The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศาสตร์และศิลป์ในการสร้างความสุข

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by adphongnut, 2021-12-28 21:25:14

ศาสตร์และศิลป์ในการสร้างความสุข

ศาสตร์และศิลป์ในการสร้างความสุข

Keywords: Sciences and Arts

เอกสารประกอบการสอน

รายวิชา 2209901

ศาสตร์และศลิ ป์ในการสร้างความสขุ

Sciences and Arts in Creating Happiness

หมวดวิชาศกึ ษาทวั่ ไป
มหาวิทยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม
ฉบับปรับปรงุ 2564 (GE พนั ธุใหม่)

มคอ 3

รายละเอยี ดรายวิชา

ชอ่ื สถาบนั อุดมศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม
วทิ ยาเขต/คณะ/ภาควิชา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

หมวดที่ 1 ข้อมูลโดยทว่ั ไป

1. รหสั และชอ่ื รายวิชา
2209901 ศาสตรแ์ ละศิลปใ์ นการสร้างความสุข

(Sciences and Arts in Creating Happiness)

2.จานวนหนว่ ยกิต
3 หนว่ ยกติ (2-2-5)

3. กลมุ่ วิชาและประเภทของรายวิชา
วิชาบังคับ ชุดวชิ าคณุ ค่าและทักษะชีวิต

4. อาจารยผ์ ูร้ ับผดิ ชอบรายวิชาและอาจารย์ผ้สู อน

อาจารยผ์ ู้รับผิดชอบรายวชิ า (คณะกรรมการบริหารรายวิชา)

ลาดบั ช่ือ-นามสกลุ ตาแหนง่ ทางวิชาการ คุณวุฒิ (ระบุสาขา)
ปรญิ ญาโท
1. นายอิสระ ตรปี ัญญา อาจารย์ ปรญิ ญาเอก

2. นางสาวจนั ทรเ์ พญ็ ภโู สภา ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ปริญญาเอก

3. นายนวพล นนทภา ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ปริญญาเอก

4. นางสาวอาพร แสงไชยา ผชู้ ่วยศาสตราจารย์

อาจารย์ผ้สู อน
อาจารย์ผู้สอนท่ไี ด้รับมอบหมาย

5. ภาคการศกึ ษา/ชน้ั ปที ่เี รียน
ภาคการศกึ ษาที่ 1/2564 นักศกึ ษาปรญิ ญาตรีทกุ หลกั สตู ร ชนั้ ปีที่ 1

6. สถานทเี่ รียน
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม

2

7. วนั ทจ่ี ดั ทาหรือปรับปรุงรายละเอียดของรายวิชาครัง้ ล่าสุด
17 พฤษภาคม 2564

หมวดที่ 2 จุดม่งุ หมายและวัตถุประสงค์
1. จุดมุ่งหมายของรายวชิ า

1. มคี วามร้คู วามเข้าใจเก่ียวกับแนวคิดความสาคญั และมิตติ ่างๆ ของความสุขในชีวิต
2. ตระหนกั รูใ้ นคุณคา่ ความงาม และการใช้ชวี ติ อย่างมีความสุข
3. สามารถเลอื กแนวทางและวธิ ีการปฏิบัตใิ นการแก้ไขปญั หาต่างๆ ในการดาเนินชวี ติ ไดอ้ ย่างเหมาะสมและ
มคี วามสุข

2. วัตถุประสงคใ์ นการพัฒนา/ปรับปรุงรายวิชา
ไม่มี

หมวดที่ 3 ลกั ษณะและการดาเนนิ การ

1. คาอธิบายรายวิชา

แนวคิดและความสาคัญของความสุข มติ ขิ องความสุข การดาเนินชีวติ อยา่ งมสี ุนทรยี ภาพ การปฏิบัติ
ตนใหเ้ กดิ สขุ ภาวะทางกายและสุขภาวะทางใจ ศลิ ปะและเทคนิคการสร้างวิถีชีวิตท่ีมีความสขุ

The concept and importance in a dimension of happiness, living with aesthetics;
lifestyle according to one’s physical well-being and mental well-being, personality and
expression in an art society, techniques for creating a happy lifestyle.

2. จานวนชั่วโมงทใ่ี ชต้ อ่ ภาคการศกึ ษา

บรรยาย สอนเสรมิ การฝึกปฏิบตั /ิ งาน การศกึ ษาด้วยตนเอง

ภาคสนาม/การฝึกงาน

30 ช่วั โมง/ สอนเสรมิ ตามความ 30 ช่วั โมง/ 75 ชั่วโมง/

ภาคการศึกษา ตอ้ งการของนักศกึ ษา ภาคการศึกษา ภาคการศึกษา

เฉพาะราย

3. จานวนชวั่ โมงต่อสปั ดาห์ที่อาจารยใ์ หค้ าปรึกษาและแนะนาทางวิชาการแกน่ กั ศกึ ษาเป็นรายบคุ คล

อาจารย์ประจารายวิชาแจ้งใหน้ ักศกึ ษาทราบเก่ยี วกับห้องทางานและช่องทางในการติดต่อสอ่ื สาร

(เฉพาะรายท่ีตอ้ งการ) หรอื ให้คาปรึกษาผ่านระบบ E-Learning หรอื ระบบ Social Network รปู แบบต่าง ๆ

หมวดท่ี 4 การพัฒนาการเรียนรู้ของนักศกึ ษา

3

1. คณุ ธรรมจริยธรรม
1.1 คุณธรรม จริยธรรมท่ตี ้องพัฒนา
1.1.1 (3) มวี นิ ัยและความรบั ผิดชอบต่อตนเองและสังคม
1.1.2 (6) มีจติ สาธารณะ ทาประโยชน์เพอ่ื ส่วนรวมชมุ ชน สงั คมและท้องถน่ิ

1.2 วธิ ีการสอน
1.2.1 สอดแทรกเนื้อหาทางด้านคุณธรรม จริยธรรม รวมทง้ั มกี ารจดั กิจกรรมส่งเสรมิ คณุ ธรรม
1.2.2 การเรยี นรู้โดยใช้กรณีศึกษา (Case-study)
1.2.3 การเรยี นรู้แบบรว่ มมือ (Collaborative Learning)

1.3 วธิ กี ารประเมิน
1.3.1 ประเมนิ พฤติกรรมและการเข้าช้ันเรยี น การทากจิ กรรมในชัน้ เรียน
1.3.2 ประเมนิ จากความรบั ผิดชอบในการสง่ งานท่ีได้รบั มอบหมายตามกาหนดระยะเวลา และความ

ซือ่ สตั ย์โดยไม่คัดลอกผลงานผูอ้ ืน่
1.3.3 ประเมนิ จากการรว่ มกิจกรรม หรือการทางานกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย

2. ความรู้

2.1 ความรทู้ ่ีต้องได้รบั
2.1.1 (2) มีความรู้แบบบรู ณาการในเนอื้ หารายวชิ าเดยี วกนั และรายวชิ าอ่นื ๆ ที่เกีย่ วข้อง

2.2 วิธีการสอน
2.2.1 ศกึ ษาเอกสาร ตารา บทความ เวบ็ ไซต์
2.2.2 บรรยายประกอบสไลด์นาเสนอ PowerPoint
2.2.3 ซักถาม อภปิ รายแลกเปลี่ยนรว่ มกันในชน้ั เรยี น
2.2.4 การเรยี นรู้โดยใชส้ อื่ (Media-Learning) เช่น VCD, Clip-VDO
2.2.5 การเรยี นรู้โดยใช้กรณศี ึกษา (Case-study)
2.2.6 การเรยี นรู้จากการทาโครงการ (Project-Based Learning)

2.3 วธิ ีการประเมินผล
2.3.1 ตรวจแบบฝกึ หัด
2.3.2 ถาม-ตอบในช้นั เรียน
2.3.3 ทดสอบย่อยและสอบปลายภาค
2.3.4 การนาเสนองาน
2.3.5 ประเมนิ ผลงานรายงาน/โครงการ

3. ทักษะทางปัญญา

3.1 ทักษะทางปัญญาท่ีต้องพัฒนา
3.1.1 (4) มีทักษะการปฏบิ ัติงาน ตามท่ีไดร้ ับการฝึกฝน

4

3.2 วิธกี ารสอน
3.2.1 บรรยายประกอบสไลดน์ าเสนอ PowerPoint
3.2.2 การเรียนรโู้ ดยใช้สื่อ (Media-Learning) เชน่ VCD, Clip-VDO
3.2.3 มอบหมายงานใหค้ ้นคว้าและศึกษาด้วยตนเอง เชน่ เอกสาร ตารา บทความ เว็บไซต์ ฯลฯ
3.2.4 ซักถาม อภปิ รายรว่ มกนั ในชนั้ เรียน
3.2.5 วธิ ีการสอนแบบกรณศี ึกษา (Case-study)
3.2.6 การเรียนรู้จากการทาโครงการ (Project-Based Learning)
3.2.7 การเรยี นรจู้ ากการฝกึ ปฏบิ ตั ิเจริญสติ (Performance–base Learning)

3.3 วิธกี ารประเมนิ ผล
3.3.1 ตรวจแบบฝึกหัด
3.3.2 ถาม-ตอบในชน้ั เรียน
3.3.3 แบบทดสอบในระดบั วิเคราะห์ สงั เคราะห์ การนาไปใช้ และการประเมินคา่
3.3.4 ประเมินผลงานรายงาน/โครงการ
3.3.3 แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)

4. ทกั ษะความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลและความรบั ผดิ ชอบ

4.1.1 (4) สามารถวางแผนและรบั ผดิ ชอบในการเรียนรู้ และพฒั นาตนเองและวชิ าชพี

4.2 วิธีการสอน
4.2.1 การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion)
4.2.2 การสอนแบบใชเ้ ทคนคิ การระดมพลงั สมอง (Brainstorming)
4.2.3 การเรยี นรู้แบบร่วมมอื (Collaborative Learning)
4.2.4. การเรียนรจู้ ากการทาโครงการ (Project-Based Learning)
4.2.5 การศึกษาดว้ ยตนเอง (Self-Directed Learning)

4.3 วธิ ีการประเมินผล
4.3.1 ประเมนิ โดยสังเกตพฤติกรรมการมสี ่วนร่วม มีมนุษยสมั พันธ์ และการทางานเป็นทมี
4.3.2 ประเมินผลงานของกล่มุ
4.3.3 ประเมินจากเพื่อนร่วมช้นั เรียน
4.3.4 ประเมินผลงานรายงาน/โครงการ
4.3.5 ประเมนิ แบบบนั ทึกการเรียนรู้ผ่านกจิ กรรม

5. ทักษะการวเิ คราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ

5.1 ทักษะการวเิ คราะห์เชงิ ตวั เลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทีต่ อ้ งพัฒนา
5.1.1 (2) สามารถสรุปประเด็นและส่ือสารท้งั การพูดและการเขยี นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ

5

5.1.2 (3) มวี จิ ารณญาณในการใช้เทคโนโลยสี ารนเทศและใช้อยา่ งสมา่ เสมอ ในการรวบรวมข้อมูล
แปลความหมาย สือ่ สารข้อมูล แนวความคิด และตดิ ตามความกา้ วหนา้

5.2 วิธกี ารสอน
5.2.1 เปิดโอกาสให้อภปิ รายแสดงความคดิ เห็น จากการยกตัวอย่างหรอื กรณีศึกษา เชน่ ข่าว สารคดี

บทความวชิ าการตา่ งๆ
5.2.2 มอบหมายให้นักศึกษาทารายงานโดยการสบื ค้นข้อมูลจากเทคโนโลยตี า่ งๆ เช่น อนิ เทอรเ์ นต็

ฐานข้อมูล OPAC ฯลฯ และนาเสนอโดยใช้เทคโนโลยที ี่เหมาะสม
5.2.3 แนะนาและสาธิตวธิ ีการสบื ค้นขอ้ มูลจากเว็บไซด,์ E-Learning ที่เก่ียวข้อง
5.2.4 การศกึ ษาด้วยตนเอง (Self-Directed Learning)

5.3 วิธกี ารประเมินผล
5.3.2 ประเมินจากการสงั เกต การแสดงความคิดเหน็ การสรุปและจบั ประเดน็
5.3.3 ประเมินการนาเสนองานหนา้ ชน้ั เรียนของผูเ้ รียน โดยใช้สอ่ื สารสนเทศ
5.3.4 ประเมินผลสืบค้นขอ้ มลู โดยใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและได้ผลตรงกับความต้องการ
หมวดท่ี 5 แผนการสอนและการประเมินผล

1. แผนการสอน

สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กจิ กรรมการเรียน ผู้สอน
ช่ัวโมง การสอน/ส่ือทใี่ ช้
ท่ี อาจารย์ผสู้ อนที่
4 กิจกรรมการเรยี นการสอน ได้รบั มอบหมาย
1 ปฐมนเิ ทศรายวิชา 1. ช้ีแจงเนอื้ หารายวิชา ทา
ความเขา้ ใจรายละเอียดการ
1. แนะนาภาพรวมของรายวิชา เรยี นการสอน ข้อตกลง
รวมทัง้ การวดั และ
2. ชีแ้ จงรายละเอียดแผนการจดั การ ประเมินผล 2. เปดิ โอกาสให้
ผู้เรยี นไดม้ ีสว่ นร่วมในการ
เรียนการสอน ข้อตกลงเบ้ืองต้นใน วางแผนการเรียนรู้
3. นกั ศึกษาเขยี นส่งิ ท่ี
การเรยี นการสอน รวมทง้ั เกณฑ์และ คาดหวังทจี่ ะได้รบั จาก
รายวชิ า
วธิ ีการประเมินผล 4. บรรยายโดยชุดสไลด์
นาเสนอ Power Point
3. แนะนาแหลง่ ข้อมลู ที่ควรเรยี นรู้ 5. ชมคลิป VDO
6. กจิ กรรมอภปิ รายกลมุ่
สาหรับการพฒั นาความรดู้ ้วยตนเอง ส่ือการเรียนการสอน

บทท่ี 1 มนุษยก์ ับความสุข
1. ความหมายของมนุษย์
2. ธรรมชาติและความต้องการของ
มนุษย์
3. คุณคา่ และการแสวงหาความสขุ
ในชีวิตของมนุษย์

6

1. แผนการสอน

สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอยี ด จานวน กจิ กรรมการเรียน ผูส้ อน
ช่ัวโมง การสอน/สอื่ ท่ีใช้
ท่ี อาจารย์ผสู้ อนที่
1. แผนบริหารการสอน ได้รบั มอบหมาย
2-3 บทที่ 2 แนวคดิ เร่อื งความสุข 2. เอกสารประกอบการสอน
1. ความหมายและนิยามของ 3. ชุดสไลดน์ าเสนอ Power อาจารย์ผู้สอนที่
ความสุข Point ไดร้ ับมอบหมาย
2. ประเภทและระดับของความสุข 4. คลิป VDO
3. ปจั จัยทีม่ ผี ลตอ่ ความสขุ 5. แบบบนั ทึกการเรยี นรู้ผ่าน
4. แนวคดิ เรอ่ื งความสุขในทาง กจิ กรรม
ตะวนั ตก
5. แนวคดิ เรือ่ งความสุขในทาง 8 กจิ กรรมการเรียนการสอน
ตะวนั ออก 1. บรรยายโดยชดุ สไลด์
นาเสนอ Power Point
4-5 บทท่ี 3 สนุ ทรยี ภาพและการรับรู้ 2. ชมภาพยนตร์ และ
ทางความงาม อภปิ รายแลกเปลีย่ นความ
1 แนวคดิ และทฤษฎีทาง คิดเห็นในท้ายชวั่ โมง
สุนทรยี ศาสตร์ 3. กจิ กรรมอภปิ รายกลุ่ม
2. องค์ประกอบของศิลปะ 4. ผเู้ รียนทาใบงาน
3. ประสบการณ์สุนทรยี ะและการ ส่ือการเรียนการสอน
รับร้ทู างความงาม 1. แผนบรหิ ารการสอน
4. การรับรูค้ วามงามทางทัศนศลิ ป์ 2. เอกสารประกอบการสอน
5. การรับร้คู วามงามทางเสียง 3. ชดุ สไลดน์ าเสนอ Power
Point
4. DVD ภาพยนตร์
5. แบบบันทึกการเรยี นรผู้ า่ น
กิจกรรม

8 กจิ กรรมการเรียนการสอน
1. บรรยายโดยชุดสไลด์
นาเสนอ Power Point
2. ชมคลิป VDO
3. กจิ กรรมอภปิ รายกลุ่ม
4. ผเู้ รียนทาใบงาน
สื่อการเรยี นการสอน
1. แผนบริหารการสอน

7

1. แผนการสอน

สัปดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กิจกรรมการเรียน ผู้สอน
ชั่วโมง การสอน/สื่อทใ่ี ช้
ที่ อาจารย์ผสู้ อนที่
8 2. เอกสารประกอบการสอน ไดร้ ับมอบหมาย
6. การรบั รคู้ วามงามทางกายลลี า 3. ชุดสไลด์นาเสนอ Power
Point
6-7 บทท่ี 4 สุนทรยี ภาพกับการสรา้ ง 4. คลปิ VDO
ความสขุ ในชีวติ 5. แบบบนั ทึกการเรียนรู้ผา่ น
1. ทัศนศลิ ป์กบั วิถชี วี ติ กิจกรรม
2. สุนทรยี ภาพทางดนตรี
3. สนุ ทรียภาพทางนาฏศลิ ป์และการ กิจกรรมการเรยี นการสอน
ละคร 1. บรรยายโดยชุดสไลด์
นาเสนอ Power Point
2. ชมคลิป VDO
3. กจิ กรรมอภิปรายกลุม่
4. มอบหมายงานให้อา่ น
บทความทางศลิ ปะจาก
internet เขียนสรปุ
วิเคราะหแ์ ละวิจารณ์
5. ทาใบงานและแบบฝึกหัด
สอื่ การเรยี นการสอน
1. แผนบริหารการสอน
2. เอกสารประกอบการสอน
3. ชดุ สไลด์นาเสนอ Power
Point
4. คลปิ VDO
5. ใบงานและแบบฝึกหดั

8-9 บทที่ 5 คณุ ธรรมจริยธรรมในการ 8 กจิ กรรมการเรียนการสอน อาจารย์ผู้สอนที่
ดาเนินชวี ติ อยา่ งมคี วามสุข 1. บรรยายโดยชดุ สไลด์ ได้รับมอบหมาย
1. คุณธรรมและจรยิ ธรรมในจรยิ - นาเสนอ Power Point
ศาสตรต์ ะวนั ตก 2. ชมคลิป VDO
2. คุณธรรมและจริยธรรมในจริย- 3. กจิ กรรมอภปิ รายกลุ่ม
ศาสตร์ตะวนั ออก 4. ยกตวั อย่างจากกรณีศึกษา
3. คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในพุทธจ (Case-study)
ริยศาสตร์ 5. ทาใบงานและแบบฝึกหดั

8

1. แผนการสอน

สัปดาห์ หัวข้อ/รายละเอยี ด จานวน กจิ กรรมการเรยี น ผูส้ อน

ท่ี ชวั่ โมง การสอน/สือ่ ท่ใี ช้ อาจารย์ผูส้ อนที่
ไดร้ บั มอบหมาย
4. มิติของความสุขตามแนวพุทธ สอ่ื การเรยี นการสอน
อาจารยผ์ ู้สอนที่
ศาสนา 1. แผนบรหิ ารการสอน ได้รบั มอบหมาย

5. การพฒั นาความสุขตามหลักพุทธ 2. เอกสารประกอบการสอน

ศาสนา 3. ชดุ สไลดน์ าเสนอ Power

Point

4. คลิป VDO

5. ใบงานและแบบฝึกหดั

10-11 บทท่ี 6 สมาธิเพอ่ื การพฒั นาชวี ติ ท่ี 8 กจิ กรรมการเรยี นการสอน

มคี วามสุข 1. บรรยายโดยชดุ สไลด์

1. ความหมายและหลักการของการ นาเสนอ Power Point

ฝึกสมาธิ 2. ชมคลปิ VDO

2. ขอบเขตและความสาคัญของ 3. กจิ กรรมเดินจงกรม-นงั่

สมาธิ สมาธ/ิ สอนโดยให้ลงมอื

3. การฝกึ สมาธใิ นรปู แบบตา่ งๆ ปฏบิ ตั ิ (Learning by

4. สมาธกิ ับการทางานและแก้ปัญหา doing)

ต่างๆ ในชีวติ ชีวติ ประจาวนั 4. นกั ศกึ ษาพดู สะท้อนคดิ

5. กจิ กรรมฝกึ สมาธิและวปิ ัสสนา ประสบการณ์ อปุ สรรคใน

การทาสมาธิ และอภปิ ราย

รว่ มกัน

สอื่ การเรยี นการสอน

1. แผนบรหิ ารการสอน

2. เอกสารประกอบการสอน

3. ชดุ สไลดน์ าเสนอ Power

Point

4. คลิป VDO

5. แบบบนั ทึกการเรยี นรผู้ ่าน

กจิ กรรม

12-13 บทท่ี 7 การพฒั นาชีวติ ตามหลกั 8 กิจกรรมการเรยี นการสอน

จิตวิทยา 1. บรรยายโดยชุดสไลด์

1. แนวคดิ พืน้ ฐานเกีย่ วกับการพัฒนา นาเสนอ Power Point

ตนเอง 2. ชมคลิป VDO

9

1. แผนการสอน

สปั ดาห์ หัวข้อ/รายละเอยี ด จานวน กจิ กรรมการเรยี น ผู้สอน
ชั่วโมง การสอน/สื่อทีใ่ ช้
ท่ี อาจารย์ผสู้ อนท่ี
3. นักศึกษาทาโครงการ ได้รบั มอบหมาย
2. แนวคดิ ทางจิตวิทยาในการพัฒนา พฒั นาตนเอง
ส่ือการเรียนการสอน
ตน 1. แผนบริหารการสอน
2. เอกสารประกอบการสอน
3. กระบวนการพฒั นาตน 3. ชุดสไลด์นาเสนอ Power
Point
4. เครอื่ งมือ เทคนิคและกจิ กรรมใน 4. คลปิ VDO
5. แบบประเมินความฉลาด
กรพัฒนาตน ทางอารมณ์ (EQ)

5. การสรา้ งโปรแกรมพฒั นาตน 8 กิจกรรมการเรียนการสอน
1. บรรยายโดยชดุ สไลด์
การพฒั นาชีวติ เพื่ออยใู่ นสังคมอย่าง นาเสนอ Power Point
2. ชมคลิป VDO
มีความสขุ 3. กิจกรรมแบ่งกลุ่มแสดง
ละคร หวั ขอ้ “ความสุขคือ
6. การพัฒนาตนเองในยุคศตวรรษที่ อะไร”
4. นกั ศกึ ษานาเสนอโครงการ
21 พฒั นาตนเอง
5. ผู้สอน-ผูเ้ รยี นถอด
14-15 บทที่ 8 ศิลปะในการดาเนนิ ชวี ติ บทเรียนรว่ มกัน
ส่อื การเรยี นการสอน
อยา่ งมคี วามสุข 1. แผนบริหารการสอน
2. เอกสารประกอบการสอน
1. ทักษะในการดาเนินชวี ติ อย่างมี 3. ชดุ สไลด์นาเสนอ Power
Point
ความสุข 4. คลปิ VDO
5. แบบประเมนิ ความฉลาด
2. แนวทางแก้ไขปญั หาสุขภาพจิต ทางอารมณ์ (EQ)

และการจดั การความเครยี ด สอบปลายภาค

3.แนวคิดในการพฒั นาทักษะทาง

ปญั ญาความคดิ

4. แนวคดิ ในการพัฒนาทกั ษะทาง

อารมณ์

5. จติ ตปญั ญากบั การสร้างความสขุ

6. มติ คิ วามสขุ ตามแนวจติ วิทยา

มนุษยนิยมใหม่

7. มิตคิ วามสุขตามแนวปรัชญาของ

เศรษฐกิจพอเพยี ง

16

10

2. แผนการประเมนิ ผลการเรยี นรู้

กจิ กรรม ผลการเรยี นรู้ วิธีการประเมนิ สปั ดาห์ที่ สดั สว่ นของ
ประเมนิ การประเมนิ ผล
ท่ี
ตลอดภาค 20 %
1 1.1.1, 1.1.2, 2.1.1, 1. การเขา้ ช้นั เรยี น การศึกษา

4.1.1, 5.1.1 2. การมีส่วนรว่ ม การอภิปราย การ

นาเสนอความคิดเห็น กจิ กรรมในช้ันเรยี น

2 2.1.1, 3.1.1, 5.1.2 1. แบบฝึกหดั ทา้ ยบท สัปดาห์ที่ 20 %
1 - 15 30 %
2. ใบงาน / แบบทดสอบ 30 %
สัปดาหท์ ี่
3 2.1.1, 3.1.1, 4.1.1 รายงาน/โครงงาน 9 - 15

5.1.1, 5.1.2 สัปดาหท์ ่ี 16

4 2.1.1, 3.1.1, 5.1.2 สอบปลายภาค

3. แผนการกาหนดผลการเรียน

ผลการเรยี น A B+ B C+ C D+ D F
70 - 74 65 - 69 60 - 64 55 - 59 50 - 54
ชว่ งคะแนน 80 - 100 75 - 79 ต่ากวา่
50

หมวดที่ 6 ทรพั ยากรประกอบการเรยี นการสอน

1. เอกสารและตาราหลกั
xxxxxxxxxx. (xxxx). xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx. xxxxxxxx : xxxxxxxxxx.

2. เอกสารและข้อมูลสาคัญ

รกิ าร,์ มาตเิ ยอ. (2551). ความสุข คมู่ ือพฒั นาทักษะชีวิตท่สี าคัญท่ีสดุ . แปลจาก Happiness : a guide to

developing life's most important skill โดย สดใส ขนั ติวรพงศ์. กรงุ เทพฯ : สวนเงินมีมา.

ประภาพร ศุภตรยั วรพงศ์. และคณะ. (2561). สุนทรียภาพของชวี ิต. มหาสารคาม : โรงพิมพ์มหาวทิ ยาลยั

ราชภฏั มหาสารคาม.

เลยาร์ด, รชิ ารด์ . (2550). ความสขุ หลากหลายข้อคน้ พบของศาสตร์ใหม่แหง่ ความสขุ . แปลจาก

Happiness : Lessons From A New Science. โดย รักดี โชตจิ ินดา และคณะ. กรงุ เทพฯ. หา้ ง

หุ้นส่วนจากัด ภาพพมิ พ.์

3. เอกสารและข้อมูลแนะนา

จารุณี วงศล์ ะคร. (2562). ปรชั ญาความสุข. เชียงใหม่ : ภาควชิ าปรชั ญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์

มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่.

11

จริ าภา เต็งไตรรตั น์ และคณะ. (2550). จติ วทิ ยาท่ัวไป. พมิ พค์ ร้งั ที่ 5. กรงุ เทพฯ :
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.

จฑุ าทพิ ย์ อุมะวชิ นี. (2539). ชีวิตและการรจู้ กั ตนเอง. พิมพ์ครง้ั ที่ 3. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์
วิกงิ , ไมก.์ (2561). ลุกกะ: วิถคี วามสขุ จากทุกมุมโลก. แปลจาก The Little Book of Lykke : The

Danish Search for the World’s Happiest People. โดย ลลิตา ผลผลา. กรงุ เทพฯ : บุ๊คสเคป.
ณัฐวฒุ ิ เผ่าทว.ี (2559). How Happiness Works and Why We Behave The Way We Do. ความสุข

ทางานยังไง. กรงุ เทพฯ : แซลมอน.
__________. (2561). The Happiness Manual พฤติกรรมความสุข. กรุงเทพฯ : แซลมอน.
เบน-ชาฮาร์, ทาล. (2560). วชิ าความสุขทม่ี สี อนแค่ในฮารว์ าร์ด. แปลจาก Happier. โดย พรเลิศ อิฐฐ.์

กรุงเทพฯ : วีเลิร์น.
วิทย์ วิศทเวทย์. (2543). ปรัชญาท่วั ไป: มนุษย์ โลก และความหมายของชีวิต. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 16. กรงุ เทพฯ :

อกั ษรเจริญทัศน.์
สนอง วรอไุ ร. (2553). พัฒนาจติ เพ่ือชีวิตเป็นสขุ . พิมพ์คร้งั ท่ี 8. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อมรนิ ทร์ธรรม.
สาขาจิตวิทยา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม. (2559). พฤตกิ รรมมนุษย์กับการพฒั นา

ตน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม.
สจุ ิตรา ออ่ นคอ้ ม. (2523). ทรรศนะเร่ืองความสุขในพทุ ธปรชั ญา. วทิ ยานพิ นธอ์ กั ษรศาสตรม์ หาบณั ฑติ

สาขาวิชาปรัชญา จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
เฮดต์, โจนาทาน. (2562). วิทยาศาสตร์แห่งความสขุ : สารวจความสขุ และความหมายของชวี ติ ดว้ ย

วทิ ยาศาสตร.์ แปลจาก The Happiness Hypothesis: Finding Modern Truth in Ancient
Wisdom. โดย โตมร ศขุ ปรชี า. กรงุ เทพฯ : ซอลท์ พับลิชชิง่ .
4. เว็ปไซตตางๆ
- https://www.ted.com/talks

5. อื่นๆ
5.1 DVD ภาพยนตรเ์ รือ่ ง “The Pursuit of Happyness” (2006)
5.2 DVD ภาพยนตรเ์ รอื่ ง “Life Is Beautiful” (1997)
5.3 DVD ภาพยนตรเ์ รอ่ื ง “The Shawshank Redemption” (1994)
5.4 Podcast ช่อง The Standard Podcast รายการ “ความสขุ โดยสังเกต”
5.5 วดี ิทัศนร์ ายการ “พ้นื ที่ชีวติ ” ตอน ความลบั ของความสขุ

หมวดท่ี 7 การประเมินและการปรับปรงุ การดาเนินการของรายวิชา

1. กลยุทธ์การประเมินประสทิ ธิผลของรายวชิ าโดยนกั ศึกษา
การประเมนิ ประสทิ ธิผลทจ่ี ดั ทาโดยนักศึกษา โดยจดั กิจกรรมในการนาแนวคิดและความคิดเห็นจาก

นักศึกษา ดังน้ี

12

1.1 การสนทนากลุม่ ระหวา่ งผ้เู รยี นและผ้สู อน
1.2 การสังเกตจากพฤติกรรมการเรยี นของผูเ้ รียน
1.3 ทวนสอบจากระบบประเมินผลการเรยี นการสอน ที่จัดทาโดยมหาวิทยาลัย
2. กลยุทธ์การประเมนิ การสอน
ในการเก็บข้อมูลเพื่อประเมนิ การสอนใช้กลยุทธด์ งั น้ี
2.1 ผลการเรยี นของนักศึกษา
2.2 การทวนสอบผลสมั ฤทธิ์ของนักศึกษา
3. การปรับปรุงการสอน
3.1 การประมวลความคดิ เห็นของนักศึกษา การประเมินการสอนของตนเองและสรุปปัญหา อปุ สรรค และ
แนวทางในการแก้ไขเม่อื สิ้นสุดการสอน เพ่ือเป็นข้อมลู เบือ้ งต้นในการปรบั ปรงุ รายวชิ าในภาคการศึกษาต่อไป
3.2 ปรบั ปรงุ รายละเอยี ดของรายวชิ าใหท้ นั สมยั และเหมาะสมกบั นักศกึ ษาร่นุ ต่อไป
4. การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในรายวิชา
ในระหว่างกระบวนการเรียนการสอนรายวิชามกี ารทวนผลสมั ฤทธิใ์ นรายหัวขอ้ ตามท่ีคาดหวังจากการ
เรียนร้ใู นรายวชิ า ไดจ้ ากการสอบถามผู้เรยี น การตรวจผลงานของนักศึกษาและหลงั การออกผลการเรียน
รายวิชามกี ารทวนผลสัมฤทธ์โิ ดยรวมในรายวชิ าดงั นี้
4.1 ทวนสอบการสัมภาษณจ์ ากนกั ศึกษา
4.2 ทวนจากระบบประเมินผลจากระบบประเมนิ ผลการเรียนการสอน
5. การดาเนนิ การทบทวนและการวางแผนปรบั ปรุงประสิทธิผลของรายวิชา
จากผลการประเมนิ และทวนผลสอบสมั ฤทธิ์ประสทิ ธิผลรายวชิ าไดม้ ีการวางแผนการปรับปรงุ การสอนและ
รายละเอียดวิชาเพื่อใหเ้ กิดคุณภาพมากขึน้ ดังนี้
5.1 นาผลการประเมนิ ประสทิ ธิผลของรายวิชา โดยนกั ศึกษา โดยกลุ่มผูส้ อน โดยคณะกรรมการประเมนิ
การสอนและคณะกรรมการทวนสอบท่ีฝา่ ยวิชาการแตง่ ต้งั มาพิจารณาปรับปรุงแผนการสอนและการประเมนิ ผล
การเรยี นรใู้ นการจดั การเรยี นการสอนในครง้ั ต่อไป
5.2 ฝา่ ยวชิ าการมีกระบวนการให้นักศกึ ษาสามารถขอตรวจสอบการประเมนิ ผลสมั ฤทธิก์ ารเรยี นรขู้ อง
นักศกึ ษาได้เปน็ รายบคุ คล โดยผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการบรหิ ารรายวชิ าศึกษาทว่ั ไป
5.3 หลงั สิ้นสดุ การเรยี นการสอน ฝ่ายวชิ าการและคณะกรรมการบริหารรายวิชาศึกษาทวั่ ไปจะประมวลและ
วเิ คราะหก์ ารประเมนิ กระบวนการเรยี นรู้และการประเมินผลสัมฤทธขิ์ องรายวิชาจากทกุ ฝ่าย เพ่ือร่วมกนั
วางแผนปรับปรุงการจัดการเรียนรแู้ ละการประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ิ และนาแผนการปรบั ปรุงทไ่ี ด้ไปใช้ในการจัดการ
เรียนการสอนในภาคการศึกษาต่อไป

