รายงานวิจยั เร่ือง
มนษุ ยนิยม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยแ์ ละ
สทิ ธิมนษุ ยชนในสงั คมไทย
Humanism, human dignity and
human rights in Thai society
รองศาสตราจารยส์ ทิ ธิพันธ์ พทุ ธหนุ หวั หน้าโครงการวจิ ยั
ผชู้ ่วยศาสตราจารย์พรนัชชา พุทธหนุ ผรู้ ว่ มวจิ ยั
อาจารย์จักรภพ ศรมณี ผรู้ ว่ มวจิ ยั
รายงานวิจยั เร่ือง
มนษุ ยนยิ ม ศกั ด์ิศรคี วามเปน็ มนุษยแ์ ละสทิ ธิมนุษยชนใน
สังคมไทย
Humanism, human dignity and human rights
in Thai society
โดย
รองศาสตราจารยส์ ทิ ธิพันธ์ พทุ ธหุน
ผ้ชู ่วยศาสตราจารยพ์ รนชั ชา พทุ ธหนุ
อาจารย์จักรภพ ศรมณี
โครงการหลกั สูตรรฐั ประศาสนศาสตรมหาบณั ฑิต
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
พ.ศ. 2564
รายงานวิจยั เรอื่ ง มนุษยนยิ ม ศกั ด์ิศรคี วามเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชนใน
สังคมไทย
Humanism, human dignity and human rights in Thai
society
ผู้วิจัย รองศาสตราจารยส์ ทิ ธพิ นั ธ์ พทุ ธหุน
ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์พรนชั ชา พทุ ธหุน
อาจารยจ์ ักรภพ ศรมณี
พิมพท์ ี่ มหาวิทยาลยั รามคำแหง
ปที ่พี ิมพ์ 2564
ขอ้ มูลการตดิ ตอ่ โครงการหลกั สูตรรฐั ประศานศาสตรมหาบณั ฑิต
สำนักงานอธกิ ารบดี ชน้ั 5 มหาวิทยาลัยรามคำแหง
หัวหมาก บางกะปิ กรงุ เทพมหานคร 10240
โทร. 0 2310 8030, 081 400 8816
E-mail: [email protected]
ชอื่ โครงการวิจัย มนษุ ยนยิ ม ศกั ดศิ์ รคี วามเปน็ มนุษยแ์ ละสทิ ธิมนุษยชนในสงั คมไทย
Humanism, human dignity and human rights in Thai society
ระยะเวลาทำวิจัย 6 เดือน (พฤษภาคม – ตลุ าคม พ.ศ. 2564)
บทคัดยอ่
งานวิจัยน้ีเป็นการวิจัยเอกสาร (Documentary research) ผู้วิจัยให้ความสนใจศึกษาทำ
ความเข้าใจกับแนวคิดและหลักการท่ีเก่ียวข้องกับเรื่องมนุษยนิยม ศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ และ
สทิ ธิมนุษยชน โดยศกึ ษาเจาะลกึ ดว้ ยการวเิ คราะห์เน้ือหา (Content analysis) ของรัฐธรรมนญู ฉบับปี
พ.ศ. 2540 ถึงฉบับปัจจุบัน ว่าได้ให้ความสำคัญกับการปกปักพิทักษ์ศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ของ
สมาชิกสังคมไทยมากน้อยเพียงใดในเชงิ เปรียบเทียบ ศึกษาองค์กรภาครัฐท่ีมีหน้าที่รับผิดชอบในการน้ี
รวมท้ังศึกษาสถานการณท์ ขี่ ้องเกี่ยวกับสิทธมิ นุษยชนในสังคมไทยระหว่างปี พ.ศ. 2560 ถึง 2564 เพื่อ
ประเมินความสัมฤทธิผลของการบังคับใช้กฎหมายของรัฐด้วย ผลการวิจัยพบว่ามีนักวิชาการได้ให้
ความหมายของมนุษยนิยม ศักดิศ์ รขี องความเป็นมนุษย์ และสทิ ธิมนุษยชนไวห้ ลากหลาย โดยภาพรวม
มองว่ามนุษย์แต่ละคนต่างก็มีศักดศิ์ รีของความเป็นคนเท่าเทียมกัน และใครจะละเมิดไม่ได้ รัฐมีหน้าท่ี
ท่ีจะต้องสนับสนุน ส่งเสริม รวมท้ังปกป้องไม่ให้เกิดการละเมิด หรือมีการรอนสิทธิที่คนพึงมี สำหรับ
สถานการณ์ในประเทศไทย พบว่าแม้รัฐจะกำหนดไว้เป็นกติกาในรัฐธรรมนูญ และกำหนดให้ปัญหา
สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนให้ความร่วมมือสอดส่องดูแล
แต่ก็พบว่ามกี ารละเมิดสิทธมิ นษุ ยชน รวมทั้งการกระทำท่ีสง่ ผลให้ศกั ดิ์ศรขี องความเปน็ คนของคนไทย
ดอ้ ยคา่ ลงตลอดเวลา
คำสำคัญ: มนุษยนิยม; ศักด์ศิ รขี องความเปน็ มนุษย์; สทิ ธิมนษุ ยชน
(ก)
Abstract
This research is a documentary research. The researcher is interested in
understanding the concepts and principles related to humanism, human dignity and
human rights. Moreover, it aimed to analyze the content (content analysis) of the
Thai constitution of the year 1 9 9 7 to the present to make it understandable how
much emphasis has been placed on protecting the human dignity of the members of
Thai society. It intended to explore the government organizations responsible for this
and also included studying the situation related to human rights in Thai society
between 2017 and 2021 to assess the effectiveness of state law enforcement. The
results showed that scholars have given the various meanings of humanism, human
dignity and human rights. Overall, they claimed that each human being has the
dignity of being equal which cannot be violated. States have a duty to support,
promote and prevent such violations or deprivation of the human rights. Concerning
the situation in Thailand, it was found that although the state has set rules in the
constitution and make human rights issues a national agenda, there are various
government agencies and private sectors to cooperate and supervise, but there were
violations of human rights, including actions that result in the deterioration of the
dignity of the Thai people happened all the time.
Keywords: humanism; human dignity; human rights
(ข)
กติ ติกรรมประกาศ
ผลงานวจิ ัยเร่ือง “มนษุ ยนิยม ศกั ดิ์ศรคี วามเป็นมนษุ ยแ์ ละสิทธิมนษุ ยชนในสงั คมไทย” น้ี
เป็นการวิจัยเอกสาร ซ่ึงคณะผู้วิจัยท่ีได้รับแรงบันดาลใจจากงานเขียนของนักวชิ าการ นักคิด นักเขียน
นักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งผลงานขององค์กรทั้งในระดับประเทศและนานาชาติที่ให้ความสำคัญกับ
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชน เช่น สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่ง
สหประชาชาติ คณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชน เป็นต้น
นอกจากบรรดาผู้เป็นแรงบันดาลใจแล้ว คณะผู้วิจัยใคร่ขอขอบพระคุณนักวิชาการอีกสอง
ท่าน คือ รองศาสตราจารย์เฉลิมพล ศรีหงษ์ และอาจารย์ ดร. บุญเกียรติ การะเวกพันธ์ุ ท่ีได้กรุณา
ตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ยิ่ง ทำให้งานวิจัยมีคุณค่าและมีความสมบูรณ์ ส่วน
ข้อผิดพลาดต่างๆ ที่มีอยู่ คณะผู้วิจัยขอรับผิดชอบและขอรับคำวิพากษ์วิจารณ์เพ่ือการปรับปรุงให้
งานวจิ ยั สมบูรณ์ยิง่ ขนึ้ จากทุกทา่ น
รองศาสตราจารยส์ ทิ ธพิ ันธ์ พุทธหุน
ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์พรนชั ชา พุทธหุน
อาจารย์จกั รภพ ศรมณี
(ค)
สารบญั หนา้
(ก)
บทคดั ยอ่ (ข)
Abstract (ค)
กิตติกรรมประกาศ (ง)
สารบญั
บทที่ 1
1 บทนำ 2
3
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 3
วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย 4
ขอบเขตการวิจัย 4
วิธีการวิจยั 5
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ
ประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั 9
2 วรรณกรรมทีเ่ กยี่ วขอ้ ง 11
3 แนวคิดเรื่องมนษุ ยนยิ ม 12
ความหมายของมนษุ ยนิยม 20
ววิ ัฒนาการของแนวคิด 26
แนวคิดมนษุ ยนิยม 32
กฎธรรมชาติกบั มนุษยนิยม 33
4 แนวคิดเรือ่ งศักดิศ์ รขี องความเป็นมนุษย์
ศกั ดิ์ศรคี วามเป็นมนษุ ย์ในรฐั ธรรมนูญของรฐั เสรปี ระชาธปิ ไตย 40
ประเด็นการศึกษา “ศกั ดิศ์ รคี วามเป็นมนษุ ย์” 41
5 แนวคิดเร่ืองสทิ ธมิ นุษยชน 42
ความเปน็ มาและพฒั นาการสิทธิมนษุ ยชน
หลกั การพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน
ความหมายของสิทธมิ นษุ ยชน
(ง)
สิทธิธรรมชาติ 42
ขอบเขตของสิทธิมนุษยชน 43
หลกั การของสิทธิมนุษยชน 44
6 สถาบนั ของรฐั ไทยท่เี กี่ยวกบั ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษยแ์ ละสิทธิมนษุ ยชน
สถาบันรัฐธรรมนญู ไทย 51
สถาบนั ของรฐั ทท่ี ำหนา้ ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั สทิ ธิมนษุ ยชน 70
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 70
กรมคุ้มครองสทิ ธิและเสรีภาพ กระทรวงยตุ ิธรรม 75
กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงวัฒนธรรม 75
กระทรวงมหาดไทย 76
สำนกั งานตำรวจแห่งชาติ 76
หนว่ ยงานอื่นๆทั้งภาครฐั และเอกชน 76
7 สถานการณด์ า้ นสทิ ธมิ นษุ ยชนในสงั คมไทย 77
รายงานสถานการณแ์ ละการดำเนนิ งานทผี่ ่านมา 78
แผนสทิ ธิมนษุ ยชน 83
ทิศทางของแผนสิทธมิ นษุ ยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (2562-2566) 83
แผนปฏบิ ัตกิ ารสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติ 85
ปัญหาและขอ้ ทา้ ทายของแผนปฏบิ ตั ิการด้านต่างๆ ของแผนสทิ ธมิ นษุ ยชน ฉบับท่ี 4 87
สรปุ สถานการณเ์ รอ่ื งศกั ด์ศิ รีของความเปน็ มนุษยแ์ ละสิทธิมนษุ ยชนในสังคมไทย 91
8 สรุปผลการวจิ ยั และการอภิปรายผล 107
สรุปผลการวจิ ยั 115
การอภิปรายผลการวิจยั 118
ขอ้ เสนอแนะ 120
บรรณานกุ รม
(ง)
รายงานวจิ ยั เร่อื ง
มนุษยนยิ ม ศกั ดศิ์ รคี วามเป็นมนุษย์และสทิ ธมิ นุษยชนในสงั คมไทย
บทท่ี 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา
แนวคิดเรื่องมนุษยนิยม (Humanism) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) และสิทธิ
มนุษยชน (Human Rights) เป็นอุดมการณ์ที่สำคัญซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นสากล ส่วน มนุษย
นิยม โดยสรุปหมายถึง หลักการท่ีเชื่อว่ามนุษย์ต่างมีคุณค่า มีความดีงาม มีความสามารถ มีความ
ต้องการ และมีแรงจูงใจภายในที่จะพัฒนาศักยภาพของตน หากบุคคลมีอิสรภาพและเสรีภาพ มนุษย์
จะพยายามพัฒนาตนเองไปสูค่ วามเปน็ มนษุ ยท์ ่สี มบรู ณ์
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) นั้นนับเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งของสิทธิ
มนุษยชน ในแงข่ องการใหค้ ณุ คา่ แกค่ วามเป็นคน ว่าทกุ คนมีคณุ ค่าเทา่ เทียมกัน ซึง่ เปน็ หลกั การสำคัญ
ของสิทธิมนุษยชนที่กำหนดสิทธิมาตั้งแต่เกิด โดยท่ีใครจะมาละเมิดไม่ได้ สิทธินี้รวมไปถึงสิทธิในการ
มีชีวิต และมีความมั่นคงในชีวิต เพราะคนทุกคนที่เกิดมาบนโลกมีศักดิ์ศรีของการเป็นมนุษย์เหมือนๆ
กัน ดังนั้น การปฏิบัติต่อกันของผู้คนในสังคมจึงต้องเคารพในความเป็นมนุษย์ ไม่ทำร้ายร่างกาย หรือ
ทรมานอย่างโหดร้าย ตลอดจนการกระทำใดๆ ที่ถือเป็นการเหยียดหยามความเป็นมนุษย์ ซึ่งศักดิ์ศรี
ความเป็นมนุษย์ได้รับการรับรองอยู่ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศ
อนุสัญญา และปฏิญญาระหว่างประเทศหลายฉบับ แต่จะพบได้ว่าสังคมในปัจจุบันมักจะมีการละเลย
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากประการสำคัญคือ แต่ละสังคมมีการให้คุณค่าของคน
แตกต่างกัน สถานภาพทางสังคมของคนแต่ละคนหาใช่ตัวชี้วัดว่าคนๆ นั้นมีศักดิ์ศรีของมนุษย์หรือไม่
หรือมีมากน้อยกวา่ กัน แตศ่ ักด์ิศรีของความเปน็ มนุษย์ คือการให้คุณค่าความเป็นคนตามธรรมชาติ ไม่
ว่าจะเกิดมาเป็น ผู้ชายหรือผู้หญิง คนแข็งแรงหรือคนพิการ คนฉลาดหรือคนโง่ คนรวยหรือคนจน
นายกรฐั มนตรีหรือคนกวาดถนน ต้องถอื วา่ คนทุกคนมีคุณคา่ เท่ากนั มศี ักดิศ์ รขี องความเป็นมนุษย์เท่า
เทียมกัน รัฐหรือสังคมจึงต้องปฏิบัติต่อสมาชิกทุกคน เสมอหน้ากัน เพราะถือเป็นการเคารพศักดิ์ศรี
ความเปน็ มนุษยท์ ่ที ุกคนมีเหมอื นๆ กนั นั่นเอง
1
จากกติกาสากลที่อิงกับแนวคิดมนุษยนิยมนี้เอง ที่แต่ละประเทศซึ่งให้การรับรองต่างก็ไปยก
ร่างกฎกติกาภายในเพื่อให้ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ได้รับการปกปัก พิทักษ์รักษาอย่างแท้จริง
เพื่อให้คนได้รับการปฏิบัติเยี่ยงคนไม่ใช่เยี่ยงสัตว์ ทั้งนี้หมายรวมถึงประเทศไทยด้วย กรอบกติกาที่
สำคัญที่แต่ละรัฐใช้เป็นเครื่องมือในการนี้คือ รัฐธรรมนูญ นั่นเอง รัฐธรรมนูญนับเป็นกฎหมายสูงสุด
เป็นกตกิ าของสงั คมทีน่ อกจากจะวางกรอบความสัมพนั ธเ์ ชงิ อำนาจระหว่างฝ่ายนติ ิบัญญตั ิ ฝา่ ยบริหาร
หรือรัฐบาล และฝ่ายตุลาการแล้ว ส่วนสำคัญที่จะขาดเสียมิได้คือ การให้หลักประกันกับสมาชิกของ
สังคมในเรื่องสิทธิและหน้าที่ทั้งในส่วนขององค์กรทางการเมืองที่ทำหน้าที่รับผิดชอบในการใช้อำนาจ
ทั้งสามเพื่อประโยชน์สุขของสมาชิกทุกคนแล้ว และสิทธิหน้าที่ของสมาชิกแต่ละคนในฐานะที่เป็น
ราษฎร อกี ดว้ ย
แต่ไม่ได้หมายความว่าสังคมใดมีกฎกติกาอออกมากำกับพฤติกรรมของคนในสังคมมากมาย
แล้วสังคมนั้นจะมีแต่ความสงบสุข ผู้คนเคารพในเกียรติศักดิ์ของกันและกัน ก็หาไม่ สิ่งที่จะมาเป็นตัว
บง่ บอกถึงประสทิ ธภิ าพของกฎกติกาใดๆ อยทู่ ่กี ารบงั คบั ใช้กฎกตกิ าน้นั ๆ ตา่ งหาก
ด้วยเหตุนี้ ในทุกสังคมจึงต้องพึ่งพาอาศัยเครื่องมือการบังคับใช้กฎหมายที่สำคัญที่รู้จักกันใน
ฐานะทเี่ ป็นกลไกของรฐั (government machinery) ที่สำคญั ซึง่ ก็คอื “ระบบราชการ” นน่ั เอง
ประเด็นที่ผู้วิจัยให้ความสนใจศึกษาจึงมุ่งที่การทำความเข้าใจกับแนวคิดและหลักการท่ี
เกี่ยวข้องกับเรื่องมนุษยนิยม ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และสิทธิมนุษยชน โดยศึกษาเจาะลึกด้วย
การวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ของรฐั ธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ถงึ ฉบบั ปจั จุบนั ว่าไดใ้ ห้
ความสำคัญกับการปกปักพิทักษ์ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของสมาชิกสังคมไทยมากน้อยเพียงใดใน
เชิงเปรียบเทียบ ศึกษาองค์กรภาครัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการนี้ รวมทั้งศึกษาสถานการณ์ที่ข้อง
เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยระหว่างปี พ.ศ. 2540 ถึง 2564 เพื่อประเมินความสัมฤทธิผลของ
การบังคับใชก้ ฎหมายของรฐั ดว้ ย
วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ัย
1. เพ่ือศกึ ษาแนวคิดเรอ่ื งมนุษยนยิ ม
2. เพอ่ื ศึกษาแนวคิดเรือ่ งศักดศิ์ รีของความเป็นมนุษย์
3. เพอ่ื ศึกษาแนวคดิ เรือ่ งสิทธมิ นุษยชน
4. เพ่ือศกึ ษาสถาบนั ของรัฐไทยท่ีทำหน้าทเี่ กีย่ วกับศกั ด์ิศรีของความเปน็ มนษุ ยแ์ ละสทิ ธิ
มนุษยชน
2
5. เพื่อศึกษาสถานการณ์ที่ข้องเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และสิทธิมนุษยชนใน
สังคมไทย
ขอบเขตของการวจิ ัย
การวจิ ยั นีม้ ุ่งศึกษาเฉพาะสถานการณท์ ่ีเกยี่ วขอ้ งกับศักดิศ์ รขี องความเป็นมนษุ ย์และหลกั สิทธิ
มนุษยชนในสังคมไทยระหว่างปี พ.ศ. 2540 ถงึ 2564 เท่าน้นั
วธิ ีการวิจยั
วิธีวิจัย
เป็นการวิจัยเอกสาร (Documentary research) โดยใช้เอกสารปฐมภูมิ คือ รัฐธรรมนูญปี
พ.ศ.2540, 2550 และ 2560 พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด กฎหมาย ข้อบังคับ และเอกสารทุติย
ภูมิ คือ เอกสาร หนังสือ ตำรา วารสารและบทความท่ีเกีย่ วข้องโดยเกณฑ์สำหรบั การคัดเลอื กเอกสาร
มาใช้ในการวิจัย ซึ่งเกณฑ์ที่สำคัญประกอบด้วย 1) ความจริง 2) ความถูกต้องน่าเชื่อถือ 3) การ
เป็นตัวแทน และ 4) ความหมาย ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับเกณฑ์ต่างๆ สรุปได้ดังนี้ (Scott, 1990: 1-
2)
1. ความจริง (authenticity) หมายถึง ผู้วจิ ยั จะต้องคัดเลอื กเอกสารทเ่ี ป็นเอกสารท่ีแทจ้ รงิ
(origin) ซ่งึ มคี วามสำคญั มากตอ่ การวจิ ยั ทางสงั คมศาสตร์ การพิจารณาว่าเอกสารนั้นเป็นเอกสารท่ี
ให้ข้อมูลแทจ้ รงิ หรอื ไม่ จะเกดิ ขน้ึ จากการตรวจสอบขอ้ มูลเกย่ี วกบั ผู้เขยี นหรอื หน่วยงานทีเ่ ขียน
เอกสารว่ามีความน่าเช่อื ถือหรือไม่ อยา่ งไร รวมถึงข้อมูลท่ปี รากฏในเอกสารนั้น สอดคล้องกบั ข้อมูล
ในบริบทอืน่ ๆ ทีเ่ กดิ ข้ึน ณ ชว่ งเวลาทม่ี กี ารเขยี นเอกสารนั้นอยา่ งไร
2. ความถูกต้องน่าเชื่อถือ (credibility) หมายถึง ผู้วิจัยจะต้องคัดเลือกเอกสารด้วยการ
พจิ ารณาวา่ เอกสารน้ันจะต้องไม่มีขอ้ มลู ทผ่ี ดิ พลาด บดิ เบอื นหรอื คลาดเคลื่อนไปจากความเปน็ จรงิ
3. การเป็นตัวแทน (representativeness) ในการคัดเลือกเอกสารจะต้องพิจารณาด้วย
ว่า เอกสารดังกล่าวมีความเป็นตัวแทนหรือไม่ ในที่นี้ การเป็นตัวแทนมีหลายระดับ ระดับ
แรก หมายถึง การที่เอกสารนั้นสามารถใช้แทน หรือเป็นแบบฉบับที่แทนเอกสารประเภทเดียวกันได้
หรือไม่ และระดับที่สองคือ ข้อมูลในเอกสารที่จะนำมาวิเคราะห์นั้นจะต้องเป็นข้อมูลที่เป็นตัวแทน
ของประชากรได้ ตัวอย่างเช่น รายงานการวิจัยที่ได้มีการสุ่มตามระเบียบวิธีการวิจัย และใช้สถิติ
วเิ คราะหท์ ถี่ กู ต้อง
3
4. ความหมาย (meaning) การใชเ้ กณฑค์ วามหมาย หมายถึง การคัดเลอื กเอกสารท่ีมีความ
ชดั เจนและสามารถท่จี ะเขา้ ใจได้ง่าย โดยจะตอ้ งตรวจสอบเอกสารในเบือ้ งตน้ ดว้ ยการพิจารณาข้อมูล
คร่าวๆ ว่า เอกสารที่นำมาพิจารณานั้น มีข้อมูลใดที่เป็นนัยสำคัญหรือจะสร้างความหมายให้กับการ
วิจัยหรือไม่ การตีความเอกสารบางประเภท จึงสามารถที่จะตีความทั้งในระดับที่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งก็
คือการสรุปสาระสำคัญทปี่ รากฏ อกี ระดบั หนงึ่ คือ การตคี วามขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ นัยทซ่ี ่อนแฝงอยู่
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ
มนุษยนิยม หมายถึง หลักการท่ีเชื่อว่ามนุษย์ต่างมีคุณค่า มีความดีงาม มีความสามารถ มี
ความต้องการ และมีแรงจูงใจภายในที่จะพัฒนาศักยภาพของตน หากบุคคลมีอิสรภาพและเสรีภาพ
มนุษยจ์ ะพยายามพัฒนาตนเองไปสคู่ วามเป็นมนษุ ย์ทส่ี มบรู ณ์
ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ หมายถึง คุณค่าอันมีลักษณะเฉพาะและเป็นคุณค่าที่มีความ
ผูกพันอยู่กับความเป็นมนุษย์ ซึ่งบุคคลในฐานะที่เป็นมนุษย์ทุกคนได้รับคุณค่าดังกล่าว โดยไม่
จำเป็นต้องคำนงึ ถงึ เพศ เชอื้ ชาติ ศาสนา วัย หรอื คณุ สมบตั อิ ่ืนๆ
หลักสิทธิมนษุ ยชน หมายถึง สิทธิความเป็นมนุษย์ หรือสิทธิในความเป็นคนเป็นของทุกคนไม่
วา่ จะมเี ชือ้ ชาติ แหล่งกำเนิด เพศ อายุ สผี ิว ความคดิ เห็นที่แตกต่างกัน หรอื จะยากดมี ีจน
ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะได้รับ
1. ทำใหท้ ราบแนวคิดเรอื่ งมนษุ ยนิยม
2. ทำใหท้ ราบแนวคิดเรื่องศักดิ์ศรีของความเปน็ มนษุ ย์
3. ทำใหท้ ราบแนวคิดเร่ืองสทิ ธิมนษุ ยชน
4. ทำใหท้ ราบสถาบนั ของรฐั ไทยท่ีทำหน้าทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ศกั ดศิ์ รขี องความเป็นมนษุ ย์และสิทธิ
มนุษยชน
5. ทำใหท้ ราบสถานการณเ์ รอ่ื ง ศักด์ศิ รขี องความเป็นมนุษย์และหลกั สิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
ระหว่างปี พ.ศ. 2540 ถงึ 2564
4
บทท่ี 2
วรรณกรรมทเี่ ก่ยี วข้อง
พชั ร์ นยิ มศลิ ปะ (2564, หน้า 38) ไดศ้ กึ ษาปญั หาการจำกัดเสรภี าพในการชุมนุมภายใต้ระบบ
กฎหมายไทย พบวา่ ...
