าวต้องตกเป็นของเจ้าหนี้
เบื้องต้นพบว่าเจ้าหนี้นอกระบบส่วนใหญ่มีอาชีพท่ีเก่ียวข้องกับกฎหมาย มีความรู้
เรื่องกฎหมายเป็นอย่างดี”และนายประทีป กีรติเรขา อธิบดีกรมท่ีดิน เปิดเผยต่อ
“ฐานเศรษฐกิจ” ว่า “ระหว่างที่รอยกเลิกกฎหมายขายฝาก กรมได้ก�ำชับส�ำนักงาน
ท่ีดินจังหวัด/สาขาทั่วประเทศ ตรวจสอบเอกสารหลักฐานก่อนจดทะเบียนพร้อมทั้ง
วารสารวชิ าการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ 51
ปีท่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
ทำ� ความเขา้ ใจกับประชาชนเก่ียวกับเงื่อนเวลาขายฝาก หากผดิ นดั ไถ่ถอนเพยี ง 1 วนั
จะถือวา่ ทรพั ยส์ นิ ตกเปน็ ของผรู้ ับฝากทนั ที[9]
ปัจจุบันน้ี มีผ้ปู ระกอบธรุ กจิ หลายรายเข้ามาแสวงหาผลก�ำไรจากการขายฝาก
อสังหาริมทรัพย์เพิ่มข้ึน ไม่ว่าจะด�ำเนินการเองหรือในรูปของแฟรนไชส์ ผลก�ำไร
ที่ซ่อนอยู่ในจ�ำนวนเงินที่ผู้ซื้อฝากได้รับจากผู้ขายฝากนอกจากดอกเบ้ียที่คิดจาก
ต้นเงินในจ�ำนวนที่ซ้ือฝากแล้ว ยังมีเงินค่าปากถุง (เงินฟรอนท์) ที่เรียกเก็บจาก
ผขู้ ายฝาก เงนิ ดงั กลา่ วไมร่ วมเปน็ ดอกเบย้ี ทก่ี ฎหมายกำ� หนดใหเ้ รยี กเกบ็ เงนิ คา่ ปากถงุ
เปน็ คา่ ธรรมเนยี มการกเู้ งนิ ทผี่ ซู้ อื้ ฝากเรยี กเกบ็ เปน็ คา่ บรกิ าร คา่ นายหนา้ คา่ เดนิ ทาง
ค่าประกันความเสี่ยงของผู้ซื้อฝาก ซ่ึงบางรายคิดในอัตราร้อยละ 6 ถึง 10 ของ
ทุนทรัพย์ท่ีขายฝาก [10] แม้ในปัจจุบันน้ี ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติ
คุ้มครองประชาชนในการท�ำสัญญาขายฝากท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย
พ.ศ. 2562 แล้วก็ตาม แต่หากพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับน้ี แล้ว
จะเหน็ วา่ กฎหมายนต้ี อ้ งการเพยี งคมุ้ ครองการวางเงนิ หรอื ใชส้ นิ ไถท่ ดี่ นิ ใหแ้ กผ่ ซู้ อื้ ฝาก
ทเี่ ปน็ เกษตรกรตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการเชา่ ทดี่ นิ เพอื่ เกษตรกรรมและสง่ิ ปลกู สรา้ งหรอื
ทดี่ นิ ทใ่ี ชใ้ นการอยอู่ าศยั หรอื ทเ่ี กย่ี วเนอื่ งกบั การอยอู่ าศยั เทา่ นน้ั มไิ ดแ้ กท้ ปี่ ญั หาของ
ลกั ษณะนิติกรรมการขายฝากอันเป็นต้นตอแหง่ ปัญหาทแี่ ทจ้ ริง
ดังนั้น การท่ีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีเอกเทศสัญญาในส่วนการ
ขายฝากไว้ ซ่ึงเป็นปัจจัยหนึ่งท่ีท�ำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากกฎหมาย
ดงั กลา่ ว อนั เกดิ จากการทำ� สญั ญาทม่ี นี ติ กิ รรมเพยี งตอ้ งการกยู้ มื เงนิ เทา่ นน้ั และถกู บงั คบั
ในแง่การมีอ�ำนาจเหนือคู่สัญญาให้น�ำทรัพย์ท่ีประสงค์เป็นหลักประกันมาเป็นวัตถุ
แหง่ การขายฝาก จงึ ทำ� ใหเ้ กดิ ความเดอื ดรอ้ นเกนิ ความจำ� เปน็ แกผ่ ขู้ ายฝากทง้ั ทผี่ ขู้ ายฝาก
มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พยี งกยู้ มื เงนิ และใชท้ รพั ยท์ ข่ี ายฝากเปน็ หลกั ประกนั การกยู้ มื เงนิ เทา่ นน้ั
นิติกรรมการขายฝาก ซ่ึงเป็นนิติกรรมอ�ำพรางที่กฎหมายก�ำหนดให้นิติกรรมการขาย
ฝากต้องตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง
และวรรคสอง ท้ังพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาท่ีไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540
เองกก็ ำ� หนดวา่ สญั ญาขายฝากเปน็ สญั ญาทอี่ าจกอ่ ความไมเ่ ปน็ ธรรมใหแ้ กค่ สู่ ญั ญาได้
โดยในปัจจุบันน้ี การฟ้องร้องบังคับจ�ำนองมิได้ใช้ระยะเวลาในการพิจารณาคดีนาน
เกนิ ไปดงั เชน่ ในอดตี และแหลง่ เงนิ กยู้ มื ในปจั จบุ นั กม็ ใี หผ้ บู้ รโิ ภคเลอื กไดห้ ลายประเภท
52 วารสารวชิ าการนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ
ปีท่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
ไมว่ า่ จะเปน็ สถาบนั ทางการเงนิ หรอื ไมโครไฟแนนซ์ นาโนไฟแนนซแ์ ละพโิ กไฟแนนซ์
ท่ผี ูก้ ยู้ มื เงินไมต่ ้องทำ� สัญญาขายฝากตอ่ ผู้ให้กูย้ มื แต่ประการใด
บทสรปุ
บทบัญญัติทางกฎหมายเก่ียวกับการขายฝากตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ขายฝาก ด้วยเหตุที่ผลแห่งการขายฝาก
อสังหาริมทรัพย์ท�ำให้กรรมสิทธ์ิของทรัพย์ท่ีขายฝากตกเป็นของผู้ซื้อฝากทันที
เมื่อครบก�ำหนดการไถ่ทรัพย์ตามสัญญา ซ่ึงที่แท้จริงแล้วนิติกรรมดังกล่าวเป็นเพียง
การน�ำทรัพย์สินมาเป็นหลักประกันในการช�ำระหน้ีกู้ยืมเท่านั้น การขายฝากจึง
เปน็ การแสดงนติ กิ รรมอำ� พราง ทกี่ ฎหมายกำ� หนดใหก้ ารแสดงเจตนาเชน่ นนั้ เปน็ โมฆะ
ต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอ�ำพราง แม้ขณะน้ีจะมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติ
คุ้มครองประชาชนในการท�ำสัญญาขายฝากที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย
พ.ศ. 2562 แล้วก็ตาม แต่กฎหมายดังกล่าวก็เน้นแต่เฉพาะที่ดินท่ีเป็นเกษตรกรรม
หรือที่อยู่อาศัยเท่าน้ัน และเน้นการวางสินไถ่หรือใช้ สินไถ่ให้แก่ผู้ซื้อขายเป็น
ส�ำคัญไม่เป็นการแก้ปัญหาท่ีต้นเหตุ ท้ังท่ีนิติกรรมการขายฝากอสังหาริมทรัพย์
คือนิติกรรมการขายและสัญญาท่ีจะขายคืนแก่ผู้ขาย ไม่ใช่การกู้เงินโดยน�ำทรัพย์
มาวางเป็นประกันในท�ำนองของการจ�ำนอง ดังนั้นรัฐควรยกเลิกกฎหมายเก่ียวกับ
การขายฝากอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพ่ือคุ้มครอง
คู่สัญญาจากสัญญาขายฝากที่เป็นนิติกรรมอ�ำพราง และน�ำกฎหมายว่าด้วยการขาย
อสงั หารมิ ทรพั ย์ และสญั ญาจะซือ้ ทรพั ยค์ ืน มาใชอ้ ยา่ งแท้จรงิ
จากการวิเคราะห์บทความนี้จึงเกิดค�ำถามว่าสมควรยกเลิกบทบัญญัติ
ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในส่วนการขายฝากอสังหาริมทรัพย์หรือไม่
และหากยกเลิกแล้ว จะนำ� บทบัญญตั ใิ ดมาใชท้ ดแทนการขายฝาก
การท่ีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการขายฝากได้ก�ำหนด
รปู แบบการซอื้ ขายในลกั ษณะพเิ ศษทแ่ี ตกตา่ งไปจากการซอ้ื ขายปกติ ยอ่ มทำ� ใหเ้ หน็ วา่
กฎหมายมีเจตนารมณ์ในการคุ้มครองและส่งเสริมให้ประชาชนใช้เจตนาอิสระของ
ตนในการท�ำนิติกรรมอย่างหลากหลายเท่าท่ีกฎหมายให้โอกาสในการกระท�ำได้
วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ 53
ปีท่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564
การที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต้องการขายที่ดิน ย่อมกระท�ำได้ แต่การขายน้ัน
ต้องอยู่บนเจตนาอย่างแท้จริงของเจ้าของทรัพย์น้ัน กฎหมายยังให้โอกาสแก่ผู้ขาย
ทรัพย์นั้นสามารถซ้ือทรัพย์คืนได้ภายในระยะเวลาท่ีก�ำหนดในสัญญาและภายใต้
เง่ือนไขของกฎหมายดังนั้น การที่มีคู่สัญญาบางกลุ่มที่ใช้ช่องว่างของกฎหมายนี้
ในการนำ� นติ กิ รรมขายฝากทใ่ี ชเ้ ปน็ หลกั ประกนั ในการกยู้ มื เงนิ และใชโ้ อกาสทก่ี ฎหมาย
ก�ำหนดให้กรรมสิทธ์ิในอสังหาริมทรัพย์นั้นตกเป็นของผู้ซื้อฝากทันทีโดยไม่มีการ
ใช้อ�ำนาจศาลในการพิพากษา จึงเป็นเรื่องที่กลุ่มนายทุนมักใช้เป็นเครื่องมือในการ
ปล่อยเงินกู้ให้แก่ผู้กู้ยืมโดยมีท่ีดินหรือทรัพย์นั้นเป็นหลักประกันในการช�ำระหนี้
ของลูกหน้ีน้ัน หากรัฐสร้างมาตรการส�ำคัญในการกลั่นกรองเจตนาของคู่สัญญาใน
นิติกรรมขายฝากได้อย่างแท้จริงแล้ว กฎหมายดังกล่าวก็ยังคงความส�ำคัญในสังคม
การที่ยกเลิกกฎหมายใดต้องได้ข้อเท็จจริงอย่างมีนัยส�ำคัญว่ากฎหมายน้ันเป็นเคร่ือง
ท�ำลายโครงสร้างของสังคม หรือสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินสมควร และ
รัฐไมม่ มี าตรการใดท่ียับยั้งความเสียหายดังกล่าวได้
คณะกรรมการการศึกษาสถานการณ์ปัญหาการขายฝากท่ีไม่เป็นธรรม [11]
ยงั ไมม่ แี นวคดิ ในการยกเลกิ กฎหมายวา่ ดว้ ยการขายฝากไปเสยี ทเี ดยี ว โดยมขี อ้ กงั วลวา่
อาจกระทบต่อประชาชนท่ีมีเจตนาในการขายฝากท่ีแท้จริง ดังนั้น ตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491 ท่ีบัญญัติว่า “อันว่าขายฝากน้ัน คือสัญญา
ซอ้ื ขายซง่ึ กรรมสทิ ธใิ์ นทรพั ยส์ นิ ตกไปยงั ผซู้ อ้ื โดยมขี อ้ ตกลงกนั วา่ ผขู้ ายอาจไถท่ รพั ยน์ นั้
คืนได”้ ซ่งึ สอดคล้องกบั แนวคดิ Consumerism (ลทั ธบิ ริโภคนยิ ม)หลัก Individualism
ทีเ่ ป็นหลักปัจเจกชนนิยมทีต่ งั้ อยบู่ นหลกั Private Autonomy (ทฤษฎคี วามมอี สิ ระใน
การทำ� สญั ญา) การทำ� นติ กิ รรมดงั กลา่ วอยบู่ นฐานคดิ ของ TheWilltheory (ทฤษฎเี จตนา)
TheReliancetheory (ทฤษฎคี วามไวว้ างใจ) TheFairnesstheory (ทฤษฎคี วามเปน็ ธรรม)
TheEfficiencytheory (ทฤษฎีประสิทธภิ าพ) และ TheReliancetheory (ทฤษฎีความไว้
วางใจ) รวมทง้ั หลกั Consideration และหากพจิ ารณาจากกฎหมายใน The Civil Code
of Japan มาตรา 579 และตามกฎหมาย German Civil Code หรือ BGB ใน Section
456 หรือ Civil Code of France ใน Section 1659 ประมวลกฎหมายแพ่งสเปน
(Civil Code : approved by Royal Decree of July 24,1889) ในมาตรา 1507 ก็ยงั คง
หลกั การของกฎหมายวา่ ดว้ ยขายฝากไวก้ ต็ าม แตก่ ารใชก้ ฎหมายว่าด้วยการขายฝาก
54 วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ
ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
ของไทย มีปัญหาในการแปลเจตนาของผู้ขายฝากว่ามีเจตนาในการขายฝากหรือไม่
หรือเพียงต้องการน�ำทรัพย์นั้นมาวางเป็นประกันการช�ำระหน้ีกู้ยืม หากเป็นเช่นน้ัน
กฎหมายไทยก็มีมาตรการทางกฎหมายเก่ียวกับการวางทรัพย์เป็นประกันไว้แล้ว คือ
การจำ� นำ� ทรพั ยห์ รอื การจำ� นองทรพั ย์ มใิ ชก่ ารขายฝากทก่ี ฎหมายมเี จตนาใหผ้ ขู้ ายฝาก
มีสิทธิในการซื้อทรัพย์คืนในก�ำหนดเวลาการไถ่ทรัพย์ในขณะเดียวกัน ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็เปิดกว้างส�ำหรับการท�ำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
และสัญญาจะซื้อจะขายอสงั หารมิ ทรพั ยไ์ ว้แล้ว [12]
เมื่อพิจารณาถึงผลได้ผลเสียจากการมีกฎหมายว่าด้วยการขายฝากประกอบ
กับทฤษฎีความมีอิสระในการท�ำสัญญา (PrivateAutonomytheory) TheWilltheory
(ทฤษฎีเจตนา) แล้วประกอบกับแนวคิด Consumerism (ลัทธิบริโภคนิยม) ร่วมกับ
แนวคิด “บิดาพิทักษ์” ที่รัฐต้องดูแลสวัสด์ิภาพของประชาชนในท�ำนองบิดาดูแลบุตร
ของตน มิให้ผู้ที่มีอ�ำนาจทางเศรษฐกิจเหนือกว่าผู้อื่นใช้อ�ำนาจของตนในการท�ำให้
ผู้อ่ืนเสียหายในลักษณะการเอาเปรียบโดยอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย แนวคิดน้ี
รว่ มกบั นโยบายทางกฎหมายพาณชิ ยท์ รี่ ฐั ตอ้ งตรากฎหมายเพอื่ สนบั สนนุ กจิ กรรมของ
ประชาชนในการดำ� เนนิ การไปตาม “ทฤษฎคี วามยตุ ธิ รรม” (Justice theory) ทงั้ รฐั ตอ้ ง
ใชแ้ นวคดิ “ทฤษฎคี มุ้ ครอง” ทร่ี ฐั ตอ้ งเขา้ แทรกแซงกจิ กรรมของประชาชนบางประการ
ทเี่ อกชนกระทำ� ตอ่ กนั เพอ่ื รกั ษาความสมดลุ ในผลประโยชน์ของแตล่ ะฝา่ ยทตี่ งั้ อยบู่ น
ความยตุ ธิ รรมทรี่ ฐั พงึ ประสงค์ ทงั้ การรกั ษาความสมดลุ แหง่ ประโยชนข์ องปจั เจกชนมี
ผลตอ่ ความสมดลุ แหง่ ประโยชนข์ องรฐั เชน่ หากใหก้ จิ กรรมการขายฝากดำ� เนนิ ตอ่ ไป
โอกาสการสูญเสียท่ีดินเกษตรกรรมสูงข้ึน ย่อมท�ำให้ความม่ันคงด้านอาหารของรัฐ
เสยี ไป รฐั จงึ ตอ้ งยกเลกิ กฎหมายวา่ ดว้ ยการขายฝากอสงั หารมิ ทรพั ย์ และใหป้ ระชาชน
ใช้กฎหมายว่าด้วยการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ปรากฏในประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ รวมท้ังให้ใช้สัญญาจะซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้นคืนได้ภายในก�ำหนดเวลาท่ี
ตกลงกนั [13] แทนการท�ำสญั ญาขายฝาก
วารสารวิชาการนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ 55
ปีที่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
ขอ้ เสนอแนะ
รฐั จงึ ตอ้ งยกเลกิ กฎหมายวา่ ดว้ ยการขายฝากอสงั หารมิ ทรพั ย์ และใหป้ ระชาชน
ใช้กฎหมายว่าด้วยการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ปรากฏในประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคหนึ่ง รวมท้ังให้ใช้สัญญาจะซ้ืออสังหาริมทรัพย์นั้น
คืนได้ภายในก�ำหนดเวลาท่ีตกลงกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 456 วรรคสอง
เอกสารอ้างอิง
[1] ราชกจิ จานเุ บกษา. (2468). เล่ม 42 หน้าท่ี 1.
