The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน รวม 5 บท

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 129 หอมไกล ศิริ, 2024-01-30 23:24:46

วิจัยในชั้นเรียน รวม 5 บท

วิจัยในชั้นเรียน รวม 5 บท

Keywords: ผลงานฝึกสอน

การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์เรื่อง ลักษณะทั่วไปของ ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) หอมไกล ศิริ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์เรื่อง ลักษณะทั่วไปของ ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) หอมไกล ศิริ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


ก ชื่อเรื่อง : การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไป ของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ผู้วิจัย : นางสาวหอมไกล ศิริ สาขาวิชา : สังคมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร. วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม : อาจารย์ ชฎล นาคใหม่ ครูพี่เลี้ยง : นางบัวเงิน มหาเพชร บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชา ภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบ ฝึกทักษะ สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ปีการศึกษา 2566 จำนวนนักเรียน 32 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) นวัตกรรมที่ใช้ในการศึกษา คือ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของ ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าความยาก (p) อยู่ระหว่าง 0.13 – 0.86 ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ ระหว่าง 0.24 – 0.83 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานใช้ t-test Dependent Sample ผลการวิจัย พบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 97.58/80.21ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ไว้2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาภูมิศาสตร์ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT (Learning Together) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


ข กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยฉบับนี้ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไป ของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ซึ่งรายงานวิจัยนี้สำเร็จ ลงได้ด้วยด้วยความกรุณาและความช่วยเหลือจาก ผศ.ดร.วินัย ภาระเวช ประธานสาขาวิชาสังคม ศึกษา ผศ.ยุธยา หมื่นสาย และอาจารย์ไกรวุฒิ ชูวิลัย อาจารย์ประจำสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีโดยท่านได้ให้คำแนะนำและคำปรึกษา พร้อมทั้งได้ตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบเนื้อหาตลอดจนการเก็บรวบรวมข้อมูลและการสรุป ผลการวิจัยจนสำเร็จออกมาเป็นรูปเล่มมาในขณะนี้ ผู้จัดทำรายงานการวิจัยจึงขอขอบคุณพระ คุณท่านไว้ ณ ที่นี้เป็นอย่างสูง ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญ ว่าที่ ร.อ.ดร.วรันธร ทองบ่อ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม นางสาววิไลรัตน์ ปรีดายุทธนา (ครูชำนาญการพิเศษ) และนางบัวเงิน มหาเพชร (ครูพี่เลี้ยง) ครูประจำการกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียน ประจักษ์ศิลปาคาร ที่กรุณาตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือในการวิจัยของข้าพเจ้า และขอขอบคุณ กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการทำวิจัยในครั้งนี้ สุดท้ายนี้ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณครอบครัว รุ่นพี่สาขาวิชาสังคมศึกษา เพื่อนสาขาวิชาสังคม ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีและขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้งานวิจัยฉบับ นี้สำเร็จไปได้ด้วยดี หอมไกล ศิริ


ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ..................................................................................................................... .............. ก กิตติกรรมประกาศ.............................................................................................................. ...... ข สารบัญ....................................................................................................................... ............... ค-ง สารบัญตาราง.................................................................................................................. ......... จ-ฉ สารบัญภาพ.................................................................................................................... .......... ช บทที่ 1 บทนำ.............................................................................................................. 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา................................................................ 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย....................................................................................... 4 สมมติฐานการวิจัย................................................................................................. 4 ขอบเขตของการวิจัย.............................................................................................. 4 นิยามศัพท์เฉพาะ................................................................................................... 6 ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัย............................................................................ 7 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง....................................................................... 8 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551……………………………… 8 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551...................................................................................................................... 14 มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.................................................................................................. 18 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระภูมิศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)............................................................................................................. 25 การสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together)………………………………………………………………………………………………… 32 แผนการจัดการเรียนรู้............................................................................................ 47 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้................................................................ 52 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน................................................................. 54


ง สารบัญ (ต่อ) หน้า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน......................................................................................... 58 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง................................................................................................ 63 กรอบแนวคิดในงานวิจัย........................................................................................ 73 3 วิธีดำเนินการวิจัย............................................................................................ 74 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.................................................................................... 74 แบบแผนการทดลองที่ใช้ในการวิจัย...................................................................... 74 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย........................................................................................ 75 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ................................................................... 76 การเก็บรวบรวมข้อมูล……………….......................................................................... 79 การวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................................ 79 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................... 81 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................... 84 ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์เพื่อหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระ วิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย.................. 84 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและ หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1........................... 88 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ............................................................. 92 สรุปผลการวิจัย...................................................................................................... 92 อภิปรายผล............................................................................................................ 93 ข้อเสนอแนะ.......................................................................................................... 97 บรรณานุกรม................................................................................................................... ......... 99 ภาคผนวก...................................................................................................................... ........... 103 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ.............................. 104 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................... 106 ภาคผนวก ค ข้อมูลการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและการวิเคราะห์ผล. 127 ภาคผนวก ง ภาพบรรยากาศการสอนในชั่วโมงที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้....... 142 ประวัติผู้วิจัย.............................................................................................................. ............... 144


จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ มาตรฐาน ส 5.1.......................................................... 23 2 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ มาตรฐาน ส 5.2.......................................................... 24 3 ตารางการเรียนรู้เรื่องภูมิศาสตร์.............................................................................. 28 4 ตารางที่ 4 ผลรวมของคะแนนระหว่างเรียนและคะแนนหลังเรียนด้วยการแผนการ จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอ เชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1/1...................................................... 86 5 ตารางที่ 5 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้น ปีที่ 1/1 ……………………………………………………………………………………………………… 88 6 ตารางที่ 6 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระ วิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ก่อนเรียน และหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ................................................. 89 7 ตารางที่ 7 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบที่แบบไม่อิสระของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ................................................. 91 8 ตารางที่ ค.1 แสดงการคำนวณค่า IOC จากผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดของแผนการ จัดการเรียนรู้เรียน เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย จาก ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด................................................................................................... 128 9 ตารางที่ ค.2 แสดงการคำนวณค่า IOC ความสอดคล้องคุณภาพของแบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย จากผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด………………………………………................................................... 131


ฉ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 10 ตารางที่ ค.3 วิเคราะห์ค่าความยาก (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) รายข้อแบบอิงกลุ่ม ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะ ทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together)……………………………... 133 11 ตารางที่ ค.4 แสดงคะแนนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ใช้ในการคัดเลือกข้อสอบ ซึ้งเรียง จากมากไปหาน้อย ดังตราราง.................................................................................................. 135 12 ตารางที่ ค.5 ผลวิเคราะห์ความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อลักษณะสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของทวีปแอฟริกาที่คัดเลือก มาแล้ว จำนวน 35 ข้อ โดยใช้สูตร KR-20………………………………………………………. 137 13 ตารางที่ 9 การคัดเลือกข้อสอบ…………………………………………………………………….. 140


ช สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 เป้าหมายของการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์...................................................................... 27 2 กรอบแนวคิดในการวิจัย.............................................................................................. 73


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้ำฯ ให้ ตราพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และทรงให้ไว้ ณ วันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2542 โดย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 และ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2562 นั้นได้ให้ความหมายของของการศึกษาไว้ว่า “การศึกษา” หมายถึง กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การ อบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคมการเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่องตลอดชีวิต และในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกราช2551 ยังมีวิสัยทัศน์ เพื่อมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้มนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีประมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็น ต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐาน ความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ (หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 : 4) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและมีความรู้ความเข้าใจในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ทั้งในฐานะ ปัจเจกบุคคล และการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ อย่างจำกัด เข้าใจถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลาตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ เกิดความ เข้าใจตนและผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับความจริงที่แตกต่างและมีคุณธรรม สามารถนำ ความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติและสังคมโลก โดยในกลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมได้ประกอบไปด้วยสาระต่างๆทั้งหมด 5 คือ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ และสาระที่ 5 ภูมิศาสตร์วิชาสังคมศึกษา จึงเป็นวิชาหนึ่ง ที่มีความสำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เพราะเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้าทาง เทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคม และแนวการจัดการศึกษายังให้ความสำคัญแก่ผู้เรียน โดยยึดหลักว่า ผู้เรียนสำคัญที่สุด มีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ จึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาตาม ธรรมชาติและตามศักยภาพ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2545:5)


2 สาระภูมิศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องทั้งวิทยาศาสตร์ และสังคมศาสตร์ สามารถบูรณาการ กับศาสตร์อื่นๆ ได้เช่น ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ รวมทั้งได้ พิจารณาเห็นว่า ปัจจุบันประเทศไทย และ พื้นที่ต่างๆ ของโลกเกิดภาวะวิกฤตด้านกายภาพ ด้าน สิ่งแวดล้อม และมีผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จึงจําเป็นที่จะต้องมีการทบทวนและปรับปรุง สาระภูมิศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ขึ้น การพัฒนาสาระภูมิศาสตร์ ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560 นี้ ยังคงยึดหลักการพัฒนาการเรียนรู้ตามธรรมชาติของกลุ่มสาระและพัฒนาการในการเรียนรู้ของ ผู้เรียน โดยกําหนดมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับระดับ ความรู้ความสามารถของ ผู้เรียน กล่าวคือ ระดับประถมศึกษาผู้เรียนจะได้เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวไปไกลตัว ระดับมัธยมศึกษา ตอนต้น ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของทวีปต่างๆ ที่ส่งผลต่อกิจกรรมของมนุษย์ อันจะนําไปสู่ การพัฒนาที่ยั่งยืน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ผู้เรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสาระ ภูมิศาสตร์ ที่มีความลุ่มลึกและทันสมัย ต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ช่วงอายุ 13-15 ปี โดยเฉพาะระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 มีความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นช่วงชั้นที่มีนักเรียนต่างโรงเรียนเพื่อ เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาเป็นขั้นแรก จึงมักจะทำให้ขาดความร่วมมือในการ ทำงาน วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วุฒิภาวะทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม จึงนับว่า เป็นวิกฤติช่วงหนึ่งของชีวิต เนื่องจากเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตวัยเด็กที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นของวัยจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าว จะมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างวัยรุ่นด้วยกันเอง ต่างวัย เพศเดียงกัน เพศตรงข้าม บุคคล รอบข้าง สิ่งแวดล้อม ฯลฯ หากกระบวนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นไปอย่างเหมาะสม โดยการดูแล เอาใจใส่ใกล้ชิด จะช่วยให้วัยรุ่นสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมและสามารถบรรเทาปัญหาต่างๆ ที่ อาจจะเกิดขึ้นตามมา และเป็นทั้งแรงผลักดันและแรงกระตุ้นให้พัฒนาการด้านอื่นๆ เป็นไปด้วยดี (บ้านจอมยุทธ, 2543) จากการศึกษาและสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 6 ห้อง จำนวน 189 คน (ห้องที่ได้รับหน้าที่ปฏิบัติการสอน) พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ประสบปัญหา ด้านการเรียนโดยมักจะแสดงพฤติกรรม เข้าใจในสิ่งที่เรียนช้า เล่นโทรศัพท์บ้างครั้งในเวลาครูสอน พฤติกรรมดังกล่าวอาจส่งผลไปยังผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาสังคมศึกษาต่ำได้ ทั้งนี้การจัดการ เรียนรู้จึงเป็นการจัดการบรรยากาศ จัดกิจกรรม จัดสื่อ จัดสถานการณ์ ฯลฯ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ได้เต็มตามศักยภาพ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีประสบการณ์ตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้นั้นต้อง อาศัยตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ช่วยกระตุ้นความต้องการของผู้เรียน และเป็นตัวการสำคัญใน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ในกระบวนการเรียนการสอนโดยนำเอาเทคนิค วัสดุ อุปกรณ์ และ วิธีการใช้ในการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการเรียนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ


