The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สัมมาสมาธิ หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-05-05 23:06:11

สัมมาสมาธิ หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต

สัมมาสมาธิ หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต

Keywords: สัมมาสมาธิ หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต

50 • เทศนบ์ นศาลา

“น่นั นะ่ สมบตั ิบา้ สมบัติบ้า”
“แล้วใหท้ �ำอย่างไรละ่ ”
“นนั่ แหละสมบัตบิ ้า”
ตอ้ งทำ� เอง เหน็ ไหม นเ่ี วลาครบู าอาจารยท์ ท่ี า่ นเปน็ แลว้
ทา่ นพยายามจะชกั นำ� ใหเ้ ขา้ สมู่ ชั ฌมิ าปฏปิ ทา ใหเ้ ขา้ สสู่ มั มาสมาธิ
สัมมาสติ สัมมากัมมันโต งานชอบนี่ส�ำคัญมากเลย เพราะมัน
ชอบธรรม มนั เป็นงานไง
แตง่ านไมช่ อบ งานทจุ รติ งานการคาดหมาย คาดหมายวา่
จะให้กเิ ลสหลน่ ใส่หัว คาดหมายวา่ ธรรมะจะเกดิ เอง มนั เปน็ การ
คาดหมาย มันเป็นไปไม่ได้เลย แล้วมันก็เป็นกันอยู่อย่างนั้น
มนั เลยเปน็ มิจฉาสมาธิ มิจฉาคอื ความหลงผิด
ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือยกข้ึนสู่วิปัสสนาได้
สมั มาสมาธิคอื มสี ติมีปัญญา มีสติสัมปชญั ญะ ถา้ มีสตสิ ัมปชญั ญะ
ควบคมุ ดูแลมา ไมต่ ื่นเตน้ ไมใ่ หก้ ิเลสยแุ หย่ ไมใ่ หห้ ลงทางกเิ ลส
แลว้ เราพยายามรักษาของเรา
ด้วยอ�ำนาจวาสนาของคน คนมีอ�ำนาจวาสนามากน้อย
แคไ่ หน คนทม่ี อี ำ� นาจวาสนามนั กย็ ำ้� คดิ ยำ�้ ทำ� ทำ� จนเจรญิ งอกงาม
ขน้ึ มาได้ คนถา้ ไม่มอี �ำนาจวาสนาท�ำแล้วก็พัก
ได้ตอบค�ำถามโยมเยอะมากเม่ือ ๕ ปีท่ีแล้ว
เม่ือ ๑๐ ปีท่ีแล้ว พอมันท�ำเต็มที่แล้วมันก็เลิกไป แล้วพอ

สมั มาสมาธิ • 51

ไปทกุ ขไ์ ปยากกก็ ลบั มาทำ� ใหมอ่ ยอู่ ยา่ งนนั้ นไี่ ง ไมท่ ำ� ใหต้ อ่ เนอ่ื งไง
ทำ� ตอ่ ไปไมไ่ ดไ้ ง พอทำ� ตอ่ ไปไมไ่ ดม้ นั กไ็ มม่ ที างไป ลองออกไปแลว้
เด๋ียวก็กลับมาท�ำใหม่ เพราะอะไร เพราะมันยังระลึกถึงอยู่ได้ไง
นมี่ ันทำ� ไปไม่ได้

แต่ถ้ามันมีวาสนานะ มันก็จะดูแลรักษามีการกระท�ำ
ของเรา ถา้ มกี ารกระทำ� ของเรานะ เราทำ� ตอ่ เนอ่ื งไปๆ ใหม้ นั เปน็
สมั มาสมาธิ ใหม้ ันเปน็ สมั มาปฏบิ ัติ ให้มันถูกต้องดงี าม แลว้ เรา
พยายามประพฤตปิ ฏิบัตขิ องเราไป

ไอ้ท่ีว่าให้กิเลสตกใส่หัว ไอ้รู้วาระจิต รู้นู่นรู้น่ี ไร้สาระ
พระพุทธเจ้ารู้มากกว่าน้ัน ใบไม้ในป่ากับใบไม้ในมือ สิ่งใดท่ีเป็น
ความจรงิ มนั มอี ยจู่ รงิ ๆ ทงั้ นน้ั นะ่ วฏั ฏะน้ี แตไ่ มเ่ ปน็ ประโยชนก์ บั
การปฏิบตั ิ ทา่ นไม่เอามาพดู นะ

ขนาดท่ีว่าพระโมคคัลลานะลงจากเขาคิชฌกูฏเห็นเปรต
ทา่ นบอก โอ!้ เหน็ มาตง้ั นานแลว้ แตเ่ ราไมพ่ ดู พระโมคคลั ลานะ
ไปเห็นเปรตทีไร พระพุทธเจ้าเห็นหมดล่ะ ท่านเห็นอยู่ต�ำตา
แต่เป็นประโยชน์กับใครล่ะ

แตพ่ ระโมคคลั ลานะลงจากเขาคชิ ฌกฏู เหน็ เปรต ทา่ นยมิ้ ๆ
ลกู ศิษยถ์ าม “อาจารย์ยมิ้ อะไร”

“ยงั ไมพ่ ดู ไปพดู ตอ่ หนา้ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ”

52 • เทศน์บนศาลา

พอไปพูดต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
“เห็นเปรตมันลอยมา ขนหลุดออกมากลายเป็นเข็มทิ่มกลับไป
ร้องโอดโอยอยนู่ ั่น”

พระพทุ ธเจา้ บอก “เราเหน็ มานานแลว้ แหละ แตเ่ ราไมพ่ ดู ”
สงิ่ ทร่ี ทู้ เี่ หน็ ไรส้ าระ มนั มขี องมนั อยอู่ ยา่ งนนั้ มนั มขี องมนั
อยอู่ ยา่ งนนั้ มแี ตก่ รรมของสตั ว์ สตั วม์ นั ทำ� กรรมอยา่ งนน้ั มนั กไ็ ป
เสวยกรรมของมนั แล้วเกี่ยวอะไรกับเอ็งวะ เอง็ ยังไม่เห็นอริยสจั
เอ็งไม่เหน็ กิเลสของเอ็ง
ไอพ้ วกหวั ตอนน่ั นะ่ อวดรู้ แตไ่ มร่ จู้ กั กเิ ลสของตน ไมร่ จู้ กั
สัมมาสมาธิ มันเปน็ สมาธหิ วั ตอ ไอ้พวกสวมรอยๆ นนั่ น่ะ น่นั ก็
มิจฉาสมาธิ นี่ฝึกสัมมาสมาธิ สมาธิยังท�ำไม่เป็นเลย แล้วเวลา
เปน็ ข้ึนมากเ็ ป็นมจิ ฉาอีกต่างหาก
เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา
สอนทำ� ความสงบของใจเขา้ มา ใจสงบจนตงั้ มนั่ เปน็ สมาธิ ยกขนึ้ สู่
วิปัสสนา พระพุทธศาสนาสอนเร่ืองมรรค ๘ พระพุทธศาสนา
สอนเรื่องภาวนามยปัญญา ปัญญาการช�ำระล้างกิเลส
ปัญญาเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่ฆ่ากิเลส ไม่ใช่โลกียปัญญา
ปญั ญาประจำ� โลกนน้ั
พระพทุ ธศาสนาเลอเลศิ ยอดเยย่ี ม แตอ่ ยทู่ ใ่ี นหวั ใจของใคร
อยู่ในหัวใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ม่ัน อยู่ในหัวใจของครูบา
อาจารยข์ องเรา น้ันเปน็ ท่ีพึง่ ทอี่ าศยั ทเ่ี ราพยายามจะแสวงหา

สมั มาสมาธิ • 53

ถ้าอยู่ในใจของพวกหน้าด้าน โมฆบุรุษ สมาธิหัวตอ
มิจฉาสมาธิ มันจะเกิดเองไปทั้งหมด หย�ำเป ไม่เป็นประโยชน์
กบั ใครเลย เขาเองกห็ ลง เขาเองกท็ ำ� ลายตวั เอง แลว้ ยงั ชกั นำ� ใหส้ งั คม
หลงใหล ชักนำ� ใหค้ นอนื่ ผิด

เหน็ ไหม ตวั เองผดิ กพ็ อสมควรอยแู่ ลว้ ชกั นำ� ใหส้ งั คมผดิ อกี
ตัวเองผิดก็ตกนรกอเวจี ยังให้คนอ่ืนไปตกนรกอเวจีด้วย ใจด�ำ
ไมส่ ำ� นกึ ตน ไมเ่ ปน็ ความจรงิ แบบองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ปรารถนาร้ือสตั ว์ขนสตั ว์ เอวงั

อปุ โลกนธรรมๆ มันมีสิง่ ใดเอามาอุปโลกนละ
มันไมมสี ง่ิ ใดเปนชิ้นเปน อนั ข้นึ มา

มันจะอปุ โลกนส ิ่งใดข้ึนมาใหม ันเปน ธรรมละ
อุปโลกนเ ปนธรรมมนั กค็ ดิ เอาเอง
จนิ ตนาการเอาเอง คิดของมันไป
มันจะอุปโลกนธ รรมๆ

ไอน เี่ ปนศลี ไอน ีเ่ ปน สมาธิ ไอนเี่ ปน ปญ ญา
ไอน นั่ เราศึกษามาจาก

ธรรมะขององคส มเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจา
เวลาเราศึกษาข้นึ มาแลวเราจะประพฤติปฏบิ ตั ขิ นึ้ มา

ถา เปน ความจรงิ ของเรา
มนั สดๆ รอนๆ นะ มนั มีรสมชี าติ

รสของธรรมชนะซ่ึงรสทงั้ ปวง



อปุ โลกน์ธรรม

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศนบ์ นศาลา วนั ที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๑
ณ วดั ป่าสนั ติพทุ ธาราม ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบรุ ี

ตั้งใจฟังธรรมะ ต้ังใจฟังธรรม เพราะเรามาแสวงหา
สจั จะความจรงิ ในหวั ใจของเรา แตท่ กุ คนยงั หาหวั ใจของตนไมเ่ จอ
ถ้าหาหวั ใจของตนเจอนะ มันจะมีความสขุ มันจะมคี วามสขุ นะ

เพราะคนเราเกิดมามีกายกับใจๆ เราใช้แต่ร่างกายน้ี
ท�ำมาหากิน เราใช้แต่ร่างกายน้ีเผชิญกับโลก แต่เราไม่เอาหัวใจ
ออกมาตแี ผเ่ ลย เราไมเ่ คยเหน็ หวั ใจของเรา เราไมเ่ คยเอาใจของเรา
มาทำ� หน้าท่กี ารงานเปน็ ชิ้นเปน็ อันข้นึ มา

ถา้ มนั จะทำ� หนา้ ทกี่ ารงานเปน็ ชนิ้ เปน็ อนั ขน้ึ มานะ มนั จะเปน็
สมบัติของเราๆ ถ้าเป็นสมบัติของเรานะ เราจะไม่สงสัยสิ่งใดๆ
ในโลกนเ้ี ลย

แต่น่ีเวลาเราอยู่กับโลกๆ เราเอาร่างกายของเราน้ี
ทำ� หนา้ ทก่ี ารงาน เวลาคดิ งานๆ กค็ ดิ งานจากสมองนไ่ี ง ถา้ คดิ งาน
จากสมอง มันเป็นอำ� นาจวาสนานะ เปน็ อำ� นาจวาสนาเพราะเรา
เกิดเปน็ มนษุ ย์ เกดิ มาพบพระพทุ ธศาสนา

56 • เทศนบ์ นศาลา

พอเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์มีกายกับใจๆ เวลามี
กายกับใจ ส่ิงท่ีว่าเป็นสมอง ทางโลกเขา เวลาคล่ืนสมอง
ใช้สมองท�ำงาน มันก็ใช้สมองท�ำงานจริงๆ นั่นแหละ ท�ำจริงๆ
นน่ั แหละ แตจ่ รงิ ๆ เพราะมนั จรงิ ตามสมมตุ ไิ ง มนั จรงิ ตามสมมตุ ิ
จรงิ ตามวัฏฏะ เราเกดิ เป็นมนุษยไ์ ง

แล้วถ้าเทวดา อินทร์ พรหมเขามีสมองไหมล่ะ
เขามีร่างกายไหมล่ะ เขาไม่มีร่างกาย ไม่มีรูปร่างกายอย่างเราไง
เขามีรูปร่างกายเป็นทิพย์ๆ เป็นทิพย์ของเขา เขาไม่มีสมอง
อย่างเราหรอก เพราะรา่ งเขาเปน็ ทิพย์ทงั้ หมดไง

