The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การศึกษาการจัดการความขัดแย้งในชุมชนผ่านพิธีกรรมการเหยาของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by balllysa, 2022-06-23 23:08:55

การศึกษาการจัดการความขัดแย้งในชุมชนผ่านพิธีกรรมการเหยาของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย

การศึกษาการจัดการความขัดแย้งในชุมชนผ่านพิธีกรรมการเหยาของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย



รายงานวิจัยฉบับสมบรู ณ์
การศกึ ษาการจัดการความขัดแย้งในชุมชนผ่านพิธีกรรมการเหยาของกลุม่ ชาตพิ นั ธุ์

ผู้ไทยในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ประเทศไทย
The study conflict management in the community through
Mor Yao rituals of Phu Tai ethnic groups in Northeast Thailand.

โดย
ดร.เกรยี งไกร ผาสุตะและคณะ

โครงการวิจัยนไี้ ด้รบั ทุนอดุ หนนุ การวิจัยจากกรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
ประจาปงี บประมาณ ๒5๖๐





การศกึ ษาการจัดการความขัดแย้งในชุมชนผา่ นพธิ ีกรรมการเหยาของกล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุ
ผูไ้ ทยในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ประเทศไทย

The study conflict management in the community through
Mor Yao rituals of Phu Tai ethnic groups in Northeast Thailand.

โดย
ดร.เกรยี งไกร ผาสุตะและคณะ

โครงการวจิ ยั นีไ้ ด้รบั ทนุ อดุ หนนุ การวจิ ัยจากกรมส่งเสรมิ วัฒนธรรม กระทรวงวฒั นธรรม
ประจาปงี บประมาณ ๒5๖๐

๔ก

บทคัดยอ่

งานวิจัยน้ีมีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือศึกษาการจัดการความขดั แย้งในชุมชนผา่ นพิธีกรรมการเหยาของกลุ่ม
ชาติพันธุ์ ผไู้ ทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ประเทศไทย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ไดแ้ ก่ แบบสัมภาษณ์แบบ
กึ่งโครงสร้าง การสนทนากลมุ่ การสงั เกต กลุม่ เปา้ หมายทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั คือ 1) กลุ่มหมอเหยาในชมุ ชนพ้ืนที่
จังหวดั นครพนมและจังหวัดมุกดาหาร จานวน 20 กลมุ่ และ 2) กลุ่มครอบครัวของประชากรท่ีเคยผ่านการ
รักษาด้วยพิธีกรรมเหยาจากกลุ่มหมอเหยาลุ่มเป้าหมาย 40 ครอบครัว ใช้เทคนิคการการสุ่มตัวอย่างแบบ
เฉพาะเจาะจง เครื่องมือท่ใี ช้ในการวิจัย ใช้ 4 เทคนิคหลกั คือ 1) การบันทึกประวัติชวี ิตบุคคล เคร่อื งมือการ
สังเกต 3) แนวทางการสมั ภาษณ์เชงิ ลกึ และ4) การสมั ภาษณ์กลมุ่

ผลการวิจัย พบว่า ลักษณะการจัดการความขัดแย้งของกลุ่มหมอเหยาในการจัดการปัญหาระดับ
ครอบครัว พบใน 4 ลักษณะ คือ การควบคุมผ่านคาสอนในพิธีกรรม การสร้างสัญลักษณ์ในพิธีกรรม การ
ควบคมุ ผา่ นการประพฤตปิ ฏิบัติหลงั พิธีกรรม และการควบคมุ ผ่านการสรา้ งการมีสว่ นร่วมของกลุม่ ผลลพั ธข์ อง
การจดั การความขดั แย้งของกลุ่มหมอเหยา ไดแ้ ก่ ความสามารถในการจดั การปญั หาภายในครอบครวั เกิดการ
การธารงทุนทางวัฒนธรรมภายในชุมชนทอ้ งถิ่น เกดิ การสร้างเครือขา่ ยของประชากรในกลุ่ม การอนุรักษ์ภูมิ
ปัญญาท้องถ่ินในชุมชน และได้แนวทางในการสนับสนุนให้ชุมชนเกิดกระบวนการสร้างความทรงจาร่วม
เกย่ี วกับพิธเี หยา

๕ข

Abstract

This research aims to study investigate community conflict management through of
Phu Tai ethnic groups in Northeast Thailand. The target groups were 1) the Mor Yao group in
the community of Nakhon Phanom and Mukdahan province, 2) 2) Family of sick people who
have been treated in 40 families. Use specific sampling techniques. The instruments used in
the research were 4 main techniques: 1) Observation tools 3) Intensive interviewing methods
and 4) Group interviews.

The research found that the nature of conflict management in Mor Yao family in the
management of family problems are found in four aspects: conflict management through ritual
teachings, conflict management through the creation of symbols in the ritual, conflict
management through control through behavior after ritual; and conflict management through
control through the creation of group engagement. The results of the conflict management of
the Mor Yao group include the ability to manage problems within the family encourage
cultural capital in local communities, the network of population in the group, conservation of
local wisdom in the community and the way to support the community to create a process
of creating memories associated with the ceremony.

๖ค

กติ ตกิ รรมประกาศ

งานวิจัยเรอ่ื งการศึกษาการจัดการความขดั แย้งในชุมชนผ่านพิธกี รรมการเหยาของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ผุ ู้ไทย
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย ฉบับน้ีคณะผู้วิจัยใคร่ขอกราบขอบพระคุณทปี่ รึกษาโครงการวิจัย
รองศาสตราจารยส์ มศกั ด์ิ ศรีสนั ติสุข และผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ชลิต ชยั ครรชิต อาจารย์ท่ีให้คาปรึกษางานวิจัย
ที่ได้ใหค้ าแนะนา และใหค้ วามช่วยเหลอื ด้านตา่ งๆ ในระหวา่ งการศกึ ษาวจิ ัย

ขอกราบขอบพระคุณเจ้าหน้าที่ กลุม่ งานวิจยั และพัฒนา สานักนวตั กรรมทางวัฒนธรรม กรมส่งเสริม
วัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมทุกท่าน ที่ได้อานวยความสะดวกและคอยติดตาม ให้ความช่วยเหลือแก่
โครงการวิจยั น้เี ป็นอยา่ งดี

ขอขอบพระคุณกรมส่งเสริมวฒั นธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ทีไ่ ดจ้ ัดสรรงบประมาณในการวิจยั ให้แก่
โครงการน้ี

อาจารย์ดร.เกรยี งไกร ผาสุตะและคณะ

๗ง

สารบญั

หน้า

บทคดั ยอ่ ภาษาไทย ก

บทคดั ย่อภาษาองั กฤษ ข

กติ ตกิ รรมประกาศ ค

สารบัญตาราง ฉ

บทท่ี 1 บทนา 10

1.1 ที่มาและความสาคญั ของปญั หา 10

1.2 วตั ถปุ ระสงค์ 11

1.3 ประโยชนท์ ไี่ ดร้ ับ 12

1.4 คาถามการวิจยั 12

1.5 คานยิ ามศพั ท์ 12

บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมทเ่ี ก่ยี วข้อง 14

2.1 เอกสารและงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง 14

2.2 กรอบแนวคดิ ของการวิจยั 28

บทท่ี 3 ระเบียบวธิ วี ิจยั 30

3.1 พ้ืนที่ในการรวบรวมและจัดเก็บข้อมลู 30

3.2 กระบวนการดาเนินโครงการ 30

บทที่ 4 ผลการศึกษา 32

4.1 บรบิ ททางสงั คมของพื้นทีศ่ กึ ษา 32

4.1.1 บ้านเรณนู คร ตาบลเรณนู คร อาเภอเรณูนคร จงั หวดั นครพนม 32

๔.1.2 บา้ นคาพอก ตาบลโนนยาง อาเภอหนองสงู จงั หวดั มกุ ดาหาร 39

4.2 ความเชอ่ื และพิธีกรรมเหยาของชาวผูไ้ ทยในสองพ้ืนท่ี 43

4.3 การจัดการความขดั แย้งผ่านพิธกี รรมเหยา 62

4.3.1 การจดั การความขดั แยง้ ผ่านคาสอนในพิธีกรรม 62

4.3.2 การจัดการความขัดแย้งผา่ นการสรา้ งสญั ลกั ษณ์ในพิธีกรรม 68

4.3.3 การควบคุมผา่ นการประพฤตปิ ฏิบัตหิ ลงั พิธกี รรม 75

4.3.4 การสรา้ งการมีส่วนรว่ มของกลุ่ม 77

บทที่ 5 ผลลัพธ์ของการจดั การความขัดแย้งและแนวทางสนับสนุนให้ชมุ ชนเกดิ

กระบวนการสร้างความทรงจารว่ มเกี่ยวกบั พิธเี หยา 81

5.1 ความสามารถในจัดการปัญหาภายในครอบครัว 81

5.2 การธารงทุนทางวัฒนธรรมภายในชุมชนท้องถ่นิ 86

5.3 การสร้างเครือข่ายของประชากรในกลุม่ 89

5.4 การอนุรกั ษภ์ ูมปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น 92

5.5 แนวทางสนบั สนุนให้ชุมชนเกดิ กระบวนการสรา้ งความทรงจารว่ มเก่ียวกบั พิธีเหยา 93

5.6 สรปุ ๘
บทท่ี 6 สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ จ

6.1 วตั ถุประสงคก์ ารวิจัย หนา้

6.2 ระเบยี บวธิ กี ารวิจยั 95
6.3 สรปุ ผลการวจิ ัย 96
6.4 อภิปรายผลการวจิ ยั 96
96
6.5 ข้อเสนอแนะ 97
บรรณานกุ รม 102
ภาคผนวก 103
105
ประวตั ผิ ูเ้ ขยี น 108
129

๙ฉ

สารบัญตาราง

หนา้

ตารางที่ 1 แสดงขอ้ มลู เกย่ี วกับกลุ่มหมอเหยาทีใ่ ชใ้ นการศึกษา 47
ตารางท่ี 2 49
ตารางที่ 3 แสดงขอ้ มลู รายละเอียดเกย่ี วกบั บริวารผู้ติดตามหัวหน้าหมอเหยา 50
ตารางท่ี 4 แสดงรายละเอียดของคนป่วยทเี่ ข้ารบั การศกึ ษาด้วยพิธกี รรมการเหยา 53
ตารางท่ี 5 แสดงรายละเอียดของเครอ่ื งคายบูชาในพธิ ีกรรมของครบู าแตล่ ะขว่ ง 54
ตารางที่ 6 55
ตารางที่ 7 แสดงรายละเอียดของห้งิ บูชาครบู าอาจารย์ของหมอเหยาแตล่ ะข่วง 56
ตารางท่ี 8 แสดงรายละเอยี ดของข้อปฏิบัติของกลุ่มหมอเหยา 57
ตารางท่ี 9 แสดงรายละเอียดของเครื่องดนตรใี นพิธีกรรม 59
ตารางท่ี 10 61
ตารางที่ 11 แสดงรายละเอียดตัวอยา่ งบทกลอนขบั ลาในพธิ ีกรรมการเหยา 69
ตารางท่ี 12 แสดงรายละเอยี ดของลาดบั ข้นั ตอนในพิธกี รรม 71
ตารางท่ี 13 แสดงการให้ความหมายของพิธกี รรมการฟอ้ นเลย้ี งข่วงผีหมอ
73
ตารางท่ี 14 แสดงรายละเอียดของการเส่ียงทายในพิธกี รรม 75
ตารางที่ 15 แสดงรายละเอยี ดของคนป่วยท่ีตอ้ งจดั พธิ กี รรมการสมมาเจา้ โคตร 76
ตารางที่ 16 แสดงรายละเอยี ดเคร่ืองบชู าในพธิ ีกรรม ห้ิงบชู าครูบาอาจารย์ 78
ตารางที่ 17 81
ตารางท่ี 18 และการให้ความหมาย
การวเิ คราะห์ขอ้ คะลาที่สาคญั ทพ่ี บในกลมุ่ หมอเหยา 87
ตารางที่ 19 การวิเคราะหข์ ้อคะลาทสี่ าคญั ที่พบในกลมุ่ คนป่วยและญาตคิ นปว่ ย 92
ตารางท่ี 20
แสดงรายละเอยี ดบุคคลทม่ี บี ทบาทในแตล่ ะข้ันตอนในพิธกี รรมการเหยา 93
แสดงรายละเอียดของการจดั การปัญหาระดบั ครอบครวั ของกลุ่มหมอเหยา
แสดงรปู แบบการรกั ษาโดยพธิ ีกรรมการเหยาที่สะทอ้ นภาพการ

ธารงทุนทางวฒั นธรรม
แสดงรายละเอียดของการอนรุ กั ษ์ภมู ปิ ญั ญาท้องถิน่
แสดงแนวทางสนบั สนนุ ให้ชุมชนเกดิ กระบวนการสรา้ งความทรงจาร่วม

เกยี่ วกับพิธเี หยา

๑๐

บทที่ ๑
บทนา

1.1 ความเป็นมาของโครงการวจิ ยั
“พิธเี หยา” (Mor Yao Rite) เป็นความเช่ือและพิธีกรรมหนึ่งในการรักษาสุขภาพของคนในชุมชนผู้

ไทยที่สืบทอดมาแต่คร้ังบรรพกาลอันสืบเน่ืองมาจากความเชื่อดั้งเดิมที่นับถือผี เป็นการทาพิธีเพ่ือติดต่อ
ระหวา่ งผีกบั คน ใหผ้ ีชว่ ยเหลอื แกป้ ญั หาความเดือดร้อนโดยเฉพาะการเจ็บไข้ได้ป่วย มูลเหตุทต่ี อ้ งมีการเหยา
มาจากสภาพสังคมด้ังเดิมของชาวไทยท่ไี ม่มีสถานพยาบาลรับรองความเจ็บป่วย ก่อให้เกิดความจาเป็นที่ชาว
ไทยต้องด้ินรนหาท่ีพง่ึ ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ส่วนใหญ่น้ันใช้สมุนไพรพ้ืนบ้านท่ีมีในท้องถ่ินในการรักษาและดูแล
สขุ ภาพ ในอดีตการรกั ษาโรคภัยไขเ้ จบ็ จาเป็นตอ้ งอาศัยผเี ปน็ ผวู้ ินิจฉยั โรคบอกวธิ รี ักษา พิธีเหยา เปน็ พิธีกรรม
ทเี่ กิดจากการนับถือผีบรรพบุรุษเรียกว่า “ผีหมอ” และมีความเชื่อในเรือ่ งการเส่ียงทายเป็นพื้นฐาน โดยมีผู้
ประกอบพธิ ีกรรมคือ “หมอเหยา” ชาวผู้ไทยประกอบพิธกี รรมเหยาข้ึนเพ่ือเปน็ การบาบัดรักษาพยาบาลคน
เจ็บป่วยเป็นหลัก นอกจากนยี้ ังมีวัตถปุ ระสงค์เพื่อบูชาเลี้ยงผี เพ่ือการละเล่นรน่ื เริง และเพื่อเนน้ ยา้ ฮตี คลอง
ของพิธีกรรมเหยาให้คงอยู่ พิธีเหยาของชาวผู้ไทย สามารถแบ่งออกได้เป็น ๔ ประเภท คือ เหยารักษาคน
เจ็บป่วย พิธีเหยาคุมผอี อก พิธกี รรมเหยาเลยี้ งผี และพิธกี รรมเหยาเอาฮูป ซ่ึงพิธีกรรมน้ีถือเป็นพธิ กี รรมการ
รักษาความเจบ็ ป่วยที่มีมาช้านาน โดยมีพื้นฐานความเช่ือจากคติความเช่ือเร่ืองผีฟ้าและผีบรรพบรุ ุษท่พี วกตน
เคารพสักการะ ที่คอยช่วยเหลอื เม่ือยามเจบ็ ไข้ไดป้ ่วยหรือเกิดภาวะความเดอื ดร้อน โดยการประกอบพิธเี หยา
อญั เชิญมาช่วยขจัดปดั เป่าโรคภัย

อาจกล่าวไดว้ า่ ในปจั จุบนั นี้ พิธกี รรมการเหยาในพ้ืนทีภ่ าคตะวันออกเฉยี งเหนอื ของไทยโดยเฉพาะใน
เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนบน ยงั คงปรากฏภาพของปรากฏการณ์ทางสังคมของพิธกี รรมดังกลา่ วตาม
เขตชนบทท้องทอ่ี าเภอตา่ งๆ ทมี่ ปี ระชากรกลุม่ ชาติพันธ์ุผ้ไู ทยอาศยั อยู่ ซึ่งเปน็ ท่ีน่าสนใจว่ามีเงื่อนไขหรือปัจจยั
ภายในหรอื ภายนอกชมุ ชนใดบ้างที่ทาใหก้ ล่มุ คนเหล่านนั้ ยงั คงสืบทอดพธิ กี รรมดังกลา่ วเอาไว้อย่างตอ่ เนอื่ งจาก
อดีตจนถงึ ปัจจบุ นั กลุ่มหมอเหยาในฐานะที่เป็นกล่มุ หมอพืน้ บา้ นของกลมุ่ ชาติพันธผุ์ ู้ไทยท่ีสาคญั กลุ่มหนึ่งใน
สังคมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นกลุ่มหมอพ้ืนบ้านอีกกลุ่มหนงึ่ ท่ีได้รับผลกระทบโดยตรงจากการพัฒนา
ประเทศของรฐั ไทย มีประสบการณ์ของการถกู ครอบงา การเบยี ดขับ และการแยง่ ชิงอานาจความชอบธรรมใน
การรกั ษาโรคจากรัฐมาตลอดทุกยคุ ทกุ สมยั ซ่งึ ภาพของปฏิบัติการทางสงั คมของการประกอบพิธีกรรมของกลมุ่
หมอเหยา ตลอดจนประวัติศาสตร์และพัฒนาการของกลุ่มหมอเหยา ไม่ได้สะท้อนภาพบทบาทด้านการทา
หน้าที่หมอพ้นื บา้ นในการรักษาคนป่วยในชุมชนเท่านั้น หากแต่ไดส้ ะทอ้ นภาพบทบาทด้านการทาหนา้ ท่กี าร
จัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในชุมชน ท้ังระดับครอบครัวและระดับชุมชนอย่างชัดเจน เช่นกรณีบทกลอนคา
สอนในพิธีกรรมการรักษาคนป่วย ท่ีหมอเหยาใช้ขับลาประกอบการรักษาคนป่วยนั้น กลอนลาส่วนหน่ึงได้
สะท้อนภาพของการทาหนา้ ท่ีจัดการความขัดแย้งในลกั ษณะต่างๆ เช่น กลอนลาทสี่ ะทอ้ นภาพความเชือ่ เร่ือง
กรรมตามหลักพระพุทธศาสนา กฎแหง่ กรรม กลอนลาท่ีสะท้อนภาพหลักความประพฤติปฏิบัติสาหรับชีวิต
และสังคม เป็นการแสดงให้เห็นถึงโลกทัศน์ของชาวผู้ไทยที่มีต่อแบบแผนการดาเนินชีวิตภายในสังคม ที่
สามารถทาให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข โดยการใช้เพียงหลักจริยธรรมแทนกฎหมายของรัฐ
จากตัวอย่างดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงบทบาททางสังคมที่สาคัญของพิธีเหยาของชาวผู้ไทยในสังคมภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือตอ่ การจัดการความขดั แยง้ ทเ่ี กิดขนึ้ ผา่ นพิธีกรรมภายในชนเผา่ ชุดหนึ่ง

สาหรับชาวผไู้ ทย “พิธีเหยา” จึงมิใช่เพียงการรกั ษาพยาบาลคนป่วยในชุมชนชนบทตามทอ้ งท่ีตา่ งๆ
เท่านั้น แต่สะท้อนความสามารถในการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท่ีครอบคลุมองค์ความรู้ เร่ือง
การสร้างความทรงจาร่วมเกย่ี วกับการจัดการความเจบ็ ป่วยของคนในสังคมภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ซ่ึงถือ
เป็นอตั ลักษณ์ทางชาติพันธแ์ุ ละเปน็ รากฐานวัฒนธรรมด้านอืน่ ๆ เชน่ ระบบความเช่ือ พธิ ีกรรม และดนตรใี นวถิ ี

๑๑

ชวี ิตชาวผู้ไทยซึ่งได้สะท้อนภาพของปฏบิ ัติการทางสังคมภายในชุมชนต่อกระบวนการจัดการความขัดแย้งใน
ระดบั ครอบครวั และระดบั ชมุ ชนไดเ้ ป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ในช่วงห้าศตวรรษท่ีผา่ นมานี้ วิถีชีวิตของคนในสังคมชนบทตามภมู ิภาคตา่ งๆ ของไทย
อนั มรี ากฐานมาจากวิถกี ารผลติ ท่ใี ชท้ นุ ทางสงั คมที่มอี ยใู่ นชมุ ชน ได้รบั ผลกระทบจากการเปล่ยี นแปลงท่เี กดิ ขน้ึ
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นความพยายามของรัฐที่จะพัฒนาชาติให้เจริญรุดหน้าตามกระแสของระบบทุนนิยม
สมยั ใหม่ตามแบบชาตติ ะวันตก ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยา่ งมากมายในสงั คมไทยและตามภูมิภาคของ
ประเทศไทย มีการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว โดยยึดติดกับกระบวนทัศนท์ ่ีว่าการพัฒนานั้นจะทาให้เกิดการ
ขยายตัวทางด้านเศรษฐกจิ และมีความเจริญก้าวหนา้ ในดา้ นต่างๆ ทาใหป้ ระเทศมีความเจรญิ กา้ วหน้าทดั เทยี ม
กบั นานาประเทศ ทาให้เกิดการเปลีย่ นแปลงต่อโครงสร้างทางสงั คมของไทย สง่ ผลกระทบต่างๆ ทง้ั บวกและ
ลบตามมาอย่างมากมาย บริบททางสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงไป การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
พร้อมๆ กับการเผยแพรว่ ิทยาการการรักษาพยาบาลตามแบบอย่างตะวันตกผ่านระบบการศึกษา ทาให้องค์
ความรู้การแพทย์พ้ืนบ้านโดยเฉพาะพิธีเหยา ถูกส่ันคลอนอย่างรุนแรงด้วยความรู้แบบวิทยาศาสตร์ เพราะ
ความจริงทางสังคมแบบด้ังเดิมของพิธเี หยา ได้ถูกลดทอนให้มีสถานะเป็นเพียงความเช่ือที่ยังพิสูจนไ์ ม่ได้ ซ่ึง
เปรียบเสมือนการขดุ ทาลายรากของตน้ ไม้ ซง่ึ จะทาใหพ้ ิธเี หยาไม่มที างจะสบื ทอดพิธีกรรมของกลมุ่ ชนตอ่ ไปได้
ถงึ แมว้ ่าระบบการแพทย์พื้นบ้านจะได้รับความยอมรับมากขึ้นภายใต้วาทกรรมภมู ิปัญญาท้องถิ่น แตก่ ็ยงั เป็น
ความรู้ชายขอบท่ีถูกเบียดขับและกดทับจากความรู้แบบวิทยาศาสตร์ การศึกษาวิจัยภูมิปัญญาการจัดการ
ความขัดแย้งของชุมชนผ่านพิธีกรรมเหยาอย่างล่มุ ลึกในทุกมติ ิเพอ่ื ดึงส่ิงที่ยังเหมาะสมกบั ยุคสมัยมาปรับใชใ้ ห้
เกิดประโยชน์สูงสุดในสถานการณ์จริงของชุมชนจึงเป็นส่ิงท่ีควรพิจารณา ภาครัฐและองค์กร สถาบันต่างๆ
รวมทง้ั ภาคเอกชน ควรให้ความสนใจและฟืน้ ฟพู ิธเี หยาในฐานะทีเ่ ป็นระบบการแพทย์พ้ืนบ้านใหก้ ลับมาอยู่คู่
กับสงั คม เพราะการละทงิ้ ภมู ปิ ญั ญาดา้ นการแพทย์พนื้ บา้ นมาโดยการขาดการวจิ ัยและพฒั นาอยา่ งตอ่ เนือ่ ง จะ
ทาให้องค์ความรู้ด้านนี้ไม่ได้รับการพัฒนาและกาลังจะสูญหายไปจากสังคมไทย จึงจาเป็นเร่งด่วนท่ีต้อง
ศกึ ษาวจิ ยั รวบรวมองค์ความรูใ้ หเ้ ปน็ ระบบท่ีชัดเจน

ดังนน้ั การศกึ ษาวจิ ัยตามกรอบการอนุรักษแ์ ละสบื ทอดความหลากหลายทางวัฒนธรรม กรณีศกึ ษา
การจัดการความขัดแย้งในชุมชนผ่านพิธกี รรมการเหยาของกลุ่มชาติพันธ์ุ ผู้ไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ประเทศไทย จึงควรให้ความสาคญั กับการสงวนรักษาพิธกี รรมผา่ นการสรา้ งความทรงจาร่วม จากนโยบายของ
กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม การส่งเสรมิ การวจิ ัยท่ีเอ้ืออานวยการรวบรวมข้อมลู และจดั เกบ็ ขอ้ มลู ท่ชี มุ ชนมีสว่ นรว่ ม
จะเป็นการกระตุ้น “การอนุรักษ์และสืบทอดความหลากหลายทางวัฒนธรรม” ของพิธีเหยาที่เป็นรากฐาน
วฒั นธรรมของชาวผ้ไู ทย จะนาไปสู่การฟ้ืนฟูวถิ ชี ีวิตชาวผูไ้ ทยอยา่ งยง่ั ยืนได้ ทาให้กลุ่มชนและกลุ่มคนตา่ งๆ ยัง
มีทางเลือกที่ทาให้เกิดความสุข และความภูมิใจในวิถีชีวิตของตน ซึ่งเป็นบ่อเกิดความหลากหลายทาง
วฒั นธรรมในขอบเขตของประเทศไทย และมนษุ ยชาติ

1.2 วตั ถุประสงค์การวจิ ัย
๑. เพอ่ื รวบรวมและจดั เก็บขอ้ มลู กลุม่ หมอเหยา ในพืน้ ท่ภี าคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ประเทศไทย
๒. เพื่อศึกษาการจัดการความขัดแย้งในชุมชนผ่านพิธีกรรมการเหยาของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทยและ

หาแนวทางสนับสนุนให้ชุมชนเกิดกระบวนการสร้างความทรงจาร่วมเกี่ยวกับพิธีเหยา ในสังคมภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนอื

๑๒

1.3 ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะได้รับ
๑. ไดฐ้ านขอ้ มลู กลุ่มหมอเหยา ในพ้นื ทภี่ าคตะวันออกเฉยี งเหนอื ประเทศไทย
๒. ได้องค์ความรู้เก่ียวกับลักษณะการจัดการความขัดแย้งของชุมชนผ่านพิธีกรรมการเหยา เง่ือนไข

ของการจัดการความขัดแย้ง ผลลัพธ์ที่เกิดจากการจัดการความขัดแย้งผ่านพิธีกรรมการเหยาในสังคมภาค
ตะวันออกเฉียงเหนอื ประเทศไทย และไดแ้ นวทางการจดั การความขดั แย้งในชมุ ชนผ่านพิธกี รรมการเหยาของ
กลมุ่ ชาติพนั ธุ์ ผู้ไทยในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ประเทศไทย

๓. ประโยชน์ต่อชุมชน ที่ทาให้คนในชุมชนและหน่วยงานภายนอกที่จะเข้ามาทางานกับชุมชนเห็น
ความสาคัญของส่ิงที่มีอยูใ่ นชุมชน ได้แก่ ระบบเครือญาติ กลุ่มทางสังคม สถาบันศาสนา โรงเรียน พิธีกรรม
รวมทั้งการท่ีกลุ่มหมอเหยาสามารถจดั การความขดั แย้งผา่ นพิธีกรรมในชุมชนที่กอ่ ให้เกิดประโยชน์ตอ่ ชมุ ชน
ส่งผลให้ชุมชนสามารถธารงทุนทางวัฒนธรรมของตนเองเอาไว้ได้ นอกจากน้ียังทาให้ชุมชนเป็นท่ีรู้จัก เป็น
แบบอยา่ งใหก้ ับชมุ ชนอ่ืนในการอนุรักษ์ภูมิปญั ญาท้องถิน่ ภายในชุมชนของตนเอง และไดแ้ นวทางสนับสนุนให้
ชมุ ชนเกดิ กระบวนการสร้างความทรงจารว่ มเก่ยี วกับพธิ เี หยา ในสงั คมภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ประเทศไทย

๔.. ประโยชนใ์ นเชงิ วิชาการ ทาให้ไดอ้ งคค์ วามรแู้ นวคิดการจดั การความขดั แยง้ ผา่ นพิธกี รรมการเหยา
ในสงั คมภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ประเทศไทย

๕. ประโยชน์ในเชงิ นโยบาย ทาใหห้ นว่ ยงานรฐั ทีเ่ กี่ยวข้องเขา้ ใจปฏบิ ตั กิ ารทางสงั คมในชมุ ชน ทต่ี ้อง
คานึงถึงการจัดการความขัดแยง้ โดยชมุ ชนทอ้ งถน่ิ คนแต่ละกลุม่ ที่มอี ยใู่ นแตล่ ะชมุ ชน และองคค์ วามรู้ดา้ นการ
จัดการความขดั แย้งของชมุ ชนได้รบั ความสนใจจากหน่วยงานของรฐั ในการสง่ เสรมิ และใช้เปน็ แนวทางในการ
จัดการชุมชนท้องถนิ่ อน่ื ๆ

1.4 คาถามหลกั ในการวจิ ยั
การจัดการความขัดแย้งในชุมชนผ่านพิธีกรรมการเหยามีลักษณะอย่างไร และมีแนวทาง

สนับสนุนให้ชุมชนเกิดกระบวนการสร้างความทรงจาร่วมเกี่ยวกับพิธีเหยา ในสังคมภาค
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ประเทศไทยอยา่ งไรบ้าง

1.5 นิยามศัพท์
การจัดการความขัดแย้ง หมายถึง วิธีการและกระบวนการทั้งหมด ซ่ึงกลุ่มหรือสังคมใช้ในการให้

สมาชิกของสังคมปฏิบัติตามท่ีสังคมคาดหวัง เพื่อการเฝ้าระวังและกากับทางวินยั ทางสังคมทาให้สมาชิกใน
สงั คมสามารถอยู่ร่วมกนั ได้อยา่ งสงบสขุ

ลักษณะของการจดั การความขดั แย้ง หมายถงึ การท่กี ล่มุ หมอเหยามีบทบาททางสังคมในการจัดการ
ปัญหาในชุมชนให้สามารถดารงอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ได้แก่ การสร้างสัญลักษณ์ผ่านพิธีกรรม การ
ควบคมุ ผ่านคาสอนในพิธีกรรม การนาไปปฏิบตั ิภายหลังเสรจ็ ส้ินพธิ กี รรม และการสรา้ งการมีสว่ นร่วมของกลมุ่

เง่ือนไขเชิงโครงสร้างภายนอกชุมชน หมายถึง บริบทภายนอกชมุ ชนของโครงสร้างทางสังคมท่ีมี
ผลกระทบตอ่ การเปลย่ี นแปลงสงั คม และรวมไปถงึ การมผี ลกระทบต่อการควบคุมทางสังคมของกลมุ่ หมอเหยา
ให้ประสบความสาเรจ็ หรือลม้ เหลว ซ่ึงเง่ือนไขเชิงโครงสร้างภายนอกชุมชน ไดแ้ ก่ ระบบการศึกษา เสรภี าพ
ทางการเมอื ง องค์กรพฒั นาเอกชน ระบบราชการ การพัฒนาอตุ สาหกรรม และการขยายตัวของเขตเมือง

เงื่อนไขเชิงโครงสร้างภายในชุมชน หมายถึง บริบทภายในชุมชนของโครงสร้างทางสังคมท่ีมี
ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสังคม และรวมไปถงึ การมผี ลกระทบตอ่ การควบคุมทางสังคมของกลมุ่ หมอเหยา
ให้ประสบความสาเร็จหรือล้มเหลว ซ่ึงเง่ือนไขเชิงโครงสร้างภายในชุมชน ได้แก่ ระบบเครือญาติ กลุ่มทาง
สงั คม ระบบอปุ ถมั ภ์ ระบบการแพทย์ทอ้ งถ่ิน จารตี ประเพณที ้องถิ่น และประวตั ศิ าสตร์ความทรงจา

๑๓

กลุม่ หมอเหยา หมายถึง กล่มุ บคุ คลท่ีมีความร้แู ละประสบการณ์ท่อี ยู่บนพื้นฐานของสังคม วฒั นธรรม
และศาสนา เพอ่ื รักษาโรคภยั ไขเ้ จ็บของประชาชน จนได้รบั การยอมรับเช่ือถือจากชุมชนท่อี ยู่อาศัยและบุคคล
ท่ัวไป องค์ประกอบของความเป็นหมอเหยา ได้แก่ ประวัติความเปน็ มาของกลุ่ม ประสบการณ์การรักษาใน
ชุมชน การสร้างปฎิสมั พันธก์ ับคนในชุมชน บทบาทความเป็นผู้นาในชุมชน และความสามารถในการจดั การ
ปญั หาในชมุ ชน

ผลลัพธข์ องการควบคมุ ทางสังคมของกล่มุ หมอเหยา คอื ความสาเร็จท่ีเกดิ ขนึ้ จากกระบวนการตา่ งๆ
ทางสังคมท่ีมุ่งหมายใหส้ มาชิกของสังคมยอมรับ และปฏิบตั ิตามบรรทดั ฐาน ของสังคม ความเปน็ ระเบียบของ
สงั คม ความสาเร็จที่สังคมใช้วิธีการตา่ ง ๆ เพ่ือควบคุมพฤติกรรมของสมาชกิ ในสังคมให้ประพฤติปฏบิ ัติตาม
กฎเกณฑท์ ี่สมาชกิ ยอมรับร่วมกัน ได้แก่ สามารถจัดการความขดั แยง้ ภายในชมุ ชน การธารงทนุ ทางวฒั นธรรม
ภายในชมุ ชนทอ้ งถิน่ การสรา้ งเครือข่ายของประชากรในกลมุ่ และการอนรุ กั ษ์ภูมิปญั ญาท้องถนิ่

พิธีเหยา หมายถึง การรักษาพยาบาลพ้ืนบ้านของชาวอีสาน ท่ีรักษาพยาบาลด้วยความเชื่อและ
พิธีกรรม รูปแบบของพิธีกรรมคือ การอญั เชิญผีฟ้าพระยาแถนมาเขา้ ทรงรา่ งกายของหมอเหยา มกี าร ขับลา
และฟอ้ นราเพื่อท่จี ะทาให้ผฟี า้ พระยาแถนชี้แจงสาเหตุและวธิ กี ารแก้ไขความเจ็บปว่ ยของสมาชิกในชุมชน

๑๔

บทที่ ๒
การทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กยี่ วข้อง

๒.๑ เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กีย่ วข้อง
“พิธีเหยา” เป็นความเชอ่ื และพิธีกรรมหนง่ึ ในการรักษาสขุ ภาพของคนในชุมชนผ้ไู ทยทส่ี ืบทอด

