The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน รวม 5 บท

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 129 หอมไกล ศิริ, 2024-01-30 23:24:46

วิจัยในชั้นเรียน รวม 5 บท

วิจัยในชั้นเรียน รวม 5 บท

Keywords: ผลงานฝึกสอน

42 จากหลักการดังกล่าวทำให้ได้รูปแบบการเรียนรู้ร่วมกัน หรือ Learning Together ที่นักเรียน ทำงานเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ผลงานกลุ่ม ในขณะทำงานนักเรียนช่วยกันคิดและช่วยกันตอบคำถาม พยายามทำให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมและทุกคนเข้าใจที่มาของคำตอบ ให้นักเรียนขอความช่วยเหลือ จากเพื่อนก่อนที่จะถามครู และครูชมเชยหรือให้รางวัลกลุ่มตามผลงานของกลุ่มเป็นหลัก 2.5.2.3 วัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT (Learning Together) สุวิทย์ มูลคำ (2551 : 91) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของเทคนิค LT ดังนี้ 1) เพื่อฝึกทักษะเฉพาะเรื่อง เช่น การทดลอง การแก้ปัญหา หรือ การสรุปผล 2) เพื่อปลูกฝังคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในด้านความรับผิดชอบ การทำงานร่วมกับผู้อื่น ทิศนา แขมมณี (2548 : 69-70) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของเทคนิค LT ดังนี้ 1) เพื่อมุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ ด้วยตนเอง และด้วยความร่วมมือและความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ 2) เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะทางสังคมต่าง ๆ เช่น ทักษะการ สื่อสาร ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นทักษะการสร้างความสัมพันธ์ 3) เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการคิดการแก้ปัญหา 2.5.2.4 ข้อควรดำเนินในการนำรูปแบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ในการนำแบบนี้ไปใช้ควรดำเนินการดังนี้ 1) กำหนดวัตถุประสงค์การสอนให้ชัดเจน 2) จัดกลุ่มให้มีขนาดไม่เกิน 6 คน หากนักเรียนยังใหม่ต่อการเรียนแบบร่วมมือควร ใช้กลุ่มที่มีขนาดเล็ก เพื่อให้นักเรียนมีส่วนร่วมมากที่สุด นักเรียนในแต่ละกลุ่มมีความสามารถแตกต่าง กัน มีเพศหญิงและเพศชาย แต่ในบางครั้งการจัดนักเรียนที่มีความสามารถเหมือนกันเข้ากลุ่มเดียวกัน เพื่อฝึกทักษะก็สามารถทำได้ 3) จัดให้มีนักเรียนนั่งหันหน้าเข้าหากันเป็นวง เพื่อให้สามารถสื่อสารพูดคุยกันได้ สะดวก


43 4) จัดเอกสารหรือสื่อการสอนที่ทำให้นักเรียนต้องพึ่งพาอาศัยกัน เช่น จัดเอกสารให้ กลุ่มละชุดเดียว เพื่อให้นักเรียนแบ่งกันดู แบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อยให้แต่ละคนรับผิดชอบในการ อ่าน และทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างกลุ่มเพื่อให้สมาชิกภายในกลุ่มต้องพึ่งพาช่วยเหลือกันทำให้กลุ่ม ของตนเป็นกลุ่มที่ชนะ 5) กำหนดบทบาทของสมาชิกในกลุ่มเพื่อให้เกิดการพึ่งพากัน ตัวอย่างบทบาทใน การทำงานกลุ่มได้แก่ ผู้สรุปย่อ ทำหน้าที่สรุปบทเรียน ผู้ตรวจสอบ ทำหน้าที่สอบถามเพื่อนสมาชิกผู้ กระตุ้น ทำหน้าที่ส่งเสริมชักชวนให้เพื่อนสมาชิกทุกคนแสดงความคิดเห็น ผู้บันทึก ทำหน้าที่จดบันทึก การตัดสินใจของกลุ่มหรือรายงานของกลุ่ม ผู้สังเกต ทำหน้าที่ตรวจสอบความร่วมมือระหว่างสมาชิก ภายในกลุ่ม 6) อธิบายงานที่มอบหมายให้นักเรียนทำ 7) แจ้งเงื่อนไขเพื่อจัดสภาพให้เกิดความเกี่ยวพันกันในเรื่องของเป้าหมายร่วมอาจทำ ได้โดยกำหนดให้กลุ่มผลิตผลงานร่วมกันเพียง 1 ชิ้น หรือให้รางวัลกลุ่มจากผลงานของสมาชิกแต่ละ คน 8) จัดสภาพให้เกิดความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของแต่ละคน ซึ่งจะทำให้ทุกคนมี ส่วนให้กับกลุ่ม เช่น ครูจัดสอบนักเรียนเป็นรายบุคคล ครูสุ่มเลือกสมาชิกของคนใดคนหนึ่งขึ้นมา รายงานผลงานของกลุ่ม หรือครูเลือกผลงานของสมาชิกคนใดคนหนึ่งมาเป็นตัวแทนของกลุ่มแล้วให้ คะแนนกลุ่มจากผลงานของสมาชิกคนนั้น เป็นต้น 9) จัดสภาพให้เกิดความร่วมมือระหว่างกลุ่ม เป็นต้นว่าให้ถามเพื่อนกลุ่มอื่นได้เมื่อ ต้องการความช่วยเหลือ 10) อธิบายเกณฑ์ของความสำเร็จ การให้คะแนนควรเป็นแบบอิงเกณฑ์มากกว่าอิง กลุ่ม สำหรับกลุ่มแบบแตกต่าง (Heterogeneous Groups) เกณฑ์การให้คะแนนสำหรับแต่ละกลุ่ม จะต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป 11) ระบุพฤติกรรมที่คาดหวัง ในระยะแรกพฤติกรรมที่คาดหวัง คือ ให้อยู่กับกลุ่ม ถามชื่อเพื่อนสมาชิกในพฤติกรรมระดับที่ซับซ้อนขึ้น ได้แก่ ให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการอภิปราย ทุกคนเข้าใจ และเห็นด้วยกับคำตอบของกลุ่ม 12) ระหว่างที่นักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม ครูมีบทบาท ดังนี้ 12.1) สังเกตพฤติกรรมการทำงานของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อ ดำเนินการแก้ไข หากนักเรียนประสบปัญหาในการทำงานหรือปัญหาเกี่ยวกับการร่วมมือกัน 12.2) ให้ความช่วยเหลือนักเรียน ครูจำเป็นต้องเข้าไปแทรกในระหว่างการ ทำงานของนักเรียนเป็นครั้งคราว เพื่อชี้แจงคำสั่ง เพื่อตอบปัญหาข้อสงสัย เพื่อกระตุ้นให้นักเรียน แสดงความคิดเห็น พูดคุย และเพื่อสอนทักษะการเรียน


44 12.3) สอนทักษะการร่วมมือเพื่อให้สื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 13) สรุปบทเรียนโดยนักเรียนและครู 14) นักเรียนประเมินการทำงานของสมาชิกในกลุ่มและหาแนวทางแก้ไขปัญหาการ ทำงานในครั้งต่อไป 15) การประเมินผล 15.1) ประเมินผลงานของนักเรียน อาจทำได้หลายวิธี เช่น ให้สมาชิกทุกคน ในกลุ่มได้คะแนนเท่ากัน ซึ่งเป็นการเสริมแรงให้นักเรียนร่วมมือกัน หรือให้แรงเสริมแบบร่วมมือไป พร้อมกับการให้แรงเสริมรายบุคคล โดยให้คะแนนเป็นรายบุคคลจากผลงานของแต่ละคนและให้ รางวัลกลุ่มจากคะแนนรวมของสมาชิกในกลุ่ม หรือนักเรียนได้คะแนนของตนเองรวมกับคะแนนพิเศษ (Bonus Points) ที่ได้จากจำนวนสมาชิกภายในกลุ่มที่ได้คะแนนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 15.2) ประเมินการทำงานของกลุ่มจากการสังเกตระหว่างเรียน และการ อภิปรายในขั้นกระบวนการกลุ่ม 2.5.2.5 ขั้นตอนการการจัดการเรียนรู้แบบ LT (Learning Together) David Johnson and Robert Johnson (1991) ได้เสนอการเรียนการสอนตาม รูปแบบการเรียนด้วยกัน ซึ่งเป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีความคล้ายคลึงกับรูปแบบการสอนแบบ สืบสวนสอบสวน (Group Investigation) ซึ่งรูปแบบการเรียนด้วยกันนี้ จะแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มคละ ความสามารถ เน้นการสร้างกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมก่อนที่จะทำงานร่วมกันจริง และเน้นการอภิปรายใน กลุ่มว่าสมาชิกทำงานช่วยกันได้ดีเพียงใด การเรียนรู้แบบการเรียนการสอนตามรูปแบบการเรียนด้วยกัน มีลักษณะการเรียนรู้ ดังนี้ 1) ครูกำหนดงานให้นักเรียนทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่นักเรียนเคยเรียนมา ก่อนกำหนดว่าให้ทำงานอะไร แต่ไม่ได้กำหนดรายละเอียดของงาน เพื่อให้นักเรียนได้มีความคิด สร้างสรรค์ผลงานเอง อาจจะเป็นงานขนาดใหญ่ที่ต้องทำทั้งชั้นเรียน แต่ต้องมีการแบ่งงานกันทำใน ส่วนต่าง ๆ และนำมารวมกัน และจะต้องรับรู้ในงานส่วนอื่น ๆ ของเพื่อนนักเรียนคนอื่นที่ทาด้วย 2) การจัดนักเรียนเข้ากลุ่ม โดยคละความสามารถ ซึ่งแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3–5 คนและทำงานตามที่ครูได้กำหนดไว้ให้ จากนั้นร่วมกันวางแผนการทำงาน มอบหมายบทบาท หน้าที่ของแต่ละคนให้ชัดเจน 3) งานที่ทำนั้นมีลักษณะที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน สมาชิกกลุ่มมี ความรับผิดชอบในงานส่วนของตนเอง เมื่องานในส่วนของตนเองเสร็จแล้ว จะนำงานของทุกคนมา รวมเป็นงานของกลุ่ม ดังนั้นความสำเร็จของกลุ่มเกิดจากความร่วมมือของสมาชิกกลุ่มทุกคน 4) มีการนำเสนอผลงานเมื่องานเสร็จสิ้นลง โดยสมาชิกกลุ่มได้ร่วมปรึกษาถึงวิธีการ นำเสนอผลงานและวิธีการทำงานของกลุ่ม


45 5) ครูเป็นผู้ประเมินผลการทำงานของกลุ่ม โดยเน้นผลงานและกระบวนการทำงาน ซึ่งมีวิธีการประเมินโดยคัดเลือกตัวแทนกลุ่มออกมาสอบถามเกี่ยวกับงานที่ได้ทำ และกระบวนการ ทำงานของกลุ่ม ไสว ฟักขาว (2552 : 11) ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ไว้ดังนี้ 1) ครูและนักเรียนทบทวนเนื้อหาเดิม หรือความรู้พื้นฐานที่ เกี่ยวข้อง 2) ครูแจกแบบฝึกหรือใบงานให้ทุกกลุ่ม กลุ่มละ 1 ชุดเหมือนกัน นักเรียนช่วยทำงานโดยแบ่งหน้าที่แต่ละคน เช่น นักเรียนคนที่ 1 อ่านคำแนะนำ คำสั่งหรือโจทย์ในการดำเนินงาน นักเรียนคนที่ 2 ฟังขั้นตอนและรวบรวมข้อมูล นักเรียนคนที่ 3 อ่านสิ่งที่โจทย์ต้องการทราบแล้วหาคำตอบ นักเรียนคนที่ 4 ตรวจคำตอบ 3) แต่ละกลุ่มส่งกระดาษคำตอบหรือผลงานเพียงชุดเดียว ถือว่า เป็นผลงานที่สมาชิกยอมรับ และเข้าใจแบบฝึกหรือการทำงานชิ้นนี้แล้ว 4) ตรวจคำตอบหรือผลงานให้คะแนนด้วยกลุ่มเองหรือครูก็ได้ กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รางวัลหรือติดประกาศไว้ที่บอร์ด 2.5.2.6 ข้อดีของการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ชนินทร์ พุ่มบัณฑิต (2563 : ). ศึกษาพัฒนาการของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ โดย เปรียบเทียบทั้งก่อนและหลังเรียนที่นำรูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการสอนแบบกลุ่มเรียนรู้ ร่วมกัน (Learning Together: LT) มาใช้ในรายวิชาการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมทางธุรกิจ และ ศึกษาผล ของการใช้เทคนิคการสอนแบบกลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together: LT) กับ ความพึงพอใจใน การเรียนวิชาการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมทางธุรกิจ กลุ่มเรียน 101 ของ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวน 42 คน แขนงวิชาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏ จันทรเกษม ในภาค เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบกลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together: LT) ในการศึกษาพัฒนาการของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ ใช้ระเบียบวิธีวิจัย เชิงปริมาณในการ ทดสอบ โดยใช้เครื่องมือสถิติในการศึกษาเป็นรูปแบบของแบบประเมินวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และใช้การทดสอบสมมติฐานทางการวิจัยด้วยสถิติ t-test กับประชากร กลุ่มเดียว ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มประชากรที่ผู้สอนใช้เทคนิค การสอนแบบกลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together: LT) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่แตกต่างกัน โดยมีค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์หลังเรียน