[2] ราชกิจจานเุ ษกษา. (2558). เล่ม 132 ตอนท่ี 104 หนา้ 49.
[3] ราชบัณฑิตยสถาน. (2550). กฎหมายตราสามดวง พระไอยการลกั ษณะรับฟอ้ ง
มาตรา 9. กรงุ เทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน.
[4] กรมทดี่ ิน. (2560). สถติ ิของกรมท่ดี นิ . สบื คน้ 4 ตลุ าคม 2560,
จาก http://nam.dol.go.th/Pages/page2_5_2.aspx
[5] ประชาชาตธิ รุ กจิ . (2563). สถิตกิ ารขายฝาก. สบื ค้น 7 สงิ หาคม 2563,
จาก https://www.prachachat.net/columns/news-291116
[6] กรมท่ดี นิ . (2549). คู่มือการเรียกเกบ็ ค่าธรรมเนยี มและภาษีอากร การจดทะเบยี นสทิ ธิ
และนิตกิ รรมเกีย่ วกับอสงั หาริมทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายทด่ี นิ
สำ� นักมาตรฐานการทะเบยี นท่ีดิน (น.1). ตรัง : กรมทีด่ นิ กระทรวงมหาดไทย.
[7] สมาคมนายหนา้ อสังหารมิ ทรัพย.์ (2549). การขายฝากอสังหาริมทรัพยแ์ ทนการ
จ�ำนอง (น.1). สบื คน้ 18 มกราคม 2561, จาก http://www.homed4u.com/
index.php?lay=show&ac=article&Id=539363865
[8] ดษุ ฏี อารยวุฒิ. (2560). หน้นี อกระบบ. สืบค้น 4 ตลุ าคม 2560, จาก https://
www.matichon.co.th/news/601994
[9] ฐานเศรษฐกิจ. (2560). การทำ� สัญญาขายฝาก. สบื ค้น 4 ตลุ าคม 2560,
จาก http://www.thansettakij.com/content/184897
56 วารสารวชิ าการนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ
ปีที่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564
[10] จำ� นอง-ขายฝาก. (2561). สบื คน้ 17 มกราคม 2561, จาก https://www.
baan-hengheng.com
[11] กระทรวงยตุ ธิ รรม. (2561). แนวทางในการสง่ เสริมและคมุ้ ครองสทิ ธิมนุษยชน.
สบื ค้น 8 สงิ หาคม 2563, จาก https://www.moj.go.th/view/16810
[12] ดวงพร บุญเลี้ยง, กรุณา ทาแกว้ , ปิยวรรณ เสนาเจรญิ , และปิยะพร ศรวี ิชา.
(2560). ปญั หาทางกฎหมาย กบั การลดการสญู เสยี ทดี่ ินของเกษตรกร.
วารสารวิจยั และการพฒั นามหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เลย, 12(42).
[13] วตั ร์ พรหมจรรย,์ และชลอ ว่องวฒั นาภิกลุ . (2559). ปญั หาพ้ืนฐานของกฎหมาย
เก่ยี วกบั การขายฝาก : ศกึ ษา เปรียบเทียบราชอาณาจักรไทยและสาธารณรฐั
ประชาธิปไตยประชาชนลาว. วารสาร MFU Connexion : Journal of
Humanities and Social Sciences. 5(2), 119.
วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ 57
ปที ี่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
การวิจัยเก่ยี วกบั การกระทำ� ความผิดของเดก็ และเยาวชนใน
ประเทศไทย: เปรียบเทียบหลกั เกณฑท์ างกฎหมายกบั
มลรฐั อินเดยี นา ประเทศสหรฐั อเมรกิ า
Research concerning Child and Juvenile Delinquency in
Thailand: Comparison with Indiana Code,
the United States of America
ปพนธรี ์ ธีระพนั ธ1์ *
Papontee Teeraphan1*
Received : August 20, 2020
Revised : December 18, 2020
Accepted : December 18, 2020
1 ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย.์ , คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ สงขลา 90000 59
1 Asst. Prof., Faculty of Law, Thaksin University, Songkhla, Thailand, 90000
* Corresponding author : e-mail address : [email protected]
วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ
ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564
บทคดั ยอ่
การวิจัยเป็นอีกหนึ่งความรับผิดชอบของอาจารย์ในมหาวิทยาลัย งานวิจัย
จะถูกในไปใช้อย่างมีเหตุผลในการพัฒนาประเทศ การท�ำวิจัยจึงมีความส�ำคัญ
ต่อสังคมส่วนรวม ส�ำหรับการวิจัยเก่ียวกับการกระท�ำความผิดของเด็กและเยาวชน
รวมถึงกระบวนการยุติธรรมทางอาญาส�ำหรับเด็กและเยาวชนน้ัน นักวิจัย
ในประเทศไทยต้องประสบกับปัญหาของการเข้าถึงข้อมูล โดยเฉพาะกับข้อมูล
ท่ีเก่ียวข้องกับผู้กระท�ำความผิดที่เป็นเด็กและเยาวชนด้วยแล้ว ในทางปฏิบัติการ
เขา้ ถงึ ขอ้ มลู เหลา่ นน้ั มกั เกดิ ขน้ึ ไดย้ าก เนอื่ งจากหนว่ ยงานทคี่ รอบครองขอ้ มลู ดงั กลา่ ว
มักจะปฏิเสธการเข้าถึงเหล่านั้นด้วยเหตุผลท่ีว่าต้องการรักษาสวัสดิภาพและอนาคต
ของเด็กและเยาวชนผู้กระท�ำความผิด และไม่อยากตีตราบาปโดยการให้ข้อมูล
ตอ่ บคุ คลท่ไี มเ่ กย่ี วข้องกบั คดี
ด้วยเหตุข้างต้น การพัฒนาความรู้ต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการกระท�ำความผิด
ของเด็กและเยาวชน รวมถึงกระบวนการยุติธรรมทางอาญาส�ำหรับเด็กและเยาวชน
ในประเทศไทยจึงเกิดขึ้นได้ยากตามไปด้วยงานช้ินนี้จึงเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย
ที่เก่ียวข้อง โดยการก�ำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเพื่อให้การเข้าถึงข้อมูล
เพ่ือการวิจัยท�ำได้สะดวกดังเช่นกฎหมายของมลรัฐอินเดียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา
ผ่านการท�ำค�ำขอมาเป็นลายลักษณ์อักษร ชี้แจงรายละเอียดของงานวิจัย รวมถึง
มีมาตรการในการปกป้องขอ้ มลู ดังกลา่ วมิใหถ้ ูกเปิดเผย
คำ� ส�ำคัญ : วิจัย, การกระท�ำความผดิ , เด็กและเยาวชน
60 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ
ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
Abstract
Research is one of the responsibilities of lecturers in university. The
research is reasonably used to develop a country. As a result, research is very
essential to society. In the aspect of research concerning child and juvenile
delinquency, including juvenile justice, Thai researchers are experiencing the
hardship of the access to the information. Especially, the information regarding
child and juvenile delinquents, in practice, it is likely to be hard to access. This
is because the State organ which holds the information, refusing them access,
will mainly focus on the protection of those welfare and future, as well as they
do not want to label by letting the researchers, who have not involved the case,
access that information.
Hence, the development of insights regarding child and juvenile
delinquency, including juvenile justice in Thailand, is in the difficulty. Hence, this
article suggests that the concerned law should be amended as the Indiana law.
By this suggestion, the access of information should be in writing, consisting of
the details of the research, and the safeguard to protect the information.
Keywords : Research, Delinquency, Child and Juvenile
วารสารวชิ าการนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ 61
ปีท่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564
บทน�ำ
การกระท�ำความผิดของเด็กและเยาวชนเป็นประเด็นส�ำคัญหน่ึงซ่ึงมักถูก
อภิปรายในสังคมอยู่เสมอ เนื่องจากการกระท�ำเหล่านั้นมิได้เป็นเพียงพฤติกรรม
เบยี่ งเบน (Deviant Behavior) ท่ฝี ่าฝืนกฎหมายหรือบรรทดั ฐานทางสังคมดังเชน่ การ
กระท�ำความผิดของบุคคลท่ัวไปเท่านั้น [1] แต่ยังอาจท�ำให้คาดการณ์ถึงอนาคต
ของชาตไิ ดอ้ กี ดว้ ย ดังน้ัน การกระท�ำความผดิ ของเดก็ และเยาวชนจงึ เปน็ ท่สี นใจของ
ภาคสว่ นตา่ งๆ ทง้ั องคก์ รของรฐั และเอกชน รวมทง้ั ภาคประชาชนนบั แตอ่ ดตี เปน็ ตน้ มา
ในสว่ นของกระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญา (Juvenile Justice) ของประเทศไทย
ซ่ึงได้แยกออกมาเป็นการเฉพาะต้ังแต่ปี พ.ศ. 2494 น้ัน นับว่าเป็นความก้าวหน้า
ทางด้านนิติศาสตร์ที่น�ำมาใช้กับผู้กระท�ำความผิดอันมีลักษณะเฉพาะภายใต้
วัตถุประสงค์ของการปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรม รักษาอนาคตและสวัสดิภาพของ
ผ้กู ระท�ำความผดิ รวมถึงรักษาความสงบเรยี บร้อยของสงั คมไปพรอ้ ม ๆ กนั [2]
มหาวิทยาลัยเป็นหนึ่งในสถาบันทางสังคมที่มีความส�ำคัญและอยู่คู่สังคม
มาอย่างยาวนาน โดยในอดีตมหาวิทยาลัยท�ำหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้เป็นหลัก
อยา่ งไรกด็ ใี นปจั จบุ นั หนา้ ทขี่ องมหาวทิ ยาลยั มหี ลากหลายมากขนึ้ โดยในประเทศไทย
มหาวิทยาลัยมีหนา้ ทส่ี ำ� คัญตามกฎหมาย คือ [3]
(1) หนา้ ทใ่ี นการพฒั นาทรพั ยากรบคุ คลใหม้ คี วามเชยี่ วชาญตามสาขาวชิ าการ
หรอื วชิ าชพี ทต่ี นถนดั เพอ่ื ตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของประเทศ และสรา้ งขดี ความ
สามารถในการแข่งขนั ในระดับโลกได้
(2) หน้าท่ีในการพัฒนาบุคคลให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ
สติปัญญา ความรู้ และมีทักษะท่ีจ�ำเป็น เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ เข้าใจสังคม
และวัฒนธรรมในการด�ำรงชีวิต สามารถปรับเปล่ียนตนเองเพ่ือรองรับสังคมโลก
ทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงในอนาคต มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ ครอบครวั ชมุ ชน สงั คม และประเทศชาติ
รว่ มกนั แก้ปญั หาสังคม และสามารถอยู่ร่วมกบั ผอู้ น่ื ไดอ้ ยา่ งมีความสุข และ
(3) หนา้ ทใี่ นการตอบสนองยทุ ธศาสตรช์ าติ แผนแมบ่ ท แผนพฒั นาเศรษฐกจิ
และสังคมแห่งชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ และแผนด้านการอุดมศึกษา ซ่ึงมีความ
เชอ่ื มโยงกบั การศกึ ษาในระดบั ทตี่ ำ่� กวา่ เพอื่ เตรยี มความพรอ้ มใหก้ บั ทรพั ยากรบคุ คล
62 วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ
ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
ของประเทศในการเข้ารับการศึกษาในระดับอดุ มศกึ ษา รวมทัง้ ส่งเสรมิ ให้มกี ารศกึ ษา
อบรมเพอื่ เสรมิ สรา้ งทักษะในการประกอบอาชพี ของบุคคลและการศกึ ษาตลอดชีวติ
ภายใต้หน้าท่ีของมหาวิทยาลัยข้างต้น บุคลากรสายวิชาการซ่ึงถูกเรียกว่า
“อาจารยใ์ นมหาวทิ ยาลยั ” นน้ั จงึ มหี นา้ ทคี่ วามรบั ผดิ ชอบตา่ งๆ 4 ดา้ น ประกอบดว้ ย
1) หนา้ ทก่ี ารสอน 2) หนา้ ทใี่ นการทำ� วจิ ยั 3) หนา้ ทใ่ี นการบรกิ ารวชิ าการแกส่ งั คมและ
4) หน้าท่ีในการทะนุบ�ำรุงศิลปะและวัฒนธรรมโดยการท�ำหน้าท่ีข้างต้นน้ันจะต้อง
เป็นไปโดยสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนการปฏิรูปประเทศ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ และแผนด้านการ
อุดมศึกษา และสนองต่อความจ�ำเป็นและความต้องการของประเทศในด้านต่างๆ
อันเป็นการพัฒนาก�ำลังคนของประเทศเพื่อให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่ประเทศที่มี
ความก้าวหนา้ ทางด้านเศรษฐกจิ สงั คม และมพี ลเมอื งที่มคี ณุ ภาพ [4]
หน้าท่ีข้างต้นทุกประการล้วนมีความส�ำคัญในการพัฒนาก�ำลังคนซึ่งจะ
กลายเปน็ อนาคตของชาตโิ ดยเฉพาะหนา้ ทใี่ นการทำ� วจิ ยั กเ็ ปน็ หนา้ ทอ่ี กี ประการหนงึ่
ในการพัฒนาองค์ความรู้ซ่ึงได้มากจากการศึกษา ค้นคว้า เก็บรวบรวมข้อมูล และ
วเิ คราะหห์ รอื สงั เคราะหภ์ ายใตว้ ธิ วี ทิ ยาการวจิ ยั (Research Methodology) [5] ซง่ึ ความรู้
