The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศาสตร์และศิลป์ในการสร้างความสุข

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by adphongnut, 2021-12-28 21:25:14

ศาสตร์และศิลป์ในการสร้างความสุข

ศาสตร์และศิลป์ในการสร้างความสุข

Keywords: Sciences and Arts

ความสามารถ การกระทา ผลสัมฤทธ์ิ เป็นต้น แต่มุมมองในทัศนะของคนตะวันออก ปัญญาหมายถึง ความเข้าใจ
การเข้าถึงอารมณ์ ความร้สู ึก การเขา้ ถึงความจรงิ ซ่ึงเนน้ การเปล่ียนแปลงภายในมากกว่าผลสมั ฤทธิ์ภายนอก ดังท่ี
นกั การศึกษาชาวตะวันตกท่านหนงึ่ ได้อธิบายไว้ดังน้ี Christopher (2012) ได้อธิบายไว้วา่ นักคิด ชาวตะวันตกส่วน
ใหญ่จะให้ความสาคัญในเรื่องของปัญญาในด้านการผสมผสานความสาคัญทางเหตุผลต่างๆ ความรู้ และการ
แสดงออก บางทีการให้คานิยามของปัญญา ในด้านชุดของความสามารถในการเรียนรู้ที่ประกอบด้วยการได้มาซึ่ง
ความรู้ และการพัฒนาทักษะเพ่ือนาไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ ส่วนนักคิดทางตะวันออกน้ันได้ให้ความหมายของ
ปญั ญาที่หลากหลาย แตเ่ น้นถึงพลังการส่งผ่านของปัญญาในเชิงสร้างสรรค์ ท่ีมีผลกระทบต่อกระบวนการคิด การ
หย่ังรู้ อารมณ์ และประสบการณ์ระหว่างบุคคล ท่ีไม่ได้แยกความรู้ออกเป็นเรื่อง ๆ แต่หมายถึงการรวมเอา
ประสบการณ์ของจติ วิญญาณอยู่เหนือส่งิ ทั้งปวง ที่เราคนุ้ เคยหรอื ท่ีเราสัมผัสรบู้ นโลกแห่งความเป็นจรงิ นอกจากนี้
แล้วยังรวมถึงเร่ืองของความกลมกลืนกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติท่ีเห็นอยู่ แล้วนาเข้ามาเป็นส่วนหน่ึงของปัญญา
โดยไม่ได้แยกออกจากธรรมชาติแต่อย่างใด แนวคิดด้านตะวันออกน้ันเป็นเรื่องท่ีอยู่ในวิถีวัฒนธรรมของคนเอเชี ย
มานาน โดยได้รับอิทธิพลมาจากคาสอนของพระพุทธเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็มีอิทธิพลโดยตรงต่อนักจิตวิทยา
ตะวันตกที่ยอมรับ ในเรื่องการใช้สติบาบัด ดังจะเห็นได้ว่าคาสอนเร่ืองปัญญาของพระพุทธเจ้าน้ันได้ถูกนาไปใช้ใน
ด้านรูปแบบของโลก ธรรมชาติ และวถิ ใี นการเห็นทุกข์

ลักษณะของปัญญาในทางโลกกับปญั ญาในทางพุทธศาสนา
จันทร์เพ็ญ ภูโสภา (2559)ได้อธิบายไว้ว่า แม้แต่ปัญญาในทางโลก กับปัญญาในทางพุทธศาสนาน้ัน ก็มี
ความแตกต่างกัน มีนิยามและความหมายที่ไม่เหมือนกัน แต่การดาเนินชีวิตที่ดีนั้นจะต้องพัฒนาปัญญาทั้ง 2 ทาง
ดาเนินอย่างควบคู่ไปด้วยกันเนื่องจากเราต้องอาศัยปัญญาทางโลกในการประกอบการงาน และอาศัยปัญญาทาง
ธรรมเพื่อการขจัดความทุกข์ และปัญหาต่างๆในชีวิต หากสุดโต่งในทางใดทางหน่ึง ชีวิตก็อาจขาดความสมดุลได้
ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า บางเหตุการณ์สะท้อนให้เราเห็น เช่น นักธุรกิจประสบความล้มเหลว แล้วฆ่าตัวเองพร้อม
ครอบครัว นายแพทย์ฆ่าห่ันศพแฟนสาว นักการเมืองคอรัปช่ัน เป็นต้น สิ่งเหล่าน้ีชี้ให้เห็นว่า ความรู้หรือปัญญา
ทางโลกอยา่ งเดยี วน้นั ไม่สามารถทาใหช้ ีวติ มคี วามสุข หรือแกป้ ญั หาต่างๆได้ ดังน้ันชีวติ ทดี่ ีงามจะตอ้ งดาเนนิ การท้ัง
2 ฝา่ ยควบคูก่ ันไปซง่ึ สามารถทาความเขา้ ใจไดด้ งั น้ี

1. ปัญญาท่ีได้จากการศึกษาทางโลก สนอง วรอไุ ร (2553) ไดอ้ ธบิ ายไวว้ า่ คือปญั ญาที่ไดจ้ ากการศกึ ษา
เล่าเรียน การฟังคนอื่นพูด หรืออ่านหนังสือแล้วเก็บไว้ในความทรงจา หรือนามาคิด มาจินตนาการ ปัญญา
ประเภทน้ีไม่ใช่ปัญญาที่รู้จริงแท้ รู้ความจริงเพียงช่ัวคราวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปเน่ินนานอาจเปลี่ยนแปลงได้
เหมือนความรู้ที่เราเรียนมาจากโรงเรียน เม่ือเวลาผ่านไปองค์ความรู้เหล่าน้ันก็มักจะเปลี่ยนแปลงนามาใช้ไม่ได้
เช่นเดียวกันกับตาราเก่าในห้องสมุด เม่ือตกยุคแล้วก็นามาใช้อ้างอิงไม่ได้ และจันทร์เพ็ญ ภูโสภา. (2559) ได้
อธิบายไว้ว่า แม้จะมีปัญญาทางโลกมากเท่าไหร่ ก็ยังคงจัดว่าเป็นบุคคลท่ีทางพุทธศาสนาเรียกว่า มีอวิชชา คือ
ความรู้ไม่จริง หรือความรู้ท่ียังมีกิเลสแฝงอยู่น่ันเอง ดังน้ันปัญญาทางโลกจึงเป็นปัญญาท่ีมุ่งศึกษาการดาเนินชีวิต
การทางาน การใช้ชีวิตโดยท่ัวไปตามสัญชาติญาณ การเอาตัวรอด การสร้างความสะดวกสบายให้แก่ชีวิต หรือพูด
ง่ายๆคือการตอบสนองตามสัญชาติญาณ หรือ ID ตามทฤษฎีของ ฟรอยด์ มนุษย์มักจะใช้ความฉลาดที่มีอยู่ในการ
คิดค้นหาความสะดวกสบาย เช่น อากาศร้อนก็มีห้องแอร์ มีการคิดเคร่ืองปรับอากาศ ไม่อยากแก่ก็คิดผลิต
เครื่องสาอางเพ่ือชะลอความแก่ เป็นต้น ส่ิงเหล่าน้ีเพื่อหลีกหนี จากความทุกข์ การตอบสนองของ อิด (ID) ไม่

51

สามารถทนต่อความเครียดและการทางานของมันจะทาให้ความตึงเครียดลดลง เพื่อให้ได้มาซ่ึงความพอใจ ซึ่ง
เรียกว่ากฎแห่งความพึงพอใจ (Pleasure Principle) ความรู้ทางโลกนี้จึงเป็นเพียงการเอาความฉลาดทาง
สติปัญญา มาใชส้ ร้างองค์ความรู้เพ่ือบาบัดความทุกข์ หรือปัญหาต่างๆ ทเ่ี กิดข้ึน ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นความรู้ท่ีเข้าถึง
ความจริงแท้ เมือ่ มนุษย์ไม่เข้าถึงความจริงแท้ หรอื รากเหง้าของปัญหาทแี่ ท้จริง มนุษย์ก็ไม่สามารถแก้ปญั หานั้นได้
จากตน้ เหตุ หากแต่พยายามแก้ปัญหานั้นท่ปี ลายเหตุ ซึ่งไม่มีวันแก้ไขได้หมดส้นิ ดังน้ันเราจะเห็นได้ว่าคนสมยั ใหม่
นมี้ ีการศกึ ษาที่สูงขึ้นมาก เม่ือเทียบกบั คนสมัยกอ่ น แตเ่ หตุไฉนปัญหาตา่ งๆ ก็เพิม่ เป็นเงาตามตวั เช่นกนั ยง่ิ ช้ีให้เห็น
ชัดว่าปัญญาทางโลก ยังไม่ได้แก้ไขความทุกข์ในมนุษย์อย่างแท้จริงน่ันเอง ความรู้ในระดับน้ีจึงเป็นเพียงการ
ตอบสนองในเรื่องสญั ชาตญิ าณ (Instinct) เท่าน้นั

2. ปัญญาท่ีเกิดจากการศกึ ษาทางธรรม สนอง วรอไุ ร (2553) ไดอ้ ธิบายไวว้ า่ คือปญั ญาทเี่ กิดข้ึนในดวง
จิต เป็นปัญญาที่รจู้ รงิ และไม่เนื่องด้วยกาลเวลา แบบพระปญั ญาของพระพทุ ธเจา้ คอื ร้คู วามจริงในวันน้ี และไม่ว่า
จะวันไหนๆ ตอ่ ไปอกี ร้อยปี หม่ืนปี แสนปีก็ยังเปน็ ความจริง ปญั ญาประเภทนกี้ ารศกึ ษาทางโลก เขา้ ไม่ถึงจะเกิดขึ้น
ได้ก็ต่อเม่ือมีการพัฒนาจิตเท่าน้ัน ทางพระพุทธศาสนาจึงเรียกปัญญาประเภทนี้ว่า ภาวนามยปัญญา ภาวนา
แปลว่า พัฒนา นั่นเอง ภาวนามยปัญญา คือ ความรู้สูงสุดที่ได้จากการปฎิบัติ จันทร์เพ็ญ ภูโสภา. (2559) ได้
อธิบายไว้ว่า ปัญญาในทางธรรมนั้นเป็นปัญญาที่เข้าถึงความจริงแท้ เป็นหลักการ ทฤษฎี ท่ีพระพุทธเจ้า ได้ทรง
คน้ พบ กล่าวเมื่อไหร่ ก็เปน็ ความจรงิ เมื่อน้ัน เช่น สรรพสิ่งทั้งหลาย มีการเกิดข้ึน ตั้งอยู่ ดับไป สรรพสิ่งท้ังหลายมี
ความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน ขอยกตัวอย่าง สรรพสิ่งทั้งหลาย มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เช่น ความตายในมนุษย์
ใบไมร้ ่วง รถยนต์ชารุด แกว้ หล่นแตก หลอดไฟขาด เป็นต้น เมื่อความเข้าใจนเ้ี กดิ ขึ้น เราจะไมโ่ กรธ เสยี ใจ เสยี ดาย
หากแต่รวู้ ่ามันเป็นธรรมชาติของมันอย่างน้ัน ส่วนสรรพสิ่งท้ังหลายมีความเก่ยี วเน่ืองสัมพันธ์กันนั้น เช่นนา้ ชาที่อยู่
ในแก้ว มีใครส่ิงใด มาเกี่ยวข้องบ้าง มีคนปลูกชา มีดิน มีปุ๋ย มีแสงแดดจากพระอาทิตย์ มีก้อนเมฆ เป็นต้น มา
เก่ียวข้อง และถ้ามองให้ลึกซ้ึง ยงั มีอีกมากมายหลายอย่าง และท่ีสุดแล้วทุกอย่างทง้ั หมดคือสิ่งเดียวกนั สัมพันธ์กัน
ตามหลักอทิ ัปปัจจยตาน่นั เอง เม่อื ความเข้าใจตรงนี้เกิด การแบ่งชนชน้ั สงคราม การเหยียดสีผวิ หรือการแบ่งแยก
อน่ื ๆ ก็ไม่เกิด จิตก็จะมีความรักความเมตตาเกิดข้ึน สันติภาพบนโลกใบนีก้ ็จะเกิดขึ้น ความรู้ในระดับน้ีจงึ เป็นเรื่อง
ของความเขา้ ใจทถี่ ูกต้องตามจรงิ จงึ เกดิ ความคดิ ทา่ ทีการมองโลกที่ถูกตอ้ ง

ดังน้ันเราควรทาความรู้จักกับปัญญาให้ถ่องแท้ จะได้ไม่หลงไปเอาสิ่งอ่ืนมาเป็นปัญญา เช่น ใครเรียนจบ
สงู ๆ ใครประสบความสาเรจ็ ในการประกอบอาชีพ หรือใครฉลาดรู้ทันคน เรากย็ กยอ่ งว่ามีปัญญามาก น่ันเป็นเพียง
ปัญญาอย่างโลกๆ ยังไม่ใช่ปัญญาตามความหมายในทางพระพุทธศาสนา เพราะปัญญาอย่างโลกๆ เป็นปัญญาที่
เปรียบเสมือนดาบสองคม คนเราพร้อมจะใช้ปัญญานั้นเบียดเบียนตนเองและผู้อ่ืนให้เดือดร้อนได้ ส่วนปัญญา
ในทางพระพุทธศาสนาเป็นเคร่ืองแก้ทุกข์ ดว้ ยการรู้ทนั ตนเอง รูท้ นั ชวี ิต รู้ทันโลก ปัญญาเปน็ เครือ่ งนาประโยชนส์ ุข
มาสู่ตนเองและผู้อื่น ดังนั้นคนที่ไม่จบปริญญา ไม่ร่ารวย ก็สามารถดารงชีวิตอย่างมีสันติสุข เม่ือเข้าใจสิ่งต่างๆว่า
เป็นส่ิงท่ีไม่มีความเที่ยงแท้ ไมม่ ีตัวตนที่แท้จริง เม่ือเขา้ ใจตามจริงแล้ว ก็ไม่หลงเข้าไปยึด จิตก็มีความยืดหยุ่น สงบ
ความสุขง่ายๆ ก็เกิดข้ึนได้ ปัญญาในทางพุทธศาสนาจึงเป็นปัญญาที่ควรได้รับการปลูกฝัง เพราะเป็นการสอน
เก่ยี วกับความจริงแท้ ดังนัน้ ชวี ิตทีส่ มดลุ คือชวี ิตท่ตี อ้ งประกอบไปดว้ ยทั้งปญั ญาทางโลกและปัญญาภายในนน่ั เอง

แนวคดิ ปัญญาภายใน (Inner Wisdom)
ปัญญาภายใน คือ ปัญญาท่ีเกิดมาจากตัวเราเอง โดยได้จากการฝึกปฎิบัติท่ีเรียกว่า ภาวนามยปัญญา
เน่ืองจากปัญญาภายในน้ีเป็นความจริงที่ต้องอาศัยปัจจัยภายใน ในการเข้าถึงความจริง นั่นคือเริ่มจากการที่ต้อง

52

เรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวตนของเราก่อน ปัญญาภายใน คือการมุ่งเน้นให้บุคคลเข้ามาศึกษาด้านในตนเอง
มากกว่าท่ีจะศึกษาส่ิงที่อยู่ภายนอก ด่ังท่ีพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า เราไม่สามารถศึกษาใบไม้ในป่าได้ทุกใบ แต่เรา
จงหยิบใบไม้มาแล้วศึกษาเฉพาะใบไม้ที่อยู่ในกามือของเรา เมื่อเราเข้าใจใบไม้ที่อยู่ในกามือของเราแล้ว เราจะ
เข้าใจใบไม้ทุกใบที่อยู่ในป่าทั้งหมด ก็เหมือนว่า ถ้าเราศึกษาตนเองได้อย่างเข้าใจถ่องแท้แล้ว เราก็จะเข้าใจคนอ่ืน
และสิง่ อืน่ ไดเ้ ชน่ กัน

หลวงปู่บุญหนา ธัมฺมทินฺโน (2555 : สัมภาษณ์) ได้ให้ความหมายของปัญญาภายในไว้ว่า ปัญญาภายใน
หมายถึง กค็ ือ ภายในจิตของเรา การภาวนามยปัญญาเป็นปัญญาโดยใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา จะทาให้เกิดปัญญาทา
ให้เกิดภายในจิตใจ ด้วยจิตท่ีสงบในการทาสมาธิ การมีสมาธิจะทาให้มองเห็นสิ่งต่างๆ การพิจารณาร่างกาย
พิจารณาสงั ขาร 32 ประการ ได้อย่างละเอยี ดมากขึ้น ถ้าพิจารณาเหน็ ก็จะพน้ ทุกข์

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (2543 : 483) ให้ความหมายของปัญญาไว้ว่า กายภายในน่ีเอง กาหนดว่า กายานุปัสส-
นาสติปัฎฐาน มีสติกาหนดกาย เช่น ยืนหนอ 5 คร้ังขอให้ทาให้ได้ ต้ังสติไว้ท่ีกระหม่อม กาหนดว่ายืน ฉายแสงลงไป
ยืนหนอลงไปที่ปลายเท้า ยืนสารวมจากปลายเท้าข้ึนมาบนศีรษะ ยนื หนออย่างนี้เป็นตน้ ถ้าสติเราดีแลว้ จิตใจเราก็
จะอยู่มั่นคง มันจะเกิดปัญญาภายใน จะรู้อารมณ์ของเรา รู้วาระจิตของเรา หายใจสั้นยาว เราจะมีสติควบคุม
อารมณ์ของเราอยู่เสมอ ภายในมันก็ชัด ตัวเราก็อ่านตัวออก บอกได้ใช้เป็น จะเห็นตัวตายคลายทิฏฐิ ดาริชอบ
ประกอบกศุ ล ได้ผลอนนั ต์เป็นหลักฐานสาคัญ เพราะปญั ญาตวั ในนี้เอง

ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ (2551) ได้ให้ความหมายปัญญาภายใน ว่าหมายถึง ปัญญาท่ีจะพัฒนาจิตของ
ตนเอง จะทาใหเ้ รารู้จักปล่อยวางได้ เวลาท่ีมีอารมณ์ทาให้เราเห็นในอารมณ์ เห็นในความคดิ และรู้จกั การเฝ้าสังเกต
อารมณโ์ ดยที่จิตของเราไม่ไปผูกตดิ กับสง่ิ ท่มี ากระทบและจะไมโ่ ตต้ อบปล่อยใหเ้ ป็นเร่ืองทเ่ี กดิ ขึน้ และดับไปเอง

จันทร์เพ็ญ ภูโสภา (2559) ได้อธิบายปัญญาภายในไว้ว่า ปัญญาภายใน คือ กระบวนการศึกษาด้านในของ
ตนเอง โดยอาศยั การเรียนรู้ จากปัจจัยทางกาย คือการเฝา้ สังเกตตนเอง โดยมีสติจับจ้องอยู่กบั การเคล่ือนไหวทาง
กาย และลมหายใจเข้าออก และอาศัยปัจจัยทางจิต น่ันคือการตามความคิด ความรู้สึก โดยนามาจับจ้องการ
เคลื่อนไหวทางกายอย่างมีสติ เป็นการฝึกการเฝ้าสังเกตตนเอง เม่ือปฎิบัติได้จนชานาญแล้ว จะเห็นการ
เปลี่ยนแปลงภายในตนเองท่ีเกิดขน้ึ จนนาไปสู่การรู้เท่าทัน ความคดิ ความร้สู ึก จนสามารถควบคุม ความคิด และ
ความรู้สึกได้ รวมถึงการมีความเข้าใจในสงิ่ ตา่ งๆทถ่ี ูกต้องตามความจริง โดยมีหลักธรรมรองรบั คือ หลักเบญจขันธ์
หลักอิทัปปัจจยตา และหลักไตรลักษณ์ ผลจากการฝึกปฎิบัติการเฝ้าสังเกตตนเองน้ี ส่งผลให้จิตสงบ มีความ
แน่วแน่ เป็นสมาธิ จนนาไปส่กู ารเกดิ ปญั ญา หรือความคดิ อันถกู ต้องตามความเป็นจริง

จะเหน็ ได้ว่าปัญญาภายในนี้ มีความหมายสภาวธรรมอันเดียวกันกบั ปัญญาในทางพระพทุ ธศาสนาที่เข้าถึง
ความจริงแท้ของสรรพสิง่ ตามท่ีมันเป็น ซึง่ ไม่ใช่ความจริงสมมุตติ ามที่เราอยากให้เป็น ที่ใช้คาว่าปัญญาภายในนั้นก็
เพราะว่าเราใช้กระบวนการศึกษาเข้ามาสู่ด้านในของตัวเอง อันล้วนเกิดจากตัวของผู้ปฏิบัติเอง การอยู่กับตัวเอง
อย่กู ับลมหายใจ และอิรยิ าบถตา่ งๆ ท่ีเรยี กว่า สติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) และมีวริ ยิ ะเป็นกาลงั คอื ต้อง
เกิดจากตัวบุคคลมีความเพียรในการฝกึ ฝนปฏิบัติ แล้วส่งผลต่อความสามารถภายในตวั บุคคลที่จะสามารถควบคุม
ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม เม่ือเผชิญกับปัญหาใดๆ เข้าใจในปัญหานั้นตามความเป็นจริง รู้เท่าทันความคิด
ของตนเองท่ีเกิดข้ึน สามารถจัดการและปล่อยวางอารมณ์นั้นได้อย่างเข้าใจส่งผลต่อสุขภาพจิตอันดี เกิดการ
ตระหนักรูต้ ามความเป็นจรงิ ของสรรพส่ิง เห็นถงึ ความเช่ือมโยงของสรรพสิ่งทงั้ หลายต่างองิ อาศัยซง่ึ กันและกนั ทุก
อย่างเกิดขึ้นล้วนเปน็ เหตุและปัจจัยแห่งการเช่ือมโยง เมื่อเกิดการไม่สมหวัง ไม่ประสบความสาเร็จ สามารถเข้าใจ

53

ตามความเป็นจริงโดยไม่มีการโทษตัวเองซ่ึงนามาแห่งความเศร้าหมองแห่งจิตส่งผลต่อการมองส่ิงต่างๆ แบบ
ยืดหยุ่น ทาใหเ้ กิดการลดอัตตาตัวตนอันเป็นเหตแุ ห่งทุกข์ มีความรเู้ ทา่ ทันแห่งการประกอบกันระหว่างร่างกายและ
จิตใจ ที่เรียกว่าเบญจขนั ธ์ การทางานของอวัยวะสัมผัสต่างๆ ที่เรียกว่าอายตนะ 6 โดยรู้เทา่ ทันในสิ่งตา่ ง ๆ ส่งผล
ให้เกิดการไม่ลุ่มหลงในรูป และการเข้าใจในการทางานของนาม หรือว่าความคิด การมองสรรพส่ิงทุกอย่างว่า มี
การเกิดข้ึน ต้ังอยู่ และดบั ไป ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา สง่ ผลให้เกิดการไมย่ ึดม่นั ถอื มั่น ในอารมณ์
ที่เกิดกับความรู้สึกต่างๆไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ส่งผลต่อบุคลิกภาพท่ีเยือกเย็น ไม่วู่วาม มีระดับความเข้ม
ของอารมณ์ที่ลดนอ้ ยลงไป สิ่งเหล่าน้ีเมื่อเกิดขึ้นกับผู้ใด ผูน้ ้ันก็จะลดความทกุ ข์ เหตุเพราะการเข้าใจความจริงของ
สิ่งตา่ งๆ และการรเู้ ท่าทนั ในสง่ิ ต่างๆท่ีเกดิ ขนึ้ เมอื่ ความทุกข์ลดลง ความสขุ ก็จะเพ่ิมขนึ้ นั่นเอง ดังนัน้ ปญั ญาภายใน
จึงเป็นองค์ความร้ทู ี่ทาให้เขา้ ถึงความจริงตามท่มี นั เป็น ไมใ่ ช่ตามทเี่ ราอยากให้เปน็

สรุปได้ว่าหากเราจะพัฒนาความสุขน้ัน จาเป็นอย่างยิ่งคือการหันมาศึกษาส่ิงที่อยู่ภายในตนเอง คือ
ความคิดและความรู้สึก หมายความวา่ การทเ่ี ราเข้าใจสงิ่ ตา่ งๆตามความจริงท่ีเป็น เม่ือมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ย่อม
ส่งผลต่อความคิดท่ีถูกต้องเม่ือเรามีความคิดที่ถูกต้องย่อมส่งผลต่อความรู้สึกท่ีอิสระไม่ยึดติด ความสุขก็จะเกิด
ขึ้นมานั่นเอง และที่สาคัญคือ การรู้เท่าทันในความคิดความรู้สึก จนเราสามารถท่ีจะควบคุมในความคิดความรู้สึก
เราได้ การเรียนรู้เข้าไปสู่ด้านในตนเอง การฝึกปฎิบัติในการมีสติอยู่กับตนเอง จึงเป็นสิ่งที่มีความสาคัญ แต่ปัญหา
ส่วนใหญค่ อื ท้งั ๆที่รู้วา่ ไม่ดี ทั้งๆท่รี ู้ว่ามันผดิ แตก่ ็ยงั ทาสิง่ เหล่านนั้ อยู่ จงึ ก่อใหเ้ กิดปญั หาตามมา ชวี ิตจึงเตม็ ไปด้วย
ความทุกข์ แต่เมื่อเราฝึกฝนจนสามารถควบคุมตนเองได้ จัดการกับตนเองได้ ย่อมส่งผลต่อการควบคุมท้ังความสุข
และความทุกข์ในชีวิตตนเองได้เช่นเดียวกัน ดังน้ันการศึกษาเข้ามาด้านในจึงเป็นส่ิงท่ีสาคัญเป็นรากเหง้าในการ
พัฒนาความสุขจากต้นเหตุของการเกิดความสขุ อย่างแท้จรงิ

54

บทท่ี 3

สนุ ทรยี ภาพและการรบั รท้ างความงาม

ความงามเป็นส่งิ ท่มี นุษย์เรารับรูไ้ ดด้ ้วยอารมณท์ างด้านสนุ ทรยี ะ อารมณ์ที่ก่อใหเ้ กิดสุนทรยี ะเป็น
สุนทรียภาพ สุนทรียภาพเกดิ ขนึ้ ได้อยา่ งไมย่ ุ่งยากอะไร เพียงแคเ่ ราไดไ้ ปพบเหน็ แล้วเกดิ อารมณส์ นุ ทรยี ะ สนุ ทรียะ
คือความงาม สนุ ทรยี ภาพคือความร้สู ึกในความงาม สุนทรียศาสตร์คือศาสตรท์ เ่ี ก่ียวกบั ความงาม

สุนทรียศาสตร์ เป็นสาขาของปรัชญาทศี่ กึ ษาเกย่ี วกับเรือ่ งความสวย ความงาม ความไพเราะ โดยเฉพาะ
อยา่ งยิ่งความงามทางศลิ ปะ เพ่ือหามาตรการสาหรับตัดสินความงาม ความงามเป็นความร้สู กึ ของจติ ใจ จะมีมาก
หรือน้อยขึ้นอยู่กบั ธรรมชาติ นิสยั ส่วนบุคคลและการฝึกอบรม ความงามเป็นคุณสมบัตทิ างศีลธรรม พทุ ธปิ ัญญา
และรูปสมบตั ิ ซง่ึ อาจโนม้ น้าวใจเราให้เกิดความรสู้ กึ และปลาบปลม้ื ยินดดี ว้ ยความสมบูรณข์ องรูป สี เสยี ง ถ้อยคา
และความคดิ ความงามเปน็ ความกลมกลืนระหว่างเน้ือหากับรูปแบบ ความงามในแง่ของปรัชญา เปน็ เรื่องราวของ
การพจิ ารณาถึงความเหมาะสม ประโยชนม์ ีคณุ ค่าต่อสังคม สนุ ทรียะ มสี ่วนประกอบเพอ่ื พฒั นาบุคลิกภาพตา่ ง ๆ
ของแต่ละบุคคล ให้เหมาะสมกลมกลืน

ความหมายของสนุ ทรยี ศาสตร์
สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) หมายถึง วชิ าความรทู้ างดา้ นความงาม ท้ังความงามในสรรพสงิ่ ทีเ่ กิดขึน้ เอง

โดยธรรมชาติ เช่น ภูเขา ทะเล ตน้ ไม้ เป็นตน้ และความงามในสิ่งท่ีมนุษยส์ รา้ งขนึ้ หรือศิลปะ
พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พทุ ธศักราช 2525 ไดใ้ หค้ วามหมายเกี่ยวกบั ความงามหรือความเป็น

สุนทรียะไว้ ดังต่อไปน้ี
สุนทรยี ศาสตร์ มาจากศัพทภ์ าษาบาลีวา่ “สุนทรีย” แปลว่า ความงาม (สุนทร แปลวา่ งาม) ดี “ศาสตร์”

แปลว่า วิชา สุนทรยี + ศาสตร์ เปน็ “สุนทรยี ศาสตร์” จงึ แปลว่า วิชาวา่ ด้วยความงาม คาวา่ “สนุ ทรียศาสตร์”
เปน็ ศัพท์ทใี่ ช้แปลคาภาษาอังกฤษว่า “Aesthetics” ซึง่ แปลวา่ การศึกษาเร่ืองความงามหรือปรัชญาความงาม
หรอื รไู้ ดด้ ้วยผสั สะ Aesthetics มาจากภาษากรีกว่า Aistheticos คากริยาวา่ Aisthanomai แปลวา่ ร้ดู ้วย
ประสาทสมั ผสั