13

บทท่ี 1

ความหมายของมนษุ ย์

1. ความหมายของมนุษย์
มนุษย์คืออะไร คาถามน้ีเป็นประเดน็ แรกท่เี ราจะตอ้ งพิจารณาใคร่ครวญเพื่อหาคาตอบ เพราะคาตอบของ

คาถามน้ีจะเป็นพื้นฐานที่นาไปสู่ปัญหาในเรื่องอื่นๆ เช่น เราควรมีอะไรเป็นเป้าหมายในชีวิต เราจะดาเนินชีวิตให้
เป็นไปเชน่ ไร หรือ อะไรคือความสขุ ทแ่ี ท้จริงของชีวติ เป็นตน้

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546 : 832) อธิบายว่า “มนุษย์” หมายถึง สัตว์ท่ีมี
จิตใจสงู ส่ง รูจ้ กั ใช้เหตุผลในการดาเนินชีวิต

คาว่า “มนุษย์” มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต 2 คา คือ “มน” แปลว่า ใจ กับ “อุษฺย” แปลว่า สูง
ดงั นั้น เม่ือรวมคา 2 คาเข้าด้วยกันเป็น “มนุษฺย” หรือ “มนุษย์” แปลตามรูปศพั ท์ว่า “ผู้มจี ิตใจสูง” โดยถือกันว่า
บุคคลแต่ละคนถูกเรียกขานว่า “มนุษย์” ก็เพราะตัวเขา/เธอ มีคุณลักษณะในตนเป็นผู้มีจิตใจสูงส่งกว่าสัตว์
ดิรัจฉาน (อภิญวัตน์ โพธิ์สาน, 2553 : 3-4) ตามรูปศัพท์น้ี จะเห็นว่าการนิยามมนุษย์นั้นจะถูกวัดคุณค่าจากการมี
คณุ ธรรมจรยิ ธรรมภายในจิตใจเป็นสาคญั บางครัง้ เราจึงเรยี กว่ามนษุ ย์เปน็ “สัตวป์ ระเสรฐิ ” น้ันเอง

ความหมายของมนุษย์ในมุมมองปรัชญา โดยส่วนใหญ่เห็นว่ามนุษย์เป็นสัตว์พิเศษท่ีมีสมรรถนะบาง
ประการซ่งึ เหนือกว่าหรือสูงกว่าสัตวอ์ นื่ เช่น มีจติ จติ สานึก มีการตระหนักรู้ หรือมเี หตผุ ล เป็นต้น วิทย์ วิศทเวทย์
(2543 : 55) เขียนว่า “มนุษย์ก็คือส่ิงมีชีวิตชนิดหนึ่งท่ีอยู่ในประเภทเดียวกับสัตว์ แต่สูงกว่าสัตว์ตรงท่ีมีสติปัญญา
เรียนรูไ้ ด้ มีศาสนาและศีลธรรม และรู้จกั รสของสุนทรียะได้”

นักปรัชญากรีกโบราณอย่าง อริสโตเติล ให้นิยามไว้ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์รู้คิด” (Man is a thinking
animal) คือ มนุษย์มีความสามารถในการคิด การคิดถือเป็นกิจกรรมทางปัญญาท่ีแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ เพราะ
สตั ว์ไมม่ ีกิจกรรมดังกลา่ วน้ี (สจุ ติ รา อ่อนค้อม, 2545 : 3)

นักปรัชญาเยอรมัน อิมมานูเอล ค้านท์ เห็นว่า มนุษย์เป็น “สิ่งมีชีวิตท่ีมีเหตุผล” (rational being)
ในขณะที่สัตว์อ่ืนไมม่ ี กล่าวคอื มนุษย์สามารถกาหนดเปา้ หมายของตนเองได้ สามารถเข้าถึงกฏเกณฑ์ทางศลี ธรรม
และร้ดู ีร้ชู ัว่ ได้ดว้ ยตนเอง ทัง้ สามารถมคี วามความคิดและการตัดสนิ ใจได้อยา่ งเปน็ อสิ ระ สง่ิ เหลา่ น้ถี ือเปน็ คุณสมบัติ
ของความเป็นบุคคล (person) เช่นเดียวกับ เรอเน เดการ์ต นกั ปรชั ญาฝรั่งเศส ได้ใหท้ ัศนะว่า มนุษยเ์ ป็นส่ิงมีชีวิต
ท่ีรู้คิดมีเหตุผล ประกอบดว้ ยร่างกายและจิตวญิ ญาณ แก่นสาคญั ของมนุษย์คือจิต และความสาคัญของจติ ไม่ได้อยู่
ที่ความฉลาดหลักแหลม แต่อยู่ที่ความสานึกรู้คิดและความมีอยู่ของตนเอง มนุษย์เป็นสัตว์โลกประเภทเดียวท่ีมี
ความสานกึ ว่าตัวเองมตี วั ตนอยู่ (ภทั รพร สิรกิ าญจน, 2557 : 10)

นักมานุษยวิทยาให้ความหมายว่า “มนุษย์ หรือ คนเป็นสัตว์โลกชนิดหน่ึงท่ีมีวิวัฒนาการมาจาก
สัตว์เลือดอุ่นเลี้ยงลูกด้วยนม (mammal) ในข้ันตอนก่อนท่ีจะเป็นมนุษย์นั้น มีบรรพบุรุษท่ีมีรูปร่างหน้าตาและ
ทา่ ทางคล้ายกับลิง หรือมนุษย์วานร ซึง่ วิวัฒนาการของมนุษยป์ รากฏท้ังในดา้ นร่างกายและจิตใจควบคู่กันมา โดย
ที่ความเป็นมนุษย์ (Homo sapiens) เกิดขึ้นพร้อมร่างกายเหยียดตรง พร้อมกะโหลกศีรษะท่ีบรรจุมันสมองได้
มากกวา่ ลงิ ในขณะที่จติ ใจนน้ั มีความสามารถในการเรยี นร้ทู เ่ี กิดจากความรูส้ ึก การเห็น การจดจา และการนึกคดิ ที่

14

อาจส่ือสารระหว่างมนุษย์ด้วยกันได้ทางภาษาและระบบสัญลักษณ์อ่ืนๆ ซึ่งส่ิงต่างๆ เหล่าน้ี พวกลิงและสัตว์อ่ืนๆ
ไมส่ ามารถท่ีจะทาได”้ (ศรีศักร วลั ลิโภดม อา้ งในประเวศ วะสี, 2547 : 239)

2. ความหมายของมนุษย์ในทศั นะปรัชญา
หากใช้มมุ มองเชิงปรัชญามาวเิ คราะห์วา่ มนษุ ย์คอื อะไรนนั้ เราอาจจะเร่มิ จากการพจิ าณาดูวา่ อะไรคือ เนื้อ

แท้ของมนุษย์ หรืออะไรคือธรรมชาติของมนุษย์ กล่าวคือ นอกจากร่างกายอันประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆ ตา
จมูก แขน ขา หัวใจ สมอง ฯลฯ แล้วยังมีอะไรอีกหรือไม่ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ อย่างเช่น “จิต” หรือ
“วิญญาณ” ซึ่งแม้สิ่งเหล่านี้จะจับต้องไม่ได้แต่ก็เป็นส่วนหน่ึงของชีวิตมนุษย์เท่าๆ กับร่างกาย ปัญหาข้อน้ีในทาง
ปรัชญาเรียกว่า ปัญหากายกบั จิต ซงึ่ มรี ายละเอียดดงั น้ี

2.1 มนุษยใ์ นทศั นะปรัชญาสสารนยิ ม (Materialism)
นกั ปรัชญาสสารนิยมเร่ิมต้นดว้ ยสมมตุ ิฐานท่ีวา่ เมอ่ื ตอ้ งการท่ีจะเข้าใจโลกรวมท้ังตัวเราเองน้ัน เราจาตอ้ ง
ใชป้ ระสาทสมั ผสั และเหตผุ ลเปน็ เครอื่ งมอื ในการคน้ หาคาตอบ และต้องยอมรับด้วยวา่ ประสาทสัมผัสคือ สิง่ ทจี่ ะให้
ความรู้อันถูกตอ้ งแก่เรา (สมภาร พรมทา, 2545 : 41) และถ้าเราเชื่อว่าประสาทสมั ผัสคือสง่ิ ท่ีบอกเราไดว้ ่าอะไรท่ี
มีอยู่ในจักรวาล ส่ิงท่ีเราต้องยอมรับต่อมาก็คือ สสารเท่าน้ันท่ีมีอยู่ในจักรวาลนี้ เพราะเราไม่เคยสัมผัสสิ่งซึ่งไม่ใช่
สสารดว้ ยประสาทสัมผัสเลย ตัวอย่างเช่น สสารนิยมไม่เช่ือว่าผีมีจริง นั้นเพราะเราไม่สามารถพสิ ูจน์การมีอยู่ของผี
ได้ด้วยประสาทสัมผัส เป็นต้น ฉะน้ัน สสารนิยมจึงมีทศั นะที่เช่ือว่าความจริงสูงสุดคือ “สสาร” (Material) มนุษย์
สตั ว์ พืช และสิ่งต่างๆ ในโลกโดยธาตแุ ทก้ ็คอื สง่ิ เดยี วกนั คือ สภาพของสสาร นั้นเอง
สสารนิยมมองว่า มนุษย์ก็มีลักษณะเป็นสสารเช่นเดียวกับส่ิงอ่ืนๆ ซ่ึงท่ีมีอนุภาคพื้นฐานเป็นองค์ประกอบ
ของชีวติ องค์ประกอบทางร่างกายและจิตวิญญาณมนุษย์ก็เป็นสสารเหมือนๆ กัน จะแตกต่างกันตรงทร่ี ่างกายเป็น
สสารที่หยาบ ส่วนจิตวิญญาณละเอียดประณีตกว่า เมื่อจิตเป็นสสารเช่นเดียวกันกับร่างกาย จึงมีการแตกดับ
เช่นเดียวกับสสารอื่นๆ (สุจิตรา อ่อนค่อม, 2545 : 29) จิตวิญญาณนั้นเป็นเพียงปรากฏการณ์หรือกระบวนการ
ทางานที่ซับซ้อนของสสารท่ีมาประกอบกัน สสารนิยมไม่เชื่อในเร่ืองอมตภาพของวิญญาณอย่างที่จิตนิยมเช่ือ และ
ปฏิเสธการมอี ยู่ของจติ วิญญาณ ในลักษณะท่ีเปน็ อสิ ระจากรา่ งกาย
ปรัชญาสสารนิยมยุคสมยั ใหม่ (Modern Age) ราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 แนวคิดแบบจักรกลนิยม
(Mechanism) มองว่าโลกและชีวิตคือระบบกลไกท่ีดาเนินไปตามกฎเกณฑ์ท่ีแน่นอน ส่วนมนุษย์ก็เป็นเหมือน
เครื่องจักรกลชนิดหนึ่งกล่าวอีกนัยมนุษย์ก็คือ หุ่นยนต์ธรรมชาติ ซ่ึงหากพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์ซึ่งมี
อวัยวะต่างๆ ประกอบกันทางานอย่างเป็นระบบกับเคร่ืองจักรซึ่งมีชิ้นส่วนต่างๆ ทาหน้าที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็น
ระบบก็เห็นลักษณะท่ีคล้ายคลึงกัน และหากการทางานของเครื่องยนต์ไม่จาเป็นต้องมีจิตฉันใด การทางานของ
มนุษย์ที่ปรากฏเป็นพฤติกรรมต่างๆ ก็ไม่จาเป็นต้องมีจิตฉันนั้น โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes, ค.ศ. 1588-
1679) ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ไวว้ ่า ในจักรวาลของเรานี้ไม่มีความเป็นจรงิ อื่นใดนอกเหนือจาก
วัตถุ ทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งส่ิงมีชีวิตท้ังหลายตลอดจนมนุษย์เมื่อทอนลงในที่สุดจะได้เป็นสสารกับพลังงาน มนุษย์
นน้ั มลี กั ษณะคล้ายจักรกล มนุษยเ์ ปรยี บเสมือนหุ่นยนตซ์ ่งึ เคลื่อนไหวตามกฎการเคลอ่ื นไหวแบบจักรกล
ปัจจุบันวิชาวิทยาศาสตร์ทางกายภาพทั้งฟิสิกส์ (Physic) และเคมี (Chemistry) ก็มีลักษณะแบบสสาร
นยิ ม กล่าวคอื ได้ใชแ้ นวคดิ “หน่วยพ้ืนฐาน” ในการอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ สบื ต่อจากแนวคดิ เรื่องอะตอม

15

(Atomism) ของเดมอคริตัส (Democritus) โดยการอธิบายว่าส่ิงต่างๆ ในธรรมชาติเกิดจากอะตอมต่างชนิดมา
รวมกัน เช่น น้าเกิดจากอะตอมของไฮโดรเจน 2 ตัว และออกซิเจน 1 ตัว เป็นต้น และเม่ือการศึกษาค้นคว้าทาง
วิทยาศาสตร์มีการพัฒนาก้าวหน้ามากขึ้นไปอีก ทาให้เกิดความรู้ในระดับจุลภาคของสสาร เช่น นิวเคลียส
อิเล็กตรอน และโปรตอน ในขณะที่ภายในโปรตอนและนิวตรอนยังประกอบด้วยอนุภาคพื้นฐานคือ ควาร์ก
(Quark) เป็นตน้ (ศศกิ ร ลิขิตวงศต์ รศี ร,ี 2551 :27)

2.2 มนุษย์ในทศั นะปรัชญาจิตนิยม (Idealism)
จิตนยิ มมีทศั นะต่อมนุษย์ในลักษณะท่ีตรงข้ามกับสสารนิยม กลา่ วคือขณะท่ีสสารนิยมปฎิเสธการมอี ย่ขู อง
จิตวิญญาณในลักษณะที่เป็นอิสระจากร่างกาย แต่จิตนิยมมองว่ามนุษย์ประกอบด้วยสองส่วน คือ ร่างกายซึ่งเป็น
วัตถุหรือสสาร และจิตวิญญาณซ่ึงเป็นอสสาร (immaterial) และเป็นตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ ขณะท่ีสสารนิยม
ถือว่ามนุษย์คือเคร่ืองจักร แต่จิตนิยมจะถือว่า มนุษย์คือจิตวิญญาณ (สุจิตรา อ่อนค่อม, 2545 : 33) จิต (Mind)
น้ันมีลักษณะเป็นสิ่งที่ไม่กินที่ จับต้องไม่ได้ เป็นส่ิงท่ีทาให้มนุษย์คิด มีความรู้สึก มีความต้องการ เป็นตัวการทาให้
ร่างกายเคลื่อนไหว จิตนิยมบอกว่า ท่ีมนุษย์แตกต่างจากสิ่งอื่นๆ ในโลกเนื่องจากมนุษย์มีจิตวิญญาณ ไม่ใช่เป็น
เพยี งกลไกท่เี คล่ือนไหวไปโดยไรค้ วามสานกึ และจติ วิญญาณนเ้ี องทาให้มนุษยร์ ้จู ักคดิ และเรยี นรใู้ น ส่ิงต่างๆ ได้
จติ นิยมเห็นว่าถา้ เรามแี ตร่ ่างกายที่มีอวัยวะรับรู้โลกภายนอกคอื มีตาท่ีรบั ภาพได้ มีหูท่ฟี ังเสียงได้ มีจมูกท่ี
รับกล่นิ ได้ มีลิน้ ที่รับรสได้ มีกายที่รบั รู้สมั ผัสได้ แตถ่ ้าปราศจากซ่งึ ความร้สู ึกแลว้ เราก็คงเปน็ เพียงหุ่นยนต์ ดวงตาที่
เรามีน้ันก็ไม่ต่างอะไรกบั กลอ้ งถ่ายภาพ หูท่ีเรามีคงไม่ต่างอะไรกับเครื่องรับวิทยุ แต่เพราะมนษุ ย์มีความรู้สึกนกึ คิด
ทที่ าให้ร่างกายของเรามีความหมาย เพราะทาในสิ่งที่รู้และรู้ในสิ่งท่ีทา ไม่เหมือนกับสสารหรือวัตถุเช่น ก้อนหิน ท่ี
ไม่มีการรับรู้และไม่รสู้ ึกใดๆ ความรสู้ ึกเป็นเรื่องนามธรรมและเป็นคนละอย่างกับอวัยวะรับความรู้สึก ซึ่งความรู้สึก
นึก คิด จินตนาการ ฯลฯ น้ีเรียกรวมๆ ว่า “ความคิด” (Idea) ถ้าหากมนุษย์มีแต่องค์ประกอบท่ีเป็นสสารและ
พลังงานเราจะไม่สามารถอธิบายเรื่องของความคิดได้ เพราะความคิดไม่ใช่ท้ังสสารและพลังงาน และเราก็ไม่อาจ
ปฏเิ สธได้ว่าความคิดนน้ั ไมม่ ีอยู่ (ปรชี า ช้างขวัญยืน, 2549 : 27-28)
เพลโต (Plato, 427-347 B.C.) นักคิดชาวกรีกที่มองว่า จิตเป็นตัวกาหนดให้ร่างกายดาเนินไปตามความ
ต้องการ เพลโตได้แบ่งมนุษย์ออกเป็นสามส่วน หรือสามภาคของจิตวิญญาณ แต่ในสัดส่วนท่ีแตกต่างกันคือ (1)
ความอยากความตอ้ งการทางรา่ งกายของมนุษย์ (appetite) (2) อารมณ์ (emotion) หรือภาคน้าใจ เป็นความรู้สึก
ต่างๆ ของมนุษย์ เช่น ความกลัว ความกล้า ความเกลียด ความโกรธ ความรัก เป็นต้น และ (3) ภาคเหตุผล
(rationality) ความสามารถในการใช้เหตุผล สติปัญญาของมนุษย์ คนเรานั้นจะมีบุคลิกลักษณะอย่างไรก็ขึน้ อยู่กับ
ว่า จติ ภาคไหนจะมอี านาจมากกว่ากัน ในเร่ืององค์ประกอบของจิตนี้ เพลโตไดเ้ ปรียบเทียบลักษณะของการดาเนิน
ชีวิตของมนุษย์โดยท่ัวไปเสมือนม้าเทียมราชรถ ม้า 2 ตัวเปรียบเสมือนวิญญาณ 2 ภาคแรกท่ีมีความต้องการกับมี
อารมณ์ ความรู้สึก และผู้ขับราชรถเปรียบเสมือนภาคท่ี 3 ของวิญญาณ อันได้แก่ สารถีหรือเหตุผล เพลโตเห็นว่า
การใช้เหตุผลควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์เป็นสิ่งท่ีจาเป็น โดยต้องสร้างความสมดุลของวิญญาณทั้งสาม
ภาคท่ถี ือว่าจาเป็นและสาคญั สาหรับการดาเนินชวี ติ ทีด่ ี
เรเน เดการ์ต นักปรชั ญายุคสมัยใหมช่ าวฝรั่งเศส เห็นวา่ มนษุ ย์แต่ละคน มีคุณสมบัตทิ เี่ ปน็ แกน่ สารหรือสิ่ง
ท่ีเป็นเนื้อแท้ร่วมกันคือ “ส่ิงที่คิดได้” (A Thinking Thing) สิ่งนี้มีลักษณะเป็นจิต แยกต่างหากจากโลกแห่งวัตถุ
และดารงอยู่เหนือโลกแห่งวัตถุ เดการ์ตพยายามย้าว่า “ฉัน” เป็นตัวตนท่ีคิดได้ (Subject) แยกออกจาก “วัตถุ”

16

ซึ่งเป็นส่ิงท่ีถูกคิด (Object) หมายความว่า เดการ์ตได้แยกจิตและร่างกายออกจากกันอย่างชัดเจน จิตน้ีมีลักษณะ
เป็นอสสาร ไม่ต้องการที่อยู่แต่มีพลังทาการ สารัตถะของจิตคือ การคิด ซ่ึงหมายถึงกิจกรรมทุกอย่างทางจิต เช่น
ความปรารถนา รู้สกึ ตัดสินใจ ความอยาก เป็นต้น ส่วนร่างกายเป็นสสาร ต้องการที่อยู่ อยู่ภายใต้กลศาสตร์ ไม่มี
ความปรารถนา ไม่มีจุดมุ่งหมาย จึงต้องอาศัยจิตเป็นตัวสั่งการ แนวคิดว่าจิตและกายของมนุษย์ไม่ได้เป็นหน่ึง
เดียวกัน แต่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันน้ีเรียกว่า “ทวินิยม” (Dualism) เดการ์ตเชื่อม่ันในการดารงอยู่ของจิต
มากกว่ากาย คือเราอาจสามารถจินตนาการถึงการดารงอยู่โดยไม่มีร่างกายได้ แต่ไม่สามารถจินตนาการถึงการ
ดารงอยู่โดยไม่จิต ซ่ึงต่อให้เราจินตนาการถึงการไม่มีจิต แต่เราก็ยังคงต้องคิดอยู่ดี และมันก็คือการพิสูจน์ว่าเรามี
จิต เพราะเราไม่สามารถคิดอะไรได้หากปราศจากจิตนั่นเอง

2.3 มนุษยใ์ นทศั นะปรัชญาธรรมชาตินยิ ม (Naturalism)
ธรรมชาตินิยมเป็นลัทธิท่ีอยู่ก่ึงกลางระหว่างสสารนิยมและจิตนิยม กล่าวคือ ขณะที่สสารนิยมเชื่อว่าวัตถุ
หรือสสารรวมทั้งปรากฏการณ์ของมันเท่าน้ันท่ีเป็นจริง ส่วนจิตนิยมก็เช่ือว่านอกจากสสารแล้วยังมีความจริงอีก
อย่างหนึง่ ซ่งึ เป็นความจริงมากกวา่ สสาร ส่งิ นัน้ ก็คือ จติ แต่สาหรบั ธรรมชาตนิ ิยมจะมองว่าท้งั สสารนิยมและ จติ
นิยมตา่ งก็มองโลกสุดโตง่ ไปข้างหน่ึง ธรรมชาตินยิ มจงึ ประนีประนอมทัศนะสุดโต่งท้ังสองลัทธิน้ัน โดยมีทัศนะแบบ
กลางๆ คือบางแง่มุมก็เห็นด้วยกับสสารนิยม และบางแง่ก็คล้ายกับจิตนิยม แต่โดยหลักการพ้ืนฐานแล้วธรรมชาติ
นิยมมที ัศนะใกล้เคียงกับสสารนยิ มมากกว่า ในแง่การยอมรับความจริงและวธิ ีการหาความรู้แบบวทิ ยาศาสตร์ (สุจิ
ตรา อ่อนคอ่ ม, 2545 : 36-37) กลา่ วได้ว่า ธรรมชาตินิยมมีแนวทางท่เี ช่ือว่าสง่ิ ทเี่ ป็นจรงิ คือส่ิงทีอ่ ย่ใู นขอบเขตของ
“ธรรมชาติ”
ธรรมชาตินิยมถือว่ามนุษย์มีท้ังร่างกายและจิตวิญญาณซึ่งมีความสาคัญและเท่าเทียมกันและจริงเท่ากัน
ไม่มีอะไรจริงกว่าอะไร ธรรมชาตินิยมนั้นยอมรับว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณ แต่จิตวิญญาณที่ว่านี้ก็ไม่สามารถแยกเป็น
อิสระออกจากกร่างกายและจิตวิญญาณก็มิได้เป็นอมตะเหมือนจิตนิยม จิตนั้นถือว่าเป็นผลิตผลของวิวัฒนาการ
จิตวิญญาณเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของมนุษย์ท่ีสืบทอดกันมาตามเผ่าพันธุ์ของตน เมื่อมนุษย์เกิดมาก็มีจิต
วิญญาณติดตัวมาด้วย จิตวิญญาณนี้ทาให้มนุษย์ต่างจากสัตว์อ่ืน ตรงท่ีสามารถชื่นชมกับคุณค่าทางจิตใจได้
นอกเหนือจากการรื่นรมย์กับความสุขทางกาย และเม่ือมนุษย์ตายลงท้ังร่างกายและจิตวิญญาณต่างก็ดับสิ้นไป
ด้วยกัน
มนษุ ย์จึงเป็นผลผลติ ของวิวฒั นาการอนั เป็นกระบวนการท่ีได้กอ่ ใหเ้ กิดสง่ิ ใหมๆ่ ข้ึนในจักรวาล มนุษยไ์ มใ่ ช่
เพียงการรวมกันของสารเคมีเท่านั้น หากแต่มนุษย์ยังมีคุณสมบัติบางอย่างที่สัตว์อ่ืนไม่มี คุณสมบัติดังกล่าวเช่น มี
สตปิ ัญญาเรียนรู้ มีความฝัน มีจินตนาการ รจู้ ักศิลปะ มีสานึกผิดชอบชั่วดี มกี ารวางแผนในอนาคต รู้จกั วา่ กาลังทา
อะไรและอยู่เพ่ืออะไร จอห์น ดิวอ้ี (John Dewey) นักปรัชญาปฏิบัตินิยมก็เห็นว่า มนุษย์มีลักษณะพิเศษเฉพาะ
ของตนเอง คือชีวิตที่มีองค์ประกอบด้วยสติปัญญา อันเป็นส่ิงที่วิวัฒนาการมาจากความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับ
สภาพแวดล้อมในจักรวาลเป็นลาดับขั้นจนกระท่ังถึงภาวะที่เรียกว่าเป็น “สิ่งมีความคิด” (ประทุม อังกูรโรหิต,
2556 : 87-88) มนุษย์มีสิ่งที่วัตถุและสัตว์โลกอ่ืนๆ ไม่มี ซึ่งลักษณะพิเศษเรียกว่าปัญญา สัตว์และวัตถุต่างๆ นั้น
พฤติกรรมของมันเป็นไปอย่างจักรกลคอื ไม่สามารถวาดภาพในอนาคตให้แก่ตนได้ แต่ปัญญาคือการเลือกสรรสิ่งที่
มีอยใู่ นปจั จบุ ันเพ่อื จดุ หมายในอนาคตได้

17

กล่าวได้ว่า ความเช่อื ใดความเช่ือหนง่ึ ย่อมนาไปสู่การตัดสินความจรงิ ในเร่ืองตา่ งๆ และนาไปสู่ความคิดใน
การดาเนินชีวิตของคนเรา ฉะน้ัน ความสาคัญของการรู้ธรรมชาติของมนุษย์ จะมีส่วนในการกาหนด “กระบวน-
ทศั น์” (paradigm) ซ่งึ หมายถงึ ความคิด วธิ คี ดิ คา่ นยิ ม วธิ ีปฏบิ ัตขิ องมนุษยต์ ่อสิง่ ต่างๆ ตวั อยา่ งเช่น

ผู้ที่มีกระบวนทัศน์แบบสสารนิยมจะเห็นว่า ชีวิตเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกัน ของ
สสารและพลังงาน ไม่มีส่ิงที่เรียกว่าจิตหรือนามธรรมท่ีเก่ียวกับจิต ตลอดจนคุณค่าต่างๆ เช่น ความดี-ชั่ว ฯลฯ
ล้วนเป็นส่ิงท่ีมนุษย์สมมติขึ้นมา ดังนั้นมนุษย์จึงไม่จาเป็นต้องยึดถือคุณค่าใดๆ อย่างถาวร ถ้าสถานการณ์เปลี่ยน
คุณค่าน้ันก็เปล่ียนแปลงได้ ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็เป็นสิ่งธรรมชาติที่ดาเนินไปเป็นระบบเช่นเดียวกับเคร่ืองจักร
เมื่อมนุษย์ตายแล้วก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ไม่มีภพ ชาติน้ีชาติหน้าเหมือนที่ศาสนาต่างๆสอน ความเป็นจริงมีเพียงสุข
และทุกข์ทางประสาทสัมผัสหรือสุขทุกข์ทางกายทั้งสิ้น มนุษย์จึงควรดาเนินชีวิตด้วยการแสวงหาความสุขและ
หลกี เลีย่ งความทุกข์

สาหรับที่ผู้ที่มีกระบวนทัศน์แบบจิตนิยม จะยอมรับความจริงที่เป็นนามธรรม ความดี ความงาม ฯลฯนั้น
เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงมิใช่สิ่งที่มนุษย์สมมติข้ึน เป็นสิ่งสากลและเป็นส่ิงท่ีแน่นอนตายตัวไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา ท่ีสาคัญ
ความจริงเชิงนามธรรมเป็นส่ิงที่มีคุณค่าและความสาคัญต่อการดาเนินชีวิตมนุษย์ เช่น ความจริงทางศาสนา
พระเจ้า กรรม บาปบุญคุณโทษ ฯลฯ จิตนิยมอธิบายว่า การที่คนเรามีมาตรฐานคุณค่าทแ่ี ตกตา่ งกันกเ็ ป็นเพราะยัง
ไม่เขา้ ถึงความจริงแท้ แตเ่ มือ่ เข้าถึงได้แลว้ ทกุ คนก็จะพบความจริงสากลเดยี วกนั

3. ความหมายของมนุษย์ในทศั นะศาสนา
3.1 มนษุ ยใ์ นทศั นะศาสนาฮินดู
ทัศนะเก่ียวกับมนุษย์ในศาสนาฮินดูถูกอธิบายไว้ในคัมภีร์พระเวท (The Vedas) เรื่อง ระบบวรรณะ

(Caste-System) โครงสร้างของสงั คมฮินดูเช่ือในระบบวรรณะซ่ึงเป็นสถานภาพตายตัวเปล่ียนแปลงมิได้ มีการถือ
ชั้นวรรณะและชาติตระกูล ตลอดจนไม่สามารถแต่งงานข้ามวรรณะกันได้ เมื่อเกิดมาเป็นคนในวรรณะใด ตระกูล
ไหน ก็ต้องรักษาสถานภาพน้ันเอาไว้ เพราะถือว่าเปน็ ชะตากรรมท่ีถูกกาหนดโดยอานาจของ “ปุรษุ ะ (Purusha)”
หมายถึง “พรหม” กล่าวคือ วรรณะถูกแบ่งตามท่ีเกิดจากร่างของ “ปุรุษะ (พรหม)” ในคัมภีรฤ์ คเวทตอนต้น การ
แบง่ คนออกเป็นวรรณะไมช่ ัดเจนนัก เพยี งแตย่ กวรรณะพราหมณ์สูงกวา่ วรรณะอื่นๆ โดยอา้ งว่า พระพรหมได้สรา้ ง
มนุษย์จากส่วนประกอบในร่างกาย ร่างกายส่วนใดที่ถือว่าสูงและสาคัญ ผู้ที่ถูกสร้างจากส่ิงน้ัน ก็จะเป็นคนสังกัด
วรรณะสงู กว่า สว่ นผู้ท่ีถูกสร้างจากส่วนทีส่ าคัญน้อยกว่า กจ็ ะเป็นคนในวรรณะตา่ ซึ่งแบง่ ออกเป็น 4 วรรณะ ดงั ใน
คมั ภีรฤ์ คเวท บทสวด ปุรุษะ สกุ ตา (Purusha Sukta Hymn) ท่กี ลา่ วไว้วา่ “เม่ือเขาแบง่ ส่วนรา่ งกายของ “ปุรษุ ะ”
(พรหม) เขาแบ่งออกเป็นก่ีส่วน? เขาเรียกส่วนไหนเป็นโอษฐ์ของท่าน? ส่วนไหนเป็นแขนของท่าน? และส่วนไหน
เป็นขาและเป็นเท้าของท่าน? พราหมณ์เกิดจากส่วนโอษฐ์ กษัตริย์เกิดจากส่วนแขน แพศย์เกิดจากส่วนขา (บาง
แหง่ บอกว่าเกิดจากท้อง) ศูทรเกิดจากส่วนเท้า” (พิสิฏฐ์ โคตรสโุ พธิ์, 2549 : 24-26)

อาจกล่าวได้ว่า ระบบวรรณะ คอื การแบง่ ตามหน้าท่ขี องแต่ละวรรณะ และการได้ทาหนา้ ท่ีของวรรณะถือ
เป็นการพัฒนาตนเอง ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์บท “มนูสัมฤติ” กล่าวถึงพระพรหมได้แบ่งหรือจัดสรรหน้าท่ีเพ่ือ
แต่ละวรรณะจะตอ้ งปฏิบตั อิ ย่างชดั เจน ดังต่อไปนี้