“การทีก่ ารคมุ้ ครองเสรภี าพในการชุมนุมในประเทศไทยไม่มีประสทิ ธภิ าพ อกี ท้ังแนวทางในการ
พิพากษาคดีของตุลาการไทยไม่เป็นไปในแนวเดียวกันก็เนื่องจากระบบกฎหมายที่คุ้มครองเสรีภาพใน
การชุมนุมภายในประเทศไทยไม่สอดคล้องกับหลักสากล ทำให้หลักสากล แนวคำพิพากษาศาล
ระหว่างประเทศและคำวินิจฉัยขององค์กรระหว่างประเทศไม่มีอิทธิพลในการชี้นำการตรวจสอบดุลย
พินิจของเจ้าหน้าที่รัฐให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ปัญหาความไม่สอดคล้องนี้เกิดจากปัญหา 4
ประการ ได้แก่ (1) กฎหมายภายในของไทยรับรองเสรีภาพในการชุมนุมไม่เท่ากับบทบัญญัติตาม
ICCPR (2) มีการใช้กฎหมายอื่นมาบังคับควบคู่ไปกับ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะโดยไม่คำนึงถึงหลัก
สากล (3) กฎหมายเปิดช่องใหเ้ จ้าหนา้ ท่ีมดี ลุ ยพนิ จิ มาก และ (4) กฎหมายไมไ่ ด้กำหนดใหเ้ จ้าหน้าทรี่ ัฐ
ต้องใชว้ ธิ ใี ดในการตรวจสอบการแทรกแซงเสรภี าพในการชมุ นุม”
ธนกฤต ธรี ปภารักษ์ (2564) ได้ศึกษามาตรการทางกฎหมายเก่ียวกบั การคุ้มครองตามหลักสิทธิ
มนุษยชนแก่บุคคลผู้เรียกร้องสิทธิทางการเมือง พบว่า พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.
2558 ที่เหมือนว่าจะสอดรับกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แต่ในความ
เป็นจริงแล้วพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 นี้ยังมิได้สนับสนุนความเป็น
ประชาธิปไตยโดยแท้จริง เนื่องจากการจำกัดสิทธิในหลายดา้ นของผู้ชมุ นุมสาธารณะและแกนนำการ
ชุมนุม เช่น การตีกรอบกำหนดสถานที่ในการชุมนุม การดำเนินกิจกรรมในการชุมนุมยังจำกัดซึ่ง
สิทธิเสรีภาพไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญเมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศที่มี
พระราชบัญญัตินี้เช่นกัน หากการชุมนุมนั้นเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ สิทธิเสรีภาพ
ในการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2560 สามารถถูกระงับยับยั้งไดใ้ น
หลายช่องทางตามมาตรการภาครัฐจะนำมาใช้ ซึ่งหากผู้นำการชุมนุมยงั ฝา่ ฝืนไม่ยุติการชุมนุม ภาครัฐ
สามารถบังคับใช้กฎหมายอาญามาดำเนินคดีกับบรรดาผู้ชุมนุมหรือแกนนำการชุมนุมได้ทันที ดังนั้น
ควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการ
ยุติธรรมโดยให้การเรียกร้องสิทธิทางการเมืองเป็นเหตุที่ไม่อาจออกหมายอาญาหรือ ดำเนินคดีแก่
บคุ คลผู้เรียกรอ้ งสิทธทิ างการเมอื งได้
5
ธัญญา จันทร์ตรง และกุลทิพย์ ศาสตระรุจิ (2557) ได้ศึกษา นักข่าวพลเมืองกับการใช้ส่ือ
ออนไลน์ในการขับเคลื่อนด้านสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย พบว่า ในมุมมองของนักข่าวพลเมืองใน
สังคมไทยต่างมองว่าปัญหาสิทธิมนุษยชนนั้นเป็นเรื่องที่ใหญ่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพ คุณค่า ศักดิ์ศรี
ความเป็นมนษุ ยค์ วามไม่เสมอภาค การไม่ไดร้ บั ความเท่าเทยี มกนั ทางกฎหมาย และกำลังเป็นปัญหาท่ี
ทุกคนในสังคมควรจะตระหนักถึง และช่วยกันป้องกันแก้ไข ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับการรายงาน
สถานการณ์สิทธิมนุษยชนรายปีของประเทศไทย โดยฮิวแมนไรท์วอทช์ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.
2556 (ฮิวแมนไรท์วอทช์ รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนรายปีของประเทศไทย, 2556) พบว่า
ปัญหาสิทธิ มนุษยชนของประเทศไทยยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังในรัฐบาลสมัยปัจจุบัน ไม่ว่าจะ
เป็นเรื่อง 1) การดำเนินการเอาความผิดกับผู้ที่รับผิดชอบต่อความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี พ.ศ.
2553 2) การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก 3) ความรุนแรง และการละเมิดสิทธิมนษุ ยชนในจังหวดั
ชายแดนภาคใต้ และ 4) การละเมิดสทิ ธขิ องผลู้ ีภ้ ัย และแรงงานตา่ งดา้ ว
เฝาซี ล่าเตะ๊ (2564) ได้ศกึ ษาเดก็ และเยาวชนทตี่ กเปน็ เหยื่อของการใช้ความรุนแรง พบว่า จาก
รายงานประจำปี Ending Violence in Childhood ที่จัดทำขนึ้ โดย Know Violence in Childhood
ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่เคลือ่ นไหวเรือ่ งการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก รายงานนี้ระบุว่า เด็กและ
เยาวชน 1,700 ล้านคน จากจำนวนเดก็ และเยาวชนท่วั โลก ตกเปน็ เหยอื่ หรอื มีส่วนเกีย่ วขอ้ งกบั การใช้
ความรุนแรงทุกๆ ปี รวมถึงการรังแก กลั่นแกล้ง การต่อสู้ การทารุณกรรม และความรุนแรงทางเพศ
รวมทั้งการลงโทษทางรา่ งกายทง้ั ในบา้ นและในสถานศกึ ษา
สำหรับประเทศไทย พบว่าเด็ก 56% หรือนับเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งของประชากรเด็กอายุ
ระหว่าง 1-18 ปี ถูกทำโทษด้วยการทำร้ายร่างกายและการล่วงละเมิดทางเพศ มีข้อมูลจากศูนย์
เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน เปิดเผยว่าในปี พ.ศ.2556-2562 มีทั้งหมด 1,186 กรณี
มี 482 กรณที บ่ี คุ คลอ่นื กระทำทารุณกบั เด็ก ซึง่ ถือว่าเปน็ จำนวนมากท่ีสดุ บุคคลอน่ื ในทนี่ ้ียงั รวมไปถึง
เจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรงต่อเด็ก รองลงมาเป็นกรณีเด็กกระทำกับเด็กด้วยกัน 464 กรณี คนใน
ครอบครัวทำกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของเด็กหรือแม้แต่ญาติผู้ใหญ่ที่ฝากเล้ียง 135 กรณี สาเหตุ
หลักๆ ทท่ี ำให้เด็กถกู ทารณุ กรรม สาเหตแุ รก ตัวพ่อแมเ่ ดก็ เช่น พอ่ แม่ทมี่ ีอายนุ อ้ ยไม่พรอ้ มมลี ูกทำให้
มีปัญหาในครอบครัว สภาพจิตใจไม่ปกติ ทำให้ไม่รักและใส่ใจลูกเท่าที่ควร และสุดท้ายเมื่อมีปัญหาก็
หันไปใช้กำลังกับลูก สาเหตุต่อมาคือเกิดจากตัวเด็กเองเช่น เด็กเลี้ยงยากหรือซนก็จะทำให้ผู้ปกครอง
ไม่พอใจลงมือทำร้ายร่างกายเด็กและสาเหตุสุดท้าย เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่บีบบังคับ เช่น ครอบครัว
ยากจน ขาดเสาหลักค้ำจุนครอบครัว ทำให้เกิดความเครียดและหันไประบายกับลูก และมี 105 กรณี
ทคี่ รูหรอื บคุ ลากรการศกึ ษากระทำกบั เดก็
6
กเมศ สุบงกช (2561) ได้วิจัยเรื่อง ปัญหาเกี่ยวกับสภาพบังคับทางกฎหมายในกระบวนการ
ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผลจากการวิจัยพบว่า
จากการดำเนินงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิ
มนุษยชนที่ผ่านมาพบว่า มีเรื่องร้องเรียนที่จะต้องติดตามผลการดำเนินการตรวจสอบตามมาตรการ
การแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นจำนวนมาก สาเหตุสำคัญคือ มาตรการการแก้ไขปัญหา
การละเมิดสิทธิมนุษยชนของคณะกรรมการไม่มีสภาพบังคับในทางกฎหมาย ทำให้หน่วยงานท่ี
เกี่ยวข้องไม่ให้ความร่วมมือหรือไม่สนใจในมาตรการการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือ
อาจกล่าวได้ว่าบุคคล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ให้ความสำคัญต่อมาตรการที่คณะกรรมการ
กำหนด โดยปจั จุบนั คณะกรรมการเปน็ เพียงองคก์ รทมี่ ีอำนาจในการตรวจสอบ และทำความเห็น หรือ
ข้อเสนอแนะให้มกี ารดำเนนิ การ ซึ่งจะมีการดำเนินการหรอื ไม่อย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ
องค์กรอื่นท่ีมีอำนาจในการวินิจฉัยชขี้ าด
กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ (2564) ได้ศึกษาพบว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
เป็นหนึ่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้วเสนอ
มาตรการแก้ไขต่อบุคคลหรือหน่วยงานของรัฐ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการให้รายงานต่อ
รัฐสภา หรือเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี ไม่มีอำนาจหน้าที่ให้คุณให้โทษต่อเจ้าหน้าที่รวมทั้งหน่วยงาน
ของรัฐได้เหมือนองค์กรอิสระอื่นๆ เช่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นต้น ทำให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงาน
ของรฐั ไมใ่ หค้ วามสำคญั กับขอ้ เสนอแนะของ กสม.เท่าทค่ี วร
อนันต์ เพียรวัฒนะกุลชัย (2563) ได้วิจัยเรื่อง กฎหมายต้นแบบเพื่อการจัดตั้งศาลสิทธิ
มนุษยชนแห่งชาติและวิธีพิจารณาคดีสิทธิมนุษยชน พบว่า การไม่มีศาลสิทธิมนุษยชนเป็นศาลชำนัญ
พิเศษเฉพาะคดีสิทธิมนุษยชน ก่อให้เกิดปัญหาขาดศาลและกระบวนพิจารณาคดีสิทธิมนุษยชนที่ได้
รับรองสิทธิไว้ในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตาม
และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จึงต้องนำ
แนวคิด ทฤษฎี และหลักการ รวมทั้งแนวทางกฎหมายของต่างประเทศมาพิจารณา นำไปสู่การจัดทำ
กฎหมายต้นแบบว่าด้วยการจัดตั้งศาลสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและวิธีพิจารณาคดีสิทธิมนุษยชนการ
คุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีศาลสิทธิมนุษยชนและวิธีพิจารณาความคดีสิทธิ
มนุษยชนเป็นการเฉพาะเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้มีความสมบูรณ์ในขั้นตอนของกระบวนการ
ยุตธิ รรม
7
มติชนออนไลน์ (2563) รายงานว่า เมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อ
ประชาธปิ ไตย (ครป.) เปดิ เผยถึงการเตรยี มการจดั ต้ังคณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชนภาคประชาชน เพ่ือ
ตรวจสอบการใช้อำนาจรวมศนู ยใ์ นชว่ งเวลาวกิ ฤต
“ผมเห็นว่าวิกฤตของประเทศไทยในขณะนี้คือวิกฤตสิทธิมนุษยชนและวิกฤตรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ต่ำกว่าบรรทัดฐานกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
2 ฉบับหลัก คือ กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และ
กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม (ICESCR) ซึ่งถ้าไม่ยับยั้ง
ร่วมกัน ผลพวงของการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางจะนำไปสู่รัฐที่ล้มเหลวหรือ Failed
State ในอนาคตอันใกล้
ส่วนหนึ่งนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤตความขัดแย้งในครั้งนี้มาจากเงื่อนไขที่ถูกสร้า งขึ้นใน
รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ออกแบบอำนาจรวมศูนย์และสืบทอดอำนาจจากกลุ่มคณาธิปไตย การรวบ
อำนาจนั้นทำให้เกิดวิกฤตความขัดแย้งในเวลาต่อมาจนรัฐบาลขาดความชอบธรรม และสะดุดขา
ตัวเองจนถอยหลังลงคลอง ทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยหยุดชะงักมาหลายปี อำนาจที่กระจุกตัวที่
ศนู ย์กลางนนั้ ทำให้นำไปสกู่ ารผกู ขาดอำนาจทางเศรษฐกิจดว้ ย
แม้ว่าข้อเด่นของประเทศไทยคือการรับรองกฎหมายระหว่างประเทศด้าน
สิทธิมนุษยชนไปมากมาย แต่การปฏิบัติการปกป้องคุ้มครองสิทธิในประเทศย่ำแย่มาก ตลอดจนการ
ผลกั ดันกฎหมายป้องกนั การอุ้มหายและการซอ้ มทรมานยงั ไม่ผ่านรัฐสภา ขณะทห่ี น่วยงานท่ีเก่ียวข้อง
ไม่นำพาในการแก้ไขปญั หาการอุ้มหายและการซ้อมทรมาน”
8
บทท่ี 3
แนวคดิ เรอ่ื งมนุษยนยิ ม
ความหมายของมนษุ ยนยิ ม
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (2564) ระบุว่า มนุษยนิยม (Humanism) หมายถึงลัทธิหรือความเชื่อ
ในทางปรัชญาเชิงจริยศาสตร์ที่ยืนยันถึงความสง่างามแห่งคุณค่าของมนุษย์ทุกคน โดยอาศัยหลัก
ความสามารถของบุคคลน้ันในการบ่งชี้ได้ดว้ ยตนเองว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด โดยได้การยอมรบั โดยมนษุ ย์
ทั่วไปท่ีมีคุณภาพ โดยเฉพาะคุณภาพเชิงตรรกะหรือเชิงเหตุผล มนุษยนิยมเป็นองค์ประกอบเฉพาะ
หลายๆ ตวั ของระบบปรัชญา และได้รบั การผนวกไวใ้ นหลายสำนกั คิดทางศาสนา
แนวคิดมนุษยนิยมน้ี วางเงื่อนไขไว้ในลักษณะที่ว่าให้มีวิธีการในการค้นหาความจริงและ
จริยธรรมที่มนุษย์จะนำมาใช้สนองความต้องการของมนุษย์ด้วยกัน เชื่อว่ามนุษย์ต่างมีความสามารถ
ในการกำหนดและตดั สินความผดิ ความถูก ความดี ความช่ัวได้ดว้ ยตนเอง มนษุ ยนยิ มเปน็ ลัทธทิ ่ีจะไม่
ยอมรับ และเชื่อในการตัดสินใจโดยสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจ เช่น การตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อที่
ปราศจากเหตุผล สิ่งเหนือธรรมชาติ ภูตผีปีศาจ เทวดาฟ้าดิน หรือด้วยคำทำนายที่อ้างไวใ้ นคมั ภีร์ใดๆ
แต่มนุษยนิยมจะยอมรับและสนับสนุนจริยธรรมสากล (universal morality) ท่ีมาจากพื้นฐานของ
มนุษย์ทัว่ ไปที่มีความเปน็ อยู่ธรรมดาๆ ในสังคมโลก
แนวคดิ มนุษยนิยม (Humanism) จงึ เปน็ แนวคิดทยี่ ึดถือคณุ ค่าและความสำคญั ของความเปน็
มนุษย์ มนุษย์มีสิทธิที่จะค้นหาซึ่งสัจจะและความดีงาม สามารถในการที่จะกำหนดชะตาชีวิต ของ
ตนเอง ความเป็นมนุษย์มิใช่ถูกกำหนดโดย ชาติกำเนิดหรือฐานะทางสังคมที่ติดตัวมา หรือสีผิวของ
บุคคล รวมความแล้วแนวความคิดมนุษยนิยมได้สร้างความเชื่อมมั่นขึ้นในตัวของมนุษย์อุดมคติและ
ความบันดาลใจจากแนวความคดิ นกี้ ลายเปน็ แรงกระตุน้ ใหผ้ ู้คนเช่อื มนั่ ในความเป็นมนษุ ยข์ องคน และ
ก็หว่านพืชผล (เผยแพร่) แนวความคิดของความเป็นประชาธิปไตยเอาไว้ทั้งนี้เพราะเมื่อมนุษย์เกิด
ความเชื่อมั่นใน ตนเอง ก็เกิดความคิดในการที่จะมีส่วนมีเสียงในการเมืองการปกครองอันเป็นพื้นฐาน
สำคัญของระบอบประชาธปิ ไตย
9
กลา่ วได้ว่า แนวคดิ มนษุ ยนยิ มนน้ั เปน็ แนวคดิ ทม่ี องความเป็นมนษุ ย์ และมองมนุษย์ว่ามี
คุณค่า มีความดีงาม มีความสามารถ มคี วามตอ้ งการ และมีแรงจงู ใจภายในท่ีจะพฒั นาศักยภาพของ
ตน หากบคุ คลมอี ิสรภาพและเสรีภาพ มนษุ ยจ์ ะพยายามพัฒนาตนเองไปสูค่ วามเปน็ มนษุ ย์ทีส่ มบูรณ์
สรุปเบื้องต้นได้ว่า หลักการหรือความเชื่อของทฤษฎีมนุษย์นิยม ประกอบด้วยความเชื่อใน
สาระสำคัญ 3 ประการคือ
1. มนุษยม์ ีธรรมชาตแิ ห่งความกระตือรอื ร้นทีจ่ ะเรยี นรู้
2. มนษุ ยม์ สี ทิ ธิในการตอ่ ตา้ น หรอื ไมพ่ อใจในผลท่ีเกดิ ขนึ้ จากสงิ่ ต่างๆ แม้ส่งิ นนั้ จะได้รับการ
ยอมรับว่าจริง
3. การเรียนรู้ท่สี ำคญั ท่สี ดุ ของมนุษย์ คือการท่ีมนษุ ยไ์ ดม้ ีการเปลีย่ นแปลงแนวความคดิ หรอื
มโนทัศน์ของตนเอง
แนวคิดมนุษยนิยม (Humanism) คือ การยึดถือคุณค่าและความสำคัญของความเป็นมนุษย์
มนุษย์มี สิทธิที่จะค้นหาซึ่งสัจจะและความดีงาม สามารถกำหนดชะตาชีวิต ของตนเอง ความเป็น
มนษุ ย์มใิ ช่ถกู กำหนดโดย ชาติกำเนดิ หรือฐานะทางสงั คมทีต่ ดิ ตัวมา รวมความแลว้ แนวความคิดมนุษย
นิยมได้สร้างความเชื่อมั่นขึ้นในตัวของมนุษย์อุดมคติและความบันดาลใจจากแนวความคิดนี้กลายเปน็
แรงกระตุ้นให้ผู้คนเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ของคน และก็หว่านพืชผลแนวความคิดของความเป็น
ประชาธิปไตยเอาไว้ ทั้งนี้เพราะเมื่อมนุษย์เกิดความเชื่อมั่นในตนเองก็เกิดความคิดในการที่จะมีสิทธมิ์ ี
เสยี งในการเมืองการปกครองอันเปน็ พน้ื ฐานสำคัญของระบอบ ประชาธิปไตย ( ทีมงานทรปู ลูกปัญญา
, 2558)
กลุ่มมนุษยนิยม เป็นชื่อเรียกกลุ่มนักปรัชญาที่มีแนวคิดที่เชื่อมั่นในศักดิ์ศรีและศักยภาพของ
มนษุ ยใ์ นการแสวงหาความจรงิ ซ่งึ พจนานุกรมศัพท์ปรชั ญาอังกฤษ-ไทย ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน ได้ให้
นิยามแนวคิดแบบมนุษย์นิยม (Humanism) ว่าคือทัศนะที่ถือว่ามนุษย์เป็นสิ่งหนึ่งในธรรมชาติ มี
ศักดิ์ศรี มีค่า และมีความสามารถที่จะพัฒนาตนเองโดยอาศัยเหตุผลและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไม่
ต้องอาศัยอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่มนุษย์นิยมตามทัศนะของกลุ่มศาสนาบางกลุ่มถือว่า มนุษย์จะ
พัฒนาตนเองให้สมบูรณ์ได้ก็แต่โดยอาศัยหลักคำสอนทางศาสนา (ราชบัณฑิตยสถาน, 2540, หน้า
44.)
