ชื่อเรื่อง การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ผู้วิจัย พิริยาพร สุวรรณไตรย์ วัชราภรณ์ชนะเคน ค ำส ำคัญ (Key words) การจัดการความรู้, ผลิตภัณฑ์, สมุนไพรเครือหมาน้อย บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปลูก การขยายพันธุ์ พัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และการสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมา น้อยกลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรในต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จ านวน 30 คน ผู้ศึกษา ได้เลือกใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นวิธีการในการศึกษา โดยเครื่องมือที่ใช้ในการ เก็บข้อมูล คือ การจัดเวทีเสวนา แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง การสัมภาษณ์การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และ แบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่า 1) การปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย นักวิจัยได้ร่วมกับสมาชิกโครงการ และหน่วยงานใน พื้นที่ ก าหนดพื้นที่ในการจัดท าแปลงสาธิตการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย มติที่ประชุมได้ขอใช้ พื้นที่ของ รพ.สต.ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เป็นแปลงสาธิต พื้นที่จ านวน 0.5 ไร่ จ านวนสมุนไพรเครือหมาน้อยที่ปลูกในแปลงสาธิต จ านวน 300 ต้น โดยกลุ่มสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการจะเป็น ผู้ดูแลแปลงสาธิต มีการบันทึกการเจริญเติบโต พบว่า สมุนไพรเครือหมาน้อยสามารถเจริญเติบโตได้ดี มีอัตรา การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการขยายผลการปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อยไปสู่ชุมชน โดยท าการปลูกใน พื้นที่ของสมาชิกกลุ่มเพื่อใช้เป็นทรัพยากรในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม และเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ สมุนไพรเครือหมาน้อยของชุมชน การประเมินการมีส่วนร่วมของสมาชิก และภาคีที่เข้าร่วมโครงการการ จัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย พบว่าระดับค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วมมีอัตราที่เพิ่มขึ้น ภายหลังการเข้าร่วมในโครงการ การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย 2) การพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย การพัฒนาศักยภาพการแปร รูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการแปรรูปผลิตภัณฑ์จาก สมุนไพรเครือหมาน้อย ผลิตภัณฑ์ที่มีการแปรรูป คือ อาหาร เครื่องดื่ม และอาหารว่าง มีการร่วมกับออกแบบ บรรจุภัณฑ์ การค านวณต้นทุนขาย การทดลองปฏิบัติเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ และการสร้างรูปแบบ ทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ซึ่งจากการด าเนินงานร่วมกันท าให้ได้ สัญลักษณ์ (Logo) ของผลิตภัณฑ์ จ านวน 1 แบบ ซึ่งมีองค์ประกอบจากความเป็นมาของชุมชน คือ ต้นตะเคียน แทนสัญลักษณ์ของต้นตะเคียนเก่าแก่ที่ อยู่ในชุมชนที่มีรังผึ้งจ านวนมาก, รวงผึ้ง แทนสัญลักษณ์ของรวงผึ้งที่อยู่บนต้นตะเคียนเก่าแก่ที่อยู่ในชุมชนที่มี รังผึ้งจ านวนมาก เนื่องจากมีความเชื่อว่าหากใครไปรบกวนรังผึ้งบริเวณนั้นจะมีแต่ความโชคร้ายและมีอัน เป็นไป ท าให้รังผึ้งที่ต้นตะเคียนมีจ านวนมากจนถึงปัจจุบัน และ ต้นสมุนไพรเครือหมาน้อย แทนสัญลักษณ์ของ ต้นสมุนไพรเครือหมาน้อยในชุมนที่มีลักษณะการเจริญเติบโตด้วยการเลื้อยเกาะต้นไม้ยืนต้น และฉลากสินค้า จ านวน 5 แบบ คือ จ านวน 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ วุ้นหมาน้อยในกะทิ เจลลี่ในน้ าผลไม้ ลาบหมาน้อย และพอก
ข หน้าหมาน้อย (หน้าใส – ลดสิว) ซึ่งจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับ สรรพคุณ ชนิดของสินค้า การใช้ ปริมาณ วันที่ ผลิตและวันหมดอายุ มีการค านวณต้นทุนและราคาขายของผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อยทุก ผลิตภัณฑ์ มีอัตราก าไรร้อยละ 14.80 - 74.00 ผลการทดสอบการแพ้ของผลิตภัณฑ์ผงพอกหน้าหมาน้อย กลุ่มทดสอบ จ านวน 30 คนพบว่า กลุ่มตัวอย่างไม่มีอาการแพ้ผลิตภัณฑ์ และมีการทดสอบการยอมรับและ ความชอบโดยรวมผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากสมุนไพรหมาน้อยจากผู้บริโภค พบว่าผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ มีระดับการยอมรับและความชอบโดยรวมผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากสมุนไพรหมาน้อยอยู่ระดับมาก ทุกผลิตภัณฑ์ และผลการวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปรรูปสมุนไพรเครือหมาน้อย(กรุงเขมา)ของ ผู้เข้าร่วมโครงการ พบว่าผลการวิเคราะห์การวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปรรูปสมุนไพรเครือหมาน้อย (กรุงเขมา)ของผู้เข้าร่วมโครงการ พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) รายได้ของกลุ่มวิสาหกิจหมอน้อยต าบลหนองแคน มีรายได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.13 เกินเป้าหมาย ของโครงการ ที่ก าหนดว่าต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5 และเมื่อเสร็จสิ้นโครงการมีผู้เข้าร่วมในการ จัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์โครงการด าเนินการขอจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน 4) การวิเคราะห์การประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมายน้อย พบว่า พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศชาย และเพศหญิงจ านวนเท่ากัน มีอายุ มากกว่า 55 ปีขึ้นไป การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. และประกอบอาชีพเกษตรกร และความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อ ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมายน้อยโดยภาพรวม พบว่า อยู่ระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านราคา รองลงมา คือ ด้านผลิตภัณฑ์ มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้าน ช่องทางการจัดจ าหน่ายและบรรจุภัณฑ์ มีระดับความพึงพอใจมาก ตามล าดับ
ค Title Knowledge management for the development of Krua Ma Noi herbal products Nong Khaen, Dong Luang District, Mukdahan Province. Author Piriyaporn Suwannatrai Watcharaporn Chanakan Keywords Knowledge management , Development products, , Krua Ma Noi herbal ABSTRACT This research study is a study on knowledge management for herbal product development, Krua Ma Noi, Nong Khaen Sub-district, Dong Luang District, Mukdahan Province. The objective is to study planting. propagation Develop the potential of product processing and generating income from herbal products, Krua Ma Noi, target groups are: There were 30 farmers in Nong Khaen Sub-district, Dong Luang District, Mukdahan Province. (Quantitative research) is a method of study. The tool used to collect data is to organize a forum. Semistructured interview forms, interviews, participant observations, and questionnaires. The results showed that 1) Planting and propagating Krua Ma Noi herbs The researchers, together with project members and agencies in the area. Determine the area for making demonstration plots for planting and propagating Kruam Noi herbs. The resolution of the meeting asked to use the area of Nong Khaen Community Health Promoting Hospital, Nong Khaen Subdistrict, Dong Luang District, Mukdahan Province It is a demonstration plot, an area of 0.5 rai, with 300 plants of Krua Ma Noi herbs planted in the demonstration plot. The group of members participating in the project will be in charge of the demonstration plot. The growth was recorded and found that Krua Noi herbs were able to grow well. Has a continuous growth rate and the planting of Krua Ma Noi herbs has been expanded to the community. They are planted in clan members' areas to use as resources for processing clan products and is a conservation center for the community's herb. Member Participation Assessment and partners participating in the knowledge management project for the development of Krua Noi herbal products. It was found that the average participation rate increased after participating in the project. Knowledge management for the development of Krua Ma Noi herbal products. 2) Development of processing potential of herbal products from Krua Ma Noi. Development of processing potential of herbal products from Krua Ma Noi. To create knowledge, understanding and skills in processing herbal products from Krua Ma Noi. Processed products, such as food, beverages and snacks, are co-designed with packaging. Cost of goods sold. Practical trials to create product identity and creating a marketing model of the product. Which from the joint operation resulted in a symbol (Logo) of the number 1 brand, which contains elements from the history of the community, The Ta khian tree representing the symbol of the old Ta khian tree in the community with many honeycombs, honeycomb
ง representing the symbol of the honeycomb on the old Ta khian tree in the community with many beehives.Because there is a belief that if anyone disturbs the beehive in that area, there will be only bad luck and potential. Causing a large number of beehives at Ta khian trees until now and the herb Krua ma noi Instead of the symbol of the herb Krua Ma Noi in the community that has a characteristic of growing by climbing perennial trees. Product labels of 5 types from 4 products, jelly from Krua ma noi in coconut milk, jelly from Krua ma noi in fruit juice, Larb from Krua ma noi, and Face mask from Krua ma noi (Clear face – reduce acne), which contain details about properties, product types, use, quantity, production date and expiration date. Cost and selling price of every product from Krua Ma Noi herbal products were calculated. Has a profit margin of 14.80% - 74.00%. The results of the allergy test of the Face mask from Krua ma noi powder, a test group of 30 people, found that the sample group had no allergy to the product. And there is a test for overall acceptance and liking of herbal food and beverage products from Krua ma noi by consumers. It was found that the consumers of the product had a high level of acceptance and overall liking of all herbal food and beverage products. And the results of the measurement of knowledge and understanding about Krua Ma Noi herbal. Processing of the project participants It was found that the results of the analysis of the cognition measurement of Krua Ma Noi herbal processing of the participants found that their scores after school were significantly higher than before at the 0.05 level. 3) Income of Mor Noi Nong Khaen Subdistrict Enterprise Group, Increased income by 11.13 percent, exceeding the project's target that must have an increase in income of at least 5 percent. When the project is completed, there are participants in the distribution of products; the project proceeds to register as a community enterprise 4) The analysis of consumer satisfaction assessment of herbal products from Krua ma noi found that the respondents were male and females equal, aged over 55 years, high school education/vocational and working as a farmer. The overall satisfaction of the consumers towards the Krua ma noi herbal products was found to be at the highest level. The aspect with the highest average was the price, the product and the the place and packaging.
จ กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยฉบับนี้ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากสถาบันวิทยาลัยชุมชน ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ.2565 และสามารถส าเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาให้ความช่วยเหลือให้ค าแนะน าอย่างดียิ่งจาก ดร.ชัยวิวัฒน์ วงศ์สวัสดิ์ครู ช านาญการพิเศษ, คุณศิรภัสสร มูลสาร แพทย์แพนไทยช านาญการ และ อาจารย์พิชญ์ สุวรรณไตรย์ครูช านาญการ คณะผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของทุกท่าน จึงขอกราบ ขอบพระคุณท่านอย่างสูงไว้ณ โอกาสนี้ คณะผู้วิจัยขอขอบพระคุณ นางบ าเพ็ญ พิรุณสุนทร ผู้อ านวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล หนองแคน ที่กรุณาให้ข้อเสนอแนะ ค าแนะน า และสถานที่หลักในการด าเนินโครงการวิจัยในครั้งนี้ ซึ่ง คณะผู้วิจัยถือว่ามีคุณค่าเป็นอย่างมากท าให้การวิจัยส าเร็จลุล่วง ขอขอบคุณสมาชิกชมรมกลุ่มสมุนไพรต าบล หนองแคน ทุกท่านที่ให้ความร่วมมือและให้ข้อมูลในการวิจัยเป็นอย่างดี นอกจากนี้คณะผู้วิจัยขอขอบพระคุณพ่อ แม่ และครอบครัว ที่คอยให้ก าลังใจและดูแลช่วยเหลือใน ทุกๆด้าน รวมถึงผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน วิทยาลัยชุมชนมุกดาหารทุกท่านที่เป็นกาลังใจและมีส่วน ช่วยเหลือสนับสนุนมาโดยตลอดจนการวิจัยส าเร็จลุล่วง คณะผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานการวิจัยฉบับนี้จะยังประโยชน์แก่วงการศึกษาและงานส่งเสริม คุณภาพชีวิตของประชาชน คุณค่าอันพึงมีจากผลงานนี้ขอมอบเป็นสักการะคุณคณะคณาจารย์และผู้มีพระคุณ ทุกท่าน สุดท้ายขอมอบคุณความดีทั้งหลายแก่สังคมและประเทศชาติด้วยความขอบคุณยิ่ง หากมีข้อบกพร่อง ใดๆ คณะผู้วิจัย ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว พิริยาพร สุวรรณไตรย์ วัชราภรณ์ชนะเคน พฤศจิกายน 2565
ฉ บทสรุปผู้บริหาร ชื่อเรื่อง การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร Title Knowledge management for the development of Krua Ma Noi herbal products Nong Khaen, Dong Luang District, Mukdahan Province. คณะผู้วิจัย 1. ชื่อ - นามสกุล (ภาษาไทย) นางสาวพิริยาพร สุวรรณไตรย์ (ภาษาอังกฤษ) Miss Piriyaporn Suwannatrai เลขหมายบัตรประจ าตัวประชาชน 3490500361488 ต าแหน่งปัจจุบัน ครูช านาญการ หน่วยงานและสถานที่อยู่ที่ติดต่อได้สะดวก วิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร ม. 10 บ้านบุ่งอุทัย ต.นาสีนวน อ.เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร โทร. 0874090104 อีเมล์[email protected] 2. ชื่อ - นามสกุล (ภาษาไทย) นางสาววัชราภรณ์ชนะเคน (ภาษาอังกฤษ) Miss Watcharaporn Chanaken เลขหมายบัตรประจ าตัวประชาชน 3480500343226 ต าแหน่งปัจจุบัน ครู หน่วยงานและสถานที่อยู่ที่ติดต่อได้สะดวก วิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร ม. 10 บ้านบุ่งอุทัย ต.นาสีนวน อ.เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร โทร. 0960949554 อีเมล์[email protected] ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยประจ าปี2565 จ านวน 100,000 บาท ระยะเวลาท าวิจัย ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 กันยายน 2566 สรุปโครงการวิจัย หลักการและเหตุผล จังหวัดมุกดาหาร เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสมุนไพรธรรมชาติ มีภูมิปัญญาด้านสมุนไพร พื้นบ้านและศักยภาพในการผลิตสมุนไพรเพื่อใช้ในด้านสุขภาพและด้านเศรษฐกิจผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เกิดความตระหนักถึงความส าคัญและโอกาสจากแผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนา สมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564 ที่มีความสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ จึงก าหนดนโยบาย “การ พัฒนาเป็นเมืองสมุนไพร” โดยให้มีการพัฒนาศักยภาพและสร้างเครือข่ายในการมีส่วนร่วมเสริมสร้างความ เข้มแข็งของระบบสุขภาพด้วยการน าภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านมาใช้ใน ชีวิตประจ าวัน โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 เป็นต้นมา ได้ให้ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดมุกดาหารเป็น หน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนนโยบาย “การพัฒนาเป็นเมืองสมุนไพร” ภายใต้ความร่วมมือของส่วนราชการ
ช ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ส านักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดมุกดาหาร ส านักงานเกษตรจังหวัดมุกดาหาร สถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดมุกดาหาร ส านักงานพาณิชย์จังหวัดมุกดาหาร ส านักงานอุตสาหกรรมจังหวัด มุกดาหาร ส านักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดมุกดาหาร ส านักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร ส านักงาน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัดมุกดาหาร หอการค้าจังหวัดมุกดาหาร ส านักงานส่งเสริม การปกครองท้องถิ่นจังหวัดมุกดาหาร ส านักงานสหกรณ์จังหวัดมุกดาหาร ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร จังหวัดมุกดาหาร วิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร รวมทั้งกลุ่มผู้ปลูกสมุนไพรจังหวัดมุกดาหาร ร่วมกันด าเนินการ ขับเคลื่อนงานตามนโยบายข้างต้นแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ า กลางน้ า และปลายน้ า จนออกมาเป็นรูปธรรมใน รูปแบบผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ที่เกิดประโยชน์กับสุขภาพมนุษย์ ทั้งยังเชื่อมโยงเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิง สุขภาพของจังหวัดมุกดาหาร ตลอดจนเป็นการสร้างอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่เพื่อ น าไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี น าไปสู่การพัฒนาจังหวัดมุกดาหารให้เป็นเมืองน่าอยู่ มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยการด าเนินงานในระยะต้นน้ า คือ การผลิต โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชสมุนไพรที่ได้ เครือหมาน้อย หรือกรุงเขมา (กลาง นครศรีธรรมราช) หมอน้อย (อุบลราชธานี)ก้นปิด (ตะวันตกเฉียง ใต้) ขงเขมา พระพาย (ภาคกลาง) เปล้าเลือด (แม่ฮ่องสอน) สีฟัน (เพชรบุรี) ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissampelos pareira L. var. hirsuta (Buch. ex DC.) Forman. ชื่ อ พ้ อ ง Cissampelos poilanei ชื่ อ ว ง ศ์ Menispermaceae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ไม้เถาเลื้อย เนื้อไม้แข็ง มีขนนุ่มสั้นปกคลุมหนาแน่นตามเถา กิ่ง ช่อดอก และใบ ไม่มีมือเกาะ มีรากสะสมอาหารใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยว มีหลายรูป เช่น รูปหัวใจ รูปกลม รูปไต หรือรูปไข่กว้าง ก้นใบปิด ออกแบบสลับ กว้าง 4.5-12 เซนติเมตร ยาว 4.5-11 เซนติเมตร ปลายใบส่วนมาก มนหรือเรียวแหลม โคนใบกลมตัด หรือเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ เนื้อบางคล้ายกระดาษ มีขนนุ่มสั้นกระจาย ทั้งหลังใบ และท้องใบ ใบเมื่อยังอ่อนจะมีขนอ่อนนุ่มปกคลุมอยู่ทั้งสองด้าน และตามขอบใบ แต่จะร่วงไปเมื่อ ใบแก่ เส้นใบออกจากโคนใบรูปฝ่ามือ ก้านใบยาว 2-9 เซนติเมตร ขนนุ่มสั้น หรือเกือบเกลี้ยง ติดที่โคนใบห่าง จากขอบใบขึ้นมา 1-18 มิลลิเมตร ปลายใบแหลมหรือเป็นติ่งหนาม ดอกออกเป็นช่อกระจุกสีขาว ขนาดเล็ก ประมาณ 0.2-0.5 มิลลิเมตร ดอกแยกเพศ และอยู่ต่างต้นกัน เรียงแบบช่อเชิงหลั่น มีขนาดเล็ก แต่ละช่อ กระจุกมีก้านช่อดอกยาว 2-4 เซนติเมตร มีขนนุ่มสั้น ออกกระจุกเดี่ยวๆหรือ 2-3 กระจุกในหนึ่งช่อ ช่อดอก เพศผู้ ออกตามง่ามใบ ก้านช่อกระจุกแตกแขนง ยืดยาว ประกอบด้วยกระจุกดอกอยู่ตามง่ามใบประดับ ใบ ประดับรูปกลม และขยายใหญ่ขึ้น ดอกเพศผู้ สีเขียวหรือสีเหลือง มีก้านดอกย่อยยาว 1-2 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยง มี 4 กลีบ รูปไข่กลับ ยาว 1.25-1.5 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนยาวห่าง กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ยาว ประมาณ 0.5 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนประปราย เกสรเพศผู้เชื่อมติดกัน อับเรณูยาว 0.75 มิลลิเมตร ช่อดอก เพศเมีย เป็นช่อคล้ายช่อกระจุกแยกแขนง ทรงแคบ ยาวถึง 18 เซนติเมตร ประกอบด้วยช่อดอกที่เป็นกระจุก ติดแบบคล้ายเป็นช่อกระจะ แต่ละกระจุกอยู่ในง่ามของใบประดับ ใบประดับรูปกลม เมื่อขยายใหญ่ขึ้นยาวถึง 1.5 เซนติเมตร มีขนประปรายหรือขนยาวนุ่ม ดอกเพศเมีย มีก้านดอกย่อยยาว 1-1.5 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงมี 1 กลีบ รูปไข่กลับกว้าง ยาว 1.5 มิลลิเมตร กลีบดอกมี 1 กลีบ รูปไข่กลับกว้าง ยาว 0.75 มิลลิเมตร โคนสอบ แคบไม่มีเกสรเพศผู้ปลอม เกสรเพศเมียมี 1 อัน ขนาดประมาณ 0.5 มิลลิเมตร มีขนยาวห่าง ก้านเกสรเพศเมีย เกลี้ยง ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 3 พู กางออก ผลสด มีก้านอวบใหญ่ ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร สีส้ม ผล ทรงกลมรีอยู่ตรงปลาย เมื่อสุกสีน้ าตาลแดง เมล็ดโค้งงอรูปพระจันทร์ครึ่งซีก ผิวขรุขระ มีรอยแผลเป็นของก้าน เกสรเพศเมียติดอยู่ด้านข้าง มีขนสั้นนุ่ม ผนังผลชั้นในรูปไข่กลับ ยาว 5 มิลลิเมตร ด้านบนมีสันขวาง 9-11 สัน เรียงเป็น 2 แถว ชัดเจน ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดหรือเหง้า พบในป่าดิบ ป่าผลัดใบ และป่าไผ่ ตามริมแม่น้ า ล าธาร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคมถึงธันวาคม เถาและใบคั้นเอาน้ าเมื่อผสมกับเครื่องปรุงอาหาร จะมีลักษณะ เป็นวุ้น รับประทานเป็นอาหาร สรรพคุณ ต ารายาไทย ส่วนเหนือดิน เป็นยาแก้ร้อนใน แก้โรคตับ ราก มี
