The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความสำคัญของรัฐธรรมนูญ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ภีรพงษ์ กรมสร้อย, 2023-01-03 21:49:31

ความสำคัญของรัฐธรรมนูญ

ความสำคัญของรัฐธรรมนูญ

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๒๔ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

(๑) ตอ้ งมีหนังสือยนิ ยอมของบคุ คลูซง่ ได้รับการเสนอชื่อ โดยมรี ายละเอียดตามูทค่ ณะกรรมการ การเลอื กต้ังกาหนด

(๒) ผู้ไดร้ ับการเสนอช่ือตอ้ งเปน็ ผมู้ คี ณุ สมบตั ิและไมม่ ลี ักษณะต้องหา้ มท่จี ะเป็นรฐั มนตรี ตามมาตรา ๑๖๐ และไมเ่ คยทาหนังสือยินยอมตาม (๑)

ให้พรรคการเมอื งอืน่ ในการเลอื กต้งคราวูนน้

การเสนอชอ่ื บุคคลใดที่มิได้เป็นไปตามวรรคหูนง่ ให้ถอื ว่าไมม่ ีการเสนอชอื่ บคุ คลนนั ้

มาตรา ๙๐ พรรคการเมอื งใดส่งผู้สมัครรับเลือกต้ังแบบแบง่ เขตเลือกูต้งแลว้ ให้มีสทิ ธิ สง่ ผสู้ มครรับเลอื กตงั แบบบัญชีรายูชอ่ ได้

การสง่ ผู้สมัครรับเลือกูต้งแบบบญั ชีรายชื่อ ใหพ้ รรคการเมืองจดั ทาบัญชีรายชอ่ื พรรคละหนึง่ บญั ชี โดยูผส้ มคั รรับเลือกต้ังของแต่ละพรรคการเมือง

ตอ้ งไมูซ่ า้ กนั และไม่ซ้ากับรายูชอ่ ูผส้ มัครรับเลือกตง้ั แบบแบง่ เขตเลอื กตงั้ โดยสง่ บญชีรายชอื่ ดังกลา่ วใหค้ ณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง

สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรแบบแบง่ เขตเลอื กตงั้

การจัดทาบัญชรี ายชอ่ื ตามวรรคสอง ตอ้ งใหส้ มาชกิ ของพรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการพจิ ารณาดว้ ย
โดยต้องคานึงถึงผ มัครรับเลอื กตงั จากภ ิภาคตา่ ง ๆ และความเทาเทียมกันระหวา่ งชายและหญงิ

มาตรา ๙๑ การคานวณหาสมาชิกสภาผูแทนราษฎรแบบบัญชีรายช่ือของแต่ละพรรคการเมือง ใหด้ าเนินการตามหลกเกณฑ์

ดังต่อไปน้ี

(๑) นาคะแนนรวมท้งั ประเทศูทพ่ รรคการเมืองทุกพรรคูท่ส่งผู้สมัครรับเลือกต้ังแบบบัญชีรายูช่อ ได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกต้ังหา

รดวยหารอ้ ยอนั เป็นจานวนสมาชกิ ทังหมดของสภาผู้แทนราษฎร (๒) นาผลลพั ธ์ตาม (๑) ไปหารจานวนคะแนนรวมท้งั ประเทศของพรรคการเมอื งแต่ละพรรค

ท่ีไดร้ ับจากการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกูต้งทุกเขต จานวนท่ีไดร้ บั ให้ถือเป็นจานวน

สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรท่ีพรรคการเมอื งนันจะพงึ มีได้

(๓) นาจานวนสมาชิกสภาูผ้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองจะพึงมีได้ตาม (๒) ลบด้วยจานวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต

เลอื กตั้งทงั้ หมดูทพ่ รรคการเมอื งนั้นได้รับเลอื กูต้งในทกุ เขตเลือกต้ัง

ผลลพั ธค์ อื จานวนสมาชกิ สภาผ ทนราษฎรแบบบญชั รี ายชอ่ื ทพรรคการเมองูน่ื น้ั จะได้รบั

(๔) ถา้ พรรคการเมอื งใดมผี ไู้ ดร้ ับเลือกตั้งเป็นสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบง่ เขตเลือกตง้ั เท่ากับหรอื สูงกว่าจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทู่พรรค

การเมอื งนั้นจะพงึ มีไดต้ าม (๒) ใหพรรคการเมอื งนั้น มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามจานวนทู่ได้รับจากการเลือกูต้งแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง และไม่มีสิทธิได้รับ การ

จัดสรรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชรี ายูชอ่ และให้นาจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชี รายูช่อท้ังหมดไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองูท่มีจานวน

สมาชิกสภาูผแ้ ทนราษฎรแบบแบง่ เขตเลือกูต้ง ูต่ากวา่ จานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทู่พรรคการเมืองูน้นจะพึงมีได้ตาม (๒) ตามอัตราส่วน แต่ต้อง ไม่มีผลให้

พรรคการเมืองใดดงกล่าวมีสมาชิกสภาผแู ทนราษฎรเกนิ จานวนท่ีจะพงึ มีไดต้ าม (๒)

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๒๕ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา

(๕) เูมอ่ ไดจ้ านวนผไู้ ด้รบั เลือกตง้ั แบบบญั ชรี ายชื่อของแต่ละพรรคการเมอื งแลว้ ใหผ้ ูส้ มัคร รับเลือกต้งตามลาดับหมายเลขในบัญชีรายูช่อส
มาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรแบบบัญชรี ายช่อื ของพรรคการเมืองนน้ั
เป็นผ้ไู ดร้ บั เลอื กตง้ เป็นสมาชกิ สภาผ ทนราษฎร

ในกรณที ูผ่ี ส้ มคั รรับเลือกต้ังผู้ใดตายภายหลงั วนั ปิดรับสมคั รรับเลือกตง้ั แต่กอ่ นเวลาปิดการลงคะแนน
ในวนั เลอื กตงั้ ให าคะแนนท่ีมีผ งคะแนนให้มาคานวณตาม (๑) และ (๒) ด้วย

การนบั คะแนน หลกเกณฑ์และวธิ ีการคานวณ การคิดอัตราสว่ น และการประกาศผลการเลือกต้งั ให้เป็นไปตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญ
วา่ ดว้ ยการเลอื กตง้ สมาชิกสภาผแู ทนราษฎร

มาตรา ๙๒ เขตเลอื กต้ังทีไ่ มม่ ผี ้สู มคั รรับเลอื กต้ังรายใดได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมากกว่า คะแนนเสียงที่ไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรในเขตเลือกูต้งนน้ั ใหจ้ ัดใหม้ ีการเลือกต้ังใหม่ และมใิ ห้นับคะแนนทูี่ผส้ มัครรับเลือกตั้งแตล่ ะคนไดร้ ับไปใชใ้ นการคานวณตามมาตรา ๙๑ ในกรณีเช่นน้ี ให้
คณะกรรมการการเลือกูต้งดาเนนิ การให้มีการรบั สมัครผสู้ มัครรับเลอื กต้งั ใหม่ โดยผู้สมคั รรบั เลือกูต้งเดิม ทุกรายไม่มีสทิ ธสิ มครรบั เลอื กต้งในการเลอกตงั้ ท่ีจะจดขนึ
ใหมน่ นั้

มาตรา ๙๓ ในการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าต้องมีการเลือกต้ังแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ในบางเขต หรือบางหน่วยเลือกตั้งก่อนประกาศผลการ
เลอื กตง้ ั หรอื การเลอื กตงั ยังไมแ่ ลว้ เสรจ็ หรือยังไม่มกี ารประกาศ ผลการเลือกต้ังครบทกุ เขตเลอื กูต้งไมว่ า่ ดว้ ยเหตุใด การคานวณจานวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ูทแ่ ตล่ ะ พรรคการเมืองพึงมี และจานวนสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อทีแ่ ตล่ ะพรรคการเมืองพึงไดร้ บั ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขท่ี
บญั ญัตไิ ว้ในพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ย การเลอื กตงั สมาชกิ สภาผูแทนราษฎร

ในกรณีูทผ่ ลการคานวณตามวรรคหูนง่ ทาให้จานวนสมาชกิ สภาูผแ้ ทนราษฎรแบบบญั ชีรายชื่อ ของพรรคการเมืองใดลดลง ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
แบบบัญชีรายชอื่ ของพรรคการเมืองูนน้ ในลาดบั ท้าย ตามลาดบั พ้นจากตาแหน่ง

มาตรา ๙๔ ภายในหนึง่ ปีหลังจากวนั เลอื กตัง้ อันเปน็ การเลือกตั้งทว่ั ไป ถ้าตอ้ งมกี ารเลอื กตัง้
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกูต้งใดูข้นใหม่ เพราะเหตุท่ีการเลือกตั้ง ในเขตเลือกตง้ นน้ั มไิ ดเ้ ปน็ ไปโดยสุจริตและเทียงธรรม
ใหน้ าความในมาตรา ๙๓ มาใชบ้ งั คับโดยอนุโลม

การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตาแหน่งูท่ว่างไม่ว่าด้วยเหตุใดภายหลังพ้นเวลาหนึ่งปี นับแต่วันเลือกูต้งท่ัวไป มิให้มีผลกระทบกับการ
คานวณสมาชกิ สภาูผแ้ ทนราษฎรที่แตล่ ะพรรคการเมอื ง จะพึงมตี ามมาตรา ๙๑

มาตรา ๙๕ บคุ คลผู้มคี ุณสมบตั ดิ งั ตอ่ ไปน เปน็ ผมู้ ูสิ ทธิเลอื กตัง้
(๑) มสี ัญชาติไทย แต่บุคคลผมู้ สี ัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ตอ้ งไดส้ ัญชาติไทยมาแล้ว ไม่น้อยกวา่ ห้าปี

(๒) มอี ายุไมต่ ่ากวา่ สบิ แปดปใี นวนั เลอื กต้งั

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๒๖ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา

(๓) มชี อื่ อยูใ่ นทะเบียนบ้านในเขตเลือกตง้ มาแลว้ เปน็ เวลาไมน่ ้อยกว่าเก้าสิบวนนับถงึ วนั เลอื กตั้งูผม้ ีสิทธิเลอื กต้งั ูซง่ อยนู่ อกเขตเลอื กูต้งท่ตี นมูีช่

ออยู่ในทะเบยี นบา้ น หรือมูชี อ่ อยูใ่ นทะเบียนบ้าน ในเขตเลือกต้งเป็นเวลานอ้ ยกวา่ เกาสิบวันนับถึงวันเลือกตั้ง หรือมีถิ่นที่อูย่นอกราชอาณาจักร จะขอลงทะเบียน

เพือ่ ออกเสยี งลงคะแนนเลือกต้ังนอกเขตเลือกต้ัง ณ สถานทู่ และตามวนั เวลา วิธกี าร และเง่อื นไข

ูทบ่ ญั ญัติไวในพระราชบัญญตั ิประกอบรฐธรรมนญว่าดวยการเลือกต้งสมาชิกสภาผูแทนราษฎรก็ได้ ผู้มีสิทธิเลือกูต้งซ่ึงไม่ไปใช้สิทธิเลือกูต้งโดยมิได้แจ้งเหตุอันสมควร

ตามพระราชบญั ญตั ปิ ระกอบ

รัฐธรรมนูญว่าดวยการเลอื กตงั สมาชิกสภาผแู ทนราษฎร อาจถูกจากดั สทิ ธบิ างประการตามูทก่ ฎหมายบัญญตั ิ

มาตรา ๙๖ บคุ คลผมู้ ีลกั ษณะดงตอ่ ไปนใ้ี นวนเลือกต เป็นบุคคลตอ้ งหา้ มมใิ หใ้ ชส้ ิทธเิ ลือกต้ัง

(๑) เปน็ ภกิ ษุ สามเณร นกั พรต หรือนักบวช

(๒) อูยใ่ นระหวา่ งถูกเพกิ ถอนสทิ ธเิ ลอื กต้งไม่วา่ คดนี น้ั จะถึงูทส่ ุดแลว้ หรือไม่

(๓) ต้องคุมขังอูยโ่ ดยหมายของศาลหรือโดยคาส่งั ที่ชอบด้วยกฎหมาย

(๔) วกิ ลจรติ หรอื จติ ฟ่นั เฟือนไมส่ มประกอบ

ผู้แทนราษฎร มาตรา ๙๗ บุ คคลูผ้ มี คุ ณ สม บั ติ ดั งต่ อ ไปน สภ า เป็นผู้มสี ิทธิสมัครรับเลอื กตั้งเปน็ สมาชิก

(๑) มีสญชาตไิ ทยโดยการเกิด

(๒) มอี ายุไมู่ต่ากว่าูยส่ บิ หา้ ปีนบถงึ วนั เลอื กตงั ้

(๓) เปน็ สมาชกิ พรรคการเมืองใดพรรคการเมอื งหน่งึ แต่เพียงพรรคการเมอื งเดยี วเปน็ เวลา ตดิ ต่อกนั ไม่น้อยกว่าเกา้ สิบวันนับถึงวันเลือกูต้ง เว้นแต่

ในกรณีท่ีมกี ารเลือกต้งั ทั่วไปเพราะเหตุยบุ สภา ระยะเวลาเกา้ สิบวันดังกล่าวใหลดลงเหลือสามสิบวัน

(๔) ผ มรคั บั เลอื กตงั แบบแบ่งเขตเลอื กตง้ั ตองมลี กั ษณะอยางใดอยางหูน่ึ ่งดงตอ่ ไปนี้ดวย

(ก) มชี ื่ออยู่ในทะเบยี นบ้านในจังหวดั ูทส่ มคั รรับเลอื กตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดตอ่ กนั ไมน่ ้อยกว่าหา้ ปนี ับถึงวนั สมัครรับเลือกตงั ้

(ข) เป็นบุคคลซึง่ เกดิ ในจงหวัดูทส่ มัครรับเลือกตั้ง

(ค) เคยศกึ ษาในสถานศึกษาูทต่ ้งั อยใู่ นจังหวัดทูส่ มคั รรับเลอื กตง้ั เป็นเวลาติดตอ่ กัน ไมน่ อ้ ยกว่าหาปกี ารศึกษา

(ง) เคยรับราชการหรือปฏิบัติหนา้ ทใี่ นหนว่ ยงานของรฐั หรอื เคยมีชื่ออยู่ในทะเบยี นบา้ น ในจังหวดั ท่ีสมัครรบเลอื กต้ัง แลวแต่กรณี

เป็นเวลาตดิ ตอ่ กนไมน่ อ้ ยกวา่ หา้ ปี

มาตรา ๙๘ บุคคลผู้มลี ักษณะดังตอ่ ไปนี้ เปน็ บคุ คลตอ้ งห้ามมใิ ห้ใชส้ ทิ ธิสมคั รรับเลือกตั้ง

เปน็ สมาชิกสภาผ ทนราษฎร

(๑) ตดิ ยาเสพติดให้โทษ

(๒) เป็นบุคคลลม้ ละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

(๓) เปน็ เจ้าของหรอื ผู้ถอื หุนในกจิ การหนังสือพิมพห์ รือสอ่ื มวลชนใด ๆ

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๒๗ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา

(๔) เป็นบคุ คลผู้มลี กั ษณะต้องห้ามมใิ ห้ใช้สิทธเิ ลือกตั้งตามมาตรา ๙๖ (๑) (๒) หรอื (๔) (๕) อยรู่ ะหวา่ งถูกระงบั การใช้สิทธิสมัครรับ

เลือกตั้งเปน็ การชว่ั คราวหรือถูกเพกิ ถอนสิทธิสมัคร

รับเลือกต

(๖) ตอ้ งคาพ พิ ากษาใหจ้ าคกุ และถกู คมุ ขงั อยโดยหมายของศาูล่

(๗) เคยได้รบั โทษจาคุกโดยไดพ้ น้ โทษมายงไมูถ่ งึ สิบปีนบั ถงึ วนั เลอื กตั้ง เว้นแตใ่ นความผดิ

อันไดก้ ระทาโดยประมาทหรอื ความผิดลหุโทษ

(๘) เคยถูกสัง่ ให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรฐั หรือรฐั วิสาหกจิ เพราะทจุ รติ ต่อหนา้ ท่ี หรือถือว่ากระทาการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวง

ราชการ

(๙) เคยต้องคาพิพากษาหรือคาสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะรา่ รวยผดิ ปกติ หรือเคยต้องคาพิพากษา

อนั ถึงท่ีสดุ ให้ลงโทษจาคกุ เพราะกระทาความผดิ ตามกฎหมาย ว่าด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต

(๑๐) เคยต้องคาพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการ หรอื ตอ่ ตาแหนง่ หน้าที่ในการยตุ ิธรรม หรือ

กระทาความผดิ ตามกฎหมายว่าดว้ ยความผดิ ของพนักงาน ในองค์การหรอื หนว่ ยงานของรฐั หรอื ความผิดเกีย่ วกบั ทรัพยท์ ่กี ระทาโดยทุจริตตามประมวลกฎหมาย

อาญา

ความผดิ ตามกฎหมายว่าด้วยการก มื เงนิ ทเี่ ป็นการฉอ้ โกงประชาชน กฎหมายว่าดว้ ยยาเสพตดในความูผิ ด

ฐานเป็นผ้ผู ลิต นาเข้า ส่งออก หรอื ผคู้ ้า กฎหมายวา่ ดว้ ยการพนนั ในความผิดฐานเปน็ เจ้ามือหรือเจ้าสานัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้า

มนษุ ย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การฟอกเงินในความผดิ ฐานฟอกเงิน

(๑๑) เคยต้องคาพิพากษาอนถงึ ูทส่ ดุ ว่ากระทาการอันเป็นการทุจรติ ในการเลอื กตูง้ (๑๒) เปน็ ข้าราชการซงึ่ มีตาแหนง่ หรอื เงนิ เดอื น

ประจานอกจากขาราชการการเมอื ง (๑๓) เปน็ สมาชิกสภาทอ้ งูถน่ หรือผบู้ ริหารทอ้ งถน่ิ

(๑๔) เป็นสมาชกิ วุฒสิ ภาหรอื เคยเปน็ สมาชกิ วฒุ ิสภาและสมาชกิ ภาพส้ินสุดลงยงไม่เกนิ สองปี

(๑๕) เปน็ พนกั งานหรอื ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรฐั หรอื รฐั วสิ าหกจิ หรอื เปน็ เจ้าหนาท่อี ่นื ของรัฐ

(๑๖) เปน็ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู หรอื ผดู้ ารงตาแหนง่ ในองค์กรอิสระ

(๑๗) อูยใ่ นระหวา่ งต้องหามมใิ ห้ดารงตาแหนง่ ทางการเมือง

(๑๘) เคยพ้นจากตาแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔ หรือมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม มาตรา๙๙ อ า ยุ ข อ ง ส ภ า

ผู้แทนราษฎรมกี าหนดคราวละูสป่ ีนบั แตว่ ันเลือกต้งั

ในระหว่างอายขุ องสภาผู้แทนราษฎร จะมีการควบรวมพรรคการเมืองที่มสี มาชกิ เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรมไิ ด้

มาตรา ๑๐๐ สมาชกิ ภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเูร่มตง้ แต่วันเลือกตง้ั มาตรา ๑ ๐ ๑

สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผแู ทนราษฎรส้นิ สุดลง เม่ือ

เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๒๘ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา

(๑) ถึงคราวออกตามอายขุ องสภาผแู ทนราษฎร หรือมีการยุบสภาผูแทนราษฎร

(๒) ตาย

(๓) ลาออก

(๔) พนจากตาแหน่งตามมาตรา ๙๓

(๕) ขาดคุณสมบ ติ ามมาตรา ๙๗

(๖) มีลกษณะตองห้ามตามมาตรา ๙๘

(๗) กระทาการอนั เป็นการต้องหา้ มตามมาตรา ๑๘๔ หรอื มาตรา ๑๘๕

(๘) ลาออกจากพรรคการเมืองทีต่ นเปน็ สมาชกิ

(๙) พน้ จากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมอื งทูต่ นเปน็ สมาชิกตามมตขิ องพรรคการเมอื งนน้ั ดว้ ยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในูส่ของที่ประชุมร่วม

ของคณะกรรมการบริหารของพรรคการเมือง และสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรูทส่ งั กดั พรรคการเมอื งนัน้ ในกรณเี ช่นนี้ ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรูผ้นั้น มิได้เข้าเป็น

สมาชกิ ของพรรคการเมอื งูอน่ ภายในสามสบิ วนั นบั แตว่ นั ทีพ่ รรคการเมอื งมมี ติ ให้ถือวา่ สน้ิ สุด สมาชิกภาพนับแตว่ ันูทพ่ นสามสบิ วนั ดงั กลา่ ว

(๑๐) ขาดจากการเปน็ สมาชกิ ของพรรคการเมอื ง แตใ่ นกรณีทข่ี าดจากการเป็นสมาชกิ ของ พรรคการเมืองเพราะมคี าูสง่ ยุบพรรคการเมอื งที่สมาชิก

สภาูผแ้ ทนราษฎรูผน้ ้ันเป็นสมาชกิ และสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎรผูนู้ น้ ไม่อาจเข้าเปน็ สมาชิกของพรรคการเมอื งอน่ื ไดภ้ ายในหกสิบวนั นบั แตว่ ันทมี่ ีคาสง่ั

ยบุ พรรคการเมอื ง ในกรณีเช่นน ใหถ้ อื วาส่ ิน้ สดุ สมาชิกภาพนับแต่วันถัดจากวนทูค่ รบกาหนดหกสิบวันน

(๑๑) พนจากตาแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔ หรอื มาตรา ๒๓๕ วรรคสาม

(๑๒) ขาดประชมุ เกินจานวนหน่ึงในสีข่ องจานวนวันประชมุ ในสมยั ประชมุ ทมี่ ีกาหนดเวลา ไม่นอ้ ยกว่าหนู่งร้อยูย่สิบวันโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก

ประธานสภาผแู ทนราษฎร

(๑๓) ตอ้ งคาพพิ ากษาถงึ ท่ีสุดใหจ้ าคุก แม้จะมกี ารรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษ ในความผิดอนั ได้กระทาโดยประมาท ความผิดลหุ

โทษ หรอื ความผิดฐานหมิ่นประมาท

มาตรา ๑๐๒ เมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรูส้นสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตรา พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกูต้ง

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เปน็ การเลอื กตั้งทว่ั ไปภายในส่ีสบิ หา้ วนั

นับแตว่ นั ทีส่ ภาผ้แู ทนราษฎรส อาย

การเลือกตง้ั ตามวรรคหนึ่ง ตอ้ งเป็นวนั เดียวกนั ท่วั ราชอาณาจกั รตามทค่ี ณะกรรมการการเลือกูต้ง ประกาศกาหนดในราชกจิ จานเุ บกษา

มาตรา ๑๐๓ พระมหากษตั รยิ ์ทรงไว้ซ่ึงพระราชอานาจทู่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพ่ือให้มี การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ใหมเ่ ป็นการเลือกตงั้ ทว่ ไป

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทาโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทาได้เพยี งครั้งเดยี ว ในเหตกุ ารณเ์ ดียวกัน

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๒๙ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

ภายในห้าวนั นบั แต่วันทพี่ ระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งใช้บังคับ ให้คณะกรรมการการเลือกูต้ง ประกาศกาหนดวันเลือกต้ังท่ัวไปในราชกิจจา
นุเบกษา ซ่ึงต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ วันเลือกตั้งนันต้องกาหนดเป็นวันเดียวกันทั่ว
ราชอาณาจกั ร มาตรา ๑๐๔ ในกรณีท่ีมเี หตุจาเปน็ อนั มอิ าจหลกี เูลย่ งได้ เปน็ เหตุให้ไม่สามารถจัดการเลือกตัง้
ตามวนทูค่ ณะกรรมการการเลอื กต้งประกาศกาหนดตามมาตรา ๑๐๒ หรือมาตรา ๑๐๓ คณะกรรมการ การเลอื กต้ังจะกาหนดวนั เลือกูต้งใหม่ก็ได้ แต่ตอ้ งจดั ใหม้ ี
การเลอื กต้งั ภายในสามสบิ วันนับแตว่ ันท่ี เหตดุ งั กล่าวสนิ้ สดุ ลง แตเ่ พอื่ ประโยชน์ในการนบั อายุตามมาตรา ๙๕ (๒) และมาตรา ๙๗ (๒) ให้นับถึง วันเลือกต้ังทู่
กาหนดไว้ตามมาตรา ๑๐๒ หรอื มาตรา ๑๐๓ แลว้ แต่กรณี

มาตรา ๑๐๕ เมอื่ ตาแหนง่ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรว่างลงเพราะเหตอุ ่นื ใด นอกจากถึงคราว ออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือเูม่อมี
การยบุ สภาผแู ทนราษฎร ใหด้ าเนนิ การ ดังต่อไปนี้

(๑) ในกรณทีูเ่ ป็นตาแหน่งสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรท่ีมาจากการเลือกต้ังแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง ให้ดาเนินการตราพระราชกฤษฎีกาเพู่อจัดให้มีการ
เลอื กต้ังสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรูขน้ แทนตาแหน่งท่วี า่ ง เวน้ แตอ่ ายขุ องสภาผู้แทนราษฎรจะเหลอื อยู่ไมถ่ ึงหน่ึงรอ้ ยแปดสิบวัน และให้นาความในมาตรา ๑๐๒ มา
ใช้บงั คบั โดยอนุโลม

(๒) ในกรณีที่เป็นตาแหนง่ สมาชิกสภาูผ้แทนราษฎรแบบบัญชีรายูช่อ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประกาศให้ผู้มูีช่ออยู่ในลาดับถัดไปในบัญชีรายช่ือ
ของพรรคการเมืองนน้ั เลือ่ นขน้ึ มาเป็นสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร แทนตาแหน่งทว่ี ่าง โดยตอ้ งประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในเจ็ดวันนับแต่วันท่ีตาแหน่งนั้นว่างลง
หากไม่มรี ายชือ่ เหลอื อูยใ่ นบญชทูี จ่ ะเล่อื นขึนมาแทนตาแหน่งทีว่ า่ ง ใหส้ มาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบญั ชรี ายชอื่ ประกอบด้วยสมาชกิ เทา่ ท่ีมีอยู่

สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เข้ามาแทนตาม (๑) ให้เร่ิมนับแต่วันเลือกตั้ง แทนตาแหน่งท่ีว่าง ส่วนสมาชิกภาพของ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรูผเ้ ขา้ มาแทนตาม (๒) ให้เริ่มนับแต่ วนั ถดั จากวนั ประกาศช่ือในราชกจิ จานุเบกษา และให้สมาชกิ สภาผูแ ทนราษฎรผ้เู ข้ามาแทนตาแหน่งทู่
วา่ งนนั้ อยูใ่ นตาแหนง่ ได้เพยี งเทา่ อายุของสภาผู้แทนราษฎรูท่เหลืออยู่

การคานวณสดั สว่ นคะแนนของพรรคการเมอื งสาหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ เมื่อมีการเลือกตังแทนตาแหน่งท่ีว่าง ให้เป็นไปตาม
มาตรา ๙๔

มาตรา ๑๐๖ ภายหลังท่ีคณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว พระมหากษัตริย์ จะทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เป็นหัวหน้า
พรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรูท่มีจานวนสมาชิก มากทู่สุด และสมาชิกมิได้ดารงตาแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาูผ้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
เปน็ ผู้นาฝ่ายค้านในสภาผแู ทนราษฎร

ในกรณที พ่ี รรคการเมอื งตามวรรคหนง่ึ มีสมาชิกเท่ากัน ใหใ้ ชว้ ธิ ีจับสลาก
ให้ประธานสภาผูแ้ ทนราษฎรเปน็ ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งต้งั ผู้นาฝา่ ยคา้ น ในสภาผู้แทนราษฎร