3 สำหรับในการจัดกิจกรรมหรือออกแบบการเรียนรู้ อาจทำได้หลายวิธีการและหลายเทคนิค แต่มีข้อ ควรคำนึงว่า ในการจัดการเรียนรู้แต่ละครั้ง แต่ละเรื่องควรเปิดโอกาสให้นักเรียนเป็นผู้เลือกหรือ ตัดสินใจในเนื้อหาสาระที่สนใจ เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม การเรียนรู้ โดยได้คิด ได้รวบรวมความ รู้และลงมือปฏิบัติจริงด้วยตนเองหรือไม่ (ทิศนา แขมมณี, 2543) ซึ่งรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) จะสามารถช่วยให้ นักเรียนได้พัฒนาทักษะการทำงานร่วมกัน ทักษะการอ่าน การคิด การสื่อสาร และช่วยพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้นได้ การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) เป็นเทคนิคที่มีกระบวนการในการ สอนที่ไม่ยุ่งยากและซับซ้อน เป็นกลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together : LT) กลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให้สมาชิกในกลุ่มได้รับผิดชอบ มีบทบาทหน้าที่ทุกคน เช่น เป็นผู้อ่าน เป็นผู้จดบันทึก เป็นผู้รายงานนำเสนอ เป็นต้น ทุกคนช่วยกันทำงาน จนได้ผลงานสำเร็จ ส่งและ นำเสนอผู้สอน (อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2550 : 23) โดยเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่นักเรียนได้ ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ผลงานกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน มีการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในขณะที่ทำงานนักเรียนต้องช่วยกันคิดและช่วยกันตอบคำถาม โดยกระบวนการ คือให้สมาชิกในกลุ่มช่วยกันศึกษาเนื้อหาร่วมกัน โดยกำหนดให้แต่ละคนมีบทบาทหน้าที่ช่วยกลุ่มใน การเรียนรู้พยายามทำให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมและทุกคนเข้าใจที่มาของคำตอบได้ช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน โดยให้นักเรียนขอความช่วยเหลือจากเพื่อนก่อนที่จะถามครู และครูชมเชยหรือให้รางวัลเป็น การเรียนรู้ไม่น่าเบื่อ นักเรียนมีความรับผิดชอบทั้งในส่วนตนและส่วนรวม ทั้งยังเป็นการส่งเสริม ประชาธิปไตยในชั้นเรียนและเพื่อให้กลุ่มได้รับความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ดังนั้น จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยซึ่งปฏิบัติหน้าที่ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จึงมีความสนใจที่จะนำกิจกรรมรูปแบบการสอนโดยการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) มาใช้ในการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชา ภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) เพื่อนำผลที่ได้จากการศึกษามาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการสอนในรายวิชา ในเนื้อหาเรื่องอื่น ๆ และส่งเสริมการเรียนการสอนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น อันจะทำ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนสูงขึ้น


4 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.2.1 เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะ ทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ แบบฝึกทักษะ สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) 1.3 สมมติฐานการวิจัย 1.3.1 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของ ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) มีประสิทธิภาพ 80/80 1.3.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญ 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1.4.1 ด้านเนื้อหา ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้จัดรูปแบบการเรียนรู้ในสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะ ทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) จำนวน 9 แผน รวม 9 ชั่วโมง ดัง รายละเอียด คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ทดสอบก่อนเรียน เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องทำเลที่ตั้ง และอาณาเขตของทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง 3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่องลักษณะภูมิประเทศของทวีปออสเตรเลีย จำนวน 1 ชั่วโมง


5 4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่องลักษณะภูมิประเทศหมู่เกาะโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง 5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่องลักษณะภูมิอากาศและพืชพรรณธรรมชาติทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง 6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่องลักษณะทรัพยากรธรรมชาติของทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง 7) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่องลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง 8) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่องลักษณะเศรษฐกิจของทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง 9) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่องทดสอบหลังเรียนเรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.2. ด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.4.2.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 6 ห้อง โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 ทั้งหมดจำนวน 189 คน 1.4.2.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ชั้นปีที่ 1/1 ทั้งหมดจำนวน 32 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 1.4.3 ด้านตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 1.4.3.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ แผนการจัดรูปแบบการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย ชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 1.4.3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไป ของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 มีประสิทธิภาพมากกว่าหรือเท่ากับ 80/80 1.4.4 ระยะเวลาในการวิจัย ตลอดปีการศึกษา 2566


6 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.5.1 แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้ในสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) จำนวน 9 แผน รวม 9 ชั่วโมง 1.5.2 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชา ภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นซึ่ง ผ่านกระบวนการตรวจสอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียน ที่ได้จากการทำแบบฝึก ทักษะ ใบงาน ชิ้นงาน และพฤติกรรมระหว่างเรียนของนักเรียนที่ได้ทำการเรียนรู้ของแผนการจัดการ เรียนรู้ในสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ระดับชั้น มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) จำนวน 9 แผน รวม 9 ชั่วโมง 80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนที่ได้จากการทำการวัดผล สัมฤทธิ์ด้วยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย ระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT (Learning Together) 1.5.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ซึ่งวัดได้จากการทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดซึ่งเป็น ข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 1.5.4 นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ที่กำลัง ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 1.5.5 โรงเรียน หมายถึง โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี กระทรวงศึกษาธิการ 1.5.6 รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) หมายถึง เทคนิคที่มี กระบวนการในการสอนเป็นกลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน โดยเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่นักเรียนได้ ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มได้รับผิดชอบ มีบทบาทหน้าที่ทุกคน ทุกคนช่วยกันทำงาน เพื่อให้ได้ผลงานกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้


7 ในขณะที่ทำงานนักเรียนต้องช่วยกันคิดและช่วยกันตอบคำถาม เพื่อให้กลุ่มได้รับความสำเร็จตาม เป้าหมายที่กำหนดไว้ 1.6 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1.6.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT (Learning Together) ดีขึ้น 1.6.2 ได้แผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT (Learning Together) อย่างมีประสิทธิภาพ 1.6.3 สามารถนำไปพัฒนา ปรับปรุงและประยุกต์เป็นข้อมูลสาระสนเทศ ให้เกิดประโยชน์ใน การเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ต่อไป 1.6.4 เป็นแนวทางในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับครูผู้สอน และผู้สนใจในเนื้อหาวิชา และระดับชั้นอื่น ๆ ต่อไป


8 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ทำการวิจัย เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์การทางเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) และได้ศึกษาเอกสารทางวิชาการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้ 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 2.3 มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.4 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระภูมิศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) 2.5 การสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) 2.6 แผนการจัดการเรียนรู้ 2.7 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.8 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.9 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.10 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.11 กรอบแนวคิดในการวิจัย 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ให้เป็น หลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยกำหนดจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบ ทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีดความสารมารถใน การแข่งขันในเวทีโลก (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544) การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจทางการศึกษาให้ท้องถิ่นและสถานศึกษาได้มี บทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของ ท้องถิ่น (สำนักนายกรัฐมนตรี, 2542) และกระทรวงศึกษาธิการก็ได้มีการค้นพบในการศึกษาวิจัยและ ติดตามผลการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ที่ผ่านมา ประกอบกับข้อมูลจาก แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาคนในสังคมไทยและ จุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนสู่ศตวรรษที่ 21 จึงเกิดการทบทวนหลักสูตร


9 การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เพื่อนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่มีความเหมาะสม ชัดเจน ทั้งเป้าหมายของหลักสูตรในการพัฒนา คุณภาพผู้เรียนและกระบวนการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นที่การศึกษาและ สถานศึกษา โดยได้มีการกำหนดวิสัยทัศ จุดมุ่งหมาย สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพื่อใช้เป็นทิศทางในการจัดทำหลักสูตร การเรียน การสอนในแต่ละระดับ นอกจากนั้นยังได้กำหนดโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐานของแต่ละกลุ่มสาระการ เรียนรู้ในแต่ละชั้นปีไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานและเปิดโอกาสให้สถานศึกษา เพิ่มเติมเวลาเรียนได้ตามความพร้อมและจุดเน้น อีกทั้งได้ปรับกระบวนการวัดและประเมินผลการ เรียนรู้เกณฑ์การจบการศึกษาแต่ละระดับและเอกสารแสดงหลักฐานทางการศึกษาให้มีความ สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และมีความชัดเจนต่อการนำไปปฏิบัติ (หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน,2551 : 1-2) โดยได้กำหนดองค์ประกอบต่าง ๆ ไว้ ดังนี้ 2.1.1 วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็น มนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็น พลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้ และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและทักษะพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ตามศักยภาพ 2.1.2 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 1) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมาย และมี มาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติและ คุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ 3) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและ การจัดการเรียนรู้ 5) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 9-


10 6) เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ 2.1.3 จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มี ศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1) มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง 2) มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 3) มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 4) มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5) มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างมีความสุข 2.1.4 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียน ให้มี คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้นจะ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสารมีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อ ตนเองและสังคม 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม


11 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบ ที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และ การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและ ความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้าน การเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม 2.1.5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตาม บริบทและจุดเน้นของตนเองของแต่ละที่ตามบริบทได้ 2.1.6 หลักสูตรสถานศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร พุทธศักราช 2564 ได้จัดทำขึ้นตามแนวทางที่ กำหนดไว้ในตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ (ฉบับปรับปรุง 2560) และ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และเป็นไปตามมาตรา 27 วรรคสอง


12 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซึ่ง กำหนดให้สถานศึกษามีหน้าที่จัดทำสาระของหลักสูตรสถานศึกษาตามหลักการ จุดหมายของ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดเพื่อตอบสนองต่อความต้องการในส่วนที่เกี่ยวกับ สภาพปัญหาในชุมชนและสังคมภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะที่พึงประสงค์ เพื่อให้เยาวชนเป็น สมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ช่วย ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับเห็นผลคาดหวังที่ต้องการในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ ชัดเจนตลอดแนวซึ่งจะสามารถช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาร่วมกัน พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาได้อย่างมั่นใจ ทำให้การจัดทำหลักสูตรในระดับสถศึกษามีคุณภาพและมี ความเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้เกิดความชัดเจนเรื่องการวัดและประเมินผลการเรียนรู้และ ช่วยแก้ปัญหาเทียบโอนระหว่างสถานศึกษา ดังนั้นในการพัฒนาหลักสูตรในทุกระดับตั้งแต่ระดับชาติ จนกระทั่งถึงสถานศึกษา จะต้องสะท้อนคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานรวมทั้งเป็นกรอบทิศทางในการจัดการศึกษาทุกรูปแบบ และ ครอบคลุมผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมายในระดับการศึกษาชั้นพื้นฐาน การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาขั้น พื้นฐานจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังได้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบ โดยร่วมกันทำงานอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่องในการ วางแผน ดำเนินการ ส่งเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขเพื่อพัฒนาเยาวชนของชาติ ไปสู่คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ 2.1.6.1 วิสัยทัศน์ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ คู่คุณธรรม สู่ มาตรฐานสากลบนพื้นฐานการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม 2.1.6.2 พันธกิจ 1) จัดการศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน สู่ มาตรฐานสากล 2) ส่งเสริม สนับสนุนการใช้เทคโนโลยี แหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้เอื้อต่อ การเรียนรู้อย่ามี คุณภาพ 3) ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ปลูกจิตสํานึกให้มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีความเป็นไทย รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองและสังคม 4) ส่งเสริมครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้และความสามารถ มี คุณภาพตาม มาตรฐานวิชาชีพ


13 5) บริหารจัดการศึกษาโดยภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมในการพัฒนา 2.1.6.3 เป้าประสงค์ 1) ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ สู่ มาตรฐานสากล 2) ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และมีความเป็นพลโลก 3) ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีสมรรถนะตามมาตรฐาน วิชาชีพ 4) โรงเรียนมีระบบเทคโนโลยี สารสนเทศที่สามารถตอบสนอง รองรับต่อ ผู้รับบริการอย่างมี ประสิทธิภาพ 5) โรงเรียนมีระบบบริหารจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพโดยยึดหลักธรรม มาภิบาล 2.1.6.4 กลยุทธ์ 1) พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานสู่ มาตรฐานสากล 2) ส่งเสริม สนับสนุนผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตร 3) ส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้บริหาร ครูและบุคลการทางการศึกษาให้มี สมรรถนะตามมาตรฐาน 4) พัฒนาเทคโนโลยี แหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เอื้อต่อการเรียนรู้ อย่างมีคุณภาพ 5) พัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล เน้น กระบวนการมีส่วนร่วม 2.1.6.5 สมรรถนะสําคัญของผู้เรียน หลักสูตรโรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2566 ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษา ชั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) มุ่งให้ผู้เรียน เกิด สมรรถนะสําคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสารมี วัฒนธรรมใน การใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารและ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัด และลดปัญหา ความขัดแย้งต่าง ๆ การเสือกรับหรือไม่รับข้อมูล ข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้ วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดย คํานึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม


14 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์การคิด สังเคราะห์ การคิดอย่าง สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนําไปสู่การ สร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและ อุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูล สารสนเทศ เข้าใจ ความสัมพันธ์และการ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการ ป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคํานึงถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนํา กระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการดําเนินชีวิตประจําวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทํางาน และการอยู่ ร่วมกันใน สังคมด้วยการ สร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การ จัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสมการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม และสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยง พฤติกรรม ไม่พึงประสงค์ที่ส่งผล กระทบต่อตนเองและ ผู้อื่น 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยี ด้านต่าง ๆ และมี ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ใน ด้านการเรียนรู้ การ สื่อสาร การทํางาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมี คุณธรรม 2.2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติและหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและ คุณลักษณะอันพึงประสงค์เป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชน ผู้สอนต้องพยายามคัด สรรกระบวนการเรียนรู้และการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ รวมทั้งปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะต่าง ๆ อันเป็นสมรรถนะสำคัญที่ ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียน ดังนี้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551: 25 – 26)


15 2.2.1 หลักการการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะ สำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานโดย ยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดที่เชื่อว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้โดยยึด ประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน ซึ่งกระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตาม ธรรมชาติและเต็มศักยภาพโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมองที่เน้นให้ ความสำคัญทั้งความรู้และคุณธรรม 2.2.2 กระบวนการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่ หลากหลายเป็นเครื่องมือที่นำพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตรและ กระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็น สำหรับผู้เรียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติหรือลงมือทำจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัยและ กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควร ได้รับการฝึกฝนและพัฒนา ทั้งนี้เพราะจะสามารถช่วยทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี บรรลุเป้าหมาย ของหลักสูตร ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ สามารถเลือกใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ 2.2.3 การออกแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะ สำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์แล้วจึงพิจารณาออกแบบการจัดการเรียนรู้โดย เลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผลเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนา เต็มศักยภาพและบรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญ 2.2.4 บทบาทของผู้สอนและผู้เรียน การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตร ทั้งผู้สอนและผู้เรียนควร มีบทบาท ดังนี้ 2.2.4.1 บทบาทของผู้สอน 1) ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล แล้วนำข้อมูลมาใช้ในการวาง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ท้าทายความสามารถของผู้เรียน 2) กำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ด้านความรู้และทักษะ กระบวนการที่เป็นความคิดรวบยอด หลักการและความสัมพันธ์ รวมทั้งคุณลักษณะอันพึงประสงค์


16 3) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่าง บุคคลและพัฒนาการทางสมอง เพื่อนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย 4) จัดบรรยายที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการ เรียนรู้ 5) จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน 6) ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสมกับ ธรรมชาติของวิชาและระดับพัฒนาการของผู้เรียน 7) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียนรวมทั้ง ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของตนเอง 2.2.4.2 บทบาทของผู้เรียน 1) กำหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง 2) เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อความรู้ ตั้งคำถาม คิดหาคำตอบหรือหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยวิธีการต่าง ๆ 3) ลงมือปฏิบัติจริง สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และนำความรู้ไป ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ 4) มีปฏิสัมพันธ์ ทำงาน ทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มและครู 5) ประเมินและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของตนเองอย่างต่อเนื่อง 2.2.5 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม มาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม นอกจากจะใช้ เป็นทิศทางในการจัดทำหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณสมบัติตามมาตรฐานแล้วยังใช้เป็นกรอบในการวัดและประเมินผลเพื่อตรวจสอบว่า ผู้เรียนมี พัฒนาการ มีความสามารถและมีความสำเร็จทางการเรียนระดับใดเพื่อนำผลมาใช้ในการส่งเสริมให้ ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งสถานศึกษาจะต้องมีผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ทั้งในระดับชั้น ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ระดับชาติ รวมทั้งรับการประเมินจากภายนอกด้วย เนื่องจาก การเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณธรรมและค่านิยมที่ดีงาม โดยมุ่งให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติแสวงหาความรู้มี การทำโครงการ โครงงาน เป็นผู้ผลิตงาน รวมทั้งมีการทำงานเป็นกลุ่มและการจัดทำแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) ด้วย ดังนั้น การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ดังกล่าวจะเน้นการประเมินผล จากสภาพ จริง (Authentic Assessment) อันเป็นผลการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการค้นหาความสามารถที่แท้จริงของ


17 ผู้เรียน รวมทั้งสามารถประเมินคุณลักษณะพึงประสงค์ที่เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน อันเป็นแนวทางที่พัฒนา ผู้เรียนได้เต็มศักยภาพเพื่อบรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดการวัดและประเมินจึงต้องใช้วิธีการที่ หลากหลายที่สอดคล้องและเหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ ซึ่งกระบวนการเรียนรู้โดย การประเมินจาก สภาพจริงและจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องควบคู่ ผสมผสานไปกับกิจกรรม การเรียนรู้ของผู้เรียน โดยการประเมินจะครอบคลุมทั้งความรู้ ทักษะกระบวนการ ความประพฤติ หรือพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและผลงานจากโครงงานหรือแฟ้มสะสมงานที่สะท้อน การสั่งสมการเรียนรู้ของผู้เรียน มาอย่างต่อเนื่อง การวัดและประเมินผลจะต้องกระทำในหลายบริบท อันได้แก่ ครูผู้สอนเป็นผู้ ประเมิน ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อนประเมินเพื่อน รวมทั้งผู้ปกครองจะมีส่วนร่วมในการประเมิน และแสดงความคิดเห็นและมีวิธีการวัดที่ทำได้หลายวิธี เช่น 1) การทดสอบ เป็นการประเมินเพื่อตรวจสอบความรู้ ความคิดหรือ ความก้าวหน้า ในสาระการเรียนรู้และมีเครื่องมือการวัดหลายรูปแบบ เช่น แบบเลือกตอบ แบบเขียนตอบบรรยาย ความ แบบเติมคำสั้นๆ แบบถูกผิดและ แบบจับคู่ เป็นต้น 2) การสังเกต เป็นการประเมินพฤติกรรม อารมณ์ การมีปฏิสัมพันธ์ของนักเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานกลุ่ม ความร่วมมือในการทำงาน การวางแผน ความอดทน วิธีการ แก้ปัญหา ความคล่องแคล่วในการทำงาน การใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในระหว่างเรียนและการทำ กิจกรรมต่าง ๆ ครูผู้สอนสามารถใช้การสังเกตได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจจะมีการสังเกตอย่างเป็นทางการ โดยกำหนดเวลาและบุคคลที่สังเกตหรือการสังเกตอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นการสังเกตทั่วไป โดย การวิเคราะห์องค์ประกอบของสิ่งที่สังเกต กำหนดเกณฑ์และร่องรอยที่จะใช้เป็นแนวทาง ในการ สังเกตด้วย และจัดทำเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) เป็นต้น 3) การสัมภาษณ์ เป็นการสนทนาซักถามพูดคุยเพื่อค้นหาข้อมูลที่ไม่อาจพบเห็น อย่างชัดเจนในสิ่งที่นักเรียนประพฤติปฏิบัติในการทำโครงการ โครงงาน การทำงานกลุ่ม กิจวัตร ประจำวันหรือผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์อาจเป็นตัวนักเรียนเอง เพื่อนร่วมงาน รวมทั้งผู้ปกครอง นักเรียนด้วย การสัมภาษณ์อาจทำอย่างเป็นทางการโดยกำหนดวัน เวลาและเรื่องที่สัมภาษณ์อย่าง แน่นอนและการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ เป็นการพูดคุยไม่เฉพาะเจาะจง ซึ่งจะทำให้เกิดความ สัมพันธภาพที่ดีและได้ข้อมูลที่ชัดเจนและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงโดยผู้สอนตั้งข้อคำถามไว้ ล่วงหน้าเพื่อจะได้คุยได้ตรงประเด็น เป็นต้น 4) การประเมินภาคปฏิบัติที่เป็นการประเมินการกระทำการปฏิบัติงานเพื่อประเมิน การสร้างผลงานชิ้นงานให้สำเร็จ การสาธิตหรือ การแสดงออกถึงทักษะและความสามารถของ นักเรียนได้ปรากฏในงานที่ตนสร้างขึ้นและการประเมินภาคปฏิบัติจะต้องทำเครื่องมือประกอบการ ประเมินด้วย เช่น Rating Scale, Checklist, Scoring Rubric เป็นต้น


18 5) Scoring Rubric เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบและประเด็นที่จะประเมิน เพื่ออธิบายลักษณะของคุณภาพงานหรือการกระทำเป็นระดับคุณภาพหรือประมาณหรือระดับ ความสามารถ เพื่อเป็นแนวทางในการประเมินและเป็นข้อมูลสำคัญแก่ครูผู้สอน ผู้ปกครองหรือผู้สนใจ อื่น ๆ ได้ทราบว่านักเรียนรู้อะไร ทำได้มากเพียงใด มีคุณภาพผลงานเป็นอย่างไรโดยผู้ประเมินให้ คะแนนภาพรวมหรืออาจจำแนกองค์ประกอบก็ได้ 6) การประเมินแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio Assessment) เป็นการประเมิน ความสามารถในการผลิตผลงาน การบูรณาการความรู้ รวบรวมผลงาน การคัดเลือกผลงานการ สะท้อนความคิดเห็นต่อผลงานทั้งการประเมินผลและการประเมินแฟ้มสะสมผลงาน ซึ่งเป็นการ ประเมินการจัดการและความคิดสร้างสรรค์จากหลักฐานแสดงความรู้ความสามารถในผลงานอันแสดง ถึงสัมฤทธิ์ผลและศักยภาพของนักเรียนในสาระการเรียนรู้นั้น สรุปได้ว่า กระบวนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ที่ได้มุ่งเน้นนักเรียนเป็นสำคัญโดยให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง รู้จักการเรียนรู้ การค้นคว้า จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ และเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตทำให้นักเรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ ซึ่งต้องอาศัยวิธี สอนที่แตกต่างกันไปและที่สำคัญมีเป้าหมายในการส่งเสริมศักยภาพการเป็นพลเมืองดีโดยหลอมรวม วิทยาการแขนงต่าง ๆ มาบูรณาการเพื่อมุ่งพัฒนาคนให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ที่สามารถพึ่งตนเองในด้านการ คิด การปฏิบัติและการตัดสินใจด้วยตนเองและทำงานเป็นกลุ่มร่วมมือกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ที่ สามารถพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมได้และใช้ความรู้มาสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ 2.3 มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) 2.3.1 ทำไมต้องเรียนสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สังคมโลกมีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช่วยให้ ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ว่ามนุษย์ดำรงชีวิตอย่างไร ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคล และการอยู่ร่วมกันใน สังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด นอกจากนี้ ยังช่วยให้ ผู้เรียนเข้าใจถึงการพัฒนา เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา ตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ ทำให้เกิดความ เข้าใจในตนเอง และผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับในความแตกต่าง และมีคุณธรรม สามารถนำ ความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ และสังคมโลก