ซ กลิ่นหอม รสสุขุม ใช้แก้ไข้ แก้ดีรั่ว ดีล้น ดีซ่าน เป็นยาขับปัสสาวะ ยาถ่าย แก้ไข้มาลาเรีย ใช้เป็นยาเจริญ อาหาร ยาอายุวัฒนะ ยาช่วยย่อย แก้ท้องร่วง บวมน้ า แก้ไอ ขัดเบา กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และใช้ในรายถูก งูกัด เป็นยาลดไข้ แก้ปวดท้อง โรคหนองใน ราก รสหอมเย็นสุขุม แก้ไข้ แก้ดีรั่ว ดีซ่าน เป็นยาอายุวัฒนะ บ ารุง อวัยวะเพศให้แข็งแรง แก้ลม โลหิต ก าเดา แก้โรคตา ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ า ใช้เคี้ยว แก้ปวดท้อง และโรคบิด ระบายนิ่ว แก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไอเจ็บหน้าอก เป็นยาขับเหงื่อ ยาขับระดู ยาบ ารุง ยาสงบประสาท ยา ขับน้ าเหลืองเสีย ยาสมาน รากและใบ พอกเป็นยาเฉพาะที่ แก้โรคผิวหนัง หิด ล าต้น ดับพิษไข้ทุกชนิด บ ารุง โลหิตสตรี เป็นยาพอกแก้ตาอักเสบ เนื้อไม้แก้โรคปอด และโรคโลหิตจาง ใบ แก้ร้อนใน พอกแผล ฝี แก้แผล มะเร็ง แก้หืด ใช้ทาภายนอกแก้หิดองค์ ปัจจุบันต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง มีปัญหาด้านเศรษฐกิจและความยากจนจากภาระหนี้สินที่เกิด จากการขาดความรึความเข้าใจในการวางแผนการประกอบอาชีพที่เหมาะสมปัญหาด้านสังคมและสาธารณสุข ประชาชนยังขาดความรู้และความเข้าใจในการป้องกันโรคระบาดต่างๆ ท าให้ยากแก่การป้องกัน และขาด ความสนใจในการรักษาสุขภาพ และปัญหาด้านสุขภาพอนามัย เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาข้างต้นอย่างเป็น รูปธรรมจึงความพัฒนาทั้งความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ทัศนคติของคนในชุมชนอย่างเป็นระบบในการวางแผนการ ประกอบอาชีพโดยใช้สมุนไพรในท้องถิ่นให้มีมูลค่าและสอดคล้องกับศักยภาพของชุมชน ดังนั้นวิทยาลัยชุมชน มุกดาหารจึงได้ก าหนดประเด็นการวิจัยที่เกิดจากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนใน ต าบลหนองแคน ด้วยผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ภายใต้โครงการการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครือหมาน้อย วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย 2. เพื่อศึกษาและพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย 3. เพื่อสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ระเบียบวิธีวิจัย การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ การศึกษาการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือ หมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปลูก การ ขยายพันธุ์ พัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และการสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย กลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรในต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จ านวน 30 คน ผู้ศึกษาได้ เลือกใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นวิธีการในการศึกษา โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ ข้อมูล คือ การจัดเวทีเสวนา แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง การสัมภาษณ์การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และ แบบสอบถาม ผลการวิจัย การศึกษา เรื่องการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ผลการศึกษาพบว่า 1) การปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย นักวิจัยได้ร่วมกับสมาชิกโครงการ และหน่วยงานใน พื้นที่ ก าหนดพื้นที่ในการจัดท าแปลงสาธิตการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย มติที่ประชุมได้ขอใช้ พื้นที่ของ รพ.สต.ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เป็นแปลงสาธิต พื้นที่จ านวน 0.5 ไร่
ฌ จ านวนสมุนไพรเครือหมาน้อยที่ปลูกในแปลงสาธิต จ านวน 300 ต้น โดยกลุ่มสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการจะเป็น ผู้ดูแลแปลงสาธิต มีการบันทึกการเจริญเติบโต พบว่า สมุนไพรเครือหมาน้อยสามารถเจริญเติบโตได้ดี มีอัตรา การเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีการขยายผลการปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อยไปสู่ชุมชน โดยท าการปลูกใน พื้นที่ของสมาชิกกลุ่มเพื่อใช้เป็นทรัพยากรในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม และเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ สมุนไพรเครือหมาน้อยของชุมชน การประเมินการมีส่วนร่วมของสมาชิก และภาคีที่เข้าร่วมโครงการการ จัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย พบว่าระดับค่าเฉลี่ยการมีส่วนร่วมมีอัตราที่เพิ่มขึ้น ภายหลังการเข้าร่วมในโครงการ การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย 2) การพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย การพัฒนาศักยภาพการแปร รูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการแปรรูปผลิตภัณฑ์จาก สมุนไพรเครือหมาน้อย ผลิตภัณฑ์ที่มีการแปรรูป คือ อาหาร เครื่องดื่ม และอาหารว่าง มีการร่วมกับออกแบบ บรรจุภัณฑ์ การค านวณต้นทุนขาย การทดลองปฏิบัติเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ และการสร้างรูปแบบ ทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ซึ่งจากการด าเนินงานร่วมกันท าให้ได้ สัญลักษณ์ (Logo) ของผลิตภัณฑ์ จ านวน 1 แบบ ซึ่งมีองค์ประกอบจากความเป็นมาของชุมชน คือ ต้นตะเคียน แทนสัญลักษณ์ของต้นตะเคียนเก่าแก่ที่ อยู่ในชุมชนที่มีรังผึ้งจ านวนมาก, รวงผึ้ง แทนสัญลักษณ์ของรวงผึ้งที่อยู่บนต้นตะเคียนเก่าแก่ที่อยู่ในชุมชนที่มี รังผึ้งจ านวนมาก เนื่องจากมีความเชื่อว่าหากใครไปรบกวนรังผึ้งบริเวณนั้นจะมีแต่ความโชคร้ายและมีอัน เป็นไป ท าให้รังผึ้งที่ต้นตะเคียนมีจ านวนมากจนถึงปัจจุบัน และ ต้นสมุนไพรเครือหมาน้อย แทนสัญลักษณ์ของ ต้นสมุนไพรเครือหมาน้อยในชุมนที่มีลักษณะการเจริญเติบโตด้วยการเลื้อยเกาะต้นไม้ยืนต้น และฉลากสินค้า จ านวน 5 แบบ คือ จ านวน 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ วุ้นหมาน้อยในกะทิ เจลลี่ในน้ าผลไม้ ลาบหมาน้อย และพอก หน้าหมาน้อย (หน้าใส – ลดสิว) ซึ่งจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับ สรรพคุณ ชนิดของสินค้า การใช้ ปริมาณ วันที่ ผลิตและวันหมดอายุ มีการค านวณต้นทุนและราคาขายของผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อยทุก ผลิตภัณฑ์ มีอัตราก าไรร้อยละ 14.80 - 74.00 ผลการทดสอบการแพ้ของผลิตภัณฑ์ผงพอกหน้าหมาน้อย กลุ่มทดสอบ จ านวน 30 คนพบว่า กลุ่มตัวอย่างไม่มีอาการแพ้ผลิตภัณฑ์ และมีการทดสอบการยอมรับและ ความชอบโดยรวมผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากสมุนไพรหมาน้อยจากผู้บริโภค พบว่าผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ มีระดับการยอมรับและความชอบโดยรวมผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มจากสมุนไพรหมาน้อยอยู่ระดับมาก ทุกผลิตภัณฑ์ และผลการวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปรรูปสมุนไพรเครือหมาน้อย(กรุงเขมา)ของ ผู้เข้าร่วมโครงการ พบว่าผลการวิเคราะห์การวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปรรูปสมุนไพรเครือหมาน้อย (กรุงเขมา)ของผู้เข้าร่วมโครงการ พบว่า คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) รายได้ของกลุ่มวิสาหกิจหมอน้อยต าบลหนองแคน มีรายได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.13 เกินเป้าหมาย ของโครงการ ที่ก าหนดว่าต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5 และเมื่อเสร็จสิ้นโครงการมีผู้เข้าร่วมในการ จัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์โครงการด าเนินการขอจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน 4) การวิเคราะห์การประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมายน้อย พบว่า พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศชาย และเพศหญิงจ านวนเท่ากัน มีอายุ มากกว่า 55 ปีขึ้นไป การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. และประกอบอาชีพเกษตรกร และความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อ ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมายน้อยโดยภาพรวม พบว่า อยู่ระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ด้านราคา รองลงมา คือ ด้านผลิตภัณฑ์ มีระดับความพึงพอใจมากที่สุด และด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้าน ช่องทางการจัดจ าหน่ายและบรรจุภัณฑ์ มีระดับความพึงพอใจมาก ตามล าดับ
ญ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 1. ภาครัฐหรือองค์กรเครือข่ายประชาชนด้านสุขภาพความมีการส่งเสริมการใช้สมุนไพร โดยมุ่งเน้นใน ด้านความปลอดภัย การใช้ที่ถูกต้อง เพื่อทดแทนการใช้ยาแผนปัจจุบันให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพ เบื้องต้นได้ 2. ภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ควรเน้นส่งเสริมการใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพของ ตนเองในลักษณะการใช้สมุนไพรในชีวิตประจาวัน โดยการปลูกในครัวเรือเพื่อบริโภคเป็นอาหารและยา เพื่อ สร้างกันชนด้านสุขภาพ 3. รัฐควรส่งเสริมและให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานเกี่ยวกับสมุนไพร ทั้งการปลูก การใช้และการแปร รูป เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป ในการศึกษาครั้งต่อไปควรน ารูปแบบการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อยใน พื้นที่ต่างๆ และสามารถประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสมเนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีปัจจัยแวดล้อมหรือบริบทที่ แตกต่างกัน ทั้งทรัพยากร วิถีชีวิตและสภาพเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นแต่ละชุมชนสามารถประยุกต์ใช้ สมุนไพรในรูปแบบที่มีความเหมาะสมกับบริบทของตนเองได้
ฏ สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย – อังกฤษ กิตติประกาศ บทสรุปผู้บริหาร สารบัญ ก-ง จ ฉ – ญ ฎ – ณ บทที่ 1 บทน า 1 หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย ระยะเวลาการท าวิจัย (1 ตุลาคม 2564 – 30 กันยายน 2565) กรอบแนวคิดในการวิจัย นิยามศัพท์ปฏิบัติการ 1-4 4 4 6 7 7 บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9 แนวคิดและทฤษฎีการจัดการความรู้ แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ แนวคิดเกี่ยวกับสมุนไพรไทย เครือหมาน้อย แนวความคิดที่เกี่ยวกับความหลากหลายของพืชอาหาร แนวความคิดที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แนวความคิดเกี่ยวกับการสร้างความมั่นคงทางอาหาร แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวและการตลาดสีเขียว] ความรู้เกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชน แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการตลาด แนวคิดเกี่ยวกับส่วนผสมทางการตลาด แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์และลักษณะบรรจุภัณฑ์ ข้อมูลเทศบาลต าบลหนองแคน งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9 14 17 30 35 38 44 53 71 81 84 87 92 96 101 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย 111 การก าหนดพื้นที่ศึกษา ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล และ การตรวจสอบข้อมูล รายละเอียดของขั้นตอนการด าเนินงานจริงตามแผนงาน 111 111 112 114
ฐ สารบัญ (ต่อ) บทที่ 4 ผลการด าเนินงานและวิเคราะห์ข้อมูล 116 ผลการด าเนินงาน การวิเคราะห์ข้อมูล 116 139 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 151 สรุปผลการด าเนินงาน อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ 151 156 160 บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ภาคผนวก ข ภาพกิจกรรมการด าเนินงาน 161 167 168 172 ประวัตินักวิจัย 177
ฑ สารบัญรูปภาพ หน้า รูปภาพประกอบที่ 1-1 กรอบแนวคิดในการวิจัย ……………………………………………………… รูปภาพประกอบที่2-1 เครือหมาน้อย ……………………………………………………………………. รูปภาพประกอบที่ 2-2 โครงสร้างของเพคติน …………………………………………………………. รูปภาพประกอบที่ 2-3 แสดงองค์ประกอบของความมั่นคงทางอาหาร ตามหลักเกณฑ์ ขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ…………………………………………………….. รูปภาพประกอบที่ 2-4 ส่วนประสมทางการตลาด(Marketing mix) หรือ 4Ps ……………. รูปภาพประกอบที่ 2-5 รูปแบบพฤติกรรมผู้ซื้อ (ผู้บริโภค) ………………………………………… รูปภาพประกอบที่ 2-6 กระบวนการตัดสินใจของผู้ซื้อ .…………………………………………... รูปภาพประกอบที่ 2-7 โครงสร้างกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ……………………………………………… รูปภาพประกอบที่ 2-8 หนังสือส าคัญการขึ้นทะเบียนวิสาหกิจชุมชนหมอน้อย ต าบลหนองแคน ……………………………………………………………… รูปภาพประกอบที่ 4 -1 เวทีเสวนาเพื่อค้นหาความต้องการของชุมชนในการพัฒนา ผลิตภัณฑ์สมุนไพรต าบลหนองแคนของตัวแทนชุมชนและ หน่วยงานในพื้นที่ร่วมกับวิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร..................... รูปภาพประกอบที่ 4 -2 การลงมติเลือกสมุนไพรเครือหมาน้อยเป็นพืชศึกษาเพื่อพัฒนา ผลิตภัณฑ์สมุนไพรต าบลหนองแคนของตัวแทนชุมชนและ หน่วยงานในพื้นที่ร่วมกับวิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร ……..…......... รูปภาพประกอบที่ 4 – 3 การก าหนดพื้นที่ส าหรับท าแปลงสาธิตการปลูกสมุนไพรเครือ หมาน้อย ………………………………………………………………………….. รูปภาพประกอบที่ 4 – 4 การจ าเตรียมแปลงสาธิตการปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อย......... รูปภาพประกอบที่ 4 – 5 การปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อย ณ แปลงสาธิต....................... รูปภาพประกอบที่ 4 – 6 ต้นพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย................................................ รูปภาพประกอบที่ 4 – 7 แปลงสาธิตการปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อย............................. รูปภาพประกอบที่ 4 – 8 การอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเครือหมาน้อย ................ รูปภาพประกอบที่ 4 – 9 การอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อการแปรรูปสมุนไพรเครือหมาน้อย เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อความงาน (เครื่องส าอาง)................................ รูปภาพประกอบที่ 4 – 10 การอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อการแปรรูปสมุนไพรเครือ หมาน้อยเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อความงาน (เครื่องส าอาง)................. รูปภาพประกอบที่ 4 – 11 ผงสมุนไพรเครือหมาน้อย....................................................... รูปภาพประกอบที่ 4 – 12 ผลิตภัณฑ์ผงพอกหน้าสมุนไพรเครือหมาน้อย สูตรลดสิว และสูตรหน้าใส…………………………………………………………………. รูปภาพประกอบที่ 4 – 13 ผลิตภัณฑ์อาหารจากสมุนไพรเครือหมาน้อย “ลาบหมาน้อย” รูปภาพประกอบที่ 4 – 14 ผลิตภัณฑ์อาหารว่างจากสมุนไพรเครือหมาน้อย “วุ้นหมาน้อยในกะทิ”…………………………………………………………. รูปภาพประกอบที่ 4 – 15 ผลิตภัณฑ์เครือดื่มจากสมุนไพรเครือหมาน้อย “หมาน้อยในน้ าหวาน/น้ าสมุนไพร”…………………………….………… 7 30 31 45 87 90 92 100 101 117 117 119 119 120 120 121 121 122 122 123 123 124 124 125
ฒ สารบัญรูปภาพ หน้า รูปภาพประกอบที่ 4 – 16 การอบรมการออกแบบบรรจุภัณฑ์ส าหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครือหมาน้อย………………………………………………………………………. รูปภาพประกอบที่ 4 – 17 ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์ส าหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย รูปภาพประกอบที่ 4 – 18 การออกแบบตราผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย............ รูปภาพประกอบที่ 4 – 19 การออกแบบฉลากผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย….…… รูปภาพประกอบที่ 4 – 20 การอบรมเพื่อการค านวณต้นทุนการจ าหน่าย ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย………………………..…………….. รูปภาพประกอบที่ 4 – 21 การค านวณต้นทุนการจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เครือหมาน้อย………………………………..………………………..…………….. รูปภาพประกอบที่ 4 – 22 ข้อสรุปการหาต้นทุนการจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือ หมาน้อย …………………………………………………….………..……………… รูปภาพประกอบที่ 4 – 23 ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย “ผงพอกหน้า” ส าหรับ จ าหน่าย............................................................................................... รูปภาพประกอบที่ 4 – 24 ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย “วุ้นหมาน้อยในน้ าหวาน/ น้ าสมุนไพร” ส าหรับจ าหน่าย ............................................................. รูปภาพประกอบที่ 4 – 25 ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย “วุ้นหมาน้อยในกะทิ” ส าหรับจ าหน่าย .................................................................................. รูปภาพประกอบที่ 4 – 26 ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย “ลาบหมาน้อย”........... รูปภาพประกอบที่ 4 – 27 การจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย …………..…… รูปภาพประกอบที่ 4 – 28 ผลิตภัณฑ์ตัวอย่างเพื่อการทดสอบจากผู้บริโภค ........................ รูปภาพประกอบที่ 4 – 29 การสาธิตวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ผองหน้าสมุนไพรเครือหมาน้อย…. รูปภาพประกอบที่ 4 – 30 การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย.............. รูปภาพประกอบที่ 4 – 31 การจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย………….…….. รูปภาพประกอบที่ 4 – 32 การจัดกิจกรรมทดสอบและจ าหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือ หมาน้อย ……………………………………………………………………..………….. รูปภาพประกอบที่ 4 – 33 ด าเนินการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจของผู้เข้าร่วมโครงการ โดย วิทยากรจาก ส านักงานเกษตรและสหกรณ์อ าเภอดงหลวง……………... รูปภาพประกอบที่ 4 – 34 ตัวแทนรับใบรับรองการการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน ภายใต้ชื่อ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรหมอน้อยต าบลหนองแคน” ณ ส านักงานเกษตรและสหกรณ์อ าเภอดงหลวง………………..………… รูปภาพประกอบที่ 4 – 35 ใบรับรองการการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน ภายใต้ชื่อ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรหมอน้อยต าบลหนองแคน” ………..…. รูปภาพประกอบที่ 4 – 36 โครงสร้างคณะกรรมการ “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรหมอน้อย ต าบลหนองแคน” ……………………………………………..…………………… รูปภาพประกอบที่ 4 – 37 “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรหมอน้อยต าบลหนองแคน” ……… รูปภาพประกอบที่4 - 37 กราฟแสดงการเจริญเติบโตของต้นเครือหมาน้อย………………….. 126 126 126 127 128 129 129 130 131 131 132 133 133 134 134 134 135 135 136 137 138 138 140