แตน่ เ่ี ราเกดิ มาเรามกี ายกบั ใจๆ ถา้ กายกบั ใจ เวลาเราทำ�
หนา้ ทก่ี ารงานของเรา เรากใ็ ชส้ มองของเรา เราเอารา่ งกายของเรา
ทำ� งานไง แตม่ นั กต็ อ้ งใชห้ วั ใจ ตอ้ งใชจ้ ติ ถา้ มนั มจี ติ อยใู่ นรา่ งกายนี้
มนั กเ็ ป็นสง่ิ ท่ีมีชวี ติ ไง

แต่ถ้าคนตายไปแล้ว คนตายจิตออกจากร่างนี้ไปแล้ว
สมองกม็ อี ยอู่ ยา่ งนน้ั แหละ แตม่ นั คดิ งานไมไ่ ดแ้ ลว้ แหละ มนั รอแต่
เอาฟนื จะเผามนั นน่ั น่ะ

เวลาเราไปสง่ คนตาย ไปสง่ ทเ่ี ชงิ ตะกอน แตเ่ ราไมเ่ คยเหน็
จติ วญิ ญาณของคน แลว้ จติ วญิ ญาณของคน ดสู ิ คนทอี่ ำ� นาจวาสนา
ตำ่� ตอ้ ย กลวั นนู่ กลวั นี่ กลวั ไปหมดละ่ นม่ี นั เปน็ ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์
กลัวไปทุกๆ เร่ือง ถ้าเป็นโบราณเขาถือผีถือสางกัน เขาถือผี
เขากราบไหว้บชู าทง้ั นัน้ น่ะ เขากลัวผดิ ผี

อปุ โลกนธ์ รรม • 57

แต่เวลาถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า กลัวผิดธรรม สัจธรรม สัจธรรมที่เราจะ
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ทเี่ ราแสวงหากนั อยนู่ ไ้ี ง สง่ิ ทเ่ี ราแสวงหากนั อยนู่ ้ี
เราแสวงหาธรรมท่ีเหนือโลก ธรรมที่เหนือโลกเหนือวัฏฏะน้ี
ในวัฏฏะนี้ไมม่ ี

ในวฏั ฏะนม้ี แี ตเ่ วยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะ ผลของวฏั ฏะๆ ไง
คนจะมอี ำ� นาจวาสนามากนอ้ ยแคไ่ หนกเ็ สวยผลบญุ ของตน ผลกรรม
ของตนท่ที ำ� มาๆ

แต่เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามี
อำ� นาจวาสนานะ ถา้ เรามอี ำ� นาจวาสนา เรามสี ตมิ ปี ญั ญาของเรา
เราศกึ ษาธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แมแ้ ตก่ ารศกึ ษา
ตามโบราณเรา ศึกษาตามโบราณ ศึกษาตามประเพณวี ัฒนธรรม
พ่อแม่ก็พาลูกไปวัดไปวาก็ซึมซับ ซึมซับสิ่งที่วัฒนธรรมในวัด
วัฒนธรรมในพระพุทธศาสนา ซึมซับส่ิงนั้นมามันก็มีความเช่ือ
ฝงั ใจมาๆ

เวลาคนเกิดมา เกิดมามีอ�ำนาจวาสนา เขาก็มีบุญกุศล
ของเขา เขาก็ประสบความส�ำเร็จในชีวิตของเขา เขาท�ำสิ่งใด
เขากป็ ระสบความสำ� เรจ็ ของเขา คนเราเกดิ มาทกุ คน คนเกดิ มาทกุ ข์
มายาก เกิดมาปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เวลาโตข้ึนมา
ทำ� สง่ิ ใดกไ็ มป่ ระสบความสำ� เรจ็ มนั มแี ตค่ วามทกุ ขค์ วามยากไปตลอด
นไี่ ง อ�ำนาจวาสนาของคนไง

58 • เทศน์บนศาลา

ถ้าคนไม่มสี ตไิ มม่ ีปญั ญา สิ่งน้ีมนั บบี คั้นหัวใจมาก เวลา
มนั ทกุ ขม์ นั ยากขนึ้ มา ทกุ ขย์ ากจนเจยี นตาย ทกุ ขย์ ากจนคนถา้ ขาดสติ
ข้ึนมา ท�ำร้ายตัวเองถึงส้ินชีวิตนี้ไป เพราะมันทุกข์มันยาก
มันจนตรอก มันไม่มีทางไป มันเครียดจนถึงกับท�ำลายตัวเองไง
คดิ วา่ จะพน้ ทกุ ขๆ์ ไป นไี่ ง เพราะวา่ เขาไมม่ อี ำ� นาจวาสนาของเขา
เขาไม่ไดศ้ ึกษาพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้ท�ำลายตัวเองๆ ให้ท�ำลาย
กเิ ลสตณั หาความทะยานอยากในใจของเราต่างหาก กเิ ลสตณั หา
ความทะยานอยากในใจของเรามนั บบี คน้ั มนั ทำ� ลายเรา มนั ทำ� ลาย
ให้เราทุกข์เรายากนะ ทุกขเ์ จยี นตายๆ

แต่เพราะมีอ�ำนาจวาสนาข้ึนมา เราจะประพฤติปฏิบัติ
ของเรา เราจะแสวงหาความจรงิ ของเรา ถา้ เราแสวงหาความจรงิ
ของเรา คนที่มีอ�ำนาจวาสนาข้ึนมาเขาก็จะมาประพฤติปฏิบัติ
ตามความเป็นจริงในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าถือผีถือสางกันมา
แลว้ เวลาจะมาประพฤตปิ ฏิบัตขิ น้ึ มาก็ตามแตฤ่ ๅษีชีไพร

มมี ากมาย ผทู้ บี่ วชเปน็ พระ บวชเปน็ พระแลว้ มกี ารศกึ ษา
ศึกษาแล้วเวลาสิกขาลาเพศไป ไปเป็นฤๅษีชีไพรนะ เพราะอะไร
เพราะถา้ เปน็ พระมนั มธี รรมและวนิ ยั วฒั นธรรมของเรา เหน็ ไหม
มันตรวจสอบได้

อุปโลกนธ์ รรม • 59

อุตตริมนุสสธรรม ถ้ามันอุตริส่ิงท่ีเกินสัจจะความจริง
เกนิ นา่ เชอื่ ถอื นน่ั ขาดจากพระๆ เวลาสกึ จากพระไปแลว้ จะทำ� อะไรกไ็ ด้
จะสอนอยา่ งไรกไ็ ดต้ ามความเชอื่ ของฉนั นไี่ ง สงิ่ ตา่ งๆ ตามฤๅษชี ไี พรไง

แลว้ เวลาจะประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เราจะปฏบิ ตั อิ ยา่ งนนั้ ใชไ่ หม
เราจะปฏิบัติแบบฤๅษีชีไพร เราจะปฏิบัติแต่ความพอใจของเรา
เราจะปฏบิ ตั อิ ยา่ งนนั้ หรอื ถา้ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งนน้ั กน็ ไ่ี ง คนทไ่ี มม่ วี าสนาไง
ถ้าคนท่มี อี �ำนาจวาสนานะ เขาจะไม่เชือ่ สงิ่ ใดง่ายๆ

เวลาธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ สอนตง้ั แต่
เรื่องอนุปุพพิกถา ให้เรื่องท�ำทาน ให้เรื่องรักษาศีล ให้เรื่อง
ประพฤติปฏิบัติข้ึนมาไง แต่เวลาจะอนุปุพพิกถามันต้องมีศรัทธา
มีความเช่ือ เพอ่ื อะไร เพ่ือพาใหช้ วี ิตเรามคี ุณคา่ ข้ึนมา

ถ้าชีวิตเราไม่มีคุณค่าข้ึนมา มันก็ส�ำมะเลเทเมาไปตาม
กิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้ามาเร่ิมได้ท�ำทาน ใกล้ชิด
พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มีการศึกษา
มวี ฒั นธรรมของเราขนึ้ มา พอมนั ใกลช้ ดิ ขนึ้ มา ถา้ มนั ศกึ ษาขน้ึ มา
มนั จะคน้ ควา้ ของมนั มนั จะคน้ หาความจรงิ ในใจของตน ถา้ คน้ หา
ความจรงิ ในใจของตน เหน็ ไหม

เริ่มต้นจากการศึกษา การจ�ำมาท้ังน้ันน่ะ เวลาจะ
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ น้ึ มา องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กาลามสตู ร
ไม่ให้เช่ือแล้ว ถ้าคนมีอ�ำนาจวาสนาเขาจะมีอ�ำนาจวาสนาตรงน้ี
เขาไม่ใหเ้ ชอ่ื ไมใ่ หเ้ ช่อื ใดๆ ทั้งสน้ิ

60 • เทศน์บนศาลา

เวลาเราจะไปอยสู่ ำ� นกั ไหนกแ็ ลว้ แต่ เรามคี รบู าอาจารยอ์ งคใ์ ด
ทเี่ ปน็ ทยี่ ดึ เหนยี่ วกแ็ ลว้ แต่ ทา่ นจะสอนสง่ิ ใดเรากฟ็ งั แลว้ เรากต็ อ้ ง
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เราตอ้ งคน้ ควา้ ตอ้ งเปรยี บเทยี บใหม้ นั ไดค้ วามจรงิ
ขึน้ มา ถา้ มันไมไ่ ด้ความจริงข้นึ มา เราไม่เชือ่ เราไม่เช่อื ท้ังนั้นนะ่
เวลากาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของตน ไม่ให้เช่ือใดๆ
ท้ังส้ิน ให้เชื่อแต่ผลของการประพฤตปิ ฏิบัติ

แต่ถ้าผลของการประพฤติปฏิบัติของเรามันปฏิบัติแล้ว
มันไม่เป็นชิ้นเป็นอันอะไรขึ้นมา ถ้ามันไม่เป็นช้ินเป็นอันขึ้นมา
ดูทางวัฒนธรรมของเราๆ เวลาคนท่ีเขามีศรัทธามีความเช่ือ
ไปทอดผา้ ปา่ เวลาไปทอดผา้ ปา่ เขามอี ะไรสงิ่ ใดจะไปทอดผา้ ปา่ ละ่
ทอดผา้ ปา่ เขากต็ อ้ งมกี ง่ิ ไม้ มปี จั จยั ดำ� รงชพี ผกู ตามกง่ิ ไมไ้ ปทอดผา้ ปา่
มีผ้าไปทอดผ้าป่า แล้วถ้ามีพระชักผ้าบังสุกุล เขาต้องอุปโลกน์
ผ้าป่าน้ัน อุปโลกน์ๆ เขาต้องท�ำให้มันถูกต้องตามธรรมวินัยไง
มนั ตอ้ งมกี ารอปุ โลกน์

แล้วถ้ามีพระเรา ถ้าพระจ�ำพรรษาครบ ๕ องค์ เขามี
การทอดกฐินๆ เวลาเขาทอดกฐินเขาต้องมีอะไรล่ะ ทอดกฐิน
เขาต้องมีผ้าของเขา มีผ้า พอมีผ้าของเขา เขาอุปโลกน์กฐินน้ัน
ถ้าการอุปโลกน์กฐินน้ัน อุปโลกน์กฐินน้ันให้ผู้ใดเป็นผู้ที่จะครอง
กฐนิ นน้ั เปน็ ผทู้ ฉ่ี ลาด ตอ้ งรจู้ กั การตดั การเยบ็ การเนา การยอ้ ม
ย้อมเสร็จแลว้ มาติกา ๘ ถงึ จะเป็นกฐนิ ขึ้นมาได้

อปุ โลกน์ เขาจะอปุ โลกนผ์ า้ ปา่ อปุ โลกนก์ ฐนิ เขากต็ อ้ งมี
สง่ิ ที่จะมาอปุ โลกน์เป็นพิธีกรรมๆ นี่ไง ถ้าค�ำว่า “อุปโลกน์ๆ”

อปุ โลกน์ธรรม • 61

นกี่ เ็ หมอื นกนั ถา้ เราศกึ ษาธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สัมพุทธเจ้า มีส่ิงใดเป็นชิ้นเป็นอันเป็นสมบัติของเราบ้าง เวลา
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ นึ้ มาจะเอาอะไรเปน็ ชน้ิ เปน็ อนั ขนึ้ มา ถา้ ไมม่ สี ง่ิ ใด
เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมามนั ก็จะอุปโลกน์ธรรมไง

อปุ โลกนธ์ รรมๆ มนั มสี ง่ิ ใดเอามาอปุ โลกนล์ ะ่ มนั ไมม่ สี งิ่ ใด
เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมามันจะอุปโลกน์สิ่งใดข้ึนมาให้มันเป็นธรรมล่ะ
อปุ โลกนเ์ ปน็ ธรรมมนั กค็ ดิ เอาเอง จนิ ตนาการเอาเอง คดิ ของมนั ไป
มนั จะอปุ โลกนธ์ รรมๆ ไอน้ เี่ ปน็ ศลี ไอน้ เ่ี ปน็ สมาธิ ไอน้ เ่ี ปน็ ปญั ญา