10
วิวฒั นาการของแนวคิด
จากคำนิยามดังกล่าวเราต้องเข้าใจในเชิงประวัติศาสตร์ว่า “Humanism” เป็นคำที่เกิดขึ้น
ในชว่ งศตวรรษท่ี 17-18 ซง่ึ เป็นยุคแห่งการรู้แจง้ (Enlightenment) ของยโุ รป โดยใช้เรยี กนักคิดกลุ่ม
หนึ่งในยุคสมัยนั้น เช่น วอลแตร์ (Voltaire: ค.ศ.1694-1778) รุสโซ (Rousseau: ค.ศ.1712-1778),
มองเตสกิเออ (Montesquieu: ค.ศ. 1689-1755) ล็อค (Locke: ค.ศ.1632-1704) ฮูม (Hume: ค.ศ.
1711-1776) ฯลฯ ซึ่งมีแนวคิดที่เชื่อว่าคุณค่าในการดำรงอยู่ของมนุษย์ไม่ได้มาจากการค้นหา
เจตจำนงของพระเจ้าและดำรงชีวิตในสอดคล้องกับเจตจำนงของพระองค์ แต่อยู่ที่การใช้เหตุผลอัน
เป็นศักยภาพของมนษุ ย์ในการค้นหาความจรงิ โดยตวั มนุษย์เองอนั จะนำไปสู่การสร้างชวี ิตและสังคมท่ี
ดขี องมนุษย์
อย่างไรก็ตาม แนวคิดที่เชื่อมั่นในศักดิ์ศรีและศักยภาพของความเป็นมนุษย์ในการแสวงหา
ความจริงนั้น เป็นแนวคิดที่มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ดังเช่น โปรตากอรัส (Protagoras:
ก่อน คริสตศักราช 480-421 ปี) ที่แสดงความเห็นว่า มนุษย์ไม่มีทางรับรู้เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้า
เพราะพระองค์ไม่เคยปรากฏใหเ้ ห็น ดังนั้น เขาจึงกล่าวว่า “มนุษย์เปน็ ตัวการวัดและกำหนดทุกสิง่ ทุก
อย่าง” ซง่ึ ไมไ่ ด้เป็นคำกล่าวท่มี ุ่งแสดงความสูงสง่ ของมนุษย์ แต่มีความหมายว่า มนุษย์สามารถค้นพบ
ความจริงของทุกสิ่งหรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้โดยศักยภาพของตัวมนุษย์เอง ผ่านกระบวนการหา
ความรู้โดยการตั้งคำถามและเสวนากันระหว่างมนุษย์ (Jim Herrick, 2005, p. 5) นอกจากนี้แนวคิด
ของนักคิดคนสำคัญในสมัยกรีกโบราณ เช่น โสกราติส (Socrates: ก่อนคริสตศักราช 469?-399 ปี)
เพลโต (Plato: ก่อนคริสตศักราช 427-347 ปี) และ อริสโตเติ้ล (Aristotle: ก่อน คริสตศักราช 384-
322 ป)ี ต่างต้งั อยบู่ นความเชอื่ ในศักดิศ์ รแี ละศกั ยภาพของความมนุษยใ์ นการแสวงหาความจรงิ ทั้งสิน้
แตต่ ่อมาแนวคดิ นค้ี ่อยๆ ถกู ครอบงำโดยแนวคิดทางคริสต์ศาสนา พรอ้ มๆ กบั การมีอำนาจมาก
ขึ้นของ คริสตจักร โดยหลังจากอาณาจักรโรมันล่มสลายลง ยุโรปตะวันตกเข้าสู่ยุคมืดหรือยุคกลาง
ในช่วงศตวรรษที่ 6-13 ซึ่งเป็นยุคที่คริสตจักรมีอำนาจมากที่สุด เพราะประชาชนในยุโรปในสมัยน้ัน
ศรัทธาและเชื่อในคำสอนทางศาสนาอย่างเคร่งครัดจนอาจกล่าวได้ว่าเป็นความงมงาย แทนที่พวกเขา
จะเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีและศักยภาพของความเป็นมนุษย์ แต่กลับเชื่อว่า ทุกสิ่งล้วนถูกกำหนดจากพระ
เจ้าเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้ทุกสิ่งทุกอย่างของสังคมสมัยนั้นจึงขึ้นกับนครวาติกันซึ่งเป็นศูนย์กลาง
ของคริสตจักรเป็นผู้รับรองหรือให้ความเห็นชอบโดยอ้างว่าเป็นพระประสงค์ ของพระเจ้าหรือสิ่งท่ี
ได้มาจากการเปิดเผยโดยพระเจ้าผ่านเหล่าบาทหลวงเท่านั้น เช่น อำนาจในปกครอง การขึ้นเป็น
กษตั ริยใ์ นยุโรปตอ้ งได้รับการเห็นชอบจากพระสันตะปาปา
11
การศึกษาของสงั คมยุโรปในยคุ นัน้ ค่อนขา้ งจะคับแคบ เนือ่ งจากผกู ขาดอยู่แตใ่ นกลุ่มบาทหลวง
ผู้รู้ภาษาละติน และความเชื่อว่าความรู้ที่ถูกต้องต้องมาจากการรับรองของวาติกัน โดยอ้างว่าเป็น
ความรู้ที่มาจากพระเจ้า ทำให้ความรู้ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากนักคิดในยุคนั้น เช่น กาลิเลโอ ถูกปฏิเสธไม่
ยอมรบั วา่ เป็นความรู้ที่ถกู ต้องจากสงั คม เพราะวาตกิ ันปฏเิ สธไม่ยอมรับความรู้ดังกลา่ ว
หลังยุคมืด ยุโรปเริ่มเข้าสู่ยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ในช่วงศตวรรษที่ 14-16
คริสตจักรเริ่มเสื่อมอำนาจลง เพราะบาทหลวงมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา
พร้อมกับกระแสชาตินิยมซึ่งประเทศต่างๆ ในยุโรปเริ่มปฏิเสธอำนาจการปกครองหรืออำนาจในการ
แต่งตั้งกษัตริย์ของประเทศตนเองจากวาติกัน นอกจากนั้นสังคมในยุคนี้ให้ความสนใจและมีการฟื้นฟู
ความรู้ในสมัยกรีกและโรมันโบราณขึ้นมาใหม่ ซึ่งทำให้วิทยาการเจริญมากขึ้น เกิดความรู้ใหม่ที่ได้รับ
การพิสูจน์วา่ ถูกต้องและเป็นความรู้ที่ปฏิเสธความเช่ือเดิมแบบวาตกิ ัน เช่น ความเชื่อว่าโลกแบน เหตุ
เหล่านี้ทำให้อำนาจของคริสตจักรเสื่อมสลายลง ในขณะเดียวกันแนวคิดที่เชื่อมั่นในศักดิ์ศรีและ
ศักยภาพของมนุษย์เริ่มมีอิทธิพลขึ้นอีกครั้งหนึ่งในสังคมยุโรป จนทำให้เกิดคำว่า “Humanism” ข้ึน
ในยุคแห่งการรแู้ จง้ เพ่อื ใชเ้ รียกแนวคดิ ท่เี ช่อื ม่นั ในศักดศิ์ รีและศักยภาพของความเปน็ มนุษย์
แนวคดิ มนุษยนยิ ม
แนวคิดมนุษยนยิ มแบ่งย่อยเปน็ หลายแนวคิด แตอ่ าจแบ่งได้เป็นสองแนวคดิ ใหญ่ๆ ดงั นี้
แนวคิดแรกคือ แนวคิดมนุษยนิยมที่ไม่เชื่อในศาสนา (Secular humanism) ซึ่งเป็นแนวคิด
มนุษยนิยมที่เชื่อมั่นในศักดิ์ศรีและศักยภาพความเป็นมนุษย์โดยไม่ให้ความสำคัญหรือปฏิเสธคำสอน
ทางศาสนา เช่น แนวคิดของฌอง ปอล ซาร์ท (Jean-Paul Sartre: 1905-1980) ที่เชื่อมั่นในเสรีภาพ
ของมนุษย์ในการกระทำสิ่งต่างๆ แต่เสรีภาพนั้นต้องมาพร้อมกันความรับผิดชอบ แนวคิดแบบคาร์ล
มาร์กซ์ (Karl Marx: 1818-1883) ที่เห็นว่า “ศาสนาเป็นเหมือนยาฝิ่น” เพราะศาสนาเป็นเหมือนยา
เสพติดที่ทำให้มนุษย์ผู้เสพคลายความทุกข์ในขณะเสพและหลีกหนีการเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดขึ้น
จริงในชีวิต ตามแนวคิดของมาร์กซ์ คำสอนของศาสนาที่สอนให้มนุษยเ์ ชื่อว่าชีวิตนี้แม้จะทุกข์ยาก แต่
หากทำดีตามคำสอนก็จะได้ผลตอบแทนที่ดีในโลกหน้า ทำให้มนุษย์ผู้ศรัทธานับถือศาสนาก้มหน้า
ยอมรับชะตากรรมความทุกขย์ ากลำบากในโลกโดยไมค่ ิดแก้ไขให้ดขี ้นึ หวงั แต่ความสขุ ในโลกหน้าจาก
การทำความดีโลกนี้ ทั้งที่มนุษย์เองมีศักยภาพที่จะเปล่ียนแปลงชีวิตในโลกปัจจุบันให้ดีขึ้นได้โดยไม่
ต้องรอชีวิตหลังความตาย และแนวคิดของนัก อนาธิปัตย์คนสำคัญ คือ ไมเคิล บาคูนิน (Bakunin:
1814-1876) (อ้างถึงใน สทิ ธิพันธ์ พทุ ธหุน, 2524, หนา้ 38-39) ทีอ่ ้างว่า...
12
“เพื่อเป็นการพิสูจน์เอกลักษณ์ของศาสนาและรัฐ ข้าพเจ้าอยากจะขอชี้ให้ชัดอีกนิดหนึ่งว่า
ทั้งสองต่างก็มีพื้นกำเนิดมาจากแนวความคิดเรื่องการเสียสละชีวิตและสิทธิตามธรรมชาติ และต่างก็
จบลงด้วยแนวความคิดในทำนองเดียวกันว่า โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มีแต่ความเลวร้าย ซึ่งฝ่าย
ศาสนาก็อ้างว่าสง่ิ เหล่าน้ีสามารถทจี่ ะแกไ้ ดก้ ็โดยทีม่ นษุ ยต์ อ้ งแสดงความซื่อสัตย์ และยอมตนเองใหก้ ับ
พระเจ้า ส่วนทางฝ่ายรัฐก็อ้างว่า ความเลวร้ายของมนุษย์นี้ก็สามารถที่จะแก้ไขได้เช่นกัน โดยต้อง
เคารพเชื่อฟังกฎหมาย และให้ทุกคนเสียสละยอมตนอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามท่ี
จะเปลี่ยนแปลงคน ฝ่ายศาสนาก็จะให้คนเป็นเทวดา ฝ่ายรัฐก็จะให้คนเป็นไพร่ แต่คนโดยธรรมชาติ
แลว้ จะต้องตายเพอ่ื ศาสนา หรือเพือ่ รัฐด้วยหรอื ”
แนวคิดที่สองคือแนวคิดมนุษยนิยมที่เชื่อในศาสนา (Religious humanism) ซึ่งเป็นแนวคิด
มนุษยนิยมที่เชื่อมั่นในศักดิ์ศรีและศักยภาพความเป็นมนุษย์ แต่เชื่อว่า มนุษย์จะพัฒนาตนเองให้
สมบูรณไ์ ดก้ ็แตโ่ ดยอาศัยหลักคำสอนทางศาสนา เช่น แนวคิดมนษุ ยนิยมทางคริสต์ศาสนา (Christian
Humanism) ซึ่งเป็นแนวคิดทางคริสต์ศาสนาที่ไม่ได้เชื่อว่า ทุกอย่างต้องรอให้ถูกดลบันดาลจากพระ
เจ้า แนวคิดนี้เห็นว่าการรอให้พระเจ้าดลบันดาลสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นกับมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตาม
คำสอนทางศาสนา เรา (มนุษย์) ต้องกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองในการยับยั้งสงคราม อาชญากรรม
ความโหดร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต มนุษย์มีศักยภาพที่น่าทึ่ง มี
เสรีภาพที่จะเลือกในสิ่งที่เราทำ สังคมและโลกที่เราอาศัยอยู่ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา และเราเอง
ตอ้ งรับผดิ ชอบต่อส่งิ เหล่าน้ัน
แม้แนวคิดแบบมนุษยนิยมจะสามารถแบ่งย่อยเป็นหลายแนวคิด แต่ก็มีแนวคิดพื้นฐานที่
เหมือนกนั คอื
1. เชื่อในศักยภาพของมนุษย์ในการแสวงความจรงิ และคำตอบในปญั หาต่างๆ มนุษย์ทุกคน
มีศักยภาพในการเข้าใจความจริงหรือความรู้ต่างๆ ไม่มีใครสามารถอ้างได้ว่าเป็นเจ้าของความรู้หรือ
ความจริงสูงสุดที่มนุษย์ผู้อื่นไม่สามารถเข้าใจเพียงคนเดียวหรือกลุ่มบุคคลเดียว เช่น ความรู้
ความสามารถพเิ ศษในการตดิ ตอ่ กับพระเจา้ หรือสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์
2. เชอื่ ในการใช้เหตุผลและวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์
3. เชื่อวา่ ความหมาย คณุ คา่ และเป้าหมายของมนุษยส์ ามารถพบไดใ้ นชวี ติ ปจั จุบนั ไมใ่ ช่
ตายไปแล้ว
13
4. เชื่อว่ามนุษยม์ ีเสรีภาพในการกระทำสง่ิ ต่างๆ แตม่ นษุ ย์ตอ้ งมคี วามรับผดิ ชอบต่อสงิ่ ที่
ตนเองกระทำ
5. เชื่อในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่คิดค้นโดยมนุษย์เพื่อตอบสนองความต้อง
การและการแก้ปญั หาในการดำรงชีวติ ของมนษุ ย์
6. เช่ือในระบอบประชาธิปไตย หลกั สิทธิมนษุ ยชน การมีเสรภี าพอย่างเท่าเทยี ม
บ้านจอมยุทธ์ (2557) ได้สรุปว่า แนวคิดแบบมนุษยน์ ิยมเชื่อมั่นในศกั ยภาพของมนุษย์ในการ
ใช้เหตุผลในการค้นคว้าหาความรู้หรือความจริงโดยตวั มนุษย์เอง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างชีวิตและสังคม
ทดี่ ีของมนษุ ย์
ความเชื่อดังกล่าวมาจากแนวคิดพื้นฐานว่าคุณค่าของมนุษย์มาจากการใช้เหตุผล (reason)
ความมีอิสระทางความคิดและการกระทำโดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้อ่ืน (autonomy) และความรูจ้ กั ช่าง
สงสยั ซักถามและแสวงหาคำตอบ (skepticism) ของมนุษย์
เมื่อมนุษย์เชื่อมั่นในการใช้เหตุผลของตนในการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับตนเอง โลก และการ
สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยี ระเบียบ กฎหมายในการอยู่ร่วมเป็นสังคม มนุษย์ก็ต้องพร้อมที่
จะรับผิดชอบต่อการใช้เหตุผลในการค้นพบและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งต่างจากความเชื่อวา่
ทุกอย่างในชีวิตมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้กำหนดเองแต่ถูกกำหนดจากปัจจัยภายนอก เช่น พระเจ้า ชะตา
กรรม พรหมลิขิต สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในแง่นี้มนุษย์กไ็ ม่ต้องรับผิดชอบตอ่ สิ่งใดๆ เลยปล่อยให้เป็นหน้าที่และ
ความรับผดิ ชอบของปจั จยั ภายนอกเพียงอยา่ งเดียว
เมื่อมนุษย์พร้อมที่จะยอมรับความผิดพลาดจากการใชเ้ หตุผลของมนุษย์ ย่อมแสดงว่า มนุษย์
ทุกคนผดิ พลาดได้ ส่งิ ทผี่ ู้หนงึ่ คดิ ไมจ่ ำเปน็ ต้องถูกตอ้ งเสมอไป ไมม่ ใี ครสามารถจะบอกวา่ ตวั เองถูกตอ้ ง
เสมอ ทุกสิ่งสามารถผิดได้และหักล้างได้โดยเหตุผลของผู้อื่น เช่น ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกหักล้าง
โดยทฤษฎใี หมแ่ ละเปลี่ยนแปลงไปตลอด
ด้วยเหตุนี้ การใช้เหตุผลของมนุษย์จึงถูกขับเคลื่อนด้วยสองอย่างคือ การวิพากษ์ (criticism)
และการรู้จักสงสัย (skepticism) ข้ออ้างถึงสิ่งต่างๆ หรือความรู้ในสิ่งต่างๆ สามารถพิสูจน์ได้ว่าผิด
เสมอ ไมม่ ผี ้ใู ดอ้างได้วา่ ความรู้ท่ีตนเองค้นพบหรอื คิดคน้ ขึ้นเป็นความจริงทีถ่ ูกต้องนริ ันดร์ ไม่สามารถ
หักล้างได้ ดังนั้น ความรู้ในทัศนะแบบมนุษยนิยมจึงมีลักษณะสาธารณะหรือมีลักษณะเป็นวัตถุวิสัย
(objective) กล่าวคือสามารถ พิสูจน์ แสดงเหตุผลสนับสนุน อธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้ ไม่ใช่เป็น
14
ความรู้ที่อ้างวา่ มาจากการที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งมีอำนาจพิเศษต่างจากมนษุ ย์ผู้อื่นในการรับรู้ถึง
ความรู้นั้นๆ และความรู้นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ เช่น คำสอนหรือการตีความคำสอนทางศาสนาท่ี
นักบวชมักอ้างว่าได้รับจากการเปิดเผยของพระเจ้าหรือสมั ผัสพิเศษ ดังนั้นความรู้ในแบบมนุษยนยิ มมี
ลักษณะสำคัญที่เด่นชัดอยู่ที่พลังที่ขับเคลื่อนให้ความรู้นั้นก้าวหน้า คือ ความเป็นสากลในวิธีการได้มา
ซึง่ ความรู้ คอื การวิพากษ์ การรจู้ ักสงสัย การเป็นความรู้ทีพ่ ร้อมที่ผดิ ได้ และมีความเปน็ สาธารณะ
การให้ความสำคัญกับการมีและใช้เหตุผลของมนุษย์ในแนวคิดแบบมนุษย์นิยมจึงเป็นการ
ปลดปลอ่ ยมนษุ ย์ในสามวิถที าง คอื
1. ปลดปลอ่ ยจากอำนาจครอบงำภายนอก เชน่ ความเช่ืองมงายทางศาสนา ความงมงายใน
ส่ิงศักดิ์สิทธิ และหันมาพ่งึ พาตนเองมากขน้ึ
2. เปิดกว้างต่อกระบวนการแสวงหาความรู้และความจริงตอ่ ทุกคน ไม่ใช่บุคคลใดบุคคลหนงึ่
หรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึง่ ทีอ่ ้างถงึ อำนาจพเิ ศษในการเป็นเจา้ ของความรู้หรอื ความจรงิ
3. ปลดปล่อยบุคคลจากการมีทัศนะที่คับแคบเป็นอัตวิสัย คือเชื่อว่าตัวเองถูกเสมอ และมี
อคติต่อความคิดเห็นของผู้อื่น มาเป็นการเปิดรับฟังความเห็นผู้อื่น พร้อมที่จะถูกวิพากษ์และพร้อมท่ี
จะวิพากษ์คนอืน่
การมีและใช้เหตุผลของมนุษย์จึงไม่เป็นเพียงแค่การปลดปล่อยความจริง แต่ยังแสดงถึงความ
เป็นอิสระทางความคิดและการ ตัดสินใจได้ด้วยตัวเองโดยไม่ถูกครอบงำจากผู้อื่น และความเท่าเทียม
กันของมนษุ ย์
หากเราปรับประยุกต์ใชแ้ นวคิดแบบมนุษย์นิยมในสังคมจะทำให้เกิดสังคมแบบมนุษย์นิยมท่ีมี
การใชเ้ หตุผลภายใตก้ ารขบั เคลอื่ นของการวพิ ากษ์และสงสยั คนในสงั คมจะโต้แย้งถกเถียงกันอยู่เสมอ
ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ ทำให้สังคมมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความรู้หรื อ
นวัตกรรมที่เกิดขึ้นใหม่จากการใช้เหตุผลของมนุษย์ ซึ่งตัวอย่างสังคมแบบมนุษย์นิยมที่เห็นได้ชัดเจน
ในปัจจบุ นั คือ สงั คมเสรนี ิยม (Liberalism) ของตะวันตก
จากทกี่ ลา่ วมาสรปุ ได้วา่ มนษุ ยน์ ยิ ม หมายถึงทศั นะทใี่ ห้คณุ ค่าและความสำคญั สูงสุดแก่ความ
เป็นมนุษย์ มุ่งแสวงหาแนวทางชีวิตที่ดีที่สุดเพื่อมนุษย์ในโลกปัจจุบัน ถือมนุษย์เป็นศูนย์กลางของทุก
สิ่งทุกอย่าง ถือว่ามนุษย์มีเจตจำนงอิสระ พลังความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความพยายาม ศักยภาพ
ศักด์ศิ รี โดยธรรมชาติ มนุษย์อยใู่ นวิสัยต้องรบั ผิดชอบชะตากรรมของตนเองได้เพราะเป็นสิ่งท่ีเกิดจาก
15
การกระทำของตนเอง โลกย่อมเป็นไปตามความคิดและการกระทำของมนุษย์ สังคมแบบมนุษย์นิยม
จึงเป็นสังคมที่มนุษย์ดำรงชีวิตโดยเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองในการแสวงหาความรู้และพัฒนา
ตนเองและสังคมให้ดีขนึ้ โดยไมพ่ งึ่ พาอำนาจเหนือธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ทุกแนวคิดย่อมมีจุดบกพร่อง เพราะถ้ามองว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลาง มนุษย์เป็น
ผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ย่อมทำให้เกิดอหังการของมนุษย์ ซึ่งจะนำไปสู่ความคิดที่ว่า มนุษย์
สามารถทำได้ทุกอย่าง แม้แต่การเข้าไปจัดการกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมอย่างขาดสติ โดยเอาความ
ละโมบของมนุษยเ์ องเปน็ ที่ตงั้ สุดทา้ ยกเ็ กิดการทำลายธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ ม รวมทั้งตัวมนุษย์เองด้วย
แตม่ นุษยจ์ ำเป็นทจ่ี ะต้องมจี ุดมุ่งมั่นท่ีจะประกอบกรรมดี แล้วนำเอาศักยภาพของตนเองมาพัฒนาแล้ว
นำไปใช้อย่างบรู ณาการ ปราศจากอคติ ลดความอหังการของตน ปรับตัวเพ่ือเรียนรู้ท่ีจะอยูร่ ่วมกันกับ
มนษุ ย์ ธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมอยา่ งสมดลุ
จึงอาจกล่าวได้ว่า มนุษยนิยม เป็นปรัชญาสำคัญยิ่งระบบหนึ่งที่ยกย่องคุณค่าและให้
ความสำคัญอย่างสูงสุดในความเป็นมนุษย์ สิทธิ์ บุตรอินทร์ (2532, หน้า 8) ให้ทัศนะว่า มนุษยนิยม