46 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมี ความพึงพอใจในเทคนิคการสอนแบบ กลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together: LT) โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ (2551 : 175) ได้ศึกษาข้อดีของการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้ (LT) ไว้ดังนี้ 1) ผู้เรียนมีความเอาใจใส่รับผิดชอบตัวเองและกลุ่มร่วมกับผู้อื่น 2) ส่งเสริมให้ผู้เรียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้นำ 3) ส่งเสริมให้ผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันได้เรียนรู้ร่วมกัน 4) ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกและเรียนรู้ทักษะทางสังคมโดยตรง 5) ผู้เรียนมีความสุข สนุกสนานกับการเรียนรู้ ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2548 : 135) ได้ศึกษาข้อดีของกระบวนการกลุ่มร่วมมือ กันเรียนรู้ ไว้ดังนี้ 1) นักเรียนทุกคนในกลุ่มมีความรับผิดชอบร่วมกันในการทำงาน และการเรียนรู้ 2) นักเรียนรู้ทักษะของการอยู่ร่วมกันในสังคม 3) นักเรียนซึ่งมีปฏิกิริยาต่อกันและกันนั้นได้เกิดการเรียนรู้ในเจต คติ ค่านิยมและความรู้ซึ่งกันและกัน 4) นักเรียนได้ฟังความคิดเห็นจากคนอื่น ทำให้มีความคิด กว้างขวาง 2.5.2.7 ข้อจำกัดของการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ (2551 : 175) ได้ศึกษาให้ข้อกำจัดของการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้ (LT) ไว้ดังนี้ 1) ถ้าผู้เรียนขาดการเอาใจใส่และความรับผิดชอบส่งผลให้ผลงาน กลุ่มและการเรียนรู้ไม่ประสบผลสำเร็จ 2) เป็นวิธีการที่ผู้สอนจะต้องเตรียมการดูแลเอาใจใส่กระบวนการ เรียน ชาญชัย ยมดิษฐ์ (2548 : 135) ได้ศึกษาข้อจำกัดของกระบวนการกลุ่ม ร่วมมือกันเรียนรู้ไว้ดังนี้ 1) ถ้านักเรียนขาดความรับผิดชอบ ขาดความเอาใจใส่ ขาดความ กระตือรือร้น จะส่งผลต่อกลุ่มการเรียนรู้ไม่ประสบความสำเร็จ 2) ในการทำงานร่วมกัน คิดร่วมกัน คนอ่อนไม่ออกความคิดหรือ คิดช้า เป็นผลต่อ การทำงานกลุ่มทำให้คนคิดช้าไม่ประสบความสำเร็จ


47 จากการศึกษาสามารถสรุปได้ว่า ข้อดีและข้อเสียของการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือกัน การเรียนรู้ L.T (Learning Together) มีดังนี้ ข้อดี คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันได้ เรียนรู้ร่วมกันมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ส่งเสริมให้นักเรียนพัฒนาทักษะทางสังคม การทำงานร่วมกันอย่างมี ความสุข ส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนฝึกทักษะความเป็นผู้นำ มีความเชื่อมั่นในตนเองและรับฟังความ คิดเห็นจากผู้อื่น ปลูกฝังให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อผู้อื่น ส่งเสริมให้นักเรียนรู้จัก ช่วยเหลือเกื้อกูล พึ่งพาอาศัยกันและร่วมมือกัน ข้อเสีย คือ ถ้านักเรียนคนหนึ่งขาดความรับผิดชอบจะ ส่งผลต่อกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือไม่ประสบผลสำเร็จ นักเรียนบางส่วนขาดการยอมรับความคิดเห็น ของนักเรียนที่เรียนอ่อน สรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค L.T (Learning Together) เป็นเทคนิคที่มี กระบวนการในการสอนที่ไม่ยุ่งยากและซับซ้อน เป็นกลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน (Learning Together : LT) กลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให้สมาชิกในกลุ่มได้รับผิดชอบ มีบทบาทหน้าที่ทุกคน เช่น เป็นผู้อ่าน เป็นผู้จดบันทึก เป็นผู้รายงานนาเสนอ เป็นต้น ทุกคนช่วยกันทำงาน จนได้ผลงาน สำเร็จ ส่งและนำเสนอผู้สอน (อาภรณ์ ใจเที่ยง, 2550 : 23) โดยเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่นักเรียนได้ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ผลงานกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มแต่ละคนมีความสามารถ แตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในขณะที่ทำงานนักเรียนต้องช่วยกันคิดและช่วยกันตอบคำถาม โดยกระบวนการคือให้สมาชิกในกลุ่มช่วยกันศึกษาเนื้อหาร่วมกัน โดยกำหนดให้แต่ละคนมีบทบาท หน้าที่ช่วยกลุ่มในการเรียนรู้พยายามทำให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมและทุกคนเข้าใจที่มาของคำตอบได้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยให้นักเรียนขอความช่วยเหลือจากเพื่อนก่อนที่จะถามครู และครูชมเชย หรือให้รางวัลเป็นกลุ่มตามผลงานของกลุ่มนั้น ๆ มีความสนุกสนานในการเรียนรู้แบบกระบวนการ กลุ่มร่วมมือ ทำให้การเรียนรู้ไม่น่าเบื่อ นักเรียนมีความรับผิดชอบทั้งในส่วนตนและส่วนรวม ทั้งยังเป็น การส่งเสริมประชาธิปไตยในชั้นเรียนและเพื่อให้กลุ่มได้รับความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 2.6 แผนการจัดการเรียนรู้ 2.6.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2549: 58) ได้กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ การ เตรียมการสอนหรือการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบและจัดไว้เป็นลายลักษณ์ อักษรโดยมีการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ กำหนดไว้โดยเริ่มจาการกำหนดจุดประสงค์จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านใด(สติปัญญา/เจต คติ/ทักษะ) จะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยวิธีใด ใช้สื่อการสอนหรือแหล่งเรียนรู้ใด จะ ประเมินผลอย่างไร


48 ดวงกมล สินเพ็ง (2553: 79) ได้กล่าว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ แผนหรือแนว ทางการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และได้พัฒนาคุณภาพตามผลการเรียนรู้ที่ คาดหวังที่ครูผู้สอนได้กำหนดไว้ สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แนวทางในการจัดการเรียนรู้ของครู โดยมีการ ลำดับขั้นตอนในการสอน ขั้นตอนของกิจกรรม มีการจัดเตรียมสื่อ อุปกรณ์ การประเมินผล เพื่อให้ การเรียนรู้ตรงตามวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของหลักสูตรที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.6.2 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2552: 2) ได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ 1) ก่อให้เกิดการวางแผนและการเตรียมการล่วงหน้า เป็นการนำเทคนิค วิธีการสอน การเรียนรู้สื่อเทคโนโลยี และจิตวิทยาการสอนมาผสมผสานประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับ สภาพแวดล้อมด้านต่าง ๆ 2) ส่งเสริมให้ครูผู้สอนค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร เทคนิคการเรียน การสอน การเลือกใช้สื่อการวัดและประเมินผลตลอดจนประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจำเป็น 3) เป็นคู่มือการสอนสำหรับตัวครูผู้สอนและครูที่สอนแทนนำไปใช้ ปฏิบัติการสอนอย่างมั่นใจ 4) เป็นหลักฐานแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอนและการวัดประเมินผที่ จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนต่อไป 5) เป็นหลักฐานแสดงความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน ซึ่งสามารถนำไปเสนอ เป็นผลงานทางวิชาการได้ สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2549: 58) ได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ 1) ทำให้เกิดการวางแผนวิธีสอนที่ดี วิธีเรียนที่ดี ที่เกิดจากการผสมผสาน ความรู้และจิตวิทยาการศึกษา 2) ช่วยให้ครูผู้สอนมีคู่มือการจัดการเรียนรู้ที่ทำไว้ล่วงหน้าด้วยตนเองและ ทำให้ครูมีความมั่นใจในการจัดการเรียนรู้ได้ตามเป้าหมาย 3) ช่วยให้ครูผู้สอนทราบว่าการสอนของตนเองได้เดินไปในทิศทางใดหรือ ทราบว่าจะสอนอะไร ด้วยวิธีใด สอนทำไม สอนอย่างไร จะใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้อะไร จะวัดและ ประเมินผลอย่างไร 4) ส่งเสริมให้ครูผู้สอนใฝ่ศึกษาหาความรู้ ทั้งเรื่องหลักสูตร วิธีการจัดการ เรียนรู้จะจัดหาและใช้สื่อ แหล่งเรียนรู้ ตลอดจนการวัดผลและประเมินผล 5) ใช้เป็นคู่มือสำหรับครูที่มาสอน (จัดการเรียนรู้) แทนได้


49 6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่นำไปใช้และพัฒนาแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อวง การศึกษา 7.) เป็นผลงานทางวิชาการที่แสดงถึงความชำนาญและความเชี่ยวชาญของ ครูผู้สอนสำหรับประกอบการประเมินเพื่อขอเลื่อนตำแหน่งและวิทยฐานะครูให้สูงขึ้น สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีความสำคัญ คือ เป็นคู่มือสำคัญในการจัดการเรียนรู้ของครู ทำให้ครูสามารถจัดเตรียมกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของผู้เรียนและเป็น เครื่องมือที่ใช้ในการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ 2.6.3 ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2552: 2) ได้กล่าวว่า ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ควรมีลักษณะ ดังนี้ 1) เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีกิจกรรมให้นักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติมาก ที่สุดโดยครูเป็นเพียงผู้คอยชี้นำ ส่งเสริมหรือกระตุ้นกิจกรรมดำเนินไปตามความมุ่งหมาย 2) เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนเป็นผู้ค้นพบคำตอบ หรือทำสำเร็จด้วยตนเอง โดยครูพยายามลดบาบาทการบอกคำตอบ มาเป็นผู้คอยกระตุ้นด้วยคำถาม หรือปัญหาไห้นักเรียนคิดหรือหาแนวทางไปสู่ความสำเร็จในการทำกิจกรรม 3) เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะกระบวนการ มุ่งให้นักเรียนรับรู้ และนำกระบวนการไปใช้จริง 4) เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่สามารถจัดหาสื่อการเรียนการสอนได้ใน ท้องถิ่น หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์สำเร็จรูปราคาแพง สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2549: 59) ได้กล่าวว่า ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ 1) กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ไว้ชัดเจน (ในการสอนเรื่องนั้น ๆ ต้องการ ให้ผู้เรียนเกิดคุณสมบัติอะไร หรือด้านใด) 2) กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ชัดเจนและนำไปสู่ผลการเรียนรู้ ตามจุดประสงค์ได้จริง (ระบุบทบาทของครูผู้สอนและผู้เรียนไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องทำอะไร จึงจะทำ ให้การเรียนการสอนบรรลุผล) 3) กำหนดสื่ออุปกรณ์หรือแหล่งเรียนรู้ไว้ชัดเจน (จะใช้สื่อ อุปกรณ์หรือ แหล่งเรียนรู้อะไรช่วยบ้าง และจะใช้อย่างไร) 4) กำหนดวิธีการวัดและประเมินผลไว้ชัดเจน (จะใช้วิธีการและเครื่องมือใน การวัดและประเมินผลใด เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้นั้น)


50 5) ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ (ในกรณีมีปัญหาเมื่อมีการนำไปใช้หรือไม่ สามารถกำหนดการจัดการเรียนรู้ตามแผนนั้นได้ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้เป็นอย่างอื่นได้ โดยไม่ กระทบต่อการเรียนการสอนและผลการเรียนรู้ 6) มีความทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ และสอดคล้อง กับสภาพที่เป็นจริงที่ผู้เรียนดำเนินชีวิตอยู่ 7) แปลความได้ตรงกัน แผนการจัดการเรียนรู้ที่เขียนขึ้นจะต้องสื่อ ความหมายได้ตรงกัน เขียนให้อ่านเข้าใจง่าย กรณีมีการสอนแทนหรือเผยแพร่ ผู้นำไปใช้สามารถ เข้าใจและใช้ได้ตามจุดประสงค์ของผู้เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ 8) มีการบูรณาการ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีจะสะท้อนให้เห็นการบูรณา การแบบองค์รวมของเนื้อหาสาระความรู้และวิธีการจัดการเรียนรู้เข้าด้วยกัน 9) มีการเชื่อมโยงความรู้ไปใช้อย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำ ความรู้และประสบการณ์เดิมมาเชื่อมโยงกับความรู้และประสบการณ์ใหม่และนำไปใช้ในชีวิตจริงกับ การเรียนในเรื่องต่อไป สรุปได้ว่า ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี คือ เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ทักษะกระบวนการ และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง จนเกิด เป็นองค์ความรู้ใหม่ 2.6.4 รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2549: 60) ได้กล่าวถึงรูปแบบแผนการจัดการเรียนรู้ที่นิยม ใช้กันทั่วไป ดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบบรรยาย เขียนโดยใช้ประเด็นทั้ง 10 ประเด็น มากำกับแต่การลำดับกิจกรรมการเรียนการสอนจะเขียนเป็นเชิงบรรยาย กิจกรรมที่ครูจัดเตรียมไว้ โดยมีระบุว่านักเรียนทำอะไร 2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบตาราง เขียนโดยใช้ประเด็นสำคัญที่เป็น องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้มากำกับและบรรจุองค์ประกอบสำคัญเหล่านั้นไปตามตาราง เกือบทั้งหมด 3) แผนการจัดการเรียนรู้แบบพิสดาร เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่มี รายละเอียดมากขึ้น การลำดับกิจกรรมการเรียนการสอนแยกเป็นกิจกรรมที่ครูปฏิบัติและสิ่งที่ นักเรียนปฏิบัติซึ่งสอดคล้องกัน ดวงกมล สินเพ็ง (2553: 79) ได้กล่าวถึงรูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ดังนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้รายปี หรือรายภาค 2) แผนการจัดการเรียนรู้รายหน่วย


