86 1. ผลิตภัณฑ์(Product) การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องเป็นไปตามความต้องการของ ตลาดเป้าหมาย ฝ่ายจัดการจ าเป็นตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1.1 การเลือกผลิตภัณฑ์และสายผลิตภัณฑ์ 1.2 การเพิ่มหรือลดรายการผลิตภัณฑ์ในสายผลิตภัณฑ์ 1.3 ตราสินค้า 1.4 การก าหนดมาตรฐานและการจัดเกรดของสินค้า 2. ราคา (Price) ในขณะที่ผู้จัดการฝ่ายการตลาดก าลังด าเนินงานเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์การจัด จ าหน่าย และการส่งเสริมการตลาด เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายตรงตามความต้องการของตลาดอยู่นั้น ใน ขณะเดียวกันกับสิ่งที่เขาจ าเป็นต้องคิดถึงอีกอย่าง คือ การตัดสินใจเพื่อก าหนดราคาที่เหมาะสมและ ยุติธรรมไปพร้อมๆ กันอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ครบตามองค์ประกอบของการพัฒนาส่วนประสมการตลาดทั้ง 4 อย่าง และทั้งยังท าให้โปรแกรมการตลาดเป็นที่ดึงดูดความสนใจของลูกค้าอีกด้วย ในการก าหนดราคา ที่ถูกต้องนั้น ผู้บริหารจ าเป็นต้องพิจารณาถึงสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้ 2.1 ลักษณะการแข่งขันในตลาดเป้าหมาย 2.2 การก าหนดก าไรที่เคยปฏิบัติกันมา 2.3 การให้ส่วนลดและเงื่อนไขในการขายที่เป็นอยู่ 2.4 กฎหมายควบคุมราคาสินค้าต่างๆ 3. การจัดจ าหน่าย (Place) ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดจ าหน่ายสินค้าและบริหารที่ส าคัญ ที่ผู้บริหารจะต้องค านึงอย่างมากคือเรื่องเวลา และสถานที่ ที่ลูกค้าต้องการ เราต้องพิจารณาว่าที่ไหน เมื่อไร และใครจะเป็นผู้เสนอสินค้าและบริหารให้แก่ลูกค้า บางครั้งการจัดจ าหน่ายจ าเป็นต้องผ่าน ช่องทางหลายขั้นตอนจึงจะได้ผล แต่บางครั้งอาจใช้วิธีง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อน การด าเนินการเกี่ยวกับการ จัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์และบริการนี้ปกติแล้วจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง การค้าส่ง การค้าปลีก การขนส่ง และ การเก็บรักษาสินค้า อยู่เสมอ 4. การส่งเสริมการตลาด (Promotion) การส่งเสริมการตลาดเกี่ยวข้องกับการติดต่อ สื่อสาร ไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตามไปยังตลาดเป้าหมาย เพื่อให้ลูกค้าทราบว่าเรามีผลิตภัณฑ์ที่เขา ต้องการออกจ าหน่ายแล้ว ซึ่งลูกค้าจะสามารถหาซื้อเพื่อน าไปสนองความต้องการของเขา ณ ที่ใดได้บ้าง โดยซื้อได้ในราคาที่เหมาะสมยุติธรรม และยังรวมถึง การส่งเสริมการขาย การโฆษณา การขายโดย บุคคล การประชาสัมพันธ์และการตลาดเจาะจง อีกด้วย ซึ่งวิธีการต่างๆ เหล่านี้เป็นวิธีช่วยเสริมสร้าง การติดต่อสื่อสารให้ลูกค้ามีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ที่เราเสนอขายในท้องตลาดมากยิ่งขึ้น พิษณุจงสถิตย์วัฒนา (2542) กล่าวว่า ปัจจัยแปรผันทางการตลาด เป็นเครื่องมือโดยตรง ส าหรับการวางแผนงานทางการตลาด และเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางการตลาด เพราะเป็นสิ่งแปร ผันที่ผู้บริหารสามารถบริหารและควบคุมได้ปัจจัยแปรผันทางการตลาดเป็นปัจจัยที่อยู่ภายใต้การ ควบคุมของบริษัท และบริษัทสามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ในการสร้างสรรค์การขาย เสรีวงษ์มณฑา (2542) กล่าวว่า การมีสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และขายในราคาที่ผู้บริโภคยอมรับได้ผู้บริโภคยินดีจ่ายเพราะเห็นว่าคุ้ม รวมถึงมีการจัดจ าหน่าย กระจายสินค้าสอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้อเพื่อให้ความสะดวกแก่ลูกค้า ความพยายามจูงใจให้เกิด ความชอบในสินค้าเรียกว่า ส่วนผสมทางการตลาด ประกอบด้วยปัจจัยดังนี้คือ - ผลิตภัณฑ์ (Product) หมายถึง การมีสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า กลุ่มเป้าหมายได้
87 - ราคา (Price) หมายถึง การมีราคาที่ผู้บริโภคยอมรับได้และยินดีจ่ายเพราะมองเห็นว่า คุ้มค่า - การจัดจ าหน่าย (Place) หมายถึง การจัดจ าหน่าย กระจายสินค้าให้สอดคล้องกับ พฤติกรรมการซื้อหา และให้ความสะดวกแก่ลูกค้า - การส่งเสริมการตลาด (Promotion) หมายถึง การใช้ความพยายามจูงใจให้เกิด ความชอบในสินค้าและเกิดพฤติกรรมอย่างถูกต้อง Boon and Kurtz (ศิริวรรณ เสรีรัตน์และคณะ. 2543; อ้างอิงจาก Boon and Kurtz. 1998. Contemporary Marketing) กล่าวว่า ปัจจัยทางการตลาด (Marketing factors) หรือส่วนประสมทาง การตลาด หมายถึง กลยุทธ์ทางการตลาด ที่ธุรกิจจะต้องใช้ร่วมกันในการตัดสินใจทางการตลาดเพื่อ สนองความพึงพอใจของตลาดเป้าหมาย ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์(Product) ราคา (Price) การจัด จ าหน่าย (Place) และการส่งเสริมการขาย (Promotion) ซึ่งรวมเรียกสั้นๆ ว่า 4Ps ธงชัย สันติวงษ์(2538) ได้กล่าวถึง ส่วนประสมทางการตลาด หมายถึง “การผสมที่เข้ากันได้ อย่างดีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของการก าหนดราคา การส่งเสริมการขาย ผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายและ ระบบการจัดจ าหน่าย ได้มีการจัดออกแบบเพื่อใช้ส าหรับการเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการ” อดุลย์จาตุรงคกุล (2543) ได้กล่าวว่า ส่วนประสมทางการตลาด คือ เครื่องมือทางการตลาดชุด หนึ่งที่บริษัทใช้ให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาดในตลาดเป้าหมาย จ าแนกเครื่องมือเหล่านี้เป็นกลุ่ม กว้างๆ 4 กลุ่มที่เขาเรียกว่า 4Ps ของการตลาด คือ สินค้า (Product) ราคา (Price) สถานที่ (Place) และการส่งเสริมการจ าหน่าย (Promotion) สรุปได้ว่า แนวคิดเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาดจะเป็นเครื่องมือทางการตลาด และกลยุทธ์ ทางการตลาด ที่ธุรกิจจะต้องใช้ร่วมกันในการตัดสินใจทางการตลาดเพื่อสนองความพึงพอใจของตลาด เป้าหมาย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ราคา ช่องทางการจัดจ าหน่าย และการส่งเสริมการตลาด ที่บริษัทจะต้อง ปรับใช้เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการ 2.12 แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค การบริหารจัดการในองค์การเป็นเรื่องของการจัดการให้บุคคลหนึ่งปฏิบัติกิจกรรมต่างๆร่วมกัน เพื่อน าไปสู่การบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายขององค์การ รูปแบบของการจัดการจะเป็นตัวก าหนด หน้าที่และบทบาทของบุคคลในกระบวนการด าเนินงานของโครงการ นับตั้งแต่สังคมโลกเข้าสู่ยุคปฏิวัติ อุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน มีผู้คิดค้นทฤษฎีของการบริหารจัดการหลายทฤษฎี ซึ่งจะแสดงถึงความคิด ความเชื่อ และกระบวนการปฏิบัติของมนุษย์ในองค์การ ทฤษฎีการบริหาร จัดการยุคใหม่ที่ส าคัญได้แก่ ทฤษฎีระบบ (The system theory) ทฤษฎีการบริหารงานเชิงปริมาณ (The quantitative approach) ทฤษฎีการบริหารงานเชิงสถานการณ์(The contingency approach) (สมใจ ลักษณะ. 2542 : 33) ทฤษฎีระบบ (Systems theory) เกิดขึ้นจากการมององค์การว่าประกอบด้วยระบบ ย่อยๆ ภายในระบบย่อยๆ มีลักษณะการท างานเฉพาะที่ต่างกัน แต่ท างานเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันไปสู่วัตถุประสงค์ ขององค์การ องค์ประกอบส าคัญของระบบย่อยๆ ในองค์การ คือ - ระบบปัจจัย ประกอบด้วย บุคคล วัสดุ เครื่องมือ เงิน ข้อมูล - ระบบกระบวนการ ประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์การ การน าและสั่ง การ การควบคุมและเทคโนโลยี
88 - ระบบผลผลิต ประกอบด้วย ผลิตผลขององค์การ หรือการให้บริการขององค์การ ก าไร หรือการขาดทุน ความเจริญก้าวหน้าของคนงานและความพอใจของคนงาน - ระบบเปิด (Open system) คือระบบที่ด าเนินงานภายใต้การมีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อม เป็นระบบที่พร้อมจะรับปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม ใช้ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) จากผลการ ด าเนินงานมาปรับปรุงแก้ไข - ระบบปิด (Closed system) เป็นระบบที่ไม่เปิดโอกาสให้สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพล ต่อการด าเนินงาน ทฤษฎีระบบมีประโยชน์ต่อการจัดการในแง่ที่ช่วยจ าแนกแยกแยะส่วนประกอบขององค์การได้ ละเอียด ช่วยเป็นพื้นฐานของการประเมินตรวจสอบความส าเร็จประสิทธิภาพและปัญหาของการ ด าเนินงานองค์การว่าควรปรับปรุงตรงระบบใดและช่วยชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของการด าเนินงานด้าน ต่างๆ ขององค์การที่จะมีผลกระทบถึงกัน ถ้าระบบใดมีปัญหาจะกระทบให้ระบบอื่นมีปัญหาไปด้วย การ บริหารจัดการจึงต้องเอาใจใส่ทุกระบบในองค์การ ทฤษฎีการบริหารงานเชิงปริมาณ (The quantitative approach) เป็นทฤษฎีที่มุ่งเน้นถึง ผลผลิตที่ออกมาด้วยกระบวนการผลิตที่อาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นส าคัญ ดังนั้น สิ่งที่ผลิต ออกมาจึงจะเป็นรูปแบบที่เหมือนกันเท่าๆ กันเป็นปริมาณมากๆ หรือจะเรียกว่าเป็นกระบวนการจัดการ ทางวิทยาศาสตร์จุดเน้นการบริหารเชิงปริมาณมีจุดเน้นที่การใช้รูปแบบกระบวนการ ความสัมพันธ์และ การประเมินทางคณิตศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาทางการบริหาร ทฤษฎีการบริหารงานเชิงสถานการณ์(The contingency approach) เป็นวิธีการศึกษาที่ ให้ความส าคัญกับการผสมผสานความคิดของทฤษฎีบริหารต่างๆ เข้าด้วยกัน การพัฒนาวิธีการศึกษานี้ ได้รับการกระตุ้นจากผู้บริหาร ที่ปรึกษา และนักวิจัยที่พยายามประยุกต์แนวคิดของทฤษฎีต่างๆ เข้ากับ สถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นจริงซึ่งมักจะพบว่าวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงในสถานการณ์หนึ่งอาจจะไม่มี ประสิทธิภาพภายในสถานการณ์อื่นก็ได้ตามแนวความคิดของวิธีการศึกษาที่ให้ความส าคัญกับ สถานการณ์หน้าที่ของผู้บริหารคือจะต้องชี้ให้เห็นว่าเทคนิคภายใต้สถานการณ์อย่างหนึ่งอย่างใด และ ในเวลาใดเวลาหนึ่งจะให้ผลประโยชน์ดีที่สุดกับเป้าหมายของฝ่ายบริหาร การบริหารเชิงสถานการณ์เมื่อ ปรับรูปแบบเข้ามาใช้กับการบริหารงานในองค์การต่างๆ แล้วจะท าให้องค์การแต่ละองค์การสามารถ ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้มากที่สุดโดยการปรับรูปแบบการจัดการ และการบริหารในแต่ละองค์การ ตามความเหมาะสมอันเป็นการท าให้องค์การนั้นสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวไปสู่ ประสิทธิผลที่เกิดขึ้นมาจากองค์การ สรุปได้ว่า การศึกษาทฤษฎีการบริหารจัดการ ได้แก่ 1) ทฤษฎีเชิงระบบ ที่มีปฏิสัมพันธ์กันและ ต่อสภาพแวดล้อม คือระบบองค์การจะรับปัจจัยน าเข้าในรูป ทรัพยากร ข่าวสาร พลังงาน วัตถุดิบจาก สิ่งแวดล้อมภายนอกผ่านกระบวนการบริหารงานในองค์การและส่งผลผลิตออกมาได้แก่ สินค้า บริการ ให้แก่สังคมภายนอก และเป็นข้อมูลป้อนกลับในการปรับปรุงปัจจัยน าเข้า 2) ทฤษฎีการบริหารเชิง ปริมาณ จะมุ่งเน้นถึงผลผลิตโดยอาศัยการวิเคราะห์เชิงปริมาณ โดยใช้คณิตศาสตร์วิธีทางสถิติซึ่งจะ ช่วยให้คิดหาวิธีการเพิ่มประสิทธิผลองค์การ และ 3) ทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์ผู้บริหาร จะ วิเคราะห์สถานการณ์ขององค์การแล้วตัดสินใจ ว่าควรใช้เทคนิคใดในการจัดการซึ่งมักหาทางเลือกใน การสร้างสิ่งแวดล้อมและเงื่อนไขในการท างาน การก าหนดแผนยุทธศาสตร์การออกแบบองค์การ และ ความเป็นผู้น า ผู้บริหารสามารถน าทฤษฎีการบริหารจัดการเหล่านี้ไปใช้ในองค์การเพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
89 ทฤษฎีพฤติกรรมผู้บริโภค โมเดลพฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer behavior model) เป็นการศึกษาถึงมูลเหตุจูงใจที่ท า ให้เกิดการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์โดยมีจุดเริ่มต้นจากการเกิดสิ่งกระตุ้น (Stimulus) ที่ท าให้เกิด ความต้องการ สิ่งกระตุ้นผ่านเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของผู้ซื้อ (Buyer’s black box) ซึ่ง เปรียบเสมือนกล่องด าซึ่งผู้ผลิตหรือผู้ขายไม่สามารถคาดคะเนได้ความรู้สึกนึกคิดของผู้ซื้อจะได้รับ อิทธิพลจากลักษณะต่างๆ ของผู้ซื้อ และจะมีการตอบสนองของผู้ซื้อ (Buyer’s response) หรือ การ ตัดสินใจของผู้ซื้อ (Buyer’s purchase decision) ดังภาพประกอบ 6 สิ่งกระตุ้นภายนอก (Stimulus=S) สิ่งกระตุ้นทางการ ตลาด (Marketing stimuli) สิ่งกระตุ้นอื่นๆ (Other stimuli) - ผลิตภัณฑ์ - ราคา - การจัดจ าหน่าย - การส่งเสริม การตลาด - เศรษฐกิจ - เทคโนโลยี - การเมือง - วัฒนธรรม ฯลฯ รูปภาพประกอบที่ 2-5 รูปแบบพฤติกรรมผู้ซื้อ (ผู้บริโภค) ที่มา : ศิริวรรณ เสรีรัตน์และคณะ. 2541. จุดเริ่มต้นของโมเดลนี้อยู่ที่สิ่งกระตุ้น (Stimulus) ให้เกิดความต้องการก่อน แล้วท าให้เกิดการ ตอบสนอง (Response) ดังนั้นโมเดลนี้จึงอาจเรียกว่า S-R theory โดยมีรายละเอียดของทฤษฎีดังนี้ ขั นตอนการตัดสินใจของผู้ซื อ (Buyer’s decision process) การรับรู้ปัญหา การค้นหาข้อมูล การประเมินผลทางเลือก การตัดสินใจซื้อ พฤติกรรมภายหลังการซื้อ ลักษณะของผู้ซื อ (Buyer’s characteristic) ปัจจัยด้านวัฒนธรรม ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านจิตวิทยา Buyer’s black box กล่องด าหรือ ความรู้สึกนึกคิด ของ ผู้ซื้อ (Buyer’s Characteristic) การตอบสนองของผู้ ซื อ (Response=R) การเลือกผลิตภัณฑ์ การเลือกราคา การเลือกผู้ขาย เวลาในการซื้อ ปริมาณการซื้อ
90 1. สิ่งกระตุ้น (Stimulus) สิ่งกระตุ้นอาจเกิดขึ้นเองจากภายในร่างกาย (Inside stimulus) และสิ่งกระตุ้นภายนอก (Outside stimulus) นักการตลาดจะต้องสนใจและจัดสิ่งกระตุ้นภายนอก เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการผลิตภัณฑ์สิ่งกระตุ้นถือว่าเป็นเหตุจูงใจให้เกิดการซื้อสินค้า (Buying motive) ซึ่งอาจใช้เหตุจูงใจซื้อด้านเหตุผล และใช้เหตุจูงใจให้ซื้อด้านจิตวิทยา (อารมณ์) ก็ได้สิ่งกระตุ้นภายนอกประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1.1 สิ่งกระตุ้นทางการตลาด (Marketing stimulus) เป็นสิ่งกระตุ้นที่นักการตลาด สามารถควบคุม และต้องจัดให้มีขึ้น เป็นสิ่งกระตุ้นที่เกี่ยวข้องกับส่วนประสมทางการตลาด (Marketing mix) ประกอบด้วย 1.1.1 สิ่งกระตุ้นด้านผลิตภัณฑ์(Product) เช่น ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สวยงาม เพื่อกระตุ้นความต้องการ 1.1.2 สิ่งกระตุ้นด้านราคา (Price) เช่น การก าหนดราคาสินค้าให้เหมาะสมกับ ผลิตภัณฑ์โดยพิจารณาลูกค้าเป้าหมาย 1.1.3 สิ่งกระตุ้นด้านการจัดช่องทางการจ าหน่าย (Distribution หรือ Place) เช่น จัดผลิตภัณฑ์ให้ทั่วถึงเพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้บริโภคถือว่าเป็นการกระตุ้นความต้องการซื้อ 1.1.4 สิ่งกระตุ้นด้านการส่งเสริมการตลาด (Promotion) เช่น การโฆษณา สม่ าเสมอ การใช้ความพยายามของพนักงานขาย การลด แลก แจก แถม การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับ บุคคลทั่วไป เหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งกระตุ้นความต้องการซื้อ 1.2 สิ่งกระตุ้นอื่นๆ (Other stimulus) เป็นสิ่งกระตุ้นความต้องการผู้บริโภคที่อยู่ ภายนอกองค์การ ซึ่งบริษัทควบคุมไม่ได้สิ่งกระตุ้นเหล่านี้ได้แก่ 1.2.1 สิ่งกระตุ้นทางเศรษฐกิจ (Economic) เช่น ภาวะเศรษฐกิจ รายได้ของ ผู้บริโภคเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความต้องการของบุคคล 1.2.2 สิ่งกระตุ้นทางเทคโนโลยี(Technological) เช่น เทคโนโลยีใหม่ ด้าน ฝาก-ถอนเงิน อัตโนมัติสามารถกระตุ้นความต้องการให้ใช้บริการของธนาคารมากขึ้น 1.2.3 สิ่งกระตุ้นทางกฎหมายและการเมือง (Law and political) เช่น กฎหมาย เพิ่ม หรือ ลดภาษีสินค้าใดสินค้าหนึ่ง จะมีอิทธิพลต่อการเพิ่มหรือลดความต้องการของผู้ซื้อ 1.2.4 สิ่งกระตุ้นทางวัฒนธรรม (Cultural) เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยใน เทศกาลต่างๆ จะมีผลกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการซื้อสินค้าในเทศกาลนั้น 2. ลักษณะของผู้ซื อ (Buyer characteristics) ลักษณะของผู้ซื้อมีอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ คือ 2.1 ปัจจัยด้านวัฒนธรรม (Cultural factor) เป็นสัญลักษณ์และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยเป็นที่ยอมรับจากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นหนึ่งโดยเป็นตัวก าหนด และควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม หนึ่ง 2.2 ปัจจัยด้านสังคม (Social factors) เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจ าวันและมี อิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อ กลุ่มอ้างอิงจะมีอิทธิพลต่อบุคคลในกลุ่มทางด้านค่านิยม (Value) การเลือก พฤติกรรม (Behavior) และการด ารงชีวิต (Life style) รวมทั้ง ทัศนคติ(Attitude) และแนวคิดของ บุคคลเนื่องจากบุคคลต้องการให้เป็นที่ยอมรับของกลุ่ม