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๓๐ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา

ูผน้ าฝา่ ยค้านในสภาผูแ้ ทนราษฎรยอ่ มพ้นจากตาแหนง่ เูมอ่ ขาดคุณสมบัติตามวรรคหน่ึง หรือเมอ่ื มเี หตุ ตามมาตรา ๑๑๘ (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) ในกรณี
เชน่ น้ี พระมหากษตั ริยจ์ ะได้ทรงแต่งต้งั ผูน้ าฝ่ายค้าน ในสภาผูแ้ ทนราษฎรแทนตาแหน่งที่ว่าง

ส่วนท่ี ๓
วฒุ ิสภา

มาตรา ๑๐๗ วุฒสิ ภาประกอบดว้ ยสมาชิกจานวนสองร้อยคน ซึ่งมาจากการเลอื กกันเอง

ของบุคคลซง่ึ มีความร ความเช่ียวชาญ ประสบการณ์ อาชพี ลกั ษณะ หรอื ประโยชน์รว่ มกนั หรือทางาน
หรือเคยทางานดา้ นต่าง ๆ ทหี่ ลากหลายของสังคม โดยในการแบ่งกลุ่มต้องแบ่งในลักษณะที่ทาให้ประชาชน ูซ่งมีสิทธิสมัครรบเลือกทุกคนสามารถอยู่ในกูล่มใด
กลมุ่ หนง่ึ ได้

การแบ่งกลุ่ม จานวนกูล่ม และคุณสมบัติของบุคคลในแต่ละกลุ่ม การสมัครและรับสมัคร หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกกันเอง การได้รับ
เลือก จานวนสมาชิกวฒุ สิ ภาทจี่ ะพึงมจี ากแต่ละกลมุ่ การูขน้ บญั ชีสารอง การเูลอ่ นบคุ คลจากบญั ชีสารองูขน้ ดารงตาแหน่งแทน และมาตรการูอ่นใดทู่จาเป็น
เพอ่ื ใหก้ ารเลือกกันเองเป็นไปโดยสจุ รติ และเทูย่ งธรรม ใหเ้ ป็นไปตามพระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยการได้มาซง่ึ สมาชิกวุฒิสภา และเพ่ือประโยชน์ใน
การดาเนนิ การให้การเลอื กดงั กลา่ วเปน็ ไปโดยสจุ ริต และเท่ียงธรรม จะกาหนดมิใหู้ผ้สมัครในแต่ละกลุ่มเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน หรือจะกาหนดให้มี การคัด
กรองผสู้ มัครรับเลอื กดวยวธิ ีการูอน่ ใดทูผ่ ูสมัครรบั เลือกมีสว่ นร่วมในการคดั กรองกไ็ ด้

การดาเนนิ การตามวรรคสอง ให้ดาเนินการูต้งแต่ระดับอาเภอ ระดบั จังหวดั และระดับประเทศ เพูอ่ ให้สมาชิกวฒุ สิ ภาเป็นผูแทนปวงชนชาวไทยใน
ระดับประเทศ

ในกรณีทูต่ าแหนง่ สมาชิกวุฒสิ ภามจี านวนไมค่ รบตามวรรคหน่งึ ไม่วา่ เพราะเหตตุ าแหน่งว่างลง หรือดวยเหตอุ ่ืนใดอนั มใิ ชเ่ พราะเหตุถงึ คราวออกตาม
อายขุ องวุฒสิ ภา และไมม่ ีรายูชอ่ บคุ คลที่สารองไวเ้ หลอื อยู่ ให้วุฒสิ ภาประกอบด้วยสมาชกิ วุฒิสภาเทา่ ทีม่ อี ยู่ แต่ในกรณทูี ม่ ีสมาชิกวฒุ ิสภาเหลอื อูยไ่ ม่ถึงูกง่ หน่ึง ของ
จานวนสมาชกิ วุฒสิ ภาทงั้ หมดและอายุของวุฒิสภาเหลอื อยูเ่ กนิ หน่งึ ปี ให้ดาเนินการเลือกสมาชิกวฒุ สิ ภา

ขนึ แทนภายในหกสิบวันนบั แต่วนั ท ุฒสิ ภามีสมาชกิ เหลืออยไูม่ ่ถงึ กึ่งหูนง่ ในกรณเี ชน่ วา่ ูน้ ให้ผ้ไู ด้รบั เลอื ก
ดงั กล่าวอยใู่ นตาแหน่งไดเ้ พียงเทา่ อายุของวุฒิสภาท่ีเหลืออยู่ การเลือกสมาชิกวุฒิสภาให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และภายในห้าวันนับแต่วันท่ีพระราช

กฤษฎีกา
มีผลใชบ้ ังคบั ให้คณะกรรมการการเลือกูต้งกาหนดวันเร่ิมดาเนินการเพ่ือเลือกไม่ช้ากว่าสามสิบวันนับแต่วันที่ พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ การกาหนด
ดงั กลา่ วให้ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา และให้นาความใน มาตรา ๑๐๔ มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม

มาตรา ๑๐๘ สมาชิกวุฒิสภาตองมีคุณสมบัติและไม่มีลกั ษณะต้องหา้ ม ดงั ตอ่ ไปนี้ ก. คุณสมบตั ิ

(๑) มสี ัญชาตไิ ทยโดยการเกิด

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๓๑ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

(๒) มีอายไุ ม่ต่ากว่าูสส่ ิบปีในวนั สมัครรบั เลอื ก
(๓) มีความรู้ ความเชีย่ วชาญ และประสบการณ์ หรอื ทางานในดา้ นูท่สมัครไม่น้อยกว่าสิบปี หรือเป็นผู้มีลักษณะตามหลักเกณฑ์และเูง่อน
ไขูทบ่ ญั ญตั ิไวใ้ นพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ว่าดวยการไดม้ าซ่ึงสมาชิกวุฒิสภา
(๔) เกิด มูชี อ่ อูย่ในทะเบียนบ้าน ทางาน หรือมีความเก่ียวพนกับพืนที่ที่สมครตามหลักเกณฑ์ และเูง่อนไขท่ีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ
ประกอบรฐธรรมนูญว่าด้วยการไดมาซึง่ สมาชิกวุฒสิ ภา

ข. ลกษณะต้องห้าม
(๑) เป็นบุคคลตอ้ งห้ามมใิ ห้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา ๙๘ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๕)

(๑๖) (๑๗) หรือ (๑๘)

(๒) เป็นขา้ ราชการ
(๓) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรมาแลว้ ไมน่ ้อยกว่าหาปี
นบถึงวนั สมัครรบั เลอื ก

(๔) เปน็ สมาชกิ พรรคการเมือง
(๕) เปน็ หรอื เคยเปน็ ูผด้ ารงตาแหนง่ ใดในพรรคการเมอื ง เว้นแต่ได้พ้นจากการดารงตาแหน่ง ในพรรคการเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่าหาปีนับ
ถงึ วนั สมคั รรบเลอื ก
(๖) เป็นหรือเคยเปน็ รัฐมนตรี เวน้ แตไ่ ดพ้ น้ จากการเปน็ รฐั มนตรีมาแลว้ ไม่นอ้ ยกวา่ หา้ ปี นับถึงวนั สมัครรับเลือก
(๗) เปน็ หรอื เคยเป็นสมาชกิ สภาท้องถ่ินหรอื ูผบ้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ เวน้ แต่ไดพ้ น้ จากการเปน็ สมาชกิ สภาท้องถิ่นหรือผบู ริหารท้องถ่ิน
มาแลวไมน่ อ้ ยกวา่ ห้าปีนบถงึ วันสมคั รรบเลอื ก
(๘) เป็นบพุ การี คูส่ มรส หรอื บตุ รของูผด้ ารงตาแหนง่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องูถ่นหรื
อผ้บู รหิ ารท้องถ่ิน ผ้สู มคั รรับเลอื กเปน็ สมาชิกวุฒสิ ภาในคราวเดียวกนั

หรอื ผ ารงตาแหนง่ ในศาลรฐั ธรรมนูญหรอื ในองคก์ รอสิ ระ
(๙) เคยดารงตาแหนง่ สมาชกิ วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญน้ี

มาตรา ๑๐๙ อายุของวุฒิสภามีกาหนดคราวละห้าปีนบแต่วันประกาศผลการเลือก สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาเร่ิมตังแต่วันท่ี
คณะกรรมการการเลือกตงั้ ประกาศผลการเลอื ก เูมอ่ อายขุ องวุฒิสภาสนิ้ สุดลง ใหส้ มาชิกวุฒสิ ภาอูยใ่ นตาแหนง่ เพูอ่ ปฏิบัติหน้าทีต่ อ่ ไปจนกว่าจะมี
สมาชิกวุฒิสภาขน้ึ ใหม่
มาตรา ๑๑๐ เมื่ออายุของวุฒิสภาส้ินสุดลง ให้มีการเลอื กสมาชิกวฒุ ิสภาใหม่ตามมาตรา ๑๐๗
วรรคหา้

มาตรา ๑๑๑ สมาชกิ ภาพของสมาชกิ วฒุ สิ ภาสิน้ สดุ ลง เูมอ่
(๑) ถงึ คราวออกตามอายุของวุฒิสภา
(๒) ตาย

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๓๒ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

(๓) ลาออก
(๔) ขาดคณุ สมบตั หิ รอื มีลกษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๑๐๘
(๕) ขาดประชุมเกินจานวนหนู่งในส่ีของจานวนวันประชุมในสมัยประชุมทู่มีกาหนดเวลา ไม่น้อยกว่าหนู่งร้อยย่ีสิบวนโดยไม่ได้รับ
อนุญาตจากประธานวุฒิสภา
(๖) ต้องคาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษ ในความผิดอันได้กระทาโดยประมาท
ความผดิ ลหุโทษ หรอื ความผิดฐานหมิน่ ประมาท
(๗) กระทาการอนั เปน็ การฝา่ ฝืนมาตรา ๑๑๓ หรอื กระทาการอนั ตอ้ งหา้ มตามมาตรา ๑๘๔ หรือมาตรา ๑๘๕
(๘) พ้นจากตาแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔ หรือมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม
มาตรา ๑๑๒ บคุ คลผู้เคยดารงตาแหน่งสมาชิกวฒุ ิสภาและสมาชิกภาพส้ินสุดลงมาแล้ว ยังไม่เกินสองปี จะเป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดารงตาแหน่ง
ทางการเมอื งมไิ ด้ เวน้ แตเ่ ปน็ สมาชกิ สภาทอ้ งถน่ิ หรือผู้บริหารทองูถน่
มาตรา ๑๑๓ สมาชิกวฒุ สิ ภาตอ้ งไมฝ่ ักใฝห่ รอื ยอมตนอยใู่ ต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ๆ

ส่วนที่ ๔ บทท่ีใช้แก่
สภาทั้งสอง

มาตรา ๑๑๔ สมาชกิ สภาูผแ้ ทนราษฎรและสมาชกิ วุฒสิ ภายอ่ มเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อูย่ในความผูกมัดแห่งอาณตั มิ อบหมาย หรือความ

ครอบงาใด ๆ และตอ้ งปฏบิ ัติหนา้ ท่ดี ้วยความซื่อสตั ย์สุจริต เพ่ือประโยชนส์ ว่ นรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกัน
แหง่ ผลประโยชน์

มาตรา ๑๑๕ กอ่ นเขา้ รับหน้าท สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและสมาชกิ วฒุ ิสภาต้องปฏิญาณตน

ในูทป่ ระชุมแหง่ สภาท่ีตนเปน็ สมาชกิ ดวยถ้อยคา ดังตอ่ ไปนี้
“ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าูท่ด้วยความซ่ือสัตย์สุจริต เพู่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะ

รักษาไวแ้ ละปฏบิ ตั ิตามซึ่งรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย ทกุ ประการ”
มาตรา ๑๑๖ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่ละสภา มีประธานสภาคนหน่ึงและรองประธานสภา คนหูน่งหรือสองคน ซ่ึงพระมหากษตริย์ทรง

แต่งตงั้ จากสมาชกิ แห่งสภาน้ัน ๆ ตามมติของสภา
ในระหวา่ งการดารงตาแหน่ง ประธานและรองประธานสภาผ หรือดารงตาแหน่งใดในพรรค ทนราษฎรจะเปน็ กรรมการบริหาร

การเมืองขณะเดียวกันมิได้
มาตรา ๑๑๗ ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรดารงตาแหน่งจนสิ้นอายุของ สภาผู้แทนราษฎรหรือมีการยุบสภา

ผู้แทนราษฎร

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๓๓ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

ประธานและรองประธานวุฒิสภาดารงตาแหน่งจนถึงวันสิน้ อายขุ องวุฒสิ ภา เวน้ แตใ่ นระหว่างเวลา ตามมาตรา ๑๐๙ วรรคสาม ใหประธานและรอง
ประธานวฒุ สิ ภายงคงอยใู่ นตาแหน่งเพูอ่ ปฏิบตั ิหน้าูทต่ ่อไป

มาตรา ๑๑๘ ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานและรองประธานวุฒิสภา ย่อมพ้นจากตาแหน่งก่อนวาระตามมาตรา
๑๑๗ เูมอ่

(๑) ขาดจากสมาชิกภาพแหง่ สภาทู่ตนเป็นสมาชิก
(๒) ลาออกจากตาแหนง่
(๓) ดารงตาแหนง่ นายกรฐั มนตรี รฐมนตรี หรือขา้ ราชการการเมืองูอน่
(๔) ตอ้ งคาพิพากษาใหจ้ าคกุ แม้คดูีนน้ จะยังไมถ่ ึงทีส่ ดุ หรือมกี ารรอการลงโทษ เว้นแต่ เป็นกรณีทู่คดียังไม่ถึงท่ีสุดหรือมีการรอการลงโทษใน
ความผดิ อันไดก้ ระทาโดยประมาท ความผิดลหโุ ทษ หรอื ความผดิ ฐานหม่นิ ประมาท
มาตรา ๑๑๙ ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภามีหน้าทู่และอานาจดาเนินกิจการ ของสภาน้ัน ๆ ให้เป็นไปตามข้อบังคับ รอง
ประธานสภามีหนา้ ทแ่ี ละอานาจตามท่ปี ระธานสภามอบหมาย และปฏบิ ตั หิ นา้ ที่แทนประธานสภาเมอ่ื ประธานสภาไม่อูยห่ รอื ไม่สามารถปฏบิ ตั ิหน้าทีไ่ ด้
ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และผูท้ าหน้าท่แี ทน ต้องวางตนเป็นกลาง ในการปฏิบตั ิหนา้ ทู่
เมอื่ ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรหรอื ประธานและรองประธานวฒุ ิสภาไม่อยใู่ นูทป่ ระชมุ
ให้สมาชิกแห่งสภาน ๆ เลือกกนเองให้สมาชกิ คนหน่ึงเป็นประธานในคราวประชุมน
มาตรา ๑๒๐ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรและการประชมุ วฒุ สิ ภาตอ้ งมีสมาชิกมาประชุม ไมน่ อ้ ยกว่าูกง่ หนึง่ ของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าูท่
มีอูยข่ องแตล่ ะสภา จึงจะเปน็ องค์ประชุม เว้นแต่ ในกรณกี ารพจิ ารณาระเบียบวาระกระทู้ สภาผแู้ ทนราษฎรหรอื วุฒสิ ภาจะกาหนดองคป์ ระชมุ ไวใ้ นข้อบงั คบั เปน็
อยา่ งูอน่ ก็ได้
การลงมติวนิ จิ ฉัยขอ้ ปรึกษาให้ถือเสียงขา้ งมากเป็นประมาณ เวน้ แตท่ ี่มีบญั ญตั ไิ ว้เป็นอยา่ งูอน่ ในรัฐธรรมนญู
สมาชิกคนหนูง่ ยอ่ มมเี สียงหนึง่ ในการออกเสยี งลงคะแนน ถา้ มคี ะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธาน ในท่ีประชมุ ออกเสยี งเพม่ิ ขนึ อกี เสยี งหนงึ่ เป็นเสียง
ชีขาด
รายงานการประชมุ และบันทึกการออกเสยี งลงคะแนนของสมาชิกแต่ละคนต้องเปิดเผยให้ประชาชน ทราบได้ท่ัวไป เว้นแต่กรณีการประชุมลับหรือ
การออกเสียงลงคะแนนเปน็ การลับ
การออกเสียงลงคะแนนเลือกหรือใหค้ วามเหน็ ชอบให้บคุ คลดารงตาแหนง่ ใด ใหก้ ระทาเปน็ การลับ เวน้ แต่ทูม่ ีบญั ญตั ไิ วเปน็ อย่างอน่ื ในรฐั ธรรมนญู
มาตรา ๑๒๑ ภายในสิบหา้ วันนบั แตว่ นั ประกาศผลการเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร
อนั เปน็ การเลอื กตงั้ ท ไป ให ีการเรียกประชุมรัฐสภาเพอ่ื ใหสมาชกิ ไดม้ าประชุมเป็นครงั้ แรก

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๓๔ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

ในปหี น่งึ ใหม้ ีสมยั ประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมยั ๆ หูน่งให้มีกาหนดเวลาหูน่งร้อยยี่สิบวัน แต่พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้
ขยายเวลาออกไปกไ็ ด้

การปดิ สมัยประชุมสามัญประจาปีกอ่ นครบกาหนดเวลาหนูง่ ร้อยยสี่ ิบวนั จะกระทาได้ก็แต่ โดยความเห็นชอบของรัฐสภา
วันประชุมคูร้งแรกตามวรรคหนึ่ง ให้ถือเป็นวันเรมิ่ สมยั ประชมุ สามญั ประจาปคี รงั้ ทูห่ นงึ่ ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจาปีครั้งที่สอง ให้
เปน็ ไปตามท่ีสภาผแู้ ทนราษฎรกาหนด แตใ่ นกรณีท่ี การประชุมครง้ั แรกตามวรรคหนง่ึ มเี วลาจนถึงสิ้นปีปฏิทินไม่เพียงพอท่ีจะจัดให้มีการประชุมสมัยประชุมสามัญ
ประจาปีครั้งท่สี อง จะไมม่ ีการประชุมสมัยสามัญประจาปีคร้งั ทูส่ องสาหรับปีนั้นก็ได้
มาตรา ๑๒๒ พระมหากษัตรยิ ท์ รงเรียกประชมุ รัฐสภา ทรงเปดิ และทรงปดิ ประชุม พระมหากษตั ริยจ์ ะเสด็จพระราชดาเนินมาทรงทารัฐ
พธิ เี ปิดประชุมสมยั ประชุมสามัญประจาปี
ครงั้ แรกดว้ ยพระองคเ์ อง หรอื จะโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มให้พระรชั ทายาทูซง่ ทรงบรรลนุ ติ ิภาวะแลว้ หรือผู้ใดผูหนึ่ง เป็นผูแทนพระองค์ มาทารัฐพธิ ีก็ได้
เูมอ่ มีความจาเป็นเพ่อื ประโยชนแ์ ห่งรฐั พระมหากษัตรยิ ์จะทรงเรยี กประชุมรัฐสภาเปน็ การประชมุ สมยั วิสามัญกไ็ ด้
ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒๓ และมาตรา ๑๒๖ การเรียกประชุม การขยายเวลาประชุม และการปิด ประชุมรัฐสภา ให้กระทาโดยพระราช
กฤษฎีกา
มาตรา ๑๒๓ สมาชิกสภาูผแ้ ทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาทั้งสองสภารวมกัน หรือสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร มีจานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งใน
สามของจานวนสมาชกิ ทงั้ หมดเทา่ ูทม่ ีอยขู่ องท้งั สองสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาให้นาความกราบบังคมทูลเพ่ือมีพระบรมราชโองการประกาศเรียก
ประชมุ รฐั สภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญได้

ให้ประธานรฐั สภานาความกราบบังคมทูลและลงนามรบั สนองพระบรมราชโองการ
มาตรา ๑๒๔ ในูทป่ ระชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา หรือท่ีประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคาใดในทางแถลง
ข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงคะแนน ยอ่ มเปน็ เอกสิทธโิ์ ดยเด็ดขาด ผ้ใู ดจะนาไปเปน็ เหตุฟ้องร้องว่ากลา่ วสมาชกิ ผนู ้ น้ั ในทางใด ๆ มไิ ด้
เอกสิทธ์ิตามวรรคหน่ึงไม่คุ้มครองสมาชิกผู้กล่าวถ้อยคาในการประชุมท่ีมีการถ่ายทอดทาง วิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์หรือทางูอ่นใด หาก
ถ้อยคาท่ีกล่าวในูท่ประชุมไปปรากฏนอกบริเวณรัฐสภา และการกล่าวถ้อยคาูน้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นูซ่งมิใช่
รัฐมนตรหี รือสมาชิกแหง่ สภาน้ัน
ในกรณตี ามวรรคสอง ถ้าสมาชิกกลา่ วถ้อยคาใดทีอ่ าจเป็นเหตใุ ห้บคุ คลอื่นซึ่งมิใชร่ ฐั มนตรี หรือสมาชกิ แหง่ สภานัน้ ได้รับความเสียหาย ให้ประธานแห่ง
สภานน้ั จัดใหม้ กี ารโฆษณาคาูชแ้ จงตามทบี่ ุคคลนน้ั รอ้ งขอตามวธิ ีการและภายในระยะเวลาที่กาหนดในข้อบังคับการประชุมของสภาน้ัน ทั้งน้ี โดยไม่กระทบ ต่อ
สทิ ธิของบุคคลในการฟ้องคดตี ่อศาล

เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๓๕ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

เอกสิทธท์ิ ี่บญั ญตั ไิ ว้ในมาตราูน้ ย่อมคุ้มครองไปถงึ ผู้พมิ พแ์ ละผโู้ ฆษณารายงานการประชมุ ตามข้อบังคับของสภาูผ้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือ
รฐั สภา แล้วแต่กรณี และูค้มครองไปถึงบุคคล ูซ่งประธานในูท่ประชุมอนุญาตให้แถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในูท่ประชุม ตลอดจนผู้ดาเนินการ
ถา่ ยทอดการประชุมสภาทางวิทยกุ ระจายเสียงหรือวทิ ยุโทรทัศนห์ รือทางอื่นใดซงึ่ ไดร้ บั อนุญาตจาก ประธานแหง่ สภาูนน้ ดว้ ยโดยอนโุ ลม

มาตรา ๑๒๕ ในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จบั คุมขงั หรือหมายเรียกตัวสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาไปทาการ
สอบสวนในฐานะที่สมาชกิ ูผูน้ น้ เป็นูผต้ อ้ งหาในคดีอาญา เว้นแต่จะได้รบอนญุ าตจากสภาที่ผู้นนั เป็นสมาชกิ หรอเปน็ การจบั ในขณะกระทาความผิด

ในกรณีท่ีมีการจับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในขณะกระทาความผิด ให้รายงานไปยังประธานแห่งสภาูท่ผู้นั้นเป็น
สมาชกิ โดยพลัน และเพื่อประโยชน์ในการประชุมสภา

ประธานแห่งสภาูทผ่ ้นู นั เปน็ สมาชิกอาจส่งั ใหปล่อยผ กู จบเพื่อให้มาประชุมสภาได
ถา้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชกิ วฒุ ิสภาถูกคุมขังในระหวา่ งสอบสวนหรือพิจารณาอยู่ก่อน สมัยประชุม เมื่อถึงสมัยประชุม พนักงานสอบสวน

หรอื ศาล แล้วแตก่ รณี ต้องส่ังปล่อยทันทีถ้าประธานแหง่ สภา

ูทผ่ นู้ น้ เป็นสมาชิกไดร้ อ้ งขอ โดยศาลจะสง่ั ให ปี ระกันหรือมปี ระกันและหลกประกนั ดว้ ยหรอื ไมก่ ได็
ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชกิ สภาผแู ทนราษฎรหรือสมาชกิ วฒุ ิสภาในคดีอาญา ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอก หรือในสมัยประชุม ศาลจะพิจารณาคดีนั้นใน

ระหว่างสมยั ประชุมกไ็ ด้ แต่ตอ้ งไมเ่ ป็นการขัดขวางต่อการที่ สมาชิกผู้นน้ั จะมาประชมุ สภา
มาตรา ๑๒๖ ในระหว่างทีไ่ ม่มีสภาผแู้ ทนราษฎร ไม่วา่ ด้วยเหตสุ ภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ สภาผูแทนราษฎรถูกยุบ หรือเหตุอื่นใด จะมีการ

ประชมุ วุฒสิ ภามิได้ เว้นแต่
(๑) มกี รณที รี่ ฐั สภาต้องดาเนินการตามมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๑ หรอื มาตรา ๑๗๗
(๒) มีกรณีทวี่ ฒุ สิ ภาต้องประชุมเพูอ่ ทาหนาทพี่ ิจารณาให้บคุ คลดารงตาแหน่งใดตามบทบัญญัติ แห่งรฐั ธรรมนูญ
เูมอ่ มกี รณตี ามวรรคหนง่ึ ใหว้ ฒุ ิสภาดาเนินการประชมุ ได้ โดยให้ประธานวุฒิสภานาความ กราบบงั คมทูลเพือ่ มีพระบรมราชโองการประกาศเรียก

ประชมุ รัฐสภาเปน็ การประชุมสมัยวิสามญั และ ให้ประธานวฒุ ิสภาเปน็ ผลู้ งนามรับสนองพระบรมราชโองการ
ในกรณีตาม (๑) ให้วฒุ สิ ภาทาหน้าูทร่ ัฐสภา แตก่ ารใหค้ วามเหน็ ชอบตามมาตรา ๑๗๗ ตอ้ งมี คะแนนเสยี งไมน่ ้อยกว่าสองในสามของจานวนสมาชิก

ทังหมดเท่าทม่ี ีอยขู่ องวุฒิสภา
มาตรา ๑๒๗ การประชุมสภาผแู้ ทนราษฎร การประชมุ วฒุ ิสภา และการประชุมร่วมกนั ของรฐั สภา ย่อมเป็นการเปิดเผยตามลักษณะท่ีกาหนด

ไวใ้ นขอ้ บังคบั การประชุมแต่ละสภา แต่ถา้ คณะรัฐมนตรี หรอื สมาชกิ ของแต่ละสภา หรอื สมาชิกของทูง้ สองสภารวมกนั มจี านวนไม่น้อยกว่าหนึง่ ในส่ีของจานวน

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๓๖ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

สมาชิกทง้ หมดเทา่ ท่ีมอี ูยข่ องแต่ละสภา หรอื จานวนสมาชกิ ทง้ั หมดเท่าที่มอี ยู่ของท้ังสองสภา แล้วแตก่ รณี ร้องขอให้ประชุมลับ ก็ใหป้ ระชุมลบั
มาตรา ๑๒๘ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอานาจตราขอบังคับการประชุมเูก่ยวกับการเลือก และการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รอง

ประธานสภา เรือ่ งหรอื กิจการอนั เปน็ หน้าทู่และอานาจของ คณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด การปฏิบัติหน้าท่ีและองค์ประชุมของคณะกรรมาธิการ วิธีการ

ประชุม การเสนอและพิจารณารา่ งพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนญู และรา่ งพระราชบัญญตั ิ การเสนอญัตติ การปรึกษา การอภิปราย การลงมติ การบนั ทึก
การลงมติ การเปดิ เผยการลงมติ การต้ังกระทูถ้ าม การเปิดอภปิ รายทว่ั ไป การรักษาระเบยี บและความเรียบรอ้ ย และการอน่ื ทเี่ ก่ยี วข้อง รวมท้ังมีอานาจ ตรา
ข้อบงั คบั เก่ียวกบั ประมวลจริยธรรมของสมาชิกและกรรมาธกิ าร และกจิ การอนื่ เพอื่ ดาเนินการ ตามบทบัญญตั ิแห่งรฐั ธรรมนูญ