51 3) แผนการจัดการเรียนรู้รายคาบ สรุปได้ว่า รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ คือ แบบแผนของการเขียนแผนการจัดการ เรียนรู้ ซึ่งครูผู้สอนสามารถเลือกพิจารณาใช้ได้ทั้ง 3 รูปแบบตามความเหมาะสมของรายวิชาที่สอน 2.6.5 องค์ประกอบที่สำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2549: 63) ได้กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ควร ประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วนไว้ ดังนี้ 1) ส่วนที่ 1 ส่วนนำหรือหัวแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นส่วนประกอบที่แสดง ให้เห็นภาพรวมของแผนการจัดการเรียนรู้ ว่าเป็นแผนจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ใด ใช้กับ ผู้เรียนระดับใด เรื่องอะไร ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมนานเท่าใด 2) ส่วนที่ 2 ตัวแผนการจัดการเรียนรู้ (องค์ประกอบที่สำคัญ) ซึ่ง ประกอบด้วย 2.1) สาระ 2.2) มาตรฐานการเรียนรู้ 2.3) มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 2.4) ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 2.5) สาระสำคัญ 2.6) จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.7) สาระการเรียนรู้/เนื้อหา 2.8) กิจกรรม/กระบวนการเรียนรู้ 2.9) สื่อ/นวัตกรรม/แหล่งเรียนรู้ 2.10) การวัดและประเมินผล 2.11) เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ 2.12) บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ 3) ส่วนที่ 3 ท้ายแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วย บันทึกผลการใช้ แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นส่วนที่ผู้สอนบันทึกผลการสังเกตที่พบจากการนำแผนไปใช้ เช่น ปัญหา และแนวทางแก้ไข กิจกรรมเสนอแนะ และข้อมูลอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงแผนการจัดการ เรียนรู้ในการนำไปใช้ต่อไป และเอกสารประกอบการสอน ได้แก่ ใบงาน แบบทดสอบที่ใช้ในการ จัดการเรียนรู้ตามแผนนั้น ๆ เป็นต้น ดวงกมล สินเพ็ง (2553: 79) ได้กล่าวว่า การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ จากคำอธิบายรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ แล้วครูผู้สอนนำผลการวิเคราะห์มาจัดเตรียมทำแผนการ


52 จัดการเรียนรู้ล่วงหน้า เพื่อครูจะได้มีความพร้อมที่สุดในการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียน เกิดการ เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพทุกขั้นตอน แผนการจัดการเรียนรู้มีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ 1) ส่วนนำ ได้แก่ ชื่อกลุ่มสาระการเรียนรู้ ระดับชั้น ห้องเรียน ภาคเรียนที่ ปีการศึกษา ชื่อหน่วยการเรียนรู้ หัวข้อเรื่อง สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด (ถ้าเป็นรายวิชา พื้นฐาน) เวลาที่จัดการเรียนการสอน 2) มโนทัศน์ (Concept) หรือสาระสำคัญ 3) ผลการเรียนรู้หรือจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งต้องเขียนเป็นพฤติกรรม (Behavioral Objectives) ที่เน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนาครบทั้ง 3 ด้าน คือ 3.1) ความรู้ (Knowledge) ได้แก่ เนื้อหาสาระที่จัดการเรียนรู้ 3.2) ทักษะกระบวนการ (Process) ได้แก่ ทักษะกระบวนการคิด โดยเฉพาะการคิดวิเคราะห์ การได้ลงมือปฏิบัติ 3.3) เจตคติ (Attitude) ได้แก่ ความตั้งใจ ความสนใจ การเห็น คุณค่า 4) เนื้อหาสาระ (Content) 5) กระบวนการจัดการเรียนรู้ (Learning process) 6) การประเมินผลการเรียนรู้ (Evaluation) 7) สื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ (Learning materials/Learning resources) 8) บันทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ส่วนนี้ครูสามารถนำไป พัฒนาเป็นวิจัยในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี 2.7 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.7.1 ความหมายของประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ระพินทร์ โพธิ์ศรี (2550 : บทคัดย่อ) ให้ความหมายของประสิทธิภาพไว้ว่า ระดับ คุณภาพของ นวัตกรรมที่วัด จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (E1) และผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ (E2 ชวลิต ชูกำแพง (2551 : 131-132 ให้ความหมายประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรม การ เรียนรู้ หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) มีความหมาย ไว้ 2 ประการดังนี้ 1) ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) เป็นค่าที่บอกว่าแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้นั้น สามารถ พัฒนานักเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ ภายใต้สถานการณ์และ กิจกรรมที่ กำหนดให้ โดยมีการ เก็บข้อมูลของผลการเรียนรู้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นพัฒนาการของนักเรียน


53 ได้โดย คำนวณจากคะแนนที่ได้จากการ ทำแบบทดสอบย่อย คะแนนจากพฤติกรรมการเรียน หรือ คะแนนจากกิจกรรมการเข้ากลุ่ม (ไม่ใช่คะแนนการ ทำแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกทักษะ ในระหว่างที่ นักเรียน กำลังเรียนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2) ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เป็นคำที่บอกว่าแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้นั้น สามารถ ส่งผล ให้นักเรียนเกิดสัมฤทธิ์ผลหรือไม่บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป็นไปตามที่กำหนด ไว้ในแผนการจัด กิจกรรมการ เรียนรู้มากน้อยเพียงใด ซึ่งคำนวณจากคะแนนการทำแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน (ทศสอบหลัง เรียน) ของนักเรียนทุกคน 2.7.2 ความหมายของเกณฑ์ประสิทธิภาพ เกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ที่จะ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เป็นระดับที่ผู้จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้จะพึงพอใจว่าหากแผนการ จัดการเรียนรู้ถึงระดับนั้นแล้ว แผนการจัดการเรียนรู้ก็มีคุณค่าที่จะนำไปสอนนักเรียน การกำหนด เกณฑ์ประสิทธิภาพ กระทำโดยการประเมินพฤติกรรมของผู้เรียน 2 ประเภทคือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) และพฤติกรรมขั้นสุดท้าย (ผลลัพธ์) โดยกำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E1 (ประสิทธิภาพ กระบวนการ) และ E2 (ประสิทธิภาพผลลัพธ์) ดังนี้ 2.7.2.1 เกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 หมายความว่า เมื่อเรียนจากแผนการจัดการ เรียนรู้แล้วผู้เรียนจะสามารถทำแบบฝึกหัดหรืองานได้คะแนนเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 80 และทำการ ทดสอบหลังเรียนได้คะแนนเฉลี่ย คิดเป็นร้อยละ 80 การที่จะกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ ( E1 / E2 ) ให้ มีค่าเท่าใด ผู้สอนเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม โดยปกติเนื้อหาที่เป็นความรู้ตั้งไว้ 80/80 หรือ 85/85 หรือ 90/90 ส่วนเนื้อหาที่เป็นทักษะหรือเจตคติอาจตั้งไว้ต่ำกว่านี้ เช่น 75/75 หรือ 70/70 เป็น ต้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ควรตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำเพราะตั้งเกณฑ์ไว้เท่าใดมักจะได้ผลเท่านั้น 2.7.2.2 การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ดำเนินการโดยเมื่อพัฒนา การจัดการเรียนรู้ขึ้นเป็นต้นฉบับแล้วต้องนำไปหาประสิทธิภาพตามขั้นตอน ดังนี้ 1) การทดลองขั้น 1:1 (แบบเดี่ยว) คือนำแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลอง กับนักเรียนเก่ง 1 คน นักเรียนปานกลาง 2 คน และมีนักเรียนอ่อน 1 คน คำนวณหาประสิทธิภาพแล้ว ปรับปรุงให้ดีขึ้น 2) การทดลองขั้น 1:10 (แบบกลุ่ม) คือนำแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้กับนักเรียน 6- 10 คน โดยคละผู้เรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน จำนวนเท่าๆ กัน คำนวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุง ให้ดีขึ้น 3) การทดลองขั้น 1:100 (ภาคสนาม) คือนำแผนการจัดการเรียนรู้ไป ทดลองใช้กับนักเรียน 30 -100 คน คำนวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น


54 สรุปได้ว่า การคำนวณหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นการคำนวณหา ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ E1 / E2 หรือประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์ โดยแสดงเป็นค่าตัวเลข 2 ตัว เช่น E1 / E2 = 80/80, E1 / E2 = 85/85, E1 / E2 = 90/90 เป็นต้น 2.8 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.8.1 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บรรดล สุขปิติ (2552: 3) อธิบายว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การ นำชุดของ คำถาม หรือกลุ่มของงาน หรือสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่ได้จัดเตรียมไว้ไปกระตุ้นให้นักเรียน แสดง พฤติกรรมที่มุ่งหวัง ตอบสนองออกมา แล้วสังเกตพฤติกรรมที่ตอบสนองนั้นว่ามีลักษณะอย่างไร และมีคุณภาพดีเพียงใดซึ่งการ ทดสอบต้องประกอบด้วย 2 ส่วนต่อเนื่องกันคือ ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นตัว เร้ากับ ส่วนที่เป็นพฤติกรรมของ นักเรียนที่ตอบสนองออกมาจนสังเกตและวัดได้ สิ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัว เร้า หรือกระตุ้น เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งสิ้น ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2550: 218) และพวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2534: 96) ได้กล่าวถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในทำนองเดียวกันว่า หมายถึง แบบทดสอบที่วัด ความรู้ของนักเรียนที่ได้เรียนไปแล้ว ซึ่งมักจะเป็นข้อคำถามให้นักเรียนตอบด้วยกระดาษและดินสอกับ ให้นักเรียนปฏิบัติจริง จากความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่กล่าวมาแล้ว สรุปว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่วัดความรู้ความสามารถทางการเรียน ด้านเนื้อหา ด้านวิชาการและทักษะต่าง ๆ ของวิชาการต่าง ๆ 2.8.2 หลักเกณฑ์ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลทางการเรียน ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เยาวดี วิบูลย์ศรี (2538: 82) และวัญญา วิลาภรณ์ (2522: 11) กล่าวถึงหลักเกณฑ์ไว้สอดคล้องกัน ดังนี้ 1) เนื้อหาหรือทักษะที่คลอบคลุมในแบบทดสอบนั้น จะต้องเป็นพฤติกรรม ที่สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ได้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ใช้แบบทดสอบวัดนั้น ถ้านำไปเปรียบเทียบกัน จะต้องให้ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นได้ครอบคลุมและเท่าเทียมกัน 3) วัดให้ตรงกับจุดประสงค์ การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนควรจะวัดตามวัตถุประสงค์ทุกอย่างของการสอน และจะต้องมั่นใจว่าได้วัดสิ่งที่ต้องการจะวัดได้ จริง


55 4) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการวัดความเจริญงอดงามของ นักเรียนการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าไปสู่วัตถุประสงค์ที่วางไว้ ดังนั้น ครูควรจะทราบว่าก่อน เรียนนักเรียนมีความรู้ความสามารถอย่างไร เมื่อเรียนเสร็จแล้วจะมีความรู้แตกต่างจากเดิมหรือไม่ โดยการทดสอบก่อนเรียนและทดสอบหลังเรียน 5) การวัดผลเป็นการวัดผลทางอ้อม เป็นการยากที่จะใช้ข้อสอบแบบเขียน ตอบวัดพฤติกรรมตรง ๆ ของบุคคลได้ คือ การตอบสนองต่อข้อสอบ ดังนั้น การเปลี่ยนวัตถุประสงค์ ให้เป็นพฤติกรรมที่จะสอบ จะต้องทำอย่างรอบคอบและถูกต้อง 6) การวัดการเรียนรู้ เป็นการยากที่จะวัดทุกสิ่งทุกอย่างที่สอนได้ภายใน เวลาจำกัด สิ่งที่วัดได้เป็นเพียงตัวแทนของพฤติกรรมทั้งหมดเท่านั้นดังนั้นต้องมั่นใจว่าสิ่งที่วัดนั้นเป็น ตัวแทนแท้จริงได้ 7) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นเครื่องช่วยพัฒนาการสอนของครู และเป็นเครื่องช่วยในการเรียนของเด็ก 8) ในการศึกษาที่สมบูรณ์นั้น สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การทดสอบแต่เพียงอย่าง เดียว การทบทวนการสอนก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง 9) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควรจะเน้นในการวัดความสามารในการ ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ หรือการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ 10) ควรใช้คำถามให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาและวัตถุประสงค์ที่วัด 11) ให้ข้อสอบมีความเหมาะสมกับนักเรียนในด้านต่าง ๆ เช่น ความยาก ง่ายพอเหมาะ มีเวลาพอสำหรับนักเรียนในการทำข้อสอบ จากที่กล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ในการสร้างแบบทดสอบให้มีคุณภาพ วิธีการสร้างแบบทดสอบ ที่เป็นคำถาม เพื่อวัดเนื้อหาและพฤติกรรมที่สอนไปแล้วต้องตั้งคำถามที่สามารถวัดพฤติกรรมการเรียน การสอนได้อย่างครอบคลุมและตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.8.3 ชนิดของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษาหลายท่านได้แบ่งชนิดของแบบทดสอบ ไว้ดังนี้ ชวาล แพรัตกุล (2551: 112-115) แบ่งแบบทดสอบออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ คือ 1) แบบทดสอบที่ผู้สอนสร้างขึ้นเอง (teacher – made test) เป็น แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ในวิชาต่าง ๆ โดยแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบให้ตอบเสรีและแบบจำกัด คำตอบซึ่งคุณประโยชน์ของแบบทดสอบชนิดนี้อยู่ที่สามารถพลิกแพลงให้เหมาะสมกับสภาพและ เหตุการณ์ได้ 2) แบบทดสอบมาตรฐาน (standard test) แบบทดสอบมาตรฐานเป็น ตัวอย่างของการกระทกหรือความรู้ของบุคคลแต่ละคนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งรับมาภายใต้