สนุ ทรยี -, สุนทรีย ว. เกีย่ วกบั ความนยิ ม ความงาม
สุนทรียภาพ (ศลิ ปะ) น. ความรู้สกึ ถงึ คุณคา่ ของสงิ่ ท่งี าม และความงาม และความเปน็ ระเบยี บของเสียง
และถ้อยคาที่ไพเราะ
สุนทรียศาสตร์ น. วชิ าว่าด้วยความนิยม ความงาม
พจนานกุ รมศพั ท์ศลิ ปะอังกฤษ-ไทย ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พทุ ธศักราช 2530 ไดใ้ หค้ วามหมายเก่ยี วกบั
ความงามไวด้ ังน้ี
สุนทรศี าสตร์ เป็นวิชาทีเ่ กยี่ วกบั ความซาบซงึ้ ในคุณค่าของสิง่ ที่งดงาม ไพเราะ หรือรืน่ รมย์ ไม่ว่าจะเปน็
ของธรรมชาติหรือศลิ ปะ ความรสู้ ึกนี้เจรญิ ไดด้ ว้ ยประสบการณห์ รอื การศกึ ษา อบรม ฝกึ ฝน จนเป็นอปุ นสิ ยั
สงั คมศาสตร์ รวมทัง้ ประวตั ิ รสนยิ ม การวจิ ารณง์ านศิลปะด้วย

55

สุนทรียศาสตร์ คอื สาขาปรชั ญาทว่ี ่าด้วยความงามและส่ิงทีง่ ามทั้งในทางศลิ ปะและในธรรมชาติ โดย
ศึกษาประสบการณค์ ุณคา่ ทางความงาม และมาตรการตดั สินวา่ อะไรงามหรือไม่งาม การตัดสนิ คณุ คา่ ทาง
สนุ ทรียศาสตรม์ ไี ด้ 3 ลักษณะ คอื ความสวยงาม ความตดิ ตาติดใจ และความเลอเลิศ

สนุ ทรยี ศาสตร์ เป็นสาขาหนง่ึ ของปรชั ญาบริสทุ ธ์ิทางดา้ นคุณวิทยา Aesthetics มาจากรากศัพท์ภาษากรี
กว่า aistheticos แปลว่า ผู้รู้โดยผสั สะ (sense) ผู้ทีน่ าคานี้มาใช้เปน็ ท่านแรกคือ บามการเ์ ทน่ (Baumgarten) นกั
ปรัชญาชาวเยอรมัน ซึ่งไดป้ ระพนั ธห์ นังสอื ช่ือ Aesthetica ขนึ้ เม่ือ ค.ศ. 1750 แสดงถึงรูปแบบของความรู้ทาง
ผัสสะ และความรู้อันเป็นผลตามนัยแห่งตรรกะอันแตกตา่ งกัน

กลา่ วไดว้ า่ สนุ ทรยี ศาสตรเ์ ป็นปรชั ญาแขนงหนึ่งท่สี ัมพันธ์กบั ความงาม (beauty) พยายามทาความเข้าใจ
ถึงความงาม และมาตรการในการตดั สนิ ความงาม (judgment of beauty) ซ่งึ นักปรชั ญา จอรจ์ สนั ตะยะนา
(George Santayana) ไดน้ ิยามความหมายของความงามในงานเขียนเรอื่ ง The Sense of Beauty ซึง่ กลา่ วว่า
ความงามคือความพึงพอใจจากคณุ ลักษณะหนึ่งของวัตถุ และความงามเปน็ ส่ิงทฝี่ งั อยู่ในวัตถุนัน้ เหมือนกับ
คุณลกั ษณะอน่ื ของวตั ถุ เช่น สี ขนาด ฯลฯ ดังนนั้ ความงามเป็นความรสู้ ึกในเชิงบวก (positive sensation) และ
เปน็ ความพึงพอใจที่แฝงเรน้ อยู่ภายใน ไม่ได้มาจากการใชป้ ระโยชนข์ องสิ่งน้นั อย่างไรก็ตาม นิยามของความงามมี
ความแตกต่างในแต่ละวฒั นธรรมและยุคสมัย ซ่ึงในภายหลังไดม้ ีการขยายกรอบของความงามออกไป ไม่เพียงแต่
เป็นความงามในงานศลิ ปะเท่านั้น แต่ยังครอบคลมุ ถึงความงามทแ่ี ทรกในด้านอ่นื เช่น กีฬา และการล่าสตั ว์ และ
ยังขยายรวมไปถงึ ความรู้สึกในเชงิ ลบ เชน่ ความเศร้าโศก ความอัปลกั ษณ์ และความนา่ กลวั อีกด้วย

ความเปน็ มาของสนุ ทรยี ศาสตร์
สนุ ทรยี ศาสตรม์ กี าเนิดมาจากปรชั ญา
เมอื่ พูดถึงปรัชญาเรามักจะหมายถึงทัศนคตหิ รือความคิดบางประการของคนเราต่อชวี ิตหรอื ความเชือ่

ความยึดมนั่ ในอดุ มคตบิ างประการที่คนเราใช้เป็นหลักในการดาเนนิ ชีวิต ดังนน้ั ทุกคนจึงตา่ งก็มีปรัชญา ปรัชญา
เร่ิมต้นมานานกวา่ 2,500 ปีมาแลว้ โดยมบี อ่ เกิดมาจากความประหลาดใจ ความสงสยั และความสานกึ ใน
สถานการณ์พ้นื ฐานชวี ติ รวมทัง้ ความสมั พันธ์ระหวา่ งมนุษยท์ ีม่ งุ่ ให้เกดิ ความเข้าใจกัน ความประหลาดใจ สงสยั มี
ผลให้เกดิ การคิด วิธีคิด ระบบและขอบข่ายความคดิ อันเป็นพฤติกรรมตามหลักเหตุผล และเปน็ กิจกรรมทาง
ปัญญา การคดิ ทางปรัชญาเป็นการพจิ ารณาความรู้ที่มอี ยู่แล้ว เป็นการจัดระเบยี บการตีความ การทาความกระจา่ ง
การวิพากษ์ทุกสิ่งในขอบเขตของส่ิงท่ีรู้ เปน็ การแสวงหาโลกทศั น์ และวิพากษ์ในส่ิงท่เี ปน็ ปญั หาพนื้ ฐาน

ปรชั ญามีขอบเขตกวา้ งขวางกวา่ ศาสตรอ์ ่นื เพราะเปน็ วชิ าครอบจกั รวาล ทงั้ จักรวาลแหง่ สสาร วัตถอุ นั
เปน็ รูปธรรม และจักรวาลแห่งจติ วญิ ญาณอันเปน็ นามธรรม นกั ปรชั ญาเมธไี ดจ้ ดั แบ่งประเภท สาขาของปรชั ญาไว้
หลายแบบ ให้ครอบคลมุ เน้ือหาของปรชั ญามากทีส่ ุด บางทา่ นได้แบ่งปรชั ญาเป็น 3 สาขา ดงั นี้

1. อภปิ รชั ญา (Metaphysics) หรอื ภววทิ ยา ศกึ ษาเกยี่ วกบั ธรรมชาติ จติ วิญาณ พระเจ้า เป็นการ
ค้นหาว่าความเปน็ จริงคืออะไร

2. ญาณวทิ ยา (Epistemology) หรอื ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) เปน็ การตอบปัญหา
เก่ียวกับความรู้ของมนุษย์ ว่าเรารคู้ วามเปน็ จริงได้อย่างไร

56

3. คณุ วิทยา หรอื อคั ฆวิทยา (Axiology) ศกึ ษาถงึ คุณค่าของชวี ิต เราพึงประพฤติตนอย่างไรจงึ จะ
เหมาะสมกบั ความเป็นจริง ประกอบไปดว้ ย จริยศาสตร์ (Ethics) สนุ ทรียศาสตร์ (Aesthetics) และตรรกวทิ ยา
(Logic)

ความงามตามนิยามของนกั ปรัชญา
เพลโต (Plato, 427-347 ก่อนค.ศ.) นกั ปรชั ญาชาวกรกี กล่าวว่า ความงามมาตรฐานมีอยอู่ ย่างปรนัยใน
โลกแหง่ มโนคติ หมายความว่า ความงามที่แทจ้ ริงมอี ยู่ในโลกของความคดิ และการที่จะเขา้ ถึงซ่ึงความงามนั้น
จะตอ้ งอาศัยเหตุผลเทา่ นัน้
อริสโตเตลิ กล่าววา่ ความงาม อยทู่ ่ลี กั ษณะความกลมกลืนของสดั ส่วนตา่ ง ๆ ของวตั ถุ และสดั ส่วนทมี่ ี
ความกลมกลนื กนั สามารถช่วยบรรเทา หรอื ผ่อนคลายความตึงเครยี ดในอวัยวะตา่ ง ๆ ของมนุษย์ การสรา้ งสรรค์
ผลงานศลิ ปะของศิลปนิ เพ่ือถ่ายทอดลกั ษณะของความงาม จึงข้ึนอยูก่ ับทกั ษะความสามารถในการสรา้ งความ
กลมกลนื ของสัดสว่ นใหเ้ กดิ ขึ้นนั่นเอง
ค้านท์ (Kant, 1724-1704) กล่าววา่ ความงาม หมายถงึ อารมณ์ ความรสู้ กึ พงึ พอใจท่ีบริสทุ ธข์ิ องคนเราที่
มตี ่อสิง่ หนึ่งสิง่ ใด เป็นอารมณ์ความรู้สึกพึงพอใจท่ีเกดิ ข้นึ โดยไมห่ วังผลประโยชนอ์ น่ื ใดจากสิ่งนนั้ และอารมณ์พึง
พอใจท่ีมตี ่อความงามของสง่ิ น้ัน เป็นอารมณ์ทีเ่ กดิ จากความสัมพนั ธก์ นั ระหวา่ งความรู้สึกทม่ี ีอารมณ์ (Sensibility)
กับความเข้าใจของคนเรานั่นเอง
เฮเก็ล (Hegel, 1770-1831) กล่าวว่า ความงามเป็นสภาวะท่ีมีปรากฏในทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งมนษุ ย์จะ
สามารถเข้าถึงความงามไดโ้ ดยการฝกึ สมรรถภาพทางจติ และมนุษย์สามารถสรา้ งสรรค์ความงามใหม่ ๆ ได้ดกี ว่า
ธรรมชาติ โดยเฉพาะความงามทปี่ รากฏในงานศลิ ปะต่างๆ
จอหน์ ดยุ (John Dewey, 1859-1952) กล่าววา่ ส่งิ สาคัญท่ีจะทาให้มนุษยเ์ ข้าถึงความงามได้นั้น ก็คือ
การรับรหู้ รือการมีประสบการณข์ องมนุษย์ต่อสงิ่ ท่ีเป็นสนุ ทรยี วตั ถุ หรอื ศลิ ปะนั่นเอง และมนุษย์จะไม่สามารถ
วเิ คราะห์ถึงธาตุแทข้ องสิ่งท่ีเป็นความงามได้ หากยงั ขาดการสมั ผสั กับส่ิงนั้น ๆ รวมทั้งภมู ิหลังทางสติปญั ญาของ
คนเรา และสิ่งแวดล้อมของเราก็เป็นพ้นื ฐานที่สาคญั เชน่ เดียวกนั กับความสาคัญของการมีประสบการณ์

ในการศึกษาหาความรู้ทางสุนทรียศาสตรห์ รือทางดา้ นความงามนั้น จาเปน็ จะตอ้ งมีองค์ประกอบร่วมท่ี
สาคัญ ดงั ต่อไปนี้

1. สุนทรียวตั ถุ (Aesthetic Object) หมายถึง วตั ถุทีผ่ ู้ศกึ ษาตอ้ งการจะศกึ ษาหรอื จะแสวงหาความงามที่
มีอยใู่ นวัตถนุ ั้น ไดแ้ ก่ วัตถุทางธรรมชาติ (Natural Object) และวตั ถุทางศลิ ปะ (Artistic Object)

2. สนุ ทรียรส (Aesthetic Quality) หมายถงึ คา่ ของความงามท่ีเกิดข้นึ ในตัวของผู้แสวงหาความงามเมอื่
ได้สัมผสั กับสุนทรยี วัตถนุ นั้
ทฤษฎเี ก่ียวกบั ความงาม

มนุษยม์ ีการรบั รู้เรื่องความงามไม่เท่ากนั ประสบการณ์ทางสุนทรยี ะของมนุษย์จงึ แตกตา่ งกนั ไปดว้ ย
ถึงแมว้ ่าจะใหพ้ ิจารณาสุนทรียวตั ถุเดียวกนั ก็ตาม จากการทแ่ี ต่ละบุคคลรบั รูค้ วามงามไมเ่ ท่ากนั สง่ ผลใหเ้ กิด
แนวคดิ เก่ยี วกับความงามแตกตา่ งกันไปด้วยหลายทฤษฎี เช่น

57

1. ความงามเป็นคณุ สมบตั ิของวตั ถุ (Beauty as the Feeling of an Object) ทฤษฎีนเ้ี นน้ เกี่ยวกบั
ความงามวา่ เป็นคุณสมบตั ิของวตั ถุ เปน็ สิ่งทม่ี ีอยูใ่ นวตั ถุต่างๆ อยแู่ ล้ว แม้ว่ามนุษย์จะสนใจหรือไมส่ นใจวตั ถุนัน้
แต่ความงามกย็ ังคงมีอยู่ในวตั ถนุ ั้น และเพราะวัตถุนั้นมคี วามงามอย่แู ล้วมนุษยจ์ งึ สนใจมัน ทฤษฎนี ี้จึงเรียกวา่
ทฤษฎีวัตถุวิสัย

2. ความงามคอื ความเพลดิ เพลนิ (Beauty as the Felling of Pleasure) ทฤษฎนี ีเ้ น้นเก่ยี วกบั ความ
งามวา่ ความงามคือ ความเพลดิ เพลิน ฉะนนั้ แหล่งของความงามจงึ อยู่ทตี่ วั บุคคล อยใู่ นจิตใจคน ไม่ได้อยใู่ นวตั ถุ
ทฤษฎนี จ้ี งึ เรยี กว่า ทฤษฎีจิตวิสัย

3. ความงามเป็นสภาวะสมั พัทธ์ (Beauty as Relation) ทฤษฎีน้ีเนน้ เกย่ี วกับความงามวา่ ความงามไม่
เป็นทัง้ วัตถุวิสยั และจิตวสิ ัย แต่เป็นสภาวะสมั พัทธร์ ะหวา่ งวัตถกุ ับมนุษย์ ทาให้คณุ ค่าของสุนทรยี ะหรือความงาม
เกิดขึ้น

4. ความงามเปน็ อุบัติการณ์ใหม่ (Beauty as Emergent) ทฤษฎีน้ีเนน้ เกีย่ วกบั ความงามเป็นอุบตั ิการณ์
ใหม่ ซ่งึ เกดิ จากกระบวนการในการหาคณุ คา่ ของความงาม กล่าวคอื คุณค่าของความงามหรอื สุนทรยี ะจะเกิดขึ้นได้
ตอ่ เมื่อมีองค์ประกอบดงั ต่อไปน้ี

4.1 วัตถุ อาจเป็นศลิ ปวัตถุ หรือส่งิ ของตามธรรมชาติก็ได้ วัตถนุ น้ั ต้องอยตู่ ่อหน้าเรา
4.2 ตัวบุคคลหรือมนษุ ย์ ที่มีความรู้ความสามารถพอทจี่ ะตีคณุ คา่ วัตถุนน้ั
4.3 ความสมั พันธ์ระหวา่ งวัตถกุ บั ตัวบุคคล วัตถุต้องอย่ใู นตาแหน่งที่เห็นไดช้ ัดเจน ตัวบคุ คลจะต้องมี
จติ ใจอยใู่ นสภาพท่ีเหมาะสมทจี่ ะรับรหู้ รอื สนใจต่อวัตถุนัน้ ด้วย
4.4 หลักเกณฑ์สาหรับใช้เป็นมาตรฐานในการตีคณุ ค่าทางสนุ ทรยี ะของวัตถุ ซึ่งอาจเปลยี่ นไปไดต้ าม
กาลเทศะ
ดังน้ัน การตดั สินคุณคา่ ของวัตถวุ ่ามคี ุณค่า หรอื ไม่มคี ุณค่าทางสุนทรียะหรือความงามนั้น ความงามจึงเกิด
จากการท่วี ตั ถุมคี ุณสมบัตเิ ข้าหลกั เกณฑท์ เี่ ราใช้พจิ ารณาตัดสนิ นน่ั เอง

สุนทรยี ภาพคอื ประสบการณท์ ่ไี มห่ วังผลตอบแทน
เมื่อเราเดนิ ไปท้องทุ่ง ภเู ขา หรือทะเล เราชืน่ ชมกบั ภาพท่ปี รากฏเบื้องหน้า ภาพทอ้ งทุ่งยามเชา้ ท่ี

แสงอาทิตย์สาดสอ่ ง ลมพดั ผ่านต้นข้าวสเี ขยี ว ต้นขา้ วท้ังท้องทงุ่ ลเู่ ป็นคลื่นไปตามลม คลนื่ แลว้ คลนื่ เล่า ภาพภูเขาที่
สงู สงา่ งาม กลุ่มหมอกเมฆสีขาวเคลือ่ นตัวผ่านไป ภาพท้องทะเลสเี ขียวเข้ม เขียวนา้ เงิน น้าเงนิ เทา ไกลสุดตา
ระลอกคล่นื ซัดเข้าสูห่ าดทราย ฟองคลืน่ สีขาวสะอาดซบั ซ้อนอยู่ชายหาด ลมเย็นผา่ นผวิ พร้อมกลน่ิ ไอดนิ ของท้อง
ทงุ่ กล่ินหอมของป่า ไอเค็มของท้องทะเล ความรูส้ ึกทีเ่ อบิ อิ่ม เบอื้ งหนา้ ธรรมชาตอิ ันย่ิงใหญน่ ัน้ เราตา่ งมคี วามรูส้ ึก
ตอบรบั อย่างลกึ ซง้ึ เราสัมผสั กบั ความงาม รบั รู้ และซาบซ้ึงความงาม โดยไมห่ วังผลตอบแทนใด ๆ ความรู้สึกชื่นชม
และปีตเิ กิดขึ้นและอยู่ในความทรงจา เกิดขน้ึ และสมบรู ณ์ในตัวของมันเอง

ความรู้สึกชื่นชมประทบั ใจในความงามเชน่ นั้น เกดิ และรับสัมผสั จากสนุ ทรยี ภาพในตวั ตนของเรา แตกตา่ ง
มากน้อยไปตามปจั เจกภาพ ความแตกต่างทอี่ าจเกิดจากประสบการณ์แวดล้อมส่วนบคุ คล ระบบครอบครัว ระบบ
การศึกษา ระบบสงั คม รวมทั้งการให้ “คุณคา่ ” ของแตล่ ะบุคคลท่ีมตี ่อส่ิงตา่ ง ๆ หรือมีต่อความงามอีกด้วย

58

ประโยชน์ของการศึกษาสุนทรยี ศาสตร์
1. ช่วยส่งเสริมความเจริญทางปญั ญา จนสามารถหยง่ั เห็นสจั ธรรมและคุณค่าของความงาม
2. ชว่ ยส่งเสริมความเจริญทางอารมณ์ เพราะสามารถควบคุมอารมณแ์ ละส่งเสริมการแสดงออกไปในทาง

ทถี่ ูกต้องจนสามารถปรบั ตัวเองให้เขา้ กับสังคมได้อยา่ งเป็นสุข
3. ชว่ ยสง่ เสรมิ การรับรู้ให้เปน็ ไปในทางสรา้ งสรรค์จนเกิดคุณคา่ ทางด้านสนุ ทรียภาพ
4. สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ไดใ้ นการดาเนินกิจกรรมทางศิลปะ
จากประโยชน์ตามท่ีกล่าวมาน้ี จะเห็นได้ว่าสนุ ทรยี ศาสตร์มคี วามสัมพันธ์กบั ศาสตร์อ่นื ๆ เช่น ปรัชญา

ศาสนา ศลิ ปะ จติ วทิ ยา และการศกึ ษา โดยเฉพาะปรชั ญาและศลิ ปะนน้ั มคี วามใกลช้ ิดกันมากที่สุด ดังน้นั ในบทนี้
จะกล่าวถึงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งปรัชญาและศลิ ปะเป็นกรณพี ิเศษ สว่ นความสมั พันธร์ ะหว่างสุนทรียศาสตร์กบั
จิตวิทยา ศาสนาและการศึกษา เราสามารถศึกษาไดจ้ ากศิลปกรรมสมัยต่าง ๆ (วนดิ า ขาเขยี ว, ม.ป.ป. : 2)

การจาแนกขอ้ แตกต่างในศาสตรท์ างความงามเบ้ืองตน้
1. ความงามตามธรรมชาติ
ในสว่ นของส่งิ ที่เกิดขน้ึ เองตามธรรมชาตนิ ั้น จะสังเกตได้ว่า เป็นสิ่งท่ีมคี วามแน่นอนตายตวั ทงั้ ด้าน

รูปลักษณ์ทวั่ ๆ ไป และคุณสมบัติเฉพาะตัวอื่น ๆ ซง่ึ จะมคี วามคงที่ ไมค่ ่อยเปล่ียนแปลง แตจ่ ะเกิดลักษณะซ้าแล้ว
ซา้ อกี ในสภาพแห่งวฏั จกั รที่หมุนเวียนเปล่ยี นไปตามระยะแห่งกาลเวลา เช่น รูปลกั ษณะของตน้ ไม้ ภูเขา หรือ
มนุษยเ์ รา เปน็ ต้น

ธรรมชาตมิ คี ณุ สมบตั ทิ ่ีโดดเดน่ อยู่ 2 ประการ คือ
1) ความงามของธรรมชาติที่ปรากฏโดยภาพรวมตา่ ง ๆ เชน่ เปน็ ภาพท่ปี ระจักษ์โดยภาพรวม

ในปรากฏการณธ์ รรมชาติ ภาพสสี นั ของท้องฟ้ามดี วงอาทติ ย์กาลังตกดิน ภาพทงุ่ ดอกไม้ เป็นต้น
2) ความงามของธรรมชาตทิ ่ีมีความอัศจรรย์ จนชวนใหเ้ กิดความนา่ ทึง่ ความแปลกจนประหลาด

ใจ เช่น
การวางตาแหนง่ ของใบไม้ หรอื กง่ิ ก้าน หรอื กลบี ดอกไม้ในพืชพนั ธ์ุ ลวดลายสสี นั ของปลาใต้สมทุ ร ขนสัตวอ์ น่ื ๆ ที่
ชวนให้เกิดความร้สู กึ ดังกลา่ วข้างตน้

59

ความสวยงามของธรรมชาติท่ีปรากฏโดยภาพรวมตา่ ง ๆ

ความงามของธรรมชาติท่ีมคี วามอศั จรรย์ จนชวนใหเ้ กดิ ความน่าทงึ่
2. ความงามในศลิ ปะ
ศิลปะ เป็นผลงานของมนุษย์ทมี่ จี ดุ มงุ่ หมายเพ่ือสรา้ งสรรค์และแสดงออกถึงความงาม เพ่ือตอบสนอง
ความต้องการทางด้านจติ ใจของมนุษย์ ใหม้ นุษย์มอี ารมณ์เพลดิ เพลิน และมีความสุขอย่างแทจ้ ริง และถงึ แม้ศลิ ปะ
จะมีลกั ษณะแตกต่างกนั ไปในแตล่ ะประเภทก็ตาม แตศ่ ลิ ปะทกุ ประเภทก็ม่งุ แสดงออกถึงคณุ ค่าของความเป็น
สนุ ทรียะหรอื ความงามให้เป็นทปี่ รากฏทงั้ สนิ้ ตวั อยา่ งเช่น จิตรกรรม แสดงออกถงึ ความงามในด้านสีสัน รูปรา่ ง
รปู ทรง จังหวะ ลีลา เปน็ ต้น ดนตรี แสดงออกถงึ ความงามในจงั หวะ ท่วงทานอง เป็นต้น ศลิ ปะการแสดง

60

แสดงออกถึงความงามของการเคลือ่ นไหวร่างกายไปตามจินตนาการและจังหวะของเสยี งดนตรี สถาปตั ยกรรม
แสดงออกถึงความงามในเรื่องของโครงสรา้ งและความโดดเดน่ แห่งคุณสมบัตขิ องวตั ถทุ ่ีนามาใช้ เปน็ ต้น ผลงาน
ศิลปะจงึ ถือเป็นสุนทรยี วตั ถุ เป็นวตั ถดุ บิ เพื่อใช้ในการศกึ ษาทางดา้ นวิชาสุนทรยี ศาสตร์ที่แท้จรงิ และมีความชัดเจน

ศิลปะ (Arts) หมายถงึ ผลงานทางทักษะทผี่ ่านกระบวนการทางปัญญาความคิดสรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย์
เพอ่ื ตอบสนองความต้องการทางดา้ นจติ ใจเปน็ พ้นื ฐาน

ศิลปะ สามารถแบ่งตามหน้าท่ี (Function) ของศิลปะได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. ประยกุ ตศ์ ลิ ป์ (Applied Art)
2. วิจติ รศิลป์ (Fine Art)
ประยุกต์ศลิ ป์ (Applied Art) หมายถงึ ศิลปะทใ่ี ห้ท้ังประโยชนท์ างดา้ นกายภาพ และความ
เพลดิ เพลินใจในทางสนุ ทรยี ะ กลา่ วอกี อยา่ งหนึง่ ก็คอื ศลิ ปะท่ีใหท้ ้ังประโยชน์ใช้สอยและความงาม

งานประยุกต์ศิลป์
วจิ ติ รศิลป์ (Fine Art) หมายถึง ศิลปะท่ีให้ความเพลดิ เพลนิ ทางสุนทรยี ะเพียงอยา่ งเดียว หรอื ศิลปะท่ี
ตอบสนองจติ ใจเปน็ สาคัญน่ันเอง

61

งานวจิ ิตรศิลป์

วจิ ติ รศิลปย์ ังแบ่งเป็นประเภทยอ่ ย ๆ ตามชนดิ ของประสาทสมั ผสั คือ
1. ทัศนศลิ ป์ ไดแ้ ก่ งานด้านภาพเขียน งานแกะสลักทีเ่ ราสามารถเหน็ ได้ดว้ ยตา
2. โสตศลิ ป์ ได้แก่ ดนตรี เพราะเปน็ ศิลปะที่เรารับรูไ้ ด้ด้วยโสตประสาทหรอื การฟัง
3. โสตทัศนศลิ ปห์ รือศลิ ปะผสม ไดแ้ ก่ การเต้นรา ภาพยนตร์ การละคร ซงึ่ เปน็ ศิลปะที่นาเอาศิลปะ
ตั้งแตส่ องชนดิ ขึ้นไปมาประสมกนั
4. สัญลักษณศ์ ลิ ป์ ได้แก่ วรรณคดี ซึ่งแสดงภาพของเหตุการณ์ออกมาในรูปของกวนี ิพนธ์
นวนิยาย ศลิ ปะประเภทน้นี าเอาถ้อยคาต่าง ๆ มาใชเ้ ป็นสัญลกั ษณ์ของความหมาย

ลักษณะของการสร้างสรรคศ์ ิลปะทม่ี นุษย์สรา้ งข้ึน มาจากอิทธพิ ล 4 ประการ ดังน้ี
1. อทิ ธพิ ลความงามท่ีได้จากธรรมชาติ
มนษุ ยก์ บั ธรรมชาติมีความเก่ียวข้องกนั ในแงส่ นุ ทรยี ศาสตร์ในบทบาททีธ่ รรมชาติเปน็ แหล่งกระตนุ้ แหลง่ แรกท่ี
สร้างความดลใจในการประดิษฐ์คิดคน้ สรา้ งสรรค์งานตา่ ง ๆ นกั สุนทรียศาสตรเ์ ช่ือวา่ ธรรมชาติมที ้ังความสวยงาม
ความแปลกหแู ปลกตา ความนา่ ทึง่ อิทธพิ ลทางความงามท่มี นุษย์ไดจ้ ากธรรมชาตมิ ักจะมาสิ่งที่ได้จากการรบั รู้ที่
มองเหน็ เช่น สสี ันต่าง ๆ รปู ร่าง รปู ทรง พืน้ ผิว โครงสร้าง เสียงจากสรรพสิ่งทั้งทีม่ ีชวี ติ และไมม่ ีชวี ิต ตลอด
ทัง้ ลีลาการเคลื่อนไหวในธรรมชาติของสิง่ นั้น ๆ องค์ประกอบของโครงสรา้ งในธรรมชาติจะประกอบกันเขา้ อย่าง
เปน็ ระบบ มคี วามสมดุล กลมกลนื มีจงั หวะ ได้สัดสว่ นอยา่ งลงตัวเปน็ ทนี่ ่าอัศจรรย์