19 2.3.2 เรียนรู้อะไรในสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่มีความเชื่อมสัมพันธ์กัน และมีความ แตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกับบริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม โดยได้กำหนดสาระต่าง ๆ ไว้ ดังนี้ 2.3.2.1 ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การนำหลักธรรมคำสอนไป ปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทำความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม 2.3.2.2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิต ระบบการเมือง การปกครองในสังคม ปัจจุบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและความสำคัญ การเป็นพลเมืองดี ความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยมด้านประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพการดำเนินชีวิตอย่างสันติสุขในสังคมไทยและสังคมโลก 2.3.2.3 เศรษฐศาสตร์การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและ บริการ การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดำรงชีวิตอย่างมีดุลย ภาพ และการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวัน 2.3.2.4 ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทาง ประวัติศาสตร์ พัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงของ เหตุการณ์ต่าง ๆ ผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการ เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในอดีต ความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยะ ธรรมที่สำคัญของโลก 2.3.2.5 ภูมิศาสตร์ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศของประเทศไทย และภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก การใช้แผนที่และ เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กันของสิ่งต่าง ๆ ในระบบธรรมชาติความสัมพันธ์ของมนุษย์กับ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น การนำเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน


20 2.3.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้ และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และ ปฏิบัติตามหลักธรรมเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดี และธำรงรักษาพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็น พลเมืองดีมีค่านิยมที่ดีงามและธำรงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันใน สังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคม ปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธำรงรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส.3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรใน การผลิตและการบริโภคการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจ หลักการของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ มาตรฐาน ส.3.2 เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความจำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุค สมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็น ระบบ มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึง ปัจจุบัน ในด้านความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึง ความสำคัญและสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้น มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิ ปัญญาไทย มีความรักความภูมิใจและธำรงความเป็นไทย


21 สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพและ ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซึ่งมีผล ต่อกันและกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนที่และเครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์ ในการค้นหาวิเคราะห์ สรุป และใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กัสภาพแวดล้อม ทางกายภาพที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรม มีจิตสำนึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดระยะเวลาที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ตาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา สาสนาและวัฒนธรรมได้มีส่วนส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพและมี จุดเน้นให้ผู้เรียนเรียนจบปีสุดท้ายของแต่ละช่วงชั้น ดังนี้ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 - ได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้าง ตลอดจน สภาพแวดล้อมในท้องถิ่น ที่อยู่อาศัยและเชื่องโยงประสบการณ์ไปสู่โลกกว้าง - ผู้เรียนได้รับการพัฒนาให้มีทักษะกระบวนการและมีข้อมูลที่ จำเป็นต่อการพัฒนาให้เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาที่ตน นับถือ มีความเป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ การอยู่ร่วมกันและการทำงานกับผู้อื่น มีส่วนร่วมใน กิจกรรมของห้องเรียนและได้ฝึกหัดในการตัดสินใจ - ได้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียนและชุมชน ในลักษณะการบูรณาการ ผู้เรียนได้เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับปัจจุบันและอดีต มีความรู้พื้นฐานทาง เศรษฐกิจได้ข้อคิดเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่ายของครอบครัว เข้าใจถึงการเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค รู้จักการ ออมขั้นต้นและวิธีการเศรษฐกิจพอเพียง - ได้รับการพัฒนาแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญา เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความ เข้าใจในขั้นที่สูงต่อไป จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 - ได้เรียนรู้เรื่องของจังหวัด ภาคและประทศของตนเองทั้งเชิง ประวัติศาสตร์ ลักษณะทางกายภาพ สังคม ประเพณี และวัฒนธรรม รวมทั้งการเมืองการปกครอง สภาพเศรษฐกิจโดยเน้นความเป็นประเทศไทย


22 - ได้รับการพัฒนาความรู้และความเข้าใจ ในเรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตนตามหลักคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีส่วนร่วมศาสนพิธีและพิธีกรรม ทางศาสนามากยิ่งขึ้น - ได้ศึกษาและปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สิทธิหน้าที่ใน ฐานะพลเมืองดีของท้องถิ่น จังหวัด ภาค และประเทศ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตาม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ของท้องถิ่นตนเองมากยิ่งขึ้น - ได้ศึกษาเปรียบเทียบเรื่องราว ของจังหวัดและภาคต่างๆของ ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้รับการพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์ เกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์เพื่อขยายประสบการณ์ไปสู่การ ทำความเข้าใจ ในภูมิภาค ซีกโลกตะวันออกและตะวันตกเกี่ยวกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต การจัดระเบียบทางสังคม และการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมจากอดีตสู่ปัจจุบัน จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 - ได้เรียนรู้และศึกษาเกี่ยวกับความเป็นไปของโลก โดยการศึกษา ประเทศไทยเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคต่างๆในโลก เพื่อพัฒนาแนวคิดเรื่องการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติสุข - ได้เรียนรู้และพัฒนาให้มีทักษะที่จำเป็นต่อการเป็นนักคิดอย่างมี วิจารณญาณได้รับการพัฒนาแนวคิด และขยายประสบการณ์ เปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับ ประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ในโลก ได้แก่ เอเชีย โอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ใน ด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การเมือง การปกครอง ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ และสังคมศาสตร์ - ได้รับการพัฒนาแนวคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคต สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ ในการดำเนินชีวิตและวางแผนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 - ได้เรียนรู้และศึกษาความเป็นไปของโลกอย่างกว้างขวางและ ลึกซึ้งยิ่งขึ้น - ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้พัฒนาตนเองเป็นพลเมืองที่ดี มี คุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีค่านิยมอันพึงประสงค์ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมทั้งมีศักยภาพเพื่อการศึกษาต่อในชั้นสูง ตามความประสงค์ได้


23 - ได้เรียนรู้เรื่องภูมิปัญญาไทย ความภูมิใจในความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ของชาติไทย ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข - ได้รับการส่งเสริมให้มีนิสัยที่ดีในการบริโภค เลือกและตัดสินใจ บริโภคได้อย่างเหมาะสม มีจิตสำนึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรมไทย และ สิ่งแวดล้อม มีความรักท้องถิ่นและประเทศชาติ มุ่งทำประโยชน์ และสร้างสิ่งที่ดีงามให้กับสังคม - เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ชี้นำ ตนเองได้ และสามารถแสวงหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆในสังคมได้ตลอดชีวิต 2.3.4 สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์และมาตรฐานการเรียนรู้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพและความสัมพันธ์ของ สรรพสิ่งซึ่งมีผล ต่อกันและกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ในการ ค้นหาวิเคราะห์ สรุป และใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ตารางที่ 1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ มาตรฐาน ส 5.1 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ 1. เลือกใช้เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ (ลูกโลก แผนที่ กราฟ แผนภูมิ) ในการสืบค้นข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ ลักษณะทางกายภาพและสังคมของประเทศไทยและ ทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย - เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ (ลูกโลก กราฟ แผนภูมิ ฯลฯ) ที่แสดงลักษณะ ทางกายภาพและสังคมของประเทศไทย และทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชีย เนีย 2. อธิบายเส้นแบ่งเวลาและเปรียบเทียบ วัน เวลา ของประเทศไทยกับทวีปต่างๆ - เส้นแบ่งเวลาของประเทศไทยกับทวีป ต่างๆ - ความแตกต่างของเวลา มาตรฐานกับ เวลาท้องถิ่น 3. วิเคราะห์เชื่อมโยง สาเหตุและแนวทางป้องกันภัย ธรรมชาติและการระงับภัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและ ทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย - ภัยธรรมชาติและการระวังภัยที่เกิดขึ้น ในประเทศไทยและทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย


24 มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรม มีจิตสำนึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรและ สิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตารางที่2 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ มาตรฐาน ส 5.2 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ 1. วิเคราะห์ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทาง ธรรมชาติของทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชีย เนีย - การเปลี่ยนแปลงประชากร เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย - การก่อเกิดสิ่งแวดล้อมใหม่ทางสังคม - แนวทางการใช้ทรัพยากรของคนใน ชุมชนให้ใช้ได้นานขึ้น โดยมีจิตสำนึกรู้คุณ ค่าของทรัพยากร - แผนอนุรักษ์ทรัพยากรในทวีปเอเชีย 2. วิเคราะห์ความร่วมมือของประเทศต่างๆ ที่มีผล ต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติของทวีปเอเชีย ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย - ความร่วมมือของประเทศต่างๆ ในทวีป เอเชีย ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย ที่มีผล ต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ 3. สำรวจและอธิบายทำเลที่ตั้งกิจกรรมทาง เศรษฐกิจและสังคมในทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและ โอเชียเนียโดยใช้แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย - ทำเลที่ตั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจและ สังคมในทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและโอ เชียเนีย เช่น ศูนย์กลางการคมนาคม 4. วิเคราะห์ปัจจัยทางกายภาพและสังคมที่มีผลต่อ การเลื่อนไหลของความคิด เทคโนโลยี สินค้าและ ประชากรในทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย - ปัจจัยทางกายภาพและสังคมที่มีผลต่อ การเลื่อนไหลของความคิด เทคโนโลยี สินค้าและประชากรในทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย สรุปได้ว่า มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 นั้นมุ่งเน้นที่ การแบ่งหลักสูตรออกเป็นระดับชั้น เพื่อให้ง่ายแก่การจัดการเรียนการสอนของครูและการศึกษาของ นักเรียนให้เป็นลำดับอย่างชัดเจน ว่าระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะ


25 มีเนื้อหาใดบ้างในการเรียนแต่ละชั้นปี มาตรฐานแต่ละมาตรฐานก็มุ่งเน้นที่จะพัฒนาไปเป็นลำดับขั้น และเรียงลำดับการเกิดขึ้นของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง 2.4 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระภูมิศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางสาระภูมิศาสตร์ ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560 (2560 : 1-7) 2.4.1 ความเป็นมาของการปรับสาระภูมิศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศ เมื่อวันที่ 11 กรกฎคม 2551 ซึ่งใช้มาเป็น เวลากว่า 9 ปี สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสำนักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา ได้ดำเนินการติดตามผลการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องในหลายรูปแบบ ทั้ง การประชุมรับฟังความคิดเห็น การนิเทศติดตามผลการใช้หลักสูตรของโรงเรียน การรับฟังความ คิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา รายงานผลการวิจัยของหน่วยงานและ องค์กรที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและการใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ผลจากการศึกษา พบว่า ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจาก การนำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สู่การปฏิบัติในสถานศึกษา และในห้องเรียนอย่างไรก็ตาม ในด้านของเนื้อหาสาระ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางฯ พบว่า มาตรฐาน การเรียนรู้ และตัวชี้วัดในบางกลุ่ม สาระการเรียนรู้ ได้แก่ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ การงานอาชีพและเทคโนโลยี และสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ยังไม่เพียงพอต่อ การรองรับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหัวใจของการวางรากฐาน ขีดความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศ การพัฒนาศักยภาพคน ยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ ๒๑ ให้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ก้าวทันและทัดเทียมนานาชาตินอกจากนี้ การศึกษาข้อมูลทิศทางและกรอบยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาของการปฏิรูปประเทศและสถานการณ์โลก ที่เปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วและเชื่อมโยงใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยจัดทำบนพื้นฐานของกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ซึ่งเป็นแผนหลักของการพัฒนาประเทศ และเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 รวมทั้งการ ปรับโครงสร้างประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 ซึ่งยุทธศาสตร์ชาติที่จะใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนา ในระยะ 20 ปีต่อจากนี้ ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง (2)