ในข้อบังคับตามวรรคหน่ึงในส่วนที่เก่ียวกับการต้ังกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัยว่ามี
สาระสาคัญเูกย่ วกับเด็ก เยาวชน สตรี ผสู้ งู อายุ หรอื คนพกิ าร หรอื ทพุ พลภาพ ต้องกาหนดให้บคุ คลประเภทดังกล่าวหรือูผ้แทนองค์กรเอกชนท่ีทางานเกี่ยวกับ

บคุ คล ประเภทูนน้ โดยตรง ร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญด้วยไมน่ ้อยกว่าหน่ึงในสามของจานวนกรรมาธิการวิสามัญ ทั้งหมด และในส่วนท่ีเก่ียวกับการพิจารณาร่าง
พระราชบัญญตั ทูิ ผ่ มู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั เขา้ ชื่อเสนอ ตอ้ งกาหนดให้ ผู้แทนของผมู้ ีสทิ ธเิ ลอื กตง้ั ซึง่ เขา้ ชอ่ื เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญด้วย
ไม่นอ้ ยกวา่ หน่งึ ในสามของจานวนกรรมาธิการวสิ ามัญท้ังหมด

มาตรา ๑๒๙ สภาผู้แทนราษฎรและวฒุ สิ ภามีอานาจเลือกสมาชิกของแต่ละสภาต้ังเป็น คณะกรรมาธิการสามัญ และมีอานาจเลือกบุคคลผู้
เป็นสมาชิกหรอื มิได้เป็นสมาชิก ตง้ั เป็นคณะกรรมาธกิ าร วิสามญั หรอื คณะกรรมาธกิ ารร่วมกันตามมาตรา ๑๓๗ เพอื่ กระทากิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง

หรอื ศกึ ษาเร่อื งใด ๆ และรายงานใหสภาทราบตามระยะเวลาท่ีสภากาหนด
การกระทากิจการ การสอบหาขอ้ เท็จจรงิ หรอื การศกึ ษาตามวรรคหูนง่ ตอ้ งเปน็ เูรอ่ งท่อี ยใู่ นหน้าที่ และอานาจของสภา และหนา้ ทแี่ ละอานาจตามท่ี

ระบุไวใ้ นการตง้ คณะกรรมาธิการก็ดี ในการดาเนินการของ คณะกรรมาธิการกด็ ี ต้องไมเ่ ปน็ เรือ่ งูซา้ ซ้อนกัน ในกรณีที่การกระทากิจการ การสอบหาข้อเท็จจริง

หรือการศกึ ษาในเร่ืองใดมคี วามเูกย่ วขอ้ งกัน ใหเ้ ป็นหน้าทข่ี องประธานสภาท่จี ะต้องดาเนินการให้คณะกรรมาธิการ ที่เกยี่ วขอ้ งทุกชดุ รว่ มกนั ดาเนนิ การ
ในการสอบหาข้อเท็จจรงิ คณะกรรมาธิการจะมอบอานาจหรือมอบหมายให้บคุ คลหรือคณะบุคคลใด กระทาการแทนมิได้

คณะกรรมาธิการตามวรรคหน่งึ มีอานาจเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลง ข้อเทจ็ จริงหรอื แสดงความเหน็ ในกจิ การท่ีกระทาหรือ
ในเูรอ่ งท่พี ิจารณาสอบหาข้อเทจ็ จรงิ หรอื ศกึ ษาอูยน่ ้ันได้ แตก่ ารเรียกเช่นว่านนั้ มใิ หใ้ ชบ้ งั คับแกู่ผพ้ ิพากษาหรือตลุ าการที่ปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อานาจในกระบวนวิธี
พจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดี หรอื การบริหารงานบคุ คลของแตล่ ะศาล และมใิ ห้ใช้บงั คับแกผ่ ดู้ ารงตาแหนง่

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๓๗ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

ในองค์กรอสิ ระในสว่ นทเ่ีูกย่ วกับการปฏิบัติตามหนา้ ทแ่ี ละอานาจโดยตรงในแต่ละองคก์ รตามบทบัญญตั ิ ในรฐธรรมนูญหรอื ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ

แลว้ แต่กรณี

ให้เป็นหนา้ ทีข่ องรัฐมนตรูที ร่ บั ผิดชอบในกิจการทค่ี ณะกรรมาธิการสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษา ท่ีจะต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดหรือใน

กากับ ให้ขอ้ เทจ็ จรงิ สง่ เอกสาร หรือแสดงความเหน็ ตามท่ีคณะกรรมาธกิ ารเรียก

ใหส้ ภาูผแ้ ทนราษฎรและวฒุ สิ ภาเปดิ เผยบันทึกการประชมุ รายงานการดาเนินการ รายงาน การสอบหาขอ้ เท็จจริง หรอื รายงานการศกึ ษา แล้วแต่

กรณี ของคณะกรรมาธิการใหป้ ระชาชนทราบ เวนแตส่ ภาผแู้ ทนราษฎรหรือวฒุ สิ ภา แลวแต่กรณี มีมตมิ ใิ หเ้ ปดิ เผย

เอกสิทธท์ิ ีบ่ ญั ญัติไว้ในมาตรา ๑๒๔ ใหู้ค้มครองถงึ บคุ คลผกู้ ระทาหน้าท่แี ละผู้ปฏิบตั ติ ามคาเรยี ก ตามมาตรานี้ดว้ ย

กรรมาธกิ ารสามัญซงึ่ ต้ังจากผููง่ เป็นสมาชิกสภาผูแทนราษฎรทง้ หมด ตอ้ งมีจานวนตามหรือใกล้เคยี งกบั

อัตราสว่ นของจานวนสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองท่ีมีอูยใ่ นสภาผู้แทนราษฎร

ในระหว่างท่ียังไม่มีข้อบังคับการประชุมสภาูผ้แทนราษฎรตามมาตรา ๑๒๘ ให้ประธาน

สภาผแู้ ทนราษฎรเป็นผ าหนดอัตราส่วนตามวรรคแปด

มาตรา ๑๓๐ ให้มีพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู ดงั ต่อไปนู้

(๑) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐธรรมนญู วา่ ด้วยการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(๒) พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐธรรมนูญว่าด้วยการไดมาซง่ึ สมาชกิ วุฒิสภา

(๓) พระราชบัญญ ิประกอบรฐธรรมนูญวา่ ด้วยคณะกรรมการการเลอื กต

(๔) พระราชบัญญตั ิประกอบรฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมอื ง

(๕) พระราชบญั ญ ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผ รวจการแผ่นดนิ

(๖) พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต

(๗) พระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยการตรวจเงินแผ่นดิน

(๘) พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วยวธิ ีพิจารณาของศาลรฐั ธรรมนูญ

(๙) พระราชบญั ญัติประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วยวิธพี ิจารณาคดอี าญาของูผด้ ารงตาแหน่ง ทางการเมอื ง

(๑๐) พระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหง่ ชาติ มาตรา๑๓๑ ร่างพระราชบัญญัติ

ประกอบรัฐธรรมนูญจะเสนอได้ก็แต่โดย

(๑) คณะรฐั มนตรี โดยข้อเสนอแนะของศาลฎกี า ศาลรฐั ธรรมนูญ หรือองค์กรอสิ ระทเ่ี ก่ียวข้อง

(๒) สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจานวนไมน่ ้อยกว่าหน่งึ ในสบิ ของจานวนสมาชกิ ท้งั หมดเท่าทม่ี ีอยู่ ของสภาูผ้แทนราษฎร

มาตรา ๑๓๒ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ นอกจากทู่บัญญัติไว้ดังต่อไปน้ี ให้กระทาเช่นเดียวกับ

พระราชบัญญัติ

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๓๘ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

(๑) การเสนอร่างพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ใหเ้ สนอตอ่ รฐั สภา และใหร้ ฐั สภา

ประชมุ รว่ มกันเพ่อื พจิ ารณาร่างพระราชบัญญ ิประกอบรฐั ธรรมนญู ให้แล้วเสรจ็ ภายในเวลาหนึง่ ร้อยแปดสบิ วัน

โดยการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ตอ้ งมคี ะแนนเสียงเห็นชอบด้วยมากกว่าูก่งหน่ึงของจานวนสมาชิก ท้ังหมดเท่าท่ีมีอูย่ของรัฐสภา ถ้าที่ประชุมร่วมกันของ

รัฐสภาพจิ ารณาไมแ่ ล้วเสรจ็ ภายในกาหนดเวลาดังกล่าว ใหถ้ อื วา่ รฐั สภาใหค้ วามเห็นชอบตามร่างท่เี สนอตามมาตรา ๑๓๑

(๒) ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ให้รัฐสภาส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบ

รฐั ธรรมนญู ูนน้ ไปยังศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนญู หรือองคก์ รอสิ ระ ทูเู่กย่ วข้อง เพ่อื ใหค้ วามเหน็ ในกรณีที่ศาลฎีกา ศาลรฐั ธรรมนูญ หรอื องคก์ รอสิ ระท่ีเกี่ยวข้อง ไม่มี

ขอ้ ทักท้วง ภายในสิบวนั นบแต่วนั ท่ไี ด้รบรา่ งดงกลา่ ว ให้รฐสภาดาเนินการตอ่ ไป

(๓) ในกรณที ่ศี าลฎีกา ศาลรฐั ธรรมนญู หรอื องคก์ รอสิ ระที่เกีย่ วข้อง เหน็ วา่ ร่างพระราชบัญญตั ิ ประกอบรฐั ธรรมนูญทู่รัฐสภาให้ความเห็นชอบมี

ขอ้ ความใดขดั หรือแย้งตอ่ รัฐธรรมนญู หรือทาให้ ไมส่ ามารถปฏิบัติหนา้ ทใี่ หถ้ ูกต้องตามบทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนูญได้ ให้เสนอความเหน็ ไปยังรัฐสภา และให้รัฐสภา

ประชุมร่วมกนั เพูอ่ พิจารณาให้แลว้ เสรจ็ ภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับความเห็นดังกล่าว ในการนี้ ให้รัฐสภามีอานาจแก้ไขเพิ่มเติมตามข้อเสนอของศาลฎีกา

ศาลรัฐธรรมนูญ หรอื องค์กรอสิ ระ ตามทีเ่ หน็ สมควรได้ และเมื่อดาเนนิ การเสร็จแล้ว ใหร้ ฐั สภาดาเนินการตอ่ ไป

มาตรา ๑๓๓ ร่างพระราชบญั ญตั ใิ หเ้ สนอตอ่ สภาผู้แทนราษฎรกอ่ น และจะเสนอได แ็ ต่โดย

(๑) คณะรฐั มนตรี

(๒) สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจานวนไม่น้อยกวา่ ย่ีสิบคน

(๓) ูผ้มีสิทธิเลือกต้ังจานวนไม่น้อยกว่าหน่ึงหม่ืนคนเข้าูช่อเสนอกฎหมายตามหมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หรือ

หมวด ๕ หนา้ ทขี่ องรัฐ ทง้ั น้ี ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการเขา้ ช่อื เสนอกฎหมาย

ในกรณีูท่ร่างพระราชบัญญัตูิซ่งมีผู้เสนอตาม (๒) หรือ (๓) เป็นร่างพระราชบัญญัติเก่ียวด้วยการเงิน จะเสนอไดก้ ต็ ่อเูม่อมีคารับรองของ

นายกรัฐมนตรี

มาตรา ๑๓๔ ร่างพระราชบญั ญตั เิ กยี่ วด้วยการเงิน หมายความถึงร่างพระราชบัญญัติ ว่าดว้ ยเรือ่ งใดเร่ืองหนึ่ง ดังตอ่ ไปนี้

(๑) การตงั้ ูขน้ ยกเลกิ ลด เปลย่ี นแปลง แกไ้ ข ผ่อน หรอื วางระเบยี บการบังคบั อนั เกย่ี วกับ ภาษหี รอื อากร

(๒) การจดั สรร ร รักษา หรอื จ่ายเงนิ แผน่ ดิน หรอื การโอนงบประมาณรายจ่ายของแผน่ ดนิ

(๓) การกูเงิน การคาประกัน การใชเ้ งินกู้ หรอื การดาเนินการที่ผูกพนทรพั ยส์ นิ ของรัฐ

(๔) เงนิ ตรา

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๓๙ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

ในกรณทีูเ่ ปน็ ูทส่ งสัยว่ารา่ งพระราชบัญญตั ิใดเปน็ ร่างพระราชบัญญัตเิูกย่ วดว้ ยการเงนิ ให้เป็นอานาจ ของทูป่ ระชุมร่วมกนั ของประธานสภาผแู้ ทนราษฎร

และประธานคณะกรรมาธกิ ารสามัญของสภาผู้แทนราษฎร ทกุ คณะเปน็ ผ้วู ินิจฉยั

ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดให้มีการประชุมร่วมกันเพู่อพิจารณากรณีตามวรรคสอง ภายในสิบห้าวนั นบั แตว่ นทม่ี กี รณีดังกลา่ ว

มติของท่ีประชมุ รว่ มกันตามวรรคสอง ใหใ้ ช้เสียงขา้ งมากเป็นประมาณ ถ้าคะแนนเสียงเทา่ กัน

ให้ประธานสภาผแู้ ทนราษฎรออกเสียงเพูม่ ขนึ อีกเสียงหนง่ึ เป็นเสยี งช าด

มาตรา ๑๓๕ รา่ งพระราชบญั ญตั ใิ ดทูส่ มาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรหรือูผ้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสนอ และในชั้นรับหลักการไม่เป็นร่างพระราชบัญญัติ

เูกย่ วด้วยการเงิน แต่สภาผู้แทนราษฎรได้แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ และประธานสภาผูแ้ ทนราษฎรเห็นเองหรือมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทักท้วงต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร

วา่ การแกไ้ ขเพิ่มเตมิ น้นั ทาใหม้ ีลักษณะเป็นร่างพระราชบัญญตั เิ กย่ี วดว้ ยการเงนิ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร สง่ ระงบการพิจารณาไวก้ อ่ น เพ่ือดาเนินการต่อไป

ตามมาตรา ๑๓๔ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคส่ี

ในกรณที ที่ ีป่ ระชุมรว่ มกนั ตามวรรคหูนง่ วินจิ ฉัยว่า การแก้ไขเพ่ิมเติมทาให้ร่างพระราชบัญญตั ินน้ั มลี กษณะเปน็ รา่ งพระราชบญั ญัติเูกย่ วดว้ ยการเงิน

ใหป้ ระธานสภาผู้แทนราษฎรส่งรา่ งพระราชบัญญตั ินัน้ ไปให้นายกรัฐมนตรีรับรอง ถ้านายกรัฐมนตรไี ม่ให้คารบั รอง ให้สภาผู้แทนราษฎรดาเนนิ การแกไ้ ขเพูอ่ มใิ ห้

รา่ งพระราชบัญญัติน เป็นรพงาบะช่ ัญญตั เิ ก่ียวดว้ ยการเงนิ

มาตรา ๑๓๖ เมอ่ื สภาผแู้ ทนราษฎรได้พจิ ารณาร่างพระราชบัญญตั แิ ละลงมติเห็นชอบแล้ว ให้สภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัติน้ัน

ต่อวฒุ สิ ภา วฒุ สิ ภาตอ้ งพิจารณาร่างพระราชบญั ญัติ ทเ่ี สนอมานน้ั ใหเ้ สรจ็ ภายในหกสบิ วนั แต่ถา้ รา่ งพระราชบัญญัตนิ ัน้ เปน็ รา่ งพระราชบญั ญัติเกี่ยวด้วยการเงิน

ตอ้ งพจิ ารณาให้เสรจ็ ภายในสามสิบวัน ูท้งน้ี เว้นแต่วุฒิสภาจะได้ลงมติให้ขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษ ซ่ึงต้องไม่เกินสามสิบวัน กาหนดวันดังกล่าวให้

หมายถึงวันในสมัยประชุม และใหเ้ ริม่ นบั แตว่ ันทู่ ร่างพระราชบัญญัตินันมาถึงวุฒิสภา

ระยะเวลาในวรรคหนง่ึ ไม่ใหน้ ับรวมระยะเวลาท่ีอูยใ่ นระหวา่ งการพจิ ารณาของศาลรฐั ธรรมนูญ ตามมาตรา ๑๓๙

ถา้ วุฒสิ ภาพจิ ารณารา่ งพระราชบัญญัติไมเ่ สร็จภายในกาหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ใหถ้ ือว่าวุฒสิ ภา ได้ให้ความเหน็ ชอบในร่างพระราชบญั ญัตนิ ัน้

ในกรณที ่สี ภาผ้แู ทนราษฎรเสนอร่างพระราชบญั ญตั เิ กยี่ วด้วยการเงนิ ไปยังวฒุ ิสภา ใหป้ ระธาน สภาผแู้ ทนราษฎรแจง้ ให้วฒุ สิ ภาทราบและใหถ้ ือเป็น

เดด็ ขาด หากมิได้แจง้ ให้ถือว่ารา่ งพระราชบัญญัติน้ัน ไมเ่ ป็นรา่ งพระราชบัญญตั เิ ก่ยี วด้วยการเงิน

มาตรา ๑๓๗ เูมอ่ วุฒสิ ภาไดพ้ ิจารณารา่ งพระราชบญั ญตั เิ สรจ็ แล้ว

(๑) ถ้าเหน็ ชอบดวยกบั สภาผูแทนราษฎร ให้ดาเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๑

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๔๐ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

(๒) ถา้ ไมเ่ ห็นชอบดว้ ยกบั สภาผู้แทนราษฎร ให้ยบั ย้ังร่างพระราชบญั ญัติน้ันไว้ก่อนและ

ส่งรา่ งพระราชบญั ญัตนิ คนปไยื ังสภาผู้แทนราษฎร

(๓) ถ้าแก้ไขเพูม่ เติม ใหส้ ง่ รา่ งพระราชบญั ญัติตามที่แกไ้ ขเพม่ิ เติมูนน้ ไปยังสภาูผแ้ ทนราษฎร ถ้าสภาผ้แู ทนราษฎรเห็นชอบดว้ ยกบั การแกไ้ ขเพูม่ เตมิ

ใหด้ าเนินการตอ่ ไปตามมาตรา ๘๑ ถา้ เป็นกรณอี นื่ ให้แตล่ ะสภาูต้งบุคคลซ่ึงเป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกแห่งสภาูน้น ๆ มีจานวนเท่ากันตามที่สภาผู้แทนราษฎรกาหนด

ประกอบเป็นคณะกรรมาธกิ ารรว่ มกนั เพอื่ พจิ ารณารา่ งพระราชบญญตั ินัน้ และใหค้ ณะกรรมาธิการรว่ มกัน รายงานและเสนอร่างพระราชบัญญตั ิทูค่ ณะกรรมาธิการ

ร่วมกนั ไดพ้ จิ ารณาแลว้ ต่อสภาูทง้ สอง ถา้ สภาูทง้ สอง ต่างเห็นชอบดว้ ยกบั รา่ งพระราชบัญญัติท่คี ณะกรรมาธิการร่วมกันได้พิจารณาแล้ว ให้ดาเนินการต่อไป ตาม

มาตรา ๘๑ ถ้าสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบดว้ ย ไม่วา่ อีกสภาหนึ่งจะได้พจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญัตูินน้ แลว้ หรอื ไม่ ใหย้ ับยังรา่ งพระราชบัญญตั ินนั้ ไว้ก่อน

การประชุมคณะกรรมาธิการรว่ มกนั ต้องมกี รรมาธิการของสภาท้ังสองมาประชุมไม่น้อยกว่าก่งึ หนึง่

ของจานวนกรรมาธิการท้ังหมดจึงจะเป็นองคป์ ระชุม และให าความในมาตรา ๑๕๗ มาใชบ้ ังคับโดยอนุโลม

ถา้ วฒุ สิ ภาไม่ส่งรา่ งพระราชบัญญัติคืนไปยังสภาูผแ้ ทนราษฎรภายในกาหนดเวลาตามมาตรา ๑๓๖

ให้ถือวา่ วุฒิสภาได้ให้ความเหน็ ชอบในร่างพระราชบัญญตั นิ และใหด้ าเนินการตามมาตรา ๘๑ ต่อไป

มาตรา ๑๓๘ สภาูผแ้ ทนราษฎรจะยกรา่ งพระราชบัญญัติูทต่ อ้ งยับูย้งไวต้ ามมาตรา ๑๓๗ ขน้ึ พจิ ารณาใหมไ่ ด้เมอื่ พนหนง่ึ รอ้ ยแปดสบิ วนั นบั แต่

(๑) วันทวี่ ฒุ ิสภาส่งร่างพระราชบญั ญัตูินน้ คนื ไปยงั สภาผแู้ ทนราษฎรสาหรบั กรณกี ารยบั ย้ัง ตามมาตรา ๑๓๗ (๒)

(๒) วันท่ีสภาใดสภาหนงึ่ ไมเ่ หน็ ชอบดวย สาหรับกรณกี ารยับยง้ั ตามมาตรา ๑๓๗ (๓)

ในกรณีตามวรรคหน่งึ ถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมตยิ นื ยนั ร่างที่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎร หรือร่างท่ีคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาด้วย

คะแนนเสียงมากกวา่ กึง่ หูนง่ ของจานวนสมาชิกูทง้ หมด เทา่ ท่มี อี ย่ขู องสภาผแู้ ทนราษฎรแล้ว ให้ถือวา่ ร่างพระราชบญั ญตั ูนิ น้ เป็นอันได้รบั ความเหน็ ชอบของรัฐสภา

และให าเนนิ การต่อไปตามมาตรา ๘๑

ภายใต้บงั คบั มาตรา ๑๔๓ วรรคส่ี ระยะเวลาหน่ึงร้อยแปดสิบวนั ตามวรรคหนึง่ ให้ลดเหลอื สิบวัน

ในกรณีร่างพระราชบญั ญัติทูต่ อ้ งยบยงั ไว้น้นั เปน็ ร่างพระราชบญญตั เิ กย่ี วดว้ ยการเงิน

มาตรา ๑๓๙ ในระหว่างท่ีมกี ารยับยัง้ รา่ งพระราชบัญญัติใดตามมาตรา ๑๓๗ คณะรัฐมนตรี หรอื สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจะเสนอร่าง

พระราชบญั ญตั ิที่มีหลักการอยา่ งเดยี วกนั หรอื คลา้ ยกนั กบั หลักการ

ของร่างพระราชบัญญตั ิท่ีต้องยับยง้ ไว ิได

ในกรณที ีส่ ภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาเห็นว่ารา่ งพระราชบัญญัตทิ ีเ่ สนอหรอื สง่ ใหพ้ ิจารณานน้ั เป็นร่างพระราชบัญญัติทู่มีหลักการอย่างเดียวกันหรือ

คลา้ ยกนั กบั หลักการของร่างพระราชบัญญตั ทิ ต่ี อ้ ง ยบั ยง้ั ไว้ ใหป้ ระธานสภาูผแ้ ทนราษฎรหรอื ประธานวุฒสิ ภาส่งร่างพระราชบญั ญตั ิดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญ

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๔๑ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา

วินจิ ฉยั ถ้าศาลรฐั ธรรมนญู วินิจฉยั วา่ เปน็ รา่ งพระราชบญั ญัตทิ มี่ หี ลกั การอย่างเดยี วกนั หรือคลา้ ยกนั กับ หลกั การของรา่ งพระราชบญั ญัติทูต่ อ้ งยับย้งไว้ ให้ร่างพระ
ราชบญั ญตั นิ ั้นเปน็ อันตกไป

มาตรา ๑๔๐ การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทาได้เฉพาะท่ีได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วย งบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการ

งบประมาณ หรอื กฎหมายเกี่ยวดว้ ยการโอนงบประมาณ กฎหมายวา่ ด้วยเงนิ คงคลัง หรอื กฎหมายว่าดว้ ยวนิ ยั การเงนิ การคลงั ของรฐั เว้นแตใ่ นกรณจี าเป็นรบี ดว่ น
จะจ่ายไปก่อนกไ็ ด้ แตต่ ้องเป็นไปตามหลกั เกณฑ์และวธิ ีการที่กฎหมายบญั ญตั ิ ในกรณเี ช่นวา่ นี้ ต้องต้งั งบประมาณรายจา่ ยชดใชใ้ นพระราชบญั ญตั โิ อนงบประมาณ
รายจ่ายหรอื พระราชบัญญัตงิ บประมาณ รายจ่ายเพิ่มเติม หรอื พระราชบญญตั งิ บประมาณรายจา่ ยประจาปงี บประมาณถัดไป

มาตรา ๑๔๑ งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินใหท้ าเปน็ พระราชบัญญตั ิ ถา้ พระราชบญั ญตั ิ งบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณออกไม่
ทนั ปีงบประมาณใหม่ ให้ใช้กฎหมายวา่ ด้วยงบประมาณ รายจ่ายในปีงบประมาณปีก่อนน้นั ไปพลางกอ่ น

รฐั ตอ้ งจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอกบั การปฏบิ ัตหิ นา้ ท่โี ดยอสิ ระของรฐั สภา ศาล องค์กรอิสระ และองคก์ รอยั การ ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์ท่ีบญั ญัติ
ไวใ้ นกฎหมายวา่ ดว้ ยวนิ ัยการเงนิ การคลังของรฐั ในกรณีท่เี ห็นว่างบประมาณูทไ่ ดร้ บั จัดสรรอาจไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าท่ี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือ
องค์กรอยั การจะยนื่ คาขอแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการโดยตรงก็ได้

มาตรา ๑๔๒ ในการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ ต้องแสดงแหล่งที่มาและประมาณการรายได้
ผลสัมฤทธ์หิ รอื ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะได้รับจากการจ่ายเงิน และความสอดคล้องกบยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาต่าง ๆ ท้งูน้ ตามหลักเกณฑ์ท่ีบัญญัติไว้ใน

กฎหมาย วา่ ดว้ ยวนิ ัยการเงินการคลังของรฐั
มาตรา ๑๔๓ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายเพ่ิมเติม และร่าง

พระราชบัญญัตโิ อนงบประมาณรายจ่าย สภาผู้แทนราษฎรจะต้อง พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหน่ึงร้อยห้าวันนับแต่วนทู่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาถึงสภา

ผแู้ ทนราษฎร
ถ้าสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติูน้นไม่แล้วเสร็จภายในกาหนดเวลาตามวรรคหน่ึง ให้ถือว่าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบกับร่าง

พระราชบัญญัตินนั้ และให้เสนอรา่ งพระราชบัญญัตดิ ังกล่าว ตอ่ วฒุ สิ ภาเพอ่ื พจิ ารณา
ในการพจิ ารณาของวฒุ สิ ภา วุฒสิ ภาจะตอ้ งใหค้ วามเหน็ ชอบหรอื ไม่ใหค้ วามเห็นชอบภายในย่ีสิบวัน นับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัตินั้นมาถึงวุฒิสภา

โดยจะแก้ไขเพ่ิมเติมใด ๆ มิได้ ถ้าพน้ กาหนดเวลาดงั กลา่ ว ให้ถือว่าวุฒิสภาเหน็ ชอบกบั รา่ งพระราชบญั ญตั ูินน้ ในกรณเี ช่นนี้และในกรณที ี่วุฒสิ ภาใหค้ วามเหน็ ชอบ

ให้ดาเนนิ การตอ่ ไปตามมาตรา ๘๑
ถา้ วุฒิสภาไมเ่ หน็ ชอบด้วยกับรา่ งพระราชบญั ญัตดิ ังกลา่ ว ใหน้ าความในมาตรา ๑๓๘ วรรคสอง มาใช้บงั คบั โดยอนุโลม โดยใหสภาผู้แทนราษฎร

ยกข้นึ พจิ ารณาใหมไ่ ด้ทันที

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๔๒ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา

ระยะเวลาตามวรรคหูน่งและวรรคสาม มใิ หน้ ับรวมระยะเวลาทศ่ี าลรัฐธรรมนญู พิจารณา ตามมาตรา ๑๔๔ วรรคสาม
มาตรา ๑๔๔ ในการพจิ ารณาร่างพระราชบัญญตั ิงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพู่ม
เติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรจะแปรญัตติเปล่ยี นแปลงหรอื แกไ้ ขเพ่ิมเติมรายการหรือจานวนในรายการมิได้
แต่อาจแปรญตั ติในทางลดหรอื ตัดทอนรายจ่ายซง่ึ มใิ ชร่ ายจ่ายตามขอผูกพันอย่างใดอยา่ งหูนง่ ดงั ต่อไปน้ี

(๑) เงินสง่ ใช้ต้นเงนิ กู้

(๒) ดอกเบยี้ เงินกู้

(๓) เงนิ ทูก่ าหนดใหจ้ ่ายตามกฎหมาย
ในการพจิ ารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒสิ ภา หรือคณะกรรมาธกิ าร การเสนอ การแปรญตั ติ หรอื การกระทาด้วยประการใด ๆ ทม่ี ผี ลใหส้ มาชกิ
สภาูผแ้ ทนราษฎร สมาชกิ วฒุ ิสภาหรอื กรรมาธิการ มีสว่ นไม่วา่ โดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจา่ ย จะกระทามิได้
ในกรณที สี่ มาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชกิ วฒุ สิ ภา มจี านวนไม่นอ้ ยกวา่ หนึง่ ในสบิ ของ จานวนสมาชกิ ทง้ั หมดเท่าทมี่ ีอยู่ของแตล่ ะสภา เห็นว่ามี
การกระทาที่ฝ่าฝนื บทบัญญัติตามวรรคสอง ให้เสนอความเห็นตอ่ ศาลรัฐธรรมนูญเพูอ่ พจิ ารณา และศาลรัฐธรรมนญู ต้องพจิ ารณาวินจิ ฉยั ใหแ้ ล้วเสร็จ ภายในสิบห้า
วนั นบั แต่วนั ทีไ่ ด้รับความเห็นดังกลา่ ว ในกรณที ีศ่ าลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการกระทาที่ฝ่าฝืน บทบัญญัติตามวรรคสอง ให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการ
กระทาดังกล่าวเป็นอนั ูสน้ ผล ถ้าผกู้ ระทาการ ดังกล่าวเปน็ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ใหู้ผ้กระทาการน้ันสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ ศาล
รฐั ธรรมนูญมคี าวนิ จิ ฉยั และใหเ้ พิกถอนสิทธิสมคั รรบั เลอื กตงั้ ของผนู้ นั้ แตใ่ นกรณูที ค่ ณะรฐั มนตรี เป็นผูก้ ระทาการหรอื อนุมตั ิใหก้ ระทาการหรือรู้ว่ามีการกระทา
ดงั กล่าวแล้วแต่มไิ ดู้สง่ ยบั ยัง้ ใหค้ ณะรฐั มนตรี พ้นจากตาแหน่งท้งั คณะนบั แตว่ ันที่ศาลรัฐธรรมนญู มคี าวนิ จิ ฉัย และใหเ้ พิกถอนสิทธิสมคั รรบั เลือกตั้ง ของรฐั มนตรที ่ี
พ้นจากตาแหน่งนนั้ เว้นแต่จะพิสูจน์ไดว้ ่าตนมิไดอ้ ยใู่ นที่ประชมุ ในขณะท่ีมมี ติ และ ให้ผู้กระทาการดงั กลา่ วต้องรับผดิ ชดใช้เงินนน้ั คืนพรอ้ มด้วยดอกเบีย้
เจา้ หน้าทีข่ องรฐั ผใู้ ดจัดทาโครงการหรืออนุมัติหรือจัดสรรเงินงบประมาณโดยรู้ว่ามีการดาเนินการ อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคหน่ึงหรือ
วรรคสอง ถาไดบ้ ันทึกขอ้ โตแ้ ย้งไว้เปน็ หนงั สือหรอื มีหนงั สือ แจง้ ให้คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาตทิ ราบ ให้พน้ จากความรบั ผิด
การเรียกเงินคนื ตามวรรคสามหรือวรรคส่ี ใหก้ ระทาได้ภายในูยส่ บิ ปีนบั แตว่ ันที่มีการจดั สรร งบประมาณนู้น
ในกรณีท่ีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้รับแจ้งตามวรรคสี่ ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาตดิ าเนินการสอบสวนเป็นทางลบั โดยพลัน หากเหน็ วา่ กรณีมมี ลู ใหเ้ สนอความเห็นตอ่ ศาลรัฐธรรมนูญเพ่ือดาเนินการต่อไปตามวรรคสาม และไมว่ า่

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๔๓ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

กรณีจะเป็นประการใด คณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาตแิ ละศาลรฐั ธรรมนญู หรอื บคุ คลใดจะเปิดเผยขอ้ มูลเกย่ี วกบผูแจง้ มไิ ด้
มาตรา ๑๔๕ รา่ งพระราชบัญญตั ิทไ่ี ด้รบั ความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ใหน้ ายกรฐั มนตรี รอไว้ห้าวันนับแต่วันท่ีได้รับร่างพระราชบัญญัติน้ัน

จากรฐั สภา ถา้ ไม่มกี รณตี ้องดาเนินการตามมาตรา ๑๔๘ ใหน้ าขน้ึ ทลู เกลาทลู กระหมอ่ มถวายภายในยสี่ บิ วนั นับแต่วันพ้นกาหนดเวลาดงกล่าว
มาตรา ๑๔๖ ร่างพระราชบัญญัติใด พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทาน คืนมายังรัฐสภา หรือเูม่อพ้นเก้าสิบวันแล้วมิได้

พระราชทานคืนมา รฐั สภาจะตอ้ งปรึกษาร่างพระราชบญั ญตั นิ นั้ ใหม่ ถา้ รัฐสภามมี ตยิ นื ยันตามเดมิ ด้วยคะแนนเสยี งไม่น้อยกวา่ สองในสามของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่
มอี ยู่ ของทงั สองสภาแล้ว ใหนายกรฐั มนตรนี าร่างพระราชบัญญัตินั้นข้ึนทลู เกลา้ ทลู กระหม่อมถวายอีกครั้งหน่ึง เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธย
พระราชทานคนื มาภายในสามสิบวัน ใหน้ ายกรัฐมนตรี นาพระราชบัญญัตินัน้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์
ได้ทรงลงพระปรมาภไิ ธยแล้ว

มาตรา ๑๔๗ ในกรณีท่ีอายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพ่ิมเติมหรือร่าง
พระราชบัญญัติทู่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบ หรือที่รัฐสภา ให้ความเห็นชอบแล้วแต่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วย หรือเม่ือพ้นเก้าสิบวันแล้วมิได้
พระราชทานคืนมา ใหเป็นอนั ตกไป

บรรดาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือร่างพระราชบัญญัติท่ีรัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบ ูท่ตกไปตามวรรคหน่ึง ถ้าคณะรัฐมนตรีท่ีตั้งขึ้นใหม่
ภายหลงั การเลือกูต้งทั่วไปร้องขอต่อรัฐสภาเพู่อให้รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี พิจารณาต่อไป ถ้ารัฐสภาเห็นชอบด้วยก็ให้รัฐสภา
สภาผ้แู ทนราษฎร หรอื วฒุ ิสภา แลว้ แตก่ รณี พจิ ารณาต่อไปได้ แตค่ ณะรัฐมนตรีตอ้ งรอ้ งขอภายใน หกสิบวนนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาคร้ังแรกภายหลังการ
เลือกตงั ทว่ั ไป

มาตรา ๑๔๘ กอ่ นท่นี ายกรัฐมนตรีจะนาร่างพระราชบัญญัติใดูข้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพ่ือพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยตาม
มาตรา ๘๑

(๑) หากสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวฒุ ิสภา หรือสมาชิกของท้ังสองสภารวมกันมีจานวน

ไมน่ ้อยกว่าหน่งึ ในสิบของจานวนสมาชกิ ทูง้ หมดเทา่ ที่มีอยู่ของทง้ สองสภา เหน็ ว่าร่างพระราชบญั ญ ดิ ังกลา่ ว
มีข้อความขดั หรอื แย้งตอ่ รัฐธรรมนญู หรอื ตราขน้ึ โดยไม่ถูกต้องตามบทบญั ญตั แิ ห่งรฐั ธรรมนูญ ใหเ้ สนอ ความเหน็ ตอ่ ประธานสภาผ้แู ทนราษฎร ประธานวุฒิสภา
หรอื ประธานรัฐสภา แลว้ แต่กรณี แล้วใหป้ ระธาน แห่งสภาท่ีได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพู่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรี
ทราบโดยไม่ชักช้า

(๒) หากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราูข้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่ง
รฐั ธรรมนญู ให้ส่งความเห็นเชน่ วา่ นน้ั ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพือ่ วินิจฉยั และแจง้ ใหประธานสภาผูแ้ ทนราษฎรและประธานวฒุ ิสภาทราบโดยไมช่ ักช้า

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๔๔ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา

ในระหว่างการพิจารณาวนิ จิ ฉัยของศาลรัฐธรรมนญู นายกรฐมนตรจะนารา่ งพระราชบญั ญัตดิ งั กลา่ ว ข้นึ ทลู เกล้าทูลกระหมอ่ มถวายเพูอ่ พระมหากษัตริย์
ทรงลงพระปรมาภิไธยมไิ ด้

ถา้ ศาลรฐั ธรรมนูญวนิ ิจฉัยว่ารา่ งพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่ง
รัฐธรรมนูญ และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสาคัญ

ให้ร่างพระราชบญั ญัตนิ เป็นอนั ตกไป
ถ้าศาลรฐั ธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ แต่มิใช่กรณีตามวรรคสาม ให้ข้อความทู่ขัดหรือแย้งต่อ

รฐั ธรรมนญู ูนน้ เป็นอนั ตกไป และให้นายกรัฐมนตรี ดาเนนิ การตอ่ ไปตามมาตรา ๘๑
มาตรา ๑๔๙ ให้นาความในมาตรา ๑๔๘ มาใช้บังคับแก่ร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ร่างข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา และร่าง

ขอ้ บงั คับการประชุมรัฐสภาที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒสิ ภา หรือรฐั สภา แลว้ แตก่ รณี ให้ความเหน็ ชอบแล้ว กอ่ นนาไปประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาด้วยโดยอนโุ ลม
มาตรา ๑๕๐ สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรหรือสมาชิกวฒุ ิสภามีสิทธติ ั้งกระทถู้ ามรฐั มนตรี ในเูรอ่ งใดเกย่ี วกับงานในหน้าท่ีโดยจะถามเป็นหนังสือ

หรือด้วยวาจาก็ได้ ตามขอ้ บงั คบั การประชมุ แห่งสภานัน้ ๆ ซึง่ อย่างนอ้ ยตอ้ งกาหนดให้มีการตงั กระทู้ถามด้วยวาจาโดยไมต่ องแจง้ ล่วงหนาไว้ดว้ ย
รัฐมนตรีย่อมมีสิทธิที่จะไม่ตอบกระทู้เูม่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเูร่องนั้นยังไม่ควรเปิดเผย เพราะเก่ียวกับความปลอดภัยหรือประโยชน์สาคญ

ของแผ่นดิน
มาตรา ๑๕๑ สมาชิกสภาูผแ้ ทนราษฎรจานวนไมน่ ้อยกว่าหนึ่งในหา้ ของจานวนสมาชกิ ทัง้ หมด เท่าทูม่ อี ย่ขู องสภาผู้แทนราษฎร มสี ทิ ธเิ ขา้ ูช่อเสนอ

ญัตตขิ อเปิดอภิปรายูทว่ ไปเพูอ่ ลงมตไิ ม่ไว้วางใจรัฐมนตรี เปน็ รายบุคคลหรือท้ังคณะ

เมอ่ื ไดม้ กี ารเสนอญตั ตติ ามวรรคหนงึ่ แลว้ จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้ เว้นแตจ่ ะมี

การถอนญตติหรือการลงมตนิ มไได่ ้คะแนนเสียงตามวรรคส
เม่ือการอภิปรายท่ัวไปูส้นสุดลง โดยมิใช่ด้วยมติให้ผ่านระเบียบวาระเปิดอภิปรายนั้นไป ให้สภาูผ้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ

การลงมติในกรณเี ชน่ วา่ น้มี ิให้กระทาในวันเดียวกบั

วนั ทกี่ ารอภิปรายส สดุ ลง
มตไิ มไ่ วว้ างใจต้องมคี ะแนนเสียงมากกวา่ กง่ึ หูนง่ ของจานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มอี ยู่ของ ทนราษฎร

สภาผ รัฐมนตรีคนใดพ้นจากตาแหน่งเดิมแต่ยังคงเป็นรัฐมนตรีในตาแหน่งูอ่นภายหลังจากวันท่ี
สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรเขา้ ชอ่ื ตามวรรคหนึ่ง หรือพ้นจากตาแหนง่ เดมิ ไมเ่ กินเก้าสิบวันก่อนวันที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อตามวรรคหูน่ง แต่ยังคงเป็น
รฐั มนตรีในตาแหน่งอ่ืน ใหร้ ฐั มนตรคี นนัน้ ยงั คงต้องถกู อภปิ รายเพ่อื ลงมติไม่ไวว้ างใจต่อไป

เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๔๕ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

มาตรา ๑๕๒ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจานวนไมน่ ้อยกวา่ หูนง่ ในสบิ ของจานวนสมาชกิ ทั้งหมด เท่าทมี่ ีอยูข่ องสภาผูแ้ ทนราษฎร จะเข้าูช่อกันเพู่อ

เสนอญัตตขิ อเปิดอภิปรายทวั่ ไปเพ่อื ซกั ถามขอ้ เทจ็ จริง หรอื เสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มกี ารลงมตกิ ไ็ ด้

มาตรา ๑๕๓ สมาชกิ วฒุ ิสภาจานวนไม่นอ้ ยกวา่ หนึง่ ในสามของจานวนสมาชิกทง้ั หมดเทา่ ทูม่ ีอยู่ ของวุฒิสภา มีสทิ ธเิ ข้าูชอ่ ขอเปิดอภปิ รายทว่ั ไปใน

วุฒสิ ภาเพูอ่ ให้คณะรฐั มนตรแี ถลงข้อเทจ็ จรงิ หรือช้ีแจง ปญั หาสาคัญเก่ยี วกับการบรหิ ารราชการแผ่นดนิ โดยไมม่ กี ารลงมติ

มาตรา ๑๕๔ การเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทู่วไปตามมาตรา ๑๕๑ มาตรา ๑๕๒ หรือมาตรา ๑๕๓ แลวแต่กรณี

ใหกระทาไดป้ ลี ะหน่ึงครั้ง

ความในวรรคหนึง่ ไมใ่ ชบ้ ังคับแกก่ ารเปดิ อภิปรายทวั่ ไปตามมาตรา ๑๕๑ ที่ส้ินสุดลงด้วยมติ ใหผ้ ่านระเบียบวาระเปดิ อภิปรายนั้นไป

มาตรา ๑๕๕ ในกรณีทีม่ ีปญั หาสาคัญเูกย่ วกบั ความม่ันคงปลอดภัยหรอื เศรษฐกิจของประเทศ สมควรที่จะปรึกษาหารือร่วมกันระหว่าง

รัฐสภาและคณะรฐั มนตรี ูผน้ าฝา่ ยค้านในสภาผู้แทนราษฎร

จะแจง้ ไปยงั ประธานรฐั สภาขอใหม้ กี ารเปดิ อภิปรายท่ัวไปในทป่ี ระชุมรัฐสภากไ็ ด้ ในกรณนี ประธานรฐั สภา

ตอ้ งดาเนนิ การใหม้ กี ารประชมุ ภายในสบิ หา้ วนั นับแต่วันทูไ่ ด้รบั การแจง้ แต่รฐั สภาจะลงมตใิ นปญั หา ทูอ่ ภปิ รายมิได้

การประชุมตามวรรคหนึ่งให้ประชุมลบั และคณะรัฐมนตรีมีหนา้ ทต่ี องเข้ารว่ มประชุมดว้ ย

ส่วนท่ี ๕ การประชุมร่วมกันของ
รฐั สภา

มาตรา ๑๕๖ ในกรณีตอ่ ไปนี้ ให ัฐสภาประชมุ ร่วมกนั

(๑) การใหค้ วามเห็นชอบในการแต่งตง้ั ผ ะองรพแากชนจคเท็ ์ตามมาตรา ๑๗

(๒) การปฏิญาณตนของผสู้ าเร็จราชการแทนพระองคต์ ่อรฐั สภาตามมาตรา ๑๙

(๓) การรับทราบการแก้ไขเพู่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ ตามมาตรา

๒๐

(๔) การรบทราบหรอื ใหความเหน็ ชอบในการสบื ราชสมบ ติ ามมาตรา ๒๑

(๕) การใหค้ วามเห็นชอบในการปดิ สมยั ประชมุ ตามมาตรา ๑๒๑

(๖) การเปดิ ประชุมรฐั สภาตามมาตรา ๑๒๒

(๗) การพิจารณาร่างพระราชบญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญตามมาตรา ๑๓๒

(๘) การปรึกษาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติใหม่ ตามมาตรา ๑๔๖

(๙) การพิจารณาใหค้ วามเห็นชอบตามมาตรา ๑๔๗

(๑๐) การเปดิ อภปิ รายทว่ั ไปตามมาตรา ๑๕๕ และมาตรา ๑๖๕

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๔๖ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา

(๑๑) การตราข้อบังคบั การประชุมรัฐสภาตามมาตรา ๑๕๗
(๑๒) การแถลงนโยบายตามมาตรา ๑๖๒

(๑๓) การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงครามตามมาตรา ๑๗๗

(๑๔) การรบฟงั คาชแี จงและการใหค้ วามเห็นชอบหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
(๑๕) การแกไขเพ่มิ เติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๕๖
(๑๖) กรณอี นื่ ตามทบ่ี ญญ ไิ วใ้ นรัฐธรรมนญู
มาตรา ๑๕๗ ในการประชุมรว่ มกันของรฐั สภาใหใ้ ช้ขอ้ บังคบั การประชุมรฐั สภา ในระหว่าง ทู่ยงไม่มีขอบังคับการประชุมรัฐสภา ใหใช้ข้อบังคบ
การประชุมสภาผูแทนราษฎรโดยอนุโลมไปพลางกอ่ น
ในการประชุมรว่ มกันของรัฐสภา ให้นาบทท่ใี ชแ้ กส่ ภาูทง้ สองมาใชบ้ ังคับโดยอนุโลม เว้นแต่ ในเูรอ่ งการูต้งคณะกรรมาธกิ าร กรรมาธกิ ารซึ่งต้ังจาก
ผูู้ซง่ เปน็ สมาชกิ ของแตล่ ะสภาจะต้องมจี านวนตาม หรอื ใกลเคยี งกับอตั ราสว่ นของจานวนสมาชิกของแตล่ ะสภา

หมวด ๘
คณะรฐั มนตรี

มาตรา ๑๕๘ พระมหากษตั รยิ ์ทรงแต่งตง้ั นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าท่ี
บรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ตามหลกั ความรับผดิ ชอบรว่ มกนั

นายกรฐมนตรตี อ้ งแตง่ ตั้งจากบุคคลซงึ่ สภาผู้แทนราษฎรใหค้ วามเหน็ ชอบตามมาตรา ๑๕๙ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผูลงนามรับสนองพระ
บรมราชโองการแต่งตงั้ นายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีจะดารงตาแหน่งรวมกันแลว้ เกนิ แปดปมี ิได้ ท้งั นี้ ไมว่ ่าจะเป็นการดารงตาแหนง่

ติดต่อกันหรอื ไม่ แต่มิให้นบั รวมระยะเวลาในระหว่างที่อย่ปู ฏิบตั ิหน้าทูต่ อ่ ไปหลงั พ้นจากตาแหน่ง
มาตรา ๑๕๙ ให้สภาผู้แทนราษฎรพจิ ารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซ่ึงสมควรได้รับแต่งต้ัง เป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซ่ึงมีคุณสมบัติและไม่มี

ลักษณะต้องหา้ มตามมาตรา ๑๖๐ และเปน็ ผมู้ ีชื่ออยู่ ในบญั ชีรายช่อื ทูพ่ รรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ เฉพาะจากบัญชรี ายช่อื ของพรรคการเมืองท่ีมีสมาชิก
ไดร้ บั เลือกเป็นสมาชิกสภาูผแ้ ทนราษฎรไม่น้อยกวา่ ร้อยละห้าของจานวนสมาชกิ ทงั้ หมดเท่าท่มี ีอยูข่ อง สภาูผแ้ ทนราษฎร

การเสนอูชอ่ ตามวรรคหนงึ่ ตอ้ งมสี มาชิกรับรองไม่นอ้ ยกวา่ หนงึ่ ในสิบของจานวนสมาชิกท้ังหมด เท่าที่มอี ูยข่ องสภาผูแทนราษฎร
มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งูต้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทา โดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียง
มากกวา่ กึง่ หนึง่ ของจานวนสมาชกิ ท้งั หมดเทา่ ทม่ี อี ยู่ ของสภาผูแทนราษฎร

มาตรา ๑๖๐ รฐั มนตรตี อ้ ง

(๑) มีสญั ชาติไทยโดยการเกิด

เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๔๗ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

(๒) มีอายไุ ม่ต่ากว่าสามสิบหาปี

(๓) สาเรจ็ การศกึ ษาไมู่ต่ากว่าปริญญาตรีหรอื เทียบเท่า

(๔) มีความูซอ่ สตั ย์สุจริตเป็นทู่ประจักษ์

(๕) ไมม่ พี ฤตกิ รรมอันเปน็ การฝา่ ฝนื หรือไมป่ ฏบิ ตั ิตามมาตรฐานทางจรยิ ธรรมอยา่ งร้ายแรง

(๖) ไม่มลี กษณะตองหา้ มตามมาตรา ๙๘

(๗) ไม่เป็นูผ้ต้องคาพิพากษาให้จาคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทาโดยประมาท

ความผดิ ลหุโทษ หรือความผดิ ฐานหมน่ิ ประมาท

(๘) ไมเ่ ปน็ ผเู้ คยพน้ จากตาแหนง่ เพราะเหตกุ ระทาการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๖ หรือมาตรา ๑๘๗ มาแล้วยังไม่ถึงสองปีนับถึงวัน

แตง่ ต้งั

มาตรา ๑๖๑ กอ่ นเขา้ รับหน้าท่ี รัฐมนตรีตอ้ งถวายสัตยป์ ฏญิ าณตอ่ พระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคา ดังตอ่ ไปูน้

“ข้าพระพทุ ธเจา้ (ชอื่ ูผป้ ฏิญาณ) ขอถวายสตั ย์ปฏญิ าณว่า ขา้ พระพุทธเจา้ จะจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าูท่ด้วยความูซ่

อสตั ยส์ ุจริต เพอ่ื ประโยชนข์ องประเทศและประชาชน ทั้งจะรกั ษาไว้และปฏิบตั ติ ามูซง่ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทยทุกประการ”

ในกรณที โ่ี ปรดเกลา้ โปรดกระหม่อมให้คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าท่ีไปพลางก่อนท่ีจะถวายสัตย์ปฏิญาณ ให้คณะรัฐมนตรีนั้นดาเนินการตามมาตรา ๑๖๒

วรรคสองได้ ในกรณเี ชน่ นี้ ให้คณะรฐั มนตรตี ามมาตรา ๑๖๘ (๑)

พน้ จากการปฏบิ ิหนา้ ท่ีนบแตว่ ันที่โปรดเกล้าโปรดกระหมอมด่ ังกล่าว

มาตรา ๑๖๒ คณะรฐั มนตรที จ่ี ะเขา้ บรหิ ารราชการแผ่นดินตอ้ งแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซ่ึงต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่ง

รฐั และยทุ ธศาสตร์ชาติ และตอ้ งช้ีแจงแหลง่ ที่มา ของรายไดท้ ี่จะนามาใชจ้ ่ายในการดาเนนิ นโยบาย โดยไม่มกี ารลงมติความไวว้ างใจ ท้ังน้ี ภายในสิบห้าวัน นับ

แต่วนั เข้ารบั หนา้ ที่

ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีท่ีสาคัญและจาเป็นเร่งด่วน ซึ่งหากปล่อยให้ เน่ินช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สาคัญของ

แผ่นดนิ คณะรัฐมนตรีทเี่ ขา้ รับหนา้ ทีจ่ ะดาเนินการไปพลางก่อน เพียงเทา่ ทีจ่ าเป็นก็ได้

มาตรา ๑๖๓ รฐั มนตรียอ่ มมสี ทิ ธเิ ขา้ ประชมุ และแถลงข้อเทจ็ จรงิ หรือแสดงความคดิ เห็น ในที่ประชมุ สภาแต่ไม่มสี ทิ ธิออกเสียงลงคะแนน เว้น

แต่เป็นการออกเสียงลงคะแนนในสภาผแู้ ทนราษฎร ในกรณีทูร่ ฐั มนตรผี ู้นั้นเป็นสมาชิกสภาูผแ้ ทนราษฎรด้วย และใหน้ าเอกสทิ ธ์ิทบ่ี ัญญตั ิไวใ้ นมาตรา ๑๒๔ มาใช้

บังคับโดยอนโุ ลม

มาตรา ๑๖๔ ในการบรหิ ารราชการแผน่ ดิน คณะรัฐมนตรตี ้องดาเนนิ การตามบทบญั ญตั ิ แหง่ รฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายท่ี

ได้แถลงไวต้ อ่ รฐั สภา และตอ้ งปฏบิ ัตติ ามหลักเกณฑด์ งต่อไปนี้ด้วย (๑) ปฏิบัติหน้าที่และใช้อานาจด้วยความซ่ือสัตย์ สุจริต เสียสละ เปิดเผย และมีความ

รอบคอบ

และระมดั ระวงั ในการดาเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สงู สุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๔๘ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

(๒) รักษาวินัยในกจิ การทเ่ี ก่ยี วกับเงินแผน่ ดินตามกฎหมายวา่ ด้วยวนิ ัยการเงินการคลังของรัฐ อย่างเครง่ ครดั

(๓) ยึดถอื และปฏบิ ิตามหลักการบริหารกจการบิ ้านเมองูท่ ด

(๔) สรางเสริมใหท้ กุ ภาคส่วนในสังคมอยรู่ ว่ มกันอย่างเปน็ ธรรม ผาสุก และสามคคปี รองดองกนั รฐั มนตรตี ้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรใน

เรอื่ งทีอ่ ยูใ่ นหนา้ ท่ีและอานาจของตน รวมท้ัง

ตอ้ งรับผดิ ชอบรว่ มกันตอ่ รฐั สภาในการกาหนดนโยบายและการดาเนนิ การตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี มาตรา ๑๖๕ ในกรณีท่ีมีปัญหาสาคัญเก่ียวกับ

การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ทคี่ ณะรัฐมนตรี

เหน็ สมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยัง ประธานรัฐสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายท่ัวไปในที่

ประชมุ รว่ มกันของรฐั สภากไ็ ด้ ในกรณีเชน่ วา่ นี้ รฐั สภา จะลงมติในปญั หาที่อภิปรายมิได้

มาตรา ๑๖๖ ในกรณูที ม่ ีเหตอุ ันสมควร คณะรัฐมนตรจี ะขอให้มีการออกเสียงประชามติ ในเูร่องใดอันมิใช่เร่ืองที่ขัดหรือแย้งต่อรฐธรรมนูญ