56 สภาพการณ์ที่กำหนด การให้คะแนนเป็นไปตามกฎเกณฑ์และการตีความหมายก็เป็นไปตามตาราง เกณฑ์ปกติ แบบทดสอบมาตรฐานผู้สอนใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนเป็นรายบุคคลหรือ รายห้องได้อย่างมั่นใจและประหยัดถูกต้องตามหลักวิชามากกว่าการวัดด้วยวิธีอื่น ๆ ใช้สำหรับวัดพิสัย ความรู้ของผู้เรียนของแต่ละชั้นและแต่ละกลุ่มว่ามีระดับความรู้ทัดเทียมกัน หรือแตกต่างกัน เพื่อได้ ปรับปรุงการสอนให้เหมาะสมกับสภาพการณ์นั้น ๆ ได้ สำหรับแยกประเภทผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย ๆ ตามความสามารถของผู้เรียน เพื่อจะได้เรียนอย่างมีความสุข ใช้ในการวินิจฉันสมรรถภาพว่าแต่ละคน เก่ง – อ่อน ในวิชาใดบ้าง มากน้อยเพียงใดและใช้สำหรับเปรียบเทียบความงอกงามของผู้เรียนแต่ละ คนแต่ละห้องว่า มีพัฒนาการขึ้นจากเดิมในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆมากน้อยเพียงใด ใช้ตรวจ ประสิทธิภาพของการเรียน ใช้พยากรณ์ความสำเร็จในการศึกษาว่ามีโอกาสจะประสบความสำเร็จ ในทางใดระดับใด ใช้ในการแนะแนวโดยพิจารณาผลสอบจากแบบทดสอบมาตรฐานหลายฉบับว่าเขา มีสมรรถภาพทางสมองหรือหัวโน้มเอียงหรือมีความถนัดในด้านใด เพื่อจะได้แนะแนวอาชีพที่ เหมาะสม ใช้ในการประเมินการศึกษา ใช้ในการวิจัยในฐานะที่เป็นแบบทดสอบมาตรฐานมี ประสิทธิภาพในการวัดสูงมากการสำรวจค้นคว้าและการวิจัยต่าง ๆ จึงต้องอาศัยแบบทดสอบชนิดนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญ สำหรับการเก็บข้อมูลในการทดสอบชนิดนี้เป็นเครื่องมือสำคัญ สำหรับการเก็บ ข้อมูลในการทดลอง และเปรียบเทียบความสามารถ อำนวย เลิศชยันตี (2553: 88-91) แบ่งแบบทดสอบออกเป็น 18 ชนิดดังนี้ 1) แบบทดสอบชนิดเลือกตอบ แบบทดสอบชนิดนี้มีลักษณะประกอบด้วย คำถาม 1 คำถาม มีตัวเลือก 4-5 ตัวเลือก 2) แบบทดสอบถูก – ผิด แบบทดสอบชนิดจัดว่าเป็นแบบเลือกตอบอีกย่าง หนึ่งแต่มีเพียงถูกหรือผิด หรือมีสองตัวเลือก 3) แบบทดสอบแบบจับคู่ ลักษณะของแบบทดสอบจัดว่าเป็นแบบ เลือกตอบอีกชนิดหนึ่ง แต่มีตัวเลือกจำนวนคงที่และภายหลังการคัดเลือกตัวเลือกที่ถูกไปแล้วจำนวน ตัวเลือกนี้จะลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ 4) แบบทดสอบให้เขียนตอบ แบบทดสอบชนิดนี้มีหลายลักษณะ เช่น ให้ เป็นแบบเติมคำหรือเติมข้อความสั้น ๆ หรือให้เขียนบรรยายแสดงความคิดเห็น 5) แบบทดสอบความเร็วในการคิด ลักษณะของแบบทดสอบความเร็วจะ ประกอบด้วยข้อคำถามง่าย ๆ แต่มีข้อคำถามจำนวนมาก ๆ ให้เวลาในการทำข้อสอบน้อย คะแนนที่ ได้จะเป็นตัวเลข ที่ชี้ให้เห็นถึงความเร็วในการคิด การทำข้อสอบ 6) แบบทดสอบแบบไม่จำกัดเวลา แบบทดสอบชนิดนี้ ประกอบด้วย ข้อ คำถามที่ค่อนข้างยาก ต้องใช้เวลาในการคิดทำข้อสอบเป็นเวลานาน ดังนั้นจะไม่จำกัดเวลาในการทำ ข้อสอบ ให้ผู้สอบคิดจนว่าจะเสร็จ


57 7) แบบทดสอบที่วัดความสามารถขั้นสูงสุด แบบทดสอบลักษณะนี้มี จุดมุ่งหมายเพื่อวัดความสามารถขึ้นสูงสุดของผู้เรียน ผู้เรียนต้องพยายามทำข้อสอบให้คะแนนมาก ที่สุด คะแนนจะเป็นตัวชี้วัดถึงความสามารถขั้นสูงสุด เช่น การสอบวัดทางด้านสติปัญญา หรือการวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 8) แบบทดสอบที่วัดคุณลักษณะเฉพาะอย่าง แบบทดสอบนี้มีจุดหมายวัด ความสามารถบางอย่างบางประการ หรือคุณลักษณะที่ต้องการวัดเพียงบงลักษณะเท่านั้นเช่น แบบทดสอบวัดความสนใจในวิชาชีพหรือแบบวัดบุคลิกภาพ เป็นต้น 9) แบบทดสอบแบบปรนัย ประกอบด้วยคุณลักษณะ 3 ประการคือ 9.1) คำถามที่ใช้ถาม เป็นคำถามที่ชัดเจน ถามตรงจุด อ่านแล้วรู้ ว่าถามอะไร 9.2) เกณฑ์การตรวจให้คะแนน ได้กำหนดไว้ชัดเจนเมื่อตรวจก็ได้ คะแนนตรงกันเท่ากัน 9.3) การแปลผล ทุกคนที่แปลผลย่อมแปลได้ตรงกัน เช่น ใครทำ ข้อสอบได้ คือ คนเก่งใครทำข้อสอบไม่ได้ คือ คนเรียนอ่อน 10) แบบทดสอบแบบอัตนัย แบบทดสอบนี้เน้นที่คนออกข้อสอบเป็นคน ตรวจและให้คะแนน การให้คนตรวจย่อมมีข้อยุ่งยากหลาย ๆ ประการเกี่ยวกับเก่งในตัวคน 11) การทดสอบที่ใช้การเขียน-ตอบ การทดสอบลักษณะนี้อาจะใช้เป็นแบบ ลักษณะของแบบทดสอบในข้อ 1,2,3,4 ดังที่กล่าวมา เรียกว่า แบบทดสอบที่เป็นการทดสอบที่ใช้ เขียนตอบ 12) การทดสอบที่ไม่ใช้การเขียน การทดสอบลักษณะนี้ไม่ใช่การเขียนตอบ แต่เป็นแบบสังเกตพฤติกรรมจากการกระทำโดยตรง เช่น การทดสอบพลศึกษา การทดสอบด้านการ ปฏิบัติในวิชาช่างประเภทต่าง ๆ 13) การทดสอบที่ใช้นักเรียนเป็นกลุ่ม การทดสอบที่ใช้ลักษณะนักเรียน ทดสอบเป็นกลุ่ม ส่วนมากมักใช้ paper – pencil test เพราะสามารถสอบนักเรียนได้พร้อม ๆ กัน ถึงแม้นักเรียนจะมีจำนวนมาก 14) แบบทดสอบที่ต้องสอบครั้งละ 1 คน การทดสอบที่สอบกับนักเรียน เพียง 1 คน มักเป็นแบบกการสอบเพื่อตรวจสอบข้อพกพร่องทางการด้านเรียน หรือ เป็นการสอบ ความพร้อมทางด้านการเรียน ความพร้อมด้านการฟัง ความพร้อมด้านการอ่าน และโดยเฉพาะการ สอบด้านการปฏิบัติงาน ซึ่งต้องดูพฤติกรรมอากัปกิริยาของผู้เข้าสอบด้วย การสอบเป็นกลุ่มทำให้ไม่ สามารถสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนโดยตรงได้


58 15) แบบทดสอบที่ใช้ภาษา แบบทดสอบนี้เน้นที่การใช้ภาษาเป็นการสื่อ ความหมาย เหมาะสำหรับนักเรียนที่สามารถอ่านหนังสือได้เร็ว 16) แบบทดสอบที่ไม่ใช้ภาษา แบบทดสอบชุดนี้จะเหมาะกับเด็กเล็ก ๆ ที่ ไม่สามารถสื่อความหมายด้วยการพูดหรือการเขียนได้ 17) แบบทดสอบที่ต้องการกระบวนการคิดตอบ แบบทดสอบลักษณะนี้ ผู้สอบไม่สนใจว่าใครคิดได้หรือไม่ แต่มีความสนใจที่ผู้เข้าสอบคิดอย่างไร 18) แบบทดสอบแบบการสร้างจินตภาพ ลักษณะแบบสอบนี้เน้นให้ผู้เข้า สอบแสดงความคู้ความคิดต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่ตนได้พบเห็น ผู้เข้าสอบจะแสดงอาการตอบสนองออกมา เป็นความรู้สึกนึกคิดทัศนคติต่าง ๆ ต่อสิ่งเร้าที่ปรากฏอยู่ ตัวแบบทดสอบที่ใช้เป็นสิ่งเร้า จะมีลักษณะ ไม่ชัดเจน เพราะต้องการเป็นตัวการที่ให้ผู้สอบแสดงพฤติกรรม ความรู้สึกในตนตอบสนองออกมา เท่านั้น เมื่อไรที่ตัวแบบทดสอบมีความชัดเจนไม่ถือว่าเป็นการสอบเพื่อวัดการสร้างจินตภาพ การสอบ ลักษณะนี้จึงเหมาะกับบุคคลที่จิตไม่สมประกอบ คนเหล่านี้เมื่อพบเห็นภาพสลัวๆ ไม่ชัดเจนก็จะ ระบายความรู้สึกนึกคิดที่เป็นปัญหาออกมา ผู้วัดผลก็จะแปลพฤติกรรมที่แสดงออกมานั้นให้เขารู่ว่า เป็นคนอย่างไร มีปัญหาหรือไม่เห็นได้ว่าชนิดของแบบทดสอบมีหลายชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น แบบทดสอบปรนัย อัตนัย แบบเลือกตอบ แบบจำกัดเวลา ที่ผู้สอนสร้างขึ้นเอง หรือแบบทดสอบาตร ฐาน อย่างไรก็ตาม การสร้างแบบทดสอบชนิดต่าง ๆนั้น ผู้สร้างจะต้องสร้างให้เหมาะสมกับเนื้อหา และสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ และเลือกใช้ให้เหมะสมกับผู้สอบด้วย 2.9 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.9.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement) เป็นสมรรถภาพของสมองทางด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับจากประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากครูผู้สอน สำหรับความหมายของ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีนักการศึกษาได้ให้ความหมายหลายท่าน สรุปได้ ดังนี้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จหรือความสามารถในการกระทำใด ๆ ต้องอาศัยทักษะหรือมิฉะนั้นต้องอาศัยความรอบรู้ในวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2555:11) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ทักษะและสมรรถภาพสมองในด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการสั่งสอนของครูผู้สอน ซึ่งสามารถตรวจสอบได้โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน (ธวัชชัย บุญสวัสดิ์กุลชัย, 2543: 4) บรรดล สุขปิติ (2552: 3) อธิบายว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การ นำชุดของ คำถาม หรือกลุ่มของงาน หรือสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่ได้จัดเตรียมไว้ไปกระตุ้นให้นักเรียน


59 แสดง พฤติกรรมที่มุ่งหวัง ตอบสนองออกมา แล้วสังเกตพฤติกรรมที่ตอบสนองนั้นว่ามีลักษณะอย่างไร และมีคุณภาพดีเพียงใดซึ่งการ ทดสอบต้องประกอบด้วย 2 ส่วนต่อเนื่องกันคือ ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นตัว เร้ากับ ส่วนที่เป็นพฤติกรรมของ นักเรียนที่ตอบสนองออกมาจนสังเกตและวัดได้ สิ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัว เร้า หรือกระตุ้น เรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งสิ้น อัจฉรา สุขารมณ์ และอรพินทร์ ชูชม (2551: 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับความสำเร็จที่ได้รับจากการเรียน ซึ่งได้ประเมินผลจากหลายวิธี ดังต่อไปนี้ 1) กระบวนการที่ได้จากแบบทดสอบ โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนโดยทั่วไป 2) กระบวนการที่ได้จาก เกรดเฉลี่ยของโรงเรียน ซึ่งต้องอาศัยกรรมวิธีที่ ซับซ้อนและช่วงเวลาที่ยาวนาน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่นิยมใช้กันทั่วไป มักอยู่ในรูปของเกรดที่ได้ จากโรงเรียน เนื่องจากให้ผลที่น่าเชื่อถือมากกว่า เพราะการประเมินผลการเรียนของนักเรียน ครู จะต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ หลายด้านจึงย่อมดีกว่าการแสดงขนาดของความล้มเหลว หรือ ความสำเร็จทางการเรียนจากการทดสอบนักเรียนด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั่ว ๆ ไปเพียง ครั้งเดียว การแบ่งความสามารถในการเรียนของนักเรียนตามผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยพิจารณา จากเกรดที่ได้รับ ดังต่อไปนี้ 0 หมายถึง ผลการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ ได้คะแนนต่ำกว่า 50 คะแนน 1 หมายถึง ผลการเรียนผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด ได้คะแนน 50-54 คะแนน 1.5 หมายถึง ผลการเรียนพอใช้ ได้คะแนน 55-59 คะแนน 2 หมายถึง ผลการเรียนน่าพอใจ ได้คะแนน 60-64 คะแนน 2.5 หมายถึง ผลการเรียนค่อนข้างดี ได้คะแนน 65-69 คะแนน 3 หมายถึง ผลการเรียนดี ได้คะแนน 70-74 คะแนน 3.5 หมายถึง ผลการเรียนดีมาก ได้คะแนน 75-79 คะแนน 4 หมายถึง ผลการเรียนดีเยี่ยม ได้คะแนนตั้งแต่ 80 คะแนนขึ้นไป ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนเฉลี่ยสะสมของนักเรียน และแบ่งระดับ ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ คะแนนเฉลี่ยสะสมต่ำ หมายถึง ได้คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่า 2.00 คะแนนเฉลี่ยสะสมปานกลาง หมายถึง ได้คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 2.00 – 2.50 คะแนนเฉลี่ยสะสมสูง หมายถึง ได้คะแนนเฉลี่ยตั้งแต่ 2.50 ขึ้นไป จากเอกสารดังกล่าว สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ หมายถึง ผลการเรียน เฉลี่ยสะสมของนักเรียนที่ได้จากการสอบและวิธีการวัดผลของโรงเรียนต่ำกว่า 2.00