62

2. อทิ ธิพลความงามท่ีไดร้ ับจากการเชื่อถือเทพเจ้า
การเช่อื ถือในเรื่องเทพเจ้านั้นอาจเปน็ เพราะมนุษยเ์ ปน็ ผู้มีความกตัญญูรู้คุณสิ่งตา่ ง ๆ ท่ใี ห้ประโยชน์แกม่ นษุ ย์ เช่น
ตน้ ไม้ แมน่ า้ หรอื พระอาทิตย์ เปน็ ตน้ การรู้คณุ ส่งิ เหลา่ นี้ทาใหม้ นุษย์อยากเคารพบชู า ฉะนั้นเพื่อใหเ้ กดิ ความ
น่าศรัทธาก็มีการเลา่ ต่อ ๆ กนั มาวา่ สงิ่ เหล่านี้มีเทพเจา้ สงิ สถิตอยู่จนกระทงั่ กลายเปน็ ความเชื่อทฝี่ ังแน่นยากท่ีจะ
ถอนออกได้ เม่ือความเชอื่ เช่นนี้เกดิ ข้ึนความบันดาลใจท่จี ะสร้างความงามเพื่อสง่ิ ท่ีตนเองเคารพบชู ากเ็ ร่มิ มากขึ้น
การสร้างรปู ร่างของเทพเจ้าซ่ึงไม่มีใครเคยเห็นก็ต้องสรา้ งด้วยความวิจิตรบรรจงและได้ความคิดสร้างสรรค์บวกกับ
จินตนาการเตม็ ท่ี

63

3. อิทธิพลความงามที่ไดร้ บั จากการนบั ถือศาสนา
ความเชอ่ื ถือ ศรทั ธาในศาสนาเป็นเสมือนเช้ือไฟท่ที าให้คนหนั มาสรา้ งสง่ิ สวยงามขึ้นเพื่อมอบใหแ้ ดศ่ าสนาที่เขานับ
ถอื สิ่งตา่ ง ๆ ตามธรรมชาติถูกดัดแปลงและนามาประกอบการสร้างงานศลิ ปะ โดยเฉพาะด้านประติมากรรมเพ่ือ
ตกแตง่ อาคารสถานที่ท่ีใชป้ ระกอบพิธีทางศาสนา ความงามของจิตรกรรมกน็ ิยมนาเขา้ ไปรว่ มในสถานที่นน้ั ดว้ ย
การเขียนภาพเก่ียวกบั ศาสนาตามผนังภายในโบสถ์ วิหารอยา่ งงดงาม

4. อทิ ธิพลทางความงามท่ไี ดร้ ับจากความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์
เมอื่ สังคมและการดารงชวี ิตของมนุษยเ์ ปลีย่ นแปลงไป การคดิ คน้ ทางวทิ ยาศาสตร์กา้ วหนา้ ขึ้น สงิ่ เหล่าน้ีมี
อิทธิพลต่อความเปล่ียนแปลงในด้านความคิดความงามอย่างมาก เพราะศิลปินพยายามที่จะหาแนวทางใหมห่ รือ
ความนกึ คิดใหมเ่ กย่ี วกบั กฎเกณฑ์ของความงามทีน่ อกเหนอื ไปจากเรื่องราวทางศาสนาอย่างสิน้ เชงิ ส่วนความรู้
ทางวิทยาศาสตร์สอนให้มนุษย์มเี หตผุ ลและมสี ว่ นในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดลอ้ มของมนุษย์ จนกระทัง่
ส่งิ แวดลอ้ มเหล่านนั้ เป็นแรงกระตุ้นใหม้ นุษยเ์ กิดแนวคดิ ในเรือ่ งความงามออกมาในรปู ทรงใหม่

64

ความงามทางศลิ ปะที่มนุษย์ประดิษฐ์คิดสร้างสรรคข์ ึน้ จะตอบสนองความต้องการของคนหลายกลุม่ ตาม
วิถีชวี ติ ของกลุม่ ผู้สนใจในความงาม คือ มีตั้งแต่ความงามในบรรยากาศพื้นบา้ นทเ่ี รยี บง่าย และความงามในทัศนะ
ของนักศลิ ปะ เปน็ ต้น การพิจารณาความงามทมี่ นุษย์สร้างขน้ึ น้ีในเชิงขอบเขตของจดุ ประสงคแ์ บ่งไดเ้ ปน็ 2
ประการ คือ

1. ความงามระดับพน้ื ฐาน (Basic) ถือว่าเปน็ ความงามที่เนน้ คุณคา่ หรือคา่ นิยม (Value) นบั วา่ เปน็ ใน
ระดบั ความงามหรือรสนยิ มเบ้ืองตน้ ของมนุษยท์ ัว่ ไป อาจกลา่ วได้ว่าเป็นวฒั นธรรมทางความงามของสังคมอย่าง
หนง่ึ ความรู้สกึ ทางความงามในระดบั น้ีมักได้รับการถ่ายทอดหรอื ปลูกฝงั กนั อย่างตอ่ เน่ืองในสงั คมตัง้ แตร่ ะดับ
ครอบครวั และสถาบันการศึกษาในรปู ของค่านยิ มพน้ื ฐาน

ความงามในระดับพ้นื ฐาน เป็นส่ิงท่ีบคุ คลท่ัวไปพึงมีหรอื พึงเข้าใจได้ เพราะไม่มีกระบวนการซับซ้อนทั้ง
ทางทฤษฎีและปฏบิ ตั ิ จงึ ถือกนั ว่าเปน็ คณุ คา่ หรอื ค่านยิ มที่เปน็ วิถีทาง (Means) เพื่อการดาเนินชีวิตให้ไปสู่
จุดหมายปลายทาง (End) ของชีวติ อย่างมคี ณุ ภาพ องคป์ ระกอบทสี่ าคัญของความงามในทัศนะนี้ท่ีพงึ แสดงให้
ปรากฏ คอื ความประณตี ความวจิ ิตรบรรจง ความเป็นระเบยี บ ความสะอาด ความเป็นระบบถูกต้อง และ
ความเหมาะสมกลมกลนื

2. ความงามระดับมาตรฐาน (Classic) ถือวา่ เปน็ ความงามขัน้ สูง ต้องมกี ารศกึ ษาเป็นศาสตรเ์ ฉพาะ
ทางทั้งภาคทฤษฎีและปฏบิ ตั ิ ในสถาบันการสอนศิลปะโดยตรง เป็นผสู้ ร้างพนื้ ฐานทางความรเู้ กี่ยวกบั ความงาม
ในระดบั นี้ อาจจะกล่าวไดว้ ่าเป็นความงามในระดบั วิชาชพี กไ็ ด้ จงึ เปน็ เรื่องยากขึน้ ทีผ่ ู้ไมไ่ ดศ้ ึกษามาโดยตรงจะ
เข้าใจอย่างถ่องแทไ้ ด้ ส่วนใหญจ่ งึ มักจะเปน็ การสรา้ งสรรค์งานของบรรดาศลิ ปนิ แขนงต่าง ๆ

ความงามในระดับมาตรฐาน หรือความงามข้นั สงู นี้ ต้องอาศยั องค์ประกอบของความงามในระดับพน้ื ฐาน
เขา้ มามบี ทบาทร่วมด้วย ความงามท่ีเป็นมาตรฐานมีขอบเขตทพี่ จิ ารณาได้ 2 ประการ คอื

(1) มาตรฐานจาเพาะของสงั คม หรอื เฉพาะกลมุ่ หรือระดับชาติใดชาติหนง่ึ เช่น มาตรฐาน
ของไทย เปน็ ต้น

(2) มาตรฐานสากล

65

บทท่ี 4

ทัศนศลิ ป์กบั การสรา้ งความสขุ ในชวี ติ
ความรเู้ ก่ียวกบั ทัศนศลิ ป์ ความหมาย ความเปน็ มาของทัศนศลิ ป์

ทัศนศิลป์ ถือวา่ เปน็ ศลิ ปะท่ีอย่ใู นประเภทวจิ ิตรศิลปท์ มี่ ุง่ สร้างข้ึนมาเพอ่ื สนองมนุษยใ์ นทางสนุ ทรยี ภาพ
แหง่ การมองเหน็ เป็นหลักใหญ่ โดยใหส้ ายตาสมั ผสั รบั รใู้ นดา้ นของรปู ทรง เน่อื งจากคาวา่ ทรรศนะ ทศั น์ ทัศนะ
ทศั นา ในความหมายของพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายไวว้ า่ ความเหน็ การเหน็
เครอ่ื งรู้เห็น สงิ่ ท่ีเห็น การแสดง เพราะฉะน้นั ผลงานและความหมายของทัศนศิลปจ์ ึงเกยี่ วขอ้ งกบั รปู ทรงเพ่ือให้
มองเหน็ รบั ร้ทู างสายตา ดังคานิยามต่อไปนี้

ทศั นศลิ ป์ เปน็ ศัพท์ที่ไดร้ ับการบญั ญตั ิขึ้นไว้ในวงการศิลปะของประเทศไทย เม่ือประมาณ 30 ปที ่ีผ่านมา
โดยแปลความหมายมาจากภาษาอังกฤษว่า Visual Art จดุ มุ่งหมายสาคัญของการกาหนดความหมายก็คือ
ตอ้ งการจะแยกลักษณะการรับรูข้ องมนษุ ยเ์ ก่ียวกับศลิ ปะใหช้ ดั เจน หรือศิลปะทส่ี นองประสาทสัมผัสทางตาทาให้
เหน็ แลว้ เข้าใจรว่ มกันได้

ทศั นศิลป์ (Visual art) หมายถงึ ศิลปะท่รี ับรไู้ ด้ทางสายตา อยูใ่ นขอบข่ายของศิลปะประเภทวจิ ิตรศลิ ป์
ที่เนน้ การสรา้ งสรรค์เพ่ือประโยชน์ทางสนุ ทรียภาพหรือความงามเป็นหลกั หรืออาจกล่าวให้เข้าใจไดง้ ่าย ๆ คือ
เป็นศิลปะท่สี ร้างขึ้นเพอ่ื สนองจติ ใจเป็นสาคญั

ทศั นศิลป์จาแนกลักษณะไดเ้ ป็นแขนงต่าง ๆ 4 แขนง ดังน้ี
1. จิตรกรรม (Painting) หมายถึง เป็นศิลปะท่ีใช้วธิ ีการวาด ระบายสี หรือ ขดู ขีด เขยี น ลงบนพน้ื ท่ี
ระนาบด้วยวัสดอุ ปุ กรณ์ท่เี หมาะสม ผลงานจะมลี ักษณะเป็น 2 มิติ คือ กวา้ งกับยาว แต่มติ ิที่ 3 คือปริมาตร
และความลึกนั้น เกดิ จาก การใช้ เส้น สี น้าหนกั และพ้นื ผิว สรา้ งความลวงตาให้ดลู ึกลงไป โดยมีการเลอื ก
แสดงออกทางรปู แบบ (Form) และเนอื้ หา (Content) ได้อยา่ งกวา้ งขวางตามแตเ่ จตนาของศิลปิน โดยหวั ใจสาคญั
ประการหน่งึ ก็คือ จติ รกรรมจะตอ้ งมีความเปน็ ต้นแบบ และมคี วามเป็นตน้ ฉบับ

ภาพผลงานจิตรกรรมของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ที่มา : เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, 2559 : เวบ็ ไซต์)

66

ประเภทของจติ รกรรมแบ่งเป็นภาพลกั ษณะต่าง ๆ ดังน้ี
- ภาพทวิ ทัศน์ (Landscape Painting)
- ภาพทะเล (Seascape Painting)
- ภาพอาคารสงิ่ ก่อสรา้ ง (Architecture Landscape)
- ภาพคนครึ่งตวั (Portrait)
- ภาพคนเตม็ ตัว (Figure Painting)
- ภาพเปลอื ย (Nude)
- ภาพผนงั (Mural Painting)
- ภาพหนุ่ น่งิ (Still-Life Painting)
- ภาพสัตว์ (Animals Painting)
- ภาพประกอบ (Illustration)

เทคนิควิธีการทางจติ รกรรม
เทคนคิ วธิ กี ารทางจติ รกรรมส่วนใหญ่เป็นเร่อื งการใช้สี ซง่ึ พบว่า มีการใชส้ ีอยู่ 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คอื

1. การใช้สีแบบสีเดยี ว (Monochrome) มกั จะปรากฏอยู่ในงานวาดเสน้ (Drawing) หรอื งาน
อื่น ๆ ทต่ี ้องการใช้สีแบบสเี ดียว หรือโทนเดยี ว

2. การใชส้ แี บบหลายสี (Polychrome) เป็นเทคนิคทางจิตรกรรมทศี่ ิลปินตอ้ งการใช้สี
หลากหลายสี หรอื หลายโทนในผลงานชิ้นเดียวกนั

นอกจากนนั้ เทคนิควิธีการทางจติ รกรรม ยงั ข้ึนอยูก่ ับคุณลกั ษณะและชนดิ ของสีซง่ึ ให้ผลทางการเหน็
นาไปส่ทู างความรู้สึก เชน่ สีนา้ (Watercolor) สีน้ามนั (Oil Color) สอี ะครลิ ิก (Acrylic Color) สีฝ่นุ
(Tempera) เป็นต้น

2. แขนงประติมากรรม (Sculpture) หมายถงึ ศิลปะท่ีเกย่ี วขอ้ งกับการสรา้ งสรรค์ รปู ทรงทมี่ องเหน็
(Visual Form) มีลกั ษณะเปน็ สามมติ ิ คอื มีความกว้าง ความยาว ความหนา หรอื ความสงู จะทาดว้ ยวัสดทุ ่ี
เปลยี่ นแปลงรูปทรงได้ เชน่ หิน ไม้ ดิน ปูน เหล็ก ไฟเบอรก์ ลาส หรอื เศษวัสดอุ ่ืน ๆ เปน็ ตน้

ภาพผลงานประตมิ ากรรมของศาสตรเมธนี นทิวรรธน์ จันทนะผะลิน
ที่มา : (“ศาสตรเมธนี นทิวรรธน์ จันทนะผะลนิ ” ศลิ ปนิ แห่งชาติ ผู้ออกแบบ “เหรียญพระมหาชนก”

, 2559 : เวบ็ ไซต)์

67

ประเภทของประติมากรรม แบ่งได้ ดงั นี้ คือ
2.1 แบบลอยตวั (Round Relief) หรือประติมากรรมท่ีสามารถดไู ดร้ อบด้าน มีความกลมกลืน มคี วามสงู
เหมาะสม
2.2 แบบนูนสูง (High Relief) เปน็ ประตมิ ากรรมที่มีฐานหรอื มีพ้ืนด้านหลังดูได้เฉพาะด้าน
2.3 แบบนนู ตา่ (Low Relief) เปน็ แบบตา่ กว่านูนสงู จะพบเหน็ ตามเหรยี ญกษาปณห์ รือเหรียญวตั ถมุ งคล
และลวดลายประดับอาคารต่าง ๆ
ประตมิ ากรรมมวี ธิ ีในการสร้างสรรคไ์ ดห้ ลายวธิ ี ดงั นี้

2.1 วิธกี ารปั้น (Modeling) หรือกระบวนการในการบวก (Additive Process)
2.2 วิธแี กะสลกั (Carving) หรือกระบวนการในทางลบ (Subtractive Process)
2.3 วธิ ที ุบ ตี เคาะ (Reprocess)
2.4 วธิ ีการหล่อ (Casting)
3. แขนงภาพพิมพ์ (Print making) หมายถึง งานศลิ ปะทสี่ รา้ งสรรคข์ ึ้นโดยมกี ระบวนการในการผลิต
แบบพิมพ์ (แม่พิมพ์) เดยี ว แตส่ ามารถพิมพ์ได้จานวนผลงานมาก

ภาพผลงานภาพพิมพ์ของอาจารยป์ ระหยดั พงษด์ า
ที่มา : (ผลงานศิลปะแต่ละช้ินสะทอ้ นว่า พอ่ เป็นคนรักครอบครัว” ศกั ด์ิศยาม พงษด์ า, 2558 : เวบ็ ไซต์)

68

ภาพพมิ พส์ ามารถแบ่งเป็นประเภทได้ 4 ประเภท ดังน้ี
3.1 การพมิ พแ์ บบนนู (Relief) มกี รรมวธิ ีแกะหรือขดู เอาส่วนอ่นื ๆ ของภาพออกเหลือแต่สว่ นที่

ต้องการไว้พิมพ์ วสั ดุท่ีใช้สาหรบั การพิมพ์แบบนนู คอื ไม้ และแผน่ ยางปูพน้ื (Lino) ซ่ึงใชว้ ิธกี ารแกะออก ทีส่ าคัญผู้
ท่ีใช้ตอ้ งเลือกเอาเองวา่ เคร่ืองมือลกั ษณะใดจะใชไ้ ด้กับแบบภาพได้อย่างเหมาะสมทสี่ ดุ

3.2 ภาพพิมพ์แบบร่องลึก (Intaglio process) เปน็ กรรมวิธีการทาแบบพมิ พใ์ หเ้ ป็นร่องลกึ ลงไปจากผิว
พ้ืนโดยใช้เคร่อื งมอื ทใ่ี ชเ้ ป็นเหลก็ แหลม หรอื ใช้น้ากรดกดั ทาให้เกดิ ร่อง ใช้สอี ัดลงไปตามร่องให้เตม็ แลว้ เสรจ็ เชด็
พ้นื ผิวตอนบนท่วั ไปให้สะอาดเหลือแต่สที ่ีอยูต่ ามร่องเท่าน้ันใชเ้ ปน็ แมพ่ ิมพ์โดยใชก้ ระดาษวางทบั ลงไป นาไปเขา้
เคร่อื งอดั อดั ใหแ้ น่นจนสีท่ีอยู่ตามรอ่ งติดกระดาษเป็นภาพชดั เจน (แมพ่ มิ พ์ที่ทราบกนั ท่ัวไปคอื แมพ่ ิมพโ์ ลหะหรือ
แมพ่ ิมพ์สังกะส)ี

3.3 ภาพิมพ์แบบราบ (Planographic process) เปน็ การพมิ พ์บนผวิ พน้ื แม่พมิ พ์ท่เี รียบเสมอกนั ไม่ลกึ
หรอื นนู เหมือนแม่พิมพไ์ ม้หรือโลหะ ตวั อยา่ งวิธกี ารน้ที เ่ี หน็ ได้ง่ายคือการใชส้ ีทาลงบนกระจกน้ัน สีก็จะติด
แผ่นกระดาษขน้ึ มา (การพิมพ์วธิ ีนจี้ ะไดเ้ พยี งภาพเดยี วเท่าน้ัน) ภาพพมิ พห์ นิ (Lithograph) เปน็ วิธีการพมิ พ์ทีร่ ู้จัก
กันดมี ีมาแต่โบราณเปน็ วธิ ีการพิมพ์แบบราบ

3.4 ภาพพมิ พ์แบบฉลุ (Stencil process) เปน็ กระบวนการพิมพ์ตง้ั แต่แบบที่ง่ายจนถึงแบบทีย่ งุ่ ยาก
ซบั ซอ้ น หลกั การทาแม่พมิ พ์แบบฉลุจะเริม่ ต้นด้วยการฉลุแบบแลว้ พ่นหรอื ทาสลี งไปในแบบทฉ่ี ลุ แบบพิมพ์ที่เหน็
การทาอยทู่ ัว่ ไปคือการใช้กระดาษฉลุเป็นลวดลายตา่ ง ๆ แล้วพ่นสลี งไปตามแบบนั้น วธิ ีการนเี้ รยี กว่ากลวิธี
Stencil สว่ นการทาแม่พิมพแ์ บบฉลุอกี อยา่ ง ไดแ้ ก่ กลวธิ พี ิมพ์ผ้าไหม (Silk screen) หรอื ภาพพิมพ์ตาข่ายไหม
(ตะแกรงไหม)

4. แขนงสถาปตั ยกรรม (Architecture) หมายถึง ผลงานทศั นศลิ ปป์ ระเภท 3 มิติ ทีเ่ ก่ยี วข้องกบั
ส่งิ ก่อสรา้ ง และมักมีขนาดใหญ่ สถาปตั ยกรรมนอกจากจะใชว้ ัสดุทเ่ี ปล่ยี นแปลงรูปทรงเช่นเดยี วกบั ประติมากรรม
แล้ว บริเวณทว่ี า่ งจะถกู ออกแบบเพื่อประโยชน์ใชส้ อยของแต่ละสถานที่ สถาปนิกต้องให้ความสนใจเพราะว่า ท่ี
วา่ งในสถาปัตยกรรมเก่ยี วเน่ืองกบั ประโยชนใ์ ช้สอยมีความหมายครอบคลุมอาณาเขตไมจ่ ากัด เรมิ่ ต้ังแต่พ้ืนทเ่ี ล็ก
ๆ ท่ีมคี วามสาคญั ไปถึงบริเวณใหญท่ ีค่ รอบคลุมส่วนตา่ ง ๆ รวมถงึ สว่ นที่เก่ยี วข้องกบั ความเคลอ่ื นไหวของยวดยาน
และผคู้ นด้วย

ภาพวดั รอ่ งข่นุ เฉลิมชยั โฆษิตพพิ ัฒน์
ท่มี า : (เฉลมิ ชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศลิ ปนิ แห่งชาตทิ ฝ่ี มี ือเหนอื กาลเวลา, 2556 : เวบ็ ไซต)์

69

สถาปัตยกรรมสามารถแบ่งตามลกั ษณะการใช้สอยของมนุษยไ์ ด้ ดงั น้ี

4.1 สถาปตั ยกรรมท่ีเกย่ี วกบั การสร้างส่ิงก่อสร้างอาคารวตั ถปุ ระเภทตา่ ง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้องกับลกั ษณะการใช้
สอยของมนษุ ย์

1) สถาปัตยกรรมแบบเปดิ (Open architecture) หมายถงึ สถาปตั ยกรรมที่เปน็ ท่ีมนุษย์สามารถเข้า
ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดใ้ นพืน้ ท่วี า่ ง จงึ ตอ้ งจัดสภาพใหเ้ อ้ือต่อการอาศยั ของมนุษย์ เช่น มีแสงสวา่ งพอเหมาะ มีการ
ระบายถา่ ยเทอากาศไดด้ ี มีบรรยากาศภายในทส่ี ร้างผลกระทบท่ีดีทางจิตใจของมนษุ ย์ มกี ารจัดตกแตง่ พน้ื ท่ีแต่
ละส่วนให้เหมาะสมสอดคล้องกับการดารงชีวิตแต่ละช่วง ไมว่ า่ จะเปน็ ที่กิน ที่นอน ที่พักผ่อน ทีท่ างาน หรอื ท่ี
สังสรรคส์ นทนา ฯลฯ ตา่ ง ๆ

2) สถาปตั ยกรรมแบบปิด (Close architecture) หมายถึง สถาปัตยกรรมทส่ี รา้ งขน้ึ เพ่อื สนองความ
ต้องการอย่างใดอย่างหน่ึงของมนษุ ย์ ท่ีไมใ่ ชก่ ารอยอู่ าศยั หรอื การใช้ชวี ติ ให้ดารงอย่ภู ายในโครงสร้างนนั้ ซ่ึงอาจ
สรา้ งข้นึ เพื่อเปน็ ท่ีปรึกษาส่งิ ท่ีมีคณุ คา่ หรือสรา้ งขนึ้ เพ่ือสนองตอบตอ่ ความเชอื่ สถาปตั ยกรรมแบบปิดนี้ ได้แก่
ปริ ามดิ สสุ าน เจดีย์ ซมุ้ ประตเู มอื ง อนสุ าวรยี ์ และกาแพง เป็นต้น

4.2 ภูมิสถาปตั ยกรรม (Landscape Architecture) หมายถึง สถาปัตยกรรมทเี่ ปน็ การออกแบบการจดั
บริเวณซึง่ รวมทัง้ การจัดวางแผนผังบรเิ วณถนน การวางผงั การปลูกตน้ ไม้ การจดั สวน สวนในบรเิ วณอาคารและ
บริเวณสาธารณะ การสรา้ งบรรยากาศใหแ้ ลดเู ปน็ ธรรมชาติ รวมทัง้ การออกแบบอาคารภายในบริเวณสวนให้
กลมกลืนกับภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อม เชน่ อาคารในสวนสาธารณะจะมีลักษณะเฉพาะในภมู ปิ ระเทศนน้ั การ
ใชว้ สั ดุก่อสร้างอาคารจะกลมกลืนกบั พืน้ ผิวของวัตถุธรรมชาติทแ่ี วดลอ้ มนั้นจนสัมพันธ์เป็นหน่วยเดียวกัน

4.3 ผงั เมอื ง (City Planning) หมายถึง การออกแบบจดั วางผนังบรเิ วณของเมืองให้เปน็ ระเบียบและถกู
หลักวิชา ผงั เมืองสมยั ใหม่มคี วามสะดวกรวดเรว็ ในการตดิ ต่อประสานงานและดาเนินกิจการตา่ ง ๆ ท้ังเอกชนและ
หน่วยงานราชการเพื่อความสุขในการอย่อู าศัย ผังเมืองที่ดีจึงจาเป็นตอ้ งวางไว้ลว่ งหน้า มิฉะนนั้ จะเกดิ ปัญหา

ในผลงานทัศนศิลป์ มลี ักษณะรูปแบบท่ีเป็นการสื่อสารทางความรูส้ ึกท่ีถ่ายทอดด้วยรูปแบบของงานศิลปะ
อันเป็นตวั กลาง มีความแตกต่างกันไปตามลกั ษณะเชือ้ ชาติ ภาษา ความเชอ่ื ศาสนา และส่งิ แวดล้อม แต่
สามารถแยกลักษณะรปู แบบได้ 3 ลักษณะ ดังน้ี

1. ศลิ ปะรูปลกั ษณ์ (Figurative art) หรอื ศิลปะแสดงลักษณ์หรือเรียกวา่ ศิลปะรปู ธรรม (Realism) มี
ความหมายตรงกนั ข้ามกับศิลปะนามธรรม (Abstract Art) เปน็ ศลิ ปะท่แี สดงรูปลกั ษณะของคน สัตว์ และส่ิงอน่ื
ๆ ทีพ่ บเหน็ ในธรรมชาติอันเกิดจากประสบการณผ์ ูส้ ร้าง (ศิลปนิ ) ไดพ้ บเหน็ สง่ิ ตา่ ง ๆ และนาเสนอผลงานโดยไมม่ ี
การเปล่ียนแปลงหรือบิดเบือนไปจากความเป็นจรงิ แต่อยา่ งใด ต้องยดึ หลักความจรงิ ท่ีปรากฏอยใู่ นธรรมชาติอย่าง
เครง่ ครดั แต่เป็นการสร้างสรรคผ์ ลงานศิลปะมใิ ชก่ ารลอกเลียนใหเ้ หมือนธรรมชาตเิ ทา่ น้ัน แตเ่ ป็นการแปล
ความหมายและถ่ายทอดความรสู้ ึกนกึ คิดของตนลงไปในผลงานอกี ทอดหนึ่ง รูปแบบจะเปน็ การนาเสนอความจริง
และข้อเทจ็ จริงต่าง ๆ โดยใชเ้ ร่ืองราวเกยี่ วกับธรรมชาติชีวติ ความเป็นอยู่ สภาพของผู้คนตา่ ง ๆ ในสังคม

70

ตวั อยา่ งผลงานศลิ ปะรูปลกั ษณ์

2. ศลิ ปะไร้รปู ลักษณ์ (Non-Figurative Art) หรอื ศิลปะนามธรรม (Abstract Art) เปน็ ศลิ ปะที่
แสดงสุนทรยี ภาพในรปู แบบหนงึ่ ทแ่ี ยกความรสู้ กึ หรืออารมณอ์ อกจากรูปทรงที่เป็นจริง ซึ่งผดู้ จู ะรับรแู้ ละซาบซึ้ง
ไดต้ ามเอกัตภาพโดยไม่จาเป็นต้องเข้าใจตรงกับผูส้ ร้างสรรค์ ศลิ ปะไร้รปู ลักษณ์เปน็ ศลิ ปะที่มลี ักษณะสกัด
ความรูส้ กึ โดยสว่ นรวมออกจากสภาพหรือส่งิ แวดล้อมอนั เป็นโลกภายนอก ซ่งึ นาแสดงใหป้ รากฏด้วยส่อื ต่าง ๆ
ปรากฏการณจ์ ากความรู้สึกที่สัมผัสได้น้ันจะผสมผสานกับความรคู้ วามสามารถและบุคลิกภาพของผู้สรา้ งสรรคแ์ ละ
ถา่ ยทอดออกมาเปน็ ผลงานศิลปะ

ลักษณะการถา่ ยทอดศิลปะท่ีไรร้ ปู ลกั ษณ์น้ี ศิลปนิ จะไม่สนเร่ืองธรรมชาติตามทเ่ี ห็น แต่จะให้
ความสาคัญกบั ทศั นธาตุ เช่น เส้น สี และรูปร่างตา่ ง ๆ เป็นหลกั บางครง้ั มีเรื่องราวเป็นของจรงิ เชน่ การ
เขียนภาพให้พร่ามวั ไม่ชดั เจน การใชล้ ลี าที่ซา้ กัน ตลอดจนการแยกรูปทรงในธรรมชาตจิ รงิ ให้เปน็ รปู ทรงง่าย ๆ
จนแทบจารูปทรงเดิมไมไ่ ด้

71

ตวั อยา่ งผลงานศลิ ปะไรร้ ูปลักษณ์

3. ศลิ ปะกง่ึ ไรร้ ปู ลกั ษณ์ (Non-Figurative art and Semi-Figurative) หรือกึ่งนามธรรม (Semi -
Abstract) เปน็ งานศลิ ปะท่ีมีการตดั ทอนรปู ทรงบางส่วนออกไปจากความเป็นจริงหรอื ดัดแปลงไปจากธรรมชาติ
แตถ่ ้าการตัดทอนน้นั กระทาจนไมห่ ลงเหลอื รปู ทรงจริงให้เห็นได้เลยเราเรยี กวา่ ศิลปะไร้รูปลกั ษณ์ (Non-
Objective art) ศลิ ปะกึ่งไรร้ ูปลกั ษณเ์ ป็นคาที่กาหนดขึ้นเพ่ือแปลความหมายของการถา่ ยทอด ศิลปะนามธรรม
ลักษณะหนึง่ ท่ีอยรู่ ะหว่างรูปลักษณ์และไรร้ ูปลักษณ์ อาจจะมีลักษณะเปน็ นามธรรมมากหรือน้อยกไ็ ด้ รูปแบบ
อาจเปล่ียนแปลงไปเพียงเล็กน้อย หรอื เปลย่ี นแปลงจนไม่สามารถจะจดจารูปทรงดงั้ เดิมท่ีมาจากธรรมชาตไิ ด้