มาแต่คร้ังบรรพกาลอันสบื เน่อื งมาจากความเชอื่ ดง้ั เดมิ ทน่ี ับถือผี เปน็ การทาพธิ ีเพ่ือติดต่อระหวา่ งผกี บั คน
ให้ผชี ่วยเหลือแกป้ ญั หาความเดือดร้อนโดยเฉพาะการเจบ็ ไขไ้ ด้ปว่ ย มูลเหตุทีต่ ้องมีการเหยามาจากสภาพ
สังคมดง้ั เดิมของชาวไทยท่ีไม่มีสถานพยาบาลรับรองความเจบ็ ป่วย กอ่ ให้เกดิ ความจาเป็นท่ีชาวไทยต้อง
ดนิ้ รนหาทีพ่ ง่ึ ยามเจ็บไขไ้ ด้ป่วย สว่ นใหญน่ ัน้ ใช้สมนุ ไพรพืน้ บ้านที่มีในทอ้ งถ่นิ ในการรกั ษาและดูแลสุขภาพ
ในอดีตการรกั ษาโรคภยั ไข้เจบ็ จาเปน็ ตอ้ งอาศัยผีเป็นผู้วินิจฉัยโรคบอกวธิ ีรักษา ในปัจจุบนั แมม้ ีการแพทย์
แผนใหม่ท่สี ามารถวนิ จิ ฉัยโรคไดถ้ กู ตอ้ ง แต่โรคบางโรคหรอื อาการบางอย่างรกั ษาไมห่ าย ผูป้ ว่ ยทไี่ ม่มที ีพ่ ่งึ
จึงจาเป็นต้องพึ่งพิธกี รรม อย่างนอ้ ยจะทาใหจ้ ติ ใจผู้ป่วยดขี ึน้ จึงจดั เปน็ พธิ กี รรมทีส่ รา้ งขวัญและกาลังใจ
กบั ผปู้ ว่ ยเปน็ หลัก เมือ่ ผู้ปว่ ยอยูใ่ นวาระสดุ ทา้ ยของชวี ิตหรอื ผูป้ ่วยหายจากโรคและอาการเจ็บปว่ ยกจ็ ะทา
พิธีการเหยา ผู้ทท่ี าพิธกี ารเหยาเรียกว่า หมอเหยาเป็นผ้ทู ่ีสบื ทอดมาจากบรรพบุรุษโดยปยู่ ่า ตายาย แม่
เปน็ หมอเหยามาก่อนลูกก็จะสบื ทอดการเป็นหมอเหยา แต่ในปจั จุบนั น้ีการสืบทอดการเปน็ หมอเหยานั้น
ได้เลือนหายไปจากสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทยไปแล้ว ยังเหลือแต่หมอเหยาที่เป็นผู้อาวุโสของชุมชน
เท่าน้ัน และการประกอบพิธีกรรมเหยายังคงเหลือให้เห็นเพียงแต่บางชุมชนเท่านั้น เนื่องจากสังคม
สมยั ใหมไ่ ด้เขามามีบทบาทในการเปลย่ี นแปลงขนบธรรมเนยี มประเพณีบางอย่างของชาวผู้ไทย ท้ังน้ี การ
เหยาเป็นการติดตอ่ ส่ือสารของมนุษย์และวิญญาณ ซึ่งการติดตอ่ สื่อสารจะใช้ท่วงทานองของดนตรีหรือท่ี
ชาวผู้ไทยเรียกว่า กลอนลา (หมอลา) มีเครื่องดนตรีประเภทแคนประกอบการให้จังหวะ วิธีการ
ติดต่อสื่อสาร กลอนลาและทานอง เรยี กว่า การเหยา (กระทรวงวัฒนธรรม, ๒๕๕๘)

จากการทบทวนเอกสารงานวิจัยทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับพิธีเหยาน้ัน พบว่าจากอดตี จนถงึ ปัจจุบันมเี อกสารและ
งานวจิ ัยท่ีศึกษาเก่ียวกับพิธีเหยาและการรกั ษาพยาบาลพื้นบา้ นในสังคมภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ทน่ี ่าสนใจอยู่
หลายประเด็น การศึกษาของ พันใจ นครชยั ท่ีทาการศกึ ษาเร่ือง “พิธกี รรมเหยาของชาวผ้ไู ทย ตาบลโนนยาง

อาเภอหนองสูง จังหวดั มุกดาหาร” พบวา่ พิธีกรรมเหยา เปน็ พิธกี รรมทเี่ กดิ จากการนบั ถอื ผีบรรพบรุ ุษเรียกว่า
ผีหมอ และความเช่ือในเรื่องการเสี่ยงทายเป็นพื้นฐาน โดยมีผู้ประกอบพิธีกรรมคือหมอเหยา ชาวผู้ไทย
ประกอบพธิ ีกรรมเหยาข้ึน เพ่ือเป็นการบาบัดรกั ษาพยาบาลคนเจ็บปว่ ยเป็นหลัก นอกจากน้ีเพื่อบชู าหรือเลย้ี ง

ผี เพ่ือการละเลน่ รืน่ เริง เพื่อการเนน้ ยา้ ฮีตคลองของพิธีกรรมเหยาใหค้ งอยู่ (พันใจ นครชยั , ๒๕๓๘) และงาน
ศกึ ษาของมาลี สิทธิเกรียงไกร ได้ศกึ ษาหมอเหยา : ผรู้ ักษาพื้นบ้านในชมุ ชนชาวผู้ไทย มาลไี ด้นาเสนอให้เห็น
ภาพเก่ยี วกับหมอเหยาว่าไม่ปรากฏหลกั ฐานว่าหมอเหยามมี าแต่เมอื่ ไหร่ ชายและหญงิ มีโอกาสเป็นหมอเหยา

ได้เท่าๆ กัน ผู้ทจี่ ะเป็นหมอเหยาได้ต้องมีบรรพบรุ ุษหรือผู้ใกล้ชิดเป็นหมอเหยามาก่อน หมอเหยาทาหน้าที่
รักษาโรคท่ีเกิดจากผีทา ซึ่งไม่มีอาการเฉพาะสามารถเป็นได้ทุกส่วนของร่างกาย การรักษาของหมอเหยา
จะตอ้ งผา่ นพธิ กี รรมท่ีเรียกว่าการเหยา การเหยาตอ้ งทาที่บ้านผู้ปว่ ยเทา่ นั้น ของทีใ่ ช้ในการประกอบพิธีกรรม

ทุกอย่างล้วนเป็นสัญลักษณ์ มีความหมายเฉพาะเม่ืออยู่ในบริบทของชาวผู้ไทย การให้ความหมายของ
สัญลักษณ์น้ีแสดงให้เหน็ ถึงความสัมพันธร์ ะหว่างคนกับอานาจเหนอื ธรรมชาติ และเปน็ การให้ความสาคัญต่อ
ผู้ปว่ ยด้วย (มาลี สทิ ธิเกรียงไกร, ๒๕๓๘)

การศึกษาของทิพย์สดุ า พรรณสหพานิชย์ ที่ศึกษาในประเด็นบทบาทของสตรีชาวผู้ไทยในพธิ ีกรรม
เหยา ตาบลป่าไร่ อาเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร พบว่าสตรีชาวผู้ไทยมีบทบาทโดยตรงในการประกอบ

๑๕

พธิ กี รรมเหยารกั ษาผปู้ ว่ ย นบั ตงั้ แต่การจัดการแต่งกาย การเชญิ ผใี หเ้ ขา้ ทรงหรือเทยี ม การอ้อนวอน การเจรจา
ต่อรอง ขอร้อง ถามสาเหตุของคนป่วยว่ามีผีอะไรมาทาให้เกิดการเจ็บป่วย และหมอเหยาที่เป็นสตรีจะมี
บทบาทในการเจรจาโต้ตอบ ระหวา่ งคนกบั ผีวา่ ผีต้องการอะไร หมอเหยาจะบอกญาติผู้ป่วยจัดหาใหต้ ามท่ีผี
ต้องการ การเจ็บป่วยของผู้ป่วยกจ็ ะค่อยๆ ดีข้ึน หมอเหยาจะให้การรกั ษาพยาบาลเบ้อื งต้นทางด้านจิตใจของ
ผ้ปู ่วย บทบาทของสตรีทเี่ ป็นหมอเหยาจงึ มปี ระโยชน์ในดา้ นการสาธารณสุขชุมชน หรือเรียกวา่ เปน็ การแพทย์
แบบวฒั นธรรมท่มี กี ารสบื ทอดมาแต่บรรพบรุ ษุ โดยไมต่ อ้ งมกี ารเรยี นรู้ สตรีสามารถทาได้ผา่ นการคุมผลี ง และ
เป็นศิษย์ของหมอเหยาหรือแม่ครูท่ีคุมผีลง ต่อมาก็จะรับบทบาทเป็นหมอเหยาต่อไป (ทิพย์สุดา พรรณสห
พานชิ ย,์ ๒๕๔๕)

งานศกึ ษาในประเดน็ ท่เี ก่ียวขอ้ งกับพิธีเหยาทน่ี า่ สนใจอีกกลุม่ หนึง่ ได้แก่ การศกึ ษาของสญั ชยั ด้วงบุ้ง
ทไ่ี ดศ้ กึ ษาดนตรีพธิ ีกรรมของชาวผู้ไทยในตาบลโนนยาง อาเภอหนองสูง จังหวดั มุกดาหาร งานชิน้ น้ีไดส้ ะท้อน
ใหเ้ หน็ ว่าการเหยาเป็นพิธีกรรมหน่ึงขอองชาวผ้ไู ทย ในตาบลโนนยาง อาเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ชาวผู้
ไทยเช่ือว่าผีมคี วามสัมพนั ธ์กับคนตงั้ แตเ่ กดิ จนตาย สามารถใหค้ ุณให้โทษได้ จงึ ตอ้ งทาพิธีเหยาเพ่อื ตดิ ตอ่ กับผี
พิธีเหยา จาแนกเปน็ 4 ประเภท คือ รักษาผปู้ ว่ ย คมุ ผอี อก เลยี้ งผี และเอาฮปู เอาฮอย และพิธีเหยากล่อมเกลา
สังคมของชาวผู้ไทยด้วย ส่วนดนตรีท่ีใช้ในพิธีกรรมเหยาเป็นการบรรเลงประกอบการร้องลา การร้องซ่ึงมี
“หมอแคน” เป็นผู้บรรเลงแคน และ “หมอปี่” เป็นผบู้ รรเลงป่ผี ไู้ ทย พธิ ีกรรมเหยาเรมิ่ จากการเกริน่ นาเขา้ สู่
การลา การร้อง สลับกบั การพูด หมอแคนจะบรรเลงนาข้นึ มาแลว้ ตามด้วยปผี่ ู้ไทย เป็นทานองด้น มีแคนเป็น
ทานองหลัก และปี่ภูไทสอดประสานทานอง (สัญชัย ด้วงบุ้ง, ๒๕๕๐) และอนันต์ มีชัย ท่ีศึกษาดนตรีท่ีใช้
บรรเลงประกอบพธิ ีเหยาเพื่อรักษาอาการเจบ็ ป่วยของชาวผไู้ ทยในหม่บู ้านหนองเมก็ ตาบลป่าไร่ อาเภอดอน
ตาล จังหวัดมุกดาหาร พบว่าองค์ประกอบของพิธีเหยาเพ่ือรักษาอาการเจ็บป่วยของชาวผู้ไทย ดนตรีท่ีใช้
บรรเลงประกอบพิธีเหยาเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย ใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านท่ีเรียกว่า “แคน” แคนที่ใช้ใน
พิธีกรรมคือ “แคนแปด” ประกอบด้วยลุกแคนแปดคู่ เป้นแคนประจาตัวของหมอเหยาเพราะมีระดับเสียง
เดียวกนั กบั ระดับเสียงของหมอเหยา ในขระประกอบพิธหี มอเหยาจะฟ้อนและลาประกอบเสียงแคนไปจนเสรจ็
พธิ ี อาจมีพูดสลับบา้ งในบางช่วง กลอนลามีแนวทานองลาผไู้ ทย ส่วนแคนใช้ลายลาผีไท้และลายสีทนั ดร ลาย
ของหมอแคนแต่ละคนมคี วามแตกต่างกนั ออกไปตามทไี่ ดร้ ับการถา่ ยทอดมาหรอื ตามที่ไดฝ้ กึ ฝนมาเอง (อนันต์
มชี ยั , ๒๕๕๑)

การศึกษารปู แบบการสร้างเครือข่ายความเข้มแข็งทางสังคมด้วยพิธกี รรมเหยาของชาวผู้ไทย จงั หวัด
มกุ ดาหาร ของมานะชาติ คล่องดีพบวา่ ความเชื่อชาวผู้ไทยในจังหวัดมกุ ดาหาร ขัน้ ตอนในการการประกอบ
พิธีกรรมเหยาไดจ้ าแนก ออกเป็น ๔ ประเภท คอื พิธกี รรมเหยาเพ่อื รกั ษาคนเจ็บปว่ ย พธิ กี รรมเหยาคมุ ผอี อก
พธิ กี รรมเหยาเล้ยี งผี และพิธีกรรมเหยาเอาฮูป ในการประกอบพิธีกรรมเหยา เป็นการกระทาที่ถา่ ยทอดและ
ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติมาตั้งแต่อดีต ที่ชุมชนร่วมกันสืบสานกันมาโดยได้รับการถ่ายทอด จากผู้ผู้อาวุโส โดย
ยังคงยึดรปู แบบ วิธีการในการกระทาพธิ กี รรมเหยาตามแบบเดิมท่เี คยปฏิบัตมิ าตั้งแตอ่ ดีตและหนา้ ทห่ี ลักของ
พิธีกรรมเหยา คือ เป็นที่พ่ึงทางใจในการรักษาคนเจ็บป่วย การช่วยเหลือเก้ือกูลกันระหว่างครอบครัวและ
ชุมชน ทาให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี ในชุมชนรูปแบบการสร้างเครือข่ายความเข้มแข็งทางสัง คมด้วย
พิธีกรรมเหยา ของของชาวผู้ไทยในจังหวัดมุกดาหาร เป็นรูปแบบท่ีเกิดข้ึนเองโดยธรรมชาติไม่มีหน่วยงาน
ภาครฐั ภาคเอกชน เข้าไปบริหารจัดการ เครอื ข่ายโดยความความเช่ือและความสมัครใจของสมาชิก (มานะ
ชาติ คล่องด,ี ๒๕๕๒)

การศึกษาการสืบทอดอานาจศักดิ์สิทธ์ิของหมอเหยาและอัตลักษณ์ของผู้ไทในพิธีเหยาเลี้ยงผี
กรณีศึกษาตาบลโนนยาง อาเภอหนองสงู จังหวัดมุกดาหาร ของสุรชัย ชนิ บุตร พบวา่ วิธีการสืบทอดอานาจ

๑๖

ศกั ดส์ิ ิทธข์ิ องหมอเหยาชาวผูไ้ ท มี ๒ ประเภท คือ ประเภทแรก สืบทอดโดยผ่านสายตระกูล และประเภทท่ี
สอง สบื ทอดโดยผา่ นพิธีเหยาคมุ ผีออก ซึง่ หมอเหยาจะตอ้ งประกอบพิธีเลี้ยงผไี ท้ผแี ถนเพ่ือรบั อานาจศกั ด์สิ ิทธิ์
ตดิ ต่อกัน ๓ ครงั้ หมอเหยาจึงจะมีพลงั อานาจศักดิ์สทิ ธิ์อยา่ งสมบูรณเ์ พ่ือไปรักษาโรคใหก้ บั ผูป้ ่วยตอ่ ไป ผปู้ ว่ ย
ทห่ี ายจากการเจ็บปว่ ยอาจจะฝากตัวเปน็ ลูกศษิ ยแ์ ละตัดสนิ ใจทจี่ ะได้รบั อานาจศกั ดสิ์ ทิ ธิต์ ่อจากหมอเหยาและ
เป็นหมอเหยาต่อไป ในกรณีนี้ ผู้ป่วยผู้น้นั ก็จะมีสถานภาพเป็น ลูกเมือง และหมอเหยาผู้ท่ที าการรักษาก็จะมี
สถานภาพเป็น แม่เมือง แต่ถ้าผู้ป่วยท่ีได้รับการรักษาผู้นั้นไม่ต้องการเป็น ลูกเมือง แต่เลือกที่จะเ ป็นเพียง
บรวิ ารของหมอเหยา ผปู้ ่วยในกรณหี ลงั น้ีกจ็ ะมีสถานภาพเปน็ เพียง ลูกเล้ียง ซ่ึงท้ังสองวธิ ีดังกล่าวนี้นับเปน็ เปน็
การสร้างเครือข่ายของกลุ่มหมอเหยาชาวผู้ไท อันประกอบด้วยท้ัง แมเ่ มือง ลูกเมือง และ ลูกเล้ียง พิธีกรรม
เหยาเลี้ยงผซี ง่ึ เปน็ พิธกี รรมทชี่ าวผ้ไู ทสืบทอดกนั มายาวนานนับศตวรรษ จงึ เปน็ เสมอื นการเน้นยา้ ใหช้ าวผ้ไู ทได้
ตระหนักถึงความเป็นมากล่มุ ของตนซง่ึ เป็นกลุ่มชาติพนั ธุไ์ ทที่มีวัฒนธรรมในระดับเมือง ทเี่ คยมเี จ้าเมอื งและมี
ระเบียบแบบแผนเปน็ ของตนเอง มีความเชื่อในศาสนาด้ังเดมิ ของตน จงึ กล่าวไดว้ ่าพิธีเหยาเลี้ยงผีเปน็ พิธีกรรม
หนึง่ ท่สี ืบทอดอัตลักษณ์ของกล่มุ ชาติพนั ธ์ผุ ู้ไท (สุรชัย ชินบุตร, ๒๕๕๓) อลงกรณ์ อทิ ธผิ ล ท่ีได้ศกึ ษา วัจนกร
รมจากคาเรยี กขวัญในพิธีกรรมรักษาโรคของหมอเหยาชาวผไู้ ทย พบวา่ คาเรยี กขวญั ในพธิ ีกรรมการรกั ษาโรค
ของชาวผู้ไทยมรี ูปแบบและขั้นตอนการรักษาในแต่ละพ้ืนท่ีท่ีคล้ายคลึงกัน ในด้านวัจนกรรมตรงพบว่า หมอ
เหยาใช้วจั นกรรมตรงมากท่ีสดุ จานวน ๖ วัจนกรรม ได้แก่ วัจนกรรมบรรยาย วัจนกรรมชักชวน วัจนกรรม
ขอร้อง วัจนกรรมแนะนาสั่งสอน วัจนกรรมสญั ญา และวัจนกรรมปลอบประโลม และวัจนกรรมออ้ มมใี ช้มาก
ทีส่ ุด ๒ รูปประโยค ได้แก่ ประโยคบอกเล่ามีเจตนาส่ังสอน และประโยคคาส่ังหรือขอร้องแต่มีเจตนาปลอบ
ประโลม (อลงกรณ์ อิทธผล, ๒๕๕๗)

ประเพณีหมอเหยาของชาวผู้ไท “ผีแถน” ตามคติความเช่ือน้ันมีสถานะภาพเป็นเทวดา สามารถ
บันดาลใหเ้ กิดสิ่งต่างๆแกผ่ คู้ นได้ ทงั้ สง่ิ ทร่ี า้ ยและดีหรือเรยี กว่าให้ท้ังคณุ และใหท้ ง้ั โทษ ดังนัน้ ต้องไมท่ าใหแ้ ถน
โกรธและหากใครที่เซ่นสรวงแถนก็จะไดร้ ับแต่ส่ิงท่ีดหี รือได้รับการอวยพรจากแถน มีความเช่ือในหม่คู นที่นับ
ถือแถนวา่ เหตุที่เกิดเภทภัยเจ็บไข้ไดป้ ่วย นา้ ทว่ ม ฝนแลง้ นาลม่ หรอื พชื พันธุธ์ ญั ญาหารเหีย่ วแห้งเป็นสิ่งทเี่ กิดมา
จากอทิ ธฤิ ทธิ์ปาฏหิ ารยิ ข์ องแถนหรอื ของผสี างเทวดาท้ังสิ้น ดงั นั้นจงึ ต้องเซน่ ไหวบ้ วงสรวงผแี ถนทกุ ครั้งทม่ี กี าร
เซน่ ไหว้เปน็ ประจาทุกฤดูกาลจะเกิดแตค่ วามสุขไปทั่ว ผูท้ ่ีเจ็บไข้ได้ปว่ ยก็หาย ข้าวกล้าในนาก็อุดมสมบรู ณ์ดี
จึงอาจจะกล่าวได้ว่าผีแถนหรือแถนเป็นเทวดาหรือเทพแห่งเกษตรกรรมและเทพแห่งควา มเจ็บไข้ได้ป่วย
เพยี งแตแ่ ถนในความหมายของคนเผา่ ภูไทจะกว้างขวางและครอบคลุมทกุ วิถชี ีวติ การละเมิดต่อแถนจะตอ้ งมี
การเชญิ ผฟี ้ามาสิงสถิตอยู่ในร่างของคนทรงเรยี กว่า “ผฟี ้า” ในการลาผีฟ้านั้นมีองค์ประกอบทั้งหมด 4 ส่วน
ไดแ้ ก่ หมอลาผีฟ้า หมอแคน ผ้ปู ่วยและเครือ่ งคายเคร่ืองเซน่ มีท้งั ไกต่ ้ม ไข่ไก่ต้ม หมากพลู ดอดไม้ ธปู เทยี น

ผบี รรพบุรุษ บนเรือนของคนภูไทจะทาหิ้ง ภาษาภูไทเรียกว่า “ฮ้าน” ไว้ ซ่งึ หิ้งน้ีก็คือท่ีสถิตของผี
เรือนและผีบรรพบุรุษ ซ่ึงผีบรรพบุรุษก็คือผีของพี่ปู่ย่าตายาย ต่อมาเป็นห้ิงพระแต่ก็ยังเป็นหิ้งท่ี รวมของ
วิญญาณบรรพบุรุษด้วย ผีบรรพบุรุษเป็นผีที่ปกป้องคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขแก่ลูกหลานและสมาชิกใน
ครอบครวั ต้องสักการบชู าทุกวันเพญ็ ทงั้ วันขน้ึ วันแรม เชน่ 8 คา่ 14 หรือ 15 คา่

ในความเช่ือของคนภไู ท การผิดผีจะทาให้คนผิดผีมีอนั เปน็ ไป เช่น อาจจะเกิดการเจ็บป่วย จะต้อง
เสียผีหรือเสียค่าปรับไหมตามท่ีได้กาหนดไว้ การที่ชายหนุ่มเตะเน้ือต้องตัวหญิงสาวก็ถือว่าผิดผีเช่นกันซึ่ง
จะตอ้ งเสยี ค่าปรับไหมหรือเรยี กวา่ คา่ ไหม

“ผีเรือน” เป็นผีที่ปกป้องคุ้มครองบ้านเรือนให้อยู่เย็นเป็นสุขจะมีห้องผีเรือนหรือห้ิงผีเรือน ซ่ึงผี
วญิ ญาณบรรพบรุ ุษกจ็ ะถกู เชิญมาไวด้ ว้ ยกัน

๑๗

“ผีประจาหมู่บา้ น” จะปลูกศาลให้อยูเ่ พือ่ ให้คมุ้ ครองคนในหม่บู ้าน อาจจะเรยี กวา่ ศาลเจา้ ปู่หรือศาล
ปูต่ า ตามแตห่ มู่บ้านนัน้ จะเรยี กในทกุ ปีชาวบา้ นจะทาบุญเซ่นไหว้เพ่อื เป็นสิริมงคลแก่หมู่บา้ น

“ผนี าหรอื ผตี าแหะ” ผตี าแฮก ในสาเนียงภาษาภูไทเรียกวา่ ผีตาแหะ เปน็ ผีท่ีอยตู่ ามท้องไรห่ รอื ทงุ่ นา
เพ่ือที่คุ้มครองไร่นาให้กับคนภูไท จะเริ่มทาพิธีกรรมเซ่นผีนาหรือผีตาแหะ ในช่วงต้นฤดูฝนปร ะมาณในช่วง
เดอื นพฤษภาคมหรอื เดอื นมถิ นุ ายนเป็นตน้ ไป ทั้งนี้อยู่ทวี่ า่ ฤดฝู นจะมาช้าหรือเร็ว โดยจะเซน่ ผีนาหรือผีตาแฮก
จาทาใหก้ อ่ นจะทาการไถคราด พิธีเซน่ กท็ าอยา่ งง่ายๆ คอื นาข้าวปลาอาหารใสก่ ระทง ซึ่งทาดว้ ยกาบกลว้ ยสด
รวมทง้ั ดอกไม้ ธูปเทยี น พิธนี เี้ รียกวา่ เลย้ี งผีตาแฮก หรือเลี้ยงผีครัง้ แรก การเลยี้ งผีนาหรอื ผีตาแหะเสรจ็ แลว้ จึง
จะเขา้ สงู การแหะนา ซึง่ ก็คือการไถนาครัง้ แรกนัน่ เอง การแหะนานจ้ี ะไถนาท้งั แปลหรือไถพอเปน็ พิธีกไ็ ด้

“ผีมเหสักข์” เป็นความเชื่ออีกอย่างหนึ่งของคนภไู ท โดยเฉพาะของภไู ทพรรณนานิคม อยู่ในจังหวัด
สกลนคร โดยจะเรียกว่าผีเจ้าปู่ บางคนเรียกเจา้ หาญแดง การเซน่ หรือพฑี ะบูชาจะจัดข้นึ เพ่ือเปน็ ประจาทุกปี
ในวันข้นึ 19 ค่า เดือน 4 โดยนาข้าวปลาอาหาร ซึ่งนิยมอาหารคาวเลือด ชาวบา้ นจึงทาการนาควายไปฆ่าที่
ปา่ หนา้ ศาล แล้วทาลาบพร้อมใส่เลอื ดสดๆผสมคลกุ กับขา้ วเหนยี วน่งึ จดั 8 สารบั ไปถวาย พรอ้ มกับเหลา้ โดย
มีผู้ทาพิธีกรรมที่เริ่มด้วยพิธีกร คือ จ้า หรือกวานจ้า นอกจากน้ันแล้วยังมีผีท่ีสถิตอยู่ตามป่า ต้นไม้ ภูเขา มี
ประจาอยตู่ ามในสถานที่ตา่ งๆ หากผูท้ ล่ี ว่ งเกนิ หรอื ทาใหผ้ ีเหล่านไี้ ม่พอใจอาจจะทาให้เจ็บป่วยได้

หนังสือนิทานขุนบรมราชาธิราช ( 2555 : 56 ) กล่าวไว้ว่า คนชาติภูไทนี้ เกิดจากน้าเต้าใหญ่ 2
หน่วย และมีนักปราชญ์หลายท่านให้ความเห็นไว้ว่า คาว่า ภูไท หรือ ผู้ไทย หรือ คนไต เป็นคาท่ีมีความ
ความหมายเดียวกบั คาว่าเทยี น แถน ไท้ ซงึ่ หมายถึง ฟา้ หรือ ดวงดาว คนชนชาตินี้รักความอสิ ระ ชอบอาศัย
อย่ใู นท่ีสูง คือภูเขา มีความเจริญรุ่งเรอื งมากกว่ากลมุ่ ชนชาตใิ ดๆ มคี วามเช่อื ในการนบั ถอื ลัทธผิ ฟี ้า และเคารพ
วญิ ญาณบรรพบุรษุ ท่ีมีความเช่อื เรอ่ื งยารกั ษาโรค หมอรักษาโรคในอดีตน้นั ยงั มคี วามเชื่อในเรื่องของการรักษา
หรือฮีต คลองอยู่ ถ้าผิดฮีตแล้วจะรักษาไม่หาย แต่หมอจะพูดว่าผิดครู ผิดคาย ที่มีคาว่า “คาย” หรือค่ายก
ครู ซ่งึ จะขอแยกกล่าวกระบวนการดังนี้

1. การไปหาหมอต้องมดี อกไมเ้ ทียนคู่คอื ดอกไม้ 1 คู่ เทยี น 1 คู่ ไปหาอยา่ งกจิ จะลกั ษณะจนถงึ บา้ น
ยกเว้นจาเป็นจรงิ ๆพบกันทกี่ ลางบา้ นก็พากนั ทีก่ ลางบ้านเลยก็ไดแ้ ตต่ อ้ งมีดอกไมเ้ ทียนคู่นั้นดังกล่าว

2. ฝ่ายผปู้ ่วยต้องแตง่ คาย จานวนเงินใส่ในคายตามทหี่ มอบอก เงนิ ใสค่ ายนี้จะเกดิ ที่ครบู อกไม่ได้ เชน่ 6
สลงึ 12 บาท เปน็ ต้น สว่ นคา่ ปว่ ยการของหมอน้นั แลว้ แต่ฝา่ ยผูป้ ว่ ยจะใหค้ า่ ป่วยการผู้ไทยเรยี กว่าคา้ เซงิ ต๋นิ ค่า
เชิงตีนและหมอรากไมท้ กุ คนมกั จะมมี นต์ในการรกั ษาด้วย

3. รอ้ื คายจะรอ้ื อยู่ 3 กรณคี อื คนไข้หาย คนไข้ไม่หาย คนไข้ตายก็รื้อได้
4. เครอ่ื งยาบางอยา่ งมขี ้อ คะลา อยูต่ ั้งแตก่ ารไปหาการใช้ เชน่ น้ามันงา ห้ามหญงิ แตะต้องหรอื การ
คัน้ นา้ มันงาต้องใหผ้ ู้ชายหา เมอ่ื นาไปใช้ก็ต้องเกบ็ ไว้ให้ดไี ม่ให้ผหู้ ญิงไปถกู ต้อง ไม่เชน่ อย่างนน้ั มนั จะไม่ขลงั ใน
ปจั จุบนั น้ี ผทู้ ่เี ป็นหมอรากไมห้ ายาก เนอ่ื งจากการสาธารณสุขไปถึงชนบท ผู้ปว่ ยจะไปโรงพยาบาลจะมกี เ็ พียง
ผู้ที่รเู้ กยี่ วกบั สมุนไพรรากไมบ้ างอย่าง และหาต้มดมื่ เปน็ เครอ่ื งด่ืมเพื่อสุขภาพเท่าน้นั
วรี ะพล ภูวนนท์ ( 2548 : 6 ) กลา่ ววา่ พธิ ีกรรมเหยา เป็นการตดิ ตอ่ สือ่ สารกันระหว่างมนุษย์และ
วญิ ญาณ โดยใช้บทกลอนและทานองลา มแี คนประกอบการให้จังหวะ ผู้ทาหน้าที่สื่อสารคอื หมอเหยา การ
เหยาแตล่ ะครัง้ จะมเี ครือ่ งคายประกอบพธิ ีกรรมเหยาถือวา่ เป็นวิธีการบาบัดรกั ษาพืน้ บ้านอย่างหนงึ่ รักษาการ
เจ็บป่วยของชาวบ้าน อันเนือ่ งจากการละเมิดหรือสรา้ งความไม่พอใจต่อผี โตยซงึ่ ชาวบ้านเช่ือวา่ เปน็ ผีมีอานาจ
ความรู้สึก อารมณ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมือ่ เกดิ การเจ็บปว่ ย หรอื ประสบภยั ธรรมชาติ ก็จะเชอ่ื ว่า
เกิดจากการละเมิดต่อผีจึงต้องมีการทาพิธีบวงสรวง กราบไหว้ บูชา เพ่ือให้ผีมาช่วยบาบัดขจัดปัญหาความ
เดือดรอ้ นและเช่ือว่าผีจะดลบนั ดาลให้เป็นไปตามต้องการได้

๑๘

ปริวรรติ สาคร ( 2550 : 9 ) กล่าวว่า พิธีกรรมคือ 1.การจัดเคร่ืองการเหยาและหมอแคนให้
เรยี บร้อยแล้วยกเครื่องคาย (เคร่ืองไหว้ครู) มาวางตรงหนา้ หมอเหยา หมอแคนจะน่งั อยู่ข้างๆ หมอเหยา คน
ปว่ ยจะนง่ั หรือนอนอยู่ใกล้ๆ หมอเหยา กรณผี ู้ปว่ ยไมส่ ามารถอย่ใู นพธิ ีได้ให้เอาเส้อื ผา้ ของคนปว่ ยมาวางไว้หนา้
พิธีท่ีจะเหยานั้น 2.หมอเหยาจะเรมิ่ บูชาครูกอ่ นแลว้ ลาเชิญผีลงหรือเรียกผใี ห้มาเขา้ ทรงเพ่ือจะไดถ้ ามว่าคน
ป่วยนนั้ เปน็ อะไร เมื่อผีมาเขา้ ทรงแล้วจะมีการแต่งตัวใหห้ มอเหยาใหม่ คอื ถ้าผมี าเข้าทรงน้นั เป็น ผีเงือก ผีงู
หมอเหยาจะเอาผ้าแดงมัดศีรษะ หรือถ้าเป็นผีป่ามาสิงหรือผีบ้านธรรมดา หมอเหยาจะมัดศีรษะด้วยฝ้าย
ดอกไม้ ถ้าเป็นผนี ักมวยใช้ผ้าแดงมัดศีรษะเหมือนกัน แต่เวลาร่ายราหมอเหยาจะกากาปั้นเหมือนจะชกมวย
หมอเหยาจะร้องลาไปตามทานองแคน การเหยาช่วงนี้ใชเ้ วลานานแล้วแตผ่ จี ะบอกให้แกไ้ ขอย่างไร ซ่ึงกข็ ้นึ อยู่
กบั คนป่วยน้ันทาผดิ อะไรและตอ้ งทาตามผบี อก นอกจากกรณีท่ีไมส่ ามารถทาได้ในเวลาน้ันก็จะบนบานไว้ 3.
หมอเหยาไปแล้วโรคภัยไม่ยอมออกจากร่างกายผู้ป่วย หมอเหยาจะทาพิธีกวาดออกไป โดยให้ผ้ปู ่วยนอนหัน
สว่ นปลายเท้าไปทางทศิ ตะวันตก แล้วใช้ใบน้อยโหน่งจุ่มน้าเหล้ากวาดจากศีรษะไปทางปลายเท้า ถ้าผีหรือ
โรคภัยนั้นดื้อไม่ยอมออกไปหมอเหยาจะเอาดาบทาพิธีกวาดออก 4.หมอเหยาจะเอาขวัญของผู้ป่วยให้มา
อยู่คิง (ตัว) แล้วเหยาลา หรือท่ีภาษาหมอเหยาเรียกว่า "ม้วนผขี ึ้นห้งิ " 5.เม่อื เสร็จพธิ ีเหยาแล้วจะผกู แขนให้คน
ป่วย โดยให้หมอเหยาผกู ก่อนตามดว้ ยญาติพี่น้อง ใช้ฝา้ ยผกู แขนที่อยู่ในคายผูกข้อมอื ให้คนป่วยพรอ้ มอวยพร
ให้หายวันหายคืน มีสขุ ภาพแขง็ แรงตลอดไปผูกแขนเสรจ็ มกี าร"ปงคาย" โดยใชผ้ า้ ขาวทีร่ องคายนน้ั หอ่ สง่ิ ของที่
อยู่ในคายน้นั ไปด้วยเป็นอนั เสร็จพธิ ี

