เปล่ียนแปลงพฤติกรรมได้ภายใต้การลงมือกระทาและการเสริมแรง ดังน้ันในการพัฒนาตนการลงมือกระทาด้วย
ตนเองโดยอาศัยหลักการเสริมแรงก็จะช่วยให้พฤติกรรมน้ันยั่งยืนเหมาะสมตามสภาพความเป็นจริง คนก็จะมี
บุคลกิ ภาพที่ดีและเหมาะสมตอ่ ไป
พาฟลอฟ (Pavlov) เชื่อว่า การเกิดพฤติกรรมเป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ของบุคคลกับสิ่งแวดล้อมซ่ึงอาศัย
การเรียนรู้จากการวางเง่ือนไข นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมจึงมีความเช่ือว่าพฤติกรรมท่ีไม่ปกติเกิดจากการ
เรียนรู้ท่ีไม่เหมาะสม เช่น การเรียกร้องความสนใจ ต่อต้านสังคม การพัฒนาตนตามแนวคิดกลุ่มพฤติกรรมจึงเน้น
เรอื่ ง การควบคุมพฤติกรรม การปรบั พฤติกรรม ควบคุมสิง่ เร้า อาจจะใช้วิธหี ลายวธิ ีร่วมกัน
2.2 การพัฒนาตนตามแนวคดิ ของโรเจอร์
โรเจอรเ์ ป็นนักจิตวทิ ยากลุม่ มนษุ ยน์ ิยมที่มีความเชือ่ ว่ามนุษยม์ ีธรรมชาตทิ ดี่ ีมีศกั ยภาพมแี รงจงู ใจ ทางบวก
มีเหตุผลในการตัดสินใจหากมนุษย์ได้รับการขัดเกลาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอ้ืออานวยซ่ึงถ้าบุคคลน้ันชะงักไม่มี
ประสิทธิภาพขาดการพัฒนาตนส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ตนมีความขัดแย้งกนั รวมถึงประสบ การณ์ของแต่
ละคน ดงั นัน้ ในการพฒั นาตนตามแนวคดิ ของโรเจอรจ์ งึ ประกอบไปดว้ ย 3 องคป์ ระกอบ ดงั น้ี
1. อินทรีย์ (Organism) เป็นส่วนความคิดความรู้สึกหรือพฤติกรรมทั้งหมดท่ีตอบสนองต่อส่ิงเร้า
ที่เป็นภายในและภายนอก
2. สนามแห่งประสบการณ์ (Experiential filed) เป็นการรับรู้จากการตีความและเง่ือนไขต่างๆ
หรอื ประสบการณท์ ่ผี า่ นมานาไปส่ปู ระสบการณ์ทงั้ หมดของบุคคล
3. ตัวตน (Self) เป็นการรับรู้จากความรู้สึกนึกคิดเก่ียวกับตนเองเรียกว่า อัตมโนทัศน์ (Self
concept) หรือความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวเราเองซ่ึงมีหลายแง่มุมผ่านการรับรู้และการมองเห็นตนเอง
โรเจอร์แบ่งตวั ตนออกเป็น ตนตามความเป็นจริง (Real Self) คือ สภาพตา่ งๆ ทีเ่ ก่ียวกับตนเองท้ังขอ้ ดีข้อเสียตาม
ข้อเท็จจริงท่ีเป็น ตนตามการรับรู้ (Perceived Self) หรือตนตามการมองเห็น คือ ภาพของบุคคลท่ีเกิดจาก
ความรู้สึกนึกคิดของตนเองว่าตนเป็นคนอย่างไรไม่ว่าจะเป็น รูปร่างหน้าตา ความสวย รวย เก่ง และตน ตาม
อุดมคติหรือตนท่อี ยากจะเปน็ (Ideal Self) คือภาพของตัวตนทอ่ี ยากจะมี อยากเป็นแต่ยังไม่ได้เป็น
โรเจอร์ให้ความสาคัญกับตัวตนของบุคคลทาให้ทฤษฎีบคุ ลกิ ภาพของเขาเรียกอีกอยา่ งว่า ทฤษฎีตัวตน ซ่ึง
เขาได้อธิบายถึง ตนว่ามีพัฒนาการตั้งแต่วัยทารก จนกระทั่งเติบโต ตนจะเปล่ียนแปลงได้ตามวุฒิภาวะและ
ประสบการณ์การเรียนรู้ ดังนั้นทุกคนจึงมีแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองให้สามารถยอมรับ เข้าใจตนเองและพัฒนา
ตนเองจนเต็มความสามารถ อย่างไรก็ตามโรเจอรเ์ ชอ่ื ว่า ตนของมนุษย์มีอิทธิพลตอ่ การพัฒนาตน เพราะถ้าตนตาม
ความเป็นจริงและตนตามอุดมคติขัดแย้ง ไม่สอดคล้องกัน การพัฒนาตนของเราก็จะชะงักไม่มีประสิทธิภาพ
ในขณะท่ีผู้มองเห็นตนเองตรงหรือใกล้เคียงกับตนตามความเป็นจริง ยอมรับได้ท้ังจุดเด่นและจุดท่ีต้องพัฒนาของ
ตนเองก็จะทาให้ตนในอุดมคติค่อนข้างท่ีจะเป็นไปได้ การดาเนินชีวิตก็จะเป็นแบบกระตือรือร้น มุ่งหวังซึ่งนาไปสู่
ความพอใจ ตัวอยา่ งเชน่ สุดารวู้ ่าตนในสภาพจรงิ เขามคี วามสามารถด้านภาษาอังกฤษ แตม่ จี ุดด้อยคอื คณิตศาสตร์
ทาให้สุดาเลือกเรียนในสาขาภาษาอังกฤษเพราะส่ิงท่ีสุดาอยากเป็นคือ ครูสอนภาษาหรือล่าม จะเห็นว่าตนตาม
ความเป็นจริงกับตนในอุดมคติไม่ได้ขัดแย้งกัน สุดาก็จะมีความกระตือรือร้นและมีความหวัง ดังน้ันสุดาก็จะ
พยายามพัฒนาตนให้ได้ตามสภาพจริงหากสภาพการณ์เอื้ออานวย ซ่ึงลักษณะบุคคลที่จะพัฒนาตนได้น้ัน เป็นผู้มี
101
ลักษณะชอบเปิดรับประสบการณ์ต่างๆ ไม่กลัวหรือกังวลในสิ่งท่ีไม่รู้เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตในขณะนั้นอย่างเต็มที่ มีปัญญา
ในการไตรต่ รองสง่ิ ต่างๆ เป็นผู้ชอบอิสระและพึง่ พาตนเองได้ เปน็ ผชู้ อบการรเิ ริม่ สรา้ งสรรค์
2.3 การพัฒนาตนตามแนวพุทธศาสนา
ในการพัฒนาตนตามหลักพุทธศาสนาเป็นการมุ่งเน้นเร่ืองการกระทามากกว่าความสุขทางวัตถุ มาลิณี
จโุ ฑปะมา (2554 : 82) กล่าวว่า การพฒั นาท่ียั่งยืนตามหลักพทุ ธศาสนา ประกอบด้วยสาระสาคัญ 3 ประการ คือ
ทมะ สิกขา และภาวนา ซ่ึงมรี ายละเอียดดังน้ี
1. การใช้หลักทมะ คือ การรู้จักข่มใจ บังคับควบคุมจิตใจ ไม่ยอมหลงทางสู่ความช่ัวร้าย การฝึก
ใหต้ นเองมที มะเพ่อื พัฒนาตนเองนั้น ควรมรี ายละเอียดดงั น้ี สงั วร หมายถึง ระวังหรือปิดกน้ั การรับรู้สง่ิ เร้าภายนอก
ไม่ให้ความยินดียินร้ายมาครอบงาจิตใจ สัญญมะ หมายถึง การรู้จักควบคมุ บังคับในการแสดงออกเพื่อไม่ให้เกิดผล
เสียหายหรือเบียดเบียนผอู้ น่ื และ ทมะ หมายถึง การฝกึ ฝนปรับปรุงตนเองใหเ้ จรญิ ก้าวหน้าไปทาง คณุ ความดี
ซง่ึ ในทางพุทธศาสนาในการพฒั นาตนให้งอกงามในคณุ ความดีแลว้ จะต้องมกี ลั ยาณมติ รคอยช้ีแนะหรือเปน็ ตวั อย่าง
ใหย้ คุ คลนั้นไดพ้ ัฒนามากย่งิ ขน้ึ
2. การใชห้ ลักไตรสิกขา เป็นการรจู้ ักเลอื กส่ิงทีด่ ีมีประโยชนม์ าฝกึ ฝนตนเอง ประกอบด้วย
2.1 ศีล เป็นการพัฒนาเพื่อควบคุมพฤติกรรมภายนอกท้ังนี้เพราะศีลเป็นข้อปฏิบัติ
พนื้ ฐานในการอยรู่ ่วมกันด้วยดขี องคนในสังคม เพอ่ื ไม่เบยี ดเบียนผอู้ ื่น ท้าร้ายผู้อื่นซึง่ เป็นข้อปฏิบตั ิจนถึงสมาธิและ
ปัญญา
2.2 สมาธิ เปน็ ความสามารถในควบคมุ จติ ใจต้งั มนั่ อยใู่ นหน้าท่กี ารงานท่ีทาอยู่ในปัจจุบัน
สมาธิเป็นการพัฒนาเก่ยี วกับเรื่องจิตใจของตนเองด้วยการฝกึ ฝนและพฒั นาตนให้มคี ุณภาพจิตท่ีดี คือ มคี ณุ ธรรมมี
เมตตา มีศรัทธา สมรรถภาพจิตที่ดี คือ การฝึกจิตให้มีขันติ เข้มแข็ง ตั้งม่ัน พากเพียร มีสติ และมีจิตใจท่ีตั้งมั่น
พร้อมทีจ่ ะทางานและสุขภาพจติ ทีด่ ี คอื มีความสบาย อมิ่ เอบิ ผอ่ งใส เบกิ บาน
2.3 ปัญญา ปญั ญาในทีน่ ี้คือปญั ญาแห่งการดับทุกข์ ซง่ึ ตอ้ งมคี วามรู้ ความเข้าใจร้เู ท่าทัน
ส่ิงต่างๆ ในโลก ปัญญาจึงเป็นการฝึกอบรมให้มีความรู้ความเข้าใจทั้งหลายตามความเป็นจริง ไม่ตกอยู่ใต้อานาจ
ของกิเลส
อย่างไรก็ตามหลักธรรมที่จาเป็นท่ีนอกจากกล่าวมาข้างต้น ยังมีหลักธรรมอีกจานวนมากที่ช่วยในการ
พัฒนาตน ซึ่งได้แก่ การใช้ภาวนา คือเป็นผู้ที่มีตนพัฒนาแล้วประกอบด้วย กายภาวนา ศีลภาวนา จิตภาวนา และ
ปัญญาภาวนา พรหมวิหารธรรมซึ่งเป็นหลักธรรมของผู้ประเสริฐหรือผู้มีจิตใจกว้าง ประกอบด้วย เมตตา กรุณา
มทุ ิตา อุเบกขา ฯลฯ (มาลณิ ี จุโฑปะมา, 2554 : 82; สุชา ไอยราพงศ์, 2542 : 17-18)
3. กระบวนการพัฒนาตน
ในกระบวนการพัฒนาตนนั้นมีวิธีการพัฒนาหลากหลายวิธีในที่นี้ผู้เขียนนาเอาวิธีการพัฒนาตนตาม
หลักการทางวิทยาศาสตรเ์ พอื่ ใชไ้ ด้เหมาะสมกับทกุ เพศทกุ วยั และมกี ระบวนการท่เี ขา้ ใจง่ายไม่ซบั ซอ้ น ดังน้ี
ข้ันตอนท่ี 1 สร้างทัศนคติท่ีดีต่อการพัฒนาตน ขั้นตอนน้ีมีความสาคัญเป็นอย่างเพราะการมีทัศนคติเป็น
เช่นไรก็จะส่งผลต่อการพัฒนาตนเช่นน้ัน เช่น ถ้าเรามีทัศนคติท่ีดีต่อการพัฒนาตนเราจะมีแรงจูงใจและมีความ
102
ต้องการที่จะพัฒนาตนมากกว่าการมีทัศนคติท่ีไม่ดีต่อการพัฒนาตนเพราะฉะน้ันความสาเร็จจึงเป็นไปได้มากกว่า
ทศั นคตทิ ่ีไม่ดี
ขั้นตอนที่ 2 ตระหนักถึงความจาเป็นท่ีจะต้องพัฒนาตน เป็นการสร้างความเข้าใจว่าการพัฒนาตนมี
ความสาคัญต่อตนเอง สังคมและประเทศชาติและมีประโยชน์อ่ืนมากมายให้ตระหนักเห็นคุณค่าในการพัฒนาตน
โดยการปรบั ความคิดของตนเอง
ข้ันตอนท่ี 3 การสารวจ พิจารณาตนเอง หมายถึง การรับรู้สภาพการดารงชีวิตท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบันว่าอยู่
ในสภาวะท่ีกาลังเผชิญปัญหาอยู่หรือไม่ ปัจจุบันตนเองเป็นเช่นไรการพิจารณาต้องอาศัยความเข้าใจตนเองเปิดใจ
กว้างมองตนเองอย่างไม่มีอคติ ในการพิจารณาตนเองจะช่วยให้เราสามารถกาหนดพฤติกรรมเป้าหมายต่อไปว่าเรา
จะมีเป้าหมายเป็นอย่างไรบ้าง การพิจารณาตนเองพยายามให้ครอบคลุมทุกมิติ เช่น สภาพร่างกายเป็นอย่างไรมี
สขุ ภาพดีหรือไม่ กิริยาทา่ ทาง บคุ ลิกภาพร่างกายเป็นอย่างไร อว้ นมากไหม การน่ังการยืนบุคลิกภาพดีไหม มคี วาม