26 ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน (3) ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้าง ศักยภาพคน (4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม (5) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ (6) ยุทธศาสตร์ ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์และทิศทางการ พัฒนาประเทศ กระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงได้พิจารณา ปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้สอดคล้องกับแผนดังกล่าว ใน ประเด็นด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน เพื่อการ รองรับการเปลี่ยนแปลง และที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยกำหนดให้ปรับปรุงและ พัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การงานอาชีพและเทคโนโลยี และสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เฉพาะสาระภูมิศาสตร์ เป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วน โดยปรับปรุงมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดให้มี ความชัดเจน ครอบคลุม ยืดหยุ่นทั้งเนื้อหา เวลา สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน ตามเจตนารมณ์ ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระภูมิศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ เกี่ยวข้องทั้งวิทยาศาสตร์ และสังคมศาสตร์ สามารถบูรณาการกับศาสตร์อื่นๆ ได้ เช่น ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ รวมทั้งได้พิจารณาเห็นว่า ปัจจุบันประเทศไทย และ พื้นที่ต่างๆ ของโลกเกิดภาวะวิกฤตด้านกายภาพ ด้านสิ่งแวดล้อม และมีผลกระทบอย่างรุนแรงมาก ขึ้นเรื่อยๆ ผู้เรียนจึงต้องมีทักษะ กระบวนการ และความสามารถทางภูมิศาสตร์ เพื่อเป็นเครื่องมือใน การเรียนรู้ประกอบกันดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการทบทวนและปรับปรุงสาระภูมิศาสตร์ ในกลุ่ม สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ขึ้นสาระภูมิศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุงนี้ยังคงยึดหลักการ พัฒนาการเรียนรู้ตามธรรมชาติของกลุ่มสาระและพัฒนาการในการเรียนรู้สำหรับผู้เรียน ซึ่งได้กำหนด มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับระดับความรู้ความสามารถของผู้เรียน กล่าวคือ ระดับ ประถมศึกษาผู้เรียนจะได้เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวไปไกลตัว ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ เกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของทวีปต่างๆ ที่ส่งผลต่อกิจกรรมของมนุษย์ อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ ยั่งยืน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายผู้เรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสาระภูมิศาสตร์ ที่มีความลุ่มลึก และทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก


27 2.4.2 เป้าหมายของการเรียนสาระภูมิศาสตร์ สาระภูมิศาสตร์ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลก ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต เพื่อให้รู้เท่าทัน ปรับตัวตาม การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสามารถใช้ทักษะ กระบวนการ ความสามารถทาง ภูมิศาสตร์ และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์จัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมตามสาเหตุและปัจจัย อันจะ นำไปสู่การปรับใช้ในการดำเนินชีวิตดังนั้น เพื่อให้การเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์บรรลุผลตามเป้าหมายที่ กำหนดไว้ จึงได้กำหนดทิศทางสำหรับครูผู้สอน เพื่อใช้เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่ส่งผลให้ผู้เรียน มีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ และทักษะกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ที่สะท้อนสมรรถนะสำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่มุ่งพัฒนาให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพใน การศึกษาต่อและการประกอบอาชีพ จึงได้กำหนดแนวทางการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วย (1) ความรู้ความเข้าใจทางภูมิศาสตร์(2) ความสามารถทางภูมิศาสตร์ (3) กระบวนการทางภูมิศาสตร์ (4) ทักษะทางภูมิศาสตร์ จากเป้าหมายของการเรียนสาระภูมิศาสตร์ที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปเป็น แผนภาพได้ ดังนี้ ภาพที่ 1 เป้าหมายของการเรียนสาระภูมิศาสตร์ เอกสารฉบับนี้จึงเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้สำหรับครู ตามการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ (geoliteracy) เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจได้อย่างถูกต้องและชัดเจน สามารถคิดอย่างเป็นระบบ ยืดหยุ่นได้ตามสภาพความเป็นจริง และนำความรู้ไปใช้ในการดำเนินชีวิต ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้


28 (3)การรู้เรื่องภูมิศาสตร์ (geo-literacy)การรู้เรื่องภูมิศาสตร์ เป็นความรู้พื้นฐานของผู้เรียนใน คริสต์ศตวรรษที่ 21 ในการแสวงหาความรู้ และตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับทำเลที่ตั้งหรือความสัมพันธ์ ของสิ่งต่างๆ บนพื้นผิวโลก การพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถดำรงตนอยู่ในวิถีของการเป็นพลเมืองโลกที่ดี ตลอดจนเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้องนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ ผู้เรียนตระหนักในการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ ผู้สอนควรจะสอดแทรกการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ในระหว่างการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน การรู้เรื่องภูมิศาสตร์เป็นลักษณะที่แสดงความสามารถในการใช้ความ เข้าใจเชิงภูมิศาสตร์ (ability to usegeographic understanding) และการให้เหตุผลทางภูมิศาสตร์ (geographic reasoning) เพื่อการตัดสินใจเชิงภูมิศาสตร์อย่างเป็นระบบ (systematic geographic decision) ในการแก้ไขปัญหาและวางแผนในอนาคต (problem solving and future planning) โดยอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ ความสามารถทางภูมิศาสตร์ กระบวนการทาง ภูมิศาสตร์ และทักษะทางภูมิศาสตร์ ดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 3 ตารางการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ 2.4.3 ความสามารถทางภูมิศาสตร์ การรู้เรื่องภูมิศาสตร์จำเป็นต้องอาศัยความสามารถในการให้เหตุผลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ บนโลกจากองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1) ความเข้าใจระบบธรรมชาติและมนุษย์ความเข้าใจระบบธรรมชาติและมนุษย์ ผ่านปฏิสัมพันธ์ (interaction) เป็นการเข้าใจความเป็นไปของโลกผ่านปฏิสัมพันธ์ของระบบธรรมชาติ และระบบมนุษย์ โดยในระบบธรรมชาติจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเข้าใจระบบของโลก สิ่งแวดล้อม และนิเวศวิทยา ที่เน้นหน้าที่และปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน นอกจากนี้ ในระบบมนุษย์จะเป็น การเข้าใจการประกอบกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์บนพื้นผิวโลก เช่น การตั้งถิ่นฐาน ลักษณะทาง วัฒนธรรม กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายของคน ข้อมูล และข่าวสาร


29 2) การให้เหตุผลทางภูมิศาสตร์ การให้เหตุผลทางภูมิศาสตร์ผ่านการเชื่อมโยง ระหว่างกัน (interconnection) เป็นการเข้าใจการเกิดปรากฏการณ์ในแต่ละสถานที่จากการมี ปฏิสัมพันธ์ของระบบกายภาพและระบบมนุษย์ ดังนั้น นอกจากความเชื่อมโยงระหว่างกัน ของทั้งสอง ระบบแล้ว การรู้และเข้าใจความเป็นมา สภาพทางภูมิศาสตร์ และสภาพทางสังคม เป็นปัจจัยสำคัญ ที่สามารถส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่แตกต่างกันในแต่ละสถานที่ได้ 3) การตัดสินใจอย่างเป็นระบบ การตัดสินใจอย่างเป็นระบบตามนัย (implication) เป็นความสามารถขั้นสูง ที่เกิดจากการบูรณาการความรู้เรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ และการเชื่อมโยง ระหว่างกันของสิ่งต่างๆ มาใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างเป็นระบบในการแก้ไขปัญหาและวางแผนใน อนาคตได้อย่างเหมาะสม 2.4.4 กระบวนการทางภูมิศาสตร์ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภูมิศาสตร์ให้ผู้เรียนเกิดการคิดอย่างเป็นระบบ เข้าใจและ มีความรู้อย่างถูกต้องชัดเจน ผู้สอนอาจจะใช้วิธีการแบบแก้ปัญหา (problem solving method) หรือวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (inquiry method) เป็นตัวกระตุ้นผู้เรียน โดยผ่าน กระบวนการจัดกิจกรรมที่สำคัญ 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ เป็นการระบุประเด็นต่างๆ ที่ผู้ศึกษานำมาพิจารณา ประกอบการหาคำตอบ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการศึกษา โดยจะต้องอยู่ในรูปแบบประโยคคำถาม ที่กระชับ ชัดเจน และ ตรงประเด็น เช่น “ปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงลักษณะของแม่น้ำ” 2) การรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ที่รวบรวมข้อเท็จจริงและข้อมูลที่เป็นประโยชน์และคาดว่าจะนำไปใช้ประกอบการศึกษา การรวบรวม ข้อมูลจะต้องอาศัยความรู้และเทคนิคต่างๆ เช่น ประเภทของข้อมูล การออกแบบแบบบันทึกข้อมูล การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล วิธีการแจงนับข้อมูลการออกแบบสอบถาม และการบันทึกการ สังเกต เป็นต้น 3) การจัดการข้อมูล เป็นการจัดระเบียบข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลเพื่อ ประกอบการศึกษา นอกจากนี้ยังเป็นการตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้อง เพื่อความสะดวก ในการวิเคราะห์ข้อมูล 4) การวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล เป็นหัวใจของกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เมื่อ ข้อมูลผ่านกระบวนการจัดการแล้ว ก็จะง่ายต่อการอธิบาย วิเคราะห์ และแปลผลข้อมูลดังกล่าว ด้วย สถิติขั้นพื้นฐาน 5) การสรุปเพื่อตอบคำถาม เป็นการสรุปเนื้อหาให้ตรงคำถามของการศึกษาตามที่ ระบุไว้ในขั้นต้น นอกจากนี้ผู้ศึกษาต้องวิจารณ์ผลลัพธ์ที่ได้เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการศึกษา โดยผู้


30 ศึกษาจะต้องรายงานผล ที่ได้ในแต่ละกระบวนการอย่างละเอียด ถูกต้อง และชัดเจน ตามวิธีการ วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งอาจจะต้องอ้างอิงกรอบแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ ด้วย 2.4.5 ทักษะทางภูมิศาสตร์ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนมีการรู้เรื่องภูมิศาสตร์นั้น ผู้สอน จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องพัฒนาทักษะของผู้เรียนที่เกี่ยวข้องกับมุมมองทางภูมิศาสตร์ โดยสามารถจัด กิจกรรมต่างๆ ด้วยการสอดแทรกทักษะที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ 1) การสังเกต (observation) เป็นการนำผู้เรียนไปสังเกตการณ์สิ่งแวดล้อมทั้งที่ เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น เช่น การสังเกตความแตกต่างของสิ่งแวดล้อมระหว่าง บ้านกับโรงเรียน 2) การแปลความข้อมูลทางภูมิศาสตร์ (interpretation of geographic data) เป็น การแปลความหมายข้อมูลของสิ่งที่ปรากฏอยู่บนพื้นโลก ที่อ้างอิงด้วยตำแหน่ง ที่อาจจะปรากฏอยู่ใน รูปของแผนภูมิ แผนภาพ กราฟ ตาราง รูปถ่าย แผนที่ ภาพจากดาวเทียม และภูมิสารสนเทศ 3) การใช้เทคนิคและเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ (using geographic technique and equipment) เป็นการใช้วิธีการ เช่น การชักตัวอย่าง (sampling) การวาดภาพร่างในภาคสนาม การ ใช้รูปถ่าย แผนที่ และเครื่องมือต่างๆ ในการรวบรวมข้อมูลทางภูมิศาสตร์ 4) การคิดเชิงพื้นที่ (spatial thinking) เป็นการคิดที่ใช้ความรู้ทางภูมิศาสตร์ในการ ระบุ วิเคราะห์ และทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับที่ตั้ง ทิศทาง มาตราส่วน แบบรูป พื้นที่ และ แนวโน้มของความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์กับเวลา 5) การคิดแบบองค์รวม (holistic thinking) เป็นการมองภาพรวมของระบบต่างๆ ทางภูมิศาสตร์ ที่ผ่านการวิเคราะห์และสังเคราะห์ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง ทั้งที่เกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น 6) การใช้เทคโนโลยี (using technology) เป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการ สืบค้นข้อมูลทางภูมิศาสตร์ผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูลต่างๆ การใช้ Google Earth การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ประกอบการเรียนการสอน 7) การใช้สถิติพื้นฐาน (using basic statistics) เป็นการใช้สถิติอย่างง่าย เช่น ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่ามัธยฐาน และค่าฐานนิยม ในการวิเคราะห์ข้อมูล การเข้าใจลักษณะการกระจาย (dispersion) และความสัมพันธ์ (correlation) ของข้อมูลทางภูมิศาสตร์ และการวิเคราะห์แบบรูป ของข้อมูลเชิงพื้นที่ (analysis of spatial pattern)ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการรู้ เรื่องภูมิศาสตร์ให้ผู้เรียน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมต่อระดับการเรียนรู้ในแต่ละ ช่วงชั้น การจัดกิจกรรมภาคสนาม (fieldwork) จะเป็นการส่งเสริมการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก กิจกรรมดังกล่าวเป็นการบูรณาการความรู้ทางภูมิศาสตร์ในประเด็นต่างๆ ผ่านกระบวนการ