หมายถึง แนวคิดที่มุ่งเสริมสร้างและพัฒนามนุษยธรรมขึ้นในโลกมนุษย์ อีกทั้งยังมุ่งแสวงหาทางที่ดี
งามแก่มนุษย์เพื่อให้สามารถดำรงอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุข มนุษยนิยมนั้นถือมนุษย์เป็นศูนยก์ ลางและ
ถือว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มี เจตจำนงอิสระ มีพลังความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความพยายาม มี
ศกั ยภาพ มศี ักด์ิศรี และมนุษยอ์ ยูใ่ นวสิ ยั ทีจ่ ะรบั ผดิ ชอบตอ่ การกระทำของตนเอง แนวคิดมนษุ ยนยิ มมี
พัฒนาการมายาวนาน โดยในสาย ปรัชญาตะวันตก เริ่มที่สมัยกรีก นักปรัชญาอย่าง โปรตากอรัส
(Protagoras) ที่ให้ความสำคัญแก่ มนุษย์เป็นอย่างมาก และสืบต่อมาจนถึงยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ
จนกระทั่งได้มีบทบาทและ อิทธิพลมาจนถึงยุคปัจจุบัน ส่วนปรัชญาตะวันออก ผู้เริ่มปรัชญามนุษย
นิยมคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอินเดีย และขงจื๊อในจีน ด้วยความที่แนวคิดมนุษยนิยมนี้ ให้
ความสำคัญแก่มนุษย์เป็นอย่างมาก ในสถานการณ์ปัจจุบัน ได้มีวิกฤตปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมากมายใน
สังคมมนุษย์ มนุษย์เองก็ไม่มีจุดมุ่งหมายของการดำเนินชีวิตที่แน่นอน ประสบความทุกข์ยากลำบาก
และมีความขัดแย้งปรากฏให้เห็นอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชนชั้น ชาติพันธุ์ เพศ ดินแดน
ศาสนา เป็นต้น เมื่อสังคมมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น แนวคิดและกระบวนทัศน์แบบเก่าก็ย่อมที่จะถูก
วิพากษ์ ตีความ และให้ความหมายใหม่อยู่เรื่อยมา แนวคิดของนักมนุษยนิยมเองก็เช่นเดียวกัน จาก
แนวคิดมนุษยนิยมแนวจารีต (Traditional Humanism) พบว่ายังมีข้อจำกัดอยู่ คือการมองคุณค่า
ของสิ่งมีชีวิตในแนวแคบๆ นักมนุษยนิยมมักมองว่าชีวิตมนุษย์และสิ่งอื่นที่มีประโยชน์ต่อ มนุษย์
เท่านั้นที่มีคุณค่า เป็นศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่ง โดยไม่สนใจคุณค่าของสิ่งมีชีวิตอื่น ซึ่งในความจริง
16
แล้วมนุษย์ก็ไม่มีสิทธพิ ิเศษแตอ่ ย่างใดที่จะเบียดเบียนสิง่ มีชวี ิตอ่ืน เพียงเพราะเขามองไม่เหน็ ว่าเป็นสิง่
ที่มีคุณค่าแต่ประการใด อย่างไรก็ตามปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันก็ยังเกิดขึ้นอีกมากมายใน
ทุกๆ ด้าน จนแนวคิดมนุษยนิยมเพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่าง
ครอบคลมุ
ด้วยเหตุนี้ จึงมีการปรับตัวของอุดมการณ์ทางความคิด และเกิดแนวคิดมนุษยนิยมใหม่ หรือ
ที่เรียกกันว่า Neo Humanism โดยได้รับอิทธิพลและแนวทางมาจากความคิดจากปรัชญากลุ่มมนุษย
นิยมที่ให้ความสำคัญแก่มนุษย์ เชื่อว่ามนุษย์มีที่มาจากสิ่งเดียวกัน มีพื้นฐานลักษณะจิตใจที่งดงาม
โดยมนุษยจ์ ะมคี วามรู้สกึ รกั และเมตตาผกู พนั ต่อมนุษยชาติ รวมไปถงึ ส่ิงมชี วี ติ อื่นๆ และธรรมชาติด้วย
(เกยี รตวิ รรณ อมาตยกุล, 2531, หน้า 38) ในขณะที่ ใจรัตน์ จตุรภัทรพร (2541, หน้า 3-4) อ้างว่า
แนวคิดมนุษยนิยมใหม่ เป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างกว้างขวาง
ในปัจจุบัน ในทวีปอเมริกา ยุโรป และหลายประเทศในเอเชยี โดยหลักเกณฑ์สำคญั ของแนวคิดมนุษย
นิยมใหม่แสดงความหมายและคุณค่าของมนุษย์ว่า มนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบต่ออนาคตของตนเองและ
มนุษยชาติโดยรวม มนุษย์มีหน้าที่ต้อง สร้างอนาคตของมนุษย์เอง พยายามปรับปรุงสังคมและโลก
เพื่อตนเองในปัจจุบันและเพื่อคนรุ่นใหม่ ในอนาคต บนพื้นฐานของคุณค่าแนวคิดที่เชื่อมั่นศักยภาพ
ของมนุษย์ในการสร้างสรรค์แห่งตน ในขณะเดียวกันก็เคารพความหลากหลายของบุคคล ไม่ว่าจะเป็น
ภาษา ศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรม ประเพณีทีเ่ ป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะ ฯลฯ
ในสมัยกลางมนุษย์ในยุคนั้นมีความเชื่อและใช้ชีวิตที่ยึดติดในตัวของศาสนามาก จนบางครั้ง
ก็กลายเป็นความเชื่อที่งมงาย ทำให้มองเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองในแง่ร้ายจนเกินไป แต่หลังจากนั้น
ความเชื่อเหล่านั้นก็เปลี่ยนไป เมื่อเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) มนุษย์ในยุคนี้ได้
เปล่ียนมมุ มองความคิดใหม่ จากการที่เคยมองโลกในแง่ร้ายมาสกู่ ารมองโลกในแงด่ ี และมีความเชื่อว่า
มนุษย์มีความสามารถ และคุณค่าในตัวเอง จึงยกย่องเชิดชูความสามารถเหล่านั้นของมนุษย์ ด้วยเหตุ
น้เี องจึงเปน็ ที่มาของลัทธิใหม่ทเี่ รียกวา่ มนษุ ยนิยม (Humanism)
สุนิศรา ภาคสุข (2557) สรุปว่า ทฤษฎีมนุษยนิยม (Humanism) มีวิวัฒนาการมาจากทฤษฎี
กลมุ่ ท่เี น้นการพัฒนาตามธรรมชาติ แต่จะมคี วามเป็นวทิ ยาศาสตร์มากยิ่งขนึ้ คอื เปน็ กระบวนการมาก
ยิ่งขึ้นและที่สำคัญเป็นทฤษฎีที่เชื่อมั่นในตัวของมนุษย์ ซึ่งนักคิดกลุ่มมนุษยนิยมจะให้ความสำคัญกับ
การเป็นมนุษย์ และมองมนุษย์ว่ามีคุณค่า มีความดีงาม มีความสามารถ มีความต้องการ และมี
แรงจูงใจภายในที่จะพัฒนาศักยภาพของตน หากบุคคลได้รับอิสรภาพและเสรีภาพที่เพียงพอ มนุษย์
17
จะพยายามพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทฤษฏีและแนวคิดที่สำคัญๆ ในกลุ่มนี้มี 2
ทฤษฏี และ 5 แนวคิดทเี่ ก่ียวข้อง ดังน้ี คือ
1. ทฤษฎีการเรียนรู้มาสโลว์ (Maslow) ได้พัฒนาแนวคิดทฤษฎีมนุษย์นิยมจากความเชื่อที่ว่า
มนุษย์ไม่ได้ต้องการเรียนรู้เนื่องมาจากสิ่งเร้าภายนอก หรือไม่ได้ต้องการเรียนรู้เนื่องมาจากสัญชาติ
ญาณของจิตไร้สำนึก แต่มนุษย์ต้องการที่เรียนรู้เพื่อก้าวไปสู่การเป็นคนที่สมบูรณ์ ( Fully
Functioning Person) ซึ่ง Maslow ใช้คำวา่ Self-actualizing Person
หลักการหรือความเชื่อของทฤษฎี คือ
1. มนษุ ย์มธี รรมชาติแห่งความกระตอื รือรน้ ทจ่ี ะเรยี นรู้
2. มนุษย์มีสิทธิในการต่อต้านหรือไม่พอใจในผลที่เกิดขึ้นจากสิ่งต่างๆ แม้สิ่งนั้นจะได้รับ
การยอมรับวา่ จริง
3. การเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือการที่มนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงแนวความคิด
หรอื มโนทศั นข์ องตนเอง
2. ทฤษฎีการเรียนรู้รอเจอร์ (Rogers) ได้พัฒนาแนวคิดแห่งการเรียนรู้ตามทฤษฎีมนุษย์นิยม
ว่ามนุษย์จะเรียนได้ดีในบรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมที่สบาย (Comfortable) ไม่มีการคุกคาม
(Threatened) จากองค์ประกอบภายนอก
หลกั การหรือความเชอ่ื ของทฤษฎี คอื
1. มนษุ ยม์ ธี รรมชาติแหง่ ความกระตือรือร้นทีจ่ ะเรียนรู้
2. มนุษย์มีสิทธิในการต่อต้านหรือไม่พอใจในผลที่เกิดขึ้นจากสิ่งต่างๆ แม้สิ่งนั้นจะได้รับ
การยอมรบั ว่าจรงิ
3. การเรียนรู้ที่สำคญั ที่สุดของมนุษย์คือการท่ีมนุษย์มกี ารเปลี่ยนแปลงแนวความคิด หรือ
มโนทัศน์ของตนเอง
3. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของโคมส์ (Combs) เชื่อว่าความรู้สึกของผู้เรียนมีความสำคัญ
ตอ่ การเรยี นรู้มาก เพราะความรูส้ กึ และเจตคตขิ องผู้เรียนมอี ทิ ธพิ ลต่อกระบวนการเรยี นรขู้ องผเู้ รียน
4. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้โนลส์ (Knowles) เชื่อว่าผู้เรียนจะเรียนรู้ได้มากหากมีส่วนร่วม
ในการเรียนรู้ มอี สิ ระทจี่ ะเรียนและไดร้ ับการสง่ เสรมิ ในการพฒั นาดว้ ยตนเอง
5. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้แฟร์ (Faire) เชื่อว่าผู้เรียนต้องถูกปลดปล่อยจากการกดขี่ของ
ครูท่ีสอนแบบเกา่ ผู้เรยี นมีศักยภาพและมีความคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ทจ่ี ะกระทำสง่ิ ตา่ งๆ ด้วยตนเอง
18
6. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของอิลลิช(Illich) เชื่อว่าสังคมแห่งการเรียนรู้เป็นสังคมที่ต้อง
ล้มเลิกระบบโรงเรียน การศึกษาควรเป็นการศึกษาตลอดชีวิตแบบเป็นไปตามธรรมชาติ โดยให้
โอกาสในการศกึ ษาเลา่ เรียนแก่บคุ คลอย่างเต็มท่ี
7. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนีล (Neil) เชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้มีศักดิ์ศรี มีความดีโดย
ธรรมชาติ หากมนุษย์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น บริบูรณ์ด้วยความรัก มีอิสรภาพและ
เสรีภาพ มนษุ ยจ์ ะพฒั นาไปในทางท่ีดที ั้งต่อตนเองและสังคม
สรุปได้ว่า มนุษยนิยม (Humanism) เป็นลัทธิท่ีให้ความสำคัญกับการเป็นมนุษย์ เชื่อมั่นใน
เหตุผล และสติปัญญา ความต้องการความเป็นอิสรเสรี เมื่อมนุษย์อยู่ในสภาพที่มีความอิสรเสรีใน
ความคิด บวกกับความสามารถที่มีอยู่ในตัว มนุษย์ก็จะสามารถพัฒนาศักยภาพของตนให้ดีได้ ในยุค
ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการนี้จึงเป็นยุคที่ถือว่าเป็นยุคสมัยแห่งความอัจฉริยภาพเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นยุค
แห่งการเรียนรู้ของมนุษย์ เป็นยุคที่มีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมากมาย ได้มีการศึกษาหาความรู้
อย่างกว้างขวางในหลากหลายสาขาวิชา และบุคคลที่แสดงถึงความสามารถและอัจฉริยภาพของ
มนุษยอ์ ย่างแท้จริงและเปน็ ท่ยี กย่องเชิดชูมาจนถึงปจั จบุ ันก็คอื Leonardo Darvinci เป็นต้น
นัฐพงศ์ บุญธรรม (2558) สรุปว่า แนวคิดแบบมนุษย์นิยมเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ใน
การใช้เหตุผลความมีอิสระทางความคิดและการกระทำโดยไม่ถูกครอบงำโดยผู้อื่น (autonomy) และ
ความรู้จักช่างสงสัย ซักถามและแสวงหาคำตอบ(skepticism) ของมนุษย์ เชื่อมั่นในการค้นคว้าหา
ความรู้หรือความจริงโดยตัวมนุษย์เองซึ่งจะนำไปสู่การสร้างชีวิตและสังคมที่ดีของมนุษย์ เพียงแต่
มนุษย์ก็ต้องพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อการใช้เหตุผลในการค้นพบและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เหล่านั้นซึ่ง
ต่างจากความเชื่อว่าทุกอย่างในชีวิตมนุษย์ไม่ได้เป็นผู้กำหนดเองแต่ถูกกำหนดจากปัจจัยภายนอกเชน่
พระเจ้า ชะตากรรม พรหมลิขิต สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแง่นี้มนุษย์ก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งใดๆเลยปล่อยให้
เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของปจั จัยภายนอกเพียงอย่างเดียว
เมื่อมนุษย์พร้อมที่จะยอมรับความผิดพลาดจากการใช้เหตุผลของมนุษย์ย่อมแสดงว่า มนุษย์
ทุกคนผิดพลาดได้ สิ่งที่ผู้หน่ึงคิดไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไปไม่มใี ครสามารถจะบอกว่าตัวเองถูกต้อง
เสมอทุกสิ่งสามารถผิดได้และหักล้างได้โดยเหตุผลของผู้อื่น เช่นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกหักล้าง
โดยทฤษฎีใหมแ่ ละเปลย่ี นแปลงไปตลอด
19
ด้วยเหตุนี้ การใช้เหตุผลของมนุษย์จึงถูกขับเคลื่อนด้วยสองอย่างคือการวิพากษ์ (criticism)
และการรู้จักสงสัย (skepticism) ข้ออ้างถึงสิ่งต่างๆ หรือความรู้ในสิ่งต่างๆ สามารถพิสูจน์ได้ว่าผิด
เสมอ ไม่มีผู้ใดอ้างได้ว่าความรู้ที่ตนเองค้นพบหรือคิดค้นขึ้นเป็นความจริงที่ถูกต้องนิรันดร์ไม่สามารถ
หักล้างได้ ดังนั้นความรู้ในทัศนะแบบมนุษยนิยมจึงมีลักษณะสาธารณะหรือมีลักษณะเป็นวัตถุวิสัย
(objective) กล่าวคือสามารถ พสิ จู น์ แสดงเหตุผลสนับสนุน อธบิ ายให้ทุกคนเขา้ ใจได้ไมใ่ ชเ่ ปน็ ความรู้
ที่อ้างว่ามาจากการที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลหน่ึงมีอำนาจพิเศษต่างจากมนุษย์ผู้อืน่ ในการรับรูถ้ งึ ความรู้
นั้นๆ และความรู้นั้นเป็นสิ่งท่ีถูกต้องเสมอดังนั้นความรู้ในแบบมนุษยนิยมมีลักษณะสำคัญที่เด่นชัดอยู่
ที่พลังที่ขับเคลื่อนให้ความรู้นั้นก้าวหน้าคือ ความเป็นสากลในวิธีการได้มาซึ่งความรู้ คือ การวิพากษ์
การรู้จักสงสยั การเปน็ ความรทู้ ่พี รอ้ มท่ผี ิดได้ และมคี วามเปน็ สาธารณะ
กฎธรรมชาติกับมนุษยนิยม
กฎธรรมชาติเป็นทฤษฎีทางจริยธรรมและปรัชญาที่บอกว่ามนุษย์มีค่านิยมที่แท้จริงที่ควบคุม
การใช้เหตุผลและพฤติกรรมของเรา กฎหมายธรรมชาติยนื ยันว่ากฎแหง่ ความถกู และผดิ เหลา่ นี้มีอยู่ใน
ตวั คนและไมไ่ ดส้ ร้างขน้ึ โดยสังคมหรอื ผู้พพิ ากษาศาล
กฎธรรมชาตินั้น ทุกคนมีสามัญสำนึกตามธรรมชาติ “ความดีคือควรทำและหลีกเลี่ยงความ
ชวั่ ” ซง่ึ บางคนเรียกว่าธรรมชาตขิ องมนุษย์ เป็นสิง่ ท่ีช้นี ำมโนธรรมของเรา และหากประยุกต์ใชอ้ ย่างมี
เหตุผลกับสถานการณ์จะนำไปสู่ผลลัพธท์ ่ีถกู ตอ้ ง
ที่มาของกฎธรรมชาติ
ลทั ธิสโตอกิ
ลทั ธินเี้ ช่ือว่าในสังคมโลก มีกฎหมายท่ีเป็นสากลและไมส่ ามารถเปลย่ี นแปลงได้ซง่ึ ควรปฏิบตั ิ
ตาม คนจะดำเนนิ ชีวิตตามธรรมชาติ นน่ั ก็คือการดำเนนิ ชวี ิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า เราแต่ละ
คนจะมเี จตนจ์ ำนงอิสระ สามารถเลอื กได้ว่าจะทำตามกฎธรรมชาตหิ รอื ไม่ โดยที่เหตผุ ลจะเป็นสิ่งท่จี ะ
ชว่ ยใหเ้ ราเข้าใจวา่ จะต้องปฏิบตั ติ ามกฏแห่งจักรวาลนีห้ รอื ไม่
อริสโตเติล (384 -322 ปกี ่อนคริสตศกั ราช)
แนวคิดหลักในกฎธรรมชาติของอริสโตเติล คือมีระเบียบกฎเกณฑ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
(หลักการ) ต่อโลกทางกายภาพที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเข้าใจลำดับนี้ เราจะสามารถเรียนรู้สิ่งที่เป็น
ธรรมชาติสำหรับบางสิ่งหรือบางคนที่ต้องทำ หรือกลายเป็น “จุดประสงค์” (telos) โดยที่ความดี
สูงสุดจะพบได้เม่ือส่ิงตา่ งๆ บรรลุวัตถปุ ระสงค์
20
ทฤษฎสี าเหตขุ องอริสโตเติลแยกความแตกต่างระหว่างสาเหตทุ มี่ ปี ระสิทธภิ าพ และสาเหตุ
สุดทา้ ยวา่
สาเหตุที่มีประสิทธิภาพ (หมายถึงการสิ้นสุด) คือสิ่งที่เราทำเพื่อบรรลุบางสิ่งบางอย่าง
ตัวอย่างเช่น... หากเราต้องการให้เมล็ดพันธ์ุพืชเจริญเติบโต เราปลูกมันในดิน ใส่ปุ๋ย รดน้ำ และให้
แสงแดดสอดส่อง ส่วนสาเหตุสุดท้าย (จุดจบในตัวมันเอง) คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากเราทำสิ่งที่ถูกต้อง
ตัวอย่างเช่น... เราปลูกเมล็ด รดน้ำ ฯลฯ เพราะนี่คือวิธีท่ีเมล็ดพันธ์ุพืชเติบโตและกลายเป็นต้นพืช
เพราะมีบางอย่างในธรรมชาติของเมล็ดพันธุ์ที่ตอบสนองต่อสภาวะเหล่านี้ ในทางกลับกัน เมล็ดพืชที่
ไม่ไดร้ ดน้ำมักจะแห้งเหย่ี วตายไป
ตามปรชั ญาของอริสโตเตลิ บางสงิ่ บางอย่างจะ 'ด'ี ถา้ มนั บรรลุถงึ “จดุ ประสงค”์ (telos) ท่ี
มนั ถูกสรา้ งขึ้นเปน็ ต้น... มดี ทีด่ ีคือมีดท่ตี ัดได้ดี ระฆงั ทีด่ กี ค็ อื ระฆงั ทต่ี แี ลว้ สง่ เสยี งกงั วาลไกล เป็นตน้
สำหรับอรสิ โตเตลิ 'หลกั การภายใน' ของธรรมชาตมิ นุษย์ คอื เหตผุ ล ความสามารถของมนุษย์
ในการให้เหตุผลคือ “แรงขับเคลื่อน” ของการพัฒนาและการกระทำของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น
ความสามารถในการไตรต่ รองพฤติกรรมและสภาพแวดลอ้ มของเราเอง และเปลยี่ นแปลงโดยพิจารณา
จากความคดิ ของเราท่มี ีตอ่ สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งทแ่ี ยกเราออกจากสัตว์
อริสโตเติลเชื่อว่า กฎธรรมชาติ คือคุณธรรมที่เป็นไปตามจุดประสงค์ตามธรรมชาติของชีวิต
โดยท่ีอริสโตเติลมองว่าเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์คือการบรรลุยูไดโมเนีย หรือ ความสุข อยู่ดีมีสุข
รุ่งเรืองเฟื่องฟูร่วมกับผู้อื่นในสังคม ซึ่งยูไดโมเนียสำเร็จได้ด้วยการใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผลเพื่อค้นหา
กฎหมายที่นำเราไปสู่ท่ีนัน่ จริยธรรม คือเหตุผลที่นำไปปฏบิ ตั ิ นนั่ เอง
ทอมัส อไควนสั (ค.ศ. 1225 - 1274)
อไควนสั ไดม้ คี วามเห็นวา่ ทฤษฎีกฎธรรมชาตนิ ัน้ เป็นทฤษฎสี ูงสุดทต่ี งั้ อยบู่ นฐานของความ
เช่ือท่ีวา่ มกี ารจดั ระเบียบธรรมชาตอิ ยใู่ นโลกใบนี้ ซงึ่ พระผเู้ ป็นเจา้ เปน็ ผทู้ ีป่ ระทานมาให้ กฎธรรมชาติ
นี้จะพบได้ในธรรมชาตขิ องมนษุ ย์เองและในความพยายามของมนษุ ย์ทจ่ี ะแสวงหาความสุขและความ
รม่ เย็น มนษุ ยใ์ ชธ้ รรมชาตขิ องตยในการแปลความและทำความเข้าใมจวา่ กฎธรรมชาติคืออะไร
(Crime and punishment, n.d.)
