ดำรงชีพ ประกอบอาชีพและทรัพย์สินทั้งที่เป็นความมั่นคงปลอดภัยภายในสังคมและจากการรุกราน
ของพลังภายนอกสังคม” ความต้องการของมนุษย์ในการแสวงหาความมั่นคงความปลอดภัยในชีวิต
ร่างกายและทรัพยส์ นิ รวมท้งั ความต้องการท่ีจะดำรงชวี ิตอยูใ่ นสังคมอย่างมีศักดิ์ศรี ได้กอ่ ให้เกิดความ
เชื่อ ลัทธิและอดุ มการณ์ตา่ งๆ ความเชื่ออันหนึ่งท่ีจะได้กล่าวถึงต่อไป ได้แก่ ความเชื่อในเรื่องสิ่งทีเ่ ปน็
ความชอบธรรมขั้นพ้ืนฐานที่มีอยู่ตามธรรมชาติพร้อมกับการเกดิ ของมนุษย์อันไดแ้ ก่ สิทธิธรรมชาตซิ ่งึ
มีสาระสำคัญคือ มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาเท่าเทียมกัน มนุษย์มีสิทธิบางประการที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
จนกระทั่งถึงแก่ความตาย สิทธิที่ว่านี้ได้แก่ สิทธิในชีวิต เสรีภาพในร่างกายและความเสมอภาค เป็น
สิทธิซึ่งไม่สามารถโอนให้แก่กันได้และผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้ หากมีการล่วงละเมิดก็อาจจะก่อให้เกิด
อนั ตรายหรือกระทบกระเทือนเสื่อมเสียตอ่ สภาพของความเปน็ มนษุ ย์ได้
สิทธิมนุษยชน (Human Rights) จึงหมายถึง สิทธิของความเป็นมนุษย์ ในอดีตยังไม่เป็นที่
แพร่หลาย จนภายหลังได้มีการก่อต้ังองค์การสหประชาชาติแลว้ คำว่า สิทธิมนุษยชนจึงได้ถูกนำมาใช้
อย่างกว้างขวาง ในระดับภูมิภาคและในระดับนานาประเทศ ในกฎบัตรสหประชาชาติได้กล่าวถึงสิทธิ
มนุษยชนไว้หลายแห่ง เช่น ในอารัมภบทได้กล่าวถึงความมุ่งหมายของสหประชาชาติ ไว้ว่า “เพื่อเป็น
การยืนยันและให้การรับรองถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ในศักดิ์ศรีและคุณค่าของ
มนุษยชาติ” ในตัวกฎบัตรสหประชาชาติได้แต่เพียงกล่าวถึงสิทธิมนุษยชนไว้ในที่ต่างๆ เช่น ใน
อารัมภบทมาตรา 1 มาตรา 13 มาตรา 55 มาตรา 56 มาตรา 62 มาตรา 63 และมาตรา 76 เท่านั้น
แต่มิได้ให้คำนิยามหรือคำจำกัดความของคำว่าสิทธิมนุษยชนไว้แต่อย่างใด ตามปฏิญญาสากลว่าด้วย
สิทธิมนุษยชน ( Universal Declaration of Human Rights ) ซึ่งถือเป็นแม่บทของสิทธิมนุษยชนใน
ปัจจุบัน ได้แต่เพียงจำแนกสิทธิมนุษยชนออกเป็นประเภทต่างๆ ไว้เท่านั้น มิได้มีคำอธิบายหรือบท
นิยามของคำว่าสทิ ธมิ นุษยชนไวแ้ ตอ่ ยา่ งใด
ขอบเขตของสิทธมิ นุษยชน
สิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองทั่วโลกว่ามาตรฐานขั้นต่ำของการปฏิบัติต่อมนุษย์นั้น
สามารถจำแนกได้ครอบคลุมสิทธิ 5 ประเภท ได้แก่ สิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิทาง
เศรษฐกจิ สิทธทิ างสงั คม และสทิ ธทิ างวัฒนธรรม (คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหง่ ชาต,ิ 2550)
1. สิทธิพลเมือง ได้แก่ สิทธิในชีวิตและร่างกาย เสรีภาพและความมั่นคงในชีวิต ไม่ถูกทรมาน
ไม่ถูกทำร้ายหรือฆ่า สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ สิทธิในความเสมอภาคต่อกฎหมาย สิทธิที่จะ
ได้รับการปกป้องจากการจับกุมหรือคุมขังโดยมิชอบ สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีในศาลอย่าง
43
ยุติธรรมโดยผู้พิพากษาที่มีอิสระ สิทธิในการได้รับสัญชาติ เสรีภาพของศาสนิกชนในการเชื่อถือและ
ปฏิบตั ิตามความเชอ่ื ถอื
2. สิทธิทางการเมือง ได้แก่ สิทธิในการเลือกวิถีชีวิตของตนเอง ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ
สังคม และวัฒนธรรม รวมถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและ
การแสดงออก สิทธิในการมีส่วนร่วมกับรัฐในการดำเนินกิจการที่เป็นประโยชน์สาธารณะ เสรีภาพใน
การชมุ นมุ โดยสงบ เสรภี าพในการรวมกลมุ่ สทิ ธใิ นการเลอื กตง้ั อยา่ งเสรี
3. สิทธิทางเศรษฐกิจ ได้แก่ สิทธิในการมีงานทำ ได้เลือกงานอย่างอิสระ ได้รับค่าจ้างอย่าง
เป็นธรรม สทิ ธใิ นการเป็นเจ้าของทรัพยส์ ิน การไดร้ บั มาตรฐานการครองชีพอยา่ งเพยี งพอ
4. สทิ ธทิ างสงั คม ได้แก่ สิทธิในการไดร้ บั การศกึ ษา สทิ ธิในการไดร้ ับหลักประกันด้านสุขภาพ
แม่และเด็กต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ได้รับการพัฒนาบุคลิกภาพอย่างเต็มที่ ได้รับความมั่นคงทาง
สงั คม มีเสรีภาพในการเลือกค่คู รองและสรา้ งครอบครวั
5. สิทธทิ างวฒั นธรรม ได้แก่ การมเี สรีภาพในการใชภ้ าษาหรือสือ่ ความหมายในภาษาท้องถิ่น
ของตน มีเสรีภาพในการแต่งกายตามวัฒนธรรม การปฏิบัติกิจตามวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นของตน
การปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนา การพักผ่อนหย่อนใจด้านการแสดง ศิลปะ วัฒนธรรม บันเทิง ได้
โดยไม่มใี ครมาบงั คับ
หลักการของสทิ ธมิ นุษยชน (The Human Rights Principles)
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ซึ่งได้รับ
การรับรอง โดยมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (General Assembly) เมื่อวันที่ 10
ธันวาคม พ.ศ. 2491(ค.ศ. 1948) ซึ่งเป็นพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุก
ฉบับที่มีอยู่ในปัจจุบันและประเทศไทยเป็นหนึ่ง ในประเทศสี่สิบแปดประเทศแรกที่ให้การรับรอง
ปฏิญญาสากลฉบับน้ี ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human
Rights) มีขอบข่ายของเนื้อหา ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยส่วนแรกเป็นส่วนของอารัมภบทซึ่งให้คำ
นยิ ามของหลักสิทธมิ นุษยชนทีอ่ ิงกบั สำนกั ธรรมชาติ (Natural School) ซง่ึ กลา่ วถงึ “หลักการสำคัญ
ของสิทธิมนุษยชนท่ีวา่ มนุษย์มีสิทธิตดิ ตวั มาแต่เกิด มนุษย์มศี ักด์ิศรี มีความเสมอภาคกนั ” การเลือก
ปฏิบัติต่อบุคคลจะกระทำมิได้ โดยรัฐมีหน้าที่ ในการสร้างหลักประกันดังกล่าวในการวางมาตรฐาน
ด้านการเคารพสิทธิของรัฐและระหว่างกันของบุคคล ในสังคม ส่วนที่สอง (Article 3- 21) กล่าวถึง
สิทธิของพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Civil and Political Rights) ส่วนที่สาม (Article22 - 27)
กล่าวถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (Economic, Social and Cultural Rights) และ
44
ส่วนที่สี่ (Article 28 - 30) กล่าวถึง “หน้าที่ของบุคคล สังคม และรัฐ โดยการที่จะต้องดำเนินการ
สร้างหลักประกันให้มีการคุ้มครองสิทธิที่ปรากฏในปฏิญญานี้ให้ได้รับการปฏิบัติอย่างจริ งจัง”
ปฏญิ ญาสากลว่าด้วยสิทธิมนษุ ยชน (Universal Declaration of Human Rights) จึงถือเปน็ เอกสาร
สำคัญในการกำหนดกรอบมาตรฐานสำหรับการออกแบบระบบการให้ความคุ้มครองด้านสิทธิ
มนุษยชนในปัจจุบัน และแม้ตัวปฏิญญาสากลฯ จะเป็นรูปแบบของเอกสารเชิงหลักการที่มาจาก
ข้อตกลงร่วมกนั ทม่ี ไิ ด้ มผี ลผูกพันทางกฎหมาย แตก่ ็ถอื เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศท่ีไดร้ ับการ
ยอมรับอย่างแพร่หลาย ว่ามีสถานะเสมือนเป็นกฎหมายระหว่างประเทศอันเกี่ยวกับความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นหลักกฎหมายทั่วไปที่ได้รับการยอมรับจากประชาคม
ระหว่างประเทศที่รัฐต้องปฏิบัติโดยไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญของ
ประเทศไทยในช่วงหลัง โดยเฉพาะนับตั้งแต่ ฉบับ พ.ศ. 2540 ได้มีการพัฒนาเพื่อรองรับการให้ความ
คุ้มครองดา้ นสทิ ธมิ นุษยชนท่มี คี วามสอดคล้องกบั มาตรฐานสากลมากย่ิงขน้ึ
พีระศักดิ์ พอจิต (2559) ชี้ให้เห็นว่า ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน นอกจากระบุ
ขอบเขตของสิทธิมนุษยชนว่าครอบคลุมสิทธิอะไรแล้ว ตัวปฏิญญาฯ เองยังได้นำเสนอหลักการสำคัญ
ของสิทธิมนุษยชนไว้ด้วย หลักการนี้ถือเป็นสาระสำคัญที่ใช้อ้างอิงความเป็นสากลของสิทธิมนุษยชน
และใช้เป็นเครื่องมือชี้วัดว่าสังคมใดมีการเคารพและปฏิบัติตามหลักการสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ทั้งนี้
หลกั การสำคญั ของสทิ ธิมนษุ ยชนประกอบดว้ ย
1. เปน็ สทิ ธธิ รรมชาติ ตดิ ตัวมนุษยม์ าแตเ่ กดิ (Natural Rights) หมายความว่า มนุษย์ทกุ คนมี
ศักดิ์ศรีประจำตัว ตั้งแต่เกิดมาเป็นมนุษย์ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) นี้ไม่มีใครมอบ
ให้ เปน็ สง่ิ ทธี่ รรมชาติได้กำหนดขึ้นในมนษุ ยท์ ุกคน ความหมายของศกั ด์ิศรคี วามเปน็ มนุษย์ หมายถึง
(1) ศกั ดศิ์ รีความเป็นมนุษย์ คือ คณุ ค่าของคนในฐานะทีเ่ ขาเปน็ มนษุ ย์
(2) การให้คณุ คา่ ของมนุษย์ แบง่ เปน็ 2 ประเภท
(2.1) คุณค่าของมนุษย์ในฐานะการดำรงตำแหน่งทางสังคม ซึ่งมีความแตกต่างกัน
ขึน้ อย่กู ับการมอี ำนาจหรอื การยดึ ครองทรพั ยากรของสงั คม
(2.2) คณุ ค่าของมนุษยใ์ นฐานะทเ่ี ป็นมนษุ ย์ ซ่ึงมคี วามเทา่ เทียมกนั ไมแ่ บ่งแยก
(3) การกำหนดคุณค่าที่แตกต่างกันนำมาซึ่งการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ผู้คนใน
สังคมโดยทั่วไปมักให้คุณค่าของฐานะตำแหน่งหรือเงินตรามากกว่า ซึ่งการให้คุณค่าแบบนี้นำมาซึ่ง
การเลือกปฏิบัติ จึงต้องปรับวิธีคิดและเน้นให้มีการปฏิบัติ โดยการให้คุณค่าของความเป็นคนในฐานะ
ความเปน็ มนุษย์ ไม่ใช่ให้คณุ คา่ คนตามสถานภาพทางเศรษฐกจิ และสังคม
45
2. หลักสิทธิมนุษยชนเป็นสากลและไม่สามารถถ่ายโอนกันได้ (Universality &
Inalienability) หมายความว่า สทิ ธมิ นษุ ยชนนนั้ เป็นของคนทกุ คน ไม่มพี รมแดน คนทกุ คนย่อมถือว่า
เป็นคน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในโลก ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ สัญชาติ เหล่ากำเนิดใดก็ตาม ย่อมมีสิทธิมนุษยชน
ประจำตัวทุกคนไป จึงเรียกได้ว่าสิทธมิ นุษยชนเป็นของคนทุกคน ไม่ว่าคนๆ นั้น จะยากจนหรือรำ่ รวย
เปน็ คนพิการ เป็นเดก็ เปน็ ผู้หญงิ
ส่วนที่กล่าวว่าสิทธิมนุษยชนไม่สามารถถ่ายโอนให้แก่กันได้ หมายความว่า ในเมื่อสิทธิ
มนษุ ยชนเป็นสิทธปิ ระจำตวั ของมนษุ ย์ มนษุ ย์แตล่ ะคนย่อมไมส่ ามารถมอบอำนาจ หรือสทิ ธิมนุษยชน
ของตนให้แก่ผู้ใดได้ ไม่มีการครอบครองสิทธิแทนกัน แตกต่างจากการครอบครองที่ดินหรือทรัพย์สิน
เพราะสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่ธรรมชาติกำหนดขึ้น เป็นหลักการที่ทุกคนต้องปฏิบัติ แต่หากจะถาม
ว่าในเมื่อสิทธิมนุษยชนเป็นของคนทุกคนเช่นนี้แล้ว สามารถมีสิทธิมนุษยชนเฉพาะกลุ่มได้หรือไม่
ในทางสากลได้มีการจัดหมวดหมู่และกลุ่มของสิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิของกลุ่มเฉพาะและสิทธิตาม
ประเด็นปัญหา เช่น สิทธิสตรี สิทธิเด็ก สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิผู้ติดเชื้อ HIV/เอดส์ สิทธิ
ของผู้ลี้ภัย เปน็ ต้น
3. สิทธิมนุษยชนไม่สามารถแยกเป็นส่วนๆ ว่าสิทธิใดมีความสำคัญกว่าอีกสิทธิหนึ่ง
(Indivisibility) กล่าวคือ สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ไม่สามารถแบ่งแยกว่ามีความสำคัญกวา่
สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม สิทธิทั้งสองประการนี้ต่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ดังนั้น
รัฐบาลใดจะมาอา้ งว่าต้องพัฒนาประเทศให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ หรือต้องแก้ปัญหา
ปากทอ้ งก่อน แลว้ จงึ คอ่ ยให้ประชาชนมสี ่วนร่วมทางการเมอื ง ยอ่ มขดั ต่อหลกั การน้ี
4. ความเสมอภาคและห้ามการเลือกปฏิบัติ (Equality and Non-Discrimination) การ
เลือกปฏิบัติเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานในทุกสังคม และถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพราะเหตุว่า
ในฐานะที่เราเกิดมาเป็นคน ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนรวย คน
พกิ าร เดก็ หรอื ผู้สงู อายุ คนป่วยหรอื มีสุขภาพดี แตส่ งั คมไทยมกี ารเลอื กปฏิบัติมาโดยตลอด ซ่ึงเรามัก
ได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” หรือ “เลือกที่รักมักที่ชัง” “รักลูกไม่เท่ากัน” การจะทำความ
เข้าใจวา่ เรื่องใดเป็นเรื่องการเลือกปฏิบตั หิ รอื ไม่ คงต้องเข้าใจเร่ืองความเสมอภาคด้วย
ความเสมอภาค ไม่ใช่การได้รับเท่ากัน เช่น การที่นักเรียนทุกคนที่ทำผิดระเบียบจะต้องถูก
เฆี่ยน 3 ที เท่าๆ กัน อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นความเสมอภาคความเสมอภาค คือ การที่ทุกคนควรได้รับ
จากส่วนที่ควรได้ ในฐานะเป็นคน เช่น การแจกของผู้ประสบภัยน้ำท่วม ทุกคนจะได้รับของแจกขั้น
พื้นฐาน เช่น ได้รับข้าวสารอาหารแห้ง ยาป้องกันเท้าเปื่อย แต่หากมีครอบครัวหนึ่ง มีคนป่วยที่
ต้องการยาเป็นพิเศษ หรือบางครอบครัวมีเด็กอ่อนต้องได้รับนมผงเพิ่มสำหรับเด็ก ทางราชการ
46
สามารถเพิ่มยาและนมผงให้แก่ครอบครัวเหล่านั้น นี่คือความเสมอภาคที่ได้รับ เพราะทุกคนใน
ครอบครัวได้รับแจกสิ่งจำเปน็
เพื่อการยังชีพแล้ว หลักความเสมอภาคคือต้องมีการเปรียบเทียบกับของ 2 สิ่ง หรือ 2 เรื่องและดูว่า
อะไรคือสาระสำคัญของเรื่องนั้น หากสาระสำคัญของประเด็นได้รับการพิจารณาแล้วถือว่ามีความ
เสมอภาคกัน เช่น การที่รัฐจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลไม่เท่ากัน คนที่มีรายได้มากก็เสียภาษีมาก คนที่มี
รายไดน้ ้อยกเ็ สยี ภาษนี ้อย คนท่ีมีรายได้ไมถ่ งึ เกณฑท์ ี่กำหนดกไ็ ม่ต้องเสียภาษี แตก่ ารมีรายไดม้ ากหรือ
น้อยเป็นสาระสำคัญของการเก็บภาษีซึ่งเป็นธรรมสำหรับประชาชน การเลือกปฏิบัตินั้น เป็นเหตุให้
เกิดความไม่เสมอภาค เช่น การรักษาพยาบาล หรือการเข้าถึงบริการสาธารณะของรัฐเป็นไปไม่ทั่วถึง
และไม่เท่าเทียมกัน เพราะมีความแตกต่างของบุคคลในเรื่องเชื้อชาติ เช่น หากมีแรงงานข้ามชาติชาว
กมั พูชา หรอื พมา่ มารกั ษาเจา้ หนา้ ท่ีมักไม่อยากให้บรกิ ารที่ดี หรอื ไม่ยอมรับรกั ษาผู้มีเชอ้ื เอชไอวี หรือ
ผู้ปว่ ยเอดส์ เป็นต้น
5. การมีส่วนร่วมและการเป็นส่วนหนึ่งของสิทธินั้น (Participation & Inclusion)
หมายความวา่ ประชาชนแตล่ ะคนและกลมุ่ ของประชาชนหรือประชาสังคมยอ่ มมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน
ในการเขา้ ถึงและได้รบั ประโยชนจ์ ากสิทธิพลเมอื งและสทิ ธทิ างการเมอื ง และสทิ ธิทางเศรษฐกจิ สังคม
และวฒั นธรรม
6. ตรวจสอบได้และใช้หลักนิติธรรม (Accountability & The Rule of Law) หมายถึงรัฐ
และองค์กรที่มีหน้าที่ในการก่อให้เกิดสิทธิมนุษยชน ต้องมีหน้าที่ตอบคำถามให้ได้ว่าสิทธิมนุษยชน
ได้รับการปฏิบัติให้เกิดผลจริงในประเทศของตน ส่วนสิทธิใดยังไม่ไดด้ ำเนินการใหเ้ ป็นไปตามหลักการ