ไอ้น่ันเราศึกษามาจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า เวลาเราศึกษาขึ้นมาแล้วเราจะประพฤตปิ ฏิบัติขน้ึ มา
ถ้าเป็นความจริงของเรา มันสดๆ ร้อนๆ นะ มันมีรสมีชาติ
รสของธรรมชนะซงึ่ รสท้งั ปวง

แตน่ มี่ นั ไมม่ สี งิ่ ใดเปน็ ชน้ิ เปน็ อนั ขนึ้ มาเลย อปุ โลกนธ์ รรม
อปุ โลกนธ์ รรมมนั กจ็ นิ ตนาการของมนั ไปไง มนั จนิ ตนาการของมนั ไป
มันไม่มีรสไม่มีชาติ ค�ำว่า “ไม่มีรสไม่มีชาติ” รสของกิเลสไง
กิเลสมันหลอกมันหลอนไง พอกิเลสมันหลอกมันหลอนข้ึนมา
ทำ� สง่ิ ใดข้นึ ไปแล้วก็ตามแต่การสรา้ งภาพ

การสรา้ งภาพทางโลกเขา ถา้ คนดเี ขาเสมอตน้ เสมอปลาย
ของเขา เขาท�ำส่ิงใดท�ำจริงจังของเขา เขาไม่ใช่คนสร้างภาพ
คนสรา้ งภาพ เวลาตอ่ หนา้ มนั กส็ รา้ งภาพวา่ ดงี ามทงั้ นน้ั นะ่ ลบั หลงั คน
มนั ไปอกี อยา่ งหนง่ึ เลย นั่นการสร้างภาพ

62 • เทศน์บนศาลา

แลว้ นก่ี ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรมขนึ้ มา เราคดิ จนิ ตนาการ
ของเราไป มันจะอุปโลกน์ธรรมไง มันไม่มีอะไรเป็นช้ินเป็นอัน
อปุ โลกนข์ นึ้ มาให้มนั เป็นไป

แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาท่านจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ ท่านเล็งญาณนะ พุทธกิจ ๕
เชา้ เลง็ ญาณ ใครจะมอี ำ� นาจวาสนามากนอ้ ยแคไ่ หน แลว้ ชวี ติ เขาสนั้
เขาจะมีโอกาส ไปเอาคนน้ันก่อน ไปเอาคนน้ันก่อนเพราะอะไร
เพราะงานขององค์สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้ามหาศาล ทง้ั ๆ ท่ี
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมข้ึนมาแล้ว
“จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครไดห้ นอ”

“จะสอนใครได้หนอ” คนท่ีมีอำ� นาจวาสนาทจี่ ะคุยเรื่อง
ธรรมะที่เขาจะเข้าใจสัจธรรมอันนี้มันจะมีมากน้อยแค่ไหน
มันหาไดย้ าก หาได้ยากไง จนทอดธรุ ะไง

ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสม
บญุ ญาธกิ ารมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การสรา้ งมา
คอื ความพรอ้ มทจ่ี ะมารอ้ื สตั วข์ นสตั ว์ ถา้ จะมารอ้ื สตั วข์ นสตั ว์ ผทู้ ม่ี า
รอ้ื สตั วข์ นสตั วเ์ วยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะ ผทู้ ไ่ี ดส้ รา้ งสมบญุ ญาธกิ ารมา
ด้วยกันๆ เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะปรารถนาเป็น
อัครสาวก เวลาจะมาบวช “นั่นไง อัครสาวกเบ้ืองซ้ายและ
เบอ้ื งขวาเรามาแล้ว”

อปุ โลกน์ธรรม • 63

ทา่ นสรา้ งมาดว้ ยกนั อนาคตงั สญาณรทู้ ง้ั นน้ั นะ่ แตเ่ วลา
ความลกึ ซง้ึ ของธรรมะทมี่ นั มคี ณุ คา่ สงู สง่ ขน้ึ มา “จะสอนใครไดห้ นอ
จะสอนใครได้หนอ”

แตเ่ วลาตง้ั ใจโปรดจะสง่ั สอน พทุ ธกจิ ๕ กจิ ขององคส์ มเดจ็
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนท่ีมีอ�ำนาจวาสนาไม่ใช่ทุกคนมันจะ
ได้ไปหมดหรอก

มใี นพระไตรปฎิ กนะ ในเชตวนั ตา่ งๆ วดั ตา่ งๆ ขา้ งวดั นะ่
พระโมคคลั ลานะ จนไปอทุ ธรณก์ บั องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
บอกองคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจ้าเวลาเลง็ ญาณไปสอนคนนู้น
สอนคนนี้ แล้วคนหน้าวัดท�ำไมไม่สอนบ้างล่ะ แถววัด ข้างวัด
เตม็ ไปหมดเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เขาไม่เอา
จะสอนอยา่ งไร เหมอื นภาชนะมนั ควำ่� ไว้ พดู เทา่ ไรมนั กไ็ มเ่ ชอื่ หรอก

พระโมคคัลลานะไม่เช่ือนะ พระโมคคัลลานะทดสอบ
องค์สมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจา้ บอกลองไปสอนสิ

เวลาพระโมคคลั ลานะจะทดสอบวา่ องคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สมั พทุ ธเจา้ พดู จรงิ หรอื ไม่ เวลาไปหาเขา เขาไมส่ นใจ เขาไมส่ นใจ
พดู อยา่ งไรเขากไ็ มส่ นใจ นพ่ี ดู ถงึ คนทไี่ มส่ นใจ คนทไี่ มม่ อี ำ� นาจวาสนา
อยขู่ ้างวดั นน่ั แหละ แต่เขาไม่สนใจ เขาไม่รับรู้

64 • เทศน์บนศาลา

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าร้ือสัตว์ขนสัตว์
เลง็ ญาณนะ่ ไปนะ ดสู ิ ดอู ยา่ งองคลุ มิ าล องคลุ มิ าลเปน็ สญั ลกั ษณท์ ี่
ชัดเจนมาก มันเป็นการเฉียดฉิวที่ว่า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าไม่ได้ไปเทศน์โปรดวันน้ันก็จะฆ่าแม่ของตน ถ้าฆ่าแม่
ของตน อนนั ตรยิ กรรม มนั กจ็ ะไมม่ โี อกาสจะไดบ้ รรลธุ รรมอกี เลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเอาๆ แลว้ เอาได้ดว้ ย

เวลาคนท่ีมีอ�ำนาจวาสนาเขาได้สร้างบุญกุศลของเขามา
เวลาพดู สง่ิ ใดไปแลว้ มนั สะเทอื นใจไปทง้ั นน้ั นะ่ ดสู ิ ขนาดวา่ การฆา่
ดว้ ยจติ ใจทอี่ ำ� มหติ อำ� มหติ คอื มนั กท็ ำ� แลว้ ทำ� เลา่ ๆ เวลาองคส์ มเดจ็
พระสมั มาสมั พุทธเจ้าแสดงธรรม

“สมณะหยุดกอ่ น สมณะหยดุ ก่อน”
“เราหยดุ แลว้ เธอตา่ งหากไม่หยุด”
“หยุดอะไร”
“หยดุ การจะฆ่าไง หยุดการทำ� ลายล้าง ท�ำลายล้างชวี ติ
คนอืน่ ”
แล้วสิ่งท่ีประเสริฐ ประเสริฐตรงไหน ประเสริฐ
ประเสรฐิ ทว่ี า่ ใหห้ ยดุ การทำ� ลายลา้ งอนั นนั้ นะ่ หยดุ การทจ่ี ะแสวงหา
จากภายนอก นีว่ างดาบ ขอบวชๆ

อปุ โลกน์ธรรม • 65

เวลาเล็งญาณ เล็งญาณไปผู้ที่มีอ�ำนาจวาสนา ถ้าเขามี
อ�ำนาจวาสนา พูดส่ิงใดท�ำสง่ิ ใดเขาเช่ือฟงั เขาเชื่อ เขาเปิดหวั ใจ
ของเขาไง

แตค่ นทมี่ นั มดื บอด อยขู่ า้ งวดั นน่ั แหละ ไมม่ ที าง เปน็ ไปไมไ่ ด้
ถา้ มนั เปน็ ไปได้ ดสู ิ เวลาองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แสดงธรรม
ผทู้ ่อี ยใู่ นชนบทประเทศ ปฏบิ ตั ิเหมอื นเรา ทำ� เหมอื นเรา นัน่ น่ะ
อยู่ใกลเ้ รา อยู่ใกลเ้ ราคอื อยใู่ กล้ธรรมวนิ ยั ไง อย่ใู กล้ศาสดาไง

ผู้ท่ีอยู่ข้างเรา จับชายจีวรเราไว้ ดูเทวทัตสิ เทวทัต
เปน็ ทง้ั ญาตดิ ว้ ย บวชมาแลว้ มาอยขู่ า้ งกาย เวลาทำ� สงิ่ ใดเชอื่ ฟงั ไหม
ไมใ่ ชไ่ มเ่ ช่อื ฟังธรรมดานะ จะขอปกครองสงฆอ์ กี ต่างหาก

“เทวทัต แม้แต่สารีบุตร โมคคัลลานะ เรายังไม่ให้
ปกครองสงฆ์ แล้วเราจะใหเ้ ธอไดอ้ ย่างไร”

แต่กค็ ดิ ไปเองไง
อย่ใู กล้เรา จบั ชายจวี รเราไว้ แตไ่ ม่ท�ำตามเรา ถา้ ท�ำ
ตามเราๆ ถ้ามันเชื่อธรรมวินัย มันเชื่อศาสดา มันท�ำตามน้ัน
เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแสดงธรรมๆ
มนั มคี ณุ คา่ ทง้ั นน้ั นะ่ ถา้ เราไดค้ ดิ ไดพ้ จิ ารณา โอโ้ ฮ! มนั ซาบซงึ้ ๆ
ความซาบซึ้งนั่นน่ะคุณธรรม คุณธรรม หัวใจควรแก่การงาน
ถา้ หวั ใจควรแกก่ ารงาน สง่ิ ใดทม่ี นั มคี ณุ ธรรมแลว้ นนั่ นะ่ อาวธุ

66 • เทศนบ์ นศาลา

เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราน้อยเน้ือต�่ำใจกันอยู่น่ีไง
วา่ ไม่มีคนสอนๆ มนั จะไปสอนใครล่ะ หัวใจมนั ดื้อด้านจะไปสอน
อะไรละ่

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม
พระไตรปิฎก นั่นน่ะสอนแล้ว แต่หัวใจมันเปิดหรือไม่ ถ้าหัวใจ
มันเปิด มันเห็นคุณค่า

แตถ่ า้ หวั ใจมนั ปดิ กน้ั นะ มนั บอก “ของเลก็ นอ้ ย ไมม่ คี า่
ถา้ มคี า่ กต็ อ้ งศลี สมาธิ ปญั ญา ถา้ มคี า่ ขนึ้ มากฉ็ นั จะประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
แลว้ ส่ิงน้ันไม่มคี ่า”

น่ันหรือไมม่ คี า่ น่นั ล่ะมคี า่ ทงั้ นัน้ น่ะ แล้วปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิ
จากอะไร ปฏบิ ตั จิ ากหวั ใจของเอง็ นน่ั แหละ ถา้ หวั ใจของเอง็ มนั มคี า่
มันฟังธรรมๆ มันก็มีคุณค่า ถ้ามีคุณค่าขึ้นมา ถ้ามีสติมีปัญญา
มันก็มีคณุ คา่ ที่นัน่ ถ้ามันมคี ณุ ค่าทีน่ นั่ น่ไี ง รสของธรรม รสของ
ความรสู้ กึ ไง รสของหวั ใจไง หวั ใจทมี่ นั ทกุ ขม์ นั ยาก ทม่ี นั เดอื ดรอ้ น
ดูสิ คนทุกข์คนยาก เจียนตาย ทุกข์เจยี นตายๆ

เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สรรพส่ิงในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง ส่ิงนั้นเป็นทุกข์
ส่ิงใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา อารมณ์ความรู้สึกท่ีทุกข์ยาก
มันก็เป็นอนิจจัง ถ้ามีสติมีปัญญา มีสติมีปัญญาเท่าทันมันแล้ว
มันก็จะเปล่ียนแปลงไป ความเปล่ียนแปลงไป ความเปล่ยี นแปลง
ท้ังหลายเปน็ ทุกข์ สง่ิ ใดเปน็ ทุกข์ สิง่ นน้ั เป็นอนัตตา

อปุ โลกนธ์ รรม • 67

เวลามันศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะข้ึนมา ถ้ามันศึกษา
แล้วมันมีความเข้าใจ มันก็ปล่อยวางทุกข์เจียนตายๆ อันนั้นมา
ถ้าทุกขเ์ จยี นตายๆ นน้ั มันก็เปน็ เร่ืองโลกๆ ไง

