มหาปัญญาวิทยาลัย
สถาบนั สมทบมหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย
โดยด�ำ ริของพระเดชพระคณุ พระมหาคณานัมธรรมปัญญาธิวัตร เจ้าคณะใหญ่อนัม
นกิ ายแหง่ ประเทศไทย ท่ีจะจดั ตงั้ สถาบนั อุดมศกึ ษาของคณะสงฆ์อนมั นกิ าย ในเบ้ืองตน้ ได้เริ่ม
จัดตงั้ ในวดั ของคณะสงฆอ์ นัมนกิ ายทีต่ ้งั อยู่ในกรุงเทพมหานคร ความไมล่ งตวั ในด้านสถานทีจ่ ัด
ตั้งจงึ ทำ�ให้โครงการตอ้ งชะลอไป ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ไดม้ ีการประชุมคณะสงฆ์ณ วัดสระ
เกศราชวรมหาวหิ าร โดยมีพระเดชพระคณุ เจา้ ประคณุ สมเดจ็ พระพุฒาจารย์ (เก่ียว อปุ เสโณ)
เป็นประธานการประชุม โดยมีตัวแทนจากมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั และเจา้
คณะใหญ่อนัมนิกาย พร้อมคณะสงฆอ์ นัมนิกาย ในทีป่ ระชมุ มมี ตจิ ัดต้ังวิทยาลยั สงฆข์ องอนัม
นกิ าย ณ ท่ธี รณสี งฆ์วดั ถาวรวราราม หาดใหญ่ และไดส้ ถาปนานามวา่ “มหาปญั ญาวิทยาลยั ”
โดยมี องพจนกรโกศล (บุญส่ง เหย่ยี วหาย) เลขานุการเจ้าคณะใหญ่อนมั นิกาย และเจ้าอาวาส
วดั ถาวรวราราม หาดใหญ่ เป็นผู้รบั มอบหมายจดั ตั้ง เรม่ิ เปิดดำ�เนนิ การเรยี นการสอนในเดือน
มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๔๕ เปน็ ตน้ มา โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่อื การสอน ในปเี ดยี วกนั ได้มีการ
ประชมุ นกั วชิ าการ ณ มหาวทิ ยาลัยหาดใหญ่ เพ่ือจดั ท�ำ แผนพัฒนา ๕ ปแี รก โดยมีพระเดช
พระคณุ เจ้าประคณุ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นประธานการประชุม มีพระเทพโสภณ อธิการบดี
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั เปน็ ผูบ้ รรยายในหัวขอ้ “การพัฒนาการศึกษาคณะ
สงฆ”์ นับเป็นการพฒั นาการศึกษาก้าวส�ำ คัญของคณะสงฆอ์ นมั นิกาย ปัจจบุ นั มพี ระภกิ ษุท้ังใน
และต่างประเทศที่จบการศกึ ษาจากมหาปัญญาวทิ ยาลัย และไดร้ ับปรญิ ญาจากมหาวิทยาลยั
มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัยทต่ี ง้ั มานานกว่า ๖๐ ปี และมพี ระภกิ ษอุ นมั นกิ ายท่ไี ดจ้ บการ
ศึกษาจากมหาปัญญาวิทยาลยั แลว้ ไปเผยแผแ่ ละศกึ ษาต่อในประเทศสหรัฐอเมรกิ า ๖ รปู
คณะสงฆอ์ นมั นกิ ายภายใต้การน�ำ ของพระเดชพระคุณ พระมหาคณานมั ธรรมปัญญา
ธวิ ตั ร ไดจ้ ดั ระบบการศกึ ษาของคณะสงฆ์ตัง้ แตร่ ะดบั มธั ยมจนถงึ อดุ มศึกษา เพ่อื ส่งเสริ
มการศีึกษาความรู้ความสามารถของพระภิกษุสามเณรให้มีศักยภาพในการเผยแผ่พระพุทธ
ศาสนาในโลกกว้างตอ่ ไปอยา่ งม่นั คง
201
202
อนมั
บทความอนมั นกิ าย
203
เรื่�องตํํานานพระอนัมั นิกิ าย (พระญวน)
พระนิพิ นธ์์ของสมเด็็จพระเจ้้าบรมวงศ์์เธอ กรมพระยาดํํารงราชานุภุ าพ
เรื่�องที่�พวกญวนมาอยู่�ในประเทศสยามนี้� จะเป็น็ มาอย่า่ งไรในสมัยั เมื่�อกรุงุ ศรีอี ยุธุ ยาเป็น็
ราชธานีีข้้าพเจ้้ายัังไม่่ได้้สืืบสวนขึ้�นไปถึึง เคยสืืบแต่่เรื่�องพงศาวดารของพวกญวนที่�อยู่�ใน
กรุุงเทพมหานคร นี้� ได้้ความว่า่ เมื่�อราว พ.ศ. ๒๓๑๖ เกิิดกบฏขึ้�นที่�เมืืองเว้อ้ ันั เป็็นราชธานีีของ
ประเทศญวน พวกกบฏชิงิ เมือื งได้เ้ มือื งแล้ว้ ฆ่า่ ฟันั เจ้า้ นายเสียี เป็น็ อันั มาก พวกราชวงศ์ญ์ วนที่�รอด
อยู่�ได้พ้ ากันั หนีีพวกกบฏลงมาทางเมือื งไซ่่ง่อ่ นหลายองค์์ องเชียี งซุนุ ราชบุุตรที่� ๔ ของเจ้้าเมืืองเว้้
มาอาศััยอยู่�ที่�เมืืองฮาเตียี น ซึ่�งต่อ่ แดนเขมรมณฑลบัันทายมาศของเขมร พวกกบฏยกกองทััพมา
ติิดตาม เจ้้าเมืืองฮาเตีียนเห็็นเหลืือกํําลัังที่�จะต่่อสู้� ก็็อพยพครอบครััวพาองเชีียงซุุนเข้้ามายััง
กรุงุ ธนบุรุ ีี เมื่�อราวปีีวอก พ.ศ. ๒๓๑๙ พระเจ้้ากรุงุ ธนบุรุ ีี โปรดเกล้า้ โปรดกระหม่่อมให้้รัับไว้แ้ ล้ว้
พระราชทานที่�ให้ญ้ วนพวกองเชียี งซุนุ ตั้�งบ้้านเรืือนอยู่�นอกพระนครทางฝั่�งตะวัันออก คืือตรงที่�
แถวถนนพาหุรุ ัดั ทุกุ วันั นี้� จึงึ เรียี กกันั ว่า่ บ้า้ นญวนมาจนสร้า้ งถนนพาหุรุ ัดั อยู่�มาองเชียี งซุนุ พยายาม
จะหนีี พระเจ้า้ กรุงุ ธนบุรุ ีจี ึงึ มีรี ับั สั่�งให้ป้ ระหารชีวี ิติ เสียี ๑พวกองเชียี งซุนุ เป็น็ ญวนพวกแรกที่�อพยพ
เข้า้ มาตั้�งภูมู ิิลํําเนาอยู่�ในประเทศนี้� เมื่�อภายหลัังเสียี กรุงุ ศรีอี ยุุธยาแก่่พม่า่ ข้้าศึกึ แล้้ว
ต่่อมาถึงึ ชั้�นกรุงุ รััตนโกสิินทร์์ เมื่�อรััชกาลที่� ๑ มีีราชนัดั ดาของเจ้า้ เมือื งเว้อ้ ีกี องค์ห์ นึ่�งชื่�อ
องเชียี งสือื เดิมิ หนีพี วกกบฏมาอาศัยั อยู่�ที่�เมือื งไซ่่ง่อ่ น พวกญวนที่�เมือื งไซ่ง่ ่อ่ นนับั ถือื ถึงึ ยกย่อ่ งให้้
ครองเมืืองแต่่รัักษาเมืืองต่่อสู้้�ศััตรููไม่่ไหว จึึงหนีีมาอาศััยอยู่�ที่�เกาะกระบืือในแดนเขมร พระยา
ชลบุุรีีคุุมเรืือรบไทยไปลาดตระเวนทางทะเล ไปพบองเชีียงสืือ ๆ จึึงพาครอบครััวโดยสารเรืือ
พระยาชลบุรุ ีเี ข้้ามาขอพึ่�งพระบารมีอี ยู่� ณ กรุุงเทพมหานคร เมื่�อปีเี ถาะ พ.ศ. ๒๓๒๖ อัันเป็็นปีีที่�
๒ ในรััชกาลที่� ๑ พระบาทสมเด็็จพระพุุทธยอดฟ้้าจุุฬาโลก ทรงพระกรุุณารัับทํํานุุบํํารุุงและ
พระราชทานที่�ให้้ ญวนพวกองเชียี งสืือตั้�งบ้า้ นเรืือนอยู่�ริมแม่น่ํ้�าฝั่�งตะวัันออกที่่�ตํําบลคอกกระบือื
คือื ตรงที่�ตั้�งสถานทูตู โปรตุุเกสทุกุ วัันนี้� พวกญวนที่่�นับั ถือื องเชียี งสือื มีีมาก ครั้�นรู้�ว่าองเชีียงสือื ได้้
มาพึ่�งพระบารมีีเป็น็ หลัักแหล่่งอยู่�ในกรุุงเทพมหานคร
ก็พ็ ากันั อพยพครอบครัวั ติดิ ตามเข้า้ มาอีกี เน่ื�อง ๆ จํํานวนญวนที่�เข้า้ มาในคราวองเชียี งสือื
เห็น็ จะมากด้ว้ ยกันั จึงึ ปรากฏว่า่ องเชียี งสือื ได้ค้ วบคุมุ พวกญวนไปตามเสด็จ็ ในการทํําสงครามกับั
พม่่าหลายครั้�ง องเชีียงสืืออยู่�ในกรุงุ เทพมหานคร ๔ ปีี ครั้�นถึงึ ปีีมะเมียี พ.ศ. ๒๓๒๙
204
องเชียงสอื เขียนหนังสือทูลลาวางไวท้ ่ที ่บี ูชาแลว้ ลอบลงเรือหนไี ปกบั คนสนทิ เนื้อความ
ในหนงั สอื นั้นว่า ตั้งแตเ่ ข้ามาพง่ึ พระบรมโพธสิ มภาร ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระ
หม่อมทํานบุ าํ รงุ เป็นอเนกประการ ถึงให้กองทพั ไทยไปช่วยตีเมืองไซง่ ่อนพระราชทานก็คร้งั
หน่งึ แตก่ ารยังไมส่ ําเร็จเพราะกรงุ เทพมหานครติดทาํ สงครามอยกู่ บั พมา่ จะรอต่อไปก็เกรงวา่
พรรคพวกทางเมืองญวนจะรวนเรไปเสีย ครนั้ จะกราบถวายบังคมลาโดยเปิดเผยก็เกรงจะมีเหตุ
ขดั ขอ้ งจึงไดห้ นีไป เพอ่ื จะไปคิดอ่านตีเอาเมืองไซง่ อ่ นคืน ถา้ ขดั ข้องประการใดขอพระบารมีเปน็
ที่พ่ึงทรงอดุ หนนุ ด้วย เมอ่ื ได้เมอื งแล้วจะมาเปน็ ข้าขอบขณั ฑสีมาสืบไป องเชยี งสอื หนไี ปพกั อยู่
ที่เกาะกูด เมือ่ ข่าวที่องเชียงสือหนีทราบถึงพระกรรณพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก
ไมท่ รงถือโทษ แตก่ รมพระราชวงั บวรมหาสุรสงิ หนาททรงขดั เคืององเชยี งสอื ในครั้งน้ันจงึ โปรด
ใหญ้ วนพวกองเชียงสอื ย้ายขึน้ ไปตั้งบา้ นเรอื นอยเู่ สียท่บี างโพ ยังมีเชอ้ื สายสบื มาจนทุกวนั น้ี
มพี วกญวนทอ่ี พยพเข้ามาอยู่เมืองไทยภายหลงั คร้งั องเชียงสอื มาเมอ่ื ในรชั กาลที่ ๓
อีก ๓ คราว คือ เม่อื ปีมะเมยี พ.ศ. ๒๓๗๗ พระเจ้าแผ่นดนิ ญวนมินมางประกาศห้ามมิให้พวก
ญวนถือศาสนาคริสตงั และจบั พวกญวนที่เขา้ รตี ทาํ โทษต่าง ๆ จึงมีพวกญวนเข้ารีตอพยพ
ครอบครวั หนภี ัยเขา้ มาพง่ึ พระบารมอี ยใู่ นประเทศน้ี มาอยู่ท่เี มอื งจันทบุรโี ดยมาก ทเ่ี ขา้ มาอยู่
ในกรุงเทพมหานครก็เห็นจะมีบ้าง ชะรอยจะมาอยู่ทีบ่ า้ นโปรตุเกสเขา้ รตี ซ่งึ อพยพเข้ามาจาก
เมืองเขมร และโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มพระราชทานที่ใหอ้ ยู่ท่ีสามเสนนั้น ภายหลงั จงึ โปรด
ให้ญวนเขา้ รตี ไปอยู่ท่ตี าํ บลนัน้ ต่อมาอกี ดงั จะปรากฏต่อไปขา้ งหนา้
ญวนอพยพมาอกี คราวหนง่ึ เม่อื ครง้ั เจ้าพระยาบดนิ ทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ไปตเี มือง
ญวนเม่ือปีมะเสง็ พ.ศ. ๒๓๗๖ ไดค้ รัวญวนสง่ เข้ามาถงึ กรงุ เทพมหานคร เมอ่ื ปลายปีมะเมีย พ.ศ.