ยากลาบากต่อการดาเนนิ ชวี ิตไหม ด้านอารมณแ์ ละจิตใจเป็นอยา่ งไร สุขภาพจติ เป็นอย่างมคี วามวติ กกงั วล ลาบาก
ใจหรืออารมณ์เป็นอย่างไร ด้านสงั คม นัน้ ปฏิสมั พนั ธ์กับผู้อ่ืนเราเป็นเชน่ ไรส่ือสารกบั ผ้อู ื่นและการเข้าสังคมมีความ
ยากลาบากหรือไม่เป็นคนชอบสังคมหรือไม่ชอบสังคมมนุษยสัมพันธ์กับคนในสังคมอยู่ในระดับควรพัฒนาหรืออยู่
ในระดับดีแล้ว ด้านสติปัญญา ความสามารถด้านต่างๆ เราเป็นเช่นไร เช่น ภาษา คณิต ดนตรี ศิลปะ กีฬา หรือ
ความสามารถอื่นๆทีเ่ ราจาเปน็ ตอ้ งใช้ท้ังในการดาเนินชีวติ ดา้ นการเรียนและการประกอบอาชีพ เช่น ความรู้ทั่วไป
การตัดสินใจ การแก้ปญั หาและการบริหารเวลา และความสามารถพิเศษต่างๆ ข้ันนี้เพ่ือให้พิจารณาครอบคลุมน้ัน
เราสามารถเพ่ิมเติมการพจิ ารณาตนเองโดยการรับรู้ขอ้ มูลจากแหล่งดังน้ีคือ
การอาศัยบุคคลรอบข้างในการให้ข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ว่าลักษณะเราเป็นเช่นไร ซึ่งบุคคลรอบข้าง
อาจจะมากกว่า 1 คน เป็นบุคคลท่ีเรารู้จักมานานเพ่ือให้เขาสามารถให้ข้อมูลกับเราได้ เช่น พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน
สนิท เป็นต้น
การทาแบบวัดทางจิตวิทยา แบบวดั ทางจติ วทิ ยาเป็นการทานายแนวโน้มบคุ ลิกภาพทเี่ ราสามารถนาขอ้ มูล
จากการแปลผลมาพิจารณาร่วมกันการสารวจตนเอง ซ่ึงการทาแบบวัดผู้พัฒนาตนเองสามารถทาแบบวัดทั้ง
ทางดา้ นบุคลิกภาพ คา่ นยิ ม เจตคติทม่ี อี ยู่ในหน่วยงานตา่ งๆทางเวบ็ ไชต์ หรือกรมสขุ ภาพจิต เช่น
1. http://edsw.bu.ac.th/cjp_psychotest/
2. https://www.dmh.go.th/
ในการสารวจพิจารณาตนน้ัน มาลิณี จุโฑปะมา (2554:84) อธิบายว่าการวิเคราะห์ตนเองควรวิเคราะห์
ดา้ นตา่ งๆ ดังนี้
1. ด้านรา่ งกาย เช่น ขนาด ความสมบรู ณ์ กริ ิยา ทา่ ทาง และการแต่งกาย
2. ด้านสติปญั ญา เช่น การคิด การตัดสินใจ ความสามารถในการแก้ปัญหา การทางาน ปฎิภาณ
ไหวพริบในการพูดจา
3. ดา้ นอารมณ์ เชน่ การแสดงออกด้านอารมณ์ การรู้จกั ควบคมุ อารมณ์
4. ดา้ นสังคม เชน่ ความสามารถในการเข้าสงั คม
5. ดา้ นจิตใจ เช่น ความหลา้ หาญ ความซ่ือสตั ย์ ความกตญั ญู
สมพร สุทัศนีย์ (2538 : 85 อ้างถึงใน มาลิณี จุโฑปะมา, 2554 : 85) ได้แบ่ง การวิเคราะห์ด้านตนเอง
ออกเป็นด้านตา่ งๆ ดังน้ี
103
1. รูปรา่ งหน้าตาและสขุ ภาพ ลกั ษณะรูปร่างหนา้ เปน็ อย่างไร มีอะไรที่ปรบั ปรงุ แกไ้ ข
2. สติปญั ญา คือ ความสามารถในการเรียนรู้ การแก้ปัญหา ซึ่งเป็นลักษะที่จาเป็นอยา่ งยิ่งในการ
ดาเนินชีวิต
3. ความรู้ทั่วไป ให้สังเกตตนเองว่าเรามีความรู้รอบตัวมากน้อยแค่ไหนสามารถพูดคุยกับบุคลอื่น
ได้ทุกเร่ืองหรือไม่เพื่อจะได้พัฒนาตนเองให้มีความรู้รอบด้านไม่ใช่เฉพาะส่ิงที่เราสนใจแต่ละเลยสิ่งอื่นที่มีความ
จาเป็นต้องรู้
4. ความสามารถพิเศษ เป็นความถนัดหรอื พรสวรรค์สว่ นบุคคลทีส่ ามารถพัฒนาได้ เช่น เรื่องของ
ดนตรี ศลิ ปะ นักพดู นักรอ้ ง
5. การแต่งกาย พิจารณาว่าการแต่งกายของตนเองเป็นอย่างไรเหมาะสมกาลเทศะหรือไม่ หรือ
เหมาะกบั วยั รูปร่างหนา้ ตาไหม
6. การพูดจา ให้สังเกตตนเองว่าเป็นคนพูดจาอย่างไร ไพเราะอ่อนหวาน ออกเสียงชัดถ้อยชัดคา
หรอื พูดกากวมไมช่ ัดเจน หรือเปน็ คนท่ีชอบพดู ขวานผ่าซาก เยาะเย้ย ถากถาง พดู จาดูหมน่ิ ผู้อ่นื หรือไม่
7. กิริยาท่าทาง เป็นลักษณะที่เราจะสังเกตตนเองว่าเรามีกิริยาท่าทางสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน
หรอื ไม่ หรอื แข็งกระด้าง ก้าวรา้ ว
8. นิสัยใจคอและบุคลิกภาพควรวเิ คราะหต์ นเองว่ามีนิสยั ใจคออย่างไร เป็นคนอารมณ์ขี้โมโหงา่ ย
หรือไมห่ รอื เปน็ คนใจเย็นอารมณด์ ยี อมรับฟงั ความคิดเห็นของผ้อู ่ืน มีทศั นคตเิ ชงิ บวกหรือเชิงลบ
9. ฐานทางเศรษฐกิจ การรูจ้ ักฐานะตนเองจะชว่ ยให้ปรับตัวเข้ากับสงั คมได้อยา่ งเหมาะสม หรอื มี
การวางแผนการดาเนินชวี ติ ของตนเองไดอ้ ย่างเหมาะสม
นักวิชาการหลายคนได้นาเสนอการวิเคราะห์ตนเองในแต่ละด้านซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกันดังน้ันเพ่ือให้เห็น
ภาพชัดเจนขอนาเสนอการวเิ คราะหต์ นเองตามแนวคิดของเรียม ศรที องที่มีลักษณะคลา้ ยกับทีก่ ลา่ วมาขา้ งตน้ ตาม
ภาพประกอบท่ี 5.1 (หนา้ ถดั ไป)
ความรทู้ ่วั ไป สตปิ ญั ญาความสามารถ ความสามารถพิเศษ รา่ ง
การตัดสินใจ – การ ความรทู้ วั่ ไป กาย
ความสามารถใน แกป้ ัญหา กริ ิยาทา่ ทาง
สังค การติดต่อสอื่ สาร
ม พฤติกรรมการ นิสยั ในคอ บคุ ลิกภาพโดยรวม
อารมณ์-จติ ใจ
แสดงออก วนิ ัยในตนเอง
ความสัมพนั ธก์ ับ
ผอู้ ื่น
สุขภาพจิต
104
ภาพประกอบที่ 5.1 การสารวจลักษณะบคุ คลท้ัง 4 ด้าน
ทีม่ า : เรยี ม ศรที อง. (2542 : 199)
ขนั้ ตอนที่ 4 การวเิ คราะหจ์ ุดเดน่ จุดบกพรอ่ งของตนเอง ขั้นนี้เปน็ การรวบรวมข้อมูลจากขั้นตอนท่ี 3มา
วิเคราะห์เป็นการทาความเข้าใจผลการประเมินสภาพทางร่างกาย อารมณ์และจิตใจ สังคม สติปัญญา และ
ความสามารถของตน เพ่ือจาแนกคุณลักษณะบุคลิกภาพ ในการวิเคราะห์ลักษณะบุคลิกภาพหรือพฤติกรรมของ
บุคคล ควรพิจารณาหลายด้าน เพ่ือท่ีจะเลอื กปรับปรงุ และพัฒนาพฤตกิ รรมที่มีความสาคัญต่อตนเองมากท่ีสุดโดย
พิจารณาลาดับคุณค่าของลักษณะหรือพฤติกรรมท่ีส่งผลเสียหรือเป็นอันตรายต่อชีวิตของตนเองและผู้อื่น โดย
สามารถแยกเป็นดา้ นๆ ตัวอยา่ งตามตารางที่ 5.1 ดังน้ี
ตารางที่ 5.1 วิเคราะหจ์ ดุ เด่นและจุดท่ีตอ้ งพัฒนา จดุ ทต่ี ้องพัฒนา
จุดเดน่ ไมค่ อ่ ยอ่านหนังสือ
เดินหลงั งอ
เป็นคนรา่ เริงแจม่ ใส เขา้ กับผอู้ ืน่ ได้ง่าย มาเรียนสายไม่ตรงเวลา
ชอบช่วยเหลอื ผูอ้ น่ื ไมอ่ อกกาลงั กาย
มีความสามารถด้านภาษา
ควบคุมอารมณ์ได้ดี
สรุปพฤตกิ รรมท่ีข้าพเจ้าควรปรับปรงุ มากที่สดุ คือ ไม่ออกกาลังกาย
ขั้นตอนท่ี 5 กาหนดปัญหาและพฤติกรรมเป้าหมาย ในการกาหนดปัญหาหรือพฤติกรรมเป้าหมายท่ีจะ
เลือกปรับปรุงนั้นควรเป็นปัญหาที่เราสามารถพัฒนาได้มีความสาคัญและความจาเป็นต่อตนเองมากที่สุดหรือมี
ผลเสียต่อตนเองมากท่ีสุดหากยังไม่ปรับปรุงเปล่ียนแปลงตนเอง ท้ังนี้ถึงแม้ว่าการสารวจข้อมูลในข้ันตอนที่ 4 เรา
เก็บข้อมูลเพื่อมาพิจารณาตนเองจากหลายแหล่งก็ตามสุดท้ายผู้พัฒนาจะเป็นผู้กาหนดปัญหาและพฤติกรรม
เป้าหมายเอง โดยปัญหาน้ันอาจเกิดจากด้านร่างกาย เช่น บุคลิกภาพ ด้านสติปัญญา เช่น ขาดความรู้ความเข้าใจ
ปัญหาด้านอารมณ์ความรู้สึก ที่มีความขัดแย้งหรือการควบคุมอารมณ์ ฯลฯ ซ่ึงพฤติกรรมเป้าหมายน้ันควรเป็น
ลักษณะชดั เจนสามารถวดั ได้สงั เกตได้
ตัวอย่างการเขียนการกาหนดปัญหาและพฤติกรรมเป้าหมาย เช่น จากการสารวจตนเอง ข้าพเจ้า
พิจารณาแล้วพฤติกรรมที่ข้าพเจ้าควรเปล่ียนแปลง คือ การออกกาลังกาย เนื่องจากทาให้ข้าพเจ้ามีไม่สบายบ่อย
และนา้ หนักเกินมาตรฐานท่ีกาหนดส่งผลต่อบุคลิกภาพของข้าพเจ้า ดังน้นั ขา้ พเจ้าต้องการทจ่ี ะเปล่ียนแปลงตนเอง
โดยการออกกาลังกาย 3 ครัง้ ตอ่ สัปดาห์ และครงั้ ละ 1 ช่ัวโมง ภายใน 4 สัปดาห์ (การกาหนดตัวเลขจะเป็นตวั ชว้ี ัด
เปา้ หมายพฤตกิ รรมใหม้ ีความชดั เจนขนึ้ )
ขั้นตอนที่ 6 การรวบรวมข้อมูลพ้ืนฐาน การรวบรวมข้อมูลพ้ืนฐานท่ีเก่ียวข้องกับปัญหาซ่ึงสามารถ
รวบรวมไดท้ ั้งเชงิ ปริมาณและเชิงคุณภาพท่ไี ด้จากการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมและวิเคราะห์พฤติกรรมท่ีเกิดขึ้น
เช่น ถา้ เป็นข้อมลู เชิงปริมาณจะเปน็ เร่ืองของจานวนพฤตกิ รรมท่ีเกิดขนึ้ เช่น การดื่มกาแฟ จานวนในการดม่ื กาแฟ
ในแต่ละวันเป็นเท่าไหร่เพ่ือจะได้เห็นความถี่ในพฤติกรรมนั้นๆ ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นข้อมูลที่ช่วยขยายข้อมูลเชิง
ปริมาณเป็นเรื่องของความคิดความรู้ที่เราแสดงพฤติกรรมนั้น อะไรเป็นสาเหตุให้เราแสดงพฤติกรรมนั้น การ
105
รวบรวมข้อมูลลักษณะนี้จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมเป้าหมายท่ีถูกต้องชัดเจนมากขึ้น รวมท้ังหาแนวทางการเลือก
เทคนิควธิ ีการปรบั ปรงุ ตนเองท่ีเหมาะสมต่อไป ตวั อย่างเช่น
ตารางท่ี 5.2 ตวั อย่างตารางบนั ทึกการรวบรวมขอ้ มูลเชงิ ปริมาณ เสาร์ อาทติ ย์ เฉลีย่
001
วนั เดือนปี จันทร์ องั คาร พธุ พฤหสั ศุกร์
- - 30