การทาความเขา้ ใจเก่ียวกบั รปู แบบกึง่ ไร้รูปลกั ษณน์ ี้ค่อนข้างยาก เพราะไม่แสดงรปู ลกั ษณ์ทชี่ ัดเจน
ต้องใชก้ ารสงั เกตเปรยี บเทยี บความแตกต่างของนามธรรมและรูปธรรม (รปู ลักษณ)์ ในทางทัศนศลิ ป์ใหช้ ัดเจน
รูปรา่ งหรือรูปทรง ลด ตัดทอน (Distortion) มีลกั ษณะบิดเบือนไป

72

ตัวอย่างผลานศลิ ปะก่งึ ไร้รปู ลกั ษณ์

73

บทท่ี 5

คณุ ธรรมจรยิ ธรรมในการดาเนินชวี ติ อยา่ งมคี วามสุข

1. คณุ ธรรมจรยิ ธรรมในการดาเนนิ ชวี ติ อย่างมีความสุขตามหลักพุทธศาสนา
เน้ือหาในบทนี้เป็นการนาความเชื่อหรือหลักคาสอนทางศาสนาเพ่ือใชใ้ นการพัฒนาชีวิต โดยเร่ิมจากหลัก

พุทธจรยิ ธรรมซึง่ มีความเชอ่ื ว่า ทนโฺ ต เสฏโฺ ฐ มนฺสเสสุ แปลว่า ในหม่มู นุษย์ผู้ท่ีพัฒนาตนแล้วประเสรฐิ สดุ ไมใ่ ช่เป็น
ผู้ประเสริฐเพียงอย่างเดียว ยังต้องพัฒนาความถึงพร้อมแห่งความดีงามความถูกต้องว่า วิชฺชาจรณสมฺปนโน
โส เสฏโฐ เทวมานุเส แปลว่าผู้ถึงพร้อมด้วยวิชา และจรณะเป็นผู้ประเสริฐสุดทั้งในหมู่มนุษย์และทวยเทพ เทวดา
ท้งั หลาย แม้แต่พรหมยังเคารพบูชา โดยแนวทางการพัฒนาชีวิตจะใช้หลักจริยธรรมดังต่อไปน้ี (สุนันท์ เสนารัตน์,
ม.ป.ป. : 184-208)

1.1 จรยิ ธรรมสาหรบั พัฒนาตนเอง
1.1.1 โอวาทของพระพุทธเจา้ 3
คาว่า โอวาท หมายถึงคาสอนของพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าท่ีทรงส่ังสอนมหาชนนับต้ังแต่ ตรัสรู้จนเข้าสู่
ปรินิพพานเป็นเวลายาวนานถึง 45 ปี ซ่ึงคาส่ังสอนของพระองค์มีจานวนมาก เรียกว่า โอวาทปาติโมกข์ ได้ช่ือว่า
หัวใจของพทุ ธศาสนา เพราะพุทธจริยธรรมมีท้ังหมด 84,000 ธรรมขันธ์ กลา่ วโดยยอ่ เหลอื เพียง 3 ประการ คอื
ประการท่ี 1 สพฺพปาปสฺส อกรณ การไม่ทาชั่วท้ังปวง ด้วยการเว้นจากทุจริต หมายถึง การทาความช่ัว
หรอื การทาไมด่ ี มีอยู่ 3 ทาง คอื

1. ความชั่วทางกาย 3 ประการ ได้แก่ ฆ่าสตั ว์ ลกั ทรพั ย์ ประพฤติผิดในกาม
2. ความชว่ั ทางวาจา 4 ประการ ไดแ้ ก่ การพดู ปด การพดู ส่อเสียดเพ่ือยยุ งให้เข้าใจผดิ การพดู คา
หยาบ การพดู เพ้อเจ้อ เหลวไหลไร้สาระ
3. ความชว่ั ทางใจ 3 ประการ ไดแ้ ก่ (1) คดิ โลภอยากได้ของคนอ่ืนมาเป็นของตน (2) คิดพยาบาท
ปองรา้ ย และ (3) มจิ ฉาทฏิ ฐิ คือ เหน็ ผิดเปน็ ชอบ เหน็ คลาดเคลอื่ นจากความเป็นจรงิ
ประการท่ี 2 กุสลสฺสูปสมฺปทา การทากุศลให้ถึงพร้อม หมายถึงการฝึกอบรมตนให้มีความดีงามทางกาย
วาจา และใจ ความดีก็ตรงกันข้ามกับความช่ัวทั้ง 3 ทาง ท่ีกล่าวมาแล้ว หากบุคคลประพฤติดี คือการปฏิบัติตาม
ทางท่นี าไปสคู่ วามดี เรียกว่า กศุ ลกรรมบถ 10
นอกจากนี้ ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงวิธีการทาความดีอ่ืนอีก เพื่อเป็นเครื่องขัดเกลาพัฒนาจิตใจตน
เรียกว่า บุญกริ ิยาวตั ถุ 10 ประการ คอื
1. ทานมยั บุญสาเร็จดว้ ยการให้ในทรัพย์ส่งิ ของ
2. สีลมัย บญุ สาเร็จดว้ ยการรักษาศลี หรือประพฤติดปี ฏิบตั ิชอบ
3. ภาวนามยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการเจรญิ ภาวนา คือฝึกอบรมจิตใจใหเ้ จริญดว้ ยสมาธแิ ละปัญญา
4. อปจายนมัย บญุ สาเร็จดว้ ยการประพฤติสุภาพออ่ นนอ้ ม
5. ไวยยาวัจมัย บุญสาเรจ็ ด้วยการขวนขวายรับใช้ ใหบ้ รกิ าร บาเพญ็ ประโยชน์
6. ปัตติทานมัย บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการใหผ้ อู้ นื่ มสี ว่ นรว่ มในการทาความดี

74

7. ปตั ตานโุ มทนามยั ทาบุญดว้ ยการพลอยยนิ ดใี นการทาความดีของผอู้ น่ื
8. ธัมมสั สวนมยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการฟงั ธรรม ศึกษาหาความรทู้ ่ปี ราศจากโทษ
9. ธัมมเทสนามยั บญุ สาเรจ็ ดว้ ยการสงั่ สอนธรรมใหค้ วามรู้ทเ่ี ปน็ ประโยชน์
10. ทิฏฐชกุ มั ม์ บุญสาเร็จด้วยการทาความเห็นให้ถูกตอ้ ง รู้จกั มองสง่ิ ทั้งหลายตามเป็นจริงให้เป็น
สมั มาทิฏฐิ
ประการที่ 3 สจิตตปริโยทปน การทาจติ ของตนใหผ้ ่องแผ้ว หมายถงึ การฝกึ อบรมจิตใจให้ปราศจากกิเลส
เพราะกิเลสทาให้จติ ใจเศรา้ หมอง โดยแบง่ กิเลสออกเป็น 3 กล่มุ ใหญ่ๆ คือ
1. ความโลภ ความละโมบอยากได้ของคนอ่นื มาเปน็ ของตน
2. ความโกรธ ความเคยี ดแค้นชิงชงั อาฆาตมาดร้าย
3. ความหลง ความไม่รู้เหตุ ไม่รูผ้ ล ไมร่ ู้ดี ไมร่ ชู้ ั่ว
เป้าหมายการทาจิตใจให้บริสุทธิ์จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองนี้ เพ่ือเกิดความเป็นอิสระทางใจ จิตใจผ่องใส
ไมม่ สี ิง่ ใดสามารถเข้าไปรบกวน หรอื เกาะติดได้ เป็นความสุขอันแทจ้ รงิ คาวา่ กุศลมลู ประกอบด้วย 2 คา คอื กุศล
แปลว่าความดี ความฉลาด มูล แปลว่ารากเหง้า ต้นตอ หรือ สาเหตุ เม่ือรวมท้ังสองคาเข้าด้วยกันเป็น กุศลมูล
แปลว่ารากเหงา้ แหง่ ความดี ซึง่ สาเหตุทท่ี าให้เกดิ ความดีมอี ยู่ 3 ประการ คอื
1. อโลภะ ความไม่โกรธ ไมอ่ ยากได้ในทางท่ีผิด
2. อโทสะ ความไม่โกรธ ไม่คิดประทุษร้ายคนอ่นื ไมท่ ารา้ ยคนอน่ื
3. อโมหะ ความไม่หลงงมงาย ไม่ล่มุ หลง ไม่เขา้ ใจผดิ ดว้ ยอานาจอวชิ ชา

1.1.2 วุฑฒิธรรม 4
คาว่า วฑุ ฒิธรรม แปลวา่ ธรรมท่ีเป็นเหตใุ หเ้ กิดความเจริญ หรอื ธรรมเปน็ เครือ่ งนาไปสคู่ วามเจริญ รุ่งเรอื ง
ของชวี ติ ถอื เป็นหลักจริยธรรมช่วยให้ผูป้ ฏิบตั ิตามย่อมไดร้ บั ความเจรญิ กา้ วหนา้ ในชวี ติ มอี ยู่ 4 ประการ คอื

1. สปั ปรุ สิ สงั เสวะ คือ การคบสัตบุรุษ หมายถึงการคบคนดี นกั ปราชญ์ บณั ฑติ คนดี ใครคบหรือ
อย่ใู กลจ้ ะไดร้ บั แต่ความดี ไดแ้ บบอยา่ งในทางที่ดี คนดจี งึ เปน็ ส่ิงแวดล้อมที่ทาให้เกิดความเจริญ

2. สัทธัมมัสสวนะ คือ การฟังสัทธรรม เม่ือบุคคลได้รับคาแนะนาและคาตักเตือน จากคนดีแล้ว
ย่อมฟังโดยเคารพเช่ือมั่นในคาสั่งสอนเหล่านี้ มีประโยชน์ นักปราชญ์ทั้งหลายให้ทัศนะว่า จงเห็นคนดีที่ให้
คาแนะนาสง่ั สอนเหมือนกบั ผทู้ ี่ชข้ี มุ ทรัพยใ์ ห้

3. โยนิโสมนสิการ คือ การตรึกตรองให้รู้สง่ิ ดีและช่ัว โดยอุบายอันแยบยล หรือ การกระทาไว้ใน
ใจโดยอุบายอันแยบคาย หมายถึงการคิดหาเหตุผลอย่างถูกวิธี มีหลักการท่ีดี เมื่อฟังเร่ืองใดแล้วมิใช่ปลงใจเช่ือ
หรือไม่เช่ือ แต่ต้องรู้จักไตร่ตรองพิจารณาด้วยปัญญาตามเหตุผลก่อนไม่เชื่อสิ่งใดอย่างงมงาย โดยมิได้ใช้ปัญญา
ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน

4. ธัมมานุธัมมปฏิบัติ คือ การปฏิบัติตามธรรมอันสมควรแก่ธรรม หมายถึงปฏิบัติตามธรรมที่ได้
ตริตรองโดยเหตุและผลมาแล้ว เม่ือได้พิสูจน์ความจริงในส่ิงท่ีได้ฟังมาว่าเกิดผลอย่างแท้จริงลงมือปฏิบัติด้วยตน
พร้อมทัง้ งดเว้นในสงิ่ ท่ีควรงดเวน้ เรยี กว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

75

1.1.3 อิทธิบาท 4
ในการทางานหรือการประกอบอาชีพ วิธีการที่จะทาให้งานดังกล่าวสาเร็จลุล่วงไปได้ จาเป็นจะต้องมี
คุณธรรมทนี่ าทน่ี าไปสคู่ วามสาเร็จแหง่ ผลทมี่ ุง่ หมาย คณุ ธรรมนี้ (สจุ ติ รา ออ่ นคอ้ ม, 2552 : 72) ไดแ้ ก่

1. ฉันทะ มีใจรัก คือ พอใจจะทาส่ิงน้ันและทาด้วยใจรัก ต้องการทาให้เป็นผลสาเร็จอย่างดีแห่ง
กจิ หรือการงานท่ีทา มิใชส่ กั แต่ว่าทาพอให้เสร็จๆ หรอื เพยี งเพราะอยากได้รางวลั หรอื ผลกาไรนนั้

2. วิริยะ พากเพียรทา คือ ขยันหมั่นประกอบ หมั่นกระทาส่ิงน้ันด้วยความพยายาม เข้มแข็ง
อดทน เอาธุระไม่ทอดท้งิ ไมท่ อ้ ถอย

3. จิตตะ เอาจิตฝักใฝ่ คือ ตั้งจิตรับรู้ในส่ิงท่ีทาและทาสิ่งนั้นด้วยความคิด ไม่ปล่อยจิตให้ฟุ้งซ่าน
เลอื่ นลอย ใชค้ วามคดิ ในเร่อื งน้นั บอ่ ยๆ เสมอๆ

4. วิมังสา ใช้ปัญญาสอบสวน คือหมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ ตรวจตราหาเหตุผลและ
ตรวจสอบขอ้ ย่งิ หยอ่ น บกพร่อง ขดั ขอ้ ง ในสิ่งที่ทาน้นั โดยรจู้ ักทดลองวางแผน คิดค้นวธิ ีแก้ไขปรบั ปรุง เปน็ ต้น

1.1.4 สปั ปรุ ิสธรรม 7
คาว่า สัปปุริสธรรม แปลว่าธรรมสั่งสอนของสัตบุรุษ ซ่ึงคาว่า สัตบุรุษ หมายถึงคนดี นักปราชญ์ หรือ
บัณฑติ เป็นหลกั จรยิ ธรรมทนี่ ักปราชญ์ไดพ้ ยายามแนะนาใหบ้ คุ คลทาตามเพ่ือเปน็ คนดี มีอยู่ 7 ประการ คอื

1. ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเหตุ หมายถึง บุคคลท่ีมีการศึกษาดี ย่อมรู้จักหลักการและ
กฎเกณฑ์ของส่งิ ท้ังปวงทต่ี นเข้าไปเก่ียวข้องในการดาเนินชวี ติ การปฏบิ ัตหิ น้าท่ีและดาเนนิ กิจการมีความเข้าใจส่งิ ที่
จะต้องปฏิบัติตามหลักเหตุ เช่น รู้ฐานะ อาชีพ การงานของตน มีหน้าท่ีจะตอ้ งรับผิดชอบถึงผลสาเร็จทเี่ ป็นไปตาม
หน้าท่ี ความรับผิดชอบนั้น ตลอดทั้งการศึกษา จนเกดิ ความรขู้ ้ันสูงสุดด้วยการรู้เท่าทันกฎเกณฑ์ธรรมชาติอันเป็น
หลักความจริง เพ่ือจะปฏิบัติต่อโลกและการดาเนินชีวติ ต่อเพื่อนมนุษย์ในสังคมได้อยา่ งถูกต้อง มีจิตเปน็ อสิ ระ

2. อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผล หมายถึง บุคคลท่ีมีการศึกษาดี ย่อมรู้จักเป้าหมายของชีวิต
ตนเอง เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของกิจการท่ีตนจะต้องกระทา รู้ว่าสิ่งที่ตนกระทาอยู่อย่างนั้น เพ่ือวัตถุประสงค์และ
ประโยชนอ์ ะไร ควรจะได้บรรลถุ งึ ผลอะไร ทาใหม้ ีหนา้ ท่ี ตาแหน่ง ฐานะ การงานอย่างน้ันๆ กาหนดไวเ้ พอื่ ความมุ่ง
หมายอะไร กิจการท่ีตนกระทาอยู่ในขณะนี้ เม่ือทาไปแล้วจะบังเกิดผลอะไร ให้ผลดีหรือผลเสียอย่างไร เป็นต้น
ตลอดจนถงึ ขัน้ สงู สุด คอื รู้ความหมายของคติธรรมดา (กฎธรรมชาติ) ประโยชนท์ เ่ี ป็นจดุ หมายแทจ้ รงิ ของชวี ติ

3. อัตตัญญตา ความเป็นผู้รู้จักตน หมายถึงบุคคลท่ีมีการศึกษาดี ย่อมรู้ตามความจริงในตัวตน
โดยฐานะ ภาวะแห่งเพศ กาลัง ความรู้ ความถนัด ความสามารถ และคุณธรรม เป็นต้น บัดนี้ เท่าไร อย่างไร แล้ว
ปฏิบัติตนให้เหมาะสม มีความให้สอดคล้องถูกต้องตามจุดมุ่งหมายที่จะสัมฤทธ์ิผล ตลอดจนแก้ไขปรับปรุงตนให้
เจริญงอกงามถงึ ความสมบูรณ์ยง่ิ ขึ้นไป

4. มัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณ คาว่า ประมาณ หมายถึงความพอเหมาะพอดี หรือการ
เดินทางสายกลาง เช่น จะทาอะไร คิดอะไร หรือพูดอะไร ในการดาเนินชีวิตให้เป็นไปโดยไม่เข้มงวดกวดขัน
หักโหมจนกลายเป็นการทรมาน หรือเบียดเบียนตนเอง หรือย่อหย่อน เกียจคร้าน จนไม่สามารถจะดาเนินชีวิตไป
โดยราบรน่ื ได้ จึงใช้หลกั แหง่ ความพอเหมาะ พอดี ร้จู ักประมาณในการแสวงหาและรู้จักประมาณการจบั จ่าย ใช้
สอยชวี ติ ดาเนินไปอย่างมีความสุข

76

5. กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาล หมายถึงบุคคลที่มีการศึกษาดีย่อมรู้จักกาลเวลาเหมาะสม
ระยะเวลาท่ีจึงใช้ในการประกอบกิจ ทาหน้าที่การงานต่าง และเก่ียวข้องกับผู้อื่น เช่น รู้ว่า เวลาไหนควรทาอะไร
อย่างไร ทาให้ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ให้พอเวลา ให้เหมาะเวลา ให้ถูกเวลา ตลอดจนรู้จักจัดเวลา และ
วางแผนการใช้เวลาอย่างได้ผล เร่ืองของเวลาในโลกปัจจุบันนี้ นับว่ามีความสาคัญมากต่อชีวิตมนุษย์จนมีคากล่าว
วา่ เวลาเป็นเงินเป็นทอง ซ่ึงหมายความวา่ เวลาย่อมมคี ่าในตวั ของมันเอง เวลาผา่ นไปในทกุ ๆ วินาที เท่ากับมนษุ ย์
ต้องตายไปทกุ วนิ าที

6. ปริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักชุมชน หมายถึงบุคคลที่มีการศึกษาดี ย่อมรู้จักถ่ิน รู้จักที่ชุมชน
รู้จักการอันควรปฏิบตั ิในถนิ่ ทชี่ ุมชน และต่อชมุ ชนน้ันว่า ชุมชนนี้เม่ือเขา้ ไปหาควรตอ้ งทากิรยิ าอย่างนี้ ควรตอ้ งพูด
อย่างนี้ เพราะชุมชนนี้มีระเบียบวินัยอย่างนี้ มีวัฒนธรรมประเพณีอย่างนี้ มีความต้องการอย่างนี้ ควรเกี่ยวข้อง
ควรต้องการสงเคราะห์ ควรรบั ใช้ ควรบาเพญ็ ประโยชน์อย่างน้ี

7. ปุคคลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักบุคคล หมายถึงบุคคลที่มีการศึกษาดี ย่อมรู้จักเลือกบุคคลว่า
บุคคลน้ีเป็นคนดี ควรคบ หรือไม่ควรคบ เป็นต้น ตามหลักทางพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า คบคนเช่นไรจะเป็น
เหมือนคนนัน้ หมายถึง การคบคนช่วั ก็จะกลายเปน็ คนชัว่ ในท่ีสุด เพราะคนชั่ว ทัง้ คิด พดู และทา มแี ต่ความคดิ พูด
และทาชั่วท้ังส้ิน การจะคบบคุ คลใดน้ัน ควรเรยี นรู้ถึงอุปนิสยั ใจคอ หรอื ทัศนคติ และความประพฤตขิ องบุคคลนั้น
กอ่ น หากบคุ คลเปน็ คนทม่ี คี วามประพฤตดิ แี ลว้ จงึ คบ หากเปน็ คนไม่ดี ควรหลีกเลยี่ ง

ผู้ท่ีมีหลักคุณธรรม 7 ประการน้ี ถือเป็นคนดี ทุกสังคมย่อมปรารถนาคนดี คุณธรรมทั้ง 7 ประการนี้ จึง
เป็นเครอื่ งมือสร้างเสรมิ มนุษยสมั พันธ์ อันเป็นสง่ิ สร้างสรรค์สงั คมมนษุ ย์ให้เกิดความเขา้ ใจ สามัคคีกนั และปฏิบัติดี
งามต่อกนั

1.2 จริยธรรมกบั การพัฒนาครอบครัว
พทุ ธจริยธรรมกับการพัฒนาครอบครวั น้ี ถอื เป็นหลกั คณุ ธรรมเก่ียวกับบทบาทหน้าท่ี สมาชิกในครอบครัว
ต้องทา ความสุขของชีวิตครอบครัวจะเกิดข้ึนได้ อย่างน้อยคู่ครองหรือคู่ชีวิตต้องปฏิบัติจริยธรรมท่ีควรทาต่อกัน
ทาให้เกิดความความผูกพันกัน คือ สามีภรรยาต้องมีความจริงใจและซ่ือสัตย์ต่อกัน รู้จักการควบคุมอารมณ์
พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเข้าหากัน สามีภรรยาตอ้ งมีความอดทนมงุ่ มั่นจะแกไ้ ขปัญหาร่วมกัน รวมท้ังมคี วาม
ขยันหมั่นเพียรทาการงาน เพื่อให้บรรลุจุดหมายชีวิต เมื่อได้ทรัพย์มาแล้วก็รู้จักความเสียสละ มีน้าใจ เอ้ือเฟื้อต่อ
กนั รับผิดชอบต่อชีวติ ท่ีเก่ียวข้อง ซ่ึงคูช่ ีวิตนั้นต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีงามอบอุ่นเป็นสุขภายในครอบครัวตลอด
ถึงญาตมิ ติ ร ผรู้ ่วมงานและบุคคลทพี่ ึ่งพาอาศัยอยู่ในปกครองท้ังหมดให้ได้รับความสุขด้วย

1.2.1 ฆราวาสธรรม 4
คาว่า ฆราวาสธรรม แปลว่า ธรรมสาหรับผู้ครองเรือน หรือธรรมสาหรับคฤหัสถ์ หมายถึงผู้ที่ครองเรือน
หรอื มคี รอบครวั ที่ดี จะต้องปฏบิ ัตติ ามหลักจริยธรรมขน้ั พ้นื ฐานเพ่อื การครองเรือนเปน็ ไปด้วยความราบรื่น สงบสุข
มอี ยู่ 4 ประการ คอื

1. สัจจะ มีความซ่ือสัตย์ มีความซื่อตรงต่อกัน หมายถึงสามีและภรรยาจะต้องมีความซ่ือตรง มี
ความจริงใจต่อกัน หรือบุตรต้องมีความซื่อสัตย์ต่อพ่อแม่ และผู้ปกครอง เช่น บุตรธิดาให้คาม่ันสัญญาว่าจะต้ังใจ
ศึกษาเล่าเรยี นก็ต้องต้ังใจศึกษาเล่าเรียนจรงิ ๆ ไมป่ ระพฤติตนเหลวไหล มีความซื่อตรงตอ่ หน้าที่ ดงั เช่น นักศึกษามี

77

หน้าท่ีท่จี ะตอ้ งศึกษาเล่าเรียนกท็ าหน้าที่ของตนให้ดที ส่ี ุด ผูเ้ ป็นสามีภรรยาก็ต้องทาหน้าทีข่ องความเปน็ สามีภรรยา
ให้ดีท่สี ดุ

2. ทมะ รู้จักข่มจิตใจตนเอง คาว่า ทมะ มีความหมายอยู่ 2 นัย คือ (1) การฝึกตนเอง พัฒนา
ตนเอง พัฒนาอาชีพ และพฒั นาแนวความคิดของตน (2) การรจู้ ักขม่ อารมณช์ ่ัวร้ายต่างๆ ทเ่ี กดิ ขึน้ ภายในจติ ใจของ
ตนเอง โดยไมแ่ สดงออกมาใหป้ รากฏ หรอื การเกบ็ ความรสู้ กึ ไว้ภายในไม่ใหค้ นอ่ืนรู้

3. ขนั ติ ความอดทน หมายถึงความอดกล้ันต่ออารมณ์ต่างๆ ท่ีมาจากภายนอก ความอดทนมีอยู่
2 นัย คือ (1) ความอดทนทางร่างกาย เช่น อดทนต่อธรรมชาติ คือ ความร้อน หนาว ฝนตก ความอดทนต่อ
ทุกขเวทนาทางกาย เช่น ความเจ็บป่วย ไม่สบายอันเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ และความเจ็บปวดอันเน่ืองมาจาก
ศัตราวุธ (2) ความอดทนตอ่ ความเจบ็ ใจ เช่น ถูกผ้อู ่ืนดา่ วา่ ประณาม สบประมาท เป็นต้น

4. จาคะ การเสียสละ หมายถึงการให้ปันส่ิงของแก่กัน เพราะการอยู่ร่วมกันในครอบครัวสมาชิก
ในครอบครัวจะต้องเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อสมาชิกคนอ่ืน โดยเฉพาะสามีภรรยาย่อมจะต้องทาตัวเป็นทั้งผู้ให้
และผรู้ บั ในเลาเดียวกนั เชน่ สามภี รรยาอาจจะฟังเพลงโดยการเปิดเสียงดงั แต่อีกฝ่ายหน่งึ ไม่ชอบ ฝา่ ยที่ชอบกค็ วร
เสียสละความสุขส่วนตนบ้าง เพ่ือให้อีกฝ่ายหนึ่งสบายใจ หรือการให้ในส่ิงของแก่กันน้ัน ควรให้บ้างโอกาสอันควร
เช่น ให้ของขวัญเน่ืองในวันเกิด ถือว่าปีหน่ึงมีครั้งเดียวเท่านั้น แต่ไม่ควรประมาณตนเป็นผู้รับหรือผู้ให้เพียงฝ่าย
เดียว

1.2.2 ทฏิ ฐธัมมิกัตถะประโยชน์
หลักทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชน์ หมายถึง ประโยชน์ท่ีมนุษย์จะได้รับในปัจจุบันท่ีแสดงไว้ในอุชชยสูตร จตุ-
กกนิบาต ซึ่งเป็นประโยชน์ท่ีเก่ยี วข้องกบั การประกอบอาชีพโดยตรง มี 4 ประการ (ธีรโชติ เกิดแก้ว, 2553 : 260-
261) คอื

1. อุฏฐานสัมปทา มีความขยัน หมน่ั เพียรในการประกอบอาชีพอย่างสม่าเสมอ
2. อารกั ขสมั ปทา รู้จักหาทรพั ยท์ ไี่ ดม้ าไม่ใหพ้ ิบัตไิ ปด้วยภัยต่างๆ เชน่ โจรภยั เป็นตน้
3. กัลยาณมิตตตา รู้จักคบเพ่ือนท่ีดีงาม ข้อสรุปเร่ืองนี้คือ เพื่อนที่ดีจะสนับสนุนให้เราหาทรัพย์
รักษาทรัพย์ และใชจ้ า่ ยทรัพย์อยา่ งสมเหตุสมผล
4. สมชวี ติ า รู้จกั ใชจ้ ่ายทรพั ยเ์ พ่ือเล้ียงชีวติ อยา่ งสมเหตสุ มผล ซึ่งหลกั การใชจ้ า่ ยทรพั ย์น้ี สามารถ
ศึกษาได้จากโภควิภาค หมายถึง หลักการแบ่งทรัพย์โดยจัดสรรเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย ใช้จ่ายเลี้ยงตน
ครอบครวั ญาติ และทาประโยชน์ 1 ส่วน ใช้ลงทุนประกอบธุรกจิ 2 ส่วน และเก็บไว้ใช้คราวจาเป็น 1 ส่วน และใน
อาทิตยสูตร อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ได้แสดงประโยชน์ท่ีเกิดจากการจัดสรรทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความสุจริต
ออกเป็น 5 สว่ นคอื

1) เลยี้ งตัวเอง บดิ ามารดา บตุ รภรรยา และคนในปกครองท้ังหลายใหเ้ ป็นสุข
2) บารงุ มิตรสหายและผรู้ ่วมกิจการงานใหเ้ ปน็ สุข
3) ใช้ป้องกนั อนั ตรายทีจ่ ะเกิดข้ึนแกต่ น
4) ทาพลี 5 อย่าง ประกอบด้วย สงเคราะห์ญาติ (ญาติพลี) ต้อนรับแขกที่มาสู่เรือน
(อติถิพลี) ทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว (ปุพพเปตพลี) บารุงรัฐ เช่น เสียภาษี เป็นต้น (ราชพลี)
สกั การะบารุงหรือทาบุญอุทิศสง่ิ ที่เคารพบชู าตามความเชอื่ (เทวตาพล)ี
5) อปุ ถมั ภบ์ ารงุ พระสงฆ์ และเหล่าบรรพชิตผู้ประพฤตดิ ปี ระพฤติชอบ