๒๓๗๗ ครวั ญวนทเ่ี ข้ามาคราวนีเ้ ปน็ ๒ พวก คอื เป็นพวกถือพระพทุ ธศาสนา พวกหนง่ึ เป็นพวก
ถอื ศาสนาครสิ ตังพวกหนงึ่ พวกญวนทถี่ ือพระพทุ ธศาสนาน้นั โปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มให้ไป
ตงั้ บ้านเรือนอยูท่ เ่ี มอื งกาญจนบรุ ี สําหรบั รกั ษาปอ้ มเมืองใหมซ่ ึง่ ทรงสร้างขึน้ ทีป่ ากแพรก แต่
พวกญวนท่ีถือศาสนาคริสตังนั้นเห็นจะเป็นเพราะมีญวนเข้ารีตอยู่ที่สามเสนมาแต่ก่อนบ้างแล้ว
จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมใหต้ ้งั บ้านเรือนอยู่ทต่ี าํ บลสามเสนในกรุงเทพมหานคร ติดตอ่ กบั
บ้านพวกคริสตงั เชือ้ โปรตุเกส ซึ่งอพยพเข้ามาจากเมืองเขมร และโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มให้
ข้ึนอยใู่ นพระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกล้าเจ้าอยหู่ วั เมื่อยงั ดํารงพระยศเป็นสมเดจ็ เจ้าฟ้ากรมขนุ
อศิ เรศรงั สรรค์ ทรงฝกึ หัดเป็นทหารปนื ใหญ่
ญวน ๒ พวกที่กลา่ วมานี้ ถงึ รัชกาลท่ี ๔ พวกญวนครสิ ตังยา้ ยสังกัดไปเป็นทหารปืน
ใหญฝ่ า่ ยพระบวรราชวัง (คอื ญวนพวกพระยาบนั ฤาสงิ หนาท)
205
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ทรงทราบว่าพวกญวนทีอ่ ยู่เมอื งกาญจนบุรีโดย
มากอยากจะมาอยู่ในกรุงเทพมหานครเหมอื นกับญวนพวกอืน่ จงึ พระราชทานพระบรมราชา
นญุ าตให้เข้ามาตั้งบา้ นเรือนอยู่ท่ีริมคลองผดุงกรงุ เกษม ซ่ึงไดโ้ ปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มให้ขุด
ใหม่น้นั แลว้ ให้จัดเป็นทหารปืนใหญฝ่ ่ายวังหลวงสืบมา ทเ่ี มอื งกาญจนบรุ ี ยงั มวี ัดญวนและมี
ชือ่ ตาํ บล เช่นเรียกว่า “ชุกยายญวน” ปรากฏอยจู่ นทกุ วนั นี้ เช้อื สายพวกญวนทีไ่ มอ่ พยพเขา้ มา
กรงุ เทพมหานครยงั คงอยูท่ เ่ี มืองกาญจนบรุ ีก็เห็นจะมีบา้ ง
ครวั ญวนทอี่ พยพเข้ามาคร้ังหลงั ในรัชกาลที่ ๓ นนั้ มาเมื่อปชี วด พ.ศ. ๒๓๘๓ มเี รื่อง
ปรากฏในจดหมายเหตุว่า เวลานั้นกองทัพไทยกับเขมรกาํ ลงั รบพงุ่ ขบั ไลก่ องทพั ญวนท่ีเขา้ มาตง้ั
อยูใ่ นแดนเขมร กองทพั ญวนถูกล้อมอยู่หลายแห่ง เผอญิ เกดิ ความไข้ข้ึนในค่ายญวน พวกญวน
หนีความไขอ้ อกมาหาเขมรประมาณ ๑,๐๐๐ คนเศษ เจา้ พระยาบดินทรเดชาบอกสง่ เขา้ มา
กรุงเทพมหานคร พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกล้าเจา้ อย่หู วั โปรดให้ญวนพวกน้ไี ปท่ีบางโพกับเชื้อ
สายญวนพวกองเชียงสอื
พวกญวนทม่ี าอยใู่ นประเทศสยาม มีท้งั ท่ีถอื พระพุทธศาสนาและที่ถือศาสนาคริสตัง
พวกญวนทถี่ อื พระพทุ ธศาสนา มาตง้ั ภมู ลิ ำ�เนาอยู่แหง่ ใดกน็ ิมนตพ์ ระญวนมาสร้างวดั เปน็
ท่บี ําเพญ็ การกุศลของพวกญวนซง่ึ อยู่ ณ ทีแ่ ห่งน้ัน พวกญวนทีถ่ อื ศาสนาครสิ ตังได้อาศัย
ฝร่งั บาทหลวงเป็นผ้คู วบคมุ แตค่ รง้ั ยังอยใู่ นเมอื งเขมร เมอื่ มาอยใู่ นประเทศสยามนี้ พวกฝรัง่
บาทหลวงกส็ รา้ งวัดและดูแลควบคุมพวกญวนคริสตงั ทาํ นองเดยี วกัน จะกล่าวในตํานานนแี้ ต่
ด้วยเรื่องวัดญวนและพระญวนในพระพุทธศาสนา
ในบรรดาศาสนาไม่เลอื กวา่ ศาสนาใด เม่อื ท่านผูต้ งั้ ศาสนาล่วงลับไปแล้ว นานมาผทู้ ่ี
เลือ่ มใสศาสนาน้ันกเ็ กิดถือลทั ธติ า่ งกัน เชน่ ศาสนาคริสตังกเ็ กดิ ถอื ต่างกันเปน็ ลัทธคิ รสิ ต์ ลทั ธิ
โรมนั คาทอลิกและลทั ธโิ ปรเตสแตนต์ ศาสนาอสิ ลามก็เกิดถือต่างกันเปน็ ลทั ธสิ หุ น่ี และลัทธิ
เซยี ะ (คือแขกเจ้าเซน็ ) พระพุทธศาสนาก็เกิดถือต่างกนั เปน็ ๒ ลทิ ธิมาตัง้ แตช่ าวอินเดียยงั ถือ
พระพุทธศาสนากนั อยแู่ พร่หลาย ลทั ธเิ ก่าซง่ึ เกดิ ขนึ้ มคธราฐทางใต้ ได้นามวา่ ลทั ธิ “หินยาน”
ลทั ธใิ หม่ ซ่ึงเกิดขึน้ ในคันธารราฐทางฝา่ ยเหนือ ไดน้ ามวา่ ลทั ธิ “มหายาน” เมื่อพระพทุ ธ
ศาสนาแพร่หลายไปยงั นานาประเทศ พวกชาวอนิ เดยี ทถี่ อื ลัทธิหินยาน เชิญพระพทุ ธศาสนามา
ทางทะเลเทยี่ วส่งั สอนในลงั กาทวีป และประเทศพม่า มอญ ไทย เขมร จงึ ถือพระพทุ ธศาสนา
ตามลัทธิหนิ ยานมาจนทุกวันนี้ พวกชาวอินเดียทีถ่ อื ลัทธิมหายานเชิญพระพทุ ธศาสนาไปทาง
บก เท่ียวสง่ั สอนในประเทศทเิ บต ประเทศอาเซยี นตอนกลางตลอดไปจนประเทศจนี และญ่ปี ุ่น
ประเทศญวนรับลัทธพิ ระพทุ ธศาสนาอยา่ งมหายานมาจากจีน พวกญวนจงึ บวชเรยี นและ
ประพฤติกิจในศาสนาผิดกบั ไทย เพราะฉะน้ันเมอ่ื พวกญวนมา สรา้ งวัดและมพี ระญวนขนึ้
206
ในประเทศน้ี ชั้นเดิมกม็ ีผู้นับถือและอุดหนุนแตพ่ วกญวน แต่ในสมยั นน้ั ยังไมม่ ีวดั พระจนี ใน
ประเทศนี้ พวกจีนกม็ กั ไปทาํ บญุ ทว่ี ัดญวนดว้ ยเพราะลทั ธศิ าสนาของญวนกบั จนี เหมอื นกนั
และทาํ พิธีต่าง ๆ เช่น กงเตก๊ เปน็ ตน้ อยา่ งเดียวกนั สว่ นไทยแมไ้ ม่สู้นับถือก็ไม่เกลยี ดชังพวก
ญวน เพราะเห็นวา่ นับถือพระพุทธเจา้ องคเ์ ดยี วกัน
วัดญวนทม่ี าสร้างขึ้นในประเทศนี้ กอ็ นโุ ลมตามเรอื่ งที่พวกญวนเขา้ มาอยใู่ นประเทศ
สยาม คือ ญวนพวกที่มากับองเชยี งซนุ ครง้ั กรงุ ธนบรุ ีมาสร้างวดั ขึ้นที่บ้านหม้อ ๒ วัด คือ
๑.วดั กามโล่ตื่อ (วดั ทิพยวารีวิหาร) ยังอยูท่ ีห่ ลังตลาดบ้านหมอ้ ในพระนคร แตป่ จั จบุ นั
เปน็ วัดในการปกครองของคณะสงฆจ์ นี นิกาย
๒.วดั โห่ยคัน้ ตื่อ (วัดมงคลสมาคม) เดิมอย่ทู ี่บ้านญวนข้างหลงั วังบูรพาภิรมย์ ครั้นจะ
ตัดถนนพาหรุ ดั วดั นัน้ กก็ ดี แนวถนน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั
จึงโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มให้กระทําผาติกรรมอย่างวัดไทย คอื พระราชทานทด่ี นิ
และให้สรา้ งวัดขึ้นใหม่แลกวัดเดมิ ยา้ ยไปตง้ั ท่ีริมถนนแปลงนามในอําเภอสมั พันธวงศ์
ญวนพวกทีม่ ากับองเชยี งสอื เม่อื รัชกาลท่ี ๑ สร้างวัดญวน ๒ วัด คอื
๓.วดั คน้ั เยิงต่อื (วัดอภุ ยั ราชบํารุง) ทห่ี ลงั ตลาดนอ้ ย (ริมถนนเจรญิ กรุง)
๔.วดั กวา๋ งเพื้อกตือ่ (วดั อนัมนกิ ายาราม) เรยี กกันเป็นสามัญวา่ วดั ญวนบางโพ
ญวนพวกทีม่ าเมอื่ รชั กาลที่ ๓ สร้างวัดญวน ๓ วดั คือ
๕.วดั ค้ันถอ่ ตอื่ (วดั ถาวรวราราม) อยทู่ ่เี มอื งกาญจนบุรี เมอ่ื ญวนพวกนัน้ ย้ายเขา้ มาอย ู่
ในกรงุ เทพมหานคร มาสรา้ งอกี วดั หนึ่ง คอื
๖.วดั กั๋นเพอ้ื กตอ่ื (วัดสมณานมั บรหิ าร) อยทู่ รี่ ิมคลองผดงุ กรงุ เกษม ในอาํ เภอดุสิต
๗.วดั เพือ้ กเดย้ี นต่ือ (วัดเขตร์นาบญุ ญาราม) อยู่ทเ่ี มอื งจนั ทบรุ ี
มีวัดญวนซึง่ พวกญวนและพวกจีนช่วยกันสรา้ งข้นึ ภายหลังมาอกี ๔ วดั คอื
๘.วัดโผเพอ้ื กตอ่ื (วดั กุศลสมาคร) อย่ใู นอาํ เภอสัมพนั ธวงศ์ ใกลถ้ นนราชวงศ์
๙.วดั ถวีหง่านตื่อ (วัดชยั ภูมิการาม) อยใู่ นอําเภอสมั พนั ธวงศ์ ที่ตรอกเจส๊ ัวเนียม
๑๐.วัดเบีย๋ นเพ้อื กตือ่ (วดั บําเพ็ญจนี พรต) อยใู่ นอําเภอสัมพันธวงศ์ ใกล้ถนนเยาวราช
ปัจจุบันเป็นวัดในปกครองของคณะสงฆจ์ ีนนิกาย
๑๑.วัดต่ือเตต๊ อ่ื (วัดโลกานุเคราะห์) อยใู่ นอําเภอสมั พันธวงศ์ ซอยผลิตผล ถนนราชวงศ์
๑๒.วดั คนั้ ถอ่ ตอื่ (วดั ถาวรวราราม) อยใู่ นอาํ เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา สรา้ งใหมเ่ มอื่
พ.ศ. ๒๕๐๑
207
พระญวนในประเทศสยาม ชน้ั แรกก็คงบวชเรยี นมาจากเมืองญวน แตเ่ หน็ จะมีเช่นนั้น
เพียงในรชั กาลที่ ๑ ต่อน้นั มาเมืองญวนกับไทยเกิดเป็นอริกันมาตลอดรชั กาลที่ ๒ และ รชั กาล
ท่ี ๓ ชาวประเทศท้ังสองฝา่ ยมไิ ด้ไปมาหากันอยา่ งปกติ พระญวนในประเทศน้กี ม็ แี ตบ่ วชเรยี น
ในประเทศนเ้ี อง แตย่ งั มีทีเ่ ป็นญวนนอกลงมาเพยี งพระครูคณานมั สมณาจารย์ (ฮงึ ) และพระ
ครูคณานัมสมณาจารย์ (กร่าม) ท่านทั้งสองนีเ้ ม่อื ยังเปน็ เดก็ ตามบิดามารดาเข้ามาในรชั กาลที่ ๓
แลว้ มาบวชในกรุงเทพมหานครน้ี ช้นั ต่อมาเป็นญวนเกดิ และบวชในประเทศนที้ ง้ั น้นั ถึงรชั กาล
ท่ี ๔ และรัชกาลที่ ๕ เมอื งญวนกับไทยมิได้เป็นอรกิ ัน ปรากฏวา่ มีพระญวนในประเทศนีไ้ ด้
พยายามไปสืบศาสนาในเมืองญวน แต่การทไี่ ปไมส่ ะดวกดว้ ย เมอื งญวนตกอยใู่ นอาํ นาจฝรัง่ เศส
พระญวนในประเทศสยามกับพระญวนในประเทศญวนกม็ ิได้ตดิ ต่อกัน ตา่ งฝา่ ยตา่ งกถ็ ือคติตาม
ประเทศที่ตนอยู่ พระญวนทมี่ าอยู่ในประเทศสยามมาแก้ไขคตหิ นั มาตามพระสงฆ์ไทยหลาย
อยา่ ง เปน็ ต้นว่ามาถอื สกิ ขาบทวกิ าลโภชน์ไมก่ ินขา้ วเยน็ ครองผ้าสีเหลอื งแตส่ ีเดียว ไม่ใชต้ ่าง
สี ไมใ่ ส่เกอื กและถงุ ตีนเหมอื นเช่นพระในเมอื งจนี เมอื งญวน แตส่ ่วนขอ้ วตั รปฏบิ ัตอิ ยา่ งอ่นื
ตลอดจนเป็นกิจพิธี คงทาํ ตามแบบในเมืองญวนมาจนในรชั กาลที่ ๕ เมือ่ พระบาทสมเดจ็ พระ
จุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มให้มสี มณฐานันดรศักด์ิ และ
โปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มใหน้ ิมนตม์ าทาํ พธิ กี งเตก๊ เป็นการหลวงบอ่ ย ๆ จึงแก้ไขเพิม่ เติมกิจพธิ ี
คล้ายกบั พระไทยย่ิงขนึ้ อีกหลายอย่าง
มูลเหตุท่พี ระญวนจะไดร้ ับความยกยอ่ งในราชการนนั้ ได้ยนิ เลา่ กนั มาว่าเม่ือ พระบาท
สมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว ทรงผนวชอยู่ในรัชกาลท่ี ๓ ใคร่จะทรงทราบ ลัทธิของพระญวน
จึงทรงสอบถามองฮึง (ซ่ึงได้เป็นพระครคู ณานัมสมณาจารยอ์ งคแ์ รกเม่ือรชั กาลที่ ๕) จึงได้ทรง
คุ้นเคยชอบพระราชอัธยาศัยมาแตค่ ร้ังน้ัน ครั้นเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัตแิ ล้ว องฮงึ ได้เปน็
อธกิ ารวดั ญวนท่ตี ลาดนอ้ ย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัวจงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้า