ทไี่ ดร้ บั จะถกู นำ� ไปใชถ้ า่ ยทอดกบั นสิ ติ นกั ศกึ ษาผเู้ รยี น ทงั้ ยงั จะถกู นำ� ไปกระตนุ้ การคดิ
วิเคราะห์ และแลกเปลี่ยนความรู้ภายใต้มุมมองที่แตกต่างกันไประหว่างอาจารย์
นิสิตนักศึกษาในช้ันเรียนหรืออาจรวมถึงประชาชนผู้สนใจท่ัวไปผ่านกิจกรรมบริการ
วิชาการตา่ งๆ [6] ซ่งึ โดยพน้ื ฐานแลว้ งานวจิ ยั มปี ระโยชน์ ดังนี้ [7]
1) สรา้ งสรรค์องค์ความรู้ใหม่
2) น�ำผลการวิจยั ไปแก้ปญั หาต่างๆ ในสงั คม
3) ชว่ ยพิสจู นแ์ ละตรวจสอบทฤษฎแี ละกฎเกณฑ์ตา่ งๆ
4) ช่วยท�ำให้เข้าใจปรากฎการณ์ต่างๆ ในสังคม รวมถึงช่วยในการพยากรณ์
ปรากฎการณต์ า่ งๆ ทจี่ ะเกิดข้ึน
5) น�ำไปใชป้ ระกอบเพื่อตดั สนิ ใจในเรื่องต่างๆ
วารสารวชิ าการนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 63
ปที ่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564
อยา่ งไรกด็ ี สำ� หรบั งานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วกบั การกระทำ� ความผดิ ของเดก็ และเยาวชน
รวมถึงกระบวนการยุติธรรมทางอาญาส�ำหรับเด็กและเยาวชนในประเทศไทยน้ัน
ต้องประสบกับปัญหาส�ำคัญประการหน่ึง กล่าวคือ การเข้าถึงข้อมูลบางประเภท
เชน่ ขอ้ มลู ทเี่ กย่ี วกบั การกระทำ� ความผดิ ของเดก็ และเยาวชน ทำ� ใหก้ ารดำ� เนนิ การวจิ ยั
ทเี่ ก่ียวกับประเด็นดังกล่าวเป็นเรือ่ งยากลำ� บาก เน่ืองจากการคน้ หาข้อมลู ที่เกย่ี วข้อง
มกั จะถกู ปกปดิ ไวเ้ ปน็ ความลบั บคุ คลทไ่ี มเ่ กย่ี วขอ้ งกบั คดจี งึ ไมส่ ามารถเขา้ ไปรบั ทราบ
ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเหล่านั้นได้ [8] ท�ำให้ในท้ายที่สุดจึงส่งผลต่อการพัฒนาหรือ
ปรับปรุงข้อขัดข้องท่ีท�ำให้เกิดการกระท�ำความผิด รวมถึงกระบวนการยุติธรรมทาง
อาญาสำ� หรับเดก็ และเยาวชนของประเทศไทย
วัตถุประสงค์ของการศกึ ษา
1) เพ่ือศึกษามาตรการทางกฎหมายและวิเคราะห์ปัญหาท่ีเกี่ยวข้องกับการ
เข้าถึงข้อมูลเพ่ือการวิจัยเกี่ยวกับการกระท�ำความผิดของเด็กและเยาวชน
ในประเทศไทยโดยการเปรียบเทียบหลักเกณฑ์ทางกฎหมายกับมลรัฐอินเดียนา
ประเทศสหรฐั อเมริกา
2) เพ่ือเสนอแนวทางในการพัฒนากฎหมายที่เก่ียวข้องกับการเข้าถึงข้อมูล
เพือ่ การวจิ ยั เกยี่ วกบั การกระท�ำความผิดของเดก็ และเยาวชนในประเทศไทย
ระเบียบวิธกี ารศกึ ษา
บทความน้ีเป็นการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงข้อมูลเพื่อการวิจัย
เก่ียวกับการกระท�ำความผิดของเด็กและเยาวชนในประเทศไทยและมลรัฐอินเดียนา
ประเทศสหรัฐอเมริกาท้ังท่ีเป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ โดยมีกรอบของ
กฎหมายไดแ้ ก่ พระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชน
และครอบครวั พ.ศ. 2553 และ Indiana CodeTitle 31 Family Law and Juvenile Law
64 วารสารวชิ าการนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ
ปีท่ี 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
ผลการศกึ ษา
การท�ำวิจัยเก่ียวกับการกระท�ำความผิดของเด็กและเยาวชนในประเทศไทย
ต้องประสบปัญหา โดยเฉพาะอย่างย่ิงกับปัญหาการเข้าถึงข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับการ
กระท�ำความผิดของเด็กและเยาวชน ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง เช่น
ศาลเยาวชนและครอบครวั และสถานพนิ ิจและคุม้ ครองเด็กและเยาวชน จะพจิ ารณา
ค�ำร้องขออนุญาตเข้าถึงข้อมูลอย่างเข้มงวด ในหลายครั้งผู้ท�ำวิจัยถูกปฏิเสธและ
ประสบปัญหาในการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว ท�ำให้ไม่สามารถด�ำเนินการวิจัยต่อไปได้
ท้ังน้ี หน่วยงานท่ีมีข้อมูลดังกล่าวอยู่ในความครอบครองจะให้ความส�ำคัญของการ
รกั ษาสวสั ดภิ าพของผกู้ ระทำ� ความผดิ ทเี่ ปน็ เดก็ และเยาวชนเปน็ สำ� คญั จนในทา้ ยทส่ี ดุ
ความพยายามในการพฒั นาหรอื ปรบั ปรงุ กฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การกระทำ� ความผดิ
และกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญาสำ� หรบั เด็กและเยาวชน อันจะนำ� มาซึ่งการรกั ษา
สวัสดภิ าพของเดก็ และเยาวชนดว้ ยอกี ทางนนั้ ต้องยตุ ลิ งไปอยา่ งหลีกเลยี่ งไม่ได้
หลักเกณฑ์ทางกฎหมายในการเข้าถึงข้อมูลเก่ียวกับการกระท�ำความ
ผิดของเดก็ และเยาวชนในประเทศไทย
ในประเทศไทย พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณา
คดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ก�ำหนดหลักเกณฑ์ที่เก่ียวข้องกับการเข้าถึง
ข้อมูลของเด็กและเยาวชนผู้กระท�ำความผิดเพื่อการวิจัยไว้ว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดบันทึก
ภาพ แพร่ภาพ พิมพ์รูป หรือบนั ทกึ เสยี ง แพรเ่ สยี งของเด็กหรือเยาวชนซ่ึงตอ้ งหาวา่
กระทำ� ความผดิ หรอื บคุ คลทเี่ กย่ี วขอ้ ง หรอื โฆษณาขอ้ ความซงึ่ ปรากฏในทางสอบสวน
ของพนักงานสอบสวน พนกั งานอัยการ หรือในทางพจิ ารณาคดขี องศาลที่อาจท�ำให้
บุคคลอ่ืนรู้จักตัว ชื่อตัว หรือชื่อสกุล ของเด็กหรือเยาวชนนั้น หรือโฆษณาข้อความ
เปดิ เผยประวตั กิ ารกระทำ� ความผดิ หรอื สถานท่อี ยู่ สถานท่ีทำ� งาน หรอื สถานศึกษา
ของเดก็ หรอื เยาวชนน้นั
ความในวรรคหนง่ึ มใิ หใ้ ชบ้ งั คบั แกก่ ารกระทำ� เพอื่ ประโยชนท์ างการศกึ ษา
โดยไดร้ บั อนญุ าตจากศาลหรอื การกระทำ� ทจี่ ำ� เปน็ เพอ่ื ประโยชนข์ องทางราชการ” [9]
หลักเกณฑ์ทางกฎหมายข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความประสงค์
ที่ต้องการให้เก็บรักษาข้อมูลต่างๆ ไว้อย่างเป็นความลับ ท้ังข้อมูลที่อยู่ในลักษณะ
วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ 65
ปีที่ 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564
ของภาพ รูป เสียง หรือข้อความอื่นๆ ที่จะท�ำให้รู้ตัวผู้กระท�ำความผิดท่ีเป็นเด็ก
และเยาวชนเนอ่ื งจากตอ้ งการปอ้ งกนั มใิ หม้ กี ารสรา้ งความเสยี หายแกเ่ ดก็ หรอื เยาวชน
จากการใช้ข้อมูลน้ัน รวมถึงยังประสงค์ท่ีจะให้การแก้ไขฟื้นฟูพฤติกรรมท่ีฝ่าฝืน
ต่อกฎหมายของเด็กและเยาวชนด�ำเนินไปได้ดีข้ึน [10] หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องระวาง
โทษจำ� คกุ ไมเ่ กนิ หนง่ึ ปี หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ สองหมนื่ บาท หรอื ทงั้ จำ� ทงั้ ปรบั [11] โดยขอ้ มลู
ข้างต้นน้ันได้แก่ข้อมูลในทุกชั้นท้ังช้ันสอบสวน ช้ันการสั่งคดี และชั้นการพิจารณา
พพิ ากษาของศาล ไม่วา่ การเผยแพรน่ นั้ จะได้กระท�ำไปเพื่อการค้าหรือไม่กต็ าม [12]
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากฎหมายจะต้องการปกป้องคุ้มครองข้อมูลของเด็กและ
เยาวชนผกู้ ระทำ� ความผดิ เปน็ หลกั บทบญั ญตั ใิ นวรรคสองกเ็ ปดิ โอกาสใหม้ กี ารเขา้ ถงึ
ขอ้ มลู ตา่ งๆ เกยี่ วกบั เดก็ และเยาวชนผกู้ ระทำ� ความผดิ ได้ แตต่ อ้ งตกอยภู่ ายใตเ้ งอื่ นไข
ดังน้ี
1) การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ของผกู้ ระทำ� ความผดิ ทเ่ี ปน็ เดก็ และเยาวชนนน้ั ตอ้ งเปน็ ไป
เพอ่ื ประโยชน์ทางการศึกษา และ
2) ศาลจะต้องอนุญาตให้เขา้ ถึงข้อมลู ได้ [13]
ขั้นตอนการท�ำวิจัยด้านกฎหมายเกี่ยวกับการกระท�ำความผิดของเด็ก
และเยาวชน
โดยท่ัวไปแลว้ การทำ� วจิ ัยด้านกฎหมายจะดำ� เนนิ การตามล�ำดบั ดงั น้ี
1) การก�ำหนดประเดน็ ปัญหา
2) การออกแบบระเบยี บวิธีวจิ ัย
3) การทบทวนวรรณกรรมท่เี กย่ี วข้อง
4) การเก็บขอ้ มลู
5) การวิเคราะห์ข้อมลู
6) การอภปิ รายและสรุปผล
7) การจดั ท�ำรูปเล่มรายงานผลการวิจยั
66 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ
ปีที่ 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
การวิจัยเก่ียวกับการกระท�ำความผิดของเด็กและเยาวชนในมลรัฐอินเดียนา
ประเทศสหรัฐอเมริกา
หลักเกณฑ์ทางกฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับการวิจัยเกี่ยวกับการกระท�ำความผิด
ของเดก็ และเยาวชนในมลรฐั อนิ เดยี นา ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ถกู กำ� หนดโดย Indiana
Code Title 31 Article 39 Chapter 2 Section 11 โดยกฎหมายดงั กล่าวก�ำหนดไว้วา่
“ศาลเยาวชนสามารถให้บุคคลใดๆ เข้าถึงบันทึกข้อมูลที่เป็นความลับของศาลเพ่ือ
การวจิ ยั ท่ถี กู ตอ้ งตามกฎหมาย ภายใต้เงือ่ นไขดงั ตอ่ ไปน้ี
1) บุคคลซึ่งด�ำเนนิ การวจิ ยั ได้จัดเตรียมข้อมลู ต่อไปน้เี ป็นลายลกั ษณอ์ ักษร
- วตั ถปุ ระสงคข์ องงานวจิ ยั รวมถงึ เจตนาอนื่ ๆ เกยี่ วกบั การเผยแพรผ่ ลของ
ขอ้ ค้นพบจากงานวิจัย
- ลกั ษณะของขอ้ มลู ทต่ี อ้ งการคน้ หาเพอื่ รวบรวม และวธิ กี ารวเิ คราะหข์ อ้ มลู
- ประเภทของบนั ทกึ ต่างๆ ท่ผี วู้ จิ ัยต้องการคน้ หา
- วิธกี ารท่ผี ้วู จิ ัยจะปกป้องตวั บคุ คลเจ้าของขอ้ มลู
2) ศาลจะต้องพิจารณาว่าวิธีการที่ถูกเสนอมาในข้ออแรกนั้นเพียงพอที่จะ
ปกปอ้ งตวั บคุ คลเจา้ ของขอ้ มลู หรอื ไม่
3) ศาลต้องแจ้งนักวิจัยเก่ียวกับเง่ือนไขของการเก็บรักษาข้อมูลเป็นความลับ
[14] และต้องแจง้ ความรบั ผิดทางอาญาในกรณีทีก่ ารปกป้องข้อมูลข้างต้นไมเ่ ปน็ ผล
4) ศาลตอ้ งกำ� หนดระยะเวลาของการใชบ้ นั ทึกข้อมูลเพ่ือการวจิ ัยนน้ั ” [15]
โดยบันทึกข้อมูลดังกล่าวนั้นจะเป็นบันทึกข้อมูลต่างๆ ท่ีศาลเยาวชนมี
รวมถงึ สรปุ ลำ� ดบั เหตกุ ารณข์ องคดี หมายเรยี ก หมายอน่ื ๆ คำ� รอ้ งตา่ งๆ คำ� สง่ั ของศาล
อากปั กรยิ าทา่ ทาง อยา่ งไรกต็ ามบนั ทกึ ขอ้ มลู นน้ั จะไมร่ วมถงึ บนั ทกึ ขอ้ มลู ของผกู้ ระทำ�
ความผดิ ทเี่ ปน็ ผใู้ หญ่ และกระบวนการในศาลทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ประเดน็ ของความเปน็ บดิ า
มารดา สทิ ธใิ นการดแู ล เวลาในการเปน็ บดิ ามารดา และการสนบั สนนุ สง่ เสรมิ เดก็ [16]
วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ 67
ปีที่ 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564
อภิปรายผลและสรปุ
ปัญหาและอุปสรรคท่ีเกิดข้ึนกับการวิจัยเกี่ยวกับการกระท�ำความผิด
ของเด็กและเยาวชนในประเทศไทย: วเิ คราะหเ์ ปรียบเทยี บมลรฐั อนิ เดียนา ประเทศ
สหรัฐอเมรกิ า
แม้ว่าพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน
และครอบครัว พ.ศ. 2553 จะไม่ได้ปิดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลเพื่อการท�ำวิจัยที่
เกยี่ วขอ้ งกบั เดก็ และเยาวชนผกู้ ระทำ� ความผดิ แบบเดด็ ขาด โดยการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ตา่ งๆ
อาจเกิดขึ้นได้หากเป็นไปเพ่ือการศึกษาและศาลอนุญาต แต่การก�ำหนดเง่ือนไข
โดยให้ดุลยพินิจกับศาลโดยไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ รองรับเป็นเรื่องท่ีได้สร้างความ
ยากลำ� บากใหก้ บั การทำ� วจิ ยั โดยอาศยั ขอ้ มลู สำ� คญั ทเี่ กย่ี วขอ้ งในคดอี ยา่ งยง่ิ เนอ่ื งจาก
ผพู้ พิ ากษาแตล่ ะทา่ นอาจมดี ลุ ยพนิ จิ ในการพจิ ารณาทแี่ ตกตา่ งกนั นอกจากนนั้ ในทาง
ปฏบิ ตั จิ ากประสบการณข์ องผเู้ ขยี น แมว้ า่ นกั วจิ ยั จะไดท้ ำ� หนงั สอื ขอความอนเุ คราะห์
ชแี้ จงรายละเอยี ดงานวจิ ยั และแสดงเจตนาวา่ จะรกั ษาความลบั ของการระบตุ วั บคุ คล
ที่เป็นเด็กและเยาวชนแล้วก็มักจะถูกปฏิเสธค�ำร้องขอดังกล่าวอยู่เสมอ ด้วยเหตุผล