หรือเูรอ่ งูทเ่ ก่ียวกบั ตวั บคุ คลหรือคณะบคุ คลใดกไ็ ด้ ทูง้ นี้ ตามท่ีกฎหมายบัญญตั ิ

มาตรา ๑๖๗ รัฐมนตรีทงั คณะพ้นจากตาแหนง่ เม่ือ

(๑) ความเปน็ รัฐมนตรขี องนายกรัฐมนตรสี ้นิ สดุ ลงตามมาตรา ๑๗๐ (๒) อายุสภาผู้แทนราษฎร

สนิ สดุ ลงหรอื มีการยบุ สภาผูแทนราษฎร (๓) คณะรฐั มนตรีลาออก

(๔) พน้ จากตาแหน่งเพราะเหตตุ ามมาตรา ๑๔๔

เูมอ่ รฐั มนตรีทงั้ คณะพ้นจากตาแหน่งตาม (๑) (๓) หรอื (๔) ใหด้ าเนนิ การเพูอ่ ให้มีคณะรัฐมนตรูีข้นใหม่ ตามมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙

มาตรา ๑๖๘ ให้คณะรฐั มนตรที ี่พนจากตาแหน่งอยปู่ ฏิบตั ิหน้าูทต่ ่อไปภายใตเงือ่ นไข ดงต่อไปน้ี

(๑) ในกรณพี น้ จากตาแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๑) (๒) หรอื (๓) ใหอ้ ูยป่ ฏิบตั ิหนา้ ูทต่ ่อไป จนกวา่ คณะรัฐมนตรีท่ตี ัง้ ูขน้ ใหมจ่ ะเขา้ รบั หนา้

ูท่ เว้นแต่ในกรณีท่ีนายกรัฐมนตรีพ้นจากตาแหน่ง

ตามมาตรา ๑๖๗ (๑) เพราะเหตขุ าดคุณสมบ ิหรอมูลี ักษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๙๘ ูหรามอต ๑๖๐

(๔) หรือ (๕) นายกรัฐมนตรีจะอยู่ปฏิบัติหนาูทต่ อ่ ไปมไิ ด้

(๒) ในกรณีพน้ จากตาแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๔) คณะรฐั มนตรีทพ่ี น้ จากตาแหน่งจะอยู่ปฏบิ ตั ิ หน้าทตี่ อ่ ไปมไิ ด้

ในกรณีทูค่ ณะรัฐมนตรีอย่ปู ฏบิ ตั ิหนา้ ทีต่ อ่ ไปมิไดต้ าม (๒) หรือคณะรฐั มนตรที ีอ่ ยปู่ ฏบิ ัตหิ น้าท่ีต่อไป ลาออกทงั้ คณะ และเปน็ กรณที ไ่ี ม่อาจดาเนนิ การ

ตามมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙ ไดไ้ มว่ า่ ด้วยเหตใุ ด หรือยงั ดาเนนิ การตามมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙ ไม่แล้วเสร็จ ให้ปลัดกระทรวงปฏิบัติหน้าที่

แทน รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงนั้น ๆ เฉพาะเทา่ ท่จี าเป็นไปพลางกอ่ น โดยให้ปลัดกระทรวงคดั เลอื กกนั เอง ใหคนหูนง่ ปฏบิ ัตหิ นา้ ที่แทนนายกรัฐมนตรี

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๔๙ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา

มาตรา ๑๖๙ คณะรัฐมนตรีูท่พ้นจากตาแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๒) และต้องปฏิบัติหน้าท่ีต่อไป ตามมาตรา ๑๖๘ ตองปฏิบัติหน้าที่ตาม

เง่ือนไข ดงตอ่ ไปนี้

(๑) ไมก่ ระทาการอันมีผลเป็นการอนมุ ัตงิ านหรอื โครงการ หรอื มผี ลเปน็ การสร้างความผกู พัน ต่อคณะรฐั มนตรชี ุดต่อไป เวนแต่ทูก่ าหนดไวแ้ ลว้ ใน

งบประมาณรายจา่ ยประจาปี

(๒) ไมแ่ ต่งตง้ั หรือโยกย้ายข้าราชการซง่ึ มตี าแหนง่ หรือเงินเดือนประจาหรอื พนกั งานของ หน่วยงานของรัฐ รฐั วสิ าหกิจ หรอื กิจการทีร่ ฐั ถือหุ้นใหญ่

หรือใหบ้ ุคคลดงั กลา่ วพ้นจากการปฏบิ ัตหิ น้าท่ี หรือพ้นจากตาแหน่ง หรือให้ผู้อ่ืนมาปฏิบัติหน้าูท่แทน เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ การ

เลอื กตัง้ กอ่ น

(๓) ไม่กระทาการอันมผี ลเปน็ การอนมุ ตั ิใหใ้ ชจ้ า่ ยงบประมาณสารองจ่ายเพูอ่ กรณีฉกุ เฉนิ

หรอื จาเปน็ เวน้ แต่จะได บั ความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการการเลอื กต้ังกอน่

(๔) ไมใ่ ช้ทรัพยากรของรฐั หรือบคุ ลากรของรฐั เพอื่ กระทาการใดอนั อาจมีผลต่อการเลือกตั้ง และไม่กระทาการอันเป็นการฝ่าฝืนขอหาม

ตามระเบียบทคี่ ณะกรรมการการเลอื กตง้ กาหนด

มาตรา ๑๗๐ ความเป็นรฐั มนตรีส้ินสุดลงเฉพาะตวั เมอื่

(๑) ตาย

(๒) ลาออก

(๓) สภาผแู ทนราษฎรมีมตไิ มไ่ ว้วางใจ

(๔) ขาดคุณสมบตั ิหรือมลี กั ษณะตองห้ามตามมาตรา ๑๖๐

(๕) กระทาการอนั เป็นการตองหา้ มตามมาตรา ๑๘๖ หรอื มาตรา ๑๘๗

(๖) มพี ระบรมราชโองการใหพ้ ้นจากความเป็นรฐั มนตรีตามมาตรา ๑๗๑ นอกจากเหตทุ ท่ี าใหค้ วามเปน็ รฐั มนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามวรรค

หนง่ึ แลว้ ความเปน็ รฐั มนตรี

ของนายกรฐั มนตรสี สดุ ลงเมอครบูก่ าหนดเวลาตามมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ ดวย

ให้นาความในมาตรา ๘๒ มาใชบ้ ังคบั แกก่ ารสิน้ สดุ ของความเป็นรัฐมนตรีตาม (๒) (๔) หรอื (๕)

หรอื วรรคสอง โดยอนุโลม เพื่อประโยชน์แห่งการน ศาลรัฐธรรมนูญวนิ จิ ฉัยได้ด้วย ใหค้ ณะกรรมการการเลือกต้งั มีอานาจสง่ เรอื่ งให้

มาตรา ๑๗๑ พระมหากษตั รยิ ท์ รงไวซ้ ง่ึ พระราชอานาจในการให้รฐั มนตรีพน้ จากความเปน็ รฐั มนตรี ตามทนี่ ายกรัฐมนตรถี วายคาแนะนา

มาตรา ๑๗๒ ในกรณีเพ่ือประโยชน์ในอันท่ีจะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัย สาธารณะ ความม่ันคงในทางเศรษฐกิจของ

ประเทศ หรอื ปอ้ งปดั ภยั พิบัตสิ าธารณะ พระมหากษตั รยิ ์ จะทรงตราพระราชกาหนดใหใ้ ช้บังคบั ดงเชน่ พระราชบัญญตั ิกไ็ ด้

การตราพระราชกาหนดตามวรรคหน่งึ ให้กระทาไดเ้ ฉพาะเม่อื คณะรฐั มนตรเี หน็ วา่ เป็นกรณีฉกุ เฉนิ ทม่ี คี วามจาเปน็ รีบด่วนอันมอิ าจจะหลีกเลีย่ งได้

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๕๐ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

ในการประชมุ รฐั สภาคราวตอ่ ไป ให้คณะรัฐมนตรีเสนอพระราชกาหนดนั้นตอ่ รฐั สภาเพื่อพิจารณา โดยไม่ชักช้า ถ้าอยู่นอกสมัยประชุมและการรอ

การเปดิ สมัยประชุมสามัญจะเป็นการชักช้า คณะรัฐมนตรี ต้องดาเนินการให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพู่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกาหนด

โดยเรว็ ถา้ สภาูผแ้ ทนราษฎรไมอ่ นมุ ัติหรือสภาูผแ้ ทนราษฎรอนุมตั แิ ตว่ ฒุ ิสภาไม่อนมุ ตั แิ ละสภาผู้แทนราษฎร ยืนยนการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงไม่มากกว่ากึ่งหน่ึงของ

จานวนสมาชิกทงั้ หมดเทา่ ที่มอี ูยข่ องสภาผู้แทนราษฎร ใหพ้ ระราชกาหนดนนั ตกไป แต่ทงั นไี มก่ ระทบต่อกิจการูทไ่ ด้เปน็ ไปในระหว่างทูใ่ ช้พระราชกาหนดนัน้

หากพระราชกาหนดตามวรรคหนึง่ มีผลเปน็ การแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ หรอื ยกเลิกบทบัญญัติแห่งกฎหมายใด และพระราชกาหนดนั้นต้องตกไปตามวรรคสาม

ให้บทบัญญัติแห่งกฎหมายทมี่ ีอย่กู ่อนการแก้ไขเพม่ิ เติม

หรือยกเลิก มผี ลใช้บงคบั ตอ่ ไปนับแต่วันท่ีการไม่อนุม ิพระราชกาหนดน มีผล

ถ้าสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอนุมัติพระราชกาหนดนั้น หรอื ถ้าวุฒิสภาไม่อนุมัติและ สภาผู้แทนราษฎรยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียง

มากกวา่ กึ่งหูนง่ ของจานวนสมาชิกูทง้ หมดเท่าทีม่ ีอยู่ ของสภาผ้แู ทนราษฎร ใหพ้ ระราชกาหนดนน้ มผี ลใช้บังคบเปน็ พระราชบญั ญตั ิตอ่ ไป

การอนุมตั ิหรือไม่อนุมัติพระราชกาหนด ให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ในกรณีไม่อนุม ิ ใหม้ผลตี ังแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกจจานิ เุ บกษา

การพจิ ารณาพระราชกาหนดของสภาผูแ้ ทนราษฎรและของวุฒิสภา และการยนื ยนั การอนมุ ตั

พระราชกาหนด จะตอ้ งกระทาในโอกาสแรกทีม่ กี ารประชุมสภาน ๆ

มาตรา ๑๗๓ ก่อนูท่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะได้อนุมัติพระราชกาหนดใด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา

จานวนไมน่ ้อยกวา่ หูนง่ ในห้าของจานวนสมาชิกทงั้ หมดเทา่ ท่ีมีอยู่ ของแตล่ ะสภา มสี ทิ ธิเข้าูชอ่ เสนอความเหน็ ตอ่ ประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกวา่ พระราชกาหนด

นั้น ไม่เปน็ ไปตามมาตรา ๑๗๒ วรรคหนึ่ง และให้ประธานแหง่ สภานนั้ สง่ ความเห็นไปยงั ศาลรัฐธรรมนูญ ภายในสามวันนบั แตว่ นั ทูไ่ ดร้ บั ความเห็นเพ่อื วินจิ ฉยั และ

ให้รอการพิจารณาพระราชกาหนดน้นั ไวก้ อ่ น จนกวา่ จะไดร้ บั แจงคาวนิ จิ ฉัยของศาลรฐธรรมนูญ

ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคาวินจิ ฉัยภายในหกสบิ วันนบั แต่วันูท่ได้รับเรอ่ื ง และให้ศาลรัฐธรรมนูญ

แจง้ คาวินจิ ฉัยน ไปยงั ประธานแหง่ สภาท่สี ง่ ความเหน็ นั้นมา

ในกรณูีทศ่ าลรัฐธรรมนูญวินจิ ฉัยว่าพระราชกาหนดใดไม่เป็นไปตามมาตรา ๑๗๒ วรรคหนงึ่

ใหพ้ ระราชกาหนดน มไผลชใ่ี บ้ งั คบั มาแตต่ ้น

คาวินจิ ฉัยของศาลรฐั ธรรมนญู ว่าพระราชกาหนดใดไม่เป็นไปตามมาตรา ๑๗๒ วรรคหน่ึง ต้องมคี ะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจานวนตุลา

การศาลรฐั ธรรมนูญทงั้ หมดเท่าทูม่ อี ยู่

มาตรา ๑๗๔ ในกรณีที่มีความจาเป็นต้องมีกฎหมายเก่ียวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซ่ึงจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ

เพอื่ รักษาประโยชน์ของแผ่นดนิ พระมหากษตั รยิ จ์ ะทรง ตราพระราชกาหนดใหใ้ ช้บงคบั ดงเช่นพระราชบัญญตั กิ ไ็ ด้

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๕๑ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

ให้นาความในมาตรา ๑๗๒ วรรคสาม วรรคส วรรคห้า วรรคหก และวรรคเจ็ด มาใชบ้ ังคบั แก

พระราชกาหนดทีไ่ ดต้ ราข ตามวรรคหูนง่ โดยอนโลมุ แตถ่ ้าเป็นการตราขน้ึ ในระหว่างสมัยประชมุ จะตอ้ ง

นาเสนอตอ่ สภาผแู ทนราษฎรภายในสามวันนบั แตว่ ันถดั จากวันประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา

มาตรา ๑๗๕ พระมหากษัตริย์ทรงไวูซ้ ง่ พระราชอานาจในการตราพระราชกฤษฎกี าโดยไม่ขดั ตอ่ กฎหมาย

มาตรา ๑๗๖ พระมหากษตั รยิ ์ทรงไวู้ซง่ พระราชอานาจในการประกาศใช้และเลกิ ใช้กฎอยการศึก ในกรณีูทม่ คี วามจาเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการ

ศึกเฉพาะแห่งเป็นการรบี ด่วน เจา้ หนา้ ท่ีฝ่ายทหาร

ยอ่ มกระทาไดต้ ามกฎหมายว่าดวยกฎอัยการศึก

มาตรา ๑๗๗ พระมหากษัตรยิ ์ทรงไว้ซ่ึงพระราชอานาจในการประกาศสงครามเมือ่ ไดร้ บั ความเห็นชอบของรัฐสภา

มตใิ หค้ วามเห็นชอบของรฐั สภาตอ้ งมีคะแนนเสียงไม่นอ้ ยกวา่ สองในสามของจานวนสมาชิกท้ังหมด เทา่ ท่มี ีอูยข่ องทง้ สองสภา

มาตรา ๑๗๘ พระมหากษัตรยิ ์ทรงไว้ซึง่ พระราชอานาจในการทาหนังสือสัญญาสันติภาพ สญั ญาสงบศึก และสญญาูอ่นกับนานาประเทศหรือ

กับองคก์ ารระหว่างประเทศ

หนงั สอื สัญญาใดมีบทเปูลย่ นแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพืน้ ูทน่ อกอาณาเขตูซง่ ประเทศไทย มสี ทิ ธิอธิปไตยหรอื มเี ขตอานาจตามหนังสือสญั ญาหรือ

ตามกฎหมายระหวา่ งประเทศหรือจะต้องออก พระราชบญั ญตั ิเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา และหนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความูม่นคง ทาง

เศรษฐกจิ สงั คม หรือการคา้ หรือการลงทุนของประเทศอยา่ งกวา้ งขวาง ตอ้ งไดร้ ับความเห็นชอบ ของรฐั สภา ในการนี้ รฐั สภาต้องพิจารณาใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภายในหก

สบิ วันนบั แตว่ นั ที่ได้รบั เูรอ่ ง หากรัฐสภา พจิ ารณาไม่แล้วเสรจ็ ภายในกาหนดเวลาดงกล่าว ให้ถอื ว่ารัฐสภาใหความเห็นชอบ

หนงสือสญั ญาอืน่ ทอี่ าจมผี ลกระทบต่อความูม่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุน ของประเทศอย่างกว้างขวางตามวรรคสอง

ไดแ้ ก่ หนงั สอื สัญญาเกีย่ วกับการค้าเสรี เขตศุลกากรร่วม หรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทาให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติ

ทง้ั หมด

หรอื บางสว่ น หรอื หนังสือสัญญาอื่นตามท่ีกฎหมายบัญญ

ให้มีกฎหมายกาหนดวิธกี ารทปี่ ระชาชนจะเขา้ มามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับ การเยียวยาทู่จาเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทา

หนงั สอื สัญญาตามวรรคสามด้วย

เม่ือมีปัญหาว่าหนังสือสัญญาใดเป็นกรณีตามวรรคสองหรือวรรคสามหรือไม่ คณะรัฐมนตรี จะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ได้ ทั้งนี้ ศาล

รัฐธรรมนญู ต้องวินจิ ฉัยให้แลว้ เสร็จภายในสามสบิ วัน นบั แตว่ ันทูไ่ ดร้ ับคาขอ

มาตรา ๑๗๙ พระมหากษัตริย์ทรงไวซ้ งึ่ พระราชอานาจในการพระราชทานอภัยโทษ

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๕๒ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

มาตรา ๑๘๐ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งูต้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน ตาแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า
และทรงใหพ้ นจากตาแหนง่ เว้นแต่กรณที พ่ี ้นจากตาแหนง่ เพราะความตาย เกษยี ณอายุ หรือพน้ จากราชการเพราะถูกลงโทษ

มาตรา ๑๘๑ ข้าราชการและพนักงานของรฐั ูซง่ มีตาแหน่งหรือเงินเดือนประจาและมิใช่ ขาราชการการเมือง จะเป็นข้าราชการการเมืองหรือ
ูผด้ ารงตาแหน่งทางการเมอื งอ่ืนมิได้

มาตรา ๑๘๒ บทกฎหมาย พระราชหตั ถเลขา และพระบรมราชโองการอนเูก่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรบสนองพระบรมราช
โองการ เว้นแตู่ทม่ ีบญญัติไวเปน็ อยา่ งูอน่ ในรฐั ธรรมนูญ

มาตรา ๑๘๓ เงนิ ประจาตาแหน่งและประโยชนต์ อบแทนอยา่ งอื่นขององคมนตรี ประธาน และรองประธานสภาูผ้แทนราษฎร ประธานและ
รองประธานวุฒสิ ภา ผู้นาฝา่ ยคา้ นในสภาูผแ้ ทนราษฎร สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒสิ ภา ใหก้ าหนดโดยพระราชกฤษฎีกา

บาเหน็จบานาญหรือประโยชน์ตอบแทนอย่างอน่ื ขององคมนตรีซึ่งพน้ จากตาแหน่ง ใหก้ าหนด โดยพระราชกฤษฎีกา

หมวด ๙ การขัดกนั แหง่ ผลประโยชน์

มาตรา ๑๘๔ สมาชกิ สภาผแู ทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตอ้ ง

(๑) ไม่ดารงตาแหน่งหรือหน้าทู่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรอื ตาแหน่งสมาชิกสภาท้องูถ่นหรือผบู ริหาร

ทอ้ งถิ่น

(๒) ไม่รบหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการเขารับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นูค่สัญญากับรัฐ

หนว่ ยราชการ หน่วยงานของรฐั หรอื รัฐวิสาหกิจอันมลี กั ษณะ เปน็ การผกู ขาดตัดตอน หรือเปน็ หุน้ ส่วนหรอื ผู้ถอื ห้นุ ในห้างหนุ้ ส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือ

เขา้ เป็น

ค่สู ัญญาในลกั ษณะดงั กล่าว ทงั น ไม่วา่ โดยทางตรงหรอทางอื ้อม

(๓) ไมร่ ับเงินหรอื ประโยชนใ์ ด ๆ จากหนว่ ยราชการ หนว่ ยงานของรฐั หรอื รัฐวิสาหกจิ เปน็ พเิ ศษ นอกเหนอื ไปจากทูห่ น่วยราชการ หนว่ ยงานของ

รฐั หรือรฐั วิสาหกจิ ปฏิบตั ิต่อบคุ คลูอน่ ๆ ในธรุ กิจ การงานปกติ

(๔) ไม่กระทาการใด ๆ ไมว่ ่าโดยทางตรงหรอื ทางอ้อม อันเป็นการขัดขวางหรือแทรกแซง การใช้สทิ ธหิ รอื เสรีภาพของหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน

โดยมชิ อบ

มาตราน ใิ หใ้ ช้บังคับในกรณีท่ีสมาชิกสภาผ ทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภารบั เบ้ียหวัด บาเหนจ็

บานาญ เงนิ ปพี ระบรมวงศานุวงศ์ หรอื เงินอ่ืนใดในลักษณะเดียวกนั และมใิ หใ้ ชบ้ ังคบั ในกรณีทส่ี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชกิ วุฒสิ ภารับหรอื ดารงตาแหนง่

กรรมาธิการของรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร

เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๕๓ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา

หรือวุฒิสภา หรอื กรรมการทูไ่ ด้รบั แตง่ ูต้งในการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ที่เกยี่ วกบั กจิ การของสภา หรอื กรรมการ ตามทีม่ กี ฎหมายบัญญัตไิ ว้เป็นการเฉพาะ

ให้นา (๒) และ (๓) มาบังคับใชแ้ กูค่ ส่ มรสและบตุ รของสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิก วุฒิสภา และบุคคลอ่ืนซ่ึงมิใช่คู่สมรสและบุตรของ

สมาชกิ สภาูผแ้ ทนราษฎรหรือสมาชกิ วุฒิสภานนั้ ูทด่ าเนินการในลักษณะผูถ้ กู ใช้ ูผร้ ว่ มดาเนินการ หรือูผไ้ ดร้ ับมอบหมายจากสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร หรอื สมาชิก

วฒุ ิสภาใหก้ ระทาการตามมาตรานีด้ ว้ ย

มาตรา ๑๘๕ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตาแหน่ง การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิก

วฒุ สิ ภากระทาการใด ๆ อันมลี ักษณะที่เป็นการกา้ วกา่ ย หรอื แทรกแซงเพื่อประโยชนข์ องตนเอง ของผููอ้ น่ หรือของพรรคการเมอื ง ไม่ว่าโดยทางตรงหรอื ทางออ้ ม

ในเร่อื งดงต่อไปน้ี

(๑) การปฏิบตั ริ าชการหรือการดาเนนิ งานในหน้าที่ประจาของข้าราชการ พนกั งานหรือลูกจา้ ง ของหนว่ ยราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รฐวสิ าหกิจ

กิจการท่รี ฐถอื หุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนทอ้ งูถน่

(๒) กระทาการในลักษณะูทท่ าให้ตนมสี ว่ นรว่ มในการใชจ้ า่ ยเงินงบประมาณหรอื ให้ความเห็นชอบ ในการจดทาโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ

เว้นแต่เปน็ การดาเนินการในกจิ การของรัฐสภา

(๓) การบรรจุ แต่งูต้ง โยกย้าย โอน เล่อื นตาแหนง่ เลื่อนเงนิ เดอื นหรอื การใหพ้ ้นจากตาแหน่ง ของข้าราชการูซง่ มตี าแหน่งหรือเงนิ เดอื นประจา

และมใิ ชข่ ้าราชการการเมอื ง พนกั งาน หรือลูกจา้ งของ หน่วยราชการ หนว่ ยงานของรัฐ รฐวสิ าหกิจ กจิ การูทร่ ฐถือหุ้นใหญ่ หรอื ราชการส่วนท้องูถน่

มาตรา ๑๘๖ ใหน้ าความในมาตรา ๑๘๔ มาใชบ้ ังคบั แกร่ ฐั มนตรีด้วยโดยอนโุ ลม เว้นแต่กรณี ดงั ต่อไปน้ี

(๑) การดารงตาแหนง่ หรือการดาเนินการทกี่ ฎหมายบญญ ใิ หเ้ ปน็ หนาูทห่ รอื อานาจของรฐั มนตร

(๒) การกระทาตามหนา้ ที่และอานาจในการบริหารราชการแผ่นดนิ หรอื ตามนโยบายที่ไดแ้ ถลง ตอ่ รัฐสภา หรอื ตามทูก่ ฎหมายบญั ญัติ

นอกจากกรณตี ามวรรคหน่งึ รฐั มนตรตี ้องไมใ่ ชส้ ถานะหรือตาแหนง่ กระทาการใดไม่ว่าโดยทางตรง
หรือทางออ้ ม อนั เปน็ การกา้ วก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัตหิ น้าทูข่ องเจา้ หนา้ ที่ของรฐั เพูอ่ ประโยชน์ของตนเอง ของูผ้อ่ืน หรือของพรรคการเมืองโดยมิชอบตามที่

กาหนดในมาตรฐานทางจริยธรรม

มาตรา ๑๘๗ รัฐมนตรตี ้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรอื ผูถ้ อื หุ้นในหา้ งหู้นส่วนหรอื บรษิ ทั หรือไม่คงไว้ ซ่ึงความเป็นูห้นส่วนหรือูผ้ถือหุ้นในห้างหู้นส่วนหรือ

บรษิ ทั ต่อไปตามจานวนทก่ี ฎหมายบัญญตั ิ และ ต้องไมเ่ ป็นลกู จา้ งของบคุ คลใด

ในกรณีทร่ี ัฐมนตรีผู้ใดประสงค์จะได้รบั ประโยชนจ์ ากกรณีตามวรรคหูนง่ ต่อไป ใหแ้ จง้ ประธาน

กรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติทราบภายในสามสบิ วนั นับแตว่ นท่ไี ดร บั แต่งต และให้โอนหุ้น

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๕๔ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา

ในห้างหุ้นสว่ นหรือบรษิ ัทดังกล่าวใหแ้ กน่ ิติบคุ คลูซง่ จดั การทรพั ยส์ นิ เพูอ่ ประโยชนข์ องผู้อื่น ทูง้ น้ี ตามท่ี กฎหมายบัญญตั ิ
รฐั มนตรจี ะเขา้ ไปเกี่ยวข้องกบั การบริหารจัดการหนุ้ หรอื กจิ การของหา้ งหนุ้ สว่ นหรือบรษิ ทั ตามวรรคสองไม่ว่าในทางใด ๆ มิได้
มาตราน้ีเฉพาะในสว่ นทเ่ี ูกย่ วกับความเป็นหนุ้ สว่ นหรอื ผถู้ อื หูน้ ใหใ้ ชบ้ งั คบั แกู่คส่ มรสและ บุตรท่ียังไม่บรรลุนิติภาวะของรัฐมนตรี และการถือหุ้น

ของรัฐมนตรีทูอ่ ยู่ในความครอบครองหรือดูแลของ บคุ คลอนื่ ไม่วา่ โดยทางใด ๆ ดว้ ย

หมวด ๑๐ ศาล

ส่วนท่ี ๑ บท
ทวั่ ไป

มาตรา ๑๘๘ การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอานาจของศาล ซึ่งต้องดาเนินการให้เป็นไป ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธย
พระมหากษัตรยิ ์

ผู้พิพากษาและตุลาการย่อมมอี สิ ระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดตี ามรฐั ธรรมนูญและกฎหมาย ใหเป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจาก
อคติทง้ ปวง

มาตรา ๑๘๙ บรรดาศาลทงั้ หลายจะตังขน้ึ ไดแ้ ตโ่ ดยพระราชบญญัติ
การตัง้ ศาลูขน้ ใหมห่ รือกาหนดวิธีพิจารณาเพ่ือพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหน่ึงหรือที่มีข้อหา ฐานใดฐานหูน่งโดยเฉพาะแทนศาลูท่มีตามกฎหมาย
สาหรบั พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ๆ จะกระทามไิ ด้
มาตรา ๑๙๐ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังและให้ผู้พิพากษาและตุลาการพ้นจากตาแหน่ง แต่ในกรณีที่พ้นจากตาแหน่งเพราะความตาย
เกษยี ณอายุ ตามวาระ หรือพน้ จากราชการเพราะถูกลงโทษ ใหน้ าความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ
มาตรา ๑๙๑ ก่อนเข้ารับหนาที่ ผ ด้วย พิ ากษาและตลาการตอ้ งถวายสตั ย์ปฏิญาณต่อพระมหากษตั ริย์
ถ้อยคา ดังต่อไปนี้