โปรดกระหมอ่ มชว่ ยปฏสิ ังขรณ์ (ตอ่ มาถงึ รัชกาลท่ี ๕ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั
ทรงชว่ ยอกี จึงเป็นเหตใุ หพ้ ระราชทานนามวัดนี้วา่ วัดอุภัยราชบํารงุ ) พระญวนไดม้ ีโอกาสเข้า
เฝา้ แหนไดต้ งั้ แตร่ ัชกาลท่ี ๔ เปน็ ตน้ มา ขอ้ นพี้ งึ เห็นไดใ้ นงานเฉลมิ พระชนั ษา พระญวนยังเขา้ ไป
ถวายธปู เทยี นและกิมฮวยองั้ ติ๋วอยูท่ กุ ปจี นบดั น้สี ว่ นพิธีกงเต๊กท่ไี ดท้ าํ เป็นงานหลวงนั้น ปรากฏ
ว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ทําเป็นคร้ังแรกเมื่องาน
พระศพสมเดจ็ พระเทพศริ ินทราบรมราชินี เมื่อปีระกา พ.ศ. ๒๔๐๔ ต่อน้นั มา เมอื่ พระบาท
สมเด็จพระป่นิ เกล้าเจา้ อยหู่ ัวเสดจ็ สวรรคตในปฉลู พ.ศ. ๒๔๐๘ โปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มให้
ทาํ พธิ ีกงเต๊กท่ีในพระบวรราชวงั อีกครั้งหนึง่ ตอ่ น้ันถึงงานพระศพกรมหมน่ื มเหศวรศวิ วลิ าศ
208
กโ็ ปรดเกล้าโปรดกระหมอ่ มให้มีพธิ ีกงเต๊ก พธิ กี งเตก๊ จงึ ได้เขา้ ในระเบียบงานพระศพซึ่งเป็นการ
ใหญ่
ถึงรชั กาลที่ ๕ ทาํ พิธีกงเตก๊ ในงานพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่
หวั เป็นครง้ั แรก ต่อน้ันก็มาทําในงานพระศพสมเดจ็ พระนางเจา้ สุนนั ทากุมารรี ัตน์ เมอื่ ปมี ะโรง
พ.ศ. ๒๔๒๓ และงานพระศพอนื่ ซ่ึงเปน็ งานใหญเ่ ปน็ ประเพณสี ืบมา
แตก่ ารกงเต๊กท่ีทําเมอื่ คร้ังพระศพสมเดจ็ พระนางเจา้ สนุ นั ทากมุ ารีรตั นน์ น้ั เป็นต้น
ประเพณที ีเ่ กดิ ขน้ึ และมีสบื มาจนทุกวันน้ี ๒ อย่าง คือ อยา่ งท่ี ๑ วิธีทําบญุ หนา้ ศพ ตาม
ประเพณีจนี และญวนน้นั ญาติวงศผ์ มู้ รณภาพย่อมทาํ บญุ หนา้ ศพทุก ๆ วันนบั ต้งั แตว่ ันมรณะ
ไปจนครบ ๗ วัน เม่ือครบ ๗ วันแลว้ แต่น้นั ทําบุญ ๗ วันครง้ั หน่งึ ไปอกี ๗ ครง้ั ครบ ๕๐ วนั
แล้วหยุดงานพิธีไปจนถึง ๑๐๐ วนั (สนั นิษฐานว่าเมือ่ จะฝังหรือเผาศพ) ทําพิธีเป็นการใหญ่
คร้ังสุดท้าย พิธีกงเต๊กในงานพระศพกท็ ําเช่นน้นั เปน็ ต้นแบบทท่ี าํ บุญหนา้ ศพซง่ึ เรียกว่า สตั ตม
วาร ปัญญาสมวาร และสตมาหะ ที่ทาํ กันอยู่ดว้ ยไมเ่ ก่ียวขอ้ งแก่กงเต๊กจนทุกวนั น้ี อีกอยา่ งหนึ่ง
น้นั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ทรงพระราชปรารภถงึ ความภักดีของพระญวน
และพระจนี ทมี่ าทําพธิ ีถวายในครงั้ นัน้ ทรงพระราชดาํ รวิ ่าพวกญวนท้งั พระและคฤหัสถ์ ซ่งึ มี
อยูใ่ นพระราชอาณาเขตในเวลานั้น ตกมาถงึ ชนั้ นน้ั เป็นญวนเกดิ ในพระราชอาณาเขต เป็นแต่
เชอื้ สายญวนที่เข้ามาแตเ่ มอื งญวน เชน่ เดียวกบั พวกมอญ สมเด็จพระเจา้ แผ่นดินแต่ก่อนไดท้ รง
พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมต้ังพระสงฆ์มอญให้มีสมณศักดิ์เหมือนอย่างพระสงฆ์ไทย
ฉนั ใด สมควรจะทรงตั้งพระสงฆ์ญวนใหม้ ีสมณศักดิข์ นึ้ บ้าง แตพ่ ระสงฆ์ญวนถอื ลัทธมิ หายานจะ
เขา้ ทํากิจพิธรี ่วมกบั พระสงฆไ์ ทยไม่ได้เหมือนอย่างพระมอญ จึงทรงพระราชดาํ รใิ หม้ ีทําเนียบ
สมณศกั ด์สิ ําหรบั พระญวนขึน้ ต่างหาก ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ มให้มีสมณศกั ดิ์
สําหรับพระจีนด้วยในคราวเดียวกันและทรงเลือกสรรพระญวนท่ีเป็นคณาจารย์ต้ังเป็นตําแหน่ง
พระครู พระปลัด รองปลัด (เทยี บดว้ ยสมุห)์ ผชู้ ่วย (เทยี บด้วยใบฎีกา) สว่ นพระจีนน้นั หัวหน้า
เปน็ ตาํ แหน่งพระอาจารย์ (เทยี บด้วยพระครวู ปิ สั สนา) และมฐี านานุกรมเปน็ ปลัดและรองปลัด
เช่นเดียวกันกบั พระญวน พระราชทานสัญญาบัตร มรี าชทนิ นามกับพัดยศซงึ่ จาํ ลองแบบพดั
พระไทย แต่ทำ�ใหข้ นาดย่อมลง
ต้งั แตพ่ ระญวนได้สมณฐานันดรศกั ดิ์ และได้รับนมิ นต์เขา้ รับปจั จัยทานในงานพิธีหลวง
ดังกล่าวมาคณาจารย์ที่เป็นผู้ใหญ่ก็คิดระเบียบการพิธีเพิ่มเติมคล้ายกับพระสงฆ์ไทยข้ึนอีก
หลายอย่าง เช่น สวดมาติกา สวดสดบั ปกรณ์ และสวดอนุโมทนายถาสัพพี เป็นตน้ ตลอดจนพธิ ี
กาลทาน เชน่ กรานกฐนิ เป็นแตส่ วดในภาษาญวน เรือ่ งน้พี ระญวนชี้แจงว่าในคัมภีรญ์ วน
209
ก็มีทัง้ ๓ ปิฎก เหมือนกับคมั ภีรข์ องพระไทย เป็นแต่พระสงฆ์ในเมืองญวน เมอื งจนี เลือก
ประพฤติแต่คตทิ ีเ่ หมาะแก่ภมู ิประเทศ ครนั้ มาอยใู่ นประเทศสยามนี้ เมื่อเหน็ สมควรจะมกี จิ
พิธีเพ่มิ เติมขนึ้ กไ็ ปค้นเอามาจากคมั ภรี ์ของญวนหาได้มาคดิ ข้ึนใหม่ไม่ แต่มพี ระญวนบางองค์ได้
พยายามศึกษาพระธรรมวินัยของพระสงฆไ์ ทย เชน่ พระครูคณานัมสมณาจารย์ (มินหลับ)
วัดสมณานัมบริหาร ซึ่งยกยอ่ งเกียรตคิ ุณกนั มาแตก่ อ่ นวา่ เปน็ ผปู้ ระพฤตเิ ครง่ ครดั ก็ปรากฏว่า
ไดไ้ ปศกึ ษาพระวินัยต่อสมเดจ็ พระวันรัต (ทัย) วัดโสมนสั วิหาร ซึ่งอยใู่ กล ้ ๆ กันกับวดั สมณานัม
บริหาร ความขอ้ น้ยี งั มีสบื มาเหมือนอย่างพระครูคณานมั สมณาจารย์ (บ๊ี) ท่ถี ึงมรณภาพนี้เป็น
ผูค้ นุ้ เคยกบั ข้าพเจา้ มาก ไดส้ นทนากนั ถงึ เร่ืองพระธรรมวินัย ขา้ พเจ้าก็สงั เกตเห็นวา่ ไดศ้ ึกษา
มากท้งั พระธรรมวินัยตามลทั ธญิ วนและลัทธไิ ทย ทั้งต้งั ใจปฏบิ ตั กิ ิจในศาสนาโดยซอื่ จึงเปน็ ผูซ้ ง่ึ
ขา้ พเจา้ นับถอื ตั้งแต่ได้คุ้นเคยกันมาจนตลอดอายุของทา่ น
210
ค�ำ ชแี้ จง ของ นายเสถยี ร โพธินันทะ
อาจารย์บรรยายวิชาพระพุทธศาสนาลทั ธมิ หายานแห่ง
สภาการศึกษามหามกุฏราชวทิ ยาลัย
คณะสงฆอ์ นมั นกิ ายในประเทศไทย มีพระคณุ ทา่ นองสรภาณมธรุ ส (บ๋าวเองิ ) เจา้
อาวาสวดั สมณานัมบรหิ าร ไดป้ รารภแกข่ ้าพเจา้ วา่ ในงานพระราชทานเพลิงศพพระคุณทา่ น
พระครคู ณานัมสมณาจารย์ (โผซา้ ย) อดตี เจา้ คณะใหญ่อนัมนิกาย เจา้ อาวาสวดั อภุ ัยราชบำ�รงุ
ณ เมรุวดั สมณานัมบริหาร (วัดญวนสะพานขาว) ในวนั ท่ี ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๒ คณะสงฆ์
อนัมนิกายปรารถนาจะได้มีหนังสือที่เป็นหลักทางพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานพิมพ์แจกเป็น
ธรรมบรรณาการ และพระคณุ ทา่ นได้มอบหนังสือวา่ ดว้ ยบรรพชาอปุ สมบทวธิ ใี นลัทธมิ หายาน
แก่ข้าพเจ้า เพอ่ื ใหช้ ว่ ยจดั แปลสพู่ ากยไ์ ทย สว่ นในพากย์ญวนนนั้ พระคุณท่านจะเปน็ ผอู้ า่ น
ส�ำ เนยี งญวนและเขียนเปน็ อักษรไทยตามสำ�เนียงภาษาน้ัน ท้งั นีเ้ พราะหนงั สือดังกล่าวพิมพด์ ว้ ย
ตวั อักษรจีน ความขอ้ นีอ้ าจจะเป็นทีส่ งสัยแกผ่ ูอ้ ่านว่าไฉนคัมภรี ท์ างพระพุทธศาสนาฝา่ ยอนัม
นกิ ายจึงเปน็ หนังสอื จีนทงั้ นั้น ตลอดจนศาสนพิธี วตั รปฏิบัติของบรรพชติ กไ็ ม่แปลกจากฝ่ายจีน
ข้าพเจ้าจงึ ขอถือโอกาสอธิบายเรอ่ื งราวของพระพุทธศาสนาในประเทศญวน ณ ทนี่ ้ดี ้วย
ในเบื้องบุรพกาลกอ่ นพุทธกาลโนน้ ต้นตระกูลชนชาตญิ วนหรอื อนัม มภี มู ลิ ำ�เนาอยู่
ตอนกลางและตอนใตข้ องประเทศจีน เชน่ เดยี วกบั ชนชาตไิ ทยเป็นเจ้าของถน่ิ ประเทศจนี เดยี๋ ว
น้กี ่อนหน้าพวกจีนจะเขา้ มาอยู่ จนถึงกบั มีนักประวตั ิศาสตร์สันนิษฐานว่า ไทยกับญวนเป็น
ชนชาตเิ ดียวกนั มาก่อน
จ�ำ เนียรกาลต่อมา เนื่องด้วยถูกผู้อพยพเขา้ มาใหม่ คอื จนี รุกราน ชนชาตเิ หล่านี้จึงแตก
พลดั กระจัดกระจายห่างเหนิ กันไป ในราวยุคพุทธกาลญวนอพยพลงมาตัง้ อาณาจักรในตงั เกย๋ี
เด๋ียวนแ้ี ละมีอ�ำ นาจปกแผไ่ ปทัว่ อนิ โดจีนตอนเหนอื คลุมขน้ึ ไปถึงดนิ แดนตอนใต้ของลมุ่ แมน่ า้ํ
แยงซเี กียง มณฑลกวางต้งุ กวางไส กยุ จว๋ิ ฮกเกี้ยน จเี กียง ล้วนเป็นเขตของญวน
เรื่องของปฐมกษตั รยิ ์ญวนเปน็ เรอ่ื งเทพนยิ ายเกีย่ วพนั กับพวกนาค พวกงู ซึง่ ดูออกจะ
เป็นเรื่องธรรมดาทัว่ ไปของชนชาตใิ นแหลมอนิ โดจนี น้ี ประวตั ิศาสตรญ์ วนเอาเปน็ ที่แนใ่ จได้
ตามความเห็นของขา้ พเจ้า นบั ได้แต่พระเจา้ ห้งุ เยืองตง้ั อาณาจักรวงั ลาง มกี รงุ ยาวจีเ๋ ปน็ ราชธานี
และสบื สนั ตตวิ งศ์มีกษตั ริย์ ๘๑ องค์ ซ่ึงระยะสมยั ดังกล่าวตรงกับราชวงศจ์ วิ ของจนี ต่อจากนั้น
ญวนกบั จนี ท�ำ สงครามกันเรอ่ื ยมาผลดั กนั แพแ้ ละชนะ จนลุสมยั ราชวงศฮ์ ั่นของจีน (ราวพทุ ธศก
ที่ ๕) ญวนเสยี อิสรภาพ
211
จีนจึงจัดการแบ่งประเทศญวนออกเปน็ ๙ หัวเมอื งใหญ่ คอื เมอื งนามหาย (กวางตุ้ง)
เมืองเทอื งโง (เอก๊ จิว) เมอื งอูด๊ เลมิ้ (กยุ้ หลิม) เมอื งเทยี มโบ้ (เหลีย่ งจวิ ) เมอื งยาวจ๋ี เมืองก๊ิวเจนิ
เมอื งหยักนาม เมืองโจวญราย เมอื งเทียมเญริน จนี ไดส้ ง่ ขา้ หลวงเทศาภิบาลมาปกครอง และ
เริ่มมีพลเมืองอพยพเขา้ มาต้ังรกรากข้นึ เปน็ ล�ำ ดบั จีนไดแ้ ผอ่ ารยธรรมและวฒั นธรรมใหแ้ ก่ญวน
ขา้ หลวงจนี คนหนึง่ ชือ่ ตกิ กวง ชาวเมืองฮัน่ ตงไดเ้ ร่ิมตงั้ โรงเรียนสอนอกั ษรศาสตรแ์ ก่
ญวนเปน็ ครั้งแรก นบั แตว่ าระนนั้ มาญวนจึงใชอ้ กั ษรจนี เปน็ อกั ษรของชาติ ใช้วรรณคดีจีนเปน็
วรรณคดขี องชาติ นักปราชญญ์ วนสามารถแตง่ ค�ำ โคลงอันไพเราะไมแ่ พ้จนี และในยคุ นเ้ี อง
ที่ญวนตอ้ งเสียดินแดนในประเทศจนี เดยี๋ วนใี้ ห้แกจ่ ีนไป (คอื กวางตงุ้ กวางไส กยุ จว๋ิ ) อยา่ ง
หมดโอกาสที่จะคนื ไปครองได้ คงรกั ษาดินแดนแถบตังเกย๋ี ไวเ้ ปน็ ประเทศเวยี ดนามในฐานะ
ประเทศราชหลายศตวรรษ
ศาสนาของญวนเปน็ ลทั ธบิ ูชาเทพประจ�ำ ธรรมชาติ ไหว้ผี เซน่ วญิ ญาณ ต่อมาจงึ รับลทั ธิ
ขอจ๊อื และลัทธิเตา๋ จากจนี มานบั ถอื ส่วนพระพทุ ธศาสนาญวนก็รบั มาจากจนี แตห่ ลังลทั ธขิ อ
จ๊ือและลัทธเิ ตา๋ มากและไม่ส้จู ะแพรห่ ลายนักในตอนแรก ๆ พงศาวดารญวนกล่าวว่าพระโพธิ
ธรรม คณาจารยช์ าวอนิ เดยี ซึง่ เดินทางเข้ามาต้งั นิกาย ธ.ยาน ในจนี ได้มาและเผยแผพ่ ระพทุ ธ