เฉลิมชยั แก้วมณีชัย (2554 : 8) ใหค้ วามหมายว่า “หมอเหยา” เปน็ หมอทท่ี าพิธีเกย่ี วกับการเหยา
การเหยาเปน็ พธิ ีการรักษาคนปว่ ยอย่างหนง่ึ ซึ่งคนป่วยดงั กลา่ วนีก้ ็คอื คนป่วยทีถ่ กู ผกี ระทามาโดยอาการอย่างใด
อย่างหนึ่ง ซ่ึงผีต่างนั้นก็จะมที ้ังผปี ่า ผีภูเขา ผีปอบ ผีเป้า ผีเรอื น ผีบรรพบรุ ุษหรอื ถูกคุณไสยทาใหเ้ กิดความ
เจ็บป่วย หมอเหยาจะใชว้ ธิ กี ารพูดจาหว่านลอ้ มด้วยถ้อยคาทอ่ี ่อนหวาน สุภาพ เปน็ ทานองของการเหยาคลา้ ย
กับการลา จะร้องทานองเหยาเป็นถ้อยคาคล้ายกับบทกลอน แล้วจะมีหมอแคนเป่าแคนให้ทานอง ผีต่างๆ
เหล่าน้นั ก็ออกไป เรยี กว่าเป็นการใช้ไม้นวม สว่ นหมอเป่าท่ีกล่าวมาแล้วจะใช้คาถาเป็นการบังคับให้ออกจะ
เรยี กว่าใช้ไม้แขง็ ก็ได้ ผีหมอ น้ันความจริงแล้ว “ผีหมอ” ไมใ่ ชผ่ ี แตจ่ ะเรียกคนท่นี ับถือผีหรือเลีย้ งผีหรอื ไมก่ ม็ ีผี
มาสิงสู่ว่า “ผีหมอ” ซึ่งจะมีแต่ผู้หญิงเท่านนั้ ที่จะเป็นผีหมอได้ ผหี มอจะไดร้ ับความเคารพจากคนในหมู่บ้าน
มากในฐานะผทู้ ่ีทาพิธปี ัดกวาดรังควานต่างใหก้ ับคนในหมู่บา้ น เวลามีคนเจบ็ ป่วย ผหี มอกจ็ ะมีทาพธิ ที ี่เรยี กว่า
“การเหยา” ดังที่กล่าวแล้วในหมอเหยา ซึ่งผีหมอจะเรียกว่าหมอเหยาก็ได้ แต่ในหมู่บ้านภูไทเรียกว่าผีหมอ
การจะเป็นผีหมอก็ไม่ใช่ใครๆก็เป็นได้ มีการสืบทอดทางสายเลือดหรือตระกูล แต่ก็ไม่ได้บังคับถึงขนาดท่ีว่า
ลูกหลานจะต้องเปน็ ผหี มอต่อไป การจะเป็นผีหมอต้องถูกผเี ลอื กให้เป็นดว้ ย ซง่ึ หมายความว่าลกู หรอื หลานคอื
ผทู้ ี่รบั ช่วงต่อโดยตระกูล แตผ่ ีกจ็ ะเปน็ ผู้เลอื กด้วย เพราะผีจะตอ้ งมาสิงรา่ งหรือเขา้ ร่างเวลาประกอบพิธกี รรม
หากผีไม่ชอบก็จะไม่เลือก แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะเลือกผู้หญิงท่ีเป็นลูกหรือหลาน ซ่ึงในความจริงแล้วลูกหรือ
หลานเมื่อเห็นการปฏิบัติตนเป็นผหี มอของแมห่ รือย่าหรือยาย กย็ อ่ มจะซึมซบั ไปโดยธรรมชาติอย่แู ลว้ การท่ีรับ
ชว่ งเป็นผีหมอเหยา ต่อไปจึงไม่เปน็ การฝืนความรู้สกึ แตอ่ ย่างใด แตก่ ็ใช่ว่าจะต้องเป็นลูกหลานของผู้ท่เี ป็นผี
หมอนั้นเท่านัน้ ที่จะเป็นผีหมอ ในหม่บู ้านของผู้เรยี บเรยี งสมยั ยังเป็นเด็กนนั้ เคยมีผีหมอคนหนึ่งทเี่ ปน็ เด็กยัง
ไม่จบช้นั ประถมศกึ ษา ซงึ่ ผีหมอเด็กคนน้ีไมม่ ีญาติผู้ใหญ่คนไหนเป็นผหี มอมาก่อน จงึ ทาให้ไดข้ ้อสังเกตว่าการ
เป็นผีหมอนน้ั จะตอ้ งมบี คุ ลกิ ที่จะเป็นผีหมอ มีคุณสมบัติทีจ่ ะเปน็ ผหี มอ หรอื มีจติ ใจหรือจติ วญิ ญาณที่โนม้ ไปใน
บคุ ลกิ ของผหี มอ นัน่ คอื การชอบฟอ้ นรา เพราะการเป็นผีหมอจะต้องฟอ้ นราเสมอื นเปน็ การสกั การะตอ่ ผที ี่ตน
นับถือ ซึ่งก็รวมร้องและฟ้อนราถึงถวายแด่ผีแถนหรือผีฟ้าด้วย โดยจะต้องฟ้อนและการร้องน้ันก็จะร้องใน
ทานองการเหยา จากการที่คนในหมู่บา้ นเคยถามผีหมอเด็กถึงการเปน็ ผีหมอน้ันไดค้ าตอบว่า เกิดความรู้สึก

๑๙

อยากจะฟ้อนก็ฟ้อนราขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกท่ีมาจากจิตสานึกภายใน เหมือนจิตสานึกภายในน้ันส่ังการ
ออกมา ซงึ่ ผหี มอทุกคนก็จะมีความรู้สึกน้ีมาจากจิตสานึกภายใน การฟ้อนราจะออกมาเองโดยธรรมชาติ สงิ่ ท่ี
สังเกตเห็นเรื่องการฟอ้ นรานี้กค็ ือ ผหี มอไม่เคยเรยี นหรือหัดฟ้อนรามากอ่ น แต่จะออกมาจากภายใน ออกมา
จากจิตสานึกที่อยู่ขา้ งใน หากจะเปรียบกบั ศิลปินต่างๆก็อาจจะเรียกว่ามีพรสวรรค์ก็ได้ ผีหมอบางคนบอกว่า
เวลาผีจะลงนั้นจะรู้สกึ อยากจะฟอ้ นราอยา่ งรนุ แรง ดงั นนั้ อาจจะกล่าวได้วา่ การที่จะเปน็ ผีหมอนน้ั ไม่ใชเ่ พราะ
การสืบทอดทางตระกูลหรอื สายเลือดเทา่ น้ัน แต่ตอ้ งเป็นผทู้ ่ถี กู ผเี ลอื กใหเ้ ปน็ ด้วย ย่าของผ้เู รียบเรยี งกเ็ คยเปน็ ผี
หมอ แตต่ อนนั้นยังเดก็ มาก จาอะไรไมไ่ ด้

ผีหมอจะมพี ธิ ีกรรมทุกปนี ่นั คอื พธิ เี ลีย้ งผี โดยผหี มอจะรวมตัวกันจดั เล้ยี งผี ซึ่งก็จะเลือกทบ่ี รเิ วณบา้ น
ของผหี มอคนใดคนหนึง่ พิธกี ารเลยี้ งผหี มอจะจัดข้ึนประมาณเดือน 4 หรือเดอื น 5 คอื ประมาณเดือนเมษายน
โดยจะปลูกประราพิธขี ึ้นทีล่ ้านบ้าน แล้วผีหมอแต่ละคนกจ็ ะเข้าประจาประราพิธีของตนเองพรอ้ มกับเคร่ือง
คายของตน (เคร่ืองคายคือเครื่องเซ่นหรอื เครือ่ งบชู าผ)ี ในพิธีกจ็ ะร้องและรา โดยมีนกั ดนตรซี ึง่ ก็จะเปน็ ผชู้ าย
ในหมบู่ ้านมาตกี ลองและเป่าแคนประกอบการร้องและรา ในขณะทกี่ าลังฟอ้ นราเซน่ ผีน้ี หากผใี ครทแี่ รงมากๆก็
จะเห็นผีหมอคนน้ันฟ้อนราและกเ็ ต้นอย่างรุนแรง ซึ่งจะแสดงออกมาจากภายในไมใ่ ช่การแกล้งทา ผหี มอบาง
คนเวลาผีลงหรอื ผเี ขา้ สิงส่จู ะไปรูส้ ึกตัว จะเต้นราไปตามทผ่ี ตี อ้ งการ โดยพธิ ีเลยี้ งผีหมอนีไ้ มใ่ ชแ่ ต่เพยี งการเล้ยี ง
ผีทต่ี นเองเล้ยี งเทา่ นนั้ แตเ่ ปน็ การบวงสรวงต่อผแี ถนหรอื ทเ่ี รยี กวา่ ผีฟ้าพญาแถน ซ่งึ ในคาร้องก็จะได้กล่าวถงึ ผี
แถนหรือผีฟ้าพญาแถนด้วย โดยให้ช่วงคุมครองคนในหมู่บ้าน สัตว์เลี้ยงต่างๆ รวมทั้งให้ฝนฟ้าตกต้องตาม
ฤดูกาล ให้ข้าวกล้าพืชพันธุ์ธญั ญาหารอดุ มสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัยตา่ งๆมาระบาดในหมู่บ้าน จากนัน้ ก็จะมาการ
จาลองเหตุการณป์ ระกอบอาชพี วา่ อุดมสมบรู ณ์ เช่น จาลงการปลูกข้าทานาจาลองการออกไปจับปลาจบั จบจบั
เขียดก็จับได้ เพราะว่าอุดมสมบูรณ์ จับปลาจับกบเขียดก็ได้เต็มข้อง (ข้อง คือ ท่ีใส่ปลาหรือกบเขี ยด เวลา
ออกไปจบั ปลาจบั กบเขยี ด) เตม็ ไห การจาลองเหตุการณ์นีจ้ ะมีผู้ชายในหมู่บ้านมารว่ มดว้ ย

ดงั น้นั ผีหมอ จึงมีบทบาททง้ั ความเชอ่ื และวิถชี ีวิตของคนภูไทสมยั ก่อนเปน็ อย่างมาก หรือแม้แตใ่ น
สมยั ปจั จบุ นั ในบางชมุ ชุนก็ยังคงมพี ิธีกรรมนีอ้ ยู่

การนบั ถือผขี องคนภูไทมคี วามสัมพันธ์กบั ความเชอื่ ในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งกลมกลนื ในความ
กลา่ วคือแมจ้ ะเชอ่ื ในความเช่อื ตามแนวลัทธผิ ี แตก่ ็มีความเชอ่ื ท่เี หนียวแน่นในพระพุทธศาสนา เรียกว่านบั ถอื ผี
แบบชาวบ้าน แตก่ ็ปฏบิ ตั ธิ รรมตามแนวพทุ ธศาสนา

ความเชื่อของภูไทด้ังเดิมวถิ ีชีวิตจะเกยี่ วข้องกับผตี ลอดเวลา ทกุ สง่ิ ๆสง่ิ ทกุ ๆอยา่ งทีเ่ กิดขึ้นจะอ้างวา่
ถกู ผีทา การเจบ็ ไข้หรอื เกดิ อาการป่วยต่างๆ ลว้ นแต่เกิดจากผเี ข้ามาทาร้ายจงึ ต้องเคารพและทรงออ่ นน้อมต่อผี
และต้องสักการะต่อผีเพอ่ื ใหผ้ คี ้มุ ครอง สมยั กอ่ นยงั ไมม่ วี ทิ ยาการท่ีทนั สมัย จงึ เชอื่ ในเรอ่ื งของผีสางนางไม้
หมอตา่ งๆดงั กล่าวข้างต้นนั้น จงึ มบี ทบาทในการปัดเปา่ โรคภยั ไข้เจบ็ ต่างๆให้แก่คนในหมบู่ ้าน

เฉลิมชัย แก้วมณีชัย ( 2549 : 1) กล่าวว่า ขอคารวะแด่ดวงวิญญาณของบรรพบุรษุ ชาวผู้ไทยดวง
วญิ ญาณของผีหมอที่ส่งิ สถิตอยู่ ณ ทุกแห่งหนของอาเภอเรณูนคร และภาคอีสาน ข้าพเจ้าลกู หลานผสู้ ืบสาน
มรดกชาวผู้ไทยเรณูนคร ขออนุญาตเขียนเล่าประวัติของผีหมอของชาวผู้ไทยเรณูนครและอนุญาตขอจารึก
เรื่องราวต่างๆเป็น ลายลักษณ์อักษรประกอบภาพกิจกรรมเพอื่ ประโยชน์ทางการศึกษาของลูกหลานท่ีสนใจ
ตอ่ ไป หากมีส่ิงใดล่วงเกิน หรอื เล่าเกินความเป็นจริง หรือไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจรงิ เน่ืองด้วยความโง่
เขลา เบาปัญญาหรอื เพราะเหตุไมท่ ราบ ขอดวงวิญญาณของบรรพบรุ ุษและผหี มอโปรดอโหสิกรรมดว้ ย

ชาวผู้ไทยเรณนู คร ต้งั แตอ่ ดตี จนถึงปจั จบุ ันไดช้ ่ือว่าเป็นผู้ “นบั ถอื ผแี ละมปี ระเพณี”“การไหว้ผี” การ
ไหวเ้ จ้าพร้อมท้งั มีการ “เลี้ยงผี - เลี้ยงเจ้า”ใหพ้ บเห็นกันอยทู่ ุกวัน ท้ังนีเ้ นอ่ื งจากชาวผู้ไทยเรณูนครมีความเชื่อ
ตรงกนั เกี่ยวกบั เรือ่ ง “ผ”ี สืบทอดตอ่ กนั มาวา่

๒๐

1. ในบ้านเรือนของตนเองนน้ั มีผีพอ่ ผีแม่ ผีปู่ย่าตายายหรอื ผีบรรพบุรุษประจาตระกลู คอยเฝ้าดูแล
ปกปกั รกั ษาปกป้องคมุ้ ครองลูกหลานใหม้ ีความสุขความเจรญิ อยู่ประจาทุกวัน ดงั นนั้ กอ่ นออกจากบ้านเพือ่ ไป
เรียนหนังสอื ติดต่อราชการไปราชการทหารหรือไปคา้ ขายทาธุรกจิ ยงั ต่างถน่ิ ต่างบา้ นตา่ งเมือง ชาวผไู้ ทยจะจดุ
ธูปจดุ เทยี นบอกกล่าวให้ผีบา้ นผเี รือนทราบทุกคร้ังและเมอ่ื เดนิ ทางกลับมาถึงบ้านก็จะจดุ ธูปจุดเทียนแจ้งให้
ทราบวา่ กลบั มาบา้ นโดยปลอดภัยแลว้ ทุกคร้ัง ถา้ ลูกหลานบา้ นใดไม่ประพฤตปิ ฏบิ ัติตามนี้ ลกู หลานหรือพ่อแม่
ญาติพ่ีน้องท่อี าศัยอยูบ่ า้ นหลังนัน้ กอ็ าจเกดิ อาการเจบ็ ไข้ เกิดป่วยกะทันหนั ซึ่งชาวบ้านผู้ไทยเรียกวา่ “ผิดผี”
น่นั เอง

2. ในขอบเขตเมอื งเรณูนครมี “เจ้าปูถ่ ลา” หวั หนา้ บรรพบรุ ุษชาวผู้ไทยในอดีตซึ่งเปน็ เทพศักด์ิสทิ ธ์ิ
ประจาเมืองคอยปกป้องคุ้มครอง เฝ้าคอยดูแลรักษาให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุขมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์
แข็งแรงโดยมีการก่อสร้างศาลเจ้าปู่ถลาไว้ที่ท้ายเมืองเรณูนครด้านทิศตะวันตก ดังนั้น ก่อนที่ชาวผู้ไทยจะ
เดนิ ทางออกจากอาเภอเรณูนครเพ่อื ไปเรียนหนงั สือไปราชการ ไปค้าขายหรอื อ่ืนๆ จะต้องยกมือไหวเ้ พือ่ บอก
กลา่ วให้เจา้ ปู่ถลาทราบ ถา้ เดนิ ทางโดยรถยนต์ รถโดยสาร รถมอเตอร์ไซด์ หรอื รถอนื่ ๆ เมือ่ ผา่ นถนนหนา้ ศาล
เจ้าปถู่ ลาก็จะบีบแตรรถ หรอื รถจากลงเพ่ือบอกกล่าว ให้เจ้าป่ทู ราบ และเจ้าปู่ถลาจะไปได้ติดตามไปดูแล
รักษา เฝา้ ปกปอ้ งค้มุ ครองตลอดระยะเวลาในการเดินทางครง้ั นี้ และเม่ือเดนิ ทางกลบั กจ็ ะบบี แตรบอกกลา่ วให้
เจ้าปถู่ ลาทราบว่ากลับมาถงึ เมืองเรณนู คร โดยปลอดภัยแล้วอีกครั้ง สาหรับลูกหลานถา้ เดนิ ทางไปหลายวัน
หรือเดินทางไกลมากๆ เม่ือกลับมาแลว้ ลูกหลานจะต้องทาพิธี “เล้ียงเจ้าปู่ถลา” ด้วยการให้ปขู่ ี่ช้าง (อุ) ข่ีม้า
(สุราขาว) หรอื พาข้าวแดงพาแกงฮ้อน ต่อไปอน่ึง สาหรับลูกหลานทีบ่ นบานใหเ้ จา้ ปู่ถลาชว่ ยเหลือในกิจการ
งานใดๆเม่ือกลับมาถึงบ้านแล้วต้อง“ทาพิธีแก้บะ” หรือ “เลี้ยงเจ้าปถู่ ลา” โดยใช้ววั เป็นฆ่าถวายปู่ 1 ตัวอีก
ด้วย ถ้าหากลูกหลานชาวผู้ไทยเรณนู ครคนใดไม่ปฎิบัตติ ามประเพณีนี้ ผ้บู นบานไวห้ รือครอบครัวน้นั ก็จะไม่มี
ความสุขความเจรญิ มีแตค่ วามหายนะจะเข้ามาเยือนและไม่เป็นทนี่ ับถอื ของชาวผไู้ ทยเรณูนครอกี ตอ่ ไป

3. ในขอบเขตของหมู่บ้านต่างๆในอาเภอเรณูนครจะมี“ปู่ตา” ประจาหมู่บ้านคอยดูแลรักษา
ลกู หลานของหมบู่ ้านน้ัน ให้มคี วามสขุ ความเจริญและจะมพี ิธกี ารเลย้ี งปู่ตาเป็นประจาทกุ ปี

4. ในบริเวณหนองน้าใหญ่หรือต้นไม้ใหญ่ประจาหมู่บ้านก็จะมี “ผี” หรือ “เจ้า” ประจาหนอง
ประจาตน้ ไม้สิงสถิตอยู่ดว้ ยซึง่ จะคอยดแู ลรกั ษาใหล้ ูกหลานมีความสขุ ความเจริญต่อไป

5. ในบริเวณท่ีนาหรือไร่สวนก็จะมี “เจ้าท่ี” หรือ “ผีตาแฮก” หรือผอี ่ืนๆอาศัยอยู่เป็นจานวนมาก
ดังน้ันก่อนทานาทาสวนกต็ อ้ งบอกกล่าวและขออนญุ าตผตี ่างเหล่านีก้ ่อนและเม่ือทานาทาสวนไดผ้ ลผลติ แล้วก็
ตอ้ งแบง่ ปนั ผลผลิต ส่งใหผ้ ตี ่างๆเหลา่ นน้ั ได้กนิ ด้วย

เกสร (2550 : 1) กล่าวว่า วิถีชีวิตของชาวผู้ไทย ความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัวผู้ไทย ก็

เหมอื นกับครอบครัวไทยทัว่ ๆไป คอื ในครอบครัวกจ็ ะมพี ่อเป็นใหญ่ท่สี ุด รองลงมาคอื แม่ พค่ี นโตและรองลง

ไปตามลาดับในอดีตเม่อื 40 ปกี ่อน สังคมผู้ไทยไดใ้ ห้ความสาคญั ต่อผเู้ ป็นสามีมาก ในปจั จบุ ันก็ยงั ให้ความนับ

ถอื อย่เู พยี งแตล่ ดพฤติกรรมบางอย่างลงไป เช่น การสมมาสามีในวนั พระ บางคนไม่ได้ทาเลยโดยเฉพาะภรรยา

รุ่นใหมแ่ ต่จะสมมาสามีตอน “ออกคา” ออกจากการอยู่ไฟใหม่ๆเหมือนในอดีตเพราะสามีเป็นผู้ลาบากทุกข์

ยาก อดตาหลบั ขับตานอน ตกั น้าหาฟืนดแู ลภรรยาท่อี ยู่คา การอยู่คาภาษาลาวจึงเรียกว่าอยู่กรรมการกินขา้ ว

แต่กอ่ นต้องพร้อมกัน เม่ือทกุ คนนง่ั วงลอ้ มนาข้าวแล้ว ใหส้ ามเี ริ่มกอ่ นเด๋ยี วนี้ลดลง เพราะต่างมีธุระลูกกร็ บี ไป

โรงเรียน สามกี ็ติดธรุ ะกอ็ นุญาตลูกเมียกินกอ่ นนานๆ เขา้ ก็เลยถอื เปน็ เรือ่ งธรรมดาไป แต่กม็ แี บบเดมิ ใหเ้ ห็นอยู่

ไม่มากการเปล่ียนแปลงนี้เริ่มมีมาประมาณ 30 ปีมาแล้ว การสบื สายตระกูล ชาวผู้ไทส่วนใหญ่ผู้ชายจะเป็น

หลกั ในการสบื สายตระกูล ในการสืบมรดกนั้นในอดตี มกั จะให้ผ้ชู าย เพราะถือว่าลกู ผหู้ ญิงตอ้ งไปสรา้ งกบั สามี

๒๑

วฒั นธรรมพัฒนาการทางประวตั ิศาสตร์ เอกลกั ษณแ์ ละภมู ิปญั ญา จังหวัดมกุ ดาหาร (2542 : 34 -
35) ใหค้ วามหมายว่า ของชาวผู้ไทนนั้ ดัง้ เดิมมภี ูมิลาเนาอยู่ที่แค้วนสบิ สองจุไท ประเทศเวียดนาม มีเมืองแถน
หรือเมืองแถงเป็นศูนย์ กลางทางการเมือง การปกครองต่อมาได้มีการเคล่ือนย้ายเข้าสู่ประเทศลาวและสู่
ประเทศไทยตามลาดับ การอพยพเข้ามาในไทยโดยการชกั ชวนครั้งแรกเข้ามาในรัชสมัยของสมเด็จพระเจา้ กรุง
ธนบรุ ี เปน็ ชาวผูไ้ ทเมืองทัน ลาวพวน และลาวเวียง ส่วนคร้งั ท่ีสองเขา้ มาในสมยั ที่ 3 แห่งกรุงตนโกสินทร์ เมื่อ
เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทร์เป็นกบฏต่อกรุงเทพมหานคร เมื่อพุทธศักราช 2369 เม่ือกองทัพไทยยกข้ึนไป
ปราบปรามจนสงบราบคาบแล้วทางกรุงเทพฯ มีนโยบายจะอพยพพวกผู้ไทข่ากะโซ่กะเลิง จากฝ่งั ซา้ ยแมน่ า้ โขง
มาตัง้ บ้านต้ังเมืองอย่ทู างฝ่ังขวาแม่น้าโขง ภาคอสี าน เพื่อมิให้เปน็ กาลังต่อเวียงจันทนแ์ ละญวนอีก จงึ ได้กวาด
ต้อนผู้ไทจากเมืองวังเมืองโปนเมือพิณเมืองนองเมืองคาอ้อคาเขียว ในดินแดนลาวซ่ึงยังเป็นเขตของพระ
ราชอาณาจกั รไทย อยู่ในขณะน้ันให้ในดินแดนลาวซ่ึงยงั เปน็ เขตของพระราชอาณาจักรไทยอยู่ในขณะนั้นให้
อพยพขา้ มโขงมาต้งั บา้ นเมอื งใน เมืองกาฬสนิ ธ์ุ สกลนคร นครพนมและมกุ ดาหาร

บญุ ลือ วันทายนต์ ( 2549 : 5 ) กล่าววา่ ชาวภูไทหรือภาษาเขียนว่า ผู้ไทปัจจุบันอาศัยอยู่ในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือมี 8 จังหวัด 23 อาเภอ ไดแ้ ก่จังหวัดอานาจเจริญคือ อาเภอชานุมาน และอาเภอเสนา
นิคม จังหวัดสกลนครคือ อาเภอพรรณานิคม อาเภอวาริชภูมิ และอาเภอจาปาชนบท จังหวัดกาฬสินธุ์คือ
อาเภอคาม่วง อาเภอกุฉินารายณ์ อาเภอเขาวง จังหวัดมุกดาหารคือ อาเภอเมืองมุกดาหาร อาเภอคาชะอี
อาเภอหนองสูง อาเภอดงหลวง อาเภอนิคมคาสร้อยและอาเภอดอนตาล จังหวัดยโสธรคือ อาเภอเลิงนกทา
และอาเภอไทยเจริญ จังหวัดอดุ รคือ อาเภอวังสามหมอ อาเภอศรีธาตแุ ละ อาเภอบ้านดงุ จังหวดั นครพนมคือ
อาเภอเรณูนคร อาเภอนาแกอาเภอธาตุพนมและอาเภอนาหวา้ จงั หวดั รอ้ ยเอ็ดคือ อาเภอหนองพอกและอาเภอ
เมยวดี เนื่องจากเดิมชาวผู้ไทเคยอาศัยอยู่ในดินแดน ตอนใต้ของจีนได้อพยพลงมาจาก มณฑลยูนนาน กวางสี
กวางโจวมาอยู่ท่บี ้านนานอ้ ยอ้อยหนู ครั้นเม่ือมคี นอพยพลงมาเรื่อยๆ ทาให้ชุมชนหนาแนน่ ข้ึนจึงพากันขยับ
ขยายลงทางใตเ้ รือ่ ยๆ ในแถบแผน่ ดนิ ทางเหนอื ของเวยี ดนาม

ผาสกุ มทุ ธาเมธา ( 2547 : 8 ) กลา่ วว่า กรณมี ผี ู้เจบ็ ปว่ ยชาวภูไท ในอดีตจะมคี วามเชื่อว่าเปน็ การ
กระทาของผจี ึงมักจดั ใหม้ ีการรักษาคนป่วยดว้ ยการ เหยา หมอเหยาจะไปประกอบพิธกี ารเหยา้ ข้างๆ คนปว่ ย
ในการเหยา จะมหี มอแคนเป็นผู้เป่าแคนประกอบกับการเหย้าซ่ึงบางคร้ังทาให้คนป่วยเป็นเพราะเป็นเหตุใด
จะทาใหห้ ายป่วยไดด้ ว้ ยวิธใี ดส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับผี เช่น เหตุการณป์ ่วยเกดิ จากผู้ป่วยหรอื ผทู้ เ่ี กี่ยวข้องกับ
ผ้ปู ว่ ย เช่น พ่อแม่ สามีภรรยาไปทาล่วงละเมิดผปี ่า ผหี ้วย ผีหนอง ผีนา ผีบรรพบรุ ษุ วิธีการแก้ไขคอื จะต้อง
ไปแต่งแก้หรอื ทาการขอขมาโทษต่อผี หรือบางครั้งหมอเหย้าก็อาจบอกว่าเหตุของการป่วยไม่ได้เกดิ จากการ
กระทาของผีแต่เกิดจากโรคภัยต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลการป่วยจึงจะหายได้ ปัจจุบนั ความเช่ือถือกับการ
เหยาไดล้ ดนอ้ ยลงไปเกือบหมดแล้ว แต่ก็ยงั คงมีการประกอบพิธีกรรมเหยาอยู่บา้ ง

ชาวภูไทหรือผู้ไท ชนเผา่ ไทยแห่งสบิ สองจุไทในประเทศไทย (2542 :7) ให้ความหมายว่า คติความ
เช่ือผีวญิ าณแรกเร่ิมเดมิ ทีนั้น คนเผ่าภไู ทนับถือผีหรือแถนหรือเทวดา ก่อนทจ่ี ะมานับถือพระพุทธศาสนา ซ่ึง
การนับถือพระพุทธศาสนานั้นคนเผ่าภูไทเริ่มนับถือมาต้ังแต่สมัยที่อพยพมาอยู่ในดินแดนประเทศลาวใน
สมัยก่อนหรือว่าเป็นสมยั ทีไ่ ดอ้ พยพมาอยูท่ ี่ประเทศไทยแล้ว ผเู้ รียบเรยี งยังไมม่ ีหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ แตส่ ิ่ง

๒๒

ท่ีคนชนเผ่าภูไทนับถือและเป็นความเช่ือท่ีเด่นชัดก็คือการนับถือผี เพราะคติความเช่ือนี้ยังคงสืบทอดมาถึง
ปัจจบุ ันน้ีอย่างไม่เสื่อมคลาย ในเร่ืองของการนบั ถอื ผขี องคนเผ่าภูไทนี้ ขอตั้งขอสงั เกตเอาไว้ ณ ที่นว้ี ่า ผี ใน
ความเชื่อของคนเผ่าภูไทแล้วจะหมายถึงเทวดามากกว่าท่ีจะเป็นผีในความหมายทั่วไปที่คนส่วนใหญ่ให้
ความหมายกัน ผีท่ีคนเผ่าภูไทนับถือสูงสุดคือแถน ซ่ึงแถนก็คือเทวดาท่ีคนภูไทนับถือมาอย่างยาวนาน ซ่ึงมี
ฐานะเทียบเท่ากับเทพของคนอินเดียท่ีนับถือลัทธิเทพ เรียกได้ว่า “แถน” ก็คือเทพองค์หนึ่งของคนเผ่าภูไท
น่ันเอง ดินแดนท่ีเปน็ เมืองแถนอันเป็นดนิ แดนดั้งเดิมของคนเผ่าภูไท ซ่ึงก็เป็นดินแดนร่วมของต้นกาเนดิ ชาว
ลาว โดยชาวลาวนบั ถอื ว่าพญาแถนคอื ต้นกาเนิดของลาว หากจะยอ้ นกลา่ วถงึ ตานานเรือ่ งการกาเนิดมนษุ ยใ์ น
พงศาวดารทไ่ี ดก้ ล่าวมาแลว้ ข้างตน้ แลว้ ในเมอื งแถนก็คอื ที่เป็นถ่ินฐานดั้งเดมิ ของคนภไู ทซึง่ เทยี บไดก้ บั เมืองฟา้
เมืองสวรรค์เพราะคาว่า “แถน” มีความหมายว่า “ฟา้ ” ดว้ ยเช่นกัน ดงั น้ันจึงเช่อื วา่ เทพหรือผู้คมุ้ ครองบรรพ
บุรุษก็คือ “แถน” “ผีแถน” หรือ “ผีฟ้า” ซึ่งคนภูไทรวมท้ังคนลาวจะต้องเซน่ ไหว้แถน เพื่อเป็นสิริมงคลแก่
เผ่าพันธ์ุ แต่ในคติความเช่ือของคนเผ่าภูไทในทัศนะของผู้เรียบเรียง “ผี” สามารถมีฐานะเป็นเทวดาได้ ซ่ึง
จากบรบิ ททางสังคมของคนเผ่าภูไทเก่ียวกบั พิธีแห่งความตายที่ได้กล่าวข้างต้นน้ัน เม่อื ผทู้ ่ีเปน็ พ่อแม่หรือปยู่ ่า
ตายายตายแลว้ จะนาร่างไปฝังหรอื ตอ่ มาคอื การเผา แตห่ ลังจากน้ันแลว้ จะอัญเชิญวิญญาณกลับเข้ามาสถิตไว้
ทเี่ รือน เพอื่ ใหช้ ่วยปกป้องค้มุ ครองลูกหลานหรือสมาชกิ ในครอบครวั ในพิธดี งั กลา่ วนีจ้ งึ ขยายความไดว้ ่า ชว่ งที่
นาศพไปฝังหรือไปเผาใหม่น้ัน ศพท่นี าไปฝังหรือไปเผาคือผี แต่วญิ ญาณไม่ใช่ผีหรืออาจจะเปน็ ได้ว่า วิญญาณ
ในระหว่างพิธีฝังศพหรือเผาศพก่อนอญั เชิญวิญญาณกลับสู่เรือนน้นั เป็นช่วงท่ีเรียกว่าผี แต่เม่ือไดน้ าวิญญาณ
กลับสูเ่ รือนแล้ว วิญญาณนัน้ แม้จะเรยี กว่าผี แตก่ เ็ ป็นผที ีม่ ฐี านะเป็นเทวดาแลว้ แมจ้ ะยังคงเรียกวา่ ผอี ยเู่ ช่นเดมิ
กต็ าม ในทน่ี ี้ขอขยายความตอ่ ไปอกี ว่าในแง่นี้ ผีในคติความเชอื่ ของคนเผ่าภูไท ท่ีคนภไู ทความหวาดกลวั กนั นั้น
คงจะเปน็ ผีทเี่ รยี กวา่ ผีร้าย คอื ผีทจ่ี ะมาทาอนั ตราย แต่หากเป็นผีที่มาชว่ ยสง่ เสริมจะเปน็ ผดี ซี ึง่ จะยกย่องใหเ้ ปน็
เทวดา ดงั น้ันผหี รือวญิ ญาณพอ่ แม่ปยู่ า่ ตายายจงึ เป็นผดี ีหรือยกยอ่ งใหเ้ ปน็ เสมือนเทวดาดว้ ย

นอกจากนี้ยังมงี านศึกษาด้านพิธกี รรมศึกษาในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือของเกรยี งไกร ผาสุตะ ที่ได้
ทาการศึกษาการควบคุมทางสังคมของกลุ่มหมอลาผีฟ้าในการจัดการปัญหาระดับครอบครัวในสังคมภาค
ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ประเทศไทย ซึง่ เป็นงานศึกษาเกี่ยวกับพธิ ีกรรมทเ่ี ก่ียวข้องกบั การรักษาคนป่วยในสงั คม
ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื พบว่า ลักษณะการควบคมุ ทางสังคมของกลมุ่ หมอลาผีฟา้ ในการจดั การปญั หาระดับ
ครอบครัว พบใน 4 ลักษณะ คือ การสร้างสัญลักษณ์ในพิธีกรรม การควบคุมผ่าน คาสอนในพิธีกรรม การ
ควบคมุ ผา่ นการประพฤตปิ ฏิบัตหิ ลังพิธกี รรม และการควบคุมผา่ นการสร้างการมสี ว่ นร่วมของกลุ่ม เงื่อนไขเชิง
โครงสร้างทางสังคมภายในชมุ ชนท่ีมีผลต่อการควบคุมทางสังคม คือ ระบบเครือญาติ กลุ่มทางสังคม ระบบ
อุปถัมภ์ ระบบการแพทย์ทอ้ งถ่ิน และประวัติศาสตร์ความทรงจา เง่ือนไขเชงิ โครงสร้างภายนอกชุมชนท่ีมผี ล
ต่อการควบคุมทางสังคม คือระบบการศึกษา ระบบราชการ การคมนาคมและการสื่อสาร ผลลัพธ์ของการ
ควบคุมทางสงั คมของกล่มุ หมอลาผีฟา้ ไดแ้ ก่ ความสามารถในการจัดการปัญหาภายในครอบครวั เกดิ การการ
ธารงทุนทางวัฒนธรรมภายในชุมชนท้องถ่ิน เกิดการสร้างเครือข่ายของประชากรในกลุ่ม และนาไปสู่การ
อนรุ ักษ์ภูมิปัญญาทอ้ งถิน่ ในชุมชน (เกรยี งไกร ผาสุตะ, ๒๕๕๘)

จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับพิธีเหยาจากเอกสารที่กล่าวมาในข้างต้นนั้น ได้
สะท้อนให้เห็นถึงความสาคญั ของพิธีเหยาทมี่ ตี อ่ ชมุ ชนชาวผไู้ ทยในประเด็นต่างๆ อยา่ งน่าสนใจ การศึกษาของ
นกั วิชาการแตล่ ะทา่ นตา่ งศึกษาพธิ ีกรรมเหยาในแง่มุมตา่ งๆ ตามศาสตรข์ องแต่ละสาขา แต่ประเด็นร่วมอยา่ ง

๒๓

หน่งึ ของงานศึกษาทั้งหมดคอื การสะท้อนภาพของระบบความคดิ ของความเช่ือและโลกทศั น์ของชาวผ้ไู ทย ท่ีมี
ตอ่ การจดั การความเจ็บปว่ ยท่เี กิดข้นึ ในชุมชน และนามาสู่คาถามหลักของงานศกึ ษาในครงั้ นีว้ ่า

๑. ยงั มีชมุ ชนชาวผู้ไทยที่ยังคงประกอบพิธีเหยาเพื่อรกั ษาอาการเจ็บปว่ ยของคนในชุมชนกลมุ่ ชาติ
พนั ธุ์