ณ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 2 - 1 สรุปกระบวนการจัดการความรู้การจัดการความรู้มีการจ าแนกที่แตกต่าง กันตามแบบของผู้คิดและจัดท า…………………………………………………………… ตารางที่2 - 2 ลักษณะของบรรจุภัณฑ์และวิธีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์…..………….……….. ตารางที่4 - 1 การเจริญเติบโตต้นสมุนไพรเครือหมาน้อย …………………………………….. ตารางที่ 4 – 2 การค านวณต้นทุนผลิตภัณฑ์และการก าหนดราคาจ าหน่าย……………….. ตารางที่ 4 – 3 รายได้จากการจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย ……………. ตารางที่ 4 – 4 ค่าคะแนนการวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปรรูปสมุนไพรเครือ หมาน้อย(กรุงเขมา)ของผู้เข้าร่วมโครงการ………………………………………...... ตารางที่ 4 – 5 ตารางการเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปรรูปสมุนไพร เครือหมาน้อย(กรุงเขมา)ของผู้เข้าร่วมโครงการ…………………………………….. ตารางที่ 4 – 6 ผลการทดสอบการแพ้ของผลิตภัณฑ์ผงพอกหน้าหมาน้อย กลุ่มทดสอบ จ านวน 30 คน ……………………………………………………………… ตารางที่ 4 – 7 ผลการทดสอบการยอมรับและความชอบโดยรวมผลิตภัณฑ์อาหารและ เครื่องดื่มจากสมุนไพรหมาน้อย ………………………………………………………….. ตารางที่ 4 - 8 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบ (N = 50 คน) ......................................... ตารางที่ 4 – 9 ค่าเฉลี่ยและระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์จาก สมุนไพรเครือหมายน้อยโดยภาพรวม ……………………………………………...... ตารางที่ 4 – 10 ค่าเฉลี่ยและระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เครือหมายน้อยด้านผลิตภัณฑ์……………………………………………………………. ตารางที่ 4 – 11 ค่าเฉลี่ยและระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เครือหมายน้อยด้านราคา ............................................................................. ตารางที่ 4 – 12 ค่าเฉลี่ยและระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์จาก สมุนไพรเครือหมายน้อยด้านช่องทางการจัดจ าหน่าย และบรรจุภัณฑ์……… ตารางที่ 4 – 13 ค่าเฉลี่ยและระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ตารางที่ 4 – 14 ระดับการมีส่วนร่วมของสมาชิกโครงการการจัดการความรู้เพื่อพัฒนา ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย เครือหมายน้อยด้านการส่งเสริมการขาย ตารางที่ 4 – 15 การวิเคราะห์ภาคีและการเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการวิจัย …………….. 10 93 118 127 132 139 140 141 142 143 144 145 145 145 146 147 149
บทที่ 1 บทน ำ 1. หลักกำรและเหตุผล จากการเปลี่ยนแปลงบริบทของสังคมในปัจจุบันที่ส่งผลต่อความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจและสังคมใน อนาคตที่จะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัยในอนาคตอันใกล้ของประเทศไทย ได้ท าให้มีแนวคิดในการใช้ สมุนไพรเป็นทางเลือกในการรักษาโรคและเสริมสร้างสุขภาพ อันจะช่วยสร้างความมั่นคงทางด้านสุขภาพ และการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ซึ่งในปัจจุบันความต้องการใช้สมุนไพรในประเทศไทยมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความสนใจในการดูแลรักษาสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติและสมุนไพร ซึ่ง สมุนไพรไทยสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ได้หลากหลาย ตลาดสมุนไพรในโลกมีมูลค่ารวมกัน ประมาณ 9.18 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐโดยประเทศที่มีมูลค่า ทางการตลาดของสมุนไพรที่สูง ได้แก่ ประเทศเยอรมนีภูมิภาคเอเชีย ประเทศ ญี่ปุ่น และประเทศฝรั่งเศส ส าหรับประเทศไทยนั้นมีพืชสมุนไพรที่เป็นที่รู้จักสรรพคุณและการน ามาใช้ประโยชน์ ประมาณ 1,800 ชนิด และที่เป็นวัตถุดิบสมุนไพรหมุนเวียนในท้องตลาด มีประมาณ 300 ชนิด แต่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา พบว่าการบริหารจัดการสมุนไพรไม่เป็นระบบเท่าที่ควร จึงส่งผลให้เกิดการขาดแคลนวัตถุดิบหลายชนิด คุณภาพวัตถุดิบไม่ผ่านมาตรฐาน และ มีปัญหาด้านการก าหนดมาตรฐานคุณภาพวัตถุดิบ ขณะที่ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสมุนไพรส่วน ใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กที่มี ความสามารถในการแข่งขันน้อย ท าให้สัดส่วนสถานประกอบการผลิตสมุนไพรที่ผ่านการรับรอง มาตรฐานการผลิตต่อทั้งหมดนั้นน้อยมาก จึงจ าเป็นต้องได้รับการส่งเสริมให้ได้รับรองมาตรฐานการผลิต รวมถึงให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนเพื่อให้เกิดศักยภาพตามก าหนด ส าหรับปัญหาด้านตลาดการสมุนไพร ไทย พบว่า การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและข้อตกลงทางการค้าเสรีเป็นอุปสรรคต่อการผลิตและจ าหน่าย สินค้าสมุนไพร ส่วนในด้านการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาสมุนไพร พบว่า ยังค่อนข้างกระจัดกระจาย และไม่เพียงพอต่อการรองรับการพัฒนาสมุนไพรของประเทศรวมทั้งการจัดสรรงบประมาณและ ทรัพยากรในการส่งเสริมสมุนไพรไทยที่ผ่านมาไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ท าให้การพัฒนาสมุนไพรที่เกิดขึ้นไม่ สามารถน าไปสู่ผลสัมฤทธิ์อย่างที่ตั้งใจได้ นอกจากนี้ แม้ว่าสมุนไพรจะเป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่าง ต่อเนื่อง และผู้ที่เกี่ยวข้องในเชิงนโยบายในหลายระดับได้ให้ความส าคัญ แต่การด าเนินการที่ผ่านมายังมี ลักษณะแบบชั่วคราว ไม่มีการด าเนินการอย่างต่อเนื่องและถาวร เกิดการด าเนินการซ้ าซ้อน ตลอดจนเกิด อุปสรรคจากกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ท าให้การพัฒนาสมุนไพรที่ผ่านมาไม่สามารถบรรลุตาม เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สถานการณ์และความท้าทายเหล่านี้น า ไปสู่การก าหนดเป้าหมายของการพัฒนา สมุนไพรไทยที่เป็นวัตถุประสงค์ของแผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564 ซึ่งประกอบด้วย (1) พัฒนาสมุนไพรต่อยอดทั้งด้านการรักษาและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น (2) สร้าง มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่จะมีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรม และภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ (3) การขับเคลื่อน งานอย่างเป็นระบบเพื่อท าให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรไทยอย่างเชื่อมโยง และครบวงจร (4) ท าให้เกิดความ ร่วมมือจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 นี้มีเป้าหมายเพิ่อส่งเสริม และรักษาภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าที่เกี่ยวกับสมุนไพรไทย เพื่อ พัฒนาการผลิตและใช้ประโยชน์ สมุนไพรไทยอย่างมีคุณภาพเต็มประสิทธิภาพและครบวงจร ซึ่งจะส่งผล ต่อความมั่นคง มั่งคั่งและ ยั่งยืนของสมุนไพรไทยและการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของไทย (กรมการ แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก, 2559: 1-4)
2 จังหวัดมุกดาหาร เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสมุนไพรธรรมชาติ มีภูมิปัญญาด้าน สมุนไพรพื้นบ้านและศักยภาพในการผลิตสมุนไพรเพื่อใช้ในด้านสุขภาพและด้านเศรษฐกิจผู้ว่าราชการ จังหวัดพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เกิดความตระหนักถึงความส าคัญและโอกาสจากแผน แม่บทว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564 ที่มีความสอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ จึงก าหนดนโยบาย “การพัฒนาเป็นเมืองสมุนไพร” โดยให้มีการพัฒนาศักยภาพและสร้างเครือข่ายในการ มีส่วนร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพด้วยการน าภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและ การแพทย์พื้นบ้านมาใช้ในชีวิตประจ าวัน โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2561 เป็นต้นมา ได้ให้ส านักงาน สาธารณสุขจังหวัดมุกดาหารเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนนโยบาย “การพัฒนาเป็นเมืองสมุนไพร” ภายใต้ความร่วมมือของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ส านักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด มุกดาหาร ส านักงานเกษตรจังหวัดมุกดาหาร สถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดมุกดาหาร ส านักงานพาณิชย์ จังหวัดมุกดาหาร ส านักงานอุตสาหกรรมจังหวัดมุกดาหาร ส านักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดมุกดาหาร ส านักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดมุกดาหาร ส านักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จังหวัดมุกดาหาร หอการค้าจังหวัดมุกดาหาร ส านักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดมุกดาหาร ส านักงานสหกรณ์จังหวัดมุกดาหาร ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัดมุกดาหาร วิทยาลัยชุมชน มุกดาหาร รวมทั้งกลุ่มผู้ปลูกสมุนไพรจังหวัดมุกดาหาร ร่วมกันด าเนินการขับเคลื่อนงานตามนโยบาย ข้างต้นแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ า กลางน้ า และปลายน้ า จนออกมาเป็นรูปธรรมในรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ หลากหลาย ที่เกิดประโยชน์กับสุขภาพมนุษย์ ทั้งยังเชื่อมโยงเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของ จังหวัดมุกดาหาร ตลอดจนเป็นการสร้างอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่เพื่อน าไปสู่การ พัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี น าไปสู่การพัฒนาจังหวัดมุกดาหารให้เป็นเมืองน่าอยู่ มีความมั่นคง มั่งคั่ง และ ยั่งยืน โดยการด าเนินงานในระยะต้นน้ า คือ การผลิต โดยการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชสมุนไพรที่ได้ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ส่งจ าหน่ายให้กับโรงงานผลิตยาสมุนไพร ระยะกลางน้ า คือ การแปรรูป ได้มี โรงงานผลิตยาสมุนไพรที่ผ่านมาตรฐาน WHO และ GMP ที่โรงพยาบาลนิคมค าสร้อยเพื่อผลิตยาสมุนไพร สนับสนุนให้สถานพยาบาลทุกแห่งในจังหวัดมุกดาหารน าไปให้บริการประชาชนในพื้นที่ และใน ปีงบประมาณ 2563 อยู่ระหว่างพัฒนาต่อยอดให้เกิดการผลิตสมุนไพรคุณภาพสูงและกัญชาทาง การแพทย์แบบครบวงจร และส าหรับระยะปลายน้ า มีสถานพยาบาลทุกแห่ง 85 แห่งในจังหวัดที่ได้ ให้บริการตรวจรักษาและส่งเสริมสุขภาพแก่ประชาชนในด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นอกจากนี้ ส านักงานสาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร ยังได้จัดงานมหกรรมการแพทย์แผนไทยและ การแพทย์พื้นบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปีที่ 12 เพื่อเป็นพัฒนาศักยภาพและสร้างเครือข่ายในการมี ส่วนร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพด้วยการน าภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ พื้นบ้านมาใช้ในชีวิตประจ าวัน มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์คุ้มครอง ส่งเสริมและพัฒนาการใช้ประโยชน์จาก ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรในระบบสุขภาพและระบบเศรษฐกิจ เครือหมาน้อย หรือกรุงเขมา (กลาง นครศรีธรรมราช) หมอน้อย (อุบลราชธานี)ก้นปิด (ตะวันตก เฉียงใต้) ขงเขมา พระพาย (ภาคกลาง) เปล้าเลือด (แม่ฮ่องสอน) สีฟัน (เพชรบุรี) ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissampelos pareira L. var. hirsuta (Buch. ex DC.) Forman. ชื่อพ้อง Cissampelos poilanei ชื่อ วงศ์ Menispermaceae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ไม้เถาเลื้อย เนื้อไม้แข็ง มีขนนุ่มสั้นปกคลุมหนาแน่น ตามเถา กิ่ง ช่อดอก และใบ ไม่มีมือเกาะ มีรากสะสมอาหารใต้ดิน ใบเป็นใบเดี่ยว มีหลายรูป เช่น รูป หัวใจ รูปกลม รูปไต หรือรูปไข่กว้าง ก้นใบปิด ออกแบบสลับ กว้าง 4.5-12 เซนติเมตร ยาว 4.5-11
3 เซนติเมตร ปลายใบส่วนมากมนหรือเรียวแหลม โคนใบกลมตัด หรือเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ เนื้อบาง คล้ายกระดาษ มีขนนุ่มสั้นกระจาย ทั้งหลังใบ และท้องใบ ใบเมื่อยังอ่อนจะมีขนอ่อนนุ่มปกคลุมอยู่ทั้งสอง ด้าน และตามขอบใบ แต่จะร่วงไปเมื่อใบแก่ เส้นใบออกจากโคนใบรูปฝ่ามือ ก้านใบยาว 2-9 เซนติเมตร ขนนุ่มสั้น หรือเกือบเกลี้ยง ติดที่โคนใบห่างจากขอบใบขึ้นมา 1-18 มิลลิเมตร ปลายใบแหลมหรือเป็นติ่ง หนาม ดอกออกเป็นช่อกระจุกสีขาว ขนาดเล็กประมาณ 0.2-0.5 มิลลิเมตร ดอกแยกเพศ และอยู่ต่างต้น กัน เรียงแบบช่อเชิงหลั่น มีขนาดเล็ก แต่ละช่อกระจุกมีก้านช่อดอกยาว 2-4 เซนติเมตร มีขนนุ่มสั้น ออก กระจุกเดี่ยวๆหรือ 2-3 กระจุกในหนึ่งช่อ ช่อดอกเพศผู้ ออกตามง่ามใบ ก้านช่อกระจุกแตกแขนง ยืดยาว ประกอบด้วยกระจุกดอกอยู่ตามง่ามใบประดับ ใบประดับรูปกลม และขยายใหญ่ขึ้น ดอกเพศผู้ สีเขียว หรือสีเหลือง มีก้านดอกย่อยยาว 1-2 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ รูปไข่กลับ ยาว 1.25-1.5 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขนยาวห่าง กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ยาวประมาณ 0.5 มิลลิเมตร ด้านนอกมีขน ประปราย เกสรเพศผู้เชื่อมติดกัน อับเรณูยาว 0.75 มิลลิเมตร ช่อดอกเพศเมีย เป็นช่อคล้ายช่อกระจุก แยกแขนง ทรงแคบ ยาวถึง 18 เซนติเมตร ประกอบด้วยช่อดอกที่เป็นกระจุกติดแบบคล้ายเป็นช่อกระจะ แต่ละกระจุกอยู่ในง่ามของใบประดับ ใบประดับรูปกลม เมื่อขยายใหญ่ขึ้นยาวถึง 1.5 เซนติเมตร มีขน ประปรายหรือขนยาวนุ่ม ดอกเพศเมีย มีก้านดอกย่อยยาว 1-1.5 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงมี 1 กลีบ รูปไข่กลับ กว้าง ยาว 1.5 มิลลิเมตร กลีบดอกมี 1 กลีบ รูปไข่กลับกว้าง ยาว 0.75 มิลลิเมตร โคนสอบแคบไม่มีเกสร เพศผู้ปลอม เกสรเพศเมียมี 1 อัน ขนาดประมาณ 0.5 มิลลิเมตร มีขนยาวห่าง ก้านเกสรเพศเมียเกลี้ยง ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 3 พู กางออก ผลสด มีก้านอวบใหญ่ ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร สีส้ม ผล ทรงกลมรีอยู่ตรงปลาย เมื่อสุกสีน้ าตาลแดง เมล็ดโค้งงอรูปพระจันทร์ครึ่งซีก ผิวขรุขระ มีรอยแผลเป็น ของก้านเกสรเพศเมียติดอยู่ด้านข้าง มีขนสั้นนุ่ม ผนังผลชั้นในรูปไข่กลับ ยาว 5 มิลลิเมตร ด้านบนมีสัน ขวาง 9-11 สัน เรียงเป็น 2 แถว ชัดเจน ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ดหรือเหง้า พบในป่าดิบ ป่าผลัดใบ และ ป่าไผ่ ตามริมแม่น้ าล าธาร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคมถึงธันวาคม เถาและใบคั้นเอาน้ าเมื่อผสมกับ เครื่องปรุงอาหาร จะมีลักษณะเป็นวุ้น รับประทานเป็นอาหาร สรรพคุณ ต ารายาไทย ส่วนเหนือ ดิน เป็นยาแก้ร้อนใน แก้โรคตับ ราก มีกลิ่นหอม รสสุขุม ใช้แก้ไข้ แก้ดีรั่ว ดีล้น ดีซ่าน เป็นยาขับปัสสาวะ ยาถ่าย แก้ไข้มาลาเรีย ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ยาอายุวัฒนะ ยาช่วยย่อย แก้ท้องร่วง บวมน้ า แก้ไอ ขัดเบา กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และใช้ในรายถูกงูกัด เป็นยาลดไข้ แก้ปวดท้อง โรคหนองใน ราก รสหอมเย็น สุขุม แก้ไข้ แก้ดีรั่ว ดีซ่าน เป็นยาอายุวัฒนะ บ ารุงอวัยวะเพศให้แข็งแรง แก้ลม โลหิต ก าเดา แก้โรคตา ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ า ใช้เคี้ยว แก้ปวดท้อง และโรคบิด ระบายนิ่ว แก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไอเจ็บ หน้าอก เป็นยาขับเหงื่อ ยาขับระดู ยาบ ารุง ยาสงบประสาท ยาขับน้ าเหลืองเสีย ยาสมาน รากและ ใบ พอกเป็นยาเฉพาะที่ แก้โรคผิวหนัง หิด ล าต้น ดับพิษไข้ทุกชนิด บ ารุงโลหิตสตรี เป็นยาพอกแก้ตา อักเสบ เนื้อไม้แก้โรคปอด และโรคโลหิตจาง ใบ แก้ร้อนใน พอกแผล ฝี แก้แผลมะเร็ง แก้หืด ใช้ทา ภายนอกแก้หิด องค์ประกอบทางเคมี ราก พบแอลคาลอยด์ปริมาณสูง เช่น hyatine, hyatinine, sepurine, beburine, issampeline, pelosine นอกจากนี้ยังพบ quercitol, sterol แอลคาลอยด์ hyatine มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อและลดความดันโลหิต (ฤทธิ์เทียบเท่ากับ d-tubercurarine ที่ได้จากยาง น่อง) cissampeline แสดงฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์ใบมีสารพวกเพคติน เมื่อขย าใบกับน้ า เมื่อทิ้งไว้จะ แข็งตัวเป็นวุ้น (ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี : 2563) ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง เป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายการขับเคลื่อนตามนโยบายของ จังหวัด มีจ านวนประชากร จ านวน 4,032 คน แบ่งออกเป็นเพศชาย จ านวน 12,529 คน เพศหญิง
4 จ านวน 2,503 คน ประกอบด้วย 7 หมู่บ้าน มีการประกอบอาชีพส่วนมาก คือ การเกษตร ท านา ท าสวน และเลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 90 มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบล จ านวน 1 แห่ง ตั้งอยู่ที่หมู่ 2 บ้านหนอง แคน เทศบาลต าบลหนองแคนได้ก าหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจมุ่งเน้นเศรษฐกิจบนฐานราก การพัฒนา ฝีมือแรงงาน และการสร้างผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่นที่มีคุณภาพ การจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน และ การสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ สามารถสร้างรายได้ให้กับ ชุมชน (แผนยุทธศาสตร์พัฒนา 5 ปี เทศบาลต าบลหนองแคน, 2557: 1-5) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายพัฒนา จังหวัดมุกดาหาร ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาคนและสังคมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และ ยุทธศาสตร์ที่ 5 การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อเป็นฐานการพัฒนาอย่าง ยั่งยืน และพื้นที่ต าบล หนองแคนมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและเป็นแหล่งทรัพยากรสมุนไพรจ านวนมาก ปัจจุบันต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง มีปัญหาด้านเศรษฐกิจและความยากจนจากภาระหนี้สินที่ เกิดจากการขาดความรึความเข้าใจในการวางแผนการประกอบอาชีพที่เหมาะสมปัญหาด้านสังคมและ สาธารณสุข ประชาชนยังขาดความรู้และความเข้าใจในการป้องกันโรคระบาดต่างๆ ท าให้ยากแก่การ ป้องกัน และขาดความสนใจในการรักษาสุขภาพ และปัญหาด้านสุขภาพอนามัย เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหา ข้างต้นอย่างเป็นรูปธรรมจึงความพัฒนาทั้งความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ทัศนคติของคนในชุมชนอย่างเป็น ระบบในการวางแผนการประกอบอาชีพโดยใช้สมุนไพรในท้องถิ่นให้มีมูลค่าและสอดคล้องกับศักยภาพของ ชุมชน ดังนั้นวิทยาลัยชุมชนมุกดาหารจึงได้ก าหนดประเด็นการวิจัยที่เกิดจากการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเพื่อ จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในต าบลหนองแคน ด้วยผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ภายใต้โครงการการจัดการ ความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย 2. วัตถุประสงค์ 2.1 เพื่อศึกษาการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย 2.2 เพื่อศึกษาและพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย 2.3 เพื่อสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย 3. ขอบเขตกำรวิจัย 3.1 ขอบเขตทำงเนื้อหำ 1) เพื่อศึกษารูปแบบการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย 1.1) การศึกษารูปแบบการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบล หนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ทีมวิจัยได้ร่วมกันออกแบบเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เกี่ยวกับรูปแบบการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ซึ่งเป็นข้อมูลที่ต้องใช้ในการศึกษาตาม วัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ซึ่งประกอบด้วย การก าหนดพื้นที่แปลงทดลอง การตรวจสอบคุณภาพดิน การเตรียม แปลง การปลูก การดูแลบ ารุงรักษา และการขยายพื้นที่ปลูกในชุมชน จ านวน 30 ครัวเรือน 1.2) รวบรวมและน าข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาสรุปและวิเคราะห์เพื่อให้ทราบ ถึงรูปแบบการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัด มุกดาหาร
