เรอ่ื ง ความสาคญั ของรัฐ ค
คำนำ
รายงานเล่มนี้ จัดทาขึ้น เพ่ือเป็นส่วนหน่ึง ของรายวิชา หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันทางการเมือง
(SO 2108) ได้จดั ทาข้ึนโดยมีจดุ ม่งุ หมาย เพอ่ื เป็นความรู้ใน เร่อื ง ความสาคัญของรัฐธรรมนูญ ซ่ึงเป็นวิชาแกน
หลักของหลักสตู รรัฐศาสตรบัณฑติ สาขาวิชาการปกครอง ตามหลักสตู รในระดับปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัย
มหามกุฏราชวิทยาลัย
เพื่อเป็นความรู้ในการเรียน ของรายวิชา หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันทางการเมือง ซึ่งครอบคลุม
ในหลายประเด็น ในมิติทางด้านรัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง อาทิ ท่ีมา กาเนิด หลักการ ความหมาย
แนวคิด สาระสาคญั ” มีเนอื้ หาเก่ียวกบั “รัฐธรรมนูญ” และรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 20 ปี พ.ศ. 2560 ของรัฐบาล
(พลเอกประยุทธ์ จนั ทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนท่ี 29 ของประเทศไทย)
ในการจัดทารายงาน เล่มนี้ข้ึนในคร้ังน้ี คณะผู้จัดทาต้องขอกราบขอบพระคุณและขอขอบคุณ
บูรพาจารย์ผู้เป็นเจ้าของ บทความ หนังสือ และเอกสารต่าง ๆ ซึ่งมีคุณค่าควรแก่การศึกษาท่ีอ้างอิงไว้ใน
เอกสารอ้างอิงท้ายบท ขอขอบคุณ สถาบันพระปกเกล้า ราชกิจจานุเบกษา คณะครูอาจารย์ และ เว็บไซต์
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี เว็บไซต์ บ้านจอมยุทธ เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา และเว็บไซต์ต่าง ที่ให้ข้อมูลและ
ความรู้ และเป็นต้นแบบต้นฉบับเน้ือหาข้อมูลต่างๆ ซึ่งทางคณะผู้จัดทาได้นาเนื้อหาบางส่วนมาเรียบเรียง
เพ่ิมเติมให้สมบรูณ์ยิ่งขึ้น และคณะผู้จัดทาหวังว่ารายงานเล่มนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน
ผทู้ ่ีจะนาไปศึกษา และนักศึกษานิสิตทุก ๆ ท่าน ที่กาลังจะศึกษาหาความรู้ในเร่ืองนี้อยู่ หากมีข้อแนะนาหรือ
มขี อ้ ผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดทาขอนอ้ มรับไว้ และขออภัยมา ณ ทน่ี ้ีด้วย
คณะผู้จดั ทา
สามเณรภรี พงษ์ กรมสร้อย
วันท่ี 10 กรกฎาคม 2565
สำรบญั เรือ่ ง ความสาคญั ของรัฐ ง
คำนำ หนำ้
สำรบญั
สำรบัญภำพ ก
ข
รฐั ธรรมนูญ
ค
รัฐธรรมนูญ คอื อะไร
โครงสรา้ งของรัฐธรรมนญู 1
สาระสาคัญของรัฐธรรมนญู 1
ความสาคญั ของรฐั ธรรมนูญ 2
ประเภทของรัฐธรรมนญู 3
เหตผุ ลความจาเป็นของการมรี ฐั ธรรมนูญ
รฐั ธรรมนญู ฉบับแรกของโลก 6
รัฐธรรมนญู ในประเทศไทย 10
ธรรมนญู การปกครองและรฐั ธรรมนญู 11
รัฐธรรมนูญไทย 12
วนั ที่ระลกึ ของรฐั ธรรมนูญไทย 12
สรปุ ความสาคญั ของรฐั ธรรมนญู 14
โครงสรา้ งของรฐั ธรรมนญู ฉบับท่ี 20 ปี พ.ศ. 2560 14
รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบับท่ี 20 ปี พ.ศ. 2560) 18
จบประกาศราชกิจจานเุ บกษา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 19
20
อำ้ งองิ 22
112
113
สำรบัญภำพ เร่อื ง ความสาคญั ของรฐั จ
ภาพที่ 1 รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ไทย หนำ้
ภาพที่ 2 โครงสร้างองคก์ รตามรฐั ธรรมนูญ
ภาพท่ี 3 ยกมือหาประชามติ รัฐธรรมนญู ในสภา 1
ภาพที่ 4 เมอื งดุสิตธานี 3
ภาพที่ 5 พระมหากษตั รยิ ท์ รงลงพระปรมาภิไธย 9
ภาพที่ 6 รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย ปี 2560 13
21
112
เร่อื ง ความสาคญั ของรฐั ฉ
เรื่อง ความสาคัญของรัฐธรรมนูญ 7
รฐั ธรรมนญู (Constitution)
รัฐธรรมนูญคืออะไร
เราคงรูจ้ กั “รัฐธรรมนูญ” ในฐานะท่เี ป็นเอกสารทางกฎหมายอย่างหน่ึง ซึ่งนานาอารยประเทศมักจะ
มีไว้ อาจจะเป็นสิ่งท่ีแสดงถึงความมีอารยธรรมของประเทศ หรือแสดงถึงรูปแบบการปกครองของประเทศ
สิทธเิ สรีภาพของประชาชนว่ามีลักษณะอยา่ งไร เป็นต้น
อย่างไรก็ดหี ากจะกล่าวถึง ความหมาย หรือประเด็นท่ีว่ารัฐธรรมนูญ คืออะไรน้ัน อาจกล่าวให้เข้าใจ
ง่าย ๆ ได้ว่า รัฐธรรมนูญ คือ ระเบียบกฎเกณฑ์ทางการปกครองที่ใช้เป็นบรรทัดฐานให้ผู้อยู่ใต้อานาจรัฐ
ต้องยึดถอื และปฏบิ ตั ิตามอยา่ งเครง่ ครัด และมสี ถานะเป็นกฎหมายสงู สดุ ท่ีใช้ในการปกครองประเทศ กล่าวคือ
รัฐธรรมนญู จะอยเู่ หนอื กฎหมายทง้ั ปวงไมม่ ีกฎหมาย หรือระเบียบกฎเกณฑ์ใดที่จะอยู่เหนือกว่ารัฐธรรมนูญได้
กาเนิดของกฎหมายต่าง ๆ จะต้องอาศัยอานาจจากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเป็นหลักอ้างอิงในการบัญญัติ
ข้ึนมา จึงได้มีการกล่าวว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแม้บทของกฎหมายท้ังปวง การปกครองที่ปราศจาก
รัฐธรรมนูญก็เท่ากับว่าปราศจากหลักเกณฑ์ที่จะใช้อ้างอิงเพ่ือสร้างความชอบธรรมในการใช้อานาจ สังคม
อาจเกิดความสับสนไม่เป็นระเบียบ กลไกการบริหารการปกครองก็จะไม่สามารถเกิดขึ้น หรือดาเนินการได้
โดยเฉพาะอย่างย่ิงในประเทศที่ยึดถือกฎหมายเป็นหลักในการปกครอง หรือที่เรียกว่าปกครองโดยใช้หลัก
“นิติรัฐ” หรือ “นิติธรรม” ท่ีจะยึดม่ันในเรื่องความถูกต้องความชอบธรรมในการใช้อานาจ มีการกาหนด
ขอบเขตการใช้อานาจของรัฐท่ีจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน หลักนิติรัฐ หรือ หลักนิติธรรม
จะให้ความสาคญั กบั การเคารพสทิ ธิเสรภี าพของประชาชน ซงึ่ ตอ้ งมีความยุติธรรมอย่างเท่าเทียมกัน รัฐจะต้อง
ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนกฎหมายจะเป็นเครื่องมือสาคัญในการตัดสินช้ีขาด หรือกาหนดขอบเขต
การกระทาของฝา่ ยตา่ งๆ ซึ่งหลกั
ดังกล่าวน้ี สอดคล้องกับประเทศทีม่ กี ารปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยเปน็ อย่างย่ิง รัฐธรรมนูญจึงมี
ความสาคัญในการให้ความคุมครอง สร้างความชอบธรรมให้กับทุกฝ่ายของสังคม ดังนั้นจึงอาจกล่าวสรุปเป็น
ประเด็นได้วา่ รฐั ธรรมนูญ คือ
๑. กฎหมายสูงสดุ ทใ่ี ชใ้ นการปกครองประเทศ
๒. ต้นกาเนิดในการบญั ญัตกิ ฎหมายอ่นื
๓. กรอบแนวทางกว่าง ๆ ในการบรหิ ารและการปกครองประเทศ
ภาพท่ี 1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย
เรอ่ื ง ความสาคญั ของรฐั ธรรมนญู 8
โครงสรำ้ งของรฐั ธรรมนูญ
รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550 วางโครงสร้างการปกครองประเทศไทย ไว้ดังนี้
1) รปู แบบของรัฐและระบอบกำรปกครอง
รัฐ หมายถึง ชุมชนทางการเมืองที่ประกอบด้วย ประชากร ซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนอันมีอาณาเขตที่
แน่นอนและอยู่ภายใต้รัฐเดียวกัน มีอานาจอธิปไตยเหนือประชากรของรัฐนั้น ทั้งน้ี ตามบทบัญญัติของ
รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยทกุ ฉบับจนถงึ ปจั จบุ นั บัญญตั ิไว้วา่ "ประเทศไทยเป็นรำชอำณำจักรอันหนึ่ง
อันเดียวกัน จะแบ่งแยกมิได้" หมายความว่า ประเทศไทยจะแบ่งแยกออกเป็นรัฐหลายรัฐหรือเป็นไทย
ตอนเหนอื ตอนใตไ้ ม่ได้
ประเทศไทยมกี ารปกครองแบบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีอานาจอธิปไตย
อันเป็นอานาจสงู สดุ ท่มี าจากปวงชนชาวไทยโดยมีพระมหากษัตริย์ ทางเป็นประมุข พระองค์จะทรงใช้อานาจ
อธิปไตยผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล
2) สทิ ธิ เสรีภำพ และหนำ้ ที่
สทิ ธิ เสรีภำพ และหน้ำท่ขี องปวงชนชำวไทยตำมที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น สิทธิในการเลือก
นับถือศาสนา สิทธิในชีวิตร่างกาย และทรัพย์สิน สิทธิส่วนบุคคลในครอบครัว เป็นต้น เสรีภาพและหน้าท่ี
ในการดาเนินกิจกรรมใด ๆ อนั ไม่ขัดตอ่ กฎหมาย เช่น การจดั ตั้งพรรคการเมือง เสียภาษีอากร และการใช้สิทธิ
เลือกต้ัง เปน็ ตน้
3) แนวนโยบำยพน้ื ฐำนแหง่ รฐั
แนวนโยบำยพื้นฐำนของรัฐ เช่น รัฐจะต้องพิทักษ์รักษาไว้ซ่ึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช และ
บูรณภาพแห่งราชอาณาจักร รัฐต้องจักให้มีกองกาลังทหารไว้เพ่ือพิทักษ์รักษาระบอบประชาธิปไตย
อนั มพี ระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมขุ
4) รฐั สภำ
รัฐสภำ ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจานวน 48 คน
ซ่ึงมาจากการเลือกตั้ง 2 แบบ คือ การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกต้ังจานวน 400 คน และการเลือกตั้ง
แบบสัดส่วน จานวน 80 คน ส่วนสมาชิกวุฒิสภามีจานวน 150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด
จังหวัดละ 1 คน รวม 76 คน และมาจากการสรรหาจานวน 74 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิก
วุฒิสภา ไม่ว่าจะได้มาในลักษณะใดก็มีศักดิ์และสิทธิแห่งการเป็นสมาชิกรัฐสภาประเภท นั้น ๆ โดยเสมอกัน
และเทา่ เทยี มกนั ทกุ ประการ
5) พระมหำกษตั ริย์
หลักกำรสำคัญของคณะรำษฎรท่ีได้เปล่ียนแปลงกำรปกครอง เม่ือวันท่ี 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
มไิ ด้มีจุดมุ่งหมายทจี่ ะโคน่ ล้มสถาบนั พระมหากษัตริย์ เพียงแตต่ อ้ งการให้พระมหากษตั รยิ ์อยูภ่ ายใต้รัฐธรรมนูญ
แต่ยงั อยใู่ นฐานะทป่ี วงชนชาวไทยให้การเคารพสักการะเทอญไว้เหนือสิ่งอ่ืนใด ด้วยเหตุน้ีรัฐธรรมนูญของไทย
ทุกฉบบั จนถึงปัจจบุ นั จงึ มีบทบัญญัติเกี่ยวกบั พระมหากษตั ริย์ตลอดมา ดงั น้ี
1. พระมหากษัตริย์ทรงดารงอยู่ในฐานะอันเป็นท่ีเคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิใด
ผ้ใู ดจะฟอ้ งร้องหรือกลา่ วหาพระมหากษัตริยใ์ นทางใด ๆ มไิ ด้
เร่ือง ความสาคญั ของรัฐธรรมนญู 9
2. พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามะกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก คือพระองค์
ทรงนับถือพระพุทธศาสนา และทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนาท่ีชาวไทยนับถือ โดยตามรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 มาตรา 9 ระบุว่า เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงครองราชย์แล้ว
จะทรงเปลี่ยนไปนบั ถอื ศาสนาอ่ืนมไิ ด้
3. พระมหากษัตริย์ทรงดารงตาแหน่งจอมทพั ไทย
4. พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซ่ึงพระราชอานาจท่ีจะสถาปนาฐานันดรศักด์ิและพระราชทาน
เครื่องราชอสิ ริยาภรณ์
5. พระมหากษัตริย์ทรงสามารถมีพระราชวินิจฉัยแต่งตั้งคณะองคมนตรี เพ่ือเป็นท่ีปรึกษา
พระราชกรณียกจิ และหนา้ ทีอ่ ่นื ๆ ตามทร่ี ัฐธรรมนูญกาหนด
สำระสำคญั ของรัฐธรรมนูญ
ภาพท่ี 2 โครงสร้างองคก์ รตามรฐั ธรรมนญู
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เกิดขึ้นบนสถานการณ์ท่ีจะต้องนาพาประเทศไปสู่
การปกครองระบอบประชาธิปไตยท่ี สมบูรณ์ โดยมุ่งที่จะขยายสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ลดการผูกขาด
อานาจรฐั ทาใหก้ ารเมืองมีความโปรง่ ใส และสามารถตรวจสอบได้ สาระสาคัญของรัฐธรรมนูญได้มีการกาหนด
บทบาทหนา้ ทข่ี องแต่ละภาคสว่ นทมี่ สี ่วน ร่วมทางการเมอื งไว้ ดังน้ี
1) ศำล ศาลเป็นองค์กรของผู้ใช้อานาจตุลาการ ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550 กาหนดใหม้ ีศาล 4 ประเภท คอื
เรือ่ ง ความสาคัญของรฐั ธรรมนญู 10
1. ศาลรัฐธรรมนูญ มีอานาจพิจารณา วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายท่ีเกี่ยวกับ
รัฐธรรมนูญ กฎหมายใดหรอื การกระทาใด ๆจะขดั หรือแยง้ กับรัฐธรรมนญู ไม่ได้
2. ศาลยุติธรรม มีอานาจพิพากษาคดีทั่วไปที่ไม่อยู่ในอานาจของศาลอื่น
ศาลยุติธรรมเป็นท่ีพึ่งของประชาชนในกรณีที่เกิดข้อพิพาทกันไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือ
คดีอาญา เพราะเม่ือเกดิ ข้อขดั แย้งกนั ขึ้น คู่พิพาทจะต้องให้ผู้เป็นกลางเป็นคนตัดสินให้ความ
ยุติธรรมท้ังสองฝ่าย ผู้พิพากษาเป็นผู้ทรงไว้ซ่ึงความยุติธรรมและจะเป็นผู้ตัดสินตามตัว
บทกฎหมาย
3. ศาลปกครอง มีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีท่ีเป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยงาน
ของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน หรือระหว่างเจ้าหน้าท่ีของรัฐด้วยกัน ที่ได้รับ
ความเสยี หายจากการกระทาในทางปกครอง
4. ศาลทหาร มีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทหารและคดีอ่ืน ๆ ให้เป็นไป
ตามท่กี ฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งคดีอาญาทหาร หมายถึง คดีอาญาทีผ่ ้กู ระทาความผดิ เปน็ ทหาร
2) คณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีมีหน้าท่ีบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งประกอบไปด้วย
นายกรฐั มนตรี 1 คนและคณะรัฐมนตรอี ีก 35 คน ซงึ่ พระมหากษตั ริยท์ รงแต่งตั้ง โดยสรุปสาระสาคัญ
ได้ดังน้ี
1. นายกรัฐมน ตรี ต้อ งมาจาก สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร โดยประธาน
สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้นาช่ือเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งและ
ประธานสภาลงนามเปน็ ผูส้ นองพระราชโองการ
2. รฐั มนตรี คอื บคุ คลทนี่ ายกรฐั มนตรพี จิ ารณาเลือกให้เข้ามาทางานร่วมกัน เรียกว่า
คณะรฐั มนตรี ซ่งึ จะเปน็ บุคคลใดก็ได้ โดยไมจ่ าเปน็ ตอ้ งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขณะน้ัน
แต่ต้องมีคุณสมบัติตามท่ีกฎหมดกาหนด เช่น มีสัญญาติไทยโดยกาเนิด สาเร็จการศึกษา
ไมต่ า่ กวา่ ปรญิ ญาตรหี รือเทียบเทา่ ไมเ่ ปน็ สมาชิกวฒุ ิสภา เปน็ ตน้
3) องค์กรอสิ ระตำมรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กาหนดให้มี
องค์กรอิสระซึ่งไม่อยใู่ นอานาจของฝา่ ยใดฝา่ ยหนึง่ ไดห้ ลายองค์กร เช่น
1. คณะกรรมการการเลือกตั้ง จัดตั้งข้ึนเพื่อทาหน้าท่ีควบคุมและดาเนินการจัดให้มี
การเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถ่ิน ผู้บริหารท้องถิ่น
รวมทั้งการออกเสียงประชามติให้เป็นไปอย่างสุจริตและเท่ียงธรรม ประกอบด้วยประธาน
กรรมการการเลือกต้ัง 1 คน ปละกรรมการอีก 4 คน ซ่ึงพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ัง
ตามคาแนะนาของวุฒิสภา
2. คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีอานาจหน้าที่
ไต่สวน และสรุปสานวนข้อเท็จจริง พร้อมท้ังทาความเห็นเก่ียวกับการถอดถอนข้าราชการ
ระดบั สงู หรอื นักการเมอื งออกจากตาแหน่ง และการดาเนินคดีทางอาญาของผู้ดารงตาแหน่ง
ทางการเมืองส่งไปยังศาลฎีกาและแผนก คดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง รวมท้ัง
ไตส่ วนวนิ จิ ฉยั กรณเี จ้าหนา้ ท่ขี องรฐั ระดับสูงที่ถกู กล่าวหาว่าร่ารวย ผิดปกติ เปน็ ต้น
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประกอบด้วยประธาน
1 คน และกรรมการอีก 8 คน โดยพระมหากษัตรยิ ท์ รงแตง่ ตั้งตามคาแนะนาของวุฒสิ ภา
เรอ่ื ง ความสาคญั ของรัฐธรรมนญู 11
3. คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน มีอานาจหน้าท่ีกาหนดหลักเกณฑ์มาตรฐาน
เก่ียวกับการตรวจเงินแผ่นดิน ให้คาปรึกษา แนะนา และเสนอแนะให้เกิดการแก้ไข
ขอ้ บกพรอ่ งเก่ียวกับการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ และมอี านาจแตง่ ตงั้ คณะกรรมการวินัยทางการเงิน
และการคลังท่ีเป็นอิสระ ซึ่งประกอบด้วยประธาน 1 คนและกรรมการอีก 6 คน
ซึ่ ง พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ ท า ง แ ต่ ง ตั้ ง จ ก ผู้ มี ค ว า ม ช า น า ญ แ ละ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ด้ า น ก า ร ต ร ว จ
เงนิ แผน่ ดนิ บัญชี ตรวจสอบภายใน การเงนิ การคลัง และอ่นื ๆ ท่เี กีย่ วข้อง
4. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ทาหน้าท่ีพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงกรณีที่
ข้าราชการหรือหน่วยงานของรัฐละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
จนทาให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชน ดาเนินการเก่ียวกับจริยธรรมของ
ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อีกท้ัง รายงานผลการตรวจสอบและ
ผลการปฏิบัติหน้าท่ีพร้อมข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
เป็นประจาทุกปี ผู้ตรวจการแผ่นดินมีจานวนไม่น้อยกว่า 3 คน โดยพระมหากษัตริย์จะทรง
แตง่ ตง้ั ตามคาแนะนาของวฒุ สิ ภาและจากผ้ซู ึง่ เปน็ ทย่ี อมรบั นับถือของประชาชน
5. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีอานาจหน้าท่ีส่งเสริมการเคารพและ
ปฏิบัติตามสิทธิมนุษยชน ตรวจสอบแล้วรายงานการกระทาหรือละเลยการกระทาที่เป็น
การละเมิดสทิ ธมิ นษุ ยชน เสนอมาตรการแก้ไขต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่ทาหน้าท่ีรับผิดชอบ
ดูแลตลอดจนเสนอแนะให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ข้อบังคับต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี
เพ่ือส่งเสริมและคมุ้ ครองสทิ ธมิ นษุ ยชนใหด้ ีขน้ึ
4) ประชำชน ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
ได้กาหนดการมีส่วนรวมทางการเมืองของประชาชนไว้หลายอย่าง เพราะถือว่าประชาชนเป็นผู้
มีสิทธอิ อกเสียงเลือกตั้ง เป็นเจ้าของอานาจอธิปไตย ท่ีมีสิทธิกาหนดทิศทางการเมืองของประเทศไทย
มใิ ชเ่ พียงแค่มีสิทธิออกเสยี งเลือกต้ังสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชกิ วฒุ ิสภาในวันเลือกตั้งเท่านั้น
แต่ประชาชนยังมีสว่ นร่วมทางการเมือง ตามทีร่ ัฐธรรมนูญกาหนดไว้ ดงั น้ี
1. ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จานวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าช่ือร้องขอ
ตอ่ ประธานรัฐสภา เพือ่ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่พวกเขาร่วมเสนอเข้ามา ภายใต้กรอบ
ของรฐั ธรรมนูญ
2. ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ัง จานวนไม่น้อยกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าช่ือร้องขอ