1) พราหมณ์ (Brhamins) มีหน้าทสี่ อนสั่งและศกึ ษาความรใู้ นพระเวท ตอ้ งประกอบพิธีกรรมบชู า
ยญั เพื่อประโยชน์ตนและบุคคลอ่ืนๆ

18

2) กษตั รยิ ์ (Kshatriyas) มีหน้าท่ีปอ้ งกนั และปกครองประชาชน ให้ทาน บูชายัญ ศึกษาพระเวท
และต้องสารวมตนเองจาการติดในความสุขทางกาม

3) แพศย์ (Vaishyas) มีหน้าที่เล้ียงปศุสัตว์ ให้ทาน บูชายัญ ประกอบอาชีพค้าขาย ออกเงินให้กู้
ศกึ ษาพระเวท และเกษตรกรรมการเพาะปลกู รวมถึงศลิ ปหัตถกรรมตา่ งๆ

4) ศูทร (Shudras) มีหน้าที่รับใช้ให้บริการวรรณะทั้ง 3 ท่ีสูงกว่าตน ทางานรับจ้างท่ีต้องใช้
แรงกายแบกหาม และทางานตา่ ๆ ทุกชนดิ ทีค่ นวรรณะสงู รังเกียจ

ในอีกด้านหนึ่ง อาจเรียกระบบวรรณะว่าเป็นการแบ่งงาน (divistion of labour) ในสังคมก็ได้ คัมภีร์
ศาสนาฮินดูทั้งหมดเม่ือกล่าวถึงหน้าที่ของคนต่อสังคมจะยึดเอาระบบวรรณะเป็นมูลบทเสมอ เพราะเชื่อว่าสังคม
ทงั้ หมดจะดาเนินไปได้ ก็ตอ่ เมื่อแต่ละคนในสังคมมหี นา้ ที่อันเหมาะสมของตน เป็นการสร้างความเป็นเอกภาพของ
สังคมนั้นเอง ต่แอย่างไรกด็ ี เป็นการเข้าใจผิดท่ีผ้คู นมักเข้าใจว่าวรรณะหน่งึ ประเสริฐกวา่ อีกวรรณะหน่ึง พราหมณ์
จะประเสริฐหรือไม่ต้องดูที่การกระทา ไม่ใช่ชาติกาเนิด ศูทรก็เช่นเดียวกัน หากทาดีก็ย่อมได้ช่ือว่าประเสริฐ
เชน่ เดียวกัน วทิ ยา ศักยาภนิ นั ท์, 2549 : 70-78)

3.2 มนษุ ยใ์ นทัศนะศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์เช่ือว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งท้งั มวลรวมทง้ั ชีวิตของมนุษย์ด้วย ดังนั้นโลกและ
สรรพส่ิงตลอดจนชีวิตของมนุษย์จึงเป็นของประทานจากพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเป็นผู้สร้าง พระองค์จึงทรงเป็น
เจ้าของชีวิตและสรรพสิ่งทั้งปวง เมื่อเปรียบเทียบชีวิตของมนุษย์กับสรรพส่ิงท่ีพระเจ้าทรงสร้าง ชาวคริสต์เช่ือว่า
ชีวิตของมนุษย์ “พิเศษกว่า” สิ่งอื่นๆ ในแง่ที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ของตามฉายาของพระองค์ ในคัมภีร์ปฐม
กาล (Genesis) เล่าเร่อื งมนุษย์การกาเนิดมนุษย์ด้วยวิธีที่พิเศษกว่าสัตว์อื่นๆ “พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเอาฝุ่นจาก
พนื้ ดนิ มาป้ันมนุษย์และทรงเป่าลมแห่งชวี ิตเข้าในจมูกของเขา มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต” (ปฐมกาล, 2:7) ชาวยิวถือว่า
“ลมปราณ” เป็นเครอื่ งหมายของชวี ิต เปน็ พระจิตของพระเจ้า จงึ แสดงว่ามนษุ ย์ไดร้ ับชีวิตจากพระเจ้า และเพราะ
พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามภาพลักษณ์ (Image) หรือฉายาของพระองค์ มนุษย์จึงถือว่าประเสริฐกว่าส่ิงสร้างท้ังมวล
(เสรี พงศพ์ ิศ, 2545 : 153)
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คู่แรกคือ อาดัมกับเอวา (พระเจ้าทรงสร้างเอวาข้ึนทีหลังอาดัม โดยสร้างเธอข้ึน
จากกระดูกซ่ีโครงของเขา) ทรงให้ทั้งคู่อยู่ในสวนเอเดน แต่ต่อมามนุษย์ได้ทาผิดต่อพระองค์ ด้วยการฝ่าฝืนคาส่ัง
ของพระเจา้ ท่ีห้ามมิให้กินผลไม้ต้องห้าม โดยทั้งสองได้หลงเชื่อคาลวงของซาตาน เมื่อกินแล้วก็ “รดู้ ีรู้ช่ัว” พระเจ้า
จงึ ทรงให้อาดัมกับเอวาออกจากสวนเอเดน และสัมพันธภ์ าพท่ีพระเจ้าเคยมีกับมนษุ ย์ก็ส้ินสุดลง นามาสู่ความทุกข์
และความแปลกแยกซ่ึงเกิดมาจากการตัดสินใจและการใช้เสรีภาพของตัวมนุษย์เอง น่ีเองจึงเป็นบาปแรกท่ีมนุษย์
กระทาเนื่องจากการไม่เชื่อฟังในพระเจ้า หรือเรียกว่า “บาปกาเนิด” (original sin) ซึ่งต่อมากลายเป็นมรดกบาป
กล่าวคือ ในทัศนะของศาสนาคริสต์มนุษย์ทุกคนท่ีเกิดมาถือว่าเป็นคนบาป (เพราะทุกคนล้วนสืบเชื้อสายมาจาก
อาดัมและเอวา) ดังนั้น จุดมุ่งหมายในการดาเนินชีวิตของมนุษย์คือ การกลับคืนสู่ความสัมพันธ์อันดีกับพระเจ้า
ดังเดมิ ชาวคริสต์จงึ ต้องมีหน้าท่ีเช่ือฟังพระเจ้า และตอบสนองตอ่ ความรักของพระเจ้าด้วยการรักพระองค์อย่างสุด
จิตสุดใจ แตห่ ากมนุษย์ขาดศรัทธาในพระองค์ก็เท่ากับมนุษยก์ าลังทาบาป
ในแง่องค์ประกอบชีวิตศาสนาคริสต์ให้ทัศนะว่า มนุษย์ประกอบขึ้นมาจากชีวิต 2 ส่วนคือ ชีวิตฝ่ายจิต
(วิญญาณ) ซึ่งเป็นชีวิตเหนือธรรมชาติ (supernatural) ท่ีมีสติปัญญากับเสรีภาพ กับชีวิตฝ่ายกาย (ร่างกาย) ซ่ึง

19

เป็นธรรมชาติ (natural) ที่อยู่ในอวกาศและเวลา (space and time) ชาวคริสต์จะให้ความสาคัญกับชีวิตฝ่ายจิต
มากกว่าชีวิตฝ่ายกาย ดังเช่นนักบุญท้ังหลายท่ียอมกระทั่งสละชีวิตฝ่ายกายได้ เหมือนคาสอนของพระเยซูท่ีว่า
“ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตตนให้รอดพ้น ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะได้ชีวิตนิรันดร
มนษุ ย์จะได้ประโยชน์อันใดในการทีไ่ ด้สง่ิ ของทั้งโลก แต่ต้องสญู เสียชีวิตตน” (มัทธิว 16:25-26) การทชี่ าวครสิ ต์ให้
ความสาคัญกบั ชวี ิตฝ่ายจิตมากกว่าฝา่ ยกายนั่นเป็นเพราะมีความเช่ือว่า ถ้าหากทาความดีและไม่ตกอยู่ในบาปหนัก
แล้ว เมื่อถึงวันสิ้นโลกมาถึงก็จะมีการกลับคืนชีพ (resurrection) กล่าวคือ ชีวิตฝ่ายกายที่ล่วงลับไปแล้วรวมกับ
ชวี ติ ฝ่ายจิตอีกคร้งั หน่งึ และจะเป็นอมตะตลอดนิรันดร (โสรจั จ์ หงศ์ลดารมภ,์ 2549 : 180-182)

3.3 มนษุ ย์ในทัศนะศาสนาอสิ ลาม
ศาสนาอิสลามถือว่าความจริงสูงสุดคือ อัลลอฮ์ (พระเจ้า) ทุกส่ิงทุกอย่างมีต้นกาเนิดมาจากพระองค์
ในอัล- กรุ อาน อธบิ ายว่า อัลลอฮ์คือผูป้ ระทานชีวติ และความตายและทรงมีอานาจเหนือทุกส่ิง มนุษย์และสรรพสิ่ง
ในจักรวาลก็ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสร้าง (มัคลูก) มาจากต้นกาเนิดเดียวกันคือ อัลลอฮ์ ขณะเดียวกัน กฎเกณฑ์ของสิ่ง
ต่างๆ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ แต่เกิดข้ึนตามเจตนารมณ์หรือความพระสงค์ของอัลลอฮ์ การดารงอยู่ของสิ่ง
ทง้ั หลายตามธรรมชาติจึงเปน็ ส่วนหน่ึงของเจตนารมณ์หรอื แบบแผนที่อัลลอฮท์ รงกาหนดให้ (อมิ รอน มะลูลีม และ
คนอนื่ ๆ, 2550 : 193) ซึ่งรวมถึงตวั มนษุ ยด์ ้วย
ธรรมชาติของมนุษย์ในทัศนะอิสลามน้ัน มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตวิญญาณ ดังในอัลกุรอาน
(ซ๊อด : 71-72) ความว่า “เมื่อครงั้ อภิบาลของเจ้าได้ดารัสแก่มลาอิกะฮว์ ่า แท้จรงิ ข้าจะบันดาลมนุษยผ์ ู้หน่ึงจากดิน
ต่อมาเม่ือขา้ ได้บันดาลเขาครบถ้วนสมบูรณแ์ ล้ว และข้าได้เป่าลมไปในเขาจากชีวิต (จากการสร้าง) ของขา้ พวกเจ้า
ทง้ั หมดก็จงก้มลงคารวะเถิด” และในอลั กรุ อาน (อัสสะญะดะฮ์ : 7-9) ความว่า “ทรงประทานความงดงามแก่ทกุ ๆ
ส่ิงท่ีพระองค์ทรงบันดาลไว้ และทรงเริ่มบันดาลมนุษย์มาจากดินหลังจากน้ัน ทรงบันดาลเผ่าพันธุ์ของเขามาจาก
เชื้อจากน้าท่ีไร้เกียรติ (ในสายตาคนทั่วไป) หลังจากนั้น พระองค์ทาให้เขามีรปู ร่างสมบูรณ์และเป่าลงไปในเขาจาก
วญิ ญาณ (ตามความประสงค)์ ของพระองค์ และพระองค์ทรงบันดาลให้พวกเจ้ามีหู มีตา และมีจติ ใจ” จะเหน็ ไดว้ ่า
รา่ งกายเดมิ ประกอบด้วยธาตุดนิ ตอ่ มาด้วยอสุจิ วัตถุกายเป็นรูปรา่ งท่ีสมั ผัสโลกภายนอก จึงเป็นส่ิงที่เปล่ียนแปลง
คือ มเี กิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ตลอดเวลา ซึ่งก่อใหเ้ กดิ เปน็ ความทุกข์ความสุขไม่รู้หยุด อัลลอฮท์ รงตรสั ไว้ในอัลกุรอาน
(อัลมุอฺมิน : 67) ความว่า “พระองค์ทรงสร้างพวกเจ้ามาจากดินหลังจากน้ันทรงสร้างมาจากหยดอสุจิ หลังจากนั้น
จากก้อนเลือด แล้วทรงทาให้พวกเจ้าคลอดออกมาเป็นทารก หลังจากน้ันเพื่อพวกเจ้าจะได้บรรลุสู่วัยฉกรรจ์
หลังจากน้ันเพื่อพวกเจ้าจะได้ (มีอายุยืนนานจน) เป็นคนอาวุโสและบางคนจากพวกเจ้ามีผู้ที่ครบกาหนดตายก่อน
(สาหรับการรับสนองตอบความประพฤติ) และเพื่อพวกเจ้าจะได้ใช้ปัญญาไตร่ตรอง” ส่วนของจิต หรือ วิญญาณ
(al-Ruh) นั้นเป็นสิ่งท่ีอมตะ จิตวิญญาณเป็นสาเหตุให้ร่างกายมนุษย์มีความสมบูรณ์และเคล่ือนไหว ทาให้มี
ความร้สู ึกนกึ คดิ และเมือ่ กายเน้ือไดด้ ับสลายไป จิตวญิ ญาณกจ็ ะยังมีอยูอ่ ยา่ งถาวร (ยโู ลน เภอหีม, 2541 : 27-39)
โดยอิสลามจะให้ความสาคัญกับรา่ งกายและจติ วญิ ญาณอย่างเทา่ เทยี มกัน
ในทัศนะของอิสลาม มนุษย์เกิดมาเพื่อทาความดี และการทาความดีน้ันจะนามนุษย์ไปสู่จุดหมายสุดท้าย
คือการได้อยู่กบั พระเจ้า อิสลามมีคาสอนอย่างชัดเจนในเรื่องหน้าที่ของมนุษย์ คอื ต้องมศี รัทธาในพระเจ้าองค์เดียว
หรืออลั ลอฮ์อยา่ งมน่ั คง และปฏบิ ัติตามโองการของพระองค์ ในแงน่ ้ชี ีวติ ของคนมุสลมิ ทุกคนจึงเปน็ ชวี ิตทางศาสนา

20

3.4 มนุษย์ในทศั นะพระพทุ ธศาสนา
ในทัศนะทางพระพทุ ธศาสนามองว่า มนุษย์เป็นส่ิงมีชีวิตประเภทหน่ึงท่ีอยู่ในโลกนี้ทเ่ี กิดข้ึน ดารงอยู่ และ
แตกสลายไปตามกฎธรรมชาติ เฉกเช่นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ดังปรากฏในความหมายของคาว่า “สัตว์โลก” กล่าว คือ
มนุษย์เป็นสตั ว์โลกชนิดหน่ึงท่ีมีชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ในโลกเชน่ เดยี วกับสัตว์โลกอื่นๆ ซึง่ หากแยกสตั ว์โลกตาม
ประเภทของการเกิด ในเรื่องกาเนิด 4 มนุษย์ถือเป็นสัตว์โลกประเภท “ชลาพุชะ”1 คือก่อกาเนิดข้ึนมาในมดลูก
ของมารดาเช่นเดยี วกบั สัตว์ชัน้ สูงทเ่ี ลยี้ งลูกด้วยนมอยา่ ง วัว ควาย ช้าง ม้า เป็นตน้
มนษุ ย์เปน็ ส่ิงที่เกิดมีตามธรรมชาติ ตามเหตปุ ัจจัย ตามกฎแห่งกรรม มิใชส่ ่ิงสรา้ งจากพระเจ้า (พระพรหม)
หรือส่ิงมิใช่สิ่งสร้างของอานาจสิ่งศักด์ิสิทธ์ิใดๆ ท้ังสิ้น แต่เป็นสิ่งธรรมชาติท่ีเกิดขึ้นมาจากการรวมกันของช้ินส่วน
ตา่ งๆ ท่ีเปน็ ส่วนกายและเป็นส่วนจิต เรียกวา่ “ขันธ์ 5” อันประกอบด้วย รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวิญญาณ
(ซ่ึงจะอธิบายรายละเอียดในบทท่ี 3 ต่อไป) ในมัชฌิมนิกายแห่งพระไตรปิฏก (สุนทร ณ รังษี, 2543 : 96-97)
อธิบายวา่ ชีวติ มนุษยจ์ ะเกิดขึน้ ในครรภ์มารดาได้จะต้องมีประกอบพร้อมด้วยองค์ 3 ประการ คอื

1) บดิ ามารดาต้องอยู่รว่ มกนั (มีเพศสมั พนั ธ์)
2) มารดามีประจาเดือน (คืออย่ใู นวัยทม่ี ปี ระจาเดือนและมีประจาเดือนเปน็ ปกติ)
3) มสี ัตวเ์ กิดมา (คาวา่ สัตว์ ไดแ้ ก่สิ่งมีชวี ติ ท่ีมจี ติ )

โดยองค์ประกอบทั้ง 3 ประการดังกล่าวน้ี จะต้องเกิดมีครบทั้ง 3 อย่างเท่าน้ัน จะขาดองค์ใดองค์หนึ่งไป
ไม่ไดเ้ ลย โดยองค์ประกอบของการเกิดมนุษย์ใน 2 ขอ้ แรกจะสอดคล้องกับแนวคิดทางการแพทย์ แต่องค์ประกอบ
ข้อท่ี 3 จะแตกต่างไปจากความรู้แบบวิทยาศาสตร์ คอื ในอรรถกถามัชฌมิ นิกาย มูลปัณณาสก์ อธบิ ายวา่ หมายถึง
การปฏิสนธิวิญญาณของสัตว์ เช่นเดียวกันกับในพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ตติยปราราชิก ได้กล่าวจุดเริ่มต้นของ
ชีวิตว่า “กายมนุษย์ได้แก่จิตแรกเกิด คือ ปฏิสนธิวิญญาณดวงแรกปรากฏข้ึนในครรภ์ของมารดา จนถึงเวลาตาย
เรยี กว่ากายมนษุ ย์” (ธรี โชติ เกดิ แก้ว, 2553 : 66)

ในด้านพัฒนาการทางชีววิทยาของมนุษย์ท่ีปฏิสนธิข้ึนในครรภ์ของมารดาน้ัน มีพุทธพจน์ในสังยุตตนิกาย
(สุนทร ณ รังษี, 2543 : 98) อธิบายไว้ว่า “ร่างกายนี้เริ่มต้นเป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะ
พฒั นาเปน็ เปสิ จากเปสิพัฒนาเป็นฆนะ จากฆนะพฒั นาเป็นปญั จะสาขา (5 ป่มุ ) ต่อจากนน้ั มผี ม ขน และเล็บ เป็น
ต้น เกิดมีขึ้น มารดาของทารกในครรภบ์ รโิ ภคข้าว นา้ โภชนาหารอย่างใด ทารกผอู้ ยูใ่ นครรภ์มารดาก็ยังอตั ภาพให้
เป็นไปด้วยอาหารอย่างน้ัน ในครรภ์นั้น” ซ่ึงการเกิดข้ึนของมนษุ ย์ในครรภ์มารดาตามหลักพระพุทธศาสนามีความ
สอดคลอ้ งกับหลกั ทางชีววทิ ยาสมัยใหม่จะต่างกนั ตรงเรอ่ื งปฏิสนธิวิญญาณ หรอื คันธพั พสัตว์เทา่ นน้ั ท่วี ิทยาศาสตร์
มีความเห็นแตกต่างไป เพราะวิทยาศาสตร์จะไมก่ ล่าวถึงเรอ่ื งที่ไม่สามารถพิสจู น์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์อย่างเช่น
ปฏิสนธิวญิ ญาณ

สรุปได้ว่า ชีวิตมนุษย์เกิดจากเง่ือนไขของกฎธรรมชาติ และเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่มีผู้มีอานาจเหนือ
มนุษย์ สิ่งศักด์ิสิทธิ์ หรือชะตากรรมเป็นผู้กาหนดให้แต่อย่างใด เร่ืองน้ีสอดคล้องกับข้อสรุปท่ีศาสตราจารย์แสง
จันทร์งาม (อ้างใน ธีรโชติ เกิดแก้ว, 2553 : 69) ได้กล่าวว่า “พุทธศาสนาไม่สนใจปัญหาอันลึกซึ้ง (อภิปรัชญา) ที่
ไม่เกี่ยวกับสวัสดิภาพในปัจจุบันของมนุษย์ สนใจแต่ปัญหาสุขทุกข์ในปัจจุบันของมนุษย์เท่าน้ัน ไม่สนใจอานาจ
ลึกลับภายนอก แต่สนใจในความพยายามของมนุษย์” ข้อความน้ีทาให้เราเห็นมโนทัศน์ในเร่ืองมนุษย์ของพุทธ

1 กาเนิด 4 คือ อณั ฑชะ – เกิดในฟองไข่, ชลาพุชะ – เกิดในมดลกู , สงั เสทชะ – เกดิ ในน้าครา ในซากศพ ส่ิงเน่า ฯลฯ และโอปปาติกะ – เกิด
เจรญิ เติบโตข้ึนทันทีทันใดโดยไมม่ ีพ่อแม่

21

ศาสนาที่สาคัญประการหนึ่ง ได้แก่ มนุษย์คือผู้ลิขิตตัวเอง มิใช่ผู้ที่มีอานาจหรือสิ่งที่มีอานาจเหนือมนุษย์เป็นผู้
กาหนดให้แต่อย่างใด

4. ความหมายของมนุษย์ทางจติ วทิ ยา
จิตวิทยา ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Psychology ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คา ได้แก่คาว่า Psyche

กบั Logos ซึง่ อธบิ ายในรายละเอยี ดดงั น้ี (เติมศักด์ิ คทวณชิ , 2546 : 11) อ้างองิ จาก จันทร์เพ็ญ ภโู สภา. (2559)
คาว่า Psyche ในภาษากรกี หมายถึง จิตวิญญาณ (Soul) กับคาว่า Logos ในภาษากรีก หมายถงึ วิชาการ

หรือการศึกษา (Study) เม่ือคาสองคามารวมกันจึงได้เป็นคาศัพท์ว่า Psychology หมายถึง วิชาที่ศึกษาเก่ียวกับ
วิญญาณ นักปราชญ์ในขณะนั้น ได้พยายามค้นคว้าหาคาตอบว่า วิญญาณ (Soul) มีความสาคัญ และมีอิทธิพล
อย่างไรต่อการกระทาของมนุษย์ จะเห็นได้วา่ เป็นการศกึ ษาถึงสิ่งท่ไี มม่ ีตัวตน ไม่สามารถพิสูจน์และค้นควา้ ใหเ้ ห็น
จรงิ ได้ ตอ่ มาปี ค.ศ. 1876 วิลเฮล์ม วุนดท์ (Wilhelm Wundt) นกั จติ วิทยาชาวเยอรมนั เป็นคนแรกท่บี ุกเบกิ และ
ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษาจิตวิทยา ได้สร้างห้องทดลองขึ้นเป็นแห่งแรก ที่เมืองไลพ์ซิก (Leipzig)
ประเทศเยอรมันนีมีเครื่องหมายทดลองและตรวจสอบข้อมูลเช่นเดียวกับวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆ ดังนั้นการศึกษา
มนษุ ย์ในเชงิ จติ วิทยาจึงต้องศกึ ษาเกีย่ วกบั พฤติกรรม

พฤตกิ รรมมนุษย์นนั้ เป็นสง่ิ ท่ีจิตวิทยามุ่งศึกษาซึง่ กห็ มายความวา่ การศกึ ษาพฤตกิ รรมมนุษย์ จะสง่ ผลให้
ผูศ้ ึกษามีความรู้ ความเขา้ ใจ ทั้งตนเองและผอู้ นื่ ไดด้ ยี ิ่งขนึ้ นน่ั เอง

4.1 ความหมายของพฤตกิ รรม (Behavior)
มีผรู้ ูไ้ ด้ให้ความหมายของพฤตกิ รรมไว้ดังนี้
พฤติกรรม หมายถึง การกระทา หรืออาการที่แสดงออกทางกล้ามเน้ือ ความคิด และความรู้สึกเพื่อ
ตอบสนองสิ่งเรา้ (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2525 : 584)
พฤติกรรม หมายถึง สิ่งท่ีบุคคลกระทาแสดงออกมา เพ่ือตอบสนองหรือโต้ตอบสิ่งใดส่ิงหน่ึงสภาพ การณ์
ใดสภาพการณ์หนึง่ (สมโภชน์ เอี่ยมสภุ าษติ , 2536 : 2-3)
พฤติกรรม หมายถึง การกระทา การแสดงออก หรืออากปั กริ ิยา อนิ ทรีย์ (Organism) ทั้งในส่วนท่ีเจ้าของ
พฤติกรรมเองเท่านน้ั ที่รู้ได้ และอยูใ่ นสว่ นทีบ่ ุคคลอนื่ อยใู่ นวิสยั ท่จี ะรไู้ ด้ (ไพบลู ย์ เทวรกั ษ์, 2537 : 3)
ดังนั้นสรุปได้ว่า พฤติกรรมหมายถึง การกระทา การแสดงออกท้ังสีหน้า ท่าทาง ทุกอากัปกิริยา ท้ังท่ีสามารถ
สงั เกตเหน็ ได้ดว้ ยผ้อู ่ืน และทั้งท่ผี อู้ ืน่ ไม่ร้ดู ้วย
4.2 ท่มี าของพฤติกรรม
ในการศึกษาทาความเข้าใจกับพฤติกรรมนี้นักจิตวิทยายังได้ศึกษาถึงสาเหตุที่มาของการแสดงออกของ
พฤติกรรม โดยสรุปว่า สาเหตุทีม่ าของพฤตกิ รรมมี 3 ลกั ษณะคือ

1. พฤติกรรมในอานาจจิต พฤติกรรมในอานาจจิตยู่ภายใต้การควบคุมของจิตและสมองอยู่ใน
ภาวะของการรสู้ กึ ตวั ท่สี มบรู ณ์ ร่างกายและจติ ใจมคี วามพรอ้ มในการตอบสนองตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มที่มากระทบ เชน่ ส่ัง
ใหน้ ั่ง ควบคุมตวั เองให้มีมารยาท ยิ้มทักทาย สวัสดี จดบันทึก พดู คุย ตามที่ใจปรารถนา เปน็ ภาวะท่ีรู้สึกตัวดีหรือ
มสี ติ พฤตกิ รรมใหเ้ ปน็ ไปตามความต้องการของจิต

22

2. พฤติกรรมนอกอานาจจิต เป็นพฤติกรรมท่ีจิตส่ังไม่ได้ เป็นพฤติกรรมท่ีตกอยู่ภายใต้การ
ควบคุมของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งมักจะเกิดข้ึนโดยมีโอกาสท่ีต้องเผชิญกับภาวะฉุกเฉิน การประเมิน
สถานการณ์ทตี่ ้องเอาตวั รอด มีการตน่ื ตัวทางอารมณ์ เช่น กังวล ตกใจ โกรธ กลวั เครยี ด หรือเศร้า การแสดงออก
หรือผลกระทบจะอยู่ท่ีอวัยวะภายในของร่างกายเช่น ต่อมมีท่อ ต่อมน้าลาย ต่อมน้าตา ต่อมเหงื่อ ต่อมไร้ท้อ เช่น
การผลิตฮอร์โมนของต่อมหมวกไต อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต การหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร การ
ทางานของลาไสเ้ ล็กและใหญ่ การบีบรัดตัวของกลา้ มเน้ือ การเปลยี่ นแปลงภายในอวยั วะต่างๆ ของร่างกายเหล่านี้
อยนู่ อกอานาจบงั คับของจิตคือจิตส่งั ไม่ได้ และอยู่ภายใตก้ ารควบคมุ ของระบบประสาทอัตโนมตั ิ

3. พฤติกรรมรีเฟลกซ์ พฤติกรรมรีเฟลกซ์ เกิดจากการทางานของปฏิกิริยาจากไขสันหลัง มี
เป้าหมายเพ่ือให้มีการตอบสนองที่รวดเร็วทันการณ์หลีกหนอี อกจากอนั ตรายหรือการขจดั การระคายเคอื งท่ีเกิดข้ึน
ใหห้ มดไป การส่งกระแสความรู้สึกบางชนิดเพ่ือวัตถปุ ระสงค์เหล่านี้ไปสู่สมองอาจตอ้ งใช้เวลานานเกินไป ทาให้เกิด
ข้อเสียหายต่อการปรับตัวของร่างกาย กลไกการตอบสนองจึงเป็นการทางานของไขสันหลัง เช่น การจาม การ
สะอึก การสะดงุ้ การกระพรบิ ตา การหดตัวกลับอย่างรวดเร็วของอวยั วะ เชน่ มือและเทา้

4.3 ประเภทของพฤติกรรม
มีการการจาแนกพฤติกรรมหลายลักษณะ ในที่นี้จะจาแนก ออกเป็น 2 ประเภท โดยใช้เกณฑ์ ในการ
จาแนกคอื “ผทู้ ่ีรู้พฤตกิ รรม” ดงั นี้ (ไพบูลย์ เทวรักษ์, 2537 : 3-6)

1. พฤติกรรมภายใน (Convert Behavior) คือพฤติกรรมที่เจ้าของพฤติกรรมเท่านั้นท่ีรู้ บุคคล
อ่ืนท่ีมิใช่เจ้าของพฤติกรรมไม่สามารถที่จะรับรู้ได้โดยตรง ถ้าไม่แสดงออกเป็นพฤติกรรมภายนอก บุคคลอื่นจะรู้
พฤติกรรมภายในของบุคคลใดบุคคลหน่ึงก็ได้โดยการสันนิษฐานหรือคาดเดาเองเท่านั้น แต่ถ้าหากมีพฤติกรรม
ภายนอกปรากฏออกมา ก็จะทาให้บุคคลอ่ืนมี “ข้อมูล” (Data) ประกอบการสันนิษฐานถึงพฤติกรรมภายในได้ดี
ย่ิงข้ึน พฤติกรรมภายในนั้นเป็นกระบวนการทางานขอสมอง (Mental Process) ซึ่งหมายถึงข้ันตอนการทางาน
ของสมองในรูปแบบต่างๆ มากมายเช่น การคิด การตัดสินใจ ค่านิยม และแรงบันดาลใจ เป็นต้น กิลฟอร์ด
(Guilford) นักจิตวิทยาซึ่งศึกษาเรื่องสติปัญญาอธิบายว่า “สมองมีการทางานประมาณ 150รูปแบบ” ซึ่ง
หมายความวา่ รปู แบบหนงึ่ จะทางานก่ีเรือ่ ง กค่ี ร้ังกไ็ ด้

2. พฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) คือพฤติกรรมท่ีบุคคลอ่ืนนอกจากเจ้าของพฤติกรรม
สามารถท่ีจะรู้ได้ และบางพฤติกรรมเองยังไม่รู้ด้วยซ้าไป พฤตกิ รรมภายนอกนั้น บุคคลอื่นจะรู้ไดต้ ้องอาศัย “การ
สงั เกต” (Observation) ไม่ว่าจะใชป้ ระสาทสมั ผัสโดยตรงหรือใช้เครือ่ ง (Instrument) ช่วยในการสังเกตเพื่อใหไ้ ด้
ขอ้ มลู จงึ จาแนกพฤตกิ รรมภายนอกออกเปน็ 2 ประเภทย่อยๆ คือ

2.1 พฤติกรรมโมลาร์ (Molar Behavior) คือพฤติกรรมท่ีบุคคลอ่ืนสามารถสังเกตได้
การสังเกตน้ัน เรามักจะคิดว่าใช้ “ตา” ในการสังเกตเพียงอย่างเดียว เนื่องจากตารับรู้และมีความหมายต่อ
กระบวนการคดิ มากกว่าประสาทสัมผสั อื่น แต่แท้ทจ่ี รงิ แล้ว ใชป้ ระสาทสัมผัสได้ถึง 7 ดา้ นในการสงั เกต คือ ตา (ดู)
หู (ฟัง) จมูก (ดม) ลิ้น (รับรส) ผิวกาย (สมั ผสั ทางผวิ หนัง) อวัยวะในช่องหูประสานกับตา (ทรงตัว) และกล้ามเนื้อ
เอ็น เน้ือเยื่อ และข้อต่อ (รับความรู้สึกจากภายในร่างกาย) ซึ่งพิจารณาถึงการใช้ประสาทสัมผัสแต่ละด้านในการ
สังเกตพฤติกรรมแล้วพบว่าอาจใช้สังเกตพฤติกรรม อาจใช้สังเกตผลของพฤติกรรม(หรืออาจจะเป็น “ร่องรอย”
ของพฤติกรรม) หรืออาจใช้สังเกตพฤติกรรมของตนเองที่ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมของผู้อื่นก็ได้ ซึ่งก็ล้วนจะ

23

นาไปสู่ความรู้และเข้าใจถึงพฤติกรรมโมลาร์ของเจ้าของพฤติกรรมได้ทั้งส้ิน ตัวอย่างของพฤติกรรม โมลาร์ เช่น
สมชายเตะฟุตบอลคล่องแคล่ว สมหญิงพูดจาไพเราะ มานะไม่อาบน้ามานานจึงกล่ินตัวแรงมาก ธิดาปรุงอาหาร
รสชาติดี เรณูตัวร้อนมากน่าจะมีไข้ โชเฟอร์รถโดยสารคันน้ีขับรถไม่นิ่มนวลนั่งไม่สบาย นักฟุตบอลคนน้ีแข็งแรง
มากเพราะมีแรงปะทะท่ีเราต้านไม่อยู่ เปน็ ต้น