อควีนาสเชื่อว่ากฎธรรมชาติเป็นรหัสทางศีลธรรมที่มนุษย์มีแนวโน้มตามธรรมชาติ พระเจ้า
เปิดเผยคำสง่ั เฉพาะ แตส่ ิง่ เหล่านไี้ มไ่ ด้ขัดต่อกฎธรรมชาตแิ ตย่ ง่ิ พฒั นาและพฒั นาตอ่ ไป สิ่งนี้สะทอ้ นให้
เห็นแนวทางของอควีนาสที่มีต่อเทววิทยาโดยทั่วไปโดยที่เทววิทยาธรรมชาติ (ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ
เหตุผลของมนุษย์) ไม่ได้ขัดต่อเทววิทยาทีเ่ ปิดเผย (ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการเปิดเผยโดยพระเจ้า) แม้จะ
21
ปราศจากความรู้เรื่องพระเจ้า เหตุผลก็สามารถค้นพบกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่นำไปสู่การเจริญรุ่งเรืองของ
มนษุ ยไ์ ด้ อควีนาสกล่าวว่า 'ชีวิตที่มีศีลธรรมคือชีวิตท่ีดำเนินไปตามเหตผุ ล '
กฎหมาย หมายถงึ เงอ่ื นไขท่ีมอี ยูซ่ ึง่ มผี ลผกู พันและไม่เปลย่ี นแปลง ทม่ี อี ยู่หมายความวา่ มีอยู่
จริงไม่สามารถละเลยและคาดหวังว่าจะไม่ทำให้เป็นจริงและจะไม่มีผล การผูกมัดหมายความว่ามีผล
และไม่สำคัญวา่ คณุ จะเชื่อว่าไม่มผี ลหรือไม่ก็ไม่สนใจ กฎแห่งจักรวาลไม่สนใจคณุ กฎได้ถูกสรา้ งข้นึ ใน
อาณาจักรนี้เพื่อให้ทำงานได้อย่างไม่มีที่ติ 100% ถ้าเด็กตกจากหน้าผา แรงโน้มถ่วงจะปล่อยให้เธอ
หลดุ จากขอบหน้าผาหรือไม?่ คำตอบคือ ใช่ โดยทก่ี ฎไม่สนใจวา่ เดก็ จะเขา้ ใจกฎแรงโน้มถ่วงหรือไม่
จอหน์ ลอ้ ค (ค.ศ. 2175-2247)
หลักคำสอนทางการเมืองของจอห์น ล็อค ที่ให้แก่ผู้มีศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย มีอยู่
ส้ันๆ วา่ รัฐบาลทชี่ อบธรรมท้งั ปวง มีอำนาจทจี่ ำกดั และดำรงอยไู่ ดด้ ้วยความยินยอม (consent) ของ
ผู้อยู่ใต้ปกครอง รากฐานของคำสอนนี้ คือหลักการที่ว่ามนุษย์เกิดมามีเสรี ซึ่งก็อยู่บนหลักการสากล
ทวี่ ่ามนษุ ย์ทกุ คนเกดิ มาเทา่ เทียมกันอีกทหี น่ึง หลักการของลอ็ คทว่ี า่ ด้วยความเป็นอิสระและเสมอภาค
กันของมนษุ ย์นี้ ถกู กระจายแพร่หลายไปท่ัวโลกโดยโธมาส เจฟเฟอร์สัน ผ้รู ่างคำประกาศอสิ รภาพของ
อเมริกา เมื่อสิบสามอาณานิคมเดิมของอังกฤษ ประกาศตัวเป็นเอกราชจากอังกฤษ เมื่อวันที่ 4
กรกฎาคม ค.ศ. 1776
เจฟเฟอร์สันกล่าววา่ ความจริงที่วา่ มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเทา่ เทียมกนั น้ี เป็นความจรงิ ท่ี
ประจักษ์แจ้งในตัวเอง (self-evident truth) ซึ่งหมายถึงว่ามันเป็นจริงโดยตัวเอง และโดยไม่จำเป็น
ว่าจะต้องมีใครยอมรับว่าเป็นความจริงหรือไม่ ความเสมอภาคนี้ หมายความต่อไปด้วยว่า ระหว่าง
มนษุ ยด์ ้วยกันแล้ว ไมม่ ีขอ้ แตกต่างใดๆ โดยธรรมชาติอยา่ งที่อาจเหน็ ไดร้ ะหว่างมนษุ ยก์ ับสัตว์ ที่จะทำ
ให้ใครสักคนหนึ่งอ้างตัวเองว่าเหนือกว่าคนอื่นๆ ได้เลย ความเป็นเสรีและความเสมอภาคของมนุษย์นี้
หมายความว่าแท้จริงแล้ว มนุษย์ไม่ได้อยู่ในสังคมที่มีรัฐบาล ที่มีการปกครอง (สังคมการเมือง) โดย
ธรรมชาติ สภาพธรรมชาติ เปน็ ส่ิงที่มมี าก่อนสังคมการเมอื ง ในสภาพธรรมชาติ ไมม่ ีกฎหมาย ไม่มีการ
ปกครอง ไม่มีรฐั บาล มแี ตก่ ฎแหง่ ธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนมีความเป็นอสิ ระ และไม่ขึ้นแกใ่ ครทั้งสิ้น
มนุษย์มีสิทธิ มีอำนาจโดยธรรมชาติ ที่จะกระทำการใดๆ ก็ตาม ที่ตนเห็นว่าเหมาะสมในการ
ปกปักรักษาตนเองและผู้อื่น และมีสิทธิ มีอำนาจที่จะลงโทษการกระทำผิดใดๆ ตามกฎแห่งธรรมชาติ
การแปรเปลี่ยนจากสภาพธรรมชาติ ที่มนุษย์ทุกคนมีความเป็นอิสรเสรี และความเท่าเทียมกัน แต่มี
ความไม่แน่นอนสูง ไปสู่สังคมการเมืองที่มนุษย์จะถูกปกครองโดยผู้อื่น จึงเกิดขึ้นได้ก็เฉพาะแต่โดย
22
ความยนิ ยอมของมนุษย์เทา่ นัน้ สญั ญาประชาคม คอื ข้อตกลงทจ่ี ะถ่ายโอนอำนาจต่างๆ ที่มนุษย์แต่ละ
คนมีในสภาพธรรมชาติ ให้ไปอยู่ในมือของสังคมการเมืองแทน ด้วยประสงค์ให้เป็นการแก้ไขความไม่
แนน่ อนและอันตรายของสภาพธรรมชาติ แต่โดยเหตุทม่ี นษุ ย์มคี วามเป็นอสิ รเสรแี ละเสมอภาคกันโดย
ธรรมชาติ
ความจริงนี้จึงเป็นตัวกำหนดว่าสังคมการเมือง ดำรงอยู่เพื่อวัตถุประสงค์อะไร และโดย
หลักการเดียวกัน ความจริงนี้ก็เปน็ ตวั กำหนดว่า สิทธิหรืออำนาจอะไรบ้าง ที่มนุษย์อาจถ่ายโอนให้กบั
สังคมการเมืองไป และสิทธิหรืออำนาจอะไรบ้างที่มนุษย์ไม่อาจยินยอมถ่ายโอนออกไปจากตัวได้ หรือ
ที่เจฟเฟอร์สันเรียกว่าสิทธิอันมิอาจเพิกถอนได้ (unalienable rights) เช่น สิทธิในชีวิต เสรีภาพและ
การแสวงหาความสุข กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อำนาจที่ยุติธรรมในการปกครอง จะต้องมาจากความ
ยินยอมที่รู้แจ้งเห็นจริง (enlightened consent) จากผู้ที่เข้าใจในความเสมอภาคโดยธรรมชาติอย่าง
ถ่องแท้ การยินยอมให้ผู้ปกครองอย่างฮิตเลอร์มีอำนาจโดยไม่จำกัด ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ว่าเป็น
ความยินยอมในความหมายนี้ เพราะฉะนั้น หลักการเรื่องความเสมอภาคกันของมนุษย์ จึงเป็นทั้ง
ตัวกำหนดที่มาของอำนาจอันยุติธรรมของรัฐบาล ว่าต้องมาจากความยินยอม และเป็นทั้งตัวกำหนด
วา่ รัฐบาลทีช่ อบธรรมจะต้องเป็นรัฐบาลทีม่ ีอำนาจจำกัด
สรวิชญ์ วงษ์สะอาด (2558) สรุปว่า จอห์น ล็อค ถือว่าเรื่องสิทธินั้นเป็นสิ่งที่สำคัญของ
มนุษย์ทุกผู้คนที่เกิดมาในโลกนี้ โดยมีแนวความคิดว่า เรื่องสิทธิในแง่ของความเป็นเจ้าของและการ
ครอบครองสิทธิในทรัพย์สินที่อยู่ตามธรรมชาติและสิทธิที่ถือว่า สำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือสิทธิใน
ชีวิตของปัจเจกชน ประเด็นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการให้ความหมายอีกทั้งความสำคัญของสิทธิในชีวิต
และสิทธิในการที่จะได้รับความคุ้มครองจากรัฐ รัฐมีเพียงหน้าที่ในการรับใช้ประชาชนสิทธิทาง
การเมือง (Political right) ทั้งหมดเป็นของประชาชน ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจในการกำหนดและ
ถอดถอนรัฐบาลได้ หากรัฐบาลไม่มีความเป็นธรรมและไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ เพราะ
รัฐบาลมีหน้าที่ในการตอบสนองความต้องการของประชาชนในฐานะที่ประชาชนเป็นผู้จัดตั้งหรือเป็น
เจา้ ของรัฐบาลและเป็นผู้รับประโยชน์จากการบริหารงานของรฐั บาล
ในทรรศนะของล็อคในสภาวะธรรมชาติมนุษย์ทุกคนเกิดมาบริสุทธิ์ไม่รู้อะไรเลยที่สามารถรู้
อะไรและเข้าใจโลกภายนอกรอบตัวได้ก็โดยการเรียนรู้จากการสังเกตและประสบการณ์ และ
คุณสมบัติประจำตัวมนุษย์ทุกคนก็คือ ความมีเหตุผลอันเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมาให้แก่มนุษย์ทุก
คน เหตุผลของมนุษย์เต็มไปด้วยเมตตาธรรม ใฝ่สันติ การกระทำใดๆ ของมนุษย์อยู่ภายใต้กฎ
23
ธรรมชาตแิ ละมนษุ ยจ์ ะสามารถเข้าใจกฎธรรมชาติได้ด้วยเหตุผลและประสบการณ์ในสภาวะธรรมชาติ
ตามทรรศนะของล็อคมี 2 ลกั ษณะ คอื
1. ภาวะแห่งเสรีภาพ (Liberty) คือ ทำให้มนุษย์สามารถกระทำในสิ่งที่ตนปรารถนาภายใต้
ขอบเขตจำกัดแห่งกฎธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่น่าตั้งข้อสังเกตในทรรศนะของชาวตะวันตกที่มีทรรศนะ
เกี่ยวกบั เสรีภาพอย่างนา่ สนใจ เชน่ พ.ี เฮช พาทริดจ์ (P.H. Partridge) อธบิ ายความหมายของเสรีภาพ
ในเชิงประวัติปรัชญาและความคิดทางสังคมว่าเสรีภาพนั้นใช้ในความหมายทางจริยธรรมทางสังคม
โดยหมายถงึ สภาพทีเ่ กิดจากความสมั พันธ์ระหวา่ งคนต่อคน หรอื หมายถึงเง่อื นไขของชวี ิตในสังคม
2. ภาวะแห่งความเท่าเทียมกันของทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ (equality) คือ ล็อคให้ทรรศนะว่า คน
ที่เกิดมาแล้วย่อมมีเสรีภาพที่สมบูรณ์ มีความสุขอย่างไม่จำกัดต่อสิทธิทั้งหลายทั้งปวง ตามกฎเกณฑ์
แห่งธรรมชาติเสมอภาค เท่าเทียมกับผู้อื่นซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งของโลก เขามีอำนาจไม่เพียงแต่ดูแล
ทรัพย์สิน เขายังมีสิทธิในชีวิตของตน มีเสรีภาพแห่งตน เพราะว่า มนุษย์เกิดมามีความเสมอภาคและ
อิสรภาพทัดเทียมกัน (Men beings are equal, have equal rights) จะไม่มีบุคคลใดที่จะมีสิทธิทำ
อันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ และทรัพย์สินของผู้อื่นแต่การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสภาวะ
ธรรมชาติอาจเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นได้ ทั้งนี้เพราะภายใต้กฎแห่งธรรมชาติสังคมมนุษย์ปราศจาก
กลไกในการจดั ระเบยี บท่ีชดั เจน 3 ประการ คอื 1) สภาวะธรรมชาตเิ ป็นสภาวะทีไ่ มม่ กี ฎหมายอันเปน็
ที่ยอมรับร่วมกัน มนุษย์อาจเข้าใจสภาวะธรรมชาติแตกต่างกัน ทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้ในบาง
กรณี 2) สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่มีตุลาการที่มีความเที่ยงธรรม และเป็นที่ยอมรับร่วมกัน คอย
ทำหน้าที่ตัดสินข้อพิพาทอันอาจเกิดขึ้นภายใต้กฎแห่งธรรมชาติ ซึ่งตุลาการต้องเป็นคนกลางที่ไม่มี
ประโยชน์ได้เสียกับคู่กรณี 3) สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะท่ีไม่มีอำนาจบริหารที่จะทำหน้าท่ีบังคับให้
เปน็ ไปตามคำตดั สินต่างๆ
โดยสรุป อาจกล่าวได้ว่า แนวคิดมนุษยนิยมนั้นเป็นแนวคิดที่มองความเป็นมนุษย์ และมอง
มนุษย์ว่ามีคุณค่า มีความดีงาม มีความสามารถ มีความต้องการ และมีแรงจูงใจภายในที่จะพัฒนา
ศักยภาพของตน หากบุคคลมีอิสรภาพและเสรีภาพ มนุษย์จะพยายามพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็น
มนุษย์ที่สมบรู ณ์ คำว่า “มนุษยน์ ิยม” จึงหมายถงึ ทัศนะท่ีให้คณุ ค่าและความสำคัญสูงสุดแกค่ วามเป็น
มนุษย์ มงุ่ แสวงหาแนวทางชีวิตท่ีดที ่ีสุดเพื่อมนุษย์ในโลกปัจจบุ ัน ถือมนุษยเ์ ปน็ ศูนยก์ ลางของทุกส่ิงทุก
อย่าง ถือว่ามนุษย์มีเจตจำนงอิสระ พลังความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความพยายาม ศักยภาพ ศักดิ์ศรี
โดยธรรมชาติ มนุษย์อยู่ในวิสัยต้องรับผิดชอบชะตากรรมของตนเองได้เพราะเป็นสิ่งที่เกิดจากการ
24
กระทำของตนเอง โลกย่อมเป็นไปตามความคิดและการกระทำของมนุษย์ สังคมแบบมนุษย์นิยมจึง
เป็นสังคมที่มนุษย์ดำรงชีวิตโดยเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองในการแสวงหาความรู้และพัฒนาตนเอง
และสงั คมให้ดีข้ึนโดยไม่พงึ่ พาอำนาจเหนือธรรมชาติ
25
บทที่ 4
แนวคดิ เรอ่ื งศกั ด์ิศรีของความเป็นมนษุ ย์
ศักดิ์ศรี คือ การยอมรับของบุคคลในสังคม แม้ว่าพฤติกรรมที่บุคคลกระทำนั้น หรือต้องการ
กระทำนั้นๆอาจจะกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ได้ ถือว่าเป็นเรื่องดีงาม สมควรยกย่อง และต้อง
ถือปฏิบัติ จะเป็นองค์กร มติขององค์กร การยอมรับขององค์กรต่างๆ นั้นด้วยก็ได้ สิทธิเสรีภาพ หรือ
อำนาจและหนา้ ที่กถ็ ือเป็นศักด์ศิ รดี ว้ ยเช่นกนั
มนุษย์ คือ บุคคลทั่วไปไม่เลือกว่าจะเป็นชนชาติใด เผ่า ศาสนา ผิวสี ภาษา และอื่นๆที่มีสภาพ
เป็นที่ยอมรับว่าเป็นส่วนของสังคม ตลอดจนองค์การที่อาศัยมติเป็นข้อปฏิบัติไปตามประสงค์ของ
องคก์ าร กใ็ หถ้ ือเป็นมนษุ ย์ด้วยเชน่ กนั
คำว่า “ศักดิ์ศรี” (dignity) ความหมายเกี่ยวข้องกับสถานะของบุคคล “ศักดิ์ศรี” จึงหมายถึง
ระดับชั้นทางการเมืองหรือทางสังคมที่มาจากการมีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงอาจมาจาก
การยอมรับของประชาชนในความสำเร็จส่วนบุคคลหรือ ความมีศีลธรรมที่สูงส่งของบุคคลนั้น การ
ยอมรบั สถานะของ “ศกั ดิศ์ ร”ี ของบุคคลเชน่ นจี้ ึงก่อใหเ้ กิดหน้าทต่ี ่อบุคคลอ่ืนท่จี ะต้องให้ความเคารพ
และให้เกียรติบุคคลผู้มีศักด์ิศรีดังกล่าว หากผู้ใดละเมิดต่อหน้าที่นี้อาจถูกลงโทษในทางใดทางหนึ่ง ไม่
ว่าจะทางอาญาหรือทางแพ่งก็ได้ ในแง่นี้ จะเห็นได้ว่าศักดิ์ศรีมีลักษณะพื้นฐานที่ไม่ต่างจากสิทธิใน
ความหมายปัจจุบัน ซึ่งเปน็ ความชอบธรรมท่จี ะเรยี กรอ้ งใหบ้ ุคคลอน่ื มหี นา้ ทอ่ี ย่างใดอย่างหน่ึงต่อตนผู้
ทรงสิทธิหรือศักดิ์ศรีนั้น ศาสนาคริสต์ เข้าใจ คำว่า “ศักดิ์ศรี”ในความหมายที่เกี่ยวข้องกับ ความ
เมตตาของพระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากมนุษย์ทั้งหลายถูกสร้างขึ้นตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
ศักดิ์ศรีของมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทาน มนุษย์ซึ่งเสมอกันในสายตาของพระเจ้านั้น จึงมิ
อาจทำลายหรือพรากศักดิ์ศรีของบุคคลอื่น หรือแม้กระทั่งของตัวเองได้ (บรรเจิด สิงคะเนติ, 2547,
หนา้ 86) และโดยท่รี ัฐเกิดจากการรวมตวั กันของมนษุ ยร์ ัฐซ่ึงเป็นส่ิงทมี่ นษุ ย์สถาปนาขึ้น จึงไม่อาจอยู่
เหนือมนุษย์โดยปราศจากเงื่อนไขในหมู่มนุษย์ด้วยกัน มนุษย์จึงไม่อาจปฏิบัติต่อกันในทางที่เป็นการ
ลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ได้พระผู้เป็นเจ้าต้องการให้มนุษย์มีความเคารพต่อกัน หรือรู้จักรับ
ใชซ้ ่งึ กนั และกนั ดว้ ยความรักและเมตตา (จรัญ โฆษณานันท์, 2545, หนา้ 99)
ในศตวรรษที่ 18 ปรัชญาของค้านท์ (Kant) ได้รับการยอมรับอย่างแพรหลายและมีอิทธิพล
อย่างมากตอ่ พัฒนาการของแนวความคดิ สิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษยใ์ นปัจจุบัน ค้านท์
26
เห็นว่า ไม่มีมนุษย์คนใดมีสิทธิที่จะใช้มนุษย์ด้วยกันเองให้เป็นดั่งเครื่องมือชิ้นหนึ่งเท่านั้นเพื่อบรรลุ
จุดหมายส่วนตัวของตัวเอง หากแต่แท้จริงแล้ว มนุษย์แต่ละคนจะต้องปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกัน ใน
ฐานะที่เป็นจุดมุ่งหมาย ในตัวเองเสมอ (จรัญ โฆษณานันท์, 2545, หน้า 122-123). ดังนั้น กฎหมาย
ซึ่งเป็นเครื่องมือของการปกครองที่สำคัญของรัฐ จึงต้องยกเอาประชาชนเป็นจุดมุ่งหมายของการใช้
เครื่องมือดังกล่าวด้วย ประชาชนจึงอยู่ในฐานะผู้ทรงสิทธิ ไม่ใช่วัตถุของกฎหมาย ส่วน Klaus Stern
เหน็ วา่ “ศักดิ์ศรคี วามเปน็ มนษุ ย์” หมายถึง คณุ คา่ อันมีลกั ษณะเฉพาะ และเปน็ คุณค่าท่มี ีความผูกพัน
อยกู่ ับความเปน็ มนษุ ย์ ซ่ึงบคุ คลในฐานะทเ่ี ป็นมนษุ ย์ทกุ คนได้รบั คุณคา่ ดังกลา่ ว โดยไมจ่ ำต้องคำนึงถึง
เพศ เชื้อชาติ ศาสนา วัย หรือคุณสมบัติอื่นๆ ของบุคคล ในความหมายน้ี “ศักดิ์ศรี” จึงหมายถึง
ลักษณะบางประการที่สร้างออกมาเป็นคุณค่าเฉพาะตัวของมนุษย์ อันเป็นสารัตถะในการกำหนด
ความรับผิดชอบของตนเอง และเป็นสารัตถะที่มนุษย์แต่ละคนได้รับเพื่อเห็นแก่ความเป็นมนุษย์ของ
บุคคลน้นั
ศักดิ์ศรีความเปน็ มนษุ ย์ (Human Dignity) หมายถึง คณุ ค่าของมนษุ ย์ทม่ี ีความเก่ยี วข้องหรือ
ขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษย์ โดยในฐานะมนุษย์ทุกคน ได้รับคุณค่าความเป็นมนุษย์โดยไม่ต้องคำนึงถึง
เพศ เชื้อชาติ ศาสนา วัย ฐานะ หรือตำแหน่ง ในความเข้าใจทั่วไปนั้น การให้คุณค่ามนุษย์ มองว่า
คุณค่าหรือศักดิ์ศรีขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจ บทบาททางสังคม การดำรงตำแหน่งทางสังคม เม่ือ
เข้าใจอย่างนี้ ดังนั้น มนุษย์คนใดรวยหรือมีบทบาททางสังคมมากหรือมีตำแหน่งใหญ่โต ก็จะมีคุณค่า
มาก คนจนหรือคนที่ไมม่ ีบทบาททางสังคม ยศหรือตำแหนง่ ใดๆ ก็จะมีคุณค่านอ้ ย หากเรามอง เช่นนี้
เราก็จะมีความคิดว่าระหว่างนักการภารโรงกับผู้อำนวยการโรงเรียนมีคุณค่าต่างกัน เด็กเรียนดีและ
เด็กท่ี มีพฤติกรรมแย่เนื่องจากเรียนไม่เก่งมีคุณค่าต่างกัน เด็กที่มีฐานะรวยกับเด็กที่มีฐานะยากจนมี
คุณค่าต่างกัน การปฏบิ ตั ิตนตอ่ คนเหลา่ น้ันกจ็ ะแตกตา่ งกันดว้ ย
“ศักดิ์ศรี”จึงหมายถึง ลักษณะบางประการที่สร้างออกมาเป็นคุณค่าเฉพาะตัวของมนุษย์ อัน
เป็นสารัตถะในการกำหนด ความรับผิดชอบของตนเอง และเป็นสารัตถะที่มนุษย์แต่ละคนได้รับเพ่ือ
เห็นแก่ความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้น W. Maihofer และ R. F. Behrendt เห็นว่าศักดิ์ศรีความเป็น
มนุษย์เป็นการแสดงออกถึงการสร้าง ปริมณฑลของความเป็นอิสระของปัจเจกบุคคลให้กว้างที่สุด
เทา่ ทจี่ ะทำได้ และใชป้ ระโยชน์จากปรมิ ณฑล ดงั กล่าวเพื่อการดำรงไว้ซึ่งชีวิตมนษุ ย์ และเพ่อื ปรับปรุง
ชีวิตมนุษย์ให้ดีขึ้นโดยวิธีการพัฒนาขีดความสามารถของมนุษย์ไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ (บรรเจิด