จานวน / 1 0 0 0 0
คร้งั
จานวน/ 30 นาที - - - -
ช่วั โมง
ตารางท่ี 5.3 ตวั อยา่ งการบันทกึ ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพ
สิ่งแวดล้อมที่มผี ลตอ่ พฤติกรรม ความคิด ความรู้สกึ ผลทีเ่ กิดขนึ้ จากการกระทา
พฤติกรรมทีเ่ ปน็ ปัญหา
ตนเอง รสู้ ึกเหนอื่ ยไม่อยากออกกาลงั
ขเ้ี กยี จ นา้ หนักข้ึน ร้สู ึกไม่สบายตัว
สรุปจากการเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน พบว่า พฤตกิ รรมออกกาลังกายเฉล่ีย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ใช้เวลา 30
นาที โดยสาเหตุท่ีทาให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาหรือไม่พึงประสงค์เกิดจาก ตนเอง ที่รู้สึกเหน่ือยและ ขี้เกียจ
(นกั ศึกษาสามารถรบรวมข้อมูลโดยวิธกี ารอน่ื ๆได้ทั้งนไี้ ม่ได้กาหนดรูปแบบตายตวั ขึ้นอย่กู ับผพู้ ัฒนาในการออกแบบ
เก็บรวบรวมขอ้ มูล)
ข้ันตอนท่ี 7 การเลือกเทคนิควิธีและการวางแผนปรับปรุงตนเอง การเลือกเทคนิควิธีในการปรับปรุง
และพัฒนาตนเอง ควรเลือกเทคนิคที่ง่ายและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ท่ีต้องการปรับปรุง อาจใช้วิธีการฝึกหัด
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือปรับเปล่ียนความคิดซ่ึงเทคนิคต่างๆ ได้นาเสนอไว้ในหัวข้อที่ 4 ซ่ึงผู้พัฒนาสามารถใช้
หลายวิธีการหลายเทคนิคมาใช้ประกอบการกัน ซึ่งในการใช้เทคนิคต่างๆ น้ัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเทคนิคท่ีมี
ประสิทธิภาพหากผู้พัฒนาตนมักทาตามสบาย ขาดวินัยไม่ควบคุมหรือจัดระบบการพัฒนาให้รัดกุมและมีคุณภาพ
เทคนิคนน้ั ก็ไม่มคี ณุ ภาพ ซ่ึงแกป้ ัญหาโดยการกาหนดแผนใหค้ ่อยเป็นค่อยไป เช่น ถ้าเราต้องการพฒั นาตนเองเร่อื ง
การลดน้าหนักได้ได้ 3 กิโลกรัมในระยะเวลา 3 เดือน เราอาจจะวางแผนให้เดือนท่ี 1 ลดลง 1 กิโลกรัม เดือนที่ 2
ลดลง 1 กิโลกรัม เดือนท่ี 3 อาจจะเป็น 1 กิโลกรัม ซึ่งเป็นการกาหนดแผนระยะส้นั และระยะยาวใหช้ ดั เจน และจะ
ไม่ร้สู กึ ท้อแทห้ ากค่อยเป็นคอ่ ยไป
ในการกาหนดวิธีการพัฒนาตนนั้นมีหลากหลายวิธีและมีความคล้ายคลึงกัน มาลิณี จุโฑปะมา (2554 :
87) ได้อธบิ ายว่า การเลือกวธิ ปี ฏบิ ัติเพื่อพฒั นาตนนั้น มีดงั นี้
1. รักษาสุขภาพอนามัยของตนเองทั้งร่างกายและจิตใจให้เข้มแข็งสมบูรณ์อยู่เสมอ โดยการ
พักผอ่ นอยา่ งเพียงพอรบั ประทานอาหารให้ครบ ออกกาลังกายอยา่ งสมา่ เสมอ เปน็ ต้น
2. เข้ารับการศกึ ษาจากสถาบันตา่ งๆ ในสาขาทีต่ รงกบั ความสามารถ ความสนใจและความถนัด
106
3. ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เช่น อ่านหนังสือ ฟังบรรยาย เข้ารับอบรมสัมมนา การสนทนา การ
ลงมอื ปฏบิ ัตดิ ้วยตนเอง การทดลองทาในส่ิงทไ่ี ม่เคยทา การศึกษาดงู านหรอื ท่องเท่ียวตามท่ีต่างๆ
4. การศึกษาบุคคลสาคัญเพ่อื หาแรงบนั ดาลใจ ศกึ ษาวถิ ีชวี ิตผู้อืน่ เพื่อนามาพัฒนาตนเอง
อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวเป็นการพัฒนาตนเองโดยอาศัยสิ่งเร้าต่างๆ เข้ามาช่วยในการพัฒนาหากเป็น
การใชเ้ ทคนิคทางจติ วิทยาจะมุง่ เน้นตวั บุคคลผู้พฒั นาดงั นัน้ เทคนิคจงึ เนน้ การควบคุมตนเอง ตวั อย่างเช่น
เทคนิคท่ใี ชใ้ นการพฒั นาตนเอง เร่ือง การออกกาลงั กาย
เทคนิคที่ 1 ใชเ้ ทคนิคควบคมุ ตนเอง
เทคนิคที่ 2 ใชเ้ ทคนคิ การเปล่ียนความคิด
เมอ่ื ไดเ้ ทคนิคในการพฒั นาตนเองเพ่ือให้ง่ายต่อการทดลอง การพฒั นาตนจึงควรทาเป็นแผนตัวอยา่ งดงั นี้
ตารางที่ 5.4 ตวั อย่างกาหนดแผนระยะส้นั
ระยะเวลา สัปดาห์ เทคนิคที่ใช้ พฤตกิ รรมเป้าหมาย การเสริมแรง
ระยะตน้ 1-2 เทคนิคท่ี 1 ใช้เทคนคิ ออกกาลงั กาย 2 วนั ใน กลา่ วชมตนเอง
ควบคมุ ตนเอง 1 สัปดาห์ โดยวันออก
เทคนคิ ท่ี 2 ใช้เทคนิคการ กาลงั กายวนั ละ 30 นาที
เปลี่ยนความคิด
ระยะกลาง 3 เทคนิคที่ 1 ใช้เทคนิค ออกกาลงั กาย 2 วนั ใน ดู ห นั ง ท่ี ต น เ อ ง ช อ บ
ควบคมุ ตนเอง 1 สปั ดาห์ โดยวนั ออก จานวน 1 เรือ่ ง
เทคนิคท่ี 2 ใช้เทคนคิ การ กาลงั กายวนั ละ 1
เปล่ยี นความคิด ช่ัวโมง
ระยะปลาย 4 เทคนิคท่ี 1 ใช้เทคนิค ออกกาลังกาย 3 วนั ใน ช้อื ชุดใหม่ใหก้ ับตนเอง
ควบคุมตนเอง 1 สัปดาห์ โดยวนั ออก
เทคนคิ ที่ 2 ใชเ้ ทคนคิ การ กาลังกายวนั ละ 1
เปลยี่ นความคดิ ช่ัวโมง
ขั้นตอนที่ 8 การทดลองปรับปรุง และพัฒนาตนเอง ในข้ันน้ีเป็นการดาเนินการตามแผนท่ีกาหนดไว้
ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ ความมุ่งม่ันเป็นสิ่งสาคัญให้บรรลุความสาเร็จโดยต้องทาการบันทึกและสรุปเป็นราย
สัปดาห์เพ่อื ใหท้ ราบถึงปัญหาอุปสรรคซงึ่ สามารถรบั แผนได้หากทดลองแล้วไม่เป็นไปตามเปา้ หมาย แต่หากประสบ
ความสาเรจ็ ควรให้กาลังใจตนเองหรอื ใหร้ างวัลเพื่อเสรมิ แรงใหม้ ีกาลงั ใจในการพฒั นาตนเองต่อไป
ขน้ั ตอนท่ี 9 การประเมินและขยายผลการพัฒนาตนเอง ในข้ันนเี้ ป็นการตดิ ตามดูว่าการทดลองปรับปรุง
และพัฒนาตนเองบรรลุผลสาเร็จเพียงใด ในกรณีที่มีข้อบกพร่องก็สืบค้นทบทวนดูว่ามีอะไรเป็นปัจจัย
นอกเหนือจากที่เตรียมวางแผนไว้หรือเป้าหมายขาดความชัดเจนอาจพิจารณาปัญหาอุปสรรคท่ีเกิดขึ้น และ
ย้อนกลับไปทบทวนการประเมินตนเอง หรอื วเิ คราะหต์ นเองใหม่ ถา้ การประเมินผลการทดลองประสบผลสาเรจ็ ก็
พจิ ารณาต่อวา่ จะดาเนินการยตุ ิแผนงานและทาให้พฤติกรรมคงอยู่ได้อย่างไรรวมไปถึงอาจมีแรงจงู ใจที่จะขยายผล
การพัฒนาไปยังพฤติกรรมอ่ืนๆต่อไปอีก หากไม่สาเร็จให้ดาเนนิ การสารวจตนเองใหม่อกี ครั้ง จากขั้นตอนดังกล่าว
สามารถสรปุ ได้ดังนี้
107
สร้างทศั นคติทด่ี ตี ่อการ
พฒั นาตน
ตระหนักเห็นคุณคา่ ใน
ตนเอง
ไมส่ าเรจ็ สารวจพิจารณาตนเอง
ประเมินผลและขยายผล วเิ คราะห์จุดเดน่
การพัฒนา จุดบกพร่อง
ทดลองปรบั ปรงุ พฒั นา กาหนดปญั หาและ
พฤติกรรมเปา้ หมาย
เลือกเทคนิควธิ ีและ รวบรวมข้อมลู พน้ื ฐาน
วางแผนพฒั นา
ภาพประกอบที่ 2 แสดงวงจรการพัฒนาตนเอง
(ดัดแปลงมาจาก โปแกรมจติ วิทยาและการแนะแนว, ม.ป.ป : 85)
4. เครอ่ื งมือ เทคนิคและกจิ กรรมทใ่ี ชใ้ นการพฒั นาตน
4.1 เครอื่ งมือและเทคนคิ ท่ใี ชใ้ นการพฒั นาตน
เคร่ืองมือท่ีช่วยในการพัฒนาตน (ประสงค์ สุรียธนาภาสและคณะ, 2547: 22-28 อ้างถึงใน สมศักดิ์
สดี ากุลฤทธิ,์ 2553 : 136-137)
1. การเฝ้าติดตามตนเอง เป็นการเกบ็ รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับพฤติกรรมของตนเองทง้ั กอ่ นกาหนด
พฤติกรรมเป้าหมายและหลังกาหนดพฤติกรรมท่ีต้องการเปล่ียนแปลงรวมไปถึงระหว่างการดาเนินการ
เปล่ียนแปลงพฤติกรรมโดยการสังเกตพฤติกรรมตนเองและทาการบันทึกพฤติกรรมอย่างเป็นระบบการติดตาม
108
ตนเองจะต้องติดตามทั้งภายในและภายนอกโดยอาศัยสติ เพราะสติคือความรู้สึกตัวและสติจะควบคุมจิตใจของ
มนษุ ยใ์ หร้ ู้
2. การประเมินตนเอง เป็นการที่บุคคลตัดสินความสาเร็จด้วยการเปรียบเทียบพฤติกรรมที่
กาหนดไว้กับพฤตกิ รรมทีแ่ ท้จริง ซึ่งต้องอาศัยการกาหนดพฤติกรรมเป้าหมายอย่างชัดเจน วัดได้และทาการบันทึก
จากการสังเกตพฤติกรรมท่ีตนเองกระทาแล้วนาผลจากการบันทึกมาเปรียบเทียบกบั เป้าหมายที่ตนเองตงั้ ไว้ซ่ึงเป็น
การประเมินตนเองนนั้ เอง ดังน้ันจึงจาเป็นที่จะต้องสร้างแบบประเมินตนเองขนึ้ มาเพ่ือให้สามารถตรวจสอบได้จาก
แบบประเมินนี้
3. การวิเคราะห์ตนเอง เป็นการพิจารณาข้อมูลจากการสังเกตตนเองและสรุปสาเหตุที่ทาให้เกิด
พฤติกรรมที่ไมพ่ ึงประสงค์ ซึ่งการวิเคราะห์ตนเองต้องพจิ ารณาจากสถานการณท์ ี่เป็นปญั หา วเิ คราะห์หาส่ิงทท่ี าให้
เกิดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา และวิเคราะห์แรงจูงใจ ว่าเหตุการณ์ใดที่จูงใจให้เกิดพฤติกรรมน้ัน ซ่ึงผู้ท่ีทาการ
วเิ คราะห์ตนเองต้องบนั ทกึ การวเิ คราะหต์ นเองให้เปน็ ระบบ
โดยสรุปเคร่ืองมือเหล่าน้ีต้องอาศัยการสังเกตตนเองเพ่ือติดตาม ประเมินและวิเคราะห์ตนเองโดยต้อง
ปราศจากอคติของตนเองเพราะถ้าการพัฒนาตนโดยท่ีผู้พัฒนาตนมีความลาเอียงก็จะทาให้ข้อมูลที่ได้เป็นตรงกับ
ความเป็นจรงิ
4.2 เทคนิคท่ีใช้ในการพัฒนาตนเอง (ประสงค์ สุรียธนาภาส และคณะ, 2547 : 22-28 อ้างถึงใน
สมศกั ด์ิ สดี ากุลฤทธิ,์ 2553 : 132-136)
1. เทคนคิ ควบคมุ สง่ิ เร้า