สากลกต็ อ้ งอธิบายต่อสังคมได้ว่าจะมีขั้นตอนดำเนนิ การอยา่ งไร โดยเฉพาะรัฐตอ้ งมมี าตรการปกครอง
ประเทศโดยใช้หลักนิติธรรม หรือปกครองโดยอาศัยหลักการที่ใช้กฎหมายอย่างเที่ยงธรรม ประชาชน
เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย มีกระบวนการไม่ซับซ้อนเป็นไปตามหลักกฎหมายและมีความ
เท่าเทียมกันเม่อื อยู่ตอ่ หน้ากฎหมาย ไมม่ ีใครอยู่
เหนอื กฎหมายได้
คำว่า “ สิทธิมนุษยชน ” หรือ Human Rights หมายถึง สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลซึ่งปกป้อง
“ ปัจเจกบุคคล ” (Individual) หรือ “ กลุ่มบุคคล ” (Group)จากการกระทำที่ต้องห้ามของสมาชิก
อื่นหรือรัฐ โดยกฎหมายระหว่างประเทศหรือจารีตประเพณีระหว่างประเทศ (The West’s
Encyclopedia of American Law. Vol 6, 1997)
47
สิทธิมนุษยชน คือ สิทธิที่ครอบคลุมการดำรงอยู่ของมนุษย์ เพื่อชีวิตที่ดีในสังคมที่ดีโดยมี
หลักการที่สำคัญ 3 เรื่องคือ สิทธิในชีวิต สิทธิในการยอมรับนับถือและสิทธิในการดำเนินชีวิตและ
พฒั นาตนเองตามแนวทางท่ชี อบธรรม (ทวรี ัตน์ นาคเนยี ม, 2542, หนา้ 16-24)
มนุษยชน (Humanity) หมายถึง คนทุกคนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่บนโลกน้ี แต่ในทางกฎหมาย
โดยเฉพาะกฎหมายอาญาน้นั เวลาที่พดู ถงึ มนุษยชน มักจะสื่อความหมายถึงส่งิ ต่อไปนี้
ประการแรกคือ “ วิธีการคิด หรือทัศนคติที่อยู่ภายใน ” ในความหมายนี้โดยปกติถือว่าเป็น
อย่างเดียวกับ“ความมีมนุษยธรรม” (humanness) และบอกถึงทัศนคติที่เห็นอกเห็นใจ ในสังคมส่วน
ใหญ่ องค์ประกอบทีส่ ำคญั ของทัศนคติที่เห็นอกเหน็ ใจน้ันก็คือการไม่เห็นแก่ตวั และตระหนักถงึ มนุษย์
ผอู้ นื่
ประการทส่ี อง สื่อใหเ้ หน็ ถงึ กระบวนการพัฒนาทางด้านศีลธรรมและจติ ใจท่มี อี ยใู่ นตัวคน ซึง่
ก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพเหนอื เรือ่ งส่วนบคุ คลใดๆ ซึ่งเป็นการมองในลักษณะวิวฒั นาการของ
ความคิด
ประการสุดท้าย ซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุดคือมีความหมายสื่อไปถึงศักดิ์ศรีความ
เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่พิเศษและสำคัญของตัวบุคคล ทั้งน้ี เนื่องจากว่ามนุษย์โดยธรรมชาติ
พื้นฐานแล้วมีความแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ดังนั้น ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือความเป็นคน
จึงมีอยู่เฉพาะตัวมนุษย์เท่านั้น และในปัจจุบันนี้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นศีลธรรมขั้นสูงและ
กลายเป็นหลักประกันการดำเนินชีวิตในสังคม โดยเฉพาะกับการใช้อำนาจทางการเมือง และอำนาจ
ตามกฎหมายของรฐั ซ่ึงตามปกตแิ ล้วเปน็ อำนาจท่ีอยูเ่ หนอื สมาชิกในสังคมอยู่แล้ว
แต่เนื่องจากในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติก็ไม่ได้ให้
ความหมายของสิทธิมนุษยชนไว้อย่างเฉพาะเจาะจง กำหนดแต่เพียงองค์ประกอบของสิทธิดังกล่าวไว้
เท่านั้น ดังนั้น ความหมายจึงต้องขึ้นอยู่กับบริบท (context) ในการใช้คำว่าสิทธิมนุษยชน แต่ทั้งนี้
ไม่ได้หมายความว่าสิทธิดังกล่าวจะมีเพียงเท่าที่ได้กล่าวถึงในปฏิญญาฯ เท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากว่า
แนวความคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนมีความเป็นพลวัตร (dynamic) โดยขึ้นอยู่กับบริบทต่างๆ ของ
สังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าแนวความคิดเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนจะ
เป็นสิ่งที่ผันแปรตามกาลเวลาเสียทั้งหมด กล่าวคือ ในสภาพที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาต่อไปได้
นั้น แกนกลางที่เป็น “แนวความคิดที่ชัดเจน” ในเรื่องสิทธิมนุษยชนก็คือ “การคุ้มครองศักดิ์ศรีความ
เป็นมนุษย์” อันเป็นหลักการสำคัญที่มีลักษณะสากลเป็นหลักการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาซ่ึง
ความสุข และความสงบสันติของสังคมมนุษย์โดยรวมในท้ายที่สุด ดังนั้น แนวคิดหรือหลักการเรื่อง
48
สิทธิมนุษยชนเป็นเพียง “เครื่องมือ” (instrument) หรือ “วิธีในการปฏิบัติ” (How to) ที่เป็นทั้ง
มาตรฐานของการประกนั และมาตรการคมุ้ ครองศักดศิ์ รขี องมนุษย์ สทิ ธิและเสรภี าพ
ดังนั้น สิทธิมนุษยชนจึงกลายเป็นหลักการสำคัญในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพหรือเพื่อความมี
ศักดิ์ศรีอันเท่าเทียมกันของมนุษย์ และในที่สุดได้กลายมาเป็นอุดมการณ์ในทางโลก(secular
ideology) (จรัญ โฆษณานันท์, 2541, หน้า 15) รูปแบบใหม่ที่ยืนยันความมีสิทธิและเสรีภาพของ
มนุษย์ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในความเป็นมนุษย์ หรือสิทธิในทางการเมืองต่างๆ แทนที่จะ
ปล่อยให้ผลประโยชน์อันเนื่องมาจากสิทธิขั้นพื้นฐานดังกล่าวนั้นขึ้นอยู่กับการหยิบยื่นให้จาก
ผู้ปกครองตามหลกั ศลี ธรรม หรอื เปน็ ไปตามคุณธรรมของผูป้ กครองซง่ึ หาความแน่นอนไมไ่ ด้
สำหรับสังคมตะวันออก แนวความคิดทีช่ ัดเจนเกี่ยวกับการคุ้มครองศักด์ิศรีความเป็นมนษุ ย์ก็
มีมานานแล้วเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการดำเนินชีวิตภายใต้หลักคำสอนทางพุทธศาสนาของไทยเรา
นั้น สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเม่ือ
พิจารณาถึงวัตถุประสงค์และผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งคนไทยเรายึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมานานแล้ว เพียงแต่
ไมไ่ ด้เรยี กหลกั การนวี้ า่ สิทธมิ นษุ ยชนเท่านั้นเอง ทก่ี ลา่ วเช่นนี้ เปน็ การพจิ ารณาโดยไม่ได้ใช้การตคี วาม
ความหมายของหลักการหรือแนวคิด แต่เป็นการพิจารณาที่วัตถุประสงค์และผลที่เกิดจากการปฏิบัติ
เป็นตัววัดที่สำคัญในการเปรียบเทียบโดยการยึดเอา “คุณค่า” อันมีแกนกลาง คือ “ศักดิ์ศรีความเป็น
มนุษย์” เป็นสำคัญ ในแง่นี้สิทธิที่เคยยึดถือกันอยู่เดิม จึงอาจถูกหักล้างได้ถ้าหากว่าหลักการหรือสิทธิ
ขั้นพื้นฐานที่รับรองกันขึ้นมาใหม่ มีคุณค่าในการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เหนือกว่า และใน
ทำนองเดียวกัน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่มีลักษณะอันเป็นสากลมากกว่าก็ย่อมอยู่เหนือเรื่องของ
ปัจเจกบุคคล แต่ในความเป็นสากลนั้นจะละเลยซึ่งการคุ้มครองประโยชน์เฉพาะบุคคลก็ไม่ได้
เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น การยึดมั่นในสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคลซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชน
อย่างหนึ่ง ย่อมนำไปสู่ข้อสรุปที่ไม่ถูกต้องว่าการจำคุกอาชญากรเป็นสิ่งที่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน
เป็นตน้
พรี ะศักด์ิ พอจิต (2559) อ้างว่า หลักการสำคญั ของสิทธมิ นษุ ยชนประกอบดว้ ย
1. เป็นสทิ ธธิ รรมชาติติดตัวมนษุ ยม์ าแต่เกิด (Natural Rights) หมายความว่า มนษุ ย์ ทุกคนมี
ศักดิ์ศรีประจำตัว ตั้งแต่เกิดมาเป็นมนุษย์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) น้ี ไม่มีใครมอบ
ให้เป็นสิ่งที่ธรรมชาติได้กำหนดขึ้นในมนุษย์ทุกคน ความหมายของศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์หมายถึง
(1) ศกั ดศิ์ รีความเปน็ มนษุ ยค์ อื คณุ คา่ ของคนในฐานะทเี่ ขาเป็นมนุษย์
49
2. การใหค้ ณุ ค่าของมนุษย์แบง่ เปน็ 2 ประเภท
(2.1) คุณค่าของมนุษย์ในฐานะการดำรงตำแหน่งทางสังคม ซึ่งมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่
กับการมอี ำนาจหรอื การยึดครองทรัพยากรของสงั คม
(2.2) คณุ คา่ ของมนษุ ยใ์ นฐานะที่เปน็ มนุษยซ์ ึ่งมีความเท่าเทยี มกัน ไม่แบ่งแยก
3. การกำหนดคุณค่าที่แตกต่างกัน นำมาซึ่งการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ผู้คนในสังคม
โดยทั่วไปที่มักให้คุณค่าของฐานะตำแหน่งหรือเงินตรามากกว่า ซึ่งการให้คุณค่าแบบนี้นำมาซึ่งการ
เลือกปฏบิ ัตจิ ึงตอ้ งปรับวธิ ีคิดและเน้นใหม้ กี ารปฏิบตั ิโดยการให้คุณค่าของความเป็นคน ในฐานะความ
เปน็ มนุษย์ไม่ใช่ใหค้ ุณค่าคนตามสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า สรุปได้ว่า สิทธิมนุษยชน สิทธิที่ครอบคลุมการดำรงอยู่ของมนุษย์
เพื่อชีวติ ท่ดี ีในสงั คมทีด่ ี สทิ ธิของความเปน็ มนษุ ยน์ ้ี ผู้ท่เี ป็นมนุษยย์ อ่ มมีสทิ ธิดังกล่าว ต้งั แต่เกดิ จนตาย
โดยปราศจากเงื่อนไขหรือข้อจำกัดของกฎหมาย การเลือกปฏิบัติต่อบุคคลจะกระทำมิได้ โดยรัฐมี
หน้าที่ในการสร้างหลักประกันดังกล่าวโดยการวางมาตรฐานการเคารพสิทธิของรัฐต่อบุคคล และ
ระหว่างบุคคลด้วยกันในสังคม โดยที่หลักสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองทั่วโลกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ
ของการปฏิบัติต่อมนุษย์นั้น สามารถจำแนกได้ครอบคลุมสิทธิ 5 ประเภท ได้แก่ สิทธิพลเมือง สิทธิ
ทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจ สทิ ธทิ างสังคม และสิทธทิ างวฒั นธรรม
50
บทที่ 6
สถาบนั ของรัฐไทยทเ่ี กี่ยวกับศักดิศ์ รขี องความเป็นมนุษยแ์ ละสิทธมิ นษุ ยชน
สถาบันรัฐธรรมนญู ไทย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 หรือที่เรียกกันว่า “รัฐธรรมนูญฉบับ
ประชาชน” มีเจตนารมณ์ในอันที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การปฏิรูปการเมือง และมุ่งหมายให้
ประชาชนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการจัดทำ โดยมีหลักการสำคัญคือการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และ
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง และการปรับปรุง
โครงสร้างของสถาบันการเมืองให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะพิจารณาเห็นได้
ว่า หลักการอันเป็นเจตนารมณ์ที่สำคัญของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้
ถูกบิดผันไปโดยสิ้นเชงิ ดังต่อไปน้ี (คณะกรรมาธิการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สภาร่างรัฐธรรมนญู ,
2550)
1. การส่งเสริม การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนไม่
เกดิ ผลในทางปฏิบตั ติ ามเจตนารมณ์ของรฐั ธรรมนญู
กล่าวคือ ประชาชนไม่สามารถยกบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกข้ึน
เป็นข้อต่อสูค้ ดีในศาลได้ ตลอดทั้งไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลเพ่ือบังคบั ใหร้ ฐั ตอ้ งปฏบิ ัติตามบทบญั ญัติ
แห่งรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ดังนั้น คุณค่าของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช2540 ในส่วนที่ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพจึงเป็นเพียงแค่ “ตัวหนังสือ” ซึ่งไม่สามารถให้
ความคุ้มครองสิทธิและเสรภี าพของประชาชนให้สมั ฤทธ์ผิ ลได้
ปัญหาประการสำคัญคือการบัญญัติถ้อยคำว่า “ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” ต่อท้าย
บทบัญญัติที่เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้หน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ตีความว่า
สิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน ไม่อาจเกิดขึ้นพร้อมกับรัฐธรรมนูญได้โดย
ทันที หากแต่จะต้องมีการตรากฎหมายในระดับพระราชบัญญัติขึ้นรองรับสิทธิและเสรีภาพดังกล่าว
นนั้ เสียก่อน
นอกจากน้ี ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การที่ผู้มีอำนาจในการเสนอกฎหมายละเลยใน
การเสนอให้มีการตรากฎหมายเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ จึงทำให้ตลอด
ระยะเวลาที่ผ่านมา การให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนต้องถูก “ถ่วงเวลา” อยู่โดย
51
ตลอด อาทิ สิทธิของชุมชนท้องถิ่น (มาตรา 46) หรือการจัดตั้งองค์การอิสระเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
(มาตรา 57) เป็นต้น
2. ประชาชนไมอ่ าจมสี ว่ นรว่ มทางการเมืองและการตรวจสอบการใชอ้ ำนาจรฐั ได้อยา่ งแทจ้ รงิ
แม้ว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 จะมุ่งหมายให้ประชาชนได้เข้า
มามีส่วนร่วมทางการเมือง และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐมากขึ้น แต่ผู้ร่างรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กลับมิได้พิจารณาถึงกลไกและช่องทางในการเข้าถึง
กระบวนการต่างๆ เพื่อมีส่วนร่วมในทางการเมืองของภาคประชาชนให้เป็นไปโดยง่ายและสามารถ
เปน็ ไปไดจ้ ริงในทางปฏบิ ตั ิ
การดำเนนิ การของภาครัฐหลายกรณี อาทิ การทำสนธิสญั ญากับนานาประเทศ (มาตรา 224)
โดยเฉพาะการทำสนธิสัญญาก่อตั้งเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ที่ส่งผลกระทบ
ต่อประชาชนอย่างมากแต่ประชาชนกลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่สามารถรับรู้ได้ถึงกระบวนการ
เจรจาและเนื้อหาสาระของพันธกรณีดังกล่าวเลย หรือการลงประชามติ (Referendum) ในเรื่องท่ี
สำคัญแต่กลับไม่มีผลผูกพันการตัดสินใจของรัฐบาล (มาตรา 214) และรัฐบาลก็มิได้คำนึงถึงการใช้
วิธีการออกเสียงประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานที่สำคัญต่าง ๆ
แม้แต่ครั้งเดียว เป็นต้น สิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชนเหล่านี้จึงถูกละเลยมา
โดยตลอด
นอกจากน้ี การมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชนด้านอื่น ๆ เช่น สิทธิในการเข้าชื่อ
เสนอกฎหมายทั้งในระดับพระราชบัญญัติและในระดับข้อบัญญัติท้องถิ่น หรือการเข้าชื่อถอดถอนผู้
ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็มิได้ปรากฏขึ้นจริงในทางปฏิบัติ ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการที่บทบัญญัติ
ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มิได้ชั่งน้ำหนักระหว่างความมีเสถียรภาพ
หรือความเข้มแข็งของฝ่ายบริหารกับสิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของภาคประชาชนอย่าง
เพียงพอ จึงทำให้การมีส่วนรว่ มทางการเมืองและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของภาคประชาชนไม่
อาจเป็นจรงิ ได้ในทางปฏิบัติ
สมคิด เลศิ ไพฑรู ย์ (2550) ในฐานะกรรมการรา่ งรฐั ธรรมนญู ไดส้ รปุ ไว้ว่า รัฐธรรมนญู พ.ศ.