60 จากความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดังกล่าว สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ ความรู้ ความสามารถของบุคคลที่มีการพัฒนาขึ้น หลังจากได้รับการจัด การเรียนรู้ การฝึกฝนและการอบรมจนประสบความสำเร็จในด้านความรู้ ทักษะและสมรรถภาพ ด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงจากสมรรถภาพของสมอง 2.9.2 องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บลูม (Bloom, 1976: 139) กล่าวถึงองค์ประกอบของสิ่งที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนว่ามีตัวแปรอยู่ 3 ตัว ดังนี้ 1) พฤติกรรมด้านปัญญา (Cognitive Entry Behavior) เป็นพฤติกรรมด้าน ความรู้ ความคิดและ ความเข้าใจ หมายถึง การเรียนรู้ที่จำเป็นต้องการเรียนเรื่องนั้นและมีมาก่อน เรียน ได้แก่ความถนัดและพื้นฐานความรู้เดิมของผู้เรียนที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ใหม่ 2) ลักษณะทางอารมณ์ (Affective Entry Characteristics) เป็นตัวกำหนด ด้านอารมณ์ หมายถึง แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ความกระตือรือร้นที่มีต่อเนื้อหาที่เรียนรวมถึงทัศนคติของ นักเรียนที่มีต่อวิชา ต่อโรงเรียนและระบบการเรียนหรือมโนภาพเกี่ยวกับตนเอง 3)คุณภาพการสอน (Quality of Instruction) เป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพ ในการเรียนของผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วย การชี้แนะ หมายถึง การบอกจุดมุ่งหมายของการเรียนการ สอนและงานที่จะต้องทำให้นักเรียนทราบอย่างชัดเจน การให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน ดลาอุสเมย์ (ดลาอุสเมย์, ม.ป.ป. อ้างถึงใน สายัณห์ สิทธิโชค, 2550: 46 – 47) กล่าวถึงองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่ามีอยู่ 6 ด้าน ดังนี้ 1) คุณลักษณะของผู้เรียน ได้แก่ ความพร้อมทางด้านร่างกายและสติปัญญา ความสามารถ ทางด้านทักษะ ร่างกาย คุณลักษณะทางจิตใจ เช่น ความสนใจ แรงจูงใจ เจตคติ ค่านิยม ความรู้สึกตนเอง อายุและเพศและความเข้าใจในสถานการณ์ 2) คุณลักษณะของผู้สอน ได้แก่ สติปัญญา ระดับการศึกษา ความรู้ในวิชาที่ สอน การพัฒนาความรู้ ทักษะทางร่างกาย คุณลักษณะจิตใจ เจตคติ ค่านิยม ความรู้สึกคิดกับตนเอง อายุ และเพศ และความเข้าใจในสถานการณ์ 3) พฤติกรรมระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน ได้แก่ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการ ดำเนินการสอนทั้งหลาย เช่น วิธีการสอน ปฏิสัมพันธ์ทางความรู้และความคิด 4) คุณลักษณะของกลุ่ม ได้แก่ โครงสร้าง เจตคติ ความสามัคคี และการ เป็นผู้นำ 5) คุณลักษณะของพฤติกรรมเฉพาะตัว ได้แก่ การตอบสนองเครื่องมือ อุปกรณ์


61 6) แรงผลักดันจากภายนอก ได้แก่ ครอบครัว สิ่งแวดล้อมทางสังคม อิทธิพลของศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น จากที่กล่าวมาข้างต้น อิทธิพลที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น สามารถสรุปได้ 2 ประการ ดังต่อไปนี้ 1) อิทธิพลทางด้านผู้เรียนคือ ความพร้อมทางร่างกาย สติปัญญา เจตคติ เพศ และอายุ แรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์และความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับตนเอง 2) อิทธิพลทางด้านโรงเรียน ได้แก่ ระบบการเรียนการสอน การจัด สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ความพร้อมของบุคลากรในทุกๆ ด้าน ด้านสื่ออุปกรณ์และ เทคโนโลยีในการเรียนรู้และการจัดหลักสูตรการเรียนรู้ที่สนองตอบ ความต้องการและเป็นไปตาม เป้าหมายที่วางไว้ 2.9.3 ลักษณะของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บลูม (Bloom, 1976: 139) กล่าวว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะต้อง สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3 ด้าน ดังนี้ 1)ด้านความรู้ความคิด (Cognitive Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวกับกระบวนการ ต่าง ๆ ทางด้านสติปัญญาและสมอง ประกอบด้วยพฤติกรรม 6 ด้าน ดังนี้ 1.1) ด้านความรู้ความจำ หมายถึง ความสามารถระลึกถึงเรื่องราว ประสบการณ์ที่ผ่านมา 1.2) ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการจับใจความ การแปล ความ การตีความและการขยายความ 1.3) การนำไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้หรือหลักวิชาที่ เรียนมาแล้วในการสร้างสถานการณ์จริง ๆ หรือสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน 1.4) การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ หรือวัตถุ สิ่งของเพื่อต้องการค้นหาสาเหตุเบื้องต้น หาความสัมพันธ์ระหว่างใจความ ระหว่างส่วนรวม และตลอดจนหลักการที่แฝงอยู่ในเรื่อง 1.5) การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้มาจัดระบบ ใหม่เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม มีความหมาย และประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม 1.6) การประเมินค่า หมายถึง การวินิจฉัยคุณค่าของบุคคล เรื่องราว วัสดุ สิ่งของอย่างมีหลักเกณฑ์ 2) ด้านความรู้สึก (Affective Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับการ เจริญเติบโต และพัฒนาการในด้านความสนใจ คุณค่า ความซาบซึ้งและเจตคติต่าง ๆ ของนักเรียน


62 3) ด้านการปฏิบัติการ (Psycho – motor Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับ การพัฒนาทักษะในการปฏิบัติและการดำเนินการ เช่น การทดลอง บรรดล สุขปิติ (2552: บทคัดย่อ) ได้แบ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามจุดหมาย และ ลักษณะสาระที่จัดการเรียนรู้ ซึ่งสามารถวัดได้ 2 แบบ ตามจุดมุ่งหมายและลักษณะสาระ ดังนี้ 1) การวัดผลด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบความสามารถในการปฏิบัติหรือทักษะ ของผู้เรียนโดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถในรูปแบบของการกระทำจริงเป็นผลงาน เช่น วิชาศิลปศึกษา พลศึกษา การงาน เป็นต้น การวัดผลแบบนี้ จึงต้องใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติ (Performance Test) 2) การวัดผลด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบเกี่ยวกับเนื้อหา อันเป็นประสบการณ์ ของการเรียนรู้ของผู้เรียน อันรวมถึงพฤติกรรมความสามารถด้านต่าง ๆ ที่สามารถวัดผลได้โดยใช้ ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement Test) สรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น สามารถวัดได้ทั้งด้านทักษะปฏิบัติ โดยการใช้ แบบทดสอบภาคปฏิบัติและการวัดทางด้านเนื้อหาโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 3 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านความรู้ความคิด (Cognitive Domain) โดยวัดพฤติกรรมด้านความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ และการประเมินค่า 2) ด้านความรู้สึก (Affective Domain) พฤติกรรมด้านนี้ เกี่ยวข้องกับ การ เจริญเติบโตและพัฒนาการในด้านความสนใจ คุณค่า ความซาบซึ้งและเจตคติต่าง ๆ ของนักเรียน 3) ด้านการปฏิบัติการ (Psycho – motor Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับ การพัฒนาทักษะในการปฏิบัติและการดำเนินการ 2.9.4 การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อวัดความรู้ เนื้อหา ผู้ประเมินต้อง มีการ วางแผนการดำเนินการสร้างที่เป็นระบบ มีความรู้ในเนื้อหา เขียนข้อคำถามที่ตรงประเด็น ตลอดจน การกำหนดจุดประสงค์เพื่อเขียนข้อคำถามวัดพฤติกรรมที่พึ่งประสงค์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับนักเรียน ดังที่ บลูม (Bloom,1956: 201) ได้กล่าวถึงลำดับขั้นของความรู้ที่ใช้ในการเขียนวัตถุประสงค์เชิง พฤติกรรมด้านความรู้ความคิดไว้ 6 ขั้น ดังนี้ 1) ความรู้ความจำ หมายถึง การระลึกหรือท่องจำความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนมาแล้ว โดยตรงในขั้นนี้รวมถึง การระลึกถึงข้อมูล ข้อเท็จจริง สถานที่ เวลา ขนาด ปริมาตร บุคคล ระเบียบ ประเพณีลำดับขั้นของการทำอย่างใดอย่างหนึ่ง แนวโน้ม จัดประเภท จัดกลุ่ม วิธีการ ไปจนถึง กฎเกณฑ์ ทฤษฎีจากตำรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สอนกันมาแล้วจึงเอามาถาม และถือว่าเป็นการวัดด้าน ความจำเท่านั้น


63 2) ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถจับใจความสำคัญจากเรื่องราวหรือเหตุการณ์ ต่าง ๆ เช่น ความสามารถในการจับใจความด้านการแปลความหมาย การตีความ และขยายความของ ข้อความ คำ เรื่องราว เหตุการณ์ ภาพ ฯลฯ 3) การนำไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการนำความรู้ที่เรียนมาไปใช้แก้ปัญหาใน สถานการณ์ต่าง ๆ เช่น เรียนรู้มาว่าถ้าต้องการให้คนสลบเพื่อจะผ่าตัดก็ต้องใช้ยาสลบ ซึ่งเป็นการวัด ความจำ แต่ถ้าถามว่าจะผ่าตัดไม่มียาสลบจะต้องอย่างไร ถ้าตอบได้แสดงว่ามีความสามารถด้านการ นำไปใช้ 4) การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถที่จะแยกแยะส่วนย่อย ๆ ของเหตุการณ์ เรื่องราว หรือเนื้อหาต่าง ๆ ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง มีจุดมุ่งหมายหรือประสงค์สิ่งใด นอกจากนั้นยัง มองถึงว่าส่วนย่อย ๆ ที่สำคัญนั้น ซึ่งแต่ละเหตุการณ์เกี่ยวพันกันอย่างไรบ้าง และเกี่ยวพันกัน โดย อาศัยหลักการใด ซึ่งจะเห็นได้ว่าความสามารถด้านการวิเคราะห์จะเต็มไปด้วยการหาเหตุผลมา เกี่ยวข้องกันอยู่เสมอและพยายามมองให้ลึกลงไปถึงแก่นแท้ของเนื้อหาและเหตุการณ์นั้น ๆการ วิเคราะห์ จึงต้องอาศัยพฤติกรรมด้านการจำ ความเข้าใจ และการนำไปใช้มาประกอบการพิจารณา 5) การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถที่จะนำเอาส่วนย่อย ๆ มาประกอบกันเป็น สิ่งใหม่ ซึ่งเป็นการวัดว่านักเรียนจะสามารถนำเอาความรู้แต่ละหน่วยมารวมกันจัดเป็นหน่วยใหม่ขึ้น หรือโครงสร้างใหม่ที่ต่างเป็นจากเดิมได้หรือไม่ ลักษณะของคำถามประเภทนี้จะถามเกี่ยวกับการ สังเคราะห์ข้อความ การวางแผน และสังเคราะห์ความสัมพันธ์เป็นคำถามที่จะล้วงลึกดูว่าใครมี ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มากเพียงใด 6) การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับคุณค่าต่าง ๆ ไม่ว่า จะเป็นคำพูด นวนิยาย บทกวี หรือรายงานการวิจัย การตัดสินใจดังกล่าว จะต้องอาศัยเกณฑ์ และ มาตรฐานไปประกอบการวินิจฉัยชี้ขาดเสมอว่าสิ่งนั้นดี เลว อย่างไร และเพราะเหตุใด จึงว่าดีหรือเลว เป็นต้น สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลงาน คุณลักษณะและความสามารถ ของ บุคคลที่พัฒนาขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการได้รับการเรียนรู้ โดยอาศัยเครื่องมือในการวัดผลการศึกษา เพื่อให้ทราบว่าได้ผลอย่างไรและมีส่วนไหนต้องปรับปรุงและพัฒนาผู้เรียนต่อไป ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นโดย ครอบคลุมเนื้อหาตามที่กำหนดไว้ 2.10 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ทำการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหากลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม และรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ในขอบเขตย้อนหลัง 5 ปี พ.ศ.2565-2560 เพื่อเป็นแนวทางและประกอบการทำวิจัยในครั้งนี้ ดังนี้