5 2) เพื่อศึกษาและพัฒนาพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมา น้อย การศึกษาและพัฒนาพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย ตาม วัตถุประสงค์ข้อที่ 2 มีเป้าหมายในการผลิตสินค้าจากจากสมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จ านวน 2 ผลิตภัณฑ์ ในรูปแบบอาหารและเครื่องดื่นพร้อมบริโภค ทีม วิจัยได้แบ่งขั้นตอนในการด าเนินงานออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 2.1) การผลิต (ต้นน้ า) เป็นการด าเนินการเกี่ยวกับ 1) การให้ความรู้เกี่ยวกับ สมุนไพรเครือหมาน้อยมาใช้บริโภคในชีวิตประจ าวัน ทั้งในเรื่องของการใช้เป็นอาหาร และสรรพคุณทาง ยา โดยได้รับการสนับสนุนวิทยากรจากภาคีเครือข่ายนักวิชาการอิสระด้านสาธรณสุข 2) กระบวนการ ปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อยแบบปลอดภัย และ3) การวางแผนการออกแบบหลักสูตรเพื่อใช้ในการอบรม ให้ความรู้เกี่ยวกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากสมุนไพรเครือหมาน้อย จ านวน 2 ผลิตภัณฑ์ โดยใช้ ภาคีเครือข่ายจากวิทยาลัยชุมชนมุกดาหารในการจัดหาวิทยากร 2.2) การแปรรูป (กลางน้ า) มีการด าเนินกิจกรรม 1) การรวบรวมวัตถุดิบสมุนไพร เครือหมาน้อย ในพื้นที่ด าเนินการเพื่อใช้ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ 2) การอบรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จาก สมุนไพรเครือหมาน้อย จ านวน 2 ผลิตภัณฑ์ 3) น าผลิตภัณฑ์ให้กลุ่มทดลองตรวจสอบรสชาติและอายุของ ผลิตภัณฑ์และ 4) การแปรรูปแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย จ านวน 2 ผลิตภัณฑ์เพื่อการ จ าหน่าย 2.3) การตลาด (ปลายน้ า) มีการด าเนินกิจกรรม 1) การสร้างตราสินค้าแบบมี ส่วนร่วมของชุมชนที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของต าบลหนองแคน จ านวน 1 ตราสินค้า 2) ค้นหา รูปแบบการท าการตลาด การก าหนดช่องทางการตลาด ทั้งตลาดภายในชุมชน ตลาดภายนอกชุมชน และ ตลาดออนไลน์ รวมทั้งแนวทางในการพยากรณ์ยอดขายเพื่อวางแผนการผลิตในอนาคต 3) การก าหนด ขนาดบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและรูปแบบที่เหมาะสม และ4) การจัดกิจกรรมทดสอบ การตลาดเพื่อสะท้อนความต้องการของผู้บริโภค ความพึงพอใจ และข้อเสนอแนะจากผู้บริโภคเพื่อการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ 3) เพื่อสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย การสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย น้อย ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 ใน การด าเนินการวิจัย กลุ่มเป้าหมายในการด าเนินงานต าบลหนองแคน จ านวน 30 คน จะมีรายได้เพิ่มขึ้น จากเดิม ร้อยละ 5 จากรายได้ปกติ 3.2 ขอบเขตเชิงพื้นที่ ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จ านวน 7 หมู่บ้าน ประกอบด้วย หมู่บ้าน หมู่ 1 บ้านก้านเหลืองดง , หมู่2 บ้านหนองแคน , หมู่3 บ้านโพนไฮ , หมู่4 บ้านก้านเหลืองดง , หมู่4 บ้าน ดอนป่าแคน , หมู่5 บ้านก้านเหลืองดง , หมู่6 บ้านบางทรายพัฒนา , หมู่7 บ้านโคกยาว 3.3 ขอบเขตกลุ่มเป้ำหมำย กลุ่มเป้ำหมำย คือ เกษตรกรในต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จ านวน 30 คน
6 ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือผลกระทบ คือ เทศบาลต าบลหนองแคน ส านักงานพัฒนา ชุมชนจังหวัดมุกดาหาร วิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลหนองแคน ส านักงาน สาธารณสุขจังหวัด/ อ าเภอ และกลุ่มผู้บริโภค/ผู้ใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพ 3.4 กำรวิเครำะห์ภำคี ในการด าเนินการวิจัย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ ภาคีกลุ่มที่ 1 คือกลุ่มมีเจตนาดีหรือกลุ่มผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการวิจัย ภาคีกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ ภาคีกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือชุมชนที่ร่วมปฏิบัติการวิจัยในครั้งนี้ ซึ่งแบ่งระดับการมีส่วนร่วมในการด าเนินการวิจัยเพื่อท้องถิ่นของภาคหุ้นส่วนทั้ง 3 กลุ่ม โดยแบ่งออกเป็น 5 ระดับคือ 1 น้อยที่สุดไปจนถึง 5 สมบูรณ์ที่สุดตามการมีส่วนร่วมในการท าการวิจัยตาม หลักคิดของ Hacker, 2013 ดังนี้ ค่า 1 คะแนน หมายถึง Investigator-Driven Research (ผู้ให้ข้อมูล) ค่า 2 คะแนน หมายถึง Community-Placed Research (ผู้ให้ข้อมูล และผู้ร่วมคิด) ค่า 3 คะแนน หมายถึง Community-Based Research (ผู้ร่วมคิด และร่วมท า) ค่า 4 คะแนน หมายถึง Community-Based Participatory Research (ผู้ร่วมคิด และ ผู้ร่วมท า และผู้ร่วมออกแบบ) ค่า 5 คะแนน หมายถึง Community-Driven Research (ผู้ร่วมคิด และผู้ร่วมท า และผู้ ร่วมออกแบบ และผู้ร่วมต่อยอด) 4. ระยะเวลำกำรท ำวิจัย (1 ตุลำคม 2564 – 30 กันยำยน 2565) ประชากรในการวิจัย คือ ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมและได้รับการพิจารณาร่วมกันของชุมชน เพื่อ เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก กลุ่มเป้าหมายรอง และกลุ่มผู้ใช้ประโยชน์จากการวิจัย ในการมาร่วมกัน ด าเนินงาน ซึ่งการด าเนินงานวิจัยในครั้งนี้เป็นการด าเนินงานในรูปแบบการวิจัยผสม (Mixed Method) ทั้งงานวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ จึงจ าเป็นต้องก าหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจนในการร่วมกัน ด าเนินงาน ปฏิบัติการ และสรุปผลการด าเนินงานอย่างมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มคนที่ได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการด าเนินงานโครงการวิจัยในครั้งนี้
7 5. กรอบแนวคิดในกำรวิจัย การวิจัยการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอ ดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษา การการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อยในเชิงเศรษฐกิจในการสร้างมูลค่าตั้งแต่ การผลิต การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อยสู่การสร้างรายได้ ซึ่งมีกรอบแนวคิดในการวิจัย ดังนี้ รูปภำพประกอบที่ 1-1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 6. นิยำมศัพท์ปฏิบัติกำร การจัดการความรู้ หมายถึง การให้ความรู้ การจัดระบบการเรียนรู้อย่างเป็นระบบในการอนุรักษ์ พันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย รูปแบบการปลูกและการขยายพันธุ์การแปรรูปสมุนไพรเครือหมาน้อย การ ออกแบบบรรจุภัณฑ์และตราสินค้า และช่องทางการคลาดและจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมา น้อย พัฒนาผลิตภัณฑ์หมายถึง การออกแบบและพัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากสมุนไพร เครือหมาน้อยในรูปแบบอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน เครือหมาน้อย หมายถึง กลุ่มพืชที่ชุมชนปลูกหรือเกิดเองตามธรรมชาติ มีการน ามาใช้ในการ ประกอบอาหาร การรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจ กระบวนกำรต้นทำง - การพัฒนาโจทย์วิจัยใน พื้นที่ - การวิเคราะห์ศักยภาพ พื้นที่และประเด็น ประกอบด้วย การพัฒนา ทีมวิจัย การพัฒนา เครื่องมือ การเก็บข้อมูล แบบมีส่วนร่วม กระบวนกำรกลำงทำง - การสรุป วิเคราะห์ข้อมูล - ปฏิบัติการวิจัยเพื่อการ จัดการความรู้เพื่อพัฒนา ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือ หมาน้อย - การเก็บข้อมูล และการ วิเคราะห์ข้อมูล - การสรุปบทเรียน กระบวนกำรปลำยทำง - การใช้ประโยชน์จาก ผลงานวิจัย - การต่อยอดหรือขยาย ผลงานวิจัยเชิงนโยบาย เมืองสมุนไพรของจังหวัด มุกดาหาร หรือการพัฒนา เชิงพื้นที่
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปลูก การขยายพันธุ์ พัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และการสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย กลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรในต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จ านวน 30 คน ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารต่างๆ รวมทั้งแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการประกอบ การศึกษาไว้ดังนี้ 2.1 แนวคิดและทฤษฎีการจัดการความรู้ 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับสมุนไพรไทย 2.4 เครือหมาน้อย 2.5 แนวความคิดที่เกี่ยวกับความหลากหลายของพืชอาหาร 2.6 แนวความคิดที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 2.7 แนวความคิดเกี่ยวกับการสร้างความมั่นคงทางอาหาร 2.8 แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวและการตลาดสีเขียว 2.9 ความรู้เกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชน 2.10 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการตลาด 2.11 แนวคิดเกี่ยวกับส่วนผสมทางการตลาด 2.12 แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค 2.13 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์และลักษณะบรรจุภัณฑ์ 2.1.4 ข้อมูลเทศบาลต าบลหนองแคน 2.15 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 แนวคิดและทฤษฎีการจัดการความรู้ แนวคิดการจัดการความรู้ แนวคิดการจัดการความรู้(Knowledge Management) ได้เริ่มต้นและเป็นที่นิยมอย่างสูง ในช่วงปีค.ศ.1995 -1996 หลังจากที่ Kujiro Nonaka และ Hirotaka Takeuchi ตีพิมพ์หนังสือที่ชื่อว่า “The Knowledge Creating company” ออกมาเผยแพร่ซึ่งทั้งสองท่านได้เสนอแนวคิดที่เน้นเรื่อง การสร้างและกระจายความรู้ในองค์การระหว่างความรู้ที่มีอยู่ในตัวคน /ความรู้โดยนัย (Tacit Knowledge) กับความรู้ที่อยู่ในรูปแบบสื่อ/เอกสาร/ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) โดยใช้ โมเดล SECEI –Knowledge Conversion ในการอธิบายท าให้หนังสือดังกล่าวมีอิทธิพลอย่างสูงต่อ วงการธุรกิจตั้งแต่ปี1997 เป็นต้นมาผู้น าทางธุรกิจมากมายต่างตระหนักถึงความส าคัญของการจัดการ ความรู้อีกทั้งมีการตีพิมพ์หนังสือที่เกี่ยวกับแนวคิดนี้ออกเป็นจ านวนมากและได้รับความนิยมต่อมาได้แก่ “Intellectual Capital” ข อง Tom Stewart , “The New Organization Wealth” ข อง KarlErik Sveibyและ “The Ken Awakening” ของ Debra Amiotion (ปณิตา พ้นภัย,2544 ; 21)
9 วิจารณ์ พานิช (2547) ได้กล่าวถึงการจัดการความรู้ส าหรับประเทศไทยโดยเฉพาะองค์กรภาค ราชการว่าได้เริ่มน าการจัดการความรู้มาเป็นเครื่องมือทางการบริหารเมื่อมีการประกาศใช้พระราช กฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546ซึ่งเนื้อหาของพระราช กฤษฎีกาฉบับนี้ได้วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารความรู้ของส่วนราชการในมาตรา 11โดยมีข้อความ ว่า “ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการเพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ใน การปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้องรวดเร็วและข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อน ามาประยุกต์ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้องรวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์รวมทั้งต้อง ส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถสร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัดให้ เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกันทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติราชการของส่วน ราชการให้สอดคล้องกับการบริหารราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามพระราชกฤษฎีกานี้” และคู่มือการ ด าเนินการตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวของส านักงานก.พ.ร. ในหมวดที่ 3 : แนวทางการพัฒนาส่วน ราชการให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้โดยก าหนดแผนปฏิบัติดังนี้ - สร้างระบบให้สามารถรับรู้ข่าวสารได้อย่างกว้างขวาง - ประมวลผลความรู้ในด้านต่างๆเพื่อประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป - ส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถสร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของ ข้าราชการเพื่อให้เป็นผู้มีความรู้ในวิชาการสมัยใหม่และปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดประสิทธิภาพและมีคุณธรรม - สร้างความมีส่วนร่วมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันเพื่อพัฒนาในงานให้ เกิดประสิทธิภาพ ดังนั้นดังนั้นผู้วิจัยจึงสามารถสรุปได้ว่า แนวคิดในการจัดการความรู้มาเป็นเครื่องมือทางการ บริหารการพัฒนาองค์การเกิดผลสัมฤทธิ์และมีประสิทธิภาพสูงสุด ความหมายของการจัดการความรู้ ส าหรับความหมายของการจัดการความรู้มีผู้เสนอความคิดเห็นที่น่าสนใจไว้มากมายดังนี้ Trapp (1999,อ้างอิงในพรธิดา วิเชียรปัญญา,2547 ; 29) กล่าวว่าการจัดการความรู้เป็น กระบวนการที่ประกอบด้วยงานต่างๆจ านวนมากซึ่งมีการบริหารจัดการในลักษณะบูรณการเพื่อ ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ที่คาดหวังไว้การจัดการความรู้จึงเป็นแนวคิดองค์รวมที่จะบริหารจัดการ ทรัพยากรที่เป็นความรู้ในองค์การ Kucza (2001, อ้างอิงในพรธิดา วิเชียรปัญญา ,2547 ; 29) กล่าวว่าการจัดการความรู้เป็น กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดกระบวนการของการสร้างความรู้การจัดเก็บและการแบ่งปันความรู้กล่าว โดยทั่วไปจะรวมถึงการระบุสภาพปัจจุบันการก าหนดความต้องการและการแก้ไขปรับปรุงกระบวนการ ที่จะส่งผลกระทบต่อการจัดการความรู้ให้ดีขึ้นเพื่อบรรลุถึงความต้องการ Scott.l.Tannembaum (2001,อ้างอิงใน ปณิตา พ้นภัย ,2544; 22) เสนอความคิดเห็น เกี่ยวกับการจัดการความรู้ว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ - การรวบรวมการจัดระเบียบการจัดเก็บและการเข้าถึงข้อมูลเพื่อสร้างเป็นความรู้และ เมื่อมีการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมสารสนเทศและเทคโนโลยีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์จะสามารถ สนับสนุนให้การจัดการความรู้มีอ านาจได้
10 - การแบ่งบันความรู้เพราะถ้าปราศจากการแบ่งบันความรู้ความพยายามในการจัดการ ความรู้ก็จะล้มเหลวในการแบ่งปันความรู้ที่ต้องอาศัยวัฒนธรรมองค์การเป็นส าคัญเพราะมีอิทธิพลอย่าง สูงต่อความส าเร็จ - การอาศัยบุคคลที่มีความรู้หรือความเฉลียวฉลาด - การเพิ่มประสิทธิผลขององค์การเพราะการบริหารความรู้เป็นสิ่งที่สนับสนุนให้ องค์การต่างๆอยู่รอดและประสบความส าเร็จได้ ส านักงาน ก.พ.ร. และสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ(2548; 4) ได้ให้ความหมายของการจัดการ ความรู้คือการรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์การซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสารมา พัฒนาให้เป็นระบบเพื่อให้ทุกคนในองค์การสามารถเข้าถึงความรู้และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้รวมทั้ง ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอันส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช (2548,17) ให้ความหมายการจัดการความรู้ว่าเป็นกระบวนการร่วมกัน ของผู้ปฏิบัติงานในองค์การหรือหน่วยงานย่อยขององค์กรเพื่อสร้างและใช้ความรู้ในการท างานให้เกิดผล สัมฤทธิ์ดีขึ้นกว่าเดิมโดยมีเป้าหมายพัฒนางานและคน ปณิตา พ้นภัย (2544 ; 24) ให้ความหมายของการจัดการความรู้ว่าหมายถึงกระบวนการอย่าง เป็นระบบเกี่ยวกับการประมวลผลสารสนเทศความคิดการกระท าตลอดจนประสบการณ์ของบุคคลเพื่อ สร้างความรู้หรือนวัตกรรมและจัดเก็บในลักษณะของแหล่งข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยช่องทาง ต่างๆที่องค์การจัดเตรียมไว้เพื่อน าความรู้ที่มีอยู่ไปประยุกต์ในการปฏิบัติงานซึ่งก่อให้เกิดการแบ่งปัน และถ่ายโอนความรู้และในที่สุดความรู้ที่มีอยู่ก็จะแพร่กระจายและไหลเวียนทั่วทั้งองค์การอย่างสมดุล เพื่อเพิ่มความสามารถในการพัฒนาผลผลิตและองค์การ ดังนั้นผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่าการจัดการความรู้เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้มีการสร้างรวบรวม จัดระบบเผยแพร่ถ่ายโอนและเปลี่ยนความรู้ที่เป็นประโยชน์ให้สามารถน าไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ ต่างๆได้ทันเวลาและทันเหตุการณ์อย่างเป็นระบบโดยใช้ระบบสารสนเทศเป็นเครื่องมือช่วยให้การ จัดการความรู้เกิดได้ง่ายและสะดวกขึ้นส่งผลให้การปฏิบัติงานของคนในองค์การมีคุณภาพและมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยมีเป้าหมายพัฒนางานและคน กระบวนการจัดการความรู้ ตารางที่ 2-1 สรุปกระบวนการจัดการความรู้การจัดการความรู้มีการจ าแนกที่แตกต่างกันตาม แบบของผู้คิดและจัดท า แบบของ Demarest แบบของ Turban แบบของ Probst แบบของ Marquardt แบบของส านักงาน ก.พ.ร. 1.การสร้าง ความรู้ (Knowledge construction) 1. การสร้าง (Create) 1. การก าหนด ความรู้ที่ต้องการ (Knowledge identification) 1. การแสวงหา ความรู้ (Knowledge acquisition) 1. การบ่งชี้ความรู้ (Knowledge Identification) 2. การเก็บ รวบรวมความรู้ (Knowledge embodiment) 2. การจัดและ เก็บ (Capture and store) 2. การจัดหา ความรู้ที่ต้องการ (Knowledge acquisition) 2. การสร้างความรู้ (Knowledge creation) 2. การสร้างและ แสวงหาความรู้
11 แบบของ Demarest แบบของ Turban แบบของ Probst แบบของ Marquardt แบบของส านักงาน ก.พ.ร. (Knowledge Creation and acquisition) 3. การกระจาย ความรู้ไปใช้ (Knowledge dissemination) 3. การเลือก หรือกรอง (Refine) 3. การสร้าง พัฒนาความรู้ใหม่ (Knowledge development) 3. การเก็บและ สืบค้นความรู้ (Knowledge Storage and Retrieval) 3. การจัดความรู้ให้ เป็นระบบ (Knowledge Organization) 4. การน าความรู้ ไปใช้(Use) 4. การ กระจาย (Distribute) 4. การถ่ายทอด ความรู้ (Knowledge storing) 4. การถ่ายโอน ความรู้และการ ใช้ประโยชน์ (Knowledge Transfer and Utilization) 4. การประมวล และกลั่นกรอง ความรู้ (Knowledge Codification and Refinement) 5. การใช้ (Use) 6. การน าความรู้ มาใช้ (Knowledge utilization) 5. การเข้าถึง ความรู้ ( Knowledge Access) 6. การ ติดตาม/ ตรวจสอบ (Monitor) 6. การแบ่งปัน แลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing) 7. การเรียนรู้ (Learning) ส าหรับส่วนราชการได้น ากระบวนการจัดการความรู้ที่ทางส านักงานก.พ.ร. ก าหนดขึ้นเป็นแนว ทางการจัดการความรู้ของหน่วยงานซึ่งมีรายละเอียด (ผู้จัดการรายสัปดาห์. ฉบับที่ 1020,วันที่ 19-23 มิถุนายน 2549 ; หน้าที่ D7-8) ดังนี้ 1. การบ่งชี้ความรู้(Knowledge Identification) เป็นการค้นหาความรู้คือจะต้อง “รู้เรา” ต้อง รู้ว่าองค์กรมีวิสัยทัศน์พันธกิจ /เป้าหมายอะไรบ้างและเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเราจ าเป็นต้องมีความรู้ อะไรอาจจะใช้แผนที่ความรู้เพื่อหาขอบเขตความรู้ในองค์กรและท าให้เป็นภาพรวมของคลังความรู้ใน องค์กร 2. การสร้างและแสวงหาความรู้(Knowledge Creation and Acquisition) เป็นการก าหนด เนื้อหาของความรู้ที่ต้องการและแสวงหาความรู้จากแหล่งต่างๆสิ่งส าคัญคือต้องสร้างบรรยากาศและ