91 2.3 ปัจจัยส่วนบุคคล (Personal factors) การตัดสินใจของผู้ซื้อได้รับอิทธิพลจาก ลักษณะส่วนบุคคลของคนด้านต่างๆ ประกอบด้วย อายุวงจรชีวิต อาชีพ โอกาสทางเศรษฐกิจ การศึกษา และค่านิยม 2.4 ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา (Psychological factor) การเลือกซื้อของบุคคลได้รับ อิทธิพลจากปัจจัยซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยภายในตัวผู้บริโภคที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อและการใช้สินค้า ปัจจัยภายในประกอบด้วย การจูงใจ การรับรู้การเรียนรู้ความเชื่อถือ ทัศนคติและบุคลิกภาพ 3. กระบวนการตัดสินใจของผู้ซื อ (Buyer decision process) เป็นล าดับขั้นตอนในการ ตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยประกอบด้วยขั้นตอน คือ การรับรู้ความต้องการ (ปัญหาการค้นหาข้อมูล การประเมินผลทางเลือก การตัดสินใจซื้อ และพฤติกรรมภายหลังการซื้อ) รูปภาพประกอบที่ 2-6 กระบวนการตัดสินใจของผู้ซื้อ ที่มา : พิมพ์ศิริมณีผ่อง. 2544; อ้างอิงจาก Kotler. 2000. Marketing Management. 4. การตัดสินใจของผู้ซื อ (Buyer’s decision) การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ผู้บริโภคจะมี การตัดสินใจในประเด็นต่างๆ คือ 1) การเลือกผลิตภัณฑ์(Product choice) 2) การเลือกตราสินค้า (Brand choice) 3) การเลือกผู้ขาย (Dealer choice) 4) การเลือกเวลาในการซื้อ (Purchase timing) และ 5) การเลือกปริมาณการซื้อ (Purchase amount) 5. ความรู้สึกภายหลังการซื อ (Post purchase feeling) หลังจากการซื้อและทดลองใช้ ผลิตภัณฑ์ไปแล้วผู้บริโภคจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับความพอใจหรือไม่พอใจผลิตภัณฑ์ซึ่งนักการตลาด จะต้องพยายามทราบถึงระดับความพอใจของผู้บริโภคภายหลังการซื้อ (พิมพ์ศิริมณีผ่อง. 2544; อ้างอิง จาก Kotler. 2000. Marketing Management.) สรุปได้ว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคจะประกอบไปด้วย สิ่งกระตุ้นที่ท าให้เกิดความ ต้องการ แล้วท าให้เกิดการตอบสนอง และลักษณะของผู้ซื้อซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้คือ ปัจจัยด้านวัฒนธรรม ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัยด้านจิตวิทยา ซึ่งรูปแบบพฤติกรรมผู้ ซื้อ (ผู้บริโภค) ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ ได้แก่ สิ่งกระตุ้น (Stimulus) ลักษณะของผู้ซื้อ (Buyer characteristics) กระบวนการตัดสินใจของผู้ซื้อ (Buyer decision process) การตัดสินใจของผู้ซื้อ (Buyer’s decision) และ ความรู้สึกภายหลังการซื้อ (Post purchase feeling) การรับปัญหา การประเมิน ทางเลือก การค้นหาข้อมูล การตัดสินใจซื้อ พฟติกรรมภายหลังการซื้อ
92 2.13 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์และลักษณะบรรจุภัณฑ์ ปัจจุบันนี้การบริโภคของคนเรานั้นต่างกัน จึงท าให้ความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ ละคนจะมีความรีบเร่งในการออกไปท าหน้าที่ของตนเองไม่ว่าจะเป็นการท างานการค้าขาย หรืออาชีพ ต่าง ๆ อีกมากมาย ดังนั้นบรรจุภัณฑ์จึงเป็นทางเลือกที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในเรื่อง ความสะดวกในการใช้สอย การปกปิดมิดชิดเพื่อความสะอาดสิ่งเหล่านี้ก็ถือได้ว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าทาง ผลิตภัณฑ์และสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค ความหมายของการออกแบบบรรจุภัณฑ์(Packaging) บรรจุภัณฑ์คือ ส่วนประกอบหนึ่งของผลิตภัณฑ์และและบรรจุภัณฑ์ก็เป็นที่ใส่สินค้า(Deliya & Parmar, 2012) บรรจุภัณฑ์คือ วัสดุที่มีไว้ใส่ส าหรับผลิตภัณฑ์ซึ่งส่วนประกอบของบรรจุภัณฑ์มีองค์ประกอบ ของบรรจุภัณฑ์ได้แก่ การออกแบบ สีรูปทรง ฉลากและวัสดุ (Shweta Dhir, 2012) บรรจุภัณฑ์คือ กิจกรรมที่เกี่ยวกับการออกแบบและผลิตสิ่งที่ ห่อหุ้มสินค้า ซึ่งเกี่ยวพันกับฉลาก และตราสินค้าของเจ้าของผลิตภัณฑ์(ด ารงศักดิ์ชัยสนิท, 2550) บรรจุภัณฑ์หมายถึง กิจกรรมหรือการออกแบบและผลิตสิ่งห่อหุ้มเพื่อการดูแลรักษาผลิตภัณฑ์ ให้ปลอดภัย โดยที่การออกแบบบรรจุภัณฑ์เป็นทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปะศาสตร์(อินทร์อุดม ชีลาพร, 2552) บรรจุภัณฑ์หรือการบรรจุหีบห่อ หมายถึง ศาสตร์และศิลป์ที่ใช้ในการบรรจุสินค้าโดยใช้ เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อการคุ้มครองปกป้องสินค้าจากผู้ผลิตจนถึงมือลูกค้า อย่างปลอดภัยด้วยต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม (สถาบันการศึกษานอกโรงเรียน ภาคกลาง,2555) บรรจุภัณฑ์หรือหีบห่อ หมายถึง วัตถุหรือวัสดุที่ใช้บรรจุสินค้า ด้วยวิธีการใส่ หรือห่อหรือด้วย วิธีใดวิธีหนึ่งที่ท าให้สินค้าที่อยู่ภายในปกปิดมิดชิด โดยที่วัสดุที่ใช้บรรจุสินค้านั้นต้องมีหน้าที่ปกป้อง คุ้มครองสินค้าที่อยู่ภายในให้มีความปลอดภัย สะดวกในการใช้งาน และช่วยในการส่งเสริมการจ าหน่าย สินค้าที่อยู่ภายใน บรรจุภัณฑ์อาหารนั้นจะแตกต่างจากบรรจุภัณฑ์ทั่ว ๆไป เพราะบรรจุภัณฑ์อาหารจะ มีบทบาทส าคัญที่จะช่วยรักษาคุณภาพอาหารซึ่งอาจท าให้เปลี่ยนแปลงไปโดยปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์หลักของบรรจุภัณฑ์อาหารคือการยืดอายุการเก็บของอาหารให้ยาวนานขึ้น (สุนิษา มรรค เจริญ, 2553) บรรจุภัณฑ์หมายถึง การน าวัสดุต่าง ๆ ที่สามารถน ามาประกอบเพื่อให้ได้รูปแบบ สีสันความ แข็งแรง ความสวยงาม ได้ขนาดที่เหมาะสมกับสินค้าเพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนย้ายหรือขนส่ง ไม่ท าให้ สินค้าภายในได้รับความเสียหายและคงรูปแบบตามสภาพเดิม พร้อมกับการสร้างมูลค่า สร้างภาพลักษณ์ ให้สินค้า ด้วยวัสดุที่ใช้ในการผลิตต้องรักษาสิ่งแวดล้อมย่อยสลายง่ายและราคาต้องไม่สูงจนเกินไป ท าให้ เกิดความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้บริโภค (พิชยาดา จุลธีระ, 2555) บรรจุภัณฑ์คือ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ และการผลิตภาชนะ หรือหีบห่อส าหรับ ผลิตภัณฑ์ภาชนะ หรือหีบห่อส าหรับผลิตภัณฑ์เรียกว่า บรรจุภัณฑ์นับเป็นเวลานานที่บรรจุภัณฑ์เป็น ที่เข้าใจกันว่าเป็นสิ่งป้องกันและรักษาตัวผลิตภัณฑ์ระหว่างการขนถ่ายเคลื่อนย้ายและในขณะวางบนชั้น วางเพื่อรอการซื้อ และรอการบริโภค แต่ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์ถือว่าเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการตลาด อย่างหนึ่ง (ธนวัฒน์ทีปะปาล, 2553)
93 บรรจุภัณฑ์คือ กระบวนการขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การบรรจุผลิตภัณฑ์ห่อหุ้มและรวบรวม ผลิตภัณฑ์ให้เป็นหน่วย เพื่อการขนส่งและการคุ้มครองปกป้องผลิตภัณฑ์ให้ปลอดภัยจากความเสียหาย เริ่มจากจุดสิ้นสุดของกระบวนการผลิตจากแหล่งผลิต จนกระทั่งมีการเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์ไปยัง ผู้บริโภคอย่างปลอดภัย รวมวัตถุประสงค์ทางด้านการเก็บรักษาและด้านการตลาด(สุมาลีทองรุ่งโรจน์, 2555) บรรจุภัณฑ์หมายถึง ภาชนะที่ใช้ในการจัดเก็บ เคลื่อนย้าย และป้องกันสินค้าจากสิ่งแวดล้อม ภายนอก (ชลทิศ ดาราวงษ์, 2558) ลักษณะของบรรจุภัณฑ์ ผู้บริหารและผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทจ าเป็นต้องนึกถึงลักษณะของบรรจุภัณฑ์เพื่อ น ามาพัฒนาและปรับปรุงได้ในอนาคตให้สอดคล้องกับยุคสมัยและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ลักษณะของบรรจุภัณฑ์สามารถแบ่งได้เป็นหมวดหมู่ ดังแสดง ตารางที่2-2 ลักษณะของบรรจุภัณฑ์และวิธีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์(ชลทิศ ดาราวงษ์, 2558) ลักษณะของบรรจุภัณฑ์ วิธีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ 1. การถ่ายสินค้า 2. การจัดเก็บ 3. ความคงทน 4. ความสะดวกในการถือ 5. การเปิดและปิดใหม่ 6. หลังการใช้ 7. การก าจัด การเปิดบรรจุภัณฑ์การควบคุมสัดส่วน เช่น การมีมาตรการ วัดภายในภาชนะบรรจุ ความสามารถในการตั้ง ความเหมาะสมกับสถานที่จัดเก็บเช่น ห้องน้ า ตู้เย็น ห้องครัว อายุของสินค้า โดยเฉพาะภายหลังการเปิดบรรจุภัณฑ์ ความง่ายต่อการใช้งาน จ านวนในการเปิดปิดที่เหมาะสม ส าหรับการใช้งาน การใช้ครั้งถัดไปสะดวก ง่ายต่อการทิ้ง วัสดุบรรจุภัณฑ์ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม 1. การถ่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์จ านวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาการถ่ายสินค้าออกจากบรรจุภัณฑ์ ดังนั้นผู้ผลิตจึงพยายามพัฒนาบรรจุภัณฑ์เช่น กล่องบรรจุผงซักฟอกที่มีช้อนพลาสติกเพื่อใช้ตวงวัด ปริมาณเพื่อความสะดวกในการตักออกจากบรรจุภัณฑ์ในท านองเดียวกันลูกค้ามักเลือกซื้อครีมอาบน้ า ที่บรรจุในขวดที่สามารถแขวนกับก๊อกน้ าหรือตั้งได้สะดวกและต้องมีทรงที่กระชับมือเพื่อป้องกันการ หลุดลื่นจากมือในขณะอาบน้ า นอกจากนี้ปัญหาอีกประการคือลูกค้ามีความยุ่งยากในการเปิดกล่องหรือ ห่อสินค้าที่มีอยู่หลายชั้นจนเกินไปท าให้เกิดวัสดุเหลือใช้จ านวนมากเกินความจ าเป็นซึ่งมีผลต่อการก าจัด 2. การจัดเก็บ ผู้ผลิตสินค้าต้องค านึงถึงความง่ายต่อการจัดเก็บเพื่อความสะดวกและความ ปลอดภัยผู้ใช้ภายหลังการใช้งานของผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ที่แตกหักง่ายและต้องจับใช้อยู่ บ่อยครั้งจนอาจเกิดอุบัติเหตุและเป็นอันตรายต่อผู้ใช้เช่น บรรจุภัณฑ์ที่ท าจากแก้วหรือเซรามิคใน ห้องน้ าหรือสินค้าจ าพวกบรรจุกระป๋องก็ควรออกแบบให้สามารถเรียงซ้อนกันได้ง่ายและมั่นคงเพื่อให้ ผู้ใช้งานสามารถจัดเรียงเป็นระเบียบได้ง่าย 3. ความคงทน ความคงทนหมายถึงอายุที่ยาวนานของความสามารถในการใช้งานหรือการ บริโภคของ ผลิตภัณฑ์ภายในบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าประเภทอาหารหรือสินค้าที่สามารถ
94 เน่าเสียได้ง่าย เช่น นม น้ าผลไม้ซึ่งกล่องบรรจุที่มีคุณสมบัติที่ดีจะสามารถยืดอายุของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ออกได้เป็นปีแต่ส าหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถยืดอายุได้เช่น ยารักษา โรคบริษัทผู้ผลิตจะออกแบบ บรรจุภัณฑ์เพื่อแสดงลักษณะของวันหมดอายุ เช่น กล่องใส่ยาปฏิชีวนะที่สามารถเปลี่ยนเป็นสีด าเมื่อถึง เวลาที่หมดอายุ 4. ความสะดวกในการถือ บรรจุภัณฑ์ให้ความสะดวกแก่ผู้ซื้อสินค้าในการถือหรือการ เคลื่อนย้าย เช่น บริษัทผลิตนมพัฒนาหูจับขวดนมขนาด 2 และ 4 ลิตร ที่กระชับและพอดีมือ ท าให้ง่ายต่อการถือขวดหรือเทลงในแก้ว บริษัท จอห์นสัน แอนด์จอห์นสัน ได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มี ขนาดเล็กและสะดวกในการถือของผู้เป็นแม่เนื่องจากต้องใช้มืออีกข้างหนึ่งอุ้มลูก 5. การเปิดและปิดใหม่ เมื่อบรรจุภัณฑ์ถูกเปิดแล้วจ าเป็นต้องปิดอีกครั้งเพื่อใช้งานในครั้งต่อไป เช่น ฝาพลาสติกปิดขวดโลชั่นหรือฝาเกรียวของขวดน้ าดื่มย่อมต้องมีความสามารถในการปิดเปิดได้ หลายครั้งบริษัทผู้ผลิตน้ าอัดลม เช่นโค้กหรือแป๊บซี่ ได้บรรจุผลิตภัณฑ์ในขวดพลาสติกพร้อมฝาเกรียวซึ่ง สามารถเปิดปิดได้โดยขายในราคาที่แพงกว่าผลิตภัณฑ์บรรจุกระป๋องถึงร้อยละ 25 ในกรณีนี้ผู้บริโภคก็ ยอมที่จ่ายแพงกว่าเพื่อให้ได้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถเปิดปิดได้ 6. หลังการใช้หรือการใช้ซ้ า เมื่อผลิตภัณฑ์ถูกใช้หมดผู้บริโภคบางคนอาจน าบรรจุภัณฑ์ไปใช้ ใหม่ในลักษณะต่าง ๆ เช่น การน าถุงพลาสติกไปใส่ขยะภายในบ้าน การน าถังป๊อบคอร์นที่โรงหนังไปใส่ ของเล่นการน าถังใส่นมไปใส่น้ าดื่ม เป็นต้น ดังนั้นบริษัทหลายแห่งจึงเน้นการออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ สามารถน าไปเป็นของใช้ต่อไปได้ 7. การก าจัด ผู้บริโภคมักเลือกความสะดวกสบายในการก าจัดบรรจุภัณฑ์เมื่อใช้หมดแล้ว ตัวอย่างสินค้าประเภทผ้าอ้อมเด็กต้องสามารถห่อพักง่าย ไม่เลอะเทอะ และป้องกันกลิ่นอันไม่พึง ประสงค์นอกจากนี้สินค้าประเภทกล่องบรรจุสินค้าควรพับได้ง่ายเพื่อลดพื้นที่ในการทิ้งขยะ บทบาทและหน้าที่ของบรรจุภัณฑ์หน้าที่ของบรรจุภัณฑ์จะต้องที่ส าคัญจะต้องช่วยในการลด การสูญเสียของสินค้าที่อยู่ข้างในเป็นพื้นที่จะสื่อสารข้อมูลทางการตลาดและผลิตภัณฑ์ข้างใน และ จะต้องสร้างความสะดวกสบายในการขนส่ง จัดเก็บ พร้อมทั้งสามารถสืบค้นแหล่งที่มาของสินค้าได้อีก ด้วย (Marsh & Bugusu, 2009) บทบาทหน้าที่ทางกายภาพ 1. เพื่อการรองรับสินค้า เป็นหน้าที่หลักในการรองรับสินค้าให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นพวกและ เป็นการแบ่งแยกให้เป็นสัดส่วนกันตามรูปร่างของภาชนะนั้น เพื่อการขนส่งและล าเลียงจากอีกที่ไปอีกที่ หนึ่งเพื่อความสะดวก 2. เพื่อการปกป้องสินค้า บรรจุภัณฑ์มีหน้าที่ในการปกป้องสินค้าไม่ให้เกิดความเสียหายจาก สภาวะต่างที่จะเกิดขึ้น จากการขนย้ายหรือการจัดเก็บ เพื่อไม่ให้บุบ แตก หัก รั่วซึม ติดเชื้อ 3. เพื่อการรักษาสินค้า บรรจุภัณฑ์ยังมีหน้าที่ในการดูแลรักษาคุณภาพของสินค้าให้คงเดิม ตั้งแต่การผลิตจนถึงมือผู้บริโภค รวมถึง รสชาติคุณค่า การถนอมคุณภาพอาหารให้มีอายุยาวนานขึ้น 4. เพื่อการขนส่ง บรรจุภัณฑ์มีหน้าที่ในการช่วยในการขนส่งให้สะดวก และมีการค านวณต้นทุน การขนส่งได้เหมาะสม มีการวัดขนาดได้อย่างชัดเจน หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์ หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบบรรจุภัณฑ์หลักในการที่ จะต้องควรจะค านึงถึงเวลาออกแบบ ดังนี้