2550 จึงมีเจตนารมณ์และหลักการสำคญั ในด้านต่างๆ ได้แก่
(1) การค้มุ ครอง สง่ เสรมิ และการขยายสทิ ธิและเสรภี าพของประชาชนอย่างเตม็ ท่ี
(2) การลดการผูกขาดอำนาจรฐั และขจดั การใช้อำนาจอย่างไม่เปน็ ธรรม
(3) การทำใหก้ ารเมืองมีความโปร่งใส มคี ณุ ธรรมและจรยิ ธรรม
52
(4) การทำใหร้ ะบบตรวจสอบมคี วามเขม้ แขง็ และทำงานได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ
(5) การคมุ้ ครอง ส่งเสรมิ และการขยายสทิ ธิและเสรภี าพของประชาชนอย่างเต็มที่
รัฐธรรมนูญต้องเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนต้องมีส่วนร่วมและ
สามารถกำหนดชีวิตของตนเองได้ มิใช่เป็นรัฐธรรมนูญของบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือนักการเมือง
เทา่ น้นั โดยมีมาตรการดงั น้ี
การเพิ่มประสิทธิภาพและเสรีภาพให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสิทธิและเสรีภาพที่เพิ่มขึ้นได้แก่
กำหนดให้สิทธิและเสรีภาพตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ไทยรับรองมีผลผูกพันเช่นเดียวกับสิทธิ
และเสรีภาพที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการคุ้มครองบุคคลจากการแสวงหาประโยชน์โดยมิ
ชอบจากข้อมูลส่วนบคุ คล กำหนดให้เพิม่ เติมสทิ ธิในกระบวนการยุติธรรมโดยการปฏิรูปกระบวนการ
ยุตธิ รรมใหป้ ระชาชนเขา้ ถงึ กระบวนการยุตธิ รรมไดง้ า่ ย สะดวก รวดเรว็ และทั่วถึง ใหก้ ารค้มุ ครอง
ในการดำเนนิ กระบวนพจิ ารณาคดอี ย่างเหมาะสม รวมทั้งให้ประชาชนมสี ิทธิฟอ้ งศาลรัฐธรรมนูญด้วย
ตนเองได้เป็นครั้งแรก กำหนดให้หลักประกันความปลอดภัยและสวัสดิภาพในการท างานและการ
ดำรงชพี ท้ังในระหว่างการทำงานและเมือ่ พน้ ภาวะการทำงาน
การกำหนดเพิ่มเติมในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนโดยห้ามแทรกแซง
สื่อมวลชนไม่วา่ ทางตรงหรอื ทางอ้อม รวมทัง้ หา้ มผดู้ ำรงตำแหน่งทางการเมืองเปน็ เจา้ ของกิจการหรือ
ถือหุ้นในกิจการสื่อสารมวลชนด้วย กำหนดให้ประชาชนได้รับการศึกษาฟรีไม่น้อยกว่า 12 ปี
กำหนดให้บุคคลที่ไร้ที่อยู่อาศัยและไม่มีรายได้เพียงพอมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือจากรัฐเป็นครั้งแรก
รวมตลอดถึงขยายสิทธิชุมชุมให้ครอบคลุมถึงการรวมตัวกันของชุมชนที่ไม่จ ำต้องรวมตัวกันมากเป็น
เวลานานจนถือว่าเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม นอกจากนี้การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจ
ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ หรือสุขภาพของ
ประชาชน จะต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน โดย
ชุมชนมสี ทิ ธทิ จี่ ะฟ้องหน่วยงานของภาครัฐได้
การทำให้การใช้สิทธิและเสรีภาพง่ายขึ้นโดยแบ่งหมวดหมู่ของสิทธิและเสรีภาพให้ชัดเจน
กำหนดให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองและคุ้มครองได้ทันทีแม้ยังไม่มี
กฎหมายลูกตราขึ้นโดยการร้องขอต่อศาล กำหนดให้รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุนและช่วยเหลือ
ประชาชนในการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งลดจำนวนประชาชนในการเข้าชื่อเสนอ
ร่างกฎหมายและถอดถอนผ้ดู ำรงตำแหนง่ ทางการเมอื งและขา้ ราชการประจำระดับสงู
53
การทำให้การใช้สิทธิและเสรีภาพมีประสิทธิภาพและมีมาตรการคุ้มครองอย่างชัดเจน โดย
การตัดคำว่า “ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ”ออกจากท้ายบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพหลาย
มาตรา เพื่อแสดงให้เห็นว่าสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกิดขึ้นทันทีตามรัฐธรรมนูญ และกำหนด
ระยะเวลาในการตรากฎหมายลูกที่เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนให้ชัดเจน รวมทั้งให้
ประชาชนมีสิทธิฟ้องศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพที่บัญญัติไว้ใน
รัฐธรรมนูญ ให้ชุมชนมีสิทธิฟ้องศาลได้ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิชุมชน ให้คณะกรรมการสิทธิ
มนุษยชนแห่งชาตฟิ ้องศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองได้ และเป็นผ้เู สียหายแทนประชาชนเพ่ือฟ้อง
ศาลในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ยังกำหนดให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการมิชอบอันมีผลกระทบต่อประชาชา
ชนส่วนรวมไดโ้ ดยไม่ต้องมกี ารรอ้ งเรยี นกอ่ น
ในเชิงเปรียบเทียบ จะพบว่ารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แตกต่างจากฉบับ พ.ศ. 2540 อยู่หลาย
ประการ ดังจะเห็นว่ามีการถอดรื้อโครงสร้าง เช่น สิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
ประชาชน ที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ องค์กร
อิสระ อำนาจตลุ าการ การเงินการคลังงบประมาณ ฯลฯ
รัฐธรรมนูญ 2540 ได้รับการกล่าวขานว่ามีความก้าวหน้าเนื่องจากนำแนวคิดใหม่ๆ ที่ลอก
เลียนจากต่างประเทศมาใช้ แต่เมื่อบังคับใช้จริงก็ดูจะไม่ค่อยสอดคล้องกับวัฒนธรรมการเมืองไทย
เพราะเกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวงขนาดใหญ่ การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางทั้งกรณีการฆ่า
ตัดตอน 2 พันศพ อุ้มฆ่าแกนนำภาคประชาชนที่ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในพื้นที่ เช่น กรณี
ของ สมชาย นีละไพจิตร นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญ 2540 ถูกวิจารณ์ว่าทำให้ฝ่ายการเมืองเข้มแข็ง
เกินไปจนเกิดระบบผู้นำกึ่งประธานาธิบดี รัฐธรรมนูญ 2550 จึงถูกวิจารณ์ว่ามีอคติต่อ "ระบอบ
ทกั ษิณ" ท่ีมคี ำอธิบายว่าเป็นเผดจ็ การทุนนยิ ม ใช้อำนาจผ่านพรรคการเมอื งใหญ่ ทำให้เกิดผูน้ ำเดี่ยวที่
สามารถใช้อำนาจได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ละเลยต่อเสียงปัญญาชนในสังคม สุดท้ายจึงสร้างปัญหาต่อ
ระบอบประชาธิปไตยจนก่อตัวเป็นวิกฤตการเมือง รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงมีข้อห้ามต่างๆ ที่เป็น
พฤติกรรมของระบอบทักษิณ เช่น ห้ามควบรวมพรรคการเมืองในระหว่างอายุของสภาผู้แทนราษฎร
การทำเอฟทีเอต้องฟังความเห็นจากรัฐสภา เข้มงวดต่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและจริยธรรมของ
นักการเมอื ง สร้างมาตรการป้องกนั ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น เป็นต้น
จุดแข็งของรัฐธรรมนูญ 2550 คือบทบัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น รัฐต้องจัด
สวัสดิการขั้นพื้นฐานแกป่ ระชาชนทุกชนชั้น ผู้ยากไร้ ผู้พิการ ทุพพลภาพต้องได้รับการศึกษาทัดเทยี ม
54
บุคคลอื่น ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย ผู้สูงอายุ ไม่มีรายได้เพียงพอ ต้องได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ ให้สิทธิ
ประชาชนได้รับหลักประกันและสวัสดิภาพในการทำงาน ให้สิทธิแก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐในการ
รวมกลุ่มเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตน ที่สำคัญคือให้มีผลบังคับทันที ต่างจากรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ระบุ
ข้อความท้ายมาตราต่างๆ ว่า "ทั้งนี้ ตามที่ กฎหมายบัญญัติ" หมวดที่ได้รับการบัญญัติขึ้นมาใหม่ เช่น
"สิทธิชุมชน" ชุมชนสามารถปกป้องสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรท้องถิ่นของตน หรือการกำหนดให้รัฐ
ต้องจัดให้มีการรับฟังความเห็นหากโครงการก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตหรือ
ทรัพยากรธรรมชาติ หมวด "การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน" ให้ประชาชนเข้าชื่อ
เสนอร่างกฎหมาย หรือถอดถอนนักการเมืองที่ประพฤติมิชอบได้ง่ายขึ้น ประชาชนมีโอกาสยื่นแก้ไข
รัฐธรรมนูญได้โดยตรง รวมถึงการ ให้รัฐต้องจัดให้มีกฎหมายการจัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาค
พลเมือง ฯลฯ
หมวด "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" มีสภาพบังคับให้รัฐต้องทำซึ่งต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับ
ก่อนๆ ที่จะทำหรือไม่ก็ได้ เพิ่มเนื้อหามุ่งกระจายความเป็นธรรมในสังคม และปกป้องทรัพย์สินของ
ชาติ เชน่ ปรบั ปรุงระบบการจัดเก็บภาษอี ากร การปฏิรูปทีด่ ิน จัดใหม้ ีการวางผังเมอื งเพ่อื ให้เกษตรกร
มีสิทธิในที่ดินอย่างทั่วถึง คุ้มครองสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานไม่ให้เกิดการผูกขาด หรือ หากรัฐบาลจะ
ทำสนธิสญั ญาทม่ี ผี ลตอ่ ความม่ันคงทางสงั คมหรือเศรษฐกิจ เช่น เอฟทเี อ ต้องได้รับความเห็นชอบจาก
รัฐสภาก่อน จุดเด่นอื่นๆ คือ มาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนที่เข้มแข็งขึ้น เช่น ห้าม
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวมถึงภรรยาและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นผู้ถือ หุ้นในบริษัท
กำหนดให้ ส.ส. และ ส.ว. ตลอดจนคู่สมรสและบุตร ห้ามรับหรือแทรกแซงสัมปทานจากรัฐ หน่วย
ราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม กำหนดให้ ส.ส. และ ส.ว. แสดงบัญชี
ทรัพย์สิน จากเดมิ ที่กำหนดเฉพาะนายกรฐั มนตรีและรฐั มนตรี และไดเ้ พิ่มหมวด "จรยิ ธรรมของผูด้ ำรง
ตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ" สร้างกลไกควบคุมการใช้อำนาจให้เป็นไปโดยสุจริตและ
เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงระบบตรวจสอบโดยรื้อที่มาองค์กรอสิ ระท้ังหมด ป้องกันไม่ให้ฝ่าย
การเมืองแทรกแซงกระบวนการสรรหาอยา่ งท่ีเกดิ ข้ึนในอดีต
ในการจัดทำรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ผู้ที่เกี่ยวข้องจะคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ของประชาชนเป็นประการสำคัญเสมอมา เพราะมองว่าสิทธิและเสรีภาพเป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรี
ของความเป็นมนุษย์ และประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น หากละเลยหรือไม่คุ้มครอง
เรื่องเหล่านี้แล้วย่อมส่งผลต่อเกียรติภูมิของประเทศชาติตามไปด้วย การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงเป็นหลักการสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องนามา
55
บญั ญตั ไิ วใ้ นทุกๆ รัฐธรรมนูญ และในรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2560 ก็ไดม้ ีการ
นำเรื่องสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาบัญญัติไว้ในหมวด 3 มาตรา 25 – 49
(คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ, 2560)
หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย เป็นหมวดที่มีความสำคัญที่สุดหมวดหนึ่งใน
รัฐธรรมนูญ ทั้งนี้การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้มีการบัญญัติไว้เป็นครั้งแรกใน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 และบัญญัติไว้เรื่อยมาในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ
ในทางหลักการแล้ว หมวดนี้บัญญัติขึ้นเพื่อรองรับแนวคิดที่ว่ามนุษย์ควรได้รับความคุ้มครองจากรัฐ
เพื่อที่จะสามารถรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ได้ โดยห้ามมิให้รัฐใช้อำนาจทางนิติบัญญัติออก
กฎหมายเพื่อลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือเกินจาเป็น หลักการ
สำคัญนี้ปรากฏในมหากฎบัตรแม็กนา คาร์ต้า (Magna Carta) ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของ
โลก และนับแต่นั้นเป็นต้นมา การบัญญัติรัฐธรรมนูญจึงต้องมีบทบัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพขั้น
พืน้ ฐานของประชาชนไวเ้ สมอ
ทั้งน้ี การรับรองสิทธิและเสรีภาพแบ่งได้สามระดับ กล่าวคือ ระดับที่ 1 สิทธิและเสรีภาพท่ี
กระทบไม่ได้เลย ระดับท่ี 2 สิทธิและเสรีภาพที่กระทบได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด และระดับท่ี 3 สิทธิ
และเสรีภาพที่กระทบได้โดยไม่มีเงื่อนไข ได้แก่สิทธิในทรัพย์สนิ ของบุคคล นอกจากนั้นที่มาของหมวด
3 นี้ยังสืบเนื่องมาจากหลักการที่วางไว้ใน หมวด 1 บททั่วไป มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า“ศักดิ์ศรีความเปน็
มนษุ ย์ สทิ ธิ เสรภี าพ และความเสมอภาคของบคุ คลย่อมได้รบั ความค้มุ ครองปวงชนชาวไทยย่อมได้รับ
ความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน” ทั้งน้ี ตามหลักสากล สิทธิและเสรีภาพ หมายถึง “ทุกคนมี
สิทธิเสรีภาพติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดและมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน”ซึ่งสามารถอธิบายความหมายที่
เกี่ยวข้องได้ ดงั น้ี
1. “ทกุ คนมสี ิทธเิ สรีภาพติดตัวมาต้งั แตก่ ำเนิดและมีสทิ ธเิ สรีภาพเท่าเทียมกัน”
หมายถึง ไม่จาเป็นต้องมีกฎหมายรับรองแต่ถ้าจะห้ามหรือจากัดสิทธิเสรีภาพต้องตราเป็นกฎหมาย
เชน่ ครู่ กั ผู้ชายกบั ผ้ชู าย คู่รักผู้หญิงกบั ผูห้ ญงิ สามารถอยู่ด้วยกันไดโ้ ดยไม่ตอ้ งมีกฎหมายออกมาบังคบั
2. “ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดและมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน” หมายถึง
เลือกปฏิบัติไม่ได้ต้องทำให้ทุกคนใช้สิทธิเสรีภาพได้เหมือนกับคนอื่น การทำให้คนใช้สิทธิเสรีภาพเท่า
เทียมกัน เป็นสิ่งที่ต้องทำโดยไม่เลือกปฏิบัติ เช่น การทำทางให้คนพิการได้มีสิทธิใช้ทางเท้าได้เหมือน
คนปกติ
56
3. “ทกุ คนมีสิทธิเสรีภาพติดตวั มาตงั้ แตก่ ำเนดิ และมสี ิทธิเสรภี าพเท่าเทียมกัน” หมายถงึ การ
ใช้สิทธิเสรีภาพต้องมีความรับผิดชอบไม่กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพของคนอื่น และความมั่นคง
ปลอดภัยของรัฐ ตามหลักสากลกำหนดว่า การใช้สิทธิเสรีภาพจะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อความ
มั่นคงปลอดภัยของรัฐและต้องไม่กระทบกระเทือนสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น เมื่อประชาชนมี
สทิ ธิและเสรีภาพ รฐั มหี นา้ ทโี่ ดยปรยิ ายทจี่ ะตอ้ งดำเนินการ 3 อย่าง คือ 1) ไม่ละเมดิ สทิ ธแิ ละเสรภี าพ
ของประชาชน 2) คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน 3) ดำเนินการให้ประชาชนใช้สิทธิและ
เสรภี าพได้อย่างแทจ้ ริง
ทั้งน้ี ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้เปลี่ยนวิธีการเขียนใหม่ให้
เป็นสากลมากขึ้น โดยวางหลักการให้ “อะไรที่ไม่ได้ห้ามไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย สามารถทำได้
และได้รับการคุ้มครอง” และในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดกรอบการใช้สิทธิเสรีภาพตามหลักสากล
(International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) ไว้ 3 ข้อ ดังน้ี
1) ต้องไม่กระทบความมัน่ คงปลอดภยั ของชาติ
2) ตอ้ งไมก่ ระทบความสงบเรียบร้อย
3) ตอ้ งไม่กระทบสิทธิเสรีภาพของคนอืน่
อนึ่ง คำว่า “สิทธิ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง อำนาจอัน
ชอบธรรม โดยได้รับการรับรองจากกฎหมาย ทั้งนี้ สิทธิตามรัฐธรรมนูญนั้นถือว่าเป็นสิทธิ ที่อำนาจ
ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุดได้บัญญัติให้การรับรองคุ้มครองแก่บุคคลในอันที่จะกระทำการใด
หรือไม่กระทำการใด การให้อำนาจแก่บุคคลดังกล่าวได้ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องที่จะไม่ให้บุคคลใด
แทรกแซงในสิทธิตามรัฐธรรมนูญของตน ดังนั้น สิทธิตามรัฐธรรมนูญจึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง
บุคคลกับรัฐ และสิทธิตามรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิที่ผูกพันให้รัฐต้องปกป้อง และคุ้มครองสิทธิตามที่ได้
บญั ญตั ใิ นรัฐธรรมนญู ดังกล่าว เพ่อื ใหส้ ทิ ธติ ามรัฐธรรมนญู มีผลในทางปฏบิ ัติ
ส่วน “เสรีภาพ” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง ความสามารถ
ที่จะกระทำการใดๆ ได้ตามที่ตนปรารถนาโดยไม่มีอุปสรรคขัดขวาง เช่น เสรีภาพในการพูด เสรีภาพ
ในการนับถือศาสนา เป็นต้น อย่างไรก็ดี เมื่อมีสิทธิแล้วย่อมจะต้องมีหน้าที่ความรับผิดชอบตามมา
ด้วย สิทธิและหน้าที่จึงเป็นของคู่กัน เพราะเม่ือบุคคลใดบุคคลหนึ่งมีสิทธิหรือได้ประโยชน์ที่กฎหมาย
รับรองให้แล้ว อีกบุคคลหนึ่งก็จะต้องมีหน้าที่ที่จะต้องไม่รบกวนหรือขัดขวางต่อสิทธินั้น ในอันที่จะ
กระทำการหรือ งดเว้นไม่กระทำการใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามสิทธินั้นอย่างไรก็ได้ นอกจากน้ี เสรีภาพ
ของบุคคลก็ย่อมก่อหน้าที่แก่บุคคลอื่นๆ เช่นกัน โดยบุคคลอื่นๆ ไม่มีสิทธิที่จะบังคับหรือขัดขวางการ
57
ใช้เสรีภาพของบุคคล ทั้งนี้การใช้เสรีภาพจะต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชน และไมล่ ะเมดิ สทิ ธิหรือเสรีภาพของบคุ คลอน่ื
ทั้งนี้ ความในหมวด 3 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้มีการ
ปรับปรุงหลักการจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ โดยเป็นการรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนชาว
ไทยให้ครอบคลุมกว้างขึ้นกว่าเดิมจากที่เคยกำหนดให้สิทธิและเสรีภาพที่ได้รับการคุ้มครองจะมี
เฉพาะที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้น โดยรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติ
ให้เปิดกว้างสอดคล้องกับหลักสากล เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกันในระบอบ
ประชาธิปไตย ให้สามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้ทันทีไม่ต้องรอให้มีการบัญญัติกฎหมายอนุวัติการมา
ใช้บังคับก่อน ทั้งนี้ ถ้าไม่ได้มีการกำหนดห้ามหรือจากัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่นแล้ว
บุคคลย่อมมีสิทธแิ ละเสรภี าพท่จี ะทำการน้นั ไดแ้ ละได้รบั ความค้มุ ครองตามรัฐธรรมนูญ นอกจากน้ี ยัง
ได้รับรองสิทธิชุมชนมากขึ้นกว่าเดิมด้วย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิและเสรีภาพย่อมต้องมีความ
รับผิดชอบต่อผู้อ่ืน สังคม และประเทศชาติ โดยในหมวดนี้ ได้กำหนดกรอบการใช้สิทธิและเสรีภาพวา่
ต้องไม่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ ต้องไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชน และไมล่ ะเมดิ สทิ ธหิ รือเสรภี าพของบคุ คลอนื่
มาตรา 26
การตรากฎหมายท่มี ีผลเป็นการจำกดั สิทธิหรือเสรีภาพของบคุ คลต้องเป็นไปตามเงอ่ื นไขทบ่ี ัญญัติ
ไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติ
ธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุและจะกระทบต่อศักดิ์ศรี
ความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพไว้
ด้วย
กฎหมายตามวรรคหนึ่ง ต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณี
หน่ึงหรอื แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเปน็ การเจาะจง
มาตรา 27
บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มสี ทิ ธิและเสรภี าพและได้รับความคมุ้ ครองตามกฎหมายเทา่ เทียม
กนั
58
ชายและหญงิ มสี ิทธิเทา่ เทยี มกนั
การเลือกปฏิบัติโดยไมเ่ ป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ
ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือ
สังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติ
แหง่ รัฐธรรมนูญหรือเหตุอ่ืนใด จะกระทำมไิ ด้
มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิ ทธิหรือเสรีภาพได้
เช่นเดียวกับบุคคลอื่น หรือเพื่อคุ้มครองหรืออำนวยความสะดวกให้แก่เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ
หรือผู้ด้อยโอกาส ยอ่ มไมถ่ ือว่าเปน็ การเลือกปฏบิ ตั โิ ดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม
บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กร
ของรัฐย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้ในกฎหมายเฉพาะในส่วนท่ี
เก่ยี วกับการเมอื ง สมรรถภาพ วนิ ยั หรอื จรยิ ธรรม
มาตรา 28
บคุ คลย่อมมสี ิทธิและเสรภี าพในชวี ิตและร่างกาย การจับและการคมุ ขังบุคคลจะกระทำมไิ ด้
เว้นแตม่ คี ำส่ังหรือหมายของศาลหรือมเี หตอุ ยา่ งอื่นตามท่กี ฎหมายบัญญัติ
การค้นตัวบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิตหรือร่างกาย
จะกระทำมไิ ด้ เวน้ แตม่ เี หตตุ ามท่ีกฎหมายบัญญัติ
การทรมาน ทารุณกรรม หรอื การลงโทษด้วยวธิ กี ารโหดร้ายหรอื ไรม้ นุษยธรรมจะกระทำมไิ ด้
มาตรา 29
บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติ
เป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแกบ่ คุ คลนนั้ จะหนักกวา่ โทษทบ่ี ัญญัติไวใ้ นกฎหมายท่ี
ใช้อยใู่ นเวลาทก่ี ระทำความผดิ มิได้
ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอัน
ถึงทสี่ ุดแสดงว่าบคุ คลใดไดก้ ระทำความผดิ จะปฏิบัติต่อบคุ คลนั้นเสมอื นเปน็ ผู้กระทำความผดิ มไิ ด้
59
การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยให้กระทำได้เพียงเท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกันมิให้มีการ
หลบหนีในคดีอาญา จะบังคบั ใหบ้ ุคคลให้การเป็นปฏปิ ักษต์ ่อตนเองมิได้
คำขอประกันผ้ตู ้องหาหรือจำเลยในคดอี าญาตอ้ งได้รับการพิจารณาและจะเรียกหลักประกันจน
เกินควรแกก่ รณมี ิได้ การไมใ่ ห้ประกนั ต้องเป็นไปตามท่ีกฎหมายบัญญตั ิ
มาตรา 30
การเกณฑ์แรงงานจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราข้ึน
เพื่อป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ หรือในขณะที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎ
อยั การศกึ หรอื ในระหว่างเวลาทีป่ ระเทศอย่ใู นภาวะสงครามหรือการรบ
มาตรา 31
บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบ
พิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยไม่เป็นอันตราย
ตอ่ ความปลอดภยั ของรฐั และไมข่ ดั ต่อความสงบเรียบรอ้ ยหรอื ศีลธรรมอันดขี องประชาชน
มาตรา 32
บคุ คลยอ่ มมีสิทธใิ นความเปน็ อยู่ส่วนตวั เกียรติยศ ชือ่ เสียง และครอบครวั
การกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสทิ ธิของบคุ คลตามวรรคหนึ่ง หรือการนำข้อมูลส่วน
บุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใดๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่ง
กฎหมายท่ีตราขึ้นเพยี งเท่าท่ีจำเป็นเพอ่ื ประโยชน์สาธารณะ
มาตรา 33
บุคคลยอ่ มมเี สรภี าพในเคหสถาน
การเขา้ ไปในเคหสถานโดยปราศจากความยนิ ยอมของผู้ครอบครอง หรือการคน้ เคหสถานหรือท่ี
รโหฐานจะกระทำมิได้ เวน้ แตม่ คี ำสงั่ หรือหมายของศาลหรอื มเี หตอุ ยา่ งอืน่ ตามทก่ี ฎหมายบญั ญัติ
60
มาตรา 34
บุคคลยอ่ มมีเสรภี าพในการแสดงความคดิ เหน็ การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการ
สื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตาม
บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพ
ของบุคคลอื่นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพ
ของประชาชน
เสรีภาพทางวิชาการย่อมได้รับความคุ้มครอง แต่การใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ของปวง
ชนชาวไทยหรอื ศลี ธรรมอันดีของประชาชน และต้องเคารพและไม่ปิดก้นั ความเหน็ ต่างของบคุ คลอ่ืน
มาตรา 35
บุคคลซึ่งประกอบวชิ าชพี ส่ือมวลชนยอ่ มมีเสรภี าพในการเสนอข่าวสารหรอื การแสดงความคิดเหน็ ตาม
จรยิ ธรรมแห่งวิชาชพี
การสง่ั ปดิ กจิ การหนงั สอื พิมพ์หรอื สือ่ มวลชนอื่นเพอ่ื ลดิ รอนเสรีภาพตามวรรคหน่งึ จะกระทำ
มไิ ด้
การให้นำข่าวสารหรือข้อความใดๆ ที่ผูป้ ระกอบวิชาชีพสื่อมวลชนจัดทำขึ้นไปให้เจ้าหน้าท่ีตรวจ
ก่อนนำไปโฆษณาในหนังสือพิมพ์หรือสื่อใดๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะกระทำในระหว่างเวลาท่ี
ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม
เจา้ ของกจิ การหนังสอื พมิ พ์หรือสื่อมวลชนอื่นต้องเป็นบคุ คลสญั ชาตไิ ทย
การให้เงินหรือทรัพย์สินอื่นเพื่ออุดหนุนกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นของเอกชน รัฐจะ
กระทำมิได้ หน่วยงานของรฐั ท่ีใช้จ่ายเงินหรือทรัพย์สินให้สื่อมวลชนไม่วา่ เพือ่ ประโยชน์ในการโฆษณา
หรือประชาสัมพันธ์ หรือเพื่อการอื่นใดในทำนองเดียวกันต้องเปิดเผยรายละเอียดให้คณะกรรมการ
ตรวจเงินแผ่นดินทราบตามระยะเวลาทกี่ ำหนดและประกาศให้ประชาชนทราบดว้ ย
เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง แต่ให้คำนึงถึง
วัตถุประสงค์และภารกิจของหน่วยงานท่ีตนสงั กัดอยดู่ ้วย
61
มาตรา 36
บคุ คลยอ่ มมเี สรภี าพในการตดิ ต่อสอื่ สารถงึ กนั ไม่ว่าในทางใดๆ
การตรวจ การกัก หรือการเปิดเผยข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกัน รวมทั้งการกระทำด้วยประการ
ใดๆเพื่อให้ล่วงรู้หรือได้มาซึ่งข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกันจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของ
ศาล หรือมเี หตอุ ยา่ งอืน่ ตามท่กี ฎหมายบญั ญตั ิ
มาตรา 37
บคุ คลย่อมมสี ทิ ธใิ นทรัพย์สนิ และการสืบมรดก
ขอบเขตแหง่ สิทธิและการจำกดั สิทธิเชน่ ว่านี้ ใหเ้ ป็นไปตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ที่ตราขึ้นเพือ่ การอันเป็นสาธารณูปโภค การป้องกันประเทศ หรือการได้มาซ่ึงทรพั ยากรธรรมชาติหรือ
เพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น และต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรม ภายในเวลาอันควรแก่เจ้าของ,
ตลอดจนผู้ทรงสิทธิบรรดาที่ได้รับความเสียหายจากการเวนคืน โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ
ผลกระทบตอ่ ผู้ถูกเวนคนื รวมท้งั ประโยชน์ท่ผี ้ถู กู เวนคืนอาจไดร้ ับจากการเวนคืนนั้น
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ให้กระทำเพียงเท่าที่จำเป็นต้องใช้เพื่อการที่บัญญัติไว้ในวรรคสาม
เว้นแต่เป็นการเวนคืนเพื่อนำอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของ
อสังหาริมทรพั ย์ท่ถี กู เวนคืนตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิ
กฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต้องระบุวัตถปุ ระสงค์แห่งการเวนคนื และกำหนดระยะเวลาการ
เข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ให้ชัดแจ้ง ถ้ามิได้ใช้ประโยชน์เพื่อการนั้นภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือมี
อสังหาริมทรัพย์เหลือจากการใช้ประโยชน์ และเจ้าของเดิมหรือทายาทประสงค์จะได้คืน ให้คืนแก่
เจา้ ของเดิมหรอื ทายาท
ระยะเวลาการขอคืนและการคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนที่มิได้ใช้ประโยชน์ หรือที่เหลือจาก
การใช้ประโยชน์ให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาท และการเรียกคืนค่าทดแทนที่ชดใช้ไป ให้เป็นไปตามท่ี
กฎหมายบัญญตั ิ
62
การตรากฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์โดยระบุเจาะจงอสังหาริมทรัพย์หรือเจ้าของ
อสังหารมิ ทรพั ย์ท่ถี กู เวนคนื ตามความจำเปน็ มใิ ห้ถอื วา่ เปน็ การขดั ตอ่ มาตรา 26 วรรคสอง
มาตรา 38
บคุ คลย่อมมเี สรีภาพในการเดินทางและการเลอื กถิ่นทอ่ี ยู่
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่ง
กฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือการ
ผังเมืองหรือเพ่อื รักษาสถานภาพของครอบครวั หรือเพื่อสวัสดิภาพของผเู้ ยาว์
มาตรา 39
การเนรเทศบุคคลสัญชาติไทยออกนอกราชอาณาจักร หรือห้ามมิให้ผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาใน
ราชอาณาจกั ร จะกระทำมิได้
การถอนสญั ชาติของบุคคลซงึ่ มสี ญั ชาตไิ ทยโดยการเกดิ จะกระทำมิได้
มาตรา 40
บคุ คลยอ่ มมีเสรภี าพในการประกอบอาชีพ
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่ง
กฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงหรือเศรษฐกิจของประเทศ การแข่งขันอย่างเป็นธรรม การ
ป้องกันหรือขจัดการกีดกันหรือการผูกขาด การคุ้มครองผู้บริโภค การจัดระเบียบการประกอบอาชพี
เพยี งเท่าทจี่ ำเปน็ หรอื เพอ่ื ประโยชนส์ าธารณะอย่างอนื่
การตรากฎหมายเพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพตามวรรคสอง ต้องไม่มีลักษณะเป็นการ
เลอื กปฏบิ ัติหรอื ก้าวก่ายการจัดการศึกษาของสถาบันการศกึ ษา
มาตรา 41
บคุ คลและชุมชนยอ่ มมีสทิ ธไิ ด้รบั ทราบและเขา้ ถึงข้อมลู หรอื ขา่ วสารสาธารณะในครอบครองของ
หนว่ ยงานของรฐั ตามที่กฎหมายบญั ญัติ
63
เสนอเรอ่ื งราวรอ้ งทุกขต์ อ่ หน่วยงานของรฐั และได้รบั แจง้ ผลการพิจารณาโดยรวดเร็ว
ฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการ
พนกั งาน หรอื ลกู จ้างของหน่วยงานของรฐั
มาตรา 42
บุคคลยอ่ มมีเสรภี าพในการรวมกันเป็นสมาคม สหกรณ์ สหภาพ องคก์ ร ชุมชนหรือหมู่คณะอนื่
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่ง
กฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี
ของประชาชน หรือเพอื่ การปอ้ งกันหรอื ขจัดการกดี กันหรอื การผกู ขาด
มาตรา 43
บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิอนุรักษ์ ฟื้นฟู หรือส่งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม
ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีอันดีงามทั้งของท้องถิ่นและของชาติ จัดการ บำรุงรักษา และใช้
ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและ
ยงั่ ยนื ตามวิธีการที่กฎหมายบญั ญัติ เขา้ ชอ่ื กนั เพื่อเสนอแนะต่อหนว่ ยงานของรัฐให้ดำเนินการใดอันจะ
เปน็ ประโยชน์ตอ่ ประชาชนหรอื ชุมชน หรืองดเวน้ การดำเนินการใดอนั จะกระทบต่อความเป็นอยูอ่ ย่าง
สงบสุขของประชาชนหรือชุมชนและไดร้ บั แจ้งผลการพิจารณาโดยรวดเร็ว ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐต้อง
พิจารณาข้อเสนอแนะนั้นโดยให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วยตามวิธีการที่
กฎหมายบญั ญัติ
จัดใหม้ รี ะบบสวสั ดิการของชุมชน
สิทธขิ องบุคคลและชุมชนตามวรรคหนึ่ง หมายความรวมถึงสทิ ธทิ ่ีจะร่วมกับองค์กรปกครองส่วน
ทอ้ งถิน่ หรือรัฐในการดำเนินการดงั กลา่ วด้วย
มาตรา 44
บคุ คลยอ่ มมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
64
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่ง
กฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือ
ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน หรอื เพือ่ คมุ้ ครองสิทธหิ รือเสรภี าพของบุคคลอน่ื
มาตรา 45
บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุข ตามท่กี ฎหมายบัญญตั ิ
กฎหมายตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบริหารพรรคการเมือง ซึ่งต้อง
กำหนดให้เป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการ
กำหนดนโยบายและการส่งผู้สมัครรับเลือกตง้ั และกำหนดมาตรการใหส้ ามารถดำเนินการโดยอิสระไม่
ถูกครอบงำหรือชี้นำโดยบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น รวมทั้งมาตรการกำกับดูแลมิ
ให้สมาชิกของพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการ
เลอื กต้ัง
มาตรา 46
สิทธิของผบู้ ริโภคยอ่ มได้รบั ความค้มุ ครอง
บคุ คลย่อมมสี ทิ ธิรวมกนั จัดต้ังองค์กรของผบู้ รโิ ภคเพอื่ คมุ้ ครองและพทิ ักษส์ ทิ ธขิ องผ้บู ริโภค
องค์กรของผู้บริโภคตามวรรคสองมีสิทธิรวมกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระเพื่อให้เกิด
พลังในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และ
วิธีการจัดตั้ง.อำนาจในการเป็นตัวแทนของผู้บริโภค และการสนับสนุนด้านการเงินจากรัฐ ให้เป็นไป
ตามทก่ี ฎหมายบญั ญัติ
มาตรา 47
บคุ คลยอ่ มมีสทิ ธไิ ดร้ บั บรกิ ารสาธารณสขุ ของรัฐ
บคุ คลผยู้ ากไรย้ อ่ มมีสิทธไิ ด้รับบรกิ ารสาธารณสขุ ของรฐั โดยไมเ่ สยี คา่ ใช้จ่ายตามท่กี ฎหมาย
บัญญัติ
65
บคุ คลย่อมมสี ทิ ธิไดร้ บั การป้องกันและขจดั โรคตดิ ตอ่ อนั ตรายจากรฐั โดยไม่เสียคา่ ใชจ้ า่ ย
มาตรา 48
สิทธิของมารดาในชว่ งระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตรย่อมได้รับความคมุ้ ครองและช่วยเหลือ
ตามทก่ี ฎหมายบัญญตั ิ
บุคคลซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ และบุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิ
ได้รับความชว่ ยเหลือทเ่ี หมาะสมจากรัฐตามทกี่ ฎหมายบญั ญตั ิ
มาตรา 49
บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเปน็ ประมขุ มิได้
ผู้ใดทราบว่ามีการกระทำตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาล
รฐั ธรรมนญู วินิจฉัยสั่งการใหเ้ ลกิ การกระทำดังกลา่ วได้
ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดำเนินการภายในสิบห้าวัน
นบั แตว่ นั ท่ไี ดร้ ับคำรอ้ งขอ ผรู้ ้องขอจะยื่นคำรอ้ งโดยตรงตอ่ ศาลรัฐธรรมนญู กไ็ ด้
การดำเนินการตามมาตรานีไ้ มก่ ระทบตอ่ การดำเนินคดอี าญาต่อผกู้ ระทำการตามวรรคหนง่ึ
กล่าวโดยสรุปได้ว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้ให้การรับรอง
ศักดิ์ศรีความเปน็ มนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล (มาตรา 4) และการได้รับความ
คุ้มครองด้านสิทธิและเสรีภาพ เสมอกันของบุคคลภายใต้กฎหมาย (หมวด 3 มาตรา 27) โดย
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย ได้กำหนด ขอบข่ายของการให้ความคุ้มครองด้านสิทธิและเสรีภาพ
ของประชาชนผ่าน 4 หมวด อันได้แก่ หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หมวด 4 หน้าที่
ของปวงชนชาวไทย หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ และหมวด 6 นโยบายแห่งรัฐอันประกอบด้วยสิทธิ
มนุษยชนในด้านต่างๆ ที่สำคัญ กล่าวคือ(1) ด้านกระบวนการยุติธรรม การให้ความคุ้มครองสิทธิ
มนุษยชนขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในด้านร่างกาย ชีวิตและทรัพย์สินซึ่งครอบคลุม
ตั้งแต่กระบวนการสืบสวนสอบสวน การดำเนินคดี การพิจารณาตัดสินคดี การกักขัง การลงโทษ การ
66
บําบัดฟื้นฟูผู้ต้องขัง โดยมีมิติของการให้ความคุ้มครองสิทธิเหยื่อ ผู้ต้องหา ผู้ต้องขัง และผู้ต้องโทษ
(มาตรา 25 มาตรา 27 – 29 มาตรา 33 มาตรา 68 และมาตรา 71)
หมวด 3
สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย
สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะใน
รัฐธรรมนูญแล้ว การใดท่ีมไิ ดห้ ้ามหรอื จำกดั ไว้ในรฐั ธรรมนญู หรือในกฎหมายอน่ื บคุ คลยอ่ มมีสทิ ธแิ ละ
เสรภี าพที่จะทำการนนั้ ไดแ้ ละไดร้ ับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเทา่ ที่การใช้สิทธหิ รือเสรีภาพ
เช่นว่านั้นไม่กระทบกระเทอื นหรือเป็นอันตรายต่อความม่ันคงของรฐั ความสงบเรยี บรอ้ ยหรือศีลธรรม
อนั ดีของประชาชน และไมล่ ะเมดิ สทิ ธหิ รอื เสรีภาพของบคุ คลอนื่
สิทธิหรือเสรีภาพใดที่รัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือให้เป็นไปตาม
หลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ แม้ยังไม่มีการตรากฎหมายนั้นขึ้นใช้บังคับ บุคคลหรือชุมชน
ยอ่ มสามารถใชส้ ิทธิหรือเสรภี าพนนั้ ได้ตามเจตนารมณข์ องรฐั ธรรมนญู
บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ สามารถยก
บทบัญญตั แิ ห่งรัฐธรรมนูญเพือ่ ใช้สทิ ธทิ างศาลหรือยกข้นึ เป็นขอ้ ต่อส้คู ดใี นศาลได้
บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพหรือจากการกระทำความผิด
อาญาของบุคคลอืน่ ยอ่ มมสี ิทธิท่ีจะไดร้ ับการเยยี วยาหรือช่วยเหลอื จากรฐั ตามทกี่ ฎหมายบัญญัติ
(2) ด้านสาธารณสุข การให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ
อนามัยและความปลอดภัย ของประชาชน ซึ่งมีทั้งในมิติของการป้องกัน แก้ไขปัญหา และการ
ช่วยเหลือเยียวยา ในการให้ความคุ้มครองสิทธิ ในด้านดังกล่าว รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้
กำหนดบทบาทหน้าที่ของรัฐในการสนับสนุนและส่งเสริม ด้านทรัพยากรเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิใน
การได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ (มาตรา 46 – 48 มาตรา 55 มาตรา 61
และมาตรา 71)
(3) ด้านการศึกษา การให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการ
ได้รับการศึกษา การพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่สำคญั คือ
เด็กและเยาวชน ในการ ให้ความคุ้มครองสิทธิในด้านดังกล่าวรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้
กำหนดบทบาทหน้าท่ีของรัฐในการสนับสนุนในดา้ นทรัพยากรและการช่วยเหลือเยียวยาผู้ยากไร้ อาทิ
การดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับ การศึกษาเป็นเวลาสิบสองปีตั้งแตก่ ่อนวยั เรียนจนจบการศึกษาภาค
บังคับอย่างมีคุณภาพแบบให้เปล่า หน้าท่ี ของรัฐในการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุน
67
ทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและเพื่อ เสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพ
ครู เป็นต้น (มาตรา 54)
(4) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
ของประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการจัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์
จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ที่ต้องเป็นไปอย่างยั่งยืน โดย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้กำหนดหน้าที่ของรัฐในการจัดให้ผู้มีส่วนได้เสียประชาชนและ
ชุมชนทเ่ี กีย่ วขอ้ งมีสว่ นร่วมในการแสดง ความคิดเห็น ใหข้ ้อเสนอแนะ ก่อนการดำเนินการของรัฐหรือ
ที่รัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดำเนินการ ซึ่งการให้ ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนด้านทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมในลักษณะดังกล่าวถือว่าเป็นการให้ ความคุ้มครองที่เป็นคู่ขนานกับสิทธิทางการเมืองการ
ปกครอง (มาตรา 43 มาตรา 58 และมาตรา 72)
(5) ด้านที่อยู่อาศยั การให้ความคุ้มครองสทิ ธิมนษุ ยชนข้นั พน้ื ฐานทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับการดำรงชวี ิต
วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ซึ่งครอบคลมุ สิทธดิ ้านทีอ่ ยู่อาศัย ที่ดินทำกิน การสืบทอดมรดก การครอบครอง
การบริหาร จดั การและการถ่ายโอนทรัพยส์ ิน เสรีภาพในการประกอบอาชีพ การเดินทางและเลือกถ่ิน
ฐานที่อยู่อาศัย โดยในมิติดังกล่าวรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ให้การคุ้มครองในลักษณะของ
การจำกดั ขอบขา่ ย การใชอ้ ำนาจของรฐั ซ่ึงต้องเป็นไปเพ่อื ความม่ันคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือ
สวสั ดภิ าพของประชาชน หรือการผังเมอื ง หรือเพ่ือรักษาสถานภาพของครอบครัว หรอื เพือ่ สวสั ดิภาพ
ของผเู้ ยาว์(มาตรา 37 – 38)
(6) ด้านการขนส่ง การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับการให้บริการและสร้างความเสมอ
ภาคของประชาชน ทกุ กลุ่มในการใชบ้ ริการโครงสรา้ งพื้นฐานดา้ นคมนาคมขนส่งของรฐั โดยรัฐจะตอ้ ง
จัดให้มีมาตรการหรือกลไก ที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคด้านต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นด้านการรู้ข้อมูลที่เป็นจริง ด้านความปลอดภัย ด้านความเป็นธรรมในการทำสัญญา หรือ
ด้านอน่ื ใดอนั เปน็ ประโยชนต์ อ่ ผ้บู ริโภค (มาตรา 27 มาตรา 46 มาตรา 56 และมาตรา 61)
(7) ดา้ นเศรษฐกิจ การใหค้ วามคุ้มครองสทิ ธมิ นุษยชนในการจัดระบบเศรษฐกจิ ในรฐั ธรรมนญู
กำหนดให้ ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่าง
ทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขจัดการ
ผูกขาดทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม และพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของ
ประชาชนและประเทศ รวมถึง การส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบ
68
สหกรณ์ประเภทต่างๆ และกิจการวิสาหกิจ ขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน
ตลอดจนการพัฒนาประเทศ จะต้องคำนึงถึงความสมดุล ระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนา
ด้านจิตใจและความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนประกอบกัน (มาตรา 40 มาตรา 46 มาตรา 61 และ
มาตรา 75)
(8) ด้านการเมืองการปกครองและความมั่นคง การให้ความคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขัน้ พ้ืนฐาน
ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิทางการเมือง ซึ่งมีขึ้น เพื่อจำกัดและตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ไม่ว่าจะเป็น
ทางตรงโดยประชาชนหรือทางอ้อมโดยองค์กร หรือผู้แทนโดยสิทธิทางการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจกั รไทยได้ให้การรบั รองจะเปน็ เรื่องการมสี ว่ นร่วม ของประชาชน ชุมชน และผมู้ ีส่วนได้เสีย
ในกระบวนการทางการเมือง ซึ่งมีตั้งแต่ระดับล่างในเรื่องสิทธิ ในการเข้าถึงข้อมูล รับทราบข้อมูลไป
จนถึงระดับสูงในเรื่องการให้ข้อเสนอแนะ การปรึกษา การวางแผนร่วมกัน กับภาครัฐก่อนที่จะมีการ
ตัดสินใจในเชิงนโยบายและลงมือปฏิบัติ(มาตรา 34 – 35 มาตรา 42 มาตรา 44 – 45 มาตรา 59
มาตรา 63 และมาตรา 76 - 78)
(9) ด้านสิทธิชุมชน วัฒนธรรม และศาสนา การอนุรักษ์ ฟื้นฟู หรือส่งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะ
วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี อันดีงามท้ังของท้องถิ่นและของชาติ การจัดการ
บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ
อย่างสมดุลและย่ังยืนตามวิธีการที่กฎหมายบัญญตั ิ รวมถึง การเข้าชือ่ เพ่ือเสนอแนะต่อหน่วยงานของ
รัฐให้ดำเนินการใดอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือชุมชน หรืองดเว้นการดำเนินการใดอันจะ
กระทบต่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุขของประชาชนหรือชมุ ชน (มาตรา 31 มาตรา 43 มาตรา 57 และ
มาตรา 67)
(10) ด้านข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การให้ความคุ้มครองสิทธิ
มนุษยชนขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการติดต่อส่ือสาร สิทธิในการรับทราบ เข้าถึงข้อมูล
ข่าวสาร ตลอดจนสิทธิในการใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ใช้เพื่อส่งวิทยุ กระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์
และโทรคมนาคม นอกจากนี้ สิทธิในด้านดังกล่าวถือว่ามีความเชื่อมโยงกับ สิทธิทางการเมือง
เนื่องจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนจะเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมต้องอาศัย
ข้อมูล ข้อเท็จจริง การแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเป็นพื้นฐานในการมีส่วนร่วมในกระบวนการ ทาง
การเมืองการปกครอง (มาตรา 35 – 36 มาตรา 41 มาตรา 56 มาตรา 60 และมาตรา 69) (แผนสิทธิ
มนุษยชนแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 4, 2562)
69
สถาบันของรฐั ทีท่ ำหน้าทีเ่ กี่ยวข้องกับสิทธมิ นษุ ยชนท่สี ำคัญ
1. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (National Human Rights Commission of
Thailand) เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบด้วย ประธานกรรมการ
สิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตาม
คำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้ซึ่งมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของ
ประชาชนเป็นที่ประจักษ์ ทั้งนี้ โดยต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้แทนจากองค์การเอกชนด้านสิทธิ
มนษุ ยชนด้วย
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีวาระการดำรงตำแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันท่ี
พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว วาระละ 7 ปี โดยมีสำนักงาน
คณะกรรมการสทิ ธิมนุษยชนแหง่ ชาติ เป็นหนว่ ยงานข้าราชการฝา่ ยรฐั สภาสามญั
สถานะและอำนาจหน้าท่ขี องคณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติ
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แหง่ ชาตมิ สี ถานะเปน็ องค์กรอสิ ระ บญั ญัติใหค้ ณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาตมิ อี ำนาจหน้าท่ีตาม
มาตรา 200 ดังนี้
(1) ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิ
มนุษยชน หรืออันไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็น
ภาคีและเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคล หรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำ
ดังกล่าวเพื่อดำเนินการ ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อ
ดำเนินตอ่ ไป
(2) เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ต่อรัฐสภา
และคณะรัฐมนตรเี พ่ือส่งเสริมและคุ้มครองสิทธมิ นุษยชน
(3) สง่ เสริมการศกึ ษาการวิจัยและการเผยแพร่ความรู้ดา้ นสิทธิมนษุ ยชน
(4) ส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยราชการ องค์การเอกชน และ
องคก์ ารอ่นื ในดา้ นสิทธิมนุษยชน
(5) จัดทำรายงานประจำปีเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศและ
เสนอตอ่ รัฐสภา
(6) อำนาจหนา้ ทีอ่ ืน่ ตามทกี่ ฎหมายบญั ญตั ิ
70
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แหง่ ชาตมิ ีสถานะเป็น “องคก์ รอ่นื ตามรัฐธรรมนูญ” และมีอำนาจหน้าทีต่ ามมาตรา 257 ดังนี้
(1) ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิ
มนุษยชน หรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี
และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำ
ดังกล่าวเพื่อดำเนินการ ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอให้รายงานต่อรัฐสภาเพ่ือ
ดำเนินการต่อไป
(2) เสนอเรื่องพรอ้ มดว้ ยความเห็นต่อศาลรฐั ธรรมนญู ในกรณที ี่เห็นชอบตามทม่ี ีผ้รู ้องเรยี น
ว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วย
รฐั ธรรมนญู ท้งั น้ี ตามพระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยวธิ พี ิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
(3) การเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง ในกรณีที่เห็นชอบตามที่มีผู้
ร้องเรียนว่ากฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดในทางปกครองกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและมีปัญหาที่
เกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธี
พจิ ารณาคดีปกครอง
(4) การฟอ้ งคดีต่อศาลยตุ ธิ รรมแทนผ้เู สยี หาย เมือ่ ได้รับการร้องขอจากผ้เู สียหายและ เป็น
กรณีที่เห็นสมควรเพื่อแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นส่วนรวม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
(5) เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎต่อรัฐสภาหรือ
คณะรัฐมนตรี เพ่อื สง่ เสรมิ และคุ้มครองสิทธมิ นุษยชน
(6) สง่ เสริมการศึกษา การวิจยั และการเผยแพรค่ วามรดู้ ้านสทิ ธิมนุษยชน
(7) ส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยราชการ องค์การเอกชน และ
องคก์ ารอน่ื ในดา้ นสิทธมิ นษุ ยชน
(8) จัดทำรายงานประจำปเี พ่อื ประเมินสถานการณด์ ้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ และ
เสนอตอ่ รฐั สภา
(9) อำนาจหนา้ ที่อ่นื ตามทกี่ ฎหมายบญั ญตั ิ
ต่อมาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีประกาศฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม
2557 เรื่อง การสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดให้รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 และให้องค์กรอิสระและองค์กรอ่ืน
71
ตามรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ด้วยเหตุดังกล่าวอำนาจหน้าที่ในการ
เสนอเรื่องและความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง และการฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทน
ผู้เสียหายจึงสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 คณะกรรมการสิทธิ
มนุษยชนแห่งชาติจึงมีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 15 ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แห่งชาติ พ.ศ. 2542 ดังน้ี
(1) ส่งเสริมการเคารพและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับประเทศและ
ระหว่างประเทศ
(2) ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิ
มนุษยชน หรืออันไม่เป็นตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็น
ภาคี และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคล หรือหน่วยงานที่กระทำ หรือละเลยการ
กระทำดังกล่าว เพอื่ ดำเนนิ การในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนนิ การตามทเ่ี สนอใหร้ ายงานต่อรัฐสภา
เพอ่ื ดำเนินการต่อไป
(3) เสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับต่อรัฐสภา
และคณะรฐั มนตรีเพ่ือสง่ เสริมและคมุ้ ครองสทิ ธิมนุษยชน
(4) สง่ เสริมการศกึ ษา การวิจัย และการเผยแพรค่ วามรดู้ า้ นสทิ ธมิ นุษยชน
(5) ส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยราชการ องค์การเอกชน และ
องค์การอ่นื ใดในดา้ นสทิ ธมิ นุษยชน
(6) จัดทำรายงานประจำปี เพื่อประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ
เสนอตอ่ รฐั สภาและคณะรัฐมนตรี และเปิดเผยตอ่ สาธารณชน
(7) ประเมินผลและจดั ทำรายงานผลการปฏิบัตงิ านประจำปเี สนอต่อรัฐสภา
(8) เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาในกรณีที่ประเทศไทยจะเข้าไปเป็นภาคี
สนธิสญั ญาเก่ียวกบั การส่งเสริมและคมุ้ ครองสทิ ธมิ นุษยชน
(9) แตง่ ตัง้ อนุกรรมการเพอ่ื ปฏบิ ัตงิ านตามทคี่ ณะกรรมการมอบหมาย
(10) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นซึ่งกำหนดให้
เปน็ อำนาจหนา้ ทขี่ องคณะกรรมการ
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2560 บัญญัติใหค้ ณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แห่งชาติมีสถานะเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และมาตรา 246-247 โดยให้คณะกรรมการสิทธิ
มนษุ ยชนแห่งชาตมิ ีองคป์ ระกอบ วาระการดำรงตำแหนง่ คณุ สมบตั ิ หนา้ ท่แี ละอำนาจ ดังต่อไปนี้
72
1. องค์ประกอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (มาตรา 246) คณะกรรมการสิทธิ
มนุษยชนแหง่ ชาติ ประกอบด้วย กรรมการจำนวน 7 คนซึง่ พระมหากษตั รยิ ท์ รงแตง่ ตง้ั ตาม คำแนะนำ
ของวุฒิสภาจากผู้ซึ่งได้รับการสรรหาที่มีความรู้และ ประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ของประชาชน เป็นกลางทางการเมือง และมคี วามซ่ือสตั ย์สุจริตเป็นท่ีประจกั ษ์
2. วาระการดำรงตำแหน่ง (มาตรา 246 วรรคสอง) กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีวาระ
การดำรงตำแหน่ง 7 ปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ ดำรงตำแหน่ง ได้เพียงวาระ
เดยี ว
3. คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การสรรหา และการ พ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการสิทธิ
มนุษยชนแห่งชาติ (มาตรา 246 วรรคสาม) คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การสรรหา และการพ้นจาก
ตำแหน่งของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้เปน็ ไปตามพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญ
วา่ ดว้ ยคณะกรรมการ สทิ ธมิ นุษยชนแห่งชาติ ทั้งนี้ บทบญั ญัตเิ ก่ยี วกบั การสรรหาต้องกำหนดใหผ้ แู้ ทน
องคก์ รเอกชนด้านสิทธมิ นุษยชนมสี ว่ นร่วม ในการสรรหาด้วย
โดยในส่วนคณะกรรมการสรรหาที่บัญญัติไว้ แตกต่างจากองคก์ รอิสระอนื่ ซึง่ ประกอบด้วย
(1) ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ
(2) ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภา ผแู้ ทนราษฎร เปน็ กรรมการ
(3) ประธานศาลปกครองสูงสดุ เป็นกรรมการ
(4) ผู้แทนองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรละ หนึ่งคน ซึ่งเลือกกันเองให้เหลือ 3 คน
เป็นกรรมการ
(5) ผู้แทนสภาทนายความหนึ่งคน ผู้แทนสภาวิชาชีพ ทางการแพทย์และสาธารณสุขเลือก
กนั เองให้เหลอื หนง่ึ คน และ ผู้แทนสภาวิชาชีพสื่อมวลชนเลือกกนั เองให้เหลอื หนง่ึ คน เปน็ กรรมการ
(6) อาจารย์ประจำหรือผู้เคยเป็นอาจารย์ประจำ ในสถาบันอุดมศึกษาซึง่ สอนหรือทำงานวจิ ัย
หรือทำงานด้าน สิทธิมนุษยชนมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี ซึ่งกรรมการ ตาม (1) (2) (3) (4)
และ (5) มีมติเลอื กดว้ ยคะแนนเสียงสอง ในสาม จำนวน 1 คน เป็นกรรมการ
ท้งั นี้ กำหนดใหเ้ ลขาธกิ ารวุฒสิ ภาเป็นเลขานุการของคณะ กรรมการสรรหา และให้สำนกั งาน
เลขาธิการวฒุ ิสภาปฏิบตั หิ นา้ ทีเ่ ปน็ หน่วยธุรการของคณะกรรมการสรรหา
หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน แห่งชาติ (มาตรา 247) กำหนดให้
คณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติมหี น้าท่ี และอำนาจ ดงั ต่อไปน้ี
73
(1) ตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงท่ีถูกต้องเกี่ยวกับ การละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกกรณีโดย
ไม่ล่าช้าและเสนอแนะ มาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการ ละเมิดสิทธิ
มนุษยชน รวมทั้งการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย จากการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อหน่วยงานของรัฐ
หรือเอกชน ท่ีเกยี่ วข้อง
(2) จัดทำรายงานผลการประเมินสถานการณด์ ้านสิทธิ มนุษยชนของประเทศเสนอตอ่ รฐั สภา
และคณะรฐั มนตรี และ เผยแพร่ต่อประชาชน
(3) เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและ คุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อรัฐสภา
คณะรัฐมนตรี และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือ
คำสัง่ ใดๆ เพอื่ ให้สอดคล้องกบั หลกั สทิ ธิมนุษยชน
(4) ชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องโดยไม่ชักช้า ในกรณีที่มีการรายงานสถานการณ์
เกยี่ วกบั สิทธิมนุษยชน ในประเทศไทยโดยไม่ถกู ต้องหรอื ไมเ่ ปน็ ธรรม
(5) สรา้ งเสริมทุกภาคส่วนของสังคมใหต้ ระหนกั ถึงความ สำคัญของสิทธมิ นุษยชน
(6) หน้าที่และอำนาจอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อ รับทราบรายงานตาม (1) และ (2) หรือ
ข้อเสนอแนะตาม (3) ให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามความเหมาะสม โดยเร็ว กรณีใด
ไม่อาจดำเนินการได้หรือต้องใช้เวลาในการ ดำเนินการ ให้แจ้งเหตุผลให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แห่งชาติทราบโดยไม่ชักช้า ในการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน แห่งชาติต้องคำนึงถึง
ความผาสุกของประชาชนชาวไทยและ ผลประโยชน์สว่ นรวมของชาติเป็นสำคัญด้วย
สรุปได้ว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่ได้รับการยกย่องให้เป็น
องค์การตามรัฐธรรมนูญ จึงเป็นหน่วยกลางที่มีบทบาทอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน
กว้างขวางมากทีส่ ุด
2. กรมคมุ้ ครองสิทธแิ ละเสรภี าพ กระทรวงยุติธรรม
ตามกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ.