64 นิลุบล ศิลปธนู, ชวนพิศ ชุมคงและพัศรเบศวณ์ เวชวิริยะกุล (2564 : 1920-1921) ได้วิจัย เรื่อง การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและทักษะกระบวนการกลุ่มของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ก่อนเรียนและหลัง เรียน 2) เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการกลุ่มของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสตรี ปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวนนักเรียน 249 คน จำนวนห้องเรียนทั้งหมด 7 ห้องเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 40 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิกจำนวน 7 แผน โดยใช้เวลา 14 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน – หลัง เรื่อง ทวีปยุโรป เป็นแบบทดสอบแบบ ปรนัย จำนวน 30 ข้อ 3) แบบประเมินทักษะกระบวนการกลุ่มของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก เป็นมาตราส่วนประมาณค่า3 ระดับ 4) แบบ ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LTร่วมกับ เทคนิคผังกราฟิก เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ การวิจัยครั้งนี้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติ ดังนี้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบสมมติฐานโดยใช้สูตร t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) นักเรียนมีทักษะ กระบวนการกลุ่มหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก กลุ่ม สาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม อยู่ในระดับดี 3) นักเรียนมีความพึงพอใจที่มีต่อ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม อยู่ในระดับมาก ออมฤทัย โอชาและคณะ (2562 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ทักษะความเข้าใจในความแตกต่างของวัฒนธรรมและกระบวนการคิดข้ามวัฒนธรรม


65 ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับจากการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับเกณฑ์ร้อยละ 60 2) เพื่อศึกษาทักษะความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมและกระบวนการคิดข้ามวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3) เพื่อศึกษาคุณลักษณะความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตวัดพระบรมธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2562 จำนวน 1 ห้อง รวม 18 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 4 ชนิด ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วย เทคนิค LT บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาจำนวน 5 แผน ใช้เวลา 5 ชั่วโมง 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ 3) แบบวัดทักษะความเข้าใจในความแตกต่างของ วัฒนธรรมและกระบวนการคิดข้ามวัฒนธรรม และแบบวัดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์เป็นแบบประเมินที่มีลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ซึ่งมี5 ระดับ จำนวน 5 ข้อ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) แบบวัดทักษะความเข้าใจในความแตกต่างของวัฒนธรรมและกระบวนการคิดข้ามวัฒนธรรมโดย รวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) แบบวัดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ความรักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก สุภิญญา เธียรวรรณ (2562 : บดคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาพฤติกรรมการทำงาน กลุ่ม โดยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT เรื่อง ทวีปยุโรป รายวิชาภูมิศาสตร์ ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อพัฒนาพฤติกรรมการทำงานกลุ่มโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT เรื่องทวีป ยุโรป รายวิชาภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลบ้านส่องนางใย (2) เพื่อ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือโดยเทคนิค LT เรื่องทวีปยุโรป รายวิชาภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มเป้าหมายในการ วิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียน เทศบาลบ้านส่องนางใย ปีการศึกษา 2562


66 จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 12 แผน แบบสัมภาษณ์ พฤติกรรมการทำงานกลุ่ม แบบประเมินพฤติกรรมการทำงานกลุ่มแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน และบันทึกอนุทินของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า (1) พฤติกรรมการทำงาน กลุ่มโดยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยเทคนิค LT อยู่ในระดับดีมาก (̅=25.75, S.D. = 2.22) คิดเป็นร้อยละ 85.83 (2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ70 โดยมีคะแนน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 16.17 คิดเป็นร้อยละ 80.83 ธำรงกุล ธิสามี, ประภัสสร ปรีเอี่ยมและอรัญ ซุยกระเดื่อง (2563 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เรื่อง ลักษณะทางกายภาพและสังคมของ ทวีปยุโรป ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค LT เรื่องลักษณะทางกายภาพ และสังคมของทวีปยุโรป ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT 3) ศึกษาทักษะการ ทำงานเป็นทีม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนร่องคำ จำนวน 35 คน ที่ได้มา จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT จำนวน 12 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 3) แบบวัดทักษะการทำงานเป็นทีม 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบที (t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เรื่อง ลักษณะทาง กายภาพ และสังคมของทวีปยุโรป ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 85.63/80.00 ซึ่ง เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 2) นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT มี ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 3) นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT มีทักษะการทำงานเป็นทีมในระดับ ดีมาก และ 4) นักเรียนมีความพึง พอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT อยู่ในระดับมากที่สุด ชนะเกียรติ สิงหมาตย์ (2562 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค LT เรื่องหน้าที่ชาวพุทธและวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากิจกรรมการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รวมถึงเหตุผลเชิงจริยธรรม ด้านความซื่อสัตย์สุจริต และศึกษาความพึงพอใจ ของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา


67 ปีที่ 2/1 จำนวน 25 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แผนการจัดการ เรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบเหตุผลเชิงจริยธรรมด้านความซื่อสัตย์ สุจริต และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และค่า t – test (Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) การศึกษาเหตุผลเชิงจริยธรรม ด้านความ ซื่อสัตย์สุจริตของนักเรียน โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT ก่อนเรียนอยู่ในระดับปานกลาง หลังเรียนอยู่ในระดับสูง 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT อยู่ในระดับมาก (̅= 4.34, S.D. = 0.67) ชนันพัฒน์ วรรณวิจิตร (2559 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมวิชา หน้าที่พลเมือง โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 การวิจัย ครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมวิชาหน้าที่พลเมือง โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมวิชาหน้าที่พลเมืองโดยใช้การ เรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 3) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของ การเรียนด้วยชุดกิจกรรมวิชาหน้าที่พลเมือง 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/6 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย บุรีรัมย์ อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 24 คน ได้มาจากการสุ่มอย่าง ง่าย ด้วยการจับสลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่อยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) ชุด กิจกรรมวิชาหน้าที่พลเมือง จำนวน 5 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิค LT จำนวน 5 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ประสิทธิภาพ ดัชนี ประสิทธิผล และ ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ การทดสอบ t-test แบบ Drpendent samples ผลการวิจัยพบว่า 1. ชุดกิจกรรมวิชาหน้าที่พลเมือง โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 83.48/82.08 ซึ่งผ่านเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้ง ไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมวิชาหน้าที่พลเมือง โดย ใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. ดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมวิชา หน้าที่พลเมืองโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีค่า เท่ากับ 0.6964 ซึ่งหมายความว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้น 0.6964 หรือคิดเป็น


68 ร้อยละ 69.64 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีผลต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมวิชาหน้าที่พลเมืองโดย ใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ประดับศิลป ชากํานัน, ประสพสุข ฤทธิเดชและวิลัน จุมปาแฝด (2556 : 271-272) ได้ทำการ วิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมการเรียนรูแบบร่วมมือเทคนิค Learning Together :LT ประกอบ หนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ประการแรก เพื่อพัฒนากิจกรรม การเรียนรูแบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบหนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ 80/80 ประการที่สอง ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรรมการเรียนรูแบบร่วมมือ เทคนิค LT ประกอบหนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรู สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ประการที่สาม เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู แบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบหนังสืออ่านเพิ่มเติม และประการที่สี่ ศึกษาความพึงพอใจของ นักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรูแบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบหนังสืออ่านเพิ่มเติม กลุ่มเป้าหมาย การวิจัย ไดแก นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 19 คน ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2555 โรงเรียนบ้านหนองหิน ตำบลโคกกอ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยไดแก แผนการจัดการเรียนรูจำนวน 10 แผน หนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา จำนวน 5 เล่ม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ขอ และแบบสอบถามความพึง พอใจ จำนวน 10 ขอ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลไดแก ร้อยละ ค่าเฉลี่ย สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ Wilcoxon matched pairs sign rank test ผลการวิจัยพบว่า 1. การจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบหนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง หลักธรรม ทางพระพุทธศาสนา กลุ่มสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มี ค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 86.85/85.09 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว 2. ดัชนีประสิทธิผลของการจัด กิจกรรรมการเรียนรูแบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบหนังสืออ่านเพิ่มเติม มีค่าเท่ากับ 0.7185 แสดง ว่าผู้เรียนมีความกว้าก้าวหนาทางการเรียนเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 71.85 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรูแบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบหนังสืออ่านเพิ่มเติม หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 นักเรียนมีความพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู แบบร่วมมือเทคนิค LT ประกอบหนังสืออ่านเพิ่มเติม โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด นุชจรี คู่กระสังข์ (2560 : บทดัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT เรื่อง รัฐบาลกับระบบเศรษฐกิจ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม การศึกษาในครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของ


69 เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง รัฐบาลกับระบบเศรษฐกิจ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT เรื่อง รัฐบาล กับระบบเศรษฐกิจ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิค LT เรื่อง รัฐบาลกับระบบเศรษฐกิจ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนสตึก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จำนวน 43 คน ซึ่งได้มาโดย การสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) เอกสาร ประกอบการเรียน เรื่อง รัฐบาลกับระบบเศรษฐกิจ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 6 เล่ม 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและ หลังเรียน เรื่อง รัฐบาลกับระบบเศรษฐกิจ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 3) แบบสอบถามความ พึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT เรื่อง รัฐบาลกับระบบ เศรษฐกิจ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 15 ข้อสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสถิติสำหรับทดสอบ สมมติฐาน คือ สถิติค่าที (t-test) ผลการศึกษา พบว่า 1) ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง รัฐบาลกับระบบเศรษฐกิจ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (E1/E2 ) เท่ากับ 89.24/87.48 2) ผล การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการจัดเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้ เทคนิค LT เรื่อง รัฐบาล กับระบบเศรษฐกิจ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลัง การเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัด เรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT เรื่อง รัฐบาลกับระบบเศรษฐกิจ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมากที่สุด ณัฐสรัลพร กวีสิริโชติกุล (2564 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT เรื่อง เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ กลุ่ม สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาชุด กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคLT เรื่อง เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วย ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT เรื่อง เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน สาระที่ 3


70 เศรษฐศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และ (3) เพื่อศึกษาความพึง พอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT เรื่อง เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 ปี การศึกษา 2562 โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง ๑ สังกัดเทศบาลนครแหลมฉบัง จำนวน 33 คนได้มา จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ (1) ชุด กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT เรื่อง เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 3 ชุด (2) หนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน จำนวน 3 เล่ม (2) แผนการ จัดการเรียนรู้ (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติ ที่ใช้ค่าเฉลี่ย (5) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ การทดสอบที (t-test Dependent Sample) สรุปผลการศึกษา 1. ผลการหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT เรื่อง เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 81.69/81.17 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้ง ไว้ 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วย เทคนิค LT เรื่อง เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ .01 3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนด้วยชุด กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค LT เรื่อง เศรษฐศาสตร์ในชีวิตประจำวัน สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มาก แฉล้ม บัวทุม (2562 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การใช้เอกสารประกอบการเรียนโดยใช้ การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เรื่อง ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของ เอกสารประกอบการเรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เรื่อง ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนการใช้เอกสารประกอบการ เรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เรื่อง ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ การใช้เอกสารประกอบการเรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เรื่อง ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ กลุ่ม


71 ตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/3 ที่กำลังเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศาสนาและ วัฒนธรรม สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนเทศบาล บ้านศรีมงคล สังกัดกองการศึกษาเทศบาลเมืองหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ กระทรวงมหาดไทย จำนวน 29 คน โดยทำการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ เอกสารประกอบการเรียน คู่มือการใช้ เอกสารประกอบการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติ ที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t – test แบบ dependent ผลการศึกษาพบว่า 1. ผลการหาประสิทธิภาพของการใช้เอกสารประกอบการเรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เรื่อง ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โดยเทียบกับเกณฑ์ 80/80 พบว่า มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.55 / 91.03 ซึ่งสูง กว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนการใช้เอกสารประกอบการเรียนโดยใช้การ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เรื่อง ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้การใช้เอกสารประกอบการ เรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT เรื่อง ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยภาพรวมมีความ พึงพอใจอยู่ในระดับ มากที่สุด ศิรินทิพย์ องค์ศรีตระกูล (2561 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดภูมิใจในความเป็นไทยร่วมกับวิธีการเรียนการสอน แบบ Learning Together (LT) การพัฒนาครั้งนี้เพื่อมีความมุ่งหมายในการพัฒนา ได้แก่ 1)เพื่อ พัฒนาหนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดภูมิใจ ในความเป็นไทยร่วมกับการเรียนการสอนแบบ Learning Together (LT) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาลเชิงทะเล (ตันติวิท) ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดภูมิใจใน ความเป็นไทยร่วมกับวิธีการเรียนการสอนแบบ Learning Together (LT) และ เพื่อศึกษาความพึง พอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดภูมิใจในความเป็นไทย ร่วมกับวิธีการ เรียนการสอนแบบ Learning Together (LT) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1/4 โรงเรียนเทศบาลเชิงทะเล (ตันติวิท) อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 39 คน ได้มาโดยการเลือกแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ซึ่ง