ต่อประธานวุฒิสภา เพ่ือให้มีมติถอดถอนผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง เช่น นายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาล
รัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด หากมีพฤติกรรมร่ารวยผิดปกติ หรือ
ส่อไปในทางทุจริต
3. ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังมีสิทธิออกเสียงประชามติ ในกรณีที่มีการให้ออกเสียง
ประชามติ เพ่ือแสดงความเห็นชอบ หรือไมเ่ หน็ ชอบตอ่ ปัญหาท่เี กดิ ขึน้
ควำมสำคญั ของรัฐธรรมนูญ
เร่อื ง ความสาคญั ของรฐั ธรรมนญู 12
รัฐธรรมนูญนับว่ามีความสาคัญต่อประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่มี
ไว้รับรองสิทธิเสรีภาพ ผลประโยชน์ประชาชนและเป็นกฎหมายที่บัญญัติข้ึนเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
ผลประโยชน์ของประชาชนด้วย นอกจากนั้นรัฐธรรมนูญยังกาหนดขอบเขตอานาจหน้าที่ของผู้ปกครอง
ซึ่งเป็นหลักประกันไม่ให้ผู้ปกครองล่วงละเมิดในสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน รัฐธรรมนู ญยังเป็น
เครอ่ื งกาหนดทิศทางในการดาเนินการบริหารประเทศของรัฐบาล ซ่ึงจะทาให้รัฐบาลสามารถที่จะดาเนินงาน
ให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้เพ่ือสนองความต้องการของประชาชน ฉะนั้นจึงพอสรุปประเด็นสาคัญรัฐธรรมนูญ
ไดด้ งั น้ี
มีควำมสำคัญต่อผู้ปกครอง คือ รัฐธรรมนูญจะเป็นหลัก เป็นโครงสร้างการบริหารประเทศ
อันเป็นแนวท่ีจะให้ผู้ปกตรองนั้นได้ยึดเป็นแนวในการบริหารประเทศตามวิธีการ หลักการ นโยบายและ
วัตถปุ ระสงค์ของรัฐธรรมนญู นนั้ ๆ
มีควำมสำคัญต่อประชำชน คือ รัฐธรรมนูญจะมีบทบัญญัติเก่ียวกับการให้สิทธิเสรีภาพมากน้อย
อย่างไร รัฐธรรมนูญจะกาหนดไว้ นอกจากน้ันรัฐธรรมนูญยังจะมีบทบัญญัติออกมาเพื่อป้องกันสิทธิเสรีภาพ
ของประชาชนแต่ละคน มิให้ใครคนอ่ืนมาละเมิดสิทธิที่มีอยู่นั้น รวมไปถึงการป้องกันผลประโยชน์อันจะเกิด
แกป่ ระชาชน ท้ายทส่ี ดุ รัฐธรรมนูญจะมีความสาคัญ มีความดีอยู่มากมาย อย่างไรก็ตามถ้าผู้ปกครองยังนึกถึง
ประโยชนส์ ่วนตัว ประโยชน์ของพรรคพวกอยู่ แม้จะตรากฎหมายรัฐธรรมนูญไว้ดีอย่างไร หาเกิดประโยชน์ไม่
และการมีรฐั ธรรมนูญเป็นเครือ่ งมอื ท่รี ัฐบาลในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยก็มิได้เป็นเครื่องประกัน
ว่า การปกครองจะเป็นประชาธิปไตยตามคาพูด ถ้าผู้ปกครองขาดคุณธรรมและยังเห็นผลประโยชน์ส่วนตน
อยฝู่ ่ายเดียว ฉะนนั้ รฐั ธรรมนญู จะดหี รอื เลวข้ึนอย่กู ับผ้ปู กครองจะเป็นผูก้ าหนดและนามาปฏบิ ตั ิ
กำรแบ่งประเภทของรัฐธรรมนูญ เป็นเร่ืองในทางทฤษฎีมากกว่าอย่างอ่ืน แม้ในทางทฤษฎีเอง
ก็มีความเห็นไม่ลงลอยกัน เพราะ มีเกณฑ์ในการแบ่งมากมายสุดแท้แต่ว่าผู้แบ่งจะถือเอาอะไรเป็นหลักหรือ
เปน็ เกณฑ์ในการแบ่ง ประโยชนใ์ นการแบ่งถ้าจะมกี ็เป็นเรอื่ งในทางเปรียบเทยี บรัฐธรรมนูญมากกวา่ อยา่ งอื่น
กลา่ วคือ ชว่ ยให้ทราบวา่ รฐั ธรรมนญู ของประเทศใดบา้ งทพ่ี อจะจดั เข้ากลุ่มรวมกันได้ ซ่ึงจะเป็นหนทาง
ให้ศกึ ษาต่อไปวา่ ถา้ แตกตา่ งกลุม่ กัน มีเหตุผลใดจงึ เป็นเช่นนัน้ บรรดาประเทศเกิดใหม่หรือประเทศที่เพิ่งได้รับ
เอกราชคิดจะร่างรัฐธรรมนูญข้ึนใหม่จะได้ทราบบทเรียนของประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มประเทศเดียวกันได้รับมา
ก่อนแล้วหากตนจะเอาอย่างเขาก็จะได้ทราบว่าควรอย่างไรแค่ไหนเพียงไร เพราะรัฐธรรมนูญของรัฐท่ีเป็น
รัฐเด่ียวจะลอกเลียนหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญท่ีเป็นรัฐรวมได้ยาก แต่หลักเกณฑ์ข้อนี้ก็มิได้ถือเคร่งครัดนัก
เพราะ เนื้อหาสาระในบางเรอื่ งสามารถที่จะลอกเลยี นได้ (วิษณุ เครอื งาม 2525 : 11)
แต่ถึงอย่างไรก็ตามการท่ีได้มาซ่ึงรัฐธรรมนูญและลักษณะของรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ
ย่อมมคี วามแตกต่างกันไป ตามสาเหตุและประเภทของรฐั ธรรมนญู
สาหรับประเภทของรัฐธรรมนูญ ได้แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 4 ประเภท คือ (อานนท์
อาภาภริ มย์ 2528 ; 58)
1. รัฐธรรมนูญจำรตี ประเพณี (Unwritten Constitution)
2. รฐั ธรรมนญู ลำยลกั ษณอ์ ักษร (Written Constitution)
3. รฐั ธรรมนญู กษตั ริย์และรัฐธรรมนญู สำธำรณรฐั (Monarchical and Republic Constitution)
เรอ่ื ง ความสาคญั ของรฐั ธรรมนญู 13
4. รัฐธรรมนูญรัฐเด่ียวและรัฐธรรมนูญรัฐรวม (Unitary Constitution and Federal
Constitution)
จากประเภทของรัฐธรรมนูญท้ัง 4 ประเภท ท่ีกล่าวมานั้น สามารถที่จะขยายความเพื่อเป็นแนวทาง
ในการศกึ ษา ดงั น้ี
1. รฐั ธรรมนูญจำรีตประเพณี (Unwritten Constitution)
หรือที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญที่มิได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรนี้ ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรก
ที่นารัฐธรรมนูญประเภทนี้มาใช้และก็ใช้อยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ท่ีเรียกกันว่า “กฎหมำยแห่งรัฐธรรมนูญของ
ประเทศอังกฤษ” (Law of Constitution) ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญท่ีมิได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างครบถ้วน
เป็นฉบับเดียวกันโดยเฉพาะ แต่มักจะประกอบด้วยกฎหมายทั้งปวงท่ีได้บัญญัติข้ึนไว้ และคาพิพากษาของ
ศาลยุติธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีตา่ ง ๆ ทใี่ ชใ้ นการจัดระเบยี บการเมอื งการปกครอง
2. รัฐธรรมนูญลำยลักษณอ์ ักษร (Written Constitution)
รัฐธรรมนญู ประเภทน้เี กิดข้ึนภายหลังรฐั ธรรมนูญจารีตประเพณี กล่าวคือ เป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนเป็น
ลายลักษณ์อักษรในเอกสารอย่างชัดเจน มีหลักการบริหารประเทศอย่างครบถ้วน โดยแบ่งบทบัญญัติต่าง ๆ
เป็นหมวดหมู่สะดวกแก่การพิจารณา วิธีการน้ีเกิดข้ึนพร้อมกับระบอบประชาธิปไตย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ประเทศแรกท่ีใช้รัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร โดยได้ประกาศใช้ต้ังแต่ ปี ค.ศ. 1787 กล่าวได้ว่า ปัจจุบัน
ประเทศส่วนใหญ่มีรัฐธรรมนูญแบบลายลักษณ์อักษร ท้ังนี้เป็นผลเน่ืองมาจากความแน่ชัดในบทบัญญัติที่เป็น
ลายลักษณ์อักษร ซ่ึงตรงกันข้ามกับรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีท่ีไม่มีความแน่ชัดเท่า และมีข้อสังเกตว่า
รัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นการรวมกฎหมายสูงสุดไว้เป็นฉบับเดียวกัน ซึ่งโดยท่ัวไปแล้วรัฐธรรมนูญ
ทุกฉบับจะเร่ิมต้นด้วยวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการกินดีอยู่ดี ความยุติธรรม ความสงบสุข ความเจริญก้าวหน้า
ของรัฐ การแบง่ อานาจอธปิ ไตยแยกออกเป็นฝา่ ยบริหาร อานาจนิตบิ ญั ญัติ และอานาจตุลาการ นอกจากน้ีแล้ว
ยังมีหลักเกณฑ์แก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ด้วย เพื่อให้เกิดความเหมาะสมแก่กาลสมัย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ ยุโรปตะวันตก และบางประเทศของลาตินอเมริกา มักได้รับการยกย่องว่า
เป็นประเทศท่ีมีการปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอยู่มาก จึงเรียกกันว่า รัฐบำลโดยรัฐธรรมนูญ
(Constitution Government) ประเทศในกลุ่มอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ก็มีรัฐธรรมนูญ แต่มักไม่ปฏิบัติตาม
บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ บางประเทศผู้ปกครองหรือรัฐบาลปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญน้อยมาก เช่น
ประเทศปารากวัย โคลมั เบีย โดมนิ ิกนั ซาอดุ ิอาระเบีย เป็นตน้
รัฐธรรมนญู ท่เี ป็นลายลักษณ์อักษรน้ี มิได้หมายความว่า จะมีเฉพาะส่วนท่ีเป็นลายลักษณ์อักษรอย่าง
เดียวเท่านั้น แต่อาจจะมีส่วนที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรร่วมอยู่ด้วย กล่าวคือ จะมีธรรมเนียมปฏิบัติทาง
การเมืองทมี่ ิไดเ้ ปน็ ลายลักษณ์อกั ษรที่เปน็ กฎเกณฑ์การปกครองประเทศร่วมอยู่ดว้ ย เชน่ ธรรมเนียมการปฏิบัติ
ท่ีเก่ียวกับเลือกต้ังผู้ดารงตาแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา คือ กระบวนการสรรหาตัวแทนของ
แตล่ ะพรรคการเมอื งท่จี ะมาชิงตาแหนง่ ประธานาธิบดีน้นั กระทากันมาโดยประเพณี และธรรมเนียมปฏิบัติของ
ประธานาธิบดีประเทศฝรั่งเศสซึง่ โดยบทบญั ญตั ิแหง่ รัฐธรรมนญู แลว้ ประธานาธิบดีมีสิทธิยุบสภาได้ เม่ือเห็นว่า
สภาขัดแย้งกันระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติอันจะทาให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติ
แต่ก็ไม่ปรากฏว่าประธานาธิบดีคนไหนของฝร่ังเศสได้ใช้สิทธินั้นยุบสภา อันน้ีก็ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติตาม
ธรรมเนยี มประเพณี
เรือ่ ง ความสาคญั ของรัฐธรรมนูญ 14
3. รัฐธรรมนูญกษัตริย์และรัฐธรรมนูญสำธำรณรัฐ (Monarchical and
Republic Constitution)
การจัดประเภทของรัฐธรรมนูญประเภทน้ีเป็นการจัดโดยยึดถือตาแหน่งแห่งประมุขของรัฐเป็นหลัก
คือ ถา้ ประมุขของรฐั เป็นกษัตริยก์ ็เรยี กวา่ รัฐธรรมนญู กษตั ริย์ แตถ่ า้ ประมุขของรฐั เป็นประธานาธิบดี ก็เรียกว่า
รัฐธรรมนญู สำธำรณรฐั
สาหรบั รฐั ธรรมนูญกษตั ริย์ สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 แบบดังนี้ คือ
1. พระมหำกษัตริย์ทรงมอี ำนำจเด็ดขำด (Absolute Monarchy) คือ พระมหากษัตริย์ทรง
อยู่เหนอื กฎหมาย ถึงแมว้ ่าจะมีรัฐธรรมนูญ มีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารประเทศอยู่ก็ตาม แต่อานาจ
บริหารประเทศที่แท้จริงอยู่กับพระมหากษัตริย์ ประเทศท่ีใช้การปกครองแบบนี้ ได้แก่
ประเทศจอร์แดน และประเทศซาอุดิอาระเบีย บริหารประเทศอยู่กับคณะรัฐมนตรี อานาจนิติบัญญัติ
อยู่ท่ีรัฐสภา และอานาจตุลาการอยู่ศาลยุติธรรม ประเทศท่ีมีรัฐธรรมนูญซึ่งพระมหำกษัตริย์
อย่ภู ำยใต้รฐั ธรรมนูญ ได้แก่ ประเทศองั กฤษ ประเทศสวีเดน ประเทศญีป่ ่นุ และประเทศไทย เปน็ ตน้
อานนท์ อาภาภิรมย์ ไดก้ ลา่ วถึงรฐั ธรรมนูญสาธารณรัฐวา่ ได้แบง่ ออกเป็น 2 แบบ เช่น คือ
1. ประธำนำธิบดีทำหน้ำท่ีเป็นเพียงประมุขของรัฐ รัฐธรรมนูญสาธารณรัฐ
ประเภทนี้กาหนดให้อานาจบริหารอยู่ท่ีคณะรัฐมนตรี อานาจนิติบัญญัติอยู่ท่ีรัฐสภา
อานาจตุลาการจะอยู่ที่ศาลยุติธรรม สาหรับประธานาธิบดีไม่มีอานาจทั้ง 3 แต่ประการใด
ประธานาธบิ ดีเปน็ เพยี งประมุขของรัฐและสัญลักษณ์ของประเทศ เช่น ประเทศอินเดีย และ
ประเทศฝรง่ั เศส เปน็ ต้น
2. ประธำนำธิบดีเป็นท้ังประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ำฝ่ำยบริหำร กล่าวคือ
ประธานาธิบดีดารงตาแหน่งในฐานะประมุขของรัฐและในขณะเดียว กันก็เป็นผู้นาของ
ฝา่ ยบริหารไปด้วย ประเทศท่ใี ชร้ ัฐธรรมนูญแบบน้ี ไดแ้ ก่ ประเทศสหรัฐอเมรกิ า เปน็ ตน้
4. รัฐธรรมนูญรัฐเด่ียวและรัฐธรรมนูญรัฐรวม (Unitary Constitution and
Federal Constitution)
การจัดประเภทของรัฐธรรมนูญประเภทนี้ ได้ยึดถือเอาจากการจัดรูปของรัฐเป็นสาคัญ คือ ถ้ารัฐใด
ท่ีมีการจัดการปกครองโดยมีรัฐบาลกลางเพียงรัฐบาลเดียวมีอานาจสูงสุด ได้แก่ รวมอานาจบริหาร
อานาจนิติบัญญัติ และอานาจตุลาการไว้ในส่วนกลางแห่งเดียว สาหรับในส่วนภูมิภาคต่าง ๆ ก็ได้
จัดส่งเจ้าหน้าที่ส่วนกลางออกไปปฏิบัติจัดทาตามอานาจหน้าที่เท่าท่ีจาเป็น การจัดการปกครองแบบนี้
เรียกว่า เป็นการจัดการปกครองแบบรัฐเดี่ยว และประเทศที่จัดการปกครองแบบน้ี เช่น ประเทศญ่ีปุ่น
ประเทศองั กฤษ ประเทศไทย และประเทศสิงคโปร์ เปน็ ต้น
ส่วนประเทศที่จัดการปกครองท่ีมีรัฐบาล 2 ระดับ คือ มีรัฐบาลกลางท่ีรับผิดชอบหน้าท่ีที่สาคัญ ๆ
ของประเทศ เช่น การรักษาความม่ันคง การเงินการคลังของประเทศ การเศรษฐกิจของประเทศ และกิจการ
ความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ ส่วนรฐั บาลระดบั ท่ี 2 เรียกวา่ รัฐบาลท้องถ่ินซึ่งจะมีอิสระในการบริหารท้องถ่ิน
จากรัฐบาลกลาง ยกเว้นแต่ว่ากิจการใดที่รัฐธรรมนูญได้ให้เป็นอานาจของรัฐบาลกลาง โดยท่ัวไป
รัฐบาลระดับท้องถ่ินจะมีอานาจหน้าที่ในการจัดการบริการ จัดสวัสดิการแก่ประชาชน และจัดการรักษา
ความสะอาดตลอดจนถึงความสงบเรียบร้อยภายในรัฐน้ัน ๆ ประเทศท่ีมีการจัดการปกครองแบบนี้ เรียกว่า
เรอ่ื ง ความสาคัญของรฐั ธรรมนูญ 15
ใช้รัฐธรรมนูญแบบรัฐรวม และในปัจจุบันการจัดการปกครองรูปแบบน้ี เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา
ประเทศอินเดยี ประเทศแคนาดา และประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เปน็ ตน้
นอกจำกกำรแบ่งประเภทของรัฐธรรมนูญ ออกเป็น 4 ประเภท ดังกล่าวแล้วน้ัน ยังมีนักรัฐศาสตร์
ไดจ้ ดั ประเภทของรัฐธรรมนูญออกไปอกี 2 ประเภท คือ เป็นการจัดแบ่งโดยยึดวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้แก่
รฐั ธรรมนญู แก้ไขไดง้ ำ่ ย (Flexible Constitution) และ รฐั ธรรมนูญท่ีแก้ไขไดย้ ำก (Rigid Constitution)
1. รัฐธรรมนูญที่แก้ไขได้ง่ำย คือ รัฐธรรมนูญท่ีมีวิธีแก้ไขเพิ่มเติมเช่นเดียวกับ
กฎหมายธรรมดา ไม่จาเป็นต้องใช้เสียงของสมาชิกรัฐสภาถึงสองในสามหรือสามในสี่ อาจจะมีเสียง
เพยี งก่งึ หนึ่งกส็ ามารถแก้ไขได้ เปน็ ต้น
2. รัฐธรรมนูญที่แก้ไขได้ยำก หรือที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญท่ีมีวิธีการแก้ไขเป็นพิเศษ
(Special Process) คือ รัฐธรรมนูญประเภทน้ี ถ้าหากมีความจาเป็นจะต้องแก้ไขแล้วก็จะกาหนดวิธี
ไว้อย่างเป็นพิเศษ เช่น จะแก้เพ่ิมเติมได้นั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภาจานวน
ไม่นอ้ ยกวา่ สองในสามหรือสามในสี่ หรือจะต้องได้รับความเห็นชอบจากองค์กรอ่ืน ๆ นอกเหนือจาก
รฐั สภา หรือตอ้ งไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากประชาชน โดยวิธกี ารลงประชามติ เปน็ ต้น
ภาพที่ 3 ยกมอื หาประชามติ รฐั ธรรมนญู ในสภา
ประเภทของรฐั ธรรมนูญ
เรอื่ ง ความสาคญั ของรฐั ธรรมนญู 16
รัฐธรรมนูญนั้นสามารถแบ่งแยกประเภทได้ในหลายลักษณะข้ึนอยู่กับหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการ
แบ่งประเภท โดยแบง่ ได้ 4 แบบ
1. แบ่งแยกตำมวธิ กี ำรบัญญัติ แบง่ ได้ 2 ประเภท คอื
รัฐธรรมนูญที่มีลำยลักษณ์อักษร คือ รัฐธรรมนูญท่ีมีบทบัญญัติรวมอยู่ในเอกสารฉบับหน่ึงหรือ
หลายฉบับ กาหนดถึงระเบียบแห่งอานาจสูงสุดในรัฐ และความสัมพันธ์ระหว่างอานาจเช่นว่าน้ีต่อกันและกัน
จะมีความชัดเจนเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ต่างๆ เก่ียวกับการปกครองรัฐ มีความยืดหยุ่นน้อยกว่ารัฐธรรมนูญท่ี
ไมเ่ ปน็ ลายลักษณ์อกั ษร
รัฐธรรมนูญท่ีไม่เป็นลำยลักษณ์อักษร คือ รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือรัฐธรรมนูญ
จารีตประเพณี หมายความถึง ขนบธรรมเนยี ม จารตี ประเพณี คาพพิ ากษาของศาลยตุ ิธรรม กฎหมายทเี่ ก่ียวกับ
กฎเกณฑ์การปกครองประเทศทางดา้ นการเมอื ง ธรรมเนียมปฏิบัติต่าง ๆ ที่ยึดถือติดต่อกันมา รวมกันเข้าเป็น
บทบัญญัติท่ีมีอานาจเป็นกฎหมายสูงสุด กาหนดรูปแบบการปกครองของรัฐ ทั้ง ๆ ท่ีไม่ได้เขียนรวบรวม
ไวเ้ ปน็ รปู เล่ม
2. แบง่ แยกตำมเนื้อหำและตำมแบบพิธี แบง่ ได้ 2 ประเภท คือ
รฐั ธรรมนูญตำมเนื้อหำ คอื รัฐธรรมนูญตามเนอ้ื หา หมายความถึง รฐั ธรรมนูญซ่ึงมีบทบัญญัติบัญญัติ
ถึงข้อความท่ีเป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญโดยตรง โดยไม่ต้องคานึงว่าเรียกช่ือกฎหมายน้ันว่าเป็นรัฐธรรมนูญ
หรือไม่ เช่น Parliament Act 1911 ของสหราชอาณาจักร ซ่ึงรูปแบบและลักษณะของกฎหมายฉบับน้ี
เป็นพระราชบญั ญตั ิ แตแ่ ท้ทจ่ี รงิ แล้วเปน็ รัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญตำมแบบพิธี คือ รัฐธรรมนูญตามแบบพิธี หมายถึง รัฐธรรมนูญซ่ึงได้บัญญัติโดยวิธีการ
บัญญัติรฐั ธรรมนูญ โดยไม่ตอ้ งคานึงถึงว่าเน้อื หาของบทบญั ญัตนิ น้ั เปน็ เรอื่ งของรัฐธรรมนูญหรือไม่
3. แบ่งแยกตำมวธิ กี ำรแกไ้ ข แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
รัฐธรรมนูญที่แก้ไขยำก คือ รัฐธรรมนูญท่ีแก้ไขยาก หมายถึง รัฐธรรมนูญที่การแก้ไขเพิ่มเติม
กระทาไดย้ ากกว่าการบญั ญัติกฎหมายธรรมดา กระบวนการแก้ไขเพ่ิมเตมิ มีความซบั ซ้อนกว่าการแก้ไขเพิ่มเติม
กฎหมายธรรมดา เช่น รฐั ธรรมนญู ของสหรฐั อเมริกา และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย เปน็ ต้น
รัฐธรรมนญู ทแี่ ก้ไขง่ำย คือ รัฐธรรมนญู ทีแ่ กไ้ ขงา่ ย หมายถงึ รฐั ธรรมนูญทีก่ ารแกไ้ ขเพม่ิ เติมกระทาได้
โดยวิธีการเดยี วกับการแก้ไขกฎหมายธรรมดา กล่าวคอื การแกไ้ ขเพ่มิ เติมรฐั ธรรมนูญสามารถกระทาไดโ้ ดยการ
ตราพระราชบัญญัติ เช่น รฐั ธรรมนูญของสหราชอาณาจกั ร อสิ ราเอล และนวิ ซแี ลนด์ เปน็ ตน้
4. แบ่งแยกตำมกำหนดเวลำในกำรบังคบั ใช้ แบง่ ได้ 2 ประเภท คอื
เรอื่ ง ความสาคญั ของรฐั ธรรมนูญ 17
รัฐธรรมนูญฉบบั ชัว่ ครำว คือ รัฐธรรมนูญฉบับช่ัวคราว เป็นรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้เป็นการฉุกเฉิน
หรอื เปน็ การล่วงหน้าในบางสถานการณ์ เชน่ ภายหลังจากที่มกี ารปฏิวตั ิ รฐั ประหาร มักมีข้อความน้อย มาตรา
หรือไม่มบี ทประกนั สิทธเิ สรีภาพของประชาชน
รัฐธรรมนูญฉบับถำวร คือ รัฐธรรมนูญฉบับถาวร เป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างข้ึนให้มีความสมบูรณ์ที่สุด
เพือ่ ให้บงั คบั ใช้ไดต้ ลอดไป
เหตุผลควำมจำเปน็ ของกำรมีรัฐธรรมนญู
นับต้ัง แต่ ประ เทศไทยเปลี่ย นแปลง การ ปก คร อ งจาก ระ บอบสม บูรณาญ าสิทธิร าชม าเป็นร ะบอ บ
ประชาธิปไตย เม่ือวันท่ี ๒๔ มิถุนายนพ.ศ.๒๔๗๕ มีผลทาให้โฉมหน้าการเมืองการปกครองของประเทศไทย
เปลีย่ นไปจากเดมิ ทพ่ี ระมหากษัตริย์มอี านาจสงู สุดเด็ดขาดในการปกครองประเทศ มาเป็นระบอบการปกครอง
ทป่ี ระชาชนเป็นเจา้ ของอานาจการปกครอง หรอื ที่เรียกวา่ อานาจอธปิ ไตย พระมหากษัตริย์จะทรงเป็นที่เคารพ