สงิ คะเนต,ิ 2547, หน้า 543)
27
กลุ พล พลวนั (nd.) กลา่ ววา่ คำวา่ “ศกั ด์ิศรีความเป็นมนษุ ย์” แตเ่ ดมิ ประเทศไทยนิยมเรียกคำ
นี้วา่ “เกยี รตศิ กั ดแิ์ ห่งความเปน็ มนษุ ย์" มคี วามหมายโดยสรุปว่า “คุณคา่ แห่งความเปน็ มนุษย"์ น่ันเอง
ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นต่ำสุดในการปฏิบัติต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกัน หากมีการละเมิดขั้นต่ำสุดดังกล่าวถือว่า
เป็นการละเมิดต่อศกั ดศ์ิ รีความเป็นมนษุ ย์
อนึ่ง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นจะได้รับความเคารพเสมอไมว่ ่าบุคคลนัน้ จะมีสถานะทางสงั คม
อย่างไร แม้เป็นนักโทษตามคำพิพากษาก็ต้องปฏิบัติต่อเขาโดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วย
เสมอ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จะยังคงมีติดตัวบุคคลตลอดไป ทั้งในเวลาที่เขายังมีชีวิตอยู่หรือได้
ส้นิ ชวี ติ ไปแล้ว
ดงั นัน้ การท่ีส่อื มวลชนบางแห่งไดน้ ำภาพเกือบเปลอื ยของหญงิ ท่ีถูกขม่ ขืนแล้วฆา่ มาเผยแพร่จึง
ถูกองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนด้วยกันตำหนิอย่างรุนแรงว่าเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของ
ผ้ตู ายอันเปน็ การกระทำทไ่ี มส่ มควรอยา่ งยงิ่
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีฐานะเหนือกว่าสิทธิเสรีภาพทั่วไปดังจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญฯจะ
จัดลำดับก่อนสิทธิเสรีภาพเสมอ โดยมาตรา 4 และมาตรา 26 บัญญัติว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สิทธิและเสรีภาพ นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญ 2540 ให้อำนาจรัฐตรากฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพของ
บุคคลได้แต่ไม่อนุญาตให้รัฐตรากฎหมายจำกัดลิดรอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ ดังจะเห็นได้จาก
มาตรา 29 บัญญัติว่า
“การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัย
อำนาจตามบทบัญญัตแิ ห่งกฎหมาย ฯลฯ” จากบทบญั ญัติมาตรา 29 แสดงใหเ้ หน็ วา่ การจำกัดศักด์ศิ รี
ความเปน็ มนษุ ย์ไม่ว่าโดยฝา่ ยนติ ิบัญญัติ บริหาร และตลุ าการจะกระทำมิได้เลย
กรณีของซีอุยก็เช่นกัน แม้จะเป็นคนต่างด้าวและเป็นนักโทษประหารในความผิดอุกฉกรรจ์ แต่
ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งเขาก็ต้องได้รับการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทั้งในขณะมีชีวิตอยู่
และในขณะที่เสียชีวิตเช่นเดียวกันกับบุคคลทั่วไปตามหลักการเคารพต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตาม
รัฐธรรมนญู ฯ 2540 ดงั กลา่ วขา้ งต้น
ชยันต์ กลุ นิติ (2557) ไดส้ รุปลกั ษณะโดยทวั่ ไปของศักดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ย์ ไว้ดังนี้
1) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีลักษณะเป็นคุณค่าที่ติดตัวมากับความเป็นมนุษย์และ การคงอยู่
ของคุณค่าดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นใดเลย ยกเว้นความเป็นมนุษย์เท่านั้น ในแง่นี้ มนุษย์จึงไม่
อาจถูก ปฏิบตั เิ ยีย่ งวัตถุหรอื สตั วไ์ ด้
28
2) คุณค่าอันเป็นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้น ไม่อาจถูกพรากหรอื ถ่ายโอนระหว่างกันได้ ไม่ว่า
จะ กระทำโดยบคุ คลนั้นเองหรอื บุคคลอื่นใด จึงยอมรับกันวา่ หากสิ่งใดถูกถือว่าอยู่ในความหมายของ
ศกั ดศ์ิ รี ความเปน็ มนษุ ย์แล้ว สง่ิ นั้นย่อมเป็นสิง่ ที่ละเมดิ ไมไ่ ด้โดยเดด็ ขาด
3) หลกั ท่ีว่าศกั ดิ์ศรีความเปน็ มนษุ ยล์ ะเมดิ ไมไ่ ด้โดยเด็ดขาด ส่งผลใหค้ วามสามารถของบุคคล
ท่ีต่างกันไม่มผี ลต่อการดำรงอยขู่ องคณุ คา่ แหง่ ศักด์ศิ รีความเปน็ มนุษย์
4) ในรัฐเสรีประชาธิปไตยสมัยใหม่ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จึงเป็นหลักประกันที่เป็นมูลฐาน
ที่สุด ของสังคม ว่ามนุษย์ย่อมเป็นประธานแห่งสิทธิและมีอำนาจในการกำหนดเจตจำนงที่ชอบธรรม
ของตนเอง รฐั จงึ มีหน้าที่เพยี งใหค้ วามเคารพและคมุ้ ครองศักดศ์ิ รีความเปน็ มนษุ ย์เทา่ นัน้
เอ้ืออารีย์ อ้ิงจะนิล (2561) ให้ทัศนะว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นคำที่ยากจะหานิยาม
ความหมายได้ แม้กระทั้งในปัจจุบันน้ี เพราะความเป็นมาของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีที่มาทาง
ประวัตศิ าสตรท์ ี่แตกตา่ งกนั ออกไป เชน่ คำว่า “ศกั ดศิ์ รี” ในความหมายของชาวโรมนั หมายถึงเกียรติ
ในทางส่วนบุคคลที่ปรากฏต่อสาธารณะ แต่ตามความเขาใจของศาสนาคริสต์ หมายถึงความเมตตา
จากพระเจา้ เพราะมนุษยถ์ ูกสร้างข้ึนตามความประสงค์ของพระเจ้า ศักดศ์ิ รคี วามเปน็ มนุษย์ จึงไม่อาจ
ถกู พรากไปไดโ้ ดยการกระทำของบุคคลอน่ื แตอ่ าจถูกทำลายไดด้ ้วยบาปของตนเอง
ศาลรัฐธรรมนูญสหพันธ์ของเยอรมันได้ เคยวินิจฉัยไว้ว่า “ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์” ์ ถือว่า
เป็นคุณค่าสูงสุด ล่วงละเมิดไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องให้ความเคารพและได้รับความคุมครองจากรัฐ
เพราะฉะนั้นคำว่า“ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์”์ ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์เป็นคุณค่าที่มีลักษณะเฉพาะ
เป็นคุณค่าที่ผูกพันอยู่กับความเป็นมนุษย์ เท่าน้ัน ไม่ได้ขึ้นกับส่ิงใด เช่น เชื้อชาติศาสนา ท้ังน้ีเพื่อให้
มนุษย์มีความเป็นอิสระในการพัฒนาบุคลิกภาพ ส่วนตัวภายใต้ความรับผิดชอบของตนเอง และ
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นคุณค่าที่ไม่สามารถล่วงละเมิดได้ เช่นกัน ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิ
มนษุ ยชน ค.ศ. 1948 ก็พบว่าไมม่ กี ารเขยี นนิยามความหมายของคำว่า “ศกั ดศิ์ รคี วามเป็นมนษุ ย”์ ไว้
อย่างชัดเจน แต่หากพิจารณาถึงบทบัญญัติในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ในส่วนอารัมภบทท่ี
แสดงการยอมรับศักด์ิศรีแต่กำเนิดและสิทธิที่เท่าเทียมกันและไม่อาจเพิกถอนได้รวมทั้งใน ข้อ1 และ
2 แล้ว อาจทำให้ทราบถึงความหมายในมุมมองที่เป็นสากลว่าหมายถึง มนุษย์เกิดมามีอิสระและเสมอ
ภาคกนั ในศักดศ์ิ รแี ละสทิ ธิเชือ่ มั่นในคุณคา่ ของความเป็นมนุษย์ท่ีมีมโนธรรม ปราศจากการแบ่งแยกไม่
ว่าชนิด ใด เชื้อชาติผิว เพศ ภาษาศาสนาความคิดเห็นทางการเมือง พ้ืนเพทางชาติหรือสังคม
ทรัพย์สิน การเกิด หรือ สถานะอื่น ไม่มีการแบ่งแยกใดบนพื้นฐานของสถานะทางการเมือง ทาง
กฎหมาย หรือทางการระหว่างประเทศ ของประเทศ หรือดินแดน สาหรับประเทศไทยคณะกรรมการ
29
สิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ให้คำนิยามของศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ ว่าหมายถึงการให้คุณค่าของมนุษย์
ในสังคม ซึ่งคุณค่าของคนนั้นมี ท้ังในฐานะธรรมชาติของมนุษย์เช่น การรัก ชีวิต ความกลัว เพศ อายุ
เชื้อชาติสุขภาพ สภาพทางร่างกายและคุณค่าของคนตามฐานะตำแหน่งทางสังคม เช่น ฐานะทาง
เศรษฐกิจ บทบาททางสงั คม สถานภาพทางสังคมการดำรงตำแหน่งสงั คม
ไชยันต์ กุลนิติ (2557) ได้สรุปว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) หมายถึง คุณค่า
ของมนุษย์ที่มีความเกี่ยวข้องหรือขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษย์ โดยในฐานะมนุษย์ทุกคนได้รับคุณค่า
ความเป็นมนุษย์โดยไม่ต้องคำนึงถึงเพศ เชื้อชาติ ศาสนา วัย ฐานะ หรือตำแหน่ง ในความเข้าใจทั่วไป
การให้คุณค่ามนุษย์นั้น คุณค่าหรือศักดิ์ศรีขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจ บทบาททางสังคม การดำรง
ตำแหน่งทางสังคม เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ดังนั้น มนุษย์คนใดรวยหรือมีบทบาททางสังคมมากหรือมี
ตำแหน่งใหญ่โตก็จะมีคุณค่ามาก คนจนหรือคนที่ไม่มีบทบาททางสังคม ยศหรือตำแหน่งใดๆ ก็จะมี
คุณค่าน้อย หากเรามองเช่นนี้ เราก็จะมีความคิดว่าระหว่างนักการภารโรงกับผู้อำนวยการโรงเรียนมี
คุณค่าต่างกัน เด็กเรียนดีและเด็กที่มีพฤติกรรมแย่เนื่องจากเรียนไม่เก่งมีคุณค่าต่างกัน เด็กที่มีฐานะ
รวยกบั เดก็ ที่มฐี านะยากจนมีคณุ คา่ ตา่ งกนั การปฏบิ ตั ติ นต่อคนเหล่าน้นั กจ็ ะแตกต่างกันด้วย
ซึ่งหากพิจารณากันให้ดีแล้ว เราจะเห็นว่าความแตกต่างของมนุษย์ ความจน ความรวย
ผู้อำนวยการ นายพล นายอำเภอ สัญชาติ ภาษา ล้วนแล้วแตส่ ังคมเป็นผู้กำหนดท้ังสิ้น และเมื่อสังคม
กำหนดแล้ว ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นได้ด้วย ถ้าหากคนจนกลายเป็นคน
รวย คนที่มีตำแหน่งสูงๆ อาจจะถูกถอดตำแหน่ง คนที่ไม่มีความสำคัญทางสังคมกลายเป็นคนดังใน
หน้าหนังสือพิมพ์ เป็นต้น แต่มีสิ่ง ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้คือ อายุ เพศ เพราะธรรมชาติกำหนด
มา แม้ว่าอาจจะมีการผ่าตัดแปลงเพศ แต่ก็ยังถูกระบุว่าคนๆ นั้นมีเพศดั้งเดิมคืออะไร ซึ่งไม่สามารถ
เปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ได้ แต่สิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีคือ การรักชีวิต รักตัวกลัวตายมีอยู่ในมนุษย์ทุกผู้
ทุกคน คุณค่าของความเป็นคนหรือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์จงึ ไม่มีใครมีคุณค่ามากกว่าใคร เพราะ
ทุกคนมีคุณค่าความเป็นคนเหมือนกัน แต่ในสังคมทุกคนก็ยังคงมองเห็นความต่างนี้ไม่ว่าจะเป็นความ
แตกต่างทางเพศ ซึ่งฐานะทางเพศชายถูกมองว่ามีคุณค่าทางสังคมมากกว่าเพศหญิงในทุกด้านนับแต่
โบราณกาลมา ดงั นน้ั การละเมิดสิทธิมนุษยชนจึงเกิดข้ึนอยเู่ สมอ
การละเมิดศักดศิ์ รีความเป็นมนษุ ย์นน้ั หมายถงึ การเหยียดหยาม ลดทอน หรือการปฏิบตั ิต่อ
คนเหมือนไมใ่ ช่มนษุ ย์ หรือลดฐานะมนุษย์เป็นเพียงวัตถุสิ่งของ เช่น เมื่อเราเห็นขอทานแล้วเกดิ ความ
สงสาร จึงไปซื้ออาหารกล่องมาให้ แต่กลับโยนใส่ให้ขอทานแทนที่จะหยิบยื่นให้อย่างสุภาพ ก็ถือว่า
เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของขอทาน ซึ่งแม้ขอทานจะยากจน แต่มนุษย์ด้วยกันก็ไม่มี
30
สิทธิไปเหยียดหยามหรือละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์โดยการโยนอาหารให้ขอทานราวกับขอทาน
นน้ั เปน็ สตั วม์ ากกวา่ คน
การละเมิดศกั ดิศ์ รคี วามเปน็ มนุษยม์ ีแนวทาง ดังน้ี
1. เมื่อมีพฤติกรรมที่มนุษย์กระทำการให้กลายเป็นวัตถุโดยฝ่ายอำนาจรัฐ เท่ากับเป็นการลด
ศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนุษย์
2. การปฏบิ ัติตอ่ มนษุ ยท์ ที่ ำให้คณุ สมบัตขิ องการเป็นผกู้ ระทำของมนุษย์นั้นตอ้ งเสียไป
3. การปฏิบัติที่แสดงออกถึงการเหยียดหยามต่อคุณค่าซึ่งคู่ควรแก่มนุษย์ผู้นั้นในฐานะของความ
เป็นบุคคล
4. การทำลายชื่อเสยี ง
5. การเลอื กปฏบิ ัติ
6. การกดดนั ลงใหร้ ู้สกึ ต่ำต้อย
7. การตตี ราบาป
8. การตามล่า
9. การเหยียดหยาม
10. การตัดสินอนั ไมส่ มควร
11. การลงโทษอาญาท่มี ลี ักษณะทารุณโหดรา้ ยจนเกินไปนั้นเอง
12. การหลีกเลี่ยงมิให้มีการได้สิทธิและเสรีภาพที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ว่าเป็นสิทธิเสรีภาพ
ของบุคคล /มนษุ ย์ /ประชาชนและพลเมือง
13. การบัน่ ทอนสทิ ธเิ สรีภาพทก่ี ำหนดไวใ้ นรัฐธรรมนญู หรอื โดยปรยิ าย
14. การกระทำการใดๆ เพอ่ื ขัดขวางมใิ ห้บคุ คลมีโอกาสได้ใช้สิทธิเสรีภาพตามรฐั ธรรมนญู
กำหนดไว้
15. พฤติกรรมขัดขวาง บั่นทอน เห็นตรงข้าม ละเว้นการปฏิบัติ กลั่นแกล้ง กระทำไปโดยสุจริต
อันเป็นการตัดสิทธิเสรีภาพ ตลอดจนไม่ได้รับการปฏิบัติจากหน่วยงานของรัฐ ในหลายๆ กรณีท่ี
ประชาชนมิได้อาจใช้สิทธิและเสรีภาพที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญก็ถอื ว่าละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เชน่ กัน
31
16. ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีอัตถาธิบายอีกมากมาย เพราะ เป็นพื้นฐานที่มาของสิทธิและ
เสรภี าพน้ันเอง
ศกั ดิศ์ รคี วามเปน็ มนุษย์ในรฐั ธรรมนญู ของรัฐเสรปี ระชาธปิ ไตย
อาจกล่าวได้ว่าในรัฐเสรีประชาธิปไตย ซึ่งยอมรับระบอบรัฐธรรมนิยม (constitutionalism)
ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ในรัฐธรรมนูญ ในทางทฤษฎีกฎหมายมหาชน
ศกั ด์ิศรคี วามเป็นมนษุ ยจ์ ึงอาจมีสถานะทางกฎหมาย ดงั ตอ่ ไปนี้
1) ศกั ดศิ์ รีความเปน็ มนุษยใ์ นฐานะท่ีเปน็ คุณค่าสงู สดุ ของรฐั ธรรมนญู
“ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ถือว่ามีคุณค่าสูงสุดของรัฐธรรมนูญในรัฐเสรีประชาธิปไตยทั่วโลก
หรือที่กล่าวกันว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นหลักสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การกระทำของรัฐ
ทั้งหลายจึงต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับคุณค่าอันสูงสุดของรัฐธรรมนูญดังกล่าว เพราะมนุษย์เป็น
เป้าหมายการดำเนินการของรัฐ มนุษย์มิใช่เป็นเพียงเครื่องมือในการดำเนินการของรัฐ และการดำรง
อยู่ของรัฐ ก็ดำรงอยู่เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์ดำรงอยู่เพื่อรัฐ ด้วยเหตุนี้ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ จึง
ถือว่าเป็นพื้นฐานสำหรับการวางรากฐานของหลักเสรีภาพของบุคคลและหลักความเสมอภาค ซึ่ง
กอ่ ให้เกิดผลสำคัญ 2 ประการ
ประการแรก การตีความเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพทั้งหลายจะต้องถือว่าเนื้อหาของศักดิ์ศรี
ความเปน็ มนษุ ย์เปน็ พนื้ ฐานท่จี ะตอ้ งนำมาใช้ประกอบในการตีความสิทธแิ ละเสรีภาพอ่นื ๆ ด้วย
ประการที่สอง อาจกล่าวได้ว่าเนื้อหาในทางหลักการทั่วไปเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพทั้งหลาย
รวมทั้ง ความหมายของการแทรกแซงในขอบเขตที่ได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพทุกประเภทน้ัน
ไดร้ ับการพฒั นามาจากศักดศิ์ รีความเป็นมนุษย์
2) ศักดศ์ิ รีความเปน็ มนุษย์ในฐานะทเ่ี ป็นสาระสำคญั แห่งสทิ ธแิ ละเสรีภาพ
รัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ นอกเหนือจากที่ได้กำหนดสิทธิและเสรีภาพไว้อย่าง
หลากหลายแล้ว ยังได้กำหนดให้มีหลักประกันของสิทธิและเสรีภาพในลักษณะเดียวกันอีกด้วย คือ
หลักห้ามมิให้จำกัดสิทธิและเสรีภาพอันมีผลเพื่อใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคล
หนง่ึ เป็นการเจาะจง หลักการอา้ งบทบัญญตั ขิ องรัฐธรรมนญู ท่ีให้อำนาจในการจำกัดสทิ ธิและเสรีภาพ
และหลักการจำกัดสิทธิและเสรีภาพจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพมิได้ เมื่อ
พิจารณาสถานะความเป็นมนษุ ยท์ ม่ี ีความเสมอภาคในศักดิศ์ รีแลว้ จะเหน็ ไดว้ ่า การแทรกแซงใดทีเ่ ป็น
การละเมิดต่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ กรณีย่อมถือว่าเป็นการกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่ง
สิทธิและเสรีภาพ ดังนั้น ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพน้ัน
32
ถือว่าศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์เป็นสารัตถะอันเป็นแก่นของสิทธิและเสรีภาพแต่ละประเภท ซึ่งภายใน
ขอบเขตดังกล่าว รัฐมิอาจล่วงละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นสาระสำคัญแห่งสิทธิและ
เสรีภาพของปัจเจกบคุ คลได้
3) ศักด์ศิ รคี วามเป็นมนุษยใ์ นฐานะสทิ ธปิ ระเภทหน่ึง
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้น ถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสิทธิหนึ่ง ทั้งนี้โดยพิจารณาจากการ
จัดระบบในเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานและพัฒนาการในทางประวัติศาสตร์ของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้ว
ถือได้ว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสิทธิหนึ่ง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จึงทาหน้าที่ใน
การวินิจฉัยในทางคุณค่า อันแสดงถึงทิศทางของการกระทำ โดยเรียกร้องให้สิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ นั้น