ผ้ไู ทยอยู่ทใ่ี ดบ้าง
 เรียกชือ่ เฉพาะในภาษาของแตล่ ะพื้นทอ่ี ยา่ งไรและหมายความว่าอยา่ งไร
 ชุมชนในแตล่ ะพ้ืนทคี่ ดิ ว่าพิธีกรรมการเหยานัน้ ยงั คงมีความสาคัญตอ่ วิถชี ีวิตของพวกเขาและ

ความเปน็ กล่มุ ชาตพิ นั ธุ์ผู้ไทยอย่างไรบ้าง
๒. พิธีกรรมการเหยาของกลุ่มชาติพันธ์ุชาวผู้ไทยในแต่ละพื้นท่ี มีความเหมือนหรือแตกต่างกัน
อยา่ งไร
 สามารถจัดประเภทของพธิ เี หยาได้หรอื ไม่
 ประเภทใดทค่ี วรสง่ เสริมและรกั ษาเอาไว้
 ทผ่ี า่ นมาการประกอบพธิ ีเหยามีอุปสรรค และปัญหาอยา่ งไรบ้าง
๓. รปู แบบการจดั การความขดั แย้งในชุมชนผ่านพิธีกรรมการเหยาของกล่มุ ชาตพิ นั ธุ์ ผู้ไทยในภาค

ตะวันออกเฉียงเหนอื ประเทศไทย ในแต่ละพนื้ ท่ี มคี วามเหมอื นหรือแตกต่างกันอย่างไร
๔. แนวทางสนับสนุนให้ชุมชนเกิดกระบวนการสร้างความทรงจาร่วมเกีย่ วกบั พธิ เี หยา ในสังคมภาค

ตะวันออกเฉยี งเหนอื ประเทศไทย นา่ จะเปน็ อยา่ งไร

นอกจากน้ีผู้วิจัยยังได้ทาการทบทวนเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับ การรักษาพยาบาลแบบ
พน้ื บา้ นในสังคมภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ากลมุ่ หมอเหยาถือว่าเป็นกลมุ่ หมอพ้ืนบ้านทีส่ าคัญ
อีกกลมุ่ หนง่ึ ในสังคมไทย ผวู้ ิจัยจึงไดร้ วบรวมพฒั นาการของกลมุ่ หมอพ้นื บ้านในสังคมไทย เพื่อให้เห็นภาพของ
ประวัตศิ าสตร์และพัฒนาการของบรบิ ทของกลุ่มหมอพ้ืนบ้านอันจะนาไปสู่การสร้างกรอบแนวคิดการวจิ ัยใน
ข้นั ตอนตอ่ ไป โดยมีรายละเอียดของเน้ือหาดังตอ่ ไปนี้

สังคมไทยในอดีต ช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกลา้ ฯ นอกเหนือจากการปฏริ ูประบบการบริหารราชการระบบกฎหมาย การขนสง่ สื่อสาร การเก็บ
ภาษีอากร การทหาร การศึกษาและอื่นๆ อีกหลายด้านแล้ว การแพทยแ์ ละสาธารณสุขกไ็ ดม้ กี ารเปลี่ยนแปลง
เกิดข้ึน พวกหมอสอนศาสนาชาวตะวันตกไดพ้ ากันเข้ามาสอนศาสนา และใหบ้ ริการทางการรกั ษาพยาบาลอยู่
กอ่ นการปฏิรูปสังคมไทยแลว้ ในระดับชนชนั้ สูงกรมหลวงวงศาธิราชซง่ึ ทรงบังคบั บัญชากรมแพทย์หลวงอยใู่ น
ขณะนั้น ก็ทรงให้ความสนใจศึกษาการแพทย์และแบบตะวันตกอย่างจริงจังจนกระท่ังทรงได้รับ
ประกาศนียบตั รจากโรงเรียนแพทย์ในเมืองฟิลาเดลเฟยี นบั แตน่ น้ั มาการแพทย์แบบตะวนั ตกกเ็ ข้ามามบี ทบาท
ครอบงาวถิ ีชวี ติ ของคนไทยเปน็ ลาดบั (ยุวดี ตปนยี ากร, ๒๕๒๒)

การศึกษาของยงศักดิ์ ตันติปิฎก ไดอ้ ธิบายให้เห็นความชดั เจนของการเปลี่ยนแปลงว่า แต่เดิมหมอ
พื้นบ้านเคยมีบทบาทในการบาบัดโรคภัยไข้เจ็บของผู้คนในชุมชน โดยใช้ความรู้ ประเพณี ความเชื่อและ
ทรัพยากรของทอ้ งถน่ิ มกี ารสบื ทอดความรู้และประสบการณ์ของหมอพื้นบ้านรุ่นหนง่ึ ไปยังอกี รนุ่ หนึ่งสบื สาย
ตอ่ เน่ืองมา จวบจนถึงสมัยรัชกาลท่ี ๕ ซง่ึ เป็นยคุ ที่ผู้ปกครองประเทศในสมยั นั้นจาเปน็ ตอ้ งเปลี่ยนแปลงกิจการ
ต่างๆ ของบ้านเมืองให้เท่าทันต่อแรงกระทบจากภายนอก โดยเฉพาะการทาให้ประเทศก้าวหน้าทัดเทียม
อารยะประเทศ ซง่ึ เปน็ ยุทธศาสตรส์ าคัญทจ่ี ะทาให้ประเทศรอดพน้ จากการเป็นอาณานิคมของชาติตะวนั ตกได้
สาเร็จ การเปลี่ยนแปลงสภาพของบ้านเมืองดังกล่าว ทาให้เกิดผลกระทบต่อหมอพ้ืนบ้านอย่างมาก คือ เกิด
กฎหมายกับการควบคมุ หมอพน้ื บ้าน จากการเปน็ บคุ คลทีม่ ีสถานภาพท่ดี ีเพราะไดร้ ับความยอมรบั จากสงั คม
กรณีของกฎหมายตามจารีตประเพณีของล้านนาแต่เดิมถือว่า หมอยา เปน็ ๑ ใน ๑๐ ของไพร่เมืองชั้นดี ไพร่
เมอื งที่มีความรู้ความสามารถพิเศษ เป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ซง่ึ สมควรได้รับการยกย่อง และเปน็ บุคคลที่

๒๔

ควรงดเว้น ไม่ควรฆ่า แต่กฎหมายฉบับแรกของสยามท่ีเข้ามามีผลต่อระบบการแพทย์พื้นบ้าน คือ
พระราชบัญญัติการแพทย์ พุทธศักราช ๒๔๖๖ ซ่ึงมาจากการรเิ ริ่มของกรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย
โดยมอบหมายให้นายแพทย์ชาวต่างประเทศสองนายคอื นายแพทย์ M.Carthew และนายแพทย์ I.Ayer เปน็ ผู้
ยกรา่ ง ต่อมามปี ระกาศใช้กฎเสนาบดี พ.ศ. ๒๔๗๒ ซ่ึงได้แบ่งผู้ประกอบโรคศิลปะเปน็ “แผนปจั จุบัน” และ
“แผนโบราณ” โดยกาหนดให้ “ผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณอาศยั ความสังเกตความชานาญอันได้บอกเล่า
สืบต่อกันมา หรอื อาศยั ตาราอนั มมี าแต่โบราณ มิได้ดาเนนิ ไปในทางวทิ ยาศาสตร์” ซึง่ ถือว่าเปน็ นิยามที่กระทบ
ถงึ หมอพ้ืนบ้านท้ังประเทศ ที่แสดงให้เห็นภาพของการควบคุมปฏิบัติการทางสังคมของหมอพ้ืนบ้านโดยใช้
กฎหมายผา่ นอานาจรัฐ (ยงศักด์ิ ตันติปฎิ ก, ๒๔๗๒)

บริบททางสังคมที่เปลย่ี นแปลงไป การขยายตัวของระบบเศรษฐกจิ แบบทุนนยิ มพร้อมๆ กบั การแพร่
วทิ ยาการตามอยา่ งตะวนั ตกผา่ นระบบการศกึ ษา ทาให้องค์ความร้กู ารแพทย์พน้ื บ้าน ถูกสั่นคลอนอยา่ งรนุ แรง
ดว้ ยความรูแ้ บบวทิ ยาศาสตร์ เพราะความจรงิ ทางสงั คมแบบด้งั เดมิ ถกู ลดทอนให้มีสถานะเปน็ เพียงความเชื่อที่
ยังพิสูจน์ไม่ได้ การเปล่ียนแปลงบริบททางสังคมที่เคยสร้างความชอบธรรม (Legitimizing Context) นี้
เปรียบเสมือนการขุดทาลายรากของต้นไม้ ซึ่งจะทาให้ระบบการแพทยแ์ บบดง้ั เดิมไม่มีทางจะพัฒนาตนเอง
ต่อไปได้ แม้ว่าการแพทยพ์ ื้นบา้ นจะไดร้ ับความยอมรับมากขนึ้ ภายใต้วาทกรรมภูมปิ ญั ญาท้องถิ่น แตก่ ็ยังเป็น
ความรู้ชายขอบทถี่ กู เบยี ดขับและกดทับจากความรแู้ บบวิทยาศาสตร์ และไมค่ ่อยมีบทบาทเทา่ ใดนกั รวมทง้ั ยงั
มีประเด็นถกเถียงทางกฎหมายในการรองรับการแพทย์พื้นบ้านท่ีมีความแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถ่ิน ใน
ความหลากหลายทางการแพทย์พ้ืนบ้านท่ีดารงอยู่นั้นมีการแพทย์พื้นบ้านบางระบบที่ได้รับความยอมรับ
มากกว่าระบบอื่น เช่น การแพทย์ล้านนา การแพทย์อีสาน และการแพทย์พ้ืนบ้านในส่วนที่เป็นการนวด
สาหรับการแพทย์ท่ีเป็นพิธีกรรมและเก่ียวข้องกับอานาจสิ่งศักดิ์สิทธ์ิต่างๆ ได้รับความยอมรับอย่างเป็น
ทางการน้อย แต่มีการเรียนรู้และฟ้นื ฟูกันระดับหนึ่งของเครอื ข่ายหมอพน้ื บ้าน รวมท้ังมีงานวิจยั ที่ชี้ว่าความ
นิยมในพธิ ีกรรมการรักษาเหลา่ นีม้ ีแนวโนม้ เพิ่มข้นึ (ยงศักดิ์ ตนั ติปฎิ ก, ๒๕๔๗)

การหันไปศึกษาภมู ปิ ัญญาในการดูแลรกั ษาสุขภาพของการแพทย์พื้นบา้ นอยา่ งล่มุ ลกึ ในทุกมติ ิเพอ่ื ดึง
สิ่งทย่ี งั เหมาะสมกับยุคสมัยมาปรบั ใชใ้ หเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุดในสถานการณ์จริงของชมุ ชนเปน็ ส่งิ ท่คี วรพจิ ารณา
เพราะในทัศนะของชาวบ้านน้ัน การแพทยพ์ ้ืนบ้านไม่ได้แยกออกจากการแพทย์แผนปจั จุบนั อยา่ งเด็ดขาดแต่
ดารงอยู่อยา่ งเกื้อกูลซงึ่ กนั และกัน ดังนนั้ การพฒั นาสาธารณสุขจึงควรพัฒนาการแพทยท์ กุ ระบบไปพรอ้ มกัน
แล้วใหป้ ระชาชนเป็นผู้เลอื ก รูปแบบของการรักษาที่เหมาะสมดว้ ยตนเอง ภาครัฐและองค์กร สถาบนั ต่างๆ
รวมทั้งภาคเอกชน ควรใหค้ วามสนใจและฟน้ื ฟพู ัฒนาการแพทย์พื้นบา้ นให้กลับมาอยู่ค่กู บั สังคม ทงั้ นเ้ี นอ่ื งจาก
แตล่ ะภมู ภิ าคของไทยต่างมีมรดกการแพทย์ของตนท่แี ตกตา่ งกันตามระบบนเิ วศและวฒั นธรรมของตน การละ
ท้ิงภูมิปัญญาด้านการแพทย์พ้ืนบ้านมาเป็นเวลานานโดยการขาดการวิจัย และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทาให้
ความรดู้ ้านนีไ้ ม่ได้รับการพฒั นา และยังกาลังจะสญู หายไปจากสงั คมไทย จงึ จาเป็นเรง่ ดว่ นท่ตี อ้ งศกึ ษาวิจยั ให้
เป็นระบบทชี่ ัดเจนเหมอื นระบบการแพทยแ์ ผนไทย (ดารณี อ่อนชมจันทร์, ๒๕๕๕)

ยอ้ นหลังหน่ึงทศวรรษได้แก่ชว่ งระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๒ พบว่าหลายฝา่ ยท้ังองคก์ ร
ระหว่างประเทศ องคภ์ ายในประเทศ ทั้งภาครฐั และเอกชนเร่มิ ให้ความสาคัญกับการพฒั นาการแพทยพ์ นื้ บ้าน
รวมถึงการแพทย์ทางเลือกแบบวัฒนธรรมอื่นๆ เพื่อบูรณาการเข้าเป็นส่วนหนึ่งในระบบสุขภาพหลักให้
ประชาชนใช้เป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพ ในเวทีระดับโลกนาโดยองค์การอนามัยโลก (World Health
Organization) ได้กาหนดให้กลมุ่ ประเทศสมาชกิ มนี โยบายระดับประเทศพฒั นาการแพทย์พ้นื บ้านเขา้ สู่ระบบ
บรกิ ารสาธารณสุข โดยประกาศใช้ยุทธศาสตรด์ า้ นการแพทย์พ้นื บ้าน พ.ศ. ๒๕๔๕ -๒๕๔๘ (WHO Tradition
Medicine Strategy: ๒๐๐๒ – ๒๐๐๕) ซึ่งมีสาระสาคัญ ๔ ข้อ คือ เพ่อื ใชใ้ นการนาไปสู่การกาหนดนโยบาย
เพื่อสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพและคุณภาพ เพ่อื เพ่ิมการเข้าถึงการบริการ และเพ่ือ
การส่งเสริมการใช้การแพทย์แผนด้ังเดิม การแพทย์เสริม และการแพทย์ทางเลือกอย่างเหมาะสม ส่งผลให้
ภาครัฐหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างเร่งดาเนินการพัฒนาในเชิงรูปธรรม ในประเทศไทยได้จัดต้ังกรมพัฒนา

๒๕

การแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกเพ่ือเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบการพัฒนาการแพทย์พื้นบ้าน
การแพทยแ์ ผนไทย และการแพทย์ทางเลือก การพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายใหเ้ ออ้ื และเกิดผลในทางปฏิบัติ
ท้ังการปรับปรุงกฎหมายการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่เปิดพ้ืนท่ใี หห้ มอพ้ืนบ้านได้รบั การยอมรับใน
ฐานะส่วนหนึ่งของทมี สุขภาพ การประกาศใช้พระราชบัญญตั ิการสง่ เสริมคุ้มครองภูมปิ ัญญาการแพทยแ์ ผน
ไทย พ.ศ. ๒๕๔๑ ท่ีส่งเสรมิ และคุม้ ครองการใช้ภมู ิปัญญาพ้ืนบา้ นไทย และอ่ืนๆ ท่ีสาคัญได้มกี ารประกาศใช้
แผนยุทธศาสตร์ชาติการพัฒนา ภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท พ.ศ. ๒๕๕๐ – ๒๕๔๔ ข้ึนเป็นฉบับแรกของ
ประเทศตามมติ คณะรฐั มนตรี เมอ่ื มถิ ุนายน ๒๕๕๐ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ เครื่องมือขับเคล่อื นการพฒั นาการแพทยแ์ ผน
ไทย การแพทยพ์ น้ื บ้าน และการแพทย์ทางเลือกอย่างเป็นระบบและเปน็ รูปธรรม (ธวชั ชัย เทยี นงาม, ๒๕๕๓)

จากท่ีกล่าวมาในข้างต้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการพัฒนาประเทศจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่ง
ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงในสังคมหลากหลายด้าน ซ่งึ ประเทศไทยกเ็ ช่นเดียวกับประเทศกาลังพฒั นาในหลาย
ประเทศ ท่ีความก้าวหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีของชาติมกั มาควบคู่กับการผลักไสกีดกนั ภูมปิ ัญญา
ด้ังเดมิ ท่ีมีอยใู่ นสงั คมไทยในด้านต่างๆ ออกจากวถิ ที างหลักหรอื นโยบายหลกั ในการพฒั นาประเทศ และหลาย
ครัง้ ก็ลดความสาคัญในส่วนอ่ืน ๆ ละเลยภมู ิปัญญาท้องถิ่นในด้านต่างๆ อย่างกรณีของการแพทย์พื้นบา้ น จน
กลุ่มคนเหล่านี้ต้องถูกกีดกันให้ไปอยู่ชายขอบ (Marginalized) ของระบบโครงสร้างทางสังคม ซ่ึงหากมอง
ยอ้ นกลับไปจะสามารถแบ่งบริบทของพัฒนาการของหมอพ้ืนบ้านในสังคมไทยได้เป็นสามยุค คือยคุ แรกยุค
สังคมแบบจารตี ที่กลุ่มหมอพนื้ บา้ นมอี านาจในการดาเนินปฏิบัติการทางสังคมด้านตา่ งๆ ไดอ้ ย่างอิสรเสรี ยุค
ต่อมาถือเป็นยุคที่อานาจของหมอพื้นบ้านถูกกดทับด้วยโครงสร้างภาครัฐผ่านกฎหมายพระราชบัญญัติ
การแพทย์ พุทธศักราช ๒๔๖๖ และยุคปัจจุบันคือยุคที่ภาครัฐเข้าไปฟ้ืนฟูกลุ่มหมอพื้นบ้านภายหลังจาก
องค์การอนามยั โลกประกาศใชย้ ุทธศาสตร์ด้านการแพทยพ์ ้ืนบา้ น พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นต้นมา ซ่ึงการแบ่งยุคของ
หมอพ้ืนบ้านในสังคมไทยดังกล่าวน้ี สอดคล้องกับการศึกษาของอานันท์ กาญจนพันธ์ุ ที่กล่าวถึงการศึกษา
ความเชอื่ และพธิ ีกรรมล้านนา โดยเร่ิมจากการศกึ ษาความเสื่อสลายไปของวัฒนธรรมดงั้ เดมิ ซึง่ เช่ือว่าเป็นผล
จากการเปล่ียนแปลงเข้าสู่ระบบการค้าสมัยใหม่ ซึ่งผลจากการศึกษาได้พบว่า พธิ ีกรรมและความเชื่อด้ังเดิม
ตา่ งๆ นัน้ ไมไ่ ดส้ ูญสลายไปในทิศทางเดยี ว หากปรับเปลยี่ นในรปู แบบต่างๆ (อานนั ท์ กาญจนพันธ์ุ, ๒๕๕๕)

การทบทวนองค์ความรู้เก่ียวกับหมอพ้ืนบ้านท่ีเป็นกลุ่มหมอผีหรือหมอไสยศาสตร์ในประเทศไทย
พบว่ามีการศึกษาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เปน็ งานระดับวิทยานพิ นธ์ การศกึ ษาการแพทย์พ้ืนบา้ น
ในชนกลุ่มน้อยมุสลิมในภาคใต้ (Louis Golomb, ๑๙๗๕) การศึกษาหมอพื้นบ้านชาวโซ่และชาวภูไทใน
จังหวัดสกลนคร (สรุ ัตน์ วรางรัตน์, ๒๕๒๔) ประเพณีการทรงผเี จ้านายและบทบาททางสงั คม : ศึกษาในกรณี
จงั หวัดเชียงใหม่ (ฉลาดชาย รมิตานนท์, ๒๕๒๗) บทบาทของหมอพ้ืนบ้านในสังคมชนบทอีสาน (ปรีชา อุย
ตระกูล และคณะ, ๒๕๓๑) สภาพปัญหาการแพทย์แผนโบราณและกลวิธีพัฒนาในงานสาธารณสุขมูลฐาน
(กสุ ุมา ชศู ลิ ปะ และคณะ, ๒๕๓๒) พิธกี รรมฟอ้ นผมี ดผีเม็ง ในอาเภอเมอื ง จงั หวดั ลาปาง (ศิริลกั ษณ์ สภุ าวกลุ ,
๒๕๓๓) หมอธรรมกับการรักษาพยาบาลแบบพน้ื บ้าน (สมใจ ศรหี ล้า, ๒๕๓๕) การศึกษาหมอธรรมในจังหวัด
ขอนแกน่ การศกึ ษาเชิงปรัชญาเรอื่ งคตคิ วามเช่ือเรือ่ งการฟอ้ นผใี นภาคเหนอื (มานพ มานะแซม, ๒๕๔๑) เจ้า
ที่และผีปู่ย่า พลวัตของความรู้ชาวบ้าน อานาจและตัวตนของคนท้องถ่ิน (อานันท์ กาญจนพันธุ์, ๒๕๕๕)
การศึกษาการลาผีฟ้า (สิริวัฒน์ คาวันสา, ๒๕๒๑) การศึกษาหมอลาผีฟ้าในจังหวัดร้อยเอ็ด (กฤติยา แสวง
เจรญิ , ๒๕๒๗) ประเพณีการเล้ยี งผีฟ้าของเผา่ ข่า จังหวัดมุกดาหาร (ประภาส ศรีเพช, ๒๕๒๘) การศึกษาหมอ
ลาผีฟ้าในอาเภอ บรบือ จังหวัดมหาสารคาม (ชัยยนต์ เพาพาน, ๒๕๓๓) การรักษาพยาบาลแบบพ้ืนบ้าน :
กรณศี กึ ษาหมอลาผฟี า้ บา้ นหนองใหญ่ อาเภอแวงน้อย จงั หวัดขอนแกน่ (มาริโกะ กาโตะ, ๒๕๓๘) วธิ คี ดิ ของ
คนไทย : พิธกี รรม “ข่วงผฟี ้อน” ของลาวขา้ วเจ้า จังหวัดนครราชสีมา (สรุ ยิ า สมุทคุปติ์ และคณะ, ๒๕๔๐)
ฟ้อนผีฟ้านางเทียม การฟ้อนราในพิธีกรรมและความเชื่อของชาวอีสาน (สุรัตน์ จงดา, ๒๕๔๑) ชาติพันธ์ุกับ
การแพทย(์ โกมาตร จงึ เสถียรทรพั ย์, ๒๕๔๗) ศิลปะการแสดง เร่ือง หมอลาทรง (สานกั งานวฒั นธรรมจังหวัด

๒๖

ขอนแก่น, ๒๕๔๙) แนวคิดเชิงปรัชญาในพิธีกรรมลาทรงในเขตอาเภอมัญจาคีรีและอาเภอพระยืน จังหวัด
ขอนแกน่ (เกรียงไกร ผาสุตะ, ๒๕๕๑)

สาหรับการทบทวนองค์ความรู้เรอื่ งของพลวัตรทางสังคมกบั การแพทยพ์ ื้นบ้านน้ัน ผู้วิจัยได้พยายาม
ทบทวนงานวิจัยทางมานุษยวิทยาท่ีศึกษาพลวัตทางการแพทย์และการเมืองเร่ืองชาติพันธ์ุท่ีเก่ียวข้องกับ
การศึกษาคร้ังนี้ ได้แก่งานของ Louis Golomb เร่ือง An Anthropology of Curing in Multiethnic
Thailand ท่ไี ดศ้ กึ ษาชมุ ชนมสุ ลิมในภาคต่างๆ ของไทย (Louis Golomb, ๑๙๘๕) โดยแสดงใหเ้ ห็นว่า ความ
หลากหลายของวัฒนธรรมสุขภาพกลายเป็นส่วนหนึ่งของการต่อรองและการต่อสู้ทางการเมือง การเลือกใช้
ระบบการแพทย์ใดๆ ในการเยียวยารักษาโรคนั้นไม่เพียงแต่เป็นการแก้ปัญหาสุขภาพ แต่ยังเป็นการแสดง
จุดยืนทางการเมืองอีกด้วย ที่เป็นเช่นน้ี เพราะการแพทย์สมัยใหม่ได้กลายเป็นตัวแทนของรัฐไทย ซึ่งพึ่ง
สถาปนาการปกครองชมุ ชนมสุ ลิมไดไ้ มน่ านกั การตอ่ ต้านขดั ขนื การยดึ การปกครองอานาจไทยมีการแสดงออก
หลายรูปแบบ และการแพทยก์ ับสุขภาพกเ็ ปน็ ปรมิ ณฑลหนึง่ ของการทา้ ทายอานาจ และเป็นการแสดงออกซ่ึง
การไม่ยอมจานนต่ออานาจรัฐแบบหนึ่งด้วย งานของ Louis Golomb จึงแสดงให้เห็นว่า ขณะที่การแพทย์
สมัยใหม่พยายามแทรกซึมเข้าสู่วถิ ีชีวติ ของชาวไทยมสุ ลมิ น้ัน กล่มุ ชาติพันธน์ุ ี้ไม่ไดส้ ยบยอมตอ่ อานาจดงั กลา่ ว
แต่อย่างใด ชาวไทยมุสลิมยังคงเลือกใช้การแพทย์แบบด้ังเดิมเพื่อตอกย้าความเป็นตัวตน ชาวไทยมุสลิมที่
ปฏิเสธการใช้แพทยส์ มยั ใหม่นั้นให้เหตุผลว่า การยอมรับการแพทย์สมยั ใหมก่ ็เทา่ กับเปน็ การยอมรับความต่า
ต้อย ความด้อยคา่ ของระบบแพทยด์ ้ังเดิม (Louis Golomb, 1985) และขณะเดียวกัน การแพทยพ์ ้ืนบ้านท่ี
หลากหลายท้งั วฒั นธรรมความเช่อื ประเพณแี บบผี พุทธ พราหมณ์ ต่างกป็ รากฏอย่ใู นกระบวนการตอ่ รองและ
ตอ่ ต้านภายใตโ้ ครงสร้างอานาจระหว่างกล่มุ ชาติพันธุใ์ นท้องถิ่น (โกมาตร จงึ เสถียรทรัพย์, ๒๕๔๗)

การศึกษาของ Libbet Crandon-Malamud เร่ือง From the Fat of Our Soul : Social Change,
Political Process and Medical Pluralsm in Bolivia หรือการศึกษาแพทย์พหุลักษณใ์ นโบลเิ วยี (Libbet
Crandon-Malamud, ๑๙๙๑) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธ์ุ ๓ กลุ่ม คอื พวกอนิ เดรียนไอมารา (Animistic
Aymara) ซง่ึ เชอื่ ในวิญญาณ พวกไอมารา เมโธดิส (Methodist Aymara) คือพวกอินเดียนพื้นเมืองที่ถอื คริสต์
นิกายเมโธดิส และพวกเมสติโซ คาทอลิค (Catholic Mestizos) (ลูกผสมสเปนและอินเดียนพื้นเมืองซ่ึงถือ
คาทอลิก) งานชน้ิ น้ีต้องการศึกษาประวัตศิ าสตร์ การเมอื ง เศรษฐกจิ ของการต่อสเู้ มื่อเผชิญกบั ความเจ็บป่วย
Libbet Crandon-Malamud เร่มิ ด้วยการทบทวนประวตั ิศาสตรค์ วามสัมพันธ์ของชาติพันธ์ทุ ้ัง ๓ กลุ่ม กอ่ น
การปฎิวัติ เมสติโซเปน็ กล่มุ ทีม่ ีอานาจเหนือและกดขพ่ี วกอินเดยี นไอมาราพนื้ เมือง หลงั การปฏวิ ัตเิ กดิ การปฎิ
รูปท่ีดินมผี ลใหไ้ อมาราได้เป็นเจา้ ของทีด่ ิน แต่ก็เปน็ ทด่ี นิ ขนาดเลก็ ไมเ่ ยงพอต่อการเลย้ี งตนเอง ขณะทีพ่ วกเม
สติโซจานวนหน่ึงตอ้ งอพยพไปอยู่ท่ีลาปาซ (La Paz) คนทย่ี ังอยู่ทีเ่ ดิมก็ต้องอยู่อยา่ งยากลาบาก ขณะเดยี วกัน
กม็ ีมิชชันนารีเมโธดิสมาทากิจกรรมเผยแพรศ่ าสนาคริสต์ และสร้างโบสถข์ นึ้ ในหมู่บ้าน มิชชันนารไี ด้ใหโ้ อกาส
ชวี ิตแก่พวกอินเดียนไอมาราทห่ี ันมานับถือศาสนาคริสต์และทาให้พวกเขากลายเป็นคนม่งั มีในหมู่บ้าน (โก
มาตร จึงเสถียรทรพั ย์, ๒๕๔๗)

ส่ิงท่ี Libbet Crandon-Malamud ให้ความสนใจคือ ความเข้าใจเกี่ยวกับความเช่ือด้านการแพทย์
และสุขภาพได้ถกู นามาผลิตซา้ โดยกลุ่มคนตา่ งๆ อยา่ งไร และถูกผลิตซ้าในฐานะท่ีเปน็ วธิ ีการแลกเปล่ยี นด้าน
การเมืองและเศรษฐกิจหรือในฐานะทีเ่ ป็นกลไกเอ้ืออานวยหรือขดั ขวางการเปล่ียนแปลงทางสังคม หนังสือเลม่
น้ีได้ชี้ใหเ้ ห็นว่า พหุลักษณ์ทางการแพทย์ที่ดารงอยู่นั้นไม่ได้เปน็ เพราะเหตุผลด้านการแพทย์ แต่เปน็ เหตุผล
ด้านการเมืองเป็นหลัก เธอสังเกตว่าเมสตโิ ซใชค้ วามเช่ือด้านการแพทย์ในฐานะทเ่ี ป็นคาเปรียบเปรยของการ
กดขี่ (metaphors of exploitation) กล่าวคือ ความเช่ือด้านการแพทย์ได้ถูกใช้เพ่ือจัดความสัมพันธ์ด้าน
การเมืองและสังคมระหวางกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในชุมชน (Libbet Crandon-Malamud, 1991อ้างใน โก
มาตร จึงเสถียรทรพั ย์, ๒๕๔๗)

งานศกึ ษาของ Karen Pliskin ทช่ี ื่อ Silent Boundaries: Cultural Constraints on Sickness and
Diagnosis of Iranian in Israel เป็นการศึกษาการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้อพยพชาวอิหร่านกับแพทย์ชาว

๒๗

อิสราเอล และปัญหาในการวินิจฉัยและการรักษาความเจ็บป่วย(Karen Pliskin, ๑๙๘๗) Karen Pliskin
วิเคราะห์แนวคดิ เกีย่ วกับโรคทอ้ งถ่นิ ช่ือ “narahati” เป็นคาท่ีใช้โดยชาวอิหรา่ น หมายถึงภาวะทางจิตใจและ
อารมณ์ที่แสดงออกมาเป็นอาการทางกาย ความรู้สึกไม่สบายท่ีพบบ่อยในหมู่คนยิว- อิหร่านน้ีเก่ียวข้องกับ
ความรู้สึกนึกคิดในระดับบคุ ล และสัมพันธ์กับความรู้สึกไร้อานาจทางสังคมแม้ว่า “narahati” จะมีรากฐาน
จากภาวะทางสงั คม แตจ่ ะแสดงออกดว้ ยอาการทางกายคือ ความเจบ็ ป่วย (โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, ๒๕๔๗)

Karen Pliskin วิเคราะหไ์ วอ้ ยา่ งน่าสนใจถึงความเช่อื มโยงระหว่างการแพทย์กับภาพลกั ษณ์แบบเหมา
รวม (stereotype) ท่ีชาวอิสราเอลมีตต่อชาวอิหร่าน เช่นคนอหิ รา่ นเป็นคนโง่ ขีเ้ กียจ ข้ีเหนียว ลา้ หลัง และ
ชอบหลอกลวง ซ่ึงแพทย์อิสราเอลก็มีทัศนะด้านลบต่อชาวยิว-อิหร่าน และทัศนะเหล่าน้ีได้สะท้อนผ่านการ
ดูแลรักษาผู้ป่วยยวิ -อิหร่านของแพทย์อิสราเอล เมอ่ื ผสู้ ูงอายชุ าวอหิ ร่านมารกั ษาดว้ ยอาการวิตกกงั วล เครยี ด
และสับสน โดยที่ไม่สารถหาสาเหตุทางการแพทย์ได้ แพทย์อิสราเอลก็จะวินิจฉัยว่า เป็นโรคแขกเปอร์เซีย
อกั เสบ (parsitis) Karen Pliskin ให้ความเห็นวา่ การวนิ จิ ฉยั โรคดว้ ยวธิ ีการเชน่ น้ี เปน็ วิธกี ารท่แี พทยอ์ สิ ราเอล
ใช้เพอ่ื เผชิญกับความอึดอัดและความคบั ข้องใจ เมือ่ พวกเขาไม่สามารถใช้ความรูท้ างการแพทย์รกั ษาอาการที่
มีรากฐานมาจากปัญหาสงั คมได้อย่างเต็มท่ี ปญั หาอคติทางชาติพันธ์ุและความไม่เข้าใจกันระหวา่ งวัฒนธรรม
ส่งผลใหช้ าวอิหรา่ นต้องพบกบั ความยากลาบากเมอ่ื ต้องการใหแ้ พทย์ชาวอสิ ราเอลออกใบรับรองแพทย์เพอ่ื ใช้
ในการสมัครงาน และการขอค่าชดเชย นอกจากนน้ั ความไม่เขา้ ใจสาเหตแุ ละปญั หาความเจบ็ ป่วยอยา่ งแท้จริง
ยงั ทาให้แพทย์อสิ ราเอลวินจิ ฉยั โรคผิด เป็นผลใหช้ าวอิหร่านตอ้ งแสวงหาการรักษาความเจ็บป่วยทางกายไป
เรื่อยๆ ทัง้ ทใี่ นความเป็นจริงน้นั ความเจ็บปว่ ยของพวกเขาไม่ได้มีสาเหตมุ าจากโรคทางกาย (Karen Pliskin,
๑๙๘๗ อ้างใน โกมาตร จงึ เสถยี รทรพั ย์, ๒๕๔๗)

ซ่ึงจากการพิจารณาเอกสารการศึกษาดังกล่าว กรณีงานของ Libbet Crandon-Malamud และ
Karen Pliskin จะใช้แนวทางการศึกษาที่ต่างกัน Libbet Crandon-Malamud เปิดเผยให้เห็นว่าวาทกรรม
ทางการแพทย์น้ัน สามารถถูกควบคุมและมีผลต่อความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างไร Libbet Crandon-
Malamud เชอ่ื ว่า การแพทยน์ น้ั เป็นเพียงแหลง่ ทรพั ยากรข้ันแรก ซงึ่ สามารถนาไปใชเ้ พ่ือใหเ้ ข้าถงึ ทรพั ยากร
ขั้นท่ีสอง คือผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ขณะที่ Karen Pliskin แสดงถึงธรรมชาติความสัมพันธ์
ของกลุม่ ชาติพนั ธุ์ และผลกระทบของมนั ต่อปฏิบัตกิ ารทางการแพทยแ์ ละคามเจ็บปว่ ย งานทั้งสองชิ้นแสดงให้
เห็นถงึ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งชาติพันธุ์กบั สขุ ภาพในมติ คิ วามสัมพันธ์ของอานาจอย่างเดน่ ชดั และนอกจากน้ียัง
เป็นการศึกษาที่ช้ีให้เห็นว่า การแพทย์ท่ีดารงอยู่ในแต่ละกลุ่มชาติพันธ์ุน้ัน ไม่ได้ถูกนาไปใช้เพื่อการเยียวยา
รักษาโรคภัยเพยี งแต่ประการเดยี ว แตห่ ากถูกนาไปใชเ้ ป็นสญั ลักษณท์ ั้งเพ่ือปอ้ งกนั การคกุ คามของ “ความเปน็
อื่น” (โกมาตร จึงเสถยี รทรพั ย์, ๒๕๔๗) กรณีของการคกุ คามของอานาจรัฐทีม่ ากับการแพทยส์ มัยใหมใ่ นงาน
ของ Louis Golomb ซ่งึ สอดคล้องกับข้อสังเกตการวิจยั ของผู้ศกึ ษาในครั้งนี้ว่ากรณกี ล่มุ หมอลาผีฟ้าในพ้ืนที่
จงั หวัดขอนแก่น การรักษาโรคของหมอพื้นบ้านกลุ่มนี้อาจไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพ่ือการรักษาโรคเพียงอย่าง
เดียว หากแต่มีวัตถุประสงค์อ่ืนที่แฝงอยู่ในบทบาททางสังคมของกลุ่มด้วยเพื่อรักษาอานาจการควบคุมทาง
สงั คมของกลุ่มเอาไว้