2545 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 ฉ แห่งพระราชบัญญัติระเบยี บบริหารราชการแผ่นดิน(ฉบบั
ท่ี 4) พ.ศ. 2543 รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงยุตธิ รรมออกกฎกระทรวงไวด้ งั ตอ่ ไปนี้
ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มีภารกิจเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพที่ประชาชนพึงได้รับตาม
กฎหมาย โดยการจัดวางระบบและส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับกรมคุ้มครองสิทธิและ
เสรีภาพตลอดจนการดำเนินการให้พยาน ผู้เสียหาย และจำเลยในคดีอาญา ได้รับการคุ้มครอง
74
ช่วยเหลือ เยียวยาในเบื้องต้น เพื่อให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองและดูแลจากรัฐอย่างทั่วถึงและเท่า
เทียมกนั โดยให้มีอำนาจหน้าทีด่ ังตอ่ ไปน้ี
(1) จดั ระบบการบริหารจดั การดา้ นคมุ้ ครองสทิ ธิและเสรภี าพของประชาชน
(2) สง่ เสรมิ และพัฒนาการคุ้มครองสทิ ธิและเสรีภาพของประชาชน
(3) สง่ เสริมและพฒั นากลไกการระงับขอ้ พิพาทในสังคม
(4) ประสานงานด้านคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพกับภาครัฐและเอกชน ทั้งในและ
ต่างประเทศ
(5) พัฒนาระบบ มาตรการ และดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหย่ือ
อาชญากรรม รวมทั้งจำเลยที่ถูกดำเนินคดีอาญาโดยมิได้เป็นผู้กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วย
ค่าตอบแทนผูเ้ สยี หายและคา่ ทดแทนและคา่ ใช้จา่ ยแก่จำเลยในคดอี าญา
(6) ติดตามและประเมินผลการดำเนนิ การด้านการค้มุ ครองสทิ ธแิ ละเสรภี าพ
(7) ดำเนินการคุม้ ครองพยานตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพยานในคดีอาญา
(8) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรม หรือตามท่ี
กระทรวงหรอื คณะรัฐมนตรีมอบหมาย
3. กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงวัฒนธรรม เป็นหน่วยงานที่จะทำหน้าที่อบรมสั่งสอน
ศึกษาวิจัย และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนเพื่อให้สาธารณชน โดยเฉพาะนักเรียนและ
นกั ศกึ ษาไดร้ ับ รู้และชว่ ยกันส่งเสรมิ และคมุ้ ครองสิทธมิ นุษยชน
4. กระทรวงมหาดไทย มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของบุคคลตั้งแต่เกิดจนตาย เช่น จด
ทะเบียน คนเกิด จดทะเบียนบ้าน และย้ายบ้าน ทำบัตรประจำตัวประชาชน จดทะเบียนคนตาย เป็น
ต้น
5. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครองมิให้มีการละเมิดสิทธิมนุษย์ชน
และ ดำเนนิ คดกี ับบคุ คลที่ละเมิดสทิ ธิมนษุ ยชน
6. หน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ ที่ใช้อำนาจในการส่งเสริม และดูแลเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน
เปน็ ครง้ั คราว เช่น กรมประชาสงเคราะห์ กรมปา่ ไม้ กรมทด่ี ิน เป็นตน้
นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานของเอกชนอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งหน่วยงานขนาดเล็ก และขนาด
ใหญ่ บางหน่วยงานเกิดจากการรวมตัวกันของคนไทยด้วยกันเอง เช่น สภาสตรีแห่งชาติ มูลนิธิเด็ก
75
และสมาคมส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ เป็นต้น ส่วนองค์การบางองค์การของเอกชนก็ได้รับการสนับสนุน
จากต่างประเทศให้เคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เช่น องค์การสงเคราะห์ผู้ล้ีภัย
องคก์ ารสง่ เสริมสทิ ธมิ นษุ ยชนแห่งประเทศไทย เป็นตน้
76
บทที่ 7
สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในสงั คมไทย
หลัก “สิทธิและเสรีภาพ” นับว่าเป็นหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
และเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับการกำเนิดของรัฐธรรมนูญสำหรับประเทศทั้งหลายที่ปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยในโลก เพราะการมีรัฐธรรมนูญนั้นก็ด้วยมีเจตนารมณ์ เพื่อที่จะให้ความคุ้มครองสิทธิ
และเสรีภาพ ตลอดจนความเสมอภาคของบุคคล ดังจะ เห็นได้จากคำประกาศสิทธิมนุษยชนและ
พลเมืองของประเทศฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1789 ข้อ 16 ที่กำหนดว่า “สังคมใดไม่มีการให้หลักประกันใน
การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพหรือ ไม่มีการแบ่งแยกการใช้อำนาจอธิปไตย จะถือว่ามีรัฐธรรมนูญไม่ได้”
และหลักการ ดังกล่าวนี้ได้กลายเป็นหลักการพื้นฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ยอมรับกันทั่วไป
(บรรเจดิ สิงคะเนต,ิ 2547, หนา้ 42)
แนวความคิดเรื่องการบัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพไว้ในรัฐธรรมนูญ อาจกล่าว ได้ว่าเป็น
แนวความคิดที่มาจากตะวันตกเป็นสำคัญอันเป็นผลมาจากพัฒนาการของกระบ วนการเรียกร้องของ
กลุ่มต่างๆ ที่อ้างความชอบธรรมของประโยชน์นั้นๆ ว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อความเป็นมนุษย์ ( Human
Dignity) โดยมีพื้นฐานในการสนับสนุนความชอบธรรมในการใช้สิทธิมาจากแนวความคิดเรื่อง “สิทธิ
ธรรมชาติ” ที่สืบเนื่อง มาจาก “กฎหมายธรรมชาติ” (Natural Law) ในสมัยกรีก และได้พัฒนา
แนวความคิด ดังกล่าวจากเดิมที่เป็นเพียงการกล่าวอ้างในบริบททางกฎหมายมาเป็นแนวคิดทาง
การเมือง ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างเพื่อเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ อิสรภาพและความเสมอภาค โดย
แนวความคิดดังกล่าวได้ปรากฏอย่างเดน่ ชัดในงานเขียนของจอห์น ล้อค (John Locke) ในศตวรรษท่ี
17 ทีไ่ ดก้ ลายเป็นต้นแบบของแนวความคิดเรอื่ งสิทธิ เสรีภาพ ในปัจจบุ นั
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ซึ่งได้รับ
การรับรอง โดยมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (General Assembly) เมื่อวันที่ 10
ธันวาคม พ.ศ. 2491(ค.ศ. 1948) ซึ่งเป็นพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุก
ฉบับที่มีอยู่ในปัจจุบันและประเทศไทยเป็นหนึ่ง ในประเทศสี่สิบแปดประเทศแรกที่ให้การรับรอง
ปฏิญญาสากลฉบับนี้ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human
77
Rights) มีขอบข่ายของเนื้อหา ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยส่วนแรกเป็นส่วนของอารัมภบทซึ่งให้คำ
นยิ ามของหลักสทิ ธิมนุษยชนทีอ่ งิ กบั สำนักธรรมชาติ (Natural School) ซ่ึงกล่าวถึง “หลกั การสำคัญ
ของสิทธิมนษุ ยชนท่ีว่า มนุษย์มสี ิทธิติดตัว มาแต่เกดิ มนุษย์มีศกั ดิ์ศรี มีความเสมอภาคกนั ” การเลือก
ปฏิบัติต่อบุคคลจะกระทำมิได้ โดยรัฐมีหน้าท่ี ในการสร้างหลักประกันดังกล่าวในการวางมาตรฐาน
ด้านการเคารพสิทธิของรัฐและระหว่างกันของบุคคล ในสังคม ส่วนที่สอง (Article 3- 21) กล่าวถึง
สิทธิของพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Civil and Political Rights) ส่วนที่สาม (Article22 - 27)
กล่าวถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (Economic, Social and Cultural Rights) และ
ส่วนที่สี่ (Article 28 - 30) กล่าวถึง “หน้าที่ของบุคคล สังคม และรัฐ โดยการที่จะต้องดำเนินการ
สร้างหลักประกันให้มีการคุ้มครองสิทธิที่ปรากฏในปฏิญญานี้ให้ได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง”
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน จึงถือเป็น เอกสารสำคัญในการกำหนดกรอบมาตรฐานสำหรับ
การออกแบบระบบการให้ความคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน และแม้ตัวปฏิญญาสากลฯ จะ
เป็นรูปแบบของเอกสารเชิงหลักการที่มาจากข้อตกลงร่วมกันที่มิได้ มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ก็ถือ
เป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย ว่ามีสถานะเสมือนเป็น
กฎหมายระหว่างประเทศอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นหลัก
กฎหมายทั่วไปที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศที่รัฐต้องปฏิบัติโดยไม่มีข้อยกเว้น
ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศไทยในช่วงหลัง โดยเฉพาะนับตั้งแต่ ฉบับ พ.ศ.
2540 ได้มีการพัฒนาเพื่อรองรับการให้ความคุ้มครองด้านสิทธิมนุษยชนที่มีความสอดคล้องกับ
มาตรฐานสากลมากย่ิงขน้ึ
รายงานสถานการณแ์ ละผลการดำเนินการทผ่ี า่ นมา
กระทรวงยุติธรรมได้จัดประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของ “รายงาน
การพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการลอบประทุษร้าย
ประชาชนของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน และ
การตอบประทุษร้ายประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564 ระหว่างเวลา
09.30 - 16.30 น. ณ ห้องประชุมสว่างกมล กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ชั้น 3 ศูนย์ราชการเฉลิม
พระเกียรติฯ กรุงเทพมหานคร และผ่านทาง Application: Cap Methx Meetings โดยหน่วยงานท่ี
เข้ารว่ มประชุมฯ ประกอบดว้ ย สำนกั งานอัยการสูงสดุ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนกั งานสภาความ
มั่นคงแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานศาลยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม
78
กระทรวงการคลงั กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วจิ ยั และนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมนั่ คงของมนษุ ย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวง
ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานในสังกัดกระทรวง
ยุติธรรม
จากการประชุมเพื่อพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาฯ ที่ประชุมเห็นว่า รายงานการ
พิจารณาศึกษาฯ ทั้ง 4 ฉบับ เป็นประโยชน์ และสามารถนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะมาปรับปรุง
การดำเนนิ งานใต้ อยา่ งไรก็ตาม มีข้อสังเกตดงั น้ี
1. รายงานการศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการลอบประทุษร้าย
ประชาชนกรณกี ารละเมิดสทิ ธิทางด้านการเมือง และละเมิดสิทธิดา้ นอนื่ มีขอ้ สังเกตโดยสรปุ ดังนี้
1.1 กรณีความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงจากความขัดแย้งทาง
การเมือง ที่ประชุมฯ เห็นว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้รับรองหลักสิทธิ
มนุษยชนตามพันธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคีอยู่แล้ว ซึ่งทุกหน่วยงานได้ยึดถือ
หลักการดังกล่าวและปฏิบัติได้ด้วยความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม โดยไม่เลือกปฏิบัติ
รวมทั้งรักษาความสมดุลระหว่างความมั่นคงของรัฐกันสิทธิมนุษยชนมาโดยตลอด ทั้งนี้ หากมีการ
ละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น หน่วยงานที่เป็นอิสระและเป็นกลางสามารถเข้ามาตรวจสอบได้ เช่น
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหง่ ชาติ เปน็ ตน้
1.2 กรณีการบงั คับบุคคลสูญหาย ที่ประชมุ ฯ เห็นว่า ที่ผ่านมา กระทรวงยุตธิ รรมได้
ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจัดทำ "ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการ
ทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ..." โดยยึดถือหลักการจากอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ
และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญมาโดย
ตลอด พร้อมทั้งได้ผลักดันร่างพระราชบญั ญัติฯ เข้าสู่การพจิ ารณาตามกระบวนการเสนอกฎหมาย ซ่ึง
ปัจจบุ ันอยรู่ ะหวา่ งการพิจารณาของคณะอนุกรรมาธกิ ารกลั่นกรองกฎหมายในกระบวนการนิตบิ ัญญัติ
ในส่วนของการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ นั้น เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2560 สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มี
มตใิ หป้ ระเทศไทยเข้าเปน็ ภาคีอนุสญั ญาฯ ได้เม่อื ร่างพระราชบัญญัติฯ มผี ลบังคับใช้แล้ว สำหรับกรณี
การสูญหายของคนไทยในต่างประเทศนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการสูงสุดได้มี
79
การประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและดำเนินการตามสนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือ
ซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญาในภูมิภาคอาเซียนอยู่แล้ว นอกจากนั้น ในประเด็นการเข้าเป็นภาคี
อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย 2551 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาความพร้อมและวิเคราะห์
ผลดีผลเสียของการเข้าเป็นภาคอี นสุ ัญญาฯ ฉบับดังกลา่ ว
1.3 การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ ท่ี
ประชุมฯ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญา มาตรา 26/1 และ มาตรา 165/2 ได้กำหนด
ป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์ฯ ในกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ไว้แล้ว แต่อาจจะไม่ครอบคลุมถึง
กรณีอื่น ๆ ดังนั้นรัฐบาลจึงมีแผนที่จะพัฒนากฎหมาย ระเบียน หรือมาตรการเพื่อป้องกันการ
ดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์ฯ โดยกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2562-2564) อีกทั้งล่าสุด คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบไดม้ อบหมายใหส้ ำนักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานหลักในการ
จัดทำร่างกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปากเพื่อห้ามรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐ และหัวหน้าหน่ายงาน
ของรัฐฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลที่แสดงความคิดเห็นหรือเปิดโปงเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตหรือ
ประพฤติมิชอบของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน เพื่อป้องกันมใิ ห้ผู้แจง้ เบาะแสถูกคกุ คาม
หรือตกเป็นจำเลยเสียเอง อย่างไรก็ตาม การพัฒนากฎหมายดังกล่าว จำเปน็ ต้องดำเนินการด้วยความ
รอบคอบเพื่อถ่วงดุลระหว่างการคุ้มครองหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนกับสิทธิในการฟ้องร้องคดี
ซึ่งทั้ง 2 สิทธิเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองไว้ในสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิ
มนุษยชน
1.4 ความรุนแรงเชิงโครงสร้างทางสังคม และความรุนแรงที่เกี่ยวกับเพศสภาพ ท่ี
ประชุมฯ เห็นว่า รัฐบาลได้มีการปรับปรุงกลไกระดับชาติในการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ
เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการ
ดำเนินงาน เพื่อส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย และคณะกรรมการกำกับและติดตามการ
ดำเนินงานด้านการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและแสริมพลังสตร์ อีกทั้งยังได้กำหนดแนว
ทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งของสตรีใน 4 มิติได้แก่การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ การมีส่วนร่วม
ทางการเมือง การศึกษา และการทำงานของสตรีโดยเน้นการคุ้มครองสิทธิสตรีกลุ่มเปราะบาง และ
สตรีในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงการผลักดันใหม้ พี นกั งานสอบสวนหญงิ ทีเ่ พยี งพอในสถานีตำรวจ
นอกจากนี้ กรณีการลงโทษผู้ถกู กระทำด้วยความรนุ แรงในครอบครัวข้าหลายตา หรือถกู ข่มขู่ทำให้ตก
80
อยู่ในสภาพจำยอม (Battered Women Syndrome) และไม่สามารถจะหลีกหนีให้พ้นจากการถูก
กระทำความรุนแรงได้ให้น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น ถูกบัญญัติไว้ในมาตรา 36 ของ
พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 แล้ว อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบนั ได้มกี ารชะลอการบงั คับใชแ้ ละอยูร่ ะหว่างการปรับปรงุ แก้ไขพระราชบญั ญัติฯ ฉบับดังกล่าว
2. รายงานการศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิในพื้นที่ในจังหวัดชายแดนใต้และการ
บังคับใช้กฎหมายพิเศษด้านความมั่นคง ที่ประชุมมีข้อสังเกตในประเด็นการบังคับใช้กฎหมายความ
มั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเห็นว่า การแก้ไขปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ภายใต้
นโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีกรอบแนวคิดการจัดการความขัดแย้ง
ตามแนวทางสันติวิธีและการยึดถือหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม หลักสิทธิมนุษยชน และสนธิสัญญา
ระหว่างประเทศที่ไทยเข้าเป็นภาคี ทั้งนี้ รัฐบาลยังคงมีความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายพิเศษใน
จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการปฏิบัติงาน เพื่อป้องกัน และระงับยับย้ัง
เหตุการณ์ให้ยุติลงโดยเร็ว รวมทั้งจำกัดความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง โดยมุ่งเน้นการ
ดำเนินการโดยสุจริต ไม่เลือกปฏบิ ัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีแผนการและ
ขั้นตอนปรับลดพื้นที่บังคับใช้กฎหมายดังกล่าว เพื่อนำพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน
ราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 มาบังคับใชแ้ ทนเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อประชาชนและให้เกิดความม่ันใจ
ว่ารัฐสามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นท่ีภายใตก้ ฎหมายทีม่ อี ยูไ่ ดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยปัจจุบันได้
ดำเนนิ การปรับลดพ้ืนท่ีบังคับใช้กฎหมายดงั กลา่ วอยา่ งตอ่ เนื่องมาต้งั แต่ปี 2560 รวมจำนวน 5 อำเภอ
3. รายงานการศึกษาและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ชาติพันธุ์ และความ
คุ้มครองทางกฎหมาย ที่ประชุมมีข้อสังเกตในประเด็นสถานการณ์สิทธิชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์และ
ความคุ้มครองทางกฎหมาย โดยเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 70 ได้
มุ่งเน้นการส่งเสริมและให้ความคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยอย่างไม่เลือกปฏิบัติ ซ่ึง
สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ ใน
ส่วนของการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ได้มีแผนการ
ดำเนนิ การท้ังในระยะสั้นและระยะยาว คอื 1) ระยะสั้น ไดแ้ ก่ การจดั ทำฐานขอ้ มลู กล่มุ ชาติพันธ์ุ เพ่ือ
ใช้เป็นฐานคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ การขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญากลุ่มชาติพันธุ์ และ
2) ระยะยาว มีการผลักดันร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ตาม
แผนปฏิรูปประเทศ สำหรับการแก้ไขปัญหาบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
81
ได้จัดทำและขับเคลื่อนงานภายใต้กรอบแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจั ดการผู้หลบหนีเข้าเมือง
ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2513 – 2564) และหลักเกณฑ์การกำหนดสถานะและสิทธิของบุคคลที่อพยพเข้ามา
และอาศัยอยู่มานาน นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้มีมติให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่
บุคคลที่มีปัญหาทางสถานะและสิทธิ์ ซึ่งรวมถึงการรับบริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต (Universal
Coverage for Emergency Patients: UCEP) สำหรบั การเข้าถึงการชว่ ยเหลือทางกฎหมายได้จัดให้
มีโครงการ ยุติธรรมเคล่ือนที่” เพ่ีอเผยแพร่ประชาสัมพันธ์บทบาทและภารกิจของหน่วยงาน ให้
ความรู้ทางกฎหมายให้คำปรึกษาทางกฎหมาย เผยแพร่ซ่องทางการร้องเรียน และการขอรับการ
ช่วยเหลือเยียวยาตามกฎหมายและสิทธิของประชาชน รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ยุติธรรมสร้างสุขในระดับ
จงั หวัดและระดบั ท้องถนิ่ เพอ่ื ขบั เคลอื บกระบวนการยตุ ิธรรมไปสู่ประชาชนทกุ คนอยา่ งเท่าเทยี ม
4. รายงานข้อเสนอในการดำเนินการให้มีกฎหมายกลางเรื่องการเยียวยาผู้เสียหายจากกรณี
การละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ประชุมมีข้อสังเกตในประเด็นการเยียวยาผู้เสียหายจากกรณีการละเมิด
สิทธิมนุษยชนโดยเห็นว่าปัจจุบันมีกฎหมายในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาหลักอยู่ 3 ฉบับ ได้แก่
พระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและคำทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544
และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2555 พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 และ
พระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญาพ.ศ. 2556 โดยกฎหมายทั้ง 3 ฉบับจะให้ความช่วยเหลือ
ประชาชนตงั้ แตเ่ ริ่มต้นจนกระท่ังส้นิ สุดกระบวนการผลิตรวมอยู่แล้ว ดังน้ัน การใชก้ ฎหมายที่มีอยู่เดมิ
และปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเตมิ ให้มปี ระสิทธภิ าพมากย่ิงขึน้ จึงอาจเหมาะสมกวา่ การออกกฎหมายกลางขึ้น
ใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และสอดคล้องกับมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2560 กรณีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกลางที่ทำหน้าที่รับเรื่องจากผู้เสียหายในลักษณะที่เป็น
One stop service นั้น มีการจัดตั้งศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข ให้เป็นหน่วยงานกลางแบบ One Stop
Service ทั่วประเทศ สำหรับการสร้างระบบฐานข้อมูลผู้เสียหาย รัฐบาลได้พัฒนาระบบฐานข้อมูล
สารสนเทศตามภารกิจช่วยเหลือเหยือ่ หรือผู้เสยี หายตามพระราชบญั ญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและคา่
ทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554
พระราชบัญญัติกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2558 และพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญาพ.ศ.