ศาสนาในประเทศญวนด้วย เมอื่ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๐ พระโพธิธรรมน้ี ญวนเรยี กวา่ “ดาดหม่า
โตซ๋ อื ” ซ่งึ มาจากค�ำ วา่ “ตก๊ั ม้อโจวซือ” ของจีนน่นั เอง
พระพุทธศาสนาของญวนเพ่งิ มารงุ่ โรจนข์ น้ึ ในสมยั ราชวงศล์ ี้ ซงึ่ เป็นสมยั ทอี่ �ำ นาจราช
ศักดขิ์ องญวนฟน้ื ฟแู ละสามารถแผ่อ�ำ นาจเข้าไปครอบง�ำ ลาวและเขมร พระเจา้ ลี้ท้ายโต๋กาวว่าง
เด๊ นอกจากจะเปน็ นกั รบผ้เู ขม้ แขง็ แล้ว ยังทรงเป็นนักธรรมทเ่ี คร่งครดั ราชธานขี องพระองค์ คอื
กรุงทงั ลอ็ งทั่น (ฮานอย) มีพุทธวิหารจ�ำ นวนมาก ทรงบูรณปฏสิ งั ขรณ์วดั ทวั่ ประเทศ และในวัน
อุโบสถเสด็จจ�ำ ศลี ภาวนา ณ วัดพ้อดงตื่อ เปน็ ราชกจิ ประจำ�
กษตั รยิ อ์ กี พระองค์หนึ่งของราชวงศล์ ี้ คือ พระเจา้ ลท้ี ั้นตงวา่ งเด๊ ทรงใฝพ่ ระทยั ในทาน
บรจิ าค และโปรดให้หลอ่ ระฆังไวท้ ่ีวดั ซนุ่ คัน้ ตอ่ื หล่อพระวรรปู ของพระเจา้ สทุ โธทนะ พระพทุ ธ
บดิ า (ต่นิ ผ่างเยอื ง) ดว้ ยทองค�ำ บริสทุ ธ์ิ ณ วดั เทยี นเพื้อกต่อื
กษัตรยิ อ์ ีกพระองคห์ นงึ่ คือ พระเจ้าลเี้ ญรินตงว่างเด๊ ทรงมีพระกมลโน้มไปในเนกขมั มะ
จึงสละราชสมบัตอิ อกผนวชเปน็ บรรพชิต นับเป็นปฐมกษัตรยิ ์ญวนองคแ์ รกทผี่ นวชในพระพุทธ
ศาสนา และในรัชสมัยพระเจา้ ลเ้ี ทง่ิ ตงวา่ งเด๊มพี ระราชโองการให้สอบไล่ความรู้พระปริยัติธรรม
แกพ่ ระภิกษุสามเณรท่วั ประเทศ รชั สมัยพระเจา้ ล้เี หวต่ งวา่ งเด๊ก็เสด็จออกผนวช ณ วดั เจินย้าว
ตอื่ ได้ทรงปฏิบัตใิ นสมถวิปสั สนากัมมัฏฐานจนถึงวัยชรา เมื่อจะสนิ้ พระชนม์กส็ ามารถประทบั
นัง่ เข้าสมาบตั ดิ ับขันธโ์ ดยปราศจากพยาธทิ กุ ขใ์ ด ๆ
212
ถดั จากราชวงศ์ล้ี กม็ าถึงราชวงศ์เตร้นิ ซง่ึ ตรงกบั ราชวงศห์ งวนของพวกมองโกลยดึ
ครองจีนอยู่ ราชวงศ์เตรน้ิ สามารถแผ่อ�ำ นาจเขา้ ครองประเทศจามปาขยายดินแดนญวนลงมา
ทางใต้ท่เี ปน็ เวยี ดนามใต้เดีย๋ วนี้ พระเจ้าเตริน้ ท้ายตงวา่ งเด๊มพี ระราชโองการให้หลอ่ พระพุทธ
ปฏมิ า สร้างพระอาราม และพระราชทานสมณศกั ดแ์ิ ด่พระภกิ ษุท่สี อบไล่ได้
ในรัชสมัยพระเจา้ เตรนิ้ เญรนิ ตงวา่ งเด๊ ทรงสละราชสมบัตอิ อกผนวชและมพี ระราช
นพิ นธธ์ รรมานุสาสน์ต่าง ๆ พระราชนพิ นธ์บทหน่งึ มีความว่า
“สงิ่ ใด ๆ ในโลกน้ที ี่มนษุ ย์หมายเอาว่าเปน็ ส่ิงประเสรฐิ เท่ยี งแท้นัน้ เม่อื พจิ ารณาด้วย
ปญั ญาแลว้ กป็ ราศจากแก่นสาร บ่จีรังยั่งยนื สักส่งิ เลย อนั ว่าสมบตั ิของมนษุ ยน์ ี้ฤๅจกั เปรยี บ
เสมอได้ดว้ ยสมบัตทิ ิพยน์ ั้น และสมบัตทิ พิ ยน์ ้ันเล่าจกั เปรยี บเสมอดว้ ยพระนพิ พานไดไ้ ฉน ผใู้ ด
สมภพมาเปน็ โอรสของพระมหากษตั รยิ ์ จกั ประเสริฐยง่ิ ไปกว่าบตุ รแห่งพระตถาคตเจ้ามิได้เลย”
ปรากฏว่าพระโอรสของพระองค์ซ่ึงเสวยราชยส์ บื มา คือ พระเจ้าเตรน้ิ อนั ตงวา่ งเดไ๊ ด้
ทอดพระเนตรแลว้ ก็มพี ระหฤทัยสลดสงั เวชในโลกยี สขุ ได้เสดจ็ ออกผนวชในกาลตอ่ มา
พระพุทธศาสนาภายใตพ้ ระราชปู ถัมภ์ของราชวงศล์ ้แี ละราชวงศเ์ ตรน้ิ ไดเ้ จรญิ รุ่งเรือง
แพรห่ ลายไปท่วั เปน็ ศาสนาของประชาชนส่วนใหญ่ตราบถงึ กาลปจั จบุ ันนี้ พระพทุ ธศาสนา
ลัทธมิ หายานในประเทศญวนที่เจริญมอี ยู่ ๒ นิกาย ซึ่งรบั ไปจากจีน คอื นิกายสุขาวดี และนกิ าย
ธฺยาน นกิ ายแรกมีคตหิ นักไปในทางศรทั ธา สว่ นนกิ ายหลังมุ่งไปในทางปญั ญา และเพราะฉะนี้
พระธรรมวินัยหนงั สือต�ำ รบั ต�ำ ราของญวนจึงเป็นอกั ษรจีน และเปลยี่ นมาใชอ้ กั ษรโรมันสะกด
ตัวแทนเมอื่ ฝรงั่ เศสมาครอบครอง แตถ่ ึงกระนนั้ ในหมู่นักปราชญ์ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในวงคณะ
สงฆ์ยงั เรียนรูอ้ กั ษรศาสตรจ์ นี กันอยู่ แมใ้ นปจั จบุ ัน ซึ่งญวนเปน็ เอกราชแลว้
ส่วนประวัตพิ ระพุทธศาสนาอนมั นิกายในประเทศไทยนน้ั เขา้ ใจว่าจะมีเขา้ มาแต่ครงั้ ใน
แผน่ ดินพระเจ้ากรุงธนบุรีแลว้ ขณะแรกเปน็ แต่เปน็ ท่เี ลอ่ื มใสนบั ถอื ของคนจนี คนญวนซ่ึงเขา้ มา
พ่งึ พระบรมโพธสิ มภารเทา่ น้นั ยงั มไิ ด้แพร่หลายถึงพทุ ธบริษัทไทย
คร้นั ลว่ งมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสนิ ทรฯ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมื่อยงั
ทรงผนวชอยู่ ทรงคนุ้ เคยกบั คณาจารย์ญวน และเม่อื เสวยราชย์แล้วก็พระราชทานอุปการะ
แกส่ งฆ์ฝา่ ยอนมั นิกายเป็นอเนก เชน่ โปรดให้มีพธิ ีบ�ำ เพญ็ กศุ ลตามคติมหายานขึน้ ในพระบรม
มหาราชวัง เปน็ ต้น
ครั้นมาถงึ รัชกาลท่ี ๕ พระสงฆ์ญวน พระสงฆ์จีนมปี รมิ าณมากขึ้น จงึ ทรงพระกรณุ า
โปรดให้ตั้งสมณศักด์ิแก่คณาจารยญ์ วนและจนี ทางราชการก็รับรองนิกายท้งั สองว่าเป็นอนมั
นิกายและจนี นิกายเป็นทางการนับแตน่ ัน้ เป็นต้นมา
213
ข้าพเจา้ ได้แปลหนงั สือเลม่ นใี้ นเวลาจำ�กดั และรบี ด่วน อาจจะมขี ้อบกพร่องทม่ี ทิ ัน
ตรวจตราโดยละเอยี ดได้ จึงขอความกรุณาใหอ้ ภยั ดว้ ย ณ ที่นี้ ข้าพเจา้ หวังว่าหนังสือนี้จะเป็น
ประโยชน์แก่กลุ บุตรผจู้ ักบรรพชาอปุ สมบทในพระพุทธศาสนาฝ่ายอนัมนกิ าย ไดศ้ กึ ษาท�ำ ความ
เข้าใจใหถ้ ่องแทใ้ นจุดประสงค์ของการบวช และไดศ้ ึกษาพระธรรมวินยั ประพฤติตามโอวาทานุ
สาสน์ของพระอปุ ัชฌายอ์ าจารย์ ข้อน้นั จักสำ�เรจ็ ประโยชน์ในเนกขัมมบารมโี ดยสมบรู ณ์ และ
หนังสือน้ียังจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างลัทธิของมหายานกับเถรวาทได้
อกี ทางหนง่ึ ดว้ ย
บญุ กศุ ลใด ๆ อันเกดิ จากการพมิ พ์หนงั สือเปน็ ธรรมบรรณาการของคณะสงฆ์อนัมนิกาย
กด็ ี บุญกศุ ลซง่ึ เกดิ ด้วยพระคณุ ท่านองสรภาณมธุรสถา่ ยทอดส�ำ เนียงจากจีนไว้ในพากย์อานัม
กด็ ี บุญกศุ ลเกดิ ดว้ ยขา้ พเจา้ ซงึ่ แปลจากจีนสพู่ ากย์ไทยกด็ ี และบุญกศุ ลซง่ึ เกิดดว้ ยคุณพิศิษฐ์
พรหมอกั ษร ผ้ชู ่วยเหลอื ในการเรียบเรียงข้ออธิบายและควบคุมการพิมพต์ ลอดการตรวจปรู๊ฟ
จนส�ำ เรจ็ เป็นเล่ม กับความดีซึ่งเกิดจากผชู้ ่วยเหลอื ขวนขวายในการน้ีอ่นื ๆ มี ม.ร.ว. ศุภชัย ชยา
งกรู เปน็ ตน้ ท้ังหมดน้ขี อน้อมอุทศิ ถวายใหแ้ ด่ พระคุณท่านพระครคู ณานมั สมณาจารย์ (โผซา้ ย)
ผู้ลว่ งลับไปแลว้ ขอให้พระคณุ ทา่ นได้ทราบโดยญาณวถิ แี ลว้ และอนโุ มทนาให้สำ�เร็จเปน็ ปตั ตา
นุโมทนามัย ขอใหพ้ ระคณุ ท่านไดไ้ ปถืออบุ ตั ิท่ามกลางปุณฑริกในสระโบกขรณีแหง่ สขุ าวดีพทุ ธ
เกษตร ให้ได้เฝา้ สดับพระสทั ธรรมของพระอมิตาภะพทุ ธเจา้ ไดอ้ บรมภาวนาตราบบรรลุถงึ
พระโพธิญาณในท่ีสดุ อนงึ่ ขอแผ่ผลานสิ งสบ์ ุญนี้แกส่ รรพสตั ว์ท่วั มหาตรีสหัสโลกธาตใุ หไ้ ด้ลุแก่
ความตรัสรู้โดยท่วั หน้ากนั
214
คำ�ช้แี จง ของ พ.อ. ปน่ิ มทุ ุกันต์ ๒๕๐๙
วดั อนัมนกิ ายในประเทศไทย
คำ�วา่ “อนัม” เป็นเชอ้ื ชาติของมนษุ ยเ์ ผา่ หนงึ่ กงึ่ กลางระหวา่ งไทยกบั จนี เปน็ คนใจแข็ง
ทรหดอดทน และกลา้ ทำ�แม้ในสิง่ ท่คี นทว่ั ไปคดิ วา่ ไมน่ ่าจะทำ�ได้ ภาษาชาวบ้านเรียกคนเช้อื ชาติ
น้ีว่า “ญวน” ซ่งึ เป็นค�ำ ชนิ หสู �ำ หรับบุคคลทกุ ชน้ั โดยท่ีเราเริ่มค้นุ กบั คำ�น้ตี ้ังแต่เกิดมญี วนอพยพ
เขา้ ไทยหลังสงครามโลกครงั้ ทสี่ อง ซง่ึ เป็นระยะเวลาที่ญวนต่อส้เู พอ่ื ใหไ้ ดม้ าซึ่งเอกราชของตน
เรามาชนิ กับค�ำ ว่า ญวนมากข้นึ อีก เม่ือชาวพุทธในประเทศญวนตอ่ สู้กบั รัฐบาลของตนเองเพ่อื
สิทธิทางศาสนา เมอื่ สองสามปีทผี่ า่ นมานต้ี ัง้ แตน่ ัน้ มาค�ำ ว่า ญวน ญวน ญวน กป็ ลกุ ประสาท
ของพวกเราอยทู่ ุกวนั ทกุ คนื จากข่าวสารการเมือง เน่อื งจากการรบราฆ่าฟันกันเองของญวน
ในประเทศของเขา คนญวนนเี่ องทีป่ ระชาชนชาวอีสานรอ้ งเรยี กว่า “แกว” ซ่งึ เปน็ ค�ำ รอ้ งเรียก
ด้วยความนับถอื เทา่ ๆ กับค�ำ ว่า อนัม และญวน สว่ นประเทศถน่ิ ฐานของญวนเรียกอย่างภาษา
ราชการวา่ เวียดนาม
คณะสงฆ์ฝ่ายอาจาริยวาท ในประเทศไทยเรามีอยูส่ องแบบ คือ แบบญวนกับแบบจนี
เราจงึ ยกใหเ้ ป็นสองนกิ าย คือพระสงฆท์ ่ีปฏบิ ตั ิอาจารยิ วาทแบบญวน เรยี กว่า อนัมนกิ ายพระ
สงฆท์ ป่ี ฏิบัตอิ าจารยิ วาทแบบจีน เรียกว่า จนี นิกาย หมายความวา่ คำ�ว่าอนมั นิกายก็ดี คำ�วา่
จนี นกิ ายก็ดี เปน็ ช่ือลทั ธิ มิได้เจาะจงวา่ ผู้น้ันเปน็ คนจนี หรอื คนญวน หามไิ ด้ ไมว่ า่ คนญวนหรอื
คนไทย ถ้าไปบวชในลัทธจิ นี นกิ ายผู้นัน้ กถ็ กู เรยี กว่าพระจีน ซึง่ ความจรงิ เป็นคนไทยคนญวน คน
ลาวคนเขมรก็มี โดยทำ�นองเดยี วกัน ถ้าคนจีนคนไทยคนลาวคนเขมร หรือแมแ้ ตค่ นฝรง่ั ไปบวช
ในลทั ธิอาจรยิ วาทแบบญวน เรากเ็ รยี กวา่ พระญวน หรือพระอนัมนกิ าย ขอ้ นที้ ่านจะเห็นไดว้ า่
คำ�ว่าไทย จนี ญวน ไดถ้ ูกน�ำ ออกมาใชน้ อกเหนือจากความหมายท่รี ู้กันทั่วไป และความจรงิ ใน
ปจั จุบนั น้ี วดั ของทกุ นกิ ายกม็ พี ระเชอ้ื ชาติต่าง ๆ ปะปนกนั แทบท้งั น้ัน ในวดั ไทยกม็ ที ั้งเชื้อชาติ
จนี ญวนลาวเขมร ในวัดญวนกม็ ที ้ังพระเช้อื ชาติจีนไทยลาวเขมร และในวัดจีนก็มีทัง้ พระเชอ้ื ชาติ
เขมรลาวไทยและญวน
วันนี้ข้าพเจ้าตั้งใจจะพูดเป็นเชิงแนะนำ�ท่านผู้อ่านให้รู้จักวัดอนัมนิกายในประเทศไทย
หรอื นัยหนึ่งก็คอื วดั ญวนนัน่ เอง เพ่ือเป็นการเพ่ิมพนู ความเขา้ ใจโดยถูกตอ้ งตอ่ วัดประเภทนีแ้ ละ
สง่ เสริมความรู้รอบตัวของผู้ใครท่ จ่ี ะศึกษา
215
วดั ญวนไดแ้ กว่ ัดท่พี ุทธศาสนกิ ชน ซง่ึ อาจมที ง้ั คนไทย จีน และญวน สร้างอทุ ิศถวาย
ไวใ้ นพระพุทธศาสนา ใหเ้ ป็นทพ่ี ำ�นักของกุลบุตร ซ่งึ มีศรทั ธาอปุ สมบทในลัทธิอาจรยิ วาทแบบ
ญวน ผบู้ วชน้นั จะเปน็ คนเชอื้ ชาติอะไรไมส่ ำ�คญั ตามทไ่ี ด้กล่าวมาแลว้ การศึกษาประวตั คิ วาม