เราเกิดมา เกิดมานี่ผลของวัฏฏะ เกิดมาเป็นสมมตุ โิ ลก
จรงิ ตามสมมตุ ิ ชวี ติ นม้ี จี รงิ ๆ แตจ่ รงิ ตามสมมตุ ไิ ง เราเกดิ มาเปน็ มนษุ ย์
เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาก็เอาไว้บนหิ้ง
พระพทุ ธศาสนากเ็ อาไวใ้ หผ้ ปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ไอเ้ ราจะลยุ แตค่ วามทกุ ข์
ความยากในหัวใจของเรา ลยุ ตามกเิ ลสตณั หาความทะยานอยาก
ไอต้ ณั หาความทะยานอยากในหวั ใจมนั ปลกุ เรา้ ในใจของเรา เราก็
เชื่อมัน เรากจ็ ะไปตามน้นั ไง

แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญาข้ึนมา มันวาง สิ่งใดในโลกน้ี
มันมีการเกิดข้ึนเป็นธรรมดา ต้องดับเป็นธรรมดา ความรู้สึก
ธรรมชาติของมันเป็นอย่างน้ัน แต่ไม่มีใครรู้เห็น ส่ิงที่ว่ารู้เห็นๆ
นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามาท่องกัน
ปากเปยี กปากแฉะไง เหน็ ไหม มนั จะอปุ โลกนเ์ อา ธรรมะ มนั จะ
อุปโลกน์เอาไง

กฐินผ้าป่าเขาจะอุปโลกน์ เขาจะทอดผ้าป่า ทอดกฐิน
ของเขา เขายงั ตอ้ งมผี า้ เขายงั ตอ้ งมปี จั จยั ของเขาเพอื่ จะทอดกฐนิ
ของเขา ถ้าทอดกฐินของเขาแล้ว พระก็ต้องอุปโลกน์ อุปโลกน์
ให้มันถูกต้องตามธรรมวินัย ถ้าถูกต้องตามธรรมวินัย อุปโลกน์
กฐนิ ผ้าปา่ อุปโลกนไ์ ด้ มนั เป็นประเพณีวฒั นธรรม มันเปน็ เรอ่ื ง
ระดับของทาน มนั เป็นเร่ืองของวตั ถุไง

68 • เทศน์บนศาลา

แตถ่ า้ การประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ปุ โลกนเ์ อา มนั กค็ ดิ เอา มนั ก็
จนิ ตนาการเอา ศกึ ษาธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มา
มนั ยิ่งสร้างภาพใหเ้ ปน็ อย่างนัน้ ๆ แลว้ เปน็ จรงิ หรือไม่

ถา้ มนั เปน็ จรงิ มนั จะมขี อ้ เทจ็ จรงิ ในหวั ใจนนั้ ถา้ มขี อ้ เทจ็ จรงิ
ในหัวใจน้ัน การประพฤตปิ ฏบิ ัติ การแสดงออก เห็นไหม เวลา
ในวงกรรมฐาน เวลาครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นธรรมๆ ท่านมี
ลกู ศษิ ยล์ กู หานะ ลกู ศษิ ยล์ กู หาจะเคารพบชู ามาก การเคารพบชู านนั้
เคารพบชู ามาจากไหน เคารพบชู ามาจากหวั ใจไง เคารพบชู ามาจาก
ความรสู้ กึ อนั นนั้ ไง ถา้ ความรสู้ กึ อนั นน้ั มนั เปน็ ความจรงิ จากในหวั ใจนน้ั
แต่หวั ใจของเรามันก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่ม่ัน หลวงปู่มั่น
เปน็ พระอะไร ทกุ คนกว็ า่ เปน็ พระอรหนั ตๆ์ เวลาทา่ นอปุ ฏั ฐากอยนู่ ะ่
เวลาหลวงปมู่ นั่ ทา่ นเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย เวลาทา่ นถอนหายใจ หลวงตา
ทา่ นเล่าเอง เวลาหลวงปู่มัน่ ท่านถอนหายใจนะ “เฮ้อ!”

นมี่ นั ยงั คดิ นะ พระอรหนั ตม์ วี นั เผลอหรอื เปลา่ พระอรหนั ต์
มีวนั เผลอหรือเปลา่

ไอเ้ ผลอไมเ่ ผลอมนั หยาบเกนิ ไป มนั อยขู่ า้ งนอก ธรรมธาตๆุ
มนั เหนอื โลกไปแลว้ มนั จะมสี ง่ิ ใด ภารา หเว ปญจฺ กขฺ นธฺ า ธาตุ ๔
และขันธ์ ๕ เป็นภาระ เป็นภาระท่ีจะต้องเข็นกันไปจนถึง
กาลอวสานของชวี ติ

อุปโลกนธ์ รรม • 69

แตธ่ รรมธาตุ ธรรมธาตนุ น้ั มนั พน้ จากกเิ ลสไปแลว้ แตถ่ า้
คนมนั ยงั ไมถ่ งึ ทสี่ ดุ แหง่ ทกุ ข์ มนั รไู้ มไ่ ดห้ รอก นไ่ี ง ธรรมเหนอื โลกๆ
มนั เหนอื โลกธาตุ เหนอื วฏั ฏะ ถา้ เหนอื วฏั ฏะมนั เหนอื อยา่ งไรละ่
กม็ นั เหนอื กเิ ลสในใจดวงนนั้ ไง เหนอื พญามารทม่ี นั ครอบงำ� ใจดวงนนั้

แต่ใจของเรามันอยู่ใต้พญามาร พญามาร ครอบครัว
ของมารมันบีบบี้สีไฟไง แต่เราก็สร้างภาพ จะอุปโลกน์ธรรมๆ
กิเลสรา้ ยนัก

ที่เราประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้ เราต้องการเข้าไปหา
หวั ใจของเรา ถา้ เราเขา้ ไปหาหวั ใจของเราแลว้ ถา้ ไดใ้ จของเราแลว้
มคี วามสขุ มคี วามสงบ มคี วามระงบั แลว้ เราจะยกขนึ้ สวู่ ปิ สั สนา

การยกข้ึนสู่วิปัสสนาคือการแยกแยะ การท�ำลายกิเลส
ตณั หาความทะยานอยากในใจของตน ถ้าการท�ำลายกิเลสตัณหา
ความทะยานอยากในใจของตน มนั จะยกใจของตนขน้ึ สู่ เหน็ ไหม
วฒุ ภิ าวะของจติ ๆ ไง

ถ้าเป็นโสดาบันฆ่ากิเลสไป ๒๕ เปอร์เซ็นต์ กิเลสอีก
๗๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นสกิทาคามีฆ่ากิเลสไป ๕๐ เปอร์เซ็นต์
กเิ ลสอกี ๕๐ เปอรเ์ ซน็ ต์ ถา้ เปน็ พระอนาคามฆี า่ กเิ ลสไป ๗๕ เปอรเ์ ซน็ ต์
ยังเหลอื อกี ๒๕ เปอรเ์ ซ็นต์ เวลาเปน็ พระอรหันต์ กิเลสหมดสิน้
ไปจากใจ นมี่ นั เปน็ ชน้ั ๆ ขน้ึ ไป ถา้ มนั เปน็ ชน้ั ๆ ขน้ึ ไป มนั มมี รรค
มีผล มีการกระท�ำ

70 • เทศนบ์ นศาลา

คนทมี่ มี รรคมผี ลนะ คนทเ่ี ปน็ เศรษฐเี ขาทำ� หนา้ ทกี่ ารงาน
ของเขามา เขามเี งนิ มที อง เขาไมส่ งสยั ในความเปน็ เศรษฐขี องเขาเลย

แต่ไอ้ของเราอ่านจากประวัติศาสตร์ของเศรษฐีแล้วว่า
ฉนั กท็ ำ� ได้ ฉนั กม็ ี ฉนั กเ็ ปน็ ไปหมด...จนิ ตนาการทงั้ นน้ั นะ่ แลว้ ชวี ติ
มนั มีแต่ทกุ ขย์ าก มันไมม่ ีอะไรเปน็ จริงในใจของเขาเลย

ถ้าจะเป็นจริงในใจของเขา ถ้าเขาจะท�ำ เขาจะไม่
อปุ โลกนธ์ รรม เขาจะทำ� เขาจะประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามความเปน็ จรงิ
ในใจของเขา ถ้าเขาจะประพฤตปิ ฏิบตั ติ ามความเปน็ จรงิ ในใจ
ของเขา หลวงปเู่ สาร์ หลวงปมู่ น่ั ทา่ นสอนใหท้ ำ� ความสงบของใจ
เข้ามาก่อน ท�ำความสงบของใจเข้ามาก่อน สมถกรรมฐาน
ฐานทตี่ ั้งแห่งการงาน

ถา้ ยงั หาสถานทท่ี ำ� งานของตนไมเ่ จอ มนั จะไมม่ งี านสงิ่ ใด
เปน็ ชนิ้ เปน็ อนั ขนึ้ มาจากใจดวงนนั้ เลย สง่ิ ทที่ ำ� ๆ กนั อยนู่ ่ี เหน็ ไหม
ในพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนา
ร้ือสัตว์ขนสัตว์ แต่ในพระพุทธศาสนามีบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อบุ าสิกา

อบุ าสก อบุ าสกิ า ผทู้ เ่ี กดิ ใหม่ ผทู้ เี่ รมิ่ มาใหเ้ ปน็ พทุ ธมามกะ
ใหถ้ งึ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ มนั จะมผี มู้ าใหมอ่ ยตู่ ลอดเวลา
ถา้ มผี มู้ าใหมอ่ ยตู่ ลอดเวลา การฝกึ ฝนมนั กต็ อ้ งฝกึ ฝนจากอำ� นาจวาสนา

อุปโลกน์ธรรม • 71

ถ้ามันมีจริงหรือไม่ ถ้าไม่มีความจริงในหัวใจของตน
เขากพ็ ยายามอบรมสง่ั สอนๆ เพราะองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
บอกวา่ “ปฏิบัติบูชาเราเถดิ ปฏิบตั บิ ูชาเราเถดิ ”

เวลาในพระพทุ ธศาสนากต็ อ้ งมแี กน่ ของพระพทุ ธศาสนา
ถา้ แกน่ ของพระพทุ ธศาสนากก็ ารปฏบิ ตั บิ ชู าองคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สัมพทุ ธเจ้า น่กี ารปฏิบตั ิบชู า

ชาวพทุ ธๆ เขากแ็ สวงหาบญุ กศุ ลของเขาดว้ ยทานของเขา
ด้วยการแสวงหาคุณงามความดีของเขา ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติ
ขึ้นมาปฏิบัติท่ีไหน ปฏิบัติข้ึนมาก็ต้องปฏิบัติในหัวใจของตน
น่ังสมาธิภาวนาก็เพ่ือค้นคว้าหาใจของตน ถ้าค้นหาใจของตน
หลวงปเู่ สาร์ หลวงปมู่ น่ั ครบู าอาจารยท์ า่ นถงึ บอกวา่ ทำ� ความสงบ
ของใจเข้ามากอ่ น

ทำ� ความสงบของใจเขา้ มา เพราะสมถกรรมฐาน ฐานทตี่ ง้ั
แหง่ การงาน เราจะมสี ถานทท่ี ำ� งานของเรา เราจะมสี ถานทคี่ น้ ควา้
ธรรมะขององคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าโดยหวั ใจของเรานะ

เวลามนั คน้ ปฏบิ ตั ธิ รรมะบชู าขององคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สมั พทุ ธเจา้ คน้ ควา้ ในใจของตนเพอ่ื ใหม้ คี ณุ ธรรมในใจของตน
โอ๋ย! มันมหัศจรรย์ๆ มันเป็นความมหัศจรรย์ของมนุษย์
มนษุ ย์ท่มี ีหัวใจ หัวใจนสี้ �ำคัญมาก

ในทางธรรมะกบั ทางวทิ ยาศาสตรม์ นั จะมกี ารลอ้ กนั ไปตลอด
ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ก็ต้องพิสูจน์ตรวจสอบๆ

72 • เทศน์บนศาลา

ไอ้เราเป็นนักปฏิบัติใช่ไหม เราเป็นปัญญาชน เราก็ต้องพิสูจน์
ตรวจสอบๆ แต่มันเป็นพุทธศาสน์ เวลามันเป็นจริงขึ้นมา
มันละเอียดลึกซึง้ กวา่ วิทยาศาสตร์

วทิ ยาศาสตรม์ นั เปน็ โลก วทิ ยาศาสตรม์ นั เปน็ การยนื ยนั
ในโลกน้ี แลว้ ศกึ ษาแลว้ กจ็ ะยนื ยนั กนั ทางวทิ ยาศาสตรๆ์ แตเ่ วลา
เป็นพุทธศาสน์ เวลาท�ำสมาธิเข้ามา มีพระฝร่ังมาบวชมากมาย
มหาศาล เวลาเขาท�ำสมาธิแลว้ เขาก็ไม่เช่อื ของเขา