2546 พร้อมทั้งเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาส่งต่อการให้
ความช่วยเหลอื ตอ่ ไป
82
แผนสทิ ธมิ นุษยชน
แผนสทิ ธิมนษุ ยชนแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 1 ประกาศใช้ชว่ งปี พ.ศ.2544-2548 และคณะรัฐมนตรี
ให้ใช้แผนสิทธิมนุษยชน ฉบับที่ 1 ไปพลางก่อน ในระหว่างที่กำลังจัดทำแผนฯ ฉบับที่ 2 ต่อเนื่องจาก
ปี พ.ศ.2549-2551 ซ่งึ แผนฯ ฉบับแรกเกดิ ขน้ึ ในโอกาสครบรอบ 50 ปี (พ.ศ. 2541) ปฏิญญาสากล
ว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของ องค์การสหประชาชาติ โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นศูนย์กลางใน
การประสานและ ติดตามการดำเนนิ งาน เม่อื กรมคุ้มครองสิทธิและเสรภี าพจดั ตง้ั ขึ้น เม่ือปี พ.ศ.2545
จงึ โอน ภารกจิ แผนสทิ ธมิ นษุ ยชนใหด้ ำเนินการตอ่ จนถึงปจั จบุ ัน
แผนสทิ ธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบบั ที่ 2 ประกาศใช้ช่วงปี พ.ศ.2552-2556 ซึ่งเปน็ แผนท่ีเนน้
“กระบวนการมสี ่วนรว่ มของทุกภาคสว่ น” ดว้ ยการให้ประชาชนร่วมเรียนรเู้ รือ่ งสทิ ธมิ นุษยชน รว่ ม
สะทอ้ นปญั หา รว่ มคดิ ร่วมตดั สินใจ ร่วม จดั ทำแผนจากระดับพนื้ ที่ (จังหวดั ) พฒั นาเป็นแผนใน
ระดบั ประเทศ ผู้เข้ารว่ มจดั ทำแผนทัง้ ส้นิ 3,485 คน
แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ประกาศใช้ช่วงปี พ.ศ.2557-2561 ซึ่งเป็นแผนที่เน้น
“กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน” ด้วยการให้ประชาชนร่วมเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน
วเิ คราะห์สถานการณส์ ิทธิมนุษยชน รว่ มจัดทำแผนจากระดบั พ้นื ท่ี (จังหวัด) พัฒนาเปน็ แผนระดับชาติ
ผเู้ ขา้ ร่วมประมาณ 4,181 คน
แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 ประกาศใช้ช่วงปี พ.ศ.2562-2566 มีเป้าหมายคือ
“การละเมิดสิทธิมนษุ ยชนลดลง” เน้น “กระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน” ด้วยการให้ประชาชน
รว่ มเรียนรู้เรือ่ งสทิ ธิมนุษยชน ร่วมสะท้อนปัญหา รว่ มคดิ รว่ มตดั สนิ ใจ ร่วม จัดทำแผนจากระดับพ้ืนที่
(จงั หวัด) พัฒนาเปน็ แผนในระดบั ประเทศ ผ้เู ขา้ รว่ มจดั ทำแผนท้ังสนิ้ 1,288 คน
แผนสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 4
ทิศทางของแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (2562-2566)
แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2562-2566) มีวัตถุประสงค์เพื่อแกไ้ ขปัญหาการ
ละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาพรวมของประเทศให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิ
มนุษยชนของประเทศไทยให้ก้าวหน้าทัดเทียมระดับสากล ภายใต้วิสัยทัศน์ “สังคมรู้หน้าที่ เคารพ
สิทธิมนุษยชน และได้รับความคุ้มครองอย่างเป็นธรรม” โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วยแผนรายด้าน
10 ดา้ น และแผนรายกลมุ่ 12 กลุ่ม ดังน้ี
83
แผนสิทธิมนุษยชนรายด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านกระบวนการยุติธรรม ส่งเสริมธรรมาภิบาล
เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมในหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับกลุ่มเปราะบาง ส่งเสริมองค์กรวิชาชีพล่ามใน
กระบวนการยุติธรรม 2) ด้านการศึกษา ส่งเสริมให้เยาวชนที่ด้อยโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่า
เทียม 3) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างความสมดุลระหว่างการใช้ทรัพยากรที่
เหมาะสม ควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 4) ด้านเศรษฐกิจและธุรกิจ บังคับใช้กฎหมายที่
เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมปี ระสิทธิภาพ เน้นการพฒั นาทางเศรษฐกิจพร้อมกับกระจาย
รายได้อย่างเป็นธรรม 5) ด้านการขนส่ง พิจารณาการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อกำหนดโทษ
ผู้ฝ่าฝืนใช้สาธารณูปโภคต่างๆ ที่จัดไว้ให้คนเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้พิการ ผู้สูงอายุ 6) ด้านสาธารณสุข
พัฒนาแนวทางการดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างเป็นระบบ 7) ด้านข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี จัดทำ
มาตรการเพือ่ แก้ปัญหาการก่ออาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์อยา่ งเป็นรปู ธรรม 8) ด้านการเมืองการ
ปกครองและความมั่นคง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เพิ่มมากขึ้นจากที่รัฐกำหนด เพ่ิม
บทเรียนด้านสิทธิมนุษยชนในระดับการศึกษาภาคบังคับ 9) ด้านที่อยู่อาศัย กำหนดแนวทางที่ชัดเจน
เรื่องสิทธิในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ และมาตรการเยียวยาต่างๆ แก่ผู้ได้รับ
ผลกระทบ 10) สทิ ธิมนุษยชน วัฒนธรรม และศาสนา ส่งเสรมิ ความรคู้ วามเข้าใจแนวปฏิบตั ิของแต่ละ
ศาสนา รวมทั้งส่งเสริมสทิ ธชิ ุมชนในการจัดการ บำรงุ รักษา และการใช้ประโยชน์อย่างสมดลุ
ส่วนแผนสิทธิมนุษยชนรายกลุ่ม เช่น 1) กลุ่มเด็กและเยาวชน เน้นการบังคับใช้กฎหมายท่ี
เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของเด็ก เร่งปราบปรามปัญหาการใช้แรงงานเด็ก 2) กลุ่มนักป้องกันสิทธิ
มนุษยชน เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย
พ.ศ. ... และร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. คุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ. ... 3) กลุ่มผู้สูงอายุ
พัฒนาคิดค้นนวัตกรรมเพื่อผู้สูงอายุ จัดมาตรการจูงใจในการดูแลผู้สูงอายุ 4) กลุ่มคนพิการ รัฐจัดสิ่ง
อำนวยความสะดวกที่เป็นสาธารณะสำหรับคนพิการ 5) กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ และผู้
แสวงหาที่พักพิงในเขตเมือง จัดหน่วยงานเคลื่อนที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเอกสารที่ต้องใช้การขอสัญชาติ
6) กลุ่มความหลากหลายทางเพศ เร่งดำเนินการให้ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีผลบังคับใช้ เช่น ร่าง
พ.ร.บ.ชีวิตคู่ 7) กลุ่มสตรี พัฒนากลไกจัดการปัญหาความรุนแรงต่อสตรี และแนวทางการแจ้งปัญหา
ความรุนแรงผ่านระบบดิจิทัลมนุษยชน 8) แผนสิทธิมนุษยชนกลุ่มผู้ต้องขัง (ผู้ถูกกล่าวหา/ผู้ต้องหา/
นักโทษเด็ดขาด) 9) แผนสิทธิมนุษยชนกลุ่มผู้พ้นโทษ 10) แผนสิทธิมนุษยชนกลุ่มผู้เสียหาย/ผู้ตกเป็น
เหยื่อ(เหยื่ออาชญากรรม เหยื่อค้ามนุษย์ เหยื่อที่ถูกละเมิด สิทธิมนุษยชน เหยื่อความรุนแรงใน
84
ครอบครัว เป็นต้น) และพยาน 11) กลุ่มเกษตรกรและกลุ่มแรงงาน 12) กลุ่มผู้ป่วย (กลุ่มผู้ติดเชื้อ/
ผู้ปว่ ย/กลุม่ ผูเ้ สพยา)
แผนปฏิบตั กิ ารสทิ ธมิ นุษยชนแห่งชาติ
ความเป็นมาของการจดั ทำนโยบายและแผนปฏิบัตกิ ารแมบ่ ทแห่งชาตดิ ้านสทิ ธิมนษุ ยชน
(แผนสทิ ธมิ นุษยชนแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 1)
แนวคิดเรื่องแผนปฏิบัติการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้พัฒนามาจากส่วนหนึ่งของการประชุม
ระดับโลกวา่ ด้วยสิทธมิ นษุ ยชนท่จี ัดขึ้นในกรงุ เวียนนา เม่ือปี 1993 ที่มีวัตถปุ ระสงค์ในการสง่ เสริมและ
คุ้มครองสิทธิมนุษยชนเปน็ เรือ่ งสำคัญอันดบั แรกของประชาคมโลกและมุ่งเน้นถึงความรับผิดชอบของ
ทุกประเทศในการปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติและปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่จะ
พัฒนาและเสริมสรา้ งความเคารพตอ่ สทิ ธมิ นษุ ยชนและเสรีภาพเปน็ พ้ืนฐานของประชาชนท้งั มวล โดย
ปราศจากการแบ่งแยกในเรื่องเชอื่ ชาติ เพศ ภาษาหรอื ศาสนา ซง่ึ ในการประชุมที่กรุงเวยี นนา นน้ั ไดม้ ี
การทบทวนความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่ภายหลังการรับรองปฏิญญา
สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) และได้มีการกำหนด
ปฏิญญาเวียนนานและแผนปฏิบัติการ ขึ้น โดยในข้อ 26 ที่ประชุมระดับโลกว่าด้วยสิทธิมนุษยชนได้
เสนอแนะให้แต่ละรัฐ พิจารณาความจำเป็นในการร่างแผน ปฏิบัติการแห่งชาติ ในการกำหนดวิธีการ
ซ่งึ รฐั จะปรบั ปรุงการท้ังเสรมิ และการให้ความคุ้มครองเรื่องสิทธิมนุษยชน
นโยบายและแผนปฏิบัติการแม่บทแห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชน เป็นแผนฉบับแรกของ
ประเทศไทย ทีเ่ กิดขน้ึ ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ปฏิญญาสากลวา่ ดว้ ยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ
และในโอกาสดังกล่าวนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งให้นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานคณะกรรมการ
จัดทำนโยบายและแผนปฏิบัติการแม่บทแห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชน ขึ้น ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีไดใ้ หค้ วาม
เห็นชอบนโยบายและแผนฉบับดังกล่าว เมื่อวันท่ี10 ตุลาคม 2553 โดยมีการมอบหมายให้สำนัก
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นศูนย์กลางในการประสานและตดิ ตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนท่ี
กำหนดไว้
นโยบายและแผนปฏบิ ตั ิการแมบ่ ทแหง่ ชาตดิ า้ นสิทธมิ นษุ ยชน (แผนสทิ ธิมนุษยชนแหง่ ชาติ
ฉบับท่ี 1) ครอบคลมุ ประเดน็ สทิ ธิมนษุ ยชน 11 ดา้ น 20 กลมุ่ เปา้ หมาย ไดแ้ ก่
แผนปฏบิ ตั กิ ารสิทธมิ นษุ ยชนรายด้าน
(1) แผนปฏิบัตกิ ารสิทธมิ นุษยชนด้านการศกึ ษา
(2) แผนปฏบิ ัตกิ ารสิทธมิ นุษยชนด้านวัฒนธรรม
85
(3) แผนปฏบิ ัตกิ ารสิทธมิ นษุ ยชนดา้ นอาชพี
(4) แผนปฏบิ ัตกิ ารสทิ ธมิ นษุ ยชนดา้ นสาธารณสุข
(5) แผนปฏิบัตกิ ารสทิ ธิมนุษยชนด้านทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม
(6) แผนปฏบิ ัตกิ ารสิทธิมนุษยชนดา้ นทอ่ี ยู่อาศยั
(7) แผนปฏบิ ัตกิ ารสิทธิมนษุ ยชนด้านสทิ ธิเสรภี าพในการรวมกล่มุ
(8) แผนปฏิบตั กิ ารสิทธมิ นุษยชนดา้ นการไดร้ บั ข้อมูลขา่ วสารของราชการ
(9) แผนปฏบิ ัตกิ ารสทิ ธิมนษุ ยชนดา้ นสทิ ธเิ สรภี าพดา้ นส่อื สารมวลชน
(10) แผนปฏิบตั ิการสทิ ธิมนษุ ยชนดา้ นการเมอื งการปกครอง
(11) แผนปฏิบัตกิ ารดา้ นศาสนา
แผนปฏบิ ัตกิ ารสิทธิมนุษยชนตามกลุ่มเปา้ หมาย
(1) แผนปฏิบตั กิ ารสิทธมิ นษุ ยชนของเดก็
(2) แผนปฏบิ ตั กิ ารสทิ ธิมนุษยชนของสตรี
(3) แผนปฏิบัตกิ ารสทิ ธิมนุษยชนของผู้สงู อายุ
(4) แผนปฏบิ ตั กิ ารสิทธมิ นษุ ยชนของคนพกิ าร
(5) แผนปฏบิ ตั กิ ารสทิ ธมิ นุษยชนของผูป้ ว่ ย
(6) แผนปฏิบัตกิ ารสทิ ธมิ นษุ ยชนของผตู้ ิดเช้ือเอชไอวีเอดส์ และผปู้ ่วยเอดส์
(7) แผนปฏิบัตกิ าร สิทธิมนษุ ยชนของชนกลุ่มนอ้ ย
(8) แผนปฏบิ ัตกิ ารสิทธิมนษุ ยชนของคนตา่ งด้าว
(9) แผนปฏิบตั กิ ารสิทธมิ นุษยชนของผู้หนีภยั
(10) แผนปฏบิ ตั ิการสทิ ธิมนษุ ยชนของคนไร้สญั ชาติ
(11) แผนปฏิบัตกิ ารสุทธมิ นุษยชนของคนจน
(12) แผนปฏบิ ตั กิ ารสทิ ธิมนษุ ยชนของผ้ใู ช้แรงงาน
(13) แผนปฏิบตั กิ ารสิทธมิ นษุ ยชนของเกษตรกร
(14) แผนปฏิบตั กิ ารสิทธมิ นุษยชนของผูบ้ รโิ ภค
(15) แผนปฏบิ ัติการสทิ ธิมนุษยชนของผูป้ ฏิบตั ิงานด้านสทิ ธมิ นษุ ยชน
(16) แผนปฏิบตั ิการสทิ ธมิ นุษยชนของผตู้ ้องขัง
(17) แผนปฏิบัตกิ ารสทิ ธิมนษุ ยชนของผพู้ ้นโทษ
(18) แผนปฏบิ ตั ิการสทิ ธมิ นุษยชนของผเู้ สยี หายในคดีอาญา
86
(19) แผนปฏิบัตกิ ารสิทธมิ นษุ ยชนของชมุ ชน
(20) แผนปฏิบตั กิ ารสทิ ธิมนษุ ยชนของผรู้ ับบริการสงเคราะหจ์ ากรฐั
ปญั หาและขอ้ ทา้ ทายของแผนปฏบิ ัตกิ ารด้านต่างๆ ของแผนสทิ ธิมนษุ ยชน ฉบบั ท่ี 4
(สำนกั งานคณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแหง่ ชาต,ิ 2564ก)
1. แผนสทิ ธิมนษุ ยชนดา้ นกระบวนการยตุ ธิ รรม
ปญั หาและขอ้ ทา้ ทาย
1) ประชาชนไม่มีความรู้ทางกฎหมาย สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และไม่สามารถเข้าถึง
ข้อมูลข่าวสารและกระบวนการยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดการกระทำความผิดหรือมีการ
ละเมิดสิทธิโดยไม่ได้เจตนา เช่น การตัดไม้หวงห้ามการบุกรุกที่สาธารณะ เป็นต้น ประกอบกับการไม่
ทราบข้ันตอนของกระบวนการยุติธรรมและช่องทางการได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายเมื่อถูก
ดำเนินคดีจากภาครัฐซึ่งจากการระดมความเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการจัดท ำแผนสิทธิ
มนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 ได้สะท้อนสภาพปัญหาของการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการ
เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมที่ขาดประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประชาชนได้รับข้อมูลอย่างจำกัด หรือไม่
ได้รับทราบโดยประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ในเรื่องของสิทธิของตนในด้านกระบวนการยุติธรรม
เชน่ สิทธขิ องผู้ทตี่ กเป็นเหย่ืออาชญากรรม สทิ ธทิ ี่จะไดร้ ับความคมุ้ ครองในฐานะพยาน สิทธทิ จี่ ะไดร้ ับ
ที่ปรึกษา ทางกฎหมาย และการขาดการเข้าถงึ ข้อมูลข่าวสารดา้ นกระบวนการยตุ ิธรรม
2) ปัญหาการค้ามนุษย์ เป็นปัญหาที่ไทยหยิบยกเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
และจริงจัง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 แต่เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในสถานะประเทศต้นทาง ทางผ่านและ
ปลายทางของการค้ามนุษย์ ดังนั้น จึงยังต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือกับทุกภาค
ส่วนในประเทศทั้งภาคประชาสังคมและ ภาคเอกชน ตลอดจนภาคส่วนในต่างประเทศ ทั้งองค์การ
ระหว่างประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศอื่นๆ ที่สนใจ เพื่อให้การดำเนินการของไทยเกิดผล
สำเรจ็ ในการแกไ้ ขปัญหาอยา่ งเป็นรูปธรรมมากข้ึนและอยา่ งตอ่ เน่อื ง ต่อไป
3) การขาดการกำหนดมาตรฐานการทำงานของล่าม และขาดแคลนล่ามภาษาตา่ งๆ และล่าม
ภาษามือ สำหรับคนพิการทางการได้ยินในกระบวนการยุติธรรมและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายในการ
คุ้มครองสิทธิผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมข้อจำกัดด้านการสื่อสารทางภาษากับเจ้าหน้าที่ใน
กระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจส่งผลให้การพิจารณาคดีมีความล่าช้าหรืออาจเกิดความเสียหายได้ จึง
87
ต้องเรง่ ดำเนนิ การใหส้ อดคลอ้ งตามแผนการปฏริ ูปด้านกระบวนการยุติธรรมเร่อื งและประเด็นปฏริ ูปที่
2 การพฒั นากลไกชว่ ยเหลือและเพิ่มศกั ยภาพเพ่อื ให้ประชาชนเขา้ ถึงกระบวนการยตุ ิธรรม
4) ปัญหาการดำเนินงานในกระบวนการสอบสวนยังมีการปฏิบัติที่มีความเหลื่อมล้ำ ทำให้
ประชาชนเสยี สทิ ธิในกระบวนการยุติธรรม
5) ปัญหาการมีกฎหมายจำนวนมากเกินไป ไม่สอดคล้องกับบริบทการพัฒนาประเทศ สิทธิ
มนุษยชน และ การนำกฎหมายไปปฏิบัติยังขาดประสิทธิภาพและความโปร่งใส ทำให้เกิดปัญหาใน
การดำเนินงานของภาครัฐและ ภาคส่วนท่ีเกี่ยวข้อง รวมทั้งปัญหากระบวนการยุตธิ รรมของประเทศที่