การควบคุมส่งิ เร้าในการพัฒนาตนเองหมายถึง การที่บุคคลเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมตนเองโดยการ
จดั การเปล่ียนแปลงส่งิ เร้าในสภาพแวดล้อมทต่ี นเกี่ยวขอ้ งกับพฤตกิ รรมที่ไมต่ อ้ งการโดยการดาเนินการ
1.1 กาจัดหรือหลีกเลี่ยงส่ิงเร้า ท่ีกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมน้ัน เช่น ต้องการเลิกกาแฟ
การกาจดั คอื ไม่ช้ือกาแฟสาเรจ็ รูปไว้ในบ้านหรือการหลีกเลย่ี งสิง่ เร้าคือการไมเ่ ข้าใกล้รา้ นกาแฟ
1.2 กาหนดสิ่งเร้าที่เฉพาะเจาะจง เป็นการกาหนดปริมาณหรือลักษณะเฉพาะเจาะจง
ของสงิ่ เรา้ นน้ั เชน่ ถา้ รวู้ า่ เราอ้วนเพราะด่มื น้าอัดลมก็ให้กาหนดปริมาณในการดื่มแตล่ ะวัน
1.3 การเปลี่ยนแปลงสิ่งเร้าท่ีนาไปสู่การเกิดพฤติกรรมไม่เหมาะสม เช่น เรารู้ว่าการกิน
ขนมบอ่ ยๆ จะทาให้อ้วนก็เปลี่ยนเปน็ กนิ ผลไม้แทนการกนิ ขนม
2. เทคนิคการจดั การใหผ้ ลกรรมตนเอง
การให้ผลกรรมตนเองเปน็ การให้ผลตอบแทนพฤติกรรมของตนเองที่ไดก้ ระทาแล้วเกิดพฤติกรรม
ท่พี ึงประสงค์ ซง่ึ เทคนิคน้ีส่วนใหญ่จะใช้การเสรมิ แรงมากกว่าลงโทษ เพราะการเสริมแรงจะเป็นการตอบแทนหรือ
ใหร้ างวัลกับตนเองเม่อื พฤติกรรมน้ันเหมาะสมซ่ึงจะมแี นวโน้มอยากทาพฤตกิ รรมนั้นซ้าอกี เพราะส่งิ ท่ีเสริแรงไมว่ ่า
จะเป็น ของขวญั เสื้อผา้ อาหารทช่ี อบ การชมเชยตนเอง หรือทากิจกรรมทีช่ อบล้วนเป็นส่ิงท่ีเราปรารถนาอย่างไร
ก็ตามจะมีประสิทธิภาพมากหรือน้อยการเสริมแรงต้อง กาหนดไว้ชัดเจนต้ังแต่ข้ันวางแผนว่าพฤติกรรมเป้าหมาย
คืออะไร มากเท่าไหร่ สาเร็จแล้วจะเสริมแรงอย่างไร เช่น ถ้าออกกาลังได้วันละ 3 ช่ัวโมง ต่อสัปดาห์ จะให้รางวัล
ตัวเองเป็นการดูหนังท่ีชอบจานวน 1 เร่ือง และต้องทาทันทีเม่ือพฤติกรรมนั้นประสบความสาเร็จเพื่อให้เกิดความ
กระตอื รือรน้ แตส่ ิ่งท่ตี อ้ งคานึงคอื ความพอเหมาะของการใหร้ างวลั เพราะถ้ามากเกินไปจะทาให้รางวัลไม่มคี ุณคา่
109
3. เทคนคิ การเปลยี่ นความคิด
การเปลยี่ นความคิดเป็นการจัดการกับการเปล่ียนความคดิ ของตนเองโดยมหี ลายวิธี ได้แก่
3.1 เทคนิคการหยดุ ความคิด เทคนคิ นจี้ ะใช้เม่อื เราเกิดความคิดกบั เรอื่ งใดเร่อื งหนง่ึ แบบ
ย้าๆ หรือที่เรียกว่าย้าคิดย้าทาเพ่ือไม่ให้บุคคลคิดแง่ลบ เช่น สอบได้คะแนนน้อย ติด F แล้วมานั่งคิดว่า ไม่น่าเลย
ทาไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งการหยุดความคิดทาได้โดย ทุกครั้งท่ีคิดลบขึ้นมาให้ตะโกนดังๆ ว่า หยุด แล้วพยายามหาวิธีการ
ผอ่ นคลาย หรอื จะใชว้ ิธีการหยุดความคดิ โดยการฝึกจินตนาการ
3.2 เทคนคิ การมองมุมมองใหม่ การเปล่ียนความคิดโดยการมองมุมมองใหมโ่ ดยการมอง
ทางบวกแทนมองลบหรือมองหาผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์จากเหตุการณ์หรอื สถานการณ์ท่ีเป็นลบนั้นแทน เช่น การ
ที่เราต้องทางานด้วยเรยี นด้วยอย่างน้อยเราจะไดฝ้ ึกการบริหารตนเองและวางแผนชีวติ ตนเอง
3.3 เทคนิคการเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึก โดยการวิเคราะห์ความเก่ียวข้องระหว่าง
ความรู้สึกกับความคิดและพฤติกรรมสามารถทาได้โดยต้องวิเคราะห์ความสัมพันธ์ว่ามีเหตุการณ์อะไรที่ทาให้เกิด
ความรสู้ ึกทางลบโดยใชห้ ลัก ใคร ทาอะไร ท่ไี หน อย่างไร เมื่อไร เชน่ ฉันไปสอบรายวิชาการพัฒนาตนเพอื่ ความสุข
ของชีวิตแตฉ่ ันทาขอ้ สอบปลายภาคไมไ่ ด้ และระบุความคิดเหน็ ความเช่ือทีเ่ กิดขึ้นจากการที่บุคคลตีความเหตุการณ์
ทีเ่ กิดข้ึน เช่น ฉันคิดวา่ ฉนั ตอ้ งติด F แนน่ อน จากน้ันระบอุ ารมณค์ วามร้สู กึ ทีเ่ กดิ ขน้ึ เช่น ฉนั รสู้ กึ กงั วลใจหรือเสยี ใจ
ถ้าฉันจะต้องติด F เม่ือวิเคราะห์เสร็จแล้วทาการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ความรู้สึก โดยการเอาความคิดความรู้สึกท่ี
บั่นทอนจิตใจตนเองแยกออกมา โดยแยกเป็นสิ่งท่ีเราตีความจากเหตุการณ์หรือความคิดท่ีเราคาดการณ์ล่วงหน้า
เช่น ฉันทาข้อสอบไม่ได้ ฉันต้องติด F แน่นอน เป็นการตีความและคาดการณ์ล่วงหน้าลองวิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่
เกิดข้ึนว่าเป็นอย่างไร จากน้ันทาการเปลี่ยนความคิดของตนเองใหม่ โดยใช้ความคิดท่ีเป็นท้ังทางบวกและทางลบ
เช่น ฉันพยายามทาข้อสอบดีที่สุดแล้วผลเป็นอย่างไรฉันก็ยอมรับ หรือบางข้อที่ฉันสามารถทาได้สัดส่วนน่าจะมี
มากกว่าที่ทาไม่ได้ หรือถ้าฉันตดิ F ฉันควรควรวางแผนการลงทะเบียนใหม่โดยฉนั จะพยายามลงเรยี นให้ทนั ในช่วง
ซัมเมอร์เพ่อื ไมใ่ ห้เสยี เวลา
3.4 เทคนคิ การผอ่ นคลาย เปน็ การปรับเปล่ียนอารมณ์ความร้สู ึกในทางลบใหผ้ ่อน-คลาย
ลง สามารถทาได้หลากหลายวธิ ีการคือ การทาสมาธิ การดหู นงั ฟังเพลง ปลูกตนไม้ ทากจิ กรรมจติ สาธารณะ อา่ น
หนังสือ นั่งจิบกาแฟ ไปเท่ียวตามธรรมชาติ เพ่ือช่วยให้ความกังวล ความเศร้า เสียใจทวีมากขึ้นหรือหมกมุ่น
จนเกนิ ไป
จากท่ีกล่าวมาข้างต้นเกิดจากการควบคุมตนเองซึ่งต้องฝึกสติรับรู้การกระทาการแสดงออกของตน ฝึกสติ
รับรู้ความคิดของตนเอง รวมถึงอารมณ์ของตนเองว่าเป็นอย่างไร เพ่ือให้เรารู้ตนเองว่าเรากาลังคิดอะไร รู้สึก
อยา่ งไร และกาลงั ทาอะไร
นอกจากน้ี พษิ ฐา พงษ์ประดิษฐ (2559 : 15) กลา่ ววา่ การฝกึ ฝนตนเองเพือ่ การควบคุมตนเองนั้นสามารถ
ทาได้ดงั น้ี
1. ฝกึ ส่ัง คอื การฝึกวา่ จะทาและไม่ทาสิ่งใด
2. ฝกึ มองบวก คอื การพยายามฝกึ ให้ตนเองเปลย่ี นมุมมองหรือวิธคี ิดของตนให้ส่ิงต่างๆ เปน็ สิ่งที่
ทา้ ทาย
3. ฝึกผ่อนคลาย คือ เมื่อประสบปัญหาและหากยังไม่สามารถผ่านพ้นปัญหาน้ันไปได้ ต้อง
พยายามหาทางผ่อนคลายใหส้ มองและร่างกายผ่อนคลายลงหรอื อาจจะลดทอนให้ความกดดันลดลง
110
4. เทคนิคทาตามแบบอย่าง โดยเฉพาะตัวแบบนั้นต้องมีอิทธิพลต่อตัวเรา เช่น เป็นบุคคลที่มี
ชื่อเสียง มีลักษณะคล้ายกับเราหรือส่ิงเราสนใจ แต่สิ่งสาคัญคือพ่อแม่ที่เป็นผู้เล้ียงดูและผู้ใกล้ชิดที่จะคอยเป็น
ตัวแบบให้กับเรา
5. การใช้กิจกรรมกลุ่มในการพัฒนาตน เน่ืองจากกิจกรรมกลุ่มจะช่วยให้เราสามารถตอบสนอง
ความต้องการพื้นฐานของสมาชิกในกลุ่มได้ เช่น การยอมรับ การยกย่อง การเคารพซ่ึงกันและกัน กิจกรรมจะช่วย
ใหพ้ ัฒนาอารมณ์และสังคมของสมาชิกทาใหเ้ กดิ ความเห็นอกเห็นใจ ยอมรับซง่ึ กันและกนั และเรียนรู้การใหก้ ารรับ
ซ่ึงทาได้โดย ฝึกพฤติกรรมท่ีเหมาะสมในการแสดงออก บางคนไม่กล้าแสดงออกเป็นคนขาดความมั่นใจอาจจะ
เปลีย่ นพฤตกิ รรมจากการไม่กล้าแสดงออกให้แสดงออาอยา่ งเหมาะสม เปดิ เผย ตรงไปตรงมา
5. การสรา้ งโปรแกรมการพัฒนาตน
เรียม ศรีทอง. 2542 : 206 (อา้ งถงึ ใน ธัญญภสั ร์ ศิรธชราโรจน,์ 2559 : 211) ได้อธบิ ายถงึ การสรา้ งระบบ
การปรบั ปรุงตนเองโดยมี 3 องคป์ ระกอบ ดงั นี้
องคป์ ระกอบที่ 1 คือ การเตรียมดาเนนิ การ เปน็ การปรับความเชือ่ ความคดิ ให้ชัดเจนและครบถว้ นก่อนลง
มือกระทา โดยมกี ารเตรยี มการดังน้ี
1. ทบทวนและยอมรบั แนวคดิ ความเช่ือเก่ียวกับการพฒั นาตน
2. สารวจและนาเสนอผลการสารวจพิจารณาตนเองดา้ นตา่ งๆ
3. วเิ คราะห์และสรปุ ผลการวิเคราะหล์ ักษณะพฤตกิ รรมหรือบุคลกิ ภาพท่ตี ้องการพฒั นา
4. กาหนดพฤติกรรมเป้าหมายท่ีชดั เจน
5. เลือกวิธีการหรือเทคนิคในกรปรับปรุงและพัฒนาตนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความ
ตอ้ งการหรอื พฤตกิ รรมเปา้ หมาย
6. กาหนดแผนการปรับปรุงพัฒนาตนภายใต้เวลา สถานการณ์และเง่ือนไขตา่ งๆใหส้ อดคล้องกัน
ก่อนลงมอื ปฏิบตั ิ
องค์ประกอบท่ี 2 กระบวนการพัฒนาตน คือ ทดลองปรบั ปรุงและพัฒนาตนตามแผนเม่ือทดลองไประยะ
หนึ่ง ผู้ทดลองก็ควรจะทดลองสังเกตตนเองเป็นระยะว่าตนเองเป็นอย่างไร มีอะไรท่ีควรปรับปรุงเพ่ิมเติมทาการ
วเิ คราะห์เปน็ ระยะๆ จนกระท่ังโปรแกรมเสรจ็ สิน้ จงึ ทาการวเิ คราะหค์ รั้งสดุ ทา้ ย
องค์ประกอบที่ 3 คือ ผลการพัฒนาตนเอง หรือผลสาเร็จจากการพัฒนาตนเองซ่ึงพฤติกรรมเป้าหมาย
เป็นไปตามท่ีคาดหวัง หรือพฤติกรรมที่แสดงออกเหมาะสมมากข้ึนอาจจะเป็นทั้งพฤติกรรมภายในหรือพฤติกรรม
ภายนอกก็ได้ สามารถควบคุมตนเองให้เป็นไปตามเป้ามายบรหิ ารตนเองให้ได้ตามท่ีต้องการและสามารถดารงชีวิต
อยูไ่ ดอ้ ย่างมีความสขุ
6. การพฒั นาชีวิตเพือ่ อยูใ่ นสังคมอย่างมคี วามสขุ
การพัฒนาชีวิตให้มีความสุขน้ันต้องสร้างความงอกงามให้กับชีวิตทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และ