มนั จะเขยี นอยา่ งไร มนั จะทำ� อยา่ งไร สมาธกิ เ็ ขยี นวา่ สมาธิ
แต่สมาธินะ เวลามนั สงบระงบั เข้ามา ถ้าปญั ญาอบรมสมาธมิ นั ก็
สงบเข้ามา สงบเขา้ มาโดยจิตสงบเข้ามา มสี ตสิ มั ปชญั ญะพร้อม

ถ้ามันเป็นพุทโธๆ เป็นอานาปานสติ เวลาจิตมันสงบ
มนั รวมลง มนั แตกตา่ ง มนั แตกตา่ งเพราะมนั มสี ติ มนั มผี ลของผรู้ ู้
ผ้รู มู้ นั ละเอียดเขา้ มาเป็นชัน้ ๆ เขา้ มา เป็นชนั้ ๆ เขา้ มา เหน็ ไหม
แล้วมันละเอียดแล้วมันรู้เห็นสิ่งใดนะ อันนั้นมันก็เป็นจริตนิสัย
ค�ำว่า “จริตนิสัย” คือว่ามนั ไม่เหมือนกัน

จติ จะใหเ้ หมอื นกนั ทกุ ๆ ดวง เปน็ ไปไมไ่ ด้ อำ� นาจวาสนา
ของคนไมเ่ หมอื นกนั สงิ่ ทไี่ มเ่ หมอื นกนั แตถ่ า้ เปน็ ครบู าอาจารย์
ทท่ี า่ นประพฤตปิ ฏบิ ตั แิ ลว้ ทา่ นจะรถู้ งึ วา่ สมาธกิ ค็ อื สมาธิ แตส่ มาธิ
ทม่ี นั ออกรอู้ อกเหน็ ตา่ งๆ นนั้ สมาธนิ นั้ มนั เปน็ การสง่ ออก ถา้ มนั
ส่งออกเพราะอะไร ส่งออกเพราะถ้าจิตมันไม่สงบมันก็เห็น
ส่งิ นน้ั ไมไ่ ด้ เพราะอะไร เพราะมันร้ดู ้วยใจไง

อุปโลกน์ธรรม • 73

ตา หู จมกู ลนิ้ กาย โดยธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ เหน็ ไหม
ตา ใหญ่ในเรื่องของการเห็น หู ใหญ่ในเร่ืองการได้ยิน ผิวหนัง
ใหญใ่ นการสมั ผสั นไี่ ง ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ มนั มคี วามยงิ่ ใหญ่
ในแต่ละหน้าที่ๆ

แต่เวลาเราน่ังสมาธิภาวนา เราหลับตา หลับตาลง
แล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เอาความรู้สึกของใจ
เทา่ นน้ั ถา้ เอาความรสู้ กึ ของใจเทา่ นนั้ มนั กำ� หนดอานาปานสติ
ก�ำหนดลมหายใจเข้าออก หรือมีค�ำบริกรรมพุทโธๆ ใจมันจะ
เปน็ ใหญ่ในตวั ของมนั

แตม่ นั ยงั ใหญ่ในตัวของมันไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันมี
กเิ ลสครอบงำ� มนั อยู่ กเิ ลสมนั ครอบงำ� มนั คอื อะไร รปู รส กลนิ่ เสยี ง

รูป รส กล่ิน เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้
แหง่ มาร มารมันอยู่ทไ่ี หน มารมันก็อาศัยหัวใจน้ี อาศัยภวาสวะ
อาศัยใจเป็นที่อยู่อาศัย เวลาท่ีอยู่อาศัย เห็นไหม ใจเป็นใหญ่ๆ
ถ้ามันเป็นเบี้ยล่างของมารมันก็อาศัยรูป รส กล่ิน เสียงออกไป
หาเหยือ่

เรามคี ำ� บรกิ รรมพทุ โธๆ ใหจ้ ติ มนั เปน็ อสิ ระเขา้ มา ถา้ จติ
มันเป็นอิสระเข้ามา นี่สัมมาสมาธิๆ ถ้าสัมมาสมาธิ เราไม่ได้
อปุ โลกนเ์ อา

74 • เทศนบ์ นศาลา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ
ธรรมและวินัย ธรรมและวินัยเป็นศาสดา ชี้ ชี้ทางให้เราๆ
ไอ้เราจะประพฤตปิ ฏบิ ัติขึน้ มา จะเอาความจรงิ ขนึ้ มา

เวลาคน คนทมี่ กี ารศกึ ษานะ เขาจะออกสำ� รวจ เวลาเขา
เขา้ ปา่ เข้าเขาไป เขาหลงปา่ เวลาคนหลงป่าๆ มนั หลงป่ามนั จะ
ด�ำรงชีพอย่างไร คนหลงป่าถ้าไม่มีทางออกนะ มันก็ตายอยู่ใน
ป่านัน้ นะ

แตถ่ า้ คนทเ่ี ขามปี ญั ญาของเขา ถา้ เขาหลงปา่ ๆ ถา้ เจอลำ� ธาร
ใหเ้ ดนิ ตามลำ� ธารนนั้ ไป นไี่ ง เพราะนำ�้ จะไหลออกจากปา่ ได้ ถา้ มนั
เดินไป เดินตามทางสายน้ันไป ถ้ามันไปแล้วถ้ามันไปตกเหวล่ะ
นเี่ วลาคนหลงปา่ ๆ มันจะหาทางออกอย่างไร

แตข่ องเรา เวลาเราหลงอยใู่ นกเิ ลสตณั หาความทะยานอยาก
ของเรา ผทู้ ปี่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยใู่ นอำ� นาจของมารๆ รปู รส กลน่ิ เสยี ง
เปน็ บว่ งของมาร เปน็ พวงดอกไมแ้ หง่ มาร แลว้ เราจะประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ก็ปฏิบัติไปโดยมาร แล้วว่าธรรมะๆ ก็มีการศึกษามีความรู้ ก็จะ
อปุ โลกน์เอาไง

ถ้าอุปโลกน์ธรรมมันก็เป็นการสร้างภาพ การสร้างภาพ
การจนิ ตนาการ การตอ้ งการใหไ้ ดด้ งั่ ใจของตน...ไมไ่ ดห้ รอก ไมไ่ ด้
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ปกป็ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ปดว้ ยวาสนาของตน วาสนาแคน่ นั้
ไดป้ ฏบิ ัติ

อุปโลกน์ธรรม • 75

พอไดป้ ฏบิ ตั แิ ลว้ รสของธรรมชนะซงึ่ รสทงั้ ปวง รสของธรรม
มนั ไมไ่ ดร้ สของธรรม ถา้ มนั ไมไ่ ดร้ สของธรรม มนั กอ็ ยทู่ สี่ ตปิ ญั ญา
ของตน สติปัญญาของตน เห็นไหม สีข้างก็ถูไปเร่ือยล่ะ กิเลส
มันท�ำอย่างนั้นน่ะ กิเลสมันเคยครอบง�ำหัวใจของใครแล้ว
มนั ไม่ปลอ่ ยไปงา่ ยๆ หรอก

แตถ่ า้ คนทม่ี วี าสนา มนั จะมอี ำ� นาจวาสนามากนอ้ ยแคไ่ หน
เราจะปฏบิ ตั บิ ชู าองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ๆ ถา้ ปฏบิ ตั บิ ชู า
องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไง ถา้ มนั สงบระงบั เขา้ มา นผี่ ลของ
ความสงบ สขุ อื่นใดเท่ากบั จติ สงบไมม่ ี

สุขอ่ืนใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบคือจิตสงบนะ
ถา้ จติ สงบ ถา้ ครบู าอาจารยท์ ไี่ มม่ อี ำ� นาจวาสนา จติ สงบกค็ อื สงบไง
พอจติ สงบแลว้ มนั กส็ น้ิ สดุ การปฏบิ ตั ไิ ง พอจติ สงบแลว้ นนั่ กม็ รรค
กผ็ ลไง...มรรคผลมนั เปน็ อยา่ งนน้ั หรอื เปน็ ไปไมไ่ ด้ มนั เปน็ ไปไมไ่ ดห้ รอก

มรรคผลมันต้องรู้ตัวมันเองโดยสัจจะโดยความจริง
ถ้าจิตสงบก็คือสงบ ถ้าจิตสงบนะ คนท่ีอ่อนแอ พอจิตสงบ
“อ๋อ! นิพพานเป็นเช่นนี้เอง สงบเย็น ใสสะอาด สว่าง สงบ
นิพพานเป็นเช่นนั้นเอง”...ไร้สาระ น่ีไง มันอุปโลกน์เอาไง
มันไมม่ ที ่มี าท่ไี ป มันไมม่ ีเหตมุ ผี ล

ดสู ิ เวลาคนทกุ ขค์ นยากกท็ กุ ขเ์ จยี นตายๆ คนทกุ ขเ์ จยี นตาย
เพราะมนั มดื บอด คนทมี่ สี ตปิ ญั ญาเขาศกึ ษาธรรมะขององคส์ มเดจ็
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้

76 • เทศน์บนศาลา

ใคร่ครวญข้ึนมาแล้ว ชีวิตของคน เห็นไหม มันผลของวัฏฏะ
เกิดตามเวรตามกรรม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อเรื่องกรรม
กรรมคอื การกระทำ� ถา้ เราไมเ่ คยทำ� สงิ่ ใดเลย เราจะไมไ่ ดพ้ บสงิ่ นน้ั
ถา้ ทำ� สง่ิ ใดมามากนอ้ ยแคไ่ หน คนเราทำ� ทงั้ ดแี ละชว่ั มา ถา้ เราเกดิ มา
เรามคี วามทกุ ขค์ วามยากของเรา ความทกุ ขค์ วามยากมนั กเ็ ปน็ เพราะ
จติ ใจมนั ออ่ นแอ ถา้ จติ ใจมนั เขม้ แขง็ ขนึ้ มามนั จะมสี งิ่ ใดทกุ ขย์ ากนกั

เศรษฐมี หาเศรษฐเี ขาทำ� งาน ๑๘ ชว่ั โมง ทำ� งาน ๒๔ ชว่ั โมง
เขาทำ� งานทง้ั วนั ทง้ั คนื ทำ� ไมเขาไมท่ กุ ขไ์ มย่ ากละ่ สง่ิ ทเ่ี ราเหน็ วา่
เขาประสบความสำ� เรจ็ มา เขามที มี่ าทไ่ี ปอยา่ งไร เพราะเขามสี ตปิ ญั ญา
ของเขา เขาหวงั ผลของเขา เขาทำ� ดว้ ยความจรงิ จงั ของเขา ไอเ้ ราทำ� ไป
มแี ต่ความทอ้ แท้ มแี ต่ความทกุ ขค์ วามยากขน้ึ มา

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถา้ มนั มสี ตปิ ญั ญาขนึ้ มามนั เทา่ ทนั ของมนั เหน็ ไหม ทกุ ขเ์ จยี นตาย
ทกุ ขเ์ จยี นตายมนั ยงั วางไดเ้ ลย ถา้ มนั วางได้ มนั วางไดด้ ว้ ยสตปิ ญั ญา
ภายนอก มนั วางไดด้ ว้ ยอารมณค์ วามรสู้ กึ มนั วางไดเ้ พราะการยดึ มนั่
ถอื มนั่ โดยอารมณ์ความรูส้ ึก ทฏิ ฐมิ านะไง

แตถ่ า้ จะประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามธรรม ถา้ จติ มนั สงบ สงบเขา้ มา
สงบอยา่ งไร ถา้ มนั คน้ หาจติ จติ ทม่ี นั สงบขนึ้ มาแลว้ ทว่ี า่ จติ สงบ
มนั สวา่ ง มันสะอาด มนั สงบ สวา่ ง

อปุ โลกนธ์ รรม • 77

สวา่ งกพ็ ระอาทติ ยไ์ ง ถา้ มนั สงบ สงบกค็ วามสงบนงิ่ เงยี บไง
แลว้ มนั มอี ะไรตอ่ ไปละ่ แลว้ นพิ พานเปน็ อยา่ งนนั้ หรอื นไ่ี ง ถา้ มนั
อุปโลกนเ์ อามนั ไม่มเี หตุมีผล

แตถ่ ้าเป็นจริงๆ ขนึ้ มา เรามีสติปญั ญามากน้อยแคไ่ หน
ถ้ามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหนนะ ท�ำความสงบของใจเข้ามา
ถา้ ใจสงบระงบั แลว้ สงบคอื ความสขุ ความสขุ แลว้ ฝกึ หดั ใชป้ ญั ญาๆ