ขาดความโปร่งใส อันเกิดจากหน่วยงาน ในกระบวนการยุติธรรมที่ยังไม่สามารถดำเนินการอย่างสอด
ประสานกนั ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพขาดความเปน็ ธรรมและเลอื กปฏิบตั ิ
2. แผนสิทธิมนษุ ยชนดา้ นการศึกษา
จากการรับฟงั ความคิดเห็นจากผทู้ ่ีเก่ียวข้องในการจดั ทำแผนสิทธิมนษุ ยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4
ในภูมิภาคตา่ งๆ พบวา่ หลายฝา่ ยมคี วามกงั วลในคณุ ภาพการศึกษา กลา่ วคอื แม้ในทางปฏบิ ัติเด็กไทย
ส่วนใหญ่จะได้รับการศึกษาครบจำนวนปีตามที่กำหนดไว้ในระบบการศึกษาภาคบังคับ แต่คุณภาพ
ของระบบการศึกษายังคงมีความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มาจากครอบครัวที่มีข้อจำกัดทาง
เศรษฐกิจและสังคม โดยความเหลื่อมล้ำดังกล่าวยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้นักเรียนหลุดออกจาก
ระบบการศึกษาหรือต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ซึ่งจากการคำนวณโดยนายนิโคลัส เบนเน็ต
(Nicholas Burnett) อดีตรองผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง
สหประชาชาติ (UNESCO) ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาของไทยสร้างความ
เสียหายทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและประชากรศาสตร์ให้กับประเทศไทยโดยมีมูลค่าสูงถึงปีละ
330,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย (GDP) ทั้งนี้ข้อมูล
จาก สำนักคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน (สพฐ.) ระบุว่า ในปี 2560 มีนักเรียนชั้น ป.1 – ม.6 ท่ี
ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวมากถึงร้อยละ 13 จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าฐานะทาง
เศรษฐกิจของครอบครัวส่งผลต่อระดับการศึกษาของเด็ก นอกจากนี้ เด็กพิการ เด็กที่มีความต้องการ
พิเศษ ยังคงประสบปญั หาการถกู เลือกปฏิบัตใิ นสถานศึกษาท่ไี มส่ ามารถจดั การศึกษาแบบเรยี นรวมได้
(สำนกั งานคณะกรรมการสิทธมิ นษุ ยชนแห่งชาติ, 2564ค, หนา้ 8)
3. แผนสิทธิมนษุ ยชนดา้ นเศรษฐกิจและธรุ กิจ
ปัญหาและข้อทา้ ทาย
88
1) ปัญหาการละเมิดสิทธขิ องผบู้ รโิ ภคในปจั จุบันมีแนวโนม้ เพิม่ ข้นึ เน่ืองจากสื่อสังคมออนไลน์
และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ช่วยให้การติดต่อกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเป็นไปได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตาม จำนวนการซื้อขายที่มากขึ้นก็ส่งผลให้การควบคุมคุณภาพสินค้า และบริการเป็นไปได้
ยากขึ้นเช่นกันจึงมีผู้ขาย จำนวนมากที่ฉวยโอกาสหลอกลวงผู้บริโภคในรูปแบบต่างๆ แม้ปัจจุบัน
หน่วยงานของรัฐหลายแห่ง อาทิ กรมการค้าภายในและสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจะ
พัฒนาให้มีช่องต่างๆ เพื่อรับเรื่อง ร้องทุกข์และประชาสัมพันธ์เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค แต่การ
ละเมิดสิทธิของผู้บริโภคยังคงมีอยู่ขึ้น เพราะผู้บริโภคหลายรายมักเลือกที่จะไม่ร้องเรียนเพราะไม่
เชื่อมั่นในการดำเนินงานของรัฐ เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย ส่งผลให้ผู้ขายหลายรายไม่เกรงกลัวที่จะ
กระทำผดิ กฎหมาย
2) ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ โดยเป็นผลมาจากการถูกจำกัดสิทธิในการเข้าถึง
ทรัพยากร อาทิ การขาดโอกาสการเข้าถึงเงินทุน ขาดโอกาสทางการศึกษา ซึ่งส่งผลให้เกิดความ
เหลื่อมล้ำในเชิงโครงสร้าง ที่กลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่สามารถขยับเลื่อนฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม
ของตนได้ และก่อให้เกิดสภาวะการตดิ กบั ดกั ความยากจนต่อเนอื่ งเปน็ ปัญหาในเชงิ พลวัตร
3) ปัญหาการผูกขาดทางการค้าด้านการเกษตร ปัญหาการผูกขาดสินค้าการเกษตรเป็น
ปญั หา สำคัญทรี่ ัฐควรแกไ้ ขโดยเรง่ ด่วน เนอ่ื งจากการกระทำในเชงิ ธรุ กจิ ทีม่ ่งุ หวงั ใหเ้ กดิ การผูกขาดน้ัน
เป็นการกระทำที่ผิดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งในแง่ของการ
บั่นทอน ทั้งความมีประสิทธิภาพและความเป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากร ทั้งนี้ จากการระดม
ความเหน็ ในการจัดทำแผนสทิ ธมิ นุษยชนแหง่ ชาตฉิ บับท่ี 4 พบวา่ เกษตรกรรายย่อยหลายรายประสบ
ปัญหาตอ้ งรับซอ้ื ปจั จัยการผลติ เชน่ เมลด็ พันธ์ุ ป๋ยุ แมพ่ นั ธุ์ พ่อพันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ ยากำจัดศตั รูพืช
จากบรษิ ทั ขนาดใหญท่ ่ผี กู ขาดธรุ กิจทางด้านเกษตรกรรมไว้อย่างยาวนาน ซ่งึ มีราคาสงู
4) สืบเนื่องจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการ ประกอบธุรกิจ โดยที่ผ่านมา
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดน
ที่เกิดจากการลงทุนของบริษัทต่างประเทศในไทยและการลงทุนของบริษัทไทยในประเทศเพื่อนบ้าน
เป็นระยะๆ รวมทั้งการละเมิดสิทธิแรงงานโดยภาคธุรกิจ ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ประกาศใช้แผนปฏิบัติ
การระดบั ชาตวิ ่าด้วยธุรกิจ กบั สทิ ธิมนุษยชน พ.ศ. 2562 – 2565 แล้ว เมื่อวันท่ี 29 ตุลาคม 2562 จึง
ควรเรง่ รัดผลักดันให้แผนได้ถกู นำไปสกู่ ารปฏบิ ัตอิ ย่างจรงิ จงั
89
4. แผนสิทธมิ นุษยชนสำหรับกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ผู้ไรร้ ัฐ ไร้สัญชาติและผูแ้ สวงหาท่ี พกั พงิ ในเขตเมือง
1) ปัญหาเด็กในชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์เข้าไม่ถึงการขอมีสถานะ/สัญชาติการจด
ทะเบียน การเกิด ทำให้เด็กกลุ่มดังกล่าวไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการสังคมและกลายเป็นบุคคลไร้
สัญชาติ และบางกรณี การดำเนินการขอสัญชาติใช้ระยะเวลานาน นอกจากนี้ ยังพบปัญหาที่เกี่ยวกบั
ค่าใช้จ่ายอาทิ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าดำเนินการ เนื่องจากประชาชน กลุ่มนีโ้ ดยส่วนใหญ่ยากจน
และอาศัยอยู่ในพน้ื ทห่ี ่างไกลจากอำเภอหรือ สำนกั ทะเบียนราษฎร
2) ปัญหาการเข้าถึงการบริการสาธารณะและสวัสดิการทางสังคมต่างๆ ของรัฐ อาทิ การ
ขาด โอกาสในการได้รับการศึกษาที่ดี ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล ส่งผลทำให้เด็กของ
กลมุ่ เปา้ หมายดังกลา่ ว จำนวนมากเสยี ชีวิตตง้ั แต่แรกเกดิ จากการเจ็บป่วย การพัฒนาดา้ นสุขภาพและ
การโภชนาการไม่ได้มาตรฐานกรณี ผู้แสวงหาที่พักพิงในเขตเมืองที่ถูกจับจะถูกควบคุมตัวในห้องกัก
ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พบกรณีเสียชีวิต ของผู้ต้องกักเนื่องจากภาวะการเจ็บป่วยตาม
ธรรมชาติ และการอยู่ในห้องกักที่มีสภาพแออัดเป็นระยะเวลานาน กอปรกับข้อจำกัดในการเข้าถึง
การรกั ษาพยาบาลอาจทำให้ผู้ต้องกักท่ีสุขภาพไม่แขง็ แรงเกดิ การเจบ็ ปว่ ยถึงขน้ั รุนแรงได้
วัชรฤทัย บุญธินันท์ (2562) อาจารย์ประจำสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา
มหาวิทยาลัยมหิดล และประธานมูลนิธิการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองไทย (Thai Civic Education
Foundation – TCE Foundation) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ทำงานเพื่อบ่มเพาะวัฒนธรรม
ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย เป็นผู้หนึ่งที่พยายามผลักดันให้มีการสอนเรื่องสิทธิ
มนษุ ยชนและความเป็นพลเมือง ตง้ั แต่ในระดับการศึกษาขั้นพน้ื ฐานจนถึงระดับอดุ มศึกษา
อาจารย์วัชรฤทัย บุญธินันท์ ได้สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนว่า “สำหรับ
สังคมไทย เวลาพูดถึงสิทธิมนุษยชน คนส่วนใหญ่จะรู้สึกกลัวเนื่องจากมองว่าเป็นเรื่องของการ
เรียกร้อง และการประท้วงของคนบางกลุ่มซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายและความขัดแย้งในสังคม แต่
จริงๆ แล้ว สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตของทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นเรื่องเกี่ยวกับการท่ี
คนเราจะมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร อย่างเช่นเด็กคนหนึ่งเกิดมา ถ้าเข้า
ไมไ่ ดร้ ับการจดทะเบียนการเกิดหรอื ไดร้ บั สัญชาติ เขาก็จะขาดสทิ ธิโอกาสในดา้ นอื่นๆ เช่นในเร่ืองการ
เข้าเรยี น การไดร้ ับการรกั ษาพยาบาล หรอื การเข้าทำงาน ซึ่งสทิ ธิของเดก็ ท่จี ะได้รับสัญชาติก็เป็นสิทธิ
มนุษยชนขั้นพื้นฐาน แต่ก็มีหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยที่ยังมีเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมากท่ี
เป็นคนไร้สัญชาติ หรือสิทธิในการนับถือศาสนาก็เป็นสิทธิมนุษยชนขัน้ พื้นฐาน แต่ในหลายๆ ประเทศ
กม็ กี ารเลือกปฎบิ ัติกับกล่มุ ผู้นบั ถอื ศาสนาทีเ่ ป็นคนสว่ นน้อยของประเทศ”
90
อาจารย์วัชรฤทัย บุญธินันท์ กล่าวต่ออีกว่า “ยังมีมุมมองว่าสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องของ
ตะวันตกทั้งๆ ที่คณะที่ร่างปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนก็มีผู้แทนจากประเทศในเอเซียร่วมอยู่
ด้วย จริงอยู่ว่าในประวัติศาสตร์อาจจะมีการตื่นตัวในเรื่องสิทธิมนุษยชนในสังคมตะวันตกมากกว่าใน
บ้านเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณค่าและหลักการสิทธิมนุษยชนจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับ
สังคมไทย เพียงแต่แนวคิดและการให้คุณค่าเรื่องนี้อาจจะท้าทายระบบคิดและวิถีปฏิบัติบางอย่างใน
สังคม จงึ ทำใหม้ ีการไมย่ อมรับ
นอกจากนั้นเรามักจะได้ยินคำพูดว่าคนเอาแต่เรียกร้องสิทธิ โดยไม่ทำหน้าที่ ซึ่งจริงๆ แล้ว
เวลาที่เราพูดถึงสิทธิมนุษยชนอยากจะย้ำว่ามันเป็นเรื่องคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ว่าใน
ฐานะมนุษย์คนหน่งึ เราควรจะสามารถใช้ชวี ิตอยา่ งไร เชน่ เราควรจะรูส้ กึ ปลอดภยั ในชวี ติ ไมถ่ กู เลือก
ปฏบิ ตั ิ ไม่ถูกกระทำทารณุ มสี ทิ ธิท่ีจะแสดงความคดิ เห็น ไดร้ บั การศึกษา การรักษาพยาบาล มีงานทำ
และไดร้ ับค่าตอบแทนท่เี หมาะสม มมี าตรฐานการครองชพี ทเ่ี หมาะสม มที ี่อย่อู าศยั ทีม่ น่ั คงเป็นต้น ซ่ึง
เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องสำคัญพื้นฐานของชีวิต ซึ่งถ้าผู้ที่มีหน้าที่พิทักษ์สิทธิสามารถทำหน้าที่เคารพ
คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนได้ ทุกคนก็สามารถดำเนินชีวิตได้ตามที่ควรจะเป็น ก็ไม่ต้องมีการ
ออกมาเรียกร้อง”
อาจารยว์ ชั รฤทยั บุญธนิ นั ท์ ได้กล่าวทง้ิ ทา้ ยไว้ว่า “สทิ ธิมนษุ ยชนเป็นเร่อื งใกล้ตวั และเป็นเรอื่ งท่เี รา
ทกุ คนควรจะทำความเขา้ ใจ เพราะเป็นคุณคา่ สากลทเ่ี ป็นหลกั ที่จะทำให้เกดิ สนั ตภิ าพและความเป็นธรรมใน
สงั คมไทยและสงั คมโลกได”้
สรปุ สถานการณเ์ รือ่ งศกั ดิ์ศรขี องความเป็นมนุษย์และสิทธมิ นุษยชนในสงั คมไทย
เสน่ห์ จามริก (2543) ได้สรุปว่า จากการพิเคราะห์ทบทวนถึงพัฒนาการสิทธิมนุษยชน
โดยเฉพาะในช่วงยุคพัฒนาและสภาวะปัญหาจากผลกระทบภายใต้กระแสเศรษฐกิจตลาดเสรีรวมทั้ง
สภาวะพึ่งพาและแปลกแยกของชนชั้นนำทั้งหมดเหล่านี้ชวนให้สรุปได้ว่า นอกเหนือไปจากความ
พยายามและมาตรการตา่ งๆ ในอนั ทจ่ี ะปกปอ้ งคมุ้ ครองสทิ ธิของมวลชนผดู้ ้อยโอกาสเปน็ เร่ืองเป็นราย
เป็นภารกิจเฉพาะหน้าตามที่รัฐธรรมนูญเปิดช่องไว้ทั้งในด้านสิทธิราษฎรและสิทธิการเมือง และใน
ด้านสิทธิเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เป้าหมายและกระบวนการระยะยาวก็คงจะต้องมุ่งไปที่ตัว
โครงสร้างสัมพนั ธภาพทางอำนาจ เป็นสำคญั ในแงน่ ส้ี ำหรบั สังคมไทยอนั เป็นสังคมฐานทรัพยากรโดย
ธรรมชาติ สิทธิชุมชนท้องถิ่นดูจะเป็นกุญแจสำคัญ ในอันที่จะคลี่คลายเงื่อนปมของอำนาจนิยมและ
สภาวะความแปลกแยกภายในโครงสร้างดังกล่าว รวมทั้งยังจะมีส่วนสำคัญในการผ่อนคลายปัญหา
91
การล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนระดับต่างๆ และในประการสำคัญ เป็นการปูพื้นฐาน
แนวทางพฒั นาไปสปู่ ระชาธิปไตยระดบั รากหญา้ อยา่ งแท้จริง
สถานทูตสหรัฐอเมริกา (2564) ได้รายงานด้านสิทธิมนุษยชนประจำปี พ.ศ. 2563 ในส่วน
ของสถานการณ์ของประเทศไทยไว้ว่า ปัญหาสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ ได้แก่ มีรายงานการสังหารที่ผิด
กฎหมายหรือตามอำเภอใจโดยรัฐบาลหรือเจา้ หน้าที่ของรัฐบาล การทรมานและเหตุการณ์การปฏิบตั ิ
หรือลงโทษด้วยวิธีการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือทำลายศักดิ์ศรีโดยเจ้าหน้าที่ของทางการ การ
จบั กมุ และคุมขงั โดยพลการโดยเจ้าหนา้ ที่รัฐ นักโทษการเมือง การแกแ้ ค้นโดยมีเหตจุ ูงใจทางการเมือง
ซึ่งรวมถึงข้อกล่าวหาว่ามีการบังคับบุคคลซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกประเทศให้สูญหาย การแทรกแซงทาง
การเมืองในกระบวนการพิจารณาคดี การจำกัดเสรีภาพการแสดงออก ควบคุมสื่อ และอินเทอร์เน็ต
อย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมไปถึงการจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ที่วิจารณ์รัฐบาล การตรวจสอบเนื้อหาก่อน
เผยแพร่ การปิดกั้นเว็บไซต์ และกฎหมายหม่ินประมาททางอาญา การแทรกแซงสิทธิในการชุมนุม
อย่างสงบและเสรีภาพในการสมาคม รวมถึงการคุกคามนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและผู้ท่ี
วิจารณ์รัฐบาล การส่งกลับผู้ลี้ภัยที่เผชิญภัยอันตรายต่อชีวิตหรือเสรีภาพ การจำกัดการมีส่วนร่วม
ทางการเมือง การกระทำทุจริตอย่างร้ายแรง การค้ามนุษย์ และการจำกัดเสรีภาพในการสมาคมของ
ผใู้ ช้แรงงานอยา่ งมนี ยั สำคัญ
ก. การสังหารตามอำเภอใจหรอื การสังหารทีผ่ ดิ กฎหมายหรอื มเี หตุจงู ใจทางการเมือง
มีรายงานจำนวนมากระบุว่า รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐสังหารตามอำเภอใจหรือผิด
กฎหมาย สำนักการสอบสวนและนิติการ กระทรวงมหาดไทย รายงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง
ซึ่งได้แก่ ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆ ได้สังหารผู้ต้องสงสัย 16 ราย ขณะดำเนินการ
จบั กุมตงั้ แต่ต้นเดอื นตุลาคม 2562 จนถงึ ปลายเดอื นกนั ยายน ซ่งึ ลดลงจากปี 2561-2562 ร้อยละ 60
ข. การหายสาบสญู
กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ (DSI) กลา่ ววา่ กรมสอบสวนคดพี ิเศษไมเ่ หน็ พอ้ งกบั (และจะเรียกร้อง
ให้อัยการสูงสุดพิจารณาใหม่) กรณีไม่ฟ้องเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 4 คนในข้อหา
ฆาตกรรมนายพอละจี “บิลลี่” รกั จงเจริญ นักเคลอ่ื นไหวด้านสิทธมิ นษุ ยชนชาวกะเหรยี่ ง เม่อื ปี 2557
นายพอละจีหายตัวไปในจงั หวดั เพชรบุรหี ลังถูกคมุ ตวั ในอทุ ยาน และถกู สอบสวนในขอ้ กลา่ วหามนี ำ้ ผึ้ง
ป่าไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ในเดือนกันยายน 2562 กรมสอบสวนคดีพิเศษประกาศว่าพบ
กระดูกของนายพอละจี ผลการสืบสวนชี้ว่า นายพอละจีถูกทรมานและฆาตกรรม จากนั้นศพถูกนำไป
เผาและใส่ไว้ในถังน้ำมันถ่วงน้ำในเขื่อนเพื่ออำพรางคดี ในเดือนพฤศจิกายน 2562 นายชัยวัฒน์ ลิ้ม
92