จากภาพการทบทวนองค์ความรู้ในเร่ืองหมอพ้ืนบ้านดังกล่าว ทาให้ผู้วิจัยได้เห็นภาพรวมของ
การศึกษาในประเด็นหมอพ้ืนบ้านในมิติดา้ นต่างๆ แต่ยงั มอี กี หนง่ึ มติ ทิ ผ่ี ู้ศึกษามองว่ายงั ไม่ได้มีการกลา่ วถงึ จาก
การทบทวนองค์ความรู้ในข้างต้น คือองค์ความรู้เร่ืองของบทบาทการจัดการความขัดแย้งผ่านพิธีกรรม
ท่ามกลางความเปล่ยี นแปลงและขอ้ จากัดทม่ี ีในโครงสรา้ งสงั คมไทย ซงึ่ ผ้วู ิจัยคดิ ว่าในประเด็นดงั กลา่ วก็ถอื เปน็
อีกประเดน็ หนึ่งทคี่ วรนามาพจิ ารณาในการวจิ ัยในคร้ังน้ี ในการศกึ ษาครั้งน้ผี ู้วิจยั จะศึกษากลุ่มหมอเหยา ซึ่ง
หมายถงึ กล่มุ บุคคลท่ีมคี วามรู้และประสบการณท์ ี่อยู่บนพื้นฐานของสงั คม วฒั นธรรม และศาสนา เพอ่ื รักษา
โรคภยั ไข้เจ็บของประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื จนได้รบั การยอมรับเชอ่ื ถือจากชุมชนที่อยู่อาศยั และ
บุคคลทวั่ ไป องค์ประกอบของความเปน็ หมอเหยา ได้แก่ ประวัตคิ วามเปน็ มาของกลุม่ ประสบการณก์ ารรกั ษา

๒๘

ในชุมชน การสรา้ งปฎิสัมพันธก์ ับคนในชุมชน บทบาทความเป็นผู้นาในชมุ ชน และความสามารถในการจดั การ
ความขัดแยง้ ในชมุ ชน

๒.๒ กรอบแนวคิดของการวจิ ัย
จากการทบทวนวรรณกรรมท่ีกล่าวมาในข้างต้นสามารถวิเคราะห์ปรากฏการณ์การจัดการความ

ขัดแย้งผ่านพิธกี รรมของกลมุ่ หมอเหยาได้วา่ กลุม่ หมอเหยาจะตอ้ งมีองค์ประกอบดังต่อไปน้ี คือ ประวัตคิ วาม
เป็นมาของกลุ่ม ประสบการณ์การรักษาในชุมชน การสร้างปฏิสัมพนั ธก์ ับคนในชุมชน การสร้างเครือข่ายใน
ชมุ ชน ความเป็นผู้นาในชมุ ชน ความสามารถในการจัดการปัญหาข้อขัดแยง้ ในชุมชน เพราะว่าองค์ประกอบ
เหล่านี้ถือเป็นคุณลักษณะที่สาคัญของกลุ่มหมอเหยาท่ีจะออกไปมีปฏิบัติการทางสังคมกับกลุ่มทาง สังคม
นอกจากนี้ เง่ือนไขเชิงโครงสร้างภายนอกชุมชน ซงึ่ ไดแ้ ก่ ระบบการศึกษา ระบบราชการ การคมนาคมและ
การสอื่ สาร ถอื เป็นบรบิ ทภายนอกชมุ ชนของโครงสร้างทางสงั คมที่มีผลกระทบต่อการเปลย่ี นแปลงสังคม และ
รวมไปถึงการมีผลกระทบต่อการควบคุมทางสังคมของกลุ่มหมอเหยาในการจัดการค วามขัดแย้งให้ประสบ
ความสาเร็จหรือล้มเหลว ส่วนเงื่อนไขเชิงโครงสร้างภายในชุมชน ท่ีได้แก่ ระบบเครือญาติ กลุ่มทางสังคม
ระบบอปุ ถมั ภ์ ระบบการแพทยท์ ้องถนิ่ จารตี ประเพณที ้องถิน่ และประวัตศิ าสตรค์ วามทรงจา คือเงื่อนไขของ
บริบทภายในชุมชนของโครงสร้างทางสังคมท่ีมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสังคม และรวมไปถึงการมี
ผลกระทบต่อการควบคมุ ทางสังคมของกลุ่มหมอเหยาให้ประสบความสาเร็จหรือล้มเหลว ซงึ่ คุณลักษณะของ
กลุ่มหมอเหยาตลอดจนเงื่อนไขเชิงโครงสร้างภายในและภายนอกชุมชน จะส่งผลต่อการสร้างลักษณะการ
จดั การความขดั แย้งของกลุ่มหมอเหยา ผ่านการการสร้างสัญลกั ษณ์ในพธิ ีกรรม ผ่านคาสอนในพิธีกรรม ผ่าน
การประพฤติปฏิบตั ิหลังพิธกี รรมและการสร้างการมสี ่วนร่วมของกลุ่ม หรืออาจกล่าวได้ว่าลักษณะการจัดการ
ความขัดแย้งดงั กลา่ วเปน็ แบบแผนทปี่ รากฏข้ึนตามปรากฏการณ์ต่างๆ ทางสงั คม ตลอดจนกระบวนการตา่ ง ๆ
ทางสงั คมทกี่ ลุ่มหมอเหยาที่ม่งุ หมายใหส้ มาชิกของสังคมยอมรับ และปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม และผล
จากการจัดการความขัดแย้งของกลุ่มหมอเหยาจะส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ดังนี้คือ สามารถจัดการความขัดแย้ง
ภายในชุมชน การธารงทุนทางวัฒนธรรมภายในชุมชนท้องถ่ิน การสร้างเครือข่ายของประชากรในกลุ่ม และ
การอนรุ กั ษภ์ ูมปิ ัญญาท้องถ่นิ ดงั ปรากฏตามภาพแสดงกรอบแนวคดิ การวิจยั ในคร้ังนี้ดังนี้

๒๙

เง่อื นไขเชงิ โครงสร้างภายนอกชุมชน เงื่อนไขเชงิ โครงสร้างทางสังคมภายในชมุ ชน
 ระบบการศึกษา  ระบบเครอื ญาติ
 ระบบราชการ  กลมุ่ ทางสังคม
 ระบบอปุ ถัมภ์
 การคมนาคมและการสื่อสาร  ระบบการแพทย์ทอ้ งถ่ิน
 จารตี ประเพณีท้องถิ่น
 ประวตั ิศาสตร์ ความทรงจา

ลกั ษณะกลุ่มหมอเหยา ลกั ษณะการจดั การความขดั แย้งของกลุ่มหมอเหยา

 ประวตั ิความเปน็ มาของกลุม่  การสร้างสัญลกั ษณใ์ นพิธีกรรม
 ประสบการณ์การรักษาในชมุ ชน  การควบคมุ ผ่านคาสอนในพธิ ีกรรม
 การสรา้ งปฎสิ มั พันธ์กบั คนในชุมชน  การควบคุมผา่ นการประพฤติปฏบิ ัตหิ ลงั พิธีกรรม
 ความเปน็ ผู้นาในชุมชน  การสร้างการมีส่วนร่วมของกลุ่ม
 ความสามารถในการจดั การปญั หา

ระดบั ครอบครวั

ผลลัพธ์ของการจัดการความขดั แยง้ ของกลุ่มหมอเหยา
 สามารถจดั การปญั หาภายในครอบครัว
 การธารงทนุ ทางวฒั นธรรมภายในชุมชนท้องถิ่น
 การสร้างเครือข่ายของประชากรในกลุ่ม
 การอนุรักษ์ภมู ิปัญญาท้องถ่ิน

ภาพกรอบแนวคิดการวิจัย

๓๐

บทท่ี ๓
ระเบยี บวธิ กี ารวิจยั

๓.๑ พนื้ ทใ่ี นการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูล
พน้ื ท่ใี นการรวบรวมขอ้ มูลในครัง้ นมี้ ที ัง้ เอกสารและงานวิจยั ซง่ึ มีอย่แู ลว้ และตอ้ งดาเนินการลงไปเกบ็

ขอ้ มูลทช่ี ุมชนทเ่ี ก่ยี วขอ้ งและพยายามให้ชุมชนมสี ่วนรว่ ม ในประเด็นทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั ชมุ ชน โดยคณะทางานได้
เลอื กพน้ื ที่ศกึ ษาหลกั ไว้ ๒ พนื้ ทใี่ น ๒ จังหวัดท่ีกลา่ วมาในขา้ งต้น รายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปน้ี

 จงั หวดั นครพนม เกบ็ ขอ้ มลู ที่ชมุ ชนบา้ นเรณนู คร ตาบลเรณนู คร อาเภอเรณนู คร จังหวดั
นครพนม

 จงั หวัดมกุ ดาหาร เกบ็ ขอ้ มูลทีช่ มุ ชนบ้านคาพอก ตาบลโนนยาง อาเภอหนองสงู จังหวัด
มกุ ดาหาร

๓.๒ กระบวนการดาเนินโครงการ
กระบวนการเก็บขอ้ มูลมคี วามสาคญั ต่อการดาเนินการส่งเสริมและรักษาโดยชุมชน เพราะว่า การ

จัดเก็บองคค์ วามร้เู ก่ยี วกับพิธกี รรมการเหยาเป็นกลวิธีในการกระต้นุ ความสนใจและจติ สานกึ ของชมุ ชนใน
การทีจ่ ะส่งเสริมและรักษามรดกภมู ิปญั ญาทางวฒั นธรรมของตนเอง

คาถามกค็ อื ว่ากระบวนการเกบ็ ข้อมูลลักษณะใดทจ่ี ะนาไปสกู่ ารไดข้ อ้ มูลที่จะนามาใชป้ ระโยชนใ์ น
การส่งเสริมและรักษาภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม นอกเหนอื จากการไดข้ ้อมลู ท่ีตรงกบั ขอ้ เท็จจรงิ ทาใหเ้ กิด
ความเข้าใจความสาคัญและภูมิหลังรายการภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมดังกล่าว และยังเป็นการกระตุ้น
จิตสานึกของชุมชนอกี ด้วย

คาตอบก็คอื ว่า ไมม่ สี ูตรสาเร็จที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมาย สาหรบั กระบวนการท่ีจะใช้ในการเก็บ
ข้อมูลเรือ่ งพิธีกรรมเหยาของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุผู้ไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย ในขน้ั ต้นกค็ ง
จะเป็นการเตรียมการอย่างคร่าว ๆ ในขั้นต้น และให้ทีมวิจัยนาไปพัฒนารายละเอียดในระหว่าง
กระบวนการ หากท่ีเตรียมไว้ไมเ่ หมาะสมกับสภาพการณ์ท่ีพบ ก็คงต้องปรับเปลยี่ นไปตามท่เี หน็ สมควร
อยา่ งไรกต็ ามทีมวิจยั จาเป็นต้องตระหนักว่าเราอาจปรบั เปลย่ี นกระบวนการและเทคนิคในการเกบ็ ข้อมูล
ได้ แต่ควรพิจารณาให้สอดคล้องกบั หลักการท่ีไดก้ าหนดไว้แลว้ สว่ นการปรับประเด็นศกึ ษายอ่ ยก็ย่อมทา
ได้เช่นกนั หากยงั อย่ใู นขอบเขตของโจทยแ์ ละคาถามหลกั

ในข้นั คณะนักวิจัยพิธกี รรมเหยาของกลมุ่ ชาติพนั ธุ์ผู้ไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ประเทศไทย ได้
วางแผนกระบวนการไวด้ งั น้ี คอื

๑. กระบวนการประกอบทีมวจิ ยั
- มนี กั วชิ าการท่ีมปี ระสบการณ์ และความรเู้ ก่ียวกับวถิ ชี วี ติ ชาวผ้ไู ทย และพธิ กี รรมเหยาเปน็
หวั หน้าทมี และผรู้ ่วมทีม
- มีตัวแทนเครือข่าย ที่ทางานเกี่ยวกับการศึกษาและพัฒนาวิถีชีวิต “ชาวผู้ไทย” แต่ท่ีสาคัญ
นกั วิจยั เหลา่ นค้ี วรมี ความสนใจในเร่ืองท่จี ะศกึ ษาและสามารถจัดสรรเวลาใหไ้ ด้
-หากไม่มีใครในทมี ท่ีมปี ระสบการณ์ในการเคลอ่ื นไหวในทางสงั คมและวัฒนธรรมมากอ่ น ควรมที ่ี
ปรกึ ษาทม่ี ีประสบการณ์ในลกั ษณะดังกล่าว

๓๑

๒. การประชุมทีมวิจัยในครั้งแรก
- ทาความเข้าใจในเรอื่ งภารกจิ รว่ มกนั
- กาหนดขอบเขตของชมุ ชน และบทบาทของชมุ ชนท่ีจะต้องใหเ้ ขา้ มามสี ว่ นร่วม
- พจิ ารณาขอบเขตความหมายของพธิ ีเหยา ท่จี ะนาลงไปปรกึ ษาชุมชน เช่น วัตถปุ ระสงค์ของพธิ ี
เหยา และภาคปฏิบตั ิ เช่น ขัน้ ตอนในการประกอบพิธกี รรม องค์ประกอบและปจั จัยเงื่อนไขต่างๆ ที่
เกีย่ วขอ้ งกบั พธิ ีกรม
- หมอบหมายให้นักวิจัยในทีมวิจัยคนใดคนหนึ่งทาหน้าท่ีเป็นเลขานุการ(บันทึกการประชุม)
เหรัญญกิ (ดแู ลการใชจ้ า่ ยเงนิ ของโครงการ) และติดตามงานและประสานงานกับทอ้ งถิน่
- แบง่ งานระหว่างผรู้ ่วมทีมให้ชัดเจน
- กาหนดตัวบุคคลท่จี ะทาหน้าทเี่ ปน็ นกั วจิ ยั และผปู้ ระสานงานในแตล่ ะชมุ ชนท่เี กีย่ วขอ้ ง (ควร
ระบภุ ารกิจให้ชัดเจน)
- กาหนดแผนงานโดยรวม
- กาหนดวนั และประเด็นทจี่ ะประชุมเชิงปฏิบัตกิ ารกบั ผรู้ ่วมทมี ทง้ั หมด (รวมทัง้ นกั วจิ ยั ทอ้ งถิน่
ดว้ ย)
๓. จดั การการประชมุ เชิงปฏบิ ัติการของผ้รู ว่ มทีมทง้ั หมด (ใช้เวลา ๑-๒ วนั )
- เพอ่ื แลกเปลี่ยนเรียนรู้รว่ มกันในเรอื่ งตา่ ง ๆ
- ความเปน็ มาและวตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการฯ
- หลกั การการจดั เกบ็ และรวบรวมข้อมลู
- สถานภาพความรูเ้ ก่ยี วกบั พิธีเหยา
- คาถามหลกั และประเดน็ ศกึ ษา
- เทคนคิ การใหช้ ุมชนมีสว่ นรว่ ม และระดับการมสี ว่ นรว่ มของชุมชน
- สภาพพน้ื ทแี่ ละชุมชนทีเ่ กีย่ วข้อง
- ปรกึ ษาประเดน็ ทจ่ี ะคุยแลกเปล่ยี นกบั ชมุ ชนในคร้งั แรก
- เตรียมหาคาตอบลว่ งหน้าหากชุมชนจะถามว่าได้ประโยชนอ์ ะไร
- พยายามถามถึงความถี่ของการจัดพธิ ีกรรมการเหยาดว้ ย และคาถามอื่น ๆ ทเ่ี ห็นว่าจะทาใหเ้ ข้าใจ
กนั ดขี ้ึน
- อธบิ ายเกี่ยวกับการส่งเสริมและรกั ษามรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรม (พยายามคิด คาที่ชุมชน
เข้าใจงา่ ย ภาษาผ้ไู ทย, ภาษาอสี าน, และภาษาไทยกลาง)
๔. ลงสนามไปยังชุมชนท่ีเก่ียวข้องในเวลาทเ่ี หมาะสมตามแผนงาน
- พดู คยุ แลกเปล่ียนกบั ชุมชนตามประเด็นที่ได้กาหนดไว้ และท่เี กดิ ขึ้นในระหว่าง การมี
ปฏสิ มั พนั ธ์
- พยายามหมายตาผูท้ ส่ี นใจ และให้เป็นแกนนาในท้องถิน่
- ดูประเดน็ วิจัยด้วย และพยายามแตกประเดน็ วจิ ยั ใหเ้ ป็นคาถามทช่ี มุ ชนเขา้ ใจ
- บันทึกเสียง ภาพน่ิง หรือภาพเคลื่อนไหวในการลงภาคสนามเพื่อเปน็ หลกั ฐานดว้ ย
๕. การตดิ ตามงาน
- จัดประชุมทมี วิจัยอยา่ งสม่าเสมอ และมรี ะบบรายงานผลการดาเนินการระหวา่ ง การวจิ ัย หาก
มีปัญหา ต้องรีบแกไ้ ขทันที และสามารถปรับเปล่ยี นประเด็น ตามความเหมาะสม และแสวงหากลวธิ ีใน
การดงึ ดดู ความสนใจ ของชมุ ชน และพยายามบนั ทกึ การคุย และสังเกตสภาพการณท์ ่ัวไปในรายละเอยี ด

๓๒

บทที่ ๔
ผลการศกึ ษา

การศึกษาวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ เรื่อง การศึกษาการจัดการความขัดแย้งในชุมชนผ่านพธิ ีกรรมการเหยาของ

กลุ่มชาติพนั ธ์ุผู้ไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อรวบรวมและจดั เก็บ
ข้อมูลกลุ่มหมอเหยา ในพ้ืนท่ีภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ประเทศไทย 2) เพอื่ ศึกษาการจัดการความขัดแย้งใน

ชุมชนผ่านพิธีกรรมการเหยาของกลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย 3) เพื่อหา

แนวทางสนับสนุนให้ชุมชนเกิดกระบวนการสร้างความทรงจาร่วมเก่ียวกับพิธีเหยา ในสังคมภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย ผู้วิจัยได้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อเก็บรวบรวมข้อ มูล

กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัยคือ 1) กลุ่มหมอเหยาในชุมชนพ้ืนที่จังหวัดนครพนมและจังหวัดมุกดาหาร

จานวน 20 กลุ่ม และ 2) กลุ่มครอบครัวของประชากรท่เี คยผ่านการรักษาด้วยพิธีกรรมเหยาจากกลุ่มหมอ
เหยาลุม่ เป้าหมาย 40 ครอบครัว ใช้เทคนคิ การการสุ่มตวั อยา่ งแบบเฉพาะเจาะจง เครอื่ งมือทใี่ ช้ในการวิจยั ใช้

4 เทคนิคหลักคือ 1) การบันทึกประวัตชิ วี ิตบคุ คล เครื่องมอื การสังเกต 3) แนวทางการสมั ภาษณ์เชิงลึก และ

4) การสัมภาษณก์ ลมุ่ เพื่อให้ได้ขอ้ มลู ตามวัตถุประสงคก์ ารวิจัย ซึง่ มเี นอื้ หาในบทดังตอ่ ไปน้ี
บรบิ ททางสังคมของพนื้ ที่ศึกษา

ความเช่ือและพิธีกรรมเหยาของชาวผูไ้ ทยในสองพ้ืนที่
การจดั การความขัดแยง้ ผา่ นพธิ กี รรมเหยา

๔.๑ บรบิ ททางสังคมของพื้นที่ศกึ ษา
4.1.1 บ้านเรณูนคร ตาบลเรณูนคร อาเภอเรณูนคร จงั หวัดนครพนม

๑) ประวตั ิความเปน็ มาของชมุ ชน
เรณูนคร เป็นอาเภอหน่งึ ในจังหวัดนครพนม มีสภาพภูมิประเทศทส่ี วยงาม มปี ระเพณที อ้ งถ่ินทงี่ ดงาม
และยังมชี ่อื เสียงว่าเป็นถน่ิ สาวงามอกี ด้วย เรณนู ครนับเปน็ อาเภอที่มชี ่อื เสียงมากแห่งหนง่ึ ในจังหวัดนครพนม
และมักจะเป็นอาเภอต้น ๆ ที่ได้รับการแนะนาในฐานะแหล่งทอ่ งเทีย่ วสาคัญของจังหวดั อย่เู สมอ
ผเู้ ฒา่ ผแู้ กช่ าวผไู้ ทยเมืองเรณนู ครหลายท่านไดเ้ ล่าตานานประวตั ิของชนชาติผู้ไทยเมืองเรณนู ครให้ฟัง
ว่า เดิมบรรพบรุ ุษชาวผูไ้ ทยเมอื งเรณูนครมีภูมิลาเนาอยูท่ เ่ี มืองนานอ้ ยอ้อยหนูตอ่ มาบ้านเมอื งเกดิ การอัตคัตอด
ยาก ไร่นาไมอ่ ุดมสมบรู ณแ์ ละมีพวกฮ่อรุกราน ทา้ วกา่ หวั หน้าชนชาติผู้ไทยจึงได้อพยพลูกหลานชาวผไู้ ทยลงมา
ทางใต้ ซงึ่ ยังมคี วามอดุ มสมบูรณก์ วา่ เข้ามาอยใู่ นเขตปกครองของเจ้าอนุรุธเจ้าเมอื งหลวงพระบางและเจ้าอนุ
รธุ ได้ให้ชาวผ้ไู ทยไปอยทู่ ่ีเมืองวังซึง่ เป็นเขตปกครองของพวกข่าชาวผู้ไทยและพวกข่าเมื่ออยดู่ ้วยกันก็เกดิ การ
แย่งชงิ กนั เป็นใหญ่ จึงได้ตกลงสัญญาแขง่ ขันการยิงธนูขึน้ เพ่อื ตัดสินว่าผู้ใดเกง่ กว่าจะได้เป็นเจ้าปกครอง โดยมี
ขอ้ แม้ว่าถา้ ลูกธนขู องฝา่ ยใดสามารถยิงใส่หน้าผาแล้ว ลูกธนูตดิ หน้าผาไม่ตกลงมาจะถอื ว่าฝา่ ยน้ันเกง่ กวา่ และ
ชนะการแข่งขันชาวผู้ไทยมคี วามคดิ ดีกว่าพวกข่าได้นาขสี้ ูด(ชันมะโรง) ตดิ ใส่ปลายลูกธนแู ลว้ ยิงใสห่ นา้ ผา ลูก
ธนขู องชาวผู้ไทยจงึ ยดึ ติดหนา้ ผาทุกดอก พวกข่ายอมแพ้และไดย้ อมตวั ใหช้ าวผู้ไทยเป็นใหญไ่ ดป้ กครองเมอื งวัง
หรอื ชาวผ้ไู ทยมกั เรยี กวา่ เมืองวงั อา่ งคาเน่อื งจากเปน็ เมอื งทม่ี ีความอุดมสมบูรณ์มาก ตง้ั แต่บัดนนั้ เป็นต้นมา

๓๓

เจ้าอนุรธุ เจ้าเมืองหลวงพระบางแต่งตัง้ ให้ท้าวกา่ เป็น “พระศรวี รราช” แตช่ าวเมอื งวังเรียกว่า “พระ
ยากา่ ” พร้อมกบั ไดป้ ระทานบุตรสาวชื่อ นางช่อฟ้าซ่ึงชาวเมอื งวงั เรยี กว่า“นางลาว” ใหเ้ ป็นภรรยา พระยาก่ามี
บตุ รชายกับนางลาว 3 คนคือพระยาเตโช พระยาก่าและพระยาแกว้ ตอ่ มาเมอ่ื พระยากา่ ถึงแก่กรรม ชาวผู้ไทย
จึงได้แตง่ ตงั้ ให้พระยาเตโช บุตรชายคนโตเป็นเจ้าเมืองวงั แท เน่อื งจากพระยาเตโชมบี ุตรชายหลายคนเม่ือโต
ขน้ึ ต่างก็แกง่ แย่งชิงกันเปน็ ใหญ่ ระหวา่ งญาติพ่ีน้องเดียวกัน โดยเฉพาะพระยาก่าน้องชายเป็นผู้มีจิตใจดุร้าย
เหี้ยมโหดกต็ อ้ งการเปน็ ใหญ่เช่นกัน สว่ นพระยาแก้วน้องชายคนเลก็ เป็นคนสตั ย์ซื่อมีน้าใจโอบออ้ มอารีย์เป็นท่ี
รกั ใคร่ของชาวเมืองยิ่งนกั พระยาเตโชมีความวิตกว่าพระยากา่ น้องชายและลูกๆคงมปี ัญหาแยง่ ชิงกันเป็นใหญ่
ในภายภาคหน้าแน่นอน จงึ ได้ใหพ้ ระยาแกว้ น้องชาย และเจา้ เพชร เจา้ สายบุตรชายทงั้ 2 คน พรอ้ มญาตสิ นิท
รวบรวมชาวผไู้ ทยส่วนหนึ่งแยกตัวออกไปตง้ั บา้ นเมอื งใหม่และตงั้ ชือ่ วา่ เมอื งวังเวหรือชาวเมืองมกั เรยี กส้ันๆวา่
“เมืองเว” มีพระยาแกว้ เปน็ เจ้าเมอื งและขนึ้ ตรงตอ่ เมอื งวังเมอื งวังเวหรือเมอื งเว เจริญรงุ่ เรอื งขน้ึ อยา่ งรวดเร็ว
เน่อื งจากชาวผ้ไู ทยสว่ นใหญจ่ ากเมอื งวัง ทีน่ ัมนับถือพระยาแก้ว ได้พากนั อพยพลกู หลานไปอาศัยอยดู่ ้วยเป็น
จานวนมาก พระยากา่ รู้ตัววา่ ชาวเมืองวังและเมืองวังเวจะนิยมนบั ถือพระยาแก้วมากว่าตัวเอง ต่อไปภายหน้า
คงจะยกบ้านเมืองให้ปกครองเป็นแนแ่ ท้ จึงออกอุบายว่าตวั เองปว่ ยแล้วให้พระยาแก้ว นอ้ งชายเข้าไปเย่ียมที่
เมอื งวังและเอาหอกแทงพระยาแก้วจนเสียชวี ติ นางลาวผเู้ ปน็ มารดาทราบเร่อื งก็มีความโกรธมากจึงได้แช่งไว้
ว่า “คนเช้ือชาตผิ ู้ไทยนพี้ น่ี ้องเดียวกันแท้ๆก็ยังฆา่ กันเองต่อไปภายหนา้ ขออย่าใหค้ นพวกนีม้ ีอายมุ ่นั ยนื นาน ถ้า
จะไดเ้ ป็นเจา้ เปน็ นายก็ขออย่าใหไ้ ดร้ ับความเจรญิ ร่งุ เรอื งแต่อยา่ ใหค้ นจาพวกนอ้ี ยู่เรือนพ้ืนกระดานฝากระดาน
เลย”

พระยาเตโช ทราบเร่ืองก็เสียใจมากแต่ไม่สามารถทาอะไรได้ เน่ืองจากตนเองก็มีอายุมากแล้ว
ดงั นั้น จึงได้ใหเ้ จ้าเพชรและเจ้าสาย บตุ รชายทั้ง 2 คนนาญาติพ่ีน้องชาวเมืองวังเวหรือเมอื งเวและลูกหลาน
ชาวผูไ้ ทยจากเมืองวังอพยพข้ามแม่น้าโขงมาอยูท่ างฝ่ังขวาของแม่นา้ โขง เพื่อตง้ั บ้านแปลงเมืองใหม่ และเพ่ือ
ความปลอดภัยของชีวติ เจ้าเพชร เจ้าสาย 2 พน่ี ้องไดน้ าญาติสนิทซงึ่ เป็นพ่สี าว พ่ีเขย และญาติพ่ีน้องชาวผู้
ไทยจากเมืองวังเวหรือเมืองเว จากเมืองวังอ่างคาหรือเมืองวังที่มีความสมั ครใจข้ามแม่น้าโขงมาอยู่ฝากฝั่ง
ทางขวา (ภาคอีสานปัจจุบัน) ในการอพยพมาครั้งน้นั มอี นุภรรยาของพระยาเตโชซ่ึงทอ้ งแก่ตามมาดว้ ยคนหนึ่ง
และไดค้ ลอดบตุ รชายกลางปา่ ในระหวา่ งเดนิ ทางจึงตั้งชอ่ื ใหว้ ่า “ไพร” หรือ “ไพ”เจา้ เพชร เจ้าสาย 2 พ่ีน้อง
ไดน้ าชาวผไู้ ทยลอ่ งเรอื ขา้ มแมน่ ้าโขงมาขึ้นฝัง่ ทบ่ี า้ นโพธ์สิ ามต้น (ปจั จุบนั คอื บ้านพระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม) แต่
เห็นว่าท่ีตรงน้ันยังไม่มีความเหมาะสมในการตั้งบ้านเมือง จึงได้อพยพนาชาวผ้ไู ทยไปต้ังบ้านเมืองอยู่ท่ีริม
หนองหาร (ปจั จบุ ันอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร) อยูไ่ ด้ประมาณ 6 เดือน ปรากฏ ว่าชาวเมือง บตุ รหลาน ต่าง
เจ็บไข้ได้ป่วยเสียชวี ติ ไปหลายคน เจา้ เพชร เจ้าสายไดป้ รกึ ษาหารอื กบั บรรดาชาวเมอื งว่าเดมิ พวกเฮาอยู่เมือง
วงั อ่างคาอยู่เมืองเว อย่ดู งหนาป่ามืด บัดน้ีลงมาอยู่ทุ่งกว้างปา่ แปน (ทีล่ ุ่ม) ผิดน้าผิดอากาศ บุตรหลานของ
พวกเฮาจึงพากันเจ็บไข้ไดป้ ่วยตายไปเสยี มาก ขนื อยู่ตอ่ ไปบุตรหลานจะพากันตายเสียหมด พวกผู้ไทยจะสูญ
พันธุเ์ สียเท่านัน้ ดังนน้ั จงึ ได้ชวนกันเดินทางกลับเมืองวงั ถิน่ เก่าอันเป็นดงหนาป่ามืดอย่ทู ่ามกลางหบุ เขาต่อไป
เม่ือมาถึงริมแมน่ ้าโขงท่บี ้านโพธ์สิ ามต้นหรือบา้ นพระกลางทงุ่ เจา้ เพชร เจ้าสายและญาติผู้ใหญห่ ลายคนได้แวะ
เขา้ ไปนมัสการองคพ์ ระธาตุพนมและกราบพระภิกษทุ า เจ้าอาวาสวัดพระธาตพุ นมพรอ้ มกบั ได้เล่าเรื่องราวการ
เดนิ ทางไปอยู่หนองหารให้ทราบและกาลังจะเดินทางกลบั เมอื งวัง พระภกิ ษทุ าจงึ บอกว่าบัดนีพ้ ระยาเตโชเจ้า
เมืองวังได้เสียชีวิตแล้ว พระยาก่าได้ยกตนเองข้ึนเป็นเจ้าเมืองวังแทนและกาลังมีการต่อสู้กันอยู่อย่าได้ข้าม
กลับไปเลย ถา้ ข้ามกลับไปคงจะไม่ปลอดภัยแกช่ ีวิต จึงได้แนะนาสถานท่ีเหมาะสมสาหรบั จะตัง้ บ้านเมืองให้
แห่งหน่ึงอยทู่ างทิศเหนือองค์พระธาตุพนม มีปูปลานานา้ บอ่ ทานาเกลืออุดมสมบรู ณ์ มียอดบ่นุ ยอดหวาย
สัตว์ป่าชุกชุมมากมาย ทา่ นไดเ้ รยี กให้ควาญชา้ งนาช้างบักเอก (ช้างงาเดยี ว)เดินทางนา เจา้ เพชร เจ้าสาย 2

๓๔

พน่ี อ้ งพรอ้ มญาติพ่ีน้องชาวผู้ไทยไปดูสถานทด่ี ังกลา่ ว เจ้าเพชร เจา้ สายเม่อื เดนิ ทางถึงและพิจารณาดพู ื้นท่ีภูมิ
ประเทศแลว้ อดุ มสมบรู ณ์ดีนกั “ดนิ กะดานา้ กะชมุ่ ” มปี ่าไม้สูง มีกอหวายข้นึ เป็นดง มีหนองน้าขนาดใหญ่มี
บ่อเกลือ มลี าหว้ ยน้าไหลตลอดปี ดงั น้ันจงึ เดินทางไปอพยพลูกหลานชาวผไู้ ทยพากันมาตั้งบา้ นเมอื งขน้ึ ที่โนน
ดงหวาย มีลาห้วยสายบ่อแกไหลผ่าน จึงต้ังช่ือบ้านเมืองใหม่ว่า “บ้านดงหวายสายบ่อแก” แต่ชาวเมืองมัก
เรยี กสน้ั ๆว่า “บา้ นดงหวาย”หรือ “เมืองเว” ติดปากมาจนถงึ ปัจจบุ นั ผู้เฒา่ ผู้แกเ่ ล่าวา่ เจ้าเพชรเดนิ ทางไปเข้า
เฝ้าคร้งั นี้ เพ่อื รบั สัญญาบัตรพระราชทานแตง่ ต้ังเปน็ เจา้ เมอื งเรณูนครและไดป้ ว่ ยขณะเดนิ ทางกลบั พร้อมทั้ง
เสียชีวติ กอ่ นเดนิ ทางกลบั ถึงเรณูนครเจา้ สาย น้องชายจึงได้รบั แต่งต้ังเป็นเจ้าเมืองเรณนู ครคนแรกซ่ึงเป็นต้น
ตระกูล “แกว้ มณชี ัย” ในปจั จุบนั สัญญาบัตรแต่งตัง้ พระแกว้ โกมล (เจา้ สาย แก้วมณชี ัย)

พระบาทสมเด็จพระน่งั เกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี 3 แห่งราชวงศ์จกั รี ซ่งึ ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ
ให้ตั้ง“บ้านดงหวาย” แขวงเมืองนครพนมเป็น“เมืองเรณูนคร”ข้ึนเมืองนครพนมมีนายไพร่ 662 คน ครัว
1,986 คน รวม 2,649 คน พรอ้ มแต่งต้ังเจา้ เมืองและกรมการเมอื ง ต้ังแต่ปมี ะโรง ศก จ.ศ. 1206 (พ.ศ.
2387) ดังน้ี

(1.) ให้ท้าวสายเป็น “พระแก้วโกมล” เจ้าเมืองเรณูนครพระราชทานเงินตรา 1 ชั่ง 10
ตาลึง, ถาดหมากคนโทเงนิ สารับหนงึ่ ,สปั ทนแพรหลินคันหนงึ่ ,เส้ือเขม้ ขาบก้านแยง่ หนึ่ง,แพรสที ับทิมติดขลิบ
หนึง่ , ผา้ ดาปักทองมีซบั หนึ่ง, แพรขาวหม่ หน่งึ , ผา้ ปมู หน่ึง