12 วัฒนธรรมที่กระตุ้นให้บุคลากรเกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกันเพื่อก่อให้เกิดการสร้างความรู้ใหม่ๆอยู่ ตลอดเวลา 3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ (Knowledge Organization) คือการจัดท าสารบัญและเก็บ รวบรวมความรู้เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการใช้งานการแบ่งประเภทความรู้จะขึ้นอยู่กับการใช้ความรู้ นั้นๆ 4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้(Knowledge Codification and Refinement) เป็น การสร้างความรู้ในรูปแบบและภาษาที่เข้าใจง่ายซึ่งอาจท าได้หลายวิธีได้แก่ 4.1 จัดท ามาตรฐานให้เป็นรูปแบบเดียวกันทั่วทั้งองค์กรเพื่อลดเวลาเพิ่มความสะดวก รวดเร็วในการค้นหาข้อมูล 4.2 ใช้“ภาษา” เดียวกันทั่วทั้งองค์กรเช่นจัดท าความหมายของค าต่างๆที่แต่ละ หน่วยงานใช้ในการปฏิบัติงาน 4.3 เรียบเรียงและปรับปรุงเนื้อหาให้มีคุณภาพอยู่เสมอเช่นเนื้อหาครบถ้วนตรงตาม ความต้องการของผู้ใช้ 5. การเข้าถึงความรู้(Knowledge Access) องค์กรต้องมีวิธีการจัดเก็บและกระจายความรู้ทั้ง ประเภท Tacit Knowledge และ Explicit Knowledge การกระจายความรู้ในองค์กรมี2 แบบคือ Push (การป้อนความรู้) และ Pull (ให้โอกาสเลือกใช้ความรู้) - Push (การป้อนความรู้) คือการส่งความรู้ให้ผู้รับโดยไม่มีการร้องขอหรือการ กระจายความรู้แบบSupply-based เช่นจดหมายเวียนการฝึกอบรมเป็นต้น - Pull (ให้โอกาสเลือกใช้ความรู้) ผู้รับสามารถเลือกรับหรือใช้แต่ข้อมูลที่ต้องการเพื่อ ลดปัญหาการรับข้อมูลที่มากเกินความจ าเป็นการกระจายความรู้แบบ Demand-based เช่นบอร์ด ประชาสัมพันธ์Web Boardเป็นต้น 6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้(Knowledge Sharing) การแลกเปลี่ยนความรู้ประเภท Explicit Knowledge ท าได้โดยการจัดท าเอกสารท าฐานข้อมูลความรู้โดยน าเทคโนโลยีสารสนเทศมา ช่วยให้เข้าถึงความรู้ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นส าหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ประเภท Tacit Knowledge ท า ได้หลายวิธีอาทิทีมข้ามสายงานชุมชนแห่งการเรียนรู้(COPs) ระบบพี่เลี้ยงการสับเปลี่ยนงานและยืมตัว บุคลากรมาช่วยงานรวมถึงเวทีส าหรับแลกเปลี่ยนความรู้ 7. การเรียนรู้(Learning) องค์กรจะต้องกระตุ้นและสร้างบรรยากาศให้ทุกคนกล้าคิดกล้าท า โดยผู้บริหารต้องยอมรับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ทั้งนี้ต้องสอดคล้องกับทิศทางและค่านิยมขององค์กร ซึ่งผู้วิจัยได้น าแนวคิดการจัดการเรียนรู้ทั้ง 7 ขั้นตอนนี้มาใช้ในการด าเนินการวิจัย เรื่องการ จัดการความรู้ทางการตลาดถั่วลิสงของเกษตรกรผู้ปลูกถั่วลิสงต าบลนาสีนวน อ าเภอเมือง จังหวัด มุกดาหารเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น สร้างชุมชนให้เข้มแข็งพึ่งตนเองได้ สร้าง จุดเด่นและมูลค่าเพิ่มของถั่วลิสงให้เป็นที่ต้องการของตลาด สามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้อย่าง ต่อเนื่องและยั่งยืน องค์ประกอบของการจัดการเรียนความรู้ องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้นั้นสามารถจัดกลุ่มออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. คน (People) : เป็นองค์ประกอบส าคัญที่สุดเนื่องจากเป็นแหล่งความรู้ที่ส าคัญขององค์การ รวมทั้งเป็นผู้น าความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในทศวรรษนี้มุ่งที่ ความสามารถของคนในองค์กรที่จะสร้างนวัตกรรมและมีความคล่องตัวที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตาม
13 สภาวการณ์การพัฒนาคนในองค์กรจึงมีความส าคัญเป็นอันดับแรกการจัดการความรู้เป็นกลยุทธ์ กระบวนการและเทคโนโลยีที่ใช้ในองค์กรเพื่อแสวงหาสร้างจัดการแลกเปลี่ยนและท าให้ความรู้ที่ ต้องการได้รับผลส าเร็จตามวิสัยทัศน์ที่องค์กรต้องการเป็นการผสมผสานความรู้จากหลายศาสตร์การ จัดการความรู้เป็นกลยุทธ์การบริหารจัดการในยุคปัจจุบันที่องค์กรน ามาใช้ในการปรับปรุงคุณภาพเพื่อ สนับสนุนและพัฒนาองค์กรในสภาวะที่มีการแข่งขันสูง 2. เครื่องมือและเทคโนโลยี(Tool and Technology):เป็นเครื่องมือเพื่อให้คนสามารถค้นห้า จัดเก็บแลกเปลี่ยนรวมทั้งน าความรู้ไปใช้ได้อย่างง่ายและรวดเร็วโดยต้องระบุประเภทของสารสนเทศที่ ต้องการทั้งจากแหล่งข้อมูลภายในและภายนอกเป็นการแยกแยะว่าความรู้ชนิดใดที่ควรน ามาใช้ 3. กระบวนการความรู้(Knowledge Process ): เป็นการบริหารจัดการเพื่อน าความรู้จาก แหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้เพื่อท าให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพในการท างานและเกิดนวัตกรรมน าความรู้ นั้นมาก าหนดโครงสร้างรูปแบบและตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จะน ามาผลิตและเผยแพร่โดยการ บริหารกระบวนการนั้นจะต้องเข้าใจวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนขององค์กรว่าต้องการให้บรรลุเป้าหมายอะไร องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้จะต้องเชื่อมโยงและบูรณาการอย่างสมดุล การจัดการความรู้ของ กรมการปกครองจากพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ก าหนดให้ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการเพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์กรแห่งการ เรียนรู้อย่างสม่ าเสมอโดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่าง ๆเพื่อน ามา ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้องรวดเร็วและเหมาะสมต่อสถานการณ์ รวมทั้งต้อง ส่งเสริมและพัฒนาความรู้ ความสามารถสร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัด ให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกันขอบเขต KM ที่ได้มีการพิจารณาแล้วเห็นว่ามี ความส าคัญเร่งด่วนในขณะนี้ คือการจัดการองค์ความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ และ ได้ก าหนดเป้าหมาย (Desired State) ของ KM ที่จะด าเนินการในปี 2549 คือมุ่งเน้นให้อ าเภอ/กิ่ง อ าเภอเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้เพื่อแก้ไขปัญหา ความยากจนเชิงบูรณาการในพื้นที่ที่เป็นประโยชน์แก่ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยมีหน่วยที่วัดผลได้เป็นรูปธรรม คือ อ าเภอ/กิ่งอ าเภอ มีข้อมูลผลส าเร็จการแก้ไข ปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการในศูนย์ปฏิบัติการฯ ไม่น้อยกว่าศูนย์ละ 1 เรื่องและเพื่อให้เป้าหมาย บรรลุผล ได้จัดให้มีกิจกรรมกระบวนการจัดการความรู้ (KM Process) และกิจกรรมกระบวนการ เปลี่ยนแปลง (Change Management Process) ควบคู่กันไปโดยมีความคาดหวังว่าแผนการจัดการ ความรู้นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นส าคัญสู่การปฏิบัติราชการในขอบเขต KM และเป้าหมาย KM ในเรื่องอื่น ๆ และน าไปสู่ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืนต่อไป เป้าหมายและประโยชน์ของการจัดการความรู้ เป้าหมายหลักของการจัดการความรู้คือการใช้ประโยชน์จากความรู้มาเพิ่มประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลในการด าเนินงานขององค์กรเพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันขององค์กรดังนั้นการ จัดการความรู้จึงมีความส าคัญอย่างมากไม่ว่าจะเป็นองค์การเอกชนหรือภาครัฐก็ตามโดยศ.นพ.วิจารณ์ พานิช (2548 ;5) ได้กล่าวถึงเป้าหมายของการจัดการความรู้มีประเด็นส าคัญ 3 ประการคือ 1. เพื่อพัฒนางานให้มีคุณภาพและผลสัมฤทธิ์ยิ่งขึ้น 2. เพื่อการพัฒนาคนคือพัฒนาผู้ปฏิบัติงานในองค์การ 3. เพื่อการพัฒนา “ฐานความรู้” ขององค์การเป็นการเพิ่มพูนทุนความรู้หรือทุนปัญญาของ องค์การจะช่วยให้องค์การมีศักยภาพในการฟันฝ่าความยากล าบากหรือความไม่แน่นอนในอนาคตได้ดี ยิ่งขึ้น
14 ประโยชน์ของการจัดการความรู้ พรธิดา วิเชียรปัญญา(2547 : 41อ้างอิงใน Bacha,2000) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการจัดการ ความรู้ ดังนี้ 1. ป้องกันความรู้สูญหาย : การจัดการความรู้ท าให้องค์การสามารถรักษาความเชี่ยวชาญความ ช านาญและความรู้ที่อาจสูญหายไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงบุคลากรเช่นการเกษียณอายุการลาออก จากงานเป็นต้น 2. เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ : โดยประเภทคุณภาพและความสะดวกในการเข้าถึง ความรู้เป็นปัจจัยส าคัญของการเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจเนื่องจากผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจต้อง สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ 3. ความสามารถในการปรับตัวและมีความยืดหยุ่น : การท าให้ผู้ปฏิบัติงานมีความเข้าใจในงาน และวัตถุประสงค์ของงานโดยไม่ต้องมีการควบคุมหรือมีการแทรกแซงมากมักจะท าให้ผู้ปฏิบัติงาน สามารถท างานในหน้าที่ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดการพัฒนาจิตส านึกในการท างาน 4. ความได้เปรียบในการแข่งขัน : การจัดการความรู้ช่วยให้องค์การเข้าใจลูกค้าแนวโน้มของ การตลาดและการแข่งขันท าให้สามารถลดช่องว่างและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันได้ 5. การพัฒนาทรัพย์สิน: เป็นการพัฒนาความสามารถขององค์การในการใช้ประโยชน์จาก ทรัพย์สินทางปัญญาที่มีอยู่ได้แก่สิทธิบัตรเครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์ 6. การยกระดับผลิตภัณฑ์: การน าการจัดการความรู้มาใช้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และบริการซึ่งจะเป็นการเพิ่มคุณค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์นั้นอีกด้วย 7. การบริหารลูกค้า : การศึกษาความสนใจและความต้องการของลูกค้าจะเป็นการสร้างความ พึงพอใจและเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ให้แก่องค์การ 8. การลงทุนทางทรัพยากรบุคคล : การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันผ่านการเรียนรู้ร่วมกัน การจัดการด้านเอกสารการจัดการกับความที่ไม่เป็นทางการเป็นการเพิ่มความสามารถให้แก่องค์การใน การจ้างและฝึกฝนบุคลากร 2.2. แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ ทิศนา เขมมณี(2545) กล่าวว่า “ กระบวนการเรียนรู้” มีขอบเขตที่ครอบคลุมความหมาย 2 ประการ คือ การเรียนรู้ในความหมายของ “ กระบวนการเรียนรู้(Learning Process) ” ซึ่งหมายถึง การด าเนินการอย่างเป็นขั้นตอนหรือการใช้วิธีการต่างๆ ที่ช่วยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้และการเรียนรู้ใน ความหมายของ ผลการเรียนรู้(Learning Outcome) ซึ่งได้แก่ความรู้ความเข้าใจในสาระต่างๆ ความสามารถในการกระท า การใช้ทักษะกระบวนการต่างๆ รวมทั้งความรู้สึกหรือเจตคติอันเป็นผลที่ เกิดจากกระบวนการเรียนรู้หรือการใช้วิธีการเรียนรู้กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การเรียนรู้มีลักษณะเป็นทั้ง ผลลัพธ์อันเป็นเป้าหมายปลายทาง (Ends) และวิธีการที่น าไปสู่เป้าหมาย (Mean) ซึ่งลักษณะทั้งสอง เป็นองค์ประกอบที่สัมพันธ์กันและส่งผลกระทบต่อกันหากบุคคลมีกระบวนการแสวงหาความรู้ที่ดีมี ประสิทธิภาพเหมาะสมกับตน บุคคลนั้นก็ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดความรู้ความเข้าใจในสาระหรือ กระบวนการต่างๆได้อย่างกระจ่างถ่องแท้และลึกซึ่งเกิดความรู้สึกหรือเจตคติไปในทางที่เหมาะสมและ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการกระท าหรือพฤติกรรมไปในทางที่พึงประสงค์ สุพัตรา ชาติบัญชาชัย. (2548) กล่าวว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่อง มีการงอก เงยและเปลี่ยนแปลงได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ นั่นคือ คนที่รู้แล้ว อาจลดทอน จางลงหรือรู้เพิ่มขึ้น
15 เรื่อยๆจนถึงกับสามารถลบล้างความรู้เดิม หรือเปลี่ยนเป็นความรู้ชุดใหม่ ผลลัพธ์ของการเรียนรู้เรื่องใด ก็คือ ความรู้(Knowledge) ในเรื่องนั้น นอกจากนี้การเรียนรู้ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งด้าน สมอง การกระท า และประสบการณ์โดยเกี่ยวข้องกับความจ า ความเข้าใจ การนึกคิด การรับรู้การ วิเคราะห์และการแก้ปัญหา การเรียนรู้ในเรื่องใดสามารถเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องนั้นๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การกระท าที่มีกระบวนการทางความคิดมาเกี่ยวข้องพร้อมกับ การปฏิบัติเพื่อเกิดข้อสรุปที่เป็นการเรียนรู้ความเข้าใจและสามารถท าได้และสามารถน าไปใช้ประโยชน์ ได้จริงและการเรียนรู้ของชุมชนที่มีประสิทธิภาพ ควรเป็นการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) โดยผ่านกระบวนการกลุ่มที่มีการจัดตั้งโดยสมาชิกของชุมชนที่มีความพร้อมทางความคิด ระดับหนึ่ง สิ่งที่พบได้บ่อยคือหลังจากที่มีการจัดตั้งกลุ่ม เมื่อผ่านกระบวนการเรียนรู้กลับมุ่งเน้นการ ถ่ายทอดเป็นลักษณะของปัจเจกเพื่อให้เกิดความรู้ด้านเทคนิคปฏิบัติโดยขาดมิติของการท างานกลุ่ม เมื่อเริ่มก่อตั้งกลุ่มใหม่ๆบรรยากาศค่อนข้างดีมีความกระตือลือร้น จากนั้นแต่ละบุคคลมักมีความ ต้องการหาความรู้ด้านเทคนิคเฉพาะตน ความสัมพันธ์ที่มีให้กับกลุ่มลดน้อยลงไป จึงควรมีเงื่อนไขเพื่อให้ เกิดการเรียนรู้ของกลุ่มในด้านการสร้างความสัมพันธ์การสื่อสารของสมาชิกในกลุ่ม ตลอดจน ความสัมพันธ์ของ การให้และการรับแทรกอยู่ด้วยเสมอ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ของกลุ่มลักษณะการ เรียนรู้ควรมุ่งเน้นที่บรรยากาศของการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดบรรยากาศของการช่วยกันคิด ช่วยกันท า ผลส าเร็จของการเรียนรู้จะอยู่ที่การปฏิบัติของสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกันสามารถประสานและ ช่วยเหลือกันตามความถนัด เกิดความสุขที่จะท างานร่วมกับผู้อื่นมากกว่าจะแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น หรือ กระท าเพียงเพื่อจะให้ได้ความรู้เชิงเทคนิคเท่านั้น นอกจากนี้การเรียนรู้ของกลุ่มจึงต้องค านึงถึงการ สร้างและสานสัมพันธ์สมาชิกให้มีบทบาทที่เหมาะสม คือมีการจัดระเบียบกลุ่มควบคู่ไปกับการสร้าง ความสัมพันธ์และการเรียนรู้ของกลุ่ม ลีลาภรณ์ นาครทรรพ (2541) ได้อธิบายถึงลักษณะส าคัญของกระบวนการเรียนรู้ของชุมชนไว้ ดังนี้ 1. เป็นกระบวนการกลุ่ม ที่เกิดจากสมาชิกครอบครัว และชุมชนได้ร่วมกันพูดคุยแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ตั้งค าถาม หาค าตอบแนวทางอื่นๆในการพึ่งพาตนเองและพัฒนาอย่าง ต่อเนื่อง กระบวนการที่สมาชิกชุมชนได้มาร่วมกันคิดและท างานร่วมกันเท่ากับเป็นการยอมรับความเท่า เทียมกันของสมาชิกที่มาร่วมเรียนรู้ด้วยกัน เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ของการทดลองใน การพึ่งพาตนเองและพัฒนาชุมชนร่วมกัน 2. เป็นการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง กระบวนการเรียนรู้ของชุมชนเป็นเรื่องของความ พยายามที่จะแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง พลวัตของการเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนความ คิดเห็น วิเคราะห์ปัญหา สาเหตุปัญหา และหาแนวทางแก้ไขปัญหา เมื่อได้แนวทางแก้ไขแล้ว สมาชิกก็ น ากลับไปลงมือปฏิบัติซึ่งเป็นการกระท าของบุคคลหรือกลุ่มก็ได้แล้วแต่ว่ากรณีปัญหานั้นเป็นเรื่องที่ ต้องการพลังงานกลุ่มหรือไม่ เมื่อมีการทดลองตามแนวทางที่ตกลงกันไว้ในกลุ่มแล้วได้ผลเป็นอย่างไร มี ปัญหาอุปสรรคอะไรเกิดขึ้น ก็น ากลับมาทบทวนวิเคราะห์ร่วมกับกลุ่มเพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไปอีก กระบวนการคิด – ท า – ทบทวนวิเคราะห์-ท า จึงหมุนวนไป และส่งผลต่อการยกระดับสติปัญญาของ สมาชิกในกลุ่มและชุมชน 3. การเรียนรู้จากปัญหาในชีวิตจริง และเป็นการเรียนรู้ที่พยายามจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ การเรียนรู้ของชุมชน จึงไม่ได้หมายความเพียงการยกระดับสติปัญญาของคนในชุมชน แต่ยังหมายถึง การช่วยกันแก้ไขปัญหาของตนเองได้อันเป็นผลที่คนในชุมชนเห็นเป็นรูปธรรม เมื่อชุมชนสามารถ
16 ช่วยกันแก้ไขปัญหาของตนเองได้ความมั่นใจในศักยภาพของตนเองก็จะสูงขึ้น และกล้าที่จะริเริ่มคิดค้น และหาทางเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาชุมชนของตนเอง 4. การเรียนรู้และการท างานเป็นเครือข่าย เครือข่ายเป็นลักษณะความสัมพันธ์แนวราบมากกว่า แนวดิ่ง ความเชื่อมโยงระหว่างคนที่เข้ามาสัมพันธ์เป็นเครือข่ายนี้คือการเรียนรู้จากประสบการณ์ของกัน และกัน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและ/หรือระหว่างกันตามความสมัครใจ มีการช่วยเหลือกัน มีการ ติดต่อสื่อสารถึงกันสม่ าเสมอแต่ไม่มีการบังคับบัญชาสั่งการ ไม่มีโครงสร้างอ านาจ เครือข่ายจึงมี โครงสร้างค่อนข้างหลวม จุดรวมของคนหรือชุมชนที่เข้ามาเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายมักจะได้แก่การมี แนวคิดคล้ายคลึงกัน มีความสนใจหรือท างานในเรื่อง ประเภทเดียวกันอุทัยและอรศรี(2540) กล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้ในการศึกษาของชุมชน เกิดขึ้นด้วยวิธีการหลากหลายทั้งแบบการสอน การสังเกต การอ่าน การฟัง การถาม การทดลองท า เลียนแบบ การแลกเปลี่ยน ฯลฯ กระบวนการเรียนรู้ที่หลากรูปแบบนี้ส่งเสริมให้การเรียนรู้มี ประสิทธิภาพ เพราะมีความยืดหยุ่นเหมาะสมกับเนื้อหาที่ไม่เหมือนกัน ความสามารถความถนัดที่ไม่ เท่ากันของผู้เรียนและผู้สอนแต่ละคน กระบวนการเรียนรู้เพื่อชีวิตนี้มีผลให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งได้ เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการถ่ายทอด ค่านิยม แบบแผนของวิถีชีวิตบุคคลและชุมชนไปสู่รุ่นต่อไปได้ อีกทั้งยังพัฒนาศักยภาพในการด ารงชีวิตการท ามาหากิน การแก้ไขปัญหาให้แก่ผู้เรียนด้วย สอดคล้อง กับของทิศนา เขมมณี(2545) ซึ่งกล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้เป็นการด าเนินการอย่างเป็นขั้นตอนหรือ การใช้วิธีการต่างๆที่ช่วยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ซึ่งวิธีเรียนรู้ที่ใช้พอมองเห็นได้ง่ายจากประสบการณ์ ได้แก่วิธีการฟัง การอ่าน การตอบโต้กับผู้อื่นการซัก การถาม การเขียน การสังเกต การจดจ า การ เลียนแบบ การดูตัวอย่าง การลองท าการคิด(คิดเปรียบเทียบ คิดวิเคราะห์คิดไตร่ตรอง) การลงมือท า ฯลฯ ซึ่งเป็นกระบวนการย่อยๆที่มนุษย์ใช้ในการเรียนรู้และวิธีเรียนรู้ที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น กระบวนการท างานของสมองกระบวนการคิด การเกิดเจตคติค่านิยม ฯลฯ เป็นต้น ประเวศ วะสี(2542) กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้มี10 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การสังเกต ให้สังเกตในสิ่งที่เห็นหรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ผีเสื้อ หรือแม้แต่ในการท างาน ถ้าใครสังเกตมากก็จะเกิดปัญญามาก 2. การบันทึก คนไทยเป็นชาติพูด ไม่ชอบบันทึกสิ่งที่เห็น แม้แต่ทางการแพทย์อาการคนไข้ จ าเป็นต้องบันทึกให้ละเอียดแต่บางครั้งหยิบมาดูมีแต่ชื่อ คราวที่แล้วให้ยาอะไรก็นึกไม่ออก เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าบันทึกไว้หรือเปล่า ดังนั้น ต้องฝึกการบันทึกเราจะฉลาดขึ้น 3. การน าเสนอ เมื่อเรียนรู้อะไรมา ต้องฝึกการน าเสนอให้เพื่อนหรือครูได้รู้ 4. การฟัง รู้จักฟังคนอื่นจะท าให้ฉลาดขึ้น ฟังมากก็ฉลาดมากโบราณเรียกว่าพหูสูตร 5. ปุจฉา – วิสัชนา เพื่อให้เกิดความชัดเจน แจ่มแจ้ง มีการถามตอบ ถ้าฟังครูโดยไม่ถาม - ตอบ ก็ไม่แจ่มแจ้ง 6. การตั้งสมมติฐานและตั้งค าถาม ต้องฝึกให้นักเรียนได้ตั้งค าถาม ซึ่งค าถามมาตรฐาน 4 อย่าง ได้แก่สิ่งนี้คืออะไร เกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ส าหรับเรื่องอะไร ท าอย่างไรถึงจะส าเร็จประโยชน์อัน นี้ 7. การค้นหาค าตอบ ให้เด็กหาค าตอบ เด็กจะสนุกไปค้นหาค าตอบทางอินเตอร์เน็ต ในหนังสือ บางครั้งหาไม่เจอ เพราะค าตอบจะอยู่ในปากคนเฒ่าคนแก่ เรียกว่า “มุขปาถะ” ซึ่งมีประสบการณ์มาก แต่ถูกลืม หากให้เด็กไปถามก็จะเกิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วย