ที่วา่ รายละเอียดต่างๆ น้ันควรถูกเกบ็ รักษาเปน็ ความลับ ทั้งน้ี เพ่ือเปน็ การปกป้อง
อนาคตและสวัสดิภาพของผู้กระท�ำความผิด รวมถึงไม่ต้องการตีตราบุคคลดังกล่าว
ผ่านการให้ข้อมูลเพื่อการวิจัย [17] ซ่ึงการปฏิเสธการเข้าถึงข้อมูลเพื่อการวิจัยเช่นน้ี
ย่อมเท่ากับเป็นการปฏิเสธท่ีจะพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทาง
อาญาสำ� หรบั เดก็ และเยาวชนทม่ี ไี วเ้ พอื่ รกั ษาสวสั ดภิ าพของเดก็ และเยาวชนผกู้ ระทำ�
ความผดิ ใหด้ ียง่ิ ขน้ึ ไปน่นั เอง
บทสรปุ
ด้วยการก�ำหนดหน้าท่ีโดยพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562
มหาวทิ ยาลยั และอาจารยใ์ นมหาวทิ ยาลยั คงปฏเิ สธไมไ่ ดถ้ งึ การสรา้ งสรรคช์ นิ้ งานวจิ ยั
ยงิ่ งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ผกู้ ระทำ� ความผดิ ทเ่ี ปน็ เดก็ และเยาวชน รวมถงึ กระบวนการ
ยุติธรรมทางอาญาส�ำหรับเด็กและเยาวชนด้วยแล้ว ผู้วิจัยต่างมีความคาดหวัง
ที่ต้องการพัฒนาระบบหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้ดีข้ึนกว่าที่เป็นอยู่ อันจะเป็นการ
68 วารสารวิชาการนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ
ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
ชว่ ยรักษาสวสั ดภิ าพและอนาคตของเดก็ และเยาวชนไปดว้ ยในตัว อย่างไรก็ดี ปัญหา
ทน่ี กั วจิ ยั เกย่ี วกบั ผกู้ ระทำ� ความผดิ ทเี่ ปน็ เดก็ และเยาวชน รวมถงึ กระบวนการยตุ ธิ รรม
ทางอาญาสำ� หรบั เดก็ และเยาวชนของประเทศไทยประสบพบเจอไดแ้ ก่ การถกู ปฏเิ สธ
การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ตา่ งๆ ทจี่ ำ� เปน็ ในงานวจิ ยั โดยเฉพาะขอ้ มลู ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ตวั ผกู้ ระทำ�
ความผดิ ทีเ่ ปน็ เดก็ และเยาวชนโดยศาลเยาวชนและครอบครวั ซึ่งการปฏเิ สธดงั กลา่ ว
นั้นเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ปราศจากหลักเกณฑ์ของการพิจารณาท่ีชัดเจนและแน่นอน
จงึ อาจมคี วามแตกตา่ งไปไดต้ ามแตล่ ะปจั เจกของผพู้ จิ ารณา ดว้ ยเหตนุ ้ี งานเขยี นชนิ้ นี้
จึงเสนอแนะวา่ ควรแกไ้ ขพระราชบัญญัตศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ ีพจิ ารณา
คดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 130 โดยการก�ำหนดหลักเกณฑ์
ในการพจิ ารณาเพอื่ มคี ำ� สง่ั อนญุ าตใหเ้ ขา้ ถงึ ขอ้ มลู เพอื่ การวจิ ยั ไดด้ งั เชน่ Indiana Code
ของมลรัฐอินเดียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะต้องท�ำค�ำขอมาเป็นลายลักษณ์
อักษร ชแ้ี จงรายละเอยี ดของงานวจิ ัย รวมถงึ มมี าตรการในการปกป้องขอ้ มูลดังกลา่ ว
มิใหเ้ ปิดเผยร่วมกับการใช้ดลุ ยพนิ จิ
ผู้เขียนหวังว่าข้อเสนอแนะข้างต้นจะช่วยส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยในฐานะ
สถาบนั อดุ มศกึ ษาไดพ้ ฒั นาความรใู้ หท้ นั สมยั อนั จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาชมุ ชน
สงั คม และประเทศโดยรวมตามหลกั ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คมต่อไป
เอกสารอ้างองิ
[1] พรชยั ขนั ตี และคณะ. (2558). ทฤษฎีทางอาชญาวิทยา: หลักการ งานวจิ ัย และ
นโยบายประยุกต์. กรงุ เทพฯ : สำ� นกั พมิ พม์ หาวิทยาลัยรงั สิต. หน้า 3-4.
[2] ปพนธรี ์ ธรี ะพนั ธ.์ (2561). แนวทางการพฒั นาการเบ่ยี งเบนคดีในชั้นสอบสวน
ท่เี ดก็ และเยาวชนเปน็ ผกู้ ระทำ� ความผดิ . วารสารนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั
ธรรมศาสตร์, 47(2), 365 - 366.
[3] มาตรา 5 แหง่ พระราชบญั ญตั ิการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562
[4] มาตรา 26 แหง่ พระราชบญั ญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562
[5] สนุ ีย์ มัลลกิ ะมาลย.์ (2560). วธิ วี ทิ ยาการวิจัยทางนติ ศิ าสตรแ์ ละสังคมศาสตร์.
กรุงเทพฯ : บริษทั อาร์ทิพาเนยี จ�ำกดั . หนา้ 11.
วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ 69
ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
[6] มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญตั กิ ารอดุ มศกึ ษา พ.ศ. 2562
[7] มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครศรธี รรมราช คณะครุศาสตร์. (ม.ป.ป.). ประโยชน์
ของการวจิ ัย. สบื ค้น 30 กรกฎาคม 2563, จาก http://comedu.nstru.
ac.th/5581135032/index.php/2016-03-23-07-51-36/2016-02-15-06-
51-53/4
[8] ประสบการณก์ ารทำ� วจิ ยั ของผเู้ ขยี น.
[9] มาตรา 130 แห่งพระราชบญั ญัตศิ าลเยาวชนและครอบครัวและวธิ ีพิจารณาคดี
เยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553
[10] ประเทือง ธนยิ ผล. (2561). กฎหมายเก่ียวกบั การกระทำ� ผิดของเด็กและเยาวชน
และวิธพี ิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว. กรุงเทพฯ : สำ� นักพิมพ์
มหาวทิ ยาลยั รามค�ำแหง. หน้า 205 - 206.
[11] มาตรา 192 แหง่ พระราชบัญญัตศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ ีพิจารณาคดี
เยาวชนและครอบครวั พ.ศ. 2553
[12] สหรฐั กิตศิ ภุ การ. (2562). คำ� อธิบายพระราชบญั ญตั ิศาลเยาวชนและ
ครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. 2553. กรุงเทพฯ :
บรษิ ทั อมรนิ ทร์พริ้นต้ิงแอนดพ์ บั ลชิ ช่งิ จำ� กัด (มหาชน).
หน้า 309 - 310.
[13] ปพนธรี ์ ธีระพันธ์. (2561). คดเี ยาวชนและครอบครัว. กรงุ เทพฯ : นติ ธิ รรม.
หน้า 136-137.
[14] Section 31-39-1-2 Indiana Code
[15] Section 31-39-2-11 Indiana Code
[16] Section 31-39-1-1 Indiana Code
[17] พรชยั ขันตี และคณะ. เล่มเดมิ . หน้า 275.
70 วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษิณ
ปีที่ 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
ความเหลอ่ื มลำ้� ในกระบวนการยุติธรรมเก่ยี วกับคดี
ทรัพยากรธรรมชาติ
และสง่ิ แวดลอ้ มในประเทศไทย
The Inequality in the Justice System Relating to the Nat-
ural Resources and Environmental Cases in Thailand
จิดาภา พรย่ิง1
Jidapa Pornying1
รญิ ญาภัทร์ ณ สงขลา2
Rinyapath N. Songkhla2
Received : August 25, 2020
Revised : October 20, 2020
Accepted : December 18, 2020
1 อาจารย์ ดร., คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ สงขลา 90000 71
1 Lecturer. Dr., Faculty of Law, Thaksin University, Songkhla, 90000, Thailand
2 อาจารย.์ , คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ สงขลา 90000
2 Lecturer., Faculty of Law, Thaksin University, Songkhla, 90000, Thailand
วารสารวชิ าการนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ
ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
บทคดั ย่อ
บทความนี้ศึกษาการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของผู้กระท�ำผิด
เกย่ี วกับทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมทีเ่ ปน็ คดปี ระเภท บกุ รกุ ปา่ ท�ำการเกษตร
เก็บฟืน หาของป่า เก็บพันธ์ไม้ต่างๆ เพื่อด�ำรงเลี้ยงชีพผู้กระท�ำผิดส่วนใหญ่
เป็นผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสในการท�ำมาหากิน เมื่อถูกด�ำเนินคดีต้องหาเงินหรือ
หลักทรัพย์ประกันตัวเพื่อต่อสู้คดี มิฉะนั้นต้องถูกกักขังรอด�ำเนินคดีตามกระบวน
การยตุ ธิ รรมจนคดถี งึ ท่สี ดุ
จากการศึกษาพบว่าผู้กระท�ำผิดที่เป็นผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสในคดี
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีโทษอาญาและโทษจ�ำคุกไม่เกินห้าปี
ถือว่าเป็นโทษท่ีไม่ร้ายแรง ควรได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวโดยน�ำอุปกรณ์
อิเลก็ ทรอนิกส์ (EM) มาใชเ้ พอ่ื อำ� นวยความยตุ ธิ รรมให้กับประชาชน และผ้กู ระทำ� ผดิ
ท่ีมีฐานะยากจน ไม่มีทรัพย์สิน หลักประกัน หรือเงินมาวางเป็นหลักประกันต่อศาล
หรอื ปลอ่ ยชวั่ คราวในชน้ั พนกั งานอยั การจนกวา่ คดเี สรจ็ สนิ้ ดงั นน้ั เพอ่ื ใหผ้ กู้ ระทำ� ผดิ
เข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมและมิให้บุคคลเหล่าน้ีกลับมากระท�ำผิดซ�้ำซาก
รัฐควรจัดสรรกระจายท่ีดินท�ำกินเพื่อให้ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสมีท่ีดินท�ำกินและ
ท่ีอยู่อาศัยตามที่ได้รองรับสิทธิไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช
2560 มาตรา 72 และมาตรา 73 และเป็นการปฏิบัติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ
สงั คมแหง่ ชาติ (ฉบบั ท่ี 12) พ.ศ.2560-2564 และยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560
- 2580) แผนหลักของการพัฒนาประเทศเพ่ือลดความเหลื่อมล้ำ� สร้างความเป็นธรรม
อย่างย่งั ยนื
คำ� สำ� คญั : เหลอ่ื มลำ้� , กระบวนการยตุ ธิ รรม, คด,ี ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม
72 วารสารวิชาการนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ
ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
Abstract
This article studies the inequality in justice system of the offenders
who are poor people and disadvantaged people that is a kind of case Invade
forests, do agriculture, collect firewood, find forest products, collect various plants
To make a living, most of the offenders are the poor or the disadvantaged to
make a living. When prosecuted, have to raise money or bail securities to defend
the case. Otherwise, they must be detained, waiting to be prosecuted according
to the judicial process until the final case.
The study found that poor or disadvantaged offender in the case of
natural resources and environment,with criminal penalties and imprisonment
for not exceeding five years which is not deemed a severe penalty, should be
granted for provisional release by using the innovation, Electronic Monitoring
(EM), to provide the administration of justice for people and poor offender who
lacks of assets, security or money to apply in the court for provisional release or
applying for provisional release with the public prosecutor until the case is final-
creating fairness, and accessing justice system. To prevent offences committed
by such people, therefore, the government should allocate lands for poor and
disadvantaged people to earn their livelihood as their rights guaranteed by the
Constitution of the Kingdom of Thailand B.E.2560, Section 72 and Section 73.
This is complying with the Twelfth National Economic and Social Development
Plan (B.E.2560 - 2564) and the National Strategy 20 (B.E.2560-2580) which are
the major country’s development plans for sustainability of reducing inequality.