(2.) ให้ท้าวบุตรพี่เขยท้าวสายเป็นอุปฮาด พระราชทานเงนิ ตรา 1 ชงั่ 5 ตาลงึ ,เส้อื เข้มขาบ
ดอกถีแ่ ดงหนงึ่ ,แพรสีทับทมิ ตดิ ขลบิ หนงึ่ ,ผา้ ดาปักไหมมซี บั หนง่ึ ,แพรขาวห่มหน่ึง,ผา้ ปมู ผืนหนึ่ง

(3.) ให้ทา้ วไพ นอ้ งทา้ วเพชรเปน็ ราชวงศ์แตง่ เนื่องจากท้าวไพมิได้เดินทางลงไปเฝ้าทูลลออง
ฯ ทก่ี รงุ เทพฯ จึงฝากไปพระราชทานคือเงนิ ตรา 1 ช่ัง,เส้อื เข้มขาบดอกเสทินหนงึ่ ,แพรสีทับทิมติดขลบิ หนึ่ง,
แพรขาวหม่ ผืนหนึง่ , ผา้ เชงิ ปูมหนึ่ง

(4.) ใหท้ ้าวอินทสิ าร พ่เี ขยท้าวสายเปน็ ราชบุตรแต่เน่ืองจากท้าวอินทิสารมิไดเ้ ดินทางลงไป
เฝ้าทูลละอองฯทกี่ รงุ เทพฯจงึ ฝากไปพระราชทานคอื เงนิ ตรา 15 ตาลงึ ,เสือ้ อัตลัดดอกลาย 1,แพรสที ับทมิ ติด
ขลบิ หนึ่ง, แพรขาวหม่ หน่งึ , ผ้าเชงิ ปูมหนง่ึ

นอกจากน้ันยังพระราชทานให้ท้าวเพีย้ ผู้ใหญ่เมืองเรณูนครอีก 4 คนคือทา้ วอินทวงษ์,ท้าว
นามมนตรี,ท้าวสหี นาท,ทา้ วสุพรหมได้รับพระราชทานเสอื้ แพรกระบวนไหม

พระราชทานให้ท้าวเพ้ยี ผู้น้อยเมอื งเรณูนครอีก 8 คนคือเพ้ียเสมยี นบัว,เพย้ี พลอามาตย์,เพี้ย
เมือง,เพ้ียแสนพิลา,เพ้ียโคตรศรีเมือง,เพี้ยวงษ์แก่นท้าว,เพี้ยนามอุทัย,เพี้ยขันอาษาได้รับพระราชทานเส้ือผ้า
ลาย พระแก้วโกมล (เจ้าสาย แก้วมณีชัย)และอุปฮาดบุตร เม่ือไดร้ ับพระราชทานสัญญาบตั รในปลายปี พ.ศ.
2387 แล้วได้เข้าทูลลอองธุลีพระบาทอีกคร้ังหน่ึงเพ่ือกราบถวายบังคมลาเม่ือวัน 5 – 7 ค่า ตรงกับวันที่
27 มถิ ุนายน พ.ศ. 2387

๒) ทต่ี ัง้ และอาณาเขต
อาเภอเรณูนครอยหู่ ่างจากตวั อาเภอเมอื งนครพนมลงไปทางใต้ 51 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดิน
หมายเลข 212 (หนองคาย-ตอ่ เขตเทศบาลนครอบุ ลราชธานี) สภาพโดยทัว่ ไปเป็นท่ีราบ มอี าณาเขตตดิ ต่อกบั
เขตการปกครองขา้ งเคยี งดงั ต่อไปนี้
ทศิ เหนอื ตดิ ต่อกบั อาเภอปลาปาก อาเภอเมอื งนครพนม และอาเภอธาตพุ นม
ทศิ ตะวันออก ตดิ ตอ่ กบั อาเภอธาตพุ นม
ทศิ ใต้ ติดตอ่ กับอาเภอธาตุพนมและอาเภอนาแก
ทิศตะวันตก ติดต่อกบั อาเภอนาแกและอาเภอปลาปากการแบ่งเขตการปกครอง

๓๕

๓) การปกครอง
ทอ้ งท่อี าเภอเรณนู ครประกอบด้วยองค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น 9 แห่ง ไดแ้ ก่
- เทศบาลตาบลเรณูนคร ครอบคลุมพืน้ ทบ่ี างสว่ นของตาบลเรณูและบางส่วนของตาบลโพนทอง
- องค์การบริหารสว่ นตาบลเรณู ครอบคลมุ พนื้ ทต่ี าบลเรณู (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตาบลเรณนู คร)
- องคก์ ารบริหารส่วนตาบลโพนทอง ครอบคลุมพ้ืนทต่ี าบลโพนทอง (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตาบลเรณูนคร)
- องคก์ ารบริหารส่วนตาบลท่าลาด ครอบคลุมพน้ื ทต่ี าบลทา่ ลาดทั้งตาบล
- องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลนางาม ครอบคลมุ พืน้ ท่ตี าบลนางามท้ังตาบล
- องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลโคกหินแฮ่ ครอบคลุมพื้นที่ตาบลโคกหนิ แฮท่ งั้ ตาบล
- องค์การบริหารสว่ นตาบลหนองยา่ งชน้ิ ครอบคลุมพน้ื ทีต่ าบลหนองย่างชิ้นทั้งตาบล
- องค์การบรหิ ารสว่ นตาบลเรณใู ต้ ครอบคลมุ พน้ื ทต่ี าบลเรณใู ตท้ ง้ั ตาบล
- องคก์ ารบริหารสว่ นตาบลนาขาม ครอบคลุมพน้ื ท่ีตาบลนาขามท้งั ตาบล

แผนท่ี อาเภอเรณูนคร
๔) บริบททางดา้ นวัฒนธรรมประเพณขี องชาวเรณูนคร

เดมิ น้นั ชาวบา้ นเรณูนครซงึ่ เปน็ ชาวผู้ไทย ไมไ่ ด้นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา หากแต่มีการนบั ถอื ผบี รรพบุรษุ
แต่เม่อื พระพทุ ธศาสนาไดแ้ ผ่ขยายเขา้ มาในดนิ แดนสองฟากฝัง่ แม่น้าโขง ชาวผไู้ ทยกลมุ่ น้กี ผ็ สมผสานความเชือ่ เร่ืองผี
บรรพบุรุษกับพระพุทธศาสนา จนถึงปัจจุบนั นใ้ี นชุมชนบา้ นเรณูนครผู้วิจยั พบวา่ ภายในชมุ ชนกม็ ีภาพของการนบั ถือ
พระพุทธศาสนาควบคู่กับการนับถือผีบรรพบุรุษอย่างชัดเจน และนอกจากน้ีชาวผู้ไทยกลุ่มนี้ยังมีธรรมเนียมการ
ประพฤตปิ ฏิบตั ิตามฮีต 12 คลอง 14 อย่างเคร่งครัด ซึง่ อาจกล่าวได้ว่าธรรมเนียมฮีต 12 น้ี เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ

๓๖

โดยทวั่ ไปของชาวบ้านในชมุ ชนสองฟากฝ่ังแม่น้าโขงทีถ่ อื ปฏบิ ัติมาจากอดีตจนถงึ ปัจจุบนั การปฏบิ ัตติ ามประเพณีฮีต
12 ของชาวบา้ นเรณนู คร มีรายละเอียดดงั น้ี

เดือนอ้าย หรือ เดือน 1 มีการเลยี้ งผีมดหรือผีหมอ ผีฟา้ ผแี ถน และทาบุญเขา้ กรรม ได้แก่ประเพณีทาบุญ
เข้ากรรม เมื่อถึงวันเพ็ญเดือนอ้ายหรือเดอื นธนั วาคมน่ันเอง โดยมีมูลเหตุตามตานานคือเน่ืองจากมีพระภกิ ษุรปู หน่ึง
ลอ่ งเรือไปตามแมน่ ้าคงคา ไดเ้ อามือไปจับตะไคร้น้าขาดเป็นอาบัติ คร้นั ถงึ เวลาใกล้จะตายมองหาภกิ ษุสักรูปหนง่ึ เพื่อ
จะแสดงอาบตั ิกไ็ ม่เหน็ คร้ันมรณภาพไปแล้ว จงึ เกิดเป็นพญานาค เพราะเหตุน้ันจงึ ทาให้เกิดมีการเขา้ กรรมข้ึนทุกปี
เพื่อใหโ้ อกาสแก่ภิกษุอาบัติท่ไี มม่ ีโอกาสแสดงอาบัตไิ ด้แสดงและไดอ้ ยกู่ รรมจนพ้นอาบัติในเดอื นนี้

เดือนย่ี หรือ เดือน 2 บุญคณู ข้าวหรือบญุ คูณลาน ลาน ในที่น้คี ือ ลานนวดข้าว คอื เอาข้าวที่เก็บเก่ียวแล้ว
มากองให้สูงขึ้น กรยิ าที่ทาให้ข้าวเป็นกองสงู ข้นึ เรียกวา่ “คณู ” หลงั เก็บเกี่ยวขา้ วในนาแล้วกอ็ ย่ใู นเดือนย่หี รือเดือน
มกราคม ชาวนาก็จะทาบุญคูณลานหรือเรียกบุญเดือนย่ีก็ได้ พิธีทาบญุ คูณลาน ในตอนเยน็ นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญ
พระพุทธมนต์ กลางคืนอาจมีการคบงันบา้ ง ตอนเช้าถวายภัตตาหารบณิ ฑบาต เทศนาฉลองสู่ขวญั ลาน เล้ียงอาหาร
แก่ผไู้ ปรว่ มพิธี พระสงฆ์อนุโมทนาประพรมน้ามนต์ เอาน้ามนต์ไปประพรมข้าว วัว ควาย เช่ือว่าเข้าของจะอยเู่ ยน็ เป็น
สขุ ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล ขา้ วกลา้ จะงอกงามและไดผ้ ลดีในปตี ่อไป เมื่อเสรจ็ พิธจี ึงขนข้าวใส่ยงุ้ และเชิญขวญั ข้าว
คอื เชญิ เจา้ แมโ่ พสพไปยงั ย้งุ ข้าว

เดอื นสาม บุญขา้ วจ่ี ขา้ วจ่ี คอื ข้าวเหนียวนง่ึ ใหส้ ุกแลว้ ทาเปน็ ก้อนโตประมาณเทา่ ไข่เปด็ ขนาดใหญ่เสียบไม้
ย่างไฟให้เกรียม ทาไข่ไก่หรอื ไขเ่ ป็ดแล้วย่างให้สุกดีอีกครัง้ การทาบุญข้าวจเี่ ป็นอาหารถวายทานมีผู้นิยมทากันมาก
เช่อื ว่าได้กุศลมากเปน็ การทานอย่างหนง่ึ ทากนั ในวนั เพญ็ ขนึ้ 15 ค่า เดือน 3 (มาฆบูชา) โดยมมี ูลเหตุทที่ าให้เกดิ บุญ
ข้าวจี่นน้ั วา่ ครงั้ พุทธกาลนางปณุ ณทาสที าขนมแป้งจถ่ี วายแด่พระพุทธเจ้าและพระอานนท์ ตอนแรกนางคิดวา่ ถวาย
แล้วพระพทุ ธองคค์ งจะไม่ฉนั เพราะเป็นอาหารพื้น ๆ พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจติ ของนางปุณณทาสี กท็ รงสั่งให้
พระอานนท์ปูอาสนะและทรงประทับนั่งละเสวยข้าวจีต่ รงนั้นทันที เปน็ เหตใุ ห้นางปุณณทาสีเกิดความปิติยนิ ดอี ย่าง
ทีส่ ดุ เม่ือเสวยเสร็จพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมใหน้ างปุณณทาสีฟัง หลังจากฟังแลว้ นางก็ได้บรรลุโสดาบัตติผล เพราะ
เหตุนี้บรรดาชาวนาจงึ ถอื เปน็ นมิ ติ หมายในการทาบญุ ข้าวจ่หี ลังฤดูเกบ็ เกย่ี วเพือ่ อานิสงสท์ านองนนั้

เดือนส่ี บุญพระเวส พระเวสฯนั้นหมายถึง พระเวสสันดร บุญพระเวส ได้แก่ประเพณีทาบุญฟังเทศน์
มหาชาติ ซ่งึ มักทากนั ในเดือน 4 หรอื เดอื นมีนาคม มมี ลู เหตวุ า่ เมอ่ื พระมาลัยขน้ึ ไปไหว้พระธาตุเกศาแก้วจฬุ ามณีบน
สวรรคช์ ้ันดาวดงึ ส์ ไดพ้ บและสนทนากับพระศรีอริยเมตไตรย์ผู้ซ่งึ จะมาตรสั รู้เป็นพระพทุ ธเจ้า ในอนาคต เมื่อพระศรี
อรยิ เมตไตรย์ ทราบความประสงค์ของมนุษย์จากพระมาลัยว่ามนษุ ย์ท้ังหลาย ปรารถนาจะพบศาสนาของท่าน ก็สั่ง
กบั พระมาลัยใหล้ งมาบอกกับมนษุ ย์ทง้ั หลายวา่ ถ้าหากปรารถนาเชน่ น้ันจรงิ ๆ แลว้ ขอจงอย่าฆ่าตกี นั โบยพ่อแม่สมณ
ชพี ราหมณาจารย์ อย่าทาร้ายพระพุทธเจ้าและยุยงให้พระสงฆ์แตกแยกกัน ให้ต้ังใจฟังมหาเวสให้จบได้ในวันเดียว
เพราะเหตุน้จี ึงทาใหเ้ กดิ ประเพณีบุญพระเวสฯ

เดือนหา้ บญุ สงกรานต์ คาว่า "สงกรานต์" เป็นคาภาษาสันสกฤต แปลวา่ ผ่านหรอื เคลอ่ื นย้ายเขา้ ไป ซึ่งในทน่ี ี้
หมายถึงพระอาทิตย์ผ่านหรือเคล่ือนย้ายเข้าไปในจักรราศีหน่ึง ก็เรียกว่า "สงกรานต์" ปีหน่ึงมี 12 ราศี แตว่ ันและ
เวลาทพี่ ระอาทิตย์ยกขน้ึ ราศีเมษ เราเรียกเป็นพเิ ศษว่า "มหาสงกรานต์" เพราะถือวา่ เปน็ วันและเวลาขึน้ ปใี หม่ตามคติ
โบราณ พิธที าบุญสงกรานต์ นิยมทาในเดือนหา้ โดยเร่ิมตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน ถึงวันที่ 15 เมษายน โดยวันท่ี 13
เมษายน เป็นวนั มหาสงกรานต์ วันที่ 14 เมษายน เปน็ วันเนา และวันท่ี 15 เมษายน คือวันสุดทา้ ยเป็นวันเถลิงศก
ชาวอีสานโบราณถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ วันแรกมีพิธีสรงน้าพระพุทธรูปท่ีวัด ตอนกลางคืนอาจมีการคบงันท่ีวัด มี

๓๗

การละเลน่ ตา่ ง ๆ และมกี ารสาดน้าซง่ึ กันและกนั ตลอด 3 วัน คอื วันที่ 13-14-15 เมษายน ในวันที่ 15 เมษายนบาง
แหง่ ตอนเช้าทาบุญตักบาตร ตอนบา่ ยมีการแขวนธงยาวและกอ่ เจดยี ์ทรายทว่ี ัด นอกน้มี ีการสรงนา้ พระสงฆ์และผูห้ ลกั
ผูใ้ หญ่ หรือผ้เู ฒา่ ผแู้ ก่ มีพธิ บี ายศรีสู่ขวัญพระพุทธรูปและพระสงฆ์

เดือนหก บุญบงั้ ไฟ นิยมทากนั ในเดือนหก มูลเหตุจดั ทาบุญบ้ังไฟขึ้นเพ่ือบชู าพญาแถน อารักษ์หลักเมือง
เปน็ ประเพณีขอฝนเพ่ือให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เมื่อทาบญุ บ้ังไฟแล้วเชอ่ื วา่ ฟา้ ฝนจะอดุ มสมบรู ณ์ ข้าวปลาอาหารจะ
บริบูรณ์ และประชาชนในละแวกน้ันจะอยูเ่ ย็นเป็นสขุ เพราะมขี า้ วปลาอาหารบรบิ ูรณ์และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ พิธี
ทาบญุ บงั้ ไฟ หมู่บ้านและวัดเจ้าภาพจะเตรยี มทาบ้ังไฟ เตรยี มท่ีพักและสรุ า อาหารไว้ต้อนรบั ผ้มู าร่วมงาน มกี ารบอก
บุญไปยังวัดและหมบู่ ้านใกลเ้ คยี ง ให้ทาบั้งไฟและเชญิ คนมาร่วมงาน บางแห่งมีการประกวดบั้งไฟและขบวนแห่ด้วย
ในงานวันแรก ชาวบ้านในหมู่บ้านที่ได้รับเชิญ และพระภิกษสุ ามเณรท่ีไดน้ ิมนต์มาร่วมงานพร้อมบ้ังไฟ วันแรกจะมี
การแหบ่ ั้งไฟ ประกวดบงั้ ไฟและขบวนแห่ (ถ้าม)ี และแสดงการเล่นต่างๆ เช่น การเซิ้ง และการละเล่นต่างๆ เปน็ ต้น
วนั รุง่ ข้นึ มีการละเล่นตอ่ อีก ในงานมักมพี ิธบี วชนาค และบางทมี่ ีพิธีฮดสรง หรือเถราภิเษก แด่พระภกิ ษสุ ามเณร ผเู้ ห็น
ว่าเปน็ ผู้ทรงธรรม เพอื่ เลื่อนสมณศกั ดิ์ตามประเพณโี บราณดว้ ย ตอนบ่ายของวันที่สองของงานจึงนาบ้ังไฟไปจุด ณ ที่
น่งั รา้ นท่จี ัดไว้เป็นเสร็จพธิ ี

เดือนเจ็ด บญุ ซาฮะ บญุ ซาฮะนิยมทากันในเดือนเจ็ด จัดทาขนึ้ เพอื่ ชาระลา้ งสิ่งทเี่ ปน็ เสนียดจัญไร ออกจาก
หมูบ่ ้าน ตาบล เชอ่ื ว่าจะทาให้ประชาชนหายจากเหตเุ ภทภยั ต่าง ๆ และอยูเ่ ยน็ เปน็ สุข พธิ ีทาบญุ ซาฮะ ชาวบา้ นจดั ทา
ปะราข้ึนในบรเิ วณหมบู่ า้ นแหง่ ใดแห่งหน่งึ มีต้นกลว้ ยผกู เสาปะราสีม่ ุม จัดอาสนะสงฆ์ เตรียมเคร่ืองบูชาพระรัตนตรัย
ดา้ ยสายสญิ จน์ นา้ พระพุทธมนต์ ฝา้ ยผูกแขน เคร่อื งไทยทาน กรวดทราย หลกั ไมไ้ ผแ่ ปดหลกั ตอนเยน็ นิมนต์พระสงฆ์
สวดพระพุทธมนต์ ตอนเชา้ ถวายภัตตาหาร ทาพิธีอยสู่ ามคืน เชา้ วันสดุ ท้ายถวายสังฆทาน เสร็จพระสงฆ์ประพรมน้า
พระพุทธมนต์ แล้วคนเฒ่าคนแก่ผูกแขนให้ชาวบา้ น หว่านกรวดทรายทั่วละแวกบ้าน เอาหลักแปดหลักไปตอกไว้ใน
ทิศท้งั แปดของหมู่บ้าน วงดา้ ยสายสญิ จน์รอบหมู่บ้าน และชาวบา้ นนาส่ิงปฏิกลู ตา่ ง ๆ เชน่ ขยะมลู ฝอย ภาชนะชารุด
และสิ่งทจ่ี ะทาให้เกิดสกปรก ฯลฯ ไปทงิ้ นอกหมบู่ า้ น หรอื ทาการเผาหรือฝัง ให้บริเวณบา้ นสะอาดเรยี บร้อย เป็นเสร็จ
พิธี

เดอื นแปด บญุ เขา้ พรรษา โดยถอื เอาวันข้นึ 15 คา่ เดือนแปด เปน็ วันทาบญุ การเขา้ พรรษาไดแ้ ก่ พระภิกษุ
สามเณร อยู่ประจาวัดใดวัดหนง่ึ ตลอด 3 เดือน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่า เดอื นแปด ถงึ วนั ขึ้น 15 ค่า เดอื นสิบเอด็ หา้ มมิ
ให้พระภิกษสุ ามเณรไปค้างคืนท่ีอ่นื นอกจากไปดว้ ยสัตตาหกรณียะ คอื การไปค้างคืนนอกวัดในระหว่างอยู่จาพรรษา
เมอ่ื มเี หตจุ าเป็น ไดแ้ ก่

1. สหธรรมิก (ผมู้ ธี รรมอนั รว่ มกนั ) หรือมารดาบดิ าป่วย ไปเพื่อรกั ษาพยาบาล
2. สหธรรมิกกระสันจะสึก
3. มีกจิ สงฆเ์ กิดข้นึ เช่น วหิ ารชารุด ไปเพือ่ ปฏสิ ังขรณ์
4. ทายกบาเพ็ญกศุ ล ส่งมานมิ นตไ์ ปเพ่อื บารงุ ศรัทธา
แม้ธุระอ่ืนนอกจากน้ี ท่ีเป็นกิจจลักษณะอนุโลมตามน้ีก็ไปค้างคืนที่อื่นได้ และต้องกลับมาภายใน 7 วัน
มูลเหตุมีการเข้าพรรษาเน่ืองจากสมัยพุทธกาล เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่เวฬุวันกลันทกะนิวาปะสถาน ณ
เมืองราชคฤห์ มีพระภิกษุพวกหน่ึงเรียกวา่ "ฉพั พัคคีย์" ได้เทยี่ วไปทุกฤดูกาล ไมห่ ยดุ พักเลย โดยเฉพาะฤดูฝนอาจไป
เหยียบยา่ ข้าวกลา้ และหญ้าระบดั ใบ ตลอดสัตวเ์ ลก็ เป็นอันตราย ประชาชนทวั่ ไปพากันตเิ ตยี น พระพุทธเจา้ จึงทรง
อนญุ าตใหพ้ ระภกิ ษุสามเณรจาพรรษาตามกาหนดเวลาดังกลา่ ว

๓๘

เดือนเก้า บญุ ข้าวประดบั ดนิ บุญข้าวประดบั ดิน เป็นประเพณีการทาบุญเพ่ืออุทิศส่วนกุศลใหแ้ กเ่ ปรต หรือ
ญาติพี่นอ้ งทต่ี ายไปแล้ว ข้าวประดับดินจะประกอบด้วย ข้าว อาหารคาวหวาน หมากพลูและบุหร่ี ซ่ึงเราห่อหรือใส่
กระทงไปวางไว้ตามพื้น หรือแขวนไว้ตามต้นไม้ในบริเวณวัด พิธีทาบุญข้าวประดับดิน ในวันแรม 13 ค่า เดือน 9
ญาติโยมนิยมถวายทาน รักษาศีล ฟงั เทศน์ และมีการเตรียมอาหารคาวหวาน หมากพลู บหุ ร่ี โดยหอ่ ดว้ ยใบตองหรือ
ใสก่ ระทง ร่งุ เช้าในวันแรม 14 ค่า เวลาประมาณ 4 ถึง 5 นาฬิกา นาหอ่ หรือกระทงท่ีเตรียมไว้ไปถวายหรอื แขวนใน
บรเิ วณวัด ในการวางสงิ่ ของเพื่ออทุ ิศใหเ้ ปรตหรอื ญาตมิ ิตรทลี่ ่วงลบั ไปแลว้ ดงั กล่าว บางท้องถน่ิ อาจทากอ่ นถวายทาน
กม็ ี เปน็ เสร็จพิธที าบญุ ขา้ วประดับดิน

เดอื นสบิ บุญข้าวสาก ประเพณีบุญข้าวสาก นิยมทาในวันข้ึน 15 คา่ เดือน 10 เป็นการทาบญุ เพ่อื อุทิศสว่ น
กุศลให้แก่ผู้ตายหรือเปรตผเู้ ป็นญาตพิ ่ีน้อง ชาวบ้านจะทาข้าวสาก (ภาคกลางเรียกข้าวสารทหรอื ขา้ วกระยาสารท) ไป
ถวายพระภกิ ษุสามเณร พิธีทาบญุ ข้าวสาก ชาวบ้านจะเตรียมอาหารชนิดต่าง ๆ ใส่ภาชนะหรอื ห่อด้วยใบตองหรือใส่
ชะลอมไว้แต่เชา้ มืด วันขึ้น 15 ค่า เดือน 10 ตอนเช้าจะนาภัตตาหารไปถวายพระภกิ ษุสามเณรครัง้ หน่ึงก่อน พอ
ตอนสายจวนเพลจึงนาอาหารซึง่ เตรียมไว้แลว้ ไปวัดอกี ครัง้ เพ่ือนาไปถวายแด่พระภิกษุสามเณร โดยการถวายจะใชว้ ิธี
จบั สลาก นอกจากนี้ชาวบ้านยังนาเอาห่อหรือชะลอมหรือข้าวสากไปวางไว้ตามบริเวณวัด พร้อมจุดเทียนและบอก
กลา่ วให้ญาตมิ ติ รผ้ลู ่วงลบั ไปแล้วมารับเอาอาหารและผลบญุ ทอ่ี ทุ ศิ ให้ มีการฟงั เทศนฉ์ ลองขา้ วสากและกรวดนา้ อทุ ิศ
สว่ นกศุ ลไปใหผ้ ู้ล่วงลบั นอกจากนชี้ าวบา้ นจะนาอาหารไปเล้ียง ตาแฮก ณ ที่นาของตนด้วย เป็นเสร็จพิธีทาบุญขา้ ว
สาก

เดอื นสิบเอด็ บุญออกพรรษา มูลเหตทุ ท่ี าใหเ้ กดิ บุญออกพรรษามวี ่า เนือ่ งจากพระภิกษสุ ามเณรไดม้ ารวมกัน
อย่ปู ระจาท่วี ดั โดยจะไปคา้ งคนื ท่ีอน่ื ไมไ่ ด้ นอกจากเหตุจาเปน็ เปน็ เวลา 3 เดอื น ในวันข้นึ 15 ค่า เดือน 11 พระสงฆ์
จะมาร่วมกันทาพิธีออกวัสสาปวารณ์ คือการเปิดโอกาสให้มีการว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ทั้งภายหลังน้ันพระภิกษุ
สามเณรส่วนมากจะแยกย้ายกันไปอยู่ในที่ต่าง ๆ ตามใจชอบ และบางรูปอาจจะลาสิกขาบท โอกาสที่พระภิกษุ
สามเณรจะอยู่พร้อมกันท่ีวดั มาก ๆ เช่นนย้ี ากมาก ชาวบ้านจงึ ถอื โอกาสเป็นวันสาคัญไปทาบญุ ที่วัด และในช่วงออก
พรรษาชาวบ้านหมดภาระในการทาไรน่ า จงึ ถอื โอกาสทาบุญโดยพร้อมเพรียงกัน

เดือนสิบสอง บุญกฐนิ เป็นบญุ ถวายผา้ ไตรจวี รแดพ่ ระสงฆ์ ซง่ึ จาพรรษาแลว้ เริ่มตง้ั แตแ่ รม 1 ค่า เดือน 11
ถึง วันเพ็ญ 15 ค่า เดือน 12 เป็นเขตทอดกฐินตามหลักพระวินัย พธิ ีทาบุญทอดกฐนิ เจ้าภาพจะมีการจองวัดและ
กาหนดวันทอดลว่ งหน้า เตรยี มผ้าไตร จวี ร พร้อมอัฐบริขาร ตลอดบริวารอน่ื ๆ และเครื่องไทยทาน ก่อนนากฐนิ ไป
ทอดมกั มีการคบงัน วนั รงุ่ ข้ึนก็เคล่อื นขบวนไปสวู่ ัดทท่ี อด เมื่อนาองค์กฐนิ ไปถึงวัดจะมีการแหเ่ วียนประทกั ษิณรอบวัด
หรือรอบพระอโุ บสถสามรอบ จงึ นาผ้ากฐินและเครอ่ื งประกอบอนื่ ๆ ไปถวายพระสงฆท์ ่ีโบสถ์หรือศาลาการเปรยี ญ
เม่อื ทาพธิ ถี วายผา้ กฐนิ และบรวิ ารแด่พระสงฆ์ พระสงฆ์ทาพธิ ีรับแล้วเปน็ เสร็จพิธี

กล่าวโดยสรุปจะสังเกตเห็นไดอ้ ย่างชัดเจนวา่ ชาวผู้ไทยบ้านเรณูนคร มีประเพณีในรอบสิบสองเดือนท่ียัง
ปฏิบตั สิ บื ทอดกันมาเป็นประจาจนถงึ ทุกวนั นี้

๓๙

๔.1.2 บา้ นคาพอก ตาบลโนนยาง อาเภอหนองสงู จังหวัดมกุ ดาหาร
๑) ประวัตคิ วามเป็นมาของชุมชน
บ้านคาพอก ตาบลโนนยาง อาเภอหนองสูง จังหวดั มุกดาหาร ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2462 โดยมีการอพยพถิ่น
ฐานมาจากบ้านหนองโอใหญ่ อาเภอหนองสูง จังหวัดนครพนม (ในขณะนั้น) เนื่องจากในอดีตบ้านหนองโอใหญ่ มี
จานวนประชากรจานวนมาก มพี ื้นท่ีทาการเพาะปลูกและเลีย้ งสัตว์นอ้ ย จึงพากันอพยพถน่ิ ฐานมาทามาหากนิ และตั้ง
บ้านเรือนอยู่บริเวณทางทิศใต้ของบ้านคาพอก ห่างจากหมู่บ้านคาพอกในปัจจุบันประมาณ 500 เมตร โดยพ้ืนท่ี
บริเวณน้ันเป็นลานหินดานขนาดกว้าง มีพนื้ ท่ีทาไร่ ทานา เล้ียงสัตว์รอบๆ พ้นื ที่ต้ังหมู่บ้าน ในการอพยพตั้งถนิ่ ฐาน
ระยะแรกน้ันมากนั จานวน 4 ครอบครวั คอื ครอบครัวนายหมาใคร ปัททมุ นายหมาเครือ ปทั ทมุ นายเชียงซิน ปัททุม
และนายร้อย นอ้ ยทรง (ทิดรอ้ ย) และต้ังชอื่ หมู่บา้ นว่า “บ้านหนิ ดาน” ต่อมานายหมาใคร ปัททุม ได้เข้าไปล่าสัตว์ใน
ปา่ ทางทศิ เหนือของหมบู่ ้าน ไดพ้ บเหน็ พ้นื ทท่ี ่มี ีความอุดมสมบรู ณ์ มีสัตว์นอ้ ยใหญ่จานวนมาก เปน็ พ้นื ทเ่ี หมาะแกก่ าร
ตง้ั บ้านเรือน นายหมาใคร ปัททุม จงึ ได้ชวนเพอ่ื นบ้านย้ายไปต้ังบ้านเรือนอยูบ่ ริเวณดงั กลา่ วเม่อื ปี พ.ศ. 2475 โดย
บริเวณท่ีตัง้ หมบู่ า้ นน้ันมนี ้าซบั (นา้ คา) และตน้ พอกจานวนมากจึงไดต้ ้ังช่อื หม่บู ้านวา่ “บ้านคาพอก” ตั้งแต่บัดนนั้ เปน็
ต้นมา ปจั จุบันบ้านคาพอก แบง่ การปกครองออกเป็น 2 หมู่บ้าน คือบา้ นคาพอก หมู่ที่ 5 และบา้ นคาพอกหมู่ที่ 10
ท้งั สองหมู่บา้ นมคี รวั เรอื น 280 ครัวเรอื น ประชากร จานวน 1,095 คน
ลักษณะภูมอิ ากาศและภมู ิประเทศ ต้ังอยู่บนพื้นทีร่ าบบนเนนิ เขา ในเขตป่าสงวนแหง่ ชาติภูสีฐาน และอยใู่ น
เขตป่าอนุรักษเ์ ป็นบางสว่ น มีภูเขาอยู่รอบๆหมบู่ ้าน เปน็ เขตติดต่อระหวา่ งจังหวัดมุกดาหาร กับจงั หวัดกาฬสินธุ์ ท่ี
เรียกว่า ประตูสู่อินโดจีน มีสามฤดู คือ ฤดูฝน ฤดูหนาว และ ฤดูร้อน อากาศจะเย็นสบาย มีฤดูฝนประมาณ 3 -4
เดอื น
ลักษณะโครงสรา้ งของประชากร ประชากรส่วนใหญเ่ ป็นคนผไู้ ทย มสี ญั ชาตไิ ทย เชื้อชาติไทย นับถือศาสนา
พทุ ธ มีครัวเรือนจานวน 108 ครัวเรอื นประชากรรวม จานวน 353 คนแยกเป็นชาย 182 คน เป็นหญิง 171 คน
ประชากรมกี ารอพยพแรงงานออกจากพืน้ ที่เพราะสภาพพ้ืนที่ไม่สามารถขยายท่ีทากินได้เนื่องจากมีภูเขารอบหมู่บา้ น
ลกั ษณะสังคม เป็นสงั คมแบบชาวผู้ไทท่ัวไป คือมคี วามโอบอ้อมอารี เอ้ืออาทรตอ่ กัน ชอบการศกึ ษา มคี วาม
เคารพอาวุโส ครอบครัวเปน็ ครอบครัวใหญแ่ ละครอบครัวขยาย สภาพบ้านเรอื นท่ีมีความมั่นคงแขง็ แรง ประชาชนนับ
ถอื ศาสนาพทุ ธ เปน็ หม่บู ้านเข้มแขง็ เอาชนะยาเสพติดอยา่ งย่งั ยืน การปกครองแบ่งออกเป็นค้มุ จานวน 7 คมุ้

๒) ท่ตี ้ังและอาณาเขต
บ้านคาพอก ตาบลโนนยาง เดมิ ข้ึนการปกครองของอาเภอคาชะอี ตอ่ มาปี พ.ศ.2525 ไดแ้ ยกการปกครอง
ออกจากจงั หวัดนครพนม และเป็นตาบลหนองสูง อาเภอหนองสูง จังหวัดมกุ ดาหาร จนถึงปัจจุบัน ตาบลโนนยาง
ปัจจบุ ันเปน็ ตาบลหน่ึงในอาเภอคาชะอี มีหม่บู า้ นจานวน 10 หมู่บ้าน หมู่ 1 บ้านโนนยาง หมู่ 2 บา้ นโนนยาง หมู่ 3
บ้านหนองโอ หมู่ 4 บ้านงวิ้ หมู่ 5 บา้ นคาพอก หมู่ 6 บ้านวังนอง หมู่ 7 บ้านเหล่ากว้าง หมู่ 8 บ้านหนองโอ หมู่ 9
บ้านง้วิ หมู่ 10 บ้านคาพอก การเดนิ ทางสามารถเดินทางเขา้ ตาบลโนนยางได้ 2 เส้นทาง คอื ใชถ้ นนสายมุกดาหาร -
กุฉินารายณ์ ระยะทางหา่ งจากจงั หวัดมกุ ดาหาร 51 กม. และหา่ งจากอาเภอกุฉินารายณ์ 21 กม.
ทศิ เหนือ ตดิ ต่อกบั ต.คาชะอี อ.คาชะอี จ.มกุ ดาหาร
ทิศใต้ ติดตอ่ กบั ต.บ้านเป้า อ.หนองสงู จ.มกุ ดาหาร และ จ.ร้อยเอด็
ทศิ ตะวันออก ติดต่อกับ ต.หนองสูงเหนอื , หนองสูง อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร

๔๐

ทศิ ตะวันตก ตดิ ต่อกบั อ.กฉุ ินารายณ์ จ.กาฬสนิ ธ์ุ

ภาพแผนท่ตี าบลโนนยาง

๓) บรบิ ททางด้านวัฒนธรรมประเพณขี องชาวบ้านคาพอก
เดมิ นนั้ ชาวบ้านคาพอกซง่ึ เป็นชาวผู้ไทย ไม่ได้นบั ถือพระพุทธศาสนาคล้ายกนั กับชาวบ้านเรณูนคร หากแต่มี
การนับถือผีบรรพบรุ ุษ แต่เม่ือพระพทุ ธศาสนาได้แผ่ขยายเข้ามาในดินแดนสองฟากฝง่ั แม่นา้ โขง ชาวผู้ไทยกลุ่มน้ีก็
ผสมผสานความเช่ือเรอ่ื งผบี รรพบุรุษกับพระพทุ ธศาสนา จนถงึ ปัจจบุ นั นใี้ นชุมชนบา้ นคาพอกพบวา่ ภายในชุมชนก็มี
ภาพของการนบั ถือพระพุทธศาสนาควบคกู่ ับการนับถอื ผีบรรพบรุ ุษอย่างชัดเจน และนอกจากนีช้ าวผ้ไู ทยกลุ่มนี้ยงั มี
ธรรมเนียมการประพฤติปฏิบัตติ ามฮีต 12 คลอง 14 อย่างเคร่งครัด ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าธรรมเนียมฮีต 12 น้ี เป็น
ธรรมเนียมปฏบิ ตั โิ ดยทั่วไปของชาวบา้ นในชมุ ชนสองฟากฝง่ั แมน่ ้าโขงท่ีถือปฏบิ ตั มิ าจากอดีตจนถึงปจั จุบนั การปฏิบัติ
ตามประเพณฮี ีต 12 ของชาวบา้ นคาพอก มีรายละเอยี ดดังนี้
เดือนอ้าย หรอื เดือน 1 มีการเลี้ยงผมี ดหรอื ผีหมอ ผีฟา้ ผีแถน และทาบุญเขา้ กรรม ได้แกป่ ระเพณีทาบุญ
เขา้ กรรม เม่ือถึงวนั เพ็ญเดือนอา้ ยหรือเดือนธันวาคมน่ันเอง โดยมีมลู เหตุตามตานานคือเนื่องจากมพี ระภกิ ษุรปู หนึ่ง
ลอ่ งเรือไปตามแมน่ ้าคงคา ไดเ้ อามอื ไปจบั ตะไครน้ า้ ขาดเปน็ อาบัติ ครั้นถึงเวลาใกล้จะตายมองหาภกิ ษสุ กั รูปหน่ึงเพ่ือ
จะแสดงอาบตั ิกไ็ ม่เห็น ครั้นมรณภาพไปแล้ว จึงเกดิ เป็นพญานาค เพราะเหตุนนั้ จึงทาให้เกิดมีการเข้ากรรมขึ้นทุกปี
เพอ่ื ให้โอกาสแก่ภิกษุอาบัติท่ีไมม่ โี อกาสแสดงอาบัติได้แสดงและได้อย่กู รรมจนพ้นอาบตั ใิ นเดอื นน้ี
เดือนย่ี หรือ เดือน 2 บุญคูณข้าวหรือบญุ คูณลาน ลาน ในท่นี ี้คือ ลานนวดข้าว คือ เอาข้าวท่ีเก็บเก่ียวแล้ว
มากองใหส้ ูงข้ึน กริยาที่ทาใหข้ ้าวเปน็ กองสงู ขน้ึ เรียกว่า “คูณ” หลังเก็บเกยี่ วข้าวในนาแล้วกอ็ ยใู่ นเดือนยีห่ รือเดือน
มกราคม ชาวนาก็จะทาบุญคูณลานหรือเรียกบุญเดือนยี่ก็ได้ พิธีทาบญุ คูณลาน ในตอนเยน็ นิมนต์พระสงฆ์มาเจริญ
พระพุทธมนต์ กลางคืนอาจมีการคบงันบา้ ง ตอนเช้าถวายภัตตาหารบณิ ฑบาต เทศนาฉลองสู่ขวญั ลาน เลี้ยงอาหาร
แก่ผ้ไู ปรว่ มพธิ ี พระสงฆ์อนุโมทนาประพรมนา้ มนต์ เอาน้ามนต์ไปประพรมขา้ ว วัว ควาย เชอื่ ว่าเขา้ ของจะอยูเ่ ย็นเป็น
สขุ ฝนจะตกต้องตามฤดกู าล ขา้ วกลา้ จะงอกงามและได้ผลดีในปตี ่อไป เมื่อเสรจ็ พิธจี ึงขนข้าวใสย่ งุ้ และเชญิ ขวญั ขา้ ว
คือ เชญิ เจ้าแม่โพสพไปยังยงุ้ ขา้ ว
เดอื นสาม บุญข้าวจ่ี ขา้ วจ่ี คือ ขา้ วเหนียวนึง่ ให้สุกแล้วทาเป็นก้อนโตประมาณเท่าไข่เป็ด ขนาดใหญ่เสยี บไม้
ย่างไฟให้เกรียม ทาไข่ไก่หรือไข่เป็ดแล้วย่างให้สุกดีอีกครัง้ การทาบญุ ข้าวจ่เี ป็นอาหารถวายทานมผี ู้นิยมทากันมาก

๔๑

เชื่อวา่ ได้กศุ ลมากเป็นการทานอยา่ งหนึง่ ทากันในวนั เพ็ญขึ้น 15 ค่า เดือน 3 (มาฆบชู า) โดยมีมลู เหตทุ ที่ าใหเ้ กิดบุญ
ข้าวจีน่ นั้ วา่ ครัง้ พทุ ธกาลนางปุณณทาสีทาขนมแป้งจถี่ วายแดพ่ ระพุทธเจ้าและพระอานนท์ ตอนแรกนางคิดวา่ ถวาย
แลว้ พระพทุ ธองคค์ งจะไม่ฉัน เพราะเปน็ อาหารพ้นื ๆ พระพทุ ธองค์ทรงทราบวาระจติ ของนางปุณณทาสี ก็ทรงส่งั ให้
พระอานนทป์ ูอาสนะและทรงประทับน่ังละเสวยข้าวจต่ี รงน้ันทันที เป็นเหตใุ ห้นางปุณณทาสเี กิดความปิติยินดีอย่าง
ทส่ี ดุ เม่อื เสวยเสรจ็ พระองค์ไดท้ รงแสดงธรรมใหน้ างปุณณทาสีฟงั หลังจากฟงั แลว้ นางก็ได้บรรลุโสดาบัตติผล เพราะ
เหตนุ ้บี รรดาชาวนาจงึ ถือเป็นนมิ ิตหมายในการทาบญุ ขา้ วจห่ี ลงั ฤดูเก็บเกย่ี วเพื่ออานสิ งสท์ านองนน้ั

เดือนส่ี บุญพระเวส พระเวสฯนั้นหมายถึง พระเวสสันดร บุญพระเวส ได้แก่ประเพณีทาบุญฟังเทศน์
มหาชาติ ซ่งึ มักทากันในเดือน 4 หรือเดอื นมีนาคม มมี ูลเหตวุ ่า เมือ่ พระมาลัยขน้ึ ไปไหวพ้ ระธาตเุ กศาแกว้ จฬุ ามณีบน
สวรรคช์ ั้นดาวดึงส์ ได้พบและสนทนากบั พระศรอี ริยเมตไตรยผ์ ู้ซ่ึงจะมาตรัสรู้เปน็ พระพทุ ธเจ้า ในอนาคต เมื่อพระศรี
อริยเมตไตรย์ ทราบความประสงค์ของมนษุ ย์จากพระมาลัยว่ามนุษยท์ ั้งหลาย ปรารถนาจะพบศาสนาของทา่ น ก็ส่ัง
กบั พระมาลัยใหล้ งมาบอกกับมนุษยท์ ง้ั หลายวา่ ถ้าหากปรารถนาเชน่ น้นั จรงิ ๆ แลว้ ขอจงอยา่ ฆา่ ตกี ัน โบยพอ่ แมส่ มณ
ชพี ราหมณาจารย์ อย่าทาร้ายพระพุทธเจ้าและยุยงให้พระสงฆ์แตกแยกกัน ให้ต้ังใจฟังมหาเวสให้จบได้ในวันเดียว
เพราะเหตุนจ้ี งึ ทาให้เกดิ ประเพณีบุญพระเวสฯ

เดือนห้า บญุ สงกรานต์ คาว่า "สงกรานต์" เปน็ คาภาษาสนั สกฤต แปลว่า ผา่ นหรอื เคล่ือนย้ายเขา้ ไป ซ่งึ ในทนี่ ้ี
หมายถงึ พระอาทิตย์ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไปในจักรราศีหนึ่ง ก็เรียกว่า "สงกรานต"์ ปีหน่ึงมี 12 ราศี แต่วันและ
เวลาทพ่ี ระอาทติ ยย์ กขน้ึ ราศีเมษ เราเรยี กเปน็ พเิ ศษวา่ "มหาสงกรานต์" เพราะถอื ว่าเปน็ วนั และเวลาขนึ้ ปีใหมต่ ามคติ
โบราณ พิธที าบุญสงกรานต์ นิยมทาในเดือนห้า โดยเร่ิมต้ังแต่วันที่ 13 เมษายน ถึงวันท่ี 15 เมษายน โดยวันท่ี 13
เมษายน เป็นวนั มหาสงกรานต์ วันที่ 14 เมษายน เปน็ วันเนา และวันที่ 15 เมษายน คือวันสุดท้ายเป็นวันเถลงิ ศก
ชาวอีสานโบราณถือเป็นวันข้ึนปีใหม่ วันแรกมีพิธีสรงน้าพระพุทธรูปท่ีวัด ตอนกลางคืนอาจมีการคบงันที่วัด มี
การละเล่นต่าง ๆ และมีการสาดนา้ ซ่ึงกันและกันตลอด 3 วนั คอื วันท่ี 13-14-15 เมษายน ในวันท่ี 15 เมษายนบาง
แห่งตอนเชา้ ทาบุญตักบาตร ตอนบา่ ยมีการแขวนธงยาวและก่อเจดีย์ทรายท่ีวัด นอกนีม้ ีการสรงน้าพระสงฆ์และผู้หลกั
ผใู้ หญ่ หรือผู้เฒ่าผู้แก่ มีพิธบี ายศรสี ขู่ วัญพระพุทธรูปและพระสงฆ์

เดือนหก บุญบ้ังไฟ นิยมทากันในเดอื นหก มูลเหตุจัดทาบุญบั้งไฟขึน้ เพื่อบูชาพญาแถน อารักษ์หลักเมือง
เป็นประเพณขี อฝนเพอ่ื ให้ฝนตกต้องตามฤดกู าล เมือ่ ทาบญุ บั้งไฟแลว้ เชอ่ื วา่ ฟ้าฝนจะอดุ มสมบรู ณ์ ข้าวปลาอาหารจะ
บรบิ ูรณ์ และประชาชนในละแวกนนั้ จะอยูเ่ ย็นเป็นสขุ เพราะมีขา้ วปลาอาหารบริบรู ณแ์ ละปราศจากโรคภัยไข้เจบ็ พิธี
ทาบญุ บงั้ ไฟ หมู่บ้านและวัดเจ้าภาพจะเตรียมทาบั้งไฟ เตรยี มที่พักและสุรา อาหารไวต้ ้อนรบั ผู้มาร่วมงาน มีการบอก
บญุ ไปยังวัดและหมบู่ ้านใกลเ้ คียง ให้ทาบั้งไฟและเชิญคนมาร่วมงาน บางแห่งมีการประกวดบง้ั ไฟและขบวนแห่ด้วย
ในงานวันแรก ชาวบ้านในหมู่บ้านท่ีได้รับเชิญ และพระภิกษสุ ามเณรที่ได้นิมนต์มาร่วมงานพร้อมบ้ังไฟ วนั แรกจะมี
การแหบ่ ั้งไฟ ประกวดบัง้ ไฟและขบวนแห่ (ถ้ามี) และแสดงการเล่นตา่ งๆ เช่น การเซ้ิง และการละเลน่ ต่างๆ เป็นต้น
วนั รุง่ ขนึ้ มีการละเล่นต่ออีก ในงานมักมพี ิธีบวชนาค และบางทมี่ ีพธิ ฮี ดสรง หรอื เถราภเิ ษก แดพ่ ระภิกษสุ ามเณร ผ้เู ห็น
วา่ เปน็ ผู้ทรงธรรม เพอ่ื เลือ่ นสมณศกั ด์ิตามประเพณโี บราณด้วย ตอนบ่ายของวนั ทส่ี องของงานจงึ นาบั้งไฟไปจดุ ณ ที่
น่งั ร้านท่ีจดั ไว้เปน็ เสร็จพธิ ี

เดือนเจ็ด บญุ ซาฮะ บญุ ซาฮะนิยมทากันในเดอื นเจด็ จดั ทาขึน้ เพ่ือชาระล้างสิง่ ท่เี ป็นเสนียดจัญไร ออกจาก
หมู่บ้าน ตาบล เชือ่ วา่ จะทาให้ประชาชนหายจากเหตเุ ภทภยั ตา่ ง ๆ และอย่เู ย็นเปน็ สุข พธิ ที าบุญซาฮะ ชาวบา้ นจดั ทา
ปะราขนึ้ ในบริเวณหมู่บ้านแห่งใดแห่งหนึ่ง มตี ้นกลว้ ยผูกเสาปะราส่ีมุม จัดอาสนะสงฆ์ เตรียมเครื่องบชู าพระรัตนตรยั

๔๒

ดา้ ยสายสิญจน์ น้าพระพุทธมนต์ ฝา้ ยผูกแขน เครอ่ื งไทยทาน กรวดทราย หลกั ไม้ไผ่แปดหลกั ตอนเย็นนมิ นต์พระสงฆ์
สวดพระพุทธมนต์ ตอนเช้าถวายภัตตาหาร ทาพิธีอยู่สามคืน เช้าวนั สุดท้ายถวายสังฆทาน เสร็จพระสงฆ์ประพรมน้า
พระพุทธมนต์ แล้วคนเฒ่าคนแก่ผูกแขนให้ชาวบา้ น หว่านกรวดทรายทั่วละแวกบา้ น เอาหลักแปดหลักไปตอกไว้ใน
ทิศทง้ั แปดของหมู่บ้าน วงด้ายสายสญิ จนร์ อบหมู่บ้าน และชาวบา้ นนาส่ิงปฏกิ ลู ตา่ ง ๆ เช่น ขยะมลู ฝอย ภาชนะชารุด
และสิ่งทีจ่ ะทาใหเ้ กดิ สกปรก ฯลฯ ไปทิ้งนอกหมบู่ า้ น หรือทาการเผาหรือฝัง ให้บริเวณบ้านสะอาดเรยี บรอ้ ย เป็นเสร็จ
พธิ ี

เดอื นแปด บุญเขา้ พรรษา โดยถือเอาวันขึ้น 15 ค่า เดอื นแปด เปน็ วันทาบุญ การเขา้ พรรษาไดแ้ ก่ พระภิกษุ
สามเณร อยู่ประจาวดั ใดวดั หน่งึ ตลอด 3 เดอื น ต้ังแตว่ นั แรม 1 คา่ เดอื นแปด ถงึ วนั ขึน้ 15 ค่า เดือนสิบเอด็ ห้ามมิ
ใหพ้ ระภกิ ษสุ ามเณรไปค้างคืนท่อี ื่น นอกจากไปด้วยสัตตาหกรณยี ะ คือการไปคา้ งคืนนอกวัดในระหว่างอยู่จาพรรษา
เมือ่ มีเหตจุ าเปน็ ได้แก่

1. สหธรรมิก (ผ้มู ีธรรมอนั รว่ มกัน) หรอื มารดาบิดาปว่ ย ไปเพอ่ื รักษาพยาบาล
2. สหธรรมกิ กระสันจะสึก
3. มกี จิ สงฆ์เกิดข้นึ เชน่ วิหารชารดุ ไปเพือ่ ปฏิสังขรณ์
4. ทายกบาเพญ็ กศุ ล ส่งมานมิ นตไ์ ปเพื่อบารงุ ศรทั ธา
แม้ธุระอื่นนอกจากน้ี ท่ีเป็นกิจจลักษณะอนุโลมตามน้ีก็ไปค้างคืนที่อื่นได้ และต้องกลับมาภายใน 7 วัน
มูลเหตุมีการเข้าพรรษาเน่ืองจากสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จประทับอยู่เวฬุวันกลันทกะนิวาปะสถาน ณ
เมอื งราชคฤห์ มีพระภิกษุพวกหน่ึงเรยี กวา่ "ฉพั พคั คยี ์" ได้เท่ียวไปทุกฤดูกาล ไม่หยดุ พกั เลย โดยเฉพาะฤดฝู นอาจไป
เหยียบยา่ ขา้ วกลา้ และหญา้ ระบดั ใบ ตลอดสัตวเ์ ล็กเป็นอันตราย ประชาชนท่วั ไปพากันติเตียน พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรง
อนญุ าตให้พระภิกษุสามเณรจาพรรษาตามกาหนดเวลาดังกลา่ ว
เดือนเก้า บุญข้าวประดับดนิ บญุ ขา้ วประดับดิน เป็นประเพณกี ารทาบุญเพ่ืออทุ ศิ ส่วนกุศลใหแ้ ก่เปรต หรือ
ญาตพิ ่ีน้องท่ีตายไปแล้ว ข้าวประดับดินจะประกอบด้วย ข้าว อาหารคาวหวาน หมากพลูและบุหรี่ ซ่ึงเราห่อหรือใส่
กระทงไปวางไว้ตามพ้ืน หรือแขวนไว้ตามต้นไม้ในบริเวณวัด พิธีทาบุญข้าวประดับดิน ในวันแรม 13 ค่า เดือน 9
ญาตโิ ยมนิยมถวายทาน รกั ษาศีล ฟงั เทศน์ และมีการเตรียมอาหารคาวหวาน หมากพลู บุหรี่ โดยหอ่ ดว้ ยใบตองหรือ
ใสก่ ระทง รงุ่ เช้าในวันแรม 14 ค่า เวลาประมาณ 4 ถึง 5 นาฬิกา นาหอ่ หรือกระทงทเ่ี ตรียมไว้ไปถวายหรอื แขวนใน
บริเวณวัด ในการวางส่งิ ของเพอ่ื อุทิศใหเ้ ปรตหรอื ญาตมิ ติ รท่ลี ว่ งลบั ไปแล้วดงั กล่าว บางทอ้ งถ่นิ อาจทาก่อนถวายทาน
กม็ ี เปน็ เสร็จพิธีทาบญุ ขา้ วประดบั ดิน
เดือนสบิ บญุ ขา้ วสาก ประเพณีบุญขา้ วสาก นยิ มทาในวนั ขน้ึ 15 ค่า เดอื น 10 เป็นการทาบุญเพื่ออุทศิ สว่ น
กุศลให้แก่ผ้ตู ายหรือเปรตผเู้ ปน็ ญาติพนี่ อ้ ง ชาวบ้านจะทาข้าวสาก (ภาคกลางเรยี กขา้ วสารทหรอื ข้าวกระยาสารท) ไป
ถวายพระภกิ ษุสามเณร พิธีทาบุญข้าวสาก ชาวบ้านจะเตรียมอาหารชนิดตา่ ง ๆ ใสภ่ าชนะหรือห่อด้วยใบตองหรือใส่
ชะลอมไว้แต่เชา้ มืด วันขึ้น 15 ค่า เดือน 10 ตอนเช้าจะนาภัตตาหารไปถวายพระภิกษุสามเณรครงั้ หนึ่งก่อน พอ
ตอนสายจวนเพลจึงนาอาหารซง่ึ เตรียมไวแ้ ลว้ ไปวัดอีกครง้ั เพอ่ื นาไปถวายแด่พระภิกษสุ ามเณร โดยการถวายจะใช้วิธี
จับสลาก นอกจากนี้ชาวบ้านยังนาเอาห่อหรือชะลอมหรือข้าวสากไปวางไว้ตามบริเวณวัด พร้อมจุดเทียนและบอก
กล่าวให้ญาติมิตรผ้ลู ว่ งลับไปแล้วมารับเอาอาหารและผลบญุ ทอี่ ุทิศให้ มกี ารฟงั เทศนฉ์ ลองขา้ วสากและกรวดน้าอทุ ิศ
ส่วนกุศลไปให้ผลู้ ่วงลบั นอกจากนช้ี าวบา้ นจะนาอาหารไปเล้ียง ตาแฮก ณ ท่ีนาของตนด้วย เป็นเสร็จพิธีทาบญุ ข้าว
สาก

๔๓

เดือนสบิ เอ็ด บุญออกพรรษา มลู เหตุที่ทาให้เกิดบญุ ออกพรรษามีว่า เนอื่ งจากพระภกิ ษุสามเณรได้มารวมกนั
อยู่ประจาที่วดั โดยจะไปคา้ งคืนท่ีอนื่ ไมไ่ ด้ นอกจากเหตุจาเปน็ เปน็ เวลา 3 เดือน ในวนั ขน้ึ 15 ค่า เดือน 11 พระสงฆ์
จะมาร่วมกันทาพิธีออกวัสสาปวารณ์ คือการเปิดโอกาสให้มีการว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ทั้งภายหลังนั้นพระภิกษุ
สามเณรส่วนมากจะแยกย้ายกันไปอยู่ในท่ีต่าง ๆ ตามใจชอบ และบางรูปอาจจะลาสิกขาบท โอกาสที่พระภิกษุ
สามเณรจะอยู่พร้อมกันท่ีวดั มาก ๆ เช่นนี้ยากมาก ชาวบา้ นจงึ ถือโอกาสเปน็ วันสาคัญไปทาบุญทว่ี ัด และในช่วงออก
พรรษาชาวบ้านหมดภาระในการทาไร่นา จงึ ถอื โอกาสทาบุญโดยพร้อมเพรยี งกัน

เดอื นสบิ สอง บญุ กฐนิ เป็นบญุ ถวายผา้ ไตรจวี รแด่พระสงฆ์ ซ่ึงจาพรรษาแลว้ เรมิ่ ตัง้ แตแ่ รม 1 ค่า เดือน 11
ถึง วันเพ็ญ 15 ค่า เดือน 12 เปน็ เขตทอดกฐินตามหลักพระวินัย พิธีทาบุญทอดกฐนิ เจ้าภาพจะมกี ารจองวัดและ
กาหนดวันทอดลว่ งหน้า เตรยี มผ้าไตร จีวร พร้อมอัฐบริขาร ตลอดบริวารอ่ืน ๆ และเคร่ืองไทยทาน ก่อนนากฐินไป
ทอดมกั มีการคบงนั วันรุ่งขึ้นก็เคล่อื นขบวนไปสู่วดั ทที่ อด เมื่อนาองค์กฐินไปถึงวัดจะมีการแหเ่ วียนประทักษิณรอบวัด
หรอื รอบพระอุโบสถสามรอบ จึงนาผา้ กฐินและเครอ่ื งประกอบอื่น ๆ ไปถวายพระสงฆ์ที่โบสถ์หรือศาลาการเปรยี ญ
เมือ่ ทาพธิ ถี วายผ้ากฐินและบรวิ ารแดพ่ ระสงฆ์ พระสงฆท์ าพิธรี ับแล้วเปน็ เสร็จพธิ ี

กล่าวโดยสรุปจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ชาวผู้ไทยบ้านคาพอก มีประเพณีในรอบสิบสองเดือนที่ยัง
ปฏบิ ตั ิสบื ทอดกนั มาเป็นประจาเหมอื นกนั กับชาวบ้านเรณนู ครจนถึงทกุ วนั นี้

๔.๒ ความเชอื่ และพิธกี รรมเหยาของชาวผูไ้ ทยในสองพนื้ ที่

จากการลงพ้ืนทภี่ าคสนามเพือ่ ทาการเก็บข้อมลู ในพ้นื ท่ีวจิ ัยทง้ั สองจังหวดั ในประเดน็ ความเชอื่ ในการ
ใชพ้ ธิ เี หยาเพื่อรกั ษาโรคหรืออาการเจ็บปว่ ยเนื่องจากโรคภยั ตา่ งๆหรอื การเจ็บปว่ ยทไ่ี ม่ทราบสาเหตุ ชาวบา้ น
ในสองพื้นทเี่ ชอ่ื วา่ เกดิ จากการกระทาของผี เพราะไปรักษากับแพทย์แผนปจั จุบันไมส่ ามารถรกั ษาไดเ้ น่อื งจาก
ไม่ทราบสาเหตขุ องการเจบ็ ป่วยซง่ึ พอ่ แมห่ รือผูอ้ าวโุ สเคยรกั ษาดว้ ยวธิ ีการเหยามากอ่ นจึงเชือ่ ว่าการเจบ็ ปว่ ยใน
ลักษณะนี้จะต้องทาพิธีเหยาควบคู่กบั การรักษากบั แพทย์แผนปัจจุบันจึงจะหาย ซ่ึงบางรายสามารถหายจาก
โรคไดจ้ ริงบางรายยืดอายุได้อีกหลายปี

ความเชื่อในการทาผิดผีของชาวผูไ้ ทย สาเหตุหลกั เกดิ จากการเจ็บป่วยทไี่ ม่ทราบสาเหตุเน่ืองจากให้
แพทย์แผนปัจจุบันวินิจฉัยโรคกลับไม่พบสาเหตุเหล่าน้ันซึ่งบวกกับความเช่ือเร่ืองผีเป็นที่ต้ังจึงทาให้เชื่ อว่า
อาการเจ็บป่วยเหล่านอี้ าจจะเกดิ จากการท่ลี ูกหลานทาผดิ ผีหรอื กระทาการบางอย่างทีท่ าให้ผีลงโทษ

อาการเจบ็ ปว่ ยทีร่ ักษาไม่หาย จากทก่ี ลา่ วมาข้างตน้ อาการเจบ็ ป่วยที่รักษาไมห่ ายเนื่องจากมีความเชอื่
เร่อื งผเี ป็นที่ตั้งเม่อื รักษากบั แพทย์แผนปัจจุบนั ไม่หายกห็ าทางรกั ษาอีกวิธโี ดยเป็นวิธีการท่ี ปู่ ยา่ ตา ยาย หรือ
บรรพบรุ ุษเคยใช้เป็นวธิ ีรกั ษามาก่อนนั่นคือพิธกี รรมเหยาเพ่อื รักษาโรค

กรณีพ้นื ทบ่ี า้ นเรณนู คร พธิ ีกรรมเหยาที่เกิดจากคตคิ วามเช่ือในชมุ ชน พธิ กี รรมเหยาเกดิ จากความเช่ือ
ดง้ั เดิมของบรรพบุรุษสืบต่อกันมา ซ่ึงมีที่มาจากความเช่ือในการนับถือผบี รรพบุรุษและยังมีความเช่ือในเรื่อง
ของการทาผิดผีหรือการกระทาท่ีผดิ ต่อผีจึงทาให้ผีลงโทษ เมื่อเจ็บป่วยแล้วไปรักษากับแพทย์แผนปจั จบุ ันไม่
หายและไม่ทราบสาเหตุของการปว่ ย จึงหนั มาพงึ่ พธิ ีกรรมการเหยาเพราะมผี ้ปู ่วยหลายรายทีท่ าการรักษาโดย
พิธกี รรมเหยากลบั มีอาการดีขน้ึ และทราบสาเหตทุ ป่ี ่วยซึง่ พิธกี รรมเหยาคอื เปน็ การใหผ้ ีหมอเปน็ ตวั แทนคุยกับ
ผที ี่ทาให้เจ็บปว่ ยเพอื่ ขอขมาหรือเจรจาให้อาการเจ็บป่วยทเุ ลาหรอื หายเปน็ ปกติ ซึ่งเป็นความเช่ือของบรรพ
บรุ ุษมาตัง้ แต่ด้ังเดิมว่าผีสามารถช่วยให้หายจากโรคภัยหรือทุเลาลงได้และทาให้ผู้ป่วยมีกาลังใจดีขึ้นมีความ
ศรทั ธาว่าถ้าทาพธิ ีกรรมเหยาแลว้ จะตอ้ งหาย และมีผู้ป่วยหลายรายที่หายจากโรคอันเกดิ จากความเชอื่ ม่ันทาง
จิตวิญญาณ ทาให้เกิดความเชอ่ื ว่าผีจะคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย ซึ่งพิธีกรรมเหยากเ็ ป็นพิธีกรรมที่มมี า

๔๔

แตอ่ ดีต ความเชอื่ ในการใชพ้ ธิ ีเหยาเพอ่ื รกั ษาอาการเจบ็ ปว่ ย คอื เช่อื วา่ โรคภยั ต่างๆ เกิดจากการกระทาของผี
การไปรักษากบั แพทย์แผนปจั จุบันไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ พ่อแม่หรือผู้อาวุโสในครอบครัว เคยรักษา
ดว้ ยวธิ ีการเหยามาก่อน เชอ่ื วา่ โรคทเี่ กดิ ขึ้นในลักษณะอยา่ งน้ตี อ้ งทาพิธีเหยาเทา่ น้นั จึงจะหาย

ความเชื่อของชาวผู้ไทยเรณูนคร นั้นมีความเชื่อคล้ายกันความเช่ือของชาวอีสานหรือชาวภาคเหนือ
โดยท่ัวไปทั้งนี้เนื่องจากการแลกเปล่ียนทางวิถีชวี ิตศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างกัน พร้อมกับความเกี่ยวพัน
เชื่อมโยงของเผ่าพันธ์ุจากอดตี จนถึงปจั จบุ นั นนั่ เอง จากความเชอ่ื ของชาวผู้ไทยเรณนู ครท่ีนบั ถือ“ผ”ี ดงั กลา่ ว
เมื่อลกู หลานกระทาผดิ จารีตประเพณีของหม่บู ้าน จนทาให้เจ้าตวั หรอื บุคคลในครอบครัวต้องเจบ็ ไข้เกิดอาการ
ป่วย จึงจาเป็นต้องอาศยั การรกั ษาด้วย “หมอเหยา” หรอื “แมเ่ มืองเพ่อื เป็นการขอขมาลาโทษและเชญิ ผีออก
จากร่างผู้ปว่ ยให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพปกตโิ ดยเรว็ ซึง่ ถือวา่ “การเหยา” เปน็ การรักษาอาการเจ็บป่วยทาง
จติ วิญญาณเพ่ือให้คนไข้มีขวัญกาลังใจในการต่อสู้กับโรคร้ายตา่ งๆและมีกาลงั ใจทีจ่ ะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อีก
ต่อไป

หมอเหยาบางทา่ น เล่าว่า ตนเองน้นั เปน็ รา่ งทรงของผหี มอประจาตระกูลแก้วมณีชยั ซึ่งรับสืบทอดมา
จากคุณย่าทวดต้นตระกูลแก้วมณีชัย ซึ่งสืบทอดมาหลายยุคหลายสมัย โดยร่างทรงจะสืบทอดให้กับลูกสาว
หรอื ลกู สะใภ้ของตระกูลก็ได้รนุ่ ละ 1 คนเท่านัน้ คณุ ย่าเล่าให้ฟงั ว่าหนา้ ทข่ี องคณุ ย่าในฐานะร่างทรงผีหมอมี 2
อย่างคอื

1. จะต้องเดินทางไปเหยาพนี่ ้องประชาชน และลูกหลานที่เปน็ ไข้ เจ็บป่วยไม่สบาย เพ่ือรักษาอาการ
เจ็บป่วยให้หายเป็นปกติ

2. จะตอ้ งทาพธิ ีเลีย้ งผหี มอเปน็ ประจาทกุ ปีในชว่ งเดอื น 4 ข้างขึน้ ตามฤกษ์ยามดที ่ีผีหมอจะกาหนดให้
นอกจากผหี มอของตระกูลแกว้ มณชี ยั แลว้ ก็ยังมผี ีหมอของตระกลู อ่ืนๆในอาเภอเรณนู ครอกี หลายกล่มุ ซึง่ ถือว่า
เป็นเครอื ข่ายลกู หมอของท่าน ซ่ึงมีขนั้ ตอนดงั น้ี

1. ขัน้ การเชญิ ผหี มอ เจ้าบา้ นจะตอ้ งเตรียมดอกไม้หอม(ดอกจาปา) 1 คู่ และเทยี นขาว 1 คู่ ไปเชญิ ผี
หมอทบ่ี า้ นเจา้ ของรา่ งทรงเมอื่ เจา้ ของร่างทรงรบั ดอกไมห้ อมและเทียนแลว้ จะกาหนดวนั ทาพิธี การเดินทางไป
รบั หรือการสง่ รา่ งทรงผีหมอต่อไป ถา้ กรณใี นวันใดมปี ระชาชนไปเชิญหลายคน ร่างทรงก็จะเรยี งอันดับการทา
พธิ ีเหยาให้ตามอันดับผทู้ ไ่ี ปเชญิ กอ่ น-หลัง ผีหมอจะไม่มีการปฏิเสธการไปเหยาเพอ่ื รกั ษาคนเจ็บไขห้ รอื ปว่ ยโดย
เดด็ ขาด

2. ขั้นการตัง้ คายเมอ่ื เจ้าของรา่ งทรงผหี มอไดก้ าหนดวันที่จะทาพิธเี หยาให้แลว้ เจ้าของบา้ นท่ีมคี นเจ็บ
ไข้ หรือป่วยอาศัยอยู่จะต้องจัดเตรียมบ้านหรือสถานท่ีไว้ให้กับผีหมอ โดยจะใช้ห้องโถงใหญ่ภายในบ้าน ไม่
นิยมทาพิธีนอกบ้าน ระเบยี งบ้านชานบ้านหรือใต้ถุนบ้าน

3. ขัน้ การทาพธิ เี หยาเมื่อถึงกาหนดวนั ทาพธิ ีและเวลาตามฤกษ์ที่ผหี มอกาหนด ถ้าบ้านคนป่วย อยู่
ใกลบ้ า้ นผีหมอ ร่างทรงผหี มอจะเดนิ ทางไปเองแตถ่ ้าระยะทางไกลเจา้ บ้านจะต้องไปรับหรอื ไปสง่ เอง ร่างทรง
ผหี มอจะเริ่มทาพิธีเหยา โดยน่ังประจาที่หน้าคายเหยาทเ่ี จ้าบ้านต้ังใหแ้ ละใหน้ าคนป่วยมาน่ัง หรือนอนอยู่
ใกล้ๆบริเวณทาพิธเี หยาด้วย ผีหมอจะเข้าเทียมหรือสิงสถิตย์ร่างทรงเองโดยอัตโนมัติ ตั้งแต่เร่มิ ทาพิธีจนแล้ว
เสรจ็ ซง่ึ เป็นส่ิงมหศั จรรย์ยากตอ่ ความเชอ่ื ทางวิทยาศาสตร์ ผเู้ ขยี นเคยถามหมอเหยา หรือร่างทรงว่ากลอนลา
หรอื คาเหยา นั้นเอามาจากไหนเพราะปกตแิ ลว้ ร่างทรงกไ็ มเ่ ห็นไปท่องจาหรอื ฝึกหัดกลอนลามากอ่ นแตท่ าไมจงึ

๔๕

ทาการเหยาได้เมื่อนัง่ ประจาคายผีหมอไดร้ ับคาตอบวา่ ผหี มอจะเข้าสิงรา่ งและจะพูดและว่ากลอนลาหรือคา
เหยาไปเอง โดยรา่ งทรงปกตจิ ะไม่รสู้ ึกตัว จนพิธีเหยาจะแล้วเสร็จจึงจะรูส้ กึ ตัวขนึ้ มา

4. ข้ันการส่งคายเมื่อทาพิธีเหยาเสร็จเรียบร้อยถ้ามีการทาบูชาสะเดาะเคราะห์ ก็ให้ลูกหลานนา
กระทงใบกล้วยไปทิง้ นอกหมู่บา้ นตามทศิ ที่ผีหมอกาหนดส่วนคายผีหมอคือ ขน้ั ห้าขน้ั แปด คาหมาก กรอกยา
ไข่ ข้าวสาร เหล้า เงนิ คายใหผ้ ูกมัดดว้ ยผา้ ขาวรวมกนั มอบใหร้ า่ งทรงผีหมอนากลับบ้านแล้วนาร่างทรงผีหมอ
ไปส่งทบ่ี า้ น ร่างทรงผีหมอก็เปน็ เสรจ็ พิธี