2.2 พฤติกรรมโมเลกุล (Molecular Behavior) คือพฤติกรรมท่ีบุคคลอ่ืนต้องใช้
“เคร่ืองมือ”เพ่ือช่วยในการสังเกต อันจะทาให้ได้ข้อมูลท่ีแม่นยาเช่น การเต้นของหัวใจ คลื่นสมอง ความดันของ
โลหติ กระแสไฟฟ้าใต้ผิวหนัง และคะแนนจากแบบทดสอบ (Test) ก็น่าจะอนุโลมใหอ้ ยู่ในประเภทนี้ดว้ ย แม้วา่ จะ
มิได้เป็นการวัดทางสรีระก็ตาม บุคคลเมื่อนอนฝัน สามารถวัดคล่ืนสมองได้ด้วย “EEG” หรือสังเกตการณ์
เคลื่อนไหวขอบตาดาใต้หนังตาไดค้ ือ “REM” เมอื่ สภาพจิตใจของบคุ คลหวั่นไหว เชน่ เห็นหนา้ คนรกั หรอื ถูก จับ
โกหกได้ กระแสไฟฟา้ ใตผ้ ิวหนังจะปนั่ ป่วนวัดได้ดว้ ย “GSR” จะเหน็ ได้ว่าการใช้ขอ้ มูลประเภทพฤติกรรมโมเลกุลนี้
ช่วยให้การสันนิษฐานถึงพฤติกรรมภายในได้ดียิ่งข้ึนอันที่จริงพฤติกรรมภายใน และภายนอกมักจะมีความ
สอดคล้องสัมพันธก์ ัน ไมย่ ุ่งยากต่อการสงั เกตเพราะมักจะมีความกลมกลืนกัน หาได้แยกเปน็ ส่วนๆ ดงั ท่ีได้อธบิ าย
มา (การอธิบายแยกเป็นส่วนๆ มุ่งให้เข้าใจรายละเอียด) แม้บุคคลท่ีแสดงออกตรงข้ามกับท่ีตนเองคิด ก็คือว่าเขามี
พฤติกรรมภายใน และภายนอกสัมพันธ์กัน (ในทางลบ) ซึ่งไม่ช้าไม่นานผู้ที่สังเกตพฤติกรรมก็จะเข้าใจบุคคล
ประเภท “ปากอย่างใจอย่าง” ได้คงเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมภายในและภายนอกนี่เอง ท่ีทาให้
ผคู้ นจานวนมากอธิบายวา่ “พฤติกรรมคือการแสดงออก” ซงึ่ ถ้าพิจารณาคาว่า “แสดงออก” จะมคี วามหมายเพียง
แค่ “พฤตกิ รรมภายนอก” เท่านน้ั เอง ซ่งึ ไม่ค่อยเหมาะสมนัก

พฤติกรรมภายในแต่เพียงอย่างเดียวผู้อ่ืนย่อมไม่ทราบได้ แค่พฤตกิ รรมภายนอกบางอย่างเจา้ ของ
พฤติกรรมเองกลับไม่ทราบก็มี มิใช่ว่าเจ้าของพฤติกรรมจะทราบเสียท้ังหมด ลุฟท์และอิงแฮม (Joseph Luft
and Harry Ingham) ได้แบง่ พฤติกรรมไว้ 4 ประเภท ในเนอื้ เร่ือง “หน้าต่างหัวใจ” (Johari Window) ดงั น้ี

1. เปดิ เผย (Open) คอื พฤติกรรมทต่ี นเองรู้ แต่ผู้อื่นรู้
2. ความลบั (Secret) คือ พฤตกิ รรมท่ตี นเองรู้ แต่ผู้อนื่ ไมร่ ู้
3. จุดบอด (Blind) คือ พฤติกรรมที่ตนเองไม่รู้ แตผ่ อู้ น่ื รู้
4. อวชิ ชา (Unknown) คอื พฤติกรรมท่ตี นเองไมร่ ู้ แต่ผอู้ ่ืนไมร่ ู้
จากพฤตกิ รรม 4 ประเภทนี้ จะช่วยให้เราเขา้ ใจพฤติกรรมภายในและภายนอกในแง่มุมทลี่ กึ ซึ้งยิ่งข้นึ
บลมู (Bloom 1956)ได้แบง่ ประเภทพฤตกิ รรมมนษุ ย์เปน็ 3 ประเภท ดังน้ี

พฤตกิ รรมด้านการกระทา

พฤติกรรมด้านความคดิ
ความเข้าใจ

พฤติกรรมด้านอารมณ์
ความรู้สึก

24

แผนภูมทิ ่ี 1.2 ประเภทพฤตกิ รรม

ประเภทท่ี 1 พฤติกรรมด้านความคิดความเขา้ ใจ
ประเภทท่ี 2 พฤตกิ รรมด้านอารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติ ค่านิยม
ประเภทท่ี 3 พฤติกรรมด้านการกระทา การแสดงออกทางอวัยวะต่างๆ
ดังนั้นสรุปได้ว่า พฤติกรรมมีการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พฤติกรรมภายในและพฤติกรรมภายนอก
เพราะพฤติกรรมบางอย่างสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้ แต่บางพฤติกรรมไม่สามารถสังเกตเห็นไดด้ ้วยตาเปล่าได้ เช่น
ความคดิ จินตนาการ เปน็ ตน้

4.4 วิธีการศึกษาพฤติกรรม
จากที่นักจิตวิทยามีความสนใจปรากฎการณ์ต่างๆเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์เพ่ือให้ได้มาซ่ึงความรู้ท่ีจะ
อธบิ ายพฤตกิ รรมเหล่าน้ันอยา่ งเทย่ี งตรงและนา่ เช่ือถือได้ จิตวทิ ยาจงึ ตอ้ งใช้วิธีการศึกษาท่ีเป็นระบบหรือใช้วิธีการ
ทางวิทยาศาสตร์ ต่อไปน้ีจะได้กล่าวถึงวิธีการศึกษาทางพฤติกรรมท่ีนักจิตวิทยาใช้เพ่ือให้ได้มาซ่ึงความรู้ความ
เข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรม

1. การสังเกตพฤติกรรมในสภาพที่เป็นจริงตามธรรมชาติ การสังเกตจัดเป็นวิธีการทาความ
เข้าใจกับพฤติกรรมท่ีเป็นพ้ืนฐานที่สุดในชีวิตประจาวันเรา ที่ใช้วิธีการสังเกตพฤติกรรมคนอ่ืนท่ีเราได้สัมพันธ์ด้วย
จากการสังเกตพฤติกรรมทาให้เราได้รู้จักคนดีขึ้น การศึกษาท่ีน่าเช่ือถือได้นั้นการสังเกตจะต้องกระทาอย่างเป็น
ระบบ เพ่ือให้การสังเกตได้ข้อมูลท่ีดี ถูกตามความเป็นจริงและมีความเท่ียงตรง การสังเกตที่เป็นระบบจะต้องมี
เครืองมือบันทึกพฤติกรรมไว้ด้วย จะต้องมีเกณฑ์ที่แน่นอนเพื่อใช้ในการตัดสินว่าพฤติกรรมแบบไหน เม่ือไร เป็น
พฤตกิ รรมเป้าหมายที่ตอ้ งการสังเกต

2. การสารวจ การท่เี ข้าใจเก่ียวกบั พฤตกิ รรมโดยวธิ กี ารสังเกตแต่อย่างเดยี วคงจะไมด่ ี อกี วิธีหนึ่ง
ที่จะช่วยให้ทราบถึงแรงจูงใจของพฤติกรรมก็คือ การสอบถามความคิดเห็นของคน การสอบถามนีจ้ ะทาไดโ้ ดยการ
สัมภาษณ์เป็นรายบุคคล หรือให้แต่ละคนตอบคาถามที่เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วในแผ่นกระดาษที่เรียกว่า
แบบสอบถามกไ็ ด้ การศกึ ษาโดยวิธีการสารวจน้ีนอกจากจะใช้แบบสอบถามเป็นเคร่อื งมือแล้ว การสัมภาษณ์ก็เป็น
อกี วิธีหนง่ึ ของการสารวจ ในการสัมภาษณผ์ ู้ศกึ ษาใช้วาจาหรือการส่อื สารเปน็ เครอ่ื งมือ เพื่อให้ไดค้ าตอบทตี ้องการ
ในการสอบถามน้ันหากประสงค์จะให้มีการจัดเก็บขอ้ มูลที่ดีข้ึนก็อาจจะใช้แบบบันทึกการสัมภาษณ์ประกอบด้วยก็
ได้ นอกจากน้ัน การสอบถามกบั การสัมภาษณ์สามารถนามาใช้ร่วมกันได้ จะทาใหก้ ารเก็บข้อมูลพฤติกรรมถกู ต้อง
และเป็นระบบมากข้นึ

3. การทดสอบ การทดสอบเป็นเคร่ืองมือท่ีสาคัญ ยิ่งของการศึกษาในวิชาจิตวิทยา นักจิตวิทยา
อาจใช้แบบทดสอบเพื่อวัด ความกังวล ระดับเชาวนป์ ัญญาความถนัดแบบต่างๆ ผลจากการทดสอบ สามารถนาไป
อนมุ านพฤติกรรม ภายในของผู้ถูกทดสอบ แบบทดสอบเป็นเครือ่ งมือทม่ี ีความ สลับซับซอ้ นกว่าแบบสอบถาม มาก
ต้องการมีกระบวนการสร้างท่ีเปน็ ระบบ

4. การศึกษาเป็นรายกรณี และการศึกษาติดตามผลระยะยาว เป็นการศึกษาพฤติกรรม โดย
ศึกษาเป็นรายกรณีเฉพาะ โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่ือหาสาเหตุของพฤติกรรมปัจจุบัน ด้วยการร้ือฟื้นประวัติต่างๆ

25

ของบุคคลท่ีศึกษา ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงปัจจุบันจากหลายๆแหล่ง เช่น เอกสาร จากแหล่งเอกสาร จากการสอบ
ถามบุคคลที่เกี่ยวข้อง จากความทรงจาของตนเอง เหล่านี้ จะทาให้ผู้ศึกษาสามารถอนุมานสาเหตุได้ วิธีการน้ี
นาไปใช้มากในการศกึ ษา การใช้เคร่ืองมือต่างๆ ประกอบการศกึ ษานั้น ทาไปเพื่อให้การศึกษา และเกบ็ ข้อมูล เป็น
ระบบระเบียบ

5. ศึกษาโดยวิธีทดลอง วิธีการทดลอง แตกต่างจากวิธี ตามสภาพ ธรรมชาติตรงที่ การทดลอง
ต้องมีการ เปลี่ยนแปลงหรือ จัดกระทา (treat) ต่อส่ิงแวดล้อม เพ่ือศึกษาผลของ การจัดกระทาว่าจะได้ผลเป็น
อย่างไร การศึกษาพฤตกิ รรมโดยการทดลองน้ี จะตอ้ งมีการออกแบบการทดลองอยา่ งเปน็ ระบบ

จะเห็นได้ว่าวิธีการศึกษาพฤติกรรมนั้นมีหลายวิธีตั้งแต่ง่ายสุด คือ การสังเกตไปจนถึงละเอียดขึ้นคือ
การศึกษารายกรณี และมีการทดลองอย่างเป็นระบบระเบียบตามกระบวนการทางการทดลองอย่างเป็น
วทิ ยาศาสตร์

4.5 จติ และกระบวนการทางานของจิต
จิตใจ คือ การทาหน้าที่ของสมองส่วนต่างๆ รวมการ ในการดารงชีวิตของบุคคลตามสภาพแวดล้อมน้ันๆ
ซ่ึงถือว่าจิตใจเป็นกระบวนการทางานของเซลล์สมองที่เป็นบูรณาการ กระบวนการทางานของจิตใจมีขั้นตอน คือ
การรู้สึก การรับรู้ การมีอารมณ์ความต้องการ ความนึกคิด การตัดสินใจและการส่ังการให้แสดงออก การเกิด
พฤติกรรมเหล่านี้จะเป็นไปอย่างรวดเร็วจนเจ้าของจิตใจไม่ตระหนักในขั้นตอนเหล่านี้ ในหลายๆ พฤติกรรม การ
ทางานของจติ ใจ เร่ิมต้นทีส่ ่ิงเร้า กระทบปลายประสาท รับความร้สู ึก ทม่ี ีอยู่ในอวัยวะสัมผสั กระแสประสาทจะนา
ความรู้สึกน้ันไปยัง ศูนย์ควบคุม ความรู้สึก ท่ีมีอยู่ในอวัยวะสัมผัส กระแสประสาทจะนาความรู้สึกน้ัน ไปยังศูนย์
ความรู้สึก ดงั กลา่ ว ประสบการณ์เดิมในสมอง ทาให้เกดิ การรบั รู้ คือ การแปลผลความหมายของส่ิงทีร่ บั สมั ผสั โดย
อาศัยประสบการณ์เดิม จะทาให้เกิดอารมณ์ ถ้าส่ิงเร้า มีคุณค่าเชิงบวก จะรู้สึกพอใจ เกิดความต้องการ อยากมี
อยากได้ หรืออยากใกล้ชิด แต่ถ้าสิ่งเร้ามีคณุ คา่ เชิงลบ ท่ีจะรู้สกึ ไม่พอใจ สง่ ผลให้เกดิ ความต้องการอยากหนี อยาก
ท้ิง อยากทาลาย เพื่อให้เกิดความต้องการ บรรลุผลต้องนึกคิด ส่งผลให้เกิดการคิด หลายๆ ความคิด ข้ึนอยู่กับ
องค์ประกอบเช่นอายุ เชาวน์ปัญญา การเรียนรู้ สติสัมปชัญญะ ความทรงจาและการระลึกได้ นาไปสู่การตัดสินใจ
แล้วสมองก็จะส่ังการ เพ่ือให้แสดงออก โดยส่งไปตามกระแสประสาท การแสดงออกเน่ืองจากกระบวนการทางาน
ของจิตใจมี 3 ระดับ คอื

1. ระบบการเคลอ่ื นไหวเก่ียวข้องกับกล้ามเน้อื ลาย เช่นใบหนา้ แขนขา มอื เท้า เป็นต้น
2. ระบบอวัยวะภายใน เกี่ยวข้องกับระบบหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบการหมุนเวียน
โลหิต เปน็ ต้น
3. ระบบตอ่ มตา่ งๆเช่น น้าตา นา้ ลาย น้ายอ่ ย เปน็ ตน้
การแสดงออกทั้ง 3 ระบบน้ีเป็นการตอบสนองต่อสิ่งเร้า เป็นพฤติกรรมที่อาจรู้ได้ด้วยการสังเกต หรือ
อาศยั เครือ่ งมือช่วย ในการสงั เกต ชว่ งเวลาระหว่างมีสงิ่ เรา้ ไปถงึ การตอบสนองช่วงเวลาทใ่ี ชใ้ นการมีปฏิกิริยา ซ่ึงจะ
แตกต่าง กันไปในแตล่ ะบุคคล

26

4.6 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งจติ และพฤติกรรม
ความสมั พันธ์ระหว่างจติ และพฤตกิ รรม ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการทางานของสมอง และการ
แสดงออกทางรา่ งกายนนั้ เอง ซ่ึงพอจะกล่าวได้ 3 แนวทางสาคญั ๆ ดังน้ี

1. สมอง คืออวัยวะท่ีเป็นรูปธรรม ของร่างกาย แต่ส่ิงท่ีเกิดขึ้นในกระบวนการทางานของสมอง
เป็นนามธรรม เป็นเร่ืองของจิตใจ ความสมบูรณ์หรือความบกพร่องของสมอง ย่อมส่งผลให้มีพฤติกรรม การ
แสดงออกที่เหมาะสมหรือเบ่ียงเบนไปจากสภาพปกตไิ ด้ เช่น ชายคนหน่ึง เมอ่ื วัยหนุ่มมีสุขภาพสมบูรณ์ ของสมอง
มาก เป็นบุคคลที่ฉลาดหลักแหลม แต่เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายอ่อนแอ สมองเสื่อมลงกลับกลายเป็น เซ่ืองซึม
เช่ืองชา้ ขข้ี ลาด เสมอื นมิใช่บุคคลเดิม

2. อวัยวะรับความรู้สึกคือ ประสาทสัมผัสแต่ละด้านของร่างกาย ถ้าประสาทสัมผัสทุกด้าน มี
ความปกติดี การรับความรู้สึกจากสิ่งเร้าท่ีมากระทบย่อมจะเท่ียงตรง ส่งผลต่อกระบวนการทางานของจิตใจที่
สอดคลอ้ งกับสภาพแวดล้อมทเี่ ป็นจริง แต่ถ้าประสาทสัมผัสบกพรอ่ งความรสู้ ึกย่อมคลาดเคลื่อนสมองกจ็ ะได้ข้อมูล
ท่คี ลาดเคลื่อนไปสกู่ ระบวนการทางาน เช่น คนหตู ึง ฟังขอ้ ความจากโทรศัพท์วา่ ได้ทางานเปน็ พนกั งานบญั ชี ก็รับรู้
วา่ จะแตง่ งานกับชี ส่งผลให้เกิด กระบวนการทางานของจิตใจ ส่งผลเปน็ พฤติกรรมท่ไี มค่ ่อยเหมาะสม

3. เส้นประสาท เปน็ เส้นทางนาคาสัง่ จากสมองไปส่อู วยั วะเคลอ่ื นไหว หรอื ระบบกล้ามเนอ้ื และ
นาความรู้สึกจากประสาทสัมผัสไปสู่สมอง เส้นประสาทมีความสมบูรณ์ปกติ การนาคาสั่งไปแสดงพฤติกรรม และ
การรับสมั ผสั ยอ่ มราบรน่ื แต่ถ้ามีข้อบกพรอ่ ง เส้นกระดูกกดทบั เสน้ ประสาท อาจมีการเคล่อื นไหว บกพรอ่ งได้

4.7 แนวคดิ ของนกั จติ วิทยากล่มุ ตา่ งๆ ในการศึกษาพฤติกรรม
เม่ือ วุนด์ท (Wilheim Wundt) นักสรีระชาวเยอรมัน ต้ังห้องทดลองทางจิตวิทยาเป็นแห่งแรกใน
มหาวิทยาลัยไลป์ซิก(Leipzig) ทาให้จิตวิทยาเร่ิมมีสถานภาพเป็นศาสตร์ (Science) และเริ่มใช้วิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ (Scientific Method) ในการค้นคว้าหาข้อความรู้ต่างๆ ต้ังแต่ปี ค.ศ. 1879 เป็นต้นมา ช่วง
ระยะเวลากว่า 100 ปีน้ี จิตวิทยาได้มีความก้าวหน้าและหลากหลายแนวคิด ซึ่งจะพอจาแนกได้เป็นสานักทาง
จิตวทิ ยา (Schools of Psychology) ทสี่ าคญั ๆ 7 สานัก (จรรจา สวุ รรณทัต, 2538 : 8-14) ดงั นี้

4.9.1 โครงสร้างแห่งจิต (Structuralism) วุนด์ท (Wilheim Wundt) เป็นผู้นากลุ่มความคิดน้ี
โดยอธิบายวา่ จิต (Mind) ของมนษุ ย์มโี ครงสร้างท่ีประกอบด้วย การสัมผัส (Sensation) ความรู้สึก (feeling) และ
จนิ ตนาการ ซงึ่ เรยี กส่วนประกอบของจิตวา่ จติ ธาตุ เม่อื พิจารณาแนวคิดของ กลุม่ นี้ ก็คอื จิตเปน็ เสมอื น ธาตทุ ่มี ี 3
ธาตุ มาประกอบกนั น้ันเอง

4.9.2 หน้าทแี่ ห่งจิต ดิวอ้ี เป็นผู้นากลุ่มความคิดนี้ แนวคิดสาคญั คอื เรียนรู้จากการกระทา กลุ่ม
น้ี ไม่สนใจว่าจิตจะเป็นอย่างไรแต่สนใจที่การทางานหรือหน้าที่ของจิต โดยเฉพาะในการเรียนรู้ มีการศึกษาหน้าที่
อวัยวะหน้าท่ีต่างๆเม่ือบุคคลกระทา กลุ่มนี้ เชื่อว่า ความรู้เกิดจากความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมโดยตรง
ดังนั้นเม่ือมนุษย์ได้ลงเมื่อกระทาจะได้รับความรู้ มิใช่คอยรับจากผู้อื่น และความรู้ที่เป็นจริง ต้องเป็นข้อสรุปที่มี
หลกั ฐานจากการคน้ คว้ามาสนับสนนุ

4.9.3 จิตวิเคราะห์ ฟรอยด์ เป็นผู้นากลุ่มความคิดนี้ แบ่งจิตเป็น 3 ระดับ คือ จิตสานึก จิตใต้
สานึก จิตไร้สานึก ซ่ึงเป็นระดับความรู้ตวั ไปถึงความไม่รู้ตวั โดย ฟรอยด์ อธิบายว่าจิตไร้สานึก แม้ว่าจะไม่รู้ตัวแต่ก็
ทรงพลังและมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมตลอดจนบุคลิกภาพ ส่ิงสาคัญที่ระบุว่าเป็นสาเหตุ หลักของพฤติกรรม คือ

27

แรงขับทางเพศ ส่วนเร่ืองบุคลิกภาพนั้น ฟรอยด์จาแนกออกเป็น 3 ส่วนคือ ID มีการทางานโดยยึดหลักการ คือ
ความพึงพอใจ Ego จะทางานยดึ หลักความจรงิ และ super ego จะทางานยดึ หลกั ศลี ธรรมตามลาดบั

4.9.4 พฤติกรรมนิยม วัตสัน เป็นผู้นากลุ่มความคิดนี้ เขามีความเห็นว่าการพินิจตนเอง การ
ตรวจสอบจิตสานึกของตนเอง ศึกษาพฤติกรรมภายนอกมากกว่า นักจิตวิทยากลุ่มน้ี จะไม่สนใจพฤติกรรมภายใน
ของอินทรีย์จะสนใจเฉพาะสิ่งเร้า สาเหตุของพฤติกรรม และการตอบสนองพฤติกรรมภายนอก วิธีการศึกษา
พฤติกรรมของกลุ่มนี้สรุปว่า การวางเง่ือนไขเป็นสาเหตุสาคัญ ที่ทาให้เกิดพฤติกรรมและการเปลี่ยนแปลง
พฤตกิ รรมไดด้ ว้ ย อีกทง้ั ยงั เช่ือว่า พฤตกิ รรม มนษุ ยเ์ กิดจากการเรยี นรูต้ ามธรรมชาติ

4.9.5 เกสตัลท์ (Gestalt) ผู้นากลุ่มนี้ประกอบด้วยเวอร์ไธเมอร์ (Max Wertheimer) โคห์เลอร์
(Wolfgang Kohler) คอฟฟ์กา (Kurt Koffka) และเลวิน (Kurt Lewin) คาว่า “ส่วนรวม” (The whole) มีค่า
มากกว่าผลรวม (the sum) ของส่วนย่อย (parts) หมายความว่าการเรียนรู้ (Learning) ส่วนเร่ิมต้นจากสิ่งเร้าท่ี
เป็นส่วนรวม (the whole) มาให้ผู้เรียนรับรู้เสียก่อน แล้วจึงแยกแยะให้เรียนรู้เป็นส่วนย่อยต่อไป ระยะต่อมา
เลวิน (Lewin) ได้พัฒนาทฤษฎีนี้เป็น ทฤษฎีสนาม (Field Theory) แต่ก็ยังอาศัยหลักการเดิมเป็นสาคัญ 2
ประการในการเรียนรู้คือ การรับรู้ (Perception) บุคคลจะรับรู้ภาพ (Figure) เป็นสิ่งสาคัญ ส่วนพ้ืน (Ground)
เป็นเพียงองค์ประกอบ การหยั่งรู้ หรือ การหย่ังเห็น (Insight) เป็นความเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ เพ่ือเป็น
แนวทางแกไ้ ข ปัญหา ทัง้ น้กี ต็ อ้ งอาศยั ประสบการณเ์ ดมิ ที่เกย่ี วข้องกนั ด้วย

4.9.6 การรู้คิด (Cognitivism) กลุ่มนี้อาจมีชื่อเรียกว่าเป็นพุทธินิยม ปัญญานิยม หรือ ความรู้
ความเข้าใจ บุคคลสาคัญในกลุ่มนี้ คือ โคห์เลอร์ (Wolfgang Kohler) โทลแมน (Edward C. Tolman) และ
พีอาเจต์ (Jean Piaget) กลุ่มนี้โดยแท้จริงแล้วนาหลักการของเกสตัลท์มาใช้ คือบุคคลรู้คิดโดยหาความหมาย
ส่วนรวม (The whole) ของสิ่งท่ีเขาเรียนรู้ มิใช่มุ่งรับรู้ส่วนย่อย (Parts) บุคลิกภาพของบุคคลจะถูกกาหนดโดย
การรู้คิดของเขา กระบวนการทางานของสมอง (Mental process) หรือพฤติกรรมภายในของอินทรีย์ เป็นสิ่งท่ี
กลุ่มน้ีถือว่ามีความสาคัญสูง แม้ว่าจะต้องศึกษาโดยอาศัยพฤติกรรมภายนอกก็ตาม ความเช่ือของกลุ่มน้ีคือมนุษย์
จะมีพัฒนาการรู้คิดเป็นข้ันตอนตามลาดับ ความรู้ความเข้าใจในแต่ละเร่ืองต้องอาศัย เวลาเพื่อจัดระเบียบจน
สามารถสรา้ งความคดิ รวบยอด (Concept) ได้

4.9.7 มนุษย์นิยม (Humanism) บุคคลสาคัญในกลุ่มนี้คือ มาสโลว์ (Abraham Maslow) และ
รอเจอร์ส (Carl R. Rogers) กลุ่มนี้ให้ความสาคัญต่อบุคคลในฐานะส่วนรวมที่มีลักษณะเฉพาะตัวและมุ่งใช้
ศักยภาพของตนเพื่อสร้างสรรค์ความมีศักด์ิศรีและคุณค่าของตน นักจิตวิทยากลุ่มน้ีจึงสนใจความรู้สึกและการ
ตระหนักในตนเองของบคุ คล

สรุปท้ายบท
การศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์น้ันเป็นสิ่งจาเป็น ท่ีจะต้องได้รับการพัฒนาขึ้น เน่ืองจากว่าเราไม่สามารถอยู่คน

เดียวในโลกน้ีได้ เราต้องอยู่ร่วมกบั คนอ่ืน ซึง่ การอยู่ร่วมกับคนอ่ืนน้ัน จาเป็นอย่างยง่ิ ท่ีจะต้องมคี วามเขา้ ใจเกี่ยวกับ
พฤติกรรม เหตุแห่งที่มาของพฤติกรรม เพ่ือท่ีว่าจะทาให้เราสามารถวิเคราะห์ อธิบายถึงสาเหตุ และที่มาของ
พฤติกรรมนัน้ ๆ ส่งผลตอ่ ความเขา้ ใจตอ่ ตัวเองและผอู้ น่ื เม่ือเกดิ พฤตกิ รรมใดๆ ข้ึนมา

28

บทท่ี 2

แนวคดิ เร่อื งความสขุ

1. ความหมายของความสุข
ความสุขคืออะไร คาน้อี าจนิยามไดย้ ากเนอ่ื งจากความสขุ มลี ักษณะเป็น “อตั วิสยั ” (subjective) หมายถึง

เร่ืองที่เป็นนามธรรม ซึ่งเก่ียวข้องกับจิตใจหรือความรู้สึกนึกคดิ เฉพาะบุคคล ไม่สามารถท่ีจะหามาตรวัดหรือเกณฑ์
การตัดสินใดๆ ประเมินได้ คาท่ีตรงกนั ข้ามกับอัตวิสัยก็คือ “ภววสิ ัย” (objective) ภววสิ ัยเป็นเรื่องของขอ้ เท็จจริง
ท่สี ามารถชั่ง-ตวง-วัดหรือตคี ่าออกมาให้ทุกคนรบั รู้ได้ถูกต้องตรงกัน ไมม่ ีเรื่องของจิตใจหรอื ความรู้สึกเข้ามาปะปน
ดังน้ัน เมื่อความสุขนั้นเป็นเรื่องอัตวิสัย การนิยามความสุขของแต่ละคนจึงแตกต่างกันไปนักปรัชญาอย่าง อองรี
แบร์กซอง (Henri Bergson) กล่าวถึงความสุขว่า “ใช้กันทั่วไปเพื่อบอกถึงบางสิ่งบางอย่างท่ีคลุมเครือเข้าใจยาก
เป็นหนึ่งในหลายๆ ความคิดที่มนุษย์ตั้งใจจะทามันให้เล่ือนลอย เพ่ือว่าปัจเจกบุคคลแต่ละคนจะสามารถตีความ
ตามวิธีของตน” (มาติเยอ ริการ์, 2552: 41) ความสุขจึงมีผู้ให้ความหมายท่ีแตกต่างหลากหลายกันออกไป โดย
สามารถประมวลนยิ ามต่างๆ ไดด้ งั นี้

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้นิยาม “ความสุข” ว่าหมายถึง “ความสบายกาย
สบายใจ” ซึง่ อาจสะทอ้ นความหมายให้เห็นถึงตามคาพูดท่ีวา่ “อยดู่ ีมีสุข”, “อยูเ่ ย็นเป็นสขุ ” และ “อยู่สุขสบายดี”

คาว่า “สุข” หรือ “ความสุข” ได้มีผู้ให้ความหมายไว้ 2 นัย คือ “สุข” หมายถึง สภาพท่ีทนได้ง่าย มีราก
ศัพท์มาจาคาบาลีว่า สุ (แปลว่า ง่าย) + ขม (แปลว่า ทน) ซึ่งมีความหมายตรงข้ามกับคาว่า “ทุกข์” ซ่ึงหมายถึง
สภาพที่ทนได้ยาก สภาพสุขและทุกข์ท้ัง 2 นี้ถูกมองว่าเป็น “ธรรมชาติคู่ตรงข้ามกัน” ท่ีอาจสลับสับเปล่ียนกันไป
มาได้ ส่วนอีกนยั หนึ่ง “สุข” หมายถึง “สภาวะสิ้นกิเลสปราศจากตัณหาท้ังมวล” หรือ ภาวะไรท้ ุกขเ์ ป็นสุขนิรนั ดร
ถอื เป็นเป้าหมายหรอื สิ่งดีสงู สุด (Summum Bonum) ของมนุษย์ (อภญิ วัฒน์ โพธิส์ าน, 2553 : 29)

โดยส่วนใหญ่ การนิยามความสุขมักจะเป็นการประเมินความรู้สึกและประสบการณ์ด้านอารมณ์เชิงบวก
ของมนุษย์ โรเบิร์ต มิสราฮี (Robert Misarahi) เห็นว่า ความสุขคือ “ประกายความเบิกบานท่ีเปล่งจากการดารง
ของบุคคล หรือเฉิดฉายอยูเ่ หนือการกระทาในอดีต ส่วน เจอเรมี เบนแธม ก็กลา่ ววา่ “ความสุขคือ ความรู้สกึ ยินดี
พอใจและความปลอดไร้ซึ่งความทุกข์ และยิ่งมีความยินดีพอใจมาก (ย่อม) หมายถึงความสุขท่ีมีมากตามไปด้วย ”
(ไนเจล วอร์เบอร์ตัน, 2556 : 164) แตใ่ ช่วา่ ความสุขจะถูกพูดถึงในแง่คุณภาพทางอารมณ์เทา่ นนั้

ทาร์ เบน-ชาฮาร์ (Tal Ben-Shahar) ให้คาจากัดความไว้ว่า ความสุขเป็น “ประสบการณ์ในภาพรวมของ
ความพอใจและความหมาย” ดังนั้นคนที่มีความสุขคือผู้ที่มีอารมณ์ในแง่บวกและมองชีวิตตัวเองเต็มเป่ียมไปด้วย
ความหมาย อันเป็นประสบการณ์ในภาพรวมของคนคนหน่งึ

ในมุมมองเชิงปรัชญา “ความสุข” มักถูกกล่าวถึงในฐานะที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ในกรอบคิดของ
พวกเอพิคิวเรียน (Epicurean) เห็นว่า ความสุขคือความเพลิดเพลินใจ (pleasure) ซ่ึงถือว่าเป็นส่ิงที่มีค่าสูงสุด
เช่นเดียวกันกับ อริสทิปปัส (Aristippus) แห่งสานัก Cyrenaic ท่ีเห็นว่า ความสุขคือคุณธรรมสูงสุด (ธเนศ
วงศ์ยานนาวา, 2560: 157) ในปรัชญากรีกคาว่า “ความสุขสมบูรณ์” หรือ “ยูไดมอเนีย” (eudaimonia) ซ่ึงถือ
เป้าหมายสูงสุดของชีวิตมนุษย์น้ัน มีลักษณะที่เป็นมากกว่าความสุขทางกาย แต่เป็นการประสบความสาเร็จของ
ชีวติ มนุษยท์ จ่ี ะต้องประกอบด้วยการมี “ปญั ญา” (wisdom) ภายในตัวเองดว้ ย สว่ น เอพคิ เททัส (Epictetus)