สูงสุดและทรงใช้อานาจอธิปไตยผ่านทางองค์กรต่างๆ คือ ทรงใช้อานาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา
อานาจบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี และอานาจตุลาการผ่านทางศาล การท่ีรูปแบบการเมืองการปกครอง
เปล่ียนไปทาให้โครงสร้างการใช้อานาจการปกครองต้องเปลี่ยนไปด้วยจึงจาเป็นท่ีจะต้องสร้างกฎเกณฑ์
เพื่อใช้เป็นหลักในการอ้างอิงและการดาเนินกิจกรรมทางการเมืองการปกครอง กฎเกณฑ์ดังกล่าวนี้จะเป็น
ตวั กาหนดลกั ษณะอานาจขอบเขตของอานาจและการใช้อานาจให้กับประชาชน ตลอดจนหน่วยการปกครอง
ต่าง ๆ เพ่ือเป็นการให้ความชอบธรรมแก่ฝ่ายต่างๆ ในการใช้อานาจทางการเมืองตามขอบเขตแห่งสิทธิ และ
หน้าท่ี กฎเกณฑด์ ังกลา่ วนเี้ ปน็ ทที่ ราบและยอมรบั ท่วั กันในสังคม ซ่งึ ถูกเรยี กว่า “รัฐธรรมนญู ”
รัฐธรรมนญู เปน็ เอกสารทางกฎหมายที่แสดงภาพรวมทางด้านการเมืองการปกครองและการบริหาร
ประเทศ ในสว่ นท่เี ปน็ รายละเอยี ดสาคัญ ๆ เช่น รูปแบบการปกครอง แนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ สิทธิหน้าที่
ของประชาชน นิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน เช่น ประชาชนมีสิทธิหน้าที่ต่อรัฐ หรือรัฐมีหน้าที่
ต่อประชาชนอย่างไร เป็นต้น การมีรัฐธรรมนูญก็เพื่อเป็นหลักอ้างอิงในการใช้อานาจบริหารและปกครอง
ประเทศรฐั ธรรมนูญยงั กอ่ ใหเ้ กิดการดาเนินการในเรือ่ งอืน่ ๆ ท่ีจะตามมา เช่น การตรากฎหมายเพื่อการปฏิบัติ
ในเรอื่ งท่ีเกีย่ วกบั ราชการแผน่ ดินและประชาชน ดังนั้น ไม่วา่ ประเทศจะปกครองแบบใดก็ตาม มีความจาเป็นท่ี
จะต้องมีการสรา้ งกฎเกณฑ์เพือ่ เป็นหลกั อ้างองิ การใช้อานาจ ยิ่งในประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย
จะใหค้ วามสาคัญกบั การมรี ัฐธรรมนูญมากเปน็ พเิ ศษ จึงอาจถือได้ว่าจาเป็นที่จะต้องมีรัฐธรรมนูญเพ่ือใช้บังคับ
ในสังคม รัฐธรรมนูญมีรายละเอียดอันเป็นประเด็นท่ีน่าสนใจหลายแง่หลายมุม ในบทความน้ีจะหยิบยก
นาเอาเฉพาะส่วนที่เป็นสาระน่ารู้มานาเสนอให้ทราบ ซึ่งจะเป็นอีกแง่มุมหน่ึงที่อาจจะทาให้ผู้อ่านได้รู้จัก
รัฐธรรมนูญมากข้ึน
รัฐธรรมนญู ฉบบั แรกของโลก
ในวนั ที่ 15 มถิ ุนายน ค.ศ. 1215 ขุนนางและพระราชาคณะจานวน 25 คน ได้บังคับให้พระเจ้าจอห์น
ลงนามในเอกสาร ท่ีเรียกว่า "มหำกฎบัตร" (The Great Charter, Magna Carta) ซ่ึงเป็นสัญญาระหว่าง
เรือ่ ง ความสาคญั ของรฐั ธรรมนญู 18
พระมหำกษัตริย์ กับ ขุนนำงและพระสงฆ์ โดยในมหากฎบัตรได้กาหนด ถึงการจัดองค์กรและการบริหาร
อานาจของ สภาสูง (Magnum Concillium) และกาหนดว่าพระมหากษัตริย์จะเก็บภาษีบางอย่างตามที่
กาหนดไว้โดยมิไดร้ ับความเห็นชอบจากสภาสูงมิได้ จะจับกุมคุมขังบุคคลได้ก็ต่อเม่ือ มีคาพิพากษาที่ชอบด้วย
กฎหมาย มหากฎบัตรนี้ นักกฎหมายบางท่านเหน็ วา่ เป็นรฐั ธรรมนูญฉบบั แรก
รัฐธรรมนูญในสหรัฐอเมริกาและฝร่ังเศส ในภาษาของประเทศทั้งสอง คาว่ารัฐธรรมนูญต่างใช้คาว่า
Constitution ซึ่งแปลว่า กำรสถำปนำ หรือ กำรจัดต้ัง ซ่ึงหมายถึงการสถาปนาหรือจัดตั้งรัฐน่ันเอง
โดยท้ังสองประเทศมีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ประเทศอังกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญเป็น
ลายลกั ษณ์อกั ษร
รัฐธรรมนญู ในประเทศไทย
หลังจากสมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราชเป็นต้นมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยหู่ ัว ประเทศไทยในช่วงสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา กรุงธนบรุ ี หรือกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี ต่างก็มีกฎหมาย
สาคัญหลายฉบับ ซ่ึงอาจจัดได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญประเภทหนึ่ง แต่กฎหมายเหล่าน้ันกระจัดกระจายอยู่ใน
หลายแห่งไม่เป็นหมวดหมู่เรียบร้อย นอกจากนี้กฎหมายดังกล่าวมีลักษณะเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์
การปกครองแผ่นดิน พระราชอานาจในการตรากฎหมาย กฎหมายเกี่ยวกับขุนศาลตระลาการมากกว่า
จะมลี กั ษณะเปน็ รฐั ธรรมนูญตามความเข้าใจในปัจจุบัน คือ ไม่มีบทจากัดพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์
ไว้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สืบเนื่องจากท่ีอังกฤษเข้ายึดเมืองมัณฑะเลย์
ของพม่า เพ่ือป้องกันอันตรายท่ีจะเกิดข้ึนกับสยามประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ อัครราชทูตสยามประจากรุงปารีส ถวายรายงานและ
ความเห็นต่อประเด็นปัญหาน้ี พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ได้เรียกประชุมพระบรมวงศานุวงศ์และ
ข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ในสถานทูตในกรุงลอนดอนและกรุงปารีสเพื่อระดมความเห็น และได้จัดทาคา
กราบบังคมทูล โดยมีเน้ือหาว่า "ประเทศไทยควรเปลี่ยนหลักกำรพ้ืนฐำนของกำรปกครอง
จำกสมบูรณำญำสิทธิรำชย์มำเป็นประชำธิปไตย และระบบคณะรัฐมนตรี คือ รัฐบำลที่ประกอบด้วย
รัฐมนตรีประจำกระทรวงต่ำง ๆ เพ่ือให้รัฐบำลมีประสิทธิภำพในกำรรักษำกฎหมำยให้เกิดควำมสงบ
เรียบร้อย และควรปรับปรุงกฎหมำยบ้ำนเมืองเพื่อให้มีเสรีภำพในกำรแสดงควำมคิดเห็น"
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงคณะผู้จัดทาคากราบบังคมทูลว่า
ทรงขอบพระราชหฤทัย แต่ทรงไม่อาจทาให้ลุล่วงได้ เนอื่ งมาจากความไมพ่ รอ้ มของบุคลากรทีร่ ับภารกจิ
ในรชั สมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดให้มีการตั้งเมืองจาลองดุสิตธานีขึ้น
เพ่ือทดลองเก่ียวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่น ซึ่งเทียบได้กับการปกครองจังหวัด
โดยได้ทรงประกาศใช้ธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาล (ดุสิตธานี) พระพุทธศักราช 2461 ข้ึน
ใชบ้ งั คบั ในเขตจังหวดั ดสุ ิตธานดี ว้ ย
เมืองดสุ ติ ธำนี ทรงสร้างข้ึนเม่ือ วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 บริเวณพระราชวังพญาไท
ดุสิตธานีเป็นเมืองเล็ก ๆ มีเน้ือท่ี 3 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณรอบพระท่ีน่ังอุดร ในพระราชวังดุสิต มีลักษณะ
เป็นเมืองเล็ก ๆ คล้ายเมืองตุ๊กตา มีขนาดพ้ืนที่ 1 ใน 20 เท่าของเมืองจริง ประกอบด้วย
พระราชวัง ศาลารัฐบาล วัดวาอาราม สถานท่ีราชการ โรงทหาร โรงเรียน โรงพยาบาล
ตลาดร้านค้า ธนาคาร โรงละคร ประมาณเกือบสองร้อยหลัง เพ่ือเป็นแบบทดลองของการปกครอง
เรอื่ ง ความสาคญั ของรฐั ธรรมนูญ 19
ระบอบประชาธิปไตย โดยโปรดให้มีพระธรรมนูญการปกครองลักษณะนคราภิบาล ซ่ึงเปรียบ เทียบ
ลักษณะของเมอื ง มีพรรคการเมอื ง 2 พรรค การเลอื งต้งั นคราภิบาล หรือนายกเทศมนตรี (ตาแหน่งน้ี
ปัจจุบันเปรียบได้กับตาแหน่งนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน ) และมีสภาการเมือง (หรือรัฐสภา
ในปัจจบุ นั ) แบบระบอบประชาธปิ ไตย
ต่อมาดุสิตธานี ได้โตขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่มี
ที่จะสร้างบ้านเรือน พอดีกับเวลาที่จะสร้างพระราชฐาน
ใหม่ที่พระราชวังพญาไทจึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้าย
เมืองท้ังเมืองไปตั้งท่ีบริเวณพระราชวังพญาไท เมื่อเดือน
ธันวาคม พ.ศ. 2462 ในจานวนบ้านเล็ก ๆ น้ัน มีศาลา
ว่าการมณฑลดุสิตธานี (ปัจจุบันเทียบเท่ากับศาลากลาง
จังหวัด) และมนี าคาศาลา (เทยี บไดก้ ับศาลากลางหมบู่ ้าน
หรือศาลากลางชุมชน) ซึ่งมีความหมายว่า ศาลาของประชาชน เท่ากับว่าเป็นที่ต้ังสภาจังหวัด รัชกาลที่ 6
ทรงเป็นนาคาแห่งดุสิตธานีผู้หนึ่ง ทรงใช้พระนามแฝงว่า นายราม ณ กรุงเทพ ทรงเป็นทนายและทรงเป็น
มรรคนายกวัดพระบรมธาตุ ทรงเป็นพระราชมุนี เจ้าอาวาสวัดธรรมธิปไตย และทรงแสดงพระธรรมเทศนา
จริง ๆ ด้วย นอกจากนีท้ รงใหค้ าปรกึ ษาเก่ียวกบั กรณีพพิ าทเร่ืองทด่ี นิ
ต่อมาในรชั สมัยของพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
มีพระราชปณิธานอยู่แต่เดิมที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนชาวไทยในวันท่ี 6 เมษายน
พ.ศ. 2475 แต่เมือ่ ถึงเวลาก็มไิ ด้พระราชทานเนอื่ งจากอภิรัฐมนตรีสภากราบบงั คมทูลทัดทานไว้ว่ายังไม่ถึงเวลา
อันสมควร เมือ่ วนั ท่ี 24 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรจึงไดท้ าการปฏิวตั ิเปล่ียนแปลงการปกครองประเทศ
จากระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์เปน็ ระบอบประชาธิปไตย และได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญ
การปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 เม่ือวันท่ี 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ถือเป็นรัฐธรรมนูญ
ฉบับแรกของประเทศไทย ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
ฉบับแรกของประเทศไทย
นับจากวันท่ีมีการเปล่ียนแปลงการปกครอง ประเทศไทยได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้วท้ังส้ิน
20 ฉบับ ฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จานวน 279 มาตรา
ประกาศใช้เมื่อวันท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2560 เป็นฉบับแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้า
เจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี 10)
ธรรมนูญกำรปกครองและรฐั ธรรมนูญ
จากคานิยามและการศึกษาลักษณะรัฐธรรมนูญทุกฉบับสามารถประมวลความหมายของรัฐธรรมนูญ
คือ กฎหมายสูงสุดท่ีจัดระเบียบการปกครองประเทศ หรือกาหนดโครงสร้างในการปกครองประเทศ โดยการ
จัดสรรอานาจอธิปไตยให้เหมาะสมกับสทิ ธหิ น้าทอ่ี ันเป็นพ้นื ฐานความเป็นอยขู่ องประเทศในประเทศน้ัน
เร่อื ง ความสาคญั ของรัฐธรรมนญู 20
นอกจากกฎหมายท่ีใช้ชื่อรัฐธรรมนูญแล้ว ศาสตราจารย์ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้แสดงความเห็นว่า
ข้อความในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคาแหงกรุงสุโขทัยควรถือได้ว่าเป็นปฐมรัฐธรรมนูญของไทย และ
กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสบื ราชสันตติวงศย์ ่อมถือว่าเปน็ กฎหมายรัฐธรรมนูญด้วย
การใชค้ าว่า “รัฐธรรมนญู ” กบั “ธรรมนญู ”
ประเทศไทยเคยใช้คาว่า “รัฐธรรมนูญ” กับ “ธรรมนูญ” สลับกันมา จึงมีข้อน่าสงสัยว่าเมื่อใด
ควรเรยี กว่า “รัฐธรรมนญู ” และเมือ่ ใดควรเรยี กวา่ “ธรรมนญู ” ข้อสงสัยนี้มคี าตอบได้ 2 ประการ คือ
1.จากคาอธิบายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน “ธรรมนูญ” คือ กฎหมายท่ี
จดั ระเบียบองค์กรในระหวา่ งทีย่ งั ไมม่ ีรฐั ธรรมนญู เช่น ธรรมนญู ศาลทหาร พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
เมื่อเทยี บกับคาวา่ “รฐั ธรรมนูญ” ดงั ไดอ้ ้างมาแล้ว มีความแตกต่างท่ีสาคัญ คือ “รัฐธรรมนูญ” เป็น
คาทใ่ี ช้สาหรับกฎหมายที่มีลกั ษณะหรือระดับสูงสดุ สว่ น “ธรรมนญู ” เป็นกฎหมายทวั่ ไปทีจ่ ัดระเบียบ
องคก์ รเท่าน้ัน
2.ประวัตศิ าสตร์การปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมาพบว่า “รัฐธรรมนูญ”
เป็นกฎหมายทปี่ ระสงค์จะใหใ้ ชถ้ าวร ส่วน “ธรรมนูญ” เป็นการบัญญตั ใิ ช้ช่วั คราว
รัฐธรรมนญู ไทย
ต้ังแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ถึงปัจจุบัน พ.ศ.2562 รัฐธรรมนูญไทยมีมาแล้ว 20 ฉบับ
ดังนี้
ฉบับท่ี 1 คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475
ประกาศใช้เม่ือวันที่ 27 มิถุนายน 2475 ถูกยกเลิก เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ด้วยสาเหตุ
ประกาศใชร้ ฐั ธรรมนูญฉบับถาวร
สาระสาคัญ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดยี วที่ใช้คานาหน้าว่า “พระราชบัญญัติ” เหมือนกฎหมาย
สามัญทว่ั ไป
ฉบับท่ี 2 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 10 ธันวาคม 2475 ถูกยกเลิกเม่ือวันท่ี 9 พฤษภาคม 2489 ด้วยสาเหตุประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
แหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2489
สาระสาคัญ เป็นรัฐธรรมนญู ฉบบั ถาวรที่มรี ะยะเวลาใช้บงั คับนานทีส่ ดุ 13 ปี 4 เดือน 29 วัน
ตอ่ มำมีกำรแกไ้ ขเพิม่ เติมรฐั ธรรมนญู 3 คร้ัง คอื
ครั้งที่ 1 แกไ้ ขเพ่มิ เติมว่าดว้ ยนามประเทศ เม่ือวันที่ 6 ตลุ าคม 2482 โดยเปลี่ยนนาม
ประเทศจาก “สยาม” เป็น “ประเทศไทย” และใช้ประเทศไทยต้งั แต่นนั้ มา
คร้ังที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยบทเฉพาะ กาล เมื่อวันท่ี 4 ตุลาคม 2483 ขยายเวลา
จาก 10 ปี เป็น 20 ปี ท่ีกาหนดให้สมาชิกประเภทที่ 2 (แต่งตั้ง) หมดไป เหลือสมาชิก
สภาผู้แทนราษฎรทม่ี าจากการเลอื กตง้ั ประเภทเดยี ว
ครั้งที่ 3 แก้ไขเพ่ิมเติมว่าด้วยการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่
3 ธันวาคม 2485 ขยายเวลา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ออกไปอีกคราวละไม่เกิน 2 ปี
โดยขยายเวลาออกไป 2 คร้ังใน พ.ศ.2485 และ พ.ศ.2487
เรื่อง ความสาคัญของรฐั ธรรมนญู 21
ฉบับท่ี 3 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ประกาศใช้เม่ือวันที่
9 พฤษภาคม 2489 ถูกยกเลิกเม่ือวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ด้วยสาเหตุรัฐประหารโดย
พลโท ผิน ชณุ หะวัณ
สาระสาคัญ รัฐสภาประกอบดว้ ย 2 สภา ไดแ้ ก่ พฤฒสภา และสภาผู้แทนราษฎร รัฐธรรมนูญ
ฉบับน้มี กี ารใชค้ าพฤฒสภาแทนวฒุ สิ ภา เพยี งฉบบั เดียว
ฉบับที่ 4 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับช่ัวคราว) พุทธศักราช 2490
ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 ถูกยกเลิก เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2492 ด้วยสาเหตุ
ประกาศใช้รัฐธรรมนญู ฉบับถาวร
สาระสาคัญ เป็นรฐั ธรรมนูญท่คี ณะรัฐประหารร่างไวล้ ว่ งหน้าโดยเอาตุ่มแดงทับไว้ จึงเรียกว่า
“รฐั ธรรมนญู ใตต้ ุ่ม”
ฉบับท่ี 5 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 ประกาศใช้เม่ือวันท่ี
23 มีนาคม 2492 ถูกยกเลิกเมื่อวันท่ี 29 พฤศจิกายน 2494 ด้วยสาเหตุ พลเอก ผิน ชุณหะวัณ
ยึดอานาจการปกครองคร้ังท่ี 2
สาระสาคัญ ยกรา่ งโดยสภาร่างรฐั ธรรมนูญ รฐั สภาประกอบด้วยวฒุ ิสภากับสภาผู้แทนราษฎร
และมไิ ดก้ าหนดวา่ นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตง้ั
ฉบับท่ี 6 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพ่ิมเติม
พทุ ธศกั ราช 2495 ประกาศใช้เมื่อ 8 มีนาคม 2495 ถูกยกเลิกเม่ือวันท่ี 20 ตุลาคม 2501 ด้วยสาเหตุ
ปฏิวตั ภิ ายใต้การนาของ จอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์
สาระสาคัญ ได้นารฐั ธรรมนญู ฉบับที่ 2 ซึ่งประกาศใช้เมอื่ วนั ท่ี 10 ธันวาคม 2475 มาใช้บังคับ
ไปพลางกอ่ น เพือ่ รา่ งรัฐธรรมนญู ฉบบั ใหม่
ฉบับที่ 7 คือ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ประกาศใช้เม่ือวันที่
28 มกราคม 2502 ถูกยกเลิกเม่ือวันที่ 20 มิถุนายน 2511 ด้วยสาเหตุ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2511
สาระสาคัญ มีการใช้อานาจเด็ดขาดของนายกรัฐมนตรี สั่งประหารชีวิต จาคุก หรือ
ยึดทรัพย์สนิ ตามมาตรา 17 ของรฐั ธรรมนูญฉบบั น้ี
ฉบับท่ี 8 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 ประกาศใช้เมื่อวันท่ี
20 มิถุนายน 2511 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 ด้วยสาเหตุปฏิวัติภายใต้การนาของ
จอมพล ถนอม กติ ติขจร
สาระสาคัญ มีการถ่วงดุลอานาจระหว่างอานาจนิติบัญญัติ และอานาจบริหาร โดย
นายกรัฐมนตรี หรอื รฐั มนตรจี ะเป็นสมาชกิ รัฐสภาในขณะเดียวกันมิได้
ฉบับท่ี 9 คือ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 ประกาศใช้เม่ือวันท่ี
15 ธันวาคม 2515 ถกู ยกเลกิ เม่ือวนั ที่ 7 ตลุ าคม 2517 ด้วยสาเหตปุ ระกาศใช้รฐั ธรรมนูญฉบับใหม่
สาระสาคัญ รัฐสภามีสภาเดียว ได้แก่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และมีการใช้อานาจเด็ดขาด
จนเกิดการเรยี กร้องประชาธปิ ไตย เมอ่ื วันที่ 14 ตลุ าคม 2516
เร่อื ง ความสาคัญของรฐั ธรรมนูญ 22
ฉบับที่ 10 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 ประกาศใช้เม่ือวันท่ี
7 ตุลาคม 2517 ถูกยกเลิกเม่ือวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ด้วยสาเหตุ ยึดอานาจโดยคณะปฏิรูป
การปกครองแผ่นดนิ จากการนาของพลเรือเอก สงดั ชะลออยู่
สาระสาคญั มีการใชค้ าวา่ “ปฏริ ปู กำรปกครองแผน่ ดิน” เป็นครัง้ แรกในการยดึ อานาจ
ฉบับที่ 11 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 ประกาศใช้เม่ือวันท่ี
2 ตุลาคม 2519 ถูกยกเลกิ เมอ่ื วนั ท่ี 20 ตุลาคม 2520 ดว้ ยสาเหตุ ปฏวิ ตั โิ ดยพลเรือเอก สงัด ชะลออยู่
สาระสาคัญ มกี ารยึดอานาจซา้ และรฐั สภามีสภาเดยี ว ไดแ้ ก่ สภาปฏริ ปู การปกครองแผ่นดิน
ฉบบั ท่ี 12 คือ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 ประกาศใช้เมื่อวันท่ี
9 พฤศจิกายน 2520 ถูกยกเลิก เม่ือวันท่ี 22 ธันวาคม 2521 ด้วยสาเหตุ ปฏิวัติซ้าโดย
พลเรือเอก สงดั ชะลออยู่
สาระสาคญั ยังคงมสี ภาเดยี ว ได้แก่ สภานติ ิบญั ญตั แิ หง่ ชาติ
ฉบับที่ 13 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ประกาศใช้เมื่อวันท่ี
22 ธันวาคม 2521 ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 ด้วยสาเหตุยึดอานาจโดยคณะรักษา
ความสงบเรียบรอ้ ยแห่งชาติ (รสช.) นาโดยพลเอก สุนทร คงสมพงษ์
ฉบบั ที่ 14 คือ ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 ประกาศใช้เม่ือวันท่ี
1 มีนาคม 2534 ถูกยกเลิก เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 ด้วยสาเหตุ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2534
สาระสาคัญ เปน็ การปกครองดว้ ยอานาจของคณะรกั ษาความสงบเรยี บร้อยแหง่ ชาติ (รสช.)