สตปิ ญั ญาเพื่อใหส้ มดลุ กันการพัฒนาชวี ิตจึงควรพัฒนาดงั ต่อไปน้ี
6.1 การพัฒนาบคุ ลกิ ภาพเพ่ือการพัฒนาตน
111
บุคคลท่ีมีบุคลิกภาพดี กริยาวาจาอ่อนหวานน่ารักย่อมสามารถสร้างความประทับใจกับผู้พบเห็น รวมทั้ง
ดึงดูดใจสร้างความช่ืนชมกับกับบุคคลอ่ืนส่งผลกับความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและความร่วมมือในทุกด้านจาก
บุคคลที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย บุคลิกภาพเป็นลักษณะตัวของบุคคลท่ีแสดงออกมาซึ่งมีทั้งบุคลิกภาพภายนอกได้แก่
ใบหน้าทรงผม การแต่งกายและบุคลิกภาพภายในอันได้แก่ นิสัย อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก (พิษฐา พงษ์ -
ประดิษฐ์ และปฤณัต นัจนฤตย์, 2559 : 63) อย่างไรก็ตามบุคลิกภาพถึงแม้จะเป็นลักษะเฉพาะบุคคลแต่สามารถ
พัฒนาตนเองเพ่ือเสริมสร้างบุคลกิ ภาพทด่ี ไี ด้ ถึงแม้ไม่มีสูตรตายตัวแตส่ ามารถมแี นวทางในการพฒั นาตนเองใหเ้ ป็น
ผู้มีบุคลิกภาพดไี ด้
พิษฐา พงษป์ ระดษิ ฐ์ และปฤณตั นัจนฤตย์ (2559 : 66) กลา่ วว่า การพัฒนาบุคลกิ ภาพมขี ัน้ ตอนดงั นี้
1. การสารวจตนเอง ซ่ึงเป็นการพิจารณาว่าตนเองมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้อง
สรา้ งความเข้าใจในตนเองกอ่ นว่าตนเองเป็นเช่นไร
2. ค้นหาวิธีการปรับปรุงบุคลิกภาพที่เหมาะสมกับเรา เมื่อเรารู้ว่าเรามีจุดเด่นจุดด้อยทาง
บคุ ลิกภาพอะไรบ้างเรากเ็ ลอื กพัฒนาบคุ ลิกภาพท่ีเปน็ จดุ ดอ้ ยหรือจดุ ที่เราตอ้ งการพัฒนาโดยหาเทคนิควธิ ีการต่างๆ
มาช่วยในการปรบั ปรุง
3. ทดลองปฏิบัติเพ่ือเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองดูดี เป็นขั้นตอนท่ีนาวิธีการปรับปรุงมาทดลองปฏิบัติ
จรงิ เช่น เมื่อเรารวู้ ่าเราเดินหลังคอ่ ม เรารวู้ ิธีการตอ้ งพยายามบังคบั ตนเองใหเ้ ดินหลงั ตรงเรากน็ าวิธีการดงั กล่าวมา
ใช้ในการทดลองจริง หรือจะใช้วิธีการโดยใช้สายรัดเอวบังคับให้หลังตรงเราก็ต้องปฏิบัติตามเทคนิควิธีท่ีเราจะ
นามาใช้
4. การประเมินผล เป็นการประเมินพฤติกรรมหรือลักษณะท่ีเราต้องการเปล่ียนแปลงว่า
เปลี่ยนแปลงมาน้อยเพียงไร ซึ่งถ้าวิธีการท่ีเรานามาใช้ไม่ได้ผลเราก็สามารถหาเทคนิคใหม่มาใช้ในการพัฒนาได้ดี
ตามกระบวนการดงั นี้
สารวจ
ตนเอง
ประเมินผล การพฒั นา คน้ หา
บคุ ลิกภาพ วธิ ีการ
ทดลอง
ภาพประกอบที่ 1 กระบวนการพัฒนาบุคลกิ ภาพ
112
6.2 การพฒั นาตนเพื่อสง่ เสริมมนษุ ยสัมพันธก์ ับผอู้ นื่
มนุษยสัมพันธ์เป็นเร่ืองความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งจะเป็นตัวบุคคลหรือสังคมก็ได้ การดารงชีวิตที่มี
คุณภาพน้ันมนุษยสัมพันธ์เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลเพราะมนุษยสัมพันธ์จะช่วยส่งเสริมคุณภาพของบุคลทั้งชีวิต
ส่วนตัวชีวิตทางานและในสังคม (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2554 : 211) การสร้างมนุษย์สัมพันธ์สามารถ
ดาเนินการได้ทุกช่วงวัยทุกเพศเพราะสัมพันธภาพที่ดีจะช่วยให้สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างบุคคลซ่ึงมีผลต่อการ
ดารงชวี ติ ในการสรา้ งมนุษยสมั พนั ธ์สามารถดาเนนิ การไดด้ ังน้ี
1. ขั้นแรกเป็นขั้นการสารวจตนเอง คือต้องสารวจตนเองว่าเรามีสิ่งใดบกพร่อง ต้องเข้าใจตนเอง
ก่อนว่าตนเองเปน็ บคุ คลเช่นไร
2. จากนั้นทาความเข้าใจบคุ คลอื่น ยอมรับความแตกตา่ งของบคุ คลอน่ื เขา้ ใจงานท่ีจะทารว่ ม กับ
ผอู้ ื่นเพอ่ื ทีจ่ ะพรอ้ มปรับตัวใหเ้ ข้ากบั งานและผู้อืน่ โดยอาศยั ความสัมพันธ์อนั ดี
3. ข้ันนี้เป็นการผูกมิตร เป็นขั้นที่บุคคลต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน โดยที่บุคคลท่ีจะสร้าง
สัมพันธ์อันดีกับบุคลอ่ืนได้ต้องเปน็ บุคคลทมี่ ีจิตใจดี มีเมตตา อารมณ์ดีบคุ ลิกภาพดี มคี วามรู้ ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นผู้
เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่ดูถูกบุคคลอื่น มองเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อืน่ ฯลฯ โดยเฉพาะการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
เป็นสิ่งสาคัญในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งต้องอาศัยเทคนิคการเปิดใจรับฟัง เพื่อจะได้เข้าถึงความรู้สึกที่แท้จริง
ของเขา จับความรู้สึกไว รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร ต้องรู้จักเป็นนักสังเกต สังเกตพฤติกรรมของคนอ่ืนว่า
พฤติกรรมเขาเป็นอย่างไร ต่นื เตน้ ดีใจหรือประหมา่ ดูเจตนาของผู้อื่นวา่ เขากระทาเพราะมีเจตนาอย่างไร บางทีการ
กระทาอาจไม่ตรงกับความคิดความรู้สึกของบุคคลนั้น เช่น การท่ีเขาต้องการให้คนอ่ืนสนใจบางคนอาจเรียกร้อง
ด้วยการทาตัวให้ตนเองเด่นตั้งใจทางาน ขยันอดทน แต่บางคนก็ใช้วิธีการแสดงความก้าวร้าวออกมาถ้าเราเข้า
ใจความแตกต่างโดยการดูเจตนาของเขาเราก็จะเข้าใจผู้อ่ืนมากยิ่งขึ้น ให้เข้าใจว่าทุกพฤติกรรมที่แสดงออกมาย่อม
มีสาเหตุ
4. ใช้เทคนิคการสนทนาเพอื่ ติดตอ่ สอ่ื สารกับบุคคลอ่ืน การสนทนาเป็นการเปิดความสมั พนั ธ์ อัน
ดีกับบุคคลอ่ืน ซ่ึงต้องรู้จักเร่ิมต้นสนทนาที่ทาให้คู่สนทนารู้สึกดีและสบายใจ สนุกสนานและพอใจท่ีจะสนทนากับ
เราข้ันนี้เราใช้เทคนิคการยิ้มร่วมด้วยก็จะช่วยใหก้ ารสนทนาราบรื่นเพราะการสนทนาด้วยใบหน้าย้ิมแย้มแจม่ ใสจะ
ช่วยให้คสู่ นทนาผอ่ นคลาย
อย่างไรก็ตามการสร้างสัมพันธ์ภาพกับผู้อ่ืนมีหลากหลายวิธีท่ี ไม่ได้กล่าวถึงแต่สิ่งสาคัญคือหากเรารู้จัก
ตัวเองว่าเป็นบุคคลเช่นเพ่ือให้เราอยู่ในสังคมได้การพัฒนาตนเองเรื่องมนุษยสัมพันธ์มีความจาเป็นอย่างย่ิงสาหรับ
การพัฒนาชีวิตให้มีความสุขเพราะจากงานวิจัยของวาสนา พัฒนานนท์ชัย (2553) ได้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อ
แรงจูงใจในการปฏิบตั ิงานของพนักงานสานกั งานทรพั ย์สินส่วนพระองค์ พบว่า ความสัมพนั ธ์กับเพ่ือนร่วมงานเป็น
ปัจจยั คา้ จนุ ทม่ี คี ะแนนอยู่ในระดับมาก
6.3 การพัฒนาตนด้านการทางานรว่ มกบั ผูอ้ ่นื
การพัฒนาตนตนด้านการทางานร่วมกับผู้อื่นน้ันมีความสาคัญเนื่องจากการทางานเป็นทีมจะช่วยเพ่ิม
ความสมบูรณ์ของงาน เพิ่มความรอบคอบในการตัดสินใจรวมถึงเป็นการระดมความคิดกันหาแง่มุมท่ีเป็นปัญหา
รอบด้านเพ่ือจะได้หาทางหนีทีไล่ได้ถูกต้อง การทางานเป็นทีมจะช่วยลดเวลาในการทางานรวมถึงงานท่ีได้จะมี
113
ประสิทธิภาพมากกว่าการทาคนเดียว และเกิดความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จากการท่ีทางานกับคนท่ีมี
ความสามารถแตกต่างกันออกไป โดยเทคนิคที่จะช่วยให้การทางานราบร่ืน คือ ต้องมีการจัดประชุมกลุ่มเพื่อ
วางแผนและกาหนดหน้าที่บทบาท การติดตามงาน การอภิปรายกลุ่ม จะช่วยให้สมาชิกได้พูดคุยกัน แลกเปล่ียน
ความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน อาจแก้ปัญหาหรือพัฒนางานให้ดีย่ิงขึ้นได้ การลงคะแนนเสียง เป็นการเลือกความ
คิดเห็นเพื่อสรุปมติจากคะแนนเสียงส่วนใหญ่เพื่อขจดั ความคิดเห็นทขี่ ัดแย้งกนั เทคนิคต่างๆ ท่ีกลา่ วมาจาเป็นต้อง
มีบทบาทหน้าท่ีเพ่อื ให้การดาเนินงานเป็นไปด้วยเรียบรอ้ ย ดงั นั้นการทางานร่วมกับผู้อน่ื จึงเป็นไปได้ว่าเรามีโอกาส
ท่จี ะเปน็ ผู้นาและผ้ตู าม ดังนนั้ การพัฒนาการทางานรว่ มกับผ้อู ื่นให้มปี ระสิทธิภาพการพัฒนาตนจงึ มุ่งเนน้ เรื่องของ
ความเป็นผู้นาผตู้ าม โดยมีวิธกี ารพัฒนาดงั นี้
การพัฒนาตนเพื่อเป็นผู้นาผู้ตามท่ีดี มีแนวทางในการดาเนินการสามารถดาเนินการเป็นขั้นตอนดังน้ี
(ธัญญภสั ร์ ศริ ธัชนราโรจน์, 2559 : 311-312)
ข้ันที่ 1 ตระหนักในความสาคัญและความจาเป็นว่าตนเองจะต้องมีการพัฒนาเปล่ียนแปลงเพื่อ
ตนเอง เพ่อื งาน จงึ ต้องเริ่มจากจติ ใจและความคดิ กอ่ น
ขั้นท่ี 2 เปน็ การศึกษาทฤษฎีวธิ ีการท่ีจะเป็นผู้นาหรือผู้ตามทด่ี ี รวมทั้งตัวอยา่ งการเป็นผู้นาและผู้
ตามแบบตา่ งๆ
ขั้นที่ 3 วิเคราะห์ตนเองว่ามีความเป็นผู้นาหรือผู้ตามมากน้อยเพียงไร ลักษณะใดท่ีไม่เหมาะสม
และลกั ษณะใดท่คี วรพฒั นาปรับปรุง
ข้นั ที่ 4 วางแผนและปฏิบตั ิตามคุณลักษณะผนู้ าผู้ตามท่ดี ี โดยการปรับเปล่ียนทีละอย่างค่อยเป็น
ค่อยไป