เปน็ มาของวดั ญวน น่าจะหลีกเลย่ี งไมไ่ ด้ทจี่ ะตอ้ งพดู ถงึ คนญวนในประเทศไทยตั้งแต่สมัยท่มี ี
การเร่มิ สร้างวัดญวนขน้ึ
ตามประวตั ิศาสตร์ คนตา่ งชาติท่ีเขา้ มาพ่งึ พระบรมโพธสิ มภารในราชอาณาจักร
ไทยได้เข้ามาด้วยเหตุตา่ ง ๆ กนั ส่วนมากมาเพอื่ การคา้ รองลงมากไ็ ดแ้ ก่พวกท่มี าเพ่อื เจริญ
สัมพันธไมตรี มาเผยแผล่ ทั ธศิ าสนา และมาเพื่อการศกึ ษาค้นควา้ นพี่ ูดถงึ การมาของพวกแรก ๆ
แหง่ ชนชาตนิ ้นั ๆ แตม่ ลู เหตุแหง่ การมาของพ่นี อ้ งชาวญวน รสู้ กึ วา่ ผิดแผกแตกตา่ งจากชาตอิ น่ื
คือเปน็ การเข้ามาเพื่อพึ่งพระบรมโพธิสมภาร หรอื หนีร้อนมาพึง่ เยน็ จะยกตวั อยา่ งการมาของ
ชาวญวนพวกแรก ๆ เชน่
พวกที่ ๑ มาเมอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๓๑๙ หนีกบฏเมืองเวเ้ ข้ามา องเชยี งซนุ เป็นหวั หนา้
พวกที่ ๒ มาเม่อื พุทธศักราช ๒๓๒๕ เป็นการหนกี บฏอีก องเชียงสือเปน็ หวั หน้า
พวกท่ี ๓ มาเม่ือพุทธศกั ราช ๒๓๗๗ เป็นการหนกี ารบีบคน้ั ทางศาสนาเขา้ มา
พวกท่ี ๔ มาเมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๓๘๓ หนีโรคระบาดเขา้ มา
เหตกุ ารณท์ ้งั น้ี เกิดข้นึ ในระหว่างรชั สมัยของพระเจ้ากรุงธนบรุ ี และรชั กาลท่ี ๑, ๒,
๓ แหง่ พระราชวงศจ์ กั รีของเรา ทกุ ครัง้ แสดงวา่ เป็นการหนีรอ้ นมาพึง่ เยน็ และเปน็ ท่ีนา่ สังเกต
อย่างหนึง่ ว่า ราชอาณาจกั รภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตรยิ ไ์ ทยไดเ้ ปน็ ดนิ แดน
อนั รม่ เยน็ ทสี่ ดุ ในโลกตั้งแต่โบราณกาลมา
เม่ือมคี นญวนเขา้ มาพ�ำ นกั อยใู่ นประเทศไทย ทีแรก ๆ กต็ ั้งบา้ นเรอื นอยกู่ ันเปน็ กลุม่ กอ้ น
เชน่ ตำ�บลพาหรุ ดั ต�ำ บลสามเสน และตำ�บลคอกกระบอื พระนคร และท่จี งั หวดั จันทบุรี กับที่
จงั หวดั กาญจนบุรี แตต่ ่อมาก็ได้มกี ารโยกยา้ ยทีอ่ ย่อู าศัยสบั สนปนเปกับคนไทยทัว่ ๆ ไป อยา่ งที่
เป็นอยูท่ กุ วันน้ี แต่หมบู่ า้ นท่ีพวกคนญวนอาศยั อยตู่ อนแรก ๆ ที่ยงั คงเรียกช่ือวา่ บา้ นญวนอยู่กม็ ี
อีกสกั ครูจ่ ะพดู ถึงเรือ่ งน้ี
ก่อนทีจ่ ะพูดถึงเรือ่ งวัดญวนตอ่ ไป ขอพูดถงึ อัธยาศยั ของคนไทยเกย่ี วกบั วัดวาอาราม
แทรกไวต้ รงนีส้ กั นิดหนอ่ ย ทา่ นผ้อู า่ นจะไดเ้ ข้าใจเจตนารมณข์ องการสรา้ งวดั ในเมืองไทยคน
ไทยเราน้ีเป็นชนชาติทเี่ ลอ่ื มใสในพระพุทธศาสนา แม้ว่าพีน่ ้องชาวไทยบางคนไปนับถือ ศาสนา
อน่ื แต่อธั ยาศยั ซ่งึ เกดิ จากสงิ่ แวดลอ้ มคอื พระพุทธศาสนาก็ยังมอี ยู่ นั่นคืออธั ยาศัยอันดเี ด่นสาม
ประการ ไดแ้ ก่ อธั ยาศัยในการให้ อธั ยาศัยในการรกั ษาศีลและอัธยาศยั ในการออ่ นนอ้ มถ่อมตวั
216
ซงึ่ เม่ือสรปุ แลว้ กค็ ือคนไทยเป็นชนชาตทิ มี่ นี ้ําใจ ไม่ใชค่ นใจจืดใจด�ำ และในขณะเดียวกันก็
เป็นคนประเภทใจนกั เลง คือเท่าไหรเ่ ท่ากนั ดังนัน้ เมื่อพน่ี ้องชาวพุทธญวนเข้ามาอาศัยอย่ใู น
ประเทศไทย คนไทย ญวน จีน กไ็ ดร้ ่วมกันท�ำ บญุ สุนทานและจำ�ศลี ภาวนาด้วยกัน เหมอื นกบั
ทีเ่ ราปฏิบัตกิ นั อยทู่ ุกวันน้ี ครั้นอย่มู าได้ทราบว่าพระญวนมลี ทั ธพิ ธิ ีบางอยา่ งของสงฆ์ผิดเพีย้ น
ไปอีกอย่างหนึง่ ไมเ่ หมือนอย่างไทยอยา่ งจนี จึงไดร้ ว่ มกันสรา้ งวดั ข้นึ ส�ำ หรบั พระท่ีปฏิบัติ
ลัทธอิ ย่างญวนจะไดอ้ ยู่อาศัยเปน็ สัดส่วน ทีส่ รา้ งนั้นไมใ่ ชช่ าวพุทธญวนสรา้ งเองโดยตลอด แต่
เป็นการรว่ มแรงรว่ มใจของชาวพทุ ธท้งั หมดในยุคนน้ั ๆ และก็ไม่ใช่เจาะจงสรา้ งให้คนญวน หรอื
พระทมี่ ีเช้อื ชาติญวนเท่านัน้ แตห่ ากสร้างข้นึ เพือ่ ใหค้ นท่บี วชแบบลทั ธนิ กิ ายญวนได้อยู่อาศยั
บำ�เพญ็ สมณธรรม จะเป็นคนไทย จนี ลาว เขมร ฝรัง่ แขก กไ็ ม่ว่า แม้ทีช่ าวพุทธทุกชาตมิ าร่วม
กันสร้างวัดไทยไวก้ ็เหมอื นกัน ก็เป็นการสร้างเพอ่ื อุทิศถวายพระสงฆ์ในพระพทุ ธศาสนา ซ่ึง
จารกิ มาจากจาตุรทศิ ไม่ว่าคนเช้อื ชาตใิ ดหากอุปสมบทแบบเถรวาทอยา่ งไทย ก็อาจเขา้ พำ�นัก
ในวดั ไทยทง้ั นน้ั ส่วนทเ่ี ราเรยี กวา่ วัดจีน ญวน ไทย นน้ั หากจะพูดใหเ้ ตม็ ศัพทเ์ ต็มแสงก็ตอ้ งพดู
วา่ วดั สำ�หรับพระสงฆแ์ บบจนี วัดสำ�หรบั พระสงฆ์แบบญวน วดั สำ�หรบั พระสงฆ์แบบไทย นีค่ อื
เจตนารมณใ์ นการสร้างวัดในเมืองไทย
ตามจดหมายเหตุฝา่ ยอนัมนกิ ายซงึ่ เปน็ หลกั ฐานที่เชื่อถือไดบ้ นั ทกึ ไวว้ า่
ในรัชสมยั พระเจา้ กรุงธนบรุ ี มกี ารสร้างวัดอนมั นกิ าย ๒ วัด คอื
๑. วัดทพิ ยวารีวหิ าร (วัดกามโลต่ ่อื ) หลงั กองตำ�รวจจราจร พระนคร
๒. วดั มงคลสมาคม (วดั โห่ยค้นั ตือ่ ) หลังวงั บรู พาภิรมย์ พระนคร (เยาวราช)
ในรัชสมัยพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก มกี ารสร้างวัดอนัมนกิ าย ๒ วัด คือ
๑. วัดอภุ ัยราชบำ�รุง (วดั ค้นั เยงิ ต่อื ) ตลาดน้อย สามแยก พระนคร
๒. วดั อนัมนิกายาราม (วัดกว๋างเพอ้ื กตื่อ) บางโพ ดุสติ พระนคร
ในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว มีการสรา้ งวัดอนมั นิกาย ๒ วดั คือ
๑. วดั ถาวรวราราม (วัดคั้นถ่อตื่อ) เมืองกาญจนบุรี
๒. วัดสมณานัมบริหาร (วดั กัน๋ เพอ้ื กตอ่ื ) เรียกกันวา่ วัดญวนสะพานขาว พระนคร
ตอ่ มายงั ไดม้ ีการสรา้ งวัดข้นึ ในท่ีตา่ ง ๆ อกี ๗ แหง่ (รวมที่พกั สงฆ์ดว้ ย) เช่น วดั กุศลสมา
คร ต�ำ บลสมั พันธวงศ์ วัดชยั ภูมกิ าราม วัดโลกานุเคราะห์ วดั บำ�เพ็ญจีนพรต สามวดั น้อี ยูต่ �ำ บล
จกั รวรรดิ และวัดถาวรวราราม อยหู่ าดใหญ่ สงขลา การสรา้ งวัดเหลา่ น้ีทา่ นเจ้าคณะใหญ่อนัม
นิกายยนื ยันไวใ้ นประวัติอนมั นกิ ายวา่ ได้มีพวกพอ่ ค้าทงั้ ชาวจีน ชาวญวน ช่วยกันสรา้ งข้นึ ทัง้ ท่ี
เปน็ คนเชื้อชาตญิ วน จีน และไทย รวมความวา่ วดั อนัมนกิ ายก็มกี �ำ เนดิ เกิดมาจากศรทั ธาสามคั คี
ของชาวพุทธทกุ เช้อื ชาติ และด้วยเจตนาอนั เป็นสงั ฆทานดังกล่าวแล้ว
217
ยงั มีขอ้ น่าฉงนอยู่อีกอยา่ งหน่ึง คือเรอ่ื งชอ่ื วดั ทเี่ อาค�ำ บอกเชือ้ ชาตขิ องคนมาเป็นชือ่
เชน่ ทีช่ าวบา้ นเรยี กวา่ วัดญวนสะพานขาวบา้ ง วดั ญวนตลาดน้อยบ้าง ดเู ป็นที่วา่ วัดนัน้ เปน็ วดั
ของคนเชอ้ื ชาตนิ นั้ เร่อื งนข้ี ้าพเจา้ แก้มาแลว้ ในตอนแรก คือชาวบา้ นเราร้องเรยี กเพื่อหมายร้วู า่
วดั นัน้ เปน็ วัดสำ�หรบั พระที่บวชตามลัทธินกิ ายอย่างญวนเทา่ นัน้ เอง อนั ที่จริงเรือ่ งช่อื น้คี นไทย
เราไม่คอ่ ยหวง ขา้ พเจ้าได้พูดแล้ววา่ คนไทยมอี ธั ยาศัยอ่อนน้อมถอ่ มตวั ซึ่งหมายความวา่ เต็มใจ
ทจี่ ะยกชื่อเสียงและเกยี รตใิ ห้แกผ่ ู้อน่ื ชอ่ื อย่างน้ีจงึ มมี ากในเมอื งไทยเรา เชน่ สะพานยมราช
ถนนประดิพทั ธ์ บ้านแขก บ้านญวน วดั สามจนี บ้านทะวาย ในโรงพยาบาลก็เอาชือ่ คนไปเปน็
ชื่อตกึ ในวดั กเ็ อาชอ่ื คนไปเปน็ ชือ่ กฏุ ิ พวกเราไม่รูส้ กึ อะไรทีจ่ ะยกชือ่ เสียงใหท้ า่ นผู้นนั้ แต่ก็เป็น
อันรู้กันว่า สถานที่น้นั ๆ ไม่ใช่ตกเปน็ กรรมสิทธิ์ของท่านเจ้าของชอื่ ไมเ่ คยมีท่ผี ู้รับมรดกของ
ทา่ นเหลา่ นั้นจะเรยี กร้องทว้ งติงเอาคืนไปรวมเป็นกองมรดก เพราะอา้ งเหตุสกั วา่ ชอ่ื ของสถานที่
เป็นชื่อคนนน้ั คนน้ี
ทางด้านพระสงฆอ์ นัมนกิ ายในประเทศไทย ปรากฏตามต�ำ นานวา่ พระสงฆ์รปู แรก
ของนกิ ายน้ีได้อุปสมบทมาจากประเทศญวน จะมีจำ�นวนกรี่ ูปไมป่ รากฏ แตค่ งไมเ่ กิน ๒ - ๓ รปู
กระมงั ต่อมาท่านไดใ้ ห้อปุ สมบทกลุ บุตรขน้ึ ในประเทศไทยน้ีเอง แม้ท่านพระครูคณานมั สมณ
าจารย์ (ฮึง) และทา่ นพระครูคณานมั สมณาจารย์ (เหยี่ยวกร่าม) ซ่ึงเปน็ พระเถระผ้ใู หญฝ่ ่าย
ญวน ในยุคตอ่ มาก็อปุ สมบทในประเทศไทยนเ้ี อง การคณะสงฆ์อนัมนิกายในประเทศญวนกับ
ประเทศไทยไดข้ าดจากกันโดยเดด็ ขาด ตงั้ แตร่ ัชกาลที่ ๑ แลว้ กระทงั่ ทกุ วันนี้ กไ็ ม่มกี ารตดิ ต่อ
ส่งั การอย่างใดแก่กันเลย แมจ้ ารตี ประเพณขี องสงฆ์อนมั นกิ ายในไทยกไ็ ดว้ วิ ัฒนาการมาใน
ลกั ษณะกลมกลนื กบั สงฆไ์ ทย มากกว่าท่ีจะเหน็ วา่ คลอ้ ยไปตามสงฆ์ญวนในประเทศญวน
ในประเทศไทยเรา ทางราชการได้ให้ความอมุ้ ชูคณะสงฆอ์ นมั นกิ าย โดยถอื ว่าเป็นพระ
สงฆใ์ นพระพุทธศาสนา และเปน็ ส่วนหนง่ึ ของสถาบันสงฆใ์ นประเทศไทยหรอื องิ อยูก่ บั คณะสงฆ์
ในพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ท้งั ท่ียกเลกิ แล้ว และยังใชอ้ ยใู่ นปัจจุบนั ใช้ค�ำ ว่า “คณะสงฆ์” หมาย
ถึงคณะสงฆ์ฝ่ายอาจาริยวาทท้ังจนี ทั้งญวน ในทางปกครองสงฆ์ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั
ทรงสถาปนาพระเถระรปู หน่ึงในฝา่ ยอนัมนิกายเป็นเจา้ คณะใหญ่ ปกครองดแู ลพระสงฆอ์ นัม
นิกายท้งั ปวง ภายใต้กฎหมายของประเทศไทยทุกประการ
สรุปว่าวัดพระพุทธศาสนาท่ีเราเรียกว่าวัดญวนหรือวัดอนัมนิกายก็คือวัดท่ี
พุทธศาสนิกชนทุกชาติทุกภาษาช่วยกันสร้างข้ึนไว้ในพระพุทธศาสนาสำ�หรับผู้มีศรัทธา
อปุ สมบทในลทั ธินิกายแบบญวน จะไดพ้ ำ�นักบำ�เพญ็ สมณธรรม และเป็นสว่ นหนึง่ แห่งราช
อาณาจกั รไทย ภายใตก้ ารคุ้มครองแห่งกฎหมายไทยทุกประการ
218
สรปุ ความเห็นของชาวญวน
และประวัติการสร้างวดั ของคณะสงฆอ์ นัมนกิ ายแห่งประเทศไทย
ประวตั ศิ าสตร์ท่เี กี่ยวกบั เร่อื งชาวญวนในประเทศไทยกล่าวว่า เนือ่ งจากเกดิ กบฏแยง่
ชิงอ�ำ นาจกนั ขึ้นท่ีเมืองเว้ องเชียงซุน ราชบตุ รองค์ที่ ๔ ของพระเจ้าเมอื งเว้ ได้อพยพพวกพ้อง
พลเมอื งผ่านประเทศเขมรเขา้ มาส่ปู ระเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๓๑๙ พระเจา้ กรุงธนบุรีได้โปรดรบั
ชาวญวนเหล่าน้ันไว้ และไดพ้ ระราชทานที่ดินถนนพาหรุ ดั ให้องเชยี งซนุ กบั พวกตัง้ บ้านเรอื น นับ