ฝึกหัดใช้ปัญญา เห็นไหม น้อมไป ถ้าใครที่ไม่มีวาสนา
น้อมไปให้เห็นกาย น้อมไปเร่ือย พอจิตมันสงบระงับแล้ว
มคี วามสขุ แลว้ คนเราเกดิ มาทำ� ไม คนเรามสี ง่ิ ใดเปน็ เนอ้ื หาสาระ
คนเราเกดิ มาก็มีกายกับใจๆ ถ้าไมเ่ หน็ ส่งิ ใดก็ใหเ้ ห็นร่างกายน้ี

ถา้ เราทำ� ความสงบของใจเขา้ มา ถา้ ใจมนั สงบแลว้ คน้ ควา้
มนั ขัดขอ้ งในหวั ใจ ถา้ มันขัดข้องในหัวใจ เวทนากาย เวทนาจิต

ถ้าเวทนาของกาย เวลาสงบแล้ว เวลาคลายตัวมันก็มี
ความเจ็บปวดเหมือนกัน ถ้าความเจ็บปวดมันจับต้องของมันได้
เหน็ ไหม นถ่ี า้ มนั จบั ตอ้ งของมนั ได้ เวทนากส็ กั แตว่ า่ เวทนา ถา้ มนั
จบั ตอ้ งไมไ่ ด้ เวทนาเปน็ เรา มนั กท็ บั ถมหวั ใจของเรา มนั กเ็ หยยี บยำ�่
หัวใจของเรา

ถา้ จติ ใจของเรา ถา้ มนั สงบแลว้ ถา้ มนั จบั เวทนาได้ ถา้ มนั
พจิ ารณาจติ กไ็ ด้ พจิ ารณาธรรมกไ็ ด้ การพจิ ารณาถา้ มนั ทำ� ของมนั ได้
ถ้าท�ำของมันได้ นี่ฝึกหัดใจ ฝึกหัดให้หัวใจมันฝึกหัดท�ำงาน
ถา้ ฝกึ หดั ทำ� งาน นถ่ี า้ จติ มนั สงบแลว้ นะ แตส่ ว่ นใหญไ่ มเ่ ปน็ อยา่ งนน้ั

78 • เทศนบ์ นศาลา

ส่วนใหญ่ “ถ้าจติ สงบแลว้ เดีย๋ วปัญญามนั จะเกิดเอง”
ปญั ญามนั เกดิ อยแู่ ลว้ ความคดิ ของคนไมใ่ ชค่ นตาย คนเปน็
มันคิดอยู่แล้ว แต่มันคิดอย่างนี้มันคิดแบบกิเลส มันคิดแบบ
กระแสโลกไง โลกยี ปญั ญาๆ
ความคิดเกิดจากจิตๆ คนไม่ตายมันคิดเป็นอยู่แล้ว
แตค่ วามคดิ อยา่ งนค้ี วามคดิ ทก่ี เิ ลสมนั หลอกใช้ กเิ ลสมนั หลอกใชน้ ะ
แลว้ จนิ ตนาการ จนิ ตมยปญั ญา จนิ ตนาการธรรมะขององคส์ มเดจ็
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ๋ย! มันย่ิงเฟื่องฟูในหัวใจเลย ความคิด
โอ้โฮ! ร้อยแปด...สมทุ ยั นี่สมุทัยไง
ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ทุกข์
ควรกำ� หนด สมทุ ยั ควรละ ทกุ ข์ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์
มันคืออะไรละ่ กค็ ือความเพ้อเจ้อน่ีไง นไ่ี ง ความเพอ้ เจ้อ ตัณหา
วิภวตัณหาไง อยากได้ อยากผลัก ไม่ได้ก็พยายามผลักไสมันไป
เวลามันผลักไสไปโดยท่ีไม่มีส่ิงใดเป็นปัญญา เป็นการใคร่ครวญ
เปน็ การไตรต่ รองเลยหรอื เราไมร่ เู้ หตรุ ผู้ ล ไมร่ ถู้ กู รผู้ ดิ อะไรเลยหรอื
คนเรา ดูสิ คนมีปัญญาเขารู้ผิดชอบช่ัวดีนะ คนเรา
ถา้ มปี ญั ญาแลว้ ไมร่ จู้ กั ผดิ ชอบชวั่ ดี นไ่ี ง คนเรยี นสงู ๆ มอี ำ� นาจวาสนา
แลว้ ทำ� ลายชาตเิ ยอะแยะไป
ที่ว่ามีการศึกษาๆ มีการศึกษามาแล้วท�ำไมไม่เอามาใช้
กับชีวิตประจ�ำวันของตน ถ้ามีการศึกษามา การศึกษาน้ันท�ำไม
ไม่เพ่ือประโยชน์กับครอบครัวของตน ท�ำไมไม่ท�ำให้ชีวิตของตน

อุปโลกน์ธรรม • 79

ดีข้ึน ท�ำไมเอาการศึกษาน้ันมาแสวงหาแต่บาปแต่กรรม ท�ำไม
เอาการศกึ ษานนั้ นะ่ ถา้ มนั รจู้ กั ผดิ ชอบชว่ั ดี การไมร่ จู้ กั ผดิ ชอบชว่ั ดี
นนั่ นะ่ คือกิเลส นน่ั น่ะคือตัณหาความทะยานอยาก

คนท่ีเขามีคุณธรรมขึ้นมา เขามีการศึกษา ศึกษาข้ึนมา
เขาเปน็ รฐั บรุ ษุ ดว้ ย เขาชว่ ยเหลอื เจอื จานโลกดว้ ย นนั่ การศกึ ษานะ

แต่ถ้ามันเป็นปัญญา ปัญญาภาวนามยปัญญาไม่เป็น
อย่างนั้น ภาวนามยปัญญามันร้ือค้นเข้ามาจากภายใน น่ีไง
ธรรมะไมใ่ ช่อปุ โลกน์เอา

ถ้าอุปโลกน์เอามันเป็นพิธีกรรม มันเป็นพิธีการปฏิบัติ
กฐินผ้าป่าเขายังต้องมีเหตุมีปัจจัย นี่มันเป็นวินัย เป็นวินัยกรรม
ตามการกระทำ� นนั้ แลว้ ดสู ิ เวลาสมยั พทุ ธกาล เวลาพระไปฉนั อาหาร
จากนางท่ีเป็นนางกลางเมือง สวยมาก เขาได้โสดาบันด้วยนะ
เวลาถึงเวลาแล้วไปเห็นเข้า โอ้โฮ! ช็อกเลย ฉันข้าวไม่ได้เลย
แล้ววนั นน้ั กลับมาเขากต็ าย

พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอย่าเพ่ิงเผานะ
ใหเ้ กบ็ ไวอ้ ยา่ งนนั้ ๗ วนั กอ่ น เวลาบอกวา่ ทา่ นจะไปชกั ผา้ บงั สกุ ลุ
เอาพระท่ีชอบนั้นไปด้วย ท่านถึงประกาศเลย นางท่ีตายแล้ว
เปน็ นางกลางเมอื งนนั้ คนื หนง่ึ ๑,๐๐๐ กหาปณะ พอตายไปแลว้
พระพุทธเจ้าประกาศเลย อ้าว! คืนหนึ่ง ๑,๐๐๐ กหาปณะ
ตอนนี้ลดเหลือ ๕๐๐ มีใครเอาไหม ไม่มีเลย อ้าว! ลดเหลือ
๑๐ กหาปณะกไ็ ม่มี ๑ กหาปณะก็ไมม่ ีใครเอา

80 • เทศน์บนศาลา

ใหพ้ ระนนั้ ไปชกั ผา้ บงั สกุ ลุ เพราะวา่ เขารกั มาก เหน็ แลว้
ช็อกเลย สดุ ท้ายแล้วใหไ้ ปชกั ผ้าบังสุกลุ ไปพจิ ารณานะ ไอท้ ร่ี ัก
แสนรัก รักแสนรักนั่นน่ะ โอ้โฮ! มันเน่าเฟะ ๗-๘ วันไปแล้ว
ไปชกั ผา้ บงั สกุ ลุ นน่ั แหละ พจิ ารณานะ่ จากทร่ี กั แสนรกั กลายเปน็
พระอรหนั ต์ข้นึ มาได้ นนั่ น่ะประเพณชี ักผ้า ชักผา้ บงั สุกุลนะ่

การไปชกั ผา้ บงั สกุ ลุ เขากย็ งั มเี คลด็ ของเขา ไอช้ กั ผา้ บงั สกุ ลุ
ไมใ่ ชไ่ ปชกั ผา้ บงั สกุ ลุ มาเพอื่ เปน็ ลาภสกั การะ เพอ่ื รบั ซองขาวหรอก
การชักผ้าบังสุกุลเขาให้ไปพิจารณาซากศพ พิจารณาอสุภะ
พิจารณาถงึ ร่างกายของคน นอี่ ปุ โลกน์เอาหรอื

ไอ้ชักผ้าๆ ชักผ้าบังสุกุล สมัยพุทธกาลผ้ามันหายาก
เขากไ็ ปชกั ผา้ การชกั ผา้ หนง่ึ เอาผา้ นน้ั มาซกั เอาผา้ นน้ั มายอ้ ม
เอาผ้ามาตัดจีวร เอาผ้าน้ันมาตัดบริขารเอาไว้ใช้สอย ให้พระ
ได้เอาไวใ้ ชส้ อย

แล้วถ้ามีสติปัญญาข้ึนมา ชักผ้าบังสุกุล ดูสิ พันศพไว้
น�้ำเหลืองน�้ำหนองท้ังน้ันน่ะ เอาไม้ค้�ำไว้รัดเข้ามา เอามาแล้ว
ตอ้ งเอามาซกั กอ่ น แลว้ ตากใหแ้ หง้ เสรจ็ แลว้ พอครบจนตดั จวี รได้
ตดั สบงได้

ชักผ้าบังสุกุล เขาก็ให้พิจารณา ให้พิจารณาซากศพ
ให้พิจารณาอสุภะนั้น ไอ้การกระท�ำเพื่ออะไร ถ้าไม่มีสติปัญญา
การพิจารณา ไม่มีสติปัญญาการค้นคว้า สิ่งท่ีมันฝังหัวใจอยู่น่ี
มนั จะเท่าทันมันไดอ้ ย่างไร

อปุ โลกนธ์ รรม • 81

นี่ไง เวลาพระไปฉันบ้านเขาน่ันน่ะ ไปเห็นเขา รักเลย
รักแล้วกินข้าวไม่ได้ สุดท้ายเขาตาย องค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าพาไปชักผ้าบังสุกุล นี่เหตุท่ีให้มีการชักผ้าบังสุกุลๆ
ฉะนั้น สิ่งที่ท�ำๆ มันไม่ใช่อุปโลกน์เอา ไม่ใช่พิธีกรรมเท่านั้น
ในพธิ ีกรรมนน้ั เขาแฝงไว้ดว้ ยสติด้วยปญั ญา ด้วยการคน้ ควา้

ไอ้น่ีท�ำให้มันครบพิธี พิธีการครบพิธี ปฏิบัติเป็นพิธีๆ
แลว้ เดนิ จงกรม นงั่ สมาธภิ าวนา ในวงกรรมฐานมมี าก เวลาภาวนา
โหมกนั เต็มท่ีเลย แตส่ ดุ ท้ายแล้วก็ไฟไหม้ฟาง จบ

ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ผู้ใด
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างน้อย
พระอนาคามี

สมควรแก่ธรรมคือความเหมาะสม ความเหมาะสม
มัชฌิมาปฏิปทา ด�ำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ
ความเหมาะสมคอื ความชอบธรรม ความชอบธรรมคือสมั มาทฏิ ฐิ
สัมมาทิฏฐิในการประพฤติปฏิบัติ สัมมาทิฏฐิในการกระท�ำ
ถา้ สมั มาทฏิ ฐใิ นการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ในการกระทำ� มนั คน้ เขา้ มาทใ่ี จ
เข้าถึงใจหรือไม่ ถ้ากิเลสมันใส่เสื้อเกราะไว้ เข้าไม่ถึง กิเลสมัน
ใส่เสอ้ื เกราะไว้ มนั อยู่รอบๆ นนั่ น่ะ

แลว้ มฝี า่ ยปฏบิ ตั นิ ม้ี าก “ทำ� สมาธิ เดย๋ี วปญั ญาจะเกดิ เอง
ปัญญาจะเกิดเอง ปัญญาจะมาเอง ยิ่งสมาธิดีงาม ปัญญาย่ิง
งอกงาม”...เปน็ ไปไม่ได้ ไมม่ ี

82 • เทศนบ์ นศาลา

สมาธเิ ปน็ สมาธิ แตถ่ า้ ไมม่ สี มาธิ ไมม่ วี ปิ สั สนา ถา้ ไมม่ สี มาธิ
มันเป็นโลกียปัญญาทั้งหมด ถ้าขาดสมาธิ เพราะอะไร เพราะ
มรรค ๘ ไง ชอบธรรมไง ถา้ ไมม่ สี มาธไิ มช่ อบธรรม ไมช่ อบธรรม
เพราะอะไร ไม่ชอบธรรมเพราะสมุทัย ตณั หา วิภวตณั หา