72 ผู้วิจัย เป็นครูประจำวิชา เครื่องมือใช้ในการพัฒนา ได้แก่ หนังสืออ่านเพิ่มเติม กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ชุดภูมิใจในความเป็นไทย จำนวน 10 เล่ม 2)คู่มือการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ Learning Together (LT) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1 สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ ประกอบการใช้หนังสืออ่าน เพิ่มเติม ชุดภูมิใจในความเป็นไทย จำนวน 20 แผน ๆ ละ 1 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 20 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ มีค่าความยากตั้งแต่ 0.36-0.82 มีค่าอำนาจ จำแนกตั้งแต่ 0.28-0.72 และมีค่าความเชื่อมั่นสูงกว่า 0.73 และแบบสอบถามวัดความพึงพอใจ จำนวน 10 ข้อ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน และ การทดสอบค่าที ผลการพัฒนา พบว่า 1. หนังสืออ่านเพิ่มเติม กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1 ชุดภูมิใจในความเป็นไทยร่วมกับวิธีการ เรียนการสอนแบบ Learning Together (LT) มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 85.33/84.62 สูงกว่าเกณฑ์ ประสิทธิภาพ 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 1 สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติม ร่วมกับวิธีการเรียนการสอนแบบ Learning Together (LT) ซึ่งมีค่าดัชนี ประสิทธิผลทางการเรียน (EI.) เท่ากับ 0.7309 หรือคิดเป็นร้อยละ 73.09 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ ระดับ .05 3. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนโดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติม กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ชุดภูมิใจในความเป็นไทยร่วมกับวิธีการ เรียนการสอนแบบ Learning Together (LT) อยู่ในระดับมาก (x̄=4.44, S.D=0.13) สุปรียา ไผ่ล้อม (2560 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้และ ความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่องพลเมืองต้นแบบ โดยใช้วิธีสอนแบบร่วมมือ (Learning Together : LT) การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง พลเมืองต้นแบบ โดยใช้วิธีสอนแบบร่วมมือ ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 และมีดัชนีประสิทธิผล ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป (2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง พลเมืองต้นแบบ โดยใช้วิธีสอนแบบร่วมมือ (Learning Together : LT) และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการ จัดการเรียนการสอน เรื่อง พลเมืองต้นแบบ โดยใช้วิธีสอนแบบร่วมมือ (Learning Together : LT) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนเทศบาลสวนสนุก จำนวน 1 ห้องเรียน คือชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 จำนวน 45 คน โดยการ สุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling)เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่องพลเมืองต้นแบบ


73 โดยใช้วิธีสอนแบบร่วมมือ (Learning Together : LT) (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ (3) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (SD.) และการทดสอบสมมุติฐานใช้ t-test (Pair) ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง พลเมืองต้นแบบ โดยใช้วิธีสอนแบบร่วมมือ (Learning Together : LT) มีค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 83.26/82.37 ซึ่งสูง กว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และมีดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.61 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถม ศึกษาปีที่ 4 เรื่อง พลเมืองต้นแบบ โดยใช้วิธี สอนแบบร่วมมือ (Learning Together : LT) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ ระดับ .05 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง พลเมืองต้นแบบ โดยใช้วิธีสอน แบบร่วมมือ (Learning Together : LT) โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.64 2.11 กรอบแนวคิดในการวิจัย จากการศึกษา หลักการ แนวคิด ทฤษฎี และประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้และ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ของนักการศึกษา นักวิชาการ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญจากหลายๆท่าน ผู้วิจัยจึงกำหนดกรอบแนวคิด ในการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด หลักการและขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) เพื่อนำมากำหนดเป็นกรอบแนวคิด ในการวิจัย เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนโดยใช้เทคนิคการจัด กิจกรรมที่ให้สมาชิกในกลุ่มได้รับผิดชอบ มีบทบาทหน้าที่ทุกคนอย่างชัดเจน เช่น เป็นผู้อ่าน เป็นผู้จด บันทึก ผู้รายงานนำเสนอ เป็นต้น ทุกคนช่วยกันทำงาน จนได้ผลงานสำเร็จส่งและเสนอผู้สอนได้เมื่อ พัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้วิธีการ สอนข้างต้นจะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้ที่ดีขึ้นใน เนื้อหาการศึกษาที่กำหนดไว้ดังแสดงไว้ในภาพที่ 2 ภาพที่ 2 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น แผนการจัดรูปแบบการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ตัวแปรตาม - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) เรื่อง ลักษณะทั่วไปของ ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย


74 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การดำเนินการวิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะ ทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อหา ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 และ 2. เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ สาระวิชา ภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ผู้วิจัยจึงได้ ดำเนินการศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อดังต่อไปนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 แบบแผนการทดลองที่ใช้ในการวิจัย 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.4 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1 ประชากรในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 6 ห้อง รวม 189 คน ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 3.1.2 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1/1 ทั้งหมด จำนวน 32 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3.2 แบบแผนการทดลองที่ใช้ในการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีแบบแผนการทดลอง (Experimental Research) ซึ่งผู้วิจัยดำเนินการ ทดลองตามแบบแผนการทดลองกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest – Posttest Design)


75 แบบแผนการทดลอง One Group Pretest – Posttest Design กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง E T1 X T2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแผนการทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง (Experimental Group) T1 แทน การทดสอบก่อนเรียนของกลุ่มทดลอง (Pretest) X แทน การจัดกระทำหรือการให้ตัวแปรทดลอง (Treatment) ด้วยรูปแบบการสอนแบบ ร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) T2 แทนการทดสอบหลังเรียนของกลุ่มทดลอง (Posttest) 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 3.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ในสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT (Learning Together) จำนวน 9 แผน รวม 9 ชั่วโมง ดังนี้ - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ทดสอบก่อนเรียน เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องทำเลที่ตั้ง และอาณาเขตของทวีปออสเตรเลียและโอเชีย เนีย จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่องลักษณะภูมิประเทศของทวีปออสเตรเลีย จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่องลักษณะภูมิประเทศหมู่เกาะโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่องลักษณะภูมิอากาศและพืชพรรณธรรมชาติทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่องลักษณะทรัพยากรธรรมชาติของทวีปออสเตรเลียและโอ เชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 เรื่องลักษณะประชากร สังคมและวัฒนธรรมของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 เรื่องลักษณะเศรษฐกิจของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง


76 - แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่องทดสอบหลังเรียนเรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย จำนวน 1 ชั่วโมง 3.3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอ เชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ผู้ที่วิจัยสร้างขึ้นจำนวน 40 ข้อ ต้องใช้จริง 30 ข้อ 3.4 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ ผู้วิจัยใช้แผนการจัดการเรียนรู้โดยโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยวิธีและขั้นตอนการสร้าง แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ดังนี้ 3.4.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ตามขั้นตอนการดำเนินการสร้างแผนการ จัดการเรียนรู้ 9 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) 2) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธสักราช 2551 กลุ่มสาระ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม คู่มือครู หนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ หลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนศึกษา 3) ศึกษาและวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้หน่วยการ เรียนรู้ที่ 12 ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย เรื่อง ทำเลที่ตั้ง และอาณาเขตของทวีปออสเตรเลียและ โอเชียเนีย 4) จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน การ ประเมินผล โดยให้สอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) จำนวน 9 แผน 9 ชั่วโมง 5) นำแผนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน การสอนวิชาสังคมศึกษา เพื่อตรวจสอบโดยระบุเกณฑ์ให้คะแนนแล้วนำไปหาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) ให้ระดับความคิดเห็น ดังนี้


77 ให้ +1 เมื่อแน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้สอดคล้องตามจุดประสงค์การ เรียนรู้ ให้ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้สอดคล้องตามจุดประสงค์ การเรียนรู้ ให้ -1 เมื่อแน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้ไม่สอดคล้องตามจุดประสงค์ การเรียนรู้ และต้องได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ในช่วง 0.67 – 1.00 6) ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามคำแนะนำ และข้อเสนอแนะของ ผู้เชี่ยวชาญ 7) นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้ว ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาข้อบกพร่อง 8) นำแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขเกี่ยวกับเวลา สื่อการสอน ปริมาณ เนื้อหาและกิจกรรมในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อเป็นฉบับสมบูรณ์ 9) นำแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับสมบูรณ์ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง จากขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) 9 ขั้นตอน สรุปเป็นแผนภาพ ได้ดังนี้ 3.4.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทำเลที่ตั้งและอาณาเขตของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยครอบคลุม เนื้อหาและตัวชี้วัดในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 30 ข้อ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้ 3.4.2.1 ศึกษาเอกสารและหลักสูตร คู่มือครู แบบเรียน ระเบียบการวัดผล และประเมินผลทางการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและ สาระการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและสาระการ เรียนรู้ภูมิศาสตร์ ฉบับแก้ไข พ.ศ.2560 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3.4.2.2 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้หลักสูตรแกนกลางและตัวชี้วัด โดย พิจารณาจากความสำคัญของตัวชี้วัดให้ครอบคลุมเนื้อหา เรื่อง ทำเลที่ตั้งและอาณาเขตของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย


78 3.4.2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทำเลที่ตั้งและ อาณาเขตของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย แบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ (ต้องการใช้ จริง 30 ข้อ) 3.4.2.4 นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน (ใช้ผู้เชี่ยวชาญชุด เดิม) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (Index of Item – Objective Congruence: IOC) (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2553: 249) โดยมีการให้เกณฑ์คะแนน ดังนี้ ให้ +1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นสอดคล้องตามจุดประสงค์ การเรียนรู้ ให้ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นสอดคล้องตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ ให้ -1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นไม่สอดคล้องตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ แล้วนำคะแนนมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องกับข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ (Index of Item – Objective Congruence: IOC) ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ในช่วง 0.67 – 1.00 3.4.2.5 นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2/4 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย และผ่านการเรียนรู้เรื่องทำเลที่ตั้งและอาณาเขตของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนียแล้ว จำนวน 30 คน เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์หาความยากง่าย (p) และค่า อำนาจการจำแนก (r) 3.4.2.6 นำผลที่ได้จากการทดสอบรายข้อมาวิเคราะห์หาความยากง่าย (p) และหา ค่าอำนาจการจำแนก (r) ของข้อสอบแต่ละข้อ ซึ่งได้ค่าความยากง่าย (p) จากระหว่าง 0.13 - 0.86 และค่าอำนาจการจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.24 - 0.83 แล้วนำข้อสอบไปหาค่าความแปรปรวน ( ) ได้ค่าเท่ากับ 300.96 และหาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ (r tt ) โดยใช้สูตรของ คูเดอร์–ริชาร์ดสัน (Kuder–Richardson) สูตร KR-20 ได้ค่าเท่ากับ 0.99 3.4.2.7 นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแก้ไขคัดเลือกเอาข้อสอบเพียงจำนวน 30 ข้อ แล้ว ไปเรียบเรียงเพื่อให้เป็นแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แล้วนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างในการ วิจัย คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1


79 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ตามขั้นตอน ดังนี้ 3.5.1 ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน P-Test ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง ทำเลที่ตั้งและอาณาเขตของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย จำนวน 30 ข้อ 3.5.2 ดำเนินสอนด้วยตนเอง โดยใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT (Learning Together) ตามแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 9 แผน รวมเวลาเรียน 9 ชั่วโมง (แผนที่ 1 และแผนที่ 9 เป็นแผนเฉพาะการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน) 3.5.3 หลังจากทำการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) แผนสุดท้ายให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ชุดเดิม) จำนวน 30 ข้อ 3.5.4 นำคะแนนจากบททดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปวิเคราะห์โดยใช้วิธีทาง สถิติ เพื่อทดสอบสมมติฐานและสรุปผลการวิจัย 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะ ทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ผู้วิจัยได้ดำเนินการดังนี้ 3.6.1 หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ในหัวข้อวิจัย ในสาระวิชา ภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1/1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) จำนวน 9 แผน รวม 9 ชั่วโมง ตามเกณฑ์ 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียน ที่ได้จากการทำแบบฝึก ทักษะ ใบงาน ชิ้นงาน และพฤติกรรมระหว่างเรียนของนักเรียนที่ได้ทำการเรียนรู้ของแผนการจัดการ เรียนรู้ในสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ระดับชั้น มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) จำนวน 9 แผน รวม 9 ชั่วโมง 80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนที่ได้จากการทำการวัดผล สัมฤทธิ์ด้วยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย ระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร โดยใช้รูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ตามสูตร ดังนี้


80 สูตร 1 ประสิทธิภาพของกระบวนการ x X 100 E1 = N A เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนการสอนในแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) คิดเป็นร้อยละของ คะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำชิ้นงานและกิจกรรมระหว่างเรียนของนักเรียน x แทน คะแนนรวมจากการทำชิ้นงานและกิจกรรมระหว่างเรียนของนักเรียน A แทน คะแนนเต็มของชิ้นงานและกิจกรรมระหว่างเรียนของนักเรียน N แทน จำนวนนักเรียน สูตร 2 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ Y X 100 E2 = N B เมื่อ E แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ คิดเป็นร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ ได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน Y แทน คะแนนรวมจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 3.6.2 หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1/1 จากแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 2


81 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ ดังนี้ 3.7.1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาคุณภาพของเครื่องมือ 3.7.1.1 ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนและแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้สูตร IOC (สมนึก ภัทธิยธนี. 2551: 79) สูตร IOC = ∑ เมื่อ IOC แทน ดัชนีค่าความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ ∑ แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 3.7.1.2 ค่าความยากง่าย เป็นการวิเคราะห์แบบทดสอบเป็นรายข้อ สูตร P = R N เมื่อ P คือ ดัชนีความยากของข้อสอบ R คือ จำนวนนักเรียนที่ตอบข้อสอบนั้นได้ถูกต้อง N คือ จำนวนนักเรียนที่ตอบข้อสอบทั้งหมด *เกณฑ์ความยากง่ายที่ยอมรับได้มีค่าอยู่ระหว่าง 0.20 – 0.80 ถ้าค่า P มีค่านอกเกณฑ์ ที่กำหนดจะต้องปรับปรุงข้อสอบนั้นหรือตัดทิ้งไป (กรมวิชาการ. 2551: 66) 3.7.1.3 ค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (R) เป็นการ วิเคราะห์ค่าอำนาจจำแนก เป็นการดูความเหมาะสมของรายข้อว่า ข้อคำถามสามารถจำแนกกลุ่มเก่ง และกลุ่มอ่อนได้จริง หรือจำแนกผู้ที่มีคุณลักษณะสูงจากผู้มีคุณลักษณะต่ำได้(สมนึก ภัททิยธนีม, 2551: 221) โดยใช้สูตรดังนี้ สูตร D = 2 N l R u R − หรือ l หร ื อ N u N l R u R − เมื่อ D คือ ค่าอำนาจจำแนก Ru คือ จำนวนผู้เรียนที่ตอบในกลุ่มเก่ง Rl คือ จำนวนผู้เรียนที่ตอบถูกในกลุ่มอ่อน