95 1. ให้มีความโดดเด่น (Outstanding) ในสภาพการตลาดที่มีการแข่งขันที่สูง บรรจุภัณฑ์จะต้อง มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากเมื่อเวลาวางข้างกับคู่แข่งหรือสินค้าอื่น ๆ ก็จะต้องดูโดดเด่นทั้งสีสัน รูปทรง รูปแบบ 2. ภาพลักษณะแบรนด์และความแตกต่าง (Brand differentiate) เป็นการออกแบบให้แบรนด์ เกิดความแตกต่างและโดดเด่น เพื่อสร้างการจดจ าและจูงใจให้เกิดการอ่านในรายละเอียดต่อไป 3. ความรู้สึกร่วมที่ดี(Brand experience) การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ซื้อเกิด ความรู้สึกที่ดีต่อศิลปะที่ออกแบบบรรจุภัณฑ์โดยรวมเริ่มจากการก่อให้เกิดความสนใจด้วยความเด่น เปรียบเทียบรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้ตัดสินใจซื้อและจบลงด้วยความรู้สึกที่ดีที่สามารถสนองต่อ ความต้องการของผู้ซื้อได้จึงก่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อ ความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของและอยากทดลอง สินค้าพร้อมบรรจุภัณฑ์นั้น (ประชิด ทินบุตร, 2551) การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ในบางครั้งลู่ทางที่ดีที่สุดส าหรับเน้นย้ าให้เห็นถึงความส าคัญของการ ออกแบบบรรจุภัณฑ์อาจจะต้องน าเอายอดจ านวนที่ใช้จ่ายไปเข้ามากล่าวอ้าง เช่น ในปีค.ศ. 1980 สหรัฐอเมริกาใช้เงิน มากกว่า 50 พันล้านเหรียญในการใช้จ่ายเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ซึ่งเงินจ านวนนี้เป็น การใช้จ่ายของบรรจุภัณฑ์มากกว่าการโฆษณา โดยมีเหตุผลว่าบรรจุภัณฑ์เป็นแนวโน้มต่อไปในการที่จะ เข้าถึงการบริการตนเอง ที่ต้องการให้บรรจุภัณฑ์ได้แสดงบทบาทหลัก 2 ประการ ไปพร้อม ๆ กันคือ ทั้ง การโฆษณาและการขาย ดังนั้นบรรจุภัณฑ์จึงกลายเป็นสิ่งที่แสดงรวมไว้ซึ่งรูปร่างลักษณะทางกายภาพ ของภาชนะบรรจุและการออกแบบ สีสัน รูปร่าง ตราฉลาก ข้อความโฆษณาประชาสัมพันธ์ในการ ออกแบบบรรจุภัณฑ์ใด ๆ ก็ตาม ควรที่จะมีข้อพิจารณาตามปัจจัยหลัก 3 ประการ อย่างกว้าง ๆ ต่อไปนี้ คือ (Bovee & Arens, 2008) 1. ท าอย่างไร บรรจุภัณฑ์จึงจะสามารถสื่อสารทางทัศนสัญลักษณ์เช่น ออกแบบภาชนะบรรจุ ห่อขนมปังด้วยพลาสติก นอกจากแสดงให้เห็นถึงความสดชื่นด้วยสีกับการตกแต่งและยังสร้างความรู้สึก ใหม่จากเตาอบให้แก่ผู้บริโภค 2. บรรจุภัณฑ์ควรจะสร้างความพึงพอใจ เกียรติและศักดิ์ศรีให้แก่ผู้ใช้แม้ว่าผู้บริโภคจะซื้อ ผลิตภัณฑ์ไปบริโภคแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคซื้อไปนั้นควรจะท าหน้าที่ขายต่อได้อีกการขายนั้นไม่ได้ สิ้นสุดเพียงที่จุดซื้อเท่านั้น บรรจุภัณฑ์ที่ดีควรสร้างความต่อเนื่องในการน ามาใช้และการขายหลังจากที่ ถูกซื้อไปแล้วไม่ว่าบรรจุภัณฑ์นั้นจะถูกน าไปวางอยู่ ณ ที่ใดก็ตามหรือจนกว่าผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ นั้นจะใช้หมดหรือถูกท าลายไป จึงถือว่าเป็นที่สิ้นสุด 3. บรรจุภัณฑ์จะต้องแสดงความโดดเด่นออกมาให้ชัดเจนจากผลิตภัณฑ์อื่น ด้วยการใช้รูปร่าง สีหรือขนาด เพื่อบ่งชี้เอกลักษณ์เฉพาะของผลิตภัณฑ์สามารถจดจ าได้ง่าย หรือหยิบฉวยได้ไวในร้านค้า เป็นที่ติดตาตรึงใจเรียกหาใช้ได้อีก หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์ หลักการออกแบบบรรจุภัณฑ์ประกอบด้วย 1. โครงสร้าง คือ การออกแบบด้านเทคนิค ทางกายภาพของบรรจุภัณฑ์โดยเน้นกระบวนการ บรรจุใส่และการรักษาคุณภาพ คุณลักษณะที่เหมาะสมต่อการขนส่งกับการกระจายสินค้า 2. กราฟฟิก คือ การออกแบบรายละเอียดบนบรรจุภัณฑ์เพื่อสร้างแรงดึงดูดให้สื่อความหมาย แก่ผู้บริโภค ยังสามารถโน้มน้ าวให้เกิดการสั่งซื้อ การออกแบบกราฟฟิกจะเน้นในการตกแต่ง รูปลักษณะ วัสดุที่ขึ้นเป็นรูปทรง เพื่อสร้างความประทับใจ (สมพงษ์เฟื่องอารมณ์, 2550)
96 โดยสรุปเป็นความหมายของบรรจุภัณฑ์และลักษณะบรรจุภัณฑ์คือ สิ่งที่เป็นส่วนประกอบของ ผลิตภัณฑ์ที่มีไว้ใส่สินค้าด้านใน โดยที่บรรจุภัณฑ์มีองค์ประกอบคือการออกแบบ สีรูปทรง ฉลากและ วัสดุของผลิตภัณฑ์ทั้งนี้บรรจุภัณฑ์ยังเป็นตัวที่เราสามารถใส่ข้อมูลต่าง ๆ ที่จะต้องการสื่อสารไปยัง ผู้บริโภคอีกด้วย ส่วนมากการสื่อสารทางบรรจุภัณฑ์จะมีการสื่อสารทางด้านค าพูดบนบรรจุภัณฑ์สีสันที่ สื่อออกไปถึงกลุ่มเป้าหมาย รูปทรงที่สามารถบ่งบอกถึงรูปแบบการด าเนินชีวิตของผู้บริโภค ท าให้บรรจุ ภัณฑ์สามารถเป็นได้ทั้งวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์เพราะมีการใช้เทคโนโลยีในการออกแบบและต้อง ผสมผสานกับความเป็นศิลปะในการออกแบบให้โดนใจผู้บริโภคอีกด้วย 2.14 ข้อมูลเทศบาลต าบลหนองแคน ประวัติความเป็นมา ประวัติความเป็นมาของเทศบาลต าบลหนองแคน เทศบาลต าบลหนองแคน ได้ยกฐานะจาก องค์การบริหารส่วนต าบลหนองแคน เป็น เทศบาลต าบลหนองแคน เมื่อวันที่ 27 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2546 เทศบาลต าบลหนองแคน ประกอบด้วยหมู่บ้าน 7 หมู่บ้าน มีเนื้อที่ 85 ตารางกิโลเมตร มีส านักงานตั้งอยู่ที่ 172 หมู่ที่ 2 ต าบล หนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ห่างจากตัวจังหวัดมุกดาหาร ประมาณ 50 กิโลเมตร และ ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 642 กิโลเมตร หมู่บ้านในต าบลหนองแคน ประกอบด้วย 1. บ้านก้านเหลืองดง หมู่ที่ 1 ผู้น าชุมชน นายเรืองศรี เชื้อวังค า 2. บ้านหนองแคน หมู่ที่ 2 ผู้น าชุมชน นายจ านง เชื้อค าจันทร์ (ก านันต าบลหนองแคน) 3. บ้านโพนไฮ หมู่ที่ 3 ผู้น าชุมชน นายสรร แสนสุภา 4. บ้านก้านเหลืองดง หมู่ที่ 4 ผู้น าชุมชน นายบัวลี ไชยบัน 5. บ้านก้านเหลืองดง หมู่ที่ 5 ผู้น าชุมชน นายฉัตรนภักดิ์ ธณเดชภูนาถ 6. บ้านบางทรายพัฒนา หมู่ที่ 6 ผู้น าชุมชน นายบุญถอม สุค าภา 7. บ้านโคกยาว หมู่ที่ 7 ผู้น าชุมชน นายนิว สีดา ข้อมูลครัวเรือน/ประชากร (ณ มีนาคม 2559) ข้อมูลครัวเรือน/ประชากร (ณ มีนาคม 2559) พื้นที่ จ านวนครัวเรือน(หลังคาเรือน) ประชากร ชาย(คน) หญิง(คน) หมู่ที่ 1 บ้านก้านเหลืองดง 278 496 531 หมู่ที่ 2 บ้านหนองแคน 240 414 401 หมู่ที่ 3 บ้านโพนไฮ 138 278 280 หมู่ที่ 4 บ้านก้านเหลืองดง 287 495 500 หมู่ที่ 5 บ้านก้านเหลืองดง 153 284 271 หมู่ที่ 6 บ้านบางทรายพัฒนา 234 440 466 หมู่ที่ 7 บ้านโคกยาว 97 181 166 รวม 1,427 2,588 2,615 ข้อมูลเกี่ยวกับวิสาหกิจชุมชนหมอน้อยต าบลหนองแคน จัดตั้งขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 2565 มีสามชิกจ านวน 7 คน มีเงินทุนตั้งต้นด้วยการระดมทุนจาก สมาชิก จ านวน 2,100 บาท มีการประชุมสามาชิก
97 บันทึกการประชุม คณะกรรมการกลุ่มกรรมการขอขึ นทะเบียนวิสาหกิจชุมชน ที่ท าการเลขที่ 152 หมู่ 2 ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ครั งที่ 1/2565 วันจันทร์ ที่ 19 กันยายน 2565 เริ่มประชุม 9.00 น. สมาชิกกลุ่มผู้มาประชุม 1. นางวันลา เชื้อค าจันทร์ เลขที่ 152 หมู่ 2 ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง 2. นางสาวอณิชา วงษ์กระโซ่ เลขที่ 77 หมู่ 3 ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง 3. นางฮุ วงษ์กระโซ่ เลขที่ 97 หมู่ 3 ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง 4. นางกลอนแก้ว เชื้อค าจันทร์ เลขที่ 119 หมู่ 6 ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง 5. นางสาวฐิตาพร ตะวันนะ เลขที่ 58 หมู่ 6 ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง 6. นางสัมลี เหง้าโอสา เลขที่ 18 หมู่ 6 ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง 7. นางแตงอ่อน เชื้อค าจันทร์ เลขที่ 126 หมู่ 2 ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง ระเบียบวาระที่ 1 ประธานในที่ประชุมแจ้งให้ทราบ ด้วยสถานการณ์ด้านสุขภาพของคนในชุมชนในปัจจุบัน มีอัตราการเข้ารับการรักษาโรคในอัตรา ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์มีจ านวนจ ากัด รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจในชุมชนมีรายได้ลดลง จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลต่อการประกอบอาชีพของคนในชุมชนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นสมาชิกควรที่จะมีทางเลือกที่จะดูแลสุขภาพด้วยตนเองเพื่อลดอาการเจ็บป่วยในครัวเรือนและ สร้างรายได้จากทรัพยากรที่ทีในท้องถิ่นเป็นรายได้เสริม นอกเหนือจากการท านานและสวนยางพาราซึ่ง มีรายได้เป็นฤดูกาล มติที่ประชุม รับทราบ ระเบียบวาระที่ 2 เรื่องรับรองรายงานการประชุมครั งที่แล้ว - ไม่มี - ระเบียบวาระที่ 3 วาระเพื่อทราบ ในปัจจุบันสถานการณ์หรือแนวโน้นในการดูแลสุขภาพจะมุ่งการกินอาหารให้เป็นยา หาทาน ง่าย ใช้ง่าย และส่งเสริมการดูแลสุขภาพเบื้องต้นเพื่อลดการเจ็บป่วย ดังนั้นกลุ่มสมาชิกจึงได้มองเห็น สมุนไพรเครือหมาน้อย/เครือหมอน้อย/กรุงเขมา เป็นสมุนไพรท้องถิ่นที่ใช้ประกอบอาหาร และ ขนม หวน เช่น ลาบหมาน้อย และวุ้นหมาน้อย มีสรรพคุณ ต ารายาไทย ส่วนเหนือดิน เป็นยาแก้ร้อนใน แก้โรคตับ ราก มีกลิ่นหอม รสสุขุม ใช้แก้ไข้ แก้ดี รั่ว ดีล้น ดีซ่าน เป็นยาขับปัสสาวะ ยาถ่าย แก้ไข้มาลาเรีย ใช้เป็นยาเจริญอาหาร ยาอายุวัฒนะ ยาช่วย ย่อย แก้ท้องร่วง บวมน้ า แก้ไอ ขัดเบา กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และใช้ในรายถูกงูกัด เป็นยาลดไข้ แก้ ปวดท้อง โรคหนองใน ราก รสหอมเย็นสุขุม แก้ไข้ แก้ดีรั่ว ดีซ่าน เป็นยาอายุวัฒนะ บ ารุงอวัยวะเพศให้
98 แข็งแรง แก้ลม โลหิต ก าเดา แก้โรคตา ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ า ใช้เคี้ยว แก้ปวดท้อง และโรคบิด ระบายนิ่ว แก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไอเจ็บหน้าอก เป็นยาขับเหงื่อ ยาขับระดู ยาบ ารุง ยาสงบ ประสาท ยาขับน้ าเหลืองเสีย ยาสมาน รากและใบ พอกเป็นยาเฉพาะที่ แก้โรคผิวหนัง หิด ล าต้น ดับพิษไข้ทุกชนิด บ ารุงโลหิตสตรี เป็นยาพอกแก้ตาอักเสบ เนื อไม้แก้โรคปอด และโรคโลหิตจาง ใบ แก้ร้อนใน พอกแผล ฝี แก้แผลมะเร็ง แก้หืด ใช้ทา ภายนอกแก้หิด ดังนั้นสมาชิกจึงมองเห็นความเป็นไปได้ในการจะสร้างรายได้จากสมุนไพรเครือหมาน้อยใน รูปแบบอาหาร ขนมหวาน เครื่องดื่ม และเครื่องส าอาง ซึ่งจะเป็นอาชีพเสริมให้กับสมาชิกในที่ไม่มี รายได้จากอาชีพหลัก สมาชิกจึงมีความต้องการจะขึ้นทะเบียนกลุ่มวิสาหกิจ มติที่ประชุม รับทราบ ระเบียบวาระที่ 4 เพื่อพิจาณา 4.1 การตั้งชื่อกลุ่มเพื่อขึ้นทะเบียนวิสาหกิจชุมชน โดยสมาชิกได้เสนอชื่อเพื่อขึ้นทะเบียน วิสาหกิจชุมชน จ านวน 3 ชื่อ เพื่อเป็นตัวเลือกหากเมื่อส่งเอกสารแล้วชื่อมีการซ้ ากับวิสาหกิจอื่นที่ขึ้น ทะเบียนกับส านักงานเกษตรไว้ก่อนแล้ว ได้แก่ 1) กลุ่มสมุนไพรไพรเครือหมาน้อย 2) กลุ่มสมุนไพรหมอน้อยต าบลหนองแคน ** 3) Nongkan Herb โดยสมาชิกได้เลือกล าดับที่ 2 เป็นชื่อที่แรกในการขอขึ้นทะเบียนหากชื่อซ้ าก็ใช้ชื่อล าดับที่ 2 และ 3 ตามล าดับ มติที่ประชุม เห็นชอบตามเสนอ 4.2 ด าเนินการคัดเลือกคณะกรรมการบริหารกลุ่ม สมาชิกกลุ่มได้เสนอชื่อคณะกรรมการตาม บทบาทหน้าที่รับผิดชอบตามระเบียบของการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีรายชื่อและต าแหน่งดังนี้ 1. นางวันลา เชื้อค าจันทร์ ประธาน 2. นางสาวอณิชา วงษ์กระโซ่ รองประธาน 3. นางสัมลี เหง้าโอสา เหรัญญิก 4. นางแตงอ่อน เชื้อค าจันทร์ ประชาสัมพันธ์ 5. นางสาวฐิตาพร ตะวันนะ เลขานุการ 6. นางฮุ วงษ์กระโซ่ กรรมการ 7. นางกลอนแก้ว เชื้อค าจันทร์ กรรมการ ทางกลุ่มได้มอบอ านาจให้นางวันลา เชื้อค าจันทร์ ประธาน และ นางสาวอณิชา วงษ์กระโซ่ รอง ประธาน กระท าการแทนเรื่องการจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชน มติที่ประชุม เห็นชอบตามรายชื่อที่เสนอ 4.3 การร่างระเบียบข้อบังคับ 1) เป็นผู้มีภูมิล าเนาและถิ่นอาศัยอยู่ในต าบลดงหลวง อ าเภอดงหลวง จังหวัด มุกดาหาร 2) มีความรู้ความเข้าใจเห็นชอบด้วยหลักการของกลุ่มและสนใจงานพัฒนาอาชีพของ กลุ่มอย่างแท้จริง
99 3) เป็นผู้พร้อมจะปฏิบัติตามข้อบังคับของกลุ่มฯ 4) สมาชิกทุกคนต้องลงทุนอย่างน้อยจ านวน 1 หุ้น หุ้นละ 100 บาท ไม่เกิน 10 หุ้น ในกรณีมีสมาชิกเพิ่มหรือลด จ านวนหุ้นที่มีอยู่ในกลุ่มให้น าเข้าที่ประชุมใหญ่ของสมาชิก โดยมติที่ ประชุมใหญ่สองในสามของที่ประชุมเป็นที่สุด และในกรณีที่สมาชิกที่มีหนี้สินต่อกลุ่มและหนี้อันเกิดจาก การค้ าประกัน ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับหุ้นที่ตนถืออยู่ สมาชิกจะถอนเงินค่าหุ้นไม่ได้ 5) การสมัครสมาชิก 5.1) ต้องยื่นค าขอตามแบบใบสมัครของกลุ่มฯ 5.2) ต้องช าระค่าหุ้นๆละ 100 บาท อย่างน้อย 1 หุ้น ไม่เกิน 10 หุ้น 5.3) ต้องเป็นผู้ที่คณะกรรมการบริหารกลุ่มฯ ได้มีมติเห็นชอบให้รับเข้าเป็น สมาชิกกลุ่มฯ 6) การพ้นจากสมาชิก 6.1) ตาย 6.2) ลาออกและได้รับอนุมัติให้ลาออกจากคณะกรรมการบริหารกลุ่มฯ 7) การลาออกจากสมาชิก 7.1) ท าหนังสือขอลาออก 7.2) ผู้ประสงค์ลาออกจะต้องช าระหนี้ ที่ตนยังผูกพันต่อสมาชิกกลุ่มฯ(ถ้ามี) 8) การให้ออกจากสมาชิก 8.1) ได้รับเงินปันผลทุกปี เมื่อมีการด าเนินกิจกรรมและมีรายได้แล้ว 8.2) ได้รับสวัสดิการต่างๆของกลุ่มที่จัดให้มีขึ้น มติที่ประชุม รับทราบและถือปฏิบัติร่วมกัน ระเบียบวาระที่ 5 เรื่องอื่นๆ ถ้ามี - ไม่มี- ปิดประชุมเวลา 15.00 น. แผนการด าเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจ 1. แผนการผลิต 1.1 สมาชิกต้องมีแปลงสมุนไพรอย่างน้อยไม่ต่ ากว่า 1 งาน พร้อมการผลิตอย่างชัดเจน 1.2 สมาชิกต้องมีวัตถุดิบพร้อมที่จะสั่งได้ตลอด ตามความต้องการของผู้ซื้อ หรือการ สั่งซื้อ 1.3 สมาชิกต้องมีการบริหารงานส่งเสริมการขายของตนเองอย่างสม่ าเสมอ 1.4 ต้องรายงานบัญชีรับ-จ่ายเงินของกลุ่มเสมอ 1.5 ประชุมกลุ่มอย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน 2. แผนการตลาด การเก็บเกี่ยวผลผลิตเครือหมาน้อยที่มีอายุไม่น้อยกว่า 6 เดือน สามารถเก็บได้ตลอดปี ดังนั้นจึงสามารถผลิตสินค้าได้ตลอดทั้งปี โดยพื้นที่ในการจ าหน่าย คือ 2.1 ตลาดชุมชน
100 2.2 ร้านขายของในชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง 2.3 ขายในตลาดออนไลน์ผ่าน Facebook Line และ Instragram 2.4 ขายผ่านเพจของกลุ่ม 2.5 ร้านเสริมสวย 2.6 ตลาดสินค้าการเกษตร 3. แผนการเงิน 3.1 สมาชิกกลุ่มถือหุ้นครั้งแรก 100-300 บาท (ราคาหุ้นละ 100 บาท) 3.2 ต้องมีการออมทรัพย์เงินออม เดือนละ 100 บาท 3.3 คาดว่าจะได้ก าไรต่อรอบ 2 รอบ/เดือน/2,000 3.4 คาดว่าใน 1 ปี ก าไรจากการขายได้ 24 รอบ คาดว่าจะได้ก าไร 48,000 ต่อปี ต่อสมาชิก 1 ราย 4. แผนการจัดสรรผลก าไร 4.1 ค่าตอบแทนคณะกรรมการ 30% 4.2 เงินทุนหมุนเวียน 20% 4.3 เงินปันผลให้สมาชิกตามเงินหุ้น 30% 4.4 สวัสดิการแก่สมาชิก 10% 4.5 สาธารณะประโยชน์ 5% 4.6 เงินส่งเคราะห์สมาชิก 5% รูปภาพประกอบที่ 2-7 โครงสร้างกลุ่มวิสาหกิจชุมชน
101 รูปภาพประกอบที่ 2-8 หนังสือส าคัญการขึ้นทะเบียนวิสาหกิจชุมชนหมอน้อยต าบลหนองแคน 2.15 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ปรีดารัตน์ รัตนาคม. (2554). ได้ศึกษาเกี่ยวกับการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรแปรรูป และบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งเสริมอาชีพชุมชน ผลการศึกษาพบว่า 1. ด้านแปรรูปทรง สบู่สมุนไพรแปรรูปทาง กลุ่มได้ส่งรูปทรงใหม่ส าหรับสบู่สมุนไพรแปรรูป ซึ่งเป็นรูปทรงใหม่ส าหรับกลุ่ม โดยมีรูปทรงที่ได้จาก แนวคิดการออกแบบรูปทรงเรขาคณิต และรูปทรงจากธรรมชาติ ในการออกแบบให้มีรูปทรงก้อนสบู่ สมุนไพรแปรรูป มีทั้ง 2 รูปแบบ เพื่อให้ดึงดูดความสนใจแก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อรวมทั้งสามารถ