17 8. การวิจัย เป็นการสร้างความรู้เป็นวิถีชีวิต การที่ไม่เรียนรู้วิจัย ท าให้เสียหายทางเศรษฐกิจ หรือทางการแพทย์ไม่น้อยกว่าแสนล้านบาท 9. การเชื่อมโยงให้เกิดปัญญา เมื่อเรียนรู้อะไรมาต้องเชื่อมโยงสิ่งต่างๆเข้าด้วยกันเพื่อให้เห็น ความจริงทั้งหมดรวมทั้งเห็นตัวเองด้วย 10. การเขียน นอกจากการถามตอบแล้ว การเขียนจะพัฒนาปัญญาได้ดีเพราะการเขียนคือ การใช้พลังสมองในการคิด เรียบเรียงถ้อยค าให้เป็นเรื่องราว เกิดความชัดเจน ซึ่งจะท าให้ผู้อ่านเข้าใจ ตรงกัน จากแนวคิดดังกล่าวเบื้องต้น สามารถสรุปได้ว่า กระบวนการเรียนรู้คือ การด าเนินการอย่าง เป็นขั้นตอน หรือการใช้วิธีการต่างๆ ที่ช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่าง ต่อเนื่องและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา กระบวนการเรียนรู้ของกลุ่มเกิดขึ้นได้จากการมีส่วนร่วมของ สมาชิกกลุ่มในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การสังเกต การฟัง การถ่ายทอดค่านิยมแบบแผนไปสู่รุ่น ต่อไป ที่ส าคัญการเรียนรู้ของกลุ่มยังเกิดขึ้นจากการปฏิบัติจริง จากการแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง มีการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น การท างานร่วมกันเป็นเครือข่าย มีระบบแบบแผนการเรียนรู้ร่วมกัน โดยผู้น า เป็นส่วนส าคัญที่จะกระตุ้นให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และสมาชิกกลุ่มต้องมีส่วนร่วมในการด าเนินงานของ กลุ่มไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงหรือการมีส่วนร่วมเป็นบางส่วน 2.3 แนวคิดเกี่ยวกับสมุนไพรไทย สมุนไพรไทย (Medicinal plant หรือ Herb) ก าเนิดจากธรรมชาติและมีความหมายต่อชีวิต มนุษย์โดยเฉพาะมิติทางสุขภาพ อันหมายถึงทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการรักษาโรค มีผู้ให้ความหมาย ของสมุนไพรไว้หลากหลายดังนี้ ความหมายของสมุนไพรไทย คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (2550) ให้ความหมายของพืชสมุนไพรไทยว่า สมุนไพรไทยตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 หมายถึง “ผลิตผล ธรรมชาติได้จากพืช สัตว์และแร่ธาตุที่ใช้เป็นยาหรือผสมกับสารอื่นตามต ารับยา เพื่อบ าบัดโรค บ ารุง ร่างกาย หรือใช้เป็นยาพิษ เช่น กระเทียม น้ าผึ้ง รากดิน (ไส้เดือน)เขากวางอ่อน ก ามะถัน ยางน่อง โล่ติ๊น” สมพร ภูติยานัน (2542) ได้กล่าวว่า สมุนไพร หมายถึง พืชที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค หรือ อาการเจ็บป่วยต่างๆ การใช้สมุนไพรรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่างๆนี้จะต้องน าเอาสมุนไพรตั้งแต่ สองชนิดขึ้นไปมาผสมรวมกันซึ่งจะเรียกว่า “ยา” ในต ารายานอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังอาจจะ ประกอบด้วยสัตว์และแร่ธาตุอีกด้วย เราเรียกพืช สัตว์หรือแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของยานี้ว่า “เภสัช วัตถุ” พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น กระวาน กานพลูและจันทน์เทศ เป็นต้น สมพร ภูติยานัน (2542) กล่าวว่ายาสมุนไพร (crude drugs) คือ ยาธรรมชาติทั้งแห้งและสดที่ ไม่ได้แปรรูปที่ได้จากพืช สัตว์แร่ธาตุ เช่น รากชะเอม เปลือกต้นควินิน แก่นฝาง ใบมะขามแขก ดอก เก็กฮวย ไขผึ้ง น้ าผึ้ง และมหาหิงคุ์เป็นต้น สมพร หิรัญรามเดช (2524) ได้กล่าวไว้ว่ายาสมุนไพรคือ ยาที่ได้มาจากพืชสัตว์แร่ธาตุจาก ธรรมชาติที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน สามารถน ามาใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆ และบ ารุง ร่างกายได้
18 สุพจน์ศิลานเภสัช (2543) ได้กล่าวถึงสมุนไพร หมายความว่า ผลิตผลทางธรรมชาติได้จากพืช สัตว์และแร่ธาตุ ที่ใช้เป็นยา หรือผสมกับสารอื่นตามต ารับยา เพื่อบ าบัดโรคบ ารุงร่างกาย หรือใช้เป็นยา พิษ เช่นกระเทียม น้ าผึ้ง ก ามะถัน โล่ติ้น ยางด า เป็นต้น จากที่กล่าวมาข้างต้น พอสรุปได้ว่าสมุนไพรไทย หมายถึง เป็นสมุนไพรที่ได้มาจากพืชสัตว์และ แร่ธาตุจากธรรมชาติซึ่งมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ ไม่มีการปรุงแต่งสีกลิ่น รสให้ผิดจากสภาพเดิม และสามารถน ามาใช้รักษาโรคต่าง ๆ และบ ารุงร่างกายได้ ความส าคัญของพืชสมุนไพรไทย “ สมุนไพร ” นับว่าเป็นยาส าหรับรักษาโรคต่าง ๆ ได้มากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ พืช สมุนไพร ” ทั้งหลาย “ มีสรรพคุณทางยาดีมาก คนโบราณใช้ท าการรักษาโรคกันมานานแล้ว ควร อนุรักษ์เอาไว้ให้ดีในวงการแพทย์ก็มองเห็นความส าคัญของพืชที่มีประโยชน์กันมากในชนบทที่ ห่างไกล ก็ใช้“ พืชสมุนไพร ” นี่เองช่วยน าการบ าบัดรักษาโรค และอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งก็นับว่าได้ผลดีมาก เช่น ใช้ชุมเห็ดเทศเป็นยาถ่าย ยาระบาย ใช้บัวบกเป็นยาแก้เจ็บคอ แก้ร้อนใน ใช้มะนาวเป็นยาแก้ เลือดออกตามไรฟันหรือโรคลักปิดลักเปิด ใช้มะระเป็นยาขมเจริญอาหาร ใช้กระเพาะเป็นเพิ่มน้ านมใน ตรีหลังคลอด ใช้ไพลเป็นยารักษาโรคหืด ใช้ต าลึงรักษาโรคเบาหวาน สิ่งเหล่านี้เป็นความสามารถของ แพทย์แผนโบราณที่ยึดออก “ พืชสมุนไพร ” เป็นหลักในการรักษา โรคที่เกิดขึ้นกับคนเรามานับร้อยนับ พันปีมาแล้ว สมุนไพรนอกจากจะน ามาใช้ประโยชน์เป็นยา รักษาโรคแล้ว ยังสามารถน ามาใช้ประโยชน์ ทางด้านอื่น ๆ อีก เช่น น ามาบริโภคเป็นอาหาร อาหารเสริมสุขภาพ เครื่องดื่ม สีผสมอาหาร และสีย้อม ตลอดจนใช้ท าเครื่องส าอางอีกด้วย ” การใช้ยาสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง สามารถท าได้เฉพาะในการ ใช้ตัวยาสมุนไพรที่ไม่มีผลข้างเคียง ไม่มีพิษ หรือที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไป ซึ่งมีขนาดการใช้ยาดังนี้ 1. ยาชง ใช้ตัวยาสมุนไพรแห้ง หนักประมาณ 7-15 กรัม แช่ในน้ าร้อน ค่อนแก้ว ดื่ม เฉพาะน้ าครั้งเดียว 2. ยาต้ม รินเอาน้ ายาดื่ม ครั้งละครึ่ง ถึง 1 ช้อนกาแฟ เด็กลดลงตามส่วน 3. ยาเม็ด ครั้งละหนักประมาณ 1-2 กรัม หรือเม็กขนาดเท่าลูกมะแว้ง 3 - 5 เม็ด ยกเว้น ยาที่มีฤทธิ์แรง หรือยาถ่าย ควรใช้ตามหมอสั่ง หรือตามธาตุหนักเบา (คือ ถ้ากินยา แล้วถ่ายมาก คราวต่อไปให้ลดปริมาณยาลง ถ้าถ่ายน้อยก็ให้เพิ่มปริมาณยาขึ้นตาม ส่วน) 4. ยาผง ครั้งละหนักครึ่งถึง 1 กรัม ละลายในน้ าร้อน หรือกระสายยารับประทาน 5. ยาดอง รับประทานครั้งละ ประมาณ 2 -3 ช้อนโต๊ะ (นิรนาม, มปป) 6. การจัดการการใช้พืชสมุนไพรในชุมชน การใช้สมุนไพรในการรักษาโรคมีมาแต่โบราณซึ่งมีการสืบทอดและพัฒนาจนถึงทุกวันนี้โดย เฉพาะที่แถบทวีปเอเชีย เช่น ประเทศจีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่ ค่อนข้างสมบูรณ์นอกจากนั้นการศึกษาผลประโยชน์ของการใช้สมุนไพรโดยอาศัยหลัก วิทยาศาสตร์ใน ประเทศเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนสามารถผลิตยา สมุนไพรส าเร็จรูป หรือกึ่งส าเร็จรูปพร้อมใช้เป็นธุรกิจ อุตสาหกรรมอย่างเป็นล่ าเป็นสัน (กิจ และ พร ทิพย์, มปป) ความส าคัญของพืชสมุนไพรด้านการสาธารณสุข พืชสมุนไพรเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย ในสภาวะที่ยาแผนปัจจุบันมี ราคาแพง และการบริการทางด้านสาธารณสุขที่รัฐจัดให้แก่ประชาชนยังเป็นไปอย่างไม่เสมอภาค แพทย์ ส่วนใหญ่ไม่อยากออกไปอยู่ตามชนบท ประกอบกับค่ารักษาพยาบาลด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน อยู่
19 ในอัตราที่สูงเกินกว่าที่ประชาชนส่วนใหญ่จะรับได้โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ห่างไกลจากการคมนาคม ดังนั้นการน าพืชสมุนไพรที่มีอยู่ตามธรรมชาติโดยทั่วไป มาใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบัน เฉพาะอาการ เจ็บป่วยธรรมดาที่ไม่ร้ายแรงหรือการรักษาพยาบาลเบื้องต้นก่อนไปพบแพทย์จึงนับว่าเป็นสิ่งส าคัญที่ จะช่วยลดภาระการขาดแคลนแพทย์ได้ระดับหนึ่ง การใช้ยาสมุนไพรที่หาง่ายในท้องถิ่นจะสามารถช่วย ประชาชนให้พึ่งตนเองได้ในยามเจ็บป่วย อีกทั้งยาจากสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคอย่างได้ผล พืชสมุนไพรนอกจากจะใช้รักษาโรคได้แล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จ าเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจะ ส่งผลถึงสุขภาพอนามัยของประชาชนโดยส่วนรวมให้ดีขึ้นอีกด้วย (จิตระพีบัวผัน, 2548) ความส าคัญของพืชสมุนไพรด้านเศรษฐกิจและสังคม พืชสมุนไพรบางชนิดมีความส าคัญทางเศรษฐกิจน าเงินตราเข้าประเทศได้ปีละมาก ๆเช่น พริกไทย ขิง ขมิ้น และกานพลูเป็นต้น ความส าคัญทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มีดังนี้(จิตระพีบัวผัน, 2548) 1. ช่วยลดมูลค่าการสั่งซื้อยาจากต่างประเทศลงปีละนับหมื่นล้านบาท 2. การใช้ยาจากพืชสมุนไพร ช่วยให้เศรษฐกิจในครอบครัวดีขึ้นเพราะราคายาและค่า รักษาถูกกว่าการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันมาก 3. อุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน มีความต้องการสมุนไพรเป็นวัตถุดิบ ต่างประเทศ ซื้อยาสมุนไพรจากประเทศไทยในราคาถูก แต่น าไปผลิตเป็นยาแผนปัจจุบันขายได้ในราคาแพงขึ้น หลายเท่าตัว 4. สมุนไพรเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่ต้องน าเข้าจากต่างประเทศอีกหลายชนิด เช่น อบเชย จันทน์เทศ กานพลูพืชเหล่านี้สามารถผลิตใช้ได้เองภายในประเทศแต่ก็ยังไม่เพียงพอ 5. ยาจากพืชสมุนไพร จะเป็นหลักประกันในด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน หาก ประเทศไทยมีพืชสมุนไพรที่สามารถใช้ทดแทนยาแผนปัจจุบันได้มากเท่าใด ก็จะเป็นหลักประกันได้ อย่างดีว่า ในภาวะปกติเราจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ไม่ต้องพึ่งพายาจากต่างประเทศ จากที่กล่าวมา พอสรุปได้ว่าความส าคัญของพืชสมุนไพรด้านเศรษฐกิจและสังคมหมายถึง พืช สมุนไพรมีความส าคัญทางเศรษฐกิจสามารถน าเงินตราเข้ามาในประเทศได้ปีละมาก ๆลดการน าเข้ายา จากต่างประเทศ และเป็นหลักประกันในด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน โอกาสของสมุนไพรไทย 1. ภูมิอากาศและภูมิประเทศ เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตร้อนและชื้น ประเทศไทยมี ทรัพยากร สมุนไพรที่ค่อนข้างสมบูรณ์เมื่อเทียบกับแถบอเมริกาเหนือ ยุโรป มีพรรณไม้หลากหลายชนิด ที่มีศักยภาพพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่รอการศึกษาอย่าง จริงจัง 2. ขอบเขตการใช้กว้างขวาง ใช้ได้ทั้งในการป้องกัน รักษาและบ ารุง ส าหรับการป้องกัน โรคนั้น ส่วนมากสามารถทดแทนยาปฏิชีวนะที่มีราคาค่อนข้างแพง และก่อให้เกิดการ ดื้อยาทั้งในมนุษย์ และสัตว์รูปแบบการใช้ก็ค่อนข้างหลากหลาย เช่น ต้ม สด ตาก ทา ต่างๆ เป็นต้น 3. ผู้ประกอบการให้ความสนใจ ทั้งจากผู้ผลิตปศุสัตว์นักวิจัย บริษัทยาและอาหาร ต่าง ๆ และมีแนวโน้มพัฒนาให้รูปแบบ สรรพคุณและการใช้ง่ายและมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น 4. ความปลอดภัยสูง เมื่อเทียบกับยาปฏิชีวนะแล้วพิษวิทยาของสมุนไพรจะมีน้อยกว่า ซึ่งจะช่วยลดปัญหาปริมาณสารตกค้างในผลิตภัณฑ์รวมทั้งขบวนการดื้อยาก็เกิดช้า กว่าและน้อยกว่า ด้วย
20 5. ความต้องการตลาดสูง ทั้งในและนอกประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง ซึ่งมีการศึกษาวิจัยและใช้สมุนไพรทั้งในคนและสัตว์มายาวนาน แต่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ คุณภาพผลิตภัณฑ์รวมทั้งประสิทธิภาพการรักษาที่ให้ผลด้วย เมื่อไม่ นานมานี้ความต้องการของตลาด ภายในประเทศ อันเนื่องมาจากข้อก าหนดที่เข้มงวด ของคู่ค้า ได้มีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการผลักดัน การศึกษาวิจัยสมุนไพรส าหรับสัตว์ มีความก้าวหน้าและพัฒนาอย่างจริงจัง คาดว่าจะบังเกิด ผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ ต่อประเทศชาติในไม่ช้านี้(กิจ และ พรทิพย์, มปป) ประโยชน์ของพืชสมุนไพร พืชสมุนไพรมีขึ้นอยู่ทั่วไปเป็นประโยชน์ทั้งทางยาและอาหาร โดยเฉพาะประชากรทางภาคใต้ นิยมกินพืชผักพื้นบ้านเป็นอาหาร มีดังนี้(วิฑูรย์พลาวุฑฒ์, 2542) 1. หาได้ง่าย พบทั่วไปทุกหนทุกแห่ง และสามารถใช้ทดแทนกันกันได้หลายชนิดพืช เหล่านี้ส่วนหนึ่งใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ าวันอยู่แล้ว เช่น เป็นอาหาร เครื่องดื่ม หรือใช้เป็นไม้ดอกไม้ ประดับ การปลูก การดูแลรักษาก็ง่ายเพราะเป็นพืชท้องถิ่นได้ปรับตัวจนเข้ากับสภาพแวดล้อมได้เป็น อย่างดี 2. ราคาถูก เนื่องจากเป็นพืชที่หาง่ายและใช้กันตามปกติในชีวิตประจ าวัน 3. ความปลอดภัยในการใช้ยาสมุนไพร ถ้าหากใช้อย่างถูกต้องแทบจะไม่มีพิษต่อ ร่างกายเลยโดยเฉพาะพืชชนิดที่ได้ผ่านการตรวจสอบด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์แล้วซึ่งมีมากมายหลาย ชนิด 4. เหมาะส าหรับผู้ที่อยู่ห่างไกลการคมนาคม การเดินทางไปโรงพยาบาลต้องเสียเวลา และค่าใช้จ่ายมาก ดังนั้นพืชสมุนไพรช่วยรักษาโรคไม่ร้ายแรงได้เช่น เป็นไข้ท้องอืดเฟ้อท้องผูก ท้องเสีย เป็นต้น 5. ช่วยให้สามารถพึ่งตนเองได้ในภาวะวิกฤติในสมัยต่างๆ เช่น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก เนื่องจากการขาดแคลนยารักษาโรค ซึ่งต้องน าเข้าจาก ต่างประเทศ ประชาชนต้องใช้พืชสมุนไพรเป็นยารักษาโรค 6. เพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว ร้านขายยาแผนโบราณต้องการพืชสมุนไพรเป็นวัตถุดิบ ในการผลิตยา เมื่อป่าไม้ถูกท าลาย ยาที่เคยหาได้ง่ายจากแหล่งธรรมชาติเริ่มขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้น การเลือกปลูกพืชสมุนไพรให้ตรงกับชนิดที่ตลาดต้องการจะเป็นการเพิ่มรายได้แก่ ครอบครัวอีกทางหนึ่ง แนวทางการศึกษาพืชสมุนไพรและยาไทย การศึกษาพืชสมุนไพร ในฐานะเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบยาสมุนไพร ซึ่งบางชนิดนิยมใช้กันมากและ บางชนิดยังไม่แพร่หลายมากนัก เพื่อน ามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ าวัน และการศึกษาวิชาแพทย์แผน โบราณในด้านการปรุงยา ผู้ศึกษาควรศึกษาในด้านต่างๆ ดังนี้(จิตระพีบัวผัน,2548) 1. ศึกษาเกี่ยวกับพืชสมุนไพรในด้านต่างๆ เช่น ชื่อพืชสมุนไพรทั้งชื่อสามัญ และชื่อ พฤกษศาสตร์ลักษณะทางพฤกษศาสตร์นิเวศวิทยาศาสตร์และการกระจายพันธุ์การขยายพันธุ์การ ปลูก การดูแลและการรักษา การเก็บเกี่ยวพืชและการเก็บรักษาพืชแต่ละชนิด 2. ศึกษาชนิดและปริมาณสาระส าคัญ หรือสารออกฤทธิ์ที่มีอยู่ในพืชแต่ละชนิด เพื่อ ประโยชน์ในการคัดเลือก ปรับปรุงพันธุ์และวิธีการผลิตให้ตรงตามความต้องการตลาด 3. ศึกษาสรรพคุณ วิธีใช้ข้อห้ามใช้ความเป็นพิษ ชนิดของอาการที่ควรและไม่ควรใช้ วิธีการรักษาด้วยพืชสมุนไพร
21 4. ศึกษาและคัดเลือกเฉพาะพืชสมุนไพร ชนิดที่มีรายงานการตรวจตรวจสอบด้วยวิธี ทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่ามีประสิทธิภาพดีจริง และใช้ได้อย่างปลอดภัยหรือเป็นชนิดที่มีผู้นิยมใช้กัน อย่างกว้างขวางโดยใช้กับอาการเจ็บป่วยที่มิใช่โรคร้ายแรงเท่านั้น 5. ศึกษาการใช้พืชสมุนไพรในรูปตัวยาเดี่ยวๆ หรือผสมกันหลายชนิดตามต ารายาไทย 6. ศึกษาและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพร เพื่อให้ได้รับการยอมรับอย่าง กว้างขวาง 7. ศึกษาพืชสมุนไพรบางชนิด ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันก าจัดศัตรูทางการเกษตร เช่น พืชสมุนไพรฆ่าแมลง เป็นต้น จากการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพืชสมุนไพรนั้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อการผลิต และการใช้ประโยชน์จาก พืชสมุนไพร ในด้านการบ าบัดรักษาอาการเจ็บป่วย หรือเพื่อการบ ารุงรักษาสุขภาพเป็นหลักซึ่งได้จาก พืชโดยทั่วไป สารเคมีในสมุนไพรแต่ละชนิด การน าสมุนไพรมาใช้เป็นยาต้องค านึงถึงธรรมชาติของสมุนไพรแต่ละชนิด พันธุ์สมุนไพร สภาวะแวดล้อมในการปลูก ฤดูกาล และช่วงเวลาที่เก็บสมุนไพร นับเป็นปัจจัยส าคัญที่ก าหนดคุณภาพ ของสมุนไพร ในสมุนไพรแต่ละชนิดประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิดอาจแบ่งกลุ่มใหญ่ได้7 กลุ่ม ดังนี้ (สาธารณสุขมูลฐาน, 2537) 1. คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrates) คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอินทรีย์ที่ประกอบด้วย คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน คาร์โบไฮเดรตเป็นกลุ่มสารที่พบมากทั้งในพืชและสัตว์สารที่เป็นคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง น้ าตาลกัม (KUM) วุ้น (Agar) น้ าผึ้ง เปคติน (Pectin) เป็นต้น 2. ไขมัน (Lipids) ไขมันเป็นสารที่ไม่ละลายน้ า แต่ละลายในตัวท าละลายอินทรีย์ (Organic Solvent) และเมื่อท าปฏิกิริยากับด่างจะกลายเป็นสบู่ น้ ามันในพืชหลายชนิดเป็นยาสมุนไพร เช่น น้ ามันละหุ่ง น้ ามันมะพร้าว เป็นต้น 3. น ามันหอมระเหย (Volatile Oil หรือ Essential Oil) น้ ามันหอมระเหยเป็นสารที่พบมากในพืชเขตร้อน มีลักษณะเป็นน้ ามันมีกลิ่นและรส เฉพาะตัว ระเหยได้ง่ายในอุณหภูมิธรรมดา เบากว่าน้ า สามารถสกัดออกมาจากส่วนของพืชได้โดย วิธีการกลั่นด้วยไอน้ า (stream distillation) หรือการบีบ (expression) ประโยชน์คือเป็นตัวแต่งกลิ่น ในอุตสาหกรรมเครื่องส าอาง และสมุนไพรมีประโยชน์ด้านขับลม ฆ่าเชื้อโรค พืชสมุนไพรที่มีน้ าหอม ระเหย คือ กระเทียม ขิง ขมิ้น ไพล มะกรูด ตะไคร้กานพลูอบเชย เป็นต้น 4. เรซินและบาลซัม (Resins and Balsums) เรซินเป็นสารอินทรีย์หรือสารผสมประเภทโพลีเมอร์ มีรูปร่างไม่แน่นอนส่วนใหญ่จะ เปราะ แตกง่าย บางชนิดจะนิ่ม ไม่ละลายน้ า ละลายได้ในตัวท าละลายอินทรีย์เมื่อเผาไฟจะหลอมเหลว ได้สารที่ใส ข้น และเหนียว เช่น ชันสน เป็นต้นบาลซัม เป็นสาร resinous mixture ซึ่งประกอบด้วย กรดซินนามิก (CINNAMIC ACID) หรือกรดเบนโซอิค (BENZOIC ACID) หรือเอสเตอร์ของกรดสองชนิด นี้เช่น ก ายานเป็นต้น
22 5. แอลคาลอยด์(Alkaloids) แอลคาลอยด์เป็นสารอินทรีย์ที่มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบ (Organic Nitrogen Compound) มักพบในพืชชั้นสูง มีสูตรโครงสร้างซับซ้อนและแตกต่างมากมาย ปัจจุบันพบแอลคา ลอยด์มากกว่า 5,000 ชนิด คุณสมบัติของแอลคาลอยด์คือ ส่วนใหญ่มีรสขม ไม่ละลายน้ าละลายได้ใน สารละลายอินทรีย์(Organic Solvent) มีฤทธิ์เป็นด่างแอลคาลอยด์มีประโยชน์ในการรักษาโรคอย่าง กว้างขวาง เช่นใช้เป็นยาระงับปวด ยาชา เฉพาะที่ ยาแก้ไอ ยาแก้หอบหืด ยารักษาแผลในกระเพาะและ ล าไส้ยาลดความดัน ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เป็นต้น พืชสมุนไพรที่มีแอลคาลอยด์เป็นส่วนมาก คือ หมาก ล าโพง ซิงโคนา ดองดึง ระย่อม ยาสูบ กลอย ฝิ่น แสลงใจเป็นต้น 6. กลัยโคไซด์(Glycosides) กลัยโคไซด์เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่เกิดจาก glycone (หรือ genin) จับกับส่วนที่ เป็นน้ าตาล ( glycone part) ละลายน้ าได้ดีโครงสร้างของ glycone มีความแตกต่างกันหลายแบบท า ให้ประเภทและสรรพคุณทางเภสัชวิทยาของกลัยโคไซด์มีหลายชนิดใช้เป็นยาที่มีประโยชน์และสารพิษ ที่มีโทษต่อร่างกายกลัยโคไซด์จ าแนกตามหลักสูตรโครงสร้างของ glycone ได้หลายประเภท คือ 1. คาร์ดิแอ็ก กลัยโคไซด์ (Cardiac Glycosides) มีฤทธิ์ต่อระบบกล้ามเนื้อ หัวใจและระบบการไหลเวียนของโลหิต เช่นใบยี่โถ เป็นต้น 2. แอนทราควินิน กลัยโคไซด์ (Antraquinine Glycosides) มีฤทธิ์เป็นยา ระบายยาฆ่าเชื้อ และสีย้อม เช่น ใบมะขามแขก ใบขี้เหล็ก ใบชุมเห็ดเทศ ใบว่านหางจระเข้เป็นต้น 3. ซาโปนิน กลัยโคไซด์(Saponin Glycosides) เป็นกลุ่มสารที่มีคุณสมบัติเกิด ฟองเมื่อเขย่ากับน้ า เช่น ลูกประค าดีควาย เป็นต้น 4. ไซยาโนเจนนีติก กลัยโคไซด์ ( Cyanogenatic Glycosides) มีส่วนของ glycine เช่น Cyaanogenetic Nitrate สารกลุ่มนี้เมื่อถูกย่อยจะได้สารจ าพวกไซยาไนต์ เช่น รากมัน ส าปะหลัง ผักสะตอ ผักหนาน ผักเสี้ยนผีกระเบาน้ า เป็นต้น 5. ไอโซไทโอไซยาเนท กลัยโคไซด์(Isothiocyanate Glycosides) มีส่วนของ glycone เป็นสารจ าพวก Isothiocyanate 6. ฟลาโวนอล กลัยโคไซด์(Favonol Glycosides) เป็นสารสีที่พบในหลายส่วน ของพืช ส่วนใหญ่สีออกไปทางสีแดง เหลือง ม่วง น้ าเงิน เช่น ดอกอัญชัน เป็นต้น 7. แอล กอฮอลิ ค กลั ยโคไซด์ (Alcoholic Glycosides) มีglycone เป็น แอลกอฮอล์ 8. ยังมีกลัยโคไซด์อีกหล ายชนิด เช่น ฟินอลิค กลัยโคไซด์ (Phenolic Glycosides)แอลดีไฮด์กลัยโคไซด์ (Aldehyde Glycosides) แล็คโทน กลัยโคไซด์ (Lactone Glycosides)และแทนนิน กลัยโคไซด์เป็นต้น 7. แทนนิน (Tannins) เป็นสารที่พบได้ในพืชหลายชนิด มีโมเลกุลใหญ่และโครงสร้างซับซ้อน มีสถานะเป็น กรดอ่อน รสฝาด แทนนินใช้เป็นยาฝาดสมาน ยาแก้ท้องเสีย ช่วยรักษาแผลไฟไหม้และใช้ประโยชน์ใน อุตสาหกรรมฟอกหนัง กรณีที่รับประทานแทนนินเป็นประจ าอาจท าให้เกิดมะเร็งได้สมุนไพรที่มีแทนนิน คือ เปลือกทับทิม เปลือกอบเชย ใบฝรั่ง ใบเปลือกสีเสียด ใบชา เป็นต้น จากที่กล่าวมาข้างต้น สารเคมีในสมุนไพรแต่ละชนิดมีทั้งคุณและโทษ ก่อนจะใช้ต้องศึกษาฤทธิ์ ของสารที่พบในพืชสมุนไพรเพื่อรักษาโรค