สามารถบรรลุเป้าหมายได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกเหนือจากการให้หลักประกันที่จะไม่ล่วง
ละเมดิ ต่อสทิ ธิขนั้ พนื้ ฐานเหล่าน้นั
นอกจากนี้ บรรเจิด สิงคะเนติ (2547, หน้า 87-89) มอง “ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ”
ตามท่บี ญั ญัติไว้ในรฐั ธรรมนญู ไทยเป็นการกลา่ วถึง “ คุณค่า ” ศักดศ์ิ รีความเปน็ มนุษย์ซึ่งเป็นคุณค่าที่
ไม่ขึ้นอยู่กับเวลาสถานที่ และจะต้องทำให้คุณค่าดังกล่าวนั้นมีผลในทางกฎหมาย เป็นที่สังเกตได้ว่า
รัฐธรรมนูญของไทยได้ให้การรับรองคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างชัดเจน โดยแยกออกจาก
สิทธิและเสรีภาพ ดังที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ ในกรณีเช่นนี้สถานะของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ย่อมถือ
ว่า ศักดศ์ิ รี ความเปน็ มนุษยเ์ ป็นคุณค่าหรอื วัตถุในทางกฎหมายอย่างหน่งึ ซ่งึ ตอ้ งใหก้ ารรบั รองคุ้มครอง
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามรัฐธรรมนูญของไทย นอกจากนี้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ยังเป็นรากฐาน
ของ สิทธิและเสรีภาพทั้งปวงเพราะโดยสภาพพื้นฐานสิทธิและเสรีภาพต่างๆ นั้นเป็นผลของการ
รับรองศกั ด์ศิ รคี วามเปน็ มนษุ ย์
ประเดน็ การศกึ ษา “ศกั ดศิ์ รคี วามเปน็ มนุษย์”
(1) สารตั ถะอนั เป็นรากฐานของศกั ดศิ์ รีความเป็นมนษุ ย์
“ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ” ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนั้นเป็นการกล่าวถึง“คุณค่า”
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นคุณค่าที่ไม่ขึ้นอยู่กับเวลาสถานที่ และจะต้องทำให้คุณค่าดังกล่าวนั้นมีผล
ในทางกฎหมาย มนุษย์ทุกผู้ทุกนามเป็นมนุษย์โดยอำนาจแห่งจิตวิญญาณของเขาเอง ซึ่งทำให้เขา
แตกต่างจากความเป็นอยู่ในสภาวะธรรมชาติที่ปราศจากความเป็นส่วนบุคคล และการทำให้บรรลุ
เป้าหมายภายในขอบเขตส่วนบุคคลนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบุคคลนั้นเอง ในอันที่จะ
กำหนดตนเองและในการสร้างสภาพแวดล้อมของตนเอง จากแนวความคิดดังกล่าวนี้อันเป็นการให้
33
ความหมายของ “ศักดิ์ศรคี วามเปน็ มนุษย์” ซึ่งประกอบด้วยรากฐานอันเป็นสาระสำคัญ 2 ประการ ที่
ไม่อาจแยกออกจากกันได้ คือ สิทธิในชีวิตร่างกายและสิทธิในที่จะได้รับความเสมอภาค“ สิทธิในชีวิต
และร่างกาย” เป็นสิ่งที่ติดตัวบุคคลมาตั้งแต่เกิดเป็นสิทธิของปัจเจกบุคคลที่มีอยู่ในสภาวะธรรมชาติ
สิทธิในชีวิตและร่างกาย ไม่อาจจะถูกพรากไปจากบุคคลได้ แต่ในทางตรงกันข้ามอาจทำให้ได้รับ
หลักประกันมากขึ้นโดยบทบัญญัติกฎหมายของรัฐได้ สิทธิในชีวิตและร่างกายเป็นสิทธิขัน้ พื้นฐานของ
มนุษย์ที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ และเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มี
อิสระที่จะกำหนดตนเองได้ตามเจตจำนงที่ตนประสงค์ จากการที่มนุษย์มีเจตจำนงโดยอิสระในอันจะ
สร้างสภาพแวดล้อมของตนเองหรือพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองนี้เองที่ทำให้มนุษย์แตก ต่างจาก
สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ดังนั้น เพื่อเป็นการเคารพในสิทธิในชีวิตและร่างกายของปัจเจกบุคคล บุคคลแต่ละคน
จึงต้องเคารพในขอบเขตปริมณฑลส่วนบุคคลของแต่ละคน และด้วยเหตุนี้สิทธิในชีวิตและร่างกาย จึง
เปน็ รากฐานอันสำคัญของ “ศกั ดศิ์ รคี วามเป็นมนุษย”์
“ สิทธิในความเสมอภาค” สิทธิในความเสมอภาคเป็นการแสดงว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิและ
เสรีภาพอยา่ งเท่าเทียมกนั ในขณะที่สิทธิในชีวิตและร่างกายเป็นการแสดงถึงปริมณฑลสว่ นบคุ คลของ
ปัจเจกบุคคล แต่ในขณะท่ี “สิทธิในความเสมอภาค”เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ของปัจเจกบุคคล
ต่อปัจเจกบุคคลและต่อสังคม ดังนั้น ถึงแม้มนุษย์จะมีสิทธิในชีวิตและร่างกายของตนก็ตาม แต่หาก
ขาดหลักประกันในเรื่องหลักความเสมอภาคแล้วบุคคลนั้นอาจได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกับ
บุคคลอื่นๆ ในสังคม หรืออาจถูกเลือกปฏิบัติจากผู้ใช้อำนาจรัฐ ด้วยเหตุน้ี เพื่อให้มนุษย์สามารถดำรง
ตนอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง นอกจากปัจเจกบุคคลจะมีสิทธิในชีวิตและร่างกายแล้ว ปัจเจก
บุคคลยังจะต้องมีหลักประกันในเรื่องหลักความเสมอภาคด้วย หลักความเสมอภาคจึงเป็นรากฐานที่
สำคัญอกี ประการหนงึ่ ของ “ศักด์ศิ รีความเป็นมนษุ ย”์
แต่อย่างไรก็ตาม ในทางความเข้าใจถึงคุณค่าที่มีลักษณะเฉพาะที่มีอยู่ในเสรีภาพของมนุษย์
นั้นจะต้องเข้าใจว่าเสรีภาพในการกำหนดตนเองของมนุษย์ในทางความคิดนั้นถือว่า มนุษย์ทุกคนมี
ความเท่าเทียมกันในเสรภี าพทางนามธรรมเทา่ นน้ั ดงั น้ัน คณุ ค่าท่มี ีลักษณะเฉพาะของ “ศกั ด์ศิ รีความ
เป็นมนุษย์” น้ี แท้จริงแล้วไม่อาจจะทำให้เท่าเทียมกันได้สำหรับมนุษย์ทุกคน แต่อย่างน้อยที่สุดมี
ความเป็นไปได้ในทางนามธรรมที่บุคคลแต่ละบุคคลอาจจะทำให้บรรลุเป้าหมายของตนในทาง
กฎหมายไดอ้ ยา่ งเท่าเทียมกัน โดยมขี อ้ พจิ ารณาดังนี้
ก) คุณค่าอันมีลักษณะเฉพาะของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้น จะต้องเข้าใจว่ายังดำรงอยู่
ถึงแม้ว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะไม่มีความสามารถที่จะกำหนดตนเองได้ โดยอิสระตั้งแต่เริ่มต้น อัน
เนื่องมาจากความมีจิตบกพร่อง จิตผิดปกติ หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ในกรณีนี้ยังต้องถือว่าในทาง
34
กฎหมายแล้วบุคคลนั้นมีความสามารถที่จะกำหนดตนเองได้ และบุคคลนั้นมีสิทธิที่จะใช้เสรีภาพนั้น
อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งย่อมมีผลว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ยังดำรงอยู่กับบุคคลนั้นอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้
โดยไม่จำเป็นต้องพจิ ารณาความจริงวา่ บุคคลนั้นสามารถใชเ้ สรภี าพนน้ั ไดห้ รอื ไม่
ข) คุณค่าที่มีลักษณะเฉพาะของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ยังดำรงอยู่ถึงแม้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
จะสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ตนเอง เช่น อาชญากรได้ใช้เสรีภาพไปในทางที่ผิดก่อให้เกิดความอับอาย
สร้างความเสื่อมเสียให้แก่ตนเอง การใช้เสรีภาพที่ทำให้เกิดความอับอายและสร้างความเสื่อมเสีย
ให้แก่ตนเองเช่นนั้น ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ามนุษย์นั้นมีศักดิ์ศรีของตนเอง มีศักดิ์ศรีที่จะกำหนด
ตนเองไดอ้ ย่างอิสระ หากแต่บุคคลนนั้ ได้ใชเ้ สรภี าพนน้ั ไปในทิศทางที่ไมถ่ กู ต้องหรือเปน็ การใช้เสรีภาพ
ไปในทางทีผ่ ดิ
ค) คุณค่าที่มีลักษณะเฉพาะของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นมิได้ขึ้นอยู่กับการทำให้บรรลุ
เป้าหมายที่เป็นจริงในทางปฏิบัติของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดังนั้น การแทรกแซงของรัฐอาจเป็นการ
ละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ แม้ว่าบุคคลนั้นได้ตัดสินใจอย่างอิสระยินยอมให้รัฐทำการ
แทรกแซงดังกล่าวได้ ทั้งนี้ เพราะจากบทบัญญัติของรฐั ธรรมนูญให้เป็นภาระหน้าที่ของรัฐท่ีจะต้องให้
ความคุ้มครองต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้น จากบทบัญญัติดังกล่าวรัฐย่อมไม่มีอำนาจที่จะไปขอ
ความยินยอมจากบคุ คลใดบคุ คลหนงึ่ เพ่ือการแทรกแซงในศกั ด์ศิ รีความเปน็ มนษุ ย์ หากแตต่ ้องปกป้อง
มิใหม้ ีการละเมดิ ตอ่ ศกั ด์ศิ รีความเปน็ มนุษย์
ง) เพราะคุณค่าที่มีลักษณะเฉพาะของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำให้เป็น
จริงของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดังนั้น กรณีจึงอาจเป็นการแทรกแซงในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ แม้วา่
บุคคลนั้นจะยังไม่ถือกำเนิดหรือบุคคลนั้นได้ตายไปแล้วก็ตาม ดังนั้น ในกรณีนั้น จึงไม่อาจจะอาศัย
หลักสิทธิเรียกร้องในทางแพ่งมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวได้ เช่น เด็กในครรภ์มารดา
ย่อมได้รับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกันถึงแม้ชีวิตมนุษย์จะเริ่มต้นเมื่อมีการให้กำเนิด การให้
กำเนิดนั้นก่อให้เกิดชวี ิตใหม่และบุคลิกภาพส่วนบุคคลใหมข่ ้ึน ดังนั้น การทำแท้งเด็กในครรภ์มารดาที่
มิได้เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมาย หรือการที่รัฐมิได้เข้าไปปกป้องต่อชีวิตของเด็กในครรภ์มารดา
ดังกล่าว กรณีย่อมเป็นการขัดกับมาตรา 1 (ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์) ของรัฐธรรมนูญศาลรัฐธรรมนูญ
สหพันธ์ของเยอรมันได้วินิจฉัยว่ากฎหมายอาญาที่อนุญาตให้ทำแท้งได้นั้นเป็นโมฆะ โดยได้ให้เหตุผล
ว่า ชีวิตที่ได้รับการพัฒนาอยู่ในครรภ์มารดานั้นถือเป็นชีวิตอีกชีวิตหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของ
รัฐธรรมนูญ หรือศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์นั้นอาจให้ความคุ้มครองไปถึงบุคคลที่เสียชีวิตแล้ว เช่น การ
ใช้ประโยชน์จากศพของมนุษย์ในทางการวิจัยเพื่อการอุตสาหกรรมนั้น อาจเป็นการละเมิดในศักดิ์ศรี
ความเป็นมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตาม หากผู้ตายได้ตัดสินใจด้วยตนเองการที่จะอุทิศร่างกายของตนเพ่ือ
35
การศึกษาวิจัยในทางแพทยอ์ ันเป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าเพื่อการรักษาเยียวยาผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
ในกรณีเชน่ น้ีย่อมไมเ่ ป็นการขัดตอ่ ศักดศิ์ รคี วามเปน็ มนุษย์
(2) สถานะในทางกฎหมายของศักด์ิศรคี วามเป็นมนุษย์
ในการพจิ ารณาถงึ สถานะของศกั ดศิ์ รีความเป็นมนุษย์จะแบ่งการพิจารณาถึงสถานะของ
ศกั ด์ิศรีความเป็นมนุษย์ออกเป็น 3 ประการคอื
(2.1) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นคุณค่าสูงสุดของรัฐธรรมนูญ“ศักดิ์ศรีความ
เป็นมนุษย์” นั้นถือว่าเป็นคุณค่าสูงสุดของรัฐธรรมนูญ หรือที่กล่าวกันว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์น้ัน
เป็นหลักสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การกระทำของรัฐทั้งหลายจึงต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับ
คุณค่าอันสูงสุดของรัฐธรรมนูญดังกล่าว เพราะมนุษย์นั้นเป็นเป้าหมายการดำเนินการของรัฐ มนุษย์
มิใช่เป็นเพียงเครื่องมือในการดำเนินการของรัฐและการดำรงอยู่ของรัฐนั้นก็ดำรงอยู่เพื่อมนุษย์ มิใช่
มนุษย์ดำรงอยู่เพื่อรัฐ ด้วยเหตุนี้ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ จึงถือว่าเป็นพื้นฐานสำหรับการ
วางรากฐานของหลักเสรีภาพของบุคคลและหลักความเสมอภาคดังที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สิทธิและ
เสรีภาพนั้นเป็นสิทธิที่ไม่อาจจำหน่ายจ่ายโอนได้และเป็นสิทธิที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้ ทั้งน้ี เพื่อให้
ศกั ดศิ์ รีความเปน็ มนษุ ย์ที่บญั ญัติไวใ้ นรัฐธรรมนญู มผี ลเปน็ จรงิ ในทางปฏิบัติ ซ่งึ ย่อมหมายความว่าสิทธิ
และเสรีภาพทัง้ หลายที่บญั ญัติไว้ โดยสาระสำคญั ของสทิ ธแิ ละเสรีภาพดังกล่าวนนั้ เป็นการแสดงถึงผล
อันมีพื้นฐานมาจากศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดผลสำคัญ 2 ประการ ประการแรก การ
ตีความเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพทั้งหลายจะต้องถือว่าเนื้อหาของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นพื้นฐาน
ที่จะต้องนำมาใช้ประกอบในการตีความสิทธิและเสรีภาพอื่นๆ ด้วย ประการที่สอง อาจกล่าวได้ว่า
เนื้อหาในทางหลักการทั่วไปเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพทั้งหลาย รวมทั้งความหมายของการแทรกแซง
ในขอบเขตที่ได้รับการคุ้มครองของสิทธิและเสรีภาพทุกประเภทนั้นได้รับการพัฒนามาจากศักดิ์ศรี
ความเปน็ มนุษย์
ความสำคัญของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งถือว่าในบทบัญญัติที่อยู่ในลำดับชั้นสูงสุดของ
รัฐธรรมนญู น้นั อาจแสดงใหเ้ ห็นได้ในเรื่องดังตอ่ ไปนี้
ก) การกำหนดทิศทางของรฐั เร่อื งศักดศ์ิ รีความเปน็ มนษุ ย์นัน้ มผี ลในทางการกำหนด
กฎเกณฑ์ที่จะต้องทำให้บรรลุเป้าหมายต่อคุณค่าดังกล่าว สำหรับการกระทำของรัฐทั้งหลายเพราะ
ศกั ด์ิศรขี องความเป็นมนษุ ย์นน้ั เปน็ ตวั กำหนดและเปน็ ตัวจำกดั วตั ถปุ ระสงค์และภาระหนา้ ท่ขี องรัฐ
ข) การบัญญัติรับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ในรัฐธรรมนูญนั้นไม่เพียงแต่
ก่อให้เกิดสิทธิในทางมหาชนท่ีมุ่งหมายต่อการกระทำของรัฐเทา่ นั้น หากแต่ยังบังคับให้รัฐต้องกำหนด
36
เป็นหลักของกฎหมายทัง้ หลายว่า อำนาจอื่นๆ นอกเหนือจากอำนาจรัฐก็ไม่อาจท่ีจะละเมิดต่อศกั ด์ศิ รี
ความเปน็ มนษุ ยไ์ ด้ ถงึ แม้จะไมก่ ่อใหเ้ กิดสิทธใิ นทางมหาชนในการเรียกรอ้ งใหบ้ ญั ญตั กิ ฎหมายเพือ่ การ
คุ้มครองดังกล่าวก็ตาม แต่จากบทบัญญัติกฎหมายที่มีอยู่จะต้องตีความให้สอดคล้องกับหลักศักดิ์ศรี
ความเป็นมนุษย์ นอกจากนี้รัฐยังจะต้องปกป้องคุ้มครองเพื่อมิให้มีการละเมิดในศักดิ์ศรีความเป็น
มนุษย์ ในการทำให้บรรลุเป้าหมายต่อหน้าที่ของรัฐในการคุ้มครองต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นได้
ก่อให้เกิดคำถามว่าในกฎหมายแพ่งนั้นจะต้องคำนึงถึงระบบคุณค่าในทางรัฐธรรมนูญ เช่น หลักอัน
ละเมิดมิได้ของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่เพียงใด ซึ่งในทางวิชาการของเยอรมัน ต่างยอมรับ
ตรงกันวา่ หลักดังกล่าวนน้ั มีอทิ ธิพลตอ่ กฎหมายแพ่งด้วย
(2.2) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพตาม
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของไทย นอกเหนือจากที่ได้กำหนดสิทธิและเสรีภาพไว้อย่างหลากหลายแลว้
ยังได้กำหนดให้มีหลักประกันของสิทธิและเสรีภาพ เช่น ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 29 วรรค 2 หลัก
ห้ามมิให้จำกัดสิทธิและเสรีภาพอันมีผลเพื่อใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหน่ึง
เป็นการเจาะจง หลักการอ้างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการจำกดั สิทธิและเสรีภาพและ
หลกั การจำกัดและเสรีภาพจะกระทบกระเทอื นสาระสำคญั แหง่ สทิ ธแิ ละเสรภี าพมิได้ จากหลักประกัน
ดังกล่าวนี้เอง ก่อให้เกิดคำถามขึ้นว่าอะไรคือสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพแต่ละประเภท และมี
ขอบเขตแค่ไหนเพียงใด ซึ่งในเรื่องนี้นับว่าเป็นปัญหาที่มีความยุ่งยากซับซ้อนในการกำหนดขอบเขต
สาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพ ในปัญหาดังกล่าวแม้ในทางตำรากฎหมายของเยอรมันเองจนถึง
ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ออกมาเป็นหลักทั่วไปได้ว่า อะไรคือสาระสำคัญแห่ง
สิทธิและเสรีภาพ แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีความพยายามในการนำเกณฑ์ของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มา
เปน็ หลักเกณฑใ์ นการพจิ ารณาสาระสำคญั ของสทิ ธิและเสรีภาพ ดว้ ยเหตุนี้ การแทรกแซงใดท่ีเป็นการ
ละเมิดต่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ กรณีย่อมถือว่าเป็นการกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิ
แลเสรีภาพ ดังนั้น ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้น ถือว่า
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นสารัตถะอันเป็นแก่นของสิทธิและเสรีภาพแต่ละประเภท ซึ่งภายใน
ขอบเขตดังกลา่ วรัฐมิอาจล่วงละเมดิ ได้ ศกั ดิ์ศรีความเปน็ มนษุ ย์ในฐานะทเี่ ป็นสาระสำคญั แหง่ สทิ ธิและ
เสรีภาพจึงมคี วามมุ่งหมายที่จะปกป้องคุ้มครองการแทรกแซงของรัฐ มิให้กระทบต่อสารตั ถะแห่งสิทธิ