29

ในมิติทางศาสนานั้น นักบุญออกัสติน (St.Augustine) ปราชญ์คนสาคัญในคริสต์ศาสนา ก็เห็นว่า
“ความสุขคือการยินดีกับความจริง” ในหนังสือ On the happy ท่านได้อธิบายอีกว่า “ความอยากมีความสุขเป็น
สง่ิ จาเป็นแก่มนุษย์ มันเปน็ แรงขับให้แก่ทุกการกระทาของเรา ทา่ นผูป้ ระเสริฐย่อมเขา้ ใจอยา่ งชดั เจนเหน็ แจ้งว่า ใน
โลกนี้ส่ิงท่ีม่ันใจได้อย่างแน่แท้ คือเราไม่แค่ปรารถนาความสุข แต่ความสุขคือความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของ
เรา” (มาติเยอ ริการ,์ 2552 : 42)

พุทธทาสภิกขุ พระภิกษุผเู้ ป็นนักปราชญ์ร่วมสมัยของไทย ได้นิยามความสุขว่าหมายถึง “ภาวะปราศจาก
ทกุ ข์ ปราศจากปัญหา (และ)มคี วามปลอดภัย” (อภิญวัฒน์ โพธ์ิสาน, 2553 : 30) สว่ น มาตเิ ยอ ริการ์ (Matthieu
Ricard, ค.ศ. 1946-ปัจจุบัน) ให้นิยามว่า ความสุขหมายถึง “ความเบิกบานอย่างลึกซ้ึงที่เกิดจากจิตท่ีมีสุขภาวะดี
ย่งิ ท่ีไมใ่ ช่แค่ความเพลิดเพลิน ไม่ใชค่ วามรู้สกึ หรืออารมณ์ชว่ั ครู่ชั่วยาม แต่เป็นภาวการณ์ดารงที่ดที ่ีสุด นอกจากน้ี
ความสุขยังเป็นวิถีการตีความโลกได้ด้วย ...ความสุขเป็นภาวะความอิ่มเอิบกับภายใน ไม่ใช่การตอบสนองความ
ตอ้ งการภายนอกทีต่ อ้ งการกันอยา่ งไมจ่ บสิ้น” (มาตเิ ยอ ริการ,์ 2552 : 43-57)

ดาไล ลามะ (Dalai Lama, ค.ศ.1936-ปัจจุบัน) ผู้นาทางจิตวิญญาณและผู้นาสูงสุดของชาวธิเบต ให้
แง่คิดต่อเร่ืองความสุขว่า เราต้องแยกให้ออกระหว่างความสุข (Happiness) กับความสาราญ (Pleasure) ความ
สาราญเป็นเพียงอารมณ์ความรู้สึกช่ัวคราวที่ดูคล้ายกับความสุข แต่ไม่มีความหมายที่ลึกซึ้งและไม่ย่ังยืน ส่วน
ความสุขนั้นจะม่ันคงและอย่ยู ืนยาวกวา่ ความสาราญ ทั้งยังมีพน้ื ฐานทเ่ี ป็นความหมายและสามารถรู้สึกไดแ้ ม้ในยาม
ท่ีมีสถานการณ์ภายนอกเป็นด้านลบ ซึ่งปัจจัยสาคัญของความสุขก็คือ สภาพทางจิตใจ (State of mind) ท่ีมีวินัย
และสงบสุข รู้จักพอใจกับสิ่งท่ีมีอยู่ เป็นอิสระจากเหตุปัจจัยภายนอก ท่านดาไล ลามะ ได้ให้แง่คิดเพ่ิมเติมอีกว่า
“การได้มาซ่ึงความสุข ไม่จาเป็นต้องข้ึนอยู่กับเหตุการณ์ แต่หากพัฒนาจิตใจให้สงบและมีเมตตากรุณา เราจะ
สามารถสร้างความสุขได้เกอื บตลอดเวลา” (วิทยากร เชียงกูล, 2551 : 11-14)

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์ความสุข ณัฐวุฒิ เผ่าทวี (พ.ศ. 2521-ปัจจุบัน) ศาสตราจารย์ด้าน
พฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอร์ริก (University of Warwick) ประเทศอังกฤษ เห็นว่า การนิยามความสุข
สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 มิตใิ หญ่ๆ (ณฐั วุฒิ เผา่ ทวี, 2564 : 131-132) คอื

1) ความสุขแบบระยะสั้น หรือที่เรียกกันว่า อารมณ์และความรู้สึกท่ีเราประสบพบเจอในแต่ละ
วัน (Affective Well-being) ตัวแปรที่สาคัญของความสุขระยะสั้นก็คือ เวลา ส่ิงนี้เป็นปัจจัยส่งผลซ่ึงให้มีได้ทั้ง
อารมณท์ ่ีดีและไมด่ ี สามารถปรบั ตัวขน้ึ ลงไดต้ ามเวลา ขน้ึ อย่กู ับวา่ เรากาลงั ใชเ้ วลาทาอะไรอยู่ในขณะนั้น

2) ความสุขแบบระยะยาว หรือท่ีเรียกกันว่า ความพึงพอในชีวิต (Life-satisfaction) ความสุข
ในมิตินี้มักจะข้ึนตรงกับการประเมินของตัวเองว่า เรามีสิ่งท่ีต้องการหรือส่ิงท่ีคาดหวังในชีวิตมากน้อยเพียงไร เช่น
หน้าท่ีการงาน หรือชีวิตคู่ ฯลฯ ความพึงพอใจน้ีมีความสัมพันธ์หลักๆ กับเป้าหมายในชีวิตและความเป็นจริงที่เรา
เจอ เช่น ถ้ามีความคาดหวังอะไรไว้มากๆ แล้วไม่เป็นไปตามท่ีหวังเอาไว้ ความพึงพอใจของเราก็จะลดน้อยลง
กวา่ เดิม

3) ความสุขแบบระยะยาวมาก หรือท่ีเรียกกันว่า ความหมายและวัตถุประสงค์ของชีวิต
(Meanings and Purposes) ความหมายชีวิต (Meaningfulness) คือ การที่เรารู้สึกว่ากาลังใช้ชีวิตของตนเอง
อย่างมีคุณค่าหรือไม่ เพราะว่าก่อนท่ีชวี ิตของคนเราจะส้ินสุด แทบทุกคนมักมองย้อนกลับไปในอดีตเพื่อจะบอกกับ
ตนเองได้ว่า ชีวติ ของเรามีความหมายและเราไมไ่ ดใ้ ชช้ ีวติ อยา่ งสญู เปลา่

ดังนน้ั เป้าหมายชีวิตของคนเราคือการสร้างสมดลุ (Balance) ระหว่างมติ ขิ องความสุขทั้งสามนั่นเอง

30

2. ความสุขภายนอกตัวกับความสขุ ภายในตัว
เราอาจแบง่ ลกั ษณะของความสุขออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท (ปรชี า ชา้ งขวัญยืน, 2549 : 76-77) ดังน้ี

2.1 ความสุขภายนอก (External Happiness)
ความสุขภายนอก คอื ความสขุ ทางกายหรือความสขุ ทางประสาทสัมผสั ความสุขชนดิ นีเ้ กิดจาก ส่ิง
ภายนอกตัวคือวัตถุแห่งประสาทสมั ผัส (object of sensation) มาสัมผสั ประสาทรับสมั ผัสของเรา ทาใหเ้ กิดความ
พึงพอใจ เช่น ความเอร็ดอร่อยมาจากประสาทสัมผัสของล้ินที่ได้รับรสชาติของอาหาร เป็นความสุขที่เกิดขึ้นเป็น
ครั้งๆ เมื่อเกดิ ความพึงพอใจก็จดจาและแสวงหาใหม่ในปริมาณท่ีมากข้ึนและมีรูปแบบที่ซับซ้อนประณีต หรือพลิก
แพลงมากย่ิงข้ึนๆ เป็นการกระตุ้นเร้าให้จิตอยากและด้ินรนหาความสุขเช่นนั้นอยู่ตลอดไป ผู้คนทั่วไปพยายาม
แก่งแย่งแข่งขัน แสวงหาโอกาสทางวัตถุ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ก็เพื่อจะได้เสพบริโภคความสุขแบบนี้ให้
ไดม้ ากทสี่ ดุ แต่ผ้ทู ไ่ี ม่เหน็ ด้วยกบั การแสวงหาความสขุ ทางกายก็อาจมีขอ้ โตแ้ ย้ง เช่น
1. ความสุขทางกายมิได้เป็นความสุขชนิดเดียวที่มนุษย์ควรแสวงหา ยังมีความสุขชนิดอื่น เช่น ความสุข
จากการได้ช่ืนชมงานศิลปะ ความสุขจากการทาความดี อาทิ การเสียสละเพื่อส่วนรวม ดังน้ัน การมีความสุขทาง
กายกบั การเป็นคนดีหรอื การเป็นคนมคี วามสขุ ท่แี ท้เป็นคนละเร่อื งกนั
2. ความสุขทางกายเป็นสงิ่ จากัดมีการได้มาและการเสียไป การได้มาของสงิ่ ต่างๆ แม้ทาให้มีความสขุ แต่ก็
อาจกลายเป็นความห่วงกังวลว่าส่ิงที่ได้มานั้นจะต้องเส่ือมหรือสูญเสียไป หรือมีความกลัวต่างๆ นานา เม่ือคิดถึง
อนาคตของสิ่งอันเป็นที่รักซ่ึงตนครอบครองอยู่และรู้ว่าไม่อาจดารงอยู่อย่างถาวรได้ นี้เป็นส่ิงท่ีเราควบคุ มไม่ได้
เพราะความสขุ เหล่านน้ั ลว้ นขึน้ อยู่กับปจั จยั อื่นๆ ด้วย ไมไ่ ดข้ ้นึ เฉพาะกับตัวเรา
3. การแสวงหาความสุขทางกายซง่ึ เป็นของช่ัวคราว ทาใหต้ ้องแสวงหาอยู่เสมอเพ่ือทดแทนของเดิม และ
เพิ่มส่ิงที่ใหม่กว่าประณีตกว่า ความต้องการจึงเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีวันพอ ชีวิตจึงต้องดิ้นรนแสวงหาอยู่ตลอดเวลา
ต้องคิดต่อสู้แย่งชิงกับคนอื่นๆ ทาให้เกิดข้อแย้งตัวเอง เช่น ย่ิงแสวงหาความสุขมากย่ิงเหน็ดเหน่ือยทุกข์ยากมาก
และหากไมม่ ีคุณธรรมอนื่ เช่น ความร้จู กั ประมาณ หรอื ความพอเหมาะพอดีในการแสวงหากจ็ ะเกดิ ทุกขม์ ากกวา่ สุข
4. ความปรารถนาความสุขทางกายเป็นความอยาก ซึ่งความอยากไม่มีที่ส้ินสุด บางทีกลับมีแต่จะเพิ่ม
ปริมาณ คุณภาพ ความซับซ้อน และความแปลกใหม่เรื่อยไป เม่ือหาได้ตามความอยากก็อยากต่อไปอีก แต่เมื่อหา
ไม่ได้กก็ ลายเปน็ ความทกุ ข์และพยามดิน้ รนแสวงหาให้ไดม้ า ซ่งึ บางครง้ั กลบั ทาใหต้ นเองต้องเดอื ดร้อน

2.2 ความสขุ ภายในตวั (Internal Happiness)
ความสุขอยู่ท่ีร่างกายหรือสุขอยู่ที่จิตใจ สาหรับคาถามนี้ถ้าเป็นพวกสุขนิยมจะตอบว่าสุขอยู่ท่ีกาย
กล่าวคือ ถ้าเราสขุ กายใจเราก็สุขด้วย ถ้ากายเราทุกข์ใจเราก็จะทุกข์ไปดว้ ย เพราะจิตใจขึ้นอยู่กับกาย ซ่ึงหาก ลอง
คิดกลับกัน เป็นไปได้หรือไมว่ ่าคนทรี่ ่ารวยมที รัพย์สมบตั ิมากมายกม็ คี วามทกุ ขไ์ ดเ้ ช่นกัน เช่น กลวั ราคาหนุ้ ตก กลัว
เศรษฐกิจผันผวน กลัวกิจการท่ีดาเนินอยู่จะถูกกระทบด้วยปัจจัยด้านลบ ฯลฯ ความสุขทางวัตถุท่ีอยู่แวดล้อม
รอบตัวก็ไม่อาจทาให้ปัญหาทางใจ เช่น ความเครียด ความกังวล ความคับข้องใจ ความกลัว ความโกรธ ความ
ทอ้ แท้ ฯลฯ หมดไปได้ ซ่ึงความทุกข์ทางใจเหล่าน้ลี ้วนมาจากเรอื่ งทางวตั ถุ ที่ผ้แู สวงหาไมอ่ าจควบคุมให้อยู่ในวิสัย
ที่ตนต้องการ ซ้ายังต้องแก่งแย่งแข่งขันกับผู้อ่ืน หรือกระทั่งต้องทาทุจริตต่างๆ ที่นาความเดือดร้อนมาสู่ตนและ
ครอบครัวตามมาในภายหลงั

31

ความสุขทางวัตถุถ้าแสวงหาตามความจาเป็นเพ่ือการบริโภค รู้จักเพ่ิมพูนเพื่อเผ่ือแผ่แก่ผูอ้ ่ืนและแก่สังคม
และเป็นการแสวงหาโดยสุจริตแล้วก็จะนามาซึ่งประโยชน์ หากความสุขทางวัตถุเป็นความสุขต่อร่างกายภายนอก
ยังมีความสุขอีกชนิดหน่ึงเรียกว่า ความสุขภายใน ซึ่งเป็นความสุขท่ีไม่ต้องเชื่อมโยงกับส่ิงภายนอกท่ีเปล่ียนแปลง
อันทาใหเ้ กิดความสุขบ้างทุกข์บา้ งตามสภาพทเี่ ปลี่ยนแปลงไป ความสุขนไ้ี มจ่ าเป็นตอ้ งมาจากการรับความรู้สึกทาง
ประสาทสัมผัส เช่น ความสุขจากความสงบ หรือความสุขจากการพ้นทุกข์ซ่ึงถือว่าความสุขที่แท้ เป็นควา มสุข
ภายในอันเกิดจากการรู้แจ้งต่อความเป็นจริง ความสุขเหล่านี้ในแนวทางศาสนาหรือลัทธิความเช่ืออาจมีชื่อเรียก
ต่างๆ กัน เช่น สภาวะพระเจ้า อาณาจักรพระเจ้า ไกวัลย์ นิพพาน วิมุตติ ฯลฯ ถือเป็นส่ิงท่ีช่วยเต็มเติมความ
ต้องการทางดา้ นจติ วิญญาณ (Spiritual Needs) ของมนษุ ย์ใหเ้ ป็นสขุ

การทาความเข้าใจแก่นแท้ของความสุขให้กระจ่างชัด อาจจะเร่ิมต้นจากการศึกษาความคิดทางปรัชญา
เสียก่อนว่า นักปรัชญาในอดีตนับต้ังแต่ยุคกรีกได้เร่ิมขบคิดปัญหาเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตซ่ึงจะนาไปสู่
การมชี วี ิตที่ดแี ละมีความสขุ ได้อย่างไร

3. ความสุขในทัศนะปรชั ญา
3.1 ความสขุ ในทัศนะของปรัชญากรกี
นกั ปรัชญากรีกคนสาคัญๆ อย่างโสเครตีส เพลโต และอรสิ โตเตลิ ได่ให้ทัศนะตรงกันว่า ความสุขท่ีแทจ้ ริง

น้ัน ควรเป็นความสุขภายในตามศักยภาพโดยธรรมชาติของมนุษย์ กล่าวคือ มนุษย์น้ันมีส่วนท่ีเหมือนกับส่ิงมีชีวิต
อนื่ และก็มสี ่วนท่ีแตกต่างกับส่ิงมีชวี ติ อน่ื ๆ ความสขุ ของมนุษย์จึงควรจะแตกตา่ งไปจากพืชและสัตวเ์ พราะศักยภาพ
ทแ่ี ตกตา่ งนี้ พวกเขาจึงลงความเหน็ ว่า ชีวติ ท่ีมีความสุขกค็ ือ ชีวติ แหง่ ปัญญา

โซเครตีส (Socrates, 469-399 B.C.) เห็นว่า ไม่มีอะไรสาคัญไปกว่าการพัฒนาตนเอง ดังนั้น
ก่อนที่จะแสวงหาความรู้อ่ืนๆ มนุษย์ต้องรู้จักตัวเอง (Know Themself) เสียก่อน นอกจากรู้จักตนเองแล้วยังต้อง
สารวจตนเองด้วย ท่ีคาพูดที่ว่า “ชีวิตที่ไม่ได้มีการตรวจสอบก็จะอยู่อย่างไร้ค่า” (The unexamined life is not
worth living.) โซเครตสี เช่ือวา่ คุณลกั ษณะพิเศษซ่ึงเป็นแก่นแท้ของมนุษย์ก็คอื “ปัญญา” และปัญญาจะเป็นสิ่งที่
นามนุษย์ไปสู่ความรู้และความจริงอันเป็นสากล หรือ ความรู้เป็นความดีสูงสุด (Knowledge is the highest
good) โดยความรู้ดังกล่าวจะต้องเป็นสิ่งเดียวกับคุณธรรม (Knowledge is virtue) เพราะความรู้ที่แท้จะต้อง
สามารถทาใหค้ นทาดีหรือเป็นคนดไี ด้ เมื่อคนมคี วามคิดชอบหรือคิดถกู ตอ้ ง การกระทาก็ต้องชอบธรรมหรือถกู ต้อง
ตามไปด้วย โซเครตีสย้าว่า “ไม่มีใครเป็นคนเลวโดยเจตนา (หรือโดยสมัครใจ)” เพราะธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์
นั้นดี เพียงแต่มนุษย์เราไม่รู้ว่าสิ่งใดชั่วหรือเลวร้าย ซึ่งถ้าเขารู้เขาจะไม่กระทาสิ่งนั้นเป็นอันขาด การท่ียังมีคน
กระทาในสิ่งที่เลวร้ายอยู่ก็เพราะเขาไม่รู้ ความรู้มีอยู่เพียงชนิดเดียว คือชนิดท่ีรู้แล้วจะต้องทาให้คนกระทาในสิ่งท่ี
ถกู ต้องดีงามเท่าน้ัน สาหรับโซเครตีสนนั้ คุณธรรมและความสุขแท้จงึ เป็นส่ิงเดียวกัน ไม่มใี ครสามารถมีความสขุ ได้
อย่างแท้จริงถ้าหากเขาไม่รู้จักคุณธรรมท่ีสาคัญอันได้แก่ ความรู้จักพอประมาณ (temperance) หรือความ
พอเหมาะพอควร ความกล้าหาญ (courage) ความฉลาด (wisdom) และความยุติธรรม (justice) (จารุณี
วงศ์ละคร, 2550 : 103-104)

เพลโต (Plato, 428-348 B.C.) ใหท้ ัศนะว่า แม้มนุษย์แต่ละคนจะแตกต่างกนั แต่หากแบ่งมนุษย์
เป็นประเภทตามธรรมชาติซง่ึ เปน็ องค์ประกอบส่วนใหญ่ของคนน้ัน จะสามารถแบง่ วิญญาณของมนุษยอ์ อกไดเ้ ป็น 3
ภาค คือ ภาคตัณหา (appetitive soul) ภาคน้าใจ (spirited soul) และ ภาคเหตุผล (ration soul) มนุษย์แต่ละ

32

คนมีวิญญาณท้ัง 3 ภาคอยใู่ นตัวแต่จะมีวิญญาณภาคหนึ่งท่ีมมี ากกว่าภาคอ่ืนๆ จึงทาให้มนษุ ย์มีอยู่ 3 ประเภท ตาม
ธรรมชาติแห่งวิญญาณท่ีตนมีอยู่มากท่ีสุด กล่าวคือ ผู้ท่ีมีวิญญาณภาคตัณหามากกว่าภาคอ่ืนจะมีความปรารถนา
สูงสุดคือการบริโภคความสุขทางกาย ความสุขทางกายจึงเป็นจุดหมายชีวิตของคนพวกนี้ ส่วนผู้ท่ีมีวิญญาณภาค
น้าใจเหนือวิญญาณภาคอื่นๆ จะเป็นคนท่รี กั ช่อื เสียงเกยี รตยิ ศ เพราะเป็นพวกที่มีอารมณค์ วามรสู้ ึกท่รี ุนแรง คนกลุ่ม
น้จี ะให้ความสาคัญแกเ่ กียรติมากกว่าเงินทอง ความสุขของพวกเขาจึงได้แก่เกียรติยศช่ือเสียง สุดท้าย ผู้ท่ีมีวิญญาณ
ภาคเหตุผลสูงจะเป็นคนทีร่ ักความจริงความถูกต้อง ความเป็นเหตเุ ป็นผล คนพวกนี้มคี วามสุขกับการแสวงหาความรู้
การพฒั นาสติปญั ญา การได้พัฒนาสติปญั ญาจึงเปน็ ความสุขของคนกลุ่มนี้

เพลโตยังมีข้อเสนออีกว่า รัฐท่ีดีก็คือรัฐท่ีทาให้คนแต่ละประเภทได้รับความสุขชนิดท่ีเขาต้องการ
อย่างพอดี สรุปได้ว่า ความสุขตามทัศนะของเพลโตจึงมที ั้งท่เี ปน็ ความสขุ ทางกาย ทางอารมณท์ ีส่ ูงส่งและทางปัญญา
ตามสภาวะอนั เปน็ ธรรมชาตขิ องคนแต่ละคน (ปรีชา ช้างขวญั ยืน, 2549 : 79-80)

อริสโตเติล (Aristotle, 384-322 B.C.) ปัญหาสาคัญทางจริยศาสตร์ของอริสโตเติล คือการหา
คาตอบว่า “ชีวิตท่ีดีคืออะไร” และ “เราควรจะทาอย่างไรจึงจะมีชีวิตท่ีดี” ซึ่งแนวคิดเหล่าน้ีถูกนาเสนออยู่ในงาน
“จริยธรรมนิโคมาเคียน” (The Nicomachean Ethics) ที่ถือว่าเป็นหนังสือจริยศาสตร์เล่มแรกของตะวันตกและ
ยงั คงมีอิทธิพลต่อแนวคิดจริยศาสตร์ในปัจจุบัน ใน The Nicomachean Ethics มีแนวคดิ สาคญั คือ “ยูไดโมเนีย”
(eudaimonia) ซึง่ ตามรากศัพท์นั้น eudaimonia เปน็ คาในภาษากรีก มกั แปลวา่ ความสุข ความสขุ สมบูรณ์ หรือ
ชีวิตที่ดี (Well-being) ขณะท่ีนักวิชาการบางท่านอธิบายว่า eudaimonia แปลตรงตัวได้ว่า “ได้รับพรจากเทพ”
เพราะตามความคิดของอริสโตเติล การได้รับพรจากเทพ เกิดจากการท่ีบุคคลเข้าใจแจ่มแจ้งถึงธรรมชาติที่แท้จริง
ของตนเอง และใช้ชีวิตสอดคล้องกับธรรมชาติที่แท้จริงน้ัน โดยธรรมชาติท่ีแท้จริงของมนุษย์ได้แก่ การเป็นผู้มี
เหตุผล ดังน้ัน ผู้ที่ใช้ชีวิตสอดคล้องกับความมีเหตุผลก็จะเป็นผู้ที่มีความสุข และอริสโตเติลถือว่านี่เป็นเป้าหมาย
สงู สดุ ของชีวิต

ยไู ดโมเนีย หรือ ชีวิตท่ีดีในทัศนะของอริสโตเติลนั้นสัมพันธ์กับ ความดี (goodness) ซึ่งเก่ียวโยง
กับเป้าหมายอย่างแยกกันไม่ออก สิ่งดีคือการที่ส่ิงนั้นๆ มีความเป็นเลิศ (arete) ซึ่งต้องโยงกับหน้าท่ี (function)
ของส่ิงนัน้ ๆ และในท้ายท่ีสุดต้องสัมพันธ์กับสารัตถะ (essence) ของส่ิงน้ันด้วย (ศุภมิตร เขมาลลี ากุล, 2541 : 8)
ตัวอย่างเช่น การเป็นมีดที่ดี คือการท่ีมีดนั้นๆ มีลักษณะสอดคล้องกับความเป็นมีดอย่างสมบูรณ์ เช่น มีความคม
แข็งแรง ทนทาน สามารถปฏบิ ตั ิตามหน้าทข่ี องมดี ไดเ้ ปน็ อย่างดี ดังนัน้ สารัตถะของมีดหรือ “ความดี” ของมีด คือ
อะไรก็ตามที่ทาให้มีดทาหน้าที่ของมีดได้อย่างสมบูรณ์สูงสุด เช่น เดียวกัน “ความดี” ของมนุษย์ก็คืออะไรก็ตามท่ี
ทาให้มนุษย์ทาหน้าท่ีหรือมีความเป็นมนุษย์อย่างสูงสุด ซึ่งอริสโตเติลเห็นว่า “มนุษย์เป็นส่ิงมีชีวิตที่มีเหตุผล”
ฉะน้นั มนุษย์ท่ีดีคอื ผทู้ ี่ต้องสามารถปฏิบัติตนตามหน้าที่และสารัตถะของมนษุ ยซ์ ึ่งก็ได้แกค่ วามมีเหตุผล หรือเป็นผู้
ที่แสวงหาความเป็นเลิศในกิจกรรมทางปัญญาใน The Nicomachean Ethics บรรพท่ี 1 บทที่ 8 อรสิ โตเติลเขียน
ว่า “ความสุขจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สูงส่งท่ีสุด และให้ความร่ืนรมย์ท่ีสุด” (ศุภมิตร เขมาลีลากุล, 2541 : 21)
จุดมุ่งหมายปลายทางสูงสุดของมนุษย์อยู่ท่ีความดี และ ความดกี ็คือความสขุ การท่ีมนุษย์แสวงหาความดีเท่ากับว่า
เขากแ็ สวงหาความสุข ซ่ึงเปน็ จดุ มุ่งหมายสงู สุดของชวี ิต ความดแี ละความสขุ นั้นเป็นเรอ่ื งเดียวกนั

ความสุขในจึงไม่ได้หมายถึง ความรื่นรมย์ หรือความสาราญ (pleasure) เท่าน้ัน แต่คือการใช้
ชีวิตสอดคล้องกับความเป็นเลิศของมนุษย์ก็คือการมีปัญญา อริสโตเติลวิจารณ์ว่า ความสาราญไม่ใช่ความสุขขอ ง
มนษุ ยเ์ ท่าน้ัน สัตว์ก็มคี วามสขุ สาราญได้เชน่ กัน หากมนุษย์มีชีวิตอยเู่ พียงเพอื่ ตอบสนองความสขุ ความต้องการทาง

33

ผัสสะ มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ คนท่ัวไปมักจะมองว่าความร่ืนรมย์ ความสนุกเพลิดเพลิน ทรัพย์สินเงินทอง
และชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ทาให้มนุษย์มีความสุข แต่สาหรับอริสโตเติล สิ่งเหล่าน้ีล้วนเป็นปัจจัยภายนอกท่ีเราควบคุม
ไม่ได้ และไม่ใช่ส่ิงที่มนุษย์แสวงหาเพื่อเป็นเป้าหมายในตัวมันเอง ชีวิตที่เต็มไปด้วยความรื่นรมย์อย่างเดียวย่อม
กลายเป็นชีวิตท่ีไร้แก่นสารและห่างไกลจากสารัตถะของความเป็นมนุษย์ซ่ึงได้แก่ การรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล เงิน
ทองและทรัพย์สินนั้นเป็นเพียงปัจจัยท่ีจะเอื้ออานวยให้มีชีวิตท่ีดี การมที รัพย์สินเงินทองก็ยังไม่ใช่ชีวิตท่ีมีความสุข
เพราะเมื่อไดเ้ งินทองเหลา่ น้ันแลว้ มาก็ยังเป็นปัญหาอยวู่ ่าจะนามาใช้อย่างไรจึงจะทาให้เป็นชวี ิตท่ดี ีมีความสุข คนท่ี
ไร้สติปัญญาย่อมใช้เงินทองเหล่านั้นไปอย่างสุรุ่ยสุร่าย ส่วนชื่อเสียงเกียรติยศก็ไม่ใช่สิ่งท่ีมนุษย์แสวงหาเพ่ือตัวมัน
เอง เพราะต้องรอให้คนมายกย่องสรรเสริญจึงจะมีความสุข หากผู้คนไม่ยกย่องเช่นเคยก็จะกลายเป็นทุกข์ ดังน้ัน
สง่ิ เปน็ ความสุขจะตอ้ งมคี ณุ ค่าดว้ ยตัวมนั เอง

ชีวิตท่ีจะมีความสุขคือชีวิตที่เดินตามหลักคุณธรรม คนท่ีมีความสุขคือคนท่ีดาเนินชีวิตด้วย
คุณธรรมที่สมบูรณ์ เพราะ “ความสุขคือกิจกรรมของวิญญาณท่ีสอดคล้องกับคุณธรรมท่ีสมบูรณ์ ความสุขเป็น
ความรู้สึกของวิญญาณไม่ใช่ร่างกาย วิญญาณเป็นแบบของมนุษย์ที่ทาให้มนุษย์ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย ดังน้ัน
ความสุขของมนุษย์จึงเป็นความสุขท่ีเกิดกบั วิญญาณ และวิญญาณจะมคี วามสุขกต็ ่อเม่ือได้คิดและดาเนินชวี ิตอย่าง
มีคุณธรรม” (พระธรรมโกศาจารย์, 2552 : 277) เน่ืองจากการใช้เหตุผลเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มนุษย์ในฐานะ
เป็น “สัตว์ท่ีมเี หตุผล” เหตุผลนับว่าเปน็ ความสามารถสูงสุดของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ การใช้เหตุผลในการคิด
คานึงเชิงปรัชญา ถอื เป็นคณุ ธรรมข้นั สูงสุดที่นาความสุขทีส่ ุดมาให้แกม่ นุษย์ สรุปได้ว่า การจะมีความสุขหรอื ชีวิตที่
ดใี นความคิดของอรสิ โตเติลเป็นกิจกรรม (activity) ทไี่ มห่ ยุดนิ่ง ชวี ิตทม่ี ีคา่ คอื ชีวิตที่มีความสขุ จากการพัฒนาและ
ใช้ศกั ยภาพต่างๆ ที่มอี ยู่ในตนเองอย่างสงู สดุ

3.2 นกั ปรัชญาสขุ นิยม
เอพิคิวรัส นักปรัชญาที่วางระบบความคิดเรื่องความสุขคนสาคัญอีกคนหน่ึงคือ “เอพิคิวรัส”

(Epicurus, 341-270 B.C.) ผู้เป็นเจ้าลัทธิเอพิคิวเรียน (Epicurianism) ซ่ึงมีแนวทางปรัชญาในกลุ่มสุขนิยม คน
ทว่ั ไปมักจะรู้จกั และคุ้นเคยกับ เอพิคิวรสั ในฐานะที่เป็นที่มาของคาวา่ “Epicurean” ในภาษาอังกฤษ สว่ นใหญ่มัก
แปลคาน้ีว่าหมายถึง คนเจ้าสาราญ, คนชอบสนุก, คนฟุ้งเฟ้อ, ผู้มีรสนิยมสูง หรือในแง่คาคุณศัพท์ว่า “ซ่ึงรู้จัก
เสพสุขกบั ชีวิต” หรือ “ซ่ึงอุทิศให้กับความหรูหราและพิถีพถิ ัน โดยเฉพาะการกิน” เอพคิ ิวรัสจงึ มักจะเกี่ยวข้องกับ
วิถีชีวิตท่ีหรูหรามีระดับ ซึ่งน่าเสียดายที่ปรัชญาของเขาถูกสังคมเข้าใจผิด ถูกตัดทอนจนเหลือให้เห็นเพียงมิติของ
ความสขุ แบบฉาบฉวยในปจั จบุ ัน หากลองศึกษาปรชั ญาของเอพิควิ รัสจริงๆ จะพบวา่ เขาเป็นผู้เชื่อม่ันในความสุขที่
ยัง่ ยนื ไม่ใชค่ วามสขุ ทใ่ี หค้ วามเพลดิ เพลนิ แคช่ ัว่ ครชู่ ัว่ ยามเท่าน้นั (สฤณี อาชวานนั ทกลุ , 2551 : 39-40)

ปรัชญาของเอพิคิวรัสมีพ้ืนฐานทางปรัชญาเป็นพวกวัตถุนิยม มนุษย์ประกอบมาจากอะตอม
วิญญาณเป็นสสาร เม่ือตายแล้วชีวิตก็จบส้ิน ไม่มีโลกหน้าหรือชีวิตหลังความตาย ฉะน้ัน “จงกิน จงดื่ม และหา
ความสาราญเสีย เพราะพรุ่งนี้เราก็ตาย” แม้คากล่าวเช่นนี้จะทาให้มีผู้เข้าใจผิดว่า เอพิคิวรัสสอนให้มนุษย์มัวเมา
กับการเสพสขุ ซ่ึงความจรงิ แลว้ แมเ้ ขาจะถือวา่ ไม่มีอะไรดีไปกว่าความสุข แตม่ นุษย์ก็ไม่ควรลมุ่ หลงในความสุขจน
ต้องกลายเป็นความทุกข์ตามมา เอพคิ ิวรัสสอนให้แสวงหาความสุขบนทางสายกลางและให้ความสาคญั กับความสุข
ทางใจมากกว่าความสุขทางกาย เพราะความสุขทางใจบริสุทธิ์กว่า ส่วนความสุขทางกายมักเจือปนด้วยความทุกข์
จึงไม่บรสิ ุทธิ์ (สุจิตา อ่อนค้อม, 2545 : 84)