31 และการใช้ทักษะทางภูมิศาสตร์ ในการตอบและแก้ไขประเด็นหรือปัญหาที่ผู้สอนได้ตั้งขึ้น ด้วยการลง มือปฏิบัติจริง ในพื้นที่หนึ่งๆการปรับปรุงหลักสูตรในครั้งนี้ จึงได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ คุณภาพ ผู้เรียน ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง และการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ อภิธานศัพท์ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ภูมิศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดประเด็นสำคัญๆ ดังนี้ 2.4.6 มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง ซึ่งมีผลต่อกัน ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูล ตาม กระบวนการทางภูมิศาสตร์ตลอดจนใช้ภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรและ สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.4.7 คุณภาพผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีความรู้เกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวและชุมชน และ สามารถปรับตัวเท่าทันการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ และมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรและ สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว มีความรู้เกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพ ภัยพิบัติ ลักษณะกิจกรรมทางเศรษฐกิจและ สังคม ในภูมิภาคต่างๆของโลก ความร่วมมือด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ เพื่อ เตรียมรับมือภัยพิบัติและการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 2.4.8 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละ ระดับชั้นซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นำไปใช้ใน การกำหนดเนื้อหาจัดทำหน่อยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการวัด ประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน 1) ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละรชั้นปีในระดับการศึกษา ภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ 1- มัธยมศึกษาปีที่3) 2) ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษาปีที่ 4-6)


32 2.5 การสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) รูปแบบการจัดการเรียนรู้การเรียนแบบร่วมมือ เทคนิค LT (Learning Together) โดยจะ แบ่งรูปแบบการจัดการเรียนรู้ออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกเป็นรู้แบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ และแบบ ที่สองคือรู้แบบการเรียนรู้เทคนิค LT (Learning Together) โดยผู้วิจัยได้นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ มาปรับใช้ในการวิจัยตามแนวทางที่ว่า "ร่วมเรียนร่วมรู้ มุ่งสู่ความสำเร็จของกลุ่ม" 2.5.1 แนวคิดและทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือพัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลักการ เรียนรู้แบบร่วมมือของจอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson & Johnson, 1974 : 213-240) ซึ่งได้ ชี้ให้เห็นว่าผู้เรียนควรร่วมมือกันในการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขันกัน เพราะการแข่งขันก่อให้เกิด สภาพการณ์ของการแพ้-ชนะ ต่างจากการร่วมมือกัน ซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการแพ้-ชนะ อัน เป็นสภาพการณ์ที่ดีกว่าทั้งทางด้านจิตใจและสติปัญญา เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญ โดยใช้กระบวนการกลุ่มให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์และเกิด ความสำเร็จร่วมกันของกลุ่ม ซึ่งการเรียนแบบร่วมมือไม่ใช่เป็นเพียงจัดให้ผู้เรียนทำงานเป็นกลุ่ม ผู้สอนทำหน้าที่สรุปความรู้ด้วยตนเองเท่านั้น แต่ผู้สอนต้องพยายามใช้ กลยุทธ์วิธีทำให้ผู้เรียนได้ใช้ กระบวนการประมวลความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำกิจกรรมต่างๆ จัดระบบความรู้สรุป เป็นองค์ความรู้ด้วยตนเอง ดังนั้น การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือผู้สอนจะต้องเลือกเทคนิคการจัดการ เรียนที่เหมาะสมกับผู้เรียน และผู้เรียนจะต้องมีความพร้อมที่จะร่วมกันทำกิจกรรมรับผิดชอบงานของ กลุ่มร่วมกัน โดยที่กลุ่มจะประสบความสำเร็จได้ เมื่อสมาชิกทุกคนได้เรียนรู้บรรลุตามจุดมุ่งหมาย เดียวกัน นั่นคือการเรียนรู้เป็นกลุ่มหรือเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ 2.5.1.1 ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่ง กันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนเองและส่วนรวม จิราภรณ์ ศิริทวี (2542 :33-38) ได้ให้ความหมายการเรียนแบบร่วมมือว่า หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่เน้นการร่วมมือ ร่วมแรงกันระหว่างสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความสำเร็จของทุกคนขึ้นอยู่กับความร่วมมือกันของสมาชิก วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542 :34) ให้ความหมาย การเรียนแบบกลุ่มร่วมมือ เป็นวิธีการจัดการกิจกรรมการเรียนการสอน ที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียนได้ เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน โดย ที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้และในความสำเร็จของกลุ่ม ทั้งโดยการแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้ รวมทั้งการเป็นกำลังใจแก่กันและกัน คนที่เรียนเก่งจะ


33 ช่วยเหลือคนที่อ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อการเรียนของตนเองเท่านั้นหากแต่ จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ทิศนา แขมมณี (2548 :42) ได้กล่าวว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ มีหลาย รูปแบบซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการหลัก ได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การ คิดคะแนนและระบบการให้รางวัล ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต่างก็มีวัตถุประสงค์ในทิศทางเดียวกันคือ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุด โดยอาศัยการร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน และแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่ม ความแตกต่างจะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระ วิธีการ เสริมแรง อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 29) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หรือแบบมีส่วนร่วม หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถต่างกัน ได้ ร่วมมือกันทางานกลุ่มด้วยความตั้งใจและเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ในกลุ่มของตน ทำให้งาน ของกลุ่มดำเนินไปสู่เป้าหมายของงานได้ จากการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ หมายถึง การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็กๆ สมาชิกในกลุ่มแต่ละคนมีความสามารถแตกต่าง กัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความสนุกสนานในการเรียนรู้แบบ กระบวนการกลุ่มร่วมมือ ทำให้การเรียนรู้ไม่น่าเบื่อ นักเรียนมีความรับผิดชอบทั้งในส่วนตนและ ส่วนรวม ทั้งยังเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยในชั้นเรียนและเพื่อให้กลุ่มได้รับความสำเร็จตาม เป้าหมายที่กำหนดไว้ 2.5.1.2 หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ ทิศนา แขมมณี (2548 : 49) ได้อธิบายถึงหลักการเรียนแบบร่วมมือไว้ว่า หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือผู้เรียนควรร่วมมือในการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขัน ซึ่งมีหลักการเรียนรู้ แบบร่วมมือ 5 ประการ ดังนี้ 1) การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักการพึ่งพาอาศัยกัน (positive - interdependence) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ จะต้องตระหนักว่าทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน และจะต้องพึ่งพากัน เพื่อความสำเร็จร่วมกัน ดังนั้นทุกคนต้องรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของตนและ ในขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือสมาชิกอื่น ๆ ในกลุ่มด้วยเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน 2) การเรียนรู้ที่ดีต้องอาศัยการหันหน้าเข้าหากัน มีปฏิสัมพันธ์กัน (face to face interaction) การที่สมาชิกในกลุ่มมีการพึ่งพาอาศัยกัน เป็นปัจจัยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ ต่อกันและกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อมูลและการเรียนรู้ต่าง ๆ สมาชิกในกลุ่มจะห่วงใย ไว้วางใจ ส่งเสริมและช่วยเหลือกันในการทำงานต่าง ๆ ร่วมกัน ส่งผลให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน


34 3) การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม (social skills) การที่ สมาชิกในกลุ่มต้องทำงานร่วมกัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การทำงานจะประสมผลสำเร็จได้ต้อง อาศัยทักษะที่สำคัญ ๆ เช่น ทักษะการทำงานกลุ่ม ทักษะการสื่อสาร ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการมี ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมทั้งการยอมรับไว้วางใจกันและกันงานจึงจะดำเนินไปได้ 4) การเรียนรู้กันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (group processing) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ จะต้องมี การวิเคราะห์กระบวนการทำงานของกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิด การเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น เช่นการวิเคราะห์วิธีการทำงานของกลุ่มพฤติกรรมของ สมาชิกกลุ่มและผลงานของกลุ่ม 5) การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงาน หรือผลสัมฤทธิ์ทั้งรายบุคคลและราย กลุ่มที่สามารถตรวจสอบและวัดประเมินได้ (individual accountability) สมาชิกในกลุ่มการเรียนรู้ ทุกคนจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ และพยายามทำงานตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถไม่ มีใครที่จะได้รับผลประโยชน์โดยที่จะไม่ทำหน้าที่ของตน ดังนั้นกลุ่มจึงจำเป็นต้องตรวจสอบผลงาน ทั้ง ที่เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม อาจจัดเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หรือจับคู่ เพื่อจะได้มีโอกาสเอาใจกันและกัน การสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในกลุ่ม จากการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือจะประสบผลสำเร็จได้นั้น สมาชิกแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อกลุ่มโดยจะต้องช่วยเหลือ พึ่งพาอาศัยซึ่งกัน และกันและในการทำงานร่วมกันสมาชิกต้องมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันยอมรับไว้วางใจกัน รวมทั้งมีการ ตรวจสอบผลงานของสมาชิกในกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน 2.5.1.3 องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ สุคนธ์ สินธพานนท์ (2551, หน้า 14) ได้ให้ความหมายของชุดกิจกรรมไว้ว่า หมายถึง นวัตกรรมที่ครูใช้ในการประกอบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยผู้เรียนศึกษาสื่อต่าง ๆ และเป็นรูปแบบของการสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนซึ่งประกอบด้วยคำแนะนำให้ผู้เรียนทำ กิจกรรมต่าง ๆ อย่างมีขั้นตอนเป็นระบบชัดเจน อีกทั้งกิจกรรมเน้นฝึกทักษะการคิดเพื่อเป็นการ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต จากความหมายของชุดกิจกรรมดังกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า ชุดกิจกรรม หมายถึง การนำสื่อ การเรียนการสอนมาจัดไว้อย่างเป็นระบบที่จัดขึ้นสำหรับหน่วยการเรียนรู้ตามหัวข้อเนื้อหาและ ประสบการณ์ของแต่ละหน่วยที่ต้องการให้ผู้เรียนได้รับและมีจุดมุ่งหมายเฉพาะเรื่องที่จะสอนเท่านั้น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้และเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดซึ่งจะ เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 122) กล่าวถึงองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือไว้ว่า ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบในการให้ผู้เรียนทำงานกลุ่ม ดังข้อต่อไปนี้


35 1) มีการพึ่งพาอาศัยกัน (Positive Interdependence) หมายถึง สมาชิก ในกลุ่มมีเป้าหมายร่วมกัน มีส่วนรับความสำเร็จร่วมกัน ใช้วัสดุอุปกรณ์ร่วมกัน มีบทบาทหน้าที่ทุกคน ทั่วกัน ทุกคนมีความรู้สึกว่างานจะสำเร็จได้ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 2) มีปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในเชิงสร้างสรรค์ (Face to Face Promotive Interaction) หมายถึง สมาชิกกลุ่มได้ทำกิจกรรมอย่างใกล้ชิด เช่น แลกเปลี่ยนความคิดเห็น อธิบาย ความรู้แก่กัน ถามคำถาม ตอบคำถามกันและกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกัน 3) มีการตรวจสอบความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน(Individual Accountability) เป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะต้องตรวจสอบว่า สมาชิกทุกคนมีความรับผิดชอบต่องาน กลุ่มหรือไม่ มากน้อยเพียงใด เช่น การสุ่มถามสมาชิกในกลุ่ม สังเกตและบันทึกการทำงานกลุ่ม ให้ ผู้เรียนอธิบายสิ่งที่ตนเรียนรู้ให้เพื่อนฟัง ทดสอบรายบุคคล เป็นต้น 4) มีการฝึกทักษะการช่วยเหลือกันทำงานและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Groups Skills) ผู้เรียนควรได้ฝึกทักษะที่จะช่วยให้งานกลุ่มประสบ ความสำเร็จ เช่น ทักษะการสื่อสาร การยอมรับและช่วยเหลือกัน การวิจารณ์ความคิดเห็น โดยไม่ วิจารณ์บุคคล การแก้ปัญหาความขัดแย้ง การให้ความช่วยเหลือ และการเอาใจใส่ต่อทุกคนอย่างเท่า เทียมกัน การทำความรู้จักและไว้วางใจผู้อื่น เป็นต้น 5) มีการฝึกกระบวนการกลุ่ม (Group Process) สมาชิกต้องรับผิดชอบต่อ การทำงานของกลุ่ม ต้องสามารถประเมินการทำงานของกลุ่มได้ว่า ประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด เพราะเหตุใด ต้องแก้ไขปัญหาที่ใด และอย่างไร เพื่อให้การทำงานกลุ่มมีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม เป็น การฝึกกระบวนการกลุ่มอย่างเป็นกระบวนการ จากการศึกษาองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ จึงสรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบ ร่วมมือนั้นมีองค์ประกอบ 5 ประการด้วยกัน คือ หนึ่งมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยสมาชิกแต่ ละคนมีเป้าหมายในการทำงานกลุ่มร่วมกันซึ่งจะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อความสำเร็จของการ ทำงานกลุ่ม สองมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดในเชิงสร้างสรรค์ เป็นการให้สมาชิกได้ร่วมกันทำงานกลุ่ม กันอย่างใกล้ชิด โดยการเสนอและแสดงความคิดเห็นกันของสมาชิกภายในกลุ่ม ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อ กัน สามมีความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน สมาชิกภายในกลุ่มแต่ละคนจะต้องมีความรับผิดใน การทำงาน โดยที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความมั่นใจ และพร้อมที่จะได้รับการทดสอบ เป็นรายบุคคล สี่มีการใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มย่อย ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทำงานกลุ่มย่อย นักเรียน ควรได้รับการฝึกฝนทักษะเหล่านี้ก่อน เพราะเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานกลุ่มประสบ ผลสำเร็จ เพื่อให้นักเรียนจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ห้ามีการใช้กระบวนการกลุ่ม ซึ่ง เป็นกระบวนการทำงานที่มีขั้นตอนหรือวิธีการที่จะช่วยให้การดำเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมี


36 ประสิทธิภาพ ในการวางแผนปฏิบัติงานและเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน โดยจะต้องดำเนินงาน ตามแผนตลอดจนประเมินผลและปรับปรุงงาน 2.5.1.4 ประเภทของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ทิศนา แขมมณี (2550 : 102) ได้อธิบายถึงประเภทของกลุ่มการเรียนรู้แบบ ร่วมมือไว้ว่า กลุ่มการเรียนรู้ที่ใช้กันโดยทั่วไปมี 3 ประเภท ดังนี้ 1) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ (Formal Cooperative) กลุ่มประเภทนี้ครูจัดขึ้นโดยการวางแผน จัดระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียน ได้ร่วมมือกันเรียนรู้สามารถต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องอาจเป็นหลาย ๆ ชั่วโมงติดต่อกัน หลายสัปดาห์จน ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมายที่กำหนด 2) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือไม่เป็นทางการ (Informal Cooperative) กลุ่มประเภทนี้จัดขึ้นชั่วคราว เฉพาะกิจ โดยสอดแทรกการสอนปกติ โดยเฉพาะการสอนแบบบรรยาย ครูสามารถจัดกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือสอดแทรกเข้าไปเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมุ่งความสนใจ 3) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างถาวร (Cooperative Base Groups) กลุ่มประเภทนี้เป็นกลุ่มการเรียนรู้ที่สมาชิกกลุ่มมีประสบการณ์การทำงานและการเรียนรู้รวมกันมา นานจนกระทั่งเกิดความสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้น สมาชิกกลุ่มมีความผูกพันห่วงใย ช่วยเหลือกันและ กันอย่างต่อเนื่อง 2.5.1.5 รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ทิศนา แขมมณี (2548 : 102) ได้อธิบายถึงรูปแบบการเรียนรู้การสอนแบบ ร่วมมือว่า รูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือมีหลายรูปแบบจะมีวิธีการหลัก ๆ ซึ่งได้แก่ การจัดกลุ่มการศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนน และระบบการให้รางวัล แตกต่างกันออกไปเพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะแต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดต่างก็ใช้หลักการเดียวกัน คือ หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการและมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน คือ เพื่อ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัยการร่วมกัน ช่วยเหลือกัน และ แลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปจะอยู่ที่เทคนิคใน การศึกษาเนื้อหาสาระและวิธีการเสริมแรงและการให้รางวัล รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือที่นิยมใช้ ทั่วไปในปัจจุบันมี 8 รูปแบบ ดังนี้ 1) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจิ๊กซอร์ (JIG - SAW) จัดผู้เรียน เข้ากลุ่มและความสามารถ (เก่ง - กลาง - อ่อน) กลุ่มละ 4 คน กลุ่มนี้เรียกว่า กลุ่มบ้าน(Homegroup) มอบหมายเนื้อหาให้ข้อย่อยแตกต่างกันแล้ว กลับไปกลุ่มที่มีเนื้อหาเดียวกัน เรียกว่า กลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อศึกษาเนื้อหาอย่างละเอียดก็กลับไปกลุ่มบ้านสอนเพื่อนในกลุ่มในเรื่องสาระของตน


37 สมาชิกของกลุ่มได้รายละเอียดของเนื้อหาทั้งหมดและทดสอบ นำคะแนนทดสอบรายบุคคลมารวมกัน หาค่าเฉลี่ยเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดได้รับรางวัล 2) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ เอส.ที.เอ.ดี (STAD) จัดผู้เรียน เข้ากลุ่มคละกันตามความสามารถ (เก่ง - กลาง - อ่อน) กลุ่มละ 4 คนเรียนว่า กลุ่มบ้านของเราสมาชิก ในกลุ่มรับเนื้อหาสาระศึกษาร่วมกันเป็นหลายตอนและสมาชิกในกลุ่มทำแบบทดสอบแต่ละตอนเก็บ คะแนนไว้แล้วหาค่าเฉลี่ยของตนไว้ สมาชิกทดสอบรวมยอดครั้งสุดท้าย เอาคะแนนรวมยอดลบ คะแนนเฉลี่ยก็จะได้คะแนนเฉลี่ย คะแนนพัฒนาการมารวมกันในกลุ่ม กลุ่มใดได้คะแนนสูงได้รับ รางวัล 3) กระบวนการเรียนการสอนรูปแบบ แอล.ที (LT) (Learning Together) จัดกลุ่มผู้เรียน เข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง - ปานกลาง - อ่อน) กลุ่มละ 4 คน ศึกษาเนื้อหาสาระ ร่วมกันโดยกำหนดบทบาทให้แต่ละคนมีหน้าที่ช่วยเหลือกลุ่มในการเรียนรู้ กลุ่มสรุปคำตอบร่วมกันส่ง คำตอบเป็นผลงานของกลุ่ม ผลงานกลุ่มได้คะแนนเท่าไร สมาชิกทุกคนในกลุ่มนั้นจะได้คะแนนเท่ากัน ทุกคนในการทำกิจกรรมครั้งนี้ได้ใช้เทคนิคการเรียนรู้รูปแบบแอล.ที(LT) 4) กระบวนการเรียนการสอนรูปแบบ จี.ไอ (G.I) (GroupInvestigation) รูปแบบนี้ส่งเสริมให้ผู้เรียนช่วยกันสืบค้นข้อมูลมาใช้ในการเรียนรู้ร่วมกัน โดยมีขั้นตอนเริ่มจากจัด ผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง - ปานกลาง - อ่อน) กลุ่มละ 4 คน ศึกษาเนื้อหาสาระร่วมกัน โดยแบ่งหัวข้อย่อยให้สมาชิกไปศึกษาหาคำตอบ โดยให้ผู้เรียนอ่อนเลือกก่อนเมื่อศึกษาเสร็จแล้วก็มา ให้กลุ่ม กลุ่มอภิปรายร่วมกัน สรุปผลการศึกษา นำเสนอหน้าชั้น 5) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที.เอ.ไอ (TAI) (Team Assisted Individualization) จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-ปานกลาง-อ่อน) เรียกกลุ่ม “บ้านของ เรา” สมาชิกในกลุ่มได้รับเนื้อหาสาระศึกษาร่วมกัน และสมาชิกจับคู่ทำแบบฝึกหัดแล้วใครทำ แบบฝึกหัดได้ 75% ไปรับการทดสอบรวบยอด นักเรียนไม่ช่วยเหลือกัน คนที่ซ่อมต้องช่วยจนทำได้จึง จะได้จึงจะได้ทดสอบรวบยอด เพื่อแต่ละกลุ่มแข่งขันเสร็จ เอาคะแนนสมาชิกของตนมารวมกันเป็น คะแนนของกลุ่ม 6) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที.จี.ที (TGT) (Team Games Tournament) จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-ปานกลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน เรียกกลุ่มนี้ ว่า กลุ่มบ้านของเรา สมาชิกในบ้านรับเนื้อหาสาระศึกษาร่วมกัน สมาชิกในกลุ่มแยกย้ายไปแข่งขันกับ กลุ่มอื่นตามความสามารถคือ คนเก่งแข่งกับคนเก่ง คนอ่อนแข่งกับคนอ่อน และรวมคะแนนของตนได้ ตามโบนัสที่กำหนด เมื่อแต่ละกลุ่มแข่งขันเสร็จเอาคะแนนสมาชิกของตนมารวมกันเป็นคะแนนของ กลุ่ม


38 7) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ซี.ไอ.อาร์.ซี (CIRC) (Cooperative Integrated Reading and Composition) เป็นกระบวนการเรียนการสอนที่ใช้สอนอ่าน และเขียน โดยเฉพาะมีขั้นตอนดังนี้ แบ่งกลุ่มนักเรียนตามความสามารถในการอ่าน สมาชิกในกลุ่มมี 4 คน มีพื้นความรู้เท่ากัน 2 คน อีก 2 คน แตกต่างกัน ครูจะเรียกคู่ที่มีระดับความรู้เท่ากันมาสอนให้ กลับเข้ากลุ่มแล้วเรียกคู่ต่อไปที่มีความรู้ต่างกันมาสอน และทดสอบรายบุคคลคะแนนที่ได้เป็นทั้ง รายบุคคลและทีม 8) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Instruction) รูปแบบนี้คล้ายคลึงกันรูปแบบ จี.ไอ ซึ่งมีขั้นตอนคือ จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละ ความสามารถ(เก่ง-ปานกลาง-อ่อน) กลุ่มรับเนื้อหาสาระมาร่วมกันไปศึกษาสืบค้นโดยสมาชิกรับ เนื้อหาตามความสามารถให้คนอ่อนเลือกเนื้อหาก่อน เมื่อแต่ละคนศึกษาเนื้อหาแล้ว กลับเข้ากลุ่มเอา คำตอบให้กลุ่มร่วมกันอภิปราย และสรุปผลการศึกษา เสนอผลงานหน้าชั้น จากการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า วิธีเรียนแบบร่วมมือที่มีวิธีการหลัก ๆ ที่แตกต่างกัน เช่น การจัดกลุ่ม การศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนน ระบบการให้รางวัล แต่ไม่ว่าการ เรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบใดก็จะมีหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือที่เหมือนกันอยู่ 5 ประการดังกล่าว มาแล้ว 2.5.2 การเรียนรู้แบบร่วมมือ(รูปแบบ) เทคนิค LT (Learning Together) 2.5.2.1 แนวคิด ทฤษฎีและความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) รูปแบบหรือเทคนิค LT (Learning Together) นี้ Johnson & Johnson เป็นผู้ เสนอในปี ค.ศ. 1975 ต่อมาในปี ค.ศ. 1984 เขาเรียกรูปแบบนี้ว่า วัฏจักรการเรียนรู้ (Circles of Learning) รูปแบบนี้มีการกำหนดสถานการณ์และเงื่อนไขให้นักเรียนทำผลงานเป็นกลุ่ม ให้นักเรียน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแบ่งปันเอกสาร การแบ่งงานที่เหมาะสม และการให้รางวัลกลุ่ม วิมลรัตน์ สุนทรวิโรจน์ (2551, หน้า 11-28) ดังนี้ 1) ทีมร่วมมือแข่งขัน (Team-Games-Tournaments (TGT) เป็นกิจกรรมที่เหมาะ กับการ เรียนการสอนในจุดประสงค์ที่ต้องการให้กลุ่มผู้เรียนได้ศึกษาประเด็น หรือปัญหาที่มีค าตอบ ถูกต้อง เพียงคำตอบเดียว หรือมีคำตอบถูกต้องที่ชัดเจน เช่น การคำนวณทางคณิตศาสตร์ การใช้ ภาษา ภูมิศาสตร์ และทักษะการใช้แผนที่และความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์ ขั้นตอนของกิจกรรม ประกอบด้วย 1.1) ครูนำเสนอบทเรียนหรือข้อความรู้ใหม่แก่ผู้เรียน โดยอาจจะนำเสนอ ด้วยสื่อการ เรียนการสอนที่น่าสนใจหรือใช้การอภิปรายทั้งห้องเรียนโดยครูเป็นผู้ดำเนินการ