82 N คือ จำนวนผู้เรียนทั้งหมด Nu คือ จำนวนผู้เรียนในกลุ่มเก่ง Nl คือ จำนวนผู้เรียนในกลุ่มอ่อน *เกณฑ์อำนาจจำแนกที่ยอมรับได้จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0.20 – 1.00 ถ้าค่าอำนาจจำแนกต่ำกว่า 0.20 จะต้องปรับปรุงแบบทดสอบข้อนั้น หรือตัดทิ้งไป (กรมวิชาการ. 2545 : 68) 3.7.1.4 ค่าความเชื่อมั่น (KR–20) เป็นการหาค่าความเชื่อมั่นสำหรับแบบทดสอบ สูตรที่ใช้ในการหามีรูปแบบ ดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด, 2551) - การคำนวณหาค่าความแปรปรวน ( ) สูตร 2 = ∑ 2−(∑ ) 2 (−1) - การคำนวณหาค่าความเชื่อมั่น (KR–20) สูตร = −1 {1 − ∑ 2 } เมื่อ คือ สัมประสิทธิ์ของความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ n คือ จำนวนข้อของแบบทดสอบ p คือ สัดส่วนของผู้เรียนที่ทำข้อสอบข้อนั้นถูกกับผู้เรียนทั้งหมด q คือ สัดส่วนของผู้เรียนที่ทำข้อสอบข้อนั้นผิดกับผู้เรียนทั้งหมด St 2 คือ ความแปรปรวนของคะแนนสอบทั้งฉบับ N คือ จำนวนผู้เรียน 3.7.2 ค่าสถิติพื้นฐาน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for windows) ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 3.7.2.1 ค่าร้อยละ (บุญชม ศรีสะอาด. 2552: 104) สูตร P = f n × 100 เมื่อ P แทน ร้อยละ F แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ n แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด


83 3.7.2.2 ค่าเฉลี่ย (Mean) (บุญชม ศรีสะอาด. 2552: 105) สูตร X̅ = ∑ X n เมื่อ X̅ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม n แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม 3.7.2.3 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) (บุญชม ศรีสะอาด.2552: 106) สูตร S. D. = √ n ∑ x 2−(∑ x 2) n(n−1) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนแต่ละตัว n แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม ∑ X แทน ผลรวม 3.7.3 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ทดสอบด้วยสถิติt-test โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ทางสถิติสำหรับข้อมูลทางสังคมศาสตร์(SPSS for windows) เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย คะแนนความสามรถในการคิดแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการ ทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) (ประณีต วงษ์เกษกรณ์, 2558: 75) สูตร 1 ( ) 2 2 − − = N N D D D t เมื่อ t แทน การแจกแจงแบบที D แทน ความแตกต่างของคะแนนหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียน


84 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของ ทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) มีวัตถุประสงค์คือ (1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร โดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) ซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดัง รายละเอียดต่อไปนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์เพื่อหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไป ของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดย ใช้แบบฝึกทักษะ สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1.1 ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์เพื่อหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 ผู้วิจัยได้นำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80 ทำการทดลองกับ นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยนำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ประกอบด้วยเนื้อหาสาระ


85 จำนวน 7 เรื่อง คือ (1) เรื่องทำเลที่ตั้งและอาณาเขตของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย (2) เรื่องลักษณะภูมิประเทศของทวีปออสเตรเลีย (3) เรื่องลักษณะภูมิประเทศหมู่เกาะโอเชียเนีย (4) เรื่องลักษณะภูมิอากาศและพรรพืชธรรมชาติทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย (5) เรื่องลักษณะ ทรัพยากรธรรมชาติของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย (6) เรื่องลักษณะประชากร สังคมและ วัฒนธรรมของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย (7) เรื่องลักษณะเศรษฐกิจของทวีปออสเตรเลียและโอ เชียเนีย มาใช้สอนจนครบทุกแผนและทำการประเมินผู้เรียนโดยใช้ชิ้นงานที่ทำในกิจกรรมการเรียน การสอน และให้ทำแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 30 ข้อ จากนั้นผู้วิจัยได้นำผลการทดสอบของ นักเรียนรายบุคคลมาวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) แสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังแสดงในตารางที่ 4 ดังต่อไปนี้ สูตร 1 ประสิทธิภาพของกระบวนการ x X 100 E1 = N A เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนการสอนในแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) คิดเป็นร้อยละของ คะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำชิ้นงานและกิจกรรมระหว่างเรียนของนักเรียน x แทน คะแนนรวมจากการทำชิ้นงานและกิจกรรมระหว่างเรียนของนักเรียน A แทน คะแนนเต็มของชิ้นงานและกิจกรรมระหว่างเรียนของนักเรียน N แทน จำนวนนักเรียน สูตร 2 ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ Y X 100 E2 = N B เมื่อ E แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ คิดเป็นร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ ได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน Y แทน คะแนนรวมจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 2


86 ตารางที่ 4 ผลรวมของคะแนนระหว่างเรียนและคะแนนหลังเรียนด้วยการแผนการจัดการเรียนรู้โดย ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1/1 เลขที่ ก่อน เรียน (30) ผลการวัดระหว่างเรียน หลัง เรียน (30) เรื่องที่ 1 (5) เรื่องที่ 2 (5) เรื่องที่ 3 (5) เรื่องที่ 4 (10) เรื่องที่ 5 (5) เรื่องที่ 6 (5) เรื่องที่ 7 (5) รวม (40) 1 11 5 5 5 10 5 5 5 40 28 2 16 5 5 5 10 5 5 5 40 25 3 8 5 5 5 10 5 5 5 40 22 4 6 5 5 5 10 4 5 5 39 19 5 11 5 5 5 10 5 5 5 40 21 6 12 5 5 5 10 4 5 5 39 20 7 11 5 5 5 10 5 4 5 39 26 8 18 5 5 5 10 5 5 5 40 27 9 17 4 5 5 10 4 4 5 37 25 10 13 5 5 5 10 5 5 5 40 24 11 16 4 5 5 10 5 4 5 38 20 12 10 5 5 5 8 5 5 5 38 18 13 16 5 5 5 10 5 5 5 40 23 14 11 5 5 5 10 5 5 5 40 19 15 12 5 5 5 10 5 5 5 40 26 16 8 4 5 5 10 5 5 5 39 22 17 9 4 5 5 10 4 4 5 37 20 18 14 5 5 5 10 5 5 5 40 29 19 13 5 5 5 10 4 5 5 39 24 20 15 5 5 5 10 5 5 5 40 24 21 7 5 5 5 8 4 5 5 37 25 22 14 4 5 5 10 4 4 5 37 27


87 ตารางที่ 4 ผลรวมของคะแนนระหว่างเรียนและคะแนนหลังเรียนด้วยการแผนการจัดการเรียนรู้โดย ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่อง ลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1/1 (ต่อ) เลขที่ ก่อน เรียน (30) ผลการวัดระหว่างเรียน หลัง เรียน (30) เรื่องที่ 1 (5) เรื่องที่ 2 (5) เรื่องที่ 3 (5) เรื่องที่ 4 (10) เรื่องที่ 5 (5) เรื่องที่ 6 (5) เรื่องที่ 7 (5) รวม (40) 23 15 5 5 5 10 5 5 5 40 26 24 12 5 5 5 10 5 5 5 40 24 25 8 4 5 5 10 5 4 5 38 23 26 12 5 5 5 10 5 5 5 40 26 27 13 5 5 5 10 5 5 5 40 27 28 7 4 5 5 10 4 4 5 37 28 29 12 5 5 5 10 5 5 5 40 23 30 11 5 5 5 8 4 5 5 37 29 31 12 5 5 5 8 5 5 5 38 24 32 15 5 5 5 10 5 5 5 40 26 ∑ 385 153 160 160 312 151 153 160 1,249 770 X 12.03 4.78 5.00 5.00 9.75 4.72 4.78 5.00 39.03 24.06 S.D. 3.11 0.41 0.00 0.00 0.66 0.45 0.41 0.00 1.19 3.04 % 40.10 95.63 100 100 97.50 94.38 95.63 100 97.58 80.21 ประสิทธิภาพ (E) E1 = 97.58 E2 = 80.21 จากตารางที่ 4 พบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ได้คะแนนรวมจากการนำเสนอผลงาน กระบวนการเรียนรู้และพฤติกรรมการเรียนรู้ (∑) เท่ากับ 1,249 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ 39.03 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 1.19 คิดเป็นร้อยละ 97.58 และทำคะแนนเฉลี่ยจากการ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนได้คะแนนรวมเท่ากับ (∑) 770 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ 24.06 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 3.04 คิดเป็นร้อยละ 80.21 ดังนั้น แผนการ จัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชา


88 ภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 คือ 97.58/80.21 ตารางที่ 5 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและ โอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1/1 จำนวน นักเรียน (N) คะแนนระหว่างเรียน (E 1 ) คะแนนวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียน (E 2 ) คะแนน เต็ม (A) คะแนน เฉลี่ย ( X ) ค่า เบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ร้อยละ (%) คะแนน เต็ม (B) คะแนน เฉลี่ย ( X ) ค่า เบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ร้อย ละ (%) 32 40 39.03 1.19 97.58 30 24.06 3.04 80.21 จากตารางที่ 5 พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไป ของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1/1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 97.58/80.21 แสดงว่า คะแนนระหว่างเรียนได้ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 1.19 คิดเป็น ร้อยละ 97.58 และทำคะแนนเฉลี่ยจากการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนได้ ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 3.04 คิดเป็นร้อยละ 80.21 ดังนั้น แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค LT (Learning Together) สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไป ของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมี ประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 4.1.2 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและ หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ สาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอ เชียเนีย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1 ผู้วิจัยได้นำคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีป ออสเตรเลียและโอเชียเนียก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 32 คน คะแนนเต็ม 30 คะแนน มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดังแสดง ในตารางที่ 6


89 สูตร t-test for Dependent Sample สูตร 1 ( ) 2 2 − − = N N D D D t เมื่อ t แทน การแจกแจงแบบที D แทน ความแตกต่างของคะแนนหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียน ตารางที่ 6 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 นักเรียนคนที่ คะแนนก่อน เรียน Pre – test คะแนนหลังเรียน Post – test D D 2 1 11 28 17 289 2 16 25 9 81 3 8 22 14 196 4 6 19 13 169 5 11 21 10 100 6 12 20 8 64 7 11 26 15 225 8 18 27 9 81 9 17 25 8 64 10 13 24 11 121 11 16 20 4 16 12 10 18 8 64 13 16 23 7 49 14 11 19 8 64 15 12 26 14 196


90 ตารางที่ 6 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 (ต่อ) นักเรียนคนที่ คะแนนก่อน เรียน Pre – test คะแนนหลังเรียน Post – test D D 2 16 8 22 14 196 17 9 20 11 121 18 14 29 15 225 19 13 24 11 121 20 15 24 9 81 21 7 25 18 324 22 14 27 13 169 23 15 26 11 121 24 12 24 12 144 25 8 23 15 225 26 12 26 14 196 27 13 27 14 196 28 7 28 21 441 29 12 23 11 121 30 11 29 18 324 31 12 24 12 144 32 15 26 11 121 ∑ 385 770 385 5,049 X 12.03 24.06 12.03 306 S.D 3.67 3.04 3.67 93.40 % 40.10 80.21 40.10 525.94 ∑D =385 ∑D 2 =5,049


91 จากตารางที่ 6 พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชา ภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย มีคะแนนก่อนเรียน (Pre – test) ที่ ได้รวมทั้งหมด (∑) เท่ากับ 385 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ 12.03 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 3.11 คิดเป็นร้อยละ 40.10 คะแนนหลังเรียน (Post – test) ที่ได้ทั้งหมด (∑) เท่ากับ 770 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ 24.06 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 3.04 คิดเป็น ร้อยละ 80.21 และคะแนนรวมของผลต่างระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน (∑D) เท่ากับ 385 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ 12.03 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 3.11 คิดเป็นร้อยละ 40.10 และคะแนนรวมของผลต่างระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนยกกำลังสอง (∑D 2 ) เท่ากับ 5,049 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ 306 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 93.40 คิดเป็นร้อยละ 525.94 ดังนั้นคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ตารางที่ 7 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบที่แบบไม่อิสระของผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสาระวิชาภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1/1 การทดสอบ คะแนนเต็ม X S.D. ∑D ∑D2 df T Sig.(2-tailed) ก่อนเรียน 30 12.03 3.11 385 5,049 31 18.557* 0.000 หลังเรียน 30 24.06 3.04 จากตารางที่ 7 พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชา ภูมิศาสตร์ เรื่องลักษณะทั่วไปของทวีปออสเตรเลียและโอเชียเนีย มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน ( X ) เท่ากับ 12.03 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 3.11 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน ( X ) เท่ากับ 24.06 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 3.04 และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


Click to View FlipBook Version