“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ในพระ
ปรมาภิไธยด้วยความูซอ่ สัตย์สุจริตโดยปราศจากอคติทั้งปวง เพูอ่ ใหเกดิ ความยุตธิ รรมแก่ประชาชน และความสงบสุขแห่งราชอาณาจกั ร ทงั้ จะรักษาไว้และปฏิบัติ
ตาม ซง่ึ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมุขตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย และกฎหมายทกุ ประการ”

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๕๕ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

มาตรา ๑๙๒ ในกรณีทมี่ ปี ญั หาเกยี่ วกบหนา้ ท่แี ละอานาจระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครอง หรือศาลทหาร ให้พิจารณาวินิจฉัยช้ีขาดโดย
คณะกรรมการซง่ึ ประกอบดว้ ยประธานศาลฎีกาเปน็ ประธาน ประธานศาลปกครองสงู สุด หวั หน้าสานักตลุ าการทหาร และผู้ทรงคณุ วฒุ ิอนื่ อกี ไม่เกินส่ีคนตามูท่กฎหมาย
บัญญตั ิ เปน็ กรรมการ

หลกั เกณฑ์และวิธีการูชข้ าดปญั หาเก่ยี วกบั หน้าทแ่ี ละอานาจระหว่างศาลตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไป ตามทก่ี ฎหมายบญญตั ิ
มาตรา ๑๙๓ ให้แต่ละศาล ยกเวน้ ศาลทหาร มีหน่วยงานูทร่ ับผิดชอบงานธรุ การูทม่ ีความเป็นอสิ ระ ในการบริหารงานบคุ คล การงบประมาณ และ
การดาเนนิ การูอน่ โดยใหม้ หี วั หน้าหน่วยงานคนหนึ่งเปน็ ผู้บังคบบัญชาขนึ้ ตรงต่อประธานของแตล่ ะศาล ทงั น้ี ตามทก่ี ฎหมายบญั ญัติ
ใหศ้ าลยตุ ิธรรมและศาลปกครองมรี ะบบเงินเดอื นและคา่ ตอบแทนเป็นการเฉพาะตามความเหมาะสม ตามท่กี ฎหมายบัญญัติ

ส่วนที่ ๒ ศาล
ยตุ ธิ รรม

มาตรา ๑๙๔ ศาลยุตธิ รรมมอี านาจพิจารณาพิพากษาคดีทูง้ ปวง เวน้ แต่คดีทีร่ ฐั ธรรมนูญ หรอื กฎหมายบญั ญัติใหอ้ ยใู่ นอานาจของศาลอน่ื
การจัดตง้ั วิธีพจิ ารณาคดี และการดาเนินงานของศาลยุติธรรมใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายว่าดว้ ยการน้ัน มาตรา ๑๙๕ ให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดารง
ตาแหน่งทางการเมอื งในศาลฎีกา โดยองค์คณะ
ผูพ้ ิพากษาประกอบดว้ ยผู้พพิ ากษาในศาลฎีกาูซง่ ดารงตาแหนง่ ไม่ต่ากวา่ ผพู้ ิพากษาศาลฎีกาหรือผู้พิพากษา อาวโุ สซง่ึ เคยดารงตาแหน่งไมูต่ ่ากวา่ ผ้พู พิ ากษาศาล

ฎีกา ซงึ่ ไดร้ ับคดั เลอื กโดยทปี่ ระชมุ ใหญศ่ าลฎกี า จานวนไมน่ อ้ ยกว่าหา้ คนแต่ไมเ่ กินเกา้ คนตามที่บญั ญัติไว้ในพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย

วธิ ีพจิ ารณาคดอี าญาของผ ารงตาแหนง่ ทางการเมือง โดยใหเ้ ลอื กเป็นรายคด

ศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมืองมีอานาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดตี ามที่ บัญญัตไิ วในรฐั ธรรมนญู

วธิ พี จิ ารณาคดีอาญาของูผด้ ารงตาแหน่งทางการเมือง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบ รฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดารง

ตาแหนง่ ทางการเมอื ง

คาพิพากษาของศาลฎกี าแผนกคดีอาญาของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง ให้อุทธรณต์ ่อที่ประชุมใหญ่

ศาลฎีกาไดภ้ ายในสามสบิ วนั นบแต่วันท่ศี าลฎกี าแผนกคดอาญาของผู ารงตาแหนง่ ทางการเมืองมคี าพ ิพากษา

การวินจิ ฉยั อทุ ธรณ์ของทูป่ ระชุมใหญศ่ าลฎีกาตามวรรคสี่ ใหด้ าเนินการโดยองค์คณะของศาลฎีกา ซ่ึงประกอบด้วยผู้พิพากษาในศาลฎีกาซ่ึงดารง

ตาแหน่งไมูต่ ่ากวา่ ูผพ้ พิ ากษาหวั หน้าคณะในศาลฎีกา หรอื ผพู้ พิ ากษาอาวุโสซึ่งเคยดารงตาแหน่งไมู่ต่ากวา่ ผู้พพิ ากษาหัวหนา้ คณะในศาลฎีกาซ่งึ ไม่เคยพจิ ารณา

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๕๖ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

คดีนนั้ มาก่อน และไดร้ ับคัดเลือกโดยทป่ี ระชุมใหญศ่ าลฎกี าจานวนเก้าคน โดยใหเ้ ลอื กเปน็ รายคดี และเม่ือองค์คณะของศาลฎกี าดงั กล่าวไดว้ ินิจฉัยแล้ว ให้ถือว่า

คาวินิจฉยั น้นั เปน็ คาวนิ ิจฉยั อุทธรณข์ อง ทีป่ ระชุมใหญ่ศาลฎีกา

ในกรณีท่ีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองมีคาพิพากษาให้ผู้ใด

พน้ จากตาแหนง่ หรอื คาพิพากษาน มผี ลให ูใดพน้ จากตาแหนง่ ไม่วาจะมกี ารอุทธรณ์ตามวรรคูสห่ รอื ไม่

ให้ผ น้ พน้ จากตาแหนง่ ตังแต่วนั ูทศ่ าลฎีกาแผนกคดอี าญาของผ ารงตาแหน่งทางการเมืองมีคาพพิ ากษา

หลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์ตามวรรคส และการพิจารณาวินิจฉยูอุ ทธรณ์ตามวรรคห้า

ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่ง ทางการเมอื ง

มาตรา ๑๙๖ การบริหารงานบุคคลเก่ียวกับผู้พิพากษาศาลยุติธรรมต้องมีความเป็นอิสระ และดาเนินการโดยคณะกรรมการตุลาการศาล

ยตุ ธิ รรม ซ่ึงประกอบด้วยประธานศาลฎีกาเปน็ ประธาน และกรรมการผูทรงคุณวุฒูิซ่งเป็นข้าราชการตุลาการในแต่ละชั้นศาล และผู้ทรงคุณวุฒิซ่ึงไม่เป็นหรือเคย

เปน็

ข้าราชการตุลาการ บรรดาท่ไี ด้รบเลอื กจากข้าราชการตุลาการไม่เกินสองคน ท้งนี้ ตามทูก่ ฎหมายบญั ญ

ส่วนท่ี ๓ ศาล
ปกครอง

มาตรา ๑๙๗ ศาลปกครองมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครองอันเน่ืองมาจากการใช้อานาจ ทางปกครองตามกฎหมายหรือ

เนือ่ งมาจากการดาเนินกิจการทางปกครอง ทงั นี้ ตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิ

ให้มศี าลปกครองสูงสดุ และศาลปกครองช้ันตน้
อานาจศาลปกครองตามวรรคหน่งึ ไมร่ วมถงึ การวินจิ ฉยชขี้ าดขององคก์ รอสิ ระูซง่ เป็นการใช โดยตรงตามรฐธรรมนูญขององค์กรอสิ ระนนั้ ๆ านาจ
การจดั ตัง้ วิธพี จิ ารณาคดี และการดาเนินงานของศาลปกครองให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนน้ั มาตรา ๑๙๘ การบริหารงานบุคคล
เก่ียวกับตุลาการศาลปกครองต้องมีความเป็นอิสระ

และดาเนินการโดยคณะกรรมการตลุ าการศาลปกครองซึ่งประกอบด้วยประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นประธาน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒูิซ่งเป็นตุลาการในศาล
ปกครอง และผูท้ รงคุณวุฒูซิ ง่ ไม่เปน็ หรอื เคยเป็นตุลาการ ในศาลปกครองไม่เกินสองคน บรรดาที่ได้รับเลือกจากข้าราชการตุลาการศาลปกครอง ท้ังน้ี ตามที่

กฎหมายบัญญตั ิ

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๕๗ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

สว่ นที่ ๔ ศาลทหาร

มาตรา ๑๙๙ ศาลทหารมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทู่ีผ้กระทาความผิดเป็นบุคคล ซ่ึงอยู่ในอานาจศาลทหารและคดี
อน่ื ทง้ น้ี ตามท่ีกฎหมายบญญัติ

การจดต้งั วิธีพจิ ารณาคดี และการดาเนินงานของศาลทหาร ตลอดจนการแต่งูต้งและการให้ตุลาการ ศาลทหารพ้นจากตาแหน่ง ให้เป็นไปตามทู่
กฎหมายบัญญตั ิ

หมวด ๑๑ ศาลรัฐธรรมนญู

มาตรา ๒๐๐ ศาลรฐั ธรรมนญู ประกอบดว้ ยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจานวนเก้าคนซงึ่ พระมหากษตั ริย์ ทรงแต่งตังจากบคุ คล ดังตอ่ ไปนี้
(๑) ผ้พู พิ ากษาในศาลฎกี าซึ่งดารงตาแหน่งไมู่ต่ากว่าูผ้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกามาแล้ว ไม่น้อยกว่าสามปี ซ่ึงไดร้ ับคัดเลือกโดยทู่
ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จานวนสามคน
(๒) ตลุ าการในศาลปกครองสงู สุดซง่ึ ดารงตาแหน่งไม่ต่ากว่าตลุ าการศาลปกครองสงู สดุ มาแล้ว
ไมน่ ้อยกว่าหา้ ปี ซง่ึ ได บคดเลอกโดยทปี่ ระชุมใหญ่ตลุ าการในศาลปกครองสูงสดุ จานวนสองคน

(๓) ูผท้ รงคุณวุฒิสาขานติ ศิ าสตรูซ์ ง่ ได้รบั การสรรหาจากูผด้ ารงตาแหน่งหรือเคยดารงตาแหนง่ ศาสตราจารยข์ องมหาวทิ ยาลยั ในประเทศไทยมาแลว้
เปน็ เวลาไม่นอ้ ยกวา่ ห้าปี และยงั มีผลงานทางวชิ าการ เปน็ ทูป่ ระจักษ์ จานวนหน่ึงคน

(๔) ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ซึ่งได้รับการสรรหาจากผู้ดารง ตาแหน่งหรือเคยดารงตาแหน่งศาสตราจารย์ของ
มหาวทิ ยาลัยในประเทศไทยมาแล้วเปน็ เวลาไมน่ ้อยกวา่ ห้าปี และยังมผี ลงานทางวิชาการเปน็ ทป่ี ระจกั ษ์ จานวนหูนง่ คน

(๕) ผทู้ รงคุณวุฒซิ ่งึ ได้รบั การสรรหาจากผู้รับหรือเคยรบั ราชการในตาแหน่งไมูต่ ่ากวา่ อธบิ ดี หรอื หัวหนา้ สว่ นราชการท่ีเทียบเทา่ หรือตาแหน่งไมูต่ ่า
กว่ารองอัยการสูงสดุ มาแลว้ ไมน่ ้อยกวา่ หา้ ปี จานวนสองคน

ในกรณไี ม่อาจเลือกูผพ้ พิ ากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาตาม (๑) ทูป่ ระชุมใหญ่ศาลฎกี าจะเลือกบคุ คล จากผูซ้ ึ่งเคยดารงตาแหนง่ ไมู่ต่ากว่าผูพ้ ิพากษา
ในศาลฎีกามาแล้วไม่นอ้ ยกวา่ สามปีก็ได้

การนบั ระยะเวลาตามวรรคหูนง่ ให้นับถงึ วนั ท่ีไดร้ บั การคดั เลือกหรอื วันสมัครเขา้ รับการสรรหา
แลว้ แตก่ รณี ในกรณีจาเปน็ อันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คณะกรรมการสรรหาจะประกาศลดระยะเวลา ตามวรรคหูนง่ หรือวรรคสองลงกไ็ ด้ แตจ่ ะลดลงเหลือนอ้ ย
กวา่ สองปีมไิ ด้

มาตรา ๒๐๑ ตุลาการศาลรฐั ธรรมนูญตอ้ งมีคณุ สมบ ดิ งั ตอ่ ไปน้ีดว้ ย

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๕๘ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

(๑) มีสญั ชาติไทยโดยการเกิด

(๒) มอี ายไุ มูต่ ่ากว่าูสส่ บิ ห้าปี แตไ่ มถ่ งึ หกสิบแปดปใี นวนั ท่ไี ด้รบั การคัดเลือกหรอื วันสมคั รเข้ารับ การสรรหา

(๓) สาเร็จการศกึ ษาไมู่ต่ากวา่ ปริญญาตรีหรือเทยี บเท่า

(๔) มคี วามซื่อสตั ย์สุจริตเป็นท่ีประจักษ์

(๕) มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหนา้ ทไี่ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ

มาตรา ๒๐๒ ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญตอ้ งไมม่ ีลกษณะต้องหา้ ม ดงั ต่อไปนี้

(๑) เปน็ หรอื เคยเป็นตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญหรอื ผูด้ ารงตาแหน่งในองค์กรอิสระใด

(๒) ลักษณะต้องหา้ มตามมาตรา ๙๘ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๗) หรือ (๑๘)

(๓) เคยได้รบั โทษจาคกุ โดยคาพิพากษาถงึ ท่สี ุดให้จาคุก เวน้ แต่ในความผดิ อันได้กระทา โดยประมาทหรือความผิดลหโุ ทษ

(๔) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร สมาชกิ วุฒสิ ภา ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิก สภาทองถิ่นหรือผูบริหารท้องถิ่นในระยะสิบปี

กอ่ นเขารับการคัดเลือกหรอื สรรหา

หรือสรรหา (๕) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกหรือผ การคัดเลือก ารงตาแหนง่ อ่ืนของพรรคการเมอื งในระยะสบิ ปกี ่อนเขา้ รบั

(๖) เป็นข้าราชการซ่ึงมีตาแหน่งหรอื เงินเดือนประจา

(๗) เปน็ พนกั งานหรือลูกจา้ งของหน่วยงานของรฐั รฐั วสิ าหกิจ หรอื ราชการสว่ นท้องถิ่น หรือกรรมการหรือที่ปรึกษาของหน่วยงาน

ของรัฐหรือรฐั วสิ าหกิจ

(๘) เป็นผูด้ ารงตาแหนง่ ใดในห้างหู้นส่วนบริษทั หรือองคก์ รที่ดาเนินธุรกิจโดยูมง่ หาผลกาไร

หรือรายได้มาแบ่งปันก หรอเปนูล็ กู จา้ งของบุคคลใด

(๙) เป็นผปู้ ระกอบวิชาชีพอิสระ

(๑๐) มพี ฤติการณ์อนเป็นการฝ่าฝนื หรือไม่ปฏิบ ติ ามมาตรฐานทางจริยธรรมอยา่ งรา้ ยแรง

มาตรา ๒๐๓ เมื่อมีกรณีท่ีจะต้องสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งต้ังเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้เป็นหน้าูท่และอานาจของ

คณะกรรมการสรรหา ซ่งึ ประกอบด้วย

(๑) ประธานศาลฎีกา เปน็ ประธานกรรมการ

(๒) ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร และผู าฝา่ ยคา้ นในสภาผแู้ ทนราษฎร เปน็ กรรมการ

(๓) ประธานศาลปกครองสูงสดุ เปน็ กรรมการ

(๔) บุคคลซึ่งองค์กรอสิ ระแตง่ ตงั้ จากผู้มีคุณสมบตั ิตามมาตรา ๒๐๑ และไม่มีลกั ษณะตอ้ งหา้ ม ตามมาตรา ๒๐๒ และไม่เคยปฏิบตั หิ นา้ ูทใ่ ด ๆ ใน

ศาลรัฐธรรมนูญหรือองคก์ รอสิ ระ องคก์ รละหน่งึ คน เปน็ กรรมการ

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๕๙ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

ในกรณที ี่ไมม่ ีผู้ดารงตาแหนง่ กรรมการสรรหาตาม (๒) หรือกรรมการสรรหาตาม (๔) มไี มค่ รบ ไมว่ า่ ด้วยเหตุใด ใหคณะกรรมการสรรหาประกอบดว

ยกรรมการสรรหาเท่าท่มี ีอยู่

ให านกั งานเลขาธกิ ารวุฒิสภาปฏิบตั หิ น้าท่ีเปน็ หนว่ ยธรุ การของคณะกรรมการสรรหา

ให้คณะกรรมการสรรหาดาเนินการสรรหาผูส้ มควรไดร้ ับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามหลกเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน

พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญว่าดว้ ยวธิ พี จิ ารณา ของศาลรฐธรรมนูญ

ในกรณที ี่มีปัญหาเกย่ี วกบั คณุ สมบัติของผู้สมัคร ูผไ้ ดร้ ับการคดั เลอื กหรือได้รบั การสรรหา ใหเ้ ปน็ หนา้ ทแ่ี ละอานาจของคณะกรรมการสรรหาเป็นผู้

วินจิ ฉยั คาวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหา ให้เปน็ ทู่สดุ

ในการสรรหา ใหค้ ณะกรรมการสรรหาปรกึ ษาหารือเพือ่ คัดสรรให้ได้บุคคลซึง่ มคี วามรับผิดชอบสูง

มคี วามกล้าหาญในการปฏิบตั ิหน้าท และมพฤตี กิ รรมทางจริยธรรมเป็นตัวอยางทู่ ดี ขี องสงั คม โดยนอกจาก

การประกาศรับสมคั รแล้ว ใหค้ ณะกรรมการสรรหาดาเนินการสรรหาจากบคุ คลทม่ี ีความเหมาะสมูทว่ ไปได้ดว้ ย แต่ตอ้ งไดร้ ับความยินยอมของบคุ คลนั้น

มาตรา ๒๐๔ ูผไ้ ดร้ ับการคดั เลอื กหรือสรรหาเพื่อแตง่ ูต้งให้ดารงตาแหนง่ ตุลาการศาลรฐั ธรรมนูญ ต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วยคะแนน

เสยี งไมน่ ้อยกว่าูกง่ หูนง่ ของจานวนสมาชกิ ูทง้ หมดเท่าทม่ี ีอยู่ ของวุฒิสภา

ในกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบูผ้ได้รบั การสรรหาหรือคัดเลือกรายใด ใหด้ าเนินการสรรหา

หรอื คดั เลือกบุคคลใหม่แทนผู้น แลวเสนอตอ่ วฒุ สิ ภาเพูอ่ ให้ความเห็นชอบต่อไป

เมื่อูผไ้ ดร้ บั การสรรหาหรือคัดเลอื กไดร้ บั ความเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้ว ให้เลือกกันเองให้คนหนึ่ง เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ แลวแจ้งผลให้

ประธานวฒุ ิสภาทราบ

ให้ประธานวฒุ ิสภานาความกราบบงั คมทลู เพอื่ ทรงแต่งตัง้ ประธานศาลรัฐธรรมนญู และตุลาการ

ศาลรัฐธรรมนญู และเป็นผ งนามรบั สนองพระบรมราชโองการ

มาตรา ๒๐๕ ผู้ได้รับความเห็นชอบจากวฒุ ิสภาใหเ้ ปน็ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยท่ียังมิได้ พ้นจากตาแหน่งตามมาตรา ๒๐๒ (๖) (๗) หรือ (๘)

หรอื ยังประกอบวชิ าชีพตาม (๙) อยู่ ต้องแสดงหลกั ฐาน วา่ ไดล้ าออกหรอื เลิกประกอบวชิ าชีพตามมาตรา ๒๐๒ (๖) (๗) (๘) หรือ (๙) แล้ว ต่อประธานวุฒิสภา

ภายในเวลาที่ประธานวฒุ สิ ภากาหนด ซึ่งต้องเปน็ เวลาก่อนทปี่ ระธานวุฒิสภาจะนาความกราบบังคมทูล ตามมาตรา ๒๐๔ วรรคสี่ ในกรณีที่ไม่แสดงหลักฐาน

ภายในกาหนดเวลาดงั กล่าว ใหถ้ ือว่าผูู้นน้ สละสิทธิ และให้ดาเนนิ การคดั เลอื กหรือสรรหาใหม่

มาตรา ๒๐๖ ในการพิจารณาใหค้ วามเหน็ ชอบตามมาตรา ๒๐๔ ถ้ามผี ู้ไดร้ ับความเหน็ ชอบ
จากวุฒิสภาจานวนไมน่ อ้ ยกวา่ เจด็ คน ใหผ้ ไู้ ด้รบั ความเห็นชอบเลอื กกนั เองใหค้ นหนงึ่ เปน็ ประธาน ศาลรัฐธรรมนญู แลว้ แจ้งผลใหป้ ระธานวฒุ ิสภาทราบโดยไมต่ ้องรอ

ใหม้ ผี ไู้ ด้รับความเห็นชอบครบเก้าคน

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๖๐ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา

และเม่ือโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแตง่ ูต้งแล้ว ใหศ้ าลรัฐธรรมนญู ดาเนินการตามหน้าทแ่ี ละอานาจตอ่ ไป

พลางกอ่ นได้ โดยในระหวา่ งนน้ั ให ศาอวรืล่ ฐั ธรรมนญู ประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่าที่มอูยู่

มาตรา ๒๐๗ ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญมวี าระการดารงตาแหน่งเจ็ดปนี บั แตว่ ันท่ีพระมหากษตั รยิ ์ ทรงแต่งตง้ ั และให้ดารงตาแหน่งได

เพียงวาระเดียว

มาตรา ๒๐๘ นอกจากการพ้นจากตาแหน่งตามวาระ ตุลาการศาลรฐธรรมนูญพ้นจากตาแหนง่ เมื่อ

(๑) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๒๐๑ หรอื มลี กั ษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา ๒๐๒

(๒) ตาย

(๓) ลาออก

(๔) มอี ายุครบเจ็ดสิบหา้ ปี

(๕) ศาลรฐั ธรรมนญู มมี ติใหพ้ น้ จากตาแหน่งด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญูท้งหมดเท่าที่มีอยู่เพราะเหตุฝ่าฝืน

หรอื ไม่ปฏิบัตติ ามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการ ศาลรฐั ธรรมนูญ

(๖) พ้นจากตาแหน่งเพราะเหตตุ ามมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม

ประธานศาลรัฐธรรมนญู ซึ่งลาออกจากตาแหนง่ ให น้ จากตาแหนง่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนญู ด้วย

ในกรณที ี่ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู พน้ จากตาแหน่งตามวาระ ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พ้นจาก ตาแหน่งปฏิบตั หิ น้าทู่ต่อไปจนกว่าจะมีการ

แต่งตั้งตุลาการศาลรฐั ธรรมนูญใหมแ่ ทน

ในกรณที ่มี ีปัญหาว่าตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู ผู้ใดพ้นจากตาแหน่งตาม (๑) หรอื (๓) หรือไม่ ใหเ้ ป็นหนา้ ทูแ่ ละอานาจของคณะกรรมการสรรหาตาม

มาตรา ๒๐๓ เป็นผวู้ นิ จิ ฉยั คาวนิ ิจฉยั ของ คณะกรรมการสรรหาให้เปน็ ูทส่ ดุ

การรอ้ งขอ ผู้มสี ิทธิร้องขอ การพจิ ารณา และการวินิจฉัยตามวรรคส ให้เป็นไปตามหลกั เกณฑ์

และวิธีการทบ่ี ญั ญตั ไิ วใ้ นพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยวิธพี ิจารณาของศาลรัฐธรรมนญู มาตรา ๒๐๙ ในระหวา่ งทตี่ ลุ าการศาลรัฐธรรมนูญ

พน้ จากตาแหน่งก่อนวาระและยงั ไม่มี

การแตง่ ตง้ั ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญแทนตาแหน่งทวี่ า่ ง ให้ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนญู เท่าท่ีเหลอื อูย่ปฏบิ ัตหิ น้าที่ ต่อไปได้

บทบัญญัติตามวรรคหูนง่ มใิ หใ้ ชบ้ ังคบั กรณมี ตี ุลาการศาลรัฐธรรมนญู เหลืออูยไ่ ม่ถงึ เจ็ดคน มาตรา๒๑๐ ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าทู่

และอานาจ ดังต่อไปนี้

(๑) พจิ ารณาวนิ จิ ฉยความชอบดว้ ยรัฐธรรมนญู ของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย

(๒) พจิ ารณาวินิจฉัยปญั หาเกีย่ วกับหนา้ ทีแ่ ละอานาจของสภาผแู้ ทนราษฎร วฒุ ิสภา รัฐสภา คณะรฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ

(๓) หนาท่แี ละอานาจอ่ืนตามที่บัญญัตไิ วใ้ นรัฐธรรมนญู

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๖๑ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา

การยื่นคาร้องและเง่ือนไขการย่ืนคาร้อง การพิจารณาวินิจฉัย การทาคาวินิจฉัย และการดาเนินงาน ของศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากท่ีบัญญัติไว้ใน
รัฐธรรมนญู แลว้ ให้เปน็ ไปตามพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยวธิ ีพจิ ารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

ใหน้ าความในมาตรา ๑๘๘ มาตรา ๑๙๐ มาตรา ๑๙๑ และมาตรา ๑๙๓ มาใช้บังคบั แก่ ศาลรฐั ธรรมนูญดว้ ยโดยอนุโลม
มาตรา ๒๑๑ องค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการูนง่ พจิ ารณาและในการทาคาวินจิ ฉยั ตอ้ งประกอบดว้ ยตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญไมน่ อ้ ยกว่า
เจด็ คน
คาวนิ ิจฉยของศาลรฐั ธรรมนญู ให้ถือเสยี งขา้ งมาก เวน้ แต่รฐธรรมนญู จะบญั ญัติไว้เป็นอยา่ งูอน่ เูมอ่ ศาลรัฐธรรมนญู รับเูรอ่ งใดไว้พิจารณาแลว้ ตุลา
การศาลรัฐธรรมนูญผ้ใู ดจะปฏิเสธไมว่ นิ ิจฉัย
โดยอ้างวา่ เรอื่ งนน้ ไม่อูยใ่ นอานาจของศาลรฐั ธรรมนูญมไิ ด้
คาวนิ ิจฉยั ของศาลรัฐธรรมนูญใหเ้ ป็นเด็ดขาด มผี ลผกู พนั รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหนว่ ยงานของรัฐ
มาตรา ๒๑๒ ในการทูศ่ าลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบงั คบั แกค่ ดีใด ถา้ ศาลเห็นเอง หรือูค่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่ง
กฎหมายนัน้ ตอ้ งดว้ ยมาตรา ๕ และยงั ไม่มคี าวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญในสว่ นท่เี กยี่ วกบั บทบัญญตั ูนิ น้ ใหศ้ าลส่งความเห็นเช่นว่าน้ันต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพ่ือ
วนิ จิ ฉยั ในระหว่างนน้ั ใหศ้ าลดาเนนิ การพจิ ารณาต่อไปได้แต่ให้รอการพพิ ากษาคดีไวูช้ ว่ คราว จนกว่าจะมคี าวินจิ ฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ในกรณีท่ศี าลรฐั ธรรมนญู เหน็ วา่ คาโต้แยง้ ของูคค่ วามตามวรรคหูนง่ ไมเ่ ปน็ สาระอนั ควรไดร้ ับ การวินจิ ฉัย ศาลรฐธรรมนูญจะไม่รบเูรอ่ งดงั กล่าวไว้
พิจารณาก็ได้
คาวินจิ ฉยั ของศาลรัฐธรรมนูญใหใ้ ช้ได้ในคดีท้ังปวง แต่ไม่กระทบต่อคาพิพากษาของศาล อันถงึ ูทส่ ดุ แลว้ เวน้ แต่ในคดีอาญาให้ถอื วา่ ผูู้ซ่งเคยถูก
ศาลพิพากษาวา่ กระทาความผดิ ตามบทบญั ญตั ิ แหง่ กฎหมายท่ีศาลรฐั ธรรมนญู วนิ ิจฉัยว่าไม่ชอบดว้ ยมาตรา ๕ น้นั เปน็ ผ้ไู ม่เคยกระทาความผดิ ดงั กลา่ ว
หรอื ถ้าผู ั้นยังรบโทษอยู่ก็ให้ปล่อยตวั ไป แตท่ ้งนีไมก่ อ่ ใหเกดิ สทิ ธูทิ จ่ ะเรยี กร้องค่าชดเชยหรอื คา่ เสียหายใด ๆ มาตรา ๒๑๓ บุคคลซ่ึงถูกละเมิด
สิทธิหรอื เสรีภาพูทร่ ฐั ธรรมนญู คุ้มครองไว้มสี ิทธยิ ่นื คารอ้ ง