102 น ามาเป็นของฝากได้อีกทางหนึ่ง2. ด้านรูปแบบบรรจุภัณฑ์ สบู่สมุนไพรแปรรูปทางกลุ่มได้รูปแบบใหม่ ส าหรับบรรจุภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปรรูป เป็นรูปแบบใหม่ส าหรับกลุ่ม ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีความเหมาะสมกับ ทางกลุ่ม โดยการออกแบบรูปแบบบรรจุภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปรรูปในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ออกแบบจาก 2 แนวคิด คือ รูปแบบบรรจุภัณฑ์สบู่สมุนไพรแปรรูปแบบชิ้นเดียว และรูปแบบบรรจุภัณฑ์สบู่สมุนไพร แปรรูปแบบชุด เพื่อให้เป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์สบู่ สมุนไพรแปรรูปแบบชุดนั้นสามารถน าผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของทางกลุ่มมาใส่ตามความเหมาะสมได้ ซึ่งบรรจุ ภัณฑ์ทั้ง 2 แบบ ที่มีการออกแบบใหม่นี้ สามารถน าไปเป็นของฝากได้ พบพร เอี่ยมใส นายธนกิจ โคกทอง และ อ าไพ แสงจันทร์ไทย. (2561) ศึกษาเรื่อง การ ออกแบบบรรจุภัณฑ์แบบมีส่วนร่วม กลุ่มสมุนไพรพ่อลอย อ าเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา งานวิจัยนี้ เป็นวิจัยด้านบรรจุภัณฑ์อาหารประเภทสมุนไพร เนื่องจากแม้จะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ถูกพัฒนาใน กระบวนการต่าง ๆ เพื่อสร้างคุณภาพของผลิตภัณฑ์แล้วแต่บรรจุภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริม คุณค่าของผลิตภัณฑ์โดยวัตถุประสงค์ในการวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษาศึกษาประเภทของผลิตภัณฑ์และหา คัดเลือกผลิตภัณฑ์เพื่อการออกแบบบรรจุภัณฑ์2) เพื่อหาแนวทางในการออกแบบบรรจุภัณฑ์และท า การผลิตบรรจุภัณฑ์ต้นแบบผลิตภัณฑ์สมุนไพรพ่อลอย3) เพื่อประเมินความพึงพอใจบรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรพ่อลอยของผู้บริโภคโดยมุ่งเน้นวิธีการจัดการสนทนากลุ่ม ที่ประกอบไปด้วยนัก ออกแบบ ชุมชน และนักการตลาดเพื่อหาแนวทางในการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถส่งเสริมคุณค่า ของผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริง ผลการศึกษาพบว่าบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์นั้นควรเป็น ถุงพลาสติกที่สามารถปิดได้สนิทเพื่อปกป้องสินค้าจากสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เกิด ความเสียหายได้และควรมีการปิดกราฟิกเพียงด้านเดียวตามความเหมาะสมของต้นทุนการผลิต และจึง ท าการออกแบบบรรจุภัณฑ์และคัดเลือกบรรจุภัณฑ์ด้วยการจัดการสนทนากลุ่ม และน าบรรจุภัณฑ์ ประเมินความพึงพอใจของผู้ซื้อ พบว่าผู้ซื้อมีความพึงพอใจในภาพรวมของบรรจุภัณฑ์มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก โดยค่าเฉลี่ยที่ 4.32 โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.52 ด้านปกป้องสินค้ามีความพึง พอใจอยู่ในระดับมาก โดยค่าเฉลี่ยที่ 4.13 โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.52 ด้านอ านวยความสะดวก มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยค่าเฉลี่ยที่ 4.43โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.48 และด้านส่งเสริม การจัดจ าหน่ายมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากโดยค่าเฉลี่ยที่ 4.44โดยมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ 0.54 อุสิธารา จันตาเวียง. (2561). ศึกษาเรื่อง การออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ขนมไทย งานวิจัยเรื่องการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ขนมไทยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้เพื่อออกแบบและ พัฒนาบรรจุภัณฑ์และเพิ่มมูลค่าของขนมไทย เพื่อได้ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า OTOP และเพื่อพัฒนา คุณภาพและความน่าเชื่อถือของสินค้า กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยสมาชิกกลุ่มผู้ประกอบการวิสาหกิจ ชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีแห่งความพอเพียง ต.ธารทอง อ.แม่ลาว จ.เชียงราย จ านวน 10 คน เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความพึงพอใจใน 3 ด้าน ความต้องการด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ความพึงพอใจต่อรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีความเหมาะสมกับขนมไทย ความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบบรรจุ ภัณฑ์ขนมไทย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ความพึง พอใจด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์รูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีความเหมาะสมกับขนมไทย และ รูปแบบ บรรจุภัณฑ์ขนมไทยอยู่ในระดับดีมากที่สุด ซึ่ง ความพึงพอใจในด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์ความ ต้องการด้านการออกแบบโครงสร้างให้สามารถมองเห็นสินค้าได้อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ชนิด ของขนมที่ต้องการน ามาจัดรวมชุดบรรจุภัณฑ์ความพึงพอใจด้านรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีความเหมาะสม
103 กับขนมไทย วัสดุของบรรจุภัณฑ์มีความแข็งแรงอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ บรรจุภัณฑ์มีความ โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บรรจุภัณฑ์มีลักษณะที่สะอาด ปลอดภัย บรรจุภัณฑ์สามารถน าเสนอ ข้อมูลครบและชัดเจน ขนาดของบรรจุภัณฑ์มีความเหมาะสม บรรจุภัณฑ์มีความสะดวกในการเปิดปิด ความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบบรรจุภัณฑ์ขนมไทย ด้านการออกแบบโครงสร้างบรรจุภัณฑ์อยู่ในระดับ มากที่สุด รองลงมาคือ รูปแบบบรรจุภัณฑ์การออกแบบกราฟิก และด้านการตลาด พิริยาพร สุวรรณไตรย์. (2564). ได้ศึกษาเกี่ยวกับ การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ สมุนไพรพร้อมบริโภค: กรณีศึกษา บ้านผาสุก ต าบลดอนตาล อ าเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร ผล การศึกษาพบว่า การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรพร้อมบริโภค พบว่าเกิดกระบวนการ จัดเก็บความรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน กระบวนจัดการปฏิทินการปลูก การเก็บรักษาสมุนไพร กระบวนการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพร การน าสมุนไพรมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร การ ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้อื่นอย่างเป็นระบบ และได้รับการยอมรับเป็นสมาชิกของกลุ่มเกษตรกรกลุ่ม สมุนไพรเมืองมุกดาหาร ผลการศึกษาสัมฤทธิผลของการเรียนรู้เรื่องผลิตภัณฑ์สมุนไพรพร้อมบริโภคจาก การศึกษาพบว่าสัมฤทธิผลของการเรียนรู้เรื่องผลิตภัณฑ์สมุนไพรพร้อมบริโภคมีสัมฤทธิผลทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 45.27และกลุ่มสมุนไพรผู้ร่วมโครงการมีความพึงพอใจต่อการ บริหารจัดการโครงการ อยู่ที่ระดับมาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.38 อารีกมล ต.ไชยสุวรรณ (2560) ได้ศึกษาการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนการปลูกสมุนไพร ของกลุ่มเกษตรกรบ้านหนองสุวรรณ ต าบลบ้านกลาง อ าเภอสอง จังหวัดแพร่ โดยท าการศึกษาข้อมูล จาก พืชสมุนไพร จ านวน 4 ชนิด ได้แก่ ขมิ้นชัน ไพล ตะไคร้ มะกรูด ที่เป็นสมุนไพรหลักที่โรงพยาบาล สองรับซื้อ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากรที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ปลูกสมุนไพรเพื่อส่งขายให้กับ ทาง โรงพยาบาลสอง จ านวน 22 ครัวเรือน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ทฤษฎีทางการบัญชีและทาง เศรษฐศาสตร์ เพื่อเปรียบเทียบผลการด าเนินงาน การวิเคราะห์โดยใช้ทฤษฎีทางการบัญชี พบว่า เกษตรกร มีผลก าไร สุทธิทางการบัญชี เฉลี่ยเท่ากับ 2,708.76 บาทต่อครัวเรือนต่อปี มีอัตราก าไรส่วนเกินต่อยอดขายรวม เท่ากับ ร้อยละ 40.81 และมียอดขาย ณ จุดเสมอตัว เฉลี่ยเท่ากับ 1,473.39 บาทต่อครัวเรือนต่อปี การ วิเคราะห์โดยใช้ ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์พบว่าเกษตรกร มีก าไรสุทธิเหนือต้นทุนเงินสด เท่ากับ 6,416.48 บาทต่อครัวเรือนต่อปี หรือมากกว่าก าไรสุทธิ ทางการบัญชี 2.37 เท่า จากผลตอบแทน ทางการบัญชีและผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ ท าให้ ทราบว่า กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกสมุนไพรต าบล บ้านกลาง อ าเภอสอง จังหวัดแพร่ มีรายได้รวมจาก การปลูกสมุนไพรเป็นอาชีพเสริมและรายได้หลัก เพียงพอ มีค่าใช้จ่ายที่สามารถประหยัดได้และ สามารถด ารงชีพอยู่ได้ นอกจากนี้ การท าความร่วมมือ กันระหว่างโรงพยาบาลและกลุ่มเกษตรกร จะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการในห่วงโซ่อุปทาน สมุนไพรได้อย่างยั่งยืน งานวิจัยข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่า การปลูกพืชสมุนไพรสามารถสร้างรายได้ในการ ด ารงชีวิต สู่การพัฒนาเป็นอาชีพหลัก และอาชีพเสริมได้ในอนาคต ซึ่งน ามาประกอบการพิจารณา ออกแบบแนวทางในการยกระดับรายได้ของคนในชุมชนในการท าวิจัยในครั้งนี้ ไกรศรีศรีทัพไทย (2563) ได้ศึกษาการพัฒนารูปแบบธุรกิจสมุนไพรในจังหวัดสกลนคร เพื่อ พัฒนารูปแบบธุรกิจสมุนไพรในจังหวัดสกลนคร และพัฒนาแนวทาง การพัฒนาธุรกิจสมุนไพรในจังหวัด สกลนคร ที่สอดคล้องรัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงความส าคัญของ การพัฒนา สมุนไพรไทยซึ่งเป็นภูมิปัญญาและทรัพยากรที่ส าคัญของประเทศ ภายใต้แผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการ พัฒนาสมุนไพรไทย พ.ศ. 2560 - 2564 เพื่อส่งเสริมและรักษาภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าที่เกี่ยวกับ สมุนไพร ไทยแล้วยังมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการผลิตและใช้ประโยชน์สมุนไพรไทยอย่างมีคุณภาพ เต็ม
104 ประสิทธิภาพ และ ครบวงจร ซึ่งจะส่งผลต่อ ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของสมุนไพรไทย และการสร้าง มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของไทย โดยศึกษาจากผู้ประกอบการเอกชนในจังหวัด สกลนคร ที่มีการ ด าเนินการธุรกิจไม่น้อยกว่า 5 ปี เป็นการด าเนินธุรกิจ และการจัดการธุรกิจ สมุนไพรในจังหวัดสกลนคร ลักษณะของการประกอบธุรกิจสมุนไพรที่ครบวงจรใช้แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึก ตลอดจนการสังเกต แบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบธุรกิจสมุนไพรในจังหวัดสกลนคร นั้นเป็นรูปแบบธุรกิจครอบครัว ใช้แรงงานคน ในชุมชน การ รับซื้อวัตถุดิบสมุนไพรจากกลุ่มชาวบ้านที่มีการปลูกแบบผสมผสาน อินทรีย์ ในการจัดการโรงงานผลิต สมุนไพร ส่วนการพัฒนารูปแบบธุรกิจสมุนไพรในจังหวัดสกลนคร ได้รับการสนับสนุนจากหลาย หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ที่จะต้องไปส่งเสริมสนับสนุนการผลิตสมุนไพรให้ได้ตาม มาตรฐานสากล และ การส่งเสริมการใช้สมุนไพรตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ ส่งเสริมการท าการตลาดสมุนไพรใน รูปแบบสหกรณ์ เพื่อเป็นรูปแบบ การส่งเสริมพัฒนาธุรกิจสมุนไพรในจังหวัดสกลนคร งานวิจัยข้างต้นนี้ จะเห็นว่า รูปแบบการด าเนินงาน ธุรกิจ หรือการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสมุนไพรของ จังหวัดสกลนคร ต้องพิจารณาปัจจัยต้นทาง ด้านการผลิตที่เป็นระบบครอบครัว ชุมชน ผ่านความ ร่วมมือในทุกช่วงอายุ กลุ่มคนเล็กคนน้อยในพื้นที่เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกภาคส่วน อัตถ์ อัจฉริยมนตรี (2559) น าเสนองานวิจัยเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับแปลงสาธิตเพี่อผลิตพืชผัก พื้นบ้านปลอดสารพิษของกลุ่มเกษตรกรชุมชน ช่อแล อ าเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยเน้นไปที่การ สร้างแปลงปลูกผักพื้นบ้านปลอดสารพิษ เป้าหมายของงานวิจัยนี้ คือต้องการให้เกษตรกรมีสุขภาพดี สนับสนุนให้คนในชุมชนได้เข้าถึงอาหารที่มีความปลอดภัยไม่มีสิ่งเจือปน ตามพระราชบัญญัติ คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ พ.ศ. 2551 และช่วยยกระดับคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรให้แก่ชุมชน รวมถึงการน าองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตและการแปรรูปที่สะอาดปลอดภัยมาใช้งาน ซึ่งมี กระบวนการบริหารงานวิจัย อาธิ ประชุมทีมผู้วิจัย จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดการดินปลูก การ จัดท าปุ๋ยชีวภาพ และการจัดการศัตรูพืช วางแผนการปลูกและการเก็บข้อมูลผลผลิต มีวิธีการด าเนิน งานวิจัยดังนี้ 1) คัดเลือกคนในชุมชนเป็นผู้ร่วมท าวิจัยจ านวน 26 คน ส าหรับท าแปลงปลูกสาธิต 2) จัดท าแปลงสาธิตที่มีขนาด 100 ตารางเมตร แยกปลูกพืช 8 ชนิด ได้แก่ ต้นแคบ้าน ต้นมะเขือเปราะ ต้น ผักเชียงดา ต้นโหระพา ต้นกะเพรา ต้นผักหวานบ้าน ต้นผักไผ่ และ ต้นผักคาวตอง ชนิดละ 10 ต้น ใน พื้นที่แปลงปลูกทุก 10 ตารางเมตร 3) วัดประสิทธิภาพจากผลผลิตในปี พ.ศ.2558 เฉลี่ยทั้ง 26 คน พบว่า 300.15 340.72 60.85 50.25 60.22 30.56 30.07 และ10.86 กิโลกรัม ต่อแปลง (10 ตาราง เมตร) ตามล าดับ และในปี พ.ศ.2559 เฉลี่ยทั้ง 26 คน 540.27 220.48 70.00 60.97 40.72 20. 43 20.21 และ 10.02 กิโลกรัม ตามล าดับ เนื่องจากพืชพักมีการเจริญเติบโตขึ้น ส่วนผลการประเมินความ พึงพอใจ คือ 4.18 อยู่ในระดับดี Singthong et al. (2004) ได้ศึกษาลักษณะโครงสร้างระดับการเกิดปฏิกิริยาเอสเทอร์ และ สมบัติบางประการของเจลในเพคดินของเครือหมาน้อย พบว่า เพคตินจากใบเครือหมาน้อย ประกอบด้วย galactironic acid โครงสร้างหลักเป็น 1,4-∝-D-galacturonan เชื่อมต่อกันด้วยหมู่ carboxyl และชื่นยันด้วยเทคนิค FT-IR spectroscopy ระตับการเกิดปฏิริยาเอสเทอร์ของเพคตินสด และเพคตินที่ผ่านการสกัดเล้ว เท่ากับร้อยละ 41.7 และ 33.7 ตามล าคับ ส่วนสมบัติของเจลใน สารละลายน้ าร้อยละ 0.5 (น้ าหนักต่อปริมาตร) ที่ 5 0 C เจลก่อตัวที่ความเข้มข้นร้อยละ 1.0 (น้ าหนักต่อ ปริมาตร) ที่อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิห้อง นอกจากนี้ความแข็งแรงของเจล จุดหลอมเหลว และ melting enthalpy ของเพคตินจะเพิ่มขึ้นตามความเข้มข้นของโพลีแซคคาไรด์