ฉบับท่ี 15 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 ประกาศใช้เมื่อวันที่
9 ธันวาคม 2534 ถูกยกเลิกเม่ือวันท่ี 11 ตุลาคม 2540 ด้วยสาเหตุประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540
สาระสาคัญ มีความเป็นประชาธิปไตยมากฉบับหนึ่ง โดยมี 2 สภา ได้แก่ วุฒิสภาและ
สภาผูแ้ ทนราษฎร รวมถึงมีการแก้ไขเพิ่มเตมิ ทง้ั หมด 6 ฉบบั
ฉบับที่ 16 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ประกาศใช้เมื่อวันท่ี
11 ตุลาคม 2540 ถูกยกเลิกเมื่อวันท่ี 19 กันยายน 2549 ด้วยสาเหตุ ปฏิวัติภายใต้การนาของ
พลเอก สนธิ บุญยรตั กลิน
สาระสาคัญ เป็นรัฐธรรมนูญท่ีประชาชนมีส่วนร่วมและได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
มากทส่ี ดุ ฉบบั หน่ึง
ฉบับที่ 17 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549
ประกาศใช้เมื่อวันท่ี 1 ตุลาคม 2549 ถูกยกเลิกเม่ือวันท่ี 24 สิงหาคม 2550 ด้วยสาเหตุประกาศใช้
รัฐธรรมนูญฉบบั ใหม่
สาระสาคัญ เป็นการใช้อานาจโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ (คปค.)
เรอ่ื ง ความสาคญั ของรฐั ธรรมนูญ 23
ฉบับที่ 18 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ประกาศใช้เม่ือวันที่
24 สิงหาคม 2550 ถูกยกเลิกเมื่อวันท่ี 22 กรกฎาคม 2557 ด้วยสาเหตุ การยึดอานาจการปกครอง
โดยคณะรกั ษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
สาระสาคญั เป็นการยกรา่ งโดยคณะผ้ยู ดึ อานาจ และมกี ารออกเสยี งประชามติ
ฉบับที่ 19 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557
ประกาศใช้ เม่ือวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 ถูกยกเลิกเม่ือวันท่ี 6 เมษายน 2560 ด้วยสาเหตุมีการ
ประกาศใช้รฐั ธรรมนูญฉบับใหม่
สาระสาคญั เปน็ การใช้อานาจเดด็ ขาดตาม มาตรา 44 และมาตรา 48
ฉบับที่ 20 คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกาศใช้เมื่อวันที่
6 เมษายน 2560 และยังใช้อย่ใู นปจั จบุ นั
สาระสาคัญ เป็นการจัดระเบียบการปกครอง การตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ และมีกลไก
ปฏิรปู ประเทศในดา้ นต่างๆ
จากรฐั ธรรมนญู ไทยท้ัง 20 ฉบบั แสดงถงึ ปัญหาและอุปสรรคหลายประการ โดยมีการยกเลิก
รัฐธรรมนญู จากการยึดอานาจหลายครง้ั
วันท่ีระลกึ ของรัฐธรรมนูญไทย
เรียกว่า “วันรัฐธรรมนูญ” โดยกาหนดวันท่ี 10 ธันวาคมของทุกปี เพื่อระลึกถึงรัฐธรรมนูญถาวร
ฉบบั แรกทพ่ี ระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม
2475 ท้ังนี้ มีการจัดพระราชพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะ ณ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสม เด็จ
พระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั รชั กาลที่ 7 เปน็ ประจาทกุ ปี
อน่ึง วันดังกล่าวได้กาหนดให้เป็น “วันธรรมศำสตร์” อีกด้วย กล่าวคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ท่ีเป็นรากฐานในการสร้างบัณฑิตขึ้นรองรับการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้เคยจัดงานวันธรรมศาสตร์
สามัคคีในวันที่ 11 ตุลาคม และ 5 พฤศจิกายน จนถึง พ.ศ.2504 จึงเริ่มใช้วันที่ 10 ธันวาคม เป็น
“วันธรรมศำสตร์” ตั้งแต่ พ.ศ.2504 จนถึงปัจจุบัน ซ่ึงสอดคล้องกับวันรัฐธรรมนูญท่ีเป็นสัญลักษณ์ของ
การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย
เรื่อง ความสาคญั ของรฐั ธรรมนญู 24
ควำมส่งทำ้ ย
รัฐธรรมนญู ไทยเปน็ หลักการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยมาตง้ั แตเ่ ปลี่ยนแปลงการปกครอง เม่ือวันท่ี
24 มถิ นุ ายน 2475 ได้ผ่านปัญหาและอุปสรรคมาหลายประการ โดยมีการยกเลิกและประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
ถึง 20 ฉบับ แสดงถึงการขาดความรู้ความเข้าใจในความสาคัญของรัฐธรรมนูญ โดยมุ่งผลประโยชน์มากกว่า
การรักษาหลักการของรัฐธรรมนูญ จึงเป็นหน้าท่ีของประชาชนชาวไทย ควรศึกษาและสร้างรัฐธรรมนูญ
ทีค่ ุ้มครองสทิ ธิเสรีภาพอยา่ งแท้จรงิ
สรปุ ควำมสำคัญของรฐั ธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญเป็นเอกสารทางกฎหมายท่ีมีความสาคัญต่อการปกครองประเทศเป็นอย่างย่ิง
เป็นเสมือนคัมภีร์การปกครองของประเทศก็ว่าได้ รัฐธรรมนูญจะกาหนดกรอบภารกิจในเรื่องต่าง ๆ ที่เป็น
นิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนเพื่อเป็นหลักประกันให้กับทุกฝ่ายในเรื่องความชอบธรรมของการ
ใช้อานาจการไดร้ บั ความคมุ้ ครองสทิ ธิหน้าท่ตี ่าง ๆ และ มคี วามสาคัญอยู่ 2 ประการ คอื
1. มีควำมสำคัญต่อผู้ปกครอง คือ รัฐธรรมนูญจะเป็นหลัก เป็นโครงสร้างการบริหาร
ประเทศอันเป็นแนวท่ีจะให้ผู้ปกตรองน้ันได้ยึดเป็นแนวในการบริหารประเทศตามวิธีกา ร
หลักการ นโยบายและวตั ถปุ ระสงค์ของรฐั ธรรมนญู น้ัน ๆ
2. มีควำมสำคัญต่อประชำชน คือ รัฐธรรมนูญจะมีบทบัญญัติเก่ียวกับการให้สิทธิเสรีภาพ
มากน้อยอย่างไร รัฐธรรมนูญจะกาหนดไว้ นอกจากน้ันรัฐธรรมนูญยังจะมีบทบัญญัติออกมา
เรื่อง ความสาคัญของรัฐธรรมนญู 25
เพ่ือป้องกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนแต่ละคน มิให้ใครคนอ่ืนมาละเมิดสิทธิท่ีมีอยู่นั้น รวมไปถึง
การป้องกันผลประโยชน์อันจะเกิดแก่ประชาชน ท้ายท่ีสุดรัฐธรรมนูญจะมีความสาคัญ มีความดี
อยู่มากมาย อย่างไรก็ตามถ้าผู้ปกครองยังนึกถึงประโยชน์ส่วนตัว ประโยชน์ของพรรคพวกอยู่
แม้จะตรากฎหมายรัฐธรรมนูญไว้ดีอย่างไร หาเกิดประโยชน์ไม่ และการมีรัฐธรรมนูญเป็นเคร่ืองมือ
ที่รัฐบาลในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยก็มิได้เป็นเคร่ืองประกันว่า การปกครองจะเป็น
ประชาธิปไตยตามคาพูด ถ้าผู้ปกครองขาดคุณธรรมและยังเห็นผลประโยชน์ส่วนตนอยู่ฝ่ายเดียว
ฉะน้ันรัฐธรรมนูญจะดีหรือเลวข้นึ อยู่กับผปู้ กครองจะเป็นผ้กู าหนดและนามาปฏบิ ัติ เปน็ ตน้
โครงสร้ำงของรัฐธรรมนูญ ฉบบั ที่ 20 ปี พ.ศ. 2560
การศึกษาโครงสร้างของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายอื่นๆ มีความสาคัญมาก
ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นภาพรวมของกฎหมายน้ัน สามารถศึกษาและทาความเข้าใจเน้ือหาบทบัญญัติต่างๆ
สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน สาหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน (2560) มีบทบัญญัติ
ท้งั สนิ้ 279 มาตรา แบ่งออกเปน็ 16 หมวด และบทเฉพาะกาลอีก 18 มาตรา ดงั นี้
หมวด 1 บททั่วไป (มาตรา 1-5)
หมวด 2 พระมหากษตั ริย์ (มาตรา 6-24)
หมวด 3 สิทธแิ ละเสรีภาพของปวงชนชาวไทย (มาตรา 25-49)
หมวด 4 หนา้ ที่ของปวงชนชาวไทย (มาตรา 50)
หมวด 5 หนา้ ที่ของรัฐ (มาตรา 51-63)
เร่ือง ความสาคัญของรฐั ธรรมนญู 26
หมวด 6 แนวนโยบายแห่งรฐั (มาตรา 64-78)
หมวด 7 รัฐสภา (มาตรา 79-157)
สว่ นที่ 1 บททั่วไป (มาตรา 79-82)
ส่วนที่ 2 สภาผแู้ ทนราษฎร (มาตรา 83-106)
สว่ นที่ 3 วฒุ สิ ภา (มาตรา 107-113)
สว่ นท่ี 4 บทท่ใี ช้แกส่ ภาทั้งสอง (มาตรา 114-155)
สว่ นท่ี 5 การประชมุ รว่ มกนั ของรัฐสภา (มาตรา 156-157)
หมวด 8 คณะรฐั มนตรี (มาตรา 158-183)
หมวด 9 การขัดกันแห่งผลประโยชน์ (มาตรา 184-187)
หมวด 10 ศาล (มาตรา 188-199)
ส่วนที่ 1 บททั่วไป (มาตรา 188-193)
ส่วนที่ 2 ศาลยตุ ธิ รรม (มาตรา 194-196)
สว่ นที่ 3 ศาลปกครอง (มาตรา 197-198)
ส่วนที่ 4 ศาลทหาร (มาตรา 199)
หมวด 11 ศาลรัฐธรรมนญู (มาตรา 200-214)
หมวด 12 องคก์ รอสิ ระ (มาตรา 215-247)
สว่ นที่ 1 บทท่ัวไป (มาตรา 215-221)
สว่ นที่ 2 คณะกรรมการการเลือกต้งั (มาตรา 222-227)
ส่วนท่ี 3 ผ้ตู รวจการแผ่นดิน (มาตรา 228-231)
สว่ นท่ี 4 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (มาตรา 232-237)
ส่วนที่ 5 คณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ (มาตรา 238-245)
ส่วนท่ี 6 คณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชนแหง่ ชาติ (มาตรา 246-247)
หมวด 13 องค์กรอยั การ (มาตรา 248)
หมวด 14 การปกครองส่วนท้องถน่ิ (มาตรา 249-254)
หมวด 15 การแก้ไขเพิม่ เตมิ รฐั ธรรมนญู (มาตรา 255-256)
หมวด 16 การปฏริ ูปประเทศ (มาตรา 257-261)
บทเฉพาะกาล (มาตรา 262-279)
เร่อื ง ความสาคัญของรฐั ธรรมนญู 27
ภาพท่ี 5 พระมหากษัตรยิ ์ทรงลงพระปรมาภไิ ธย
เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หนา้ ๑ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา
รฐั ธรรมนญู แหง่ รำชอำณำจกั รไทย
สมเดจ็ พระเจำ้ อยหู่ วั มหำวชริ ำลงกรณ บดินทรเทพยวรำงกรู
ตราไว้ ณ วันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐
เป็นปที ี่ ๒ ในรชั กาลปัจจบุ นั
ศภุ มสั ดุ พระพุทธศาสนกาลเป็นอดีตภาค ๒๕๖๐ พรรษา ปัจจุบันสมัย จันทรคตินิยม กุกกุฏสมพัตสร จิตรมาส ชุณหปักษ์
ทสมดี ิถี สุรยิ คตกิ าล เมษายนมาส ฉฏฐสรุ ทนิ ครวุ าร โดยกาลบริเฉท
สมเดจ็ พระเจ้าอูยห่ ัวมหาวชิราลงกรณบดนิ ทรเทพยวรางกรู ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ ม ให้ประกาศว่า นายกรัฐมนตรีได้นาความ
กราบบงั คมทลู วา่ นบั แตพ่ ระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาประชาธิปก พระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรสยามพุทธศกั ราช ๒๔๗๕ เป็นตน้ มา การปกครองของประเทศไทยไดด้ ารงเจตนารมณ์ยึดูม่นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุขตอ่ เูนอ่ งมาโดยตลอด แมไ้ ดม้ กี ารยกเลิก แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ และประกาศใช้ รัฐธรรมนูญเพื่อจัดระเบียบการปกครองให้เหมาะสมหลายคูร้ง แต่
การปกครองก็มิได้มีเสถียรภาพหรือ ราบร่ืนเรียบร้อยเพราะยังคงประสบปัญหาและข้อขัดแย้งต่าง ๆ บางคูร้งเป็นวิกฤติทางรัฐธรรมนูญท่ีหา
ทางออกไมไ่ ด้ เหตสุ ่วนหน่งึ เกิดจากการที่มผี ไู้ มน่ าพาหรอื ไม่นับถอื ยาเกรงกฎเกณฑก์ ารปกครองบา้ นเมอื ง ทจุ ริตฉอ้ ฉลหรือบดิ เบอื นอานาจ หรือขาดความ
ตระหนักสานกึ รับผดิ ชอบต่อประเทศชาตแิ ละประชาชน จนทาให้การบังคับใชก้ ฎหมายไม่เปน็ ผล ซึง่ จาต้องปอ้ งกันและแกไ้ ขด้วยการปฏิรูปการศึกษาและ
การบงั คับใช้ กฎหมาย และเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบคุณธรรมและจริยธรรม แต่เหตุอีกส่วนหนู่งเกิดจากกฎเกณฑ์ การเมืองการปกครองท่ียังไม่
เหมาะสมแก่สภาวการณ์บ้านเมอื งและกาลสมัย ให้ความสาคัญแก่รูปแบบ และวิธีการย่ิงกว่าหลกการพ้ืนฐานในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่อาจนา
กฎเกณฑ์ท่ีมีอูยม่ าใชแ้ กพ่ ฤตกิ รรม
ของบุคคลและสถานการณ์ในยามวกิ ฤตทิ ี่มีรูปแบบและวธิ กี ารแตกต่างไปจากเดิมให้ได้ผล
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย (ฉบบั ชว่ั คราว) พุทธศกั ราช ๒๕๕๗ แกไ้ ขเพม่ิ เติม (ฉบบั ที่ ๑)
พุทธศกั ราช ๒๕๕๘ จงึ ไดบ้ ญั ญัตใหม้ คี ณะกรรมการรา่ งรฐั ธรรมนญู มีหน้าท่ีร่างรัฐธรรมนูญเพ่อื ใชเ้ ปน็ หลักในการปกครอง และเป็นแนวทางในการจัดทากฎหมายประกอบ
รัฐธรรมนญู และกฎหมายอืน่ โดยได้กาหนดกลไก เพื่อจดั ระเบยี บและสรา้ งความเขม้ แข็งแก่การปกครองประเทศูขน้ ใหม่ดว้ ยการจดั โครงสร้างของหน้าที่ และอานาจ
ขององคก์ รต่างๆ ตามรัฐธรรมนญู และสมั พนั ธภาพระหว่างฝา่ ยนิตบิ ัญญตั ิกับฝ่ายบริหารให้เหมาะสม การใหสถาบนั ศาลและองคก์ รอิสระอื่นซง่ึ มีหน้าทีต่ รวจสอบการใช้
อานาจรฐั สามารถปฏบิ ัตหิ น้าทไี่ ด้อย่างมี ประสิทธิภาพ สุจริต เทีย่ งธรรมและมสี ่วนในการป้องกนั หรอื แก้ไขวกิ ฤตขิ องประเทศตามความจาเป็น และความเหมาะสม
การรบั รอง ปกปอ้ ง และคมุ้ ครองสิทธิเสรภี าพของปวงชนชาวไทยให้ชดั เจนและครอบคลมุ อย่างกวา้ งขวางยงิ่ ข้ึน โดยถือวา่ การมสี ิทธเิ สรีภาพเป็นหลักการจากดั ตดั
สิทธิเสรีภาพเปน็ ขอ้ ยกเวน้ แต่การใช้สทิ ธิเสรีภาพดงั กลา่ วต้องอยูภ่ ายใตก้ ฎเกณฑ์เพือ่ ูคม้ ครองสว่ นรวม การกาหนดใหร้ ฐั มหี น้าท่ี ตอ่ ประชาชนเชน่ เดียวกับการ
ให้ประชาชนมีหนา้ ท่ตี อ่ รฐั การวางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทจุ ริต และประพฤติมิชอบทีเ่ ข้มงวด เดด็ ขาด เพือ่ มใิ หผ้ ู้บริหารูทป่ ราศจากคุณธรรม จริยธรรม
และธรรมาภิบาล เข้ามามีอานาจในการปกครองบ้านเมอื งหรอื ใช้อานาจตามอาเภอใจ และการกาหนดมาตรการปอ้ งกัน และบริหารจัดการวิกฤติการณข์ อง
ประเทศใหม้ ีประสทิ ธภิ าพูยง่ ขึ้น ตลอดจนไดก้ าหนดกลไกอน่ื ๆ ตามแนวทางทูร่ ัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกรไทย (ฉบบั ชวั่ คราว) พุทธศกั ราช ๒๕๕๗ ระบุไว้ เพ่ือ
ใชเ้ ป็นกรอบ ในการพฒั นาประเทศตามแนวนโยบายแหง่ รัฐและยุทธศาสตรช์ าตซิ ง่ึ ูผเ้ ข้ามาบริหารประเทศแตล่ ะคณะ จะได้กาหนดนโยบายและวิธดี าเนินการที่
เหมาะสมตอ่ ไป ทัง้ ยงั สรา้ งกลไกในการปฏิรูปประเทศในดา้ นตา่ ง ๆ ูทส่ าคัญและจาเป็นอยา่ งรว่ มมอื รว่ มใจกัน รวมตลอดทูง้ การลดเงื่อนไขความขัดแย้งเพ่อื ใหป้ ระเทศมีความ
สงบสุข บนพ้ืนฐานของความรรู้ กั สามคั คีปรองดอง การจะดาเนนิ การในเูร่องเหลา่ นใ้ี หล้ ลุ ว่ งไปได้ จาตอ้ งอาศยั ความรว่ มมือระหว่างประชาชนทุกภาคส่วนกบ
หนว่ ยงานท้ังหลายของรัฐตามแนวทางประชารัฐภายใตก้ ฎเกณฑ์ ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและประเพณีการปกครองที่เหมาะสมกับ
สถานการณ์ และลักษณะสงั คมไทย หลกั ความสุจรติ หลกั สิทธิมนษุ ยชน และหลักธรรมาภบิ าล อนั จะทาใหส้ ามารถ ขับเคลอ่ื นประเทศใหพ้ ัฒนาไปขา้ งหนา้ ได้
อย่างเปน็ ข้ันตอนจนเกดิ ความม่นั คง มั่งคง่ั และยั่งยืน ทง้ั ในทาง การเมอื งการปกครอง เศรษฐกิจ และสงั คมตามระบอบประชาธปิ ไตยอนมพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็น
ประมุข ในการดาเนินการดังกล่าว คณะกรรมการรา่ งรัฐธรรมนญู ได้สร้างความรบั รคู้ วามเข้าใจแกป่ ระชาชน ในหลักการและเหตุผลของบทบัญญตั ิตา่ ง ๆ เปน็ ระยะ ๆ
เปิดโอกาสใหป้ ระชาชนเขา้ ถงึ รา่ งรัฐธรรมนูญ และความหมายโดยผา่ นทางูสอ่ ตา่ ง ๆ อย่างกวางขวาง และให้ประชาชนมสี ว่ นร่วมในการพฒั นาสารัตถะของ รา่ ง
รฐั ธรรมนญู ด้วยการเสนอแนะข้อควรแกไ้ ขเพิ่มเติม เมื่อการจัดทารา่ งรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ กไ็ ดเ้ ผยแพร่ รา่ งรฐั ธรรมนูญและคาอธบิ ายสาระสาคัญของร่างรฐั ธรรมนญู โดย
สรปุ ในลักษณะทีป่ ระชาชนสามารถเขา้ ใจ เน้ือหาสาคัญของร่างรัฐธรรมนูญได้โดยสะดวกและเป็นการทวั่ ไป และจัดให้มีการออกเสียงประชามติ
เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๓ ราช ๖ เมษายน ๒๕๖๐
กิจจานุเบกษา
เพอื่ ให้ความเห็นชอบแก่ร่างรฐั ธรรมนูญทัง้ ฉบบั ในการนี้ สภานติ ิบญั ญตั ิแหง่ ชาตไิ ดม้ มี ติเสนอประเดน็ เพิ่มเติมอกี ประเดน็ หนึ่งเพูอ่ ให้มีการออกเสยี งประชามติใน
คราวเดยี วกนั ด้วย การออกเสียงประชามติ ปรากฏผลวา่ ประชาชนูผม้ สี ิทธิออกเสยี งประชามติโดยคะแนนเสยี งขา้ งมากของผู้มาออกเสยี งประชามติ เห็นชอบกับ
รา่ งรฐั ธรรมนูญและประเดน็ เพมิ่ เตมิ ดังกล่าว คณะกรรมการรา่ งรฐั ธรรมนูญจงึ ดาเนนิ การแก้ไข ร่างรัฐธรรมนูญในส่วนทู่เก่ียวข้องให้สอดคล้องกับผลการออกเสียง
ประชามตใิ นประเดน็ เพ่ิมเติม และไดส้ ง่ ให้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าเปน็ การชอบดว้ ยผลการออกเสียงประชามติแล้วหรือไม่ ูซ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยให้
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพ่ิมเติมข้อความบางส่วน และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ได้ดาเนินการแก้ไขตามคาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
นายกรฐั มนตรจี งึ นารา่ งรฐั ธรรมนญู ขึ้นทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวาย ตอ่ มารฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ชว่ั คราว) พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ แก้ไข เพ่ิมเติม
(ฉบับูท่ ๔) พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ บัญญตั ใิ ห้นายกรฐั มนตรขี อรบั พระราชทานรา่ งรฐั ธรรมนูญูนน้ คืนมาแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ เฉพาะบางประเด็นได้ เมือ่ ดาเนนิ การแลว้ เสร็จ
นายกรัฐมนตรีจงึ นารา่ งรฐั ธรรมนญู น้นั ขน้ึ ทลู เกล้าทลู กระหมอ่ มถวายเพ่ือทรงลงพระปรมาภไิ ธย ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สืบไป ทรง
พระราชดาริว่าสมควรพระราชทานพระราชานมุ ตั ิ