78

1.2.3 อบายมุข 6
คาว่า อบายมุข แปลว่าทางแห่งความเสื่อม ทางแห่งความพินาศ หาความเจริญรุ่งเรือง ในชีวิตไม่ได้ มีอยู่
6 ประการ คอื

1. ดม่ื นา้ เมา
2. เทีย่ วกลางคืน
3. เทย่ี วดูการละเล่น
4. เล่นการพนนั
5. คบคนชวั่ เป็นมติ ร
6. เกียจครา้ นทาการงาน

พุทธจริยธรรมได้แสดงถึงโทษของอบายมุข 6 ถือเป็นโทษที่ร้ายแรงทางสังคม และ สุขภาพกาย จิตใจ
ตนเอง ซงึ่ สามารถกล่าวประเภทโทษของอบายมุข ดังน้ี

1. โทษของการด่ืมน้าเมา เพราะเป็นส่ิงเสพติดให้โทษชนิดหนึ่ง มีโทษ 6 สถาน คือ ทาให้เสีย
ทรพั ย์ กอ่ การทะเลาะววิ าท ทาใหเ้ กดิ โรค เสอ่ื มเกียรติยศช่อื เสยี ง ไมร่ ู้จกั อาย และบน่ั ทอนกาลงั สติปัญญา

2. โทษของการเทยี่ วกลางคืน มีโทษ 6 สถาน คือ ชื่อวา่ ไมร่ กั ษาตัว ช่ือว่าไมร่ ักบุตร ภรรยา (สามี)
ชอ่ื ว่าไมร่ ักษาทรพั ยส์ มบัติ เปน็ ทร่ี ะแวงของคนอื่นมกั ถกู ใส่ความ มักได้รบั ความลาบากเดือดร้อนเสมอ

3. โทษของการเท่ียวดูการละเล่น ซ่ึงโทษเหล่านี้ขึ้นอยู่ลักษณะหนัก-เบาบ้าง หรือมาก-น้อยบ้าง
ขนึ้ อยู่กบั สิ่งทไ่ี ปดู ทาใหเ้ กิดการเสยี เวลา เสียเงินทองของผู้ไปดู รวมทง้ั เสยี งานด้วย มีโทษ 6 สถาน คอื ราที่ไหนไป
ทีน่ ั่น ขับร้องท่ีไหนไปที่นั่น ดีดสีตีเป่าที่ไหนไปท่ีนนั่ เสภาที่ไหนไปที่น่ัน เพลงท่ีไหนไปท่ีนั่น และเถิดเทิงที่ไหนไปที่
นั่น

4. โทษของการเล่นการพนัน เพราะทาให้ตนเองหลงติดไปด้วย มีโทษ 6 สถาน คือ เมื่อชนะย่อม
ก่อเวร เม่ือแพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ ทรัพย์ยอ่ มฉบิ หาย ถูกญาติมิตรดูหม่ิน ไมม่ ีใครเชอ่ื ถือถอ้ ยคา ไมม่ ีใครประสงคจ์ ะ
แต่งงานด้วย

5. โทษของการคบคนชั่วเป็นมิตร เพราะนาตนเป็นคนชั่วด้วย มีโทษ 6 สถาน คือ นาไปสู่นักเลง
การพนัน นาไปสู่นักเลงเจ้าชู้ นาไปให้นักเลงสุรา นาไปสู่คนลวงด้วยของปลอม นาไปสู่คนลวงเขาซึ่งหน้า และ
นาไปส่นู กั เลงหวั ไม้

6. โทษของการเกียจคร้านทาการงาน ซึ่งโทษเหล่าน้ีจะข้ึนอยู่กับความหนัก-เบาบ้าง หรือมาก-
นอ้ ยบา้ ง และขนึ้ อยู่กับเหตกุ ารณ์ท่ยี กมาอ้างมโี ทษ 6 สถาน คือ มักอ้างวา่ หนาวนัก-ร้อนนัก แล้วไม่ทางาน มกั อา้ ง
วา่ เยน็ แลว้ ยงั เช้านกั แลว้ ไม่ทางาน มักอ้างวา่ หวิ กระหายนกั –อิม่ นกั แล้วไม่ทางาน

โดยมากผู้คนในสังคมใด เมื่อหลงมัวเมามั่วสุมอยู่ในอบายมุขดังกล่าวนี้ สังคมน้ันพบแต่ความเสื่อมความ
พินาศหายนะ โดยไม่ต้องสงสัย หากคนในสังคมต้องการให้ตนเอง ครอบครัว และสังคมมีความเจริญรุ่งเรือง มี
ความสุข จาต้องละเว้นจากอบายมุข อันเป็นทางแห่งความเส่ือมทั้ง 6 ประการน้ี พยายามตั้งหน้าทามาหากินโดย
สุจริต ดว้ ยความขยันหมนั่ เพียรเพอื่ ให้การช่วยเหลอื เกอ้ื กลู กัน สังคมจะมแี ต่ความสุข ความเจริญ อยา่ งแนน่ อน

79

1.3 จริยธรรมกบั การพัฒนาสังคม
หลกั พุทธจริยธรรมกับการพฒั นาทางสงั คมนั้น ตอ้ งเนน้ ใหก้ ารศกึ ษาเพอ่ื พฒั นาคนในฐานะมนุษยชาติ เป็น

รากฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งหน่ึงควบคู่กับการศึกษาคือ การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม ในสังคมยุคปัจจุบันนี้
นับวันจริยธรรมมีความสาคัญน้อยลงทุกที สังคมไทยนั้นจาต้องเร่งเสริมรากฐานพัฒนาจริยธรรมคืนสู่สังคมให้มี
ความย่ังยืน เพราะจริยธรรมมีช่ือเรียกต่างกัน ดังเช่น คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของกลุ่มคน ข้อปฏิบัติของชุมชน
สังคม หรือองค์กร ถ้าสังคมขาดจริยธรรมในการพัฒนาคนในฐานะสมาชิกของชุมชน สังคมแล้ว จะทาให้ตนเอง
เดอื ดร้อนและสังคมวนุ่ วาย แต่ถ้าหากมคี ณุ ธรรมจริยธรรม จะสามารถทาให้การดารงชวี ิตราบรื่นและย่งั ยืน

1.3.1 ธรรมคมุ้ ครองโลก 2
ธรรมคุ้มครองโลก เรยี กว่า ธรรมโลกบาล หมายถึงธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองโลก หรือ ป้องกันชาวโลก เป็น
หลกั จริยธรรมปอ้ งกันสงั คมมนษุ ย์ไม่ให้กระทาช่ัว เพือ่ ให้โลกอย่ดู ้วยกันอย่างมีระเบยี บแบบแผนและมีความสงบสุข
เรียกอย่างหนึ่งว่า เทวธรรม หมายถึงธรรมที่ทาให้คนเป็นเทวดาซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า เม่ือบุคคลปฏิบัติตาม
คุณธรรมสามารถพัฒนาคนให้เป็นเทวดาได้ เพราะเป็นผู้มีคุณธรรมสูง คือ หิริและโอตตัปปะ ความดีอันเป็นธรรม
ของเทวดานนั่ เอง
หลักพุทธจริยธรรมเพ่ือคุ้มครองโลกให้เกิดความสุข ความร่มเย็น เป็นหลักปฏิบัติช่วยให้สังคมมนุษย์เกิด
ความเป็นระเบียบเรียบรอ้ ย มีอยู่ 2 ประการ คือ

1. หิริ ความละอายแก่ใจ หมายถึงความละอายต่อการกระทาชั่ว รังเกยี จความชว่ั เกลียดชงั ความ
ชว่ั มองเหน็ ความชั่วเปน็ ส่งิ สกปรกโสโครก ไมอ่ ยากแตะต้องหรือเข้าไปใกล้ เพราะกลัวจะเปรอะเปื้อน เหมอื นคนท่ี
รักความสะอาด เกลยี ดความสกปรก ฉะนัน้

2. โอตตปั ปะ ความเกรงกลัว ความสะดุ้งกลัว หมายถึงความเกรงกลวั ตอ่ ความช่ัว หรือสะดุ้งกลัว
ต่อความชั่วร้ายต่างๆ หมายเอาความหวาดกลวั ต่อความช่ัว มองเห็นความชั่วร้ายเป็น สิง่ ทเี่ ป็นอันตราย มองเห็นผล
ของความชั่ววา่ เปน็ สง่ิ ทาลายลา้ งความดี และไม่กล้าเข้าไปใกลใ้ นความชวั่ รา้ ย เพราะกลวั ผลเกิดอนั ตราย

การดาเนินชีวิตของคนในสงั คม บางคน บางกล่มุ อยดู่ ้วยกนั อย่างสงบสขุ เพราะต่างช่วยเหลือพ่ึงพาอาศัย
กัน ไม่เบียดเบยี นข่มเหง ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ปฏิบัตติ ามกฎระเบียบ และหลักจรยิ ธรรม ประกอบอาชีพในทาง
สุจริต เม่ือหมู่ชนปฏิบัติตามกฎระเบียบ และหลักจริยธรรม ย่อมจะพบแต่ความเจริญก้าวหน้า อยู่อย่างเป็นสุข
เพราะกฎระเบียบและหลักจริยธรรมย่อมรักษา และคุ้มครองกลุ่มชนนั้น เม่ือบุคคลประพฤติธรรม ธรรมย่อม
คุ้มครองรักษาผู้ประพฤติน้ัน ดังพุทธศาสนสุภาษิตว่า “ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารี” แปลว่าธรรมย่อมรักษาผู้
ประพฤติธรรมน้ัน ผลการประพฤติธรรมของมนุษย์ สังคมจึงเกิดความสุข หากบุคคลต้องการความสุขอันเป็น
จุดหมายก็ต้องประพฤติธรรมทุกขณะ ผลของการประพฤติธรรมย่อมจะอานวยความสุขแก่บุคคลและสังคมตาม
สมควรแกค่ วามประพฤตนิ ั้น ดงั พุทธศาสนสุภาษิต “ธมมฺ จารี สุข เสติ” แปลวา่ “ผปู้ ระพฤติธรรมย่อมอยูเ่ ป็นสุข”

1.3.2 สงั คหวัตถุ 4
คาว่า สังคหวัตถุ แปลว่าหลักการสงเคราะห์ หมายถึงหลักสังคมสงเคราะห์เพ่ือนมนุษย์ เมื่อมนุษย์มาอยู่
รวมกันเป็นสังคม เร่ิมต้ังแต่สังคมหน่วยแรก คือ ครอบครัว จนกระท่ังสังคมใหญใ่ น ระดับประเทศชาติ ส่ิงสาคัญที่
สมาชิกของสังคมต้องรู้จักสงเคราะห์ อนุเคราะห์กันตามฐานะของตน เป็นหลักมาตรฐานทางจริยธรรม เพราะ

80

สังคมโลกอยู่ได้ด้วยการให้และรับหมายความว่ามนุษย์จาเป็นต้องพ่ึงพาอาศัยกัน พระพุทธศาสนาสอนให้คนใน
สังคมใช้หลกั การสงเคราะห์กนั เรยี กวา่ สังคหวัตถุ มอี ยู่ 4 ประการ คอื

1. ทาน หมายถึงการให้ปันสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ เมื่อแรกเกิดมนุษย์ต้อง อาศัยการให้
เบื้องต้น ซึ่งผู้ท่ีใหค้ ือมารดาบิดา ซง่ึ ท่านให้การเลี้ยงดูอุปการะ ให้การส่ังสอนอบรมเพ่ือรู้จักหลักวิธีการดารงชีวิตที่
ดีงาม ครั้นเจริญเติบโตแล้ว บุคคลต้องออกไปสู่สังคมภายนอก เพ่ือรับการศึกษาจากครูอาจารย์ เป็นผู้ให้วิชา
ความรู้ รัฐบาลให้การคุ้มครอง จัดสาธารณูปโภคแก่ประชาชน ส่วนผู้รับคือบุตรธิดา ต่อมาก็เป็นศิษย์ เป็นพลเมือง
ของประเทศ จาเป็นจะต้องให้ตอบ เช่น มารดาบิดาเลี้ยงดูมาแล้ว บุตรธิดาก็จะต้องเล้ียงท่านตอบ เป็นต้น
โดยท่ัวไปลักษณะของการ ให้ทาน ถือเป็นกุศลเจตนาในทางเสียสละ เพื่อขจัดความเห็นแก่ตัว เป็นการสร้างไมตรี
การใหน้ ้ัน แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ

ประเภทท่ี 1 แบ่งตามสง่ิ ของทใี่ หท้ าน มอี ยู่ 3 ประการ คอื
(1) อามสิ ทาน เปน็ การให้วัตถสุ งิ่ ของ
(2) ธรรมทาน เป็นการใหธ้ รรมคอื วชิ าความรตู้ า่ งๆ
(3) อภยั ทาน เปน็ การให้อภัยเม่ือมกี ารกระทาผิดพลาดเกดิ ข้นึ

ประเภทที่ 2 การแบ่งตามอาการท่ีให้ทาน มีอยู่ 2 ประการ คือ
(1) การใหเ้ พ่ือบชู าคุณ คือ การใหเ้ พื่อตอบแทนคุณความดขี องผมู้ คี ุณต่อเรา เช่น มารดา

บิดา เปน็ ต้น
(2) การให้เพื่ออนุเคราะห์ เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามฐานะ เช่น คนในครอบครัว

หรอื คนในสงั คม ความทุกข์ ความเดอื ดรอ้ น ก็ตอ้ งใหก้ ารชว่ ยเหลือ
2. ปิยวาจา หมายถึงการกล่าวแต่คาที่สุภาพ ไพเราะอ่อนหวาน หรือกล่าวคาพูดที่ปลูกไมตรีจิต

หมายเอาการกล่าวหรือพูดด้วยความปรารถนาดีต่อกัน คาว่า “คาไพเราะอ่อนหวาน” มิได้หมายเอาคากล่าวหรือ
คาพูดท่ีเพียงถูกใจผู้ฟังแต่เป็นคาเท็จ แต่หมายเอาคาจริง คากล่าวท่ีไม่ผิดเพ้ียนไปจากความจริง ประกอบด้วย
ความรัก ความปรารถนาดี บางครัง้ อาจเป็นคากลา่ วที่เป็นดดุ ่าว่ากล่าวก็ได้ แตเ่ ป็นคาพูดออกมาจากเจตนาดี น้ีถือ
ว่าเปน็ “ปิยวาจา” เช่น การพดู จาท่ีจะถอื ว่าเป็นปิยวาจาหรอื ไมน่ ้ัน ข้นึ อยู่กบั เจตนาของผูพ้ ูดเป็นสาคัญ ถา้ พดู ด้วย
กุศลเจตนา แมจ้ ะพูดด้วยถ้อยคาท่ีไมไ่ พเราะก็เป็นปิยวาจาได้ ส่วนการพูดด้วยอกศุ ลแม้จะพูดด้วยถ้อยคาท่ีไพเราะ
อ่อนหวาน อยา่ งไรก็ไมถ่ อื วา่ เป็นปิยวาจา เชน่ เดียวกัน

3. อตั ถจริยา หมายถึงการประพฤตปิ ระโยชน์ หรือการบาเพญ็ ประโยชน์ หมายเอาการขวนขวาย
ช่วยเหลือกิจการงานของผู้อ่นื ด้วยความสุจริตใจ โดยไม่หวังสง่ิ ตอบแทน หรอื การบาเพ็ญสาธารณะ ประโยชน์ เช่น
การสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ถนน สระน้า ศาลาที่พัก นอกจากการประพฤติประโยชน์ในส่วนท่ีเปน็ วัตถุแลว้ ยัง
รวมไปถึงการให้คาแนะนาสั่งสอนในทางที่เป็นประโยชน์ เช่น การแนะนาวิธีการดาเนินชีวิตที่ถูกต้อง อบรมวิชาที่
สุจริตต่างๆ เป็นต้น สงั คมจะเจริญก้าวหนา้ เป็นอารยะจะต้องอาศัยคนท่ีมีนา้ ใจทจ่ี ะชว่ ยเหลอื สังคมเทา่ นนั้

4. สมานัตตตา หมายถึงการวางตัวสม่าเสมอ เป็นคนประพฤติดีเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ถือตัว
โอ้อวด คือความเป็นคนท่ีมีจิตใจคงเส้นคงวากับบุคคลทั่วไป ไม่แสดงอาการข้ึนลงไปตาม อารมณ์ของตน รู้จักเข้า
ร่วมสุขร่วมทุกข์กับเพ่ือน เมื่อเห็นผู้อ่ืนตกทุกข์ได้ยาก ต้องช่วยเหลือเก้ือกูลตามฐานะ หรือเห็นผู้อื่นมีความ
เจริญก้าวหน้า มีฐานะดีขึ้นโดยสุจริต พลอยยินดีและสง่ เสริม หากทุกคนรู้จักวางตนให้เหมาะสมตามฐานะในสังคม
แลว้ สงั คมจะมีแต่ความสุขความเจรญิ

81

1.3.3 ทิศ 6

คาว่า ทิศ แปลว่า ด้าน หรือข้าง พระพุทธเจ้าทรงเปรียบบุคคลประเภทต่างๆ ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทาง

สังคมเหมือนกับทิศต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเพ่ือให้บุคคลรจู้ ักหน้าท่ี หรือ จริยธรรมท่ีตอ้ งปฏิบัตติ อ่ กัน โดยแยกออกได้ 6

ทิศ ดังน้ี

1. ปรุ ติ ถมิ ทสิ ทิศเบอ้ื งหน้า ไดแ้ ก่ มารดาบดิ า

2. ทกั ขิณทิส ทศิ เบอ้ื งขวา ได้แก่ ครูอาจารย์

3. ปจั ฉิมทสิ ทศิ เบอื้ งหลงั ไดแ้ ก่ บุตร ภรรยา สามี

4. อุตตรทสิ ทิศเบื้องซา้ ย ไดแ้ ก่ มิตร สหาย

5. เหฎฐิมทิส ทิศเบ้ืองต่า ไดแ้ ก่ บ่าว ไพร

6. อปุ ริมทสิ ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณะ พราหมณ์

สาระสาคัญของทิศ 6 ที่บุคคลต้องปฏิบัติหน้าท่ีต่อบุคคลที่เปรียบไว้เสมือนทิศเหล่านั้นตามสมควรแก่
ฐานะหรือบุคคลประเภทน้ัน จะต้องตามหนา้ ทขี่ องตน ดังนี้

1. ปุริตถิมทิส ทิศเบ้ืองหน้า เรียกอีกอย่างว่า ทิศตะวันออก หมายถึงมารดาบิดา ผู้มีพระคุณแก่บุตรมา
ก่อน จึงเกิดหนา้ ที่ของบุตรทจ่ี ะต้องปฏบิ ตั ติ อ่ ทา่ น มดี งั นี้

1.1 หน้าท่ขี องบุตรพึงบารงุ มารดาบดิ า 5 สถาน คอื
1.1.1 ท่านเลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงทา่ นตอบ
1.1.2 ช่วยทากิจของท่าน
1.1.3 ดารงวงศส์ กลุ
1.1.4 ประพฤตติ นใหส้ มควรแกก่ ารรบั ทรัพยม์ รดก
1.1.5 เมอื่ ท่านลว่ งลับไปแลว้ ทาบุญอทุ ิศให้ท่าน

1.2 หน้าท่ีของมารดาบิดา จงึ อนเุ คราะหบ์ ตุ ร 5 สถาน คือ
1.2.1 หา้ มไม่ให้ทาช่วั
1.2.2 ให้ต้ังอยใู่ นความดี
1.2.3 ให้ศึกษาศิลปะวทิ ยาการ
1.2.4 หาคคู่ รองท่ีเหมาะสมให้
1.2.5 มอบทรพั ยส์ มบตั ิใหใ้ นเวลาอันสมควร

2. ทักขิณทิส ทศิ เบ้ืองขวา เรียกอีกอย่างหน่ึงวา่ ทิศใต้ หมายถงึ ครูอาจารย์ ผู้สอนวิชาความรู้มาก่อน ควร
แก่การเคารพบชู าของสานศุ ษิ ย์ จึงหน้าท่ีของศษิ ย์ท่ีตอ้ งปฏิบตั ติ อบแทนครูอาจารย์ มดี งั น้ี

2.1 หนา้ ทขี่ องศิษยพ์ ึงปฏบิ ตั ติ ่อครูอาจารย์ 5 สถาน คือ
2.1.1 ลุกขน้ึ ยนื รับ
2.1.2 เข้าไปคอยรบั ใช้
2.1.3 เชื่อฟังคาสั่งสอน แนะนา
2.1.4 อุปัฏฐาก (ปรนนิบัติ)
2.1.5 เรียนศิลปะวทิ ยาการโดยเคารพ

82

2.2 หนา้ ท่ขี องครูอาจารย์ ย่อมอนุเคราะห์ศิษย์ 5 สถาน คือ
2.2.1 แนะนาดี
2.2.2 สอนดี
2.2.3 บอกศิลปะให้ส้นิ เชงิ ไมป่ ิดบงั อาพราง
2.2.4 ยกยอ่ งใหป้ รากฏในหม่คู ณะ
2.2.5 ช่วยคุ้มครองเปน็ ท่พี ่ึงของศษิ ยท์ ้ังหลาย

3. ปัจฉิมทิส ทิศเบ้ืองหลัง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทิศตะวันตก หมายถึงบุตร ภรรยา หรือสามี ซ่ึงท้ังสอง
ฝ่ายมีหนา้ ที่จะตอ้ งปฏบิ ัติตอ่ กัน มดี งั นี้

3.1 หน้าทข่ี องสามพี งึ ปฏิบตั ิต่อภรรยา 5 สถาน คือ
3.1.1 ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา
3.1.2 ไมด่ หู ม่นิ
3.1.3 ไมป่ ระพฤตนิ อกใจ
3.1.4 มอบความเปน็ ใหญ่ให้
3.1.5 ให้เครอ่ื งแต่งตวั

3.2. หน้าท่ีของภรรยาพง่ึ ปฏิบตั ิตอ่ สามี 5 สถาน คือ
3.2.1 จดั การงานดี
3.2.2 สงเคราะหค์ นขา้ งเคยี งของสามีดี
3.2.3 ไมป่ ระพฤตินอกใจ
3.2.4 รกั ษาทรัพย์ท่สี ามหี ามาได้
3.2.5 ขยนั หมนั่ เพยี ร ในกจิ การท้ังปวง
4. อุตตรทิส ทิศเบ้ืองซ้าย เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ทิศเหนือ หมายถึงมิตรสหาย ผู้ช่วยให้พ้นภัยและเป็น
กาลงั ใจสนบั สนนุ ในกิจการงานทั้งสองฝ่าย จึงมีหน้าท่ีต้องปฏิบัตติ ่อกนั มดี งั น้ี
4.1 หนา้ ทข่ี องบคุ คลพงึ ปฏบิ ตั ติ อ่ มติ รสหาย 5 สถาน คือ

4.1.1 ให้ปันส่งิ ของ
4.1.2 เจรจาดว้ ยถอ้ ยคาไพเราะ สุภาพ
4.1.3 ประพฤตปิ ระโยชนใ์ ห้ (ชว่ ยทาธุระ)
4.1.4 เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย
4.1.5 ไม่กล้ากลา่ วให้คลาดเคลือ่ นจากความจริง
4.2 หน้าท่ีของมติ รสหาย พ่งึ ปฏบิ ตั ิต่อบุคคลเหลา่ น้นั 5 สถาน คอื
4.2.1 รักษามิตรผ้ปู ระมาทแล้ว
4.2.2 รักษาทรพั ย์ของมติ รผูป้ ระมาทแลว้
4.2.3 เมือ่ ภยั มาถงึ เป็นที่พง่ึ พานกั ได้
4.2.4 ไม่ทอดทิง้ ในยามวิบัติ
4.2.5 นบั ถือวงศ์ตระกูลของมติ ร

83

5. เหฏฐิมทิส ทิศเบ้ืองล่าง หมายถึงบ่าวไพร่ (คนงาน คนรับใช้) เป็นผู้ช่วยทากิจการ เป็นฐานกาลังของ
เจ้านาย หรือนายจา้ ง ท้ังสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติตอ่ กนั มดี งั นี้

5.1 หนา้ ที่ของนายพึงปฏิบัติต่อบา่ วไพร่ 5 สถาน คอื
5.1.1 ให้ทางานตามควรแก่กาลงั
5.1.2 ใหอ้ าหารและรางวลั
5.1.3 ให้การรกั ษาพยาบาลเมอื่ เจ็บป่วย
5.1.4 ให้ของทีม่ รี สแปลกใหมใ่ หต้ ามควร
5.1.5 ใหม้ เี วลาพกั ผ่อนตามสมควร

5.2 หน้าทข่ี องบ่าวไพร่ พงึ ปฏบิ ัตติ ่อเจ้านาย 5 สถาน คือ
5.2.1 ลุกขนึ้ ทางานก่อนนาย
5.2.2 เลกิ ทางานทีหลงั นาย
5.2.3 ถอื เอาเฉพาะของท่นี ายให้ (อนญุ าต)
5.2.4 ทางานใหด้ ขี ้ึน
5.2.5 ยกยอ่ งสรรเสรญิ คณุ ของนายในที่ตา่ งๆ

6. อุปริมทิส ทิศเบื้องบน หมายถึงสมณะ พราหมณ์ ผู้ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม เป็นผู้นาด้านความประพฤติอันดี
งาม ทงั้ สมณะ พราหมณ์ และคฤหัสถ์ พง่ึ ปฏิบตั ิตอ่ กัน มดี ังน้ี

6.1 หน้าที่ของคฤหัสถ์ พึงปฏิบัตติ อ่ สมณะ พราหมณ์ 5 สถาน คอื
6.1.1 เมตตากายกรรม ทาอะไรกท็ าดว้ ยเมตตา
6.1.2 เมตตาวจกี รรม พดู อะไรกพ็ ูดดว้ ยเมตตา
6.1.3 เมตตามโนกรรม คดิ อะไรก็คิดดว้ ยเมตตา
6.1.4 ไม่ปิดประตูบ้าน ยนิ ดีตอ้ นรบั ทกุ เมื่อ
6.1.5 การให้อามิสทาน การใหท้ านดว้ ยปจั จยั

6.2 หนา้ ที่ของสมณะ พราหมณ์ จึงอนุเคราะหค์ ฤหสั ถ์ 5 สถาน คอื
6.2.1 หา้ มไมใ่ ห้ทาความชั่ว
6.2.2 ให้ตง้ั อยู่ในความดี
6.2.3 อนุเคราะหด์ ้วยนา้ ใจอนั งาม
6.2.4 อธบิ ายในส่ิงท่ีเคยฟงั แล้วใหแ้ จ่มชดั
6.2.5 บอกทางสวรรค์ให้ (บอกทางแหง่ ความสขุ ความเจริญให้)

ทิศทั้ง 6 นี้ เป็นหลักมนุษยสัมพันธ์อันเป็นหลักการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลในสังคม เพ่ือความสัมพันธ์ที่ดี
และเป็นสมาชกิ ของสงั คมปฏิบตั ิตามหลักการเหล่านี้ ยอ่ มจะกอ่ ใหเ้ กิดความสามัคคี มีความรักใครร่ ่วมมือรว่ มใจกัน
มีการปฏบิ ตั ิตอ่ กนั ตามสมควรแก่ฐานะผลท่ไี ด้รบั

กล่าวโดยสรุป หลักพุทธจริยธรรมเป็นเคร่ืองมือทาให้ให้เกิดการพัฒนาตนเอง พัฒนาครอบครัว และ
พัฒนาสังคม เพ่ือการดารงชีวิตอยู่ร่วมกัน ความรู้จริยธรรมเป็นสิ่งท่ีมีอยู่แล้วในตัวมนุษย์อยู่แล้ว โดยธรรมชาติ
จะต้องพัฒนาให้เกิดขึ้น โดยอาศัยกฎเกณฑ์ความประพฤติที่มนุษย์ ควรประพฤติตามหลักการทางศีลธรรม หลัก

84

ศาสนาและปรัชญา เพ่ือประโยชน์สุขแก่ตนเองและสังคม นอกจากนี้พุทธจริยธรรมยังใช้เป็นแนวทางประกอบการ
ตดั สินใจเลือกความประพฤติ และกระทาที่ถูกตอ้ งเหมาะสมในแตล่ ะสถานการณ์ด้วย

2. คุณธรรมจรยิ ธรรมในการดาเนนิ ชีวติ อยา่ งมีความสุขตามหลักศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู
การพัฒนาชีวิตในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูคือ การมุ่งสู่โมกษะ หรือความหลุดพ้น ชาวฮินดูทุกคนย่อมมี

จุดหมายปลายทางอันเดียวกัน แต่วิธีการที่ไปถึงจุดหมายปลายทางนั้นแตกต่างกันไปตามประเภทของบุคคล คือ
บางคนเข้าถึงโมกษะได้ด้วยความรู้ บางคนถึงได้ด้วยกรรมหรือการกระทา แต่บางคนก็เข้าถึงได้ด้วยความภักดี ซ่ึง
หนทางท้ังสามน้ีในท่ีสุดก็จะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การรวมเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันเช่นน้ีเรียกว่าโยคะ
(สุจติ รา อ่อนคอ้ ม, 2552 : 30-32) มรี ายละเอียดดังน้ี