105 Singthong et al. (2005) ศึกษาการสกัดและลักษณะทางเคมีกายภาพของเพคตินจากเครือ หมาน้อย พบว่า สภาวะที่เหมาะสมในการสกัดเพคติน คือ ใช้อัตราส่วนระหว่างของแข็งกับตัวท าละลาย เท่ากับ 1 ต่อ 50 ในน้ ากลั่น ที่อุณหภูมิ 25 - 28 C และค่าความเป็นกรดด่าง 3.8 - 4.0 สารสกัดเพดติน มีmethoxyl pectin ต่ า ซึ่งองค์ประกอบหลักเป็น uronic (galacturonic) acid (70-75%) และ ปริมาณของน้ าตาลธรรมชาติน้อย การเกิดเจลของเพคตินทั้งเพคตินสดและที่ผ่านการสกัดแล้ว เกิดที่ ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 (น้ าหนักต่อปริมาตร) ซึ่งเจลจากเพคตินที่สกัดแล้วมีความแข็งแรงมากกว่า เพ คตินสด การเติมโซเดียมคลอไรค์ความเข้มข้นที่ต่ ากว่า 0.4 โมลาร์ จะเพิ่มความแข็งแรงของเจลจาก เครือหมาน้อย จรรยา โท๊ะนาบุตร. (2564). ศึกษาเรื่อง การพัฒนาผลิตภัณฑ์แยมกระเจี๊ยบผสมอินทผาลัมจาก ใบเครือหมาน้อย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสูตรต้นต ารับในการผลิตแยมกระเจี๊ยบ ศึกษา อัตราส่วนที่เหมาะสมของใบเครือหมาน้อยและอินทผาลัม และศึกษาการยอมรับของผู้บริโภคต่อ ผลิตภัณฑ์แยมกระเจี๊ยบอินทผาลัมจากใบเครือหมาน้อย ผลการวิจัยพบว่าสูตรต้นต ารับในการผลิตแยม กระเจี๊ยบคือสูตรที่ 1 ได้รับคะแนนเฉลี่ยทางประสาทสัมผัสด้าน สีกลิ่น ลักษณะเนื้อสัมผัส รสชาติและ กา รยอมรับรวมของประสาทสัม ผัสทุกด้ านมากที่สุด คือ 7.75(S.D.±0.46), 7.50(S.D.±1.20), 7.75(S.D.±0.71),7.75(S.D.±1.28) และ 8.13(S.D.±0.83) ตามล าดับ โดยประกอบด้วยส่วนผสมของ กระเจี๊ยบแดงเข้มข้น55% น้ าตาล 44.4% น้ าสะอาด 1% เพคติน 1% กรดซิตริก 0.4% อัตราส่วนของ ใบเครือหมาน้อยและอินทผาลัม พบว่า 100:20(%) ได้รับคะแนนเฉลี่ยทางประสาทสัมผัสด้านสีกลิ่น ลักษณะเนื้อสัมผัสรสชาติและการยอมรับรวมของประสาทสัมผัสทุกด้านสูงที่สุด คือ 7.70(S.D.±1.09), 7.10(S.D.±1.16),7.47(S.D.±1.55), 7.57(S.D.±1.04) และ 7.63(S.D.±1.00) ตามล าดับ โดยมีคุณภาพ ทางกายภาพ คือ L* 29.23(S.D.±0.76), a* 2.21(S.D.±0.16) b* 2.99(S.D.±0.41) ค่าปริมาณน้ าอิสระ (aw) เท่ากับ 0.73(S.D.±0.01) ความเป็นกรด-ด่าง ปริมาณของแข็งที่ละลายได้เท่ากับ 2.87(S.D.±0.03) และ67.00(S.D.±0.02) คุณภาพด้านจุลชีววิทยามีค่าไม่เกินมาตรฐานของผลิตภัณฑ์แยม ด้านการ ยอมรับของผู้บริโภคมีความสนใจในผลิตภัณฑ์แยมกระเจี๊ยบอินทผาลัมจากใบเครือหมาน้อย คิดเป็น 86.67% และมีความสนใจซื้อผลิตภัณฑ์ปริมาณ 170 กรัม ที่ราคา 69 บาท คิดเป็น 93.33% ปาริฉัตรและคณะ (2550) ท าการศึกษา degree of methyl esterification (DME) ของ เพคตินจากเปลือกแก้วมังกร โดยท าการสกัดเพคตินแยกออกจากผนังเซลล์ด้วยน้ าและ EDTA พบว่าค่า DME ของเพคดินที่ละลายในน้ าและใน EDTA มีค่าเท่ากับร้อยละ 60.71 และ 54.41 และจากค่า DME พบว่าเพคตินทั้ง 2 ส่วนที่สกัดได้มีการถูกเอสเทอริไฟด์มากกว่าร้อยละ 50 จึงจัดเป็น high-methoxyI pectin ราตรีพระนคร. (2565). ศึกษาเรื่อง เครือหมาน้อย “กรุงเขมา” มหัศจรรย์พืชป่า การศึกษา แ ล ะพัฒ น า ผ ลิ ตภัณฑ์ จ า ก ก รุง เ ข ม า ห รื อห ม าน้ อ ย (Cyclea brabata Miers.) ข อง คณ ะ ทรัพยากรธรรมชาติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร ได้เริ่มด าเนินการมา ตั้งแต่ปี2538 จนถึงปัจจุบัน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภูมิปัญญาการใช้ประโยชน์การขยายพันธุ์ การปลูกตามภูมิปัญญา 2) พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม 3) พัฒนาผลิภัณฑ์เครื่องส าอาง 4) ศึกษาระบบการปลูก 5) ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับชุมชน 6) ฟื้นฟูการใช้ประโยชน์ในชุมชน โดยมีการลง พื้นที่เก็บข้อมูลการใช้ประโยชน์ของท้องถิ่นที่พบว่าในอดีตมีการใช้ใบกรุงเขมาหรือ หมาน้อยมา ท าอาหารที่เรียกว่า ลาบหมาน้อย และใช้รากเป็นยาแก้ไข้ซึ่งในคุณประโยชน์ของหมาน้อยมีอย่าง หลากหลาย เช่น ใบเป็นยาเย็นช่วยลดอาการปวดท้องที่เกิดจากโรคกระเพาะอาหาร ช่วยเพิ่มไฟเบอร์
106 ให้กับร่างกาย ควบคุมระดับน้าตาลในเลือด แต่ในปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์ลดลงเพราะในการใช้ใบสดมี ความยุ่งยากในการเตรียม และเยาวชนไม่รู้จักเพราะส่วนใหญ่ไปเรียนในเมือง จึงไม่ได้สัมผัสกับวิถีชีวิต ดั้งเดิม ดังนั้นนักวิจัยจึงได้ศึกษาวิธีการใช้ประโยชน์ที่สะดวกขึ้น และเพิ่มรูปแบบผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มกลุ่ม ใช้ประโยชน์มากขึ้น โดย พัฒนาในรูปอาหาร เป็นเยลลีเป็นเครื่องดื่ม เป็นลาบหมาน้อย และผงพอก หน้าที่ใช้คุณสมบัติของเพคตินที่มีในใบหมาน้อยที่ช่วยให้ก่อตัวเป็นเจล หรือ วุ้นได้แต่ปรับให้ใช้ ประโยชน์ได้สะดวกขึ้นโดยใช้ในรูปผงแห้ง และด้วยปริมาณต้นหมาน้อยในธรรมชาติลดลง จึงได้มี การศึกษาวิธีการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ รวมถึงการไปศึกษาวิธีการขยายพันธุ์โดยการช า รากของชุมชนบ้านห้วยยาง อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ที่เป็นแหล่งผลิตต้นกล้าไม้ป่ารวมทั้งต้นกล้า หมาน้อยส่งจ าหน่ายทั่วประเทศ และน าข้อมูลที่ได้จากการศึกษาไปถ่ายทอดให้กับชุมชนในเครือข่าย ของมหาวิทยาลัย และส่งเสริมการทาผลิตภัณฑ์ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน พร้อมทั้งให้ความรู้เรื่องของ ประโยชน์ทั้งตามภูมิปัญญาท้องถิ่นและที่มีการศึกษาพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อฟื้นฟูการใช้ประโยชน์รวมทั้ง ส่งเสริมให้มีการปลูกเพิ่มเติมเพื่อให้มีใช้ประโยชน์ในชุมชนเพิ่มขึ้น จากการศึกษานี้ได้องค์ความรู้ในเรื่อง ของพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้อยู่ในรูปแบบที่ใช้ประโยชน์ได้สะดวก หลากหลาย มีองค์ความรู้ในเรื่องของการ ขยายพันธุ์มีรูปแบบการขยายพันธุ์การปลูกระบบต่างๆ ถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับชุมชน และชุมชนได้ มีการนeไปใช้ประโยชน์เพื่อการบริโภค เสริมความงาม ในครัวเรือน ตลอดจนทeเป็นผลิตภัณฑ์จeหน่าย เพื่อสร้างรายได้ รัชฎาพร อุ่นศิวิไลย์. (2554). การศึกษา เรื่อง ฤทธิ์ทางชีวภาพและคุณสมบัติเชิงหน้าที่ของสาร สกัดย่านาง เครือหมาน้อย และรางจืด งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัด สมุนไพรดังกล่าวเพื่อเป็นองค์ความรู้ประกอบส าหรับการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพที่ ถูกต้องและเหมาะสม โดยได้ท าการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดย่านาง เครือหมาน้อย และรางจืด ได้แก่ปริมาณปริมาณฟีนอลิกทั้งหมด (Total phenolic) การเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและทดสอบความ เป็นพิษต่อเซลล์โดยเตรียมสารสกัดด้วยตัวท าละลายชนิดต่างๆ ได้แก่ น ้า แอทานอล และอะซีโตน จาก การศึกษาพบว่าปริมาณของฟีนอลิกทั้งหมดของสารสกัดรางจืดน ้ามีปริมาณสูงสุด (2,634.87 mg GAE /100 g RM) รองลงมาได้แก่สารสกัดน ้าเครือหมาน้อยและย่านาง (1,940.73 mg GAE /100 g RM และ 978.99 mg GAE /100 g RM) ตามล าดับ ส่วนสารสกัดรางจืดด้วยอะซีโตนมีปริมาณฟีนอลิกทั้งหมดต ่า ที่สุด (81.58 mg GAE / 100 g RM) และเมื่อศึกษาคุณสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ด้วยวิธี DPPH assay, ABTS assay และ FRAP assay พบว่า สารสกัดรางจืดน ้ามีความสามารถในการต้าน อนุมูลอิสระดีที่สุดที่ค่าIC50 3.920 mg/ml, 1.598 mg/ml และ 0.254 mmol Fe2+/g RM ตามล าดับ เมื่อเปรียบเทียบกับสารสกัดน ้าของสมุนไพรทั้งสามชนิด รองลงมาได้แก่เครือหมาน้อย และย่านาง ตามล าดับ จากการศึกษาความเป็นพิษต่อเซลล์ของสารสกัดสมุนไพรทั้งสามชนิดโดยวิธีMTT (3-(4,5- dimethylthiazol-2-yl)-2,5-diphenyltetrazolium bromide) Colorimetric assay พบว่า สารสกัด รางจืด เอทานอลมีความสามารถในเป็นสารต้านการเพิ่มจ านวนของเซลล์ได้ดีที่สุดใน Caco-2 cell lines รองลงมาคือสารสกัดเครือหมาน้อยและสารสกัดย่านาง โดยมีค่า IC50 มากกว่า 100 μg ของสาร สกัด/ml ดังนั้นสมุนไพรทั้งสามชนิดจึงจัดอยู่ในประเภทของสารที่มีความเป็นพิษต ่า ธนิสรา ยศวิทย์. (2551) การศึกษากระบวนการสกัดเพคตินจากใบเครือหมาน้อยและการ น าไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหาร เครือหมาน้อย เป็นพืชที่นิยมบริโภคทั่วไปในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยใบเครือหมาน้อยสามารถน ามาสกัดเจลซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ น าไปประยุกต์ใช้ในอุดสาหกรรมได้ โดยวัตถุประสงค์ในการศึกษาครั้งนี้ เพื่อพัฒนากระบวนการสกัด
107 เพดตินจากใบครือหมาน้อยและประเมินความเหมาะสมในการน าไปใช้ในอาหารเพื่อสุขภาพน้อยที่ใช้ใน การศึกษาเก็บมาจาก จ.อุบลราชธานี น ามาถ้างด้วยน้ ายาล้างผักแล้วแช่ด้วยโซเดียมเมตาไบซัดไฟด์ เข้มข้น 100 Ppm ใบเครือหมาน้อยส่วนหนึ่งน าไปอบแห้งที่ 60*ซ 8 ชม. อีกส่วนหนึ่งน าไปแช่แข็งที่ อุณหภูมิ -100ซ โดยสภาวะในการสกัดใบเครือหมาน้อย คือ (ก สารละลายที่ใช้สกัด ได้แก่ น้ า กรด ไฮโดรคลอริก ความเข้มข้น 0.01 0.03 และ 0.05 M เบสโซเดียมไฮดรอกไซด์ความเข้มข่ย 0.0024 0.0073 0.01 22 0.0171 M (ข) ปริมาณของใบเครือหมาน้อยแห้ง 1 2 และ3% และใบเครือหมาน้อย แช่แข็ง 0.25 0.5 0.75 และ 1% w/v (ค) อุณหภูมิ ได้แก่ อุณหภูมิห้อง 50 60 70 และ 80%ซ จากนั้น กวนใบเครือหมาน้อยกับสาร ละลายที่ใช้ในการสกัดตามอุณหภูมิและสภาวะที่ก าหนด จากนั้นกรองสาร ผสมผ่านกร ะดาษกรองเบอร์ 1 ภายใต้สภาวะสุญญากาศ แล้วเทสารละลายที่กรองได้ลงในเอทานอล 95% ในอัตราส่วน 1:2 (สารละลายที่กรองได้ : เอทานอล) เพื่อตกตะกอนเฉล ตั้งทิ้งไว้ค้างคืน จากนั้น กรองเจล แล้วล้างเจลที่ได้ด้วยเอทานอล 95% อบให้แห้งที่อุณหภูมิ 60*ช วัดสีของเอทานอลด้วย เครื่องวัดสี วัดความเป็นกรดด่างของเจลที่ กรองได้โดยเครื่องวัดความเป็นกรดด่าง และวัดคุณภาพของ เพคตินเจลด้วยเครื่องRapid Viscoanal yzer (RVA* โดยพิจาร ณาสภาวะการสกัดเพคดินที่เหมาะสม จากความสามารถในการกรอง, การเกิดเจล, คุณภาพของเจลและเปอร์เซ็นต์ของปริมาณเพคติน จาก การศึกษาพบว่าสภาวะที่หมาะสมในการสกัดเพคดิน คือ สกัดด้วยน้ า อุณหภูมิ 50*ช โคยใช้ปริมาณใบ หมาน้อยแห้ง 1 % และใบหมาน้อยแช่แข็ง 0.25% w/ง โคยปริมาณเพคตินที่สกัดได้ในการศึกษาครั้งนี้ ในใบแช่แข็งได้ 5.54% และใบแห้งได้ 3.34% โดย น้ าหนักใบสด ค่า break viscosities ของเพคตินใน ใบแช่เข็ง12, 190 เซนติพอยส์และในใบแห้ง 6,664.78 เซนติพอยส์ ส าหรับเพคตินที่ได้จากใบเครือหมา น้อยแช่เข็งจะน าไปศึกษาคุณภาพของเพคตินเจลต่อกรดอินทรีย์ 1% โดยนน.ต่อปริมาตร และน าไป ประยุกดีใช้ในมาร์มาเลด เจลลี่รสส้มและนมเปรี้ยวพร้อมดื่มรสส้ม แล้วน าไปทคสอบการยอมรับทาง ประสาทสัมผัสด้วย hedonic scale แบบ 9 จุดและวัดเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์ (Texture analyzer, TA.XT plus ค่า break viscosities ของสารละลายเพคตินในกรดซิตริก, กรดแลกติก, กรดมาลิ กและกรดทาร์ทาริก ได้แก่ 4,081.89 3,269 3,842.22 และ 2,3 10.89 เซนดิพอยส์ ตามล าดับ เมื่อให้ ความร้อนแก่เจลลี่รสส้มที่ อุณหภูมิ 800ซ pH 3.4 เป็นเวลา 2 ชม. พบว่าความแข็งแรงของเจลลดลง จาก 22.17 เป็น 14.7 กรัม ส าหรับผลการทดสอบการยอมรับทางประสาทสัมผัสของทุกผลิตภัณฑ์ พบว่าจากค่าhedonic scale แบบ 9 จุด มีค่าในระดับมากกว่า 6 (จ านวนผู้ทดสอบ 50 คน) อย่างไรก็ ตามค่าการ วัดเนื้อสัมผัสของมาร์มาเลค (16.6 g) ละเจลลี่ (8.56 3 มีค่าต่ ากว่าอย่างมีนัยส าคัญทางสถิดิ เมื่อเทียบกับมาร์มาเลดทางการค้า (48.48 - 64.08 g) และเจลลี่ทางการค้า (63.93 - 2 15.94 g) และ พบว่า เพคตินที่สกัดได้ไม่สามารถป้องกันการแยกชั้นที่เกิดขึ้นใน โยเกิร์ตพร้อมดื่มในการศึกษาครั้งนี้ได้ พันธุ์เลิศ พรหมสาขา ณ สกลนคร และ ครธ . (2560). การศึกษา เรื่อง การพัฒนากระบวนการ ผลิตเพคตินจากใบเครือหมาน้อย งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากระบวนการและหาสภาวะที่ เหมาะสมในการสกัดเพคตินจาก ใบเครือหมาน้อย ที่นามาใช้ในการเปรียบเทียบ 3 ชนิด ได้แก่ ใบสด ใบ ที่อบแห้งโดยการตากแดดและใบที่อบแห้งโดยใช้ตู้อบลมร้อน และได้ทาการศึกษาหาสภาวะที่เหมาะสม ในการสกัด โดยปัจจัยที่ทาการศึกษามี3 ปัจจัย ได้แก่อุณหภูมิ(30-90๐C) เวลา (30-90 นาที) และpH (2-8) จากการทดลองพบว่าการตากแดด และการใช้ตู้อบลมร้อน ให้ผลผลิตเพคตินที่สกัดได้สูงไม่ แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ(p>0.05) ดังนั้นจึงเลือกกระบวนการอบแห้งโดยใช้ตู้อบลมร้อน เนื่องจากใช้เวลาสั้นในการเตรียมวัตถุดิบ ส่วนการหาสภาวะที่เหมาะสมพิจารณาจากปริมาณและ คุณภาพของเพคตินที่สกัดได้สภาวะที่ได้คือ อุณหภูมิอยู่ในช่วง 68-75 องศาเซลเซียส และ pH อยู่
108 ในช่วง 2.0-2.8 ที่เวลา 42 นาทีได้ผลผลิตเพคติน ปริมาณกรดกาแลกทูโรนิก (GalA) ปริมาณ เมทอก ซิล (MeO) และระดับการเกิดเอสเทอริฟิเคชั่น (DE) ร้อยละ 35.32-42.21, 67.04-76.83, 2.62-3.28, 28.00-29.97 ตามลาดับ ดุสิต อธินุวัฒน์และคณะ. (2559). ศึกษาเรื่อง มาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม คือ อะไร ? พบว่า ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (พีจีเอส) คือ กระบวนการรับรองผู้ผลิตอินทรีย์ตาม หลักการและมาตรฐานเกษตรอินทรีย์โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องมีส่วนร่วม วิสัยทัศน์ร่วม ความโปร่งใส กระบวนการเรียนรู้และความสัมพันธ์แนวราบ ระบบพีจีเอสถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548 และได้ น าไปทดลองใช้ใน 8 ประเทศ ที่มีบริบทแตกต่างกัน ได้แก่ นิวซีแลนด์ออสเตรเลีย แอฟริกาตะวันออก นามิเบีย อินเดีย บราซิล อุรุกวัย และฝรั่งเศส ปัจจุบันประเทศที่น าพีจีเอสไปใช้ในการรับรองผู้ผลิต อินทรีย์มีมากกว่า 72 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย พีจีเอสท าหน้าที่ส่งเสริมภาคเกษตรอินทรีย์ในชนบท ให้เติบโตภายใต้วิถีชีวิตที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามระบบการรับรองโดยบุคคลที่สามยังคงมีความจ าเป็น ควบคู่กัน สาหรับประเทศไทยนั้น ส านักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) เป็นผู้ ก าหนดมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แห่งชาติส าหรับประเมินผู้ผลิตอินทรีย์ด้วยระบบการรับรองโดยบุคคลที่ สาม ขณะที่พีจีเอสถูกขับเคลื่อนโดยองค์การนอกภาครัฐ โดยมูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทย (มกอท.) เป็นหนึ่ง หน่วยงานกลาง ผู้ซึ่งจัดท าระบบพีจีเอสแก่เกษตรกรกลุ่มน าร่อง 5 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มสหกรณ์เกษตร อินทรีย์ทัพไทย จังหวัดสุรินทร์(2) กลุ่มพีจีเอส อินทรีย์สุขใจ จังหวัดนครปฐม (3) กลุ่มสหกรณ์เกษตร อินทรีย์เชียงใหม่ (4) กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์แม่มอก อ าเภอเถิน จังหวัดล าปาง และ (5) กลุ่ม เกษตรอินทรีย์ศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์รวมมีผู้ผลิตอินทรีย์ที่เข้าสู่กระบวนการรับรองด้วยพีจีเอส ตาม มาตรฐานเกษตรอินทรีย์แห่งชาติจ านวน 280 คน บนพื้นที่ฟาร์มเกษตรอินทรีย์2,610 ไร่ผลิตผล ได้แก่ ข้าว พืชผัก ไม้ผล สมุนไพร ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร และปศุสัตว์โดยผลิตผลทั้งหมดถูกน าไปจ าหน่ายใน ตลาดเกษตรกรในแต่ละท้องถิ่น โรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ตลาดนัดเคลื่อนที่ โรงพยาบาล และตลาด สินค้าเกษตรอินทรีย์ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งในระยะการพัฒนาระบบพีจีเอส มีความจ าเป็นต้องได้รับ ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศ ดังนั้นการพัฒนาระบบพีจีเอสและ การพัฒนานโยบายที่เกี่ยวข้องจึงควรนาไปบรรจุไว้ในแผนพัฒนาการเกษตรแห่งชาติ ดุสิต อธินุวัฒน์ และคณะ. (2661). ศึกษาเรื่อง ผลของการใช้ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (พีจีเอส) ในชุมชนเกษตรอินทรีย์ พบว่า การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของระบบการรับรอง มาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วมพีจีเอสต่อกระบวนการผลิตเกษตรอินทรีย์รายได้เกษตรกร การ เพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกรเพศหญิงสิทธิมนุษยชน สุขภาพเกษตรกร การเข้าถึงอาหารคุณภาพ ของเกษตรกรและสมาชิกชุมชน การยอมรับของผู้บริโภค และความพึงพอใจของเกษตรกรต่อระบบพีจี เอส โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรผู้ทีผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ด้วยระบบพีจีเอส ซึ่ง เป็นสมาชิกของกลุ่ม 1 สหกรณ์เกษตรอินทรีย์เชียงใหม่ จ ากัด จังหวัดเชียงใหม่ และกลุ่ม 2 สหกรณ์ เกษตรอินทรีย์ทัพไท จ ากัด อ าเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ผลการวิจัยพบว่าพีจีเอสช่วยลดต้นทุนการ ผลิตด้านปุ๋ยเคมีและสารเคมีป้องกันก าจัดศัตรูพืชของสมาชิกกลุ่ม 1 และ 2 เท่ากับ 62.81 และ 51.22 เปอร์เซ็นต์ตามล าดับ ผลิตผลและผลิตภัณฑ์ของสมาชิกกลุ่ม 1 และ 2 ทีผ่านการรับรองด้วยระบบพีจี เอสมีราคาเพิ่มขึ้น8 20-276.3 และ 9-1,000 เปอร์เซ็นต์ตามล าดับ ส่งผลให้สมาชิกกลุ่ม 1 และ 2 มี รายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้น 20 และ 50 เปอร์เซ็นต์ตามล าดับ อีกทั้งระบบพีจีเอสยังเพิ่มความมั่นใจ ให้แก่เกษตรกรในการท าเกษตรอินทรีย์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับเกษตรกรเคยปฏิบัติมาแต่ เดิม เกษตรกรได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ส่งผลให้จ านวนเกษตรกรที่เคยมีสารพิษตกค้างในเลือดเกิน