34

เอพิคิวรัสยืนยันว่า ความสุข (Happiness) เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต ทุกชีวิตต้องการ
ความสุข เขากล่าวว่า “เรายืนยันว่าความสุขสาราญเป็นจุดเร่ิมต้นและจุดหมายปลายทางของการดาเนินชีวิตที่มี
ความสุข เพราะเราตระหนักว่า ความสาราญนี้เป็นความดีอันดับหนึ่งที่ติดตัวเรามา และเราจะเลือกทาหรือไม่ทา
อะไร ก็เพราะอาศยั ความสุขสาราญเปน็ เกณฑ์ในการตัดสินใจ” (พระธรรมโกศาจารย์, 2552 : 312) ความสุขของ
เอพิคิวรัสมีอยู่ 2 อย่างคือ ความสุขทางผัสสะอันเป็นความสุขทางกาย และความสุขท่ีเกิดจากความสงบอันเป็น
ความสุขทางใจ มนุษยค์ วรดาเนนิ ทางสายกลางในการแสวงหาความสุข ไม่หมกมนุ่ กบั ความสขุ ทางผสั สะมากเกนิ ไป
ให้เน้นความสุขสงบทางใจ (Ataraxia) เป็นสาคัญ ส่วนคุณธรรมน้ันก็ไม่ใช่ความดีในตัวมันเอง แต่คุณธรรมเป็น
วิธีการในการแสวงหาความสุข กลา่ วคือ มนุษยค์ วรแสวงหาความสขุ ดว้ ยวธิ กี ารที่ชอบธรรม

ความสุขที่มนุษย์ควรแสวงหาจึงไม่ใช่ความสุขแบบชั่วครู่ช่ัวยาม แต่ต้องความสุขที่ย่ังยืนยาวนานอย่าง
ถาวร ท่ีสาคัญเราควรใช้ความรอบคอบในการแสวงหาความสขุ “ความสุขทกุ อย่างเป็นความดีในตัวเอง แต่ไม่ใช่ว่า
ความสุขทุกอย่างเป็นเร่ืองท่ีควรแสวงหา ในทานองเดียวกัน ความทุกข์ทุกอย่างเป็นความชั่ว แต่ก็ใช่ว่าความทุกข์
ทุกชนิดเป็นเร่ืองท่ีควรหลีกเลี่ยง” (พระธรรมโกศาจารย์, 2552 : 313) ความสุขบางอย่างอาจเป็นเหตุนามาซ่ึง
ความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ และความทุกข์บางอย่างอาจจะก่อให้เกิดความสุขที่ยิ่งใหญ่ตามมาในภายหลัง ตัวอย่างเช่น
บางคนมีความสุขกับการสูบบุหรี่แต่ถ้าสูบบุหร่ีจัด ในระยะยาวก็จะทาลายสุขภาพหรือนามาซึ่งโรคร้ายแรงตามมา
หรอื นกั กีฬาบางคนตอ้ งอดทนฝึกซอ้ มอย่างหนัก เพื่อผลลัพธ์คือการได้ชัยชนะและรางวัลในการแข่งขัน เหตุน้ี เราก็
ควรเลือกความลาบากมากกว่าความสุขสบาย แม้ว่าความทุกข์จะเป็นส่ิงไมด่ ีและความสุขเป็นสงิ่ ทด่ี ี แตบ่ างคร้ังเรา
ต้องยอมทนทุกข์เฉพาะหน้า หรือสละความสุขเล็กน้อยเพ่ือหวังผลเป็นความสุขยิ่งใหญ่ในภายหน้า แนวทางที่ดีใน
การบรรลุความสขุ ที่แท้จริงจงึ ไม่ใช่การเสพสุขแบบสุดขว้ั ไร้ขีดจากัดและ การเสพสุขแบบช่ัวครั้งชัว่ คราวท่ีไม่ยั่งยืน
จะนามาซง่ึ ความทุกขใ์ นภายหลงั

แนวทางในการแสวงหาความสขุ ของเอพคิ วิ รัส
แนวทางในการแสวงหาความสุขที่ดีท่ีสุดและยั่งยืนที่สุดตามทัศนะของเอพิคิวรัส (สฤณี อา-
ชวานันทกุล, 2551 : 42-43) คือการมี “ความต้องการตามธรรมชาติท่ีจาเป็น” (natural and necessary)
พร้อมมูล ซึ่งจะประกอบด้วย ปัจจัยส่ี มิตรสหาย เสรีภาพ และความคิดอ่าน (wisdom) ท่ีส่วนใหญ่เป็นความ
ต้องการทางใจ ที่ไม่ใช้เงินซ้ือ ต่างจาก “ความต้องการตามธรรมชาติทีไ่ ม่จาเป็น” (natural but unnecessary)
ซ่ึงส่วนใหญ่เปน็ ความต้องการทางวัตถุ เช่น บา้ นหลังใหญ่ คนรับใช้ งานเลี้ยงหรูหรา ฯลฯ ส่วน “ความต้องการท่ี
ท้ังไม่เป็นธรรมชาติและไม่จาเป็น” (unnatural and unnecessary) ในกระบวนทัศน์ของเอพิคิวรสั น้ันสว่ นใหญ่
เป็นกิเลสท่เี ปน็ นามธรรม อาทิเช่น ชื่อเสียง เกียรตยิ ศ อานาจ ความมหี น้ามีตาในสงั คม ฯลฯ คาถามสาคญั ประการ
ถัดมาคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าส่ิงต้องการทาแต่ละอย่างน้ัน เป็น “ความต้องการตามธรรมชาติท่ีจาเป็น”เน่ืองจาก
แตล่ ะคนน่าจะมีความตอ้ งการที่แตกต่างกัน
กล่าวได้ว่า แนวปรัชญาความสุขของเอพิคิวรัสอาจเรียกได้ว่าเป็น “การใช้ชีวิตอย่างพอประมาณ”
(moderate life) ที่จะนาไปสู่ความสุขอันยั่งยืนในบ้ันปลาย ในแง่น้ีความคิดของเอพิคิวรัสดูจะมีส่วนคล้ายกับ
แนวคดิ เร่ืองทางสายกลางในพระพทุ ธศาสนาอยูไ่ ม่นอ้ ยทีเดียว เพียงแต่ทางสายกลางในทัศนะของเอพคิ ิวรสั เป็นข้อ
เตือนใจให้มนุษย์รอบคอบในการแสวงหาความสุข ส่วนทางสายกลางในพุทธศาสนาน้ันเป็นข้อปฏิบัติเพ่ือนาไปสู่
จดุ หมายสูงสุดคือ การหลุดพ้นจากทุกขท์ ้ังปวง

35

3.2 ความสุขในทศั นะของปรชั ญาประโยชน์นิยม
เจอเรมี เบนแธม (Jeremy Bentham, ค.ศ. 1748-1832) เบนแธมเป็นนักปรัชญาศีลธรรมชาวอังกฤษ ผู้
ก่อต้ังลัทธิประโยชน์นิยม (Utilitarianism) มีแนวคิดว่าความสุขเป็นสิ่งที่ดีท่ีสุด (Happiness is the greatest
good.) ความสุขนั้นเป็นทั้งหลักการและจุดมุ่งหมายของชีวิต การกระทาทุกอย่างของมนุษย์มีจุดมุ่งหมายอยู่ท่ี
ความสุขและหลีกเล่ียงจากความทุกข์หรือความเจ็บปวด เบนแธมกล่าวว่า “ธรรมชาติได้จดั ให้ มนุษย์อยู่ภายใต้บง
การของนายท่ีมีอานาจเต็มสองคน คอื ความเจ็บปวดและความสุขสบาย เพอื่ ส่ิงทั้งสองน้ีเท่าน้ันท่ีเราจะกล่าวได้ว่า
อะไรท่ีเราควรทาและอะไรที่เราจะทา...มันควบคุมส่ิงท่ีเราทาทั้งหมด ส่ิงที่เราคิดทั้งหมด” (เบนแธม อ้างในวิทย์
วศิ ทเวทย์, 2543 : 144) อย่างไรก็ตาม ความสุขแท้ๆ ที่ไมม่ ีความทุกขเ์ ข้ามาเจอื ปนเปน็ ส่งิ หาได้ยาก เบนแธมเสนอ
ให้ใช้ความรอบคอบระมัดระวังในการแสวงหาความสุข ถ้าในกรณีที่การกระทานั้นๆ ให้ผลเป็นทั้งความสุขและ
ความทุกข์ ก็ต้องคานวณดูก่อนว่ามันจะให้ผลลัพธ์อย่างไหนมากกว่ากัน ต้องชั่งน้าหนักและหักลบกันระหว่าง
ความสุขและความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม ซ่ึงถ้าเห็นแล้วว่ามันจะก่อให้เกิดความสุขมากว่าความ
ทกุ ขเ์ ราก็ควรทา
หลักการสงู สดุ ทางศีลธรรมของเบนแธมคือ การสร้างความสุขให้ได้มากทส่ี ุด ความสขุ ในทีน่ ี้หมายถึงความ
สมดุลสุทธิระหว่างความเพลิดเพลินและความเจ็บปวด การกระทาท่ีถูกต้องคือการกระทาท่ีสร้างอรรถประโยชน์
สูงสุด ซึ่งอรรถประโยชน์ (utility) ตามความหมายคือ อะไรก็ตามที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินหรือความสุข และ
อะไรกต็ ามที่ปอ้ งกันความเจ็บปวดหรือความทกุ ข์ (ไมเคิล แซนเดิล, 2554 : 52) แต่มีคาถามตามมาวา่ ถ้าความสุข
ไม่มีความแตกต่างกันด้านคุณภาพแล้ว ความสุขของสัตว์กับความสุขของคนก็ต้องดีเท่ากันหรือไม่ ทาให้ภายหลัง
นักปรัชญาอยา่ งจอหน์ สจว๊ ต มลิ ล์เขา้ ปรบั ปรุงความคิดในลัทธิประโยชนน์ ยิ มเสียใหม่ ใหเ้ ป็นระบบและรัดกมุ ยิ่งขึ้น
จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill, ค.ศ. 1806-1873) มิลล์เป็นท้ังนักปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์ และ
นักรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษ เขาเป็นผู้วางรากฐานและปรับปรุงแนวคิดประโยชน์นิยมให้มีระบบที่รัดกุมย่ิงข้ึน มิลล์ก็
เหมือนนักสุขนิยมท่ัวไปท่ีมองว่า ความสุขเป็นความดีสูงสุดของมนุษย์ ความสุขมาจากความพอใจและการ
ปราศจากความเจ็บปวด เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการเป็นจุดสุดท้าย มิลล์กล่าวว่า “ในความจริงเป็นแล้ว ไม่มี
อะไรเป็นสิ่งน่าปรารถนานอกจากความสุข” (สุจิตา อ่อนค้อม, 2545 : 84) ความสุขถือว่าเป็นสิ่งดีและมีค่า ใน
บางครั้งแม้เราบอกว่าต้องการส่ิงอื่นที่อยู่นอกเหนือจากความสุข เช่น ต้องการประสบความสาเร็จในหน้าที่การ มี
สุขภาพท่ีแข็งแรง ได้รับความชื่นชมยินดี มีชื่อเสียงเกียรติยศ ได้มิตรภาพที่อบอุ่น ฯลฯ แต่หากลองไล่เลียงคาตอบ
ไปเรอื่ ยๆ จนถงึ จุดสุดท้าย จะพบว่าคาตอบกไ็ ปลงเอยท่ีความสขุ อยูด่ ี ความสุขจงึ เปา้ สิง่ ท่ีเปน็ เป้าหมายในตวั เอง
มลิ ลเ์ ห็น ความสขุ ของมนุษยม์ ีอยูส่ องอยา่ งคือ ความสขุ ทางใจและความสุขทางกาย สว่ นสตั วม์ ีแต่ความสุข
ทางกายเท่าน้ัน มิลล์ถือว่า ความสุขทางใจจึงสูงกว่าหรือมีค่ามากกว่าความสุขทางกาย ความสุขของมนุษย์กับ
ความสุขของสตั ว์จึงแตกต่างกนั มลิ ล์จงึ เห็นวา่ ความสุขทางใจมคี า่ สูงกว่าความสขุ ทางกาย เพราะมคี วามม่นั คงกว่า
และปลอดภัยกว่า อีกท้ังมนุษย์ยังมีคุณค่าและศักดิ์ศรีในตัวเอง (value and dignity) การบริโภคความสุขทาง
สัญชาติญาณแบบสัตว์ไม่ใช้สิ่งท่ีน่าพึงปรารถนาสาหรับมนุษย์ สาหรับมิลล์น้ันการเป็นมนุษย์ผู้โศกเศร้าย่อมดีกว่า
การเปน็ หมทู ่สี ขุ ี

36

หลกั มหสุข (The greatest happiness principle)
นอกจากเร่ืองคุณภาพของความสุขแล้ว แนวคิดประโยชน์นิยมเห็นว่า ถ้าส่ิงใดให้ประโยชน์สุขมากกว่าสิ่ง
น้ันกด็ ีกว่าและควรกระทามากกกว่า ซึง่ ประโยชน์สุขในท่ีน้ีมไิ ด้ประโยชน์สุขของผู้กระทาเอง แตห่ มายถึงประโยชน์
สุขของคนทั่วๆไป ส่ิงที่ดีคือสิ่งท่ีก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่คนจานวนมากท่ีสุด หลักนี้รู้จักกันในนาม “หลักมหสุข”
(The greatest happiness principle) เปน็ การกระทาที่ก่อให้เกิดผลอันเป็นความสุขทมี่ ปี ริมาณสงู สดุ และในการ
คานวณปริมาณความสุขน้ัน มิใช่แค่ผลที่จะเกิดข้ึนในระยะสั้นๆ แต่ต้องพิจารณาผลกระทบที่เกิดข้ึนในอนาคต
ระยะยาวด้วย ในบางสถานการณ์ที่การกระทาหน่ึงๆ อาจก่อให้เกิดผลท้ังสุขและทุกข์ตามมาอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้
เราตอ้ งเลือกทาในส่ิงทีก่ ่อให้เกิดความทกุ ขน์ ้อยที่สดุ เพราะในกรณนี ้สี ิ่งที่ใหค้ วามทุกขน์ ้อยที่สุดกต็ อ้ งถือว่าเป็นสิง่ ที่
ใหค้ วามสุขมากทส่ี ดุ การเลอื กเชน่ น้ีจึงเป็นไปตามหลกั มหสุขเหมอื นกัน
ประโยชนน์ ิยมมิได้สอนใหค้ นเห็นแกต่ ัวแบบพวกอตั นิยม (egoism) เพราะในการคานวณปริมาณความสุข
แม้เราจะนับตัวเองเข้าไปด้วย แต่เป็นการนับตัวเองในฐานะท่ีเป็นสมาชิกของสังคมเท่ากับคนอื่นๆ ที่จะได้รับ
ผลกระทบจากการกระทาของเรา ไม่ลดค่าของตัวเองใหน้ ้อยกว่าคนอ่ืน และไม่ลดค่าคนอ่ืนให้น้อยกว่าตน อย่าถือ
ว่าหน่วยความสุขของเราเหนือกว่าหน่วยความสุขของผู้อ่ืน การที่มิลล์นาหลักมหสุขมาย้าว่า ความสุขท่ีมากน้ีมิใช่
มากเชิงปริมาณที่เกิดข้ึนกับตนเอง แต่ต้องมากเชิงคุณภาพท่ีเกิดขึ้นกับผู้คนส่วนใหญ่หรือกระจายไปสู่คนจานวน
มากอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เขาจึงส่งเสริมให้คนบาเพ็ญประโยชน์ต่อส่วนรวม ให้เป็นคนใจกว้าง ให้รู้จักเห็นอกเห็นใจ
ผอู้ ื่น มิลล์ยกหลกั คริสตธรรมมาอ้างอิงวา่ “จงทากับคนอ่ืนในสิ่งท่ที า่ นอยากให้คนอื่นทากับท่าน... จงรักเพ่ือนบา้ น
ให้เหมือนกับที่ท่านรักตัวท่านเอง” เพราะเหตุว่า “การเอาใจใส่ในความทุกข์ความสุขของผู้อ่ืนจะทาให้เรารู้และ
เขา้ ใจอย่างแจม่ ชดั ถงึ หลักมหสุข” (มิลล์ อ้างในจารณุ ี วงศ์ละคร, 2555 : 16)
แม้ประโยชน์นิยมหรือหลักมหสุขจะถูกโต้แย้งในประเด็นต่างๆ เช่น ปัญหาเร่ืองความชอบธรรมระหว่าง
เป้าหมาย (end) และวิธีการ (means) ทีจ่ ะบรรลุเป้าหมาย หรือปัญหาการคานวณวัดปริมาณความสุขที่เที่ยงตรง
แน่นอน เป็นต้น แต่มิลล์ก็เห็นว่า หลักมหสุขก็เหมือนกับการปฏิบัติในเรื่องอ่ืนๆ คือมีการปรับปรุงได้ไม่มีที่สิ้นสุด
และความก้าวหนา้ ในการปรบั ปรงุ ก็กาลงั ดาเนนิ ไปเรือ่ ยๆ ตามสติปัญญาของมนษุ ย์

3.3 ปรชั ญาสมั บูรณน์ ิยม
อิมมานูเอล ค้านท์ (Immanuel Kant, ค.ศ. 1724-1804) นักปรัชญาชาวเยอรมันท่ีมีบทบาทสาคัญต่อ
ปรัชญาสมัยใหม่ทั้งในด้านอภิปรัชญาและจริยศาสตร์ ความคิดทางจริยศาสตร์น้ันค้านท์ถูกจัดให้อยู่ในทัศนะ
แบบสัมบูรณนิยม (Absolutism) กล่าวคือ เขาเชื่อว่าคุณค่าทางศีลธรรมเป็นสิ่งที่ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลง เกณฑ์ที่
ในการตัดสินการกระทาต้องใช้ส่ิงท่ีเรียกว่า เจตนา หรือหลักการท่ีอยู่เหนือผลประโยชน์ท้ังปวง การท่ีหลักจริย
ศาสตร์ของค้านท์เน้นเร่ืองความดีสูงสุดหรือหลักการศีลธรรม ทาให้เราต้องใช้กรอบแนวคิดเร่ืองความดีสูงสุดนี้มา
เปน็ คาอธบิ ายถึงสงิ่ ทเี่ รยี กว่าความสขุ
หากกล่าวถึง “ความสุข” หรือ Happiness ตามทศั นะของค้านท์ (ไพลิน ป่ินสาอาง, 2551 : 1-12) จะถือ
วา่ เป็นคนละสิง่ กับความดีสูงสุด (highest good) หรือคุณธรรม (virtue) ค้านท์เห็นว่า ความดีสูงสุดจะต้องเป็นสิ่ง
ท่ีดีอย่างไม่มีเงื่อนไขซ่ึงตรงกับลักษณะของเจตนาดี (goodwill) ในขณะที่ความสุขนั้นเป็นสิ่งที่มีเง่ือนไข เน่ืองจาก
บ่อเกิดของท้ังสองส่ิงมีที่มาแตกต่างกัน ท่ีมาของความดีหรือคุณธรรมได้แก่ เหตุผล ส่วนที่มาของความสุขคือ
สญั ชาตญาณ (instinct) ในงาน “The Metaphysics of Moral” ค้านท์กล่าววา่ คุณธรรม ตอ้ งเป็นส่งิ ท่ดี อี ย่างไม่

37

มีเง่อื นไข ในขณะท่ีความสุขนั้น เป็นส่ิงท่ีมีเงือ่ นไข ไมส่ มบูรณ์ในตัวเอง ฉะน้ันแล้ว หากจะบอกว่าความสุขเป็นส่ิงที่
ดีหรือไม่ดกี ็ขึน้ อยู่กับวา่ การกระทาทเ่ี ราทาไปนนั้ มีแรงจูงใจมาจากเจตนาดหี รือไม่ ถ้าการกระทานั้นเกิดจากเจตนา
ดีแล้วก่อให้เกิดความสุข ก็อาจยอมรับได้ว่าความสุขท่ีเกิดขึ้นเป็นส่ิงท่ีดี ในทางกลับกันถ้าการกระทาที่ก่อให้เกิด
ความสุขดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบของเจตนาดี ความสุขนั้นอาจถอื เป็นสิ่งที่เลวร้ายก็ได้ ค้านท์ได้แบ่งมโนทัศน์
เรื่องความสุขออกเป็น 2 ระดบั ไดแ้ ก่

1. ความสุขโดยธรรมชาติ (natural happiness) ความสุขในระดับแรกเป็นความสุขที่เกิดขึ้นมา
จากแรงโน้มได้รับการตอบสนอง หรือเป็นเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกท่ีมีฐานมาจากประสบการณ์ ซ่ึง
แตกต่างกันในแต่ละคน ความสุขในระดบั นย้ี ังถือวา่ เป็นสิ่งทมี่ ีเงอ่ื นไขและเป็นคนละอย่างกับความดีสูงสดุ

2. ความสุขทางศีลธรรม (moral happiness) ความสุขในระดับที่สองนั้นเป็นความสุขที่เป็นผล
มาจากหลักการทางศีลธรรม หรือเป็นผลลัพธ์หรือผลพลอยได้ท่ีเกิดมาจากการปฏิบัติตามกฎทางศีลธรรมท่ีค้านท์
กาหนดไว้คือ เมื่อเรากระทาการหนึ่งๆ ท่ีมีแรงจูงใจจากการปฏิบัติตามหน้าท่ี ซึ่งถูกกาหนดมาจากเจตนาของเรา
เองโดยไม่มแี รงโนม้ อืน่ ๆ เข้ามาเก่ียวข้อง การกระทาดงั กล่าวก็จะทาให้เกิดความสุขแกผ่ ู้กระทาได้

เม่ือความสุขเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์เราก็มีเหตุผลเพียงพอในการท่ีจะแสวงหาความสุข โดย
ค้านท์เสนอให้ใช้เหตุผลมาเป็นเคร่ืองมือควบคุมการกระทา ซ่ึงการกระทาตามเหตุผลนั้นจะทาให้มนุษย์รู้จักและ
เสพความสขุ ท่ีแทจ้ รงิ ได้ (ภทั รพร สิริกาญจน, 2520 : 76-77)

ส่วนวิธกี ารแสวงหาความสุขนั้นค้านทเ์ สนอว่า จะต้องเป็นลักษณะของการทาตามหลักแหง่ ความรอบคอบ
(counsels of prudence) ที่เป็นเรื่องของคาส่ังแบบมีเงื่อนไขตามแนวคิดทางจริยศาสตร์ของเขา กล่าวคือ เรา
สามารถทาตามแรงโน้มหรือความปรารถนาที่ไปสู่ความสุขได้ แต่การกระทาตามแรงโน้มดังกล่าวจะตอ้ งอยู่ภายใต้
เหตุผล และสมมุติวา่ หากเกดิ กรณที ่กี ารแสวงหาความสขุ ของเราไปขัดแย้งกับเร่ืองศีลธรรม เราจะตอ้ งเลือกที่จะละ
ทิ้งความสขุ นน้ั ไป เพ่ือปฏบิ ตั ติ ามศลี ธรรมทีเ่ ปน็ กรอบใหญซ่ ่ึงคอยควบคุมอยู่

กล่าวโดยสรุป ความสุขในทัศนะของค้านท์จึงมีฐานะที่เป็นหน้าท่ีโดยอ้อม (indirect duty) ที่เอ้ือให้เกิด
การทาตามหน้าที่หรือหลักการทางศีลธรรมได้ กล่าวคือเม่ือเรามีความสุขก็เทียบได้กับการที่เรามี สวัสดิภาพโดย
พื้นฐาน (well-being) อย่างเพียบพร้อม ซ่ึงจะทาให้เกิดแนวโน้มในการกระทาตามหน้าท่ี หรือการกระทาท่ี
ก่อให้เกดิ คุณค่าทางศลี ธรรมขึ้นได้ แต่การละทิ้งความสุขเพื่อทาตามเร่อื งทางศีลธรรมในกรณีน้ี ก็สามารถทาให้เกิด
ความสุขได้เช่นกัน ถอื วา่ เป็นความสุขท่เี ป็นผลมาจากหลกั การทางศีลธรรม (moral happiness) น่ันเอง

3.4 นักเศรษฐศาสตรค์ วามสุข
ริชาร์ด เลยาร์ด (Richard Layard, 1934-ปัจจุบัน) เป็นศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์แห่งสานัก
เศรษฐศาสตร์และการเมืองของลอนดอน (London School of Economics And Political Science: LSE) เป็น
ผู้เชี่ยวชาญในสาขา “เศรษฐศาสตร์ความสุข” (Happiness Economics) ท่ีบูรณาการศาสตร์หลายสาขาท้ัง
เศรษฐศาสตร์ แพทยศาสตร์ สังคมวิทยา จิตวิทยา ปรัชญา เข้าด้วยกัน ริชาร์ด เลยาร์ดเป็นผู้ผลักดันอุดมการณ์
“ความอยู่ดีมีสุข” (Well-being) ให้ผู้จัดทานโยบาย (Policy-makers) ตระหนัก ส่งผลให้รัฐบาลอังกฤษนา
หลักการน้ไี ปสานต่อ ทาให้ “ความอยู่ดมี ีสุข” กลายเป็นเปา้ หมายของรัฐบาล
ศาสตราจารย์เลยาร์ดได้รับแรงบนั ดาลใจจากปรัชญา ประโยชนน์ ิยม โดยเฉพาะหลักมหสุขหรอื หลักแห่ง
ความสุขสูงสุด (the greatest happiness) เพราะหลักมหสุขมีฐานคิดสาคญั อยู่ทเี่ ร่ืองความเสมอภาคเท่าเทยี มกัน

38

ในสังคมและหลักมนุษยธรรม ท่ีเช่ือว่าความสุขของทุกคนมีความหมายเท่ากัน ซึ่งความสุขนี้ เลยาร์ดนิยามว่าคือ
การรู้สึกดี (So by happiness I mean feeling good.) เช่น ความเบิกบานใจ เป็นความ รู้สึกท่ีคนอยากคงไว้กับ
ตัวนานๆ ส่วนความทุกข์คือ (feeling bad) การรู้สึกไม่ดี เช่น ความเจ็บปวด ความเศร้าหมองหดหู่ ซง่ึ คนต้องการ
หลีกหนี ความสุขเป็นสิ่งท่ีดีที่สุด เพราะเป็นเหตุให้เราสุขภาพดี มีภูมิคุ้มกันท่ีเข้มแข็ง และมีอายุยืน เป็นปัจจัย
เดียวกับท่ีทาให้เผ่าพันธ์ุของมนุษย์ดารงอยู่ต่อมาได้จนถึงทุกวันน้ี แนวคิดเร่ืองความสุขของ เลยาร์ด (ริชาร์ด
เลยาร์ด, 2550; จารุณี วงศ์ละคร, 2555 : 18-34) ถูกอธบิ ายผ่านหนังสอื “Happiness : Lessons From A New
Science.” (ค.ศ. 2005) ทาให้ท่านเป็นท่ีรู้จักกันในนาม “นักเศรษฐศาสตร์ความสุข” ซึ่งพบว่ามี 2 ปัจจัยสาคัญที่
เกย่ี วข้อง คอื

1. ปัจจยั ทางสังคม
เลยาร์ดชี้ว่าคนเราขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาท่ีจะทาให้ตนเองไม่น้อยหน้าผู้อื่น จึงมีการ
เปรียบเทียบทางสังคมและเกิดการแข่งขันทางสถานะ ถ้ามีการแข่งขันกันสูงความสุขก็ลดลง การเปรียบเทียบทาง
สังคมน้ีเองที่เป็นผลให้เกิดข้อขัดแย้งเร่ืองเรื่องความสุข เช่นในงานวิจัยของแอนดรูว์ ออสวอลด์ เร่ือง
interdependent utility ท่ีชี้ให้เห็นว่า อรรถประโยชน์หรือความสุขของคนไม่ได้ข้ึนตรงแค่ส่ิงที่เรามี แต่เป็น
ฟงั ก์ชั่นของส่ิงทค่ี นรอบข้างของเรามดี ้วย (ณัฐวุฒิ เผ่าทวี, 2559 : 77-81) ดังน้ัน ชีวิตท่ีมีความสุขหรือการรสู้ ึกท่ีดี
ไมไ่ ดข้ ้ึนอยู่กับรายไดท้ ีต่ นรับ แตข่ ้ึนอยู่กับรายไดท้ ี่คนอ่ืนไดร้ ับ คนบางคนที่เห็นคนอนื่ มีมากกวา่ แล้วยอมไมไ่ ด้ กจ็ ะ
มีความทุกข์ สุดท้ายกลายเป็นว่า ความรู้สึกสุขทุกข์ของเราเกิดจากการเปรียบเทียบรายได้กับคนอื่น (relative
income) มิใช่รายได้ที่แท้จริง เป็นสาเหตุสาคัญที่ทาให้คนเกิดการเปรียบเทียบทางสังคมคือความอิจฉาริษยา อัน
เปน็ อารมณด์ า้ นลบของคนเรา
2. ปัจจยั ทางจติ วิทยา
ความเคยชินเป็นปัจจัยหนึง่ ที่ทาให้เกิดข้อขดั แยง้ เรื่องความสขุ สงิ่ ที่คนรู้สึกเคยชินได้งา่ ยท่ีสดุ และ
มองขา้ มไปบอ่ ยท่สี ุดคือทรพั ย์สมบตั ทิ ่ีตนมี เชน่ รถและบา้ น เมือ่ เกดิ ความเคยชนิ กับทรัพย์สมบัติเหล่านนั้ ก็จะรู้สึก
เฉยๆ ไม่ต่ืนเต้น บางทีกลายเป็นความเบื่อหน่าย ความสุขก็จะลดลง แล้วเร่ิมแสวงหาส่ิงใหม่ต่อไป บางคร้ังก็เอา
เวลาพักผ่อนหรือเวลาที่ควรจะอยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูงเข้าแลก ผลก็คือชีวิตท่ีผิดเพ้ียนไป ทาให้มีแต่การ
ทางานและการทาเงินจนสนใจส่ิงอื่นน้อยลง ท่ีเป็นเช่นน้ีเพราะความสมปรารถนาไม่ใช่ความสุขท่ีแท้ เมื่อความ
อยากความปรารถนาในส่งหนึ่งบรรลผุ ล ไมช่ า้ ไม่นานก็จะเกิดเปน็ ความอยากสิง่ ใหม่ตอ่ ไปเรือ่ ยๆ ไมม่ ที ี่ส้นิ สุด

ปัจจยั ท่ีมผี ลต่อการเกิดความสุข
จากการศึกษาพบว่าความสุขได้มาจากภายนอกและเกิดจากภายใน โดยภายนอก หมายถึง สภาพ
แวดล้อมหรือสถานการณ์ภายนอกที่ก่อเกิดประสบการณ์แก่บุคคลซึ่งมี 7 ปัจจัยสาคัญคือ (The Big Seven) ส่วน
ภายในหมายถึงตัวตนภายในของเรา เป็นเร่ืองของยีน (gene) หรือพันธุกรรม นั่นแสดงว่าความสุขเป็นผลผลิต
ระหว่างตัวตนภายในและปจั จัยภายนอก ดงั นี้

1) ตวั ตนภายใน
ความสุขขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของเราท่ีมีต่อสถานการณ์ภายนอก โดยตัวตนภายในของเราคือ
ยีน (gene) ท่ีจะสง่ ผลต่อการตอบสนองของเราตอ่ ประสบการณ์ เลยาร์ดอธิบายว่า “ยีนเปน็ เหมอื นชุดคาส่ังท่ีบอก
เราว่าเราจะพัฒนาอย่างไรให้เข้ากับสภาพแวดล้อม” (ริชาร์ด เลยาร์ด, 2550 : 70) โดยอ้างอิงจากข้อค้นพบของ

39

“Minnesota Twin Registry” ซึ่งระบุว่าแฝดเหมอื นหรือแฝดแท้มรี ะดับความสุขใกล้เคยี งกันเพราะว่าทัง้ สองมียีน
เหมือนกัน แม้ในฝาแฝดเหมือนที่ถูกอุปการะแยกกันตั้งแต่เป็นทารก ทาให้ท้ังคู่ไม่ได้เติบโตมาด้วยกันและมี
ประสบการณ์ท่ตี า่ งกัน แต่พบว่าแฝดเหมือนทีถ่ ูกอุปการะแยกกนั น้ันมีระดับความสขุ ระดับเดียวกับแฝดเหมอื นทโี่ ต
มาด้วยกันและมีประสบการณ์คลา้ ยกัน แสดงวา่ ยีนทีม่ คี วามคล้ายคลงึ กนั ทาให้มีระดับความสขุ คลา้ ยกัน และแมว้ ่า
ยีนซ่ึงเป็นปัจจัยภายในท่ีแก้ไขไม่ได้ แต่เลยาร์ดก็เห็นว่าประสบการณ์ที่เรามีต่อสถานการณ์ภายนอกเป็นสิ่งที่เรา
สามารถจัดการและควบคมุ มนั ได้