ตณั หาคอื ความอยากได้ อยากเปน็ อยากดี วภิ วตณั หาไง
อ๋อ! ไอ้น่กี เิ ลส ไอน้ ่กี เิ ลส ผลักๆๆ...ไมม่ ที าง เปน็ ไปไม่ได้ เพราะ
ไมใ่ ชค่ วามเพียรชอบ

ความเพยี รชอบ งานชอบ ระลกึ ชอบ ความชอบธรรม
มรรคผลมันจะเกิดจากความชอบธรรม มันไม่ใช่เกิดจากการ
อุปโลกนเ์ อา

นี่จะอุปโลกน์ธรรม รู้หมด เข้าใจหมด ๙ ประโยค
๙ ประโยคเยอะมาก รู้หมด เข้าใจหมด แต่เขาท�ำสมาธิไม่เป็น
เขาคน้ ควา้ หาหวั ใจของเขาไมไ่ ด้ แลว้ ในการศกึ ษา ศกึ ษามาเกดิ มานะ
เกดิ ทฏิ ฐมิ านะในใจของตน “โอ!้ แคส่ มถะ หนิ ทบั หญา้ หนิ ทบั หญา้
ยกหนิ ขนึ้ หญา้ มนั กข็ นึ้ โอ!้ ตอ้ งปญั ญาๆ ปญั ญาอยา่ งเราน”่ี นไ่ี ง
อุปโลกน์ธรรมน่ะ มันจะอุปโลกน์เอา คิดเอา จินตนาการเอา
คาดหมายเอา

ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติด้วยการคาด
การหมาย ด้วยการจินตนาการ มันก็ได้ผลการจินตนาการ
การจินตนาการนั้นถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา มันจินตนาการแล้ว
มนั กม็ ีความสขุ ความสงบระงับช่วั ครั้งชั่วคราว

อปุ โลกนธ์ รรม • 83

คำ� วา่ “ชว่ั ครง้ั ชวั่ คราว” เวลาทำ� สมถะๆ หายใจเขา้ นกึ พทุ
หายใจออกนกึ โธ จะเปน็ สมถะ หนิ ทบั หญา้ ๆ ไอ้ท่ใี ช้จนิ ตนาการ
ใช้อุปโลกน์เอาอย่างนั้นน่ะ มันก็ยิ่งกว่าหินทับหญ้า เพราะกิเลส
มนั บงั เงา มนั บังเงานะ “เปน็ มรรคเปน็ ผลไง”

นไี่ ง คำ� พดู มนั ฟอ้ งถงึ ความรจู้ รงิ หรอื รเู้ ทจ็ “ถา้ จติ สงบแลว้
ปญั ญาจะเกดิ เอง” มนั เปน็ ไปไมไ่ ดห้ รอก มนั เปน็ ไปไมไ่ ดเ้ พราะอะไร
มันเป็นไปไม่ได้เพราะเวลาครูบาอาจารย์ท่ีท่านประพฤติปฏิบัติ
เวลาถ้าสมาธิมันไม่มีก�ำลัง มันคิดอย่างไร พิจารณาอย่างไร
มนั เปน็ โลก มนั เปน็ เรอ่ื งโลกๆ มนั เปน็ ความคดิ จากสมอง ความคดิ
จากความจำ� ความคิดจากกิเลสมันปอ้ นให้

กเิ ลสมนั ปอ้ นใหเ้ ลยนะ มนั ถางทางโลง่ ไวใ้ หเ้ ลย ไปไหน
หลงปา่ เดนิ ไปตามลำ� ธารแลว้ จะไปตกเหวตายไง มนั ทำ� ไวใ้ หโ้ ลง่ แจง้ เลย
ลงไปถงึ เหวแลว้ ตะไครน่ ำ�้ ไหลพรดื ! ลน่ื ปด๊ื ! ไปเลย หายเลย ตกไป
หัวฟาดก้อนหินตายอยู่น่ัน น่ีไง เวลากิเลสมันบังเงา กิเลสมัน
สร้างภาพ ถา้ อปุ โลกนเ์ อาเพราะวา่ วฒุ ภิ าวะมนั อ่อนแอ

แตถ่ า้ มันเป็นจรงิ นะ ครูบาอาจารยเ์ ราเป็นจรงิ หลงป่า
เราหลงใหลไปในชีวิต หลงใหลไปในความไม่เข้าใจ อวิชชา
มันท�ำให้เราผิดพลาดไปทั้งนั้นน่ะ ความผิดพลาดอันนั้นมันเป็น
เร่อื งธรรมดาของคนทีจ่ ะประพฤติปฏบิ ตั ิ

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ม่ันเวลาท่านประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ
ประวตั หิ ลวงปเู่ สาร์ หลวงปมู่ นั่ ทา่ นออกปา่ ออกประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หมๆ่

84 • เทศน์บนศาลา

มนั ไมม่ คี รบู าอาจารยค์ อยบอก มนั ไมม่ ใี ครรจู้ รงิ จะบอกไดอ้ ยา่ งไร
มันลม้ ลุกคลุกคลานมาทัง้ นนั้ น่ะ

คนที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ล้มลุกคลุกคลานเพราะอะไร
เพราะมันเข้าสู่ใจได้ยาก ถ้ามันเข้าสู่ใจได้ยาก อย่างน้ีมันมีแต่
ความฟุ้งซ่าน พอความฟุ้งซ่านข้ึนมา สติปัญญามันเท่าทันแล้ว
ความฟงุ้ ซ่านมนั สงบตัวลงเทา่ นนั้ นะ่ สมาธิยงั เข้าไมไ่ ดเ้ ลย

พอความฟงุ้ ซา่ น ความบบี คนั้ ในใจมนั เบาบางลงเทา่ นนั้ นะ่
“โอโ้ ฮ! สดุ ยอด เมอ่ื กอ่ นเปน็ คนขโี้ กรธ เดยี๋ วนไ้ี มโ่ กรธแลว้ เมอื่ กอ่ น
เป็นคนหลงใหล เดี๋ยวนี้ไม่หลงแล้ว” นี่เพราะความฟุ้งซ่าน
มันสงบตัวลงเท่านน้ั เอง

แต่ถ้าท�ำต่อเนื่องไปๆ เพราะมันไม่มีก�ำลัง ถ้ามันจะมี
กำ� ลงั ของมนั นะ จติ มนั สงบแลว้ สงบแลว้ เดย๋ี วกค็ ลายออก แลว้ เรา
ก็ท�ำความสงบของเราบ่อยคร้ังเข้าจนช�ำนาญในวสี ถ้าสงบแล้ว
เวลาประพฤติปฏิบัติไปโดยธรรมชาติ ความจ�ำเจ ความคุ้นเคย
ความเคยชินต่างๆ มันท�ำให้การประพฤติปฏิบัติมันไม่ก้าวหน้า
ไม่กา้ วหนา้

เวลาเราสงบแลว้ มันมกี ำ� ลงั แลว้ เราฝึกหดั ใชป้ ญั ญาได้
ปญั ญานฝ่ี กึ หดั ใช้ แตก่ ารใชป้ ญั ญาอยา่ งนมี้ นั เปน็ ปญั ญาการฝกึ หดั
เวลาถา้ ปญั ญาการฝกึ หดั อยา่ งน้ี หลวงตาพระมหาบวั ทา่ นบอกวา่
“วปิ ัสสนาออ่ นๆ”

อุปโลกน์ธรรม • 85

ทา่ นพดู นะ คนทปี่ ฏบิ ตั มิ ามนั จะผา่ นการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
เปน็ วรรคเปน็ ตอนขนึ้ มา ทา่ นบอกวา่ “เวลาจติ มนั สงบแลว้ ฝกึ หดั
มนั เปน็ วปิ ัสสนาออ่ นๆ”

การวิปัสสนาอ่อนๆ ก็ไร้เดียงสาไง ทารกไง ดูทารกสิ
ถ้าไม่เล้ียงมัน มันตายหมดล่ะ สัตว์บางชนิดนะ พ่อแม่ไม่เล้ียง
มนั ยงั อยไู่ ด้ ทารก พอ่ แมไ่ มเ่ ลยี้ ง ตายหมด มนั หากนิ ไมเ่ ปน็ หรอก

น่ีก็เหมือนกัน จติ มันฝกึ หดั ขึน้ มา พอมนั ยืนตัวขน้ึ มาได้
เหน็ ไหม “วิปัสสนาออ่ นๆ” น้ีค�ำพูดของหลวงตาพระมหาบวั

“วปิ สั สนาออ่ นๆ” นไี่ ง เราฝกึ หดั ใชป้ ญั ญา ฝกึ หดั ใชป้ ญั ญา
กว็ ปิ สั สนาออ่ นๆ กฝ็ กึ หดั ใชไ้ ป ถา้ มนั วปิ สั สนาออ่ นๆ แลว้ พอมนั
ฟุ้งซ่านมันก็ไม่อ่อนแล้วแหละ มันก็ฟุ้งซ่านไปก็กลับมาพุทโธใหม่
กลับมาพุทโธๆ ให้มันสงบระงับเข้ามา จนจิตมันตั้งม่ัน จิตมันมี
ก�ำลังขึ้นมา ถ้าจิตมีก�ำลังขึ้นมานะ วิปัสสนาอ่อนๆ ฝึกหัดไป
จากวปิ สั สนาออ่ นๆ มนั กม็ คี วามกลา้ แขง็ ขนึ้ มา การกลา้ แขง็ ขนึ้ มา

แล้วครูบาอาจารย์ท่ีท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วนะ
เวลาท่านท�ำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบแล้วก็มีความสุข
ถา้ ความสขุ แล้วมันยกขึน้ ไมไ่ ด้ มนั หันรีหนั ขวางนะ มันก็เสอื่ มไป
เส่ือมไปก็ท�ำความสงบของเราเข้ามาใหม่ ท�ำความสงบเข้ามา
ทำ� ไดม้ ากไดน้ อ้ ยแคไ่ หน

ในวงกรรมฐานเรา เวลาครบู าอาจารยท์ า่ นประพฤตปิ ฏบิ ตั นิ ะ
มพี ระมากทว่ี า่ ทำ� ความสงบแลว้ มนั ไปรไู้ ปเหน็ มนั โดนกเิ ลสบงั เงา

86 • เทศน์บนศาลา

กิเลสมันถางทางไว้ให้ เช่ือมันไป หลงมันไป พอสุดท้ายแล้วนะ
เสื่อมหมด เวลาในวงกรรมฐานเขาเรียกว่ากรรมฐานมว้ นเส่ือ

เวลาพอจติ มนั ทำ� ความสงบของใจไดบ้ า้ ง มนั ไปรไู้ ปเหน็ อะไร
แลว้ อาจหาญ ทำ� เก่งกล้าโดยไมร่ กั ษาดูแลนะ เวลามันไปแล้วนะ
มนั ไถลลนื่ ตกเหวตายเลย ความเพยี รตาย การประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ าย
ตายจากความเพียร ตายจากสติ ตายจากปัญญา จนตกเข้าไป
อยใู่ นหลมุ มตู รหลมุ คถู ของกเิ ลส กเ็ ลยฟน้ื ขน้ึ มาไมไ่ ด้ เดน้ ๆ ดา้ นๆ
อยอู่ ยา่ งนน้ั นะ่ ไปไหนกไ็ มร่ อด ไปกไ็ มไ่ ด้ ถอยกไ็ มไ่ ด้ อยอู่ ยา่ งนน้ั นะ่
นพี่ ดู ถงึ วา่ เวลากเิ ลสมนั ครอบงำ� ในวงกรรมฐานเขาเหน็ กนั มากมาย

แตถ่ า้ มนั เปน็ ความจรงิ ๆ นะ มนั จะฟน้ื ขน้ึ มาได้ จติ เสอื่ มแลว้
เขาพยายามทำ� ความสงบของใจเขา้ มาใหไ้ ด้ ตอ้ งทำ� ความสงบของใจ
ของเรา ถา้ จติ มนั สงบแลว้ มนั ฟน้ื ฟู ฟน้ื ฟศู ลี สมาธิ ปญั ญา ถา้ จติ
มันสงบแล้วมันจะรักษาศีลของมัน มันจะหวงแหนศีลของมัน
เพราะศีลมันจะเปน็ พนื้ ฐาน ค�ำวา่ “พื้นฐาน” ถ้าจิตมันสงบแลว้
ถ้ามนั มศี ีลข้นึ มาแล้วมันจะเป็นสมั มาสมาธิ