109 เกณฑ์ทีมีมาตรฐานก าหนดและอยู่ในสภาวะเสี่ยงลดลง 78.57-100 เปอร์เซ็นต์ซึง< เกษตรกรแสดง ทัศนะทีดีต่อพีจีเอสในการเป็นเครื่องมือช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เพิ่มขีด ความสามารถของเกษตรกรเพศหญิงและสิทธิมนุษยชน ตลอดจนเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงอาหารคุณภาพ ของเกษตรกรและสมาชิกชุมชนได้100 เปอร์เซ็นต์ผู้บริโภคให้การยอมรับผลิตผลและผลิตภัณฑ์เกษตร อินทรีย์ที<ผ่านการรับรองด้วยระบบพีจีเอส 100 เปอร์เซ็นต์แสดงให้เห็นว่ากระบวนการของพีจีเอส ได้แก่ การรวมกลุ่มแสดงทัศนคติที<ดีร่วมกันของเกษตรกรและการตรวจเยี่ยมฟาร์มเพื่อนจัดเป็นการ เพิ่มขีดความสามารถของชุมชนเกษตรกรฐานรากบนพื้นฐานความโปร่งใส พึ่งพาตนเองได้และมีความ ยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ตามบริบทที่แตกต่างกันจัดเป็นผลกระทบเชิงบวกต่อการท าการเกษตร ซึ่ง เป็นวิถีชีวิตของสมาชิกชุมชนอย่างแท้จริง สวรรยา หาญวงษา และคณะ. (2561). การพัฒนาตลาดเห็ดหูหนูเผือกของวิสาหกิจชุมชนกลุ่ม เพาะเห็ดบ้านท่าช้าง. การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาตลาดเห็ดหูหนูเผือกของ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเพาะเห็ด บ้านท่าช้าง ต าบลท่าช้าง อ าเภอพรหมพิราม พิษณุโลก โดยน าผลิตภัณฑ์ เห็ดหูหนูเผือกพร้อมดื่มไปให้ผู้บริโภคกลุ่มตัวอย่างในอ าเภอเมืองพิษณุโลก จ านวน 120 คน ทดลองดื่ม แล้วสอบถามความคิดเห็น และน าผลิตภัณฑ์เห็ดหูหนูเผือกอบแห้งไปให้ผู้ประกอบการร้านอาหารใน อ าเภอเมืองพิษณุโลก จ านวน 21 แห่ง ทดลองใช้ประกอบอาหารแล้วสัมภาษณ์ผลการวิจัย พบว่า ผู้บริโภครายบุคคลร้อยละ 85.8 สนใจซื้อผลิตภัณฑ์เห็ดหูหนูเผือกพร้อมดื่ม ในภาพรวมปัจจัยส่วน ประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อในระดับมาก ได้แก่การส่งเสริมการตลาด ช่องทางการ จัดจ าหน่าย ผลิตภัณฑ์และราคา เมื่อเปรียบเทียบปัจจัยแต่ละด้านจ าแนกตามเพศ อายุระดับ การศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน พบว่า ผู้บริโภคที่เพศแตกต่างกันให้ความส าคัญกับปัจจัย ส่วนประสมทางการตลาดทั้ง 4 ด้านไม่แตกต่างกัน แต่ผู้บริโภคที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกันให้ ความส าคัญกับปัจจัยด้านราคาแตกต่างกันที่ระดับนัยส าคัญ 0.01 โดยผู้ที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษา/ ปวช. ระดับอนุปริญญา/ปวส. และระดับสูงกว่าปริญญาตรีให้ความส าคัญกับราคามากกว่าผู้ที่มี การศึกษาระดับปริญญาตรีนอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่มีระดับการศึกษาและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่าง กันให้ความส าคัญกับช่องทางการจัดจ าหน่ายแตกต่างกันที่ระดับนัยส าคัญ 0.01 ส่วนผู้ที่มีอาชีพแตกต่าง กันให้ความส าคัญกับช่องทางการจัดจ าหน่ายแตกต่างกันที่ระดับนัยส าคัญ 0.05 โดยผู้ที่มีการศึกษา ระดับมัธยมศึกษา/ปวช. ระดับอนุปริญญา/ปวส. และระดับสูงกว่าปริญญาตรีให้ความส าคัญกับช่อง ทางการจัดจ าหน่ายมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีในขณะที่ผู้ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาทให้ความส าคัญกับการจัดจ าหน่ายมากกว่าผู้ที่มีรายได้20,001-30,000 บาท และ รายได้30,001-40,000 บาท ส่วนผู้ที่เป็นข้าราชการ/พนักงานรัฐ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานเอกชน พ่อค้า/แม่ค้า เกษตรกร และพ่อบ้าน/แม่บ้านให้ความส าคัญกับช่องทางการจัดจ าหน่ายมากกว่าผู้ที่เป็น ข้าราชการบ านาญ และพบว่าพนักงานเอกชนและพ่อบ้าน/แม่บ้านให้ความส าคัญกับช่องทางการจัด จ าหน่ายมากกว่านักศึกษาส่วนตลาดผลิตภัณฑ์เห็ดหูหนูเผือกอบแห้ง พบว่า ผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้อยละ 61.9 นิยมใช้เห็ดสดในการประกอบอาหารมากกว่าเห็ดอบแห้ง เห็ดอบแห้งที่นิยมใช้คือเห็ดหิมะ มีผู้ประกอบการที่ใช้เห็ดอบแห้งและสนใจซื้อผลิตภัณฑ์เห็ดหูหนูเผือกอบแห้งเพียงร้อยละ 9.5 เท่านั้น กนกวรรณ เวชกามา และ กีรติ วุฒิจารี. (2561). การเพิ่มมูลค่าห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์กาแฟด้วย รูปแบบวิสาหกิจชุมชน กรณีศึกษา บ้านป่าคาสันติสุข ต าบลแม่แจ๋ม อ าเภอเมืองปาน จังหวัด ล าปาง การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับเพิ่มมูลค่าห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์กาแฟจากรูปแบบวิสาหกิจ ชุมชน กรณีศึกษา บ้านป่าคาสันติสุข ต าบลแม่แจ๋ม อ าเภอเมืองปาน จังหวัด ล าปาง ซึ่งมีวัตถุประสงค์
110 เพื่อ 1. ศึกษาห่วงโซ่คุณค่ากาแฟ และ 2. ศึกษาแนวทางการเพิ่มมูลค่าห่วงโซ่คุณค่ากาแฟบ้านป่าคา สันติสุขด้วยกระบวนการกลุ่ม โดยมีวิธีการเก็บข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ แบบสังเกตพฤติกรรม ผล การศึกษาแสดงถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนที่เป็นชนเผ่าราหู่ จ านวน 57 หลังคาเรือนที่อาศัยอยู่ใน บ้านป่าคาสันติสุข ก าลังการผลิต 5,000 กิโลกรัมต่อ 1 ปี ต่อ 1 ครัวเรือน รวมถึงรายได้ที่หมุนเวียนใน ชุมชน จากวัตถุประสงค์การวิจัยส่งผลต่อการค้นพบรูปแบบห่วงโซ่คุณค่าการผลิตกาแฟของชุมชน และ จากกระบวนการภายใต้โครงการ 0700 ท าให้ค้นพบการเพิ่มมูลค่าให้กับห่วงโซ่คุณค่าด้วยกระบวนการ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และมูลค่าที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเพิ่มมูลค่าใน ห่วงโซ่คุณค่าเปรียบเทียบกับก่อน การเพิ่มมูลค่าห่วงโซ่คุณค่าผลิตภัณฑ์กาแฟคือรายได้ที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกรในชุมชนบ้านป่าคาสันติสุข จากการรวมกลุ่ม ปฏิกมล โพธิคามบ ารุง และคณะ. (2561). การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการ จัดการฐานข้อมูลคลังสินค้าของวิสาหกิจชุมชนน้ าพริกแม่มานิต อ าเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก. การ พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการฐานข้อมูลคลังสินค้าของวิสาหกิจชุมชนน้ าพริกแม่มานิต อ าเภอ วังทอง จังหวัดพิษณุโลก มีวัตถุประสงค์ของวิจัยดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ฐานข้อมูลคลังสินค้าของวิสาหกิจชุมชนน้ าพริกแม่มานิต และ 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของระบบ สารสนเทศเพื่อการจัดการฐานข้อมูลคลังสินค้าของวิสาหกิจชุมชนน้ าพริก แม่มานิต ซึ่งพัฒนาระบบด้วย ภาษา PHP โดยใช้โปรแกรม Dreamweaver และระบบฐานข้อมูลใช้ MySQL ส่วนเครื่องมือในการ จัดท าวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ซึ่งแบ่ง การสอบถามออกเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการออกแบบ และด้าน การจัดการระบบ โดยมีผู้ใช้งานคือประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนน้ าพริกแม่ มานิตและผู้ที่เกี่ยวข้องในการ จัดการข้อมูล จ านวน 5 คน ผลการวิจัยพบว่า ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจในภาพรวมต่อการใช้ระบบ สารสนเทศเพื่อการจัดการฐานข้อมูลคลังสินค้าของวิสาหกิจชุมชนน้ าพริกแม่มานิต อยู่ในระดับดีมาก เนื่องด้วยระบบงานมีการออกแบบที่ใช้งานง่าย สามารถประมวลผลการค านวณได้อย่างถูกต้อง แสดงผล รายงานได้ตามความต้องการและระบบมีการท างานตรงตามวัตถุประสงค์
บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ การศึกษาการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ สมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการปลูก การขยายพันธุ์ พัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และการสร้างรายได้จาก ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อยกลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรในต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จ านวน 30 คน ผู้ศึกษาได้เลือกใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นวิธีการในการศึกษา โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ การจัดเวทีเสวนา แบบ สัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และแบบสอบถาม และ อาศัยข้อมูลจากเอกสารที่มีอยู่ในชุมชนซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 3.1 การก าหนดพื้นที่ศึกษา 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.3 เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล และการ ตรวจสอบข้อมูล 3.4 รายละเอียดของขั้นตอนการด าเนินงานจริงตามแผนงาน 3.1 การก าหนดพื้นที่ศึกษา การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาการศึกษาการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นการเลือกพื้นที่แบบ เจาะจง (Purposive Sampling) ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จ านวน 7 หมู่บ้าน ประกอบด้วย หมู่บ้าน หมู่1 บ้านก้านเหลืองดง , หมู่2 บ้านหนองแคน , หมู่3 บ้านโพน ไฮ , หมู่4 บ้านก้านเหลืองดง , หมู่4 บ้านดอนป่าแคน , หมู่5 บ้านก้านเหลืองดง , หมู่6 บ้านบาง ทรายพัฒนา , หมู่7 บ้านโคกยาว เป็นพื้นที่มีสมุนไพรที่หลากหลาย และยังมีการน าสมุนไพรที่มีอยู่ใน ท้องถิ่นมาใช้ในการดูแลสุขภาพอย่างแพร่หลายหากแต่ยังขาดการจัดการความรู้อย่างเป็นระบบและ ถูกวิธีและยังขาดการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นในชุมชน 3.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรในต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จ านวน 30 คน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือผลกระทบ คือ เทศบาลต าบลหนองแคน ส านักงานพัฒนาชุมชน จังหวัดมุกดาหาร วิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต าบลหนองแคน ส านักงาน สาธารณสุขจังหวัด/ อ าเภอ และกลุ่มผู้บริโภค/ผู้ใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพ
112 3.3 เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล และการตรวจสอบ ข้อมูล เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) เครื่องมือที่ใช้ศึกษารูปแบบการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อยตามวัตถุประสงค์ ข้อที่ 1 เครื่องมือที่ 1.1 เป็นการใช้เครื่องมือในรูปแบบการบันทึกการเติบโตของสมุนไพร หมาน้อย(กรุงเขมา) จากต้นพันธุ์ ในแปลงสาธิต จ านวน 100 ต้น ปลูกห่างกัน 1 เมตร ปักไม้เพื่อ รองรับการเลื้อยของต้นหมาน้อย ให้น้ าในทุกๆ 3 วัน ใส่ปุ๋ยจากมูลสัตว์และฟางแห้งในหลุมปลูก การ ใส่น้ าในร่องแปลงสาธิต เก็บข้อมูลตั้งแต่ลงดินจนถึง 6 เดือน โดยเก็บจ านวน 1 ครั้ง/เดือน รวมเป็น 6 ครั้ง มีหน่วยนับเป็นเซนติเมตร กลุ่มสมาชิกเป็นผู้บันทึกข้อมูล น าข้อมูลมาอัตราการเจริญเติบ 2) เครื่องมือที่ใช้ประเมินการพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมา น้อย ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 แบ่งออกเป็น 3 ฉบับได้แก่ ได้แก่ เครื่องมือที่ 2.1 เป็นเครื่องมือแบบวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปรรูป สมุนไพรเครือหมาน้อยก่อนพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย แบบวัด ความรู้จ านวน 10 ข้อ คณะผู้วิจัยได้ส่งแบบวัดความรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องและความ เที่ยงตรงของแบบทดสอบ พบว่ามีค่าความเที่ยงตรงของแบบทดสอบอยู่ที่ 0.97 แบบทดสอบฉบับนี้ สามารถวัดความรู้ได้จริง และได้น าแบบวัดความรู้ไปทดสอบกับกลุ่มทดลองที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย จ านวน 50 คน พบว่าค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามอยู่ที่ 1.0254 คือ มีค่าความ เชื่อมั่นสูง สามารถน าไปวัดความรู้กับกลุ่มเป้าหมายของโครงการได้ เครื่องมือที่ 2.2 เป็นเครื่องมือแบบวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปรรูป สมุนไพรเครือหมาน้อยหลังการพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย เข้า ร่วมโครงการของกลุ่มเป้าหมาย จ านวน 30 คน แบบวัดความรู้จ านวน 10 ข้อ จ านวน 23 ข้อ กลุ่ม ตัวอย่าง 50 คน โดยแบบสอบถามได้น าไปทดสอบกับกลุ่มทดลองที่ไม่ใช่กลุ่มเป้หมาย จ านวน 30 คน พบว่าค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามอยู่ที่ 1.0254 คือ มีค่าความเชื่อมั่นสูง เครื่องมือที่ 2.3 แบบประเมินการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมพัฒนาศักยภาพการแปร รูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย เพื่อเก็บข้อมูลแบบมีส่วนร่วมเพื่อเก็บข้อมูลจาก กลุ่มเป้าหมาย จ านวน 30 คน และภาคีเครือข่าย ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัย 5 ระดับ ตามแนวคิด ของ Hacker การระดมความคิดเห็น การแสดงความคิดเห็น ในประเด็นต่าง ๆ ตลอดจนการ ออกแบบวางแผนการด าเนินงาน ปฏิบัติการ หรือ สื่อสารข้อมูลอย่างมีส่วนร่วม เพื่อความเข้าใจที่ ตรงกันอย่างชัดเจนตลอดการด าเนินงาน เช่น การประชุม จัดท าแผน อบรมเชิงปฏิบัติการ การสรุป งาน เป็นต้น การแบ่งระดับการมีส่วนร่วมในการด าเนินการวิจัยเพื่อท้องถิ่น แบ่งออกเป็น 5 ระดับคือ 1 น้อยที่สุดไปจนถึง 5 สมบูรณ์ที่สุดตามการมีส่วนร่วมในการท าการวิจัย (Hacker, 2013) ดังนี้