Keywords : inequality, justice system, case, natural resources and environment
วารสารวิชาการนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ 73
ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
บทน�ำ
ประเทศไทยมีประเภทคดีเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมข้ึนสู่
กระบวนการยุติธรรมมีปริมาณคดีสู่การพิจารณาของศาลเพ่ิมมากข้ึนส่วนใหญ่
เป็นความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2548 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 8)
พ.ศ.2562 ความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับท่ี 4) พ.ศ. 2559 ความผิดพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 แก้ไข
เพ่มิ เติม พ.ศ. 2562 ความผดิ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
(แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ) พ.ศ. 2562 จำ� แนกประเภทคดเี ปน็ คดบี กุ รกุ ปา่ สงวนแหง่ ชาติ คดลี ะเมดิ
เรียกค่าเสียหายเก่ียวกับส่ิงแวดล้อม คดีตัดไม้ เคลื่อนย้าย เก็บฟืน หาของป่า
ปลูกพืชหมุนเวียน ท�ำเกษตรพืชล้มลุก เก็บพันธุ์ไม้ต่างๆ อันเป็นข้อพิพาทระหว่าง
หน่วยงานของรัฐกับประชาชน ซึ่งประเภทคดีทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
กำ� หนดโทษอาญาใหจ้ ำ� คกุ เรมิ่ ตงั้ แตห่ นงึ่ เดอื นถงึ สบิ ปี หรอื โทษปรบั หรอื ทงั้ จำ� ทง้ั ปรบั
แลว้ แตป่ ระเภทคดคี วามผิดทเ่ี กิดข้นึ สำ� หรับค�ำวา่ ทรัพยากรธรรมชาติ หมายความว่า
สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ หรอื มอี ยตู่ ามธรรมชาติ เชน่ ปา่ ไม้ สตั วป์ า่ พชื ปา่ นำ้� อากาศ ดนิ แรธ่ าตแุ ละ
พลงั งานธรรมชาติ ส่วนส่งิ แวดลอ้ มหมายความว่า สิง่ ตา่ งๆ ทมี่ ลี ักษณะทางกายภาพ
และชีวภาพท่ีอยู่รอบตัวมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและส่ิงที่มนุษย์ได้ท�ำขึ้นตาม
พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เก่ียวกับ
การอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละการสง่ เสรมิ รกั ษาคณุ ภาพสงิ่ แวดลอ้ ม ผกู้ ระทำ� ผดิ นนั้
มีท้ังคนที่มีฐานะร่�ำรวยและฐานะยากจนโดยเฉพาะผู้ยากไร้ คนด้อยโอกาส
เป็นผู้กระท�ำความผิดทรัพยากรธรรมชาติและคดีส่ิงแวดล้อมผู้กระท�ำผิดถูกฟ้องคดี
ต่อศาลยุติธรรมเป็นคดีทางแพ่งที่ต้องจ่ายเสียค่าเสียหายให้กับรัฐและในส่วนของคดี
อาญานั้นอาจถูกลงโทษจ�ำคุกหรือโทษปรับ หรือทัง้ จำ� คุกและปรบั แลว้ แตก่ รณี [1]
การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมระหว่างรัฐกับประชาชน
เป็นประเด็นปัญหาท่ีเกิดข้ึนอยู่เป็นระยะเวลายาวนาน ซ่ึงฝ่ายรัฐเองต้องการ
ทจ่ี ะปกปอ้ งผนื ปา่ ดว้ ยแนวคดิ ทว่ี า่ ในพน้ื ทป่ี า่ ไมค่ วรมผี คู้ นอาศยั อยู่ และปา่ ควรเปน็
ทห่ี วงห้ามไมใ่ หค้ นเขา้ ไปในเขตป่า เพราะคนจะทำ� ลายป่า ส่วนชาวบ้านทอี่ ยกู่ บั พน้ื ที่
ปา่ กย็ นื ยนั วา่ ชมุ ชนนนั้ ตง้ั อยมู่ ากอ่ นทร่ี ฐั จะกำ� หนดเขตปา่ สงวน หรอื เขตอทุ ยาน และ
ชาวบ้านสามารถอยู่กับป่าและดแู ลป่าเองได้ เพียงแต่ใชท้ รพั ยากรในป่าเพ่อื ดำ� รงชพี
74 วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ
ปที ี่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564
เท่านั้น ท้ังสองฝ่ายต่างต่อสู้ด้วยแนวคิดท่ีแตกต่างกันเป็นปัญหาอยู่หลายพื้นท่ี
ท่ัวประเทศไทย เห็นได้จากคดีสิ่งแวดล้อมค�ำพิพากษาฎีกาที่ 1181/2562 ชาวบ้าน
สามคนถกู ดำ� เนนิ คดฐี านบกุ รกุ อทุ ยานแหง่ ชาติ จากการทำ� ไรใ่ นทดี่ นิ ตวั เองพน้ื ทส่ี ามไร่
กรมอทุ ยานฟอ้ งและเรยี กคา่ เสยี หายรวมกวา่ สามแสนบาท คดนี ศี้ าลพพิ ากษายกฟอ้ ง
โดยวินจิ ฉัยว่า คา่ เสยี หายที่เรยี กมาไม่ได้วิเคราะหจ์ ากสภาพพื้นทท่ี แี่ ท้จรงิ แต่ใชแ้ บบ
จ�ำลองค่าเสียหายจากป่าดงดิบ ตั้งแต่ปี 2519 ท้ังพื้นท่ีดังกล่าวเป็นป่าเบญจพรรณ
จ�ำเลยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายหรือ ค�ำพิพากษาฎีกาท่ี 1030/2562 คดีบุกรุกที่ดิน
เขตปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ผู้กระท�ำมีความผิดประมวลกฎหมายที่ดิน
มาตรา 9 (1) มาตรา 108 ทวโิ ทษจ�ำคุกไมเ่ กินหน่งึ ปหี รอื ปรับไม่เกินห้าพนั บาท และ
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 และ 365 ศาลลงโทษจ�ำคุกท้งั จำ� ทั้งปรับ [2]
จากตัวอย่างคำ� พพิ ากษาท้งั สองคดนี ้ี พบวา่ ชาวบ้านท่ถี กู จบั กมุ ตกเป็นจ�ำเลย
ข้อบุกรุกและชดใช้ค่าเสียหายเม่ือคดีเสร็จส้ินชาวบ้านต้องประสบปัญหาในระหว่าง
ท่ดี ำ� เนนิ คดี ตอ้ งหาเงินประกนั ตัว ค่าใช้จา่ ยทนายความ ค่าใช้จ่ายในการเดนิ ทางไป
ศาลแตล่ ะครง้ั ทงั้ ศาลชน้ั ตน้ ชนั้ อทุ ธรณ์ และชนั้ ฎกี า หากผถู้ กู จบั ไมม่ เี งนิ คา่ ประกนั ตวั
ยอ่ มหมายถึงตอ้ งเข้าไปอยู่ในคุกจนกวา่ คดจี ะสนิ้ สุด สร้างความทุกขย์ ากไม่เป็นธรรม
กับชาวบ้าน ความผิดบุกรุกท่ีดินเขตหวงห้ามเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อม
มเิ ปน็ ผกู้ ระทำ� ผดิ เกยี่ วกบั อาชญากรรม เพยี งแตเ่ ขา้ ไปทำ� มาหากนิ ในพนื้ ทเ่ี ขตหวงหา้ ม
เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและท�ำการเกษตร ปลูกพืชไร่และพืชหมุนเวียน หรือกรณี
ชาวบ้านเก็บของป่าเพื่อน�ำไปขายประทังชีวิตในแต่ละวัน เม่ือถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับกุม
ถูกสอบสวน และส่งให้พนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาล ย่อมเป็นการสร้างความยาก
ล�ำบากและกระทบต่อผู้ยากไร้ ผู้ท่ีมีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินท�ำกินและที่อยู่อาศัย
อนั เนอ่ื งมาจากการถกู จบั เพราะขาดความเขา้ ใจกฎหมาย เมอ่ื ไมม่ เี งนิ หรอื หลกั ทรพั ย์
ประกันตวั ทำ� ให้ผกู้ ระทำ� ผิดท่ถี กู จบั ถกู กักขังจนกว่าคดจี ะสิ้นสุด
หากเปรยี บเทยี บกบั ผกู้ ระทำ� ผดิ คดเี กย่ี วกบั ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม
สำ� หรบั คนมฐี านะเมอื่ ถกู จบั กมุ ยอ่ มมเี งนิ ในการประกนั ตวั เพอ่ื ตอ่ สคู้ ดี แตผ่ กู้ ระทำ� ผดิ
ที่อยู่ในฐานะยากจนหรือผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาสย่อมไม่มีเงินหรือหลักทรัพย์ท่ีใช้
ในการยน่ื ประกนั ตวั เพอื่ ตอ่ สคู้ ดรี วมทงั้ คา่ ใชจ้ า่ ยตา่ งๆทเ่ี กดิ ขน้ึ เกย่ี วกบั การดำ� เนนิ คดี
การขาดความรู้ความเข้าใจในสิทธิของตนเองและข้อกฎหมาย ท�ำให้ต้องรับผิดในคดี
วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ 75
ปที ี่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564
ที่ตนเองไม่ได้มีความผิด จึงเป็นความท่ีไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงกระบวนการ
ยุติธรรม ส่งผลให้ผู้กระท�ำผิดไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริง
เห็นได้จากสถิติผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์เม่ือวันที่ 1 มกราคม 2560 ซึ่งเลขาธิการ
ศาลยตุ ธิ รรมเปดิ เผยวา่ มผี ตู้ อ้ งขงั ทอี่ ยรู่ ะหวา่ งการสอบสวนและการพจิ ารณาของศาล
59,070 คน จากจ�ำนวนผู้ต้องขังท้ังหมด 289,675 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20.29
ของผู้ตอ้ งขัง โดยเช่ือว่าสว่ นใหญ่เป็นผตู้ อ้ งขงั ที่พฤตกิ ารณ์แห่งคดไี ม่รา้ ยแรง แต่ไมม่ ี
หลักทรัพย์วางประกันจึงท�ำให้ถูกคุมขังระหว่างพิจารณา ศาลจึงทดลองท�ำระบบ
ประเมินความเส่ียงในการปล่อยตัวชั่วคราว เพ่ือแก้ไขปัญหาความเหล่ือมล้�ำระหว่าง
ผตู้ อ้ งหาทีม่ ีฐานะและผตู้ ้องหายากไร้ [3]
ดว้ ยเหตทุ ี่ รฐั ดำ� เนนิ คดกี บั ผกู้ ระทำ� ผดิ กฎหมายประเภทคดที รพั ยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมกับประชาชนที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ยากไร้และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
ตามกระบวนการยตุ ธิ รรมนน้ั โดยมงุ่ เนน้ การปราบปรามและนำ� โทษทางอาญาใชเ้ ปน็
มาตรการควบคุมพฤติกรรมของผู้กระท�ำผิด ท�ำให้คดีทุกประเภทเข้าสู่กระบวนการ
ยตุ ธิ รรมในชนั้ ศาลรวมถงึ คดสี ง่ิ แวดลอ้ มทมี่ โี ทษทางอาญาเนอ่ื งจากผกู้ ระทำ� ผดิ ไมม่ เี งนิ
หรือหลักทรัพย์ประกันเพื่อปล่อยตัวชั่วคราวส่งผลให้ผู้ต้องขังมีจ�ำนวนมากกว่า
พื้นท่ีรองรับมาตรฐานของเรือนจ�ำเป็นสาเหตุท�ำให้คนล้นคุกโดยน�ำชาวบ้านที่มิใช่
อาชญากรไปขงั ปะปนกบั อาชญากร เมือ่ ผูต้ ้องขงั ทกุ ประเภทมารวมตวั กันตามทฤษฎี
การเรียนรู้คือกระบวนการท�ำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมความคิดและทฤษฎี
การคบค้าสมาคมเรียนรู้พฤติกรรมอาชญากรเกิดข้ึนภายในกลุ่มท่ีสนิทสนมคุ้นเคย
ผตู้ อ้ งขงั จะไดร้ บั ประสบการณแ์ ละวธิ กี ารประกอบอาชญากรรมทมี่ คี วามซบั ซอ้ นมาก
ย่ิงขึ้น ท�ำให้มีโอกาสสูงที่จะกลับไปกระท�ำความผิดซ�้ำด้วยวิธีการและรูปแบบใหม่ๆ
ดังน้ัน จึงจ�ำเป็นอย่างย่ิงต้องศึกษาหาแนวทางให้ผู้กระท�ำผิดประเภทคดีทรัพยากร
และส่ิงแวดล้อมท่ีอยู่ในสถานะผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
เพอื่ ลดความเหลอ่ื มลำ้� และไดร้ บั การชว่ ยเหลอื เพอื่ มใิ หบ้ คุ คลเหลา่ นกี้ ลบั มากระทำ� ผดิ
ซ้�ำอกี เมื่อหวนคืนสู่สงั คม
76 วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษณิ
ปที ่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564
ผลการศึกษา
สทิ ธกิ ารเขา้ ถงึ กระบวนการยตุ ธิ รรมคดที รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม
การดำ� เนนิ คดที รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มเกย่ี วกบั ผกู้ ระทำ� ผดิ จำ� เปน็
ต้องพิจารณาถึงประเภทความผิดและตัวผู้กระท�ำความผิดมูลเหตุและสาเหตุท่ีเกิด
กระท�ำความผิดน้ัน แม้ว่าเป็นคดีท่ีเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการ
สง่ เสรมิ รกั ษาคณุ ภาพสงิ่ แวดลอ้ มจำ� เปน็ ตอ้ งพจิ ารณาผกู้ ระทำ� ผดิ ทม่ี ฐี านะรำ�่ รวยและ
ที่อยู่ในฐานะยากจนโดยเฉพาะผู้ยากไร้ คนด้อยโอกาส ท่ีตกเป็นผู้กระท�ำความผิด
ที่ถูกด�ำเนินคดีทางแพ่งท่ีต้องชดใช้ด้วยเงินและทางอาญาต้องถูกลงโทษจ�ำคุกหรือ
โทษปรบั ซงึ่ การดำ� เนนิ กระบวนการยตุ ธิ รรมตงั้ แตช่ น้ั จบั กมุ ชนั้ สอบสวน ชน้ั พนกั งาน
อัยการส่งฟ้องต่อศาลและการพิจารณาคดีของศาล เหล่าน้ีเป็นขั้นตอนด�ำเนิน
กระบวนการยุตธิ รรมทางอาญา ท่ีมขี ั้นตอนและคา่ ใช้จ่ายทีส่ ร้างภาระใหก้ ับผู้ยากจน
หรือผ้ยู ากไร้เปน็ อยา่ งมากเมอ่ื ถูกด�ำเนินคดี
เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุของการกระท�ำผิดของกลุ่มประชาชนท่ีเป็นผู้ยากจน
ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาส พบว่าข้อหาท่ีชาวบ้านเหล่านี้กระท�ำผิดได้แก่คดีบุกรุก
ป่าสงวนแห่งชาติ คดีละเมิดเรียกค่าเสียหายเก่ียวกับสิ่งแวดล้อม คดีตัดไม้ท�ำฟืน
เคลอ่ื นย้าย เกบ็ ของปา่ ปลูกพืชหมนุ เวียน ท�ำเกษตรพืชล้มลกุ เปน็ ตน้ ล้วนมาจาก
การกระทำ� ผดิ พระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ พระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ พระราชบญั ญตั ิ
อุทยานแห่งชาติ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า และความผิดพระราช
บัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเหล่านี้ส่วนใหญ่
มีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือป้องกนั การตัดไม้ท�ำลายป่า เพื่อสงวนรกั ษาและอนรุ กั ษ์ทรัพยากร
ปา่ ไม้ สตั วป์ า่ และพชื พนั ธไ์ มป้ า่ เพอ่ื เปน็ การปราบปรามลงโทษผกู้ ระทำ� ผดิ การทำ� ลาย
ทรพั ยากรและสงิ่ แวดลอ้ ม แตก่ อ่ นทจี่ ะมปี ระกาศพระราชบญั ญตั เิ หลา่ น้ี จากสถติ ขิ อง
กรมป่าไม้เองในชว่ ง พ.ศ. 2504 ถึง 2525 นนั้ ระบวุ า่ มรี าษฎรทำ� มาหากนิ อยู่ในพ้ืนที่
ปา่ สงวนแห่งชาตนิ บั แสนครอบครวั [4] เมอ่ื รัฐออกกฎหมายมาเพอ่ื ควบคุมธรรมชาติ
และป่าไม้ ขณะท่ขี ้อบังคบั ของกฎหมายเหล่านี้กลับสรา้ งความเดือนร้อนแก่ชาวบา้ น
ที่เป็นเกษตรกรรายย่อยท่ียากจน ผู้ยากไร้ หรือผู้ด้อยโอกาสที่ต้องด�ำรงชีพอยู่กับ
พ้ืนที่ป่า ซ่ึงเป็นการคุกคามต่อวิธีชีวิตของชนชาติดั้งเดิมท่ีอยู่กับพื้นป่าก่อนที่จะมี
การประกาศให้เป็นเขตควบคุม แสดงให้เห็นว่าระบบกฎหมายที่ออกมาใช้บังคับกับ
กลุม่ ชาวบา้ นถือเสมอื นเปน็ เคร่อื งมือกลไกในการใช้อ�ำนาจของรัฐ
วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ 77