ข้ันท่ี 5 ประเมินตนเอง โดยการประเมินเป็นระยะ และเม่ือประสบความสาเร็จแล้วก็พัฒนา
ลักษณะอ่นื ต่อไป แตล่ กั ษณะเดิมที่พัฒนาแล้วต้องไมท่ ิง้ ทาให้เปน็ กิจวัตรประจาวัน
7. การพัฒนาความคิดเพ่อื สรา้ งความสขุ
การคิดเป็นผลมาจากกระบวนการทางานของสมองและเป็นพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนภายในที่เราไม่สามารถ
มองเห็น ลักขณา สรวิ ัฒน์.(2549:7) กลา่ ววา่ การคิด หมายถึง พฤติกรรมภายในสมองที่อยใู่ นลักษณะหรือรูปแบบ
ของการปฏิบัติการทางสมองทีเ่ ป็นกระบวนการแห่งการคิด ซ่ึงการคิดเปน็ สงิ่ ทสี่ าคัญเปน็ อย่างยง่ิ เพราะการคิดชว่ ย
ให้มนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต มีชีวิตอยู่รอดและสามารถทาได้ตามแรงปรารถนา โดยเฉพาะเม่ือเทคโนโลยี
เข้ามามีอิทธิในชีวิตของเราการคิดก็ย่ิงมีความสาคัญกับเรามากย่ิงข้ึน การพัฒนาการคิดจึงเปรียบเหมือนเป็นการ
พฒั นาตนเองอยตู่ ลอดเวลา โดยเฉพาะการคิดข้นั สงู ได้แก่ การคดิ วิจารณญาณ และการคดิ สร้างสรรค์ทบ่ี ุคคลต้อง
ร้จู ักพัฒนาตนเองในการคิดทั้งสองสว่ นนี้ โดยจะต้องสร้างเป็นนิสัยเพ่ือใหเ้ ป็นส่วนหนึ่งในชีวติ ประจาวันของเรา ซ่ึง
มีรายเอยี ดดงั นี้
7.1 การสร้างนิสัยการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ คือ การใช้ความคิดในการ
วิเคราะห์ สังเคราะห์และแก้ปัญหา โดยยึดหลักการคิดอย่างมีเหตุผลจากข้อมูลท่ีเป็นจริงมากกว่าอารมณ์ โดย
องค์ประกอบของการคิดวิจารณญาณประกอบไปด้วย ความสามารถ (Ability) และลักษณะของการคิดอย่างมี
วิจารณญาณ (Disposition) (ลักขณา สริวัฒน์, 2549 : 89) ในการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีลักษณะการคิด
วจิ ารณญาณที่ดนี ้ันจาเปน็ ตอ้ งอาศยั พ้นื ฐาน ดงั ตอ่ ไปน้ี
114
1. รจู้ ักต้งั คาถามหรือค้นหาข้อมูลที่ผา่ นมา
2. ต้องรูจ้ กั ค้นหาเหตุผล
3. รจู้ ักแสดงออกอย่างมเี หตผุ ล
4. รจู้ ักอ้างอิงจากแหล่งขอ้ มูลที่เชื่อถือได้
5. หมัน่ สรา้ งความเข้าใจเก่ยี วกับเรื่องราวหรอื สถานการณป์ ัญหา
6. รูจ้ กั เปดิ ใจกวา้ งรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่นื หรือพิจารณาความคิดเหน็ ของคนอื่น
7. ตัดสนิ ใจดว้ ยการใชข้ อ้ มลู มากกว่าอารมณ์ โดยมีเหตุผลเพียงพอ
8. รู้จกั สร้างทางเลือกหลายทางและยอมรบั ทางเลอื กทเี่ ราตัดสินใจเลือกแลว้
9. มีความไวต่อความร้สู ึกของผู้อื่น
10. ฝึกคน้ หาข้อมลู จากหลายแหลง่ ขอ้ มลู เพ่ือนามาประกอบการตดั สินใจ
7.2 การสร้างนิสัยการคิดสรา้ งสรรค์ การคิดสรา้ งสามารถพฒั นาได้โดยเปดิ ใจกว้าง ให้เวลาฟักความคดิ ให้
มีอิสรเสรีในการแสดงออกจากนั้นสร้างบรรยากาศที่เอื้ออานวยต่อการคิดสร้างสรรค์ นอกจากน้ีการสร้างนิสัยให้
เป็นคุณลักษณะของการเป็นนักคิดสร้างสรรค์มีความสาคัญเพราะจะช่วยให้เราเกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ได้จาก
การฝึกให้เปน็ นิสยั โดยมีรายละเอียดดงั น้ี
1. ฝึกให้ตนเองเปน็ คนทีม่ ีความอยากรอู้ ยากเห็นต่อสิ่งตา่ งๆ สนใจใครอ่ ยากรู้
2. เม่อื มสี งิ่ ใหมเ่ กดิ ขึน้ ฝึกใหค้ วามสนใจส่ิงที่เกิดขน้ึ ใหมน่ น้ั แมอ้ าจจะไม่เกย่ี วข้องในชีวิตเรากต็ าม
3. ฝึกใหม้ คี วามสามารถด้านการคิดอยา่ งกว้างขวางและลึกซึ้ง
4. หากข้อมูลหรือไมม่ น่ั ใจตอ้ งไมค่ ล้อยตามความคิดของผูอ้ น่ื
5. ฝึกการคิดให้มคี วามละเอยี ดลออ พนิ จิ พิจารณาส่งิ ตา่ งๆ
6. ฝึกใหต้ นเองสามารถยดื หยนุ่ ความคิดและการแกป้ ญั หาในการทาสิ่งตา่ งๆ อยา่ งเหมาะสม
7. มีความคิดเป็นของตนเองไม่ซ้าแบบใคร คือ มีความเป็นตัวของตัวเองถ้ารู้ว่าความคิดเห็นของ
กล่มุ ไมถ่ กู ตอ้ ง
8. รูจ้ กั ดดั แปลงความคดิ ของตนเองให้เหมาะสม
9. ฝึกให้ตนเองอดทนและมคี วามมุมานะในการทางานโดยไมย่ อมแพ้
10. ฝึกให้ไวต้องปัญหาท่เี กิดขนึ้
11. มใี จท่เี ปิดกวา้ งไมส่ รปุ สิ่งใดง่ายๆ
การคิดมีผลต่อความสุขในชีวิตเราได้อย่างไร การพัฒนาการคิดเป็นส่ิงท่ีเกี่ยวข้องกับความรู้ความสามารถ
ของบุคคลรวมไปถึงเกี่ยวข้องกับความรู้สึก ซึ่งเม่ือเราคิดถึงสิ่งที่มีความหมายกบั เราความคิดนั้นก็จะอยู่ในกับเรา มี
ผลทาให้เกิดความรู้สึกต่อส่ิงนั้น สาหรับคนท่ีคิดเชิงลบหรือไม่มีเป้าหมายให้กับตนเอง เม่ือผิดพลาดก็ส้ินหวัง ไม่
พฒั นาตนเองไมค่ ิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ก็จะทาให้ชีวิตไม่มีคณุ ค่า ไม่มีแรงจูงใจที่จะทาสง่ิ ใหม่ หรือแมก้ ระทั่งคนท่ีไม่
เคยฝึกคิดวิจารณญาณ เม่ือเผชิญปัญหาไม่สามารถแก้ปัญหาหรือยอมรับความผิดพลาดที่เกิดก็จะทาให้ชีวิตเป็น
ทุกข์ เช่น กรณีคนที่ถูกหลอกให้โอนเงินเข้าบัญชี โดยไม่ได้ค้นหาข้อเท็จเม่ือต้องสูญเสียเงินก็ทาให้เกิดความทุกข์
ในขณะทคี่ นที่ฝึกคิดเชิงบวก คิดในส่ิงท่ีดี ยอมรับความคิดเห็นคนอื่น เปิดใจกวา้ ง แม้แก้ปัญหาและพบข้อผิดพลาด
ในการแก้ปัญหาก็ยอมรบั ข้อผิดพลาดนั้น เช่น เวลาที่นาเสนองานเราพยายามตรวจสอบจากแหล่งข้อมูลต่างๆ แต่
115
ยังมีข้อผิดพลาด เรายอมรับและปรับปรุงส่ิงน้ันก็จะทาให้เราไม่เกิดทุกข์ เพราะบางส่ิงไม่อาจควบคุมได้แต่เราสืบ
ค้นหาข้อมูลเต็มที่ในการประกอบการตัดสินใจแล้วเราก็จะยอมรับตรงจุดน้ีได้ ดังน้ัน การคิดจึงมีผลต่อความทุกข์
ความสุขของคนในสังคม
8. การพัฒนาตนเองในยุคศตวรรษท่ี 21
การเปลี่ยนแปลงท่ีรวดเร็วในสังคมปัจจุบันทาให้บุคคลในสังคมต้องเผชิญกับการแข่งขันท้ังเร่ืองการเรียน
การทางาน ชีวิตประจาวัน รวมไปถึงข้อมูลข่าวสารที่มีอย่างมากหมายซ่ึงมีอิทธิต่อวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน ทาให้
การพัฒนาตนเองในสังคมยุคปัจจุบันต้องเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (Learning Persons) คือ เป็นบุคคลที่มีคุณ
ลกั ษะนิสัยใฝ่รูใ้ ฝเ่ รียนมีพฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกถงึ ความกระตอื รือร้นสนใจเสาะแสวงหาความรู้อยู่เสมอ
จิราภรณ์ พรหมหลวง (2559 : 66) กล่าวว่า บุคคลแห่งการเรียนรู้ หมายถึง บุคคลท่ีเรียนรู้ท่ีจะพัฒนา
ตนเองในทุกๆ ดา้ น ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคม ด้านสติปัญญาบนพื้นฐานความกระตือรือร้น
ความพยายามและมีแรงจูงใจใฝ่หาความรู้ตลอดเวลา เนื่องจากการพัฒนาตนเองในศตวรรษนี้เป็นส่ิงที่มี
ความสาคัญอยา่ งยิ่งท่ีเราจะประสบความสาเร็จต้องมคี วามมุ่งมนั่ และต้ังใจไมค่ ิดว่าตนเองไม่สามารถทาได้ บางคร้ัง
เราต้องยอมรับในข้อด้อยและปรับปรุงตนเองในโลกปัจจบุ ันเมื่อมคี วามแตกต่างจากยุคอดีตเราจึงต้องปรบั ตัวให้เขา
กบั ยุคนี้ การเรยี นร้ตู ลอดชวี ติ เปน็ รากฐานสาคัญของศตวรรษท่ี 21 ซง่ึ ไดแ้ ก่
1. การเรียนเพ่อื รู้ (Learning to Know) คือ เรียนเพ่อื นาไปใชใ้ นการประสบการณ์เพอ่ื สรา้ งสรรค์
ส่ิงใหม่
2. การเรียนรู้เพื่อการปฏิบัติ (Learning to Do) คือ เน้นการปฏิบัติการจริง ลงมือกระทา คิด
ปฏิบัติ แกป้ ญั หาในสถานการณจ์ รงิ
3. การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม (Learning to Live Together) เป็นทักษะที่สมาชิกทุกคน
ตอ้ งเรียนรคู้ วามสมั พนั ธ์ ความเกย่ี วข้อง การพ่งึ พาอาศยั ซ่ึงกนั ละกนั
4. การเรียนรู้เพื่อชีวิต (Learning to Be) เป็นการเรียนรู้ท่ีจะปรับตัวเข้ากับสังคมเรียนรู้
สง่ิ แวดลอ้ มใหมถ่ ูกต้อง เหมาะสมเพื่อชีวิตทม่ี ีความสขุ
หลกั การพฒั นาตนใหเ้ ปน็ บคุ คลแหง่ การเรียนรู้
1. ต้องพฒั นาตนเองให้เป็นคนที่มบี ุคลกิ ภาพวอ่ งไวกระฉบั กระเฉง ต้องแสวงหาความรใู้ หม่ๆ ต้อง
รู้ต้องดูข่าวท่มี กี ารเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเรว็
2. ต้องพัฒนาทักษะพ้ืนฐานในการเรียนรู้ เช่น การฟัง การอ่าน การถาม การคิด การเขียน และ
ลงมือปฏบิ ตั ิ
3. ต้องพัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว
การพัฒนาทักษะด้านนเี้ ปน็ การร้เู ท่าทันการเปลีย่ นแปลงของสิ่งต่างๆ ไม่วา่ จะเปน็ ทักษะการคดิ สรา้ งสรรค์ การคิด
วพิ ากษ์ การคิดวิเคราะห์ มุ่งเนน้ ความรู้ความสามารถและแก้ปัญหาเตรียมพร้อมสาหรบั การออกไปสู่สังคมแหง่ การ
ทางาน
4. ต้องพัฒนาทักษะด้านสารสนเทศ ส่ือและเทคโนโลยี การรับข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันท่ีมีมาก