113 ในการด าเนินการวิจัย แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ ภาคีกลุ่มที่ 1 คือกลุ่มมีเจตนาดีหรือกลุ่มผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปฏิบัติการวิจัย ภาคีกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ ภาคีกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือชุมชนที่ร่วมปฏิบัติการวิจัยในครั้งนี้ ซึ่งแบ่งระดับการมีส่วนร่วมในการด าเนินการวิจัยเพื่อท้องถิ่นของภาคหุ้นส่วนทั้ง 3 กลุ่ม โดยแบ่งออกเป็น 5 ระดับคือ 1 น้อยที่สุดไปจนถึง 5 สมบูรณ์ที่สุดตามการมีส่วนร่วมในการท า การวิจัยตามหลักคิดของ Hacker, 2013 ดังนี้ ค่า 1 คะแนน หมายถึง Investigator-Driven Research (ผู้ให้ข้อมูล) ค่า 2 คะแนน หมายถึง Community-Placed Research (ผู้ให้ข้อมูลและผู้ร่วมคิด) ค่า 3 คะแนน หมายถึง Community-Based Research (ผู้ร่วมคิด และร่วมท า) ค่า 4 คะแนน หมายถึง Community-Based Participatory Research (ผู้ร่วมคิด และผู้ร่วมท า และผู้ร่วมออกแบบ) ค่า 5 คะแนน หมายถึง Community-Driven Research (ผู้ร่วมคิด และผู้ร่วมท า และผู้ร่วมออกแบบ และผู้ร่วมต่อยอด) เครื่องมือที่ 2.4 แบบประเมินผลการใช้ผลิตภัณฑ์กับกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 5 ผลิตภัณฑ์ แบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ ทดสอบการแพ้ จ านวน 2 ผลิตภัณฑ์คือ ผงพอกหน้าหมาน้อย สูตรหน้าใส และสูตรลดสิว และ การทดสอบการรับรส จ านวน 3 ผลิตภัณฑ์ คือ ลาบหมาน้อย , หมา น้อยในน้ าหวาน และวุ้นหมาน้อยในกะทิ เครื่องมือที่ 2.5 แบบประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เครือหมายน้อย จ าแนกเป็น 4 ด้าน คือ ด้านผลิตภัณฑ์ (product) ด้านราคา (Price) ด้านช่องทาง การจัดจ าหน่าย (Place) และ ด้านการส่งเสริมการตลาด (Promotion) จ านวน 23 ข้อ กลุ่มตัวอย่าง 50 คน โดยแบบสอบถามได้น าไปทดสอบกับกลุ่มทดลองที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย จ านวน 30 คน พบว่า ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถามอยู่ที่ 0.9942 คือ มีค่าความเชื่อมั่นสูง แบบสอบถามเป็นแบบเลือกตอบ (Check list) จ านวน 23 ข้อ ค าตอบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยก าหนดค่าดังนี้ 5 คะแนน เท่ากับ พึงพอใจมากที่สุด 4 คะแนน เท่ากับ พึงพอใจมาก 3 คะแนน เท่ากับ พึงพอใจปานกลาง 2 คะแนน เท่ากับ พึงพอใจน้อย 1 คะแนน เท่ากับ พึงพอใจน้อยที่สุด โดยแปลผลตามเกณฑ์คะแนนเฉลี่ยด้วยการจัดช่วงระดับคะแนนดังนี้ 4.21 – 5.00 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด 3.41 – 4.20 หมายถึง พึงพอใจมาก 2.61 – 3.40 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง 1.81 – 2.60 หมายถึง พึงพอใจน้อย 1.00 – 1.80 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด
114 3) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเกี่ยวกับการสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 ที่กลุ่มเป้าหมายในการด าเนินงานต าบลหนองแคน จ านวน 30 คน เครื่องมือที่ 3.1 เป็นการจัดท าบัญชีรายรับรายจ่ายของกลุ่ม เพื่อที่น ามาค านวณถึง รายได้ที่เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายที่สมาชิกจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิม ร้อยละ 5 จากรายได้ปกติคือ 139.45 บาท/คน/ปีโดยอ้างอิงจากรายได้เฉลี่ยของต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง คือ 2,789 บาท/คน/ปี(องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน). 2565 : ออนไลน์) การวิเคราะห์ข้อมูล เครื่องมือที่ 1.1 การบันทึกการเติบโตของสมุนไพรหมาน้อย(กรุงเขมา) ใช้สถิติค่าเฉลี่ย เครื่องมือที่ 2.1 แบบวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปรรูปสมุนไพรเครือหมาน้อยก่อน พัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย และเครื่องมือที่ 2.2 แบบวัดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปรรูปสมุนไพรเครือหมาน้อยหลังการพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์ จากสมุนไพรเครือหมาน้อย เข้าร่วมโครงการของกลุ่มเป้าหมาย จ านวน 30 คน แบบวัดความรู้ จ านวน 20 ข้อ ใช้สถิติผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้เข้าร่วมโครงการ เครื่องมือที่ 2.3 แบบประเมินการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมพัฒนาศักยภาพการแปรรูป ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย ใช้การประเมินการมีส่วนร่วมในการท าการวิจัย (Hacker, 2013) เครื่องมือที่ 2.4 แบบประเมินผลการใช้ผลิตภัณฑ์กับสมาชิก ในผลิตภัณฑ์ จ านวน 5 ผลิตภัณฑ์ แบ่งออกได้ 2 ลักษณะ คือ ทดสอบการแพ้ จ านวน 2 ผลิตภัณฑ์ คือ ผงพอกหน้าหมาน้อย สูตรหน้าใส และสูตรลดสิว และ การทดสอบการรับรส จ านวน 3 ผลิตภัณฑ์ คือ ลาบหมาน้อย , หมา น้อยในน้ าหวาน และวุ้นหมาน้อยในกะทิใช้ตารางการทดสอบผลการใช้ผลิตภัณฑ์ เครื่องมือที่ 2.5 แบบประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือ หมายน้อย จ าแนกเป็น 4 ด้าน คือ ด้านผลิตภัณฑ์ (product) ด้านราคา (Price) ด้านช่องทางการจัด จ าหน่าย (Place) และ ด้านการส่งเสริมการตลาด (Promotion) ใช้สถิติค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เครื่องมือที่ 3.1 เป็นการจัดท าบัญชีรายรับรายจ่ายของกลุ่มวิสาหกิจหมอน้อยต าบลหนอง แคน ใช้สถิติค่าร้อยละ 3.4 รายละเอียดของขั้นตอนการด าเนินงานจริงตามแผนงาน 1) เพื่อศึกษารูปแบบการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย 1.1) การศึกษารูปแบบการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนอง แคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ทีมวิจัยได้ร่วมกันออกแบบเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เกี่ยวกับรูปแบบการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ซึ่งเป็นข้อมูลที่ต้องใช้ในการศึกษา ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ซึ่งประกอบด้วย การก าหนดพื้นที่แปลงทดลอง การตรวจสอบคุณภาพดิน การเตรียมแปลง การปลูก การดูแลบ ารุงรักษา และการขยายพื้นที่ปลูกในชุมชน จ านวน 30 ครัวเรือน
115 1.2) รวบรวมและน าข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาสรุปและวิเคราะห์เพื่อให้ทราบถึง รูปแบบการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัด มุกดาหาร 2) เพื่อศึกษาและพัฒนาพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย การศึกษาและพัฒนาพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย ตาม วัตถุประสงค์ข้อที่ 2 มีเป้าหมายในการผลิตสินค้าจากจากสมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จ านวน 5 ผลิตภัณฑ์ ในรูปแบบอาหารและเครื่องดื่นพร้อมบริโภค ทีมวิจัยได้แบ่งขั้นตอนในการด าเนินงานออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 2.1) การผลิต (ต้นน้ า) เป็นการด าเนินการเกี่ยวกับ 1) การให้ความรู้เกี่ยวกับ สมุนไพรเครือหมาน้อยมาใช้บริโภคในชีวิตประจ าวัน ทั้งในเรื่องของการใช้เป็นอาหาร และสรรพคุณ ทางยา โดยได้รับการสนับสนุนวิทยากรจากภาคีเครือข่ายนักวิชาการอิสระด้านสาธรณสุข 2) กระบวนการปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อยแบบปลอดภัย และ3) การวางแผนการออกแบบหลักสูตร เพื่อใช้ในการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการแปรรูปผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากสมุนไพรเครือหมาน้อย จ านวน 2 ผลิตภัณฑ์ โดยใช้ภาคีเครือข่ายจากวิทยาลัยชุมชนมุกดาหารในการจัดหาวิทยากร 2.2) การแปรรูป (กลางน้ า) มีการด าเนินกิจกรรม 1) การรวบรวมวัตถุดิบสมุนไพร เครือหมาน้อย ในพื้นที่ด าเนินการเพื่อใช้ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ 2) การอบรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ จากสมุนไพรเครือหมาน้อย จ านวน 2 ผลิตภัณฑ์ 3) น าผลิตภัณฑ์ให้กลุ่มทดลองตรวจสอบรสชาติ และอายุของผลิตภัณฑ์ และ 4) การแปรรูปแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย จ านวน 2 ผลิตภัณฑ์เพื่อการจ าหน่าย 2.3) การตลาด (ปลายน้ า) มีการด าเนินกิจกรรม 1) การสร้างตราสินค้าแบบมีส่วน ร่วมของชุมชนที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของต าบลหนองแคน จ านวน 1 ตราสินค้า 2) ค้นหา รูปแบบการท าการตลาด การก าหนดช่องทางการตลาด ทั้งตลาดภายในชุมชน ตลาดภายนอกชุมชน และตลาดออนไลน์ รวมทั้งแนวทางในการพยากรณ์ยอดขายเพื่อวางแผนการผลิตในอนาคต 3) การ ก าหนดขนาดบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและรูปแบบที่เหมาะสม และ4) การจัดกิจกรรม ทดสอบการตลาดเพื่อสะท้อนความต้องการของผู้บริโภค ความพึงพอใจ และข้อเสนอแนะจาก ผู้บริโภคเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 3) เพื่อสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย การสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย น้อย ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 ในการ ด าเนินการวิจัย กลุ่มเป้าหมายในการด าเนินงานต าบลหนองแคน จ านวน 30 คน จะมีรายได้เพิ่มขึ้น จากเดิม ร้อยละ 5 จากรายได้ปกติ
บทที่ 4 ผลการด าเนินงานและวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ การศึกษาการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ สมุนไพรเครือหมาน้อย ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการปลูก การขยายพันธุ์ พัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์ และการสร้างรายได้จาก ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อยกลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรในต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร จ านวน 30 คน ผู้ศึกษาได้เลือกใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เป็นวิธีการในการศึกษา โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ การจัดเวทีเสวนา แบบ สัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง การสัมภาษณ์การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และแบบสอบถาม ผลการศึกษา ดังต่อไปนี้ 4.1 ผลการด าเนินงาน 4.1.1 การปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย (ต้นน า) 1. วิทยาลัยชุมชนมุกดาหารได้รับการจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัย ใน ปีงบประมาณ 2565 จากสถาบันวิทยาลัยชุมชน จ านวน 100,000 บาท เพื่อท าการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ สมุนไพรในจังหวัดมุกดาหาร 2. วิทยาลัยชุมชนมุกดาหารได้ตระหนักถึงการใช้สมุนไพรเพื่อการดูแลสุขภาพ ของคนทุกช่วงวัย และได้ส ารวจความต้องการของชุมชนในพื้นที่อ าเภอดงหลวงเกี่ยวกับความต้องการ ใช้สมุนไพรเพื่อการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งการดูแลสุขภาพ และเกิดรายได้จากสมุนไพร เนื่องจาก ในช่วงเวลาที่ท าการส ารวจความต้องการนั้น พื้นที่อ าเภอดงหลวงเกิดการระบาดของโรคติดต่อโควิด 19 อย่างมาก ท าให้คนในชุมชนต้องการสมุนไพรที่ช่วยดูแลสุขภาพ โดยคนในชุมชนและหน่วยงานที่ เข้าร่วมการเสวนาได้ลงความเห็นว่า ควรน าสมุนไพรเครือหมาน้อยมาอนุรักษ์และแปรรูปเพื่อใช้ในการ ดูแลสุขภาพและสร้างรายได้ เนื่องจากเป็นสมุนไพรที่มีการใช้เป็นอาหารในอดีต คือ ลาบหมาน้อย แต่ ในปัจจุบันเริ่มหายไปจากชุมชนและขาดผู้สืบทอดที่มีความรู้ท าให้สมุนไพรเครือหมาน้อยขาดการ น ามาใช้ประโยชน์อย่างต่อเนื่อง และ วิทยาลัยชุมชนมุกดาหารได้แต่งตั้งคณะท างานผู้รับผิดชอบ โดย คณะนักวิจัยได้ส ารวจพื้นที่ร่วมกับคนในชุมชน พบว่ามีสมุนไพรชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เครือหมาน้อย หรือเครือหมอน้อย เป็นสมุนไพรที่มีในพื้นที่แต่ขาดการใช้ประโยชน์มานาน ทั้งที่มีสรรพคุณในการลด ไข้ ควบคุมระดับน้ าตาล ลดความดัน รักษาโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน และแก้ร้อนในกระหายน้ า จึง ได้ท าเลือกมาเป็นสมุนไพรที่จะศึกษา ภายใต้หัวข้อ โครงการ การวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครือหมาน้อย โดยมีผู้ที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการโดยสมัครใจจากแต่ละหมู่บ้าน จ านวน 30 คน ดังรูป ภาพประกอบที่ 4 – 1 และ 4 - 2
117 รูปภาพประกอบที่ 4 -1 เวทีเสวนาเพื่อค้นหาความต้องการของชุมชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ สมุนไพรต าบลหนองแคนของตัวแทนชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกับวิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร รูปภาพประกอบที่ 4 -2 การลงมติเลือกสมุนไพรเครือหมาน้อยเป็นพืชศึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ สมุนไพรต าบลหนองแคนของตัวแทนชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่ร่วมกับวิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร 3. วิทยาลัยชุมชนมุกดาหารได้ร่วมกับสมาชิกโครงการ และหน่วยงานในพื้นที่ ก าหนดพื้นที่ในการจัดท าแปลงสาธิตการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย มติที่ประชุมได้ขอ ใช้พื้นที่ของ รพ.สต.ต าบลหนองแคน อ าเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เป็นแปลงสาธิต พื้นที่จ านวน 0.5 ไร่ จ านวนสมุนไพรเครือหมาน้อยที่ปลูกในแปลงสาธิต จ านวน 300 ต้น โดยกลุ่มสมาชิกที่เข้าร่วม โครงการจะเป็นผู้ดูแลแปลงสาธิตร่วมกัน ดังนี้
118 3.1 คณะท างานได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 ภายใต้กิจกรรมที่ 1 การปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย เพื่อสร้างความตระหนักในการ ใช้เครือหมาน้อยอย่างถูกวิธี และเกิดทักษะในการปลูกและขยายพันธุ์เครือหมาน้อยที่ถูกต้อง โดยได้ เชิญวิทยากร คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ราตรี พระนคร 3.2 การขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย การขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ขยายพันธุ์จากส่วนของรากใต้ดิน โดยตัดชิ้นส่วนของพืชให้มีขนาดความยาว 3 นิ้ว ปักช าลงไปในวัสดุปลูกที่ประกอบด้วย แกลบเผา ดิน ร่วน ทรายละเอียด อัตราส่วน 1:1:1 ปักช าในถุงด าขนาด 2 x 6 นิ้ว รดน้ าเช้า เย็นให้ชุ่ม เก็บดูแล รักษาภายใต้โรงเรือน ประมาณ 1 เดือนเริ่มมีการแตกยอด และเมื่อมีการเจริญเติบโตของใบ ประมาณ 4-5 ใบ และมีการเจริญของรากเจริญออกมาตามรูของถุงด า สามารถน าต้นสมุนไพรเครือ หมาน้อยย้ายปลูกได้ 3.3 การปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อย การปลูกสมุนพรเครือหมาน้อย โดยปลูกลงแปลง เตรียมแปลงปลูกกว้าง 50 เซนติเมตร ยาวตามแนวพื้นที่ แปลง ระยะห่างระหว่างแปลง 50 เซนติเมตร ระยะปลูกระหว่างหลุม 50 เซนติเมตร หลุมละ 2 ต้น ปลูกทั้งสิ้นจ านวน 300 ต้น ในหลุมปลูกรองก้นหลุมด้วยแกลบดิบ ปุ๋ย คอก อัตราส่วน 1 : 1 ท าค้างไม้เลื้อย หลังปลูกรดน้ าเช้าเย็น เมื่อต้นเริ่มฟื้นตัวรดน้ าเฉพาะช่วงเช้า การบันทึกผลการเจริญเติบโตของต้นสมุนไพรเครือหมาน้อย ด้านความสูง จ านวนใบ จ านวนยอด ต่อท่อนพันธุ์ ตั้งแต่ระยะย้ายปลูกต้นกล้าอายุ2 เดือน ในเดือนกุมภาพันธ์ ถึง เดือนกันยายน 2565 ท าการเก็บข้อมูลทุกวันที่ 10 ของเดือน จ านวน 8 ครั้ง พบว่า ด้านความสูงของ ต้นเครือหมาน้อยโดยท าการวัดจากระดับที่เกิดตายอดถึงปลายยอดสุด ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือน มิถุนายนต้นเครือมีการเจริญด้านความสูงแบบค่อยๆเพิ่มขึ้นสม่ าเสมอ มีการเจริญด้านความสูงมาก ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม และค่อยๆลดลงในเดือนกันยายน ด้านจ านวนใบพบว่าต้น เครือหมาน้อยมีจ านวนใบเพิ่มขึ้นตามอายุการเจริญเติบโต ด้านจ านวนยอด พบว่ามีการเจริญของยอด เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม จ านวน 1.5 ยอดและมีมากที่สุดในเดือนกันยายน จ านวน 2.7 ยอด ตามตารางที่ 4 – 1 ตารางที่4 - 1 การเจริญเติบโตต้นสมุนไพรเครือหมาน้อย ครั งที่ ความสูง (ซม.) จ านวนใบ/ต้นตอ (ใบ) จ านวนการแตกยอด (ยอด) 1-กุมภาพันธ์ 15.8 7 1 2-มีนาคม 25.7 10 1 3-เมษายน 32.25 15 1 4-พฤษภาคม 45.35 21 1 5-มิถุนายน 60.45 27 1.5 6-กรกฎาคม 90.65 32 2 7-สิงหาคม 125.8 37 2.5 8-กันยายน 132.5 40 2.7