เป็นชาวญวนพวกแรกท่ีเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารในรชั สมัยสมเด็จพระเจา้ กรุงธนบรุ ี สมัย
กรงุ รัตนโกสนิ ทรไ์ ด้มพี ระราชนัดดาของพระเจ้าเมอื งเว้พระนามว่า องเชยี งสอื กบั พรรคพวก
บริวารไดอ้ พยพหนีเขา้ มาในประเทศสยามอกี เป็นครงั้ ท่ี ๒ เมือ่ ปี พ.ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเดจ็
พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรบั ไว้ และได้พระราชทาน
ทดี่ ินตำ�บลคอกกระบอื รมิ ฝั่งแม่น้าํ เจา้ พระยาด้านทศิ ตะวนั ออกใหเ้ ปน็ ที่ตั้งถ่นิ ฐาน ปัจจุบนั ทด่ี นิ
ตรงนีเ้ ป็นท่ีตัง้ สถานทูตโปรตุเกส ครนั้ ต่อมาถงึ ปี พ.ศ. ๒๓๒๙ องเชียงสือไดค้ ดิ หลบหนีไปก้ชู าติ
ของตน โดยวางจดหมายกราบทลู ลาไว้ที่โต๊ะบชู า พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวทรงทราบแลว้ ก็
มไิ ดท้ รงถือโทษประการใด แตก่ รมพระราชวังบวรมหาสรุ สิงหนาททรงพโิ รธมาก ถงึ กับรบั ส่ังให้
ชาวญวนพวกขององเชยี งสอื ไปอยู่ทต่ี ำ�บลบางโพ เขตดสุ ิต สบื มาจนบัดน้ี
ในสมัยรชั กาลที่ ๓ ไดม้ ีชาวญวนอพยพเพ่มิ เติมเข้ามาอีก ๓ คร้งั ท้ังทีอ่ พยพล้ภี ัยเข้ามา
เองและกองทพั ไทยกวาดตอ้ นเข้ามา ดงั จะกล่าวตอ่ ไป
ครั้งท่ี ๑ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๗๓ ถึง ๒๓๗๖ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสน)ี ได้
ยกทัพไปตีเมืองญวนได้ครอบครัวชาวญวนเข้ามาถวายสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวจำ�นวนมาก
พวกที่นับถือพระพทุ ธศาสนาใหไ้ ปต้ังถิ่นฐานทจี่ ังหวดั กาญจนบุรี ส่วนพวกทนี่ บั ถือครสิ ต์ศาสนา
ได้โปรดให้อยู่รวมกับพวกเข้ารีตท่ีตำ�บลสามเสนในกรุงเทพฯ
คร้ังที่ ๒ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๗๗ พระเจา้ แผ่นดินพระนามว่า มินมาง ไดป้ ระกาศห้าม
ไมใ่ ห้คนญวนนบั ถอื ศาสนาคริสต์ และไดจ้ ับชาวญวนท่ีเขา้ รีตมาท�ำ ทารุณตา่ ง ๆ เปน็ เหตใุ ห้ชาว
ญวนเป็นจ�ำ นวนมากอพยพเขา้ มาในประเทศไทย พวกท่ีนบั ถือพระพุทธศาสนาโปรดใหไ้ ปอย่ทู ี่
จังหวัดกาญจนบุรี สว่ นพวกทน่ี ับถือศาสนาคริสตก์ โ็ ปรดให้อยู่รวมกบั พวกญวนเข้ารีตท่ีต�ำ บล
สามเสนในกรุงเทพฯ เชน่ กัน
219
คร้ังที่ ๓ ประมาณ พ.ศ. ๒๓๘๓ เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชาได้ยกทพั ไทยไปรว่ มกบั ทพั เขมร
ทำ�การรบขบั ไลก่ องทัพญวน ไดท้ หารญวนเขา้ มาสวามภิ กั ดป์ิ ระมาณ ๑,๐๐๐ คนเศษ สง่ เข้ามา
ถวายพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั พระองค์ทรงรบั ไวแ้ ละโปรดให้อยูร่ วมกับพวกญวน
ซึง่ เขา้ มาคร้งั องเชยี งสอื ท่ตี �ำ บลบางโพ เขตสามเสน ในกรงุ เทพฯ
ครนั้ ต่อมาถึงสมัยรชั กาลที่ ๔ พวกชาวญวนที่ไดต้ ั้งถิน่ ฐานทจ่ี งั หวดั กาญจนบุรีในรชั กาล
กอ่ นนั้นมีความประสงคจ์ ะเขา้ มาต้งั ถิ่นฐานในกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า
อย่หู วั ไดท้ รงกรณุ าโปรดใหต้ ัง้ บา้ นเรือนทร่ี มิ คลองผดุงกรงุ เกษม ซ่ึงเปน็ ท่ีตัง้ ของวดั สมณานมั
บรหิ าร (วัดญวนสะพานขาว) มาจนทกุ วันน้ี
พระสงฆอ์ นัมนิกายแห่งประเทศไทย
พระสงฆอ์ นัมนิกาย คอื พระสงฆน์ ิกายมหายานทีช่ าวญวนนำ�เขา้ มาในสมยั กรุงธนบรุ ี
เป็นต้นมา เชื่อกันว่าในชนั้ แรกพระสงฆ์ญวนคงไดร้ บั การอุปสมบทในประเทศญวนมากอ่ น แลว้
อพยพตดิ ตามชาวญวนเขา้ มาในประเทศไทยในยคุ ต่าง ๆ ทีก่ ล่าวมาแลว้ ครนั้ ต่อมาภายหลงั จึงมี
การอปุ สมบทพระสงฆ์ชาวญวนขน้ึ ในประเทศไทย ในสมยั รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลท่ี ๓ พระสงฆ์
ในยุคแรกไดร้ บั การอุปถัมภใ์ นกล่มุ ชาวญวนด้วยกันเปน็ สว่ นใหญ่ ส�ำ หรับประชาชนชาวไทยและ
ราชสำ�นกั ของไทย เพยี งแต่ไมร่ ังเกียจในฐานะเป็นพระพทุ ธศาสนาด้วยกัน จะแตกต่างกเ็ พยี ง
ลัทธินิกายเทา่ นั้น
สมัยรชั กาลท่ี ๓ ขณะทเ่ี จ้าฟ้ามงกฎุ (รัชกาลท่ี ๔) ทรงผนวชอย่นู นั้ นอกจากจะสน
พระทัยในพระพุทธศาสนาเถรวาทของไทยเราแลว้ พระองคย์ ังสนพระทยั ศึกษาในขอ้ วัตร
ปฏบิ ตั ิของฝา่ ยมหายานอีกดว้ ย จึงโปรดใหน้ มิ นตอ์ งฮึงเจา้ อาวาสวดั ญวนตลาดนอ้ ยมาสอบถาม
ขอ้ วตั รปฏิบตั ิ องฮงึ ไดก้ ราบทูลใหท้ รงทราบจนเป็นทีพ่ อพระทยั เปน็ ทีต่ อ้ งพระราชอัธยาศยั
ตัง้ แตน่ ัน้ มา ต่อมาเมอ่ื พระองค์เสดจ็ ขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว
รัชกาลที่ ๔ เมือ่ พ.ศ. ๒๓๙๔ แลว้ ได้ทรงอุปถัมภอ์ งฮงึ ในการชว่ ยปฏสิ งั ขรณ์วดั ญวนตลาดน้อย
ขึ้นเป็นครั้งแรก และต่อมาไดท้ รงยกย่องพระสงฆอ์ นัมนกิ าย โปรดใหเ้ ขา้ เฝา้ ฯ ถวายพระพรใน
พระราชพธิ เี ฉลิมพระชนมพรรษา เป็นพระสงฆ์ในพธิ ีหลวงอีกฝา่ ยหนงึ่ เป็นประจ�ำ ทุกปมี า และ
ในรัชกาลนี้เองพระสงฆ์ญวนได้รับพระราชทานเกียรติให้ประกอบพิธีกงเต๊กถวายเป็นคร้ังแรก
และถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพและศพเจ้านายต่อมา
จนปจั จุบนั
220
พิธีกงเต๊กหลวงจึงปรากฏเป็นหลักฐานคร้ังแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจา้ อยูห่ ัว รชั กาลที่ ๔ เมื่อทรงจดั งานพระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจา้ อยู่หวั
รชั กาลที่ ๓ เม่ือปี พ.ศ. ๒๓๖๔ พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์รชั กาลท่ี ๓ กล่าวว่า
“ มกี ารพเิ ศษออกไปกว่าพระเมรแุ ตก่ อ่ น คอื เจาะผนงั ท�ำ เป็นช่องแตรท�ำ เป็นซุม้ ยอด
ประกอบตดิ ผนัง ท�ำ เรืองตะเกยี งใหญร่ ะวางมุขทัง้ ๔ เปน็ ทป่ี ระกวดประขันกนั อยา่ งยงิ่ ขอแรง
ในพระบวรราชวงั ซ้มุ ๑ ในสมเดจ็ เจา้ พระยาองคใ์ หญซ่ ้มุ ๑ สมเดจ็ เจ้าพระยาองคน์ ้อยซุม้ ๑
เจ้าพระยานกิ รบดนิ ทรซ์ ้มุ ๑ ซมุ้ ตะเกียงนั้นสูง ๓ วา มเี ครื่องประดับแลเรือนไฟเป็นการช่าง
ต่าง ๆ มีรูปลั่นถนั่ สูง ๖ ศอก ขา้ งประตูทกุ ประตมู ศี าลาหลวงญวนท�ำ กงเต๊ก ๗ วัน ๗ คนื และ
โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ๊สัวเจ้าภาษีผลัดเปล่ียนกันเข้าไปคำ�นับพระบรมศพตามอย่าง
ธรรมเนยี มจนี มเี ครอื่ งเซน่ ทุกวัน นอกจากน้นั จะพรรณนาไปก็ยืดยาวนกั ด้วยของมตี ำ�ราอย่แู ลว้
จดั การท�ำ พระเมรุตั้งแต่เดอื น ๑๑ มาเดอื น ๘ จึงสำ�เร็จ ”
221
คณะสงฆอ์ นมั นกิ าย
เชยี นโดย 釋福如
สนั นษิ ฐานวา่ คณะสงฆ์อนัมนกิ ายแหง่ ประเทศไทย ได้สืบเชอื้ สายมาจากประเทศ
เวียดนาม และน้นั ไดม้ าเผยแพร่พระพทุ ธศาสนานกิ ายมหายานในช่วงปลายราชวงศ์ธนบุรี ต้น
กรุงรตั นโกสินทร์ โดยการมาพร้อมกบั สถาบนั พระมหากษัตริย์ทีม่ ีความเล่ือมใสตอ่ พระพุทธ
ศาสนาเป็นอยา่ งมาก อกี ท้ังยงั เหมือนกบั คำ�ที่ว่า เม่ือไปสถานทใ่ี ดใดแลว้ มนษุ ยจ์ ะน�ำ สงิ่ ที่
ตนนับถือศรทั ธาไปด้วยเพ่ือเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจติ ใจของผคู้ น ไมว่ ่าจะเปน็ ชว่ งศกึ สงครามหรือ
สถานการณ์ปกติก็ตามพระพุทธศาสนามหายานฝ่ายอนัมนิกายนี้สืบสายมาจากประเทศ
เวียดนามเข้าสปู่ ระเทศไทยในสมัยธนบรุ ี ชว่ งพทุ ธศกั ราช ๒๓๑๙ โดยองเชียงซุนผเู้ ปน็ พระ
ปิตุลาในองเชียงสือเป็นการลี้ภัยทางการเมืองและได้มาพึงพระบรมโพธิสมภารของสมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราช ในหลกั ฐานที่ปรากฏตามพงศาวดารของญวนในประเทศไทยวา่
ในระหวา่ ง พทุ ธศักราช ๒๓๑๖ ไดเ้ กิดกบฏข้นึ ท่ีเมอื งเวอ้ ันเป็นราชธานขี องประเทศญวน
(เวยี ดนาม) พวกกบฏเข้ามาชงิ เมืองเวแ้ ละฆ่าฟันพลเมอื งรวมทั้งเชอื้ พระวงศ์เสียเปน็ อันมาก
เช้ือพระวงศ์และพลเมอื งทยี่ งั มีชวี ิตรอดพากนั หลบหนีภยั กันหลายทาง ครั้งนั้นองเชยี งซุนพระ
ราชบุตรองค์ที่ ๔ ของพระเจ้าเมืองเวไ้ ด้อพยพพร้อมทง้ั ขา้ ราชบรพิ ารรวมไปถงึ ผ้นู ำ�ศาสนามา
พร้อมกนั โดยหนภี ยั เข้ามายังประเทศไทยเพื่อขอพึงพระบารมใี นพระเจา้ กรุงธนบุรี เมือ่ ปวี อก
พุทธศกั ราช ๒๓๑๙ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระกรุณาโปรดรบั ไว้ และทรงโปรด
เกลา้ ฯพระราชทานทีด่ ินบรเิ วณถนนพาหุรดั ให้เปน็ ทต่ี ัง้ ภมู ิลำ�เนาของคนญวนยคุ แรก ครง้ั นนั้
เรียกกันวา่ บา้ นญวนพาหรุ ัด และไดส้ รา้ งวดั ศาสนสถานในบวรพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานขน้ึ
เปน็ ครง้ั แรกในสมัยกรงุ ธนบรุ ีด้วยกันถงึ ๒ วดั ดงั น้ี
๑. วดั ทิพยวารวี หิ าร (วัดกามโลตอื่ )甘露寺ตง้ั อยถู่ นนตรเี พชร เขตพระนคร (บ้านหม้อ)
กรุงเทพมหานคร ต่อมาภายหลงั เปน็ วดั สงั กดั ในคณะสงฆจ์ นี นกิ าย
๒. วัดมงคลสมาคม (วัดโหย่ คนั้ ต่อ) 會慶寺เดมิ ตงั้ อยหู่ ลงั วังบูรพาภิรมยค์ รัน้ ถึงรัชสมัย
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกลา้ ฯให้กระทำ�ผาติกรรมอย่างวดั ไทย คอื
พระราชทานท่ดี ินและให้สร้างวดั ขึน้ ใหมเ่ พ่ือจกั ตดั ถนนพาหุรดั โดยย้ายไปตง้ั ทถี่ นนแปลงนาม
เขตสัมพันธวงศ์ในปจั จุบนั
เมื่อสรา้ งวัดส�ำ เร็จจึงได้นมิ นตพ์ ระภกิ ษุสงฆ์มาจ�ำ พรรษาและประกอบสมณกจิ โดยมี
พระอาจารยจ์ ๊ันต่าง (源寶正藏大師)เปน็ บูรพาจารย์นิกายฌาน สำ�นกั ลอ็ มเต๊ (嗣臨濟
正宗)ยคุ แรกที่เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย
222
ต่อมาในรชั สมัยกรุงรัตนโกสนิ ทรพ์ ระจักรพรรดซิ าลอ็ ง หรอื ในเอกสารของประเทศไทย
ช่อื ว่า พระเจา้ เวียดนามยาลอง นอกจากน้ยี งั เปน็ ทรี่ จู้ กั ในพระนาม องเชยี งสอื หรอื เจ้าอนมั ก๊ก