23 ส่วนของสมุนไพรที่ใช้เป็นยา สมุนไพรที่ใช้เป็นยาที่ใช้กันมากมาจากพืช ส่วนของพืชสมุนไพรที่ใช้เป็นยา มี5 ส่วนจะเก็บใน ระยะที่มีปริมาณตัวยาพืชสูงสุด (จิตระพีบัวผัน, 2548) 1. รากและหัว (เหง้า, ล าต้นใต้ดิน) จะเก็บในระยะที่พืชหยุดการเจริญเติบโตแล้ว ส่วน ใหญ่เป็นพืชพวกล้มลุก มักจะเก็บตอนต้นฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่ ผลัดใบ พืชจะเก็บสะสมอาหารไว้ที่ราก และหัวเช่นรากระย่อม ซึ่งใช้ลดความดันโลหิต เหง้าขิง เป็นยาขับลม หรือเหง้าไพลเป็นยาถูนวด แก้เคล็ดขัดยอก เป็นต้น 2. ใบ หรือ ทั้งต้น จะเก็บในระยะที่พืชเจริญเติบโตมากที่สุด แต่บางชนิดก็จะก าหนด ลงไปเลยว่าต้องเก็บอย่างไร เช่นใบชา ซึ่งใช้แก้ท้องเสีย และใบหญ้าหนวดแมว ซึ่งเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ ทางเดินปัสสาวะอักเสบและแก้นิ่ว จะเก็บยอดอ่อนที่มีใบเพียง 2-4 คู่ เป็นต้น 3. เปลือกต้นและเปลือกราก จะเก็บในระยะต้นฤดูฝน เพราะเป็นช่วงที่มียาสูงและลอก เปลือกง่ายกว่าช่วงอื่น ๆ เช่น เปลือกต้นซิงโคน่าซึ่งให้ควินิน รักษาไข้มาเลเรีย เป็นต้น4. ดอก จะเก็บใน ระยะดอกเริ่มบาน เช่น ดอก ล าโพง มีฤทธิ์แก้หอบ หืด ส่วนดอกกานพลูซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ใช้ แก้ปวดฟัน ต้องเก็บขณะยังตูมอยู่ เป็นต้น 5. ผลและเมล็ด จะเก็บระยะแก่เต็มที่ เช่น เปลือกผลมังคุด แก้ท้องเสียและรักษาแผล หนองฝีเมล็ดแมงลักเป็นยาระบายโดยไปเพิ่มกากอาหาร เป็นต้นจากการศึกษาเรื่องส่วนของพืช สมุนไพรที่ใช้เป็นยา หมายถึง สมุนไพรมีทั้งสดและแห้งในการท าสมุนไพรและสมุนไพรแต่ละชนิดทั้ง แบบแห้งและแบบสดก็มีลักษณะแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะนิยมแบบแห้งมากกว่า เพราะการเก็บ รักษาจะนานกว่าแบบสด และสมุนไพรแต่ละชนิดไม่สามารถใช้รักษาโรคทุกชนิดได้ควรใช้กับโรคที่ไม่ ร้ายแรง สมุนไพรกับการรักษาโรค การน าสมุนไพรมาใช้รักษาโรค เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ (2535) กล่าวว่า การใช้ยา สมุนไพรที่มีรส ต่าง ๆจะช วยปรับความแปรปรวนของธาตุทั้ง 4 ที่มีอยู่ในร่างกาย ได้แก่ 1. การใช้สมุนไพรรสฝาด หวาน มัน เค็ม เช่น มังคุด ฝรั่งดิบ เกลือ ฯลฯ จะ ช่วยปรับ ความแปรปรวนของธาตุดิน ซึ่งได้แก่ เนื้อ กล้าม กระดูก 2. การใช้สมุนไพรรสเปรี้ยว รสขม เช่น มะกรูด ส้ม มะระ สะเดา ฯลฯ จะช่วย ปรับ ความแปรปรวนของธาตุน้ า ซึ่งได้แก่ ของเหลวในร่างกาย 3. การใช้สมุนไพรรสเผ็ดร้อน เช่น กระชาย พริกไทย กะเพรา ฯลฯ จะช่วย ปรับความ แปรปรวนของธาตุลม ซึ่งได้แก่ แก๊สในร่างกาย 4. การใช้สมุนไพรรสเย็นจืด เช่น ผักบุ้ง ต าลึง แตงโม บัวบก ฯลฯ จะช่วยปรับ ความ แปรปรวนของธาตุไฟ ซึ่งได้แก่ พลังงานในร่างกาย ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงของธาตุสมุฎฐาน (ธาตุดิน ธาตุน้ า ธาตุลม ธาตุไฟ) จะเปลี่ยนไป ตามลักษณะของธาตุเจ้าเรือน (ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) อุตุสมุฎฐาน (อิทธิพลของ ฤดูกาล) อายุสมุฎฐาน (อายุที่เปลี่ยนไปตามวัย) กาลสมุฎฐาน (อิทธิพลของกาลเวลา) จากการศึกษาของ สมพร ภติยานันท์(2527) กล่าวถึงความรู้ดั้งเดิมที่สอดคล้องกับ การ ค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาพืชสมุนไพร คือ รสฝาด มีสารพวกแทนนิน (Tannin)
24 ภายนอกใช้สมานแผล ภายในใช้สมาน แผลในล าไส้แก้ท้องร่วง เช่น ผลมะตูมอ่อน ผลสมอ ลูกหว้า เปลือกมังคุด เปลือกผลทับทิม เปลือกต้นข่อย ใบฝรั่ง รสหวาน เนื่องจากมีน้ าตาลท าให้ชุ่มชื่น บ ารุงก าลัง แก่อ่อนเพลีย เช่น ราก ชะเอม น้ าอ้อยสด น้ าผึ้ง ดอกคาฝอย เป็นต้น รสมัน มีสารพวกไขมัน น้ ามัน มีสรรพคุณช่วยเพิ่มพลังงานให้ร่างกาย เช่น เมล็ดถั่ว เมล็ดงา ผักกะเฉด เมล็ดบัวหลวง รสเค็ม มีสารพวกเกลือ สรรพคุณรักษาโรคผิวหนังเน่าเปื่อย ช่วยย่อยอาหาร ช่วยเพิ่มน้ า ร่างกาย เช่น ใบโคกกระสุน เกลือ รสเปรี้ยว มีพวกกรดอ่อน สรรพคุณบรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ ป้องกัน เลือดออกตาม ไรฟันเช่น ส้ม มะนาว มะกรูด รสขม มีสารพวกอัลคาลอยด์บางชนิด สรรพคุณกระตุ้นให้เจริญอาหาร เช่น เถ้า บอระเพ็ด ผลมะระ ดอกขี้เหล็ก รากระย่อม ผักโขม รสเมาเบื่อ มีสารพวกไกลโคไซด์และอัลคาลอยด์บางชนิดสารพวกนี้ถ้ารับประทานเข้า ไปจะท าให้เกิดอาการมึนงง ประสาทถูกกด สรรพคุณแก้พิษต่างๆ พิษแมลงสัตว์กัดต่อย บรรเทาอาการ ปวด เช่น ยางฝิ่น ใบกัญชา ดอกลาโพง ใบกระท่อม ลูกมะเกลือ รากทองพันชั่ง รสเผ็ดร้อน มีสารพวกเรซิน (Resins) เช่น ชัน น้ ามันสน และไกลโคไซด์บางชนิด สารประกอบพวกฟีนอล (Phenols) บางตัว เช่น แคพไซซีน (Capsicin) ซึ่งมีอยู่ในพริก มีความเผ็ดร้อน มาก สรรพคุณช่วยขับลม บรรเทาอาการกระหายน้ า อ่อนเพลีย เช่น ดอกมะระ พิกุล บุนนาค สารภีจา ปีจ าปา รสจืดมีธาตุต่าง ๆ เช่น เกลือโปแทสเซียม ซึ่งมีสรรพคุณในทางขับปัสสาวะ แก้ไข้ลด ความร้อน เช่น ใบต าลึง ใบผักบุ้ง เถาว์รางจืด ใบเงินใบทอง ความรู้ทั่วไปไปเกี่ยวกับยาสมุนไพร การน าสมุนไพรมาใช้รักษาโรคนั้น ใช้ได้ในหลายรูปแบบ เช่น การใช้สมุนไพรสดๆ ใช้ในรูปยา ต้มยาชง ยาลูกกลอน ยาดองเหล้า และยาพอก เป็นต้น 1. ใช้ในรูปสมุนไพรสดๆ สมุนไพรบางชนิดนิยมใช้ในรูปสมุนไพรสดจึงจะให้ผลดีเช่น วุ้นจากใบว่านหางจระเข้สด ใช้ทาแผลไฟไหม้น้ าร้อนลวก, ใบผักบุ้งทะเลสดนามาต า ใช้ทาแผลที่ถูกพิษ แมงกะพรุน หรือกระเทียมสดนามาฝานเป็นชิ้นบางๆ ใช้ทาบริเวณผิวหนังที่เป็นเชื้อรา เป็นต้น ในกรณี การใช้สมุนไพรสด ควรระวังในเรื่องของความสะอาด เพราะถ้าสกปรก อาจติดเชื้อทาให้แผลเป็นหนอง ได้ 2. ต าคั้นเอาน้ ากิน ใช้สมุนไพรสดๆ ต าให้ละเอียดจนเหลว ถ้าไม่มีน้ าให้เติมน้ า ลงไป เล็กน้อยคั้นเอาน้ ายาที่ได้กิน สมุนไพรบางชนิด เช่น กระทือ กระชายให้น าไปเผาไฟให้สุก เสียก่อนจึง ค่อยต า 3. ยาชง ส่วนมากมักใช้กับพวกใบไม้เช่น หญ้าหนวดแมว, ใบชุมเห็ดเทศ, กระเจี๊ยบ เป็นต้น วิธีท าน าตัวยาที่จะใช้ล้างให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง หรือ คั่วให้กรอบอย่าให้ไหม้น้ ามาใส่ภาชนะที่ สะอาด ไม่ใช้ภาชนะโลหะ วิธีชงท าโดยใช้สมุนไพร 1 ส่วน ผสมกับน้ าเดือด 10 ส่วน ปิดฝาทิ้ง ไว้5-10 นาทียาชงเป็นรูปแบบยาที่มีกลิ่นหอมชวนดื่มและเป็นวิธีสะดวกรวดเร็ว ยาชง ตัวยาหนึ่งชุด นิยมใช้ เพียงครั้งเดียว
25 4. ยาต้ม เป็นวิธีที่นิยมใช้และสะดวกมากที่สุด สามารถใช้ได้ทั้งตัวยาสดหรือ แห้ง ใน ตัวยาที่สารส าคัญสามารถละลายได้ในน้ า โดยการน าตัวยามาท าความสะอาด สับให้เป็นท่อน ขนาด พอเหมาะและให้ง่ายต่อการท าละลายของน้ ากับตัวยา น าใส่ลงในหม้อ (ควรใช้หม้อดินใหม่หรือ ภาชนะ เคลือบผิว ที่ไม่ให้สารพิษเมื่อถูกความร้อน การใช้หม้ออะลูมิเนียมหรือโลหะ จะท าให้ฤทธิ์ของ ยาลดลง หรือมีโลหะปนออกมากับน้ ายาได้) เติมน้ าให้ท่วมยา (โดยใช้มือกดลงบนยาเบาๆ ให้ตัวยาอยู่ใต้น้ า) น าไปตั้งไฟ ต้มให้เดือด ตามที่ก าหนดในต ารับยา 5. ยาดอง ใช้ได้ผลดีกับตัวยาที่สารส าคัญละลายน้ าได้น้อย น้ ายาที่ได้จะออก ฤทธิ์เร็ว และแรงกว่าการใช้วิธีต้ม นิยมใช้กับตัวยาแห้ง โดยน าตัวยามาบดหยาบ หรือ สับเป็นท่อนเล็กๆ ใส่ลงใน ขวดโหลหรือไห เทเหล้าขาว นิยมใช้เหล้าข้าวเหนียว หรือเหล้าโรง 40 ดีกรีแต่อาจใช้เหล้า 28 ดีกรี แทนได้ใส่ให้เหล้าท่วมยาพอประมาณ ถ้าเป็นตัวยาแห้ง ตัวยาจะพองตัวท าให้เหล้าแห้งหรือพร่อง ไป ควรเติมให้ท่วมยาอยู่เสมอ นิยมใช้ไม้ไผ่ซี่เล็กๆขัดกันไม่ให้ตัวยาลอยขึ้นมา ควรคนกลับยาทุกวันปิด ฝา ทิ้งไว้นานประมาน 30 วัน จึงรินเอาน้ ายามาใช้หรือรับประทานในกรณีที่สารส าคัญไม่สลายตัว เมื่อถูก ความร้อนอาจย่นเวลา การดองได้โดยใช้วิธีดองร้อน คือ น าตัวยาห่อผ้าขาวบางสะอาด ใส่โหลเท เหล้า ลงไปให้ท่วมยา เอาขวดโหลที่ใส่ยาและเหล้าแล้ววางลงในหม้อใบโตพอเหมาะ เติมน้ าธรรมดาลง ใน หม้อชั้นนอก ท าเหมือนการตุน กะอย่าให้มากเกินไป นาไปตั้งไฟต้มน้ าให้เดือด แล้วยกขวดโหลยา ออกมา ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 7-14 วัน ก็สามารถรินเอาน้ ายามาใช้ได้ 6. ยาเม็ด ยาไทยส่วนมากมักจะมีรสที่ไม่ค่อยชวนรับประทาน ส าหรับตัวยาบางตัว สามารถน ามาท าเป็นยาเม็ด เพื่อให้การใช้สะดวกขึ้น การท ายาเม็ด นิยมท าเป็นแบบลูกกลอน (เม็ดกลม) และเม็ดแบน (โดยใช้แบบพิมพ์อัดเม็ด) ในปัจจุบันเพิ่มการบรรจุแคปซูลเข้าไปอีกวิธีหนึ่ง ตัวยาสมุนไพรมีปริมาณสารส าคัญที่ใช้ในการรักษาไม่คงที่แน่นอน เนื่องจากสาเหตุหลาย ประการ และนอกจากจะมีสารส าคัญที่ใช้ในการบ าบัดรักษาแล้ว ยังมีสารอื่นๆอีกหลายชนิด ทั้งที่เป็น สารส าคัญ และกากยา ดังนั้นการใช้ยาสมุนไพร จึงใช้โดยประมาณปริมาณ เพื่อให้การให้ยาแต่ละครั้งมี ปริมาณสารส าคัญหรือสรรพคุณยา เพียงพอที่จะบ าบัดรักษาและไม่เกินความต้องการอันอาจก่อให้เกิด พิษภัยได้การก าหนดขนาดของยาที่ใช้แต่ละครั้งจึงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน รายที่ป่วยหนัก โรคร้ายแรงหรือยาที่มีฤทธิ์แรงจะต้องอาศัยความรู้ความช านาญซึ่งเป็นทั้งศาสตร์และ ศิลปะของผู้เป็นแพทย์จะอย่างไรก็ตาม การใช้ยาสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเองสามารถกระท าได้เฉพาะใน การใช้ตัวยาสมุนไพรที่ไม่มีผลข้างเคียง ไม่มีพิษ หรือที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไป การแปรสภาพตัวยาสมุนไพร ตัวยาสมุนไพรโดยทั่วไปมีทั้งการใช้ของสด และการใช้ของแห้ง การใช้ของสดนั้นมีข้อดีตรงใช้ สะดวกใช้ง่าย แต่ฤทธิ์การรักษาอาการของสมุนไพรไม่คงที่ บางครั้งมีฤทธิ์ดีบางครั้งไม่ดีตัวอย่าง สมุนไพรสด เช่น ว่านหางจระเข้รากหญ้าคา แต่การใช้สมุนไพรส่วนมากนิยมใช้ของแห้ง โดยเลือกเก็บ ยาสมุนไพรที่เหมาะสมนั้น โดยทั่วไปน าส่วนที่ผ่านการคัดเลือกแล้วมาล้างให้สะอาดตัดเป็น ชิ้นขนาด พอเหมาะแล้วใช้ความร้อนท าให้แห้งเพื่อสะดวกในการรักษา วิธีการแปรสภาพตัวยาสมุนไพร นั้น แตกต่างกันไปตามชนิดของพืชส่วนที่ใช้เป็นยาและความเคยชินของแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีวิธีการแปรสภาพ สมุนไพรดังนี้ 1. วิธีการแปรสภาพตัวยาสมุนไพร รากและส่วนที่อยู่ใต้ดิน เมื่อคัดขนาดที่พอ ๆ กันที่เอาไว้ด้วยกันจากนั้นล้างดิน และสิ่ง สกปรกที่ติดอยู่ให้สะอาด เอารากฝอยออกให้หมดหากว่าเป็นพืชเนื้ออ่อนน ามาผ่านขบวนการ ให้ความ
26 ร้อนตามชนิดของพืชนั้น พืชที่ใช้หัวและรากส่วนมากประกอบด้วย โปรตีน เป็น เอนไซม์หากผ่านการให้ ความร้อนแบบต้มนึ่ง หรือนึ่งด้วยกามะถันเหลือง จะท าให้เก็บรักษาได้นานขึ้น แมลงไม่ กัดกิน แล้ว น ามาตัดเป็นชิ้น ๆ อบให้แห้ง เปลือก หั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีตากให้แห้ง ใบและทั้งต้น พืชที่มีน้ ามันหอม ระเหยควรผึ่งไว้ในที่ร่มไม่ควรตากแดด เช่น สะระแหน่ เป็นต้น โดยทั่วไปเก็บใบหรือล าต้นมาล้างให้ สะอาด แล้วน ามาตากแดดให้แห้งสนิทจากนั้นจึงเก็บให้มิดชิดระวังอย่าให้ขึ้นรา ดอก หลังจากเก็บมา นานแล้ว ตากแห้งหรืออบให้แห้ง แต่ควรรักษารูปดอกให้สมบูรณ์ไม่ให้ตัวยาถูกท าลาย สูญเสียไป เช่น ดอกก้านพลูผล โดยทั่วไป เก็บแล้วตากแดดให้แห้งเลย มีเพียงบางอย่างเท่านั้น ที่ต้องหั่นเป็นชิ้นก่อน ตากหรืออบด้วยความร้อนก่อน เช่น ผลมะตูม บางชนิดให้ลวกน้ าร้อน หรือนึ่ง หรือ รมควัน เช่น ลูก กระดอม เมล็ด เก็บผลมาตากให้แห้ง แล้วจึงเอาเปลือกออกเช่น ชุมเห็ดไทย บางอย่าง เก็บผลแห้งก็มี เช่น ผลกระวาน (เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, 2540) 2. วิธีเก็บเกี่ยวสมุนไพร การปรุงยาให้มีคุณภาพนั้น นอกจากจะต้องรู้หลักและวิธีการปรุงยาแล้ว จะต้องรู้วิธี เก็บเกี่ยวสมุนไพรอีกด้วย ตาราแพทย์ไทยจึงได้ก าหนดวิธีการเก็บไว้4 อย่างคือ เก็บตามฤดูเก็บตามทิศ ทั้งสี่ เก็บตามวันและเวลา และเก็บตามยามและได้อธิบายวิธีเก็บไว้ดังนี้ 2.1 เก็บตามฤดูมีดังนี้ 1. คิมหันตฤดู(ฤดูร้อน) เก็บรากและแก่น 2. วสันตฤดู(ฤดูฝน) เก็บใบ ลูก และดอก 3. เหมันตฤดู(ฤดูหนาว) เก็บเปลือกกระพี้และเนื้อไม้ 2.2 เก็บตามทิศทั้งสี่ ดังนี้ 1. วันอาทิตย์และวันอังคาร เก็บทางทิศตะวันออก 2. วันพุธ และวันศุกร์เก็บทางทิศใต้ 3.วันจันทร์และวันเสาร์เก็บทางทิศตะวันตก 4.วันพฤหัสบดีเก็บทางทิศเหนือ 2.3 เก็บตามวันและเวลา 1. วันอาทิตย์เช้าเก็บต้น สายเก็บใบ เที่ยงเก็บราก เย็นเก็บเปลือก 2. วันจันทร์เช้าเก็บใบ สายเก็บแก่น เที่ยงเก็บต้น เย็นเก็บเปลือก 3. วันอังคาร เช้าเก็บใบ สายเก็บเปลือก เที่ยงเก็บต้น เย็นเก็บราก 4. วันพุธ เช้าเก็บราก สายเก็บเปลือก เที่ยงเก็บต้น เย็นเก็บแก่น 5. วันพฤหัสบดีเช้าเก็บแก่น สายเก็บใบ เที่ยงเก็บราก เย็นเก็บเปลือก 6. วันศุกร์เช้าเก็บใบ สายเก็บราก เที่ยงเก็บเปลือก เย็นเก็บต้น 7. วันเสาร์เช้าเก็บราก สายเก็บต้น เที่ยงเก็บเปลือก เย็นเก็บใบ 2.4 เก็บตามยาม (ยามเป็นชื่อส่วนของวัน ยามหนึ่งมี3 ชั่วโมง ยาม 1 เริ่มตั้งแต่ 06.00น.) กลางวัน ยาม 1 เก็บใบ ดอก และลูก ยาม 2 เก็บกิ่ง และก้าน ยาม 3 เก็บ ต้น เปลือก และแก่น ยาม 4 เก็บราก กลางคืน ยาม 1 เก็บราก ยาม 2 เก็บต้น เปลือก และแก่น ยาม 3 เก็บ กิ่ง และ ก้าน ยาม 4 เก็บใบ ดอก และลูก ประโยชน์ของการเก็บเกี่ยวตามที่ตาราแพทย์ไทยได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ก็เพื่อ
27 1. สงวนพันธุ์ของสมุนไพรไว้มิให้สูญไปโดยไม่เก็บจากบริเวณหนึ่งบริเวณใด โดยเฉพาะ 2. ให้ได้ตัวยาที่มีสรรพคุณดีเพราะสรรพคุณของตัวยาขึ้นกับดินฟ้าอากาศ 3. ให้ได้ตัวยาถูกต้องตามที่ตาราได้ก าหนดไว้ จากการวิจัยในปัจจุบันพบว่าปริมาณของสารส าคัญในการออกฤทธิ์รักษาอาการ เจ็บป่วยที่ได้จากส่วนต่าง ๆ ของสมุนไพรมีมากน้อยแตกต่างกันตามระยะของการเจริญเติบโตของพืช การเก็บสมุนไพรให้ได้สารส าคัญสูง จึงมีหลักการว่า ส่วนของรากและล าต้นใต้ดินให้เก็บหลังจากต้น เจริญเติบโตเต็มที่ก่อนจะออกดอก ส่วนของเปลือกต้นให้เก็บก่อนที่พืชจะเจริญเติบโตเต็มที่ก่อนที่จะ ออกดอก ใบและยอดให้เก็บตอนที่เริ่มออกดอก ดอกให้เก็บก่อนที่จะมีการผสมเกสร ผลให้เก็บก่อน หรือ หลังผลสุก เมล็ดให้เก็บเมื่อเมล็ดแก่เต็มที่ สมุนไพรบางชนิดจ าเป็นต้องผึ่งให้แห้งก่อนจะเก็บไว้โดยทั่วไป จะใช้วิธีผึ่งแดด หรือผึ่งให้แห้งในร่ม ถ้าจะอบไม่ควรใช้ความร้อนเกิน 45 องศาเซลเซียส เพราะอาจท า ให้สารส าคัญเสียไป การเก็บควรเก็บในที่แห้งและไม่ให้ถูกแสง เนื่องจากสาระส าคัญอาจถูกท าลายได้ ด้วยความชื้นหรือแสง ในสมัยโบราณมักเก็บไว้ในลิ้นชัก หรือกระป๋องทึบซึ่งป้องกัน ความชื้นและแสงได้ อาหารกับสมุนไพร 1. อาหารสมุนไพรประจาธาตุเจ้าเรือน นอกจากอาหารหลัก 5 หมู่แล้ว ควรมีการบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือน ตามทฤษฏีการแพทย์แผนไทย ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสมดุลทางร่างกาย เป็นการส่งเสริมสุขภาพให้ ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ๑ กินอาหารตามธาตุ ในทัศนะของแพทย์แผนไทย ร่างกายของมนุษย์ ประกอบด้วยธาตุ4 คือ ดิน น้ า ลม ไฟ ธาตุทั้ง 4 ต้องมีความสมดุลกัน ซึ่งจะทาให้สุขภาพปกติไม่เจ็บ ไข้อาหารที่คนเรา รับประทานเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่จะบ ารุงธาตุให้สมดุล โดยเฉพาะอาหารที่มีพืช สมุนไพรเป็นส่วนประกอบ จะมี สรรพคุณในการปรับธาตุที่หย่อน หรือก าเริบให้กลับสู่สภาวะปกติ อาหารของผู้ที่มีธาตุดินเป็นธาตุเจ้าเรือน คนธาตุดินมักจะมีร่างกาย และกล้ามเนื้อ แข็งแรงควร รับประทานผัก และผลไม้ที่มีรสฝาด รสหวาน รสมัน รสเค็ม เช่น ฝรั่งดิบ หัวปลีกล้วย มะละกอ เผือก มัน ถั่วพูกะหล่ าปลีผักกะเฉด ฯลฯ สรรพคุณของอาหาร อาหารรสฝาดช่วยสมานปิด ธาตุ หากรับประทานมาก เกินไป ท าให้ฝืดคอ ท้องอืด ท้องผูก อาหารรสหวานจะซึมซับไปตามเนื้อท า ให้ชุ่มชื่น บ ารุงก าลังหาก รับประทานมากเกินไป ทาให้ก าเริบ ง่วงนอน เกียจคร้าน อาหารรสมัน แก้ เส้น เอ็นพิการ ปวดเสียว ขัดยอก กระตุก อาหารของผู้ที่มีธาตุน้ าเป็นธาตุเจ้าเรือน คนธาตุน้ ามักมีรูปร่างสมส่วน ท้วมถึงอ้วน ผิวพรรณสดใส ควรรับประทานผัก และผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว หลีกเลี่ยงอาหารรสมันจัด เช่น มะเขือเทศ ส้มโอ สับประรด มะนาว ส้มเขียวหวาน ยอดมะขามอ่อน สรรพคุณของอาหาร อาหารรสเปรี้ยว แก้ เสมหะพิการ กัดฟอก เสมหะ กระตุ้นน้ าลาย เจริญอาหาร หากรับประทานมากเกินไป ท าให้ท้องอืด แสลงแผลร้อนใน อาหารของผู้ที่มีธาตุลมเป็นธาตุเจ้าเรือนคนธาตุลมมักมีรูปร่างโปร่ง ไม่อ้วน ผิวหนัง แห้ง ควร รับประทานผัก และผลไม้ที่มีรสเผ็ดร้อน หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัด เช่น กะเพรา โหระพา ตะไคร้ข า กระเทียม คึ่นฉ่าย ขิง ยี่หร่า ฯลฯ อาหารรสเผ็ดร้อนแก้โรคในกองลม ลมจุกเสียด ปวดท้อง ลมปูวง หากรับประทานมากเกินไป ท าให้เกิดอาการอ่อนเพลีย และเผ็ดร้อน
28 อาหารของผู้ที่มีธาตุไฟเป็นธาตุเจ้าเรือน คนธาตุไฟมักมีรูปร่างผอม ผิวคล้า ตกกระ กล้ามเนื้อ กระดูกหลวม ควรรับประทานผัก และผลไม้ที่มีรสขม รสเย็น รสจืด หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด ร้อน เช่น สะเดา แตงโม หัวผักกาด ฟักเขียว แตงกวา คะน้ า บวบ มะเขือ ฯลฯ สรรพคุณของอาหาร อาหารรสขม แก้โลหิตเป็นพิษ ดีพิการ เพ้อคลั่ง หากรับประทานมาก ท าให้ก าลังตกอ่อนเพลีย อาหาร เย็นแก้ไข้แก้ร้อนใน แก้ไข้พิษ แก้ไข้เพื่อก าเดา ดับพิษร้อน 2. การจ าแนกรสสมุนไพรของผักพื้นบ้านสี่ภาค ผักพื้นบ้านสี่ภาค นอกจากจะมีคุณค าทางโภชนาสูงแล้ว ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณเป็นยา สมุนไพร เนื่องจากมีรสยาประกอบอยู่ด้วย และการแพทย์แผนไทยให้ความส าคัญ กับรสอาหารผัก พื้นบ้านสี่ภาค สามารถจ าแนกรสสมุนไพรได้ดังนี้ รสฝาด มีสรรพคุณแก้ในการสมานแผล แก้ท้องร่วง บิด บ ารุงธาตุ เช่น ยอดจิก ยอด มะม่วงหิมพานต์ผลมะตูมอ่อน มะเดื่ออุทุมพร ยอดฝรั่ง ผักกระโดน ยอดเสม็ด เป็นต้น รสหวาน มีสรรพคุณซึมซาบไปตามเนื้อ ท าไห๎ชุ่มชื่น บ ารุงก าลัง แก้อ่อนเพลีย ถ้าใช้ มากเกินไปแสลงกับโรค เบาหวาน เสมหะเฟื่อง แสลงบาดแผล ท าให้แผลชื้น เช่น เห็ด บุก ผักหวานป่า หน่อไม้ผลฟักข้าว ดอกลีลาว เต่ารั้ง ผักขี้หูด เป็นต้น รสขม มีสรรพคุณบ ารุงโลหิตและดีเช่น ฝักเพกา มะระขี้นก ยอดหวาย ดอก ขี้เหล็ก ใบยอ สะเดา ผักโขม มะเขือ ยอดมะรุม เป็นต้น รสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณแก้ลมจุกเสียด แน่นเฟ้อ ขับผายลม บ ารุงธาตุ เช่น ดอกกระทือ ดอกกระเจียวแดง ผักหูเสือ ดีปลีใบแมงลัก ผักคราดหัวแหวน ใบกระเพรา ใบชะพลูขิง ข่า เป็นต้น รสหอมเย็นมีสรรพคุณบ ารุงหัวใจ ท าให้ใจคอสดชื่น ครรภ์รักษา แก้เสมหะ โลหิต แก้ อ่อนเพลีย เช่น เตยหอม บัว ผักบุ้งไทย สันตะวา โสน ดอกขจร เป็นต้น รสเปรี้ยวมีสรรพคุณ แก้ทางเสมหะ ฟอกโลหิต ระบาย เช่น ยอดมะขามอ่อน มะนาว มะเฟือง ยอดชะมวง มะดัน เป็นต้น รสมัน มีสรรพคุณแก้เส้นเอ็นพิการ บ ารุงไขข้อ บ ารุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ บ ารุง เยื่อกระดูก เช่น สะตอ เนียง บัวบก ขนุนอ่อน ถั่วพูฟักทอง กระถิน มัน ยอดผักติ้ว ชะอม เป็นต้น คนไทยมีวัฒนธรรมในการปรุงแต่งอาหารที่หลากหลาย และแตกต่างกันไป อัน เนื่องมาจากความ อุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินที่มีวัตถุดิบ อาทิผักพื้นบ้านต่างๆ เช่น ดอกกระเจียว ผักหวาน ต้นบอน ต้นบุก พืชตระกูลมัน เช่น มันอ่อน มันมือเสือ หรือพืชป่าต่างๆ อีกมากมาย คนไทย จึง น าวัตถุดิบเหล่านั้นมาปรุงแต่ง เป็นอาหารได้มากมายหลายวิธีเช่น แกงส้ม ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านภาคกลาง และภาคใต้มีคุณสมบัติคล้ายยาหม้อ เนื่องจากประกอบไป ด้วยสมุนไพรหลายชนิดมาปรุงรวมกัน เช่น พริก หอม กระเทียม ขมิ้น เป็นต้น เมี่ยงค า ซึ่งจัดเป็นอาหารว่าง ก็ประกอบไปด้วยสมุนไพรปรับธาตุ เช่น ใบ ชะพลูซึ่ง เป็นยาปรับธาตุ ดิน ขิงและพริก เป็นยาปรับธาตุลมมะนาว เป็นยาปรับธาตุน้ า เป็นต้น ส้มต า หรือต้มย า ก็มีคุณสมบัติเช่นเดียวกัน คือ เป็นอาหารที่มีการน าพืชผัก สมุนไพร มาผสมปรุง แต่งเป็นอาหารหลายประเภทเป็นที่ชื่นชอบทั้งของคนไทยและชาวต่างชาติเพราะ มีรสชาติ อร่อย และมีเอกลักษณ์ของตนเอง อาจสรุปได้ว่า การรับประทานอาหารตามธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ า ลม ไฟ นั้น เปรียบได้ กับการ รับประทานอาหาร 5 หมู่คือ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ไวตามิน และเกลือแร่ ในการแพทย์