2) ปจั จัยภายนอกท่มี ีผลต่อการเกดิ ความสขุ
1. ความสัมพันธ์ในครอบครัว (family relationships) ในบรรดาปัจจัยซ่ึงมีผล

กระทบต่อความสขุ น้ัน เลยาร์ดเหน็ วา่ ชวี ิตคู่ของสามีภรรยาและชีวติ ครอบครัวที่มพี ่อแมล่ ูก หรือสัมพันธภาพที่ดี มี
ความใกล้ชดิ สนิทสนมกันเป็นสงิ่ ทมี่ ีผลกระทบมากกว่าส่ิงอื่นใด เลยาร์ดกล่าวว่า “คนท่ีมีความสัมพนั ธก์ ับคนอื่นจะ
มีฮอร์โมนสมดุลกว่าและมีสุขภาพดีกว่า และแน่นอนว่ามีความสุขกว่าด้วย” (ริชาร์ด เลยาร์ด, 2550 : 80) แต่ถ้า
หากชีวิตคู่ล้มเหลว มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีจนกระทั่งเกิดการหย่าร้างกัน ก็จะมีผลทาให้ความสุขของท้ังคู่ลดน้อยลง
ไปเร่ือยๆ และยง่ิ ถ้าหากการหย่าร้างน้นั นาไปสูภ่ าวะครอบครัวแตกแยกจะมีผลก่อให้เกิดความทุกข์ท้ังแก่ผูห้ ย่ารา้ ง
กับลูกๆ ตลอดจนคนอื่นที่อยู่รอบข้าง มีการศึกษาหน่ึงที่ติดตามชีวิตเด็กอายุ 7 ขวบ โดยการเปรียบเทียบพบว่า
เด็กท่ีพ่อแม่แยกทางกันจะมีโอกาสเติบโตเป็นผู้ใหญ่ท่ีซึมเศร้ามากกว่าเด็กที่พ่อแม่อยู่ด้วย กันประมาณ 2 เท่า
นอกจากนี้ผลวิจัยยังชี้ว่าปัญหาใหญ่ของเด็กคือ ความขัดแย้งของพ่อแม่ ถ้าความขัดแย้งนั้นรุนแรงพ่อแม่ควรแยก
ทางกนั ไปเลยดกี ว่าทจ่ี ะทนอยูด่ ้วยกนั (Layard อ้างในจารณุ ี วงศ์ละคร, 2555 : 24-26)

2. สถานการณ์ทางด้านการเงิน (finance situation) เลยาร์ดเห็นว่าเงินมีความ
สาคัญ โดยเฉพาะกับคนยากจนซึ่งขาดแคลนปัจจัยหล่อเล้ียงชีวิตให้อยู่รอด ตัวอย่างในประเทศท่ียากจน เช่น
อินเดีย เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ ฯลฯ เมื่อประเทศเหล่านี้มีการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจระดับความสุขก็เพ่ิมมากขึ้น
เช่นกัน เพราะรายได้ทีเ่ พ่ิมข้ึนนั้นช่วยยกระดับคุณภาพชวี ิตของคนให้พบจากความยากจนทางกายภาพไปไดเ้ งนิ จึง
มีผลต่อความสุขของคนอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่การมีรายได้สูงขึ้นและเงินทองมากข้ึนก็ไม่ได้ทาให้เรามีความสุข
เพิ่มข้ึนในทุกกรณี เลยาร์ดเห็นว่า ถ้าต้องการมีความสุขจริงๆ เราจาเป็นต้องมีแนวคิดเรื่องประโยชน์สุขของ
ส่วนรวม โดยให้เหตุผลว่า “หากคุณมีหน้าที่อย่างเดียวคือการแสวงหาส่ิงท่ีดีท่ีสุดสาหรับตนเอง ชีวิตจะตึงเครียด
มากเกินไป โดดเด่ียวเกินไป คุณจะประสบความล้มเหลว ตรงกันข้าม คุณควรรู้สึกว่าตนเองมีชีวิตอยู่เพ่ือส่ิงอื่นที่
ใหญ่กว่า...เราจาเป็นอย่างย่งิ ทจ่ี ะต้องมีแนวคิดเกี่ยวกบั ประโยชนส์ ุขรว่ มกัน” (รชิ ารด์ เลยาร์ด, 2550 : 265)

3. การงาน (works) การทางานนอกจากจะสร้างรายได้และมีเงินแล้ว ยังช่วยเพิ่ม
ความหมายใหช้ ีวิตอีกด้วย ดังน้ันการว่างงานจงึ เปน็ สิ่งเลวรา้ ย เลยาร์ดเห็นว่า “การว่างงานไม่เพียงลดรายไดเ้ พียง
อย่างเดียว แต่ยังลดความสุขลงด้วย โดยทาให้สูญเสียความเคารพตนเองและเสียความสัมพันธ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น
จากการทางาน...ความสุขที่ลดลงนั้นเป็นการสูญเสียตัวงานมากกว่าการสูญเสียรายได้” (ริชาร์ด เลยาร์ด, 2550 :
80) นอกจากน้ี ปัจจัยท่ีทาให้การทางานมีผลต่อความสุข มิใช่แค่ทางานแบบซังกะตาย ทาแบบจาใจไร้ชีวิตชีวา
เทา่ นนั้ แตต่ อ้ งมีความชอบหรือใจรักทีจ่ ะทางาน หรือ “ฉนั ทะ” ก็จะทาใหก้ ารทางานมคี วามหมายและมคี วามสขุ

4. สังคมและเพื่อนฝูง (community and friends) มนุษย์ไม่อาจอยู่ได้โดยลาพัง เรา
ต้องมีความสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น ความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ซ่ึงมีบทบาทในการ
กาหนดอัตลักษณ์และให้ความหมายแก่ชีวิต ถ้าคนเรามีความสัมพันธ์ที่ดีก็จะทาให้ชีวิตมีความสุข ดังท่ีเอพิคิวรัส

40

(Epicurus) กล่าวไว้ว่า “ในบรรดาสรรพสิง่ ท่ชี ว่ ยให้ชีวิตของคนเราเป็นสุขนัน้ มติ รภาพเป็นส่ิงท่ีย่งิ ใหญ่ท่ีสุด” (อา้ ง
ในริชาร์ด เลยาร์ด, 2550 : 82) อนึ่ง ความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ซ่ึงมีเป้าหมายใน
ตนเอง ดังน้ันมิตรภาพต้องเป็นไปเพื่อมิตรภาพ มิใช่คบหาใครเพื่อผลประโยชน์หรือเพื่อความร่ืนรมย์เท่านั้น
เลยาร์ดปฏิเสธแนวคิดทว่ี ่า “เพื่อให้เราอยู่รอดก็ต้องเห็นแก่ตัวและไมต่ ้องดูแลใครเลย” เพราะการทาเช่นน้ีเท่ากับ
เป็นการทาลายความสุขของสังคม สังคมใดๆ จะดารงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกในสังคมคานึงถึงสิทธิและความ
รบั ผดิ ชอบไปพรอ้ มกัน

5. สุขภาพ (health) ความสุขกับการมีสุขภาพดีเป็นทั้งเหตุและผลต่อกัน คนท่ีมี
สุขภาพดีทาให้มีความสุข ขณะเดียวกันคนที่มีความสุขก็ทาให้มีสุขภาพท่ีดี และมีอายุยืนยาว ในบรรดาสุขภาวะท่ี
ไม่ดีท้ังหลาย เช่น การเคลื่อนไหวบกพร่อง การเจ็บป่วยทางกาย ฯลฯ นั้น ผลการศึกษาวิจัยในยุโรปและ
สหรัฐอเมริกา พบว่า ว่าอาการป่วยทางจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า (depression) ทาให้คนเป็นทุกข์และการสูญเสีย
ความสามารถมากกว่าเรื่องสุขภาพกายท้ังกระทบกบั ความสขุ มากกว่าเรื่องรายได้ หมายความว่า ภาวะซมึ เศรา้ เป็น
เหตุให้ทุกข์มากกว่าความยากจน เลยาร์ดเชื่อว่าอาการป่วยทางจิตอาจเป็นสาเหตใุ หญ่ท่สี ุดของความทุกข์ในสังคม
ตะวันตก ข้อมูลขององคก์ ารอนามยั โลกกช็ ้ีว่าอาการป่วยทางจิตหรือการติดสง่ิ เสพตดิ เป็นต้นเหตุของเกือบครึ่งหนึ่ง
ของการสญู เสียความสามารถท่คี นเผชิญ (เลยาร์ด, 2550 : 207-208)

6. เสรีภาพสว่ นบุคคล (personal freedom) เรอื่ งนเ้ี กย่ี วขอ้ งโดยตรงกบั คุณภาพของ
รฐั บาลและระบอบการปกครอง หากรัฐบาลและผู้นามีความเป็นประชาธิปไตย ให้เสรีภาพส่วนบุคคล เสรีภาพทาง
การเมือง เสรภี าพทางเศรษฐกิจ ย่อมจะทาให้ผู้คนมคี วามสุข เพราะเสรีภาพและสันติภาพมักจะมาคู่กัน ในสังคมที่
ถูกปกครองด้วยระบอบท่ีจากดั เสรีภาพเชน่ ระบอบคอมมิวนิสต์ ผู้คนจะมีระดับความสุขที่นอ้ ยกว่าคนในสังคมที่มี
ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย และมีผลการศึกษาเกี่ยวกับประชาธิปไตยในสวิสเซอร์แลนด์โดยนัก
เศรษฐศาสตรช์ าวสวสิ คอื Alois Stutzer และ Bruno Frey (ณฐั วุฒิ เผ่าทว,ี 2559 : 225-227) เสนอว่า โดยปกติ
แล้วนโยบายต่างๆ ของทุกรัฐของสวิสเซอร์แลนด์มักจะกาหนดโดยการลงประชามติ กล่าวคือ พลเมืองสามารถ
แสดงความคิดเห็นในเรื่องนโยบายท้องถิ่นได้โดยตรง เรียกว่า direct democracy ซึ่งในบางรัฐนั้นประชาชนจะมี
สิทธิเรียกรอ้ งให้มีการลงประชามติมากกวา่ บางรัฐอีกด้วย “เม่อื เปรียบเทียบรัฐที่ประชาชนมีสิทธิน้ี (สิทธิเรียกร้อง
ให้มีการลงประชามติ) มากท่ีสุดและรัฐที่ประชาชนมีสิทธิน้ีน้อยที่สุด ก็จะพบว่าความสุขน้ันต่างกันอย่างราวกับว่า
รายได้ต่างกันเท่าตัวทีเดียว” (ริชาร์ด เลยาร์ด, 2550 : 83) ฉะน้ัน ค่าเฉลี่ยของความสุขในชีวิตจึงมีความสัมพันธ์
ทางดา้ นบวกกบั ระดบั การเปน็ direct democracy หรือประชาธิปไตยทางตรง

7. ค่านิยมส่วนบุคคล (personal values) ค่านิยมหรือปรัชญาชีวิตของบุคคลเป็นตัว
กรองประสบการณ์ ถ้าตัวกรองดี เช่น มีค่านิยมทางศีลธรรม, มีความฉลาดทางอารมณ์ (E.Q.), มีปัญญามองเห็น
โลกตามความเป็นจริง, มีสติสัมปชัญญะ, มองโลกในแง่ดี, มีจติ ใจเมตตา, ไม่เห็นแก่ตัว ฯลฯ หรอื หากพดู ตามภาษา
ของอริสโตเติลคือ มีคุณธรรมและความเป็นเลิศทางบุคลิกลักษณะและทางปัญญา จะช่วยให้เราเผชิญความ
ยากลาบากจากสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ภายนอกได้ แม้อาจรู้สึกเป็นทุกข์บ้าง แต่จะไม่ฟูมฟายจนเสียสติ
เพราะสิ่งภายนอกเราควบคุมไม่ได้ แต่ใจหรืออารมณ์ของเราเป็นส่ิงท่ีควบคุมได้ เลยาร์ดอ้างคากล่าวของรูสเวลท์
(Eleanor Roosevelt) มาสนบั สนุนว่า “ไม่มใี ครทาให้คุณโกรธได้ถ้าคุณไม่เห็นชอบ” ดังน้ัน โลกภายนอกท่ีแม้จะ
โหดและหนักก็ไม่อาจสร้างประสบการณเ์ ลวร้ายให้แกเ่ ราได้ เพราะเราสามารถจดั การกับใจและอารมณ์ของตวั เอง
(จารุณี วงศล์ ะคร, 2555 : 32-34)

41

4. ความสุขในทศั นะศาสนา

4.1 ความสุขในทศั นะพระพุทธศาสนา
คาว่า “สุข” (สุข) หรือ “ความสุข” ในพุทธศาสนาได้ให้ความหมายไว้ 2 นัยด้วยกัน (สุจิตรา อ่อนค้อม,
2523: 32-33) กล่าวคือ

1. ความสุข หมายถึง สภาพท่ีทนได้ง่าย ตรงข้ามกับ ความทุกข์ ที่หมายถึง สภาพท่ีทนได้ยาก
ความสุขกับความทุกข์จึงเป็นของคู่กัน เพราะทั้งคู่ต่างก็ตกอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติหรือกฎไตรลักษณ์ (อนิจจตา -
ทุกขตา - อนัตตตา) เหมอื นกนั

2. ความสุข หมายถึง ภาวะที่ส้ินกิเลสทั้งปวง เป็นภาวะท่ีปราศจากตัณหา ในทางพุทธจริย-
ศาสตรเ์ รยี กความสขุ นวี้ ่า “นิพพานสุข” และถือวา่ เปน็ สิ่งสูงสดุ (Summum bonum) ของมนษุ ย์

4.1.1 ประเภทของความสุข
4.1.1.1 จาแนกตามตามองค์ประกอบของชีวติ
ความสขุ ซึง่ จาแนกตามองคป์ ระกอบของชวี ติ มนษุ ย์มี 2 ประการ (ธีรโชติ เกิดแกว้ , 2549

: 97 ; อภญิ วัฒน์ โพธิ์สาน, 2553 : 31-32) คอื
1) ความสุขทางกาย (กายิกสุข) เป็นความสุขที่เกิดขึ้นทางร่างกายของบุคคล

โดยอาศัยปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัย และยารักษาโรค รวมถึงเคร่ืองอานวยความสะดวกต่างๆ
เช่น รถ โทรศพั ท์มือถือ เครอื่ งปรับอากาศ ฯลฯ มาตอบสนองและปรนเปรอองค์ประกอบของชวี ติ ทางร่างกาย

2) ความสุขทางใจ (เจตสิกสุข) เป็นความสุข สงบ หรือเบิกบานทางด้านจิตใจ
ของบุคคล มีภาวะจติ ใจทส่ี ะอาด สว่าง สงบ แจม่ ใส ไมย่ ึดมน่ั ถือม่ัน โดยอาศยั การเจริญสมาธิ ภาวนา ปล่อยวางได้
หรอื การสรา้ งคุณธรรมต่างๆ ให้เกิดมีขึน้ ในสว่ นจติ ใจของบคุ คล

4.1.1.2 จาแนกตามตามระดบั ของความสขุ
ความสุขหากจาแนกตามระดับอาจแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ (พระครธู รรมธรครรชิต คุณ
วโร, 2553 : 16-18 ; ธรี โชติ เกดิ แกว้ , 2553 : 297-298 ; วชั ระ งามเจริญจติ ร, 2552 : 427-431) คือ

1) สามิสสุข (บางทีเรียกว่า อามิสสขุ หรือ กามสุข) หมายถึง ความสุขจากวตั ถุ
สงิ่ เสพบริโภค หรือความสุขท่ีต้องมีเหย่ือล่อ สุขจากวัตถุคือกามคุณ จัดเป็นความสุขขั้นตัณหา เป็นความสุขท่ีต้อง
พึ่งพาหรือขน้ึ ต่อสง่ิ เสพภายนอก เปน็ ความสขุ ทีม่ คี วามทกุ ขเ์ จือปนมา

สามสิ สุข เกิดจากการเสพสิง่ ที่มนษุ ย์พึงพอใจ คอื กามคณุ 5 ได้แก่ รูป รส กล่ิน
เสียง และสัมผัสของส่ิงต่างๆ ที่มนุษย์แสวงหามาตอบสนองต่อความต้องการตน ซึ่งการแสวงหาความสุขชนิดนี้
จะต้องต้องอยู่บนหลักธรรมหรือจัดการให้อยู่ในศีลธรรม เพราะถ้าหาแสวงหาความสุขนี้อย่างประมาทและมัวเมา
จะนาไปสู่ความเดอื ดร้อน หรือประสบความทุกขต์ ามมา บางคร้ังตอ้ งแก่งแย่งแข่งขนั เพ่ือทาให้ได้ความสุขเช่นน้ีมา
อีกท้ังความสุขเหล่าน้ีไม่อาจคงทนอยู่ได้ตลอดไป เช่น ความสุขท่ีเกิดจากการกินอาหาร ขณะที่กินอาหารก็จะมี
ความสุขจากได้ลิ้มรสอันเอร็ดอร่อยของอาหารน้ัน แต่เม่ือกินจนอิ่ม ความสุขน้ันก็ต้องยุติลงเพราะไม่อาจกินต่อไป
ได้อีก หากขืนกนิ ต่อไปอาจจะกลายเป็นความทกุ ข์ เพราะนอกจากไม่รู้สกึ อร่อยแล้วยงั จะรูส้ กึ อึดอดั ทรมานอีกด้วย

2) นิรามิสสุข เป็นความสุขท่ีไม่ขึน้ ต่อวัตถุส่ิงเสพบริโภค หรือความสุขที่ไม่ต้อง
มีเหยื่อล่อ เป็นความสุขภายในที่ไม่ต้องอาศัยวัตถุภายนอก ความสุขชนิดน้ีท่ีเกิดจากการพัฒนาจิตใจให้สงบและ
เห็นแจ้งสภาวธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง นิรามิสสุขนั้นเป็นความสุขทางใจที่ไม่อิงอาศัยวัตถุ ไม่ต้องการวัตถุ

42

ส่ิงของหรืออารมณ์ใดๆ มากระตุ้น เป็นความสขุ สูงสุด หรอื บรมสุข คือ นิพพาน ท่ีหมายถึง ความสขุ ทเี่ กดิ จากการ
ดับกิเลสและทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง วิธีการบรรลุความสุขน้ีมีหลายวิธี เช่น อริยมรรค 8 ว่าด้วยการพัฒนาตามลาดับ
ขนั้ ของศลี สมาธิ ปญั ญา เป็นต้น

ความสุขทั้ง 2 ระดับน้ี พุทธศาสนาให้ความสาคัญกับนิรามิสสุขมากท่ีสุด เพราะถือว่า
เป็นส่ิงมีคา่ สูงสุดหรือเป็นอุดมคตทิ ี่มนุษย์ควรแสวงหา เพราะเปน็ ความสุขที่ปราศจากทุกข์โดยสิ้นเชิงและถาวร ดัง
พุทธพจน์ท่ีกล่าวว่า “นิพพานเป็นสุขอย่างย่ิง” หรือ “สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ(นิพพาน) ไม่มี” แต่พุทธศาสนาก็
ไมไ่ ด้ปฏิเสธความสขุ ในระดับสามญั หรือความสุขในขั้นตน้ เช่น กามสุขเสียทีเดียว เพียงแต่ต้องการช้ีใหเ้ ห็นว่า ยงั มี
ความสขุ ทดี่ ีกวา่ ความสุขเหลา่ น้ัน และให้ใชค้ วามสุขในระดับสามัญนี้เป็นฐานในการพัฒนาความสุขในระดับสงู ย่งิ ๆ
ขน้ึ ไป ความสุขท่ีเกิดจากวัตถภุ ายนอก หรือความสุขระดับสามัญ มอี ยู่ภายนอกตวั มนุษย์ ส่วนความสุขระดบั สูงสุด
มีอยู่ในตวั มนุษย์และการยนื ยนั ถึงการมอี ยขู่ องความสุขท่ีแทจ้ รงิ คือ นิพพาน

4.1.2 การปฏิบัตติ ่อความสขุ
พระพุทธเจา้ ไม่ได้แสดงเพียงว่า แค่เรามีความสุขเท่านั้นก็พอ แต่ต้องพิจารณาดว้ ยวา่ ความสุขที่ตนกาลังมี
อยู่หรือไขว่คว้าน้ันส่งผลอย่างไรต่อชีวิตและจิตใจของตนและส่ิงท่ีอยู่รอบข้าง รวมไปถึงจะส่งผลอย่างไรต่อไ ปใน
อนาคต ดงั นั้นจึงมหี ลักการปฏิบตั ติ อ่ ความสขุ (พระครธู รรมธร ครรชิต คณุ วโร, 2553 : 24) ดังน้ี

1) ไม่เอาความทุกขม์ าทับถมตนเอง
2) ไม่ละทง้ิ ความสุขทช่ี อบธรรม
3) ไม่สยบหมกมนุ่ (แม)้ ในความสขุ ทีช่ อบธรรมนน้ั
4) เพียรพยามทาเหตแุ หง่ ทุกขใ์ หห้ มดไป
นอกจากน้ียังต้องพิจารณาว่าความสุขอย่างใดควรเสพ อย่างใดไม่ควรเสพ โดยให้ใช้หลักการที่ว่า ถ้า
ความสุขใดทาให้อกุศลธรรม (ซ่ึงเป็นเหตุแห่งความทุกข์) เจริญและกุศลธรรมเสื่อม ก็ไม่ควรเสพแสวงหาความสุข
นั้นๆ ในทางตรงกันข้าม ถ้าความสุขใดทาให้กุศลธรรมเจริญและอกุศลธรรมเส่ือม เราควรทาความสุขเช่นน้ันให้
เกิดขน้ึ
4.1.3 การพัฒนาความสุขในพระพุทธศาสนา
ส่ิงสาคัญของการพฒั นาความสุขในพระพทุ ธศาสนาคือ การมสี ัมมาทิฏฐิ เมอ่ื เราการกาหนดรู้ส่ิงตา่ งๆ ตาม
ความเป็นจริงเสียแล้ว จากนัน้ จงึ พฒั นาพฤติกรรมและความสัมพนั ธ์ของตัวเราที่มตี ่อส่ิงแวดล้อมและสงั คมด้วย ศีล
- สมาธิ - ปญั ญา ตามลาดับ (พระครูธรรมธรครรชติ คุณวโร, 2553 : 25-28) ดังน้ี
1) พัฒนาความสขุ ในการเกี่ยวขอ้ งกับส่ิงแวดลอ้ มและสงั คมด้วยศีล การพฒั นาข้ันตน้ หรอื ขั้น
ศลี ตอ้ งพัฒนาจิตใจและปัญญาควบคกู่ นั ไป คือมปี ัญญารู้และเข้าใจว่าสิง่ ใดดหี รือไมด่ ี มีฉันทะ มีกาลังใจ มีสติ และ
ตั้งใจในการปฏิบัติ มุ่งเน้นพฤติกรรมและความสัมพันธ์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม กล่าวคือ เม่ือยังต้องการความสุข
จากการเสพวัตถุก็ต้องรู้จักหา ทากิจหน้าท่ีเพ่ือให้ได้มา รู้จักเก็บและใช้อย่างถูกต้องไม่ทาให้เกิดโทษในภายหลัง
ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จกั อยรู่ ่วมกับผู้อื่นทั้งในระดบั บุคคล ครอบครัว ไปจนกระทัง่ ถึงสังคม โดยรจู้ กั หน้าที่ มที ่าทีที่ดี
ตอ่ กนั ชว่ ยเหลอื เก้อื กูลกัน
2) พัฒนาความสุขภายในใจดว้ ยการพัฒนาจิตใจ เร่ิมจากการพัฒนาคุณภาพจิตใจของตนให้มี
ความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งส่ิงภายนอก พัฒนาจิตใจให้มีสมรรถภาพ คือ มีวิริยะ เข้มแข็ง อดทน มีสติ และจิตท่ีสงบ

43

ต้ังม่ันเป็นสมาธิ ได้แก่ ฝึกสมถกรรมฐาน หรือฝึกสมาธิด้วยวิธีต่างๆ เป็นต้น ทาให้มีสุขภาพจิตดีและมีความสุขที่
เป็นอิสระจากส่ิงภายนอก

3) พัฒนาความสุขข้ันนิพพานสุขด้วยการพฒั นาปัญญา ความสุขในขั้นสูงสุดทเ่ี ป็นจุดมงุ่ หมาย
ของพระพุทธศาสนาหรือ นิพพานสุขน้ี เป็นความสุขท่ีจะไม่กลับกลาย เป็นภาวะอิสระอย่างแท้จริง ไม่ถูก
กระทบกระท่ังด้วยความผันแปรของส่งิ ต่างๆ ความสุขระดับน้ีพัฒนาได้ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน กาหนดรู้
อรยิ สัจ 4 ตามความเป็นจรงิ ได้ ตลอดจนสามารถกาจดั อวชิ ชา ตัณหา อปุ ทานในจิตใจได้

4.2 ความสขุ ในทัศนะศาสนาฮนิ ดู
แนวคิดเร่ืองความสุขในศาสนาฮินดูเป็นประเด็นที่เก่ียวข้องสัมพันธ์กับเรื่องจุดหมายสุดท้ายของชีวิต คือ
ภาวะความหลุดพ้นจากชีวิตทางโลกน้ี หรือ โมกษะ จุดหมายสูงสุดของชวี ิตในศาสนาฮนิ ดูจึงไม่ได้อยู่ในโลกน้ี การ
ดาเนนิ ชีวติ ในโลกนก้ี ็เพ่อื ชวี ติ ท่สี มบรู ณใ์ นโลกหน้า ดังนนั้ การดาเนินชีวติ ในโลกนี้จงึ เปน็ การดาเนินชวี ิตที่ดี แต่เป็น
ชีวิตที่ดีในฐานะเป็นหนทางหรือเป็นศักยภาพในการบรรลุชีวิตท่ีสมบูรณ์กว่าในโลกหน้า ซ่ึงการที่จะเข้าถึงสภาวะ
เชน่ นั้นได้เกิดข้ึนจากสภาพของจิตที่ใช้ปญั ญา สามารถพ้นจากอานาจลวงของประสาทสมั ผัสหรือ มายา เพอ่ื เข้าถึง
ความรูท้ ่แี ท้
การรู้แจ้งในความจรงิ คือการเห็นวา่ ความสุขจากประสาทสมั ผัสและวัตถุทัง้ ปวงไม่จริงแท้ ส่ิงจริงแท้คือพร
หมัน ทุกส่ิงไม่แยกจากพรหมัน และความสุขสงบท่ีแท้คือการสละความสุขทางวัตถุเข้าสู่ความสุขที่เที่ยงแท้ คือ
ความสงบศานติซึง่ เกดิ จากการที่จิตมีสภาพเดียวกับพรหมัน มหาฤษีกฤษณะไทวปายนวยาส ได้อธิบายสภาวะของ
ผู้ท่ีเข้าถึงความสุขอันแท้จริง ในคัมภีร์ภควัทคีตาว่าเป็น “ผู้มีตนไม่ข้องในสัมผัสภายนอก เสวยความสุขท่ีอยู่ใน
อาตมัน เขาเป็นผู้มีตนประกอบไปด้วยพรหมโยคะ ย่อมได้รับความสุขอันไม่รู้เสื่อมสร่าง ข่มอินทรีย์ใจ และ
ความรู้สึกได้แล้ว ยึดโมกษธรรมเป็นหลัก ปราศจากความกลัวและโกรธ มุนีใดเป็นเช่นนี้ มุนีน้ันเป็นผู้พ้นทุกข์เมื่อ
เทียว” (ศรีสุรางค์ พูลทรัพย์, 2550 : 118-119) ทัศนะเกี่ยวกับการแสวงหาความสุขของศาสนาฮินดูจึงสัมพันธ์กับ
ขนั้ ตอนในการดาเนนิ ชวี ติ และจุดม่งหมายของชวี ิตในแตล่ ะช่วงวัย โดยศาสนาฮินดูกลา่ วถงึ ความสุขใน 4 ระดบั ดงั น้ี
(ปรชี า ชา้ งขวัญยนื , 2549 : 82-83)

1. กาม คือ ความสุขทางร่างกาย ทางประสาทสัมผัส เกิดจากการได้บริโภคส่ิงท่ีตนพงึ พอใจ ทาง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย

2. อรรถ คือ ความสุขจากการมีทรพั ย์สนิ เงนิ ทอง อนั เป็นความม่ันคงทางเศรษฐกิจของตน ทาให้
เกิดความมัน่ ใจในชีวติ มคี วามภาคภมู ิใจในความสามารถทแ่ี สวงหาทรพั ยส์ ินเงินทองมาได้

3. ธรรม คือ ความสขุ ที่เกิดจากการทาหนา้ ท่ีตามวรรณะของตนโดยไม่อยใู่ นอานาจบงั คับของส่ิง
ภายนอก เช่น สขุ -ทุกข์ ดี-ชั่ว ลาภยศ สรรเสริญ-นินทา ฯลฯ เป็นความสุขท่ีได้ทาหนา้ ท่ีซ่ึงตนสานึกอยู่ภายใน อัน
เป็นไปตามอธั ยาศัยแห่งวรรณะของตน เช่น วรรณะกษตั ริย์มอี ธั ยาศัยชอบกาลัง ความรุนแรง เกียรตยิ ศ การได้ทา
หน้าท่ีรบเพื่อความเป็นธรรมก็ตรงกับอัธยาศัย และตรงกับหน้าท่ีตามวรรณะของตน จึงเกิดความสุขอย่างเป็นไป
ตามธรรมชาติ โดยท่ีการทาตามหนา้ ทดี่ ังกลา่ วไมม่ คี วามรู้สึกโลภ โกรธ หลง ทิฐิ มานะ เข้าไปเกีย่ วขอ้ ง

4. โมกษะ คือ การหลุดพ้นจากอานาจของความสุขความทุกขท์ างวัตถุคือ ความปรารถนาในสิ่งที่
ทาให้ติดข้องทั้งปวง เช่น ความพึงพอใจทางกาย สิ่งที่เป็นของตน ตัวตน เช่น ศักด์ิศรี ทิฐิมานะ ความเห็นว่าตัว
ประเสริฐดีงามกว่าผู้อ่ืน คือ กิเลสทางกายและใจท้ังหยาบและละเอียด เป็นความสุขและความดีอันสูงสุดที่เป็น

44

จุดหมายอนั มนษุ ยท์ กุ คนพงึ แสวงหา เป็นการกลบั ไปสธู่ รรมชาติด้ังเดิมของจติ ทส่ี มบรู ณแ์ ละเป็นอนั หน่ึงอันเดียวกับ
พระผ้เู ป็นเจา้ คือปรมาตมนั สิน้ ความหลงผิดและรู้ชดั ในความไมเ่ ปน็ จรงิ ของสงิ่ ทง้ั ปวงอนั ผันแปรได้

4.3 ความสุขในทัศนะศาสนาครสิ ต์
นักปราชญ์คริสต์อย่าง นักบุญออกัสติน (สิวลี ศิริไล, 2551 :131-132) เห็นว่า ปัญหาเร่ืองความสุขมี
สาระสาคัญสองประการที่จะต้องพิจารณาคือ มนุษย์ควรปรารถนาอะไรเพื่อท่ีจะทาให้ตนมีความสุขอย่างแท้จริง
และ เราจะได้รับความสุขได้อย่างไร ออกัสตินได้อธิบายเร่ืองนี้ว่า สิ่งที่เราปรารถนาน้ันควรเป็นส่ิงที่เที่ยงแท้ไม่
เปลย่ี นแปลง เพราะถ้าเรารักหรอื ปรารถนาในสิง่ ท่ีเปล่ยี นแปลงได้แล้วเราย่อมไมอ่ าจเปน็ เจา้ ของส่งิ น้ันได้ เพราะส่ิง
น้ันย่อมประสบกับภาวะของความเปล่ียนแปลงและตัวเราก็จะต้องประสบกับความกลัวท่ีจะต้องสูญเสียสิ่งท่ีเรา
ปรารถนาด้วย เพราะฉะนั้น ส่ิงใดท่ีเปลย่ี นแปลงไดส้ ่ิงน้ันไม่ใช่ความสขุ ทแี่ ทจ้ รงิ มีแต่พระเจ้าเพียงสิ่งเดียวเท่านนั้ ท่ี
เที่ยงแท้และสมบูรณ์สูงสดุ ทรงอยู่เหนือการเปล่ียนแปลงด้วยประการท้ังปวงและทรงเป็นนิรันดร ใครท่ีเข้าถึงพระ
เจ้าได้ก็จะถึงซ่ึงความสุขอย่างแท้จริง มนุษย์ทุกคนจึงต้องรักพระเจ้า เพราะพระองค์คือความรักและความสุขที่
สมบรู ณท์ ส่ี ดุ
ความสุขในคริสต์ศาสนาจึงเป็น “การร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า” และไปอยู่ในอาณาจักรของพระองค์
คริสต์ชนต้องตระหนักว่าความสุขทางกายน้ันไม่แน่นอนยั่งยืน มันผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป จึงไม่ควรท่ีจะยึดติดเป็น
สรณะ สงิ่ ทค่ี ริสตช์ นจะต้องแสวงหาคอื ความสขุ ที่เปน็ นิรันดรอันจะเกิดจากการแสดงความรักต่อผู้อื่น
การท่ีศาสนาคริสต์มีความรักเป็นหัวใจของคริสตธรรม ความสุขสาหรับคริสต์ชนจงึ เป็นความสุขทางจิตใจ
หรือความสุขทางจิตวิญญาณอันมีความรักเมตตาเป็นพ้ืนฐานสาคัญ ท้ังความสุขและความทุกข์ในศาสนาคริสต์จะ
เกิดจากการแสดงความรักอย่างที่พระเซยูทรงรักคือ รักอย่างเสียสละอุทิศตัวเพ่ือผู้อื่นโดยไม่คานึงถึงตัวเอง ถ้าทา
เช่นนี้ก็จะเป็นสุขและได้ร่วมชีวิตกับพระเจ้า แต่ถ้าละเลยก็จะเป็นทุกข์ เพราะต้องเหินห่างจากพระเจ้า มนุษย์
จะต้องแสดงออกถึงความต้องการทางด้านจิตใจ ความจงรักภักดีต่อพระเจ้า และมีความรู้สึกว่าตนเองมีบาป ไม่
สามารถเอาตัวรอดหรือช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากบาปนั้นได้ จาเป็นต้องอาศัยการช่วยเหลือจากพระเจ้า ความ
ทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดต่างๆ เป็นเครื่องหมายของการทดสอบศรัทธาท่ีจะนาไปสู่ความรอด เพราะความ
รอดนั้นจะไดม้ าดว้ ยความยากลาบากและการทดสอบ ซ่งึ ไม่ใช่มนุษยท์ ุกคนจะไปถงึ ได้ นอกจากนี้ความทุกข์ทรมาน
และความเจ็บปวดท้ังหลายยังเป็นเคร่ืองเตือนสติว่า มนุษย์เรานั้นอ่อนแอและมีความทุกข์ จึงมิควรหลงลืมตัวตน
ขาดความเชื่อหรอื ความไว้วางใจในพระเจา้ (พระสรุ ิยญั ชชู ว่ ย, 2548 : 25)