และเสรภี าพของปจั เจกบุคคล
(2.3) ศักดศิ์ รคี วามเปน็ มนุษยใ์ นฐานะทเี่ ปน็ สิทธิประเภทหนึง่
ในประเด็นนี้มีข้อถกเถียงในทางวิชาการว่า ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์นั้นเป็นเพียง
หลักการกว้างๆ ที่ครอบคลุมสิทธิและเสรีภาพทั้งหลายหรือว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นถือว่าเป็น
37
สิทธิที่มลี ักษณะเฉพาะตนสิทธิหน่ึง ต่อกรณีปัญหาดงั กล่าวในทางวิชาการของเยอรมันน้ัน มีความเหน็
แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย โดยท่ีฝ่ายแรกเห็นว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่ถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสิทธิ
หนึ่ง เพราะการบัญญัติถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามมาตรา 1 วรรค 11 ของรัฐธรรมนูญฉบับ
ปัจจุบนั (2560) นน้ั มลี ักษณะเป็นการประกาศหลักการของสิทธขิ ั้นพ้นื ฐาน และเนอ่ื งจากในมาตรา 1
วรรค14 มาตรา 1 วรรค 1 “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจล่วงละเมิดได้เป็นภาระหน้าท่ี
ของรัฐที่จะต้องให้ความเคารพและให้ความคุ้มครองต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ”ของรัฐธรรมนูญได้
บัญญัติให้สิทธิขั้นพื้นฐานในมาตราต่อๆ มาผูกพันอำนาจรัฐทั้งหมด แต่ไม่หมายความรวมถึงศักดิ์ศรี
ของความเป็นมนุษย์ด้วย นอกจากนี้ ขอบเขตในการพิจารณาถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นขาดความ
แน่นอนชัดเจนว่ามีขอบเขตแค่ไหน เพียงใด ดังนั้น ตามความเห็นฝ่ายแรกจึงเห็นว่าศักดิ์ศรีความเป็น
มนุษย์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1 วรรค 1 ของรัฐธรรมนูญ ไม่ถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสิทธิหนึ่ง อีก
ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสิทธิหนึ่ง ทั้งนี้ โดยพิจารณาจาก
การจัดระบบในเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานและพัฒนาการในทางประวัติศาสตร์ของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
แล้ว ถือได้ว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานสิทธิหนึ่ง โดยฝ่ายนี้ได้โต้แย้งความเห็นฝ่าย
แรกที่กล่าวว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีลักษณะเป็นการประกาศหลักการและขาดความแน่นอน
ชดั เจนนน้ั ซ่ึงฝา่ ยน้ีเหน็ ว่าลักษณะดังกลา่ วนั้นปรากฏอย่ใู นสิทธขิ ้นั พน้ื ฐานอ่ืนๆ ดว้ ย ซ่ึงปญั หาในเรื่อง
ดังกล่าวต่อมาศาลรัฐธรรมนูญสหพันธ์ของเยอรมันได้วินิจฉัยยอมรับว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็น
สิทธิขั้นพื้นฐานสิทธิหนึ่ง และต่อมาได้วินิจฉัยว่าถึงแม้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มิได้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
ที่ได้รับการบัญญัติไว้ในมาตราที่ระบุให้ผูกพันอำนาจรัฐทั้งหมดก็ตาม แต่อำนาจรัฐทั้งหลายก็ยังต้อง
ผูกพันกับหลกั การสูงสดุ ของรฐั ธรรมนญู (ศกั ด์ิศรีความเปน็ มนุษย)์ ดว้ ย
ซึ่งสรุปได้ว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนั้นมีความมุ่งหมาย 2
ประการ ประการแรกถือว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานซึ่งมีลักษณะเป็นสิทธิๆ หนึ่ง ส่วนความมุ่งหมายอีก
ประการหนึ่ง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ทำหน้าที่ในการวินิจฉัยในทางคุณค่าอันแสดงถึงทิศทางของการ
กระทำ โดยเรียกร้องให้สิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ นั้น สามารถบรรลุเป้าหมายได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไป
ได้ นอกเหนอื จากการใหห้ ลกั ประกนั ท่จี ะไมล่ ่วงละเมดิ ต่อสิทธิขัน้ พ้ืนฐาน
สำหรับกรณีของไทยตามที่ได้บัญญัติถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ในมาตรา 4 มาตรา 26
และมาตรา 28 ของรัฐธรรมนญู เชน่ มาตรา 4 บัญญัติว่า “ศกั ดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สทิ ธิ และเสรีภาพ
ของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง” ในกรณีนี้ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญของไทยได้ให้ความ
รับรองคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างชัดเจนโดยแยกออกจากสิทธิและเสรีภาพ ในกรณีเช่นนี้
ในแง่ของสถานะของศกั ดิศ์ รีความเปน็ มนษุ ยต์ ามรัฐธรรมนูญของไทยน้ันย่อมถือไดว้ า่ ศกั ดิ์ศรีความเป็น
38
มนุษย์เป็นคุณค่าหรือวัตถุในทางกฎหมายอย่างหนึ่งที่ได้รับรองคุ้มครองแยกต่างหากจากสิทธิและ
เสรีภาพแล้ว ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามรัฐธรรมนูญของไทย นอกจากจะเป็นสิ่งที่กฎหมายให้ความ
คุ้มครองแล้วยังต้องถอื วา่ ศกั ด์ิศรีความเป็นมนษุ ย์เป็นรากฐานของสิทธแิ ละเสรีภาพทั้งปวงด้วย เพราะ
โดยสภาพพ้นื ฐานแล้วสทิ ธิและเสรีภาพต่างๆ นน้ั เปน็ เพยี งผลของการรบั รองศกั ดศิ์ รีความเปน็ มนษุ ย์
จึงอาจสรุปได้ว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) หมายถึง คุณค่าของมนุษย์ที่มี
ความเกี่ยวข้องหรือขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษย์ โดยในฐานะมนุษย์ทุกคน ได้รับคุณค่าความเป็นมนุษย์
โดยไม่ต้องคำนึงถึงเพศ เชื้อชาติ ศาสนา วัย ฐานะ หรือตำแหน่ง คุณค่าหรือศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ไม่ได้ขน้ึ อยกู่ ับฐานะทางเศรษฐกจิ บทบาททางสังคม การดำรงตำแหนง่ ทางสังคม แตอ่ ยา่ งไร
การละเมดิ ศกั ด์ิศรคี วามเปน็ มนษุ ย์นนั้ หมายถึง การเหยียดหยาม ลดทอน หรือการปฏิบตั ิต่อ
คนเหมือนไม่ใช่มนุษย์ หรือลดฐานะมนุษย์เป็นเพียงวัตถุสิ่งของ ดังนั้น ในรัฐเสรีประชาธิปไตยทั่วโลก
ต่างถือว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นหลักสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การกระทำของรัฐทั้งหลายจึง
ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับคุณค่าอันสูงสุดของรัฐธรรมนูญดังกล่าว เพราะมนุษย์เป็นเป้าหมาย
การดำเนินการของรัฐ มนุษย์มิใช่เป็นเพียงเครื่องมือในการดำเนินการของรัฐ และการดำรงอยู่ของรัฐ
เป็นการดำรงอยู่เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์ดำรงอยู่เพื่อรัฐ เห็นได้ชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญของไทยได้ให้ความ
รับรองคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างชัดเจนโดยแยกออกจากสิทธิและเสรีภาพ ในกรณีเช่นน้ี
ในแงข่ องสถานะของศักดิศ์ รีความเปน็ มนุษยต์ ามรัฐธรรมนญู ของไทยนนั้ ยอ่ มถือได้ว่าศักด์ศิ รีความเป็น
มนุษย์เป็นคุณค่าหรือวัตถุในทางกฎหมายอย่างหนึ่งที่ได้รับรองคุ้มครองแยกต่างหากจากสิทธิและ
เสรีภาพแล้ว ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามรัฐธรรมนูญของไทย นอกจากจะเป็นสิ่งที่กฎหมายให้ความ
คุ้มครองแล้วยังต้องถือวา่ ศกั ด์ิศรีความเป็นมนุษย์เป็นรากฐานของสิทธแิ ละเสรีภาพทั้งปวงด้วย เพราะ
โดยสภาพพื้นฐานแล้วสทิ ธิและเสรีภาพต่างๆ นน้ั เปน็ เพยี งผลของการรับรองศักด์ิศรคี วามเป็นมนษุ ย์
39
บทท่ี 5
แนวคิดเรอื่ งสิทธมิ นุษยชน
ความเปน็ มาและพัฒนาการสทิ ธมิ นษุ ยชน
สิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิของมนุษย์ทุกคนบนโลกที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดและเป็นสากล ไม่
แบ่งแยกเชือ้ ชาติ ชนชาติ ประเทศ เพศ ผิวพรรณ ภาษา ศาสนา วฒั นธรรม สติ ปญั ญา ความสามารถ
ฐานะทางเศรษฐกิจ ที่จะดาเนินชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี มีอิสระ เสรีภาพ เสมอภาค มีชีวิตที่ดี มีสิทธิ
แสวงหาวัตถปุ ัจจัยมาดารงชพี ไดร้ ับการยอมรับจากสงั คมและการปฏิบัตจิ ากรฐั อยา่ งเหมาะสม
นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 เป็นต้นมา การเคลื่อนไหวปกป้อง คุ้มครองและเผยแพร่แนวคิดสิทธิ
มนุษยชนค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้น จนถึงในปี 2540 จึงเกิดรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่าง
กวา้ งขวางและยังมบี ทบญั ญตั วิ ่าด้วยสิทธมิ นษุ ยชนอยา่ งเด่นชดั รวมไปถึงการกอ่ ใหเ้ กิดคณะกรรมการ
สิทธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติดว้ ย
พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยคณะกรรมการสิทธมิ นษุ ยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560
มาตรา 4 ได้นิยามคำว่า “สิทธิมนุษยชน” หมายถึง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความ
เสมอภาค ของบุคคลที่ได้รับการรับรองหรือคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายไทย หรือตาม
หนงั สอื สัญญา ที่ประเทศไทยเปน็ ภาคีและมพี ันธกรณีทีจ่ ะต้องปฏบิ ตั ิตาม”
สิทธิมนุษยชน หรือ Human Rights ก็คือ สิทธิความเป็นมนุษย์หรือสิทธิในความเป็นคนเป็น
ของทุกคนไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ แหล่งกำเนิด เพศ อายุ สีผิว ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน หรือจะยากดีมี
จน ซึ่งเป็นสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด สิทธิมนุษยชนจึงเป็นสิ่งที่ไม่
สามารถถ่ายโอนให้แก่กันได้ และไร้ซึ่งพรมแดน ดังนั้นจึงไม่มีบุคคล องค์กร หรือแม้แต่รัฐที่จะมาล่วง
ละเมิดความเปน็ มนษุ ย์ได้
นอกจากน้ี ยังมีสิ่งจำเป็นที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่รอดนอกจากปัจจัยสี่ที่ได้แก่ อาหาร เสื้อผ้า ยา
รักษาโรค และ ที่อยู่อาศัยแล้ว คือ การศึกษา การมีงานทำ การไม่ถูกทรมาน และได้รับความเป็น
ธรรมเมื่อถูกกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมาย เราเรียกว่า สิ่งจำเป็นสาหรับมนุษย์ทุกคนที่ต้องได้รับในฐานะ
ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งจะทำให้มนุษย์ อยู่รอดและสามารถพัฒนาตนเองได้ว่าเป็น “สิทธิมนุษยชน” ซึ่งเป็น
สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด และอยู่เหนือกฎหมายและอำนาจใดๆ ของรัฐทุกรัฐ สิทธิเหล่านี้ได้แก่ สิทธิใน
ชีวิต ห้ามฆ่าหรือทำร้ายต่อชีวิต ห้ามการค้ามนุษย์ ห้ามทรมานอย่างโหดร้าย คนทุกคนมีสิทธิในความ
40
เชื่อ มโนธรรมหรือลัทธิทางศาสนา มีเสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็นและแสดงออก สิทธิมนุษยชน
เหล่านี้ไมต่ อ้ งมกี ฎหมายมารองรบั สิทธิเหลา่ นก้ี ด็ ำรงอยู่ เชน่ แมไ้ มม่ ีกฎหมายบัญญตั วิ ่าการฆ่าคนเป็น
ความผิดตามกฎหมาย แต่ คนทุกคนสำนึกรู้ได้เองว่า การฆ่าคนนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม เป็นบาปในทาง
ศาสนา หรือการท่ีคนในชาตไิ มไ่ ด้รับอาหารท่ีเพียงพอแก่การยังชีพซึ่งไม่ถือว่ามีใครทำผิดกฎหมาย แต่
เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องจัดการให้คนในชาติได้รับอาหารอย่างเพียงพอแก่
การมชี ีวติ รอด
นอกจากนี้ สิทธิมนุษยชนต้องได้รับรองในรูปแบบของกฎหมาย หรือต้องได้รับการคุ้มครอง
โดยรัฐบาล ได้แก่ ได้รับสัญชาติ การมีงานทำ การได้รับความคุ้มครองแรงงาน ความเสมอภาคของ
หญิงชาย สิทธิของเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ การได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การประกันการ
ว่างงาน การได้รับบริการสาธารณสุข การสามารถแสดงออกทางด้านวัฒนธรรมอย่างอิสระ สามารถ
ได้รับความเพลิดเพลินจากศิลปะวัฒนธรรมในกลุ่มของตน เป็นต้น สิทธิมนุษยชนเหล่านี้ต้องเขียน
รับรองไว้ในกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญหรือแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐของแต่ละประเทศ เพื่อเป็น
หลักประกันว่าคนทุกคนที่อยู่ในรัฐนั้นจะได้รับความคุ้มครองชีวิตความเป็นอยู่ ให้มีความเหมาะสมแก่
ความเป็นมนุษย์ ซึ่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ได้นิยาม
ความหมาย สทิ ธมิ นษุ ยชนไว้ว่า คือ ศกั ด์ิศรคี วามเป็นมนษุ ย์ สทิ ธเิ สรีภาพ ความเสมอภาคของบคุ คลที่
ไดร้ บั การรับรอง หรือคุ้มครองตามรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย หรอื ตามกฎหมายไทย หรอื ตาม
สนธิสัญญาที่ประเทศไทยมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองทั่วโลก ว่าเป็น
มาตรฐานขน้ั ตำ่ ของการปฏบิ ตั ติ ่อมนุษยน์ ้ัน
หลักการพนื้ ฐานของสทิ ธิมนษุ ยชน
บรู ณ์ ฐาปนดุลย์ (2559) ได้สรุปหลักการพน้ื ฐานของสิทธมิ นุษยชนว่ามีอยดู่ ว้ ยกัน 6 ประการ
ดังน้ี
1. ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) เป็นสิทธิติดตัวทุกคนตามธรรมชาติ
ตัง้ แตเ่ กิด (National Rights)
2. ค น ท ุ ก ค น มี ความเสม อภาคและห้ามการเลือกปฏิบัติ (Equality and non-
discrimination)
3. สิทธิมนุษยชนเป็นของคนทุกคนโดยไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนา เพศ อายุ อาชีพ สถานะทาง
เศรษฐกิจหรือสงั คม สุขภาพ และความคดิ เห็นดา้ นต่างๆ (Universality)
41
4. สิทธิมนุษยชนเป็นองค์รวมแยกเป็นส่วนๆ ไม่ได้และพึ่งพิงกัน (Indivisibility &
Interdependently)
5.การมีส่วนรว่ มและการเปน็ สว่ นหนงึ่ ของสทิ ธิน้นั (Participation & Inclusion) หมายความ
ว่า ประชาชนแต่ละคน หรือกลุ่มประชาชนหรือประชาสังคมย่อมมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการเข้าถึง
และได้รบั ประโยชนจ์ ากสิทธิพลเมอื งและการเมอื ง และสิทธทิ างเศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรม
6. ตรวจสอบได้และใชห้ ลกั นิติธรรม (Accountability & the Rule of Law)
ความหมายของสทิ ธิมนษุ ยชน
คำว่าสิทธิมนุษยชน (Human Rights) เป็นที่รู้จักและถูกใช้อย่างแพร่หลายนับตั้งแต่
สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงเมื่อปี พ.ศ. 2488 และได้มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ เป็นต้นมา
นอกจากนี้ยังมีคำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่าสิทธิมนุษยชนปรากฏแพร่หลายอยู่ด้วยเช่นกัน
ได้แก่ สิทธิธรรมชาติ (Natural Rights) สิทธิขั้นพื้นฐาน (Fundamental Rights) และสิทธิของความ
เป็นมนุษย์ (Rights of Man) เป็นต้น ถึงแม้ในกฎบัตรสหประชาชาติจะได้กล่าวถึงสิทธิมนุษยชนไว้ใน
ที่ต่างๆ หลายแห่ง แต่ก็มิได้ให้คำจำกัดความของคำว่าสิทธิมนุษยชนไว้แต่อย่างใด ถ้าจะแปล
ความหมายตามตัวอักษร สิทธิมนุษยชน หมายถึง สิทธิของความเป็นมนุษย์ ผู้ที่เป็นมนุษย์ย่อมมีสิทธิ
ดังกล่าวตั้งแต่เกิดจนตายโดยปราศจากเงื่อนไขหรือข้อจำกัดของกฎหมาย ก่อนที่จะวิเคราะห์
ความหมายของสิทธิมนุษยชนโดยละเอียด จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทราบความหมายของคำต่างๆ ท่ี
ใกล้เคียง รวมทั้งแนวความคิดในเรื่องสิทธิธรรมชาติเสียก่อน เพราะสิทธิธรรมชาตินั้นถือได้ว่าเป็นบ่อ
เกิดหรือที่มาที่สำคัญประการหนึ่งของสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน โดยจะได้พิจารณาเป็นลำดับ
ดังตอ่ ไปน้ี
สิทธธิ รรมชาติ
สทิ ธิธรรมชาติ (Natural Rights) หมายถงึ สิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ เปน็ ความชอบธรรมที่มนษุ ย์
จะพึงมี สิทธินี้มีหลักการอยู่บนความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ปราชญ์ทางรัฐศาสตร์ท่านหนึ่งได้
กล่าวถึงธรรมชาติของมนุษย์ไว้ว่า “มนุษย์มีความกลัวอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าในสมัยที่ยังไม่เข้าใจ
ธรรมชาติ ไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้หรือในสมัยที่มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีความกลัวของมนุษย์มีทุกระดับนับตั้งแต่กลัวความตาย กลัวการสูญเสียสิ่งที่รักหวงแหน
และเป็นเจ้าของ กลัวการถูกรุกราน กลัวการถูกตอบโต้เมื่อไปรุกราน เพราะมนุษย์มีความกลัวมนุษย์
จำต้องแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยซึ่งหลักประกันขั้นต่ำ ได้แก่ ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต การ
42