ปัจจุบนั ร่างทรงผีหมอ หรือหมอเหยาในเขตบ้านเรณูนคร อาเภอเรณูนคร จังหวดั นครพนม มอี ยู่ทุก
หมู่บ้านและหมู่บ้านท่ีมีหมอเหยามากที่สุดคอื บ้านโพนสาวเอ้ บ้านโคกสาย บ้านเหิบ บา้ นโคกหินแฮ่ บ้านนา
งามฯลฯ ซึง่ ปัจจบุ ันประชาชนทั่วไปก็ยังมกี ารจัดทาพธิ ีเหยาและการเลย้ี งผหี มอเป็นวถิ ีชวี ิตและวฒั นธรรมของ
ชาวผูไ้ ทยเรณนู ครเชน่ ในอดีตทุกวันมกี ลมุ่ ร่างทรงผีหมอแยกเป็นกล่มุ ๆหลายกลุ่ม ซึ่งแตล่ ะกลุ่มจะมีหวั หน้า
กลุ่มหรือ “แม่หมอ” หรือ“แมเ่ มือง” และ “ลูกหมอ” “ลกู เมือง” เปน็ จานวนมาก

กรณพี ื้นทบ่ี ้านคาพอก จากการสัมภาษณ์หมอเหยาในพน้ื ที่ ทาใหไ้ ด้รับข้อมูลว่า “การเหยา” ของกลมุ่
ชาติพันธ์ุชาวผไู้ ทบ้านคาพอก อาเภอหนองสงู นี้ ถือเปน็ การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมตามหลกั การแพทย์แผน
ไทย ท่ีเช่อื มรอ้ ยวิถีชีวิตของชาวผ้ไู ทตัง้ แต่เกิดจนตาย โดยการเหยาเปน็ ภมู ปิ ัญญาในการดแู ลรกั ษาสขุ ภาพท่ีมา
จากรากฐานของความเช่ือและความศรัทธาในสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ หรือผี ความหมายของผีของชาวผู้ไท
เป็นสิ่งที่อยู่เหนืออานาจความรู้สึกนึกคิด เป็นสิ่งท่ีพ่ีน้องชาวผู้ไทถือว่ามีอิทธิฤทธ์ิ มีพลังที่จะดลบันดาลให้
เป็นไปในสิง่ ต่างๆนานา ผที ่ีชาวผไู้ ทยเคารพนบั ถือเรยี งจากลาดับสูงลงไป คอื ผีองค์ปู่เปน็ ผีบรรพบุรษุ ของเจ้า
เมืองหรอื กษัตรยิ ์ ผีฟ้าพญาแถน ผปี ู่ตาเป็นผขี องชาวบ้าน ผีบรรพบุรุษหรือผีบรรพชนจากปู่ย่าตายาย ผีไท้ ผี
น้า ผีมูล ผีตาแฮะ ผีซะโละซะลาน เป็นต้น และเช่ือว่าความเจ็บป่วยทั้งหลายมาจากผีกระทานั่นเอง “การ
เหยา” คอื พธิ กี รรมรักษาและส่งเสรมิ สุขภาพผปู้ ว่ ย โดยข้ันตอนการรักษาจะมี หมอเหยาแม่เมือง ทาหน้าท่ใี น
การสื่อสารกับผี ด้วยบทร้องที่อ่อนหวานเชงิ ออ้ นวอนและนยิ มใชใ้ นท่วงทานองของร้อยกรองเพื่อออ้ นวอน ขอ
ความเมตตาจากผใี หช้ ่วยขจดั ปัดเป่าและคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ โดยมีการตง้ั เคร่ืองคาย และเคร่ืองดนตรี
บรรเลง ซ่ึงจะใช้พณิ และแคน เป็นเครื่องดนตรปี ระกอบ

ข้นั ตอนการเหยานั้น หมอเหยาเป็นผู้ตดิ ตอ่ สอ่ื สารกับผเี พื่อจะได้รู้วตั ถุประสงค์ของผีในการกระทาให้
เกิดความเจบ็ ป่วยน้นั ๆ เพื่อจะได้แต่งเคร่ืองสงั เวยแก้ได้ถกู โดยจะมีหมอสอ่ งมาส่องญาณดูว่าคนป่วยถกู ผีอะไร
กระทา เชน่ ผีทะหลา หรอื ผีบรรพบรุ ุษ หรือผีปา่ เมอ่ื หมอส่องรูแ้ ลว้ ก็จะแจง้ หมอเหยาให้ทาการรักษาให้ ซ่ึง
หมอสอ่ งและหมอเหยาจะทาพิธคี ู่กนั จากนั้นหมอเหยาก็จะทาพิธรี ักษาโดยการส่ือสารผ่านบทอญั เชิญเหยา
เพื่อเชญิ ผมี าเทยี มร่างหมอเหยา จะสอบถามผีว่าได้ทาอะไรให้ผปู้ ว่ ยมอี าการเจบ็ ป่วย และจะแก้ไขอย่างไรจึง
จะหาย พอทราบความต้องการของผีแล้ว หมอเหยาก็จะบอกครอบครัวให้ทาการแต่งแก้ หรือบางครั้งก็เป็น
เพราะผตี อ้ งการมาอยู่ด้วย หมอเหยาก็แนะให้รบั เอา ผู้ทีร่ บั ปากว่าจะรบั เอาผีมาอยู่ด้วยน้นั กจ็ ะกลายเป็นหมอ
เหยาลูกเมืองของหมอเหยาท่ีมาทาพิธีเหยาให้ต่อไป ในกรณีท่ีเหยาแล้วอาการไม่ดีข้ึน หรือผไี ม่ยอมให้อภัย
หมอเหยากจ็ ะสวดอ้อนวอนตอ่ ไปและแต่ละคร้งั กจ็ ะทาพิธเี สีย่ งทายว่าผนี ้นั จะใหอ้ ภัยหรือยงั และหมอเหยาจะ
ทาพธิ ีจนผียอม นอกจากน้กี ารเหยารักษาแล้ว ยังมกี ารเหยาทาขวัญ จะเหยาในกรณีทีห่ ายจากเจ็บป่วยใหม่ๆ

๔๖

ผู้ป่วยยังไม่แข็งแรง จิตใจยังมีความกังวลกับการเจ็บป่วย หรือเจ็บออดๆแอดๆไม่หายขาด ทาให้ขวัญและ
กาลังใจไม่ดี การทาพิธีเหยาจึงช่วยสร้างขวัญและกาลังใจ ช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจแก่ผู้ป่วยและญาติได้ อีก
พธิ ีกรรมทส่ี าคัญทจี่ ะขาดมไิ ด้ในวถิ ีชาวผู้ไท คือพิธีกรรมเลยี้ งผีประจาปี เปน็ พิธกี รรมทส่ี าคญั มากสาหรับหมอ
เหยา เพ่อื เลีย้ งผีใหอ้ ยู่อยา่ งอุดมสมบูรณ์ อิม่ หนาสาราญ และเชอื่ วา่ จะทาใหห้ มอเหยาท่ีทาพิธกี รรมอยู่น้นั อยดู่ ี
มีแฮง มสี ุขภาพแขง็ แรงตลอดปแี ละท่ีจะขาดไมไ่ ดค้ ือการเหยาเลย้ี งผที ะหลาหรือผีมเหสักข์ ซึง่ เปน็ ผีทใ่ี หญท่ ส่ี ดุ
ทท่ี าหน้าที่คุ้มครองลูกหลานคนผู้ไท การเลี้ยงผีทะหลาจะจัดขึน้ ปีละคร้ังในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน หมอ
เหยาแมเ่ มอื งจะเป็นผู้นาในการทาพิธีบวงสรวงสกั การะผที ะหลา

กล่าวได้วา่ การรักษาแบบเหยาของชาวผู้ไทยบ้านคาพอก ในปจั จุบันใหค้ ณุ คา่ ทางดา้ นจิตใจของชาวผู้
ไทยเป็นหลกั ทั้งด้านการดแู ลรักษาสุขภาพและการเคารพนับถือผีที่สืบทอดมาอยา่ งยาวนาน แมป้ ัจจุบนั การ
เหยาในกลุ่มคนรุ่นหลังจะไม่ค่อยนิยม ซ่ึงอาจมาจากความเชื่อเรื่องผีลดลงหรือได้รับอิทธิพลความคิดจาก
วัฒนธรรมใหม่ๆ มากกว่า แต่การเหยาของชาวผู้ไทยก็ยังคงได้รับการขานรับในชุมชนด้วยดี เพ่ือสืบสาน
วฒั นธรรมประเพณีเกยี่ วกบั การปฏิบตั ิตามความเชอื่ ของคนผู้ไทในการรักษาผปู้ ว่ ย “การเหยา” เปน็ วถิ ีหน่ึงใน
การแพทย์พื้นบ้านทส่ี ะท้อนผ่านประเพณีและวัฒนธรรมอันเก่าแก่ท่ียังเชื่อมร้อยอดีตปัจจุบันและอนาคตให้
เป็นหนึ่งเดียว นี่แหละวิถชี าวผไู้ ทวถิ กี ารแพทยแ์ บบองคร์ วมเมอ่ื เจา้ ของร่างทรงผีหมอได้กาหนดวันทจ่ี ะทาพิธี
เหยาใหแ้ ล้ว เจา้ ของบา้ นที่มีคนเจ็บไข้หรือป่วยอาศยั อยจู่ ะต้องจดั เตรียมบา้ นหรอื สถานท่ไี ว้ให้กับผหี มอ โดย
จะใช้ห้องโถงใหญ่ภายในบ้านไม่นิยมทาพิธนี อกบา้ น ระเบียงบ้าน ชานบ้านหรือใตถ้ นุ บา้ นเมอ่ื ถงึ กาหนดวนั ทา
พธิ ีและเวลาตามฤกษ์ท่ผี ีหมอกาหนด ถ้าบ้านคนป่วยอยู่ใกลบ้ ้านผีหมอ รา่ งทรงผีหมอจะเดินทางไปเองแตถ่ ้า
ระยะทางไกลเจ้าบ้านจะต้องไปรับหรือไปสง่ เอง ร่างทรงผีหมอจะเริ่มทาพิธีเหยา โดยน่ังประจาทีห่ น้าคาย
เหยาที่เจ้าบ้านต้ังใหแ้ ละใหน้ าคนปว่ ยมานั่งหรือนอนอยูใ่ กล้ๆ บรเิ วณทาพธิ ีเหยาด้วย ผีหมอจะเข้าเทียมหรือ
สิงสถิตร่างทรงเองโดยอัตโนมัติตั้งแต่เร่ิมทาพิธีจนแล้วเสร็จ ซ่ึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยากต่อความเช่ือทาง
วิทยาศาสตร์ ผเู้ ขียนเคยถามหมอเหยาหรือร่างทรงว่า กลอนลาหรือคาเหยา นั้นเอามาจากไหนเพราะปกติ
แลว้ ร่างทรง ก็ไมเ่ หน็ ไปท่องจา หรอื ฝึกหัดกลอนลามาก่อน แต่ทาไมจึงทาการเหยาได้เมือ่ นั่งประจาคายผหี มอ
ไดร้ ับคาตอบว่า ผหี มอจะเข้าสิงรา่ งและจะพูดและวา่ กลอนลาหรอื คาเหยาไปเอง โดยร่างทรงปกตจิ ะไม่รู้สกึ ตัว
จนพธิ ีเหยาจะแล้วเสรจ็ จึงจะร้สู กึ ตัวข้นึ มา

ผทู้ าวิจัยได้เหน็ พิธกี รรมท่ีหมอเหยาบ้านคาพอกได้ทาพิธี ดังนีค้ ือ การลาเชิญผหี มอเข้าร่าง การลา
ง้าว(ดาบ) การตงั้ ไข่ การเสี่ยงเสื้อผ้า การทาบชู าสะเดาะเคราะห์ การผูกด้ายขาวแดง การหว่านข้าวสารการ
ไล่ส่งิ ชวั่ ร้าย ส่งิ ไมด่ อี อกจากรา่ งคนป่วย ฯลฯ เม่ือทาพิธเี หยาเสร็จเรียบร้อย ถ้ามกี ารทาบชู าสะเดาะเคราะห์
กใ็ ห้ลูกหลานนากระทงใบกลว้ ย ไปทง้ิ นอกหมบู่ า้ นตามทิศทผ่ี ีหมอกาหนด ส่วนคายผหี มอคอื ขน้ั หา้ ข้ันแปด
คาหมากกรอกยา ไข่ ข้าวสาร เหล้า เงินคาย ให้ผูกมัดด้วยผ้าขาวรวมกันมอบให้รา่ งทรงผีหมอนากลับบ้าน
แลว้ นารา่ งทรงผีหมอไปส่งทบี่ ้าน รา่ งทรงผีหมอก็เปน็ เสรจ็ พิธี

จากการลงพ้ืนที่เกบ็ ข้อมลู ภาคสนามในสนามวิจัยในพื้นท่ีสองจงั หวัด พบว่าในพิธกี รรมการเหยาจะ
ประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่สาคัญได้แก่ บุคคลในพิธีกรรม เครื่องคายบูชาในพิธีกรรม หิ้งบูชาครูบา

๔๗

อาจารย์ ข้อคะลาของผู้นับถือหมอเหยา ดนตรีในพิธีกรรม บทกลอนขับลา การฟ้อนราในพิธกี รรม ลาดับ
ขั้นตอนในพิธกี รรม และการลงขว่ งเลีย้ งผหี มอ ดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปนี้

1. บุคคลในพิธีกรรม จะประกอบไปด้วย ครบู าหมอเหยา บริวารผูต้ ิดตาม คนป่วย ดังรายละเอียด
ตอ่ ไปน้ี

ตารางที่ 1 แสดงข้อมลู เก่ยี วกับกลุ่มหมอเหยาที่ใชใ้ นการศกึ ษา

ลาดบั ที่ ชื่อสมมตุ ขิ องกล่มุ ประสบการณ์ อาเภอท่ีอยู่ จานวนบริวาร การสบื ทอด
(ป)ี ผู้ตดิ ตาม (คน) ตาแหน่ง
1 นางเรณู 1 (ญ) เรณนู คร
2 นางเรณู 2 (ญ) 30 เรณูนคร 4 รบั ขนั มาจากอาจารย์
3 นางเรณู 3 (ญ) 15 เรณูนคร 5 รบั ขนั มาจากอาจารย์
4 นายทา่ ลาด 1 (ช) 10 เรณนู คร 4 รบั ขันมาจากย่า
5 นางท่าลาด 1 (ญ) 10 เรณนู คร 3 รับขนั มาจากอาจารย์
6 นางทา่ ลาด 2 (ญ) 20 เรณนู คร 4 รบั ขนั มาจากแม่
7 นางโพนทอง 1 (ญ) 15 เรณูนคร 5 รับขนั มาจากพี่สาว
8 นางโพนทอง 2 (ญ) 24 เรณนู คร 4 รับขันมาจากแม่
9 นางโคกหนิ แฮ่ 1 (ญ) 23 เรณนู คร 6 รบั ขนั มาจากอาจารย์
10 นางโคกหินแฮ่ 2 (ญ) 20 เรณูนคร 4 รบั ขนั มาจากแม่
11 นางคาพอก 1 (ญ) 38 หนองสงู 5 รบั ขนั มาจากแม่
12 นางคาพอก 2 (ญ) 70 หนองสูง 6 รับขันมาจากอาจารย์
13 นางคาพอก 3 (ญ) 10 หนองสูง 5 รบั ขันมาจากแม่สามี
14 นางคาพอก 4 (ญ) 40 หนองสงู 5 รบั ขนั มาจากย่า
15 นางคาพอก 5 (ญ) 30 หนองสูง 4 รับขนั มาจากอาจารย์
16 นางคาพอก 6 (ญ) 28 หนองสงู 4 รับขันมาจากอาจารย์
17 นางหนองโอ 1 (ญ) 20 หนองสงู 4 รบั ขันมาจากอาจารย์
18 นางหนองโอ 2 (ญ) 30 หนองสูง 6 รบั ขนั มาจากแม่
19 นางหนองโอ 3 (ญ) 25 หนองสูง 5 รับขันมาจากแม่
20 นางหนองโอ 4 (ญ) 27 หนองสงู 4 รบั ขันมาจากอาจารย์
15 4 รับขันมาจากแมส่ ามี

จากตารางที่ 1 ท่ีแสดงรายละเอยี ดของกลมุ่ หมอเหยาที่ใชใ้ นการศึกษาในคร้งั นี้ ทัง้ หมด 20 กลมุ่ จาก
พื้นที่สองอาเภอ ในเขตจังหวดั นครพนมและมุกดาหาร พบวา่ ในจานวน 20 กลุ่มดังกล่าว มีกลุ่มทม่ี คี รูบาหมอ

ลาเป็นเพศหญิงจานวนถึง 19 กลุ่ม และมีกลุ่มที่มีครูบาหมอลาเป็นเพศชายจานวน 1 กลุ่ม ประเด็น
ประสบการณ์การรักษาคนป่วยในชมุ ชนพบวา่ มกี ลุ่มทีม่ ีประสบการณก์ ารรักษาระหวา่ ง 10-19 ปี จานวน 6
กลุ่ม กลุ่มท่ีมีประสบการณ์การรักษาระหว่าง 20-29 ปี จานวน 8 กลุ่ม กลุ่มท่ีมีประสบการณ์การรักษา

ระหว่าง 30-39 ปี จานวน 4 กลมุ่ กลุม่ ทม่ี ปี ระสบการณก์ ารรักษาระหว่าง 40-49 ปี จานวน 1 กลมุ่ และ
กลมุ่ ท่ีมีประสบการณ์การรักษาระหวา่ ง 50-70 ปี จานวน 1 กลุ่ม เมือ่ พจิ ารณาเปน็ รายอาเภอพบว่าอยใู่ นเขต
อาเภอเรณนู ครจานวน 10 กลุ่ม อาเภอหนองสูง จานวน 10 กลมุ่ ประเด็นจานวนบริวารผ้ตู ิดตามภายในกลมุ่

หมอเหยา พบว่ากลุม่ หมอเหยาทใี่ ช้ในการศึกษาในครั้งนม้ี ีสมาชิกภายในกล่มุ ทีท่ าหนา้ ท่ีรกั ษาคนปว่ ยในชมุ ชน
ต้งั แต่จานวน 3 - 6 คน และประเด็นการก้าวข้ึนสู่ตาแหน่งหัวหน้าคณะหมอเหยาของหมอเหยาท้ัง 20 กลุ่ม
นัน้ พบว่า หัวหนา้ หมอเหยาท่ีไดร้ ับขันสบื ทอดตาแหน่งหมอเหยามาจากอาจารย์คนกอ่ นจานวน 9 กลุ่ม ไดร้ ับ

ขันสบื ทอดตาแหน่งหมอเหยามาจากคนในครอบครวั ไดแ้ ก่ พ่อ แม่ แมส่ ามี สามี พี่สาว จานวน 11 กล่มุ

๔๘

หัวหน้าหมอเหยา บางท้องถ่ินเรียก หมอจ้า กก และครูบา โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีอุปนิสัยเป็นคน
อัธยาศยั ดีและมคี วามฉลาดไหวพริบดี การทาหนา้ ท่ีในการเป็นหมอเหยาสืบทอดจากหมอเหยาคนเดิมที่ถึงแก่
กรรมไป ส่วนผู้รว่ มขบั ลาในพิธีเรียกว่า บรวิ ารหรอื ลูกเผง่ิ ได้แก่ ผู้ทีผ่ ่านการรักษาด้วยการเหยามาแล้ว และเขา้
ร่วมพิธกี รรมในลักษณะทาให้พิธีกรรมศักด์สิ ิทธแิ์ ละร่ายราเกิดความสนุกสนานไปดว้ ย เพื่อเรง่ เรา้ ให้ผ้ปู ่วยลืม
ความเจ็บปวดลืมความทกุ ข์คลายกังวล จากการสมั ภาษณ์หมอเหยาบางท่าน กล่าววา่ ก่อนทีจ่ ะรับเปน็ หัวหน้า
นนั้ ไดเ้ กดิ การเจ็บป่วย รบั การรกั ษาจากหมอพ้ืนบา้ นและแพทยป์ ัจจุบนั ก็ไม่หาย ขณะเดียวกัน จึงไดเ้ ปล่ียนมา
รักษาด้วยพิธีกรรมการเหยา และหัวหน้าครูบาหมอเหยาได้ทาพิธีรักษาให้ตนแล้วบอกกับตนเองว่าให้รับ
ตาแหน่งหมอเหยาถึงจะหายป่วย ตนเองจงึ ไดร้ ับเป็นหมอเหยาต้ังแตน่ ัน้ เปน็ ต้นมา

“…สมัยนั้นแม่เปน็ สาวน้อย หละ่ เกิดบ่มีเฮง เปน็ ไข้หมากไม้ เฮ็ดแนวเล่อกะมิหายไข้ ไปโรงบาลกะไป
ปัวนาหมอธรรมกะปัวกะมิหาย แม่ของแม่เพิ่นหลดไปหาเจา้ นายเบ่ิงปีเบิ่งเดนิ เจ้านายทางเทงิ เพ่ินละว้าให้อิ
นางนอ้ ยนเิ ป็นแมเ่ มงิ จั่งสขิ ายไข้ ค้ันแม้นมริ บั กะมหิ าย ต้องรบั เอาเป็นแม่เมิง...”

(นางคาพอก 3, บันทกึ ประวตั ชิ ีวิตบุคคล, 2560)

“…ก่อนห้ันแม่เฮาเพิ่นเป็นหมอเหยา แมน่ ้ีน้เี ป็นลูกหล้าเพ่ิน เป็นผู้เล้งเพน่ิ เพ่ินบ่ปันมลู เห้อเผอ พอ
เพน่ิ เฒา่ มา เพ่ินกะมอบเห้อแม่นิฮบั เอา เพ้อสิไดต้ ุ้มเอาพีน่ ้องในบา้ นเฮา …”

(นางโพนทอง 1, บันทึกประวัติชีวิตบุคคล,
2560)

หวั หน้าหมอเหยากลา่ วคลา้ ยกันวา่ การสืบทอดหัวหน้าน้นั กาหนดล่วงหนา้ ไมไ่ ด้ โดยท่ัวไปเกดิ ขน้ึ เอง
ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า “ซอด” ผีจะเป็นผู้กาหนดหรือบ่งบอก และจะปฏิเสธไม่ได้ เป็นไปตามอาณัติของผีท่ี
กาหนด ดังนั้น หน้าทข่ี องหัวหนา้ หมอเดหยา มีหน้าท่ีคือการประกอบพิธีรกั ษา ปกครองคุ้มครองบริวารให้มี
ความสงบสุข ขจัดความเดอื ดรอ้ น และอบรมสั่งสอนบริวาร เป็นต้น

บริวารผู้ติดตาม หมายถึง คณะบุคคลที่ติดตามหมอเหยาไปทาการรักษาคนป่วยและเคยผ่านพิธี
กรรมการรักษาจากหมอเหยามากอ่ น พบว่าบริวารผู้ติดตามมีบทบาทใน 4 ด้าน คือ บทบาทด้านการทาหน้าท่ี
แต่งเคร่อื งคายบูชาในพธิ ีกรรมช่วยหมอเหยา โดยพบว่าทั้ง 20 กลุม่ ใช้บรวิ ารผู้ติดตามหมอเหยาเป็นผู้หน้าท่ี
แต่งเครอ่ื งคายบชู าในพิธีกรรมดงั กล่าว บทบาทด้านการขับลาช่วยครูบาหมอลารกั ษาคนป่วย พบว่า มีกลุ่ม
บริวารผู้ติดตามท่มี บี ทบาทด้านการขับลาช่วยหมอเหยารกั ษาคนป่วย จานวน 17 กลุ่ม และไม่มีบทบาทดา้ น
การขับลาช่วยหมอเหยารกั ษาคนป่วย จานวน 3 กลมุ่ บทบาทด้านการฟอ้ นราในพิธีกรรมชว่ ยหมอเหยาฟอ้ น
ลารักษาคนป่วยพบวา่ มกี ล่มุ บรวิ ารผู้ตดิ ตามหมอเหยาท่ีมบี ทบาทด้านการฟ้อนราชว่ ยครูบาหมอลารักษาคน
ป่วยจานวน 20 กลุ่ม และประเดน็ ด้านบทบาทการเล่นดนตรีเพือ่ ประกอบในพิธีกรรม พบว่าในการศึกษาครั้ง
นม้ี เี ครื่องดนตรีที่หมอเหยาใช้ประกอบการขับลาและฟ้อนราเพ่อื รักษาคนป่วยในชุมชนอยู่ส่ีประเภท คือ แคน
กลองหาง ป่ี และพิณ จากการศึกษาพบทง้ั 20 กลุ่มมบี รวิ ารผตู้ ิดตามท่มี ีบทบาทด้านการเล่นดนตรีประกอบ
ในพิธกี รรม กรณีบริวารผู้ติดตามหัวหน้าหมอเหยากลุ่มนางคาพอก 1 ได้กลา่ ววา่ ก่อนที่ตนเองจะรับมาเป็น
บริวารผ้ตู ิดตามหมอเหยาน้ัน ตนเองเกิดเจบ็ ป่วยไม่สบายและตอ่ มาได้รับการรกั ษาด้วยพิธกี รรมการเหยา จน
อาการปว่ ยหายขาด จึงเกิดความศรัทธาต่อหมอเหยาและขอเปน็ ผู้ตดิ ตามหัวหน้าหมอเหยาออกไปประกอบ
พิธีกรรมรกั ษาชาวบา้ น

๔๙

“...ตาอิดนั่น แม่กะป่วยบ่มีเฮง กินข้าวมิได้ วินอยู่เกือบเดิน กนิ ยาหมอในเมิงกะมิดดี ขี ้ึน ไปโรงบาลกะมิหาย
กะเลยมาปนิ่ ปัวนาแม่เมงิ เพ่ิน มันผดั ดขี ึ้น กะเลยอาสาติดตามแมเ่ มอื งไปปวั พีน่ ้องปอ้ งปลายเฮา ตามคาแมเ่ มิง

ชกั ชวนเอา แตน่ นั้ มา แมก่ ะมิเปน็ ไขเ้ ป็นหนาวอีกจกั เท่อเลยละลกู หล้า...”
(นางวาดท้าย ข่วงหนองโอ 1, บันทกึ ประวัตชิ วี ิตบคุ คล, 2560)

“...เปา่ แคนเสพมา้ เห้อแม่เมิงเพนิ่ มาแตง่ เหงิ ละหล้า กะย้อนวา่ แตก่ อ่ นพุ้น พ่อของพ่อน้ีเปน็ ผู้ขับปขี่ ับ
แคนเหอ้ แมเ่ มงิ เพิน่ ก่อนตายพ่อกะส่งั ความเอาไว้ ว่ามิให้ถม่ิ ฮีตถิ่มคองผไู้ ทยเฮา ให้ค้าเอาแมเ่ มงิ ออกปวั พี่นอ้ ง
บ้านเฮา...”

(นายวาดทา้ ย ข่วงโพนทอง 1, บันทกึ ประวัตชิ ีวติ บุคคล, 2560)

ตารางท่ี 2 แสดงขอ้ มลู รายละเอยี ดเกี่ยวกบั บรวิ ารผตู้ ิดตามหัวหน้าหมอเหยา

ลาดับ ช่ือสมมตุ ขิ องกลุม่ จานวน แตง่ เคร่อื ง ขับลาชว่ ย ฟอ้ นราชว่ ย เป่าแคน
ท่ี บรวิ าร คายบชู าใน ครบู ารักษา ครูบารกั ษา หรือ
ผตู้ ดิ ตามใน พิธกี รรม คนปว่ ย
1 นางเรณู 1 (ญ) กลมุ่ (คน) คนปว่ ย เล่นดนตรี
2 นางเรณู 2 (ญ) / / ในพธิ กี รรม
3 นางเรณู 3 (ญ) 4 / / /
4 นายทา่ ลาด 1 (ช) 5 / - / /
5 นางท่าลาด 1 (ญ) 4 / / / /
6 นางทา่ ลาด 2 (ญ) 3 / / / /
7 นางโพนทอง 1 (ญ) 4 / / / /
8 นางโพนทอง 2 (ญ) 5 / / / /
9 นางโคกหินแฮ่ 1 (ญ) 4 / / / /
10 นางโคกหนิ แฮ่ 2 (ญ) / / / /
11 นางคาพอก 1 (ญ) 6 / / /
12 นางคาพอก 2 (ญ) 4 / / / /
13 นางคาพอก 3 (ญ) 5 / - / /
14 นางคาพอก 4 (ญ) 6 / / / /
15 นางคาพอก 5 (ญ) 5 / / / /
16 นางคาพอก 6 (ญ) 5 / / / /
17 นางหนองโอ 1 (ญ) 4 / / / /
18 นางหนองโอ 2 (ญ) 4 / / / /
19 นางหนองโอ 3 4 / / / /
20 นางหนองโอ 4 6 / / / /
5 / / / /
4 / /
/
4
/

ผู้ป่วย จากการลงพ้ืนที่ภาคสนามในพิธีกรรมการเหยาโดยท่ัวไปในภูมิภาคอีสาน พบว่า ผู้ป่วยที่
รกั ษาโรคดว้ ยวิธกี ารเหยานนั้ สว่ นใหญผ่ ่านการรกั ษามาจากทอี่ ่นื มากอ่ น ทั้งทางด้านการแพทย์แผนใหม่ และ

แผนโบราณ แต่อาการเจบ็ ปว่ ยไมท่ ุเลาหรอื ดขี ้นึ หรอื อยใู่ นสภาพที่สิน้ หวงั ทั้งผู้ปว่ ยและญาติ พน่ี ้อง จงึ ตอ้ งหัน
มารักษาจากการเหยา ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี

๕๐

ตารางท่ี 3 แสดงรายละเอียดของคนป่วยทีเ่ ขา้ รับการศกึ ษาด้วยพิธีกรรมการเหยา

ชือ่ สมมตุ ิ การวนิ ิจฉัยอาการของโรค รปู แบบการรักษา ประเภทของปญั หา

ที่ ของคนป่วย แพทย์แผน หมอเหยา แพทย์แผน หมอเหยา

ปจั จบุ ัน ปจั จบุ นั

1 จนั ทน์ เรณู 1 ความดัน โรคผดิ ผ/ี ให้ยามาทานที่ จัดพธิ ีกรรม สุขภาพ/

ด่าลกู สาว บา้ น เหยาสอ่ ง / เรียกขวญั ความขัดแยง้ ของ

สมาชิก

2 บัวสี เรณู 1 เบ่ืออาหาร โรคผิดผ/ี ใหย้ าบารุง จดั พธิ ีกรรม/ สขุ ภาพ/

ถูกสามีดดุ ่า โลหติ เหยาเรียกขวัญ ความขดั แย้งของ

สมาชิก

3 แพงมา เรณู 2 เครยี ด โรคผิดผ/ี ให้ยาคลาย จดั พิธกี รรมเหยาปัว/ สขุ ภาพ/

ทะเลาะกบั เครยี ด ให้หลานสมมาเจ้า ความขัดแย้งของ

หลาน โคตร สมาชิก

4 สงกา เรณู 2 กระเพาะ โรคผิดผ/ี ใหย้ าเคลอื บ จดั พิธกี รรมเหยาปวั / สขุ ภาพ/

อาหาร ทะเลาะกบั ลูก กระเพาะ ใหล้ กู สาวสมมา ความขดั แยง้ ของ

สาว อาหาร สมาชิก

5 บตุ ดี เรณู 3 เครียด โรคผิดผ/ี ให้ยาคลาย จดั พิธกี รรมสมมาเจ้า สุขภาพ/

ทารวั้ กิน เครยี ด โคตร/ เหยาเรียก เศรษฐกิจ/

ทางเดินเขา้ นา ขวัญ ความขดั แยง้ ของ

นอ้ งสาว สมาชกิ

6 มาลัย เรณู 3 ปวดทอ้ ง โรคผิดผี / ให้ยาขับลม จัดพธิ ีกรรมสมมาเจ้า สขุ ภาพ/เศรษฐกจิ /

ทะเลาะกับคู่ โคตร/ เหยาเรียก ความขัดแยง้ ของ

สะใภ้เรื่องทด่ี นิ ขวญั สมาชกิ

7 คาผุน ทา่ ลาด 1 ไขห้ วดั ใหญ่ โรคผดิ ผ/ี ไม่ นอนพกั รักษา จดั พิธีกรรมสมมาผี สขุ ภาพ /

ลา้ งหิง้ พระ ตัวทร่ี พ.ธาตุ บรรพบรุ ุษ/ เหยา สงั คม

พนม รบั ขวัญ

8 ทองขัน ท่าลาด 1 กระเพาะ โรคผดิ ผ/ี โกง ใหย้ าเคลอื บ จัดพธิ กี รรมสมมาเจ้า สขุ ภาพ/เศรษฐกจิ /

อาหาร ที่ดินน้องชาย กระเพาะ โคตร /เหยาส่อง ความขัดแย้งของ

อาหาร สมาชิก

9 คาพัน ท่าลาด 2 ความดัน โรคผดิ ผ/ี ผี ใหย้ าคลาย เหยาเรียกขวญั / สขุ ภาพ/เศรษฐกิจ/

บรรพบรุ ุษ เครยี ด ถวายบังสกุลที่วดั

อยากได้บงั สกุล

10 คาไพ ทา่ ลาด 2 ปวดตา โรคผดิ ผ/ี ยาแก้ปวด จัดพธิ กี รรมสมมาเจา้ สุขภาพ/เศรษฐกิจ/

ถมบอ่ นา้ ใน โคตร / จัดพิธีไหว้ผี ความขัดแย้งของ

ทีด่ นิ มรดกแม่ นา / เหยาเอาขวญั สมาชกิ

11 ประสาร ทา่ ลาด 3 ไขห้ วัด โรคผดิ ผ/ี ฉีดยา จัดพิธกี รรมไหว้ สุขภาพ/ความขดั แยง้

เถยี งเจา้ โคตร เจ้าโคตร / เหยาส่อง ของสมาชกิ

12 บานเย็น ทา่ ลาด 3 เครียด โรคผดิ ผ/ี เถยี ง ให้ยามาทาน จัดพธิ กี รรมไหว้ สุขภาพ/ ความขดั แย้ง

แม่เรอื่ งท่ีนา ทบี่ า้ น เจา้ โคตร/ เหยาปวั ของสมาชกิ

13 มะลิ โพนทอง 1 ความดนั โรคผิดผ/ี ให้ยาคลาย เหยาส่อง /เหยาปวั สขุ ภาพ/สงั คม / ความ

ทะเลาะกับสามี เครียด ขดั แยง้ ของสมาชกิ

14 ทองยุน้ โพนทอง 1 ปวดท้อง โรคผิดผ/ี แบ่ง ใหแ้ ก้ปวดยามา จดั พธิ กี รรมไหว้ สขุ ภาพ/

มรดกใหล้ ูกไม่ ทาน เจา้ โคตร / เหยาส่อง สงั คม /

เทา่ กัน ความขดั แยง้ ของ

สมาชกิ

15 ราไพ โพนทอง 2 วบู โรคผดิ ผ/ี ฉดี ยาบารงุ / จัดพธิ กี รรมไหว้ สขุ ภาพ/เศรษฐกิจ/

ด่าหลาน เอายามาทานที่ เจา้ โคตร / เหยาส่อง ความขดั แย้งของ

บ้าน สมาชกิ


Click to View FlipBook Version