ตามพงศาวดารไทย ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศเ์ หงียน องเชียงสอื ไดล้ ภ้ี ยั ทางการเมอื งได้เขา้
มาพงึ พระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช โดยได้รับการ
อนุเคราะหจ์ ากพระยาชลบุรีได้ช่วยเหลือพาเข้ากรงุ เทพมหานครเม่ือปีขาล พทุ ธศักราช ๒๓๒๕
ซงึ่ เป็นปที ่ี ๒ ในรชั กาลท่ี ๑ ทรงพระกรณุ าโปรดรับไว้ และทรงโปรดเกลา้ ฯพระราชทานทด่ี นิ
บริเวณรมิ ฝง่ั แมน่ ำ�้ เจ้าพระยาเขตบางรกั ในปัจจุบนั คือบรเิ วณสถานเอกอัครราชทตู สาธารณรฐั
โปรตุเกสประจำ�ราชอาณาจกั รไทย รวมทั้งพระราชทานเบี้ยหวดั และเคร่ืองประกอบเกยี รติยศ
ต่าง ๆ ใหแ้ ก่องเชยี งสอื ในพทุ ธศักราช ๒๓๒๖
ต่อมาในสมัยขององเชียงสือได้สร้างวัดในบวรพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานขึ้นด้วยกัน
ถึง ๒ วัด ดงั นี้
๑. วัดอภุ ัยราชบำ�รงุ (วัดค้ันเยิงตื่อ) 慶雲寺ต้ังอยรู่ มิ ถนนเจริญกรงุ แขวงตลาดนอ้ ย
เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร
๒.วัดอนัมนิกายาราม (วัดกวา๋ งเพือ๊ กต่ือ) 廣福寺 ตั้งอยู่ทแี่ ขวงบางโพ เขตดุสิต
กรงุ เทพมหานคร
โดยมี พระอาจารยต์ น๊ั ซาน(新成性玄大師)เปน็ บรู พาจารย์นิกายฌาน ส�ำ นกั ก่าวด็
อง(嗣曹洞正宗)ยคุ แรกที่เข้ามาเผยแพรใ่ นประเทศไทย และยงั เป็นพระอปุ ชั ฌาย์ในพระ
ครูคณานัมสมณาจารย์ (เจินฮงึ มหาเถระ) 通慧真興大師 ปฐมเจ้าคณะใหญอ่ นัมนิกายด้วย
เมื่อกษตั ริย์ผเู้ ป็นเอกอัครศาสนปู ถัมภก และมพี ระราชศรัทธาตอ่ พระพทุ ธศาสนาจึง
ไดน้ ำ�เอาพระพุทธศาสนาอยา่ งท่พี ระองค์นับถือ คือพระพุทธศาสนาฝา่ ยมหายาน (อนมั นกิ าย)
เข้ามาด้วยในเวลาเดียวกนั น้ีคณะพระภกิ ษสุ งฆ์จากประเทศเวียดนาม ซง่ึ เป็นนิกายฌาน หรือ
คนท่ัวไปจะเรียกว่า นิกายเซ็น 禪 (Thien)ซง่ึ ในคณะสงฆอ์ นมั นิกายในประเทศไทยได้มกี าร
เผยแพร่นิกายฌานด้วยกัน ๒ สำ�นักคือ
๑. สำ�นักล็อมเต๊ (嗣臨濟正宗)
๒. สำ�นกั ก่าวดอ็ ง(嗣曹洞正宗)
และมีบูรพาจารย์ท้ังสองสายสืบมาจนถึงปัจจุบันเม่ือจะกล่าวถึงขนมธรรมเนียมจารีต
ประเพณอี กี ทั้งบทสวดพระพทุ ธมนตต์ า่ งๆ ในคณะสงฆอ์ นัมนกิ ายแห่งประเทศไทย มคี วาม
เหมอื นกบั คณะสงฆป์ ระเทศเวยี ดนามทางตอนใต้เป็นอยา่ งมาก
223
และสันนิษฐานได้ว่าคณะสงฆ์อนัมนิกายในประเทศไทยมีรากฐานมาจากคณะสงฆ์ประเทศ
เวยี ดนามทางตอนใต้
เมอื่ คณะสงฆ์อนมั นกิ ายที่เขา้ มาเผยแพรพ่ ระพุทธศาสนาในประเทศไทยก็ไดร้ ับการอปุ ถัมภ์
จากพระมหากษตั ริย์ในยุคกรุงรัตนโ์ กสนิ ทรเ์ ป็นอยา่ งดี จะเห็นไดว้ า่ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็
พระปรเมนทรรามาธบิ ดศี รีสินทรมหามงกุฎ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั (รชั กาลที่ ๔) ในช่วงราว
พุทธศกั ราช ๒๓๙๓ ในขณะท่ีผนวชอย่นู น้ั ทรงสนพระราชหฤทัยตอ่ พระพทุ ธศาสนาเป็นอยา่ ง
มาก และพระองคย์ งั มสี หธรรมิกที่เป็นพระภกิ ษุชาวเวยี ดนาม คอื องเจนิ ฮงึ ภกิ ษุ (ตอ่ มาไดร้ ับ
พระราชทานสมณศักดิข์ นึ้ เป็น พระครูคณานัมสมณาจารย์ ปฐมเจา้ คณะใหญอ่ นัมนกิ าย เจ้า
อาวาสวัดอภุ ัยราชบ�ำ รงุ หรอื วัดญวนตลาดนอ้ ย) และพระองคย์ ังทรงสนทนาธรรมกับองเจนิ ฮึ
งอยเู่ นื่องนติ ย์ เกีย่ วกบั พระพทุ ธศาสนาฝา่ ยมหายานว่ามีความเป็นมาอย่างไร และมีขอ้ วตั ร
ปฏิบัติ สขิ าบทเป็นเชน่ ไร และทรงตรัสว่าเหมอื นกบั คณะสงฆไ์ ทย เมอ่ื หลงั จากการลาผนวชข้ึน
ครองราชย์ต่อจากพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจ้าอยหู่ วั พระองค์ยังมพี ระราชศรทั ธาต่อคณะ
สงฆอ์ นัมนิกายกล่าวคอื พระองคพ์ ระราชทานทนุ ทรัพยส์ ่วนพระองค์ให้กับองเจินฮึงเพือ่ สรา้ ง
วัดอุภัยราชบำ�รุงข้ึนเป็นวัดแรกของคณะสงฆ์อนัมนิกายที่ได้รับพระราชศรัทธาจากพระมหา
กษัตรยิ ์
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่
หวั (รัชกาลท่ี ๕) ทรงมีพระราชศรทั ธาตอ่ คณะสงฆอ์ นมั นกิ ายแลไดท้ ำ�นุบำ�รงุ พระพุทธศาสนา
ต่อจากพระบรมชนกนาถ (รชั กาลที่ ๔) ท้ังสองพระองคไ์ ดพ้ ระราชทานทนุ ทรัพย์ส่วนพระองค์
ใหม้ าปฏิสังขรณว์ ดั แห่งนี้ โดยมพี ระยาโชฎึกราชเศรษฐี (พุก โชติกพกุ กณะ) เป็นผู้ด�ำ เนินการใน
การบรู ณะปฏสิ ังขรณ์
ต่อมารัชกาลที่ ๕ ได้ทรงพระราชทานนามวัดว่า “วัดอภุ ยั ราชบำ�รุง” ซ่งึ มีความหมาย
ว่า พระเจ้าแผ่นดนิ ทงั้ สองพระองค์ได้ทรงทำ�นบุ �ำ รงุ วดั แหง่ นี้ เมื่อวันจนั ทร์ เดอื นส่ี ข้ึนสิบสี่
ค่ำ� ปฉี ลู พทุ ธศักราช ๒๔๒๐ (ตรงกับวันท่ี ๒๖ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๔๒๐) ล้นเกล้ารัชกาลท่ี ๕ ทรง
พระราชทานพระประธานน่งั สมาธหิ น้าตกั ๔๘ นิว้ เปน็ ศิลปะทไ่ี ด้มาจากเมืองสโุ ขทยั โดยมี
พระบรมราชโองการส่ังให้พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมืองเป็นผู้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ใน
อโุ บสถ แลทรงพระกรณุ าโปรดพระราชทานหนอ่ พระศรีมหาโพธ์ิทที่ รงเพาะข้ึนจากเมล็ดพันธ์ุ
พระศรมี หาโพธิ์ที่ไดม้ าจากรฐั บาลอนิ เดยี เมือ่ คร้ังรชั กาลที่ ๔ และทรงมีพระบรมราชโองการจดั
พิธสี มโภชวดั อุภัยราชบำ�รงุ ขึน้ ด้วยกนั ๓ วนั ๔ คนื เมอื่ คราวเสด็จพระราชด�ำ เนนิ ถึงวัดอุภยั ราช
บำ�รงุ แล้ว ทรงจดุ เครอ่ื งนมสั การทองใหญ่ ทรงพระสหุ รา่ ยสรงพระประธาน แลพระอคั รสาวก
224
ทรงมีพระบรมราชโอการแตง่ ตั้งสถาปนาองเจนิ ฮึงข้ึนเป็นเจา้ คณะใหญอ่ นัมนิกายรปู แรก และ
พระราชทานสัญญาบตั รใจความวา่ “ใหอ้ งฮึง เป็นพระครูคณานมั สมณาจารย์เป็นผใู้ หญ่ เปน็
ประธานในหม่สู มณอนมั นิกาย คงอยูใ่ นวดั อุภัยราชบ�ำ รุง จงเจรญิ ศขุ สวัสดใิ นพระพทุ ธศาสนา
เทอญ ต้ังแต่ ณ วันอาทติ ย์ เดอื นสี่ ข้ึนสบิ ส่คี �ำ่ ปีฉลนู พศพ พระพทุ ธศาสนกาล ๒๔๒๐ พรรษา
เป็นวนั ที่ ๓๔๑๔ ในรชั กาลปตั ยุบนั ” แลว้ พระราชทานพดั ยศ พร้อมทั้งเคร่อื งประกอบสมณศักด์ิ
แลว้ เสดจ็ พระราชด�ำ เนนิ ไปทรงพระสุหร่ายต้นพระศรมี หาโพธแ์ิ ล้วเสดจ็ กลับ
คณะสงฆ์อนัมนิกายในประเทศไทยน้ันได้เข้ามาพร้อมกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่
ทรงมีพระราชศรัทธาตอ่ พระพทุ ธศาสนาโดยเขา้ มาดว้ ยกัน ๒ ยคุ คือตงั้ แตส่ มัยกรุงธนบรุ ี
พทุ ธศกั ราช ๒๓๑๖ และตน้ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ พทุ ธศกั ราช ๒๓๒๕ คณะสงฆ์อนัมนกิ าย
เปน็ นิกายทีอ่ ยใู่ นพระพุทธศาสนาฝา่ ยมหายาน โดยมีพระภิกษุสงฆจ์ ากประเทศเวยี ดนาม ซึง่
เปน็ นกิ ายฌาน หรอื คนทว่ั ไปจะเรียกว่า นกิ ายเซน็ 禪 (Thien)ซงึ่ ในคณะสงฆอ์ นัมนกิ ายใน
ประเทศไทยไดม้ ีการเผยแพร่นกิ ายฌานดว้ ยกนั ๒ ส�ำ นกั คือ
๑. สำ�นักลอ็ มเต๊ (嗣臨濟正宗)
๒. ส�ำ นักกา่ วดอ็ ง(嗣曹洞正宗)
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั พระเจ้าอยูห่ ัว รชั กาลที่ ๔ และ ๕ ทรงมีพระราชศรทั ธา
ต่อคณะสงฆ์อนัมนิกายโดยจะเหน็ ได้วา่ ทรงพระราชทานสญั ญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ และทำ�นุบำ�รงุ
วัดวาอารามในคณะสงฆอ์ นมั นิกายโดยตลอด อกี ทง้ั ยงั ทรงพระกรณุ าโปรดให้คณะสงฆอ์ นัม
นกิ ายเขา้ เฝ้าถวายพระพรในการพระราชพิธเี ฉลมิ พระชนมพรรษา และทรงพระกรณุ าโปรดให้
คณะสงฆ์อนมั นิกายประกอบพธิ บี �ำ เพญ็ พระราชกุศลทกั ษณิ านุปทาน กงเต็กในงานพระบรมศพ
และพระศพของเช้อื พระวงศม์ าโดยตลอดมาจนถึงปจั จุบนั
225
ลำ�ดบั บูรพาจารย์คณะสงฆอ์ นัมนกิ าย (นกิ ายฌาน สำ�นกั ล็อมเต)๊ ในประเทศไทย
泰國越宗嗣臨濟正宗法脈歷代祖師遺法相
บูรพาจารย์รนุ่ ท่ี ๑ 第一代祖師
พระอาจารย์จ๊นั ต่าง ปฐมบรู พาจารยว์ ัดมงคลสมาคม
會慶寺開山 源寶正藏大師
บรู พาจารยร์ ุ่นที่ ๒ 第二代祖師
พระอาจารย์หยนิ คนั้ วัดมงคลสมาคม
會慶寺 廣筵永慶大師
พระอาจารยต์ ินเจยี น วัดมงคลสมาคม
會慶寺 廣勤精專大師
บรู พาจารย์รุ่นที่ ๓ 第三代祖師
พระครคู ณานัมสมณาจารย์ (เหยยี่ วกา่ มมหาเถระ) ปฐมเจา้ อาวาสวัดอนัมนกิ ายาราม
廣福寺開山 續潤妙湛大師
พระครูคณานมั สมณาจารย์ (จหี๊ ล็อบมหาเถระ) ปฐมเจา้ อาวาสวดั สมณานัมบรหิ าร
景福寺開山 續受志立大師
องพจนกรโกศล (ถูเหล๋) ปฐมเจา้ อาวาสวัดกศุ ลสมาคร
普福寺開山 續儀守禮大師
บรู พาจารยร์ ุ่นท่ี ๔ 第四代祖師
พระครคู ณานัมสมณาจารย์ (เหมิกโงนมหาเถระ) วดั มงคลสมาคม
會慶寺 本祕密言大師
พระครคู ณานัมสมณาจารย์ (เวียงหมางมหาเถระ) วดั มงคลสมาคม
普福寺 本墨圓滿大師
พระอาจารย์เหมกิ หัน วดั เขตรน์ าบุญญาราม
福田寺 密行大師
องสรภาณมธุรส (บา๋ วเองิ ) วดั สมณานัมบรหิ าร
景福寺 本答寶恩大師
226
บรู พาจารย์รุ่นท่ี ๕ 第五代祖師
พระครคู ณานัมสมณาจารย์ (โผซา้ ยมหาเถระ) วดั อุภยั ราชบ�ำ รงุ
慶雲寺 覺涼普洒大師
พระครคู ณานัมสมณาจารย์ (โผเรียนมหาเถระ) วดั ชยั ภมู กิ าราม
翠岸寺 普蓮大師
พระมหาคณานมั ธรรมปัญญาธิวตั ร (กนิ๊ เจยี๊ วมหาเถระ) วดั กุศลสมาคร
普福寺 覺慧鏡照大師
ลำ�ดับบูรพาจารย์คณะสงฆอ์ นัมนิกาย (นิกายฌาน สำ�นกั ก่าวด็อง) ในประเทศไทย
泰國越宗嗣曹洞正宗法脈歷代祖師遺法相
บูรพาจารยร์ ุ่นที่ ๑ 第一代祖師
พระอาจารย์ตน๊ั ซาน สำ�นกั สงฆ์คน้ั เยงิ อ�ำ
慶雲庵 新成性玄大師
บรู พาจารย์รุ่นที่ ๒ 第二代祖師
พระครูคณานมั สมณาจารย์ (เจินฮึงมหาเถระ) ปฐมเจ้าอาวาสวัดอภุ ัยราชบำ�รุง
慶雲寺開山 通慧真興大師
บูรพาจารยร์ ุ่นท่ี ๓ 第三代祖師
พระอาจารยบ์ า๋ วหาย ปฐมเจา้ อาวาสวดั ถาวรวราราม กาญจนบรุ ี
慶壽寺開山 天雲寶海大師
บรู พาจารย์ร่นุ ที่ ๔ 第四代祖師
พระอาจารยเ์ ยยี่ วเค วดั ถาวรวราราม กาญจนบุรี
慶壽寺 并喫妙溪大師
พระครคู ณานัมสมณาจารย์ (ทนั เคย๊ี ดมหาเถระ) วดั อุภยั ราชบำ�รงุ
慶雲寺 清潔大師
บูรพาจารยร์ ุ่นที่ ๕ 第五代祖師