จึงมีพระราชโองการดารสั เหนือเกลา้ เหนอื กระหมอ่ มใหต้ รารัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทยฉบับน้ี ขึ้นไว้ ให้ใช้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ไทย (ฉบับช่ัวคราว) พุทธศกั ราช ๒๕๕๗ ซ่งึ ได้ตราไว้ ณ วนที่ ๒๒ กรกฎาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๗ ต้งั แตว่ ันประกาศนีเป็นต้นไป
ขอปวงชนชาวไทย จงมคี วามสมัครสโมสรเปน็ เอกฉันท์ ในอนั ทจี่ ะปฏบิ ัติตามและพิทักษ์รกั ษา รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยน้ี เพูอ่ ธารงคงไว้
ซ่งึ ระบอบประชาธิปไตยและอานาจอธปิ ไตยของ ปวงชนชาวไทย และนามาูซง่ ความผาสุกสิริสวัสด์ิพิพัฒนชัยมงคล อเนกศุภผลสกลเกียรติยศสถาพรแก่ อาณา
ประชาราษฎรท่วั สยามรฐั สีมา สมดงั่ พระราชปณิธานปรารถนาทกุ ประการ เทอญ
หมวด ๑
บททูว่ ไป
มาตรา ๑ ประเทศไทยเปน็ ราชอาณาจกั รอนั หูนง่ อันเดียว จะแบง่ แยกมไิ ด้
มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเปน็ ประมุข
มาตรา ๓ อานาจอธปิ ไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผ้ทู รงเป็นประมุข
ทรงใช านาจนั้นทางรฐั สภา คณะรฐมนตูรี และศาล ตามบทบญญั ัติแห่งรฐั ธรรมนูญ
เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๔ ราช ๖ เมษายน ๒๕๖๐
กิจจานุเบกษา
รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไป ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพู่อ
ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของ ประชาชนโดยรวม
มาตรา ๔ ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ สทิ ธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล
ย่อมไดร้ บั ความคุ้มครอง
ปวงชนชาวไทยย่อมได บั ความคุ้มครองตามรฐธรรมนั ูญเสมอกนั
มาตรา ๕ รัฐธรรมนญู เป็นกฎหมายสงู สุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรอื ข้อบังคับ หรือการกระทาใด ขัดหรือแย้ง
ตอ่ รฐั ธรรมนญู บทบัญญัตหิ รือการกระทานั้นเปน็ อันใช้บังคบั มิได้
เูมอ่ ไมม่ ีบทบญั ญัตแิ ห่งรัฐธรรมนูญูนบ้ ังคับแก่กรณีใด ให้กระทาการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีน้ัน ไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบ
ประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข
หมวด ๒ พระมหากษตั รยิ ์
มาตรา ๖ องค์พระมหากษัตริย์ทรงดารงอูย่ในฐานะอนเป็นทู่เคารพสักการะ ูผ้ใดจะละเมิดมิได ผูใดจะกล่าวหาหรือฟ้องรอง
พระมหากษัตริยใ์ นทางใด ๆ มิได้
มาตรา ๗ พระมหากษตรยิ ์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอคั รศาสนูปถมั ภก มาตรา ๘
พระมหากษตั รยิ ท์ รงดารงตาแหน่งจอมทัพไทย
มาตรา ๙ พระมหากษตั ริยท์ รงไว ึง่ พระราชอานาจท่จี ะสถาปนาและถอดถอนฐานนดรศักด
และพระราชทานและเรยี กคนื เครอื่ งราชอสิ ริยาภรณ์
มาตรา ๑๐ พระมหากษตั รยิ ท์ รงเลอื กและทรงแต่งูต้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรี คนหนึ่งและองคมนตรีอื่นอีกไม่เกินสิบ
แปดคนประกอบเป็นคณะองคมนตรี
คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจท้ังปวง ท่พี ระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าทูี่อ่
นตามที่บญั ญตั ิไว้ในรัฐธรรมนูญ
มาตรา ๑๑ การเลือกและแตง่ ตงั้ องคมนตรีหรอื การให้องคมนตรีพน้ จากตาแหน่ง ให้เปน็ ไป ตามพระราชอธยาศยั
ให้ประธานรฐั สภาเปน็ ผลู้ งนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งูต้งประธานองคมนตรีหรอื ใหป้ ระธานองคมนตรีพ้นจากตาแหน่ง
ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งองคมนตรูีอ่นหรือ ให้องคมนตรอี ่นื พน้ จากตาแหนง่
เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๕ ราช ๖ เมษายน ๒๕๖๐
กิจจานุเบกษา
มาตรา ๑๒ องคมนตรีต้องไมเ่ ปน็ สมาชิกสภาผ ทนราษฎร สมาชกิ วุฒสิ ภา หรอื ดารงตาแหนง่
ทางการเมืองอน่ื ตุลาการศาลรฐั ธรรมนญู ผดู้ ารงตาแหน่งในองค์กรอสิ ระ พนกั งานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าท่อี ื่น ของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจา้ หน้าทข่ี องพรรคการเมอื ง
หรือขา้ ราชการเวน้ แตก่ ารเป็นขา้ ราชการในพระองค์ ในตาแหน่งองคมนตรี และตองไม่แสดงการฝกั ใฝใ่ นพรรคการเมอื งใด ๆ
มาตรา ๑๓ กอ่ นเขา้ รบั หน้าท่ี องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ดว้ ยถ้อยคา ดงต่อไปน้ี
“ขา้ พระพทุ ธเจา้ (ชือ่ ผปู้ ฏญิ าณ) ขอถวายสัตย์ปฏญิ าณว่า ข้าพระพุทธเจา้ จะจงรกั ภกั ดตี ่อ พระมหากษตั รยิ ์ และจะปฏิบตั หิ นา้ ท่ดี ้วยความูซอ่ สตั ย์
สุจรติ เพ่อื ประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทง้ จะรักษาไว้และปฏบิ ัตติ ามูซง่ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทยทกุ ประการ”
มาตรา ๑๔ องคมนตรพี น้ จากตาแหน่งเม่อื ตาย ลาออก หรือมพี ระบรมราชโองการให้พน้ จาก
ตาแหนง่
มาตรา ๑๕ การแตง่ ูต้งและการให้ข้าราชการในพระองคพ์ ้นจากตาแหน่ง ให้เป็นไปตาม
พระราชอธั ยาศัย
การจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตาม พระราชอัธยาศัยตามที่บญญัติไว้ในพระราช
กฤษฎีกา
มาตรา ๑๖ ในเมอื่ พระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยใู่ นราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหาร พระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งูต้ง
บคุ คลคนหนึ่งหรอื หลายคนเป็นคณะูขน้ ให้เปน็ ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และในกรณีที่ทรงแต่งตั้งผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ ให้
ประธานรฐั สภาเป็นผลู้ งนามรับสนองพระบรมราชโองการ
มาตรา ๑๗ ในกรณีท่ีพระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งต้ังผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ ตามมาตรา ๑๖ หรือในกรณีที่พระมหากษัตริย์
ไมส่ ามารถทรงแต่งูต้งผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์เพราะ ยังไมท่ รงบรรลุนิติภาวะหรือเพราะเหตูุอน่ แต่ตอ่ มาคณะองคมนตรพี จิ ารณาเหน็ วา่ มคี วามจาเปน็ สมควร
แตง่ ตัง้ ผู้สาเรจ็ ราชการแทนพระองค์และไม่อาจกราบบังคมทลู ใหท้ รงแต่งต้งั ได้ทันการ ใหค้ ณะองคมนตรี เสนอูชอ่ บุคคลคนหูนง่ หรือหลายคนเปน็ คณะ ตามลาดับ
ท่ีโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มกาหนดไว้กอ่ นแล้ว ให้เป็นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อประกาศในพระปรมาภิไธย
พระมหากษตั รยิ ์ แตง่ ตงั้ ผ้นู ันขนึ เป็นผู้สาเรจ็ ราชการแทนพระองค์
มาตรา ๑๘ ในระหวา่ งทไี่ ม่มูผี ส้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๗ ให้ประธาน องคมนตรีเป็นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการูช่ว
คราวไปพลางกอ่ น
ในกรณที ผี่ สู้ าเร็จราชการแทนพระองคซ์ ึง่ ไดร้ บั การแตง่ ตง้ั ตามมาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้ ให้ประธานองคมนตรีทา
หนา้ ที่ผูส้ าเร็จราชการแทนพระองคเ์ ปน็ การช่วั คราว ไปพลางก่อน
เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๖ ราช ๖ เมษายน ๒๕๖๐
กิจจานุเบกษา
ในระหว่างที่ประธานองคมนตรเี ปน็ ูผส้ าเรจ็ ราชการแทนพระองคต์ ามวรรคหน่งึ หรอื ในระหวา่ งทู่ ประธานองคมนตรที าหนา้ ทูผ่ี ส้ าเร็จราชการแทน
พระองคต์ ามวรรคสอง ประธานองคมนตรีจะปฏบิ ัติหน้าท่ี ในฐานะเป็นประธานองคมนตรีมิได้ ในกรณีเช่นวา่ ูน้ ให้คณะองคมนตรเี ลือกองคมนตรีคนหูน่งขึ้น
ทาหน้าทป่ี ระธานองคมนตรเี ป็นการชว่ั คราวไปพลางกอ่ น
มาตรา ๑๙ ก่อนเข้ารบั หนา้ ท่ี ูผส้ าเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ ต้องปฏิญาณตนในทู่ประชุม
รัฐสภาด้วยถอยคา ดงั ต่อไปน้ี
“ขาพเจา้ (ูชอ่ ผปู ฏญิ าณ) ขอปฏิญาณว่า ขา้ พเจา้ จะจงรักภกั ดตี ่อพระมหากษตั ริย์ (พระปรมาภไิ ธย) และจะปฏบิ ัตหิ น้าทูด่ ้วยความซ่ือสัตย์สุจริต เพ่ือ
ประโยชนข์ องประเทศและประชาชน ทง้ั จะรักษาไว้ และปฏบิ ตั ิตามซึง่ รฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทยทกุ ประการ”
ผ าเรจ็ ราชการแทนพระองคซ์ ่งึ เคยไดร้ ับการแตง่ ตังและปฏิญาณตนมาแลว้ ไมต่ ้องปฏญิ าณตนอกี
มาตรา ๒๐ ภายใต้บงั คับมาตรา ๒๑ การสบื ราชสมบัติให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช
๒๔๖๗
การแกไ้ ขเพูม่ เติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสบื ราชสนั ตติวงศ์ พระพุทธศกั ราช ๒๔๖๗ เป็นพระราชอานาจของพระมหากษตั รยิ โ์ ดยเฉพาะ เม่อื มี
พระราชดาริประการใด ใหค้ ณะองคมนตรจี ัดทา ร่างกฎมณเฑียรบาลแกไขเพมิ่ เติมกฎมณเฑยี รบาลเดิมูขน้ ทลู เกลา้ ทูลกระหม่อมถวายเพู่อมีพระราชวินิจฉัย เูม่อทรง
เห็นชอบและทรงลงพระปรมาภไิ ธยแลว้ ให้ประธานองคมนตรดี าเนินการแจ้งประธานรัฐสภา เพู่อให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้รัฐสภาทราบ และให้ประธาน
รฐั สภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
และเูมอ่ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล ใหใช้บังคบั เปน็ กฎหมายได
มาตรา ๒๑ ในกรณูที ร่ าชบลั ลงั กห์ ากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้ง พระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วย
การสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ แล้ว ให้คณะรฐั มนตรีแจ้งให้ประธานรฐั สภาทราบ และให้ประธานรฐั สภาเรยี กประชมุ รัฐสภาเพื่อรับทราบ และ
ให้ประธานรัฐสภาอัญเชญิ องคพ์ ระรัชทายาทูขน้ ทรงราชยเ์ ปน็ พระมหากษัตริย์สืบไป แล้วใหป้ ระธาน รัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ
ในกรณีทีร่ าชบลั ลงั ก์หากว่างลงและเป็นกรณที ี่พระมหากษัตรยิ ม์ ไิ ด้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ ตามวรรคหน่ึง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้
สืบราชสนั ตติวงศ์ตามมาตรา ๒๐ ต่อคณะรัฐมนตรี
เพือ่ เสนอต่อรัฐสภาเพ่อื รฐั สภาให้ความเหน็ ชอบ ในการน จะเสนอพระนามพระราชธิดากไ็ ด้ ูเมอ่รฐสภูา
ใหค้ วามเห็นชอบแลว้ ให้ประธานรัฐสภาอญั เชญิ องคผ์ ูส้ บื ราชสนั ตตวิ งศข์ ึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษตั รยิ ์สืบไป แลว้ ให้ประธานรัฐสภาประกาศใหป้ ระชาชนทราบ
เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๗ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา
มาตรา ๒๒ ในระหว่างท่ยี ังไม่มีประกาศอัญเชญิ องค์พระรชั ทายาทหรือองคูผ์ ส้ บื ราชสันตติวงศ์ ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ตามมาตรา ๒๑
ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สาเรจ็ ราชการแทนพระองค์ เป็นการูชว่ คราวไปพลางก่อน แต่ในกรณีท่ีราชบัลลังก์หากว่างลงในระหว่างทู่ได้แต่งตั้งูผ้สาเร็จราชการ
แทนพระองค์ไวตามมาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ หรือระหว่างเวลาท่ีประธานองคมนตรีเป็นผู้สาเร็จราชการ แทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ วรรคหน่ึง ใหู้ผ้สาเร็จ
ราชการแทนพระองคน์ ัน้ ๆ แลว้ แตก่ รณี เปน็ ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไป ท้งั ูน้ จนกวา่ จะได้ประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์
ข้นึ ทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์
ในกรณีท่ีผ้สู าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ซ่งึ ได้รบั การแต่งตั้งไวแ้ ละเปน็ ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์
ต่อไปตามวรรคหูนง่ ไมส่ ามารถปฏิบตั ิหนาทูไ่ ด้ ให้ประธานองคมนตรีทาหนา้ ทูผ่ ้สู าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ เปน็ การูชว่ คราวไปพลางก่อน
ในกรณีที่ประธานองคมนตรเี ป็นผู้สาเรจ็ ราชการแทนพระองคต์ ามวรรคหน่งึ หรอื ทาหน้าที่ ผ้สู าเรจ็ ราชการแทนพระองคเ์ ป็นการชว่ คราวตามวรรค
สอง ใหน้ ามาตรา ๑๘ วรรคสาม มาใช้บงั คับ
มาตรา ๒๓ ในกรณีทูค่ ณะองคมนตรีจะตอ้ งปฏบิ ัติหนา้ ท่ตี ามมาตรา ๑๗ หรอื มาตรา ๒๑ วรรคสอง หรอื ประธานองคมนตรีจะต้องเป็นหรือ
ทาหน้าทูผ่ี ส้ าเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ วรรคหูน่งหรือวรรคสอง หรือมาตรา ๒๒ วรรคสอง และอยู่ในระหว่างทู่ไม่มีประธานองคมนตรี
หรือมีแต่ไม่สามารถปฏบิ ตั ิหน้าทไ่ี ด้ ใหค้ ณะองคมนตรทีูเ่ หลอื อูยเ่ ลือกองคมนตรคี นหนึ่งเพ่อื ทาหนา้ ท่ี ประธานองคมนตรี หรือเป็นหรือทาหน้าทูี่ผ้สาเร็จราชการ
แทนพระองคต์ ามมาตรา ๑๘ วรรคหนึง่ หรอื วรรคสอง หรอื ตามมาตรา ๒๒ วรรคสอง แล้วแต่กรณี
มาตรา ๒๔ การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย พระมหากษตั รยิ จ์ ะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้
กระทาตอ่ พระรัชทายาทซ่ึงทรงบรรลุนติ ภิ าวะแล้ว หรอื ต่อผแู้ ทนพระองคก์ ็ได้
ในระหว่างูทย่ ังมไิ ด้ถวายสัตย์ปฏญิ าณตามวรรคหนง่ึ จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมใหผ้ ู้ซง่ึ ตองถวายสตั ย์ปฏญิ าณปฏิบัติหน้าท่ไี ปพลางกอ่ นก็ได้
หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของ
ปวงชนชาวไทย
มาตรา ๒๕ สทิ ธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากท่บี ัญญตั คิ ุม้ ครองไวเ้ ปน็ การเฉพาะ ในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจากัดไว้
ในรัฐธรรมนญู หรอื ในกฎหมายอ่นื บุคคลย่อมมีสทิ ธิ และเสรภี าพูทจ่ ะทาการน้นั ไดแ้ ละได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าทู่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพ
เช่นวา่ นนั้ ไมก่ ระทบกระเทือนหรอื เป็นอนั ตรายตอ่ ความม่ันคงของรฐั ความสงบเรียบรอ้ ยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของ
บุคคลอน่ื
เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๘ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา
สทิ ธิหรือเสรภี าพใดที่รัฐธรรมนูญใหเ้ ปน็ ไปตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ หรอื ใหเ้ ป็นไปตามหลกั เกณฑ์ และวิธีการูทก่ ฎหมายบญั ญัติ แม้ยงั ไม่มีการตรา
กฎหมายนน้ั ข้ึนใชบ้ งั คบั บคุ คลหรอื ชุมชนยอ่ มสามารถ
ใชส้ ิทธิหรอื เสรภี าพน ได้ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
บคุ คลซ่งึ ถูกละเมดิ สทิ ธหิ รือเสรีภาพูทไ่ ด้รับความคมุ้ ครองตามรฐธรรมนญู สามารถยกบทบัญญัติ แหง่ รฐธรรมนญู เพื่อใชส้ ิทธทิ างศาลหรือยกขึนเป็น
ขอตอ่ สู้คดีในศาลได้
บุคคลซง่ึ ไดร้ ับความเสยี หายจากการถกู ละเมิดสิทธหิ รือเสรีภาพหรอื จากการกระทาความผิดอาญา
ของบคุ คลอน่ื ย่อมมีสทิ ธิทจ่ี ะได บการเยียวยาหรอชื ่วยเหลอื จากรฐตามทั ีก่ ฎหมายบญญั ตั
มาตรา ๒๖ การตรากฎหมายทู่มีผลเป็นการจากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไป ตามเง่ือนไขทู่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีท่ี
รัฐธรรมนญู มไิ ดบ้ ัญญตั เิ งอ่ื นไขไว้ กฎหมายดังกลา่ ว ตอ้ งไมข่ ดั ต่อหลักนติ ธิ รรม ไม่เพ่ิมภาระหรือจากัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และ
จะกระทบตอ่ ศักดิศ์ รีความเปน็ มนษุ ย์ของบคุ คลมิได้ รวมูทง้ ตอ้ งระบุเหตุผลความจาเป็นในการจากดั สทิ ธิ และเสรภี าพไวด้ ว้ ย
กฎหมายตามวรรคหน่ึง ต้องมผี ลใช้บงั คบั เป็นการท่วั ไป ไมม่ ุ่งหมายให้ใชบ้ งั คบั แกก่ รณีใด กรณหี นึ่งหรอื แก่บคุ คลใดบคุ คลหนึ่งเปน็ การเจาะจง
มาตรา ๒๗ บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรภี าพและได้รับความคุ้มครอง ตามกฎหมายเท่าเทียมกัน
ชายและหญิงมีสิทธิเทา่ เทียมกัน
การเลอื กปฏบิ ัตโิ ดยไมเ่ ป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าดว้ ยเหตุความแตกต่างในเร่ืองูถน่ กาเนิด เูชอ้ ชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพกิ าร สภาพทางกายหรือ
สุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเูช่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่ง
รฐั ธรรมนญู หรือเหตุอื่นใด จะกระทามไิ ด้
มาตรการทรี่ ฐั กาหนดข้ึนเพือ่ ขจัดอปุ สรรคหรือสง่ เสริมใหบ้ คุ คลสามารถใช้สทิ ธิหรือเสรีภาพ ได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น หรือเพ่ือูค้มครองหรืออานวย
ความสะดวกให้แกเ่ ด็ก สตรี ผูส้ งู อายุ คนพิการ
หรอื ผ อ้ ยโอกาส ยอ่ มไมถ่ อื วา่ เปน็ การเลอื กปฏิบตั โิ ดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม
บุคคลผเู้ ป็นทหาร ตารวจ ขา้ ราชการ เจ้าหนา้ ทููอ่ น่ ของรัฐ และพนกั งานหรือลูกจา้ งขององคก์ ร