119 4. การขยายผล กลุ่มวิสาหกิจหมอน้อยต าบลหนองแคน ได้ขยายผลการปลูกสมุนไพรเครือ หมาน้อยไปสู่ชุมชน โดยท าการปลูกในพื้นที่ของสมาชิกกลุ่มเพื่อใช้เป็นทรัพยากรในการแปรรูป ผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม และเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อยของชุมชนต่อไป รูปภาพประกอบที่ 4 – 3 การก าหนดพื้นที่ส าหรับท าแปลงสาธิตการปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อย รูปภาพประกอบที่ 4 – 4 การจ าเตรียมแปลงสาธิตการปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อย
120 รูปภาพประกอบที่ 4 – 5 การปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อย ณ แปลงสาธิต รูปภาพประกอบที่ 4 – 6 ต้นพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย
121 รูปภาพประกอบที่ 4 – 7 แปลงสาธิตการปลูกสมุนไพรเครือหมาน้อย 4.1.2 การพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย (กลางน า) ภายใต้กิจกรรมที่ 2 การพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร เครือหมาน้อย โครงการได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ใน ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย โดยได้มีการประชุมกลุ่ม สมาชิกก่อนการอบรมเพื่อส ารวจความต้องการของชุมชนว่าต้องการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ประเภท ใดบ้าง ผลการประชุมมีความคิดเห็นตรงกันว่า ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการแปรรูป คือ อาหาร เครื่องดื่ม และ ของว่าง โดยได้เชิญวิทยากร คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ราตรี พระนคร โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการ อบรม จ านวน 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ วุ้นหมาน้อยในกะทิ เจลลี่ในน้ าผลไม้ ลาบหมาน้อย และพอกหน้า หมาน้อย (หน้าใส – ลดสิว) รูปภาพประกอบที่ 4 – 8 การอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรเครือหมาน้อย
122 รูปภาพประกอบที่ 4 – 9 การอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อการแปรรูปสมุนไพรเครือหมาน้อยเป็น ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาน (เครื่องส าอาง) รูปภาพประกอบที่ 4 – 10 การอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อการแปรรูปสมุนไพรเครือหมาน้อยเป็น ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาน (เครื่องส าอาง)
123 รูปภาพประกอบที่ 4 – 11 ผงสมุนไพรเครือหมาน้อย รูปภาพประกอบที่ 4 – 12 ผลิตภัณฑ์ผงพอกหน้าสมุนไพรเครือหมาน้อย สูตรลดสิว และสูตรหน้าใส
124 รูปภาพประกอบที่ 4 – 13 ผลิตภัณฑ์อาหารจากสมุนไพรเครือหมาน้อย “ลาบหมาน้อย” รูปภาพประกอบที่ 4 – 14 ผลิตภัณฑ์อาหารว่างจากสมุนไพรเครือหมาน้อย “วุ้นหมาน้อยในกะทิ”
125 รูปภาพประกอบที่ 4 – 15 ผลิตภัณฑ์เครือดื่มจากสมุนไพรเครือหมาน้อย “หมาน้อยในน้ าหวาน/น้ าสมุนไพร” คณะท างานได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ในวันที่ 3,4 และ 11 พฤษภาคม 2565 เพื่อร่วมกับออกแบบบรรจุภัณฑ์ การค านวณต้นทุนขาย การทดลองปฏิบัติเพื่อสร้างเอกลักษณ์ ของผลิตภัณฑ์ และการสร้างรูปแบบทางการตลาดของผลิตภัณฑ์จ านวน 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ วุ้นหมา น้อยในกะทิ เจลลี่ในน้ าผลไม้ ลาบหมาน้อย และพอกหน้าหมาน้อย (หน้าใส – ลดสิว) ซึ่งจากการ อบรมท าให้ได้ (1) สัญลักษณ์ (Logo) ของผลิตภัณฑ์ จ านวน 1 แบบ ซึ่งมี องค์ประกอบจากความเป็นมาของชุมชน ดังนี้ - ต้นตะเคียน แทนสัญลักษณ์ของต้นตะเคียนเก่าแก่ที่อยู่ ในชุมชนที่มีรังผึ้งจ านวนมาก - รวงผึ้ง แทนสัญลักษณ์ของรวงผึ้งที่อยู่บนต้นตะเคียน เก่าแก่ที่อยู่ในชุมชนที่มีรังผึ้งจ านวนมาก เนื่องจากมีความเชื่อว่าหากใครไปรบกวนรังผึ้งบริเวณนั้นจะมี แต่ความโชคร้ายและมีอันเป็นไป ท าให้รังผึ้งที่ต้นตะเคียนมีจ านวนมากจนถึงปัจจุบัน - เครือสมุนไพรหมาน้อย แทนสัญลักษณ์ของต้นสมุนไพร เครือหมาน้อยในชุมนที่มีลักษณะการเจริญเติบโตด้วยการเลื้อยเกาะต้นไม้ยืนต้น (2) ฉลากสินค้า จ านวน 5 แบบ คือ จ านวน 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ วุ้น หมาน้อยในกะทิ เจลลี่ในน้ าผลไม้ ลาบหมาน้อย และพอกหน้าหมาน้อย (หน้าใส – ลดสิว) ซึ่งจะมี รายละเอียดเกี่ยวกับ สรรพคุณ ชนิดของสินค้า การใช้ ปริมาณ วันที่ผลิตและวันหมดอายุ
126 รูปภาพประกอบที่ 4 – 16 การอบรมการออกแบบบรรจุภัณฑ์ส าหรับ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย รูปภาพประกอบที่ 4 – 17 ตัวอย่างบรรจุภัณฑ์ส าหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย รูปภาพประกอบที่ 4 – 18 การออกแบบตราผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย
127 รูปภาพประกอบที่ 4 – 19 การออกแบบฉลากผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย ตารางที่ 4 – 2 การค านวณต้นทุนผลิตภัณฑ์และการก าหนดราคาจ าหน่าย ล าดับ วัตถุดิบ ปริมาณ ราคาต้นทุน ผงพอกหน้าหมาน้อย (สูตรหน้าใส) จ านวน 1 กระปุก ปริมาณ 100 กรัม ต้นทุน 64.80 บาท ราคาขาย 100 บาท 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7.. 8. กระปุก ผงหมาน้อย ผงขมิ้น ผงมะหาด ผงใบบัวบก ดินสอพองบดละเอียด ผงมะขามป้อม ค่าแรง 1 กระปุก 30 กรัม 5 กรัม 5 กรัม 5 กรัม 40 กรัม15 กรัม 1 ครั้ง 3 บาท 36 บาท 1 บาท 1 บาท 1 บาท 2.80 บาท 15 บาท 5 บาท ผงพอกหน้าหมาน้อย (สูตรลดสิว) จ านวน 1 กระปุก ปริมาณ 100 กรัม ต้นทุน 52.80 บาท ราคาขาย 100 บาท 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. กระปุก ผงหมาน้อย ผงขมิ้น ผงมะหาด ผงใบบัวบก ดินสอพองบดละเอียด ค่าแรง 1 กระปุก 30 กรัม 10 กรัม 5 กรัม 15 กรัม 40 กรัม1 ครั้ง 3 บาท 36 บาท 2 บาท 1 บาท 3 บาท 2.80 บาท 5 บาท ลาบหมาน้อย จ านวน 20 กล่อง ปริมาณ 100 มิลลิกรัม ต้นทุน (384 ÷20) = 19.20 บาท ราคาขาย 30 บาท 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. กล่องอาหาร ผงหมาน้อย ปลาทู (ทอดแล้วยีให้เป็นชิ้นเล็กๆ) ข้าวคั่ว+พริกป่น+ปลาร้า+เกลือ+ผงปรุงรส ต้นหอม + ผักชีซอยเล็ก น้ าเปล่า ค่าแรง 20 กล่อง 30 กรัม 100 กรัม 50 กรัม 1 มัด 2 ลิตร 1 ครั้ง 99 บาท 40 บาท 100 บาท 15 บาท 20 บาท 10 บาท 100 บาท วุ้นหมาน้อยในกะทิ จ านวน 50 ถ้วย ปริมาณ 150 มิลลิกรัม ต้นทุน (260 ÷50) = 5.20 บาท ราคาขาย 20 บาท 1. ขวดพลาสติก 50 ขวด 60 บาท
128 ล าดับ วัตถุดิบ ปริมาณ ราคาต้นทุน 2. 3. 4. 5. ผงหมาน้อย กะทิกล่อง 250 มิลลิกรัม น้ าเปล่า ค่าแรง 32 กรัม 2 กล่อง 2 ลิตร 1 ครั้ง 40 บาท 50 บาท 10 บาท 100 บาท หมาน้อยในน้ าหวาน/น้ าผลไม้ จ านวน 50 ขวด ปริมาณ 200 มิลลิกรัม ต้นทุน (340 ÷50) = 6.80 บาท ราคาขาย 20 บาท 1. 2. 3. 4. 5. ขวดพลาสติก ผงหมาน้อย น้ าหวาน/น้ าผลไม้ น้ าดื่ม ค่าแรง 50 ขวด 32 กรัม 750 มิลลิกรัม 2 ลิตร 1 ครั้ง 135 บาท 40 บาท 55 บาท 10 บาท 100 บาท จากตารางที่ 4 – 2 ผลการด าเนินงาน ดังนี ลาบหมาน้อย มีต้นทุนที่ 19.20 บาท ราคาขาย 30 บาท ก าไร 10.80 บาท/กล่อง คิดเป็น ก าไรร้อยละ 36.00 ผงพอกหน้าหมาน้อย สูตรหน้าใส มีต้นทุนที่ 64.80 บาท ราคาขาย 100 บาท ก าไร 35.20 บาท/กระปุก คิดเป็นก าไรร้อยละ 35.20 ผงพอกหน้าหมาน้อย สูตรลดสิว มีต้นทุนที่ 52.80 บาท ราคาขาย 100 บาท ก าไร 47.20 บาท/กระปุก คิดเป็นก าไรร้อยละ 47.20 วุ้นหมาน้อยในกะทิมีต้นทุนที่ 5.20 บาท ราคาขาย 20 บาท ก าไร14.80 บาท/ถ้วย คิด เป็นก าไรร้อยละ 74.00 วุ้นหมาน้อยในน้ าหวาน/น้ าผลไม้ มีต้นทุนที่ 6.80 บาท ราคาขาย 20 บาท ก าไร 13.20 บาท/ขวด คิดเป็นก าไรร้อยละ 66.00 รูปภาพประกอบที่ 4 – 20 การอบรมเพื่อการค านวณต้นทุนการจ าหน่าย ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย
129 รูปภาพประกอบที่ 4 – 21 การค านวณต้นทุนการจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย รูปภาพประกอบที่ 4 – 22 ข้อสรุปการหาต้นทุนการจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย 4.1.3 การสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย (ปลายน า) โครงการ การวิจัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ได้ท าการทดสอบ ตลาดและจัดจ าหน่าย จ านวน 6 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 ให้ผู้เข้าอบรมน าผลิตภัณฑ์ไปทดสอบตลาดกับคนในชุมชนของ ตนเองแล้วเก็บข้อมูล เกี่ยวกับ รสชาติ สีสัน ปริมาณ การแพ้ และข้อเสนอแนะอื่นๆ เพื่อน ามา ปรับปรุง ผลตอบรับจากกลุ่มทดลอง คือ อร่อย ทานง่าย สีสันสวยงาม เหมาะกับการ ทานในวันที่อากาศร้อนท าให้สดชื่น และไม่พบอาการแพ้จากกลุ่มทดลอง
130 ครั้งที่ 2 ท าการทดสอบตลาดผ่านกิจกรรม การเปิดฤดูกาลการเก็บเกี่ยวของ อ าเภอดงหลวง กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มเกษตรกร ด้วยผลิตภัณฑ์ วุ้นหมาน้อยในกะทิ พอกหน้าหมา น้อย ลาบหมาน้อย และเจลลี่หมาน้อยในน้ าผลไม้ ผลตอบรับจากกลุ่มทดลอง คือ อร่อย ทานง่าย สีสันสวยงาม เหมาะกับการ ทานในวันที่อากาศร้อนท าให้สดชื่น และไม่พบอาการแพ้จากผู้บริโภค ครั้งที่ 3 เป็นการทดสอบตลาดกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยการจัดเป็นอาหารว่าง “หมาน้อยลอยกะทิ”ในการอบรม โดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ บอกว่าท า จากเครือหมาน้อย และไม่ได้บอกว่าท าจากเครือหมาน้อย ผลตอบรับจากกลุ่มทดลอง คือ กรณีที่ 1 บอกว่าท าจากเครือหมาน้อย นักเรียนลังเลก่อนทานหลังจากทานแล้วบอกอร่อย และไม่ได้บอกว่าท าจากเครือหมาน้อยนักเรียน ทานหมดทุกคน มีรายได้ จ านวน 750 บาท ต้นทุน 250 บาท ก าไร 500 บาท (ผู้จ้างจัดภาชนะมาเอง) ครั้งที่ 4 เป็นการทดสอบตลาดกับกลุ่มวัยท างานช่วงอายุ 30 – 45 ปี โดย การจัดเป็นอาหารว่าง “หมาน้อยลอยกะทิ”ในการอบรม ผลตอบรับ กลุ่มเป้าหมายมีความสนใจในผลิตภัณฑ์และบริโภคโดยไม่ลังเล ทั้งสนใจการขยายพันธุ์ มีรายได้ 600 บาท (ผู้จ้างจัดภาชนะมาเอง) ครั้งที่ 5 จัดจ าหน่ายสินค้าโดยสมาชิกในโครงการ ณ สวนมาศ จ านวน 1 วัน ผลิตภัณฑ์ที่จ าหน่าย คือ ผลิตภัณฑ์ วุ้นหมาน้อยในกะทิ พอกหน้าหมาน้อย ลาบหมาน้อย และเจลลี่ หมาน้อยในน้ าผลไม้ ผลตอบรับ รายได้ จ านวน 1,450 บาท ต้นทุน 750 บาท ก าไร 700 บาท ครั งที่ 6 จัดจ าหน่ายแบบฝากขาย ณ ตลาดสดอ าเภอหนองสูง จ านวน 1 วัน ผลิตภัณฑ์ที่จ าหน่าย คือ ผลิตภัณฑ์ วุ้นหมาน้อยในกะทิ และพอกหน้าหมาน้อย รายได้ ผลตอบรับ จ านวน 900 บาท ต้นทุน 350 บาท ก าไร 550 บาท รูปภาพประกอบที่ 4 – 23 ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย “ผงพอกหน้า” ส าหรับจ าหน่าย
131 รูปภาพประกอบที่ 4 – 24 ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย “วุ้นหมาน้อยในน้ าหวาน/น้ าสมุนไพร” ส าหรับจ าหน่าย รูปภาพประกอบที่ 4 – 25 ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย “วุ้นหมาน้อยในกะทิ” ส าหรับจ าหน่าย
132 รูปภาพประกอบที่ 4 – 26 ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย “ลาบหมาน้อย” ส าหรับจ าหน่าย ผลที่ได้รับตามวัตถุประสงค์ของโครงการ 1) เพื่อศึกษาการปลูกและขยายพันธุ์สมุนไพรเครือหมาน้อย ผู้เข้าร่วมโครงการร้อยละ 80 เกิดความรู้ ความตระหนัก และทักษะในการค้นหาแหล่งวัตถุดิบ การปลูก การขยายพันธ์และการเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างถูกวิธี โดยประเมินได้จากการท าแปลงสาธิต การปลูกเครือหมายน้อย จ านวน 300 ต้น ณ รพ.สต.หนองแวง จนกลายเป็นแหล่งวัตถุดิบของชุมชน 2) เพื่อพัฒนาศักยภาพการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย ผู้ร่วมโครงการมีการวางแผนการท างานเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อยตามความ สนใจของสมาชิกในกลุ่ม โดย แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มผลิตประเภทอาหาร เครื่องดื่ม ของว่าง และเครื่องส าอาง เพื่อให้ทุกคนได้ลงมือปฏิบัติอย่างแท้จริง การแบ่งกลุ่มการผลิตตามจะเป็นการแบ่ง แบบคละหมู่บ้าน 1 ชนิดจะต้องมีสมาชิกในทุกหมู่บ้านในต าบลหนองแคน เพื่อจะเป็นแกนน าใน เผยแพร่ความรู้ในทุกผลิตภัณฑ์ให้กับคนในชุมชนของตนเองต่อไป 3) เพื่อสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย กลุ่มสมาชิกและคณะนักวิจัยวิทยาลัยชุมชนมุกดาหารได้ท าการทดสอบตลาดและจัดจ าหน่ายใน กลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลายหลาก ทั้งด้านอายุ รายได้ และอาชีพ สามารถสรุปผลประกอบการได้ดังนี้ (ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2564) ตารางที่ 4 – 3 รายได้จากการจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย ครั งที่ กลุ่มเป้าหมาย ทุน ขายได้ ก าไร 1 นักเรียนประถม/มัธยมศึกษา 250 750 500 2 วัยท างานประจ า อายุ30-45 ปี 200 600 400 3 เกษตรและหน่วยงานในท้องถิ่น (อายุหลากหลาย) 750 1,450 700 4 ประชาชนทั่วไป 550 1,120 570 รวม 1,750 3,920 2,172 จากตารางที่ 4 – 3 รายได้จากการจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย พบว่า 1. รายได้ของกลุ่มวิสาหกิจหมอน้อยต าบลหนองแคน จ านวน 7 คน มีรายได้เพิ่มขึ้น เฉลี่ยต่อ คน 2,172 ÷ 7 = 310.29 บาท
133 1.1 รายได้หลังหักค่าแรง 1.2 รายได้จากการจ าหน่าย 4 ครั้ง/เดือน 1.3 เมื่อคิดรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการเฉลี่ยต่อคนต่อเดือน โดยอ้างอิง ข้อมูลรายได้ของต าบลหนองแคนที่มีรายได้เฉลี่ยที่ 2,789 บาท/คน/ปี พบว่ากลุ่มวิสาหกิจหมอน้อย ต าบลหนองแคนมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 310.29 บาท/คน/ปี ดังนี้ (310.29 x 100) ÷ 2,789 = 11.13 % 2. เมื่อเสร็จสิ้นโครงการมีผู้เข้าร่วมในการจัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์โครงการ จ านวน 7 คน ด าเนินการขอจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน ผลการด าเนินงาน 1. จากเป้าหมายของโครงการที่ก าหนดว่าต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5 ผลการ ด าเนินงานพบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.13 เกินเป้าหมายของโครงการ รูปภาพประกอบที่ 4 – 27 การจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย รูปภาพประกอบที่ 4 – 28 ผลิตภัณฑ์ตัวอย่างเพื่อการทดสอบจากผู้บริโภค
134 รูปภาพประกอบที่ 4 – 29 การสาธิตวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ผองหน้าสมุนไพรเครือหมาน้อย รูปภาพประกอบที่ 4 – 30 การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย รูปภาพประกอบที่ 4 – 31 การจ าหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรเครือหมาน้อย
135 รูปภาพประกอบที่ 4 – 32 การจัดกิจกรรมทดสอบและจ าหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรเครือหมาน้อย 2. เมื่อเสร็จสิ้นโครงการมีผู้เข้าร่วมในการจัดจ าหน่ายผลิตภัณฑ์โครงการ จ านวน 7 คน ซึ่ง จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน ภายใต้ชื่อ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรหมอน้อยต าบลหนองแคน โดย ได้ส านักงานเกษตรและสหกรณ์อ าเภอดงหลวงช่วยให้ความรู้และกระบวนการการจัดตั้งวิสาหกิจ ชุมชน รูปภาพประกอบที่ 4 – 33 ด าเนินการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจของผู้เข้าร่วมโครงการ โดยวิทยากรจาก ส านักงานเกษตรและสหกรณ์อ าเภอดงหลวง