2.1 หลกั โยคะ
“โยคะ” แปลว่า รวม หมายถึง การรวมอาตมัน หรือชีวาตมันเข้ากับอาตมันสากล หรือปรมาตมัน ส่วนผู้
บาเพ็ญโยคะ เรียกว่า โยคี หมายถึงผู้สามารถรักษาดุลยภาพแห่งจิตไว้ได้โดยไม่หวั่นไหวเอนเอียงไปกับ อารมณ์ท่ี
ชวนให้รัก ชัง ดีใจ เสยี ใจฯลฯ มจี ิตตั้งมัน่ คงท่ี ไม่หว่ันไหวต่ออารมณ์ต่างๆ ทั้งฝ่ายอิฏฐารมณ์ และ อนิฏฐารมณ์ น้ี
ได้ช่ือว่าบรรลุถึงความเป็นเอกภาพกับพรหมันซึ่งจะไม่หวนกลับคือสู่การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป
โยคะทง้ั สาม ดงั น้ี

1. ชญาณโยคะ เป็นมรรควิธีแห่งการเข้าถึงพรหมด้วยความรู้ จุดประสงค์สาคัญของผู้บาเพ็ญ
เพียรซึ่งได้นามว่าโยคีนั้น ได้แก่การเห็นแจ้งในอาตมัน ซึ่งการเห็นแจ้งเช่นน้ีบุคคลจะ ไม่สามารถบรรลุถึงได้โดย
ปราศจากความรู้ แม้แต่ผู้ท่ีดาเนินตามภักติมรรค หรือภักติโยคะก็ ยังจาเป็นต้องอาศัยความรู้ท่ีพระผู้เป็นเจ้าทรง
ประทานให้ จึงจะสามารถเกิดความเห็นแจ้งข้ึน มาได้ โยคะท่ีปราศจากความรู้เป็นส่ิงที่หาประโยชน์แท้จริงไม่ได้
จริงอยู่ผู้บาเพ็ญโยคะอาจ สามารถควบคุมตนเองไม่ให้ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ต่างๆ ได้ แต่ตราบใดท่ียังไม่อาจขจัด
กเิ ลสตัณหาใหห้ มดไปอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง ก็ยังหาได้ชื่อว่าเป็นโยคีที่แท้จริงไม่ กิเลสตัณหา จะถูกขจดั ให้หมดไปได้
กด็ ้วยความรแู้ จง้ เทา่ นัน้ ความรมู้ ีความสาคญั มากเพียงไรน้ัน

2. กรรมโยคะ กรรมโยคะจะเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ก็ต่อเม่ือมี ชญาณโยคะสมบูรณ์แล้วเท่าน้ัน
ไม่มีผู้ใดซ่ึงยังดารงชีพอยู่จะสามารถสลัดกรรมหรือการกระทาเสียได้โดยสิ้นเชิง แต่การกระทาดังกล่าวเป็นการ
ปฏิบตั ิภารกจิ ตามหนา้ ท่ดี ้วยความรูส้ กึ ปล่อยวางหรอื ไม่มีอุปาทานต่อหนา้ ท่ีท่ีตนปฏิบตั ิ

การกระทาสองประเภทท่ีกล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวท คือการกระทาท่ีหวังผลตอบแทน เรียกว่า
ประวฤติกรรม และการกระทาด้วยการปล่อยวางหรือไม่หวังผลตอบแทนเรียกว่า นิวฤติกรรม ซ่ึงกรรมโยคะ
หมายถึง การกระทาประเภทหลัง คอื การกระทาท่ีไมห่ วังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น แตเ่ ปน็ การกระทาดว้ ยถอื วา่ เป็น
หน้าที่ที่จะต้องทา การกระทาด้วยความรู้ สึกปล่อยวางหรือไม่หวังผลตอบแทนน้ีจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าปราศจาก
ความรู้ ผูม้ คี วามรเู้ ท่านั้นท่ีจะสามารถกระทาดังกล่าวนีไ้ ด้

3. ภักตโิ ยคะ แปลตามตัวว่า การประกอบความภักดี หมายถงึ การให้บริการแก่พระผ้เู ป็นเจ้า โดย
ปราศจากการหวังผลตอบแทน กระทาไปโดยความจงรักภักดีต่อพระองค์ด้วยความบริสุทธ์ิใจ ความภักดีตามนัยที่
กล่าวน้ีจงึ เปน็ กรรมอย่างหน่งึ แต่กรรมดงั กลา่ วนี้ต้องกระทาด้วยความรู้ ถ้าปราศจากความรูแ้ ลว้ ก็ไม่อาจเปน็ ไปได้
ผู้มีความรู้ทีแ่ ทจ้ รงิ เทา่ น้นั ท่ีจะสามารถ แสดงความจงรกั ภักดตี ่อพระผู้เป็นเจา้ ได้อยา่ งสมบูรณ์ พระผู้เป็นเจา้ จะเป็น

85

ผู้ดึงผู้ที่จงรักภักดีต่อพระองค์ข้ึนจากสงสารสาคร และจะได้รับการช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
บุคคลที่มีความภักดีจะเข้ารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระผู้เป็นเจ้า แล้วดารงอยู่ในฐานะแห่งความสุขทางจิตอัน
สงู ส่ง

จะเห็นได้ว่าความรู้หรือชญาณะเป็นส่ิงสาคัญท่ีสุด กรรมและความภักดีเป็นแต่เพียงการแสดงออกของ
ความรู้ ถ้าปราศจากความรู้เสียอย่างเดียว ความหลุดพ้นหรือโมกษะก็ดี การละอุปาทานหรือความยึดม่ันถือมั่นใน
การกระทากด็ ี การมีความภกั ดีตอ่ พระผเู้ ป็นเจ้าโดย ปราศจากการหวังผลใดๆ ก็ดี ย่อมไม่อาจมขี ้ึนได้

โยคะทงั้ สาม คือ ชญาณโยคะ กรรมโยคะ และภกั ตโิ ยคะ นี้มชี อ่ื เรยี กอีกอย่างหนง่ึ ว่า ราชโยคะ ถอื ว่าเปน็
โยคะอย่างเลศิ เป็นโยคะแบบแท้จริงและสงู สุด โดยมุ่งการฝึกจติ เปน็ สาคัญ

2.2 หลักอาศรม 4
นอกเหนือจากหลักโยคะแล้ว ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูยังได้กาหนดข้ันตอนของการดาเนินชีวิตไว้ 4
ขั้นตอน เรียกว่า “อาศรม 4” คาว่า อาศรม หมายถึง ช่วงหรือระยะเวลาของชีวิต และยังหมายถึงท่ีสาหรับอยู่
อาศัยของนักบวช อีกด้วย ในยุคพราหมณ์การดาเนินชีวิตตามหลักศาสนาของบุคคลในวรรณะสูงทั้ง 3 คือ
พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ นนั้ จะตอ้ งดารงชีวติ ตามหลักอาศรม 4 คือ (สุจติ รา ออ่ นค้อม, 2552 : 37-38)

1. พรหมจรรย์ คือ ช่วงชีวิตที่ใช้ในการศึกษาเล่าเรียน เพ่ือนาความร้มู าแสวงหาทรัพย์สมบัตทิ าง
โลก เป็นระยะท่ีต้องศึกษาเล่าเรียนสาระของพระเวทยัญพิธี และวิชาการอ่ืนๆ อยู่กับครู เป็นเวลาอย่างนอ้ ย 12 ปี
และในช่วงระยะเวลาดังกล่าวน้ีต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ และคาสั่งของครูอย่างเคร่งครัด บุคคลท่ีอยู่ในอาศรม
พรหมจรรย์เรียกว่า พรหมจารี ต้อง ปฏบิ ัติตนดังต่อไปน้ี

1.1 เช่ือฟังคาส่งั สอนของครูทุกประการ และตอ้ งถอื วา่ ตนเองน้นั เปน็ ทาสของครู
1.2 ออกไปรับภิกษาและสง่ิ ของต่างๆ และต้องนาสิ่งของที่รับมานัน้ มาให้ครูเสยี ก่อน ถ้า
ครูอนญุ าตใหร้ ับประทานจงึ จะเรม่ิ รับประทานได้ ถ้าไมอ่ นญุ าตก็รับประทานไม่ได้
1.3 สงวนหรือรักษาน้ากามอันเป็นสาระสาคัญของร่างกายไว้ให้จงดี เมื่อพรหมจารี
ทั้งหลายสาเร็จการศึกษาแล้ว ก่อนลาครูกลับสู่บ้านเรือนอันเป็นการเตรียมพร้อม เพื่อเข้าสู่อาศรมท่ีสอง ครูก็จะ
อบรมสั่งสอนพรหมจารีผู้เป็นศิษย์ใหต้ ้งั อยู่ในธรรม เพ่อื การเป็นผคู้ รองเรือนทีด่ ี ตัวอย่างคาสอน เช่น
- จงพูดแต่ความสัตย์
- จงปฏบิ ตั แิ ตท่ างธรรม
- จงปฏิบัติหน้าท่ีของตนให้เหมาะสมกับสามีท่ีดี ซ่ือสัตย์ต่อภรรยา และเป็นบิดาท่ีดีต่อ
บุตรธดิ า
- จงพยายามทากุศลกรรม
- อย่าประมาทในการบูชาสกั การะองค์เทพเจา้ เทวดา และปิตระ(บรรพบรุ ษุ ของตน)
- จงถือว่ามารดา บิดา ครูอาจารย์ และอติถี (แขกที่มาสู่บ้านโดยบังเอิญ) เป็นเสมือน
พระเจ้าองคห์ นงึ่
- จงกระทาในส่ิงท่ีดีท่ีไม่เป็นท่ีติฉินนินทา นอกจากน้ียังต้องปฏิบัติตามและยึดถือ
ขนบธรรมเนยี มประเพณีแต่โบราณกาลด้วย
- จงฟงั และเคารพบคุ คลทม่ี วี ัยวฒุ ิ และคุณวุฒิ

86

- ส่ิงที่จะมอบให้ผู้อื่น จงให้ด้วยความศรัทธา ด้วยความเต็มใจ และดีใจ ด้วยความรัก
และความอ่อนหวาน อยา่ ใหด้ ้วยความไมศ่ รทั ธา ดว้ ยความกลัว หรอื การถูกบังคบั

ฯลฯ

2. คฤหัสถย์ คือช่วงแสวงหาความสุขทางโลก มีครอบครัว มีบุตรธิดา แสวงหา ทรัพย์สมบัติ
ประกอบยญั พธิ แี ละรบั ผิดชอบตอ่ ชมุ ชน บคุ คลท่ีอยู่ในช่วงนี้เรียกว่า คฤหัสถ์ หมายถงึ ผูค้ รองเรือน

3. วานปรัสถย์ คือ ช่วงที่ต้องปฏิบัติธรรม หรือทาตนให้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมโดยการ
ออกไปพานักอยู่อาศรมในป่า บาเพ็ญตบะ และข้อปฏิบัติอ่ืน ๆ ทางศาสนาอย่างเคร่งครัด บุคคลที่อยู่ในอาศรมนี้
เรียกวา่ วานปรสั ถ์

4. สันนยาสะ คือ การปฏิบตั ิเพ่อื บรรลุโมกษะอนั เปน็ จดุ หมายสุดท้ายของคนฮนิ ดู เปน็ ช่วงที่สละ
สมบัตทิ ุกอยา่ งเหลือแต่ผ้านุ่งกับภาชนะสาหรับภกิ ขาจารและหม้อน้าออกจาก อาศรม เท่ียวจาริกเร่ร่อนภิกขาจาร
เรื่อยไป ไม่ซ่องเสพสงั คม พจิ ารณาเห็นความเส่ือมโทรม ปฏิกูลระคนด้วยทุกข์ของร่างกาย ให้จิตใจสงบระงับ ครั้น
สรรี ะแตกดับสลายเปน็ วัตถธุ าตุอาตมนั จักไดค้ นื สพู่ รหมนั บคุ คลที่อยใู่ นอาศรมน้ีเรยี กวา่ สันนยาสี

หลักอาศรม 4 ยังสัมพันธ์กับเป้าหมายของชีวิต หรือ ปุรุษารถะ 4 คือ อรรถะ กามะ ธรรมะ โมกษะ
(ดูรายละเอยี ดในบทท่ี 2) ดังนี้ (สมภาร พรมทา, 2549 : 69)

อาศรม 4 ปุรษุ ารถะ 4

วยั พรหมจรรย์ อรรถะ

(วัยเดก็ และวัยรนุ่ หนมุ่ สาว) (ศกึ ษาเลา่ เรยี นหาวชิ าความรู้เพอื่ เป็นหลักในการดารงชีพในอนาคต)

วยั คฤหัสถ์ กามะ

(วัยผ้ใู หญ่ แตง่ งานมีครอบครัว) (ทางานสรา้ งฐานะและใช้ทรัพย์แสวงหาความสขุ อย่างโลกๆ)

วยั วานปรสั ถ์ ธรรมะ

(วัยเร่มิ ชรา เริม่ เขา้ หาศาสนา) (ปลีกตัวจากครอบครัวมาปฏิบตั ธิ รรมในปา่ )

วัยสันยาสี โมกษะ

(วยั ชรา เขา้ หาศาสนาอย่างเต็มตัว) (ปฏิบัติธรรม สอนธรรม สละความตอ้ งการทางวัตถุให้หลดุ พน้ จากโลก)

3. คุณธรรมจริยธรรมในการดาเนินชีวิตอยา่ งมีความสขุ ตามหลกั ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์ถือว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์ โลก จักรวาลและสรรพส่ิง และทรงเป็นท่ีมาของความจริง

ความดี ความงามท่ีแท้จริง ดังน้ัน หลกั ประพฤติปฏิบัตหิ รือกฎจริยธรรมจึงมาจากประเจ้า มลี ักษณะเป็นเทวบัญชา
หรือเป็นคาส่ังของพระเจา้ ที่มนุษย์ต้องปฏิบัติตามอย่างปราศจากขอ้ โต้แย้ง ถือเป็น “พนั ธสัญญา” หรอื ข้อผูกพันที่
เช่ือมโยงระหว่างมนุษย์กบั พระเจ้า และระหวา่ งมนุษย์กบั มนษุ ย์ดว้ ยกนั (สรรเสรญิ อินทรัตน์ และคนอื่นๆ, 2552 :
57-58)

การพัฒนาชีวิตด้วยจริยธรรมในศาสนาคริสต์ ส่วนแรกคือ “พระบัญญัติ 10 ประการ” อันแสดงถึง
ความสมั พันธข์ องมนุษย์กบั พระเจา้ ใน 3 ขอ้ แรก และความสมั พนั ธร์ ะหว่างมนษุ ย์กับมนุษย์ใน 7 ข้อหลงั ดงั นี้

87

1. อย่ามีพระเจา้ อืน่ ใดนอกจากเรา
2. อยา่ ออกนามพระเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร
3. จงระลึกถงึ วันซับบาธ ถอื เปน็ วนั บรสิ ุทธิ์
4. จงใหเ้ กยี รตแิ ก่บิดามารดาเจา้
5. อยา่ ฆา่ คน
6. อย่าล่วงประเวณีสามีภรรยาผู้อื่น
7. อย่าลกั ทรัพย์
8. อย่าเปน็ พยานเทจ็
9. อย่าโลภภรรยาของเพ่อื นบา้ น
10. อยา่ โลภครัวเรอื น ไร่นา หรอื สง่ิ ของของเพือ่ นบ้าน

ต่อมาในสมัยของพระเยซูนั้น เน่ืองจากพระเยซูนับถือศาสนายิว เม่ือพระองค์ประกาศศาสนาก็ไม่ได้บอก
ว่าเป็นศาสนาใหม่ พระองค์ยังคงยึดถือปฏิบัติทุกอย่าง ตลอดจนเข้าโบสถ์ สวดมนต์ และประกอบ พิธีกรรมทาง
ศาสนายิว เมื่อพระเยซูทรงประกาศคาสอน พระองค์แจ้งแก่ชาวยิวว่าพระองค์นาข่าวดีมาบอก ข่าวดีของพระองค์
คือ “ความรัก” ความรักจึงเป็นหลักคาสอนสาคัญของคริสตศาสนา ความรักท่ีพระเยซูสอนมี 2 ระดับ (สุจิตรา
อ่อนค้อม, 2552 : 206-208) คอื

ระดับท่ี 1 ความรักระหวา่ งมนษุ ย์กบั พระเจา้
ระดบั ที่ 2 ความรักระหวา่ งมนษุ ย์กบั มนุษย์
ความรักระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า แต่เดิมพวกยิวถือว่าพระเจ้าเป็นของชาติยิวเท่านั้น และชาวยิวต้องรัก
พระเจ้า มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแบบบ่าวกับนาย พระเยซูได้สอนเพ่ิมเติมว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าของชน
ชาติยิวเท่าน้ัน แต่เป็นพระเจ้าของมนุษย์ทั้งโลก และพระเจ้าทรงรักมนุษย์เหมือนบิดารักบุตร ความสัมพันธ์
ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์จึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตร พระเยซูสอนว่า “จงรักพระเจ้าของท่านอย่าง
สดุ จติ สดุ ใจ” หมายความว่า เคารพและเชื่อฟงั ในพระประสงค์ของพระองค์ ศรทั ธาและปฏิบัติตามบญั ญัติพระองค์
พร้อมสละสิ่งตา่ งๆ และทาทกุ สิ่งทกุ อยา่ งเพื่อพระองค์ มิใช่ทาเพอื่ ตนเอง และต้องสละความเหน็ แก่ตัวใหห้ มด
ส่วนความรักระหว่างมนุษย์กับมนุษย์น้ัน พระเยซูสอนว่า “จงรักเพ่ือนบ้านเหมือนรักตนเอง” ซ่ึงเพ่ือน
บ้านตามความเข้าใจเดิมของพวกยิวหมายถึง ชนชาติยิวเท่านั้น แต่พระเยซูได้ขยายความออกไปว่า เพื่อนบ้านน้ัน
หมายถึง มนุษยท์ ง้ั โลก เพราะมนุษย์ทุกคนเปน็ บุตรของพระเจ้า มนษุ ยท์ ุกคนจึงเป็นพน่ี อ้ งกัน ซึ่งการแสดงความรัก
ตอ่ เพือ่ นมนษุ ยค์ ือการปฏิบัติตาม 6 ข้อหลงั ของพระบญั ญัติ 10 ประการ นอกจากน้ยี ังมีข้อปฏิบัตซิ ่ึงแสดงถึงความ
รักแท้ต่อเพื่อนมนุษย์ เช่น ละเว้นการมองคนในแง่ร้าย อดทนต่อความผิดพลาดและบกพร่องของผู้อ่ืน ตอบแทน
ความช่วั ด้วยความดี ละเวน้ การอจิ ฉารษิ ยาตอ่ ผ้อู ืน่ ดังนี้เปน็ ตน้
ศาสนาคริสต์ได้ชือ่ วา่ เปน็ ศาสนาแหง่ ความรัก เพราะพระเยซูสอนให้รักแมก้ ระทงั่ ศัตรู “จงรักศตั รูของทา่ น
และภาวนาอุทิศแด่ผู้ท่ีเบียดเบียนท่าน ทาเช่นนี้จึงจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของ พระบิดาบนสวรรค์เพราะพระองค์ทรง
ประทานควงอาทิตย์ให้ส่องแสงสาหรับคนเลวเท่ากับคนดี ให้ฝนตกสาหรับคนคดเท่ากับคนซ่ือ” นอกจากรักศัตรู
แล้วยังต้องเมตตากรุณาต่อคนทั้ง หลายไม่เลือกหน้าและไม่ละโอกาสท่ีจะช่วยเหลือตามความสามารถและโอกาส
ท้ังน้ีต้องมิใช่กระทาด้วยท่าทางเย้ยหยันแต่ด้วยความหวังดีอย่างจริงใจ ดังวจนะเชิงภาพพจน์ของพระเยซูว่า “ถ้า

88

ผใู้ ดตบแกม้ ขวาของท่านใหห้ ันแกม้ ซ้ายใหเ้ ขาด้วย” (มัดธาย 5 : 35) ตัวอยา่ งคาสอนของพระเยซูครสิ ต์“จงรักศัตรู
และอวยพรแก่ผทู้ ่ีแช่งดา่ ทา่ น จงทาคุณแก่ผู้ทเ่ี กลียดชังทา่ น และจงขอพร ใหแ้ ก่ผทู้ ี่ประทษุ รา้ ยเค่ียวเข็ญท่าน เพื่อ
ทา่ นทั้งหลายจะได้เป็นบุตรของพระบิดาของทา่ นผ้อู ยู่ ในสวรรค์” (มดั ธาย 5 : 44-58)

พระเยซูทรงสอนว่าถ้าเรารักเฉพาะคนท่ีรักเรา เราก็ไม่ดีไปกว่าคนชั่ว แต่เราต้องทาให้ดีกว่าคนเหล่าน้ัน
และให้ดเี ท่าพระเจา้ คือให้ความเมตตา ความรักแก่คนดแี ละคนช่ัวเท่าๆ กัน เราจึงต้องรักศตั รูด้วยโดยไมต่ อบแทน
ความชั่วดว้ ยความช่ัว แต่ให้ทาความดีตอบแทนความช่วั “อย่าทาชั่วตอบแทนแก่ผู้หน่ึงผู้ใดเลย แต่จงมุ่งกระทาสิ่ง
ทีใ่ คร ๆ เห็นว่าดี... อย่าทาการแก้แค้นแต่จงมอบการน่ันไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะทรงลงพระอาญา... อย่าแก้แค้นเลย
ถ้าศัตรูของท่านหิวจงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้าก็จงให้น้าเขาด่ืม.. อย่าให้ความช่ัวชนะเราได้ แต่
จงชนะความชว่ั ด้วยความดี” (โรม 12 : 14-21)

“อย่ากล่าวโทษเขา เพ่ือเขาจะไม่กล่าวโทษท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร เขาจะ
กล่าวโทษท่านอย่างน้นั และทา่ นจะตวงให้เขาด้วยทะนานอนั ใด เขาจะตวงให้ท่านดว้ ยทะนานอนั น้ัน เหตุไฉนท่าน
มองดูผงท่ีในตาพ่ีน้องของทา่ น แต่ไม้ทั้งทอ่ นที่อยูใ่ นตาของท่านท่านก็ไม่รู้สกึ ” (มดั ธาย 3 : 1-3) เรอ่ื งนี้พระเยซทู รง
สอนให้ละเว้นการมองคนในแง่ร้าย เราต้องไม่คอยจ้องจบั ผิดผู้อ่ืน หรือพยายามหาข้อบกพร่อง หรือข้อเสียของคน
อื่น เพราะเรากอ็ าจจะผดิ หรอื บกพร่องได้เชน่ กนั โดยทไ่ี ม่รู้

สรุปว่า หลักประพฤติปฏิบัติหรือหลักจริยธรรมของศาสนาคริสต์ เป็นหลักการท่ีเน้นการอยู่ร่วมกันอย่าง
เสมอภาคในฐานะบตุ รของพระเจ้าองค์เดียวกนั ส่งเสริมภราดรภาพ และสันตภิ าพ ด้วยการเนน้ คณุ ธรรมจริยธรรม
ทส่ี ง่ เสริมคณุ ค่าของความเปน็ มนษุ ย์ เชน่ ความรกั ความเสยี สละ หรือจติ สานึกรับใชเ้ พ่อื นมนุษย์

4. คณุ ธรรมจรยิ ธรรมในการดาเนนิ ชีวิตอยา่ งมีความสขุ ตามหลักศาสนาอิสลาม
มีผู้ให้ความเห็นว่า อิสลามมิใช่แค่ศาสนาหรือความเช่ือเพียงเท่าน้ัน หากแต่เป็นวิถีการดาเนินชีวิต (Way

of Life) ที่ได้วางรูปแบบแห่งพฤติกรรมของมุสลิมไว้ตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับ โดยอัลลอฮ์ได้
ประทานรูปแบบในการดาเนินชีวิตของคนมุสลิมในคัมภีร์อัลกรุอาน ซึ่งถูกเปิดเผยมายังนบีมุฮามัด ศาสดาคน
สดุ ทา้ ยของศาสนาอสิ ลาม ในคมั ภีร์อลั กรุอานกล่าวถึงโครงสรา้ งที่เป็นรากฐานสาคญั ของศาสนาอิสลาม 2 ประการ
คือ

1. หลักศรทั ธา หรอื ความเชื่อในศาสนา เรยี กว่า อมิ า่ น (Imān)
2. หลักปฏบิ ัติ หรือหน้าทใ่ี นศาสนา เรียกวา่ อบิ าดะห์ (Ibadāt)
หลัก 2 ประการดงั กลา่ วมีสาระสาคัญดังน้ี

4.1 หลักศรทั ธา 6 ประการ
หลักศรัทธา (รุกุ่นอิม่าน) หรือ Imān หมายถึง การปักใจเช่ือในคาสอนของอัลลอฮ์ โดยปราศจากการ
เคลือบแคลงสงสัย ศาสนาอิสลามถือว่าหลักศรัทธา 6 ประการนับเป็นพื้นฐานแห่งระบบความสัมพันธ์ระหว่าง
มนษุ ย์กบั พระเจา้ ซ่ึงมีรายละเอยี ดดงั นี้

89

1. การศรัทธาตอ่ อัลลอฮ์
การศรัทธาในอัลลอฮ์ถือเป็นหัวใจสาคัญของความเป็นมุสลิม หากเข้าถึงหลักการศรัทธาใน
อัลลอฮ์อย่างถ่องแท้แล้ว จะเป็นการเตือนใจให้รู้สึกสานึกถึงบุญคุณของพระองค์เสมอ ยอมทาตามคาส่ังของ
พระองค์ ละเว้นในสิ่งที่ช่ัว ตอบแทนพระคุณของพระองค์ด้วยการกระทาความดี ก่อให้เกิดกาลังใจในการ
เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดข้ึน อิสลามถือว่าในสากลจักรวาลท้ังหลายมีพระเจ้าท่ีเท่ียงแท้เพียงองค์เดียว
เป็นผู้สร้างสากลจักรวาลและเป็นผู้บริหารควบคุมโลกและสรรพส่ิงต่างๆ ทางธรรมชาติมิได้เกิดมาโดยบังเอิญ
หากแต่ต้องมีผู้สร้างและผู้จัดวางกฎระเบียบให้มัน เช่น ดวงดาวต่างๆ ในสากลจักรวาลย่อมต้องมีผู้สร้างและผู้จัด
วถิ ีโคจรให้มีระบบ ผู้ท่สี รา้ งจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลจะต้องเป็นผู้ท่ยี ิ่งใหญ่ ผู้ทรงความสามารถ ผู้ทรงรอบรู้เกิน
กว่ามนษุ ย์ ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอลั ลอฮ์

2. การศรทั ธาในมลาอกิ ะฮ์
มลาอิกะฮ์ คือ ผู้ทาหน้าท่ีเป็นส่ือกลางระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับศาสดาท้ังหลาย เพื่อจะได้ให้
ศาสดาดังกล่าวได้เข้าถึงอลั ลอฮ์ เปรียบได้กับมนุษย์น้ันแมจ้ ะมีสายตาดีสักเพียงใดก็ตาม เขาจะไมส่ ามารถมองเห็น
วัตถุใดๆ ได้เลย ถ้าหากไม่มีแสงสว่างเป็นส่ือ มลาอิกะฮ์ นั้นเป็นนามธรรม ไม่ใช่เทวทูต, เทวดา, ทูตสวรรค์ ใน
ศาสนาอิสลามถือว่า มลาอิกะฮ์ ไม่มีเพศ ไม่ขัดขืนคาส่ังของอัลลอฮ์ ถือเป็นอานาจแห่งความดี ส่วนอานาจแห่ง
ความชั่วนั้นคือ ชัยตอน หรือซาตานหรือมาร นั่นเอง ดังนั้น มลาอิกะฮ์ จึงไม่ได้มีความหมายเหมือนเทวดาหรือ
แต่มลาอิกะฮ์จะทาหน้าที่เป็นผู้สนองตอบพระบัญชาอัลลอฮ์ มุสลิมจะต้องระลึกอยู่เสมอว่า การกระทาต่างๆนั้น
นอกจากอัลลอฮ์จะทรงเห็น ทรงได้ยินแล้ว มลาอิกะฮ์ ยังเป็นผู้ช่วยที่คอยบันทึกการกระทาต่างๆ นั้นไว้ ไม่ว่าจะ
เป็นการกระทาทั้งในที่ลบั หรอื ท่แี จง้ ทง้ั ในขณะท่ยี งั มีชีวิตอยูห่ รือเสยี ชีวิต ทาให้มสุ ลมิ เกดิ ความกลวั ตอ่ การทาบาป