ปที ี่ 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
หากการเข้าไปในพื้นท่ีเขตป่าหวงห้ามของชาวบ้านเพื่ออยู่อาศัยท�ำมาหากิน
เพ่ือด�ำรงชีพมิได้มีประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจในเขตป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติ
ทจี่ ดั เปน็ เขตควบคมุ อนรุ กั ษ์ หรอื ยดึ ถอื การครอบครองเปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั หรอื ทำ� กนิ รฐั ควร
ตอ้ งพจิ ารณาวา่ ผกู้ ระทำ� ผดิ กฎหมายเหลา่ นน้ั สว่ นใหญเ่ ปน็ ราษฎรหรอื ชาวบา้ นยากจน
หรอื ผดู้ อ้ ยโอกาสทางสงั คมเศรษฐกจิ ทไ่ี มอ่ าจจดั เปน็ บคุ คลประเภทอาชญากรรา้ ยแรง
ในความรสู้ กึ ของประชาชนทวั่ ไป แมว้ า่ การกระทำ� ผดิ ของชาวบา้ นอาจจะมผี ลกระทบ
ต่อประโยชน์สาธารณะในด้านท่ีว่า ทรัพยากรป่าไม้เป็นผลประโยชน์ของส่วนรวม
ท่ีต้องร่วมกันช่วยรักษาไว้ แต่ผลของการกระท�ำผิดดังกล่าวมิได้เป็นการกระท�ำ
ท่ีเป็นการประทุษร้ายต่อชีวิต ทรัพย์สินของบุคคลโดยเฉพาะเจาะจง หรือเป็นการ
กอ่ อาชญากรทรี่ า้ ยแรงเหมอื นกบั คดกี ระทำ� ผดิ ขอ้ หาฆา่ คนตาย ปลน้ ทรพั ย์ ชงิ ทรพั ย์
อันเปน็ ความผิดทกี่ ่อความไมส่ งบเรยี บร้อยในบา้ นเมอื ง
การด�ำเนินคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในกระบวนการยุติธรรม
ท่ีคดีมีโทษจ�ำคุกของประเทศไทย พบว่า มุ่งเน้นการปราบปรามโดยการน�ำกฎหมาย
อาญาและโทษทางอาญามาใช้เป็นมาตรการควบคุมพฤติกรรม ทำ� ให้คดีทุกประเภท
เขา้ สกู่ ระบวนการยตุ ธิ รรมในชน้ั ศาลรวมถงึ คดสี งิ่ แวดลอ้ มทมี่ โี ทษทางอาญา สง่ ผลให้
ผู้ต้องขังมีจ�ำนวนมากกว่าพื้นที่รองรับมาตรฐานของเรือนจ�ำอันเป็นสาเหตุท�ำให้
คนล้นคุกโดยน�ำชาวบ้านท่ีมิใช่อาชญากรไปขังปะปนกับอาชญากร เมื่อผู้ต้องขัง
ทุกประเภทมารวมตัวกันตามทฤษฎีการเรียนรู้คือกระบวนการท�ำให้คนเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมความคิดและทฤษฎีการคบค้าสมาคมเรียนรู้พฤติกรรมอาชญากรเกิดข้ึน
ภายในกลุ่มที่สนิทสนมคุ้มเคย ผู้ต้องขังจะได้รับประสบการณ์และวิธีการประกอบ
อาชญากรรมท่ีมีความซับซ้อนมากย่ิงข้ึน ท�ำให้มีโอกาสสูงท่ีจะกลับไปกระท�ำ
ความผดิ ซำ�้ ด้วยวิธีการและรูปแบบใหม่ ๆ เมื่อหวนคืนสู่สังคม
ปัจจุบันมีการน�ำเอากฎหมายอาญาและโทษทางอาญามาใช้เป็นมาตรการ
ควบคมุ พฤตกิ รรมผกู้ ระทำ� ผดิ เชน่ ประมวลกฎหมายอาญาทกี่ ำ� หนดโทษในทางอาญา
แลว้ ยงั มพี ระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ พ.ศ. 2484 พระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2507
แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 4) พ.ศ. 2559 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2562 พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
(แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2562 ซ่ึงกฎหมายดังกล่าวมาน้ีมีโทษทางอาญาที่มุ่งเน้นการ
78 วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ
ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
ปราบปรามเป็นหลักมไิ ดค้ ำ� นึงถึงสิทธิและเสรภี าพของประชาชน รัฐควรน�ำมาตรการ
ยตุ ธิ รรมทางเลอื กทเ่ี หมาะสมปฏบิ ตั ติ อ่ ผกู้ ระทำ� ผดิ โดยไมใ่ ชเ้ รอื นจำ� และนำ� ผกู้ ระทำ� ผดิ
ออกจากระบบเรือนจ�ำและใช้ทางเลือกอื่นแทนการกักขังหรือมาตรการอ่ืนแทน
การลงโทษ [5] และกลไกในการบงั คบั ใช้กฎหมายที่จะลงโทษผู้ทฝ่ี ่าฝนื ตอ่ บทบัญญัติ
ของกฎหมายในความผดิ ทางอาญากลไกทวี่ า่ นนั้ กค็ อื กระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญา
(Criminal Justice System) ที่มีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา
ทนายความและองค์กรของรัฐคือ ต�ำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์โดยองค์กรของรัฐ
เหล่านี้มีหน้าท่ีบังคับใช้กฎหมายเพื่อน�ำตัวผู้กระท�ำผิดมาลงโทษและเพื่อคุ้มครอง
ผ้บู รสิ ุทธ์ิ [6]
กระบวนการยุติธรรมด้านกฎหมายมีความส�ำคัญต่อการพัฒนาประเทศเป็น
อยา่ งมากรฐั จงึ มหี นา้ ทใ่ี นการสรา้ งความเปน็ ธรรมอนั เปน็ สทิ ธขิ นั้ พนื้ ฐานทป่ี ระชาชน
ควรไดร้ บั การดแู ลจากรฐั โดยเฉพาะกลมุ่ ผยู้ ากจนหรอื ผดู้ อ้ ยโอกาสควรไดร้ บั การดแู ล
เพอ่ื ใหด้ ำ� รงชวี ติ อยา่ งมนั่ คงยงั่ ยนื ดว้ ยปจั จยั ทใ่ี ชด้ ำ� รงชวี ติ และความเปน็ อยขู่ นั้ พนื้ ฐาน
อย่างพอเพียง เม่ือรัฐออกกฎหมายมาหลายฉบับเพื่อปกป้องและอนุรักษ์เขตป่าว่า
เปน็ เขตพน้ื ทดี่ นิ หวงหา้ ม มาบงั คบั ใชก้ บั ประชาชนเปน็ การนำ� มาสคู่ วามขดั แยง้ ระหวา่ ง
เจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนโดยเฉพาะชาวบ้านผู้ยากจนหรือผู้ด้อยโอกาสเหล่าน้ัน
ตา่ งมที อี่ ยอู่ าศยั และดำ� รงชพี ในพน้ื ปา่ ทม่ี กี ารกำ� หนดเขตอนรุ กั ษโ์ ดยรฐั ประกาศใหเ้ ปน็
เขตป่าหวงห้าม หรอื การท�ำมาหากินโดยอาศยั พ้นื ป่าเพ่อื ด�ำรงชพี จึงทำ� ใหเ้ กิดปญั หา
ชาวบ้านถกู กลา่ วหาว่าเปน็ ผูบ้ กุ รุกทดี่ นิ หรือเกบ็ ของป่าหรอื เก็บพืชผกั สมนุ ไพร หรือ
ไมฟ้ นื หงุ หาอาหารตามวธิ ปี ระเพณดี งั่ เดมิ เพอ่ื ใชพ้ นื้ ทท่ี ำ� เกษตรเพอ่ื ดำ� รงชวี ติ เปน็ การ
กระท�ำผิดกฎหมาย ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาหรือจ�ำเลยหรือถูกขับไล่ออกจากท่ีดิน
ท�ำกินอันเป็นถิ่นฐานมาแต่ดั่งเดิมตกทอดมาจากบรรพบุรุษและผู้กระท�ำผิดเหล่านั้น
ไมส่ ามารถเข้าถงึ กระบวนการยุตธิ รรมของรฐั ส่งผลให้เกิดความเหลือ่ มล้ำ� มากขึ้น
เมื่อพิจารณาสิทธิในฐานะพลเมืองของรัฐประชาชนทุกคนย่อมได้รับ
การคุ้มครองสิทธิขั้นพ้ืนฐาน พบว่า การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมมีบทบัญญัติรอง
รับไว้มาตรา 75 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช พ.ศ. 2540 [7]
ต่อเน่ืองมาถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช พ.ศ. 2550 บัญญัติไว้
เช่นเดียวกนั คมุ้ ครองสทิ ธเิ ขา้ ถึงกระบวนการยุตธิ รรมไดโ้ ดยงา่ ย สะดวก รวดเรว็ และ
วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ 79
ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
ท่ัวถึง [8] ถือได้ว่าเป็นการสิทธิพื้นฐานในกระบวนพิจารณาและสิทธิดังกล่าวนี้
ถูกรับรองตลอดมาถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช พ.ศ. 2560
หมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐมาตรา 64 “ก�ำหนดเป็นแนวทางให้รัฐด�ำเนินการ
ตรากฎหมาย และก�ำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน” และมาตรา 68
“รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ
เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้
โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร วรรคสาม รัฐพึงให้ความ
ช่วยเหลือทางกฎหมายท่ีจ�ำเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้ หรือผู้ด้อยโอกาสในการ
เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดหาทนายความให้” และหมวด 16
การปฏิรปู ประเทศ มาตรา 258 “ใหร้ ฐั ด�ำเนนิ การปฏริ ปู ประเทศในดา้ นตา่ งๆ รวมถงึ
ดา้ นกระบวนการยุตธิ รรม ตามทบี่ ญั ญตั ิไว้ (1) ใหม้ ีการกำ� หนดระยะเวลาดำ� เนนิ งาน
ในทกุ ขนั้ ตอนของกระบวนการยตุ ธิ รรมทช่ี ดั เจน เพอ่ื ใหป้ ระชาชนไดร้ บั ความยตุ ธิ รรม
โดยไมล่ า่ ชา้ และมกี ลไกชว่ ยเหลอื ประชาชนผขู้ าดแคลนทนุ ทรพั ยใ์ หเ้ ขา้ ถงึ กระบวนการ
ยุติธรรมได้ รวมตลอดทั้งการสร้างกลไกเพื่อให้มีการบังคับการตามกฎหมายอย่าง
เคร่งครดั เพอ่ื ลดความเหล่อื มล�้ำและความไม่เปน็ ธรรมในสงั คม” [9]
แสดงให้เห็นว่าแนวนโยบายของรัฐ มีเป้าหมายเพ่ือให้ด�ำเนินการลดความ
เหล่ือมล้�ำและสร้างความเป็นธรรมในด้านของกระบวนการยุติธรรมให้ประชาชน
สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยเน้นถึงความสะดวก รวดเร็ว และไม่เสีย
ค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควรและจัดหาทนายให้กับผู้ยากไร้ แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า
ผยู้ ากจนหรอื ยากไรท้ ถ่ี กู จบั กมุ คดที รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ทม่ี กี ระบวนการ
ตั้งแตช่ น้ั ถกู จบั กมุ ชน้ั พนักงานสอบสวน ช้ันพนักงานอยั การ และถกู สง่ ฟ้องต่อศาล
หากผู้กระท�ำผิดไม่มีเงินหรือหลักทรัพย์มาประกันตัวย่อมต้องอยู่ในเรือนจ�ำจนกว่า
คดจี ะเสรจ็ สน้ิ เพราะเหตทุ ผี่ กู้ ระทำ� ผดิ เกย่ี วกบั คดที รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม
ส่วนใหญ่เป็นผู้ยากจนขาดความรู้ความเข้าใจในกระบวนการและขั้นตอนการ
ช่วยเหลือ แม้ว่าจะมีหน่วยงานส�ำนักงานยุติธรรมจังหวัดให้การช่วยเหลือประชาชน
แต่ขาดการสื่อสารท�ำให้ผู้กระท�ำผิดเหล่าน้ีไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม
ตามท่ีรัฐธรรมนูญก�ำหนดไว้แต่อย่างใด แสดงให้เห็นถึงความเหล่ือมล้�ำและไม่เป็น
ธรรมเกิดข้ึนเป็นการเลือกปฏิบัติโดยอาศัยช่องทางตามกฎหมาย ดังนั้น เพื่อให้
เกิดความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้�ำ เห็นควรให้ผู้กระท�ำผิดมีสิทธิได้รับการ
80 วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ
ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564
ปล่อยตัวชั่วคราวไประยะเวลาหน่ึงจนกว่าศาลจะมีคําพิพากษาถึงท่ีสุดว่า ผู้ต้องหา
หรือจําเลยนั้นมีความผิดหรือไม่ รัฐควรให้ความสะดวกทางคดีแก่ประชาชนโดย
จัดให้ทนายความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายประจ�ำอยู่ทุกสถานีต�ำรวจ จัดให้
มีการประสานงานกับส�ำนักงานยุติธรรมกรณีของผู้กระท�ำผิดเป็นผู้ยากจน ผู้ยากไร้
เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมโดยเสมอภาคและได้รับ
หลักประกันการค้มุ ครองสทิ ธทิ ่ีมาตรฐานตามหลักสทิ ธมิ นุษยชน
รูปแบบการปลอ่ ยตวั ชัว่ คราวคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม
การปล่อยตัวชั่วคราวของผู้กระท�ำผิดที่มีฐานะยากจนกับผู้มีฐานะร่�ำรวย
พบว่ามีความความเหลื่อมล�้ำกันด้วยปัจจัยด้วยเงินหรือหลักประกันที่ใช้ประกันตัว
อันเป็นปัญหาส�ำคัญของกระบวนการยุติธรรมและเพ่ือแก้ไขปัญหาความเหล่ือมล้�ำ
ในสงั คม ปญั หาการเขา้ ถงึ กระบวนการยตุ ธิ รรม ปญั หาผถู้ กู ดำ� เนนิ คดซี งึ่ เปน็ ผตู้ อ้ งหา
หรือจ�ำเลยหลบหนีในชั้นปล่อยช่ัวคราว ปัญหาความยากจนไม่มีเงินประกันตัว
ท�ำให้คนยากจนถูกควบคุมตัวเกือบทุกกรณี และเสียโอกาสได้รับการปล่อยช่ัวคราว
ทงั้ ปรมิ าณผตู้ อ้ งขงั หรอื ผตู้ อ้ งโทษในเรอื นจำ� มปี รมิ าณมากจนเกดิ ไดม้ พี ระราชบญั ญตั ิ
แก้ไขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา (ฉบบั ที่ 30) พ.ศ. 2558 [10]
ซงึ่ มผี ลใชบ้ งั คบั ตง้ั แตว่ นั ที่ 31 ธนั วาคม 2558 ในสว่ นทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การปลอ่ ยชวั่ คราว
กำ� หนดใหใ้ ชอ้ ปุ กรณอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ สห์ รอื อปุ กรณอ์ น่ื ใดทส่ี ามารถใชต้ รวจสอบหรอื จำ� กดั
การเดนิ ทางของผถู้ กู ปลอ่ ยชวั่ คราวสำ� นกั งานศาลยตุ ธิ รรมจะใชอ้ ปุ กรณอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์
(EM) หรืออุปกรณ์อ่ืนใดที่สามารถใช้ตรวจสอบหรือจ�ำกัดการเดินทางด้วยก็ได้โดย
ให้เจ้าพนักงานคุมประพฤติดูแลควบคุมความประพฤติของผู้กระท�ำความผิดและ
รายงานต่อศาลการน�ำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (EM) ใช้กับการปล่อยตัวชั่วคราว
ผู้กระท�ำผิด อันเป็นการน�ำนวัตกรรมมาใช้เพ่ืออ�ำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน
ของส�ำนักงานศาลยุติธรรม ได้น�ำนวัตกรรมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (EM) ให้ใช้
เปน็ หลกั ประกนั ในการปลอ่ ยชว่ั คราว เปน็ แนวทางทที่ ำ� ใหผ้ กู้ ระทำ� ผดิ ทม่ี ฐี านะยากจน
ไมม่ ที รพั ยส์ นิ หลกั ประกนั หรอื เงนิ มาวางเปน็ หลกั ประกนั ตอ่ ศาล หรอื ปลอ่ ยชวั่ คราว
ในชน้ั พนกั งานอยั การ ในระหวา่ งทผ่ี กู้ ระทำ� ผดิ ถกู ดำ� เนนิ คดแี ละจนกวา่ คดจี ะเสรจ็ สน้ิ
เป็นการใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นมาตรฐานเดียวกันลดความเหลื่อมล�้ำทางสังคม
อย่างเปน็ รูปธรรมกบั ผกู้ ระทำ� ผิดคดีทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม [11]
วารสารวิชาการนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ 81