ตอ่ ศาลรฐั ธรรมนูญเพ่อื มีคาวนิ จิ ฉยั วา่ การกระทาน้ันขดั หรือแย้งต่อรฐั ธรรมนูญ ท้งั น้ี ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเง่อื นไขท่ีบญั ญ ิไว้ในพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ดวยวิธีพจิ ารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๒๑๔ ในกรณีท่ีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องหยุดปฏิบัติหน้าท่ีตามมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม และมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
เหลืออูย่ไม่ถึงเจ็ดคน ให้ประธานศาลฎีกาและประธาน ศาลปกครองสงู สุดรว่ มกันแต่งูต้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับตุลาการ
ศาลรัฐธรรมนูญทาหนา้ ที่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนญู เป็นการช่ัวคราวให้ครบเก้าคน โดยใหผ้ ูซู้ ง่ ไดร้ ับ

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๖๒ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

แต่งต้ังทาหน้าท่ีในฐานะตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญได้จนกว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ตนทาหน้าท่ีแทน
จะปฏิบ หิ นา้ ท่ไี ด้ หรือจนกว่าจะมีการแตง่ ตง้ ผดู้ ารงตาแหน่งแทน

หมวด ๑๒
องคก์ รอิสระ

ส่วนที่ ๑ บท
ทว่ั ไป

มาตรา ๒๑๕ องคก์ รอสิ ระเป็นองคก์ รที่จดตงั ขึนใหม้ ีความอิสระในการปฏบิ ัตหิ น้าที่ ใหเ้ ป็นไป ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

การปฏิบัติหน้าูทแ่ ละการใชอ้ านาจขององค์กรอสิ ระตอ้ งเป็นไปโดยสจุ รติ เทูย่ งธรรม กล้าหาญ และปราศจากอคติทงั ปวงในการใชด้ ุลพนิ ิจ

มาตรา ๒๑๖ นอกจากคณุ สมบัติและลักษณะต้องหา้ มตามที่บัญญตั ิไว้เป็นการเฉพาะในส่วน ที่ว่าด้วยองค์กรอิสระแต่ละองค์กรแล้ว

ผูด้ ารงตาแหน่งในองคก์ รอิสระต้องมีคุณสมบัติและไมม่ ีลกั ษณะ

ต้องหามท่วั ไปดงั ตอ่ ไปน ้วย

(๑) มีอายไุ มู่ต่ากว่าส่สี ิบหาปี แตไ่ ม่เกนิ เจด็ สบิ ปี

(๒) มคี ณุ สมบัตติ ามมาตรา ๒๐๑ (๑) (๓) (๔) และ (๕) (๓) ไม่มีลักษณะตองห้าม

ตามมาตรา ๒๐๒

มาตรา ๒๑๗ เมื่อมีกรณีทู่จะต้องสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นูผ้ดารงตาแหน่ง ในองค์กรอิสระนอกจากคณะกรรมการสิทธิ

มนษุ ยชนแห่งชาติ ให้เปน็ หนา้ ท่แี ละอานาจของคณะกรรมการสรรหา ตามมาตรา ๒๐๓ ทูจ่ ะดาเนินการสรรหา เว้นแต่กรรมการสรรหาตามมาตรา ๒๐๓ (๔) ให้

ประกอบดว้ ย

บคุ คลซึ่งแต่งตงั โดยศาลรัฐธรรมนญู และองค์กรอิสระท่ ใิ ชอ่ งคกรอ์ สิระท่ตี ้องมการสรหูา

ใหน้ าความในมาตรา ๒๐๓ มาตรา ๒๐๔ มาตรา ๒๐๕ และมาตรา ๒๐๖ มาใช้บงั คับแก่ การสรรหาตามวรรคหน่ึงโดยอนุโลม

มาตรา ๒๑๘ นอกจากการพน้ จากตาแหน่งตามวาระ ผ้ดู ารงตาแหน่งในองคก์ รอิสระพ้นจาก ตาแหน่งเมอ่ื

(๑) ตาย

(๒) ลาออก

(๓) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามทั่วไปตามมาตรา ๒๑๖ หรือขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามเฉพาะตามมาตรา

๒๒๒ มาตรา ๒๒๘ มาตรา ๒๓๒ มาตรา ๒๓๘ หรอื ตามมาตรา ๒๔๖ วรรคสอง และตามกฎหมายทีต่ ราข้ึนตามมาตรา ๒๔๖ วรรคสี่ แลว้ แตก่ รณี

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๖๓ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

ใหน้ าความในมาตรา ๒๐๘ วรรคสอง วรรคสาม วรรคูส่ และวรรคห้า และมาตรา ๒๐๙ มาใช้บงคับแก่การพ้นจากตาแหนง่ ของผูด้ ารง
ตาแหนง่ ในองค์กรอสิ ระโดยอนโุ ลม

ในกรณที ่ีผู้ดารงตาแหนง่ ในองคก์ รอสิ ระต้องหยดุ ปฏิบตั หิ น้าทต่ี ามมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม

ถา้ มีจานวนเหลอื อูยไ่ มถ่ ึงูกง่ หนูง่ ให าความในมาตรา ๒๑๔ มาใช้บังคับโดยอนโลมุ
มาตรา ๒๑๙ ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกาหนดมาตรฐานทางจริยธรรม ขึ้นใช้บังคับแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดารง

ตาแหน่งในองคก์ รอสิ ระ รวมทัง้ ูผว้ า่ การตรวจเงนิ แผ่นดนิ และหวั หนา้ หน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอสิ ระ และเูมอ่ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
แลวให้ใช้บังคบั ได้ ทังน้ี มาตรฐานทางจรยิ ธรรมดงั กลา่ วต้องครอบคลุมถึงการรกษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ ของชาติ และต้องระบุให้ชัดแจ้งด้วยว่าการฝ่าฝืน
หรอื ไม่ปฏบิ ัตติ ามมาตรฐานทางจรยิ ธรรมใดมลี ักษณะ ร้ายแรง

ในการจัดทามาตรฐานทางจรยิ ธรรมตามวรรคหน่ึง ใหร้ ับฟังความคิดเห็นของสภาผูแ้ ทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย และเม่ือ
ประกาศใช้บงั คบั แล้วให้ใชบ้ ังคบั แก่สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร สมาชกิ วฒุ ิสภา และคณะรัฐมนตรดี ้วย แต่ไม่ห้ามสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะรัฐมนตรีูท่จะ
กาหนด จริยธรรมเพม่ิ ขนึ้ ใหเ้ หมาะสมกับการปฏบิ ตั ิหนา้ ทูข่ องตน แต่ตอ้ งไมข่ ัดหรอื แยง้ กบั มาตรฐานทางจริยธรรม ตามวรรคหน่ึง และให้ประกาศในราชกิจจา
นุเบกษา

มาตรา ๒๒๐ ให้องคก์ รอสิ ระแต่ละแห่ง นอกจากคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน มีหน่วยงาน ูท่รับผิดชอบงานธุรการ ดาเนินการ และอานวย
ความสะดวก เพูอ่ ใหอ้ งค์กรอิสระบรรลภุ ารกจิ และหน้าท่ี ตามูทก่ าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และเป็นไปตามมติหรอื แนวทางที่องค์กรอสิ ระกาหนด โดยใหม้ ี
หวั หนา้ หน่วยงานคนหนึง่ ซึ่งแตง่ ตัง้ โดยความเหน็ ชอบขององค์กรอิสระแต่ละองคก์ รเป็นูผร้ ับผิดชอบ การบรหิ ารงานของหน่วยงานน้ัน รบผิดชอบขึนตรงต่อองค์กร
อิสระ ูทง้ นี้ ตามท่กี ฎหมายบญั ญัติ

มาตรา ๒๒๑ ในการปฏิบตั หิ นาที่ ให้องค์กรอสิ ระรวมมือและช่วยเหลือกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในการปฏิบัติหน้าูท่ของแต่ละองค์กร และถ้า
องคก์ รอิสระใดเหน็ ว่ามผี ู้กระทาการอนั ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย แต่อยู่ในหน้าทีแ่ ละอานาจขององค์กรอสิ ระอน่ื ให้แจง้ องค์กรอสิ ระนนั้ ทราบเพื่อดาเนินการตามหน้าที่
และอานาจตอ่ ไป

ส่วนท่ี ๒ คณะกรรมการการเลอื กตงั้

มาตรา ๒๒๒ คณะกรรมการการเลือกต้งั ประกอบด้วยกรรมการจานวนเจ็ดคนซ่ึงพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งตามคาแนะนาของวุฒิสภา จาก
บุคคลดังตอ่ ไปนี้

(๑) ผูม้ ีความูรค้ วามเช่ียวชาญในสาขาวิชาการต่าง ๆ ที่จะยงั ประโยชนแ์ ก่การบริหารและจัดการ การเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

และมีความซือ่ สัตยส์ ุจรติ เปน็ ทีป่ ระจักษ์ ซึง่ ไดร้ บั การสรรหา จากคณะกรรมการสรรหา จานวนหา้ คน

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๖๔ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา

(๒) ผมู้ ีความรู้ ความเชย่ี วชาญ และประสบการณ์ดา้ นกฎหมาย มีความซือ่ สัตย์สุจรติ เปน็ ทีป่ ระจกั ษ์ และเคยดารงตาแหน่งไม่ต่ากว่าอธิบดีผู้พิพากษา
หรือตาแหน่งไมู่ต่ากวา่ อธบิ ดีอยั การมาแลว้ เป็นเวลา ไมน่ ้อยกว่าห้าปี ซึ่งได้รบการคดั เลอื กจากทูป่ ระชุมใหญ่ศาลฎีกา จานวนสองคน

ผู้ซึง่ จะได้รับการสรรหาเป็นกรรมการการเลือกต้งั ตาม (๑) ตอ้ งมคี ุณสมบัตติ ามมาตรา ๒๓๒ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) หรือ (๗) หรือเป็นผู้ทางาน
หรอื เคยทางานในภาคประชาสงั คมมาแลว้ เปน็ เวลา ไม่นอ้ ยกวา่ ยสี่ ิบปี ทงั้ นี้ ตามที่คณะกรรมการสรรหาประกาศกาหนด

มาตรา ๒๒๓ กรรมการการเลอื กตงั้ มีวาระการดารงตาแหน่งเจ็ดปนี ับแต่วนั ทพ่ี ระมหากษัตรยิ ์ ทรงแตง่ ตง้ั และใหด้ ารงตาแหนง่ ได้เพียงวาระเดยี ว
ในระหว่างท่ีกรรมการการเลอื กตง้ั พ้นจากตาแหน่งก่อนวาระ และยงั ไมม่ ีการแต่งูต้งกรรมการ การเลือกตั้งแทนตาแหนง่ ที่ว่าง ให้คณะกรรมการการ
เลือกตงั้ เท่าูทเ่ หลืออูยป่ ฏบิ ตั หิ นา้ ท่ตี อ่ ไปได้ แตถ่ ้ามี กรรมการการเลือกตัง้ เหลอื อูยไ่ ม่ถงึ สีค่ นให้กระทาไดแตเ่ ฉพาะการทจี่ าเปน็ อันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

มาตรา ๒๒๔ ใหค้ ณะกรรมการการเลอื กตง้ั มหี นา้ ท่แี ละอานาจ ดงั ต่อไปนี้
(๑) จัดหรอื ดาเนนิ การใหม้ ีการจดั การเลอื กูต้งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร การเลือกสมาชิกวุฒิสภา การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผูบริหาร
ทอ้ งถิน่ และการออกเสยี งประชามติ
(๒) ควบคุมดูแลการเลือกูตง้ และการเลอื กตาม (๑) ให้เป็นไปโดยสุจริตและเท่ียงธรรม และควบคุมดูแลการออกเสียงประชามติให้เป็นไป
โดยชอบด้วยกฎหมาย เพอ่ื การนี้ ใหม้ อี านาจสืบสวน หรือไต่สวนไดต้ ามูทจ่ าเป็นหรอื ท่เี หน็ สมควร
(๓) เมื่อผลการสืบสวนหรอื ไตส่ วนตาม (๒) หรอื เมื่อพบเห็นการกระทาทมี่ เี หตุอันควรสงสัยว่า การเลอื กตงั้ หรือการเลือกตาม (๑) มไิ ด้เป็นไปโดย
สจุ รติ หรอื เทยี่ งธรรม หรือการออกเสียงประชามติ เปน็ ไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ให้มีอานาจส่ังระงบั ยบั ยง้ั แก้ไขเปล่ยี นแปลงหรือยกเลกิ การเลือกูต้ง หรือการ
เลอื ก หรอื การออกเสียงประชามติ และส่ังให้ดาเนินการเลอื กต้ัง เลอื ก หรือออกเสยี งประชามติใหม่ ในหน่วยเลอื กตัง้ บางหนว่ ย หรือทุกหน่วย
(๔) สง่ั ระงับการใชส้ ิทธสิ มคั รรับเลอื กตัง้ ของผูส้ มคั รรบั เลอื กตง้ั หรอื ูผส้ มัครรับเลือกตาม (๑) ไว้เปน็ การชว่ั คราวเปน็ ระยะเวลาไม่เกินหน่ึงปี เม่ือมี
หลักฐานอนั ควรเชอ่ื ได้วา่ ผูน้ ้นั กระทาการหรือร้เู ห็น กบั การกระทาของบคุ คลอนื่ ูทม่ ลี ักษณะเป็นการทจุ รติ หรือทาให้การเลือกูต้งหรือการเลือกมิได้เป็นไป โดย
สุจริตหรือเท่ียงธรรม
(๕) ดแู ลการดาเนนิ งานของพรรคการเมืองให้เป็นไปตามกฎหมาย
(๖) หน้าทีแ่ ละอานาจอ่ืนตามรฐั ธรรมนูญหรือกฎหมาย
ในการสืบสวนหรอื ไต่สวนตาม (๒) คณะกรรมการการเลือกูต้งจะมอบหมายให้กรรมการการเลือกตัง้ แตล่ ะคนดาเนินการ หรอื มอบหมายให้คณะบุคคล
ดาเนนิ การภายใตก้ ารกากับของกรรมการการเลอื กตง้ั ตามหลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ารทูค่ ณะกรรมการการเลือกตั้งกาหนดกไ็ ด้

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๖๕ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

การใช้อานาจตาม (๓) ใหก้ รรมการการเลอื กตัง้ แต่ละคนซง่ึ พบเหน็ การกระทาความผิดมีอานาจ กระทาไดส้ าหรบั หนว่ ยเลอื กตั้งหรือเขตเลือกต้ังทู่

พบเห็นการกระทาความผิด ทงั้ นี้ ตามหลักเกณฑ์ วธิ กี าร และเง่ือนไขท่ีคณะกรรมการการเลอื กต้งั กาหนด

มาตรา ๒๒๕ กอ่ นประกาศผลการเลือกตั้งหรือการเลือก ถ้ามีหลักฐานอันควรเูช่อได้ว่า การเลือกตั้งหรือการเลือกูน้นมิได้เป็นไปโดยสุจริต

หรือเทีย่ งธรรม ให้คณะกรรมการการเลอื กตง้ั มีอานาจ ูสง่ ใหม้ กี ารเลือกตัง้ หรือการเลอื กใหม่ในหนว่ ยเลอื กตั้งหรอื เขตเลือกตั้งน้ัน ถ้าูผ้กระทาการนั้นเป็นผู้สมัคร

รับเลอื กต้ังหรือผสู้ มัครรับเลือก แลว้ แต่กรณี หรือรูเ้ ห็นกับการกระทาของบุคคลอื่น ให้คณะกรรมการ การเลอื กตังส่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกต้งของผู้นั้นไวเป็น

การชว่ั คราวตามมาตรา ๒๒๔ (๔)

คาส่งตามวรรคหูนง่ ใหเป็นที่สดุ

มาตรา ๒๒๖ เมือ่ มีการดาเนินการตามมาตรา ๒๒๕ หรือภายหลังการประกาศผลการเลือกตั้ง หรือการเลือกแล้ว มีหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่า

ผู้สมัครรับเลือกูต้งหรือูผส้ มัครรับเลอื กผใู้ ดกระทาการทุจรติ ในการเลอื กตง้ั หรอื การเลอื กหรอื รู้เห็นกบั การกระทาของบุคคลอน่ื ใหค้ ณะกรรมการการเลือกตั้งยื่น

คาร้อง

ต่อศาลฎกี าเพือ่ สั่งเพกิ ถอนสิทธิสมัครรับเลือกต หรือเพิกถอนสิทธเิ ลือกตั้งของผ ัน้

การพิจารณาของศาลฎีกาตามวรรคหน่ึง ให้นาสานวนการสืบสวนหรือไต่สวนของคณะกรรมการ การเลือกต้งเป็นหลักในการพิจารณา และเพ่ือ
ประโยชน์แหง่ ความยตุ ิธรรม ให้ศาลมอี านาจสั่งไต่สวนข้อเท็จจริง และพยานหลกั ฐานเพิ่มเติมได้

ในกรณีท่ศี าลฎีกาพิพากษาวา่ บุคคลตามวรรคหนึ่งกระทาความผิดตามูท่ถูกร้อง ให้ศาลฎีกา ส่ังเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกูต้ง หรือเพิกถอนสิทธิ
เลือกตั้งของูผูน้ น้ เป็นเวลาสิบปี ูทง้ น้ี ตามพระราชบัญญตั ิ ประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการเลอื กูต้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าดว้ ยการได้มาูซง่ สมาชิกวฒุ สิ ภา แลว้ แตก่ รณี

เม่ือศาลฎกี ามคี าูสง่ รับคาร้องไว้พิจารณาแลว้ ถา้ ผู้ถูกกล่าวหาเปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร หรอื สมาชิกวุฒิสภา ใหู้ผู้น้นหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่า
ศาลฎกี าจะพิพากษาว่าผนู้ ้ันมิได้กระทาความผิด และเม่อื ศาลฎีกามีคาพพิ ากษาว่าูผน้ น้ั กระทาความผดิ ให้สมาชกิ ภาพของสมาชิกสภาูผ้แทนราษฎร หรือสมาชิก
วฒุ สิ ภาผูน้ ้นั สนิ้ สุดลงนบแตว่ นั ูทห่ ยุดปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ี

มใิ หน้ บั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรหรอื สมาชกิ วุฒิสภาูซง่ หยดุ ปฏิบัตหิ น้าทต่ี ามวรรคูส่เป็นจานวน

สมาชกิ ท้งั หมดเทา่ ูทม่ อี ยูข่ องสภาผ ทนราษฎรหรอื วฒุ ิสภา แลว้ แต่กรณ
ใหน้ ามาตรานี้ไปใชบ้ ังคับแกก่ ารเลือกูต้งสมาชิกสภาท้องถิน่ หรือูผบ้ รหิ ารท้องถน่ิ ดว้ ยโดยอนุโลม แตใ่ หอ้ านาจของศาลฎีกาเป็นอานาจของศาลอุทธรณ์

และให้คาสง่ หรอื คาพพิ ากษาของศาลอุทธรณ์เปน็ ที่สุด การพิจารณาพพิ ากษาของศาลฎีกาหรอื ศาลอทุ ธรณต์ ามมาตราน้ี ใหเ้ ป็นไปตามระเบียบของ

ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาซ่ึงตอ้ งกาหนดให้ใชร้ ะบบไต่สวนและใหด้ าเนินการโดยรวดเร็ว
มาตรา ๒๒๗ ในระหว่างที่พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกูต้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือการเลอื กสมาชิกวุฒิสภา หรือ

เมอื่ ประกาศใหม้ ีการออกเสยี งประชามติ มีผลใชบ้ ังคบั หา้ มมิให้จับ

เลม่ ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๖๖ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

คมุ ขงั หรอื หมายเรยี กตัวกรรมการการเลอื กตั้งไปสอบสวน เวน้ แต่ได้รบั อนญุ าตจากคณะกรรมการ การเลือกต้งั หรอื ในกรณทีูจ่ บั ในขณะกระทาความผดิ
ในกรณีท่ีมีการจับกรรมการการเลือกต้ังในขณะกระทาความผิด หรือจับหรือคุมขังกรรมการ การเลือกต้ังในกรณีอ่ืน ให้รายงานต่อประธาน

กรรมการการเลอื กตงั้ โดยด่วน และให้ประธานกรรมการ การเลอื กตงั้ มอี านาจส่งั ใหป้ ลอ่ ยผู้ถกู จบั ได้ แต่ถา้ ประธานกรรมการการเลือกูต้งเปน็ ผถู้ กู จับหรือคุมขงั ให้
เป็นอานาจของคณะกรรมการการเลอื กตงั้ เทา่ ทมี่ ีอยเู่ ปน็ ผดู้ าเนินการ

สว่ นท ๓
ผูต้ รวจการแผ่นดิน

มาตรา ๒๒๘ ูผ้ตรวจการแผ่นดินมีจานวนสามคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคาแนะนา ของวุฒิสภา จากผู้ซึ่งได้รับการสรรหาโดย
คณะกรรมการสรรหา

ผซู้ ่ึงไดร้ บั การสรรหาต้องเป็นผู้มีความูซ่อสัตย์สุจริตเป็นท่ีประจักษ์ และมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เก่ียวกับการบริหารราชการ
แผน่ ดนิ ไมู่ต่ากวา่ อธิบดหี รอื หัวหน้าส่วนราชการท่ีเทยี บเทา่ หรือหวหนาหน่วยงานของรัฐูทเ่ ทยี บได้ไม่ต่ากวา่ กรมตามทู่คณะกรรมการสรรหาประกาศกาหนด โดย
ต้อง ดารงตาแหน่งดังกล่าวเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหาปี จานวนสองคน และเป็นผู้มีประสบการณ์ในการดาเนินกิจการ อันเป็นสาธารณะมาแล้วไม่น้อยกว่ายี่สิบปี
จานวนหูนง่ คน

มาตรา ๒๒๙ ูผต้ รวจการแผ่นดินมีวาระการดารงตาแหน่งเจด็ ปนี ับแตว่ นั ทพี่ ระมหากษัตรยิ ์
ทรงแต่งต และให้ดารงตาแหนง่ ไดเพยี งวาระเดียว

มาตรา ๒๓๐ ผู้ตรวจการแผ่นดินมีหนาทูแ่ ละอานาจ ดังตอ่ ไปนี้
(๑) เสนอแนะต่อหนว่ ยงานของรัฐทูเ่ กย่ี วข้องเพือ่ ให้มกี ารปรบั ปรุงกฎหมาย กฎ ข้อบงั คับ
ระเบียบ หรือคาส่ัง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ บรรดาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรม แก่ประชาชน หรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่
จาเป็นหรอื เกนิ สมควรแกเ่ หตุ
(๒) แสวงหาข้อเทจ็ จริงเม่อื เหน็ วา่ มผี ไู้ ด้รับความเดอื ดรอ้ นหรอื ความไม่เป็นธรรมอันเูน่องมาจาก การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือ
หนา้ ท่แี ละอานาจตามกฎหมายของหน่วยงานของรฐั หรือเจา้ หนา้ ที่ของรฐั เพ่ือเสนอแนะตอ่ หนว่ ยงานของรัฐูทเ่ กีย่ วข้องใหข้ จดั หรอื ระงบั ความเดือดร้อน หรอื ความ
ไมเ่ ป็นธรรมนัน้
(๓) เสนอตอ่ คณะรัฐมนตรใี ห้ทราบถึงการท่ีหนว่ ยงานของรัฐยังมิไดป้ ฏบิ ตั ิให้ถูกตอ้ งครบถ้วน ตามหมวด ๕ หน้าท่ขี องรฐั
ในกรณีทห่ี น่วยงานของรัฐที่เก่ยี วขอ้ งไมด่ าเนินการตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินตาม (๑) หรือ (๒) โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ใหู้ผ้ตรวจการ
แผน่ ดินแจ้งใหค้ ณะรัฐมนตรที ราบเพื่อพิจารณาสัง่ การ ตามทเ่ี หน็ สมควรต่อไป

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๖๗ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานเุ บกษา

ในการดาเนินการตาม (๑) หรอื (๒) หากเป็นกรณีที่เก่ียวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเร่ืองใหคณะกรรมการ
สิทธมิ นุษยชนแหง่ ชาตดิ าเนินการตอ่ ไป

มาตรา ๒๓๑ ในการปฏบิ ัตหิ น้าท่ตี ามมาตรา ๒๓๐ ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่อง ต่อศาลรฐั ธรรมนูญหรือศาลปกครอง
ได้เูมอ่ เห็นวา่ มีกรณี ดังต่อไปนี้

(๑) บทบัญญตั แิ ห่งกฎหมายใดมีปัญหาเก่ียวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่อง พร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ
และให้ศาลรัฐธรรมนูญพจิ ารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ท้ังน้ี

ตามพระราชบญญ ปิ ระกอบรฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนญู
(๒) กฎ คาส่งั หรือการกระทาูอน่ ใดของหน่วยงานของรฐั หรอื เจา้ หน้าทูข่ องรฐั มปี ญั หา เูกย่ วกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้

เสนอเูร่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง และให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ท้ังน้ี ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดต้ังศาลปกครอง และวิธี
พิจารณาคดีปกครอง

ส่วนที่ ๔ คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาต

มาตรา ๒๓๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประกอบด้วย กรรมการจานวนเก้าคน ซึ่งพระมหากษัตริย์

ทรงแตง่ ูต้งตามคาแนะนาของวุฒิสภาจากผู้ซู ง่ ได้รบั การสรรหา โดยคณะกรรมการสรรหา

ผ้ซู ึ่งไดร้ ับการสรรหาตอ้ งเปน็ ผ้มู ีความซอ่ื สตั ย์สุจรติ เป็นที่ประจกั ษ์ มคี วามูร้ ความเช่ียวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย บญั ชี เศรษฐศาสตร์

การบริหารราชการแผน่ ดนิ หรอื การูอน่ ใดอนั เป็น

ประโยชน์ตอ่ การปอ้ งกนและปราบปรามการทจุ รติ และตอ้ งมีคุณสมบ หิอยางน่ ่ึงอยางดใ ่ ดังตอ่ ไปนี้ด้วย