3. การศรัทธาในบรรดาคัมภรี ข์ องอัลลอฮ์
การศรทั ธาในบรรดาคัมภรี ์ของอลั ลอฮ์เป็นหลักศรัทธาข้ันพื้นฐานอีกประการหนึ่งสาหรับการเป็น
มสุ ลมิ อัลลอฮ์ทรงประทานคัมภรี ์แก่มนุษย์เพ่ือให้มนุษย์ไดอ้ อกจากความมดื มาสู่ความสวา่ ง ซึ่งมีท้ังหมด 104 เล่ม
ท่ถี ูกประทานลงมาผ่านนบี หรือ ศาสดา เพื่อเผยแพร่แก่ประชาชาติให้ได้ศึกษาและปฏิบัติตามยุคสมัยของแต่ละน
บี มสุ ลมิ ต้องเชือ่ ถอื ตน้ ฉบับเดมิ ของคัมภีร์ทง้ั หลายในอดีตดว้ ย โดยมีเง่อื นไขวา่ คมั ภีร์เหลา่ น้ันต้องเป็น วะฮยี ์ (ได้รับ
การดลใจ) มาจากอัลลอฮ์ รวมถึงต้องมีเนื้อหาสาระตรงกับอัลกุรอาน อิสลามถือว่าคัมภีร์ที่สมบูรณ์ ครบถ้วน
ครอบคลุมที่สุด และเป็นคัมภีร์สุดท้ายคือ คัมภีร์อัลกุรอาน อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ทีม่ าจาก อัลลอฮ์ ซึ่งได้มอบให้นบี
มฮุ ัมมัดเพอื่ ประกาศใช้ตอ่ มวลมนุษยชาตทิ ั้งหลาย ให้เกดิ ความเปน็ ธรรมและความสนั ตสิ ขุ แกม่ วลมนุษยท์ ุกคน

4.ศรัทธาตอ่ ท่านนบี (ศาสดา) ทง้ั หลาย
อัลลอฮ์จะทรงแต่งต้ังผู้บริสุทธิ์ในรับการประทานพระคัมภีร์ต่างๆ เรียกว่า เราะซูล หรือ ศาสดา
(ศาสนทูต) ซ่ึงปรากฏในอัลกุรอานจานวน 25 ท่าน โดยมีนบีมุฮัมมัดเป็นท่านสุดท้าย ซ่ึงจะได้นาศาสนธรรมออก
ประกาศเผยแพร่แก่ประชาชาติ มุสลิมต้องศรัทธาต่อบรรดาศาสดา เพราะมีศักดิ์ศรีเหนือกว่ามนุษย์ เนื่องจาก
ได้รับการคัดเลือกจากอัลลอฮ์ รวมถึงต้องปฏิบัติตามวจนะและจริยวัตรของท่านศาสดาด้วย การศรัทธาในบรรดา
นบี (ศาสดา) มุสลิมทุกคนต้องยอมรับนับถอื ศาสดาท่ีมาเทศนาก่อนท่านนบมี ุฮัมมัดไม่ว่าศาสดาเหล่าน้ันจะปรากฏ
ช่ืออยู่ในคัมภีร์อัล-กุรอานหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าศาสดาเหล่าน้ันจะเป็นชนชาติใด อยู่ที่ไหน หรือพูดภาษาใดก็ตาม
มุสลิมต้องให้เกียรติยกย่องบรรดาศาสดาเหล่าน้ันอย่างเท่าเทียมกันหมด ท่านนบีมุฮัมมัดเป็นศาสดาสุดท้ายของ

90

โลก ที่มารับภารกิจต่อจากศาสดาคนก่อนๆ ท่ีเชิญชวนมนุษย์ให้รู้จักพระเจ้าและดาเนินชีวิตตามคาสอนของ
พระองค์ ท่านนบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่าหลังจากท่าน แล้วจะไม่มีศาสดาเกิดข้ึนมาอีก เพราะถือว่าท่านได้นาคาสอน
หรอื แนวทางแหง่ การดาเนนิ ชวี ติ ทีส่ มบูรณ์มาสูม่ นุษยชาตแิ ลว้

5. ศรทั ธาในวันสุดทา้ ย
ศรัทธาในวนั สุดท้ายและการเกิดใหม่ในวันปรโลก อิสลามถือว่าโลกท่ีเราอาศัยอยู่น้ีเปน็ เพียงวัตถุ
ธาตุชิน้ หนึง่ ซึ่งต้องมีการแตกสลายเหมือนกับวัตถุหรอื สิ่งอนื่ ๆ เมอ่ื โลกถึงจุดจบหรอื แตกสลายแล้วทุกส่ิงทกุ อย่างก็
ดับส้ิน นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้นท่ยี ังดารงอยู่ ในวนั อวสานโลก เม่อื มนุษยเ์ สียชีวิตลงทั้งหมดและโลกสลายไป มนษุ ย์
ก็จะฟนื้ คืนชพี อกี คร้ังหน่งึ ณ เบ้อื งพระพกั ตร์ของอัลลอฮ์เพอ่ื ให้พระองค์ตัดสินพิพากษา ซึ่งมนุษย์คนไหนจะไปเกิด
สภาพใดนั้นไม่มีผู้ใดรู้ได้ ในการเกิดใหมอ่ ีกครง้ั น้ีก็เพื่อท่ีจะให้มนุษย์รับผลตอบแทนตามท่ีเขาได้กระทาไว้เมื่อครั้งที่
เขายงั มีชีวติ อยู่ ผ้ใู ดทากรรมดกี รรมชวั่ ไวก้ ็จะต้องไดร้ บั ผลตอบแทนตามนนั้ ผลงานของเขาในโลกน้เี ท่าน้ันทจี่ ะเป็น
ตัวกาหนดว่าเขาจะเป็นผู้ได้อยู่ในสวรรค์หรือนรก ในขณะนั้นทุกๆส่ิงจะข้ึนอยู่กับอัลลอฮ์เพียงองค์เดียว ไม่มีใคร
สามารถชว่ ยใครไดน้ อกจากสิง่ ทไ่ี ด้เคยกระทาไวบ้ นโลกนี้ และไม่มีการกลับชาติมาเกิดอกี

6. ศรัทธาตอ่ กฎกาหนดสภาวการณ์ของอลั ลอฮ์
ศรัทธาในกฎกาหนดสภาวะของพระองค์ คือต้องศรัทธาว่าสรรพสิ่งทั้งหลายในสากลจักรวาลน้ี
ล้วนเกิดขึ้นมาและดาเนินไปตามกฎเกณฑ์ของอัลลอฮ์ทั้งสิ้น กล่าวคือ กฎธรรมชาติท้ังหลายน้ัน อัลลอฮ์เป็นผู้ทรง
สร้างและควบคุม ส่วนการกาหนดสภาวะในหลกั จรยิ ธรรมความดี-ความชั่วน้ัน อลั ลอฮ์จะเปน็ ผู้บอกเราเองว่าอะไร
คือความดีและอะไรคือความช่ัว ส่ิงท่ีใช้วัดความดีความช่ัวน้ันในอิสลามถือว่าไม่ได้มาจากมติบุคคลหรือมติของ
มหาชน หรือขนบธรรมเนียมประเพณี แต่อัลลอฮ์ได้ทรงกาหนดให้ทุกสิ่งมีทั้งคุณและโทษ มนุษย์มีทางเลือกใน
ระหว่างสิ่งท่ีอัลลอฮ์ทรงกาหนดข้ึน มนุษย์ต้องมีความใฝ่ดี พยายามกระทาความดีและวิงวอนแด่พระองค์ให้ทรง
ปกป้องความชั่วให้พ้นจากพวกเขา หากต้องประสบในสิ่งท่ีเป็นโทษ ก็ให้มีความเข้าใจและอดทน ถือว่าเป็นการ
ทดสอบจากอัลลอฮ์ การท่ีมนุษย์ได้กระทาความดีหรือความชั่วล้วนข้ึนอยู่กับการตัดสินใจของตัวมนุษย์เอง เพราะ
อัลลอฮ์ได้ให้ความคิดอิสระเสรีแก่มนุษย์ในการที่เขาจะเลือกทางเดินของเขาเอง การที่ไม่ได้เป็นผู้ลิขิตชะตากรรม
ของผ้ใู ดล่วงหนา้ น้ัน ก็เพ่อื ทใี่ หม้ นุษย์ได้มีความรบั ผดิ ชอบในสง่ิ ทต่ี นได้กระทาไว้

4.2 หลักปฏิบตั ิ 5 ประการ
ความศรัทธาท้ัง 6 ประการที่กล่าวมาก่อนหน้าน้ีเป็นหลักการสาคัญพ้ืนฐานของอิสลามที่มุสลิมจะ ต้องมี
อยู่ประจาใจ แต่ความศรัทธาเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เป็นการเพียงพอ เพราะในอิสลามความศรัทธาท่ีแท้จริง
จะต้องแสดงผลของมันออกมาให้เห็นเป็นการปฏิบัติในชีวิตประจาวัน และเพื่อให้แน่ใจว่าคนที่มีความศรัทธาใน
หลักการ 6 ประการดงั กล่าว ยงั คงยืนยันในความศรัทธาน้ันอย่างมั่นคง มสุ ลิมจึงตอ้ งมีหลกั ปฏิบัติ 5 ประการ หรือ
เรียกวา่ “อลั อบิ าดะฮ์” (Ibadāt) (บรรจง บนิ กาซนั , 2555 : 33-44) คอื

1. การกล่าวคาปฏิญาณตน ว่า “ลาอลิ าฮะ อิลลัลลอฮ์ มุฮมั มัด รอซลู ุลลอฮ์” (ซ่ึงแปลว่า “ไม่มี
พระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์และ มฮุ ัมมดั เปน็ ศาสนทตู ของอลั ลอฮ์”)

91

คาปฏิญาณนี้เป็นถ้อยคาที่ผู้ยอมรับอิสลามทุกคนจะต้องกล่าวออกมาเป็นการยืนยันด้วยวาจาว่า
ตัวเองมีความศรัทธาดังที่กล่าวมาข้างต้นและพร้อมท่ีจะปฏิบัติตามบทบัญญัติและเงื่อนไขต่างๆ ที่อัลลอฮ์ได้ทรง
กาหนดไวใ้ นคัมภรี ก์ ุรอานและคาสอนของท่านศาสดามฮุ ัมมัด

คาปฏิญาณดังกลา่ วนี้มนี ัยยะว่า มุสลิมจะไมย่ อมเคารพ กราบไหว้หรือสักการะบูชาพระเจา้ อื่นใด
ไม่ว่าพระเจ้านั้นจะเป็นวัตถุท่ีมนุษย์ทาข้ึนมา หรือสิ่งใดหรือใครก็ตามที่อ้างว่าตัวเองมีคุณสมบัติเหมื อนอัลลอฮ์
ดงั น้ัน อิสลามจึงห้ามมุสลิมแสดงกิรยิ ากราบแบบมือและหวั จรดพ้ืนแก่วัตถุ หรือบุคคลใดๆ แม้แต่พ่อแม่ของตัวเอง
เพราะกิริยาการกราบอันถือว่าเป็นกิริยาที่แสดงถึงความสูงสุดในการเคารพสักการะนั้นจะถูกสงวนไว้ใช้กับ
“อลั ลอฮ์” ผู้ทรงเป็นพระเจ้าท่ีแทจ้ ริงแตเ่ พียงพระองค์เดียวเท่าน้ัน แตน่ ่ันมไิ ดห้ มายความวา่ อิสลามหา้ มมิให้เคารพ
เชื่อฟัง และทาความดีต่อพ่อแม่ ซึ่งการห้ามกราบไหว้บูชาวัตถุและบุคคลก็เพราะอิสลามถือว่า มนุษย์เป็นส่ิงถูก
สร้างที่ประเสริฐท่ีสุดและมนุษย์ทุกคนมีฐานะแห่งความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกันในสายตาของอัลลอฮ์ ซ่ึงหาก
มนุษย์ยังไปสักการะบูชาหรือกราบไหว้วัตถุธรรมชาติ สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ทาขึ้นมา หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยกันเอง ก็
หมายความว่ามนุษยก์ าลงั ลดฐานะแหง่ ความเป็นมนุษย์ในสายตาของพระองค์ลง

ส่วนคาปฏิญาณตอนท่ีสองท่ีกล่าวว่า “มุฮัมมัดเป็นรอซูลของอัลลอฮ์” หมายความว่า เม่ือใคร
ยอมรับอัลลอฮ์ว่าเป็นพระเจ้าของเขาแล้ว เขาก็จะต้องยอมรับว่ามุฮัมมัดเป็นผู้นาสารของอัลลอฮ์ (อัลกุรอาน) มา
ประกาศยงั มนษุ ยชาติและจะต้องเช่อื ฟังคาสงั่ สอนของศาสดามุฮัมมัดดว้ ย

2. การนมาซหรอื ละหมาด
การนมาซ (ในภาษาอาหรบั เรียกวา่ “เศาะลาฮ์”) คอื การแสดงความเคารพสกั การะเปน็ การแสดง
ความขอบคุณต่ออัลลอฮ์ซึ่งจะกระทาวันละ 5 เวลา คือ ตอนรุ่งอรุณ ตอนบ่าย ตอนตะวันคล้อย ตอนดวงอาทิตย์
ตกดิน และในยามค่าคืน ในการนมาชทุกครั้งมุสลิมทุกคนจะหันหน้าไปทางกะบะฮ์ซึ่งอยู่ในนครมักกะฮ์ ประเทศ
ซาอุดิอาระเบีย โดยหน้าที่ในการนมาซนี้เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนต้ังแต่เร่ิมมีความรู้สึกทางเพศ (สาหรับผู้ชาย)
และเร่ิมมีประจาเดอื น (สาหรับผูห้ ญิง) ซง่ึ เปน็ วัยท่อี ิสลามถือว่าเร่มิ เขา้ สวู่ ยั แหง่ ความเป็นผู้ใหญแ่ ล้ว
การนมาซเป็นสิ่งยืนยันความศรัทธาที่ปรากฏให้เห็นทางภายนอกได้ชัดเจนที่สุดเพราะเป็นการ
ปฏิบัติท่ีมีรูปแบบ และคนที่จะดารงรักษาการนมาชของตัวเองได้ครบ 5 เวลาต่อวันนั้นจะต้องเป็นคนท่ีมีความ
ผูกพันตอ่ อัลลอฮ์และราลึกถึงพระคุณของพระองค์อยู่ตลอดเวลา การนมาซนอกจากจะมีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือเป็นการ
แสดงความเคารพภักดีและเป็นการแสดงความขอบคุณต่ออลั ลอฮ์แล้ว ในคัมภีรก์ ุรอานยังได้กล่าวไวอ้ ีกวา่ “แท้จริง
การนมาซจะยับยั้งจากความชั่วช้าและความลามก” ทั้งน้ีเนื่องจากคนท่ีนมาชน้ันจะเป็นคนที่ราลึกถึงอัลลอฮ์และ
เชื่อวา่ อลั ลอฮ์จะทรงเห็นการกระทาของเขาทั้งในทลี่ ับและในที่เปิดเผย ดังน้ัน ความเกรงกลัวอนั นี้จะช่วยยับยั้งเขา
มใิ หป้ ฏิบัติความช่วั

3. การถือศลี อดในเดอื นรอมฎอน
การถือศีลอดในอิสลามคือการงดเวน้ จากการกิน การดื่ม การเสพส่ิงต่างๆ การมีความสัมพันธ์ทาง
เพศฉันสามีภรรยา ตลอดจนการอดกล้ันอารมณ์ใฝ่ต่าทั้งหลาย การนินทาว่าร้ายผู้อ่ืน ต้ังแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึง
อาทติ ยต์ ก การถือศีลอดถือเป็นหลักปฏิบัติอกี ประการซ่ึงอิสลามกาหนดใหม้ ุสลิมทุกคนที่มีสขุ ภาพแข็งแรงสมบูรณ์
ท้ังชายหญงิ มหี น้าทีต่ ้องปฏบิ ตั ิเป็นเวลา 29-30 วันในเดอื นรอมฎอนซง่ึ เป็นเดอื นที่เกา้ ตามปฏิทินอสิ ลาม
ในคัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการถือศีลอดใหเ้ รา ทราบว่า “บรรดาผศู้ รัทธาเอ๋ย
การถือศีลอดได้ถูกกาหนดแก่สูเจ้าเช่นเดียวกับที่เคยถูกกาหนดแก่บรรดาก่อนหน้าสูเจ้า ทั้งน้ีเพ่ือที่สูเจ้าจะได้ยา

92

เกรงพระเจ้า” ฉะนั้น การถือศีลอดมีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกมุสลิมให้เกิดความยาเกรงพระเจ้า เพราะในเวลา
ปกติอัลลอฮ์ทรงอนุมัติให้มุสลิมกินและด่ืมได้อย่างเสรี แต่เมื่อถึงเดือนรอมฎอน มุสลิมก็ละเว้นทันทีซึ่งถือเป็น
บทเรยี นทส่ี อนมสุ ลิมให้ยาเกรงและเชื่อฟงั อัลลอฮ์

การถือศีลอดยังเป็นการฝึกให้มุสลิมซ่ือสัตย์ต่อตัวเองและพระเจ้า กล่าวคือขณะที่ถือศีลอดเขา
อาจจะแอบกินอาหารและด่ืมน้าในระหว่างการถือศีลอดก็ได้โดยที่ไม่มีใครรู้ แต่ด้วยความเชื่อท่ีว่าพระเจ้าทรงเห็น
และทรงรู้การกระทาท้งั ในทล่ี บั และที่แจง้ ดงั น้ัน เขาก็จะไมท่ าในสิ่งท่ีขัดตอ่ ความสานกึ ของตวั เอง นอกจากนนั้ แล้ว
การถอื ศีลอดยงั เป็นการแสดงออกถึงผู้ศรทั ธาด้วยเพราะในเดือนถือศีลอด มุสลมิ ผศู้ รัทธาไม่วา่ จะอยู่ในฐานะใดตา่ ง
ตอ้ งงดจากการกนิ ดม่ื เหมอื นกนั หมด

สาหรับผู้ท่ีได้รับการยกเว้นจากการถือศีลอด เช่น ผู้เดินทางไกล ผู้ป่วย หญิงมีประจาเดือน แต่
เม่อื พ้นภาวะดังกลา่ วแลว้ ก็จะตอ้ งถอื ศีลอดชดใช้ตามจานวนวันทีข่ าดไป ส่วนคนชราทรี่ ่างกายอ่อนแอ หรือผู้ปว่ ยที่
แพทย์วินิจฉัยว่าการถือศีลอดจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย กรรมกรท่ีทางานหนัก หญิงมีครรภ์แก่ก็จะได้รับการ
ยกเว้นเชน่ กนั และมิตอ้ งชดใช้ เพียงแต่มเี งื่อนไขว่า ผูท้ ่ีได้รับการยกเว้นจะต้องบริจาคอาหารที่ตัวเองกนิ เป็นประจา
หน่ึงมื้อให้แก่ผู้ยากจนเป็นการทดแทน โดยในระหว่างการถือศีลอด มุสลิมสามารถกลืนน้าลายได้ถ้าหากว่าน้าลาย
นนั้ สะอาดและไมม่ เี ศษอาหารติดอยู่

4. การจา่ ยซะกาต
การจ่ายซะกาต คือ การจ่ายทรัพย์สินในอัตราที่ศาสนากาหนดไว้จานวนหนึ่งจากทรัพย์สินท่ี
สะสมไว้เมื่อครบกาหนดเวลา โดยจะต้องจ่ายทรัพย์สินน้ีให้แก่คนที่มีสิทธิ์ได้รับ 8 จาพวกตามท่ีคัมภีร์กุรอานได้
กาหนดไว้ อันได้แก่ 1) คนยากจน 2) คนที่อัตคดั ขัดสน 3) คนท่ีมีหัวใจโนม้ มาสู่อิสลาม 4) ผบู้ ริหารการจัดเกบ็ และ
จา่ ยซะกาต 5) ไถ่ทาส 6) ผมู้ ีหนี้สินลน้ พ้นตัว 7) คนพลัดถิน่ หลงทาง 8) ใช้ในหนทางของอัลลอฮ์
คาว่า “ซะกาต” หมายความวา่ “การซักฟอกการทาให้สะอาดบริสทุ ธิ์ และการเจริญเติบโต” ซึ่ง
คาว่า “ซะกาต” น้ี ได้ถูกกล่าวควบคู่กับการนมาซในอัลกุรอานไม่ต่ากว่า 20 คร้ัง ด้วยเหตุน้ี มุสลิมท่ีปฏิบัตินมาซ
แตไ่ มย่ อมจา่ ยซะกาตน้นั ความเป็นมสุ ลมิ ของเขาก็จะยังไม่สมบรู ณ์
วัตถุประสงค์ที่ศาสนาอิสลามกาหนดให้จ่ายซะกาตก็เพื่อเป็น การยืนยันถึงความศรัทธา
นอกจากนั้นแล้ว การจ่ายซะกาตก็ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อซักฟอกทรัพย์สินและจิตใจของผู้จ่ายให้มีความสะอาด
บริสุทธิ์ ชาระจิตใจของผู้จ่ายให้หมดจดจากความตระหน่ีถี่เหนียวและความโลภซง่ึ ถือว่าเป็นสิง่ สกปรกทางใจอย่าง
หน่ึง ขณะเดยี วกันก็เพื่อเป็นการสร้างความเจริญให้แก่สังคมอีกดว้ ย เพราะอสิ ลามถือว่า ทรพั ย์สนิ ท่ีหามาได้นน้ั ถึง
จะแม้หามาด้วยความสุจริตก็ตาม แต่หากทรัพย์สินที่สะสมไว้ยังไม่ได้นามาจ่ายซะกาตทรัพย์สินน้ันก็ยังไม่บริสุทธิ์
เพราะซะกาตเปน็ สิทธิข์ องคน 8 ประเภทดังกล่าว อาจกล่าวได้ว่า การจ่ายซะกาตนอกจากจะเป็นการแสดงออกถึง
ความศรทั ธาแล้ว ยงั เปน็ การแสดงความเคารพภักดตี อ่ อัลลอฮ์ โดยผา่ นทางการชว่ ยเหลือสงั คมดว้ ย
ซะกาตมี 2 ประเภท คอื

1) ซะกาตฟติ เราะฮ์ คือ ซะกาตที่มุสลิมท่ีสามารถจะเลย้ี งตัวได้ ต้องจา่ ยให้แก่คนยากจน
หรือคนอนาถาในเดือนรอมฎอนอันเป็นเดือนถือศีลอด โดยจ่ายเป็นอาหารหลกั ที่คนในท้องถ่ินกินกันเป็นประจาซ่ึง
ได้แกข่ ้าวสารประมาณ 3 ลิตร (หรืออาจให้เปน็ เงินที่มีมูลคา่ เท่ากบั ขา้ วสารจานวนดังกล่าว)

2) ซะกาตมาล หรือซะกาตทรัพย์สิน เป็นซะกาตที่จ่ายจากทรัพย์สินท่ีสะสมไว้หลังจาก
การใชจ้ า่ ยครบรอบปีแล้วในอัตราทีต่ ่างกันตาม ประเภทของทรัพยส์ นิ ตั้งแต่รอ้ ยละ 2.5 ไปจนถงึ 20

93

5. การทาฮัจญ์
การทาฮัจญ์คือ การเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจท่ีนครมักกะฮ์ในเดือนซุลฮิจญะฮ์ตามวันเวลาและ
สถานท่ีท่ีถูกกาหนดไว้ หลกั การข้อน้ีถือเป็นหน้าท่ีสาหรับมุสลมิ ทั้งชายหญิงทุกคนที่มีความสามารถในด้านร่างกาย
ทรัพย์สิน และเสน้ ทางการเดนิ ทางมคี วามปลอดภัย
ฮัจญ์เป็นพิธีกรรมทางศาสนาเก่าแก่ที่มีมาก่อนสมัยศาสดามุฮัมมัด ในอัลกุรอานการทาฮัจญ์
เร่ิมต้นข้ึนเม่ือตอนท่ีอัลลอฮ์ ได้บัญชาให้ศาสดาอิบรอฮีมและอิสมาอีลผู้เป็นลูกชายร่วมกันสร้าง “บัยตุลลอฮ์”
(บ้านของอัลลอฮฺ) ข้ึนมาเพื่อใช้เป็นสถานที่สาหรับการเคารพภักดีต่อพระองค์ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว พระองค์ก็ทรง
บัญชาให้ศาสดาอิบรอฮีมเรียกร้องเชิญชวนมนุษยชาตใิ ห้มารว่ มกันแสดงความจงรักภักดีตอ่ พระองค์ทีบ่ ้านดงั กล่าว
ดังน้ัน ในเดือนซุลฮิจญะฮฺซ่ึงเป็นเดือนสุดท้ายของปฏิทินอิสลาม มุสลิมทุกเชื้อชาติทุกเผ่าพันธุ์จากทั่วโลกจะ
เดินทางไปรว่ มกนั แสดงความเคารพภักดตี อ่ อลั ลอฮ์ในนครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดอิ าระเบีย
ในสายตาของอัลลอฮ์แล้ว มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน เพราะในการทาฮัจญ์ ผู้ทาฮัจญ์ทุกคนไม่ว่า
จะมาจากชนช้นั เผา่ พันธ์ุ ภาษา หรือจะมีฐานะอยา่ งไรก็ตาม ทกุ คนจะต้องห่อหมุ้ ร่างกายดว้ ยผ้าสีขาวเพยี งสองชิ้น
เหมอื นกนั หมดทกุ คน และจะตอ้ งปฏิบตั ิพธิ ีการต่างๆ และประกาศความยิง่ ใหญข่ องอลั ลอฮ์เหมือนกนั หมด

5. คุณธรรมจริยธรรมในการดาเนินชวี ติ อยา่ งมคี วามสุขตามหลกั ลัทธิเต๋าและขงจ้ือ
แนวทางในการพัฒนาชีวิตตามแนวคิดลัทธิเต๋าและขงจ้ือ (สมบูรณ์ บุญโท และคณะ, 81 -84) มี

รายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้

5.1 ลัทธเิ ตา๋

ลัทธิเต๋าเป็นคาสอนที่ยึดถือธรรมชาติเป็นแนวทางในการดาเนินชีวิต เหล่าจื๊อสอนให้มนุษย์ทาตัวให้

สอดคล้องกับธรรมชาติตามหลักคาสอนที่ว่า สรรพส่ิงทั้งมวลดาเนินชีวิตไปตามธรรมชาติอันสงบ การดาเนินชีวิต

ของบุคคลควรอยู่อย่างสนั โดษสงบสขุ โดยผกู ผันกบั ธรรมชาติ ไม่ขัดขนื ต่อกฎธรรมชาติ มีชวี ิตอยอู่ ย่างเรียบง่าย ไม่

แก่งแย่งแข่งขัน ไม่ทะเยอ ทะยาน ไม่ละโมบ มีเต๋าเป็นอุดมคติ ปัญหาของมนุษย์ที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการไม่

ปฏิบัติตามกฎธรรมชาติและมักจะบัญญัติกฎเกณฑ์ต่างๆ ขณะเดียวกันผู้ท่ีมีสติปัญญาก็มักจะประดิษฐ์ คิดค้น

สิ่งใหม่ข้ึนมาเป็นเครื่องล่อตายวนใจให้เกิดความอยากได้อยากมีและยังสมมติค่าให้ แก่ส่ิงต่างๆ เช่น เพชร พลอย

เป็นต้น อันเป็นสาเหตุให้คนเราทาการแก่งแย่งเพ่ือได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ทาให้เกิดการหลอกลวงต้มตุ๋น

คดโกง แยง่ ชงิ สังคมเกิดความวุ่นวายหา ความสงบสุขไมไ่ ด้ (ทองหลอ่ วงษ์ธรรมา, 2549 : 12)

หลักปฏิบตั ทิ ่ีสาคญั ท่เี หลา่ จอ๊ื กลา่ วไวใ้ นคมั ภีร์ เตา๋ เตอ้ จิง เชน่

“...ความดสี งู สดุ เปน็ เชน่ น้าใส นา้ ยงั ชวี ิตแก่ทกุ ส่งิ สรรพและคล้อยตาม

ไหลรินสหู่ น ซึ่งเหลา่ บรุ ษุ ปฏิเสธ และเตา๋ กเ็ ปรียบเชน่ นา้ นัน้

ในเคหา, จงยึดตดิ พสุธา ในวปิ ัสสนา, จงสมาธิทใี่ จ

ในการสมาคม, จงสภุ าพและด้วยกรุณา ในวาจา, จงพดู จรงิ

ในการปกครอง, จงเที่ยงธรรม ในการปฏบิ ัตกิ าร, จงรักษาเวลา

ไร้การชงิ ชยั ไร้การกลา่ วหา...” (เตา๋ เตอ้ จิง, 8)

94

และสอนถึงประโยชน์ของความว่าง ให้อยู่แบบธรรมชาติไม่ฝ่าฝืน ให้อ่อนน้อมถ่อมตน ให้มีเมตตาและ
เอาชนะความช่ัวด้วยความดี อยู่ในความสันโดษไม่โลภและไม่เห็นแก่ตัว แสวงหาความดีในตัวไม่ใช่ความดีนอกตัว
รู้จกั ตนเองเอาชนะตนเอง เป็นคนคมในฝักไมโ่ อ้อวด และพงึ สารวมอินทรยี ์และปฏบิ ัตติ นเปน็ บัณฑิต โดยมหี ลกั การ
สาคญั ทีเ่ นน้ การดารงตนให้สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติ

สรุปว่า วิธีการดาเนนิ ชีวิตตามทรรศนะของลัทธิเต๋า คือ การดารงชีวิตอย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ เพ่ือให้
สอดคลอ้ งกบั สภาวะเตา๋ อนั เปน็ ตน้ กาเนิดและบ้ันปลายของสรรพสง่ิ