ปีท่ี 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
นอกจากน้ีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 25)
พ.ศ. 2559 [12] กำ� หนดให้ผูใ้ ดกระทำ� ความผดิ ซึ่งมโี ทษจ�ำคุกหรือปรับ และในคดนี ั้น
ศาลจะลงโทษจ�ำคุกไม่เกินห้าปีไม่ว่าจะลงโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตามหรือลงโทษปรับ
ถ้าปรากฏว่าผู้นั้นไม่เคยรับโทษจ�ำคุกมาก่อน และเมื่อศาลได้ค�ำนึงถึงอายุ ประวัติ
ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และ
สิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือสภาพความผิด หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว ศาลจะ
พิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการก�ำหนดโทษหรือก�ำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้
ไมว่ า่ จะเปน็ โทษจำ� คกุ หรอื ปรบั อยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดหรอื ทง้ั สองอยา่ ง เพอ่ื ใหโ้ อกาสกลบั ตวั
ภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้ก�ำหนดแต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันท่ีศาลพิพากษา
โดยจะก�ำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้น้ันด้วยหรือไม่ก็ได้เง่ือนไขเพื่อ
คมุ ความประพฤติของผกู้ ระทำ� ความผิดหลงั จากศาลมคี �ำพิพากษา
การลดขอ้ พพิ าทคดที รัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม
คดีทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมที่ผู้กระท�ำผิดเป็นกลุ่มชาวบ้าน
ผู้ยากจน ผู้ยากไร้ หรือผู้ด้อยโอกาส เกิดจากปัญหาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
และสง่ิ แวดลอ้ มระหวา่ งรฐั กบั ประชาชน เปน็ ประเดน็ ปญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ อยเู่ ปน็ ระยะเวลา
ยาวนาน โดยฝา่ ยรฐั เองตอ้ งการทจี่ ะปกปอ้ งผนื ปา่ ดว้ ยแนวคดิ ทวี่ า่ ในพน้ื ทปี่ า่ ไมค่ วรมี
ผคู้ นอาศยั อยู่ และปา่ ควรเปน็ ทหี่ วงหา้ มไมใ่ หค้ นเขา้ ไปในเขตปา่ เพราะคนจะทำ� ลายปา่
ส่วนชาวบ้านท่ีอยู่กับพ้ืนท่ีป่าก็ยืนยันว่า ชุมชนน้ันตั้งอยู่มาก่อนที่รัฐจะก�ำหนด
เขตป่าสงวน หรือเขตอุทยาน และชาวบ้านสามารถอยู่กับป่าและดูแลป่าเองได้
เพียงแต่ใช้ทรัพยากรในป่าเพ่ือด�ำรงชีพเท่าน้ัน ท้ังสองฝ่ายต่างต่อสู้ด้วยแนวคิดที่
แตกตา่ งกันเปน็ ปัญหาอยูห่ ลายพื้นทท่ี ่ัวประเทศไทย
เม่ือวันที่ 18 ธันวาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติแก้ไขปัญหาโดย
มติเห็นชอบในหลักการ ร่างระเบียบส�ำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบูรณการเพื่อ
ลดความเหลื่อมล�ำ้ และแก้ไขปัญหาความยากจน พ.ศ. .... กำ� หนดให้มคี ณะกรรมการ
นโยบายการลดความเหล่ือมล�้ำและแก้ไขปัญหาความยากจน (กนล.) โดย
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการมีหน้าท่ีและอ�ำนาจก�ำหนดกรอบนโยบายและ
82 วารสารวิชาการนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษิณ
ปีท่ี 9 ฉบบั ท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564
ยทุ ธศาสตร์ วางแนวทาง หลกั เกณฑ์ วธิ กี ารดำ� เนนิ งานบรู ณการเพอ่ื ลดความเหลอื่ มลำ�้
และแกไ้ ขปญั หาความยากจนในทกุ มติ ิ ทกุ ระดบั สง่ เสรมิ และสนบั สนนุ การดำ� เนนิ งาน
ของหน่วยงาน ก�ำหนดให้เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี ก�ำกับติดตามประเมิน
ผลการด�ำเนินงาน ออกประกาศและก�ำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารการลด
ความเหลอื่ มลำ้� และแกไ้ ขปญั หาความยากจนเปน็ ครง้ั แรกทม่ี กี ารจดั ตงั้ หนว่ ยงานกลาง
เพ่ือดูแลลดความเหลื่อมล้�ำและแก้ไขปัญหาความยากจน เห็นได้ว่ารัฐพยายาม
หาหนทางแก้ไขปญั หาใหก้ ับผยู้ ากจนในประเทศ [13]
สิทธขิ องประชาชนในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม
ทรัพยากรธรรมชาติเป็นทรัพย์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้แก่ พื้นดิน ป่า
พืชพันธ์ไม้ ต้นไม้ ทุ่งหญ้า แร่ ที่ดิน ทะเลและชายฝั่ง สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ
ที่มีอยู่ตามธรรมชาติและมนุษย์สามารถน�ำมาใช้ประโยชน์ต่อการด�ำรงชีวิตได้มนุษย์
ทุกคนเช่ือว่าตนมีสิทธิและเสรีภาพท่ีจะใช้ชีวิตตามที่ตนมุ่งหวัง กลไกต่างๆ ในสังคม
ก็ควรคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงและใช้ทรัพยากรของประชาชนทุกหมู่เหล่าใน
ยคุ ทรพั ยากรลดนอ้ ยลง จงึ มไิ ดอ้ ยทู่ ก่ี ารตง้ั เปา้ หมายทกี่ ารอนรุ กั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ มหรอื การ
พฒั นาเศรษฐกิจอย่างใดอยา่ งหน่งึ ดงั เชน่ ในอดตี จะเห็นได้จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ (ฉบับท่ี 12) พ.ศ. 2560 - 2564 [14] ยึดหลักการหาแนวทาง
“พัฒนาอย่างย่ังยืน” อย่างเป็นรูปธรรม และให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา
ในทุกมิติ โดยค�ำนึงถึงความเท่าเทียมกัน ของสิทธิพลเมืองและสิทธิชุมชน
และความเป็นธรรมเป็นส�ำคัญความเท่าเทียมกันและความยุติธรรม จึงเป็น
องค์ประกอบของการพัฒนาอย่างย่ังยืน ดังน้ันประชาชนย่อมมีสิทธิเข้าถึง
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เพ่ือให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2560 - 2564 รัฐจึงไม่ควรท่ีจ�ำกัดสิทธิและ
สร้างเงื่อนไขในการเข้าถึงทรัพยากรของประชาชน ด้วยเหตุที่ทรัพยากรด้านพื้นท่ี
เป็นต้นทุนของคนยากจนหรือผู้ด้อยโอกาสที่เปรียบเสมือนโครงสร้างพ้ืนฐานและ
สาธารณปู โภคของคนกลมุ่ ตา่ งๆ ในชมุ ชนดงั่ เดมิ หรอื คนชนบทเพอื่ การอยอู่ าศยั หรอื
ใช้ประโยชน์ทรัพยากรเหล่าน้ันในการด�ำรงชีพ ย่อมแสดงให้เห็นว่ารัฐเองเป็นผู้สร้าง
ความเหลื่อมล�ำ้ ใหก้ ับประชาชนของประเทศ
วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทกั ษณิ 83
ปีที่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564
สิทธชิ ุมชนตามรฐั ธรรมนญู
ชุมชนดั่งเดิมหรือคนชนบท หรือเรียกว่าสิทธิชุมชน (Community Rights)
มีมาแต่ด้ังเดิมคู่กับวัฒนธรรมชุมชน วัฒนธรรมสังคมมาช้านานได้รับรองสิทธิชุมชน
มาชา้ นานมบี ทบญั ญตั คิ รงั้ แรกในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540
ในมาตรา 46 และมาตรา 56 ยอมรบั สทิ ธขิ องบคุ คลทรี่ วมกนั เปน็ ชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ดงั้ เดมิ
มีส่วนร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ และฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ
หรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติและมีส่วนร่วมในการจัดการบ�ำรุงรักษา
และการใช้ประโยชนจากทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอม อย่างสมดุลและย่ังยืน
ต่อถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ยังคงหลักการดังกล่าว
มิได้เปล่ียนแปลงต่อเนื่องมาถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560
ให้ความส�ำคัญเก่ียวกับสิทธิชุมชนในด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม รับรองและคุ้มครองสิทธิของชุมชนและเงื่อนไขในการใช้สิทธิดังกล่าว
ด้วยตนเองอย่างสมดุลและย่ังยืนหมายความว่า รัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิชุมชนใน
การจัดการ บ�ำรุง รักษา และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมและ
ความหลากหลายทางชีวภาพไดท้ นั ที โดยเข้ารว่ มกบั องค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ หรอื
รัฐตามมาตรา 43 วรรคสองบัญญัติว่า “สิทธิของบุคคลและชุมชนตามวรรคหนึ่ง”
หมายความรวมถึงให้สิทธิของชุมชนท่ีจะร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือรัฐ
ในการดำ� เนนิ การดงั กลา่ วดว้ ยสว่ นคำ� วา่ “ตามวธิ กี ารทก่ี ฎหมายบญั ญตั ”ิ ในมาตรา 43
วรรคหน่ึง (2) ตอนท้าย หมายความว่า แม้ยังไม่มีการบัญญัติกฎหมายดังกล่าว
สิทธิชุมชนก็เกิดข้ึนแล้วทันที โดยเป็นผลมาจากบทบัญญัติในมาตรา 25 วรรคสอง
บัญญัติว่า “สิทธิหรือเสรีภาพใดที่รัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามท่ีกฎหมายบัญญัติ หรือ
ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทกี่ ฎหมายบญั ญตั ิ แมย้ งั ไมม่ กี ารตรากฎหมายนน้ั
ข้ึนใช้บังคับ บุคคลหรือชุมชนย่อมสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้นได้ตามเจตนารมณ์
ของรัฐธรรมนูญ” แสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิชุมชนให้สามารถใช้
ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพ่อื ใหเ้ กดิ สิทธิข้ึนทันทนี ้นั เอง
เม่ือพิจารณาสิทธิการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยพทุ ธศกั ราช 2560 มาตรา 51 กำ� หนดหนา้ ทขี่ องรฐั
84 วารสารวิชาการนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ
ปีท่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
ถ้าการน้ันเป็นการกระท�ำเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง ย่อมเป็นสิทธิ
ของประชาชนและชมุ ชนทจ่ี ะตดิ ตามและเรง่ รดั ใหร้ ฐั ดำ� เนนิ การ เปน็ บททว่ั ไปเกย่ี วกบั
สภาพบังคับการปฏิบัติหน้าท่ีหน่วยงานรัฐ และเป็นสิทธิของประชาชนและชุมชน
ในการตดิ ตามเรง่ รดั ให้รฐั ด�ำเนนิ การตามหนา้ ท่ีดว้ ย เมอื่ มาตรา 57 วรรคหนง่ึ กำ� หนด
ให้รฐั ต้อง อนุรักษ์ คุม้ ครองบ�ำรงุ รกั ษา ฟ้ืนฟู บรหิ ารจัดการ และใช้ หรอื จัดใหม้ กี าร
ใช้ ประโยชน์จากทรพั ยากรธรรมชาติ สง่ิ แวดลอ้ ม และความหลากหลายทางชวี ภาพ
ให้เกิดประโยชน์ อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยต้องให้ประชาชนและชุมชนในท้องถ่ิน
ท่ีเก่ียวข้องมีส่วนร่วมด�ำเนินการและได้รับประโยชน์จากการด�ำเนินการดังกล่าว
ด้วยตามท่ีกฎหมายบัญญัติรัฐมีหน้าท่ีต้องให้ชุมชนในท้องถ่ินที่เก่ียวข้องมีส่วนร่วม
ดำ� เนนิ การและไดร้ บั ประโยชนจ์ ากการดำ� เนนิ การดว้ ย ประกอบกบั มาตรา 58 วรรคหนงึ่
รับรองสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของชุมชนรัฐมีหน้าท่ีต้องจัดให้มีการศึกษาและ
ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่อาจมีผลกระทบต่อชุมชนนั้น รัฐจะต้อง
จดั รบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของชมุ ชนควบคไู่ ปดว้ ยและการรบั รองสทิ ธใิ นขอ้ มลู ขา่ วสารของ
ชุมชนวา่ บคุ คลและชุมชนย่อมมสี ทิ ธิได้รบั ขอ้ มลู คำ� ชแี้ จง และเหตผุ ลจากหนว่ ยงาน
ของรัฐกอ่ นการด�ำเนินการ สำ� หรับมาตรา 58 วรรคสามก�ำหนดให้รฐั ดำ� เนนิ การหรอื
อนุญาตสิ่งใด รัฐต้องระมัดระวังให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน ชุมชน ส่ิงแวดล้อม
และความหลากหลายทางชีวภาพน้อยท่ีสุด และต้องด�ำเนินการให้มีการเยียวยา
ความเดือดร้อนหรือเสียหายให้แก่ประชาชนหรือชุมชนท่ีได้รับผลกระทบอย่าง
เปน็ ธรรมและโดยไมช่ กั ชา้ แสดงใหเ้ หน็ วา่ สทิ ธชิ มุ ชนตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย
พทุ ธศกั ราช 2560 ฉบบั ปจั จบุ นั ใหค้ วามสำ� คญั ในการคมุ้ ครองสทิ ธชิ มุ ชนทม่ี งุ่ คมุ้ ครอง
และส่งเสริมการฟื้นฟู คุ้มครองคุณค่าทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถ่ินปกปักรักษา
ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม เป็นสิทธิที่ชุมชนสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม รัฐได้ยอมรับ
บทบาทของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมใน
ท้องถิ่นให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของประชาชนและชุมชนใน
ท้องถ่ินนั้น เมื่อตราบใดยังมีประชาชนกลุ่มผู้ยากไร้หรือด้อยโอกาสทางสังคม
จ�ำเป็นต้องพ่ึงพาอาศัยพ้ืนที่ป่าหรือเขตพื้นท่ีหวงห้ามเพื่อการอยู่อาศัยและด�ำรงชีพ
รัฐจ�ำเป็นต้องจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติเพ่ือให้ชุมชนมีชีวิตท่ีดีข้ึนตามที่รัฐธรรมนูญ
บัญญตั ิไว้
วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ 85
ปที ่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ นุ ายน 2564
เขา้ ถึงสิทธิการจัดสรรพ้นื ทีป่ า่ อนุรักษ์
การทร่ี ฐั กำ� หนดพน้ื ทป่ี า่ อนรุ กั ษท์ ำ� ใหท้ ดี่ นิ ของรฐั ทบั ซอ้ นกบั ทท่ี ำ� กนิ ของราษฎร
และก�ำหนดแนวเขตชุมชนไม่ชัดเจน ก่อให้เกิดปัญหาข้อพิพาทและสร้างความ