ถา้ มนั ทศุ ีลๆ เวลามันสงบแล้วมันจะแหกคอก แหกคอก
ออกไปตามกำ� ลงั ของกเิ ลสทม่ี นั จะพาแหกคอกไป ถา้ พาแหกคอกไป
“โอย๋ ! เหน็ จติ ออกไปรเู้ หน็ วาระจติ ออกไปเหน็ เทวดา”...นมี่ นั จะพา
แหกคอกออกจากมรรค ออกจากธรรมและวนิ ยั โดยกเิ ลสมนั พาไป
นไี่ ง อปุ โลกนธ์ รรมๆ เพราะมนั จะอปุ โลกนเ์ อาไง อปุ โลกนใ์ หเ้ รา
ทำ� แคพ่ ธิ ไี ง แลว้ มนั กร็ อใหพ้ ญามาร ครอบครวั ของมารชกั นำ� ไปไง
แตถ่ ้ามีครบู าอาจารยน์ ะ ท่านพยายามดงึ กลบั มา

อุปโลกนธ์ รรม • 87

เวลาหลวงปู่ม่ันท่านส่ังหลวงตาไว้ เพราะหลวงตา เวลา
หลวงปู่ม่ันท่านจะสิ้นชีวิต หลวงตาท่านก�ำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม
แล้วเวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม กิเลสกับธรรมมันจะต่อสู้กันในหัวใจ
รนุ แรงมาก

คนที่ประพฤติปฏิบัตินะ สงครามระหว่างกิเลสกับธรรม
กเิ ลสคอื พญามาร ครอบครวั ของมารมนั จะยดึ ครองหวั ใจนเ้ี ปน็ ทอี่ ยู่
ของมัน ให้เวียนว่ายตายเกิดในวฏั ฏะอยู่ในอ�ำนาจของมัน

ในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สมั พทุ ธเจา้ ธรรมและวนิ ยั ถา้ เราไดส้ รา้ งขน้ึ เราไดม้ กี ารกระทำ� ขน้ึ
น่ีคืออาวุธ น่คี อื ธรรมาวธุ ทเ่ี ข้าไปปะทะประหัตประหารกับกิเลส

คนทปี่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั กิ ำ� ลงั เขา้ ดา้ ยเขา้ เขม็ ระหวา่ งกองทพั กเิ ลส
กบั กองทพั ธรรม มนั จะตอ่ สกู้ นั บนสมั มาสมาธิ ตอ่ สกู้ นั กลางหวั ใจ

คนที่ฝึกหัดวิปัสสนาจะเห็นเวลาปัญญาระหว่างกองทัพ
ของธรรมที่มันเข้าไปประหัตประหารกับกองทัพของกิเลส มันจะ
ปะทะกันในกลางหัวใจ เห็นไหม เวลาวิปัสสนาจะรู้จะเห็น นี่ไง
เวลาที่มันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนา
ไมใ่ ชป่ ญั ญาเกดิ ขน้ึ มาจากการศกึ ษา จากสญั ญาการจำ� มา จากกเิ ลส
ที่มันสร้างให้คืออุปโลกน์เอา คือสร้างภาพเอา น้ันเป็นมิจฉา
เป็นส่ิงที่กิเลสมันสร้างภาพ กิเลสมันเอาสิ่งนั้นมาล่อลวง ท�ำให้
การประพฤติปฏิบัตขิ องผ้นู นั้ ล้มเหลว

88 • เทศนบ์ นศาลา

แตถ่ า้ มนั เปน็ จรงิ ๆ ทำ� ความสงบของใจเขา้ มา ใจสงบแลว้
ฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าเป็นวิปัสสนาอ่อนๆ ก็ฝึกหัดใช้ของเราไป
ถา้ มนั ออ่ นๆ มนั มสี มั มาสมาธิ มนั พจิ ารณาได้ มนั กเ็ ปน็ วปิ สั สนาออ่ นๆ
ฝกึ หัดใช้ปัญญา

เวลาออ่ นๆ สมาธมิ นั เบาบางลง วปิ สั สนาออ่ นๆ กก็ ลายเปน็
สญั ญาหมดเลย กลายเปน็ ภาพความจำ� กลายเปน็ การจนิ ตนาการหมด
เราตอ้ งกลบั ไปทำ� ความสงบของใจใหม้ ันมกี ำ� ลังข้ึนมา

ถ้าจิตมันมีสัมมาสมาธิขึ้นมามันจะเป็นวิปัสสนาอ่อนๆ
แล้ววิปัสสนาอ่อนๆ ฝึกหัดใช้ พอมันเสื่อม มันมีการเสื่อมไป
เสอ่ื มไปคอื มนั พจิ ารณาไปแลว้ มนั ไมไ่ ด้ มนั พจิ ารณาไปแลว้ มนั ทกุ ข์
มันยาก

ทำ� ความสงบของใจกม็ คี วามทกุ ขอ์ ยา่ งหนง่ึ เวลาใชป้ ญั ญาๆ
มนั ใชท้ ั้งสติ ใช้ทั้งสมาธิ ใช้ทง้ั ปัญญา มันใช้ลงทุนลงแรง มันลง
ก�ำลังมาก มันจะเหน่ือยมาก มันจะทุกข์ มันจะมีภาระมาก
การปฏิบตั ิมนั จะรู้เลย

ฉะนนั้ เวลาพจิ ารณาไปแลว้ ถา้ มนั มสี มาธขิ น้ึ มามนั จะเกดิ
ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเป็นวิปัสสนาข้ึนมา ถ้ามันปฏิบัติ
มนั มกี ำ� ลงั ของมนั มนั ไมใ่ ชอ่ ปุ โลกนเ์ อาหรอก มนั มที ม่ี าทไ่ี ปทง้ั นน้ั นะ่

ถา้ มนั เปน็ ความจรงิ ขน้ึ มา ภาวนามยปญั ญา ปญั ญาเกดิ จาก
การภาวนา ถา้ มนั มที มี่ าทไี่ ป มนั มรี สของธรรม มนั มกี ารกระทำ� ขนึ้ มา
ถา้ ทำ� อยา่ งน้ี นี่ระหวา่ งสงครามธาตกุ บั สงครามขนั ธ์

อุปโลกน์ธรรม • 89

ถา้ สงครามธาตสุ งครามขนั ธเ์ กดิ ขน้ึ มา สง่ิ นเี้ พราะหลวงปมู่ นั่
ท่านประพฤติปฏิบัติมาก่อน ท่านถึงเป็นห่วงมาก ฉะน้ัน
ทา่ นสงั่ เอาไวเ้ ลย “ถา้ เราไมอ่ ยแู่ ลว้ ถา้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ปมปี ญั หา
อยา่ ทง้ิ ผรู้ ู้ อยา่ ทงิ้ พทุ โธ ถา้ ออกไปรเู้ หน็ สง่ิ ใดแลว้ มนั เปน็ สงิ่ ทวี่ า่
เราแก้ไขไม่ได้ ให้กลับเข้ามาท่ีหัวใจ ให้กลับเข้ามาที่หัวใจ
กลับมาท่ีผ้รู นู้ ้ัน”

เพราะการรกู้ ารเหน็ ต่างๆ ถา้ ไม่มีผู้รู้ ไมม่ หี ัวใจออกไปรู้
มนั จะคอื อะไรละ่ ไมม่ หี รอก สงิ่ ทมี่ เี พราะหวั ใจมนั ไปรู้ สงิ่ ทมี่ ที งั้ หมด
เพราะใจมนั รู้ แลว้ ถา้ ใจมนั ไม่ไปรู้ มนั จะมีไหม

แต่มันโง่ มันออกไปรู้ข้างนอกแล้วบอก “อู้ฮู! สุดยอด
จิตท�ำความสงบแล้วปัญญาจะเกิดเอง” ก็มันหลอกให้ไปรู้ไง
“ปัญญามันจะเกิดเอง” เกิดยักษ์ เกิดผี เกิดเปรต เกิดมาร
ต่นื เตน้ ตกใจ ไม่เกดิ ธรรม ธรรมเกิดไม่ได้

ธรรมจะเกดิ ได้ กลบั มาทผ่ี รู้ ู้ กลบั มาทพ่ี ทุ โธ หลวงปมู่ นั่
ทา่ นสงั่ หลวงตาพระมหาบวั เอาไว้ สงั่ ไวช้ ดั ๆ เลย ถา้ เราตายไปแลว้
ถ้าปฏิบัติไป ถ้ามันมีส่ิงใดเป็นอุปสรรค ให้กลับไปที่พุทโธ
ใหก้ ลบั ไปทผ่ี รู้ ู้ กลับไปทพี่ ทุ โธ อย่าส่งออก ไมส่ ง่ ออก ไม่เสีย
ถ้าสง่ ออก เสียหมด เสียหมด เพราะสมถกรรมฐาน ฐานที่ตงั้
แห่งการงาน งานท่ีจะร้ือภพร้ือชาติ งานท่ีการช�ำระล้างกิเลส
มนั ตอ้ งช�ำระกันท่ีหวั ใจ เห็นไหม

90 • เทศนบ์ นศาลา

จิตน้ีไม่เคยตายๆ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตน้ี
เวยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะเพราะอะไร เพราะมนั มอี วชิ ชา มนั ไมร่ ู้
มนั ถงึ เวยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะ เวลาเรามาประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ น้ึ มา
เราก็พยายามจะมาเพิกมาถอนให้กิเลสตัณหาความทะยานอยาก
ในใจของเราออกไป

ถา้ เอากเิ ลสตณั หาความทะยานอยากในใจออกไป เหน็ ไหม
บคุ คล ๔ คู่ ถา้ เป็นโสดาบัน กเิ ลสโดนท�ำลายไป ๒๕ เปอร์เซน็ ต์
ถ้าเป็นสกิทาคามีนะ กิเลสโดนท�ำลายไป ๕๐ เปอร์เซ็นต์
ถ้าเป็นพระอนาคามี กิเลสโดนท�ำลายไป ๗๕ เปอร์เซ็นต์
ถา้ เปน็ พระอรหนั ต์ กเิ ลสตายหมดเลย ตายทงั้ คอก ตายหมดเลย
ตายไปด้วยอะไร ตายไปด้วยมรรคด้วยผล ตายด้วยมรรค ๘
ดำ� ริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความชอบธรรมๆ

แลว้ ความชอบธรรมในหวั ใจทม่ี นั เกดิ ขน้ึ มาแลว้ มนั ชอบธรรม
ในหัวใจดวงน้ัน ถ้ามันชอบธรรมในหัวใจดวงนั้น ความเป็นจริง
ในหวั ใจดวงนนั้ ทม่ี นั สรา้ งขน้ึ มา มนั สรา้ งขนึ้ มา ทำ� ขน้ึ มาๆ จนมนั
ละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดจนละเอียดสุดเข้าไปช�ำระล้างกิเลส
มนั ถอดมนั ถอน มนั สำ� รอกมันคายมันออก ถ้ามนั ไมม่ กี ารส�ำรอก
ไม่มีการถอดถอน ไม่คายมันออก มันจะเอาอะไรไปฆ่ากิเลส
มนั กเ็ ปน็ กเิ ลสตวั เกา่ นนั่ แหละ พลกิ ไปพลกิ มา หลอกไปหลอกมา
เห็นไหม กเิ ลสมันบังเงาไง มันไม่จรงิ

อปุ โลกนธ์ รรม • 91

แตถ่ า้ มนั เปน็ จรงิ ๆ วปิ สั สนาออ่ นๆ กอ่ น วปิ สั สนาออ่ นๆ
ถ้าไม่วิปัสสนาอ่อนๆ มันจะไปเกิดภาวนามยปัญญาได้อย่างไร
มนั ไม่มกี ารฝึกหัด ไม่มีการเร่ิมต้น

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลา
ปลูกต้นไม้ เขารดท่ีโคน รดท่ีโคนต้น รดน้�ำพรวนดินท่ีโคนต้น
เวลาผล ผลออกท่ปี ลายนะ

นก่ี เ็ หมอื นกนั เวลาจะเอามรรคเอาผลนะ จะเอามรรคผล
จากข้างนอก แตข่ า้ งในท�ำไม่ได้ มนั ไม่รดทีโ่ คน

รดทโี่ คน รดที่หวั ใจนสี้ ิ ถา้ มันเปน็ จริงๆ นะ
เวลาคนไม่เป็นมนั ไมเ่ ปน็ มันมนี ะ มคี นเคยมาเลา่ ใหฟ้ ัง
บอกวา่ เขาขน้ึ เครอ่ื งบนิ เหน็ การบนิ ไทยเขาเสริ ฟ์ อาหาร เขาใชม้ งั คดุ
เขานงั่ อยู่ เขาเหน็ แลว้ ตกใจนะ ฝรง่ั มนั เอามงั คดุ มาเคย้ี ว มนั กดั เลย
มนั กนิ มังคดุ ไมเ่ ปน็ มนั กัดเปลือกเลยนะ น่ีคนไม่เปน็
ทุเรียนกินท่ีเปลือกได้ไหม ทุเรียนถ้าคนปอกไม่เป็น
กป็ อกไมไ่ ดน้ ะ คนปอกเปน็ ฉกี ปด๊ื ๆๆ เลย ทเุ รยี นนะ่ นเี่ หมอื