ของรฐั ย่อมมีสิทธแิ ละเสรภี าพเชน่ เดียวกบั บคุ คลท่วั ไป เวน้ แต่ท่จี ากดั ไว้ในกฎหมายเฉพาะในส่วนท่ี เูกย่ วกับการเมือง สมรรถภาพ วนิ ัย หรือจรยิ ธรรม
มาตรา ๒๘ บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การจับและการคุมขังบุคคลจะกระทามิได้ เว้นแต่มีคาส่ังหรือ
หมายของศาลหรือมเี หตอุ ย่างอนื่
ตามทูก่ ฎหมายบัญญัติ
การคน้ ตัวบุคคลหรอื การกระทาใดอนั กระทบกระเทอื นตอ่ สิทธิหรอื เสรีภาพในชีวิตหรือรา่ งกาย จะกระทามไิ ด้ เวนแต่มเี หตุตามทกี่ ฎหมายบญั ญัติ
เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๙ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา
การทรมาน ทารุณกรรม หรอื การลงโทษด้วยวธิ กี ารโหดร้ายหรอื ไรมนษุ ยธรรมจะกระทามไิ ด้ มาตรา ๒๙ บุคคลไม่ต้องรับโทษ
อาญา เว้นแต่ไดก้ ระทาการอนั กฎหมายทูใ่ ช้อยใู่ นเวลา
ที่กระทาูนน้ บัญญัตเิ ปน็ ความผดิ และกาหนดโทษไว้ และโทษทูจ่ ะลงแก่บุคคลนน้ั จะหนักกว่าโทษทบ่ี ัญญัตไิ วใ้ น กฎหมายูทใ่ ชอ้ ยู่ในเวลาูทก่ ระทาความผดิ มิได้
ในคดอี าญา ให้สนั นษิ ฐานไว้กอ่ นว่าผูต้ อ้ งหาหรอื จาเลยไม่มีความผดิ และกอ่ นมคี าพิพากษา
อนถงึ ทสี่ ุดแสดงว่าบคุ คลใดไดก้ ระทาความผิด จะปฏิบ ิต่อบุคคลน เสมอื นเป็นผูก้ ระทาความผิดมไิ ด
การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจาเลยให้กระทาได้เพียงเท่าท่ีจาเป็น เพู่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี ในคดีอาญา จะบังคับให้บุคคลใหการเป็น
ปฏปิ กั ษต์ ่อตนเองมไิ ด้
คาขอประกันูผต้ ้องหาหรือจาเลยในคดอี าญาต้องได้รับการพิจารณาและจะเรียกหลักประกัน จนเกินควรแก่กรณีมิได้ การไม่ใหประกันต้องเป็นไป
ตามูทก่ ฎหมายบญั ญตั ิ
มาตรา ๓๐ การเกณฑ์แรงงานจะกระทามิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอานาจตามบทบญั ญัติ แหง่ กฎหมายที่ตราขึ้นเพ่ือป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ
หรือในขณะทม่ี กี ารประกาศสถานการณ์ฉกุ เฉนิ หรอื ประกาศใชกฎอยั การศึก หรอื ในระหว่างเวลาทีป่ ระเทศอยใู่ นภาวะสงครามหรอื การรบ
มาตรา ๓๑ บคุ คลย่อมมีเสรภี าพบริบูรณใ์ นการถอื ศาสนาและย่อมมเี สรีภาพในการปฏิบัติ หรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน
แตต่ อ้ งไมเ่ ปน็ ปฏปิ ักษ์ต่อหนา้ ทข่ี องปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอนั ตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไมข่ ดั ตอ่ ความสงบเรยี บร้อยหรือศีลธรรมอันดขี องประชาชน
มาตรา ๓๒ บุคคลยอ่ มมีสิทธิในความเป็นอย่สู ว่ นตวั เกยี รตยิ ศ ชือ่ เสียง และครอบครัว การกระทาอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อ
สิทธขิ องบคุ คลตามวรรคหนึ่ง หรอื การนาขอ้ มูล
สว่ นบคุ คลไปใชป้ ระโยชนไ์ ม่วา่ ในทางใด ๆ จะกระทามไิ ด้ เวน้ แตโ่ ดยอาศยั อานาจตามบทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมาย ทต่ี ราขน้ึ เพยี งเท่าทีจ่ าเปน็ เพ่อื ประโยชน์สาธารณะ
มาตรา ๓๓ บุคคลยอ่ มมีเสรีภาพในเคหสถาน
การเข้าไปในเคหสถานโดยปราศจากความยินยอมของผคู้ รอบครอง หรือการคน้ เคหสถาน หรือที่รโหฐานจะกระทามิได้ เว้นแต่มีคาส่งหรือหมาย
ของศาลหรือมเี หตุอยา่ งูอน่ ตามท่กี ฎหมายบญญัติ
มาตรา ๓๔ บุคคลยอ่ มมเี สรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการูส่อความหมายโดยวิธูีอ่น การ
จากดั เสรภี าพดังกลา่ วจะกระทามไิ ด้ เว้นแต่โดยอาศัยอานาจตามบทบญั ญตั ิแหง่ กฎหมายทีต่ ราขน้ึ เฉพาะเพอ่ื รักษาความูมน่ คงของรฐั เพือ่ ค้มุ ครองสิทธิหรือเสรภี าพ
ของ บุคคลอื่น เพ่ือรักษาความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอันดขี องประชาชน หรอื เพอ่ื ปอ้ งกันสขุ ภาพของ ประชาชน
เสรีภาพทางวชิ าการย่อมไดร้ บั ความค้มุ ครอง แตก่ ารใชเ้ สรีภาพน้นั ต้องไม่ขัดตอ่ หน้าทข่ี อง ปวงชนชาวไทยหรือศีลธรรมอนดีของประชาชน และ
ตอ้ งเคารพและไมป่ ดิ กัน้ ความเหน็ ต่างของบุคคลอื่น
มาตรา ๓๕ บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่ง
วชิ าชพี
เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๑๐ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา
การสง่ ปิดกิจการหนังสอื พมิ พ์หรือสอ่ื มวลชนอ เพอ่ื ลดรอนเสูรี ภาพตามวรรคหูน่ง จะกระทามิได
การใหน้ าขา่ วสารหรอื ข้อความใด ๆ ทีผ่ ปู้ ระกอบวชิ าชพี ส่ือมวลชนจัดทาขึ้นไปใหเ้ จา้ หนา้ ทต่ี รวจ ก่อนนาไปโฆษณาในหนงั สอื พมิ พห์ รอื ส่ือใด ๆ จะ
กระทามไิ ด้ เวน้ แต่จะกระทาในระหว่างเวลาทป่ี ระเทศ อยใู่ นภาวะสงคราม
เจาของกิจการหนงสอื พิมพห์ รือูสอ่ มวลชนอ่ืนตองเป็นบคุ คลสัญชาตไิ ทย
การให้เงนิ หรือทรัพย์สินอน่ื เพอ่ื อุดหนุนกจิ การหนงั สอื พิมพ์หรอื ส่อื มวลชนอื่นของเอกชน รฐั จะกระทามิได้ หน่วยงานของรัฐท่ีใช้จ่ายเงินหรือทรัพย์สิน
ให้สอ่ื มวลชนไมว่ ่าเพ่ือประโยชน์ในการโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์ หรือเพ่ือการูอน่ ใดในทานองเดยี วกันตอ้ งเปดิ เผยรายละเอยี ดใหค้ ณะกรรมการ ตรวจเงินแผ่นดิน
ทราบตามระยะเวลาทกี่ าหนดและประกาศให้ประชาชนทราบด้วย
เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ซง่ึ ปฏบิ ัติหนา้ ูทูส่ อ่ มวลชนยอ่ มมีเสรีภาพตามวรรคหูนง่ แตใ่ ห้คานึงถึงวัตถปุ ระสงค์ และภารกิจของหน่วยงานที่ตนสงกดั อยดู่ ้วย
มาตรา ๓๖ บุคคลย่อมมเี สรีภาพในการติดตอ่ สื่อสารถึงกันไมว่ า่ ในทางใด ๆ
การตรวจ การกกั หรือการเปดิ เผยขอมลู ทบ่ี คุ คลสื่อสารถงึ กัน รวมท้ังการกระทาดว้ ยประการใด ๆ เพ่ือใหล้ ่วงรู้หรอื ไดม้ าซ่ึงขอ้ มูลทบ่ี คุ คลูสอ่ สารถึง
กนั จะกระทามิได้ เวน้ แต่มคี าสัง่ หรือหมายของศาล หรือมีเหตุอยา่ งอืน่ ตามท่ีกฎหมายบญญัติ
มาตรา ๓๗ บคุ คลยอ่ มมีสทิ ธิในทรพั ย์สินและการสบื มรดก ขอบเขตแหง่ สทิ ธิและการจากดั สิทธิเชน่ ว่านี้ ให้เป็นไปตามูท่กฎหมาย
บญั ญตั ิ การเวนคืนอสงั หาริมทรัพย์จะกระทามไิ ด้ เวน้ แต่โดยอาศยั อานาจตามบทบัญญตั ิแห่งกฎหมาย
ูทต่ ราขน้ึ เพ่ือการอันเป็นสาธารณปู โภค การป้องกันประเทศ หรือการได้มาซ่ึงทรัพยากรธรรมชาติ หรือเพ่ือประโยชน์สาธารณะอย่างูอ่น และต้องชดใช้ค่า
ทดแทนท่เี ป็นธรรม ภายในเวลาอันควรแก่เจ้าของ ตลอดจนผู้ทรงสิทธิบรรดาท่ีได้รับความเสียหายจากการเวนคืน โดยคานึงถึงประโยชน์สาธารณะ
ผลกระทบตอ่ ผ กู เวนคืน รวมท้งั ประโยชน์ทผี่ ู ูกเวนคืนอาจได บั จากการเวนคืนน้นั
การเวนคืนอสงั หารมิ ทรพั ย์ ใหก้ ระทาเพยี งเท่าทูจ่ าเปน็ ต้องใชเ้ พ่อื การทบ่ี ัญญตั ิไว้ในวรรคสาม เว้นแตเ่ ป็นการเวนคนื เพอ่ื นาอสงั หาริมทรพั ยท์ เี่ วนคืนไป
ชดเชยใหเ้ กดิ ความเปน็ ธรรมแก่เจา้ ของอสงั หาริมทรัพย์ ทถ่ี ูกเวนคืนตามท่ีกฎหมายบญญัติ
กฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต้องระบุวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนและกาหนดระยะเวลา การเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ให้ชัดแจ้ง ถ้ามิได้ใช้
ประโยชน์เพู่อการนั้นภายในระยะเวลาท่ีกาหนด หรือมีอสงั หารมิ ทรัพย์เหลอื จากการใช้ประโยชน์ และเจา้ ของเดมิ หรือทายาทประสงค์จะได้คืน ให้คืนแก่
เจ้าของเดิมหรือทายาท
เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๑๑ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา
ระยะเวลาการขอคืนและการคนื อสังหารมิ ทรพั ย์ทีถ่ กู เวนคืนทูม่ ิไดใ้ ช้ประโยชน์ หรือที่เหลอื จาก การใช้ประโยชนใ์ หแ้ ก่เจา้ ของเดมิ หรือทายาท และ
การเรียกคืนค่าทดแทนทชี่ ดใช้ไป ใหเ้ ปน็ ไปตามท่ี กฎหมายบญั ญัติ
การตรากฎหมายเวนคืนอสงหาริมทรัพย์โดยระบุเจาะจงอสงั หาริมทรัพยห์ รอื เจา้ ของอสงั หาริมทรพั ย์
ทถ่ี ูกเวนคนื ตามความจาเป็น มใิ ห อืวาเป่ น็ การขัดต่อมาตรา ๒๖ วรรคสอง
มาตรา ๓๘ บคุ คลย่อมมเี สรีภาพในการเดินทางและการเลือกถิ่นท่ีอยู่ การจากัดเสรีภาพตามวรรคหน่ึงจะกระทามิได้ เว้นแต่โดยอาศัย
อานาจตามบทบัญญตั ิแหง่ กฎหมาย
ท่ตี ราข้ึนเพ่อื ความมั่นคงของรฐั ความสงบเรียบร้อยหรือสวสั ดิภาพของประชาชน หรือการผงั เมือง หรอื เพือ่ รักษาสถานภาพของครอบครัว หรือเพ่ือสวัสดิภาพ
ของผู้เยาว์
มาตรา ๓๙ การเนรเทศบุคคลสัญชาติไทยออกนอกราชอาณาจักร หรอื หา้ มมิใหู้ผม้ ีสัญชาติไทย เขามาในราชอาณาจักร จะกระทามไิ ด้
การถอนสัญชาติของบุคคลซ่ึงมีสญชาติไทยโดยการเกิด จะกระทามิได้ มาตรา ๔๐ บุคคลย่อมมี
เสรภี าพในการประกอบอาชีพ
การจากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทามิได้ เวน้ แตโ่ ดยอาศัยอานาจตามบทบัญญตั ิแห่งกฎหมาย ท่ีตราูข้นเพ่ือรักษาความมั่นคงหรือเศรษฐกิจ
ของประเทศ การแขง่ ขนั อยา่ งเป็นธรรม การปอ้ งกนั หรอื ขจัดการกีดกันหรอื การผูกขาด การูคม้ ครองูผบ้ ริโภค การจดั ระเบยี บการประกอบอาชีพเพียงเท่าท่ีจาเป็น
หรอื เพ่อื ประโยชน์สาธารณะอยา่ งอื่น
การตรากฎหมายเพ่ือจัดระเบียบการประกอบอาชีพตามวรรคสอง ต้องไม่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติ หรือก้าวก่ายการจัดการศึกษาของ
สถาบันการศึกษา
มาตรา ๔๑ บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ
(๑) ไดร้ ับทราบและเข้าถึงขอ้ มลู หรอื ขา่ วสารสาธารณะในครอบครองของหนว่ ยงานของรัฐ ตามทก่ี ฎหมายบัญญัติ
(๒) เสนอเรอื่ งราวรอ้ งทกุ ขต์ อ่ หน่วยงานของรัฐและได้รับแจ้งผลการพจิ ารณาโดยรวดเรว็
(๓) ฟ้องหนว่ ยงานของรัฐใหร้ ับผิดเนื่องจากการกระทาหรือการละเวน้ การกระทาของข้าราชการ พนกั งาน หรือลูกจา้ งของหนว่ ยงานของรฐั
มาตรา ๔๒ บคุ คลย่อมมเี สรีภาพในการรวมกันเปน็ สมาคม สหกรณ์ สหภาพ องค์กร ชุมชน หรือหูมค่ ณะูอ่น
การจากดั เสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทามิได้ เว้นแตโ่ ดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ทู่ตราขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เพื่อ
รกั ษาความสงบเรียบร้อย หรอื ศีลธรรมอนั ดขี องประชาชน หรอื เพ่ือการปอ้ งกันหรือขจดั การกีดกนั หรอื การผูกขาด
เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๑๒ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา
มาตรา ๔๓ บคุ คลและชุมชนย่อมมีสิทธิ
(๑) อนรุ ักษ์ ฟน้ื ฟู หรอื ส่งเสริมภมู ปิ ัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารตี ประเพณี อันดีงามทงั ของทองถ่ินและของชาติ
(๒) จดั การ บารุงรักษา และใชประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลาย ทางชีวภาพอย่างสมดุลและูย่งยืนตามวิธีการที่
กฎหมายบัญญตั ิ
(๓) เขา้ ช่ือกันเพอื่ เสนอแนะต่อหนว่ ยงานของรฐั ให้ดาเนนิ การใดอันจะเป็นประโยชนต์ ่อประชาชน หรือชุมชน หรืองดเว้นการดาเนินการใดอันจะ
กระทบตอ่ ความเปน็ อูยอ่ ยา่ งสงบสุขของประชาชนหรอื ชมุ ชน และได้รบั แจ้งผลการพจิ ารณาโดยรวดเรว็ ทง้ั นี้ หน่วยงานของรฐั ตอ้ งพจิ ารณาข้อเสนอแนะนั้นโดย
ให้ ประชาชนทูเู่กย่ วข้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาดว้ ยตามวธิ ีการที่กฎหมายบญั ญัติ
(๔) จดั ใหม้ รี ะบบสวสดิการของชุมชน
สทิ ธขิ องบุคคลและชมุ ชนตามวรรคหน่ึง หมายความรวมถงึ สทิ ธทิ ่จี ะรว่ มกบั องคก์ รปกครอง ส่วนทองูถน่ หรอื รฐในการดาเนินการดังกลา่ วดวย
มาตรา ๔๔ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ การจากัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทามิได้ เว้นแต่โดย
อาศัยอานาจตามบทบัญญตั แิ หง่ กฎหมาย
ูทต่ ราขึน้ เพอื่ รักษาความม่ันคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน หรือเพู่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของ
บุคคลอ่นื
มาตรา ๔๕ บุคคลยอ่ มมเี สรีภาพในการรวมกนจัดตงั้ พรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอนมีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุข ตามูทก่ ฎหมายบญั ญัติ
กฎหมายตามวรรคหูนง่ อยา่ งนอ้ ยต้องมบี ทบัญญัติเก่ยี วกบั การบริหารพรรคการเมอื ง ูซง่ ตอ้ งกาหนด ให้เป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เปิดโอกาส
ให้สมาชกิ มีส่วนร่วมอยา่ งกว้างขวางในการกาหนดนโยบาย และการสง่ ผสู้ มัครรบั เลอื กตั้ง และกาหนดมาตรการให้สามารถดาเนินการโดยอิสระไม่ถูกครอบงาหรือ
ชี้นา โดยบคุ คลซง่ึ มิไดเ้ ปน็ สมาชกิ ของพรรคการเมอื งูน้น รวมทูง้ มาตรการกากับดแู ลมใิ หส้ มาชิกของพรรคการเมอื ง
กระทาการอนเป็นการฝา่ ฝนื หรอื ไม่ปฏิบ ิตามกฎหมายเกยวกบ่ี การเลือกตั้ง
มาตรา ๔๖ สทิ ธขิ องผู้บรโิ ภคย่อมได้รับความคุ้มครอง บุคคลย่อมมีสิทธิรวมกันจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภคเพื่อคมุ ครองและพิทกษ์
สิทธิของผูบรโิ ภค องค์กรของผูบ้ รโิ ภคตามวรรคสองมีสทิ ธิรวมกันจดั ต้ังเปน็ องคก์ รท่มี ีความเป็นอิสระเพู่อให้เกิดพลัง
ในการคุมครองและพิทกั ษส์ ทิ ธิของผู้บรโิ ภคโดยได้รบั การสนบสนนุ จากรฐั ทงั้ นี้ หลกั เกณฑแ์ ละวิธีการจัดตั้ง อานาจในการเป็นตัวแทนของผู้บริโภค และการสนบสนุน
ดานการเงนจากรัฐ ใหเ้ ป็นไปตามทกี่ ฎหมายบัญญตั ิ
มาตรา ๔๗ บคุ คลยอ่ มมสี ทิ ธไิ ด บั บริการสาธารณสขของรุ ฐั
บุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใชจ้ ่ายตามท่ีกฎหมายบัญญัติ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัด
โรคตดิ ต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสยี คา่ ใช้จ่าย
เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๑๓ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา
มาตรา ๔๘ สิทธิของมารดาในช่วงระหวา่ งก่อนและหลงั การคลอดบุตรย่อมได้รับความคุ้มครอง และช่วยเหลอื ตามที่กฎหมายบัญญัติ
บุคคลซง่ึ มีอายุเกินหกสบิ ปแี ละไม่มีรายไดเ้ พยี งพอแกก่ ารยงั ชพี และบคุ คลูผย้ ากไรย้ ่อมมีสทิ ธิ ไดร้ ับความชว่ ยเหลอื ูทเ่ หมาะสมจากรัฐตามทู่กฎหมาย
บัญญัติ
มาตรา ๔๙ บุคคลจะใชส้ ิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มลา้ งการปกครองระบอบประชาธิปไตย อนมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มไิ ด้
ผใู ดทราบวา่ มกี ารกระทาตามวรรคหูนง่ ยอ่ มมีสทิ ธริ องตอ่ อยั การสงู สดุ เพูอ่ รอ้ งขอใหศ้ าลรัฐธรรมนญู วินจิ ฉยสงั่ การให้เลกิ การกระทาดังกลา่ วได้
ในกรณูีทอ่ ยั การสูงสุดมีคาส่ังไม่รบั ดาเนินการตามูท่รอ้ งขอ หรือไม่ดาเนนิ การภายในสิบห้าวัน
นับแต่วันูทไ่ ด้รับคารอ้ งขอ ผู ้องขอจะยนคาูร่ องโดยตรงตอ่ ศาลรัฐธรรมนูญกได็
การดาเนินการตามมาตรานไ้ี ม่กระทบต่อการดาเนนิ คดอี าญาตอ่ ผูกระทาการตามวรรคหน่ึง
หมวด ๔ หนา้ ท่ขี องปวงชนชาวไทย
มาตรา ๕๐ บคุ คลมีหน้าท่ี ดงต่อไปน้ี
(๑) พิทกั ษ์รักษาไวูซ้ ง่ ชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ และการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย อันมพี ระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุข
(๒) ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติ และสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมท้ังให้ความร่วมมือในการป้องกันและ
บรรเทาสาธารณภยั
(๓) ปฏิบตั ิตามกฎหมายอย่างเคร่งครดั
(๔) เขา้ รบั การศึกษาอบรมในการศกึ ษาภาคบังคบั
(๕) รับราชการทหารตามท่ีกฎหมายบัญญ
(๖) เคารพและไม่ละเมดิ สิทธแิ ละเสรีภาพของบุคคลูอน่ และไมก่ ระทาการใดที่อาจก่อใหเ้ กดิ ความแตกแยกหรอื เกลยี ดชังในสงั คม
(๗) ไปใชส้ ิทธเิ ลือกต้ังหรือลงประชามตอิ ย่างอิสระโดยคานงึ ถึงประโยชน์สว่ นรวมของประเทศ เป็นสาคญั
(๘) ร่วมมือและสนับสนุนการอนรุ ักษ์และคมุ้ ครองูสง่ แวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลาย ทางชวี ภาพ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรม
(๙) เสยี ภาษอี ากรตามท่ีกฎหมายบัญญตั ิ
(๑๐) ไมร่ ว่ มมือหรอื สนับสนนุ การทจุ รติ และประพฤติมิชอบทกุ รปู แบบ
เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๑๔ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา
หมวด ๕ หน้าท่ขี องรฐั
มาตรา ๕๑ การใดที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของรัฐตามหมวดนี้ ถ้าการน้ัน เป็นการทาเพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน
โดยตรง ย่อมเป็นสทิ ธิของประชาชนและชมุ ชนที่จะตดิ ตาม และเรง่ รัดให้รัฐดาเนนิ การ รวมตลอดท้ังฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐท่ีเก่ียวข้อง เพู่อจัดให้ประชาชน
หรอื ชมุ ชนไดร้ บั ประโยชนน์ นั้ ตามหลกเกณฑแ์ ละวิธกี ารทีก่ ฎหมายบญั ญัติ
มาตรา ๕๒ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไวู้ซ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพ แห่งอาณาเขตและเขตท่ีประเทศไทยมีสิทธิ