พระอาจารย์บดั หง็อก วดั ถาวรวราราม กาญจนบุรี
慶壽寺 徹清白玉大師
พระครคู ณานมั สมณาจารย์ (บน๊ิ เลอื งมหาเถระ) วัดโลกานเุ คราะห์
慈濟寺 徹平平良大師
227
บรู พาจารยร์ ุน่ ที่ ๖ 第六代祖師
พระครบู ริหารอนมั พรต (ทงมนิ ) วดั มงคลสมาคม
會慶寺 地光同明大師
พระคณานัมธรรมสมาธวิ ัตร (ย๊ากเหมงิ มหาเถระ) วัดมงคลสมาคม
會慶寺 地金覺愍大師
พระสมณานัมวุฑฒาจารย์ (พ๊องเดีย้ ว) วัดถาวรวราราม กาญจนบรุ ี , วดั อภุ ัยราชบำ�รงุ
慶壽寺, 慶雲寺 , 地祥風調大師
พระอาจารย์โหพฒั น์ วดั ถ�้ำ เขาน้อย
龍山寺 現珀大師
บูรพาจารยร์ ุน่ ท่ี ๗ 第七代祖師
พระอาจารย์ต่ินเนียม วัดเขตรน์ าบุญญาราม
福田寺 淨念大師
พระคณานัมธรรมวิรยิ าจารย์ (ตัยเพอื ง) วัดถ�ำ้ เขานอ้ ย
龍山寺 耀合西方大師
พระมหาคณานมั ธรรมปญั ญาธิวัตร (เถ่ียนถกึ มหาเถระ) วดั กุศลสมาคร
วัดโลกานุเคราะห์ วดั สนุ ทรประดษิ ฐ์
普福寺 , 慈濟寺 , 慶安寺 ,耀祥善實大師
228
สาส์น
แสดงความความอาลัย
229
230
231
232
233
รายนามผู้รว่ มจัดพมิ พห์ นังสอื
พระมหาคณานัมธรรมปญั ญาธิวัตร
(ถนอม เถี่ยนถึกมหาเถระ)
รายนามวดั ส�ำ นักสงฆ์ ร่วมจดั พมิ พห์ นังสือ
๑. วดั กศุ ลสมาคม (โผเพอื๊ กต่ือ) กรุงเทพมหานคร
๒. วดั โลกานุเคราะห์ (ตื้อเต๊ต่อื ) กรุงเทพมหานคร
๓. วัดอนมั นิกายาราม (กวา๋ งเพื๊อกตื่อ) กรุงเทพมหานคร
๔. วัดสมณานัมบรหิ าร (กน๋ั เพื๊อกตือ่ ) กรงุ เทพมหานคร
๕. วดั อภุ ัยราชบ�ำ รุง (คนั้ เยิงตอื่ ) กรงุ เทพมหานคร
๖. วดั ชยั ภูมกิ าราม (ตี๋หงา่ นต่อื ) กรุงเทพมหานคร
๗. วัดมงคลสมาคม (โห่ยคัน้ ตื่อ) กรงุ เทพมหานคร
๘. วดั ถาวรวราราม (คนั้ ถ่อตอื่ ) กาญจนบุรี
๙.วดั เขตรน์ าบญุ ญาราม (เพือกเดย้ี นตีอ่ ) จนั ทบุรี
๑๐ . วดั อนัมนิกายเฉลิมพระชนมพรรษากาล (หงอื กทันตอื่ ) สพุ รรณบุรี
๑๑. วัดธรรมปญั ญารามบางมว่ ง (ฮึงถั่นตอื่ ) นครปฐม
๑๒. วัดเจริญบญุ ไพศาล (ฮึงเอกต่อื ) กาญจนบุรี
๑๓. วัดมหายานกาญจนมาสราษฎร์บำ�รุง (ค้นั ซนั ตื่อ) ยะลา
๑๔. วัดอภุ ยั ภาติการาม (ซ�ำ ปอกง - ตามบำ�วกอ็ งเผิกตอื่ ) ฉะเชิงเทรา
๑๕. วดั ถาวรวรารามหาดใหญ่ (ค้ันถอ่ ตือ่ ) สงขลา
๑๖. วดั ศรัทธาย้ิมพานิชวราราม (โผเจี๊ยวต่ีอ) สมทุ รสาคร
๑๗. วดั ถำ�้ เขาน้อย (ลอ็ งเซงิ ตอ่ื ) กาญจนบุรี
๑๘. วัดหม่ืนปีวนาราม (หย่างถ่อตือ่ ) ราชบรุ ี
๑๙. วดั สุนทรประดษิ ฐ์ (คน้ั อังต่ือ) อดุ รธานี
๒๐. วัดนพรตั น์วนาราม (เพ่อื กถอ่ ตือ่ ) จันทบรุ ี
๒๑. วัดศิริจรรยาธรรมปัญญาราม (ฮงึ เยิงตอ่ื ) ปทุมธานี
๒๒. วดั ประถมพุทธาราม (เผิกกวางตือ่ ) สหรฐั อเมรกิ า
๒๓. วดั สุขาวดอี นัมวนาราม เชยี งใหม่
๒๔. วดั มหาโพธสิ ตั ว์อนัมนิกายาราม ราชบุรี
๒๕. สำ�นักสงฆอ์ นมั งามศรสี ุขมุ พฒั น ์ เลย
๒๖. สำ�นักสงฆต์ าลเลียนอนมั พรต อดุ รธานี
๒๗. สำ�นักสงฆถ์ ำ�ก้ ลองทิพย ์ จันทบุรี
๒๘. ส�ำ นักสงฆ์แดนสขุ าวดีวิถเี ซน ราชบุรี
รายนามศษิ ยานศุ ษิ ยร์ ว่ มจดั พมิ พห์ นังสือ
๑. พระครวู เิ ชียร วชริ ธมฺโม 5,000 บาท
๒. แม่ชที องสขุ นามเจ็ดสี และศิษย์จนี ฮอ่ งกง 10,000 บาท
๓. ครอบครวั ปยิ ชาตสิ กุล 10,000 บาท
๔. วัดธรรมปัญญารามบางม่วงและคณะศษิ ยานุศษิ ย์ 10,000 บาท
๕. ปยิ ะกรุ๊ป 10,000 บาท
๖. คณุ ธนภทั ร บญุ ศริ ภัสสร คุณกนกพร บญุ ศริ ภัสสร 5,000 บาท
๗. ครอบครวั คณุ รัชนี เกษตรทัต ๓,000 บาท
8. คณุ มงคล ศกั ด์ศิ รจี ริ าพัชร 3,000 บาท
9. คณุ โกมินห์ วสิ ารทธนาพนั ธ์ 3,000 บาท
10. ครอบครวั คณุ ธนวฒั น์ การันสกุล 3,000 บาท
11. คุณอุษา ตันตพิ าณิชย์กุลและครอบครัว 5,000 บาท
คณะสงฆ์อนัมนิกายแหง่ ประเทศไทย
ท่ี จญ.อ.๐๑๐/๒๕๖๕
เร่อื ง การแต่งต้ังคณะกรรมการประกอบพธิ ีบำ�เพญ็ กุศล
พระมหาคณานมั ธรรมปัญญาธวิ ตั ร (ถนอม เถยี่ นถึกมหาเถระ)
อดีตเจ้าคณะใหญอ่ นัมนกิ าย อดีตเจ้าอาวาสวดั กุศลสมาคร
ณ อาคารโรงเรยี นพระปรยิ ตั ิธรรมวดั กศุ ลสมาคร วดั กศุ ลสมาคร เขตสัมพันธวงศ์
กรุงเทพมหานคร
ดว้ ย พระมหาคณานัมธรรมปญั ญาธิวัตร อดีตเจ้าคณะใหญอ่ นมั นกิ าย อดตี เจ้าอาวาสวดั กศุ ล-
สมาคร ไดม้ รณภาพ เมอื่ วนั อาทติ ย์ ที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๖๕ เวลา ๑๗.๕๕ น.
คณะสงฆอ์ นัมนกิ าย ได้ระลกึ ถึงคณุ ของ พระมหาคณานัมธรรมปัญญาธิวตั ร (ถนอม เถีย่ นถกึ ) ซ่งึ
เป็นพระมหาเถระท่ีมีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาและกิจการคณะสงฆ์อนัมนิกายมาเป็นระยะเวลายาวนาน
ตลอดชวี ิตสมณเพศของพระคุณทา่ น ยงั ได้มผี ลงานสรา้ งสรรคค์ วามเจริญใหแ้ ก่ประเทศชาติ พระพทุ ธ
ศาสนา และสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ เป็นทต่ี ง้ั แห่งความศรัทธาเลื่อมใสของพระพุทธศาสนกิ ชน ท้งั ชาวไทย
ชาวจนี และชาวเวียดนาม
คณะสงฆอ์ นมั นิกาย จึงได้จัดตง้ั การบ�ำ เพ็ญกุศลถวายพระเดชพระคุณ พระมหาคณานมั ธรรม
ปัญญาธวิ ัตร (ถนอม เถยี่ นถึกมหาเถระ)
จงึ ขอแตง่ ต้งั คณะกรรมการอำ�นวยการ คณะกรรมการทปี่ รกึ ษาการบำ�เพ็ญกศุ ล และคณะ
กรรมการดำ�เนนิ งาน ดงั ตอ่ ไปน้ี
คณะกรรมการอ�ำ นวยการ
๑. พระคณานมั ธรรมเมธาจารย์ รองเจ้าคณะใหญอ่ นัมนิกาย ประธานอำ�นวยการ
๒. พระคณานมั ธรรมวธิ านาจารย์ ผู้ชว่ ยเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายขวาอนมั นกิ าย รองประธาน
๓. พระคณานัมธรรมวฒุ าจารย์ ผชู้ ่วยเจา้ คณะใหญ่ฝา่ ยซา้ ยอนัมนกิ าย รองประธาน
๔. พระสมณานมั ธีราจารย์ ปลดั ขวาอนัมนิกาย รองประธาน
๕. พระบริหารอนัมพรต ปลัดซา้ ยอนัมนกิ าย รองประธาน
คณะกรรมการทีป่ รึกษาการบำ�เพญ็ กุศล
๑. พระครปู ลัดสมั พิพัฒนธตุ าจารย์ ผู้ชว่ ยเจา้ อาวาสวดั ไตรมติ รวิทยาราม ประธานทปี่ รกึ ษา
๒. พระครูนันทกติ ตคิ ณุ ผู้อำ�นวยการโรงเรียนกศุ ลสมาครวทิ ยาลัย รองประธาน
๓. พระครธู รรมรจุ ิ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวดั คณกิ าผล รองประธาน
๔. พระครวู ินัยธรวเิ ชยี ร วชริ ธมฺโม ผู้ช่วยเจา้ อาวาสวดั ประยุรวงศาวาสวรวหิ าร รองประธาน
๕. พระมหานรินทรศ์ กั ด์ิ สจฺจวาท ี ผู้ชว่ ยเจ้าอาวาสวัดใหม่พิเรนทร ์ รองประธาน
คณะกรรมการดำ�เนินงาน
๑. องสรภาณมธรุ ส รองปลัดขวาอนัมนิกาย ประธานดำ�เนนิ งาน
๒. องสุตบทบวร รองปลดั ซ้ายอนมั นิกาย รองประธาน
๓. องสรพจนสุนทร ผชู้ ว่ ยปลดั ขวาอนมั นกิ าย รองประธาน
๔. องพจนกรโกศล ผู้ช่วยปลดั ซ้ายอนัมนิกาย รองประธาน
๕. องอนันตสรนาท เจา้ อาวาสวัดเจรญิ บญุ ไพศาล รองประธาน
๖. องสุตบทอนมั บริหาร วดั ถาวรวราราม รองประธาน
๗. องปลดั ปานชยั เถ่ยี นหงอื เจา้ อาวาสวดั ถาวรวรารามหาดใหญ ่ กรรมการ
๘. องปลดั วิเชียร เถย่ี นอี๊ เจ้าอาวาสวัดถำ้�เขานอ้ ย กรรมการ
๙. องปลัดสันติ ถ่ออาง เจ้าอาวาสวดั สขุ าวดีอนมั วนาราม กรรมการ
๑๐. องปลดั สุชาติ ตือ่ เยยี น เจา้ อาวาสวดั หม่ืนปีวนาราม กรรรมการ
๑๑. องวนิ ัยธรอเนก เถีย่ นหลาก เจ้าอาวาสวดั ศรัทธายม้ิ พานิชวราราม กรรมการ
๑๒. องวินัยธรกุศล เถ่ียนดึก๊ เจ้าอาวาสวดั สนุ ทรประดษิ ฐ ์ กรรมการ
๑๓. องธรรมธรมานิตย์ เทียนท่าน เจา้ อาวาสวัดอนมั นิกายาราม กรรมการ
๑๔. พระคงศกั ดิ์ เถย่ี นเต้ือง ผูป้ ฏิบตั ิหนา้ ที่แทน รก.จร.วัดมหายานกาญจนมาสราษฎรบ์ ำ�รุง กรรมการ
๑๕. พระฐานันดร ตือ่ บ ี ผู้ปฏิบตั หิ น้าท่แี ทน รก.จร.วดั มหาโพธิสัตวอ์ นัมนิกายาราม กรรมการ
๑๖. คณานกุ รมทัง้ หมดของคณะสงฆอ์ นัมนิกาย กรรมการ
๑๗. องปลดั ธรรมปัญญาธิวัตรธีระยทุ ธ เถย่ี นคาย จร.วัดอุภัยภาติการาม,รก.เลข.จญ.อ. กรรมการและเลขานกุ าร
๑๘. องปลัดธรรมปัญญาธิวัตรรงั สรรค์ คั้นเตื่อง เจ้าอาวาสวัดโลกานเุ คราะห์ กรรมการและผชู้ ่วยเลขานุการ
๑๙. องวินัยธรเดน่ ชัย เหวม่ นิ ผชู้ ว่ ยเจ้าอาวาสวดั กศุ ลสมาคร กรรมการและผู้ชว่ ยเลขานุการ
๒๐. องสงั ฆรกั ษ์อนรุ กั ษ์ เหว่อาง วดั กศุ ลสมาคร กรรมการและผ้ชู ่วยเลขานุการ
๒๑. องสมหุ ์สนั ตภิ าพ ดิน่ ทนั วัดกศุ ลสมาคร กรรมการและผ้ชู ว่ ยเลขานุการ
๒๒. องใบฎกี าวชั ระพล เพื๊อกเถี่ยน วัดกุศลสมาคร กรรมการและผ้ชู ว่ ยเลขานกุ าร
สั่ง ณ วันที่ เดอื น กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๕
( พระคณานมั ธรรมเมธาจารย์ )
รองเจ้าคณะใหญอ่ นมั นกิ าย/ผู้ปฏบิ ตั หิ นา้ ทีเ่ จา้ คณะใหญอ่ นมั นิกาย
อนสุ รณ์พระมหาคณานัมธรรมปญั ญาธิวตั ร (ถนอม เถ่ียนถึกมหาเถระ)
ผ้จู ดั พิมพ ์ คณะสงฆ์อนัมนกิ ายแหง่ ประเทศไทย
เขตสมั พันธว์ งศ์ กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๑๐
บรรณาธิการทปี่ รึกษา พระคณานมั ธรรมเมธาจารย์ (ติ่นเรยี นมหาเถระ)
พระคณานมั ธรรมวธิ านาจารย์ (มนิ เองิ มหาเถระ)
พระคณานมั ธรรมวุฒาจารย์ (ตน่ิ ทนิ มหาเถระ)
พระสมณานมั ธีราจารย์ (เกว๊กิ ซัน)
พระบรหิ ารอนัมพรต (เหย่ียวคัง)
องสรภาณมธุรส (เหย่ยี วหาย)
องสุตบทบวร (เหว่ตี)้
องสรพจนสนุ ทร (เถ่ยี นกอื )
องพจนกรโกศล (เถ่ียนบ๊าว)
องอนันตสรนาท (มินหลับ)
องสุตบทอนัมบริหาร (อ๊ตี )ู
องวินยั ธรธรรมโรจน์ เถ่ยี นจู้
องปลัดธรรมปัญญาธิวัตร (เถี่ยนคาย)
องปลดั ปานชัย เถย่ี นหงอื
องปลดั วเิ ชยี ร เถย่ี นอ๊ี
องวินัยธรเอนก เถีย่ นหลาก
องใบฎีกาสชุ าติ ต่อื เยยี น
ภาพถ่าย กองงานเลขานุการวดั ในคณะสงฆอ์ นัมนกิ าย
รวบรวมขอ้ มลู องสมุห์ณัฐกจิ เพือ๊ กยือ
องสมุหธ์ นวัฒน์ เพอื๊ กเยยี น
องใบฏกี าณภทั ร เพ๊อื กหว่ึ
ดร.สรุ ยิ า แสงอินตา
รปู แบบเล่ม องใบฏีกาณภัทร เพอื๊ กห่ึว
พมิ พค์ รง้ั แรก พุทธศักราช ๒๕๖๕
จำ�นวนพมิ พ ์ เลม่
พมิ พท์ ่ ี บรษิ ทั