39 1.2) แบ่งกลุ่มนักเรียนโดยจัดให้คละความสามารถและเพศ แต่กลุ่ม ประกอบด้วย สมาชิก 4 - 5 คน เรียกกลุ่มนี้ว่า Study Group หรือ Home Group กลุ่มเหล่านี้จะ ศึกษาทบทวน เนื้อหาข้อความรู้ ที่ครูนำเสนอ สมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถสูงกว่าจะช่วยเหลือสมาชิก ที่มีความสามารถด้อยกว่า เพื่อเตรียมกลุ่มสำหรับการแข่งขันในช่วงท้ายสัปดาห์หรือท้ายบทเรียน 1.3) จัดการแข่งขันโดยจัดโต๊ะแข่งขันและทีมแข่งขัน(Tournament Teams) ที่มี ตัวแทนของแต่ละกลุ่ม (ตามข้อ 2) ที่มีความสามารถใกล้เคียงมาร่วมแข่งขันกันตาม รูปแบบ และกติกาตามที่กำหนด ข้อคำถามที่ใช้การแข่งขันจะเป็นคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน มาแล้วและ มี การฝึกฝนเตรียมพร้อมในกลุ่มมาแล้ว ควรให้ทุกโต๊ะเริ่มแข่งขันพร้อมกัน 1.4) ให้ค่าคะแนนการแข่งขัน โดยให้จัดลำดับคะแนนผลการแข่งขันในแต่ ละโต๊ะแล้ว ผู้เล่นจะกลับเข้ากลุ่มเดิม (Study Group) ของตน 1.5) นำคะแนนการแข่งขันของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนของทีม ทีม ที่ได้ คะแนนรวมหรือค่าเฉลี่ยสูงสุดจะได้รับรางวัล 2) ร่วมทีมผลสมัฤทธิ์(Student Teams and Achievement Divisions STAD) 2.1) ครูนำเสนอประเด็นหรือเนื้อหาใหม่ โดยอาจนำเสนอด้วยสื่อที่น่าสนใจ ใช้การ สอนโดยตรงหรือตั้งประเด็นให้ผู้เรียนอภิปราย 2.2) จัดผู้เรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 - 5 คน ให้สมาชิกมีความสามารถคละกันมีทั้ง ความสามารถสูง ปานกลางและต่ำ 2.3) แต่ละกลุ่มรวมกันศึกษาทบทวนความรู้ที่ครูนำเสนอจนเข้าใจ 2.4) ทุกคนในกลุ่มทำ แบบทดสอบ (Quiz) เพื่อวัดความรู้ ความเข้าใจใน เนื้อหาที่ เรียน 2.5) ตรวจคำตอบของผู้เรียนนำคะแนนของสมาชิกทุกคนในกลุ่มมารวมกันเป็น คะแนนกลุ่ม 2.6) กลุ่มที่ได้คะแนนรวมสูงสุด (ในกรณีที่แต่ละกลุ่มมีจำนวนสมาชิกไม่เท่ากันให้ ใช้ คะแนนเฉลี่ยแทนคะแนนรวม) จะได้รับคำชมเชย โดยอาจติดประกาศไว้ที่บอร์ดหรือป้ายนิเทศของ ห้องเรียน 2.7) ที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับรางวัลหรือปิดประกาศชมเชย จากเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ผู้วิจัยได้นำมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการจัด กิจกรรม ด้วยการใช้ เทคนิคหลายอย่างประกอบกัน เพื่อให้เหมาะสมกับธรรมชาติวิชา เนื้อหาสาระ วัตถุประสงค์ของรายวิชาวิทยาศาสตร์ มีการจัดแบ่งกลุ่มผู้เรียนให้คละความสามารถทำกิจกรรม ร่วมกัน โดยมีการใช้เทคนิคดังต่อไปนี ้ เทคนิคทีมร่วมมือแข่งขัน (Team - Games - Tournaments TGT) เป็นเทคนิคที่เหมาะกับการเรียนการสอน ทางวิทยาศาสตร์ เทคนิคร่วมทีมผลสัมฤทธิ์ (Student


40 Teams and Achievement Divisions (STAD) เทคนิคกลุ่มสืบค้น (Group Investigation : GI) ทั้งนี้เนื่องจาก เป็นการ เตรียมการทำโครงงานกลุ่มหรือทำงานที่ครูมอบหมาย การแก้ปัญหาเพื่อหา คำตอบ เทคนิคการเรียนรู้ ร่วมกัน (Learning Together : LT)ในการจัดการ เรียนรู้ฝึกปฏิบัติใน ห้องปฏิบัติการและเทคนิคกลุ่มรวมมือ (Co - op Co - op) เป็นเทคนิคที่กระตุ้น ทั้งการวิเคราะห์และ สังเคราะห์และเป็นวิธีการที่สามารถ ซึ่งแต่ละเทคนิคได้สอดแทรกไว้ในแผนการ จัดกิจกรรมในแต่ละ ขั้นตอนอย่างเหมาะสม จากลักษณะสำคัญของแต่ลพเทคนิคของการเรียนแบบ ร่วมมือดังกล่าวข้างต้น ผู้ศึกษาค้นคว้าจึงนำมาพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบร่วมมือที่มี หลากหลายเทคนิคเพื่อส่งเสริม ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สุวิทย์ มูลคำ (2551 : 90) ได้ให้รายละเอียดการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ รูปแบบร่วมเรียนร่วมรู้ (Learning Together : LT) เป็นวิธีการที่เหมาะสมกับเนื้อหากิจกรรมการ เรียนที่มีลำดับขั้นตอนแน่นอน ผู้เรียนทำงานร่วมกันภายในกลุ่มโดยแบ่งหน้าที่รับผิดชอบอย่างเด่นชัด เพื่อให้ได้มาซึ่งผลงานกลุ่ม ทิศนา แขมมณี (2548 : 69-70) ได้อธิบายถึงการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ กันเรียนรู้โดยใช้เทคนิค LT ไว้ว่า เป็นการเรียนรู้แบบร่วมมืออีกรูปแบบหนึ่งที่มีกระบวนการที่ง่ายไม่ ซับซ้อนที่แบ่งกลุ่มผู้เรียนกลุ่มละ 4 คน โดยจัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถทั้งเก่ง ปานกลาง อ่อน อยู่ด้วยกัน กลุ่มย่อยกลุ่มละ 4 คน ศึกษาเนื้อหาร่วมกันโดยกำหนดให้แต่ละคนมีบทบาทหน้าที่ ช่วยกลุ่มในการเรียนรู้ เช่น สมาชิกคนที่ 1 : อ่านคำสั่ง สมาชิกคนที่ 2 : หาคำตอบ สมาชิกคนที่ 3 : หาคำตอบ สมาชิกที่ 4 : ตรวจคำตอบ กลุ่มย่อยสรุปคำตอบร่วมกันส่งคำตอบนั้นเป็นผลงานของกลุ่ม ผลงานของกลุ่มได้คะแนนเท่าไรสมาชิกทุกคนจะได้คะแนนนั้นเท่ากันทุกคน ดังนั้นผู้สอนจะต้องใช้ เทคนิคการเสริมแรง เช่น ให้รางวัล คำชมเชย เป็นต้น สมาชิกกลุ่มจะต้องมีการกำหนดเป้าหมาย ร่วมกัน ช่วยเหลือกัน เพื่อความสำเร็จของกลุ่ม อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 23) ได้เรียกรูปแบบร่วมเรียนร่วมรู้ว่า กลุ่มเรียนรู้ ร่วมกัน (Learning Together : LT) กลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให้สมาชิกในกลุ่ม ได้รับผิดชอบ มีบทบาทหน้าที่ทุกคน เช่น เป็นผู้อ่าน เป็นผู้จดบันทึก เป็นผู้รายงานนาเสนอ เป็นต้น ทุกคนช่วยกันทำงาน จนได้ผลงานสำเร็จ ส่งและนำเสนอผู้สอน จากการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า การเรียนแบบร่วมมือแบบ LT (Learning Together) เป็น เทคนิคที่มีกระบวนการในการสอนที่ไม่ยุ่งยากและซับซ้อน โดยกระบวนการคือให้สมาชิกในกลุ่ม ช่วยกันศึกษาเนื้อหาร่วมกัน โดยกำหนดให้แต่ละคนมีบทบาทหน้าที่ช่วยกลุ่มในการเรียนรู้ และสรุป คำตอบร่วมกันเป็นผลงานของกลุ่ม โดยสมาชิกในมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและ กัน เพื่อให้กลุ่มประสบความสำเร็จ


41 2.5.2.2 องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ซึ่งจอห์นสันได้เสนอหลักการจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ ไว้ว่า การจัดกิจกรรม การเรียนแบบร่วมมือตามรูปแบบ LT (Learning Together) จะต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้ 1) สร้างความรู้สึกพึ่งพากัน (Positive Interdependence) ให้เกิดขึ้นในกลุ่ม นักเรียนซึ่งอาจทำได้หลายวิธี คือ 1.1) กำหนดเป้าหมายร่วมของกลุ่ม (Mutual Goals) ให้ทุกคนต้องเรียนรู้ เหมือนกัน 1.2) การให้รางวัลรวม เช่น ถ้าสมาชิกทุกคนของกลุ่มได้คะแนนคิดเป็นร้อย ละ 90 ขึ้นไปของคะแนนเต็ม (Joint Rewards) สมาชิกในกลุ่มนั้นจะได้คะแนนพิเศษอีก คนละ 5 คะแนน 1.3) ให้ใช้เอกสารหรือแหล่งข้อมูล (Share Resources) ครูอาจแจก เอกสารที่ต้องใช้เพียง 1 ชุด สมาชิกแต่ละคนจะต้องช่วยกันอ่านโดยแบ่งเอกสารออกเป็นส่วนๆ เพื่อ ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ 1.4) กำหนดบทบาทของสมาชิกในการทำงานกลุ่ม (Assigned Roles) งาน ที่มอบหมายแต่ละงานอาจกำหนดบทบาทการทำงานของสมาชิกในกลุ่มแตกต่างกัน หากเป็นงาน เกี่ยวกับการตอบคำถามในแบบฝึกหัดที่กำหนด ครูอาจกำหนดบทบาทของสมาชิกในกลุ่มเป็นผู้อ่าน คำถาม ผู้ตรวจสอบ ผู้กระตุ้นให้สมาชิกช่วยกันคิดหาคำตอบและผู้จดบันทึกคำตอบ 2) จัดให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน (Face-To-Face Interaction) ให้นักเรียน ทำงานด้วยกันภายใต้บรรยากาศของความช่วยเหลือและส่งเสริมกัน 3) จัดให้มีความรับผิดชอบในส่วนบุคคลที่จะเรียนรู้ (Individual Accountability) เป็นการทำให้นักเรียนแต่ละคนตั้งใจเรียนและช่วยกันทำงาน ไม่กินแรงเพื่อน ครูอาจจัดสภาพการณ์ ได้ด้วยการประเมินเป็นระยะ สุ่มสมาชิกของกลุ่มให้ตอบคำถามหรือรายงานผลการทำงาน สมาชิกทุก คนจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะเป็นตัวแทนของกลุ่ม 4) ให้ความรู้เกี่ยวกับทักษะสังคม (Social Skills) การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดี นักเรียนต้องมีทักษะทางสังคมที่จำเป็น ได้แก่ ความเป็นผู้นำ การตัดสินใจ การสร้างความไว้ใจ การ สื่อสาร และทักษะการจัดการกับข้อขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ 5) จัดให้มีกระบวนการกลุ่ม (Group Processing) เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียน ประเมินการทำงานของสมาชิกในกลุ่ม ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และหาทางปรับปรุงการทำงานกลุ่มให้ ดีขึ้น


Click to View FlipBook Version