อธิปไตย เกียรติภมู แิ ละผลประโยชน์ของชาติ ความูมน่ คงของรฐั
และความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการน และการข่าวกรองที่มี รัฐต้องจดั ให้มีการทหาร การทตู
ประสทิ ธิภาพ
กาลังทหารใหใช้เพูอ่ ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศดว้ ย
มาตรา ๕๓ รัฐตอ้ งดูแลใหม้ ีการปฏบิ ตั ติ ามและบังคบั ใช้กฎหมายอยา่ งเครง่ ครัด
มาตรา ๕๔ รัฐต้องดาเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ต้ังแต่ ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมี
คณุ ภาพโดยไม่เกบ็ ค่าใชจ้ ่าย
รฐั ต้องดาเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามวรรคหน่ึง เพ่ือพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และ
สตปิ ัญญาให้สมกบั วัย โดยสง่ เสรมิ และสนับสนุน ใหอ้ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งูถน่ และภาคเอกชนเข้ามสี ่วนร่วมในการดาเนนิ การดวย
รฐั ต้องดาเนินการใหป้ ระชาชนไดร้ บั การศกึ ษาตามความตอ้ งการในระบบตา่ ง ๆ รวมูทง้ สง่ เสริม ใหม้ กี ารเรียนูรต้ ลอดชีวติ และจัดให้มีการร่วมมือ
กนั ระหวา่ งรฐั องค์กรปกครองส่วนท้องูถ่น และภาคเอกชน ในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าท่ีดาเนินการ กากับ ส่งเสริม และสนับสนุนให้การจัด
การศึกษา ดงั กลา่ วมคี ุณภาพและได้มาตรฐานสากล ท้ังน้ี ตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแหง่ ชาติซ่ึงอย่างน้อย ตอ้ งมีบทบญั ญตั ิเกยี่ วกบั การจัดทาแผนการศึกษา
แห่งชาติ และการดาเนินการและตรวจสอบการดาเนินการ ใหเปน็ ไปตามแผนการศกึ ษาแห่งชาติดว้ ย
การศกึ ษาทูง้ ปวงต้องมุง่ พฒั นาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ ตามความถนัดของตน และมีความรับผิดชอบต่อ
ครอบครัว ชมุ ชน สงคม และประเทศชาติ
ในการดาเนนิ การให้เดก็ เล็กได้รับการดูแลและพัฒนาตามวรรคสอง หรือให้ประชาชนได้รับ การศึกษาตามวรรคสาม รัฐต้องดาเนินการให้ผู้ขาด
แคลนทนุ ทรพั ย์ไดร้ บั การสนบั สนุนค่าใช้จา่ ยในการศึกษา ตามความถนดของตน
ให้จัดตั้งกองทุนเพู่อใช้ในการช่วยเหลือูผ้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพู่อลดความเหล่ือมูล้าในการศึกษา และเพ่ือเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและ
ประสิทธภิ าพครู โดยใหร้ ัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุน หรือใช้มาตรการหรือกลไกทางภาษีรวมท้งการให้ผู้บริจาคทรัพย์สินเข้ากองทุนได้รับประโยชน์ในการ
ลดหยอ่ น
เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๑๕ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา
ภาษดี ้วย ทง้ั นี้ ตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ ูซง่ กฎหมายดังกลา่ วอย่างนอ้ ยต้องกาหนดให้การบริหารจัดการกองทนุ เปน็ อิสระและกาหนดให้มีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อ
บรรลวุ ตถุประสงค์ดงั กล่าว
มาตรา ๕๕ รฐั ต้องดาเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขูท่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ
การส่งเสรมิ สขุ ภาพและการป้องกันโรค และส่งเสรมิ และสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาดา้ นแพทยแ์ ผนไทยให้เกิดประโยชน์สงู สดุ
บริการสาธารณสขุ ตามวรรคหนึง่ ตอ้ งครอบคลุมการสง่ เสรมิ สขุ ภาพ การควบคุม และปอ้ งกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟ้นื ฟูสขุ ภาพดวย
รฐตองพฒนาการบริการสาธารณสุขให้มคี ุณภาพและมีมาตรฐานสูงขนึ้ อย่างต่อเนอื่ ง
มาตรา ๕๖ รัฐต้องจัดหรือดาเนินการให้มีสาธารณูปโภคข้ันพื้นฐานที่จาเป็นต่อการดารงชีวิต ของประชาชนอย่างท่ัวถึงตามหลกการพัฒนา
อย่างยง่ ยืน
โครงสรา้ งหรือโครงข่ายขน้ั พูน้ ฐานของกิจการสาธารณูปโภคข้ันพ้นื ฐานของรัฐอันจาเป็นต่อ การดารงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ
รัฐจะกระทาด้วยประการใดให้ตกเปน็ กรรมสิทธิ์ ของเอกชนหรอื ทาให้รฐั เปน็ เจ้าของนอยกว่ารอ้ ยละหา้ สบิ เอ็ดมิได้
การจดั หรือดาเนนิ การใหม้ สี าธารณปู โภคตามวรรคหนง่ึ หรือวรรคสอง รฐั ต้องดแู ลมใิ ห้มีการเรยี กเก็บ คา่ บริการจนเป็นภาระแกป่ ระชาชนเกินสมควร
การนาสาธารณปู โภคของรฐั ไปใหเ้ อกชนดาเนนิ การทางธรุ กิจไม่ว่าด้วยประการใด ๆ รัฐต้องได้รับ ประโยชน์ตอบแทนอย่างเป็นธรรม โดยคานึงถึง
การลงทนุ ของรัฐ ประโยชน์ทรี่ ัฐและเอกชนจะไดร้ บั และค่าบรกิ ารท่ีจะเรียกเก็บจากประชาชนประกอบกัน
มาตรา ๕๗ รฐั ตอ้ ง
(๑) อนรุ ักษ์ ฟูน้ ฟู และส่งเสรมิ ภมู ิปญั ญาทอ้ งถิน่ ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีอันดีงามของท้องูถ่นและของชาติ
และจดั ใหม้ ีพูน้ ที่สาธารณะสาหรบั กิจกรรมทูเ่ ูกย่ วขอ้ ง รวมทงั สง่ เสรมิ และสนบั สนุนให้ประชาชน ชมุ ชน และองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ได้ใช้สิทธิและมีส่วนร่วม
ในการดาเนินการด้วย
(๒) อนุรกษ์ คุมครอง บารงุ รกั ษา ฟูน้ ฟู บริหารจดั การ และใช้หรอื จัดให้มีการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม และความ
หลากหลายทางชีวภาพ ใหเ้ กิดประโยชนอ์ ยา่ งสมดลุ และูย่งยนื โดยต้องให้ประชาชนและชุมชนในท้องูถ่นทู่เูก่ยวข้องมีส่วนร่วมดาเนินการและได้รับประโยชน์
จากการดาเนินการดังกลา่ วด้วยตามท่ีกฎหมายบัญญัติ
มาตรา ๕๘ การดาเนินการใดของรัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดาเนินการ ถ้าการน้ันอาจมี ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพูส่
งแวดล้อม สขุ ภาพ อนามยั คุณภาพชีวิต หรือสว่ นได้เสยี สาคัญอนื่ ใดของประชาชนหรอื ชมุ ชนหรอื สิ่งแวดลอ้ มอย่างรนุ แรง รัฐต้องดาเนินการใหม้ กี ารศกึ ษา และ
ประเมินผลกระทบตอ่ คณุ ภาพส่ิงแวดลอ้ มและสขุ ภาพของประชาชนหรือชมุ ชน และจัดให้มีการรับฟัง
เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๑๖ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา
ความคิดเห็นของผมู้ สี ่วนไดเ้ สียและประชาชนและชมุ ชนูทเ่ กยี่ วขอ้ งก่อน เพูอ่ นามาประกอบการพจิ ารณา ดาเนินการหรืออนญุ าตตามูทก่ ฎหมายบัญญตั ิ
บุคคลและชมุ ชนย่อมมสี ิทธไิ ด้รบั ข้อมูล คาชีแ้ จง และเหตผุ ลจากหนว่ ยงานของรัฐก่อนการดาเนินการ หรอื อนญุ าตตามวรรคหน่งึ
ในการดาเนินการหรืออนญุ าตตามวรรคหนึง่ รฐั ต้องระมัดระวังใหเ้ กดิ ผลกระทบตอ่ ประชาชน ชุมชน ส่งิ แวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ
นอ้ ยทสี่ ุด และตอ้ งดาเนินการใหม้ กี ารเยยี วยา ความเดือดร้อนหรือเสียหายใหแ้ ก่ประชาชนหรอื ชุมชนทูไ่ ด้รับผลกระทบอย่างเปน็ ธรรมและโดยไมช่ ักช้า
มาตรา ๕๙ รฐั ต้องเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐ ที่มิใช่ข้อมูลเูก่ยวกับความมั่นคงของรฐหรือเป็น
ความลบั ของทางราชการตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ิ และตอ้ งจัดให้ ประชาชนเขา้ ถงึ ข้อมูลหรือข่าวสารดังกล่าวไดโ้ ดยสะดวก
มาตรา ๖๐ รัฐต้องรักษาไว้ซ่ึงคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอันเป็น สมบัติของชาติ เพื่อใชให้เกิดประโยชน์แก่
ประเทศชาติและประชาชน
การจัดให้มกี ารใชป้ ระโยชน์จากคูลน่ ความถตี่ ามวรรคหนึ่ง ไมว่ า่ จะใชเ้ พอื่ ส่งวิทยกุ ระจายเสียง วทิ ยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม หรือเพื่อประโยชน์
ูอน่ ใด ต้องเปน็ ไปเพูอ่ ประโยชน์สูงสุดของประชาชน ความมัน่ คงของรัฐ และประโยชนส์ าธารณะ รวมตลอดท้ังการให้ประชาชนมีส่วนได้ใช้ประโยชน์จาก คลื่น
ความถีด่ ว้ ย ทังน้ี ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ
รฐั ต้องจัดให้มีองคก์ รของรฐั ูทม่ คี วามเปน็ อสิ ระในการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ เพือ่ รับผดิ ชอบและกากบั การดาเนินการเกย่ี วกบั คลน่ื ความถ่ีให้เปน็ ไปตามวรรค
สอง ในการนี้ องค์กรดังกล่าวตอ้ งจดั ให้มีมาตรการ ป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์จากผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือสร้างภาระแกู่ผ้บริโภคเกินความจาเป็น
ปอ้ งกนั มใิ หคูลน่ ความูถร่ บกวนกัน รวมตลอดทง้ั ป้องกันการกระทาทู่มีผลเป็นการขัดขวางเสรีภาพในการรับรู้ หรือปิดก้ันการรับรู้ข้อมูลหรือข่าวสารูท่ถูกต้องตาม
ความเปน็ จรงิ ของประชาชน และป้องกนั มใิ หบ้ ุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดใช้ประโยชน์จากคูล่นความถี่โดยไม่คานึงถึงสิทธิของประชาชนท่ัวไป รวมตลอดท้ัง การ
กาหนดสัดส่วนขั้นต่าท่ีผ้ใู ช้ประโยชน์จากคล่ืนความถี่จะต้องดาเนนิ การเพูอ่ ประโยชน์สาธารณะ ท้งั นี้ ตามท่ีกฎหมายบญญัติ
มาตรา ๖๑ รฐั ต้องจดั ให้มีมาตรการหรอื กลไกทมี่ ีประสิทธิภาพในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ ของผู้บริโภคด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการูร้
ขอ้ มลู ทเี่ ป็นจรงิ ดา้ นความปลอดภยั ดา้ นความเป็นธรรม ในการทาสัญญา หรอื ด้านอ่ืนใดอนั เป็นประโยชนต์ ่อผบู ริโภค
มาตรา ๖๒ รัฐต้องรกั ษาวินยั การเงินการคลังอย่างเคร่งครัดเพู่อให้ฐานะทางการเงินการคลัง ของรัฐมีเสถียรภาพและม่ันคงอย่างยั่งยืนตาม
กฎหมายว่าด้วยวินยั การเงินการคลงั ของรัฐ และจดั ระบบภาษี ให้เกดิ ความเปน็ ธรรมแก่สงั คม
เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๑๗ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา
กฎหมายวา่ ด้วยวินัยการเงนิ การคลังของรัฐอยา่ งนอ้ ยต้องมบี ทบัญญัติเก่ียวกับกรอบการดาเนินการ ทางการคลังและงบประมาณของรัฐ การกาหนด
วินยั ทางการคลังดา้ นรายได้และรายจ่ายท้งั เงนิ งบประมาณ
และเงินนอกงบประมาณ การบริหารทรัพย์สนิ ของรัฐและเงนิ คงคลงั และการบริหารหน าธารณะ
มาตรา ๖๓ รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายท่ีเกิดจาก การทุจริตและประพฤติมิชอบทู้งในภาครัฐและ
ภาคเอกชน และจัดให้มมี าตรการและกลไกทม่ี ปี ระสิทธิภาพ เพูอ่ ป้องกันและขจัดการทุจรติ และประพฤตมิ ชิ อบดังกลา่ วอย่างเข้มงวด รวมท้ังกลไกในการส่งเสริม
ให้ประชาชนรวมตวั กนเพูอ่ มสี ว่ นร่วมในการรณรงคใ์ ห้ความรู้ ตอ่ ตา้ น หรอื ช้เี บาะแส โดยไดร้ ับความคุ้มครอง จากรฐตามท่กี ฎหมายบญั ญตั ิ
หมวด ๖ แนวนโยบายแห่ง
รัฐ
มาตรา ๖๔ บทบัญญตั ใิ นหมวดน้เี ป็นแนวทางให้รัฐดาเนินการตรากฎหมายและกาหนดนโยบาย ในการบริหารราชการแผ่นดนิ
มาตรา ๖๕ รฐั พงึ จัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเปา้ หมายการพฒั นาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักธรรมาภิบาลเพู่อใช้เป็นกรอบในการจัดทาแผน
ตา่ ง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกนั เพูอ่ ให้เกดิ เปน็ พลงั ผลกั ดนั ร่วมกนไปสูเ่ ปา้ หมายดังกล่าว
การจัดทา การกาหนดเปา้ หมาย ระยะเวลาทจี่ ะบรรลุเปา้ หมาย และสาระทีพ่ ึงมใี นยุทธศาสตร์ชาติ ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการท่ีกฎหมาย
บัญญตั ิ ทง้ั ูน้ กฎหมายดังกลา่ วตอ้ งมีบทบญั ญตั ิเูกย่ วกบั การมสี ่วนร่วมและการรบฟงั ความคิดเห็นของประชาชนทกุ ภาคส่วนอยา่ งทัว่ ถึงด้วย
ยทุ ธศาสตร์ชาติ เมอ่ื ไดป้ ระกาศในราชกิจจานเุ บกษาแลว้ ใหใช งั คบั ได
มาตรา ๖๖ รัฐพึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาค ในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซงกิจการ
ภายในของกนและกัน ใหค้ วามรว่ มมอื กบั องคก์ ารระหวา่ งประเทศ และคุม้ ครองผลประโยชนข์ องชาตแิ ละของคนไทยในตา่ งประเทศ
มาตรา ๖๗ รัฐพึงอุปถมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในการอุปถัมภ์และูค้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่
ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถอื
มาชา้ นาน รัฐพงึ สง่ เสริมและสนบั สนุนการศกึ ษาและการเผยแผห่ ลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาเถรวาท เพูอ่ ให้เกดิ การพัฒนาจติ ใจและปญั ญา และต้องมมี าตรการ
และกลไกในการป้องกันมิใหม้ ีการบ่อนทาลาย พระพุทธศาสนาไมว่ ่าในรูปแบบใด และพึงสง่ เสรมิ ให้พทุ ธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดาเนินมาตรการ หรือกลไก
ดงั กล่าวด้วย
มาตรา ๖๘ รฐั พึงจดั ระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกดา้ นใหม้ ปี ระสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชน
เขา้ ถงึ กระบวนการยุตธิ รรมไดโ้ ดยสะดวก รวดเรว็ และไม่เสยี คา่ ใชจ้ า่ ยสูงเกนิ สมควร
เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๑๘ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา
รัฐพึงมีมาตรการูคม้ ครองเจา้ หนา้ ท่ีของรฐั ในกระบวนการยุตธิ รรม ใหส้ ามารถปฏิบัติหนา้ ที่ได้ โดยเคร่งครดั ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงา
ใด ๆ
รัฐพึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายท่ีจาเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาส ในการเขาถงึ กระบวนการยตุ ธิ รรม รวมตลอดถึง
การจัดหาทนายความให้
มาตรา ๖๙ รัฐพึงจัดให้มีและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ให้เกิดความรู้
การพฒั นา และนวัตกรรม เพื่อความเข้มแขง็ ของสังคม และเสรมิ สรางความสามารถของคนในชาติ
มาตรา ๗๐ รฐั พึงสง่ เสริมและให้ความคุม้ ครองชาวไทยกูล่มชาติพันูธ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดารงชีวิต ในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตูด้ง
เดิมตามความสมัครใจไดอ้ ยา่ งสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ท้ังน้ี เท่าูท่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตราย ต่อ
ความมน่ คงของรฐั หรอื สขุ ภาพอนามยั
มาตรา ๗๑ รัฐพึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สาคัญ ของสังคม จัดให้ประชาชนมีท่ีอยู่อาศัยอย่าง
เหมาะสม ส่งเสรมิ และพฒั นาการสร้างเสรมิ สขุ ภาพเพูอ่ ให้ ประชาชนมีสุขภาพที่แขง็ แรงและมีจิตใจเขม้ แขง็ รวมตลอดทงั ส่งเสริมและพัฒนาการกฬี าให้ไปสคู่ วามเป็น
เลศิ และเกิดประโยชน์สูงสุดแกป่ ระชาชน
รฐั พงึ สง่ เสริมและพฒนาทรพยากรมนุษย์ใหเปนพลเมอื งทีด่ ี มีคณุ ภาพและความสามารถสูงขึ้น รัฐพึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ูผ้
สงู อายุ คนพิการ ูผย้ ากไร้ และผู้ด้อยโอกาส
ให้สามารถดารงชีวติ ไดอ้ ย่างมีคณุ ภาพ และค้มุ ครองป้องกันมิให้บุคคลดังกล่าวถกู ใช้ความรุนแรง
หรอื ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม รวมตลอดทัง้ ให้การบาบ ฟืน้ ฟแู ละเยยวยาูผู ถ้ กู กระทาการดังกล่าว
ในการจัดสรรงบประมาณ รฐั พึงคานึงถึงความจาเปน็ และความต้องการที่แตกต่างกันของเพศ วัย และสภาพของบุคคล ท้ังน้ี เพื่อความเป็น
ธรรม
มาตรา ๗๒ รฐั พงึ ดาเนินการเก่ยี วกบั ทูด่ นิ ทรพั ยากรูนา้ และพลังงาน ดงตอ่ ไปน้ี
(๑) วางแผนการใช้ท่ดี นิ ของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพนื้ ท่ีและศักยภาพของที่ดนิ ตามหลกการพฒนาอยา่ งย่ังยืน
(๒) จัดใหม้ ีการวางผังเมืองทุกระดบั และบงั คับการใหเ้ ป็นไปตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมตลอดท้ังพัฒนาเมืองให้มีความเจริญโดย
สอดคลอ้ งกับความตอ้ งการของประชาชนในพน้ื ูท่
(๓) จัดให้มีมาตรการกระจายการถอื ครองทูด่ นิ เพอ่ื ให้ประชาชนสามารถมีทที่ ากนิ ได้อย่างทัว่ ถงึ และเปน็ ธรรม
(๔) จดั ให้มที รพั ยากรูนา้ ทีม่ ีคณุ ภาพและเพยี งพอต่อการอปุ โภคบรโิ ภคของประชาชน รวมทัง้ การประกอบเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการ
อื่น
(๕) สง่ เสริมการอนุรักษพ์ ลังงานและการใชพ้ ลังงานอยา่ งคุ้มคา่ รวมทงั้ พฒั นาและสนับสนุน ให้มีการผลิตและการใช้พลังงานทางเลือกเพื่อเสริม
สรางความมัน่ คงดา้ นพลังงานอย่างย่งั ยืน
เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๑๙ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา
มาตรา ๗๓ รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรม ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตท่ีมีปริมาณ
และคณุ ภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใชต้ น้ ทุนูตา่ และสามารถแขง่ ขันในตลาดได้ และพงึ ชว่ ยเหลือเกษตรกรผยู้ ากไร้ให้มีท่ที ากินโดยการปฏิรูปูท่ดิน หรือวิธี
อืน่ ใด