ขัดแย้งท่ียืดเยื้อระหว่างรัฐกับประชาชนมาอย่างต่อเน่ือง สาเหตุมาจากการ
ทรี่ ฐั บญั ญตั กิ ฎหมายเพอ่ื ใชป้ ระโยชนจ์ ากพน้ื ทป่ี า่ อนั เปน็ กฎหมายเกย่ี วกบั การสงวน
และคมุ้ ครองพนื้ ปา่ ทมี่ เี ปา้ หมายเพอื่ สงวนไมท้ มี่ คี า่ เพอื่ ประโยชนใ์ นดา้ นการสมั ปทาน
ทำ� ไมเปน็ หลกั เมอื่ พจิ ารณากฎหมายพระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ พ.ศ. 2484 กำ� หนดนยิ าม
ค�ำว่า “ป่า” หมายความว่า ท่ีดินท่ียังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดิน ต่อมา
รฐั ประกาศกำ� หนดเขตปา่ สงวนแหง่ ชาติ อทุ ยานแหง่ ชาตแิ ละเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ และ
พชื พนั ธ์ุ และกำ� หนดเขตหวงหา้ มประเภททด่ี นิ ตา่ งๆ ใหเ้ ปน็ ทด่ี นิ สาธารณะประโยชน์
ทีร่ าชพสั ดุ เขตรกั ษาพนั ธุ์สตั วป์ า่ เม่ือการจัดเขตหวงห้ามยงั ไม่มคี วามชัดเจนสง่ ผลให้
ที่ดินท�ำกินของชุมชนและประชาชนจ�ำนวนมากที่อาศัยอยู่มาก่อนที่รัฐก�ำหนด
เป็นเขตพืน้ ปา่ อนรุ ักษ์ตอ้ งตกเป็นทีด่ ินของรัฐตามกฎหมายอยา่ งสน้ิ เชงิ [15]
เม่ือพิจารณานโยบายแห่งรัฐในการพัฒนาประเทศโดยเฉพาะ แผนพัฒนา
เศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ (ฉบบั ท่ี 12) พ.ศ. 2560 - 2564 พบวา่ กำ� หนดยทุ ธศาสตร์
ในการจัดสรรท่ีดินท�ำกินให้กับราษฎร ให้ความส�ำคัญเน้นการสร้างความมั่นคง
ดา้ นอาชพี และรายไดใ้ หก้ บั จำ� นวนคนยากจนลดลงเพอื่ การแกป้ ญั หาความเหลอื่ มลำ�้
และสร้างความเป็นธรรมประกอบกับนโยบายของรัฐในบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราช
อาณาจกั รไทยพทุ ธศกั ราช 2560 หมวด 6 แนวนโยบายแหง่ รฐั มาตรา 72 กำ� หนดใหร้ ฐั
พึงด�ำเนินการเก่ียวกับที่ดิน ทรัพยากร น�้ำ และพลังงาน รัฐพึงด�ำเนินการจัดให้มี
มาตรการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อประชาชนสามารถมีท่ีท�ำกินได้อย่างท่ัวถึง
และเป็นธรรม และมาตรา 73 ก�ำหนดให้รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้
เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตท่ีมีปริมาณและ
คุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่�ำและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และ
พึงช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ท�ำกิน โดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอ่ืนใด
แสดงใหเ้ หน็ วา่ แนวนโยบายแหง่ รฐั ทก่ี ำ� หนดให้ รฐั มหี นา้ ทตี่ อ้ งจดั หาทด่ี นิ ใหป้ ระชาชน
โดยเฉพาะประชาชนผยู้ ากไรใ้ หม้ ที ดี่ นิ ทำ� กนิ รฐั มหี นา้ ทต่ี อ้ งดำ� เนนิ การปฏริ ปู ประเทศ
ในแตล่ ะดา้ นตามทก่ี ำ� หนดไวม้ าตรา 258 ใหเ้ กดิ ผลรฐั จำ� ตอ้ งจดั ใหม้ กี ารกระจายการถอื ครอง
86 วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทักษณิ
ปีท่ี 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
ท่ีดินอย่างเป็นธรรมเพ่ือลดความเหลื่อมล�้ำรัฐควรจัดสรรท่ีดินท�ำกินให้ประชาชน
ผู้ยากไรห้ รอื ผดู้ อ้ ยโอกาสหรอื ผ้ทู ่อี าศัยอยใู่ นพื้นท่ีเขตอนุรกั ษก์ อ่ นรัฐจัดเป็นเขตพน้ื ที่
หวงหา้ มเพ่อื ปอ้ งกนั มใิ ห้บคุ คลเหลา่ นไ้ี ปกระทำ� ผดิ ในคดเี กย่ี วกบั ทรพั ยากรธรรมชาติ
และสงิ่ แวดล้อม
เมื่อรัฐมีภาระหน้าที่ดูแลประชาชนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แหง่ ชาติ (ฉบับท่ี 12) พ.ศ. 2560-2564 ทกี่ �ำหนดใหค้ นเปน็ ศนู ย์กลางของการพัฒนา
ในทุกมิติ โดยค�ำนึงถึงความเท่าเทียมกัน ของสิทธิพลเมืองและสิทธิชุมชน และ
ความเป็นธรรมเป็นส�ำคัญความเท่าเทียมกันและความยุติธรรมรัฐควรจัดสรรท่ีดิน
ให้กับผู้ยากจนและผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาส โดยไม่จ�ำต้องถือครองเป็นเจ้าของ
กรรมสิทธิ์ แต่กระท�ำเพ่ือรับรองสิทธิ์ร่วมกันในการจัดการท่ีดินของชุมชนในลักษณะ
แปลงรวม เพื่อป้องกันการเปลี่ยนมือไปอยู่ในการครอบครองของผู้มิใช่เกษตรกร
โดยเนน้ ใหห้ นว่ ยราชการทเี่ กยี่ วขอ้ งไปดำ� เนนิ การ ไดแ้ ก่ กรมทด่ี นิ กรมสง่ เสรมิ สหกรณ์
กรมปา่ ไม้ กรมพฒั นาทดี่ นิ และกรมชลประทาน และองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ เขา้ มา
ร่วมบริหารจัดการ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ
ให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลและย่ังยืนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราช
อาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560 การรับรองสทิ ธิของประชาชนด้านความเปน็ ธรรม
และลดความเหลอื่ มลำ้� ในสงั คมถกู กำ� หนดไวใ้ นแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ
(ฉบบั ท่ี 12) พ.ศ. 2560 - 2564 ของสำ� นกั คณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ
(สคช.) ท่ีจัดท�ำบนพื้นฐานของกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 (พ.ศ. 2560 - 2580) [16]
แผนหลักของการพัฒนาประเทศโดยมีเป้าหมายการพัฒนาที่ย่ังยืนรวมถึงการปฏิรูป
ประเทศ เพอื่ มงุ่ สคู่ วามมงั่ คง มงั่ คงั่ และยง่ั ยนื กำ� หนดยทุ ธศาสตรด์ า้ น “การสรา้ งความ
เป็นธรรมและลดความเหล่ือมล�้ำในสังคม” ย่อมแสดงให้เห็นว่าแผนพัฒนาฯ ได้เน้น
สร้างความม่ันคงด้านอาชีพและรายได้ให้กับจำ� นวนคนยากจนลดลง เพ่ือแก้ปัญหา
ความเหลื่อมลำ�้ และสร้างความเป็นธรรม เนือ่ งจากเหน็ วา่ มคี วามแตกตา่ งของรายได้
ระหว่างกลุ่มประชากรโดยเฉพาะการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของกลุ่มประชากร
ที่มีฐานะยากจน ยากไร้ หรือผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มท่ีอยู่ในพื้นที่ห่างไกลเพื่อบรรลุ
เปา้ หมายทต่ี งั้ ไวแ้ ละใชเ้ ป็นแนวทางการบริหารราชการแผ่นดนิ ของประเทศไทย
วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ 87
ปที ี่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564
บทสรุป
เม่ือพิจารณาสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของผู้กระท�ำ
ผิดประเภทคดีเก่ียวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อยู่ในสถานะผู้ยากจน
ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาส และเพื่อมิให้มีความเหลื่อมล้�ำในกระบวนการยุติธรรม
และสร้างเป็นธรรมให้เกดิ ข้ึนในสงั คม สรุปไดด้ ังน้ี
การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเพื่อการลดความเหลื่อมล�้ำ
อย่างเป็นรูปธรรม และให้ผู้ยากจน ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสท่ีตกเป็นผู้กระท�ำผิด
สามารถเข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมตามบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทยพทุ ธศักราช 2560 มาตรา 68 จงึ เหน็ ควรนำ� พระราชบญั ญัตแิ กไ้ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา (ฉบบั ท่ี 30) พ.ศ. 2558 หลักการ
ปล่อยตัวชั่วคราวโดยน�ำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (EM) ใช้กับการปล่อยตัวช่ัวคราว
ผู้กระท�ำผิดมาใช้คุมประพฤติกับผู้กระท�ำผิดคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ประกอบกับน�ำประมวลกฎหมายอาญามาตรามาตรา 56 (แกไ้ ขเพม่ิ เติม ฉบับที่ 25)
พ.ศ. 2559 สำ� หรบั คดที มี่ อี ตั ราโทษจำ� คกุ ไมเ่ กนิ 5 ปี อนั เปน็ อตั ราโทษเมอ่ื ศาลตดั สนิ
คดแี ลว้ และเขา้ เงอ่ื นไขทกี่ ฎหมายกำ� หนด ศาลสามารถรอการกำ� หนดโทษหรอื รอการ
ลงโทษได้ ซง่ึ ผกู้ ระทำ� ผดิ ประเภทคดที รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มน้ี จงึ ไมส่ มควร
ทจี่ ะถกู คมุ ขงั หรอื ถกู กกั ขงั ตราบใดคดที ถี่ กู ฟอ้ งศาลยงั ไมต่ ดั สนิ คดใี หท้ สี่ ดุ เพราะมไิ ด้
กระท�ำผิดท่ีเป็นคดีอาชญากรรมร้ายแรงอันเป็นอันตรายต่อความสงบสุขของสังคม
ของประเทศไทย
การลดขอ้ พพิ าทเกยี่ วกบั คดที รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มของกลมุ่ บคุ คล
ผู้ยากไร้หรือผดู้ อ้ ยโอกาส และมใิ ห้กลมุ่ บคุ คลเหลา่ นีก้ ระท�ำผิดอกี รัฐควรจัดให้มกี าร
กระจายการถอื ครองที่ดนิ ให้กับประชาชนผูย้ ากจน ผยู้ ากไร้หรอื ผู้ด้อยโอกาส ตามท่ี
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ก�ำหนดเมื่อรัฐจัดสรรพ้ืนท่ี
ให้กับชุมชนแล้ว ท�ำให้ประชาชนไม่มีความจ�ำเป็นต้องบุกรุกพื้นที่อนุรักษ์หรือพ้ืนที่
ป่าสงวนแห่งชาติ เน่ืองจากชาวบ้านได้รับการจัดสรรเพ่ือการอยู่อาศัยและมีพ้ืนท่ี
ท�ำการเกษตรเพ่ือการเลี้ยงชีพ และรัฐควรสร้างความรู้ให้กับชุมชนในการรักษาและ
ดูแลพ้ืนที่ป่าตามสิทธิชุมชนท่ีเคยปฏิบัติตามประเพณีและวัฒนธรรม เพ่ือให้ชุมชน
มีส่วนร่วมในการดูแล อนุรักษ์พื้นป่า และเป็น การแก้ไขปัญหาเขตที่ดินทับซ้อนและ
88 วารสารวิชาการนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ
ปีท่ี 9 ฉบับท่ี 11 กรกฎาคม 2563 - มถิ ุนายน 2564
แนวเขตพนื้ ทปี่ า่ ทไี่ มช่ ดั เจนเพอ่ื เปน็ การลดขอ้ พพิ าททเี่ กดิ ขน้ึ ระหวา่ งรฐั กบั ประชาชน
ในฐานะสิทธิพลเมืองและสิทธิชุมชนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(ฉบบั ที่ 12) พ.ศ. 2560 - 2564 ทก่ี ำ� หนดใหค้ นเปน็ ศนู ยก์ ลางของการพฒั นาในทกุ มติ ิ
โดยค�ำนึงถึงความเท่าเทียมกัน และเพื่อเป็นไปตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(พ.ศ. 2560-2580) ท่ีมุ่งสร้างความเป็นธรรมและลดความเหล่ือมล้�ำในสังคมเน้น
สร้างความมั่นคงด้านอาชีพและรายได้ให้กับจำ� นวนคนยากจนลดลง เพื่อแก้ปัญหา
ความเหล่ือมล้�ำและสร้างความเป็นธรรมและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของ
ประชาชน
เอกสารอา้ งอิง
[1] ราชกจิ จานุเบกษา. (2554). เล่มท่ี 128 ตอนที่ 30 ก วันท่ี 29 เมษายน 2554
หน้า 1.
[2] สมชยั ฑฆี าอตุ มากร. (2562). คำ� พิพากษาฎีกา ตอนท่ี 1. ส�ำนักพิมพ์
เนติบัณฑิตยสภา.
[3] กรุงเทพธรุ กิจออนไลน์. (2560). สถติ ผิ ้ตู ้องขังของกรมราชทณั ฑ์. สบื ค้น
26 มีนาคม 2563. จาก https://www.bangkokbiznews.com/news/
detail/736136
[4] สถติ ิกรมปา่ ไม.้ (2525). ขอ้ มูลสารสนเทศกรมปา่ ไม้. สืบค้น 26 มีนาคม 2563.
จาก http://forestinfo.forest.go.th/Content.aspx?id=9
[5] ชญานิศ ภาชีรัตน,์ และสุนีย์ มัลลิกะมาลย.์ (2562). กฎหมายตน้ แบบวา่ ด้วยการ
ระงบั ขอ้ พิพาทในกระบวนการ ยตุ ธิ รรมทางอาญา. วารสารการเมือง
การบรหิ ารและกฎหมาย, 11(3), 585.
[6] วิชาญ เครือรัตน.์ (2563). ความเสมอภาคทางสิทธิมนษุ ยชนกับสิทธิการได้รับคา่
ตอบแทนของผู้เสียหายใน คดีอาญา. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน,์ 7(7), 41.
[7] ราชกิจจานเุ บกษา. (2540). เล่มท่ี 114 ตอนที่ 55 วนั ที่ 11 ตุลาคม 2540
หน้า 15.
วารสารวิชาการนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษิณ 89
ปที ี่ 9 ฉบับที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถนุ ายน 2564
[8] ราชกจิ จานุเบกษา. (2550). เล่มที่ 124 ตอนท่ี 47 วันที่ 24 สงิ หาคม 2550
หนา้ 11.
[9] ราชกิจจานเุ บกษา. (2560). เล่มท่ี 134 ตอนท่ี 40 ก วันท่ี 6 เมษายน 2560
หน้า 17-18.
[10] ราชกิจจานเุ บกษา. (2558). เลม่ ท่ี 132 ตอนท่ี 127 ก วันท่ี 30 ธนั วาคม 2558
หนา้ 1-2.
[11] คูม่ ือการปฏิบัตงิ าน. (2558). พระราชบัญญัติแก้ไขเพ่มิ เตมิ ประมวลกฎหมาย
วธิ พี จิ ารณาความอาญา (ฉบับท่ี 30) พ.ศ. 2558 การใชอ้ ุปกรณ์
อเิ ล็กทรอนิกสส์ ำ� หรับตรวจสอบหรือจ�ำกดั การเดินทาง ของบุคคล
ในการปล่อยชว่ั คราว.
[12] ราชกิจจานุเบกษา. (2559). เล่มที่ 133 ตอนที่ 31 ก วันที่ 7 เมษายน 2559
หน้า 3.
[13] ประชาชาติธุรกิจ. (2561). ครม.อนมุ ัติแผนการบูรณาการเพ่ือลดความ
เหลอ่ื มลำ�้ และแก้ไขปัญหาความ ยากจน. สืบคน้ 26 มีนาคม 2563
จาก https://www.prachachat.net/general/news-266568
[14] ส�ำนักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติส�ำนกั นายก
รัฐมนตร.ี (2559). แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ (ฉบับที่ 12)
พ.ศ. 2560-2564.
[15] ราชกิจจานุเบกษา. (2484). เล่มที่ 58 ตอน - หน้าท่ี 1417 วนั ท่ี
15 ตลุ าคม 2484 หนา้ 3.
[16] ราชกิจจานุเบกษา. (2561). เลม่ ที่ 135 ตอน 82 ก วันท่ี 13 ตุลาคม 2561
หน้า 5.
90 วารสารวชิ าการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ
ปีท่ี 9 ฉบบั ที่ 11 กรกฎาคม 2563 - มิถุนายน 2564