29 แผน ปัจจุบันนั่นเอง (นิทรรศการแพทย์แผนไทย : http://www.thaipun.com/food/food-1.htm : 1 ธันวาคม 2551.) ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพร 1. ใช้ให้ถูกต้น สมุนไพรมีชื่อซ้ ากันหรือใกล้เคียงกันมากและบางท้องถิ่นก็เรียกไม่ เหมือนกัน จึงต้องรู้จักสมุนไพรและใช้ให้ถูกต้น 2. ใช้ให้ถูกส่วน ต้นสมุนไพรไม่ว่าจะเป็นราก ใบ ดอก เปลือก ผล เมล็ด จะมีฤทธิ์ไม่ เท่ากัน บางทีผลแก้ผลอ่อน ก็มีฤทธิ์ต่างกันด้วย ต้องรู้ว่าส่วนใด ใช้เป็นยาได้ 3. ใช้ให้ถูกขนาด สมุนไพรถ้าใช้น้อยไป ก็รักษาไม่ได้ผล แต่ถ้ามากไปก็อาจเป็น อันตรายหรือ เกิดพิษต่อร่างกายได้ 4. ใช้ให้ถูกวิธียาสมุนไพรแต่ละชนิด น ามาใช้ต่างกัน มีต้ม, บดเป็นผง, ดอง, ฝน, กิน, ทา, ถูนวด, อบ, รม, หรือ สูดดม เป็นต้น จะต้องรู้วิธีใช้ให้ถูกต้อง 5. ใช้ให้ถูกกับโรค ต้องดูสรรพคุณให้แน่ชัด ว่าใช้แก้โรคอะไร เช่น ท้องผูกต้องใช้ยา ระบาย ถ้า ใช้ยาที่มีฤทธิ์ฝาดสมานจะท าให้ท้องผูกยิ่งขึ้น 6. รักษาความสะอาด ต้องสะอาด ทั้งเครื่องใช้ตัวยา มือ และ สิ่งประกอบอื่นๆ อาการแพ้ที่อาจพบได้จากการใช้ยาสมุนไพร 1. ผื่นขึ้นตามผิวหนังอาจเป็นตุ่มเล็กๆ ตุ่มโตๆ เป็นปื้นหรือเป็นเม็ดแบนอาจบวมที่ตา หรือริม ฝีปาก 2. เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน (หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง) 3. ประสาทรับความรู้สึกท างานไวเกินปกติเช่น เพียงแตะผิวหนังก็รู้สึกเจ็บ ฯลฯ 4. ใจสั่น ใจเต้น หรือรู้สึกวูบวาบคล้ายหัวใจจะหยุดเต้น และเป็นบ่อย ๆ 5. ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเหลือง เขย่าเกิดฟองสีเหลือง (เป็นอาการของดีซ่าน) อาการนี้แสดงถึงอันตรายร้ายแรง ต้องรีบไปพบแพทย์ อาการเจ็บป่วยและโรคที่ไม่ควรใช้สมุนไพรรักษา หากผู้ป่วย มีอาการข้างต้น แต่รุนแรง ควรไปหาหมอ หรือไปโรงพยาบาล และถ้ามีอาการ ดังต่อไปนี้ไม่ควรใช้ยาสมุนไพร หรือ ซื้อยามากินเอง ควรไปพบแพทย์หรือโรงพยาบาล 1. ไข้สูง (ตัวร้อนมาก) ตาแดง ปวดเมื่อย ซึม บางทีเพ้อ จับไข้วันเว้นวันหรือสองวัน 2. ไข้สูง ตัวเหลือง (ดีซ่าน) อ่อนเพลีย อาจมีเจ็บแถวๆชายโครง 3. ปวดท้องแถวๆรอบสะดือ หรือต่ าจากสะดือลงมาทางขวา เอามือกดเจ็บ ท้องแข็งอาจ มีไข้อาจมีท้องผูก อาจมีคลื่นไส้อาเจียนด้วย 4. เจ็บแปลบๆในท้อง ปวดท้องรุนแรง อาจมีตัวร้อน คลื่นไส้อาเจียนด้วย บางทีเคย ปวด ท้องบ่อยๆ แต่เพิ่งมาปวดแรงตอนนี้ 5. อาเจียน หรือ ไอ มีเลือดออกมาด้วย ควรน าส่งโรงพยาบาลโดยด่วน 6. ท้องเดินอย่างแรง ถ่ายเป็นน้ า บางทีเหมือนน้ าซาวข้าว บางทีพุ่งออกมา ถ่ายติดติดกัน อ่อนเพลียมาก ตาลึก ผิวแห้ง ถ้าเป็นเด็ก ไม่ควรให้ถ่ายเกิน 3 ครั้ง ถ้าผู้ใหญ่ไม่ควรให้เกิน 5 ครั้ง ต้องรีบ ส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ถ้าอยู่ไกลโรงพยาบาล ให้ไปแจ้งที่สถานีอนามัย หรือ อสม. หาน้ าเกลือแห้งมา
30 ละลายน้ าให้กิน ถ้าหาไม่ได้ให้เอาเกลือที่ใช้ในครัว มาละลายน้ า ถ้ามีน้ าตาลผสมลงไปนิดหน่อยให้กิน ในระหว่างพาส่งโรงพยาบาล 7. ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด บางทีเกือบไม่มีเนื้ออุจจาระเลย ถ่ายบ่อย อาจถึง 10 ครั้ง ใน 1 ชั่วโมง และเพลียมาก 8. ในเด็กอายุต่ ากว่า 12 ปีไข้ตัวร้อนมากไอมากหายใจเสียงผิดปกติหน้าเขียว หรือ ไม่ มีไอ แต่ซึมไข้ลอย (คือไข้ไม่ลดตัวร้อนอยู่นาน ตัวร้อนตลอดเวลา) 9. มีเลือดสดๆออกมา จากทางใดก็ตาม อาจเป็นทางช่องคลอด เป็นต้น 10. โรคร้ายแรงอื่นๆ เช่น โรคเรื้อรัง, โรคที่ดูอาการไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่ งูพิษกัด, สุนัขบ้ากัด, บาดทะยัก (ตื่นเต้นง่าย คอแข็ง ขากรรไกรแข็ง หนาวสะท าน มีไข้เล็กน้อย ปวดหัว), กระดูกหัก, มะเร็ง, วัณโรค, กามโรค, ความดันเลือดสูงปอดบวม, โรคตา ฯลฯ (นิทรรศการแพทย์แผน ไทย : http://www .thaipun.com/food/food-1.htm : 1 ธันวาคม 2551.) 2.4 เครือหมาน้อย 2.4.1 เครือหมาน้อย ชื่อวิทยาศาสตร์Cissampelos pareira Linn. var. hirsutus (Buch. ex. DC) Ferman วงศ์ MENISPERMACEAE ชื่อสามัญ กรุงเขมา (นครศรีธรรมราช) วุ้นหม้อน้อย ขงเขมา พระพาย (กลาง)หมา น้อย เครือหมาน้อย (อีสาน) กันปิด (ใต้)เปล้าเลือด (แม่ฮ่องสอน) สีฟัน (เพชรบุรี) อะกามินเยาะ (นราธิวาส) เครือหมาน้อย เป็นไม้เถาเลื้อย ล าดันมีขนปกกลุมทั่วไป ไม่มีมือเกาะ เลื้อยพันต้นไม้อื่นๆ มีราก สะสมอาหารใต้คิน เป็นพืชใบเคี่ยวรูปหัวใจ กันใบปีด ออกสลับกัน ขอบไบเรียบ มีขนนุ่มทั้งค้านบนและ ท้องของใบ ดอกเป็นกระจุกสีขาว ขนาดเล็กประมาณ 0.2-0.5 มิลลิเมตร ก้านผลอวบยาวประมาณ 1 ซนติเมตร ผลสีส้ม ทรงกลมรีอยู่ตรงปลาย เมื่อสุกมีสีน้ าตาลแดง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดหรือเหง้า ปลูกได้ ทั่วไปในดินร่วนปนทราย มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และแสงแดดไม่จัด ใช้เถาใบในการบริโภค โดยน า เถาใบคั้นเอาน้ าผสมกับเครื่องปรงอาหาร จะเป็นเหมือนวันรับประทานเป็นอาหารได้ มีสรรพคุณทางยา เป็นยาแก้ร้อนใน โรดตับ ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคหิด โรคบิด ระบบปัสสาวะผิดปกติ และรักษา บาดแผล (สถาบันการแพทย์แผนไทย, 2542; Mukerji & Bhandari, 1959) รูปภาพประกอบที่2-1 เครือหมาน้อย
31 การที่น้ าคั้นที่ได้จากการขยี้ใบเครือหมาน้อยกับน้ าและตั้งทิ้งไว้ 10-15 นาที สามารถก่อตัวเป็น เจลที่มีลักษณะคล้ายวุ้นได้ เนื่องจากในใบของเครือหมาน้อยมีเพดตินเป็นองค์ประกอบ และในปี 2546 พิเซษฐ์ ได้ท าการศึกษาหาปริมาณของเพคตินที่มีในเครือหมาน้อย พบว่าจากใบเครือหมาน้อย 100 กรัม สามารถสกัดเป็นเพกตินได้ 30 กรัม หรือ คิดเป็น 30 เปอร์เซ็นต์โดยน้ าหนัก ซึ่งจากสมบัติของเพคติน สามารถดูดซับคลอเรสเตอรอลเส้นเลือดได้ หากรับประทาน จะช่วยลดปัญหาปริมาณคลอเลสเตอรอล และน ามาปรุงเป็นอาหารหรือของหวานส าหรับเด็กนั้น จะได้ทั้งเป็นอาหารกินเล่นที่มีประ โยชน์และเป็น ขนมที่เป็นยาบ ารุง ยาแก้ร้อนใน รวมไปถึงแก้ปวดท้องได้อีกด้วย (ราตรีถีระวงษ์,2551) 2.4.2 เพคดิน เพคติน คือ โพลีแซกคาไรด์ (polysaccharide) ที่มีน้ าหนักโมเลกุลสูงประกอบด้วยโพลิเมอร์ ของ D-galacturonic acid (ประมาณ 65 % โดยน้ าหนัก) เป็นสายหลักหรือที่เรียกว่า smooth regions และมีกิ่งแขนง (hair regions) อาจเป็น arabinose, galactose, rhamnose และบางส่วนของ หมู่คาร์บอกซิล(-COOH) ที่ D-galacturonic acid จะถูกเอสเทอริไฟด์ด้วยหมู่เมทธิล (-CH.) เป็นเมทธิล เอสเทอร์ รูปภาพประกอบที่ 2-2 โครงสร้างของเพคติน ที่มา : Wikimedia Foundation, Inc. (2010) เพคดิน เป็นสารที่สกัดได้จากเปลือกผลไม้ เช่น แอปเปิ้ถ พืชตระกูลส้ม หรือมะนาว จัดเป็น Polysaccharide ชนิดหนึ่ง ซึ่งเอนไซม์ที่ล าไส้เล็กไม่สามารถย่อยสลายได้ เพคตินมีประโยชน์ คือ เป็นใย อาหาร (dietary fiber) ที่มีคุณสมบัติในการละลายน้ าได้ (water soluble fiber) (สถาบันวิจัย วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย) ในอุตสาหกรรมอาหาร เพคตินมีบทบาทส าคัญเกี่ยวกับเนื้อสัมผัสของอาหาร เนื่องจากเป็นสาร ที่ท าให้เกิดลักษณะเป็นเจลและความข้น ซึ่งคุณสมบัติในการเป็นเจลนี้จะขึ้นอยู่กับ Degree of methyI esterification (DME) คือ อัตราส่วนของหมู่ methylated galacturonic acid ต่อหมู่ galacturonic acid ทั้งหมดที่มีอยู่ใน โมเลกุลของเพดติน ประเภทของเพกติน แบ่งตามค่า DM ได้เป็น 2 ชนิด คือ 1) ชนิด Low mcthoxy (LM) ซึ่งจะมีค่า DM น้อยกว่า 50 % 2) ชนิด high methoxy (HM) ซึ่งมีค่า DM มากกว่า 50%
32 เพคตินที่สกัดได้จากธรรมชาติจะเป็นชนิด HM ที่มีค่า DM สูงถึง 75% เมื่อน ามาท าให้ เกิดปฏิกิริยาde-esterification จะได้เพคดินชนิด LM เพคตินทั้งชนิด LM และ HM จะมีสมบัติและการ น าไปใช้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน นาตยา (2549) ศึกษาคุณสมบัติและกลไกการยึดติดเชื่อเมือกของเพคติน พบว่า เพคตินมี คุณสมบัติยึดติดเยื่อเมือกในทางเดินอาหาร โดยมีกลไกที่เกี่ยวข้อง คือ ในขั้นแรกเพคตินจะเกิดการเปียก และพองตัวท าให้สัมผัสกับชั้นเชื่อเมื่อก จากนั้นสายโซ่โมเลกุลของเพคดินและมิวซินจะพันกัน แพร่เข้า หากันและอาจเกิดพันธะใฮโครเจนหรือพันธะอื่นๆ ระหว่างสายโซ่ในขั้นตอนสุดท้ายการเลือกชนิดของ เพกตินที่เหมาะสมอาจจะช่วยให้รูปแบบยาสามารถยึดติดเยื่อเมือกในบริเวณที่ต้องการให้มีการดูดซึมยา ได้ 2.4.3 สารสี สี (c๐lor) หมายถึง สีที่ปรากฎเมื่อคนเรามองวัตถุที่มีสี เช่น สีแดง สีเขียว สีน้ าเงิน หรือสี เหลืองเป็นต้น ส่วนสารสี (colorant)เป็นสารเคมีใดๆ ทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือ เป็นสารสังเคราะห์ ที่ให้สีออกมา อาหารที่มาจากพืชและสัตว์ ภายในเซลล์และเนื้อเยื่อของพืชและสัตว์ก็ให้สีต่างๆ กัน ซึ่งเกิดขึ้น ได้เนื่องจากมีสารที่ให้สี เรียกว่า สารสี หรือ รงควัตถุ (pigment) ซึ่งมีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ เช่น สี เขียวของผักใบเขียวเนื่องจากมีคลอโรฟิลล์ หรือสีเหลือง สีส้ม และสีแดงเนื่องจากสีของแคโรทีนอยด์ เป็นต้น ดังนั้นสีของอาหารส่วนใหญ่จึงเป็นสารสีที่ได้จากธรรมชาติ แต่มีอาหารบางชนิดมีการเติมสี สังเคราะห์ลงไปสีที่เติมลงไปนี้จัดเป็นวัตถุเจือปนอาหารชนิดหนึ่ง ความส าคัญของสีอาหาร สีเป็นสมบัติทางกายภาพอย่างหนึ่งของอาหาร ทั้งอาหารที่ได้จากธรรมชาติและอาหารที่แปรรูป เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพราะสีเป็นปัจจัยส าคัญที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารร่วมกับลักษณะ ปรากฏอื่นๆ และการยอมรับสีอาหารของผู้บริโภคจะแตกต่างกันตามฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ แตกต่างกันด้วย นอกจากนี้สีของอาหารยังใช้ขี้บ่งถึงการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่อาจเกิดขึ้นในอาหารได้ ด้วย เช่น ปฏิกิริยาการเกิดสีน้ าตาลและการไหม้ของน้ าตาล หรือการเกิดปฏิกิริยาคาราเมไลเซชัน คุณภาพของอาหารบางชนิดใช้บ่งชี้ได้ด้วยสี เช่น สีของเนื้อสัตว์และเนื้อปลาแซลมอนอาหารที่ได้จาก ธรรมชาติทั้งที่มาจากพืชและสัตว์จะมีชนิดของรงควัตถุหรือสารสีแตกต่างกัน นอกจากนี้สารมีในอาหาร ที่ได้จากพืชแต่ละ ชนิดก็ยังมีสมบัติแตกต่างกันอีกด้วย สารสีในอาหารจากพืช สารสีที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติที่ได้จากพืช สามารถจ าแนกออกตามสมบัติของการละลาย ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่ละลายได้ในน้ ามันและตัวท าละลายอินทรีย์ ได้แก่ คลอโรฟิลล์และแคโรทีนอยค์ 2. กลุ่มที่ละลายได้ในน้ า ได้แก่ แอนโทไซยานินและฟลาโวนอยด์ 1) คลอโรฟิลล์ คลอโรฟิลล์เป็นสารสีเขียวที่พบอยู่ในพืช โดยเฉพาะผักใบเขียวและผลไม้ดิบบางชนิด คลอโรฟิลล์มีหน้าที่ส าคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสง ซึ่งเป็นกระบวนการที่จ าเป็นต่อการด ารงชีวิต คลอโรฟิลล์ที่พบในพืชมี 2 ชนิด คือ คลอโรฟิลล์เอและคลอโรฟิลล์บี และยังมี คลอโรฟิลล์ที่พบในแบคทีเรียและสาหร่าย เช่น คลอโรฟิลล์ซีและคลอโรฟิลล์ดี
33 คลอโรฟิลล์เอมีสูตร โครงสร้างเป็นเตตระไพโรล ซึ่งวงแหวนพอร์ไฟรินอยู่ในรูปได ไฮโดรและมีแมกนีเซียมอะตอมอยู่ตรงกลางโมเลกุล มีหมู่มทิลที่ต าแหน่ง 1,3,5 และ มีหมู่ไวนิลที่ ต าแหน่ง 2 หมู่ เอทิลที่ต าแหน่ง 4 หมู่โพรพิโอเนต ที่ต าแหน่ง 7 ถูกเอสเทอริไฟด้วยไฟดิลแอลกอฮอล์ มี หมู่ดีโตนที่ต าแหน่ง 9 และมีหมู่คาร์โบเมทอกซีที่ต าแหน่ง 10 ท าให้คลอโรฟิลล์เอมีสูตรโมเลกุล C55 H70 O6 N4 Mg คลอโรฟิลล์บีมี โครงสร้างโมลกุลคล้ายคลอโรฟิลล์เอมาก ยกเว้นที่ต าแหน่ง 3 ซึ่งใน คลอโรฟิลล์เอเป็น หมู่เมทิล แต่คลอโรฟิลล์บีเป็นหมู่ฟอร์มิล และมีสูตรโมเลกุลเป็น C55 H70 O6 N4 Mg ในระหว่างกระบวนการแปรรูปพืชผักที่มีสีเขียวโดยใช้ความร้อน จะมีการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น เนื่องจากปฎิกิริยา phcophytinization คือ แมกนีเซียมไอออนจะถูกแทนที่ด้วยไฮโดรเจน อะตอม ท าให้คลอโรฟิลล์ถูกเปลี่ยนเป็นฟีโอไฟดิน จึงเป็นการสูญเสียแร่ธาตุแมกนีเซียมออกไปจาก โมเลกุลของคลอโรฟิลล์ สีเขียวของพืชจะเปลี่ยนเป็นสีน้ าตาล (olive brown) ของฟีโอไฟดิน ผลของกระบวนการแปรรูปและการเก็บรักษา ผักและผลไม้ที่มีสีเขียว เมื่อผ่านกระบนการแปรรูปด้วยความร้อน สีเขียวของ คลอโรฟิลล์จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมน้ าตาลของฟีโอไฟดินอย่างรวดเร็ว และเมื่อน าไปเก็บรักษาสีจะ เปลี่ยนแปลงมากขึ้น อัตราเร็วของการเปลี่ยนสีของคลอโรฟิลล์ขึ้นอยู่กับปริมาณกรดที่เกิดขึ้นใน กระบวนการแปรรูปอาหารด้วย และคลอโรฟิลล์เอจะเปลี่ยนไปเป็นพี โอ ไฟดินเอได้รวดเร็วกว่า คลอโรฟิลล์บีเปลี่ยนไปเป็นฟิโอไฟตินบีประมาณ 5-10 เท่า คลอโรฟิลล์ พีโอไฟดิน ไพโรฟีโอไฟติน การแช่เยือกแข็งก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสีของพืชผักที่มีสีเขียว ปัจจัยที่ส าคัญ คือ ระยะเวลาและอุณหภูมิที่ใช้ในการลวก ควรใช้ความร้อนสูงและระยะเวลาสั้น ในระหว่างกระบวนการท าผักแห้ง คลอโรฟิลล์จะเปลี่ยนเป็นฟื โอไฟตินได้เช่นเดียวกัน และการเปลี่ยนแปลงยังขึ้นอยู่กับ degree of blanching ก่อนที่จะน าไปท าแห้งด้วย การเก็บรักษาก็มีผลท าให้เกิดการสลายตัวของคลอโรฟิลล์ เช่น ผักแห้งที่บรรจุใน ภาชนะใสจะเกิดโฟโตออกซิเคชัน และมีการสูญเสียสารสีท าให้สีเปลี่ยน ไปได้ ถ้าผักแห้งมีค่า a ต่ ากว่า 0.32 จะท าให้คลอโรฟิลล์ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นฟิโอไฟตินได้ ความคงตัวของคลอโรฟิลล์ในอาหารอบแห้ง ค่า aw ในอาหารแห้งมีผลต่อการสลายตัวของกลอโรฟิลล์ ที่ภาวะ aw สูงจะท าให้ จุลินทรีย์เจริญและเกิดปฏิกิริยาที่เร่งด้วยเอนไซม์ได้ง่าย หากอาหารแห้งมีค่า aw ต่ า จะท าให้ไม่มีน้ า เพียงพอในปฏิกิริยาการเปลี่ยนคลอโรฟิลล์ให้เป็นสารฟีโอไฟดิน ผลการศึกษาการสลายตัวของ คลอโรฟิลล์ในผักโขมพบว่า เมื่อ aw อยู่ในช่วง 0-0.32 คลอโรฟิลล์จะมีความคงตัวดีระหว่างการเก็บ รักษาที่อุณหภูมิ 37C เมื่อaw เพิ่มขึ้นเป็น0.52-0.75 จะมีฟีโอไฟดินเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว 2) แอนโทไซยานิน แอนโทไซยานิน เป็นสารสีที่พบใน cell sap ของพืชอยู่ในรูปของไกลโคไซค์ ให้สี แดงน้ าเงิน และม่วง ในผัก ผลไม้ และดอกไม้ชนิดต่างๆ เนื่องจากโมเลกุลของแอนโทไซยานินเป็นไกลโคไซค์ ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ าตาล และส่วนที่เป็นอะไกลโดน เรียกว่า แอนโทไซยานิดิน ซึ่งแยกออกจากกันได้โดยการไฮโครไลซิสด้วยกรด
34 ในเนื้อเยื่อพืชจะไม่พบอะไกลโดนที่อยู่ในรูปอิสระจะพบเฉพาะที่อยู่ในรูปไกลโกไซค์ คือ รวมกับน้ าตาล เป็นเอสเทอร์เท่านั้น โดรงสร้างพื้นฐานในโมเลกุลของแอนโทไซยานิดิน ประกอบด้วยวงแหวนเบนโซไพแรน 2 วง ต่อกับวงแหวนฟีนิล แอนโทไชยานินส่วนใหญ่เป็นอนุพันธ์ 3,5,7-ไตรไฮครอกชีฟลาวิเสียมคลอไรด์ โมเลกุลของน้ าตาลจะเอสเทอริไฟด์กับหมู่ไฮครอกชิลที่ต าแหน่ง 3 สารประกอบแอนโทไซยานิดินที่พบ มากและอยู่ในรูปของออกไซเนียมไอออน คือ ที่ออกซิเจนอะตอมมีประจุบวก ได้แก่ ไซยานิดิน พีลาร์โก นิดิน เคลพีนิดิน และพีโอนิดิน สีของแอนโทไซยานินถูกควบคุมด้วยปัจจัยที่ส าคัญ 2 อย่าง คือ 1. โครงสร้าง หากในโครงสร้างวงแหวนฟีนิลมีจ านวนหมู่ใฮครอกชิลหรือหมู่เมทอกซิส (OCH3)เพิ่มขึ้น จะมีผลต่อสีแอนโทไซยานิน เช่น การเพิ่มหมู่ใฮครอกซิสให้มากขึ้นจะท าให้มีสีเข้มขึ้น และสีจะเปลี่ยนเป็นสีน้ าเงินมากขึ้นด้วย และการเพิ่มหมู่มทอกซิลแทนที่หมูใฮครอกซิลที่ต าแหน่ง 3’ และ 5' จะท าให้มีสีแดงเพิ่มขึ้น 2. พีเอช พีเอของสารละลายที่แอนโทไซยานินละลายอยู่ มีผลต่ออัตราการสลายตัว ของแเอนโทไซยานิน ท าให้สีเปลี่ยนไปได้ เช่น ไซยาบินซึ่งเป็นสีแดงของเชอรี่และแตรนเบอรี่ จะเปลี่ยน จากสีแดงเป็นสีน้ าเงิน เมื่อพีเอซเปลี่ยนจาก 3 เป็น 11 และ การเปลี่ยนแปลงพีเอชยังอาจเกิดขึ้นเมื่อมี การเปลี่ยนแปลงทางสรีระของผักและผลไม้ เช่น ระหว่างการสุกของผล ไม้จะมีการเปลี่ยนแปลงพีเอช มี ผลท าให้สีของผลไม้เปลี่ยนแปลงไปได้โดยเฉพาะผลไม้จะพวกเบอรี่ การเปลี่ยนสีเนื่องจากการ เปลี่ยนแปลงของพีเอชยังขึ้นอยู่กับเกลือของเอนโทไซยานินด้วยว่าเป็นโพแทสเซียม ไอออน โซเดียม ไอออน เเคลเซียมไอออน หรือ แอมโมเนียไอออน สารสีแอน โทไซยานินที่อยู่ในผักและผลไม้จะถูกท าลายได้ง่ายในกระบวนการแปรรูปอาหาร เช่น การใช้อุณหภูมิสูง ความเข้มข้นของน้ าตาลสูง พีเอช กรดอะมิโน กรดแอสดอร์บิก โลนะไอออน และภาวะที่มีออกซิเจน จะมีผลเร่งอัตราเร็วของการสลายตัวของแอนโทชยานินให้เกิดเร็วขึ้น เนื่องจาก เกิดปฏิกิริยาคอนเคนเซชันของแอนโทไซยานินกับสารประกอบเหล่านี้ เช่น แยมสตรอเบอรี่ซึ่งมีสีแดง เมื่อเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องนาน 2 ปีจะเปลี่ยนเป็นสีน้ าตาลแดง เนื่องจากมีสารโฟลบาเฟ่น (phiobaphen)เกิดขึ้นระหว่างการเก็บรักษา (นิธิยา รัตนปนนท์, 2545) 2.4.4 การท าแห้ง การท าแห้ง หมายถึง กระบวนการให้ความร้อนกับของแข็งที่มีของเหลวประกอบอยู่ หรือการ ให้ความร้อนกับสารละลายเพื่อให้ของเหลวหรือตัวท าละลายนั้นระเหยออกไป การท าแห้งเป็นวิธีในการถนอมอาหารที่เก่าแก่ พบว่ามีการน าเนื้อสัตว์และปลาไปตากแดด ตั้งแต่อดีตซึ่งไม่มีการบันทึกไว้ว่าเริ่มใช้วิธีดังกล่าวในปีใด ส่วนในปัจจุบันนี้กระบวนการท าแห้งอาหารมี ความส าคัญเนื่องจากเป็นวิธีถนอมอาหารที่ท าให้เราสามารถเก็บอาหาร ได้นาน โดยปราศจากการเน่า เสีย สาเหตุที่ท าให้อาหารเก็บได้นานขึ้นเมื่ออาหารนั้นผ่านการท าแห้ง เนื่องจากการที่น้ าที่จุลินทรีย์ใช้ใน การด ารงชีวิตมีไม่พอเพียงต่อกิจกรรมภายในเซลล์ ช่วยชะลอกิจกรรมต่างๆ เช่น การเจริญเติบโตการ แบ่งเซลล์ นอกจากนั้น ยังช่วยเอนไซม์หลายชนิดที่ไม่ต้องการซึ่งมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เคมีของสารอาหารได้ จุดประสงค์หลักในการท าแห้ง คือ เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา แต่การท าแห้งนั้นยังกลายในด้าน กระบวนการแปรรูปอาหารด้วย เช่น การอบขนมปัง เป็นการประยุกต์ใช้ความร้อนจากลมร้อนไปท าให้ ท าให้โครงสร้างของโปรตีนและสตาร์ชเปลี่ยนแปลงไป ท าให้ตัวโดห์สามารถเก็บรักษาแก๊สได้ ในบาง
35 สถานการณ์การสูญเสียความชื้นกลับเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการ ยกตัวอย่างเช่น ในระหว่าง การเก็บรักษาเนย เข็ง และเนื้อสัตว์สด หรือที่ผ่านการแช่แข็ง และรวมไปถึงอาหารอื่นๆ ที่สัมผัสกับอาหารร้อน การท าแห้งอาหารเป็นการจัดน้ าออกจากชิ้นอาหาร ซึ่งน้ าส่วนใหญ่ในอาหารจะระเหยออกจาก อาหารด้วยความร้อนแฝง ดังนั้นจึงควรมีการควบคุมปัจจัยส าคัญ 2 ตัว ในการท าแห้งดังต่อไปนี้ 1) การถ่ายโอนความร้อนจะต้องครอบคลุมปริมาณความร้อนแฝงในการระเหย 2) การเคลื่อนที่ของน้ าและเปลี่ยนสถานะไปเป็นไอผ่านเนื้ออาหาร และผลจากการที่น้ าถูกขจัด ออกไปจากอาหาร สภาวะการท าแท้ง สามารถจ าแนกได้ออกเป็น 3 กรณี ดังนี้ 1) การท าแห้งภายใต้ความดันบรรยากาศด้วยอากาศร้อน เละเครื่องท าแห้งชนิดสัมผัสความ ร้อนจะถูกถ่ายโอนเข้าไปในอาหารจากลมร้อน หรือผิวสัมผัสร้อน แล้วน้ าจะถูกจึงออกไปด้วยอากาศที่ไม่ อิ่มตัว 2) การท าแห้งภายใต้สูญญากาศ ข้อดี คือ เกิดการจึงน้ าออกได้อย่างรวดเร็วภายใต้ความดันที่ ต่ าว่าวิธี ที่ 1 ลักษณะการถ่ายโอนความร้อนที่เกิดขึ้นมักเกิดแบบการพา บางครั้งเกิดร่วมกับการฉายรังสี 3) การท าแห้งแบบเยือกแข็ง แตกต่างจาก 2 วิธีแรก ตรงที่น้ าที่อยู่สถานะน้ าแข็งจะกลายเป็น ไอโดยการระเหิด ลักษณะโครงสร้างของอาหารจึงยังมีสภาพที่ดีกว่า แต่มีต้นทุนการผลิตสูงและ ได้ ผลผลิตน้อย (Suksai M., 2010) ประโยชน์ของการท าแห้ง 1) ป้องกันการเน่าเสียง่ายเชื้อจุลินทรีย์ ปฏิกิริยาเคมี และเอนไซม์ 2) ท าให้มีใช้ในยามขาดแคลน นอกฤดูกาลหรือแหล่งห่างไกล 3) เก็บไว้ได้นานโดยไม่ต้องแช่ตู้เย็นให้เปลืองด่าใช้จ่าย 4) ลดน้ าหนักอาหาร ท าให้สะดวกในการบรรจุ เก็บรักษาและขนส่ง 5) ได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ 6) ให้ความสะดวกในการใช้ 2.5 แนวความคิดที่เกี่ยวกับความหลากหลายของพืชอาหาร ความหลากหลายของพืชอาหาร หมายถึง การมีจ านวนชนิดของพืชอาหารที่มีจ านวนมาก มีความแตกต่างกันตามแต่ละชนิด ทั้งไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม ไม้เลื้อย ไม้ล้มลุก ซึ่งมีรูปร่างลักษณะการ เจริญเติบโต ฤดูกาลเก็บผลิต ส่วนที่น ามาบริโภค วิธีการน ามาบริโภคที่แตกต่างกัน แปรผันมาจาก การวิวัฒนาการ ระบบนิเวศ ชนิดพันธุ์และพันธุกรรมที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ความส าคัญของพืชอาหาร โดยกลุ่มชนพื้นบ้านน าพืชหลากชนิดมาใช้เป็นอาหารแตกต่างกันไป ในแต่ละท้องถิ่น ตามวัฒนธรรมการบริโภคของชนเผ่า การศึกษาพฤกษศาสตร์พื้นบ้านในเรื่องของพืช อาหารพื้นบ้าน จะเน้นเฉพาะพืชที่เก็บหาได้ในธรรมชาติจากป่า ท้องทุ่ง ฯลฯ พืชป่าหลายชนิดถูกน ามา ปลูกทิ้งไว้ตามหัวไร่ปลายนา หรือในบริเวณหมู่บ้าน เพื่อความสะดวกในการเก็บหา น ามาใช้บริโภคใน ชีวิตประจ าวัน พืชอาหารบางชนิด เป็นที่นิยมกันทั่วไป เกิดการแก่งแย่งเก็บหาออกจากป่า จนเกินก าลัง ผลิต ท าให้ผลิตผลในธรรมชาติลดลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในปัจจุบันได้มีการน าพืชป่าดังกล่าว มาปลูกขยายพันธุ์ในสวน หรือในแปลง เพื่อเก็บผลิตผลเป็นการค้า เช่น สะตอ เนียง ผักหวาน ผัก กระเฉด ฯลฯ พืชอาหารที่ใช้บริโภคเก็บหาในธรรมชาติบางครั้งจะพบวางขายตามตลาดสดในชนบท จ าแนกออกเป็นกลุ่ม ได้ดังนี้