มาตรา ๗๔ รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการทางานอย่างเหมาะสมกับศักยภาพ และวัยและให้มีงานทา และพึงคุ้มครองผู้ใช้
แรงงานใหไ้ ด้รับความปลอดภัยและมสี ุขอนามัยที่ดีในการทางาน ได้รับรายได้ สวสั ดกิ าร การประกนั สังคม และสิทธิประโยชน์อ่นื ท่เี หมาะสมแกก่ ารดารงชพี และ
พงึ จดั ให้มี หรอื สง่ เสรมิ การออมเพื่อการดารงชีพเมอ่ื พนวัยทางาน
รัฐพงึ จดั ให้มรี ะบบแรงงานสมพันธท์ ี่ทุกฝ่ายทู่เกีย่ วของมีส่วนร่วมในการดาเนนิ การ
มาตรา ๗๕ รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างูท่วถึง เป็นธรรม
และูย่งยืน สามารถพ่งึ พาตนเองได้ตามหลักปรชั ญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ขจัดการผูกขาดทางเศรษฐกิจท่ีไม่เป็นธรรม และพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน
ทางเศรษฐกิจของประชาชนและประเทศ
รัฐตอ้ งไมป่ ระกอบกิจการทมี่ ีลักษณะเป็นการแขง่ ขันกบั เอกชน เวน้ แตก่ รณที ่ีมคี วามจาเป็น เพ่ือประโยชนใ์ นการรกั ษาความูมน่ คงของรฐั การรักษา
ผลประโยชนส์ ่วนรวม การจัดให้มสี าธารณปู โภค หรือการจัดทาบริการสาธารณะ
รัฐพึงส่งเสริม สนับสนุน ูค้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และกิจการวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของ
ประชาชนและชุมชน
ในการพัฒนาประเทศ รัฐพึงคานึงถึงความสมดุลระหวา่ งการพัฒนาดา้ นวัตถุกับการพัฒนาด้านจิตใจ และความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน ประกอ
บกนั
มาตรา ๗๖ รัฐพงึ พัฒนาระบบการบรหิ ารราชการแผ่นดินทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถ่ิน และงานของรัฐอย่างูอ่น ให้เป็นไป
ตามหลกการบรหิ ารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยหน่วยงานของรฐั ตองรว่ มมือและชว่ ยเหลอื กนในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน การจัดทาบริการ
สาธารณะ และการใช้จา่ ยเงนิ งบประมาณมปี ระสทิ ธิภาพสูงสุด เพือ่ ประโยชนส์ ุขของประชาชน รวมตลอดทัง้ พัฒนา เจา้ หน้าท่ขี องรฐั ใหม้ ีความซ่ือสตั ย์สจุ ริต และมี
ทัศนคติเปน็ ผู้ให้บรกิ ารประชาชนใหเ้ กิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลอื กปฏิบตั ิ และปฏบิ ัติหน้าท่ีอยา่ งมีประสิทธิภาพ
รฐั พึงดาเนินการให้มีกฎหมายเก่ียวกับการบริหารงานบคุ คลของหน่วยงานของรฐั ใหเ้ ป็นไป ตามระบบคุณธรรม โดยกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้อง
มมี าตรการป้องกันมใิ ห้ผใู้ ดใช้อานาจ หรอื กระทาการ โดยมชิ อบท่ีเปน็ การก้าวก่ายหรอื แทรกแซงการปฏิบัตหิ น้าท่ี หรือกระบวนการแตง่ ตงั้ หรือการพจิ ารณา ความ
ดคี วามชอบของเจา้ หน้าที่ของรัฐ
เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๒๐ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา
รฐั พงึ จัดให ีมาตรฐานทางจรยิ ธรรม เพอื่ ให้หน่วยงานของรัฐใชเป็นหลกั ในการกาหนดประมวลจรยิ ธรรม
สาหรบั เจ้าหนา้ ท่ขี องรฐั ในหนว่ ยงานนนั้ ๆ ซ่งึ ตองไมต่ า่ กว่ามาตรฐานทางจรยิ ธรรมดงั กล่าว
มาตรา ๗๗ รฐั พงึ จัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าท่ีจาเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมาย ที่หมดความจาเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์
หรอื ูทเ่ ปน็ อุปสรรคตอ่ การดารงชวี ติ หรอื การประกอบอาชีพ โดยไม่ชกั ชา้ เพูอ่ ไมใ่ ห้เปน็ ภาระแกป่ ระชาชน และดาเนนิ การใหป้ ระชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ
ไดโดยสะดวกและสามารถเขาใจกฎหมายไดง้ ่ายเพูอ่ ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายได้อยา่ งถูกต้อง
กอ่ นการตรากฎหมายทกุ ฉบบั รฐั พงึ จัดให้มกี ารรบั ฟงั ความคดิ เห็นของผ้เู กีย่ วขอ้ ง วเิ คราะห์ ผลกระทบท่ีอาจเกิดข้ึนจากกฎหมายอย่างรอบด้าน
และเปน็ ระบบ รวมท้ังเปดิ เผยผลการรบั ฟงั ความคิดเห็น และการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชน และนามาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุก
ข้นั ตอน เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธ์ิของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาท่ีกาหนด โดยรับฟังความคิดเห็นของผู้เูก่ยวข้อง
ประกอบดว้ ย เพอ่ื พัฒนากฎหมายทกุ ฉบบั ใหส้ อดคลอ้ งและเหมาะสม กับบริบทต่าง ๆ ทเี่ ปูลย่ นแปลงไป
รฐั พึงใชร้ ะบบอนุญาตและระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณีทจี่ าเปน็ พึงกาหนดหลักเกณฑ์ การใชด้ ลุ พนิ จิ ของเจ้าหนา้ ทีข่ องรัฐและระยะเวลา
ในการดาเนนิ การตามูขน้ ตอนตา่ ง ๆ ท่ีบัญญตั ไิ ว้ ในกฎหมายให้ชดั เจน และพึงกาหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดรา้ ยแรง
มาตรา ๗๘ รฐั พึงส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความูร้ความเข้าใจทีถ่ ูกต้องเก่ียวกบั การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุข และมีสว่ นร่วมในการพัฒนาประเทศ ดา้ นตา่ ง ๆ การจัดทาบรกิ ารสาธารณะูทง้ ในระดับชาตแิ ละระดับท้องูถน่ การตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ การ
ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมตลอดท้ังการตัดสินใจทางการเมือง และการอื่นใด บรรดาท่อี าจมีผลกระทบต่อประชาชนหรือชุมชน
หมวด ๗
รัฐสภา
ส่วนท่ี ๑
บททว่ ไป
มาตรา ๗๙ รฐสภาประกอบด้วยสภาผแู้ ทนราษฎรและวุฒิสภา รัฐสภาจะประชุมร่วมกนหรือแยกกัน ย่อม
เปน็ ไปตามบทบญั ญัติแห่งรัฐธรรมนญู บคุ คลจะเป็นสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและสมาชกิ วฒุ ิสภาในขณะเดียวกันมไิ ด้
มาตรา ๘๐ ประธานสภาผู้แทนราษฎรเปน็ ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภาเปน็ รองประธาน
รฐั สภา
เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๒๑ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา
ในกรณูที ไ่ มม่ ีประธานสภาผแู้ ทนราษฎร หรอื ประธานสภาผ้แู ทนราษฎรไมอ่ ยหู่ รอื ไมส่ ามารถ ปฏิบัติหนา้ ที่ประธานรัฐสภาได้ ให้ประธานวุฒิสภา
ทาหนา้ ทีป่ ระธานรัฐสภาแทน
ในระหว่างที่ประธานวุฒิสภาต้องทาหน้าที่ประธานรัฐสภาตามวรรคสอง แต่ไม่มีประธานวุฒิสภา และเป็นกรณีท่ีเกิดูข้นในระหว่างไม่มีสภา
ผู้แทนราษฎร ใหร้ องประธานวฒุ สิ ภาทาหนา้ ทป่ี ระธานรฐั สภา ถ้าไม่มีรองประธานวุฒิสภา ให้สมาชิกวุฒิสภาูซง่ มอี ายมุ ากทสี่ ดุ ในขณะูนน้ ทาหน้าที่ประธานรฐั สภา
และใหด้ าเนินการเลอื กประธานวุฒสิ ภาโดยเรว็
ประธานรฐั สภามีหน้าทแ่ี ละอานาจตามรัฐธรรมนญู และดาเนินกจิ การของรฐั สภา ในกรณี ประชมุ รว่ มกนั ใหเปน็ ไปตามข้อบงั คับ
ประธานรัฐสภาและผู าหนาทีแ่ ทนประธานรฐสภาต้องวางตนเปนกลางในการปฏบูิ ตั ิหนาท
รองประธานรฐั สภามีหนา้ ทแี่ ละอานาจตามรฐั ธรรมนญู และตามทปี่ ระธานรัฐสภามอบหมาย มาตรา ๘๑ ร่า ง พระรา ชบัญญั ติ
ประกอบรฐั ธรรมนญู และรา่ งพระราชบัญญตั ิ จะตราูขน้ เปน็
กฎหมายได้กแ็ ต่โดยคาแนะนาและยินยอมของรฐั สภา
ภายใต้บังคบั มาตรา ๑๔๕ รา่ งพระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ ทีไ่ ดร้ ับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรี
นาขึน้ ทลู เกล้าทลู กระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตรยิ ์ ทรงลงพระปรมาภิไธย และเม่อื ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาแลว้ ใหใช้บงั คบั เปน็ กฎหมายได้
มาตรา ๘๒ สมาชิกสภาูผแ้ ทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ สิ ภา จานวนไมน่ อ้ ยกว่าหูนง่ ในสิบ ของจานวนสมาชกิ ทัง้ หมดเท่าท่ีมีอูย่ของแต่ละสภา มี
สิทธเิ ขา้ ชือ่ ร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก ว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหูน่งแห่งสภาน้ันสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๐๑ (๓) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙)
(๑๐) หรือ (๑๒) หรือมาตรา ๑๑๑ (๓) (๔) (๕) หรือ (๗) แล้วแต่กรณี และให้ประธานแห่งสภา
ูทไ่ ด้รบั คาร้อง ส่งคารอ้ งน ไปยงั ศาลรฐั ธรรมนูญเพอื วนิ ิจฉยั วา่ สมาชกิ ภาพของสมาชกิ ผ ้ันส้นิ สดุ ลงหรือไม
เมือ่ ไดร้ บั เูรอ่ งไว้พจิ ารณา หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคาูส่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุด
ปฏิบตั หิ น้าท่ีจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคาวนิ ิจฉัย และเูมอ่ ศาลรัฐธรรมนูญมีคาวินิจฉัยแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งคาวินิจฉัยูน้นไปยังประธานแห่งสภาทู่ได้รับ คา
ร้องตามวรรคหน่งึ ในกรณที ี่ศาลรฐั ธรรมนูญวนิ จิ ฉัยวา่ สมาชิกภาพของสมาชิกผู้ถกู รอ้ งูสน้ สุดลง ให้ผู้นัน้
พน้ จากตาแหน่งนับแตว่ ันทหี่ ยดุ ปฏิบัติหน้าท่ี แตไ่ มก่ ระทบต่อกิจการท่ีผนู้ ไดก้ ระทาไปกอ่ นพน้ จากตาแหน่ง
มิให้นับสมาชิกสภาูผ้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาซึ่งหยุดปฏิบัติหน้าทู่ตามวรรคสอง เป็นจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าทู่มีอยู่ของสภา
ผ้แู ทนราษฎรหรือวฒุ ิสภา
ในกรณีท่ีคณะกรรมการการเลอื กตัง้ เห็นวา่ สมาชกิ ภาพของสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรือสมาชิก วุฒิสภาคนใดคนหนึ่งมีเหตูุส้นสุดลงตามวรรคหน่ึง ให้
ส่งเรือ่ งไปยังศาลรัฐธรรมนญู เพูอ่ วนิ จิ ฉัยตามวรรคหน่ึง ได้ด้วย
เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๒๒ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา
ส่วนที่ ๒ สภา
ผแู้ ทนราษฎร
มาตรา ๘๓ สภาผแู ทนราษฎรประกอบด้วยสมาชกิ จานวนหา้ ร้อยคน ดงั น้ี (๑)สมาชิกูซ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่ง
เขตเลือกตังจานวนสามร้อยห้าสิบคน (๒) สมาชกิ ซง่ึ มาจากบัญชรี ายชอื่ ของพรรคการเมืองจานวนหูนง่ ร้อยหา้ สิบคน
ในกรณีูท่ตาแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลงไม่ว่าด้วยเหตุใด และยังไม่มีการเลือกูต้ง หรือประกาศชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรข้ึนแทน
ตาแหน่งทีว่ ่าง ใหส้ ภาผแู้ ทนราษฎรประกอบดว้ ยสมาชิก สภาผูแทนราษฎรเท่าท่มี ีอยู่
ในกรณีมเี หตุใด ๆ ที่ทาใหส้ มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบบญั ชีรายูช่อมีจานวนไม่ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบคน ใหสมาชิกสภาูผ้แทนราษฎรแบบบัญชีรายูช่อประ
กอบดว้ ยสมาชิกเทา่ ูทม่ ีอยู่
มาตรา ๘๔ ในการเลอื กตั้งทัว่ ไป เมื่อมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับเลือกูต้งถึงร้อยละ เก้าสิบห้าของจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง
หมดแลว้ หากมคี วามจาเป็นจะตอ้ งเรยี กประชุมรัฐสภา ก็ให้ดาเนินการเรียกประชุมรัฐสภาได้ โดยให้ถือว่าสภาูผ้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกเท่าท่ี
มีอูย่
แต่ต้องดาเนนิ การใหม้ สี มาชกิ สภาผ ทนราษฎรให้ครบตามจานวนตามมาตรา ๘๓ โดยเร็ว ในกรณเี ช่นูน้
ให้สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรดังกลา่ วอูยใ่ นตาแหนง่ ไดเพยี งเท่าอายขุ องสภาผูแ ทนราษฎรทเ่ี หลืออยู่
มาตรา ๘๕ สมาชกิ สภาูผแ้ ทนราษฎรซง่ึ มาจากการเลือกูต้งแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง ให้ใช้วิธี ออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ
โดยใหแ้ ตล่ ะเขตเลือกูต้งมีสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรได้เขตละหนงึ่ คน
และผู สี ทิ ธิเลอื กตงั มสี ทิ ธอิ อกเสยี งลงคะแนนเลือกูต้งได้คนละหูนง่ คะแนน โดยจะลงคะแนนเลือกูผส้ มครั
รบั เลือกตัง้ ผใู้ ด หรือจะลงคะแนนไมเ่ ลอื กผใู้ ดเลยก็ได้
ใหู้ผส้ มัครรบั เลือกตัง้ ซ่งึ ได้รับคะแนนสงู สุดและมีคะแนนสงู กว่าคะแนนเสียงูทไ่ ม่เลอื กผูใ้ ด เป็นผู้ไดร้ ับเลือกตั้ง
หลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเงอ่ื นไขในการสมัครรับเลือกต้งั การออกเสยี งลงคะแนน การนับคะแนน การรวมคะแนน การประกาศผลการเลือกตั้ง และ
การอน่ื ทูเ่ ูกย่ วขอ้ ง ให้เปน็ ไปตามพระราชบญั ญตั ิ ประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร โดยกฎหมายดังกลา่ วจะกาหนดให้ ผูสมัครรับ
เลือกตงั ต้องยื่นหลกฐานแสดงการเสียภาษเี งนิ ได้ประกอบการสมัครรับเลือกต้งั ดว้ ยก็ได้
ใหค้ ณะกรรมการการเลอื กตงั้ ประกาศผลการเลือกตัง้ เม่อื ตรวจสอบเบื้องต้นแลว้ มีเหตอุ ันควร เชื่อวา่ ผลการเลอื กตั้งเป็นไปโดยสจุ ริตและเทย่ี งธรรม
และมีจานวนไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละเก้าสิบหา้ ของ เขตเลือกูต้งูทง้ หมด ซ่งึ คณะกรรมการการเลือกต้ังตอ้ งตรวจสอบเบือ้ งต้นและประกาศผลการเลือกต้ัง ให้แล้วเสร็จ
โดยเรว็ แตต่ ้องไม่ชา้ กว่าหกสบิ วันนบั แตว่ นั เลอื กตงั้ ทูง้ น้ี การประกาศผลดงั กลา่ วไม่เปน็ การตดั หนา้ ทีแ่ ละอานาจของคณะกรรมการการเลือกตง้ั ที่จะดาเนนิ การ
สบื สวน ไต่สวน หรอื วนิ จิ ฉยั กรณี
เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๒๓ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา
มีเหตุอนั ควรสงสยั ว่ามีการกระทาการทุจริตในการเลือกูต้ง หรอื การเลอื กตั้งไม่เปน็ ไปโดยสจุ รติ หรอื เท่ยี งธรรม ไม่วา่ จะได้ประกาศผลการเลือกตง้ แลว้ หรือไมก่ ต็ าม
มาตรา ๘๖ การกาหนดจานวนสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวดั จะพึงมแี ละการแบ่ง
เขตเลอื กต ให้ดาเนนการตามวิธีการ ดังต่อไปน
(๑) ใหใช้จานวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรท่ีประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มี การเลือกูต้ง เฉลี่ยด้วยจานวน
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามร้อยห้าสิบคน จานวนทีไ่ ดร้ ับให้ถอื วา่ เปน็ จานวนราษฎรตอ่ สมาชิกหน่ึงคน
(๒) จังหวดั ใดมีราษฎรไมถ่ งึ เกณฑ์จานวนราษฎรตอ่ สมาชกิ หน่งึ คนตาม (๑) ใหม้ ีสมาชกิ สภาผแู ทนราษฎรในจงั หวดนั้นไดห้ น่งึ คน โดยให้ถือเขต
จังหวดั เปน็ เขตเลือกตูง้
(๓) จงั หวัดใดมรี าษฎรเกินจานวนราษฎรตอ่ สมาชกิ หนึง่ คน ใหม้ สี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร
ในจงั หวดั น เพูม่ ขึนอีกหนึง่ คนทุกจานวนราษฎรูทถ่ ึงเกณฑจ์ านวนราษฎรตอ่ สมาชิกหูนง่ คน
(๔) เูมอ่ ได้จานวนสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรของแตล่ ะจังหวดั ตาม (๒) และ (๓) แล้ว ถา้ จานวน สมาชิกสภาูผแ้ ทนราษฎรยังไม่ครบสามรอ้ ยหา้ สบิ
คน จงั หวัดใดมเี ศษทูเ่ หลอื จากการคานวณตาม (๓) มากูทส่ ดุ ใหจ้ งหวดั นั้นมสี มาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรเพู่มข้ึนอีกหนึ่งคน และให้เพิ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ตามวธิ กี ารดงกล่าวแก่จงั หวดั ท่ีมเี ศษทูเ่ หลือจากการคานวณนัน้ ในลาดบั รองลงมาตามลาดับจนครบจานวน สามรอยหาสิบคน
(๕) จงั หวัดใดมกี ารเลือกูตง้ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรได้เกนิ หนงึ่ คน ให้แบ่งเขตจงั หวัดออกเป็น เขตเลอื กตัง้ เทา่ จานวนสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรทูพ่ ึงมี
โดยตอ้ งแบ่งพนื้ ทูข่ องเขตเลือกูต้งแต่ละเขตใหต้ ดิ ต่อกัน และตอ้ งจดั ให้มีจานวนราษฎรในแต่ละเขตใกลเ้ คียงกนั
มาตรา ๘๗ ผ้สู มคั รรบเลือกูต้งสมาชิกสภาผูแทนราษฎรแบบแบง่ เขตเลือกตง้ั ต้องเป็นผซู้ ่งึ
พรรคการเมืองท่ีตนเป็นสมาชกิ ส่งสมคั รรับเลือกต และจะสมครรั บั เลือกตงั เกินหน่งึ เขตมิได
เมือ่ มีการสมัครรบั เลือกูต้งแลว้ ผสู้ มัครรบั เลือกตง้ั หรอื พรรคการเมอื งจะถอนการสมัครรบั เลอื กตั้ง หรอื เปลย่ี นแปลงผสู้ มัครรับเลือกูต้งได้เฉพาะกรณี
ูผส้ มคั รรับเลือกตัง้ ตายหรือขาดคุณสมบัตหิ รอื มลี กั ษณะ ตอ้ งหา้ ม และตอ้ งกระทาก่อนปิดการรบั สมัครรับเลือกตงั้
มาตรา ๘๘ ในการเลือกตัง้ ูทว่ ไป ใหพ้ รรคการเมืองท่ีส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแจ้งรายช่ือบุคคล ูซ่งพรรคการเมืองน้ันมีมติว่าจะเสนอให้สภาูผ้แทน
ราษฎรเพูอ่ พจิ ารณาให้ความเห็นชอบแต่งตัง้ เป็นนายกรัฐมนตรี ไมเ่ กนิ สามรายชอ่ื ต่อคณะกรรมการการเลอื กต้ังกอ่ นปดิ การรบั สมัครรับเลอื กตั้ง และให้คณะกรรมการ
การเลอื กตัง้ ประกาศรายูชอ่ บคุ คลดงั กล่าวใหป้ ระชาชนทราบ และให้นาความในมาตรา ๘๗ วรรคสอง
มาใช งคบโดยอนุโลม พรรคการเมืองจะไม่เสนอรายูช่อบุคคลตามวรรคหนึ่งก็ได้
มาตรา ๘๙ การเสนอช่อื บคุ คลตามมาตรา ๘๘ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดงั ต่อไปน