(๑) รับราชการหรือเคยรับราชการในตาแหน่งไมู่ต่ากว่าอธิบดีผู้พิพากษา อธิบดีศาลปกครองช้ันต้น ตุลาการพระธรรมนูญหัวหน้าศาลทหารกลาง

หรืออธบิ ดอี ัยการมาแลว้ ไมน่ อ้ ยกวา่ ห้าปี

(๒) รบั ราชการหรือเคยรบั ราชการในตาแหน่งไมูต่ ่ากว่าอธบิ ดีหรือหวั หน้าส่วนราชการทเ่ี ทียบเท่า มาแล้วไมน่ อ้ ยกวา่ ห้าปี

(๓) เปน็ หรอื เคยเป็นผู้ดารงตาแหน่งผู้บริหารสงู สดุ ของรัฐวิสาหกจิ หรอื หน่วยงานอ่นื ของรัฐ ูทไ่ มเ่ ป็นสว่ นราชการหรือรัฐวิสาหกิจมาแล้วไม่น้อยกว่า

ห้าปี

(๔) ดารงตาแหน่งหรือเคยดารงตาแหนง่ ศาสตราจารยข์ องมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้ว ไมน่ ้อยกวา่ ห้าปี และยงมีผลงานทางวชิ าการเป็นที่

ประจักษ์

(๕) เป็นหรอื เคยเป็นผ้ปู ระกอบวิชาชพี ทมี่ กี ฎหมายรับรองการประกอบวิชาชีพโดยประกอบวิชาชีพ อย่างสูม่าเสมอและต่อเูน่องมาเป็นเวลาไม่น้อย

กว่าูยส่ ิบปีนบั ถึงวนั ทไี่ ด้รับการเสนอชอื่ และไดร้ ับการรับรอง การประกอบวิชาชีพจากองคก์ รวชิ าชพี น้ัน

เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๖๘ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา

(๖) เปน็ ผมู้ คี วามรคู้ วามชานาญและประสบการณ์ทางดา้ นการบริหาร การเงิน การคลัง การบัญชี หรือการบริหารกิจการวิสาหกิจในระดับไม่
ูต่ากวา่ ูผบ้ ริหารระดับสูงของบริษัทมหาชนจากัดมาแล้ว ไมน่ ้อยกว่าสิบปี

(๗) เคยเปน็ ผู้ดารงตาแหนง่ ตาม (๑) (๒) (๓) (๔) หรือ (๖) รวมกนไมน่ อยกว่าสิบปี การนับระยะเวลาตามวรรคสอง ให้นับถึงวันที่ได้รับการ
เสนอชื่อหรอื วนั สมัครเขา้ รับการสรรหา
แลว้ แต่กรณี
มาตรา ๒๓๓ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาตมิ ีวาระการดารงตาแหน่งเจ็ดปี นับแต่วันทีพ่ ระมหากษัตริย์ทรงแต่งตัง้ และให้
ดารงตาแหนง่ ได้เพยี งวาระเดียว
ในระหว่างทีก่ รรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพ้นจากตาแหน่งก่อนวาระ และยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการแทนตาแหน่งที่ว่าง ให้
กรรมการเท่าท่ีเหลืออยปู่ ฏบิ ตั ิหน้าท่ีต่อไปได้ เวน้ แตจ่ ะมกี รรมการเหลืออูยไ่ ม่ถึงหา้ คน
มาตรา ๒๓๔ คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติมีหน้าทู่และอานาจ ดงั ต่อไปนี้
(๑) ไต่สวนและมีความเห็นกรณมี กี ารกล่าวหาวา่ ผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง ตุลาการ ศาลรฐั ธรรมนญู ูผ้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ หรือ
ผูว้ ่าการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ูผใ้ ดมีพฤติการณูร์ า่ รวย ผดิ ปกติ ทจุ ริตต่อหนา้ ูท่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าทู่หรือใช้อานาจขัดต่อบทบญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
หรอื ฝ่าฝนื หรอื ไม่ปฏิบัตติ ามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพ่ือดาเนนิ การต่อไปตามรัฐธรรมนูญ หรือตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ
ปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริต
(๒) ไตส่ วนและวินจิ ฉัยวา่ เจา้ หน้าท่ีของรฐั ูรา่ รวยผดิ ปกติ กระทาความผดิ ฐานทุจรติ ต่อหนา้ ท่ี หรือกระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ราชการ
หรือความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรม เพูอ่ ดาเนินการต่อไปตามพระราชบัญญตั ิประกอบรฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต
(๓) กาหนดให้ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดารงตาแหน่ง ในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และ
เจา้ หน้าที่ของรฐั ยื่นบัญชที รพั ย์สินและหน้ีสินของตน ูคส่ มรส และบุตรที่ยงั ไมบ่ รรลนุ ิติภาวะ รวมท้งั ตรวจสอบและเปดิ เผยผลการตรวจสอบทรพั ยส์ ินและหน้ีสิน
ของบุคคลดงกลา่ ว ทังน้ี ตามพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญว่าดวยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต

(๔) หนา้ ทแ่ี ละอานาจอน่ื ทบ่ี ญั ญตั ิไวใ้ นรัฐธรรมนูญหรอื กฎหมาย
ในการปฏบิ ัติหน้าูทต่ าม (๑) (๒) และ (๓) ใหเ้ ปน็ หน้าท่ีของคณะกรรมการป้องกนั และปราบปราม การทจุ รติ แห่งชาติท่ีจะต้องจัดให้มีมาตรการหรือ

แนวทางที่จะทาให้การปฏิบัติหน้าท่ีมีประสิทธิภาพ เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเทู่ยงธรรม ในกรณีจาเป็นจะมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐท่ีมีหน้าที่และอานาจ

เก่ียวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตดาเนินการแทนในเร่ืองที่มิใช่เป็นความผิดร้ายแรง หรือที่เป็นการกระทาของเจ้าหน้าที่ของรัฐบางระดับหรือ
กาหนดให้พนักงานเจา้ หน้าทขี่ องหน่วยธุรการ

เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๖๙ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา

ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นผู้ดาเนินการสอบสวนหรือไต่สวนเบื้องต้น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขท่ีบัญญัติไว้ใน

พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตก็ได้

มาตรา ๒๓๕ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓๖ ในกรณที ี่มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีการกล่าวหาว่า ูผ้ดารงตาแหน่งทางการเมืองเฉพาะทู่บัญญัติไว้ใน

พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู ผู้ดารงตาแหนง่ ในองค์กรอสิ ระ หรือผ้วู า่ การตรวจเงนิ แผน่ ดิน ผู

ใดมีพฤติการณ์ตามมาตรา ๒๓๔ (๑) ใหค้ ณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติไต่สวน ขอ้ เทจ็ จริง และหากมมี ติด้วยคะแนนเสยี งไม่นอ้ ยกวา่ ูกง่

หนูง่ ของกรรมการูทง้ หมดเทา่ ทมี่ ีอยู่เหน็ วา่ ูผน้ ัน้ มีพฤติการณ์หรอื กระทาความผิดตามทูไ่ ต่สวนใหด้ าเนินการดงั ตอ่ ไปน้ี

(๑) ถ้าเปน็ กรณฝี า่ ฝนื หรอื ไม่ปฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้เสนอเูร่อง ต่อศาลฎีกาเพ่ือวินิจฉัย ทั้งนี้ ให้นาความในมาตรา

๒๒๖ วรรคเจด็ มาใชบ้ ังคับแก่การพิจารณาพิพากษา ของศาลฎกี าโดยอนุโลม

(๒) กรณอี ืน่ นอกจาก (๑) ใหส้ ่งสานวนการไตส่ วนไปยงั อยั การสูงสุดเพูอ่ ดาเนินการฟ้องคดี ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทาง

การเมือง หรือดาเนนิ การูอน่ ตามพระราชบญั ญตั ิ ประกอบรฐธรรมนญู วา่ ดวยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต

การไต่สวนข้อเท็จจริงและมีมติตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ต้องดาเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่

กาหนดไวใ้ นพระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ว่าดว้ ย การป้องกนั และปราบปรามการทุจริต

เมอื่ ศาลฎกี าหรือศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมืองประทับรับฟ้อง ใหู้ผ้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคาพิพากษา

เว้นแต่ศาลฎีกาหรอื ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของูผด้ ารงตาแหนง่ ทางการเมืองจะมคี าส่งั เป็นอย่างอื่น ในกรณีท่ีศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของูผ้ดารง

ตาแหนง่ ทางการเมอื งมคี าพพิ ากษาวา่ ผ้ถู ูกกล่าวหามพี ฤตกิ ารณห์ รอื กระทาความผดิ ตามท่ี ถูกกล่าวหา แล้วแต่กรณี ให้ผู้ต้องคาพิพากษาน้ันพ้นจากตาแหน่งนับแต่

วันหยุดปฏบิ ตั ิหน้าท่ี และใหเ้ พิกถอน

สิทธิสมัครรับเลอื กตงั้ ของผูน้ และจะเพกิ ถอนสิทธเิ ลอื กตัง้ มีกาหนดเวลาไมเูก่ นิ สิบปดี ้วยหรอไมูก่็ ได

ูผใ้ ดถูกเพกิ ถอนสทิ ธสิ มคั รรับเลอื กตัง้ ไมว่ า่ ในกรณีใด ผู้น้ันไมม่ สี ทิ ธิสมคั รรับเลือกตั้งหรือ สมคั รรับเลอื กเปน็ สมาชกิ สภาผแู ทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา

สมาชกิ สภาท้องถนิ่ หรอื ูผบ้ รหิ ารท้องถ่นิ ตลอดไป และไมม่ ีสิทธิดารงตาแหนง่ ทางการเมืองใด ๆ

ในกรณที ่ศี าลฎกี าแผนกคดอี าญาของผู้ดารงตาแหนง่ ทางการเมืองพิพากษาว่าูผ้ถูกกล่าวหามีความผิด ฐานูร่ารวยผิดปกติหรือทุจริตต่อหน้าที่ ให้ริบ

ทรพั ย์สนิ ทีผ่ ูู้นน้ ไดม้ าจากการกระทาความผิด รวมทัง้ บรรดาทรพั ย์สนิ หรอื ประโยชน์อ่ืนใดท่ไี ด้มาแทนทรพย์สนิ นั้นตกเป็นของแผ่นดนิ

เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๗๐ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานเุ บกษา

การพิจารณาของศาลฎีกาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของูผ้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ให้นาสานวน การไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและ

ปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาตเิ ปน็ หลักในการพจิ ารณา และ เพูอ่ ประโยชน์แหง่ ความยตุ ิธรรม ใหศ้ าลมอี านาจไตส่ วนข้อเท็จจริงและพยานหลกั ฐานเพม่ิ เติมได้

ให้นามาตรานมี้ าใชบ้ งั คบั แก่กรณที บี่ ุคคลตามมาตรา ๒๓๔ (๓) จงใจไมย่ ่นื บัญชีแสดงรายการ ทรพย์สินและหน้สี นิ หรอื จงใจย่ืนบัญชแี สดงรายการ

ทรพั ย์สินหรอื หนสี้ นิ อนั เปน็ เท็จหรอื ปกปิดข้อเท็จจริง ูทค่ วรแจง้ ให้ทราบ และมีพฤติการณอ์ ันควรเชือ่ ได้วา่ มเี จตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหน้ีสินนั้นด้วย

โดยอนโุ ลม

มาตรา ๒๓๖ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภา จานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจานวนสมาชิก

ทง้ั หมดเทา่ ทูม่ อี ย่ขู องท้ังสองสภาหรือประชาชนผู้มีสิทธิ เลือกูต้งจานวนไม่น้อยกว่าสองหม่ืนคน มีสิทธิเข้าูช่อกล่าวหาว่ากรรมการป้องกันและปราบปราม

การทุจริตแหง่ ชาติผู้ใดกระทาการตามมาตรา ๒๓๔ (๑) โดยูย่นต่อประธานรฐั สภาพรอ้ มด้วยหลกั ฐาน ตามสมควร หากประธานรฐั สภาเหน็ ว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่า

มีการกระทาตามท่ีถกู กล่าวหา ให้ประธานรัฐสภา เสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพู่อูต้งคณะผู้ไต่สวนอิสระจากผู้ซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมืองและ มีความซ่ือ

สตย์สจุ ริตเปน็ ทีประจกั ษ์ เพ่อไต่สวนหาข้อเท็จจรงิ

คุณสมบตั ิ ลักษณะต้องห้าม หน้าท่ีและอานาจ วิธีการไต่สวน ระยะเวลาการไต่สวน และการดาเนินการอ่ืนที่จาเป็นของคณะผูไตสวน

อสิ ระ ให้เปน็ ไปตามูทก่ ฎหมายบญั ญตั ิ

มาตรา ๒๓๗ เม่อื ดาเนินการไต่สวนแลว้ เสรจ็ ใหคณะผไ้ ตส่ วนอสิ ระดาเนินการดงั ตอ่ ไปนี้

(๑) ถาเหน็ วา่ ขอ้ กล่าวหาไม่มีมลู ให้สง่ั ยตุ เิูรอ่ ง และใหค้ าสง่ ดังกล่าวเปน็ ท่ีสดุ

(๒) ถา้ เหน็ วา่ ผถู้ ูกกลา่ วหาฝ่าฝืนหรอื ไม่ปฏบิ ัตติ ามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้เสนอเูร่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย โดยให้นาความใน

มาตรา ๒๓๕ วรรคสาม วรรคูส่ และวรรคหก มาใชบ้ ังคบโดยอนโุ ลม

(๓) ถา้ เห็นวา่ ูผถ้ ูกกล่าวหามพี ฤติการณต์ ามที่ถูกกลา่ วหา และมใิ ชก่ รณตี าม (๒) ใหส้ ง่ สานวน การไต่สวนไปยงั อัยการสูงสุดเพู่อดาเนินการฟ้องคดี

ตอ่ ศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผู้ดารงตาแหน่ง

ทางการเมือง และใหน้ าความในมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม วรรคส และวรรคห้า มาใชบ้ ังคับโดยอนุโลม

สว่ นที่ ๕

คณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ

มาตรา ๒๓๘ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินประกอบด้วยกรรมการจานวนเจ็ดคน ูซง่ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังตามคาแนะนา
ของวุฒสิ ภา จากผ้ซู ่งึ ไดร้ บั การสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา

ผซู้ ่ึงได้รับการสรรหาต้องเป็นูผ้มีความซ่ือสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีความรู้ ความเช่ียวชาญ และประสบการณ์เก่ียวกับการตรวจเงินแผ่นดิน
กฎหมาย การบญชี การตรวจสอบภายใน การเงินการคลงั และด้านอืน่ ูทเ่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ การตรวจเงนิ แผน่ ดิน ท้งน้ี เปน็ เวลาไม่นอ้ ยกวา่ สิบปี

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๗๑ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา

มาตรา ๒๓๙ กรรมการตรวจเงินแผน่ ดนิ มวี าระการดารงตาแหน่งเจด็ ปนี บั แต่วนั ทีพ่ ระมหากษัตรยิ ์

ทรงแต่งต และใหด้ ารงตาแหน่งได้เพียงวาระเดยี ว

มาตรา ๒๔๐ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดนิ มีหนาท่แี ละอานาจ ดงั ต่อไปน้ี

(๑) วางนโยบายการตรวจเงินแผน่ ดนิ

(๒) กาหนดหลักเกณฑม์ าตรฐานเูกย่ วกับการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ

(๓) กากบั การตรวจเงนิ แผ่นดนิ ใหเ้ ปน็ ไปตาม (๑) และ (๒) และกฎหมายวา่ ด้วยวนิ ัยการเงิน

การคลงั ของรัฐ
(๔) ให้คาปรึกษา แนะนา หรือเสนอแนะเกย่ี วกบั การใชจ้ ่ายเงนิ แผ่นดินใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมาย วา่ ด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ รวมทั้งการให้

คาแนะนาแก่หน่วยงานของรฐั ในการแกไ้ ขข้อบกพรอ่ ง เกี่ยวกับการใชจ้ า่ ยเงินแผน่ ดิน

(๕) ูสง่ ลงโทษทางปกครองกรณีมีการกระทาผิดกฎหมายวา่ ดว้ ยวนิ ัยการเงนิ การคลงของรัฐ
การดาเนินการตามวรรคหน่ึง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การตรวจเงนิ แผ่นดิน
ผูถ้ ูกสัง่ ลงโทษตาม (๕) อาจอุทธรณต์ ่อศาลปกครองสงู สดุ ไดภ้ ายในเก้าสบิ วันนับแตว่ ันทูไ่ ด้รับคาูสง่ ในการพจิ ารณาของศาลปกครองสูงสุดต้องคานึงถึง
นโยบายการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ และหลกั เกณฑ์มาตรฐาน เกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดนิ ตาม (๑) และ (๒) ประกอบดว้ ย
มาตรา ๒๔๑ ให้มีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนหูน่งูซ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคาแนะนา ของวุฒิสภาโดยได้รับการเสนอชื่อจาก
คณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดนิ
ผวู้ า่ การตรวจเงินแผ่นดนิ ตอ้ งมีคุณสมบัติและไม่มีลกั ษณะตอ้ งห้ามเช่นเดียวกับกรรมการ ตรวจเงนิ แผ่นดนิ

ูผไ้ ด้รับการเสนอูชอ่ เพือ่ แต่งตัง้ เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ตอ้ งไดร้ ับความเห็นชอบจากวุฒิสภา

ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากง่ึ หนึ่งของสมาชิกวฒุ ิสภาทัง้ หมดเท่าที่มอี ย และให้นาความในมาตรา ๒๐๔
วรรคหน่ึง วรรคสอง และวรรคส่ี และมาตรา ๒๐๕ มาใชบ้ ังคบั แกก่ ารแต่งูต้งผวู้ ่าการตรวจเงินแผน่ ดนิ ดว้ ยโดยอนโุ ลม

การสรรหา การคัดเลอื ก และการเสนอชอ่ื ผู้วา่ การตรวจเงนิ แผน่ ดนิ ใหเ้ ปน็ ไปตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าดว้ ยการตรวจเงนิ แผ่นดิน
มาตรา ๒๔๒ ใหผ้ ู้วา่ การตรวจเงินแผ่นดนิ ปฏิบตั หิ นา้ ูทโ่ ดยเทย่ี งธรรม เปน็ กลาง และปราศจาก อคติทงั ปวงในการใช้ดุลพินิจ โดยมีหน้าทู่และ
อานาจดังต่อไปน้ี
(๑) ตรวจเงินแผ่นดนิ ตามนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินและหลกั เกณฑ์มาตรฐานเกย่ี วกบั การตรวจเงินแผ่นดินที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
กาหนด และตามกฎหมายว่าด้วยวนิ ยั การเงิน การคลังของรัฐ

(๒) ตรวจผลสัมฤทธิ์และประสทิ ธภิ าพในการใช้จา่ ยเงนิ ของหน่วยงานของรฐั

เลม่ ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก หน้า ๗๒ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกจิ จานุเบกษา

(๓) มอบหมายใหเ้ จา้ หน้าทูด่ าเนนิ การตาม (๑) และ (๒)

(๔) กากับและรบั ผิดชอบในการปฏิบตั ิหนา้ ูทข่ องเจ้าหน้าทูต่ าม (๓)

มาตรา ๒๔๓ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าท่ีโดยรับผิดชอบ ต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และเป็น

ผู้บงั คับบัญชาสูงสดุ ของหน่วยธรุ การของคณะกรรมการ ตรวจเงนิ แผ่นดิน

วาระการดารงตาแหน่ง การพน้ จากตาแหน่ง และการปฏิบตั ิหน้าทูข่ องูผว้ า่ การตรวจเงนิ แผ่นดนิ ให้เปน็ ไปตามพระราชบญั ญัติประกอบรฐธรรมนูญ

วา่ ดว้ ยการตรวจเงินแผ่นดนิ

มาตรา ๒๔๔ ในกรณที ม่ี ีหลักฐานอันควรเชอื่ ไดว้ า่ การใชจ้ า่ ยเงนิ แผน่ ดนิ มีพฤตกิ ารณอ์ นั เป็น การทุจรติ ตอ่ หนา้ ท่ี จงใจปฏิบัติหน้าท่ีหรือใช้อานาจ

ขัดต่อบทบญั ญัตแิ หง่ รฐั ธรรมนญู หรอื กฎหมาย หรืออาจทาให้การเลือกตงั้ มิได้เปน็ ไปโดยสจุ รติ หรอื เท่ียงธรรม และเป็นกรณที ีผ่ ู้วา่ การตรวจเงินแผ่นดิน ไม่มีอานาจ

จะดาเนนิ การใดได้ ใหผ้ ้วู า่ การตรวจเงินแผ่นดินแจง้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือหน่วยงานูอ่นูท่

เก่ยี วขอ้ ง แลว้ แตก่ รณี เพื่อทราบ และดาเนินการตามหนา้ ทู่และอานาจต่อไป

ในการดาเนนิ การของคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาติ คณะกรรมการ การเลือกต้ัง หรือหน่วยงานอืน่ ตามทูไ่ ดร้ ับแจ้งตาม

วรรคหนง่ึ ให้ถอื วา่ เอกสารและหลกั ฐานทผ่ี ้วู า่ การ ตรวจเงินแผน่ ดินตรวจสอบหรอื จัดทาข้ึนเปน็ ส่วนหนึง่ ของสานวนการสอบสวนของคณะกรรมการปอ้ งกนั

และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ คณะกรรมการการเลือกต้ัง หรอื ของหนว่ ยงานอน่ื น แลว้ แต่กรณ

มาตรา ๒๔๕ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการระงบั หรอื ยบั ยง้ั ความเสยี หายทอี่ าจเกิดูขน้ แกก่ ารเงนิ การคลัง ของรฐั ให้ผวู้ ่าการตรวจเงินแผ่นดินเสนอผลการ

ตรวจสอบการกระทาทู่ไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัย การเงินการคลังของรัฐและอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรง ต่อ

คณะกรรมการ ตรวจเงนิ แผน่ ดนิ เพู่อพิจารณา

ในกรณที ค่ี ณะกรรมการตรวจเงนิ แผน่ ดินเหน็ พ้องดว้ ยกับผลการตรวจสอบดังกลา่ ว ใหป้ รึกษาหารือ ร่วมกับคณะกรรมการการเลือกต้ังและคณะกรรมการ

ปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ หากทป่ี ระชมุ ร่วมเหน็ พ้องกบั ผลการตรวจสอบนน้ั ใหร้ ่วมกนั มีหนงั สอื แจ้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี

เพอ่ื ทราบโดยไม่ชกั ชา้ และใหเปดิ เผยผลการตรวจสอบดงั กล่าวต่อประชาชนเพือ่ ทราบดว้ ย

ส่วนที่ ๖ คณะกรรมการสิทธิ
มนษุ ยชนแห่งชาติ

มาตรา ๒๔๖ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติประกอบด้วยกรรมการจานวนเจ็ดคน ูซ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตาม
คาแนะนาของวุฒิสภาจากผ้ซู ่งึ ได้รบการสรรหา

ูผซ้ งึ่ ไดร้ ับการสรรหาตอ้ งมคี วามรู้และประสบการณ์ดา้ นการคุ้มครองสิทธแิ ละเสรีภาพของประชาชนเป็นกลางทางการเมือง และมีความซอื่ สตยส์ ุจริตเป็น
ทปี่ ระจกั ษ์

เล่ม ๑๓๔ ตอนท่ี ๔๐ ก หน้า ๗๓ ๖ เมษายน ๒๕๖๐
ราชกิจจานุเบกษา

กรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติมวี าระการดารงตาแหน่งเจ็ดปนี บั แตว่ ันท่พี ระมหากษตั ริย์

ทรงแต่งต้ัง และให ารงตาแหนง่ ไดเ้ พยี งวาระเดยี ว
คณุ สมบตั ิ ลักษณะตอ้ งหา้ ม การสรรหา และการพน้ จากตาแหน่งของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน แห่งชาติ ใหเ้ ปน็ ไปตามพระราชบญั ญัติประกอบ

รัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยคณะกรรมการสิทธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติ ทัง้ น้ี บทบญั ญัตเิ ูกย่ วกับการสรรหาตอ้ งกาหนดใหู้ผ้แทนองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนมีส่วนร่วม ใน
การสรรหาดวย

มาตรา ๒๔๗ คณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชนแห่งชาตมิ หี น้าทูแ่ ละอานาจ ดังตอ่ ไปน้ี
(๑) ตรวจสอบและรายงานขอเทจ็ จรงิ ท่ีถูกตอ้ งเูกย่ วกบั การละเมิดสทิ ธิมนุษยชนทุกกรณีโดยไมล่ ่าช้า และเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางท่ีเหมาะสม
ในการปอ้ งกนั หรอื แกไ้ ขการละเมิดสทิ ธิมนุษยชน รวมทงั้ การเยียวยาผูไ้ ดร้ บั ความเสียหายจากการละเมิดสทิ ธิมนุษยชนต่อหน่วยงานของรฐหรอเอกชนทู่เูกย่ วขอ้ ง
(๒) จดั ทารายงานผลการประเมินสถานการณด์ ้านสทิ ธิมนษุ ยชนของประเทศเสนอต่อรฐั สภา และคณะรฐมนตรี และเผยแพร่ต่อประชาชน
(๓) เสนอแนะมาตรการหรอื แนวทางในการสง่ เสริมและูคม้ ครองสทิ ธิมนษุ ยชนต่อรฐั สภา คณะรฐั มนตรี และหนว่ ยงานท่ีเูกย่ วขอ้ ง รวมตลอดทั้ง
การแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบยี บ หรือคาส่งใด ๆ เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบหลักสทิ ธมิ นุษยชน
(๔) ช้แี จงและรายงานข้อเทจ็ จรงิ ูทถ่ กู ตอ้ งโดยไม่ชักช้าในกรณีท่ีมีการรายงานสถานการณ์ เกี่ยวกบสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่
เป็นธรรม

(๕) สรา้ งเสรมิ ทุกภาคสว่ นของสงคมใหตระหนกั ถึงความสาคัญของสทิ ธิมนุษยชน

(๖) หนา้ ูทแ่ ละอานาจูอ่นตามทู่กฎหมายบัญญัติ
เมอ่ื รับทราบรายงานตาม (๑) และ (๒) หรอื ข้อเสนอแนะตาม (๓) ให้คณะรฐั มนตรดี าเนนิ การ ปรบั ปรงุ แกไ้ ขตามความเหมาะสมโดยเร็ว กรณีใด
ไม่อาจดาเนนิ การได้หรอื ต้องใชเ้ วลาในการดาเนินการ ให้แจง้ เหตุผลใหค้ ณะกรรมการสทิ ธิมนุษยชนแห่งชาตทิ ราบโดยไมช่ กช้า
ในการปฏบิ ตั หิ นาที่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต้องคานึงถึงความผาสุกของประชาชน ชาวไทยและผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็น
สาคญดวย

หมวด ๑๓
องค์กรอัยการ

มาตรา ๒๔๘ องค์กรอยั การมหี นา้ ท่ีและอานาจตามท่บี ญั ญตั ไิ ว้ในรัฐธรรมนญู และกฎหมาย พนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาส่ังคดี
และการปฏบิ ัตหิ นา้ ทีใ่ หเ้ ป็นไปโดยรวดเรว็ เทยี่ งธรรม

และปราศจากอคตทิ ังปวง และไม่ให้ถอื ว่าเป็นคาสงั่ ทางปกครอง
การบริหารงานบคุ คล การงบประมาณ และการดาเนินการอื่นขององค์กรอัยการให้มีความเป็นอิสระ โดยให้มีระบบเงินเดือนและค่าตอบแทนเป็นการ

เฉพาะตามความเหมาะสมและการบริหารงานบุคคล


Click to View FlipBook Version