ล้นและจานวนมาก สื่อเทคโนโลยีเข้าถึงง่ายปฏิเสธไม่ได้ว่าในชีวิตประจาวันมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องหลายๆ
116
ด้าน การพัฒนาด้านนี้จึงต้องศึกษาและฝึกการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้รู้เท่าทันรวมถึงสามารถวิเคราะห์ได้ว่าข้อมูลที่
ไดร้ ับมีข้อดขี ้อเสียและแนวโน้มสถานการณอ์ ย่างไร
5. การพัฒนาทักษะด้านชีวิตและอาชีพ เป็นการเน้นความสามารถท่ียืดหยุ่นปรับตัวเข้ากับการ
เปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้นึ มีความสามารถในการเป็นผู้นา รู้จกั แก้ปญั หาและประสานงานได้ดี
6. การพัฒนาทักษะทางปัญญา คือ ใฝ่รแู้ สวงหาประสบการณ์ หาความรู้มวี ิจารณญาณ ตัดสนิ ใจ
และแกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ ได้ดี ช่างสังเกตเขา้ ใจธรรมชาตขิ องมนุษย์
7. การพัฒนาทักษะทางด้านการสื่อสาร โดยเฉพาะภาษาสากล เช่น ภาษาอังกฤษ เนื่องจาก
ปัจจุบนั เป็นการสอื่ สารทไี่ ร้พรมแดนการมีความรดู้ า้ นภาษาจะช่วยให้ติดต่อสื่อสารกบั บคุ คลตา่ งชาติได้ง่าย
การพฒั นาสิง่ เหล่านีไ้ ด้น้ันต้องทาเป็นประจาจนเคยชินแล้วเปน็ นสิ ัยอาจจะต้องสรา้ งแรงจงู ใจให้กับตนเอง
ในการพัฒนาและตระหนักเห็นคุณค่าว่าการเรียนรู้ทุกอย่างเป็นสิ่งจาเป็น พยายามเข้าถึงข้อมูลต่างๆ เพ่ือเป็น
ปจั จัยสนับสนนุ ให้บคุ คลมคี วามสนใจใฝร่ ู้ใฝเ่ รียนอยเู่ สมอ (จริ าภรณ์ พรหมหลวง, 2559 : 63-72)
9. สรปุ
การพัฒนาตน (Self-Development) หมายถึง กระบวนการที่เปล่ียนแปลงบุคคลในทิศทางที่ดีโดยอาศัย
เทคนิคต่างๆ ในการพฒั นา ซึ่งมีประโยชน์และมีความสาคัญต่อตัวผู้พัฒนาสังคมและประเทศชาติ เป้าหมายในการ
พัฒนาเน้นเรื่องร่างกายและจิตใจโดยท่ีจะต้องเกิดความสุขและความสาเร็จในชีวิต ซึ่งแนวคิดที่เก่ียวข้องกับการ
พัฒนาตนมีหลายแนวคิด เช่น ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม เน้นเร่ืองการเสริมแรง การปรับพฤติกรรม
ส่วนของโรเจอร์ เนน้ เร่ืองความเข้าใจความคิดรวบรวมยอดทม่ี ีต่อตนเอง (Self concept) นอกจากน้ียังมีหลักพทุ ธ
ศาสนาที่อธิบายเกี่ยวกับการพัฒนาตน ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองของ หลักสิกขา ภาวนา ฯลฯ ซึ่งมุ่งเน้นพัฒนาการกระทา
มากกว่าวัตถุ และในกระบวนการพัฒนาตนน้ันมีหลายวิธีซึ่งหากใชว้ ิธีการตามหลักวิยาศาสตร์ ประกอบด้วย ขั้นท่ี
1 การสร้างทัศนคติที่ดีตอ่ ตนเอง ข้ันที่ 2 ตระหนกั ถึงความจาเปน็ ในการพัฒนา ขั้นที่ 3 สารวจพจิ ารณาตนเอง ข้ัน
ที่ 4 วิเคราะห์จุดเด่น จุดบกพร่อง ข้ันท่ี 5 กาหนดปัญหาและพฤติกรรม ขั้นที่ 6 รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ขั้นท่ี 7
เลอื กเทคนคิ วิธีการและวางแผนในการพัฒนาตน ขน้ั ท่ี 8 ขน้ั ทดลองและปรับปรุงพัฒนา ขน้ั ที่ 9 ประเมนิ และขยาย
ผล โดยอาศัยกิจกรรมและเทคนิคต่างๆ เช่น การควบคุมตนเอง การควบคุมสิ่งเร้า การใช้กิจกรรมกลุ่ม การใช้ตัว
แบบ ฯลฯ โดยสร้างโปรแกรมการพัฒนาตน และอาศัย องค์ประกอบ ดังนี้ คือ องค์ประกอบที่ 1 การเตรียม
ดาเนินการ องค์ประกอบที่ 2 การทดลองปรับปรุงตามแผน องค์ประกอบที่ 3 ผลการพัฒนาตนเอง ในการพัฒนา
ตนเองเพื่อให้ชีวิตมีความสุขผู้พัฒนาต้องพัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนามนุษยสัมพันธ์ พัฒนาการทางานร่วมกับผู้อ่ืน
พฒั นาการคิด พฒั นาใหเ้ ปน็ บุคคลแหง่ การเรยี นรซู้ ่ึงเปน็ สง่ิ สาคญั ในศตวรรษท่ี 21
117
บรรณานกุ รม
จันทรเ์ พญ็ ภโู สภา. (2559). จิตวทิ ยาการแนะแนวสาหรับครู. (พมิ พ์ครง้ั ท่ี 3). มหาสารคาม: ตักสิลาการพมิ พ์.
_____________. (2559). ทฤษฎีการให้คาปรึกษา. มหาสารคาม : ตกั สิลาการพมิ พ์.
_____________. (2559). ปญั ญาภายใน (Inner wisdom). มหาสารคาม : ตักศิลาการพิมพ.์
จารณุ ี วงศ์ละคร. (2548). ปรชั ญาเบ้ีองตน้ . (พมิ พ์คร้งั ที่ 3). เชยี งใหม่ : บี.เอส.ดี การพิมพ์.
____________. (2550). ปรัชญากรีก : ฐานคดิ สาคัญของตะวันตก. (พิมพค์ รง้ั ท่ี 3). เชียงใหม่ : เวียงบัวการ
พิมพ.์
____________. (2555). แนวคิดเรื่องความสขุ ในผญาภาษติ . เชียงใหม่ : สาขาวชิ าปรชั ญาและศาสนา คณะ
มนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่
จฑุ าทพิ ย์ อุมะวชิ นี (บรรณาธกิ าร). (2545). สหวิทยการมนุษยศ์ าสตร์ : มติ ิแหง่ มนุษย.์ (พิมพ์ครั้งท่ี 3).
กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ฉลอง พันธจ์ ันทร์. (2551). ความรู้พ้นื ฐานเก่ียวกับศาสนา. (พิมพ์คร้งั ที่ 2). กาฬสนิ ธ์ุ : ประสานการพมิ พ.์
แซนเดลิ , ไมเคลิ . (2554). ความยตุ ธิ รรม แปลจาก Justice : What’s the Right Thing to Do? โดย สฤณี
อาชวนันทกลุ . กรงุ เทพฯ : โอเพน่ เวิลดส์ .
ณฐั วุฒิ เผา่ ทวี. (2559). How Happiness Works and Why We Behave the Way We Do ความสุข
ทางานยงั ไง. กรงุ เทพฯ : แซลมอน.
__________. (2561). The Happiness manual : พฤติกรรมความสุข. กรุงเทพฯ : แซลมอน.
ตรรี ณ พงศ์มฆพัฒน.์ (2554). การพัฒนาความสุขสาหรับสังคมสมัยใหม.่ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรงุ เทพฯ : สรา้ งสรรค์
บ๊คุ ส์.
ทนิ พนั ธุ์ นาคะตะ. (2557). คุณธรรม จรยิ ธรรมกบั ศลี ธรรม: จากมมุ มองของปรัชญา. กรงุ เทพฯ : คบไฟ.
ธญั ญภสั ร์ ศริ ธัชนราโรจน์. (2559). จติ วทิ ยากับการพัฒนาตน. กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
ธีรโชติ เกดิ แกว้ . (2549, พฤษภาคม-สงิ หาคม). ดชั นีช้วี ัดความสขุ ตามทัศนะของพระพุทธศาสนา. วารสารพุทธ
ศาสนศ์ กึ ษา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 13(2). 88-100.
___________. (2553) พทุ ธปรัชญา : มติ กิ ารมองโลกและชีวติ ตามความเป็นจริง. สมุทรปราการ : โครงการ
สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั หวั เฉยี วเฉลิมพระเกยี รติ.
ธเนศ วงศ์ยานนาวา. (2560). On Happiness : ว่าดว้ ยความสุข. กรุงเทพฯ : สมมต.ิ
นอ้ ย พงษ์สนทิ . (2528). ปรัชญาจีน. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
นิศาชล ลีรัตนากร. (2555, กันยายน-ธันวาคม). ปฏทิ รรศน์แห่งความสุข : Paradox of Happiness. วารสาร
มหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม (มนษุ ยศาสตร์-สงั คมศาสตร)์ . 6(3). 43-53
บรรจง บินกาซนั . (2547). สารานุกรมอสิ ลาม สาหรับเยาวชนและผูเ้ รมิ่ สนใจ. กรุงเทพฯ : อัล อะมีน.
บุญมัน่ ธนาศุภวัฒน์. (2537). จติ วิทยาองค์การ. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
ประทุม อังกรู โรหติ . (2556). ปรชั ญาปฏิบัตินิยม : รากฐานปรชั ญาการศึกษาในสังคมประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ
: สานกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
118
ประยงค์ อ่อนตา. (2555, มกราคม–ธันวาคม). กาเนิดและองค์ประกอบชวี ติ มนุษยต์ ามนัยแห่งพุทธศาสนา.
วารสารมนุษยศ์ าสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎบา้ นสมเดจ็ เจ้าพระยา. 6(1).
30-41.
ประเวศ วะสี. (2547). ธรรมชาติของสรรพส่งิ : การเข้าถึงความจรงิ ทง้ั หมด. กรุงเทพฯ : มูลนธิ สิ ดศรี- สฤษดิ์
วงศ.์
ปรชี า ชา้ งขวัญยนื . (2549). ปรชั ญากับวถิ ชี ีวติ . กรงุ เทพฯ : สานกั งานคณะกรรมการอุดมศกึ ษา.
ปรชี า ช้างขวัญยืน และสมภาร พรมทา. (2552). มนุษยก์ ับศาสนา. (พิมพ์ครงั้ ท่ี 4). คณะอกั ษรศาสตร์
จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ปานทพิ ย์ ประเสริฐสขุ . (2535). ปรชั ญาตะวันตกสมัยกลาง. (พมิ พ์ครั้งท่ี 2). กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั
รามคาแหง.
พกลุ พฒั นด์ ิลก แองเกอร์. (2554). วิถแี ห่งอภิปรชั ญาและญาณปรัชญาส่กู ารศึกษาจริยศาสตร.์ (พิมพ์ครัง้ ที่ 3).
ปทุมธานี : มหาวิทยาลัยกรงุ เทพ.
พระครูธรรมธร ครรชติ คุณวโร. (2553). การพัฒนาความสุขในพุทธธรรม. ความสขุ กับการเปล่ียนแปลงขั้น
พ้ืนฐานของมนุษย์ : รวมบทความการประชุมวิชาการประจาปจี ติ ปัญญาศึกษา คร้งั ท่ี 3. กรงุ เทพฯ :
โครงการศูนย์จติ ตปัญญาศึกษา มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล.