4.4 ความสขุ ในทัศนะศาสนาอสิ ลาม
ในคาสอนของศาสนาอิสลาม ความสุขเป็นธรรมชาติอย่างหน่ึงของมนุษย์ที่พระเจ้า (อัลลอฮ์) ทรง
กาหนดให้มี ความสุขเป็นสงิ่ ที่มนุษยแ์ สวงหาโดยการกระทาของมนษุ ย์ เปน็ ผลตอบแทนการกระทาความดีหรอื อาจ
เป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ประทานให้ตามความประสงค์ของพระองค์ หากมนุษย์กระทาความดี เช่ือม่ันในอัลลอฮ์ พระองค์ก็
จะทรงโปรดปรานได้รับผลเป็นความสุข แต่ถ้ามนุษย์ทาความชั่ว อัลลอฮ์ก็จะทรงลงโทษ ผลคือ ความทุกข์นั่นเอง
ดังนั้น ความสุขและความทุกข์เป็นสภาวะที่มีอยู่กับมนุษย์ เม่ือมนุษย์มีความสุข มนุษย์ก็ไม่ควรดีใจหรือหลงระเริง
แต่ควรระวงั ความทกุ ข์ทอี่ าจจะเกดิ ตามมา

45

ความสุขและความทุกข์ในศาสนาอิสลาม อาจแบ่งได้เป็น 2 ความหมาย (พระสุริยัญ ชูช่วย, 2548 : 30-
35) ดงั น้ี

1. ความสุขและความทกุ ข์เปน็ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
1.1 ความสุขและความทกุ ข์เปน็ ภาวะทางธรรมชาตทิ ม่ี ีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน
1.2 ความสุขและความทุกข์เป็นผลมาจากพฤติกรรมของมนุษย์ ส่ิงท้ังหลายเหล่าน้ีเป็น

ผลมาจากเจตนาและการกระทาของมนษุ ย์
1.3 ความทกุ ข์และความสุขทง้ั สองอย่างน้ดี าเนินอยู่ในโลกนแ้ี ละโลกหนา้ ความทุกขแ์ ละ

ความสุขเหลา่ น้ีเป็นสาระของมนษุ ยท์ ่ีดารงชวี ิตอยู่ท่ีเป็นความจรงิ ในโลกน้ี และเป็นความรูส้ กึ ของจิตใจท่คี รอบคลุม
ไปถึงชวี ติ หลังความตาย

ความสขุ และความทกุ ข์เปน็ ประสบการณ์ที่มนษุ ย์ต้องประสบพบเจอโดยธรรมชาติ สิง่ เหล่านี้ล้วน
เป็นผลท่ีเกิดจากการกระทาของเรา ในอีกแงห่ น่ึงความสุขและความทุกข์นี้ยังเป็นส่ิงที่เราต้องเผชิญทั้งในโลกน้ีและ
โลกหน้าที่แท้จริงกว่า ดังข้อความในอัล-กุรอานว่า “จงรู้ไว้เถิดว่า ชีวิตแห่งโลกนี้เป็นเพียงการละเล่น และการ
บนั เทิงและเคร่ืองประดบั และความโอ้อวดระหว่างสูเจ้า และในการแข่งขันกันสะสมทรัพย์สินและลูกๆ ...และชีวิต
ของโลกนี้มิใชอ่ ่นื ใด นอกจากเป็นปจั จยั แห่งมายาเทา่ นนั้ ” (อัล-กุรอาน 57 : 20)

2. ความสุขและความทกุ ข์เป็นปรากฏการณท์ างจรยิ ธรรม
2.1 ความทุกข์และความสุขเป็นเคร่ืองพิสูจน์และเป็นปัจจัยการพัฒนาคุณธรรมท้ังยัง

เป็นกฎเกณฑ์ของอัลลอฮ์ซ่ึงมนุษย์จะต้องประสบ การปฏิบัติตามกฎศีลธรรมของอัลลอฮ์ก็เพื่อที่จะบรรลุ
จดุ มุ่งหมายสูงสุดของชวี ติ

2.2 ความสุขเป็นสิ่งท่ีถูกจัดสรรให้มนุษย์ทุกคน เป็นความโปรดปรานและความเมตตา
ของอลั ลอฮ์

2.3 ความสขุ เป็นรางวัลของอลั ลอฮ์ทป่ี ระทานแก่มนุษย์ผู้ที่กระทาความดี
2.4 ความทุกข์เป็นผลมาจากทศั นะทผี่ ดิ และการกระทาความชว่ั
2.5 ความทุกขเ์ ป็นการลงโทษของอัลลอฮส์ าหรับผกู้ ระทาความช่ัว
2.6 ความทกุ ข์เป็นมาตรการทอ่ี ลั ลอฮท์ รงให้มขี ึน้ เพื่อขัดเกลาผูศ้ รัทธา
2.7 ความทกุ ขเ์ ปน็ เครอื่ งขจัดบาปใหก้ ับมนุษย์
2.8 ความทุกข์และความสุขในโลกน้ีเป็นสัญลักษณ์ของความทุกข์และความสุขในชีวิต
หลังความตายและโลกหนา้
ในแง่จริยธรรมน้ัน ความสุขและความทุกข์ถือเป็นส่ิงเตือนใจในการกระทาของมนุษย์ การทา
ความดีเปน็ ผลให้เกดิ ความสุข การทาความชวั่ ยอ่ มมีผลเป็นความทุกข์ ชีวิตมนุษย์อยู่บนโลกน้เี ป็นการชว่ั คราว และ
มนุษย์จะได้รับการทดสอบจากพระเจา้ หากเขาได้กระทาความดี เขากจ็ ะไดพ้ บกับความสุขอันเป็นนิรนั ดร์ ในอัลกุ
รอาน กล่าวว่า “การที่มนุษย์จะได้รับความสุข มนุษย์จะตอ้ งมศี รัทธาท่ีบริสุทธสิ์ ะอาด ถูกต้อง แท้จริง มีมาตรฐาน
ทางศีลธรรมท่ีถูกต้องดีงาม จิตใจปราศจากมลทินแห่งการอิจฉาริษยา ฉ้อโกง เกลียดชัง และการทาดีท่ีมีผลต่อ
ประโยชน์สุขและความดีงามของสังคมและมนุษยชาติน้ัน พวกเขาจะพานักอยู่ในสวนแห่งสวรรค์ตลอดไป” (อัลกุ
รอาน 18: 107-108)

46

จากคาสอนของศาสนาอิสลาม จะเห็นว่าความสุขและความทุกข์เป็นเรื่องของจิตใจภายในที่สัมพันธ์กับ
พฤติกรรมภายนอก มนุษย์เป็นเหตุสาคัญแห่งความสุขและความทุกข์ของตนเอง อิสลามให้ความสาคัญแก่จิตใจ
เป็นพื้นฐาน เพราะเป็นที่ต้ังของการกระทาหรือการแสดงออกของพฤติกรรมมนุษย์ ผลจากการกระทาจะเป็นทุกข์
หรือสขุ อยู่ที่ตัวมนษุ ย์เป็นหลัก ซ่งึ เป็นไปตามธรรมชาตแิ ละกฎศีลธรรมท่ีอลั ลอฮท์ รงวางไว้ คาสอนเหล่าน้ีพิจารณา
ใหเ้ หน็ ถงึ คุณคา่ 2 ประการ คอื หนง่ึ คุณค่าทเี่ ปน็ เปา้ หมายของชวี ติ ได้แก่ ความสขุ ในโลกนีแ้ ละความสขุ ช่วั นิรันดร
ในโลกหน้า และ สอง คุณค่าที่เป็นเครื่องมือหรือวิธีการไปสู่เป้าหมาย ได้แก่ ศีลธรรมหรือบรรทัดฐานของการ
ดาเนินชีวติ การแสดงความเคารพภักดีและเชื่อฟังตอ่ อลั ลอฮ์ คุณคา่ ทง้ั สองประการน้ียงั เปน็ ความหมายของอิสลาม
ในฐานะท่ีบ่งบอกถึงความหมายในเร่ืองเป้าหมาย (สันติ) และวิธีการ (การจานน หรือการมอบตนต่อพระเป็นเจ้า)
อกี ด้วย

5. ความสุขในทศั นะจติ วิทยา
“จิตวิทยา”เป็นวิทยาศาสตร์แขนงหน่ึงท่ีศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ โดยศกึ ษาถึงสาเหตุ

ของพฤติกรรม การป้องกัน และการส่งเสริมพฤตกิ รรม โดยคาว่าพฤติกรรมน้นั แบ่งออกได้ท้ังพฤตกิ รรมภายในและ
พฤติกรรมภายนอก พฤติกรรมภายนอกคือการกระทา การแสดงออก เช่น การยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ เป็นต้น ส่วน
พฤติกรรมภายในคือ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ สิ่งเหล่านี้เกิดมาจากภายใน แต่เราสามารถสังเกตได้
จากพฤตกิ รรมภายนอก ยกตัวอย่างเชน่ คนมีความสุข ก็อารมณด์ ี พฤตกิ รรมท่ีแสดงออกมา เช่น ยิ้ม หวั เราะ เป็น
ต้น ดังนั้นในเชิงของจิตวิทยาเช่ือว่าการพัฒนาคนไม่ว่าจะด้านไหนต้องพัฒนามาจากข้างในคือ อารมณ์ ความรู้สึก
ความคิด เพราะส่ิงเหล่านี้เป็นพ้ืนฐาน หรือแหล่งที่มาของพฤติกรรมภายนอก นั่นเอง ความสุขก็เช่นกัน ในทาง
จิตวิทยาความสุข คือการรู้สึกดี และความเศร้าคือการรู้สึกไม่ดี เราทุกคนต้องมีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง และ
สามารถวัดความรู้สึกน้ีได้แล้วโดยการถามเจ้าตัว หรือโดยการเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาที่เกิดข้ึนในสมองของเขา เมื่อวัด
ค่าได้แล้วเราจึงจะสามารถอธิบายถึงระดับความสุขท่ีเป็นอยู่ของคนนั้นได้ แต่ในชีวิตนั้นมีความซับซ้อนอยู่มาก
ความรู้สึกดี ที่จะนาพาเราไปสู่ความสุขนั้น มีหลายปัจจัยที่มาเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายนอก อันได้แก่
ทางด้านสังคม รายได้ประชาชาติ กลายมาเป็นเสมือนหน่ึงเคร่ืองบ่งชี้ของความสุขของประชาชนในชาติ ผู้คน
ต้องการความม่ันคงปลอดภัย ความมั่นคงในหน้าที่การงาน ความม่ันคงของครอบครัว และความปลอดภัยของ
ชุมชน ท่กี ลา่ วมาน้ลี ้วนเป็นปจั จัยในการสง่ เสริมความสขุ เชน่ กนั

แต่ความสุขในเชิงจิตวิทยา คงต้องกล่าวถึงปัจจัยที่เกิดจากภายในของเรา โดยในทางจิตวิทยาเชื่อว่า
ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายนอกและความสัมพันธ์เท่านั้น หากแต่ยังขึ้นอยู่กับทัศนคติของเราด้วย
วิคเตอร์ แฟรงเคิล (Victor Frankl อ้างอิงจาก William C. Compton and Edward Hoffman. 2005) สรุป
ประสบการณ์ในค่ายกักกันเอาส์ชวิตซ์ของเขาว่า ในท่ีสุดแล้ว “ทุกสิ่งถูกพรากไปจากมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่ส่ิงเดียว
น่นั กค็ ือ เสรีภาพประการสุดท้ายของมนุษย์ ในการท่ีจะมีทัศนคติอยา่ งใดก็ได้ในสถานการณ์แตกต่างกนั ” ความคิด
มีผลต่อความรู้สึกของเรา จะได้เห็นกันต่อไปว่า คนเราจะมีความสุขมากกว่าหากเขาเป็นคนท่ีมีจิตใจเมตตา และ
หากเขาเห็นคุณค่าของสิ่งท่ีตนมีอยู่ คุณสมบัติท้ังสองประการน้ีจะทวีความสาคัญมากยิ่งขึ้น ตลอดเวลาหลาย
ศตวรรษท่ีผ่านมา ผู้ปกครอง ครู และพระต่างพยายามปลูกฝังให้คนมีจิตใจเมตตา และการปลูกฝังเร่ืองนี้ ได้มี
พัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง ในชว่ ง 30 ปีที่ผ่านมา การทดลองอย่างเป็นระบบค้นพบวิธกี ารท่ีจะส่งเสริมให้เกดิ การ
คิดในแง่ดี และกาจัดความคิดในแง่ลบออกไปอย่างเป็นระบบระเบียบ ในช่วงไม่ก่ีปีมาน้ีความเข้าใจดังกล่าวเรา

47

เรียกว่า “จิตวิทยาเชิงบวก”(Positive Psychology) ในหัวขอ้ ความสุขเชงิ จิตวิทยาน้ีจะได้อธิบายในหัวข้อประเด็น
หลักๆ คอื จติ วทิ ยาเชิงบวก คลื่นสมองกับความสุข และการคดิ แบบปัญญาภายใน

5.1 จติ วทิ ยาเชงิ บวก
ได้ศึกษาเก่ียวกับการใช้ทฤษฎีจิตวิทยา เทคนิคต่างๆ และได้ทาการวิจัย ในการทาความเข้าใจแนวคิดเชิง
บวก การปรับตัว การสรา้ งสรรค์อารมณ์ ความรู้สึก ที่ส่งเสริมลักษณะพฤตกิ รรมมนุษย์ ในวารสารอเมรกิ าจติ วิทยา
เชิงบวก (American Psychological positive psychology) Kennon Sheldon and Laura King. (2001) ได้
อธิบายไว้ว่า จิตวิทยาเชิงบวก คือการศึกษาความเข้มแข็งและความดีของมนุษย์ ศึกษาคนปกติทั่วไป โดยศึกษาว่า
อะไรเหมาะสม อะไรท่ีถูกต้อง พอดี และอะไรท่ีพัฒนาได้ โดยวิเคราะห์หาปัจจัยท่ีเก่ียวข้องศักยภาพในตัวมนุษย์
ทาให้เกิดการปรับตวั และการเพม่ิ พูนทักษะ รวมถงึ ศกึ ษาวา่ มนุษย์ส่วนใหญ่เม่ือเกิดความยากลาบากหรือเกิดปญั หา
ในชีวิต เขามีการวางเป้าหมายในชีวิตอย่างไร จิตวิทยาเชิงบวก เป็นแนวคิดท่ีเปิดกว้างและรับแนวคิดมุมมองท่ี
เกี่ยวกบั ศักยภาพ แรงจูงใจ และประสทิ ธภิ าพของมนุษย์

เปา้ หมายจิตวทิ ยาเชงิ บวก
แบ่งออกเปน็ 3 ประการ (Seligman & Csikszentmihalyi, 2000)
1. ระดับบุคคล (Subjective) วิเคราะห์สภาพจิตวิสัยเชิงบวก หรืออารมณ์เชิงบวกได้แก่ ความสุข ความ
พอใจในชีวิต การผ่อนคลาย ความรัก ความใกล้ชิด และความพึงพอใจ โดยรวมถึงการคิดเชิงสร้างสรรค์เก่ียวกับ
ตวั เอง และอนาคต การมองโลกในแงด่ ี ความหวงั พลงั งาน ความกระตอื รือร้น และความเชอ่ื ม่นั
2. เหนือระดับบุคคล เน้นลักษณะนิสัยหรือแบบแผนเชิงบวก เช่น ความกล้าหาญความซ่ือสัตย์ ความ
ฉลาด รวมถงึ การพฒั นาสุนทรยี ภาพ หรือศักยภาพในเชิงสร้างสรรคแ์ ละแรงผลักดันไปส่คู วามสมบูรณ์ยอดเยีย่ ม
3. ระดบั กลมุ่ เปน็ การพัฒนาการสรา้ งสรรคแ์ ละการบารงุ รกั ษาสถาบัน การพัฒนาความดีงามของพลเมือง
การสร้างครอบครัวสุขภาวะที่ดี และศกึ ษาส่ิงแวดล้อมในการทางานที่สร้างเสริมสุขภาวะ ศึกษาถึงปัจจัยท่ีสถาบัน
จะมสี ่วนร่วมในการสนับสนุนพลเรอื น

อารมณเ์ ชงิ บวก
30กว่าปีมาแล้ว ท่ีมีการศึกษาถึงอารมณ์เชิงบวก อิทธิพลของอารมณ์เชิงบวก และการพัฒนาการของ
พฤติกรรมมนุษย์จะส่งผลดีต่อชีวิต เช่น ความพึงพอใจ และประสิทธิภาพในชีวิต แต่ก็มีหลายทัศนะท่ีขัดแย้งบาง
คนคิดว่า ควรศึกษาปัญหาสาคัญในสังคมมากกว่า เช่น ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม ฯลฯ เพื่อแก้ปัญหาเหล่าน้ี
แต่ท่ีจริงแล้ว จิตวทิ ยาเชงิ บวกไมไ่ ด้ละเลยปัญหาสังคม และงานวจิ ัยล่าสุดยังได้เสนอวา่ การศึกษาเรื่องอารมณ์เชิง
บวก จะสามารถช่วยแก้ปัญหาสังคมได้ การตระหนักรู้คือความเข้มแข็งทางจิตวิทยา ท่ีจะสามารถช่วยพัฒนาคน
ทมี่ ีปญั หาทางสุขภาพจติ ได้ (Huta & Hawley 2010)

ชวี ติ ท่ดี ี (The Good Life)
จิตวิทยาเชิงบวกคอื การศึกษาปัจจัยและพัฒนาส่วนท่ีทาให้ชีวิตดี (the good life) แนวคิดมาจากมุมมอง
เร่ือง การยึดถือ ค่านิยมอันดีในชีวิต คือการศึกษาธรรมชาติของความดีสูงสุด Honderich (1995) กล่าวว่า ส่วนดี
จะหมายถึง ความสาคัญท่ีจะส่งผลต่อ การทาให้มนุษย์มีความสุข แนวคดิ เร่อื งความดสี มบูรณ์คือ สิ่งที่จะทาให้เติม

48

เต็มชวี ิตและอนาคตของคน คุณภาพชีวิตทดี่ ีจะวัดจาก สิ่งที่สง่ เสรมิ ชวี ติ ของเรา ทาให้ชีวิตมีค่าในการดารงอยู่ และ
สง่ เสริมความเขม้ แขง็ ของมนษุ ย์

Martin Seligman (2002) ผู้ก่อตั้ง จิตวิทยาเชิงบวก นิยามชีวิตที่ดีว่า การใช้ความเข้มแข็งเฉพาะตัว ใน
การสร้างสรรค์ความสุขและความอดุ มสมบรู ณ์

Sonja Lyubomirsky , Laura King , and Ed Diener (2005) ได้ศึกษาเกี่ยวกับความสุขและความ
เป็นอยู่ท่ีดี เขาสรุปว่า คนท่ีอยู่กับอารมณ์เชิงบวก จะประสบความสาเร็จมากกว่าคนที่อยู่กับอารมณ์เชิงลบ
ตัวอยา่ งเช่น ผทู้ ่ีมอี ารมณ์เชิงบวกมกั จะมสี ขุ ภาพกายที่ดกี ว่าและมีภมู คิ ุ้มกันท่ดี ีกวา่ และมอี ายยุ ืนยาวกว่า

การมีความสุขจะทาให้คนประสบความสาเร็จในชีวิตในภายหลัง การช่วยให้คนเข้าถึงศักยภาพของตัวเอง
และกาจัดอารมณ์ด้านลบและพฤติกรรมเชิงลบ จิตวิทยาเชิงบวก จะสามารถนาประโยชนใ์ ห้คนประสบความสาเร็จ
ในชีวติ ได้ ดงั นั้นจติ วิทยาเชงิ บวกจึงเชือ่ ว่า หากคนเราค้นหาศักยภาพในตนเองเจอ กจ็ ะทาให้เราเขา้ ใจตนเอง เม่ือ
เข้าใจตนเองก็จะเข้าใจผู้อื่น เกิดความคิดเชิงบวก นามาซ่ึงการประสบความสาเร็จ และสิ่งที่ตามมาคือความสุข
นน่ั เอง

5.2 คลนื่ สมองกับความสขุ
เมื่อพูดถึง ความสุข หลายคนอาจมองว่าเป็นเร่ืองนามธรรมที่จะศึกษาในเร่ืองนี้ เพราะบางคร้ังพฤตกิ รรม
ที่แสดงออกมากับพฤติกรรมทเี่ รามองเหน็ อาจไมส่ มั พนั ธก์ ัน เชน่ บางคนหวั เราะกลบเกลือ่ น เมื่อเขามเี ร่ืองไม่สบาย
ใจ ริชาร์ด เลยาร์ด (2550) ได้อธิบายไว้ว่า เราอาจจะสงสัยว่าความสุขนั้นเป็นความรู้สึกท่ีเป็นแก่นสารวัดได้จริงๆ
และสามารถเปรียบเทียบได้ระหว่างบุคคลหรือไม่ ในกรณีนี้เราสามารถพิสูจน์ให้เห็นเป็นประจักษ์ได้โดยใช้
สรีรศาสตร์สมองสมัยใหม่ซึ่งสามารถบอกได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในขณะท่ีคนรู้สึกเป็นสุข หรือไม่สุข งานวิจัยน้ีนา
โดยริชาร์ด เดวิดสัน (Richard Davidson) แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ในการศึกษาส่วนมาก เดวิดสัน จะวัด
ปฏิกิริยาในแต่ละส่วนของสมอง โดยการติดข้ัวไฟฟ้าไว้ท่ัวบริเวณหนังศีรษะของผู้ถูกทดสอบแล้วอ่านค่าปฏิกิริยา
ทางไฟฟ้าท่ีเกิดขึ้น การวัดอีอีจี (Electroence phalogram - EEG การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง) น้ีจะถูกนาไป
เชือ่ มโยงกบั ความรู้สึกท่ีคนบอกว่าตนรู้สกึ ขณะท่ีร้สู ึกดี จะมีปฏิกริ ิยาทางไฟฟ้ามากกว่าในสมองซีกซ้าย แต่เมอื่ รู้สึก
ไม่ดีจะมีปฏิกิริยาทางไฟฟ้ามากกว่าในสมองซีกขวา ตัวอย่าง เช่น ขณะท่ีใครสักคนหน่ึงดูภาพยนตร์ตลก สมองซีก
ซ้ายจะทางานมากกว่าซีกขวา เขาคนน้ันจะยม้ิ และบอกว่าตนอารมณ์ดี แต่เม่ือดภู าพยนต์ท่ีน่ากลัวหรอื มีภาพไม่น่า
ชม ผลท่ีออกมากจ็ ะเป็นตรงกนั ข้าม เราจะได้ผลท่ีคล้ายคลงึ กันน้ีจากการสแกนสมองโดยตรงเช่นกนั เช่น เมื่อคนท่ี
เข้าไปในเครื่องสแกนเอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imagine-MRI การฉายภาพด้วยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า)
หรือพีอีที (Positron Emission Tomography-PET การถ่ายภาพรังสีจากอนุภาคโพซิตรอน) แล้วได้ดูภาพท่ีน่าดู
หรือไม่นา่ ดู จะเกิดปฏิกริ ยิ าต่างกันตามตวั อยา่ งในภาพขา้ งใต้นี้ เมื่อไดด้ ูภาพเดก็ ทารกทีม่ ีความสขุ แลว้ ตามด้วย

ดังนั้นปฏิกิริยาของสมองจึงมีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับอารมณ์ ประสบการณ์ภายนอก เช่น การดูภาพ
สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งปฏิกิรยิ าทางสมองและอารมณ์ได้ และเราก็สามารถใช้วิธีการทางกายภาพเปล่ียนแปลงทั้ง
สองส่ิงนี้ได้เช่นกันเราสามารถใช้คลื่นแม่เหล็กท่ีมีกาลังสูงมากๆ กระตุ้นปฏิกิริยาในสมองซีกซ้าย เพ่ือทาให้ เกิด
อารมณ์ดีข้ึนโดยอัตโนมัติ วิธีนี้ถูกใช้เพ่ือบรรเทาความซึมเศร้ามาแล้วท่ีน่าสนใจย่ิงกว่าน้ันวิธีการดังกล่าวสามารถ
เพิ่มภูมิคุ้มกนั ของรา่ งกายไดเ้ น่ืองจากอารมณข์ องบุคคลส่งผลตอ่ ระบบภูมิคุม้ กนั ของคนเปน็ อยา่ งมาก

วิธีการทางกายภาพเพ่ือวัดว่าความรู้สึกของคนเปล่ียนไปตามแต่ละเวลาอย่างไร สามารถใช้ในการ
เปรียบเทียบความสขุ ของแต่ละคน รูปแบบอีอจี ีของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไปแม้ในเวลาพักสงบคนที่สมองซีกซ้าย

49

ทางานมากเป็นพิเศษ (“พวกซีกซ้าย”) รายงานถึงความรู้สึกและความทรงจาที่ดีมากกว่า “พวกซีกขวา” พวกซีก
ซา้ ยน้ีจะยิ้มแย้มมากกว่าและเพื่อนๆของพวกเขาก็ประเมินค่าความสุขของเขาสูงกว่า ในทางตรงกนั ข้ามคนที่สมอง
ซีกขวาทางานมากเป็นพิเศษกับรายงานถึงความคิดและความทรงจาท่ีไม่ดีมากกว่า ย้ิมน้อยกว่า และเพ่ือนๆของ
พวกเขาก็ประเมินค่าความสุขของเขาต่ากว่าด้วย ความแตกต่างของปฏิกิริยาในสมองซีกซ้ายและขวาตอนหน้า จึง
เป็นเครื่องบ่งชี้ความสุขของคนความแตกต่างนี้จะเปล่ียนแปลงไปตามวิธีการรายงานอารมณ์ด้วยตนเองต่างๆ ผล
การทดสอบหนึ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อคนเราได้รับประสบการณ์ที่ดี (เช่น ได้ดูภาพยนตร์สนุกๆ) คนที่โดยปกติแล้ว มี
ความสุขในขณะที่พักสงบก็จะเกดิ ความสุขมากที่สุด เมื่อเขาได้รบั ประสบการณ์ท่ีไมด่ ีเขากจ็ ะรสู้ ึกไมส่ บายน้อยที่สุด
อกี ด้วย การวัดอีอีจนี ้ีใช้ไดแ้ ม้กับเด็กทารกแรกเกิด เมอ่ื ให้เด็กดดู ของรสชาตอิ รอ่ ยๆ สมองซกี ซ้ายตอนหนา้ ของเด็ก
กจ็ ะเร่มิ สง่ สัญญาณแต่ถา้ ให้ดูดของรสเปร้ียวเข้าไปก็จะเกดิ ปฏิกริ ิยาในสมองซีกขวาแทน ปฏกิ ิรยิ าในสมองของเด็ก
อายุ 10 เดือน ในขณะท่ีพักสงบสามารถบอกได้ว่าเด็กนั้นจะมีอาการอย่างไรหากแม่ของเด็กหายไปหนึ่งนาที เด็ก
ทารกท่ีสมองซีกขวาทางานมากกว่ามกั จะร้องไหใ้ นขณะท่ีเด็กในพวกซีกซ้ายจะยังคงอารมณ์ดอี ยู่ เด็กซีกซ้ายที่อายุ
2 ขวบคร่ึงจะช่างสารวจมากกว่า ในขณะท่ีเด็กซีกขวาจะติดแม่มากกว่า อย่างไรก็ดีความแตกต่างระหว่างเด็กสอง
กลุ่มน้ีจะเปลี่ยนแปลงไปจนกระท่ังเติบโตเป็นวัยรุ่นท้ังในด้านบุคลิก และคลื่นสมอง ความแตกต่างนี้ในผู้ใหญ่จะ
คงที่มากกว่า

นอกจากสมองกลีบหน้า (frontal lobes) อะมิกดาลาซึ่งอยู่ลึกลงไปในสมอง ก็เปน็ แหล่งท่ีมาของอารมณ์
เช่นกัน สมองส่วนนี้ทาหน้าท่ีกระตุ้นศูนย์กลางการควบคุมการตอบสนองของร่างกาย ต่อสิ่งเร้าท่ีน่ากลัวหรือท่ี
เรียกว่าภาวะสู้หรือหนี (fight-or-flight syndrome) แต่อะมิกดาลาในคน ก็ไม่ได้แตกต่างจากสัตว์ช้ันต่าท่ีสุดมาก
นกั การทางานก็เป็นไปแบบไรส้ านึก อย่างไรก็ดปี ระสบการณ์ในส่วนทีม่ ีสานึกของมนุษยจ์ ะเก่ียวข้องกับกลบี หน้าซึ่ง
ในมนษุ ย์นั้นมีการพฒั นามากจะเห็นได้ว่าศาสตร์แหง่ สมองยนื ยันถึงความเป็นแก่นสารวดั ไดข้ องความสุขและความ
เจ็บปวด ดังนั้นการวัดความสุข จึงทาให้ชัดเจนขึ้นจากการศึกษาเกี่ยวกับการทางานของสมองท่ีมีส่วนสัมพันธ์กัน
จึงทาใหก้ ารศกึ ษาในเร่ืองน้เี ป็นรูปธรรมมากขึ้น

5.3 แนวคิดปัญญากบั การพัฒนาความสขุ
ความคิด เป็นพฤติกรรมภายในท่ีส่งผลต่อการเกิดพฤติกรรมภายนอก หัวข้อก่อนหน้าน้ันได้พูดถึง
ความคิดเชิงบวกว่ามีผลต่อการเกิดความสุข การคิดเชิงบวกที่กล่าวไว้ก่อนหน้าน้ี ได้อธิบายเกี่ยวกับว่า หากเรา
ค้นหาศักยภาพในตนเองเจอ และพัฒนา ก็จะทาให้เราประสบความสาเร็จ ความสาเร็จก็จะนามาซึ่งความสุข และ
การมองสิ่งต่างๆท่ีเข้ามาในแง่บวก จะช่วยให้เกิดสุขภาพจิตท่ีดีได้ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีเป็นแนวคิดฝ่ังตะวันตก หลักการคิด
แบบปัญญาภายใน เป็นแนวคิดของฝ่ังตะวันออกโดยความรู้นี้ได้ถูกค้นพบโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เขียนได้
ศึกษาและทาการวิจัยเก่ียวกับเร่ืองนี้และได้ความรู้ที่จะนามาอธิบายว่า ปัญญาภายในหมายถึงอะไร และมี
สาระสาคญั แบบใด แต่กอ่ นอนื่ นนั้ ขออธบิ ายความหมายและลักษณะของปญั ญาให้เข้าใจก่อน ดังน้ี

แนวคดิ ปญั ญาในทศั นะตะวนั ตกและตะวนั ออก
ปัญญาในทัศนะของชาวตะวันตกกับชาวตะวันออกนั้น มีข้อคิดเห็นที่แตก ต่างกัน เน่ืองจากว่า
ชาวตะวันตกนั้นมักจะศึกษาส่ิงที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้ เช่น การสร้างนวัตกรรมผลงานใหม่ๆ ที่เกิดจาก
ความสามารถทางความคิด เป็นความฉลาดทางด้านสมอง ปัญญาในทัศนะของชาวตะวันตกจึงออกมาในรูปของ

50


Click to View FlipBook Version