5.2 ลทั ธิขงจอ๊ื
ทรรศนะของขงจ๊อื ขงจอ๊ื สอนให้บคุ คลดาเนินชีวติ ดังน้ี
1. จริยธรรมทางกาย คือการปฏิบัติตามบทบาทและหน้าที่ของตนให้เหมาะสม เช่น บทบาทและหน้าที่
ของคนทเ่ี ปน็ พอ่ แม่ ลกู สามี ภรรยา ผู้ปกครองผถู้ ูกปกครอง และอืน่ ๆ ในคนคนหนงึ่ อาจมสี ถานภาพและบทบาท
หลายได้อยา่ ง เขาจึงตอ้ งปฏิบัติตามบทบาทของตนให้ครบถ้วนสมบรู ณ์ทีส่ ุด เพราะมผี ู้คนจานวนไม่น้อยทไี่ ม่ปฏบิ ัติ
ตามหนา้ ทข่ี องตนให้สมบรู ณ์ เป็นเพียงแต่ในนามเท่านัน้
2. จริยธรรมทางใจ คอื หลักปฏบิ ตั เิ พื่อพฒั นาจติ ใจใหส้ ูงขนึ้ โดยแยกออกเป็นขอ้ ๆ คอื

1) ความรักใคร่เมตตา หมายถึง ความรักความปรารถนาให้ผู้อ่ืนมีความสุข เป็นความรักผู้อ่ืนโดย
ไม่หวังสิ่งตอบแทน เป็นการเสียสละ และต้องเป็นความรักท่ีไม่จากัด เฉพาะบุคคลใด กลุ่มใด แต่เป็นความรักที่มี
ตอ่ ทุกคน หมายถงึ ความรกั สากล

2) สัมมาปฏิบัติ คือการปฏิบัติหรือการกระทาที่พิจารณาอย่างถ่ีถ้วนแล้วว่าสิ่งใดถูก ส่ิงใดผิด
ส่งิ ใดควรทา และสง่ิ ใดไม่ควรทา การกระทาที่ถูกต้องคือ การกระทาท่ีไม่ หวังอามิสสินจ้างรางวัลหรือสงิ่ ตอบแทน
ในรูปแบบใดๆ เรยี กว่า “การกระทาความดีเพ่ือความดี” ขงจอ๊ื กล่าวว่า ในการกระทาของคนเรา แมจ้ ะทาในสิ่งทีด่ ี
แต่ถ้ากระทาไปเพ่ือมุ่งหวังสิ่งตอบแทน เช่น หวังความมั่งคั่งร่ารวย ความมีช่ือเสียงเกียรติยศ ทรัพย์สินเงินทอง
และอืน่ ๆ ไมถ่ อื วา่ เปน็ สมั มาปฏิบตั ิ

อย่างไรก็ตาม หลักจริยธรรมทั้ง 2 ประเภท หรือจริยธรรมท้ังหลายท่ีปฏิบัติกันอยู่ ในสังคมหรือในโลก
ขงจ๊ือกล่าวว่า การปฏิบัตคิ ุณธรรมหรือจรยิ ธรรมที่แท้น้ัน จะตอ้ งมีพน้ื ฐานมาจากคณุ ธรรมอันเดียวกันคือ ความรัก
ซ่ึงเป็นรากฐานของจริยธรรมทงั้ หมด หากการปฏิบัติคุณธรรมหรอื จริยธรรมโดยปราศจากความรักเปน็ พ้นื ฐานแล้ว
ก็ถอื ว่าเป็นคณุ ธรรมหรือจริยธรรมจอมปลอม (แสร้งทา) เพราะฉะนน้ั ขงจื้อ จึงสรุปหลักการปฏิบัตใิ หเ้ หลอื เพียง 2
ประการ คือ (ทองหล่อ วงษ์ธรรมา, 2541 : 328)

(1) จงปฏบิ ัติต่อผู้อ่ืนเหมือนที่ท่านต้องการใหผ้ ู้อ่ืนปฏิบตั ิต่อทา่ น
(2) จงอย่าปฏิบัติต่อผ้อู นื่ เหมือนทีท่ ่านไม่ตอ้ งการให้ผู้อื่นปฏบิ ัตติ ่อท่าน
3. จรยิ ธรรมในสงั คม คาสอนของขงจื๊อไดเ้ น้นหนา้ ที่ของแต่ละคน ท่ีจะพงึ ทาตนใหส้ มบรู ณต์ ามหน้าทีข่ อง
แตล่ ะคน กลา่ วคอื ขงจือ้ ได้จดั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลได้ 5 ประเภท คือ
1) ผู้ปกครองกับผู้อยู่ภายใต้ปกครอง โดยผู้ปกครองแสดงความเมตตา สุจริต ส่วนผู้อยู่
ใต้ปกครองกต็ ้องจงรกั ภักดี
2) บิดามารดากับบุตรธิดา โดยบิดามารดาให้ความกรุณา ส่วนบุตรธิดาก็ต้องมีความกตัญญู
กตเวที

95

3) สามกี บั ภรรยา ตา่ งตอ้ งมีความรกั ซอื่ สัตย์ รับผดิ ชอบในหน้าท่แี หง่ ตน
4) ผ้ใู หญก่ ับผ้นู อ้ ย นบั ถอื ให้เกยี รติ และมีคารวธรรม
5) เพ่อื นกับเพอื่ น ตา่ งก็ตอ้ งมคี วามจรงิ ใจและไว้วางใจกนั ได้
ขงจื้อมีความเห็นว่า ความยุ่งยากวุ่นวายที่เกิดข้ึนในสังคม ก็เพราะคนไม่ทาหน้าท่ีของตนให้สมบูรณ์ เช่น
บิดามารดาไม่เลี้ยงบุตรธิดาให้ดี บุตรธิดาก็ไม่มีความกตัญญูกตเวที ต่อบิดามารดา หรือสามีภรรยาต่างนอกใจกัน
เป็นต้น ผลก็คือ ความเดือดร้อนต่างๆ จะมาตกแก่สังคม ทาให้สังคมเดือดร้อน ในทางตรงกันข้าม หากทุกคนทา
หน้าท่ีของตนให้สมบูรณ์ ปัญหาความวุ่นวายของสังคมก็จะหมดไป เพราะฉะนั้น การทาตามหน้าท่ีของตนให้
สมบูรณจ์ ึงมคี วามสาคัญมากสาหรบั ขงจื๊อ
เม่ือขงจ้อื ได้วางหลักความพันธ์ไว้ 5 ประการแล้ว จึงวางหลักจริยธรรมของสังคมไว้ให้ผู้ที่อยู่ในสภาพท่ีตน
เป็นอยู่ไดอ้ ย่างเหมาะสม หลักจริยธรรมทเ่ี ปน็ สากลแยกได้ 5 ประการ คือ (ทองหล่อ วงษ์ธรรมา, 2541 : 327)
1) มคี วามสภุ าพอ่อนโยน จะไดร้ ับผลสะท้อนคือ ท่านสามารถหลีกเลย่ี งจากดถู กู เหยยี ดหยาม
2) มีความโอบอ้อมอารี จะได้รับผลสะทอ้ น คอื ท่านจะชนะใจมหาชน
3) มคี วามจรงิ ใจ จะได้รับผลสะทอ้ น คือ ทา่ นจะประสบความสาเร็จ
4) มีความตงั้ ใจจรงิ จะไดร้ ับผลสะทอ้ น คอื ทา่ นจะประสบความสาเรจ็
5) มคี วามเมตตากรณุ า จะไดร้ บั ผลสะท้อน คือ ท่านเหมาะท่ีจะเปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชาคนอน่ื
สรุป วิธีการดาเนินชีวิตในทัศนะขงจ๊ือ คือ การให้ทุกระดับกลุ่มมีจริยธรรมต่อกันและกัน คือ มีความ
กตญั ญกู ตเวที ความรกั ความซ่ือตรง ความสามัคคี ความจงรักภักดี การช่วยเหลอื เจือจุน และเมตตากรุณา ทุกคน
ต้องปฏิบตั หิ น้าทขี่ องตนให้สมบูรณ์ ทงั้ นี้เพ่ือความเป็นระเบียบและความสงบสุขของตนเอง และสงั คม

6. สรุป
การพัฒนาชีวิตตามแนวคิดศาสนานั้น หมายถึง การปฏิบัติตามคาสอนของศาสนาที่ตนนับถือเป็นการนา

คาสอนในศาสนามาปฏิบตั ิเพ่ือพัฒนากายและใจให้สูงขึ้นตามศักยภาพของบุคคลในศาสนาน้ันๆ ซ่ึงคาสอนของแต่
ละศาสนาได้ผ่านการกลั่นกรองจากศาสดาของศาสนาน้ันๆ แล้ว โดยหลักคาสอนทางศาสนาอาจแบ่งออกเป็น
ระดับต้น ระดับกลาง และระดับสงู สดุ ซ่งึ ในระดบั สงู สดุ แตล่ ะศาสนาอาจจะใชช้ ่อื เรียกต่างๆ กัน เชน่ นพิ พานของ
ศาสนาพุทธ โมกษะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และการเขา้ ถึงพระเจา้ ในศาสนาเทวนยิ ม เปน็ ตน้
ตามปกติการพฒั นาชวี ติ ตามแนวศาสนาน้นั ศาสดามีความปรารถนาท่ีจะให้ศาสนิกชนเข้าถึงการพัฒนาขนั้ สูงสุด
แต่โดยธรรมชาติมนษุ ย์แต่ละคนกม็ ีศักยภาพแตกต่างกันในการพัฒนาตน ซึ่งในด้านการพัฒนาชีวิตตามแนวศาสนา
น้นั ศาสนิกสามารถทจ่ี ะนาหลักธรรมคาสอนมาประยุกตใ์ ช้ในการพฒั นาชีวติ ตามศกั ยภาพทีต่ นมี ตั้งแตใ่ นระดบั
ตน้ สรู่ ะดับกลาง ไปจนถึงระดับสูงสุด เพราะศาสดาของทุกศาสนาเห็นว่า มนษุ ย์เป็นสตั วท์ ี่พฒั นาไดด้ ีท่ีสดุ กวา่ สัตว์
ทุกประเภทในโลกนี้

96

บทท่ี 6

การพัฒนาชวี ิตให้มคี วามสุขตามหลักจิตวิทยา

มนุษย์เป็นส่ิงมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกันเป็นสังคม ไม่สามารถอาศัยอยู่เพียงลาพังหรืออยู่อย่างโดดเด่ียวได้
การที่มนุษย์ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นสังคมทาให้มนุษย์ต้องมีปรับเปล่ียนตนเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ทันต่อ
สภาพแวดลอ้ มท่เี ปลี่ยนแปลงรวมถึงสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมหรอื สถานการณ์ใหม่ท่ีมีการเปล่ียนแปลงเสมอได้
เช่น เม่ือสังคมมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี บุคคลในสังคมต้องเรียนรู้และเปล่ียนแปลงตนเองเก่ียวกับการใช้
เทคโนโลยีเพื่อให้รู้เท่าทันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีท่ีเปล่ียนแปลงตลอดเวลา หรือแม้แต่ภาษาข้ามเราเรียนรู้ท่ี
จะใช้ภาษาของเชื้อชาติอื่นเพื่อใหก้ ารส่ือสารเป็นไปอย่างมีประสิทธภิ าพ ซึ่งการทจ่ี ะใช้ภาษาของผู้อื่นได้เราจาเป็น
ที่จะต้องพัฒนาความรู้เก่ียวกับภาษาของบุคคลที่เราต้องการติดต่อส่ือสารด้วย การเปลี่ยนแปลงตนเองในทางที่ดี
คอื การพัฒนา ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจท่ีทุกคนต้องทาทางจิตวิทยาเช่ือว่าธรรมชาติมนษุ ย์มีความสามารถมีศักยภาพท่ี
จะพฒั นาตนเอง จะพัฒนาไดม้ ากหรือน้อยขึน้ อยูก่ ับบคุ คลนน้ั ทจ่ี ะรู้จกั ตนเองมากน้อยเพียงหรอื หรือพรอ้ มท่จี ะเปิด
ใจเปล่ียนแปลงตนเองหรือไม่ เราจะเลือกตนเองเป็นเช่นไรอยู่ที่ตัวบุคคลน้ัน ดังท่ีสมเด็จพระญาณสังว รตรัสว่า
“ชีวิตนี้น้อยนัก แต่ชีวิตนี้สาคัญนักเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นทางแยกจะไปสูงไปต่าจะไปดีไปร้ายเลือกได้ในชีวิตน้ี
เทา่ น้ัน พงึ สานึกข้อน้ีให้จงดี แล้วจงเลือกเถิด เลือกให้ดีเถิด” (สมเด็จพระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสังฆราชสกลมหา-
สังฆปริณายก, 2556 : 5) หากเราเลือกที่จะพัฒนาตนเองให้ไปทิศทางท่ีดีขึ้นความสาคัญคือ เราต้องเปิดใจและ
พร้อมยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดข้ึนโดยตัวเราเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเองภายใต้ความเช่ือมั่นท่ีว่าเรามีคุณค่ามี
ศักยภาพสามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ ในบทน้ีเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจกระบวนการพัฒนาตนเองจึงเป็นการอธิบาย
แนวคิดเก่ียวกับการพัฒนาตนกระบวนการ พัฒนาตนเทคนิควธิ ีการพัฒนาตน การพัฒนาตนเพื่อให้ชีวิตมีความสุข
และตัวอย่างโครงการพฒั นาตน ตามรายละเอียดดงั นี้

1. แนวคดิ พื้นฐานการพัฒนาตนเองเพือ่ การพัฒนาชวี ติ
มนุษย์เมื่อเกิดมาย่อมมีวิถีการดาเนินชีวิตท่ีแตกต่างกันจะมีการดาเนินชีวิตอย่างไรน้ัน ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับ

ความคดิ ความสามารถ บคุ ลกิ ภาพ รูปแบบการดาเนินชีวิต แรงจูงใจ ความต้องการ ฯลฯ ของบุคคลแต่ละคน ท้งั น้ี
บุคคลแต่ละคนจะประสบความสาเร็จในชีวิตหรือมีความสุขในชีวิตได้น้ันข้ึนอยู่กับการเรียนรู้ การปรับตัว การ
พัฒนาตนเองและปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะการพัฒนาตนเองเป็นภารกิจท่ีจาเป็นอย่างยิ่งที่จะนาไปสู่
การพัฒนาชีวิต เพราะการพัฒนาตนเกิดขึ้นต้ังแต่วัยเด็กจนกระท่ังวัยชราและสามารถดาเนินการพัฒนาไดท้ ุกที่ทุก
เวลาโดยไม่มีข้อจากัดเม่ือบุคคลคนนั้นต้องการหรือพบปัญหา ข้อบกพร่องและอุปสรรคก็สามารถดาเนินการได้
ทันทเี พ่ือปรับเปลี่ยนหรือปรับตวั ให้เขา้ กับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึน้ ซึ่งจะนาไปสกู่ ารดาเนินชวี ิตที่ปกติสขุ และอีก
ประเด็นคือมนุษย์ไม่ได้เกิดมาเป็นผู้สมบูรณ์แบบไปหมดทุกด้าน จนไม่สามารถจะพัฒนาได้อีก หรือถึงแม้จะมี
ความสามารถต่างๆ อยู่แล้วก็สามารถที่จะพัฒนาความสามารถนั้นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึนก็สามารถทาได้
เพราะมนุษย์มีศักยภาพที่มีคุณค่าเป็นของตนเองสามารถฝึกหัดได้ในทุกเรื่องสอดคล้องกับคากล่าวท่ีว่า มนุษย์เป็น
สัตว์ท่ีต้องฝึกและจะประเสริฐสุดด้วยการฝึก มนุษย์จึงมีศักยภาพสูงสดุ ในการฝึกซ่ึงหมายถึง การพัฒนาตน (พระ-
พรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต), 2558 : 47) ดงั น้ันการพัฒนาจึงเปน็ การส่งเสริมศกั ยภาพของบุคคลจนกระทง่ั ถงึ ขีด

97

สุดตามความสามารถของคนๆ นั้น เพือ่ ให้บุคคลเป็นบุคคลทสี่ มบรู ณ์และมีความสุข อย่างไรก็ตาม ธญั ญภัสร์ ศิรธัช
นราโรจน์ (2559 : 180) กล่าวว่า บางคนไม่แน่ใจหรือไม่สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเสรี ต้องให้บุคคลอื่นที่มี
ความสามารถและมีประสบการณ์มากกกว่ามาช่วยเหลือเพ่ือช่วยให้ก้าวผ่านอุปสรรคไปได้ ทั้งน้ีแนวคิดพื้นฐานใน
การพัฒนาบุคคล คือ การช่วยให้บุคคลเข้าใจตนเองและยอมรับความจริง รวมถึงเข้าใจผู้อ่ืน และยอมรับผู้อ่ืน
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข และเพ่ือให้เข้าใจคาว่า การพัฒนาตน (Self-Development) ซึ่งมี
อทิ ธพิ ลต่อการพฒั นาชวี ิตน้ันผู้เขียนจึงขออธิบายตามหัวขอ้ ดังน้ี

1.1 ความหมายของการพฒั นาตน
นักวิชาการไดก้ ลา่ วถงึ ความหมายของการพฒั นาตนไว้หลากหลาย อาทิเช่น
ธัญญภสั ร์ ศริ ธชั นราโรจน์ (2559 : 3) กล่าววา่ การพฒั นาตน หมายถงึ การกระทาเพ่ือการเจริญ

ส่วนตวั เป็นการเปลีย่ นแปลงในทางท่ีดขี ้นึ
วินิรณี ทัศนะเทพ (2549 : 89) กล่าวว่า การพัฒนาตน หมายถึง การทาให้เจริญข้ึนหรือดีขึ้นซึ่ง

ในการพัฒนาตนน้ันตอ้ งดาเนินอย่างเปน็ ระบบและมหี ลักการ
สมศักดิ์ สีดากุลฤทธิ์ (2553 : 121) กล่าววา่ การพฒั นาตน หมายถึง กระบวนการส่งเสริมความรู้

ในการพฒั นาศักยภาพของบุคคลใหเ้ จรญิ ก้าวหนา้
มาลณิ ี จโุ ฑปะมา (2554 : 73) การพัฒนาตน หมายถงึ ความปรารถนาจะใหต้ นเองได้เป็นในแบบ

ท่ตี นมีความสามารถแฝงอยูใ่ นตัวโดยใช้ความสามารถที่แฝงอยู่นั้นให้เป็นประโยชนม์ ากทส่ี ดุ
ภูมิทัต สิงหเสม (2556 : 172) การพัฒนาตน หมายถึง กระบวนการคิดและตัดสินใจเพ่ือมุ่งไปสู่

ความสาเร็จในชีวติ โดยวธิ ีการสร้างการมองสง่ิ ท่ดี ี สร้างคณุ ภาพมุมมองเปดิ โลกทัศน์
อารยา ปิยะกุลและคณะ (2556 :109) การพัฒนาตน หมายถึง การที่บุคคลพยายามปรับปรุง

เปล่ยี นแปลงใหด้ ีขนึ้ บนพืน้ ฐานความเชอ่ื ในการพัฒนาตนเองท่ีถูกต้อง
โดยสรุปแล้ว คาว่า การพัฒนาตน หมายถึง กระบวนการที่ทาให้บุคคลนั้นเปล่ียนแปลงในทางท่ีดีข้ึนโดย

อาศัยเทคนิควธิ กี ารต่างๆ

1.2 ความสาคัญและประโยชนข์ องการพฒั นาตน
ในการพัฒนาตนเองมีความสาคัญอยา่ งยิ่งกบั มนุษย์ เพราะการพัฒนาตนชว่ ยให้บุคคลมีความพรอ้ มในดา้ น
ต่างๆเพ่ือรับกับสถานการณ์ที่เปล่ียนแปลง เมื่อบุคคลปรับปรุงเปล่ียนข้อบกพร่องของตนเองซ่ึงเป็นปัญหาในการ
ดาเนินชีวิตก็จะช่วยให้บุคคล เกิดพฤติกรรที่เหมาะสม นอกจากน้ีบุคคลยังสามารถมองเห็นการพัฒนาตนเองใน
เร่ืองต่างๆ เพื่อให้ตนเองสามารถก้าวไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้ การพัฒนาตนเองช่วยให้บุคคลเห็นคุณค่าของ
ตนเอง เข้าใจตนเอง (อารยา ปยิ กลุ และคณะ, 2556 : 110) ดงั น้ัน การพฒั นาตนเป็นภารกิจทม่ี คี วามสาคญั ต่อการ
พัฒนาชีวิตนอกจากมีความสาคัญแล้วยังมีประโยชน์หลายด้านทั้งประโยชน์ต่อตนเอง สังคมและประเทศ ดังนี้
(สชุ า ไอยราพงศ,์ 2542 : 2 ; ธญั ญภสั ร์ ศิรธชั นราโรจน,์ 2559 : 213-214)

1. ประโยชน์ต่อตนเอง
1.1 สามารถดารงชวี ิตอยู่ได้อย่างมีความสุข

98

1.2 สามารถพึ่งตนเองและเล้ียงดูตนเองได้
1.3 ประสบความสาเร็จมีความเจรญิ ก้าวหนา้ ทง้ั ในการงานและสว่ นตวั
1.4 ทาให้มีฐานะปึกแผ่นมั่นคง
1.5 สามารถเลอื กอาชีพและคู่ครองไดอ้ ย่างเหมาะสม
1.6 สามารถวางแผนการดาเนนิ ชวี ติ ไดอ้ ยา่ งดี
1.7 ส่งเสริมให้ตนเองรู้สึกมีคุณค่า ส่งเสริมความเข้าใจตนเองช่วยให้ตนเองทาหน้าท่ี
เหมาะสมกับบทบาทไดอ้ ยา่ งเต็มศักยภาพ
1.8 การพัฒนาตนเองเป็นการเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้พัฒนาตน
สามารถทาหนา้ ทีบ่ ทบาทของตนเองได้เตม็ ศักยภาพ

2. ประโยชนต์ ่อสังคมและประเทศชาติ
2.1 สังคมและประเทศสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วถ้ามีพลเมืองท่ีมีศักยภาพและ

ความสามารถ
2.2 สงั คมอยู่อยา่ งปกติสุขคนในสังคมก็อาศัยอยรู่ ว่ มอยา่ งสงบสขุ
2.3 ประเทศไดร้ บั การยอมรบั จากนานาประเทศ
2.4 การปรับปรุงตนเองนอกจากจะช่วยให้ตนเองมีศักยภาพแล้วยังส่งผลต่อ

ประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลของงาน
2.5 สง่ ผลดตี อ่ ครอบครวั เพราะการพฒั นาตนเองจะสง่ ผลให้สมาชิกครอบครวั อยรู่ ว่ มกัน

อย่างมีความสุข เช่น ลูกพัฒนาตนเองให้สามารถปรับตัวเข้าคนในครอบครัวได้ พ่อแม่พัฒนาตนเองให้เป็น
แบบอยา่ งทด่ี ใี หก้ บั ลกู

1.3 ความเช่ือพืน้ ฐานในการพฒั นาตน (ภูรทิ ัต สงิ หเสม, 2556 : 173)
1. การเจริญเติบโตของมนุษย์ทั้งร่างกายและจิตใจข้ึนอยู่กับการพัฒนาตนเองโดยต้องรู้จัก

สรา้ งสรรคค์ วามคดิ ของตนเอง
2. การวางแผนพฒั นาตนเองใหม้ คี วามก้าวหน้าต้องพิจารณาฝกึ ฝนให้มีความชานาญจนเป็นนิสยั
3. แผนพัฒนาตนเองจะต้องเช่ือมโยงความต้องการส่วนตัวและความจาเป็นด้วยและมีความ

เชือ่ มั่นตอ่ ตนเอง ตรงเวลาและมรี ะเบยี บวนิ ัย
4. การตง้ั เปา้ หมายพัฒนาตนให้จาขอบเขตสิ่งทต่ี นเองสนใจ รวมทงั้ หนา้ ที่รับผดิ ชอบทีจ่ ะเปน็ สิง่

ช่วยสง่ เสริมในการพัฒนาตนให้ประสบความสาเรจ็ ได้

1.4 เปา้ หมายการพัฒนาตน
เป้าหมายการพัฒนาตนเราจะพัฒนาตนนั้นการพิจารณามี 2 ส่วน คือ ร่างกายและจิตใจซึ่งจะต้องพัฒนา
ทงั้ สองอย่างไปพรอ้ มกัน ดงั นี้

1. ดา้ นร่างกาย คอื การพัฒนาร่างกายให้แข็งแรง สมบูรณ์ เป็นการพัฒนาตนตามแนววิทยาสตร์
สุขภาพ ไม่มโี รคภัยไขเ้ จ็บ

99

2. ด้านจติ ใจ คือ การพัฒนาใหม้ ีคุณลักษณะทางจิตใจใหเ้ ป็นคนดีและคนเก่ง มสี ุขภาพจิตที่ดี ร่า
เรงิ แจ่มใส มองโลกในแง่ดี คดิ เชงิ บวก มีเหตผุ ล มีจรยิ ธรรมและมีเจตคติที่ดี

ดังนั้นเป้าหมายในการพัฒนาตนจึงต้องพัฒนาทั้งสองอย่างไปพร้อมกันคือเป็นคนที่สุขภาพกายท่ีดีและมี
จิตใจทีด่ ี (มาลณิ ี จโุ ฑปะมา, 2554 : 75)

นอกจากน้ี สุชา ไอยราพงศ์ (2542 : 3) กล่าวว่า เป้าหมายการพัฒนาตน มี 2 ประการ คือ พัฒนาตน
เพอ่ื ใหป้ ระสบความสขุ และพฒั นาตนเพื่อใหป้ ระสบความสาเรจ็

1.5 ขอ้ คิดที่ชว่ ยใหก้ ารพฒั นาตนไปถงึ เปา้ หมาย
ในการพัฒนาตนให้ประสบความสาเร็จตามเป้าหมายผู้พัฒนาตนต้องควบคุมติดตาม ตรวจสอบตนเอง
ตลอดเวลา นอกจากน้ีเพื่อให้ประสบความสาเร็จผู้เขียนให้ข้อคิดการพัฒนาตน ดังน้ี (ธัญญภัสร์ ศิรธชราโรจน์,
2559 : 182 ; พษิ ฐา พงษป์ ระดิษฐ, 2559 : 2 ; สชุ า ไอยราพงศ์, 2542 : 12)

1. มั่นสารวจตนเองอยู่เสมอว่านิสัยใดที่ควรพัฒนาให้เกิดข้ึนเป็นนิสัยของเราโดยเราเป็นผู้
ตดั สินใจเลอื กที่จะปรับเปลีย่ นนิสยั นั่นเอง

2. การปรบั เปล่ียน ฝึกฝนต้องคอ่ ยเป็นค่อยไป คอ่ ยๆปรบั เปลี่ยนเพอ่ื ไม่ให้เรารู้สกึ ท้อแท้ และตอ้ ง
มีวนิ ยั ทาอยา่ งตอ่ เนื่องอยา่ หยุด

3. เมือ่ ทาสาเรจ็ ใหก้ าลงั ใจตนเองหรอื เสริมแรงดว้ ยการใหร้ างวลั เช่น ไปดูหนัง ฟังเพลง
4. พยายามบันทกึ ทุกอยา่ งเพราะการบนั ทึกจะช่วยแสดงผลความกา้ วหนา้ ของเราวา่ เปน็ อยา่ งไร
5. ตดิ ตามความกา้ วหน้าของตนเองอยา่ งใกล้ชิด โดยการมนั่ ตรวจสอบตนเองอยเู่ สมอ
6. ลงมอื ทาทนั ทีอยา่ พลดั วันประกนั พร่งุ
7. พิจารณาเป้าหมายใหม่ทุกครึ่งเดือน บางทีเป้าหมายอาจเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของ
เราการตรวจสอบเป้าหมายจะช่วยใหเ้ ราปรบั เปลย่ี นเป้าหมายสอดคลอ้ งกบั ความต้องการ
8. ต้องพฒั นาตนเองจากเร่ืองงา่ ยๆ ไปกอ่ นเพื่อเป็นกาลังใจพรอ้ มท่ีจะทาเร่ืองยุ่งยากยง่ิ ข้นึ
9. ตอ้ งเช่ือมัน่ วา่ ตวั เราสามารถพฒั นาตนเองได้ จึงไม่ควรไปเปรียบเทยี บกบั ผู้อ่ืน
10. ใหค้ ดิ ว่าการพฒั นาตนเองเป็นเรือ่ งท่ีเราตอ้ งอย่างต่อเน่อื งตลอดชีวิต

2. ทฤษฎีและแนวคิดทางจติ วิทยาในการพฒั นาตน
2.1 การพฒั นาตนตามแนวคิดจิตวิทยาพฤตกิ รรมนิยม
นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมมีความเช่ือว่า พฤติกรรมที่ไม่ปกติเกิดจากการเรียนรู้ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่

เหมาะสม โดยเน้นว่าพฤติกรรมที่เป็นปัญหาเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ของบุคคลกับสิ่งแวดล้อมและการถูกวาง
เง่ือนไข เมอื่ ใดกต็ ามหากบคุ คลได้รบั ผลกรรมทพ่ี ึงพอใจจากการกระทานนั้ ก็จะมแี นวโน้มวา่ จะทาอกี

สกินเนอร์ (Skinner) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม เชื่อว่า บุคลิกภาพของมนุษย์หากเราสนใจที่จะ
ศกึ ษาควรศึกษาถึงประบวนการเรียนรู้รวมไปถึงการเสริมแรง การเสริมแรงเป็นตัวกระตุ้นทจ่ี ะทาให้เกิดพฤติกรรม
ที่พึงประสงค์ พฤติกรรมนั้นจะคงอยู่จนกลายเป็นลักษณะประจาตัวของบุคคล เขาเชื่อว่า เราสามารถควบคุม

100


Click to View FlipBook Version