พระธรรมโกศาจารย์. (ประยรู ธมฺมจิตโฺ ต). (2552). ปรัชญากรกี บ่อเกดิ ภูมิปัญญาตะวนั ตก. (พมิ พ์ครง้ั ท่ี 7).
กรุงเทพฯ : ศยาม.
พระมหานิยม อสิ ิวโส (หาญสิงห์). (2545). การศกึ ษาเปรียบเทยี บแนวคิดเรื่องความสุขในทฤษฎีจริยศาสตร์ของ
จอหน์ สจ๊วต มิลล์กับพุทธจริยศาสตร์. วิทยานิพนธ์พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาปรัชญา
มหาวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
พระสรุ ยิ ญั ชูชว่ ย. (2548). การแสวงหาความสุขและคุณค่าของชีวิต การศกึ ษาทศั นะกลุม่ คนตา่ งวัยใน
กรุงเทพมหานคร. วทิ ยานิพนธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาจรยิ ศาสตรศ์ กึ ษา มหาวทิ ยาลยั มหิดล.
พษิ ฐา พงษป์ ระดษิ ฐ และปฤณตั นจั นฤตย.์ (2559). เอกสารประกอบการสอนรายวิชาศลิ ปะการดารงชีวติ .
โครงการความรว่ มมอื ทางวชิ ารระหว่างกรมปกครองท้องถิน่ กบั มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต.
ฟรงิ เคลิ , วกิ เตอร์ อ.ี (2558). ชวี ติ ไมไ่ รค้ วามหมาย. แปลจาก Man's Search for Meaning. โดย นพมาส แวว
หงส.์ กรงุ เทพฯ : แพรว.
ฟ้ืน ดอกบวั . (2555). ปวงปรัชญาจีน. (พิมพ์ครั้งท่ี 4). กรงุ เทพฯ : ศยาม.
ภัทรพร สริ ิกาญจน. (2520). บทบาทของเหตุผลในงานเขียนของคา้ นท.์ วทิ ยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑติ
สาขาวชิ าปรชั ญา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ภรู ทิ ตั สิงหเสม. (2556). จิตวทิ ยาในชีวติ ประจาวัน. สงขลา : นาศลิ ปโ์ ฆษณา.
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั มหาสารคาม คณะครุศาสตร์ สาขาจิตวทิ ยา. (2559). พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ บั การพัฒนาตน.
มหาสารคาม : โรงพมิ พ์ประสานการพิมพ์.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2544). การแนะแนวกับคณุ ภาพชีวิต. (พมิ พค์ รั้งท่ี 9). นนทบรุ ี :
มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช.
119
มาลณิ ี จุโฑปะมา. (2554). จติ วิทยาการปรับตัว. โครงการจดั ทาตาราและงานวิจยั เฉลมิ พระเกียรติ 84 พรรษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวทิ ยาลัยราชภฎั บุรีรมั ย์.
ราชบัณฑติ ยสถาน. (2548). พจนานกุ รมศัพท์ปรัชญา องั กฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พมิ พ์คร้ังที่ 4).
กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน.
_____________. (2552). พจนานกุ รมศพั ท์ศาสนาสากล ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน. (พิมพ์คร้ังท่ี 3). กรุงเทพฯ :
ราชบณั ฑิตยสถาน.
รกิ าร,์ มาตเิ ยอ. (2552). ความสุข คู่มอื พัฒนาทักษะชีวิตทส่ี าคญั ทีส่ ุด. แปลจาก Happiness : A guide to
developing life’s most important skill. โดย สดใส ขันตวิ รพงศ์. (พมิ พ์คร้งั ท่ี 2). กรงุ เทพฯ : สวนเงิน
มีมา.
รุง่ ฟ้า ล้อมในเมือง และคณะ. (2559). พฤตกิ รรมมนุษย์กับการพัฒนาตน. มหาสารคาม : ภาควิชาจิตวิทยาและ
การแนะแนว คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั มหาสารคาม.
เรียม ศรีทอง. (2542). พฤติกรรมมนษุ ยก์ บั การพัฒนา : ศาสตรแ์ ห่งการพฒั นาชวี ิตและสงั คม. โครงการตารา
วชิ าการราชภัฎเฉลมิ พระเกยี รติเนอื่ งในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวทรงพระเจรญิ พระชนพรรษา
6 รอบ. กรงุ เทพฯ : เสมาธรรม.
เลยาร์ด, ริชาร์ด. (2550). ความสุข :หลากหลายขอ้ คน้ พบของศาสตรใ์ หม่แหง่ ความสุข. แปลจาก Happiness :
Lessons from a New Science โดย รักดี โชตจิ ินดา และเจรญิ เกยี รติ ธนสุขถาวร. กรงุ เทพฯ : สวน
เงนิ มมี า.
วทิ ย์ วิศทเวทย.์ (2549). จริยศาสตร์เบ้อี งตน้ : มนษุ ยก์ ับปญั หาจรยิ ธรรม. กรุงเทพฯ : อักษรเจรญิ ทัศน์.
___________. (2543). ปรัชญาทว่ั ไป : มนษุ ย์ โลก และความหมายของชวี ติ . (พมิ พ์ครั้งที่ 16). กรุงเทพฯ :
อกั ษรเจริญทัศน์.
วินิรณี ทศั นเทพ. (2549). พฤตกิ รรมมนษุ ยก์ ับการพัฒนาตน. คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั บรุ รี มั ย์.
วิทยา ศกั ยาภนิ นั ท์. (2549). ศาสนาฮินดู. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์
______________. (2545, มกราคม-ธันวาคม). มนษุ ยนิยมในปรัชญามาร์กซ์. วารสารมนุษยศาสตร์. 10(1). 40-
50.
วิโรจน์ อินทนนท์. (2549). ปรัชญาตะวนั ออก. เชยี งใหม่ : ภาควชิ าปรัชญาและศาสนา คณะมนษุ ยศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่.
วอร์เบอร์ตัน, ไนเจล. (2556). ประวตั ิศาสตร์ปรชั ญา ฉบับกะทัดรดั . แปลจาก A Little History of
Philosophy. โดย ปราบดา หยุน่ และรติพร ชัยปยิ ะพร. กรงุ เทพฯ : สานกั หนังสอื ไตฝ้ ่นุ .
ศศิกร ลขิ ติ วงศ์ตรศี รี. (2551). แนวคิดเรอ่ื งชีวติ ของฟรติ จ๊อฟ คาปรา้ . วิทยานพิ นธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาปรัชญา มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่
ศุภมติ ร เขมาลลี ากุล. (2541). ศึกษาเชงิ วจิ ารณ์แนวคดิ เร่ืองยูแดโมเนีย (Eudaimonia) ของอริสโตเติล.
วิทยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าปรัชญา มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่.
สฤณี อาชวานนั ทกุล. (2551). คน(ไม)่ สาคญั . กรุงเทพฯ : โอเพ่นบุ๊คส์.
_______________. (2559). คดิ เขยา่ โลก. กรงุ เทพฯ : สยามปรทิ ศั น์.
สนอง วรอุไร. (2553). พฒั นาจิตเพื่อชีวิตเปน็ สุข. (พิมพ์คร้งั ที่ 8). กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์อมรินทรธ์ รรม.
120
สมเด็จพระญาณสงั วร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (2546). ชวี ิตนนี้ อ้ ยนัก. กรุงเทพฯ : ธนชัย
รงุ่ เรอื งพฒั นา.
สมบรู ณ์ บุญโท และคณะ. (2549). ความจริงของชีวิต. กรุงเทพฯ : คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภฎั พระนคร.
สมภาร พรมทา. (2545). มนษุ ยก์ ับการแสวงหาความจริงและความหมายของชวี ิต. กรงุ เทพฯ : ศยาม.
สมศักดิ์ สีดากลุ ฤทธ์.ิ (2553). พฤตกิ รรมกับการพัฒนาตน. ขอนแกน่ : เพ็ญพริ้นต้ิง.
สันตินา, ปเี ตอร์ เดลลา. (2553). ตน้ ไมแ้ ห่งโพธิ :คาสอนพื้นฐานแห่งพระพุทธศาสนา มหายาน วัชรยาน. แปล
จาก The Tree of Enlightenment. โดย สมหวงั แก้วสฟุ อง. เชียงใหม่ : แมก็ ซ์พร้นิ ต้งิ .
สาขาจิตวทิ ยาและการแนะแนว. (ม.ป.ป). เอกสารประกอบการสอนรายวิชาพฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน.
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฎั มหาสารคาม.
สุจติ รา ออ่ นค้อม. (2545). ปรัชญาเบื้องต้น. (พิมพ์คร้ังท่ี 6). กรงุ เทพฯ : อักษราพิพฒั น.์
____________. (2523). ทรรศนะเร่อื งความสขุ ในพุทธปรชั ญา. วทิ ยานพิ นธ์อักษรศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ า
ปรัชญา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุชา ไอยราพงศ.์ (2542). การพัฒนาตน. คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภฎั สงขลา.
สพุ รรณี ไชยอาพร และคมพล สุวรรณกฏู . (2550, ตุลาคม) การสังเคราะห์ความสุขของมนุษย์ตามแนวคิด
ตะวนั ตก-ตะวันออก เพื่อการพัฒนาดชั นชี ี้วัด. วารสารพัฒนาสงั คม. 9(1). 118-156.
สุรางค์ โคว้ ตระกูล. (2553). จติ วทิ ยาการศกึ ษา. (พิมพค์ ร้ังท่ี 9). กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
สวุ รรณา สถาอานนั ท์. (2533). มนษุ ยทศั นใ์ นปรัชญาตะวันออก. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลยั .
เสถยี ร โพธนิ ันทะ. (2522). เมธตี ะวนั ออก. กรุงเทพฯ : บรรณาคาร.
เสรี พงศพ์ ิศ. (2545). ศาสนาคริสต์. (พมิ พ์คร้ังที่ 3). กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์อสั สมั ชัญ.
เสรี พงศ์พิศ และคนอนื่ ๆ. (2548). คนในทรรศนะพทุ ธศาสนา อิสลาม และคริสตศ์ าสนา. กรงุ เทพฯ : สภาคาธอ-
ลคิ แห่งประเทศไทยเพ่ือการพัฒนา.
_______________. (2560). ปรัชญาทว่ั ไป. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
หลวงพ่อจรญั ฐิตธมฺโม. (2543). พทุ โธโลยี : ปญั ญาในตวั . กรุงเทพฯ : ศาสนาประกาศ.
อดิศักด์ิ ทองบุญ. (2555). ปรชั ญาอินเดยี . (พิมมพ์ครง้ั ที่ 4). กรุงเทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน.
อภญิ วัฒน์ โพธสิ์ าน. (2553). สขุ วิถี : มนษุ ย์ ชีวิต ความสุข. (พมิ พค์ ร้ังท่ี 3). มหาสารคาม : อภชิ าตกิ ารพิมพ.์
อานันท์ กาญจนพันธุ์ และคณะ. (2554). ชนบทกบั เมืองสู่ความอยู่ดีมีสุข. กรงุ เทพฯ : สวนเงินมีมา.
อารยา ปยิ ะกลุ และคณะ. (2556). จติ วิทยาในลีลาชวี ติ ยุคใหม่. (พิมพ์ครั้งที่ 4). มหาสารคาม : สานกั ศกึ ษา
ทัว่ ไป.
อบิ ราเฮ็ม ณรงคร์ ักษาเขต. (2551). ปรชั ญาการศึกษาอสิ ลาม. สงขลา : ภาควชิ าอิสลามศึกษา วทิ ยาลัยอสิ ลาม
ศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
Christopher, K. Germer and Round D. Siesel. (2012). Wisdom and Compassion in
Psychotherapy : Deepening Mindfulness in Clinical Practice. New York : s.n.
121
Durant, Will. (1999). The Story of Philosophy. New York : Simon & Schuster.
Hondenrich, T (Ed.) (1995).The Oxford companion to philosophy. New York : Oxford University
Press.
Huta , V,& Haweley, L.(2010) Psychological strengths and cognitive vulnerabilities : Are they
two ends of the same continumm or do they have independent relationships
with well-being and ill-being? Journal of Happiness Studies.
Lyubomirsky, S., Diener , E., & King, L. (2005). The benefits of frequent positive affect : Does
happiness lead to success? Psychological Bulletin.
Seligman, M.E.P (2002). Authentic happiness. New York : Free Press.
Seligman, M.E.P.,& Csikszentmihalyi,M. (2000). Positive Psychology : An introduction. Amarican
Psychologist. 55, 5-14.
Sheldon, K. M. , & Kasser , T. (2001). Getting older, getter better : Personal strivings and
psychological maturity across the life spen. Developmental Psychology.
Titus, Harold H. (1970). Living Issue in Philosophy. Fifth Edition. New York : D. Van Nostrand
Company.
William C. Compton and Edward Hoffman. (2005). Positive Psychology : The Science of
Happiness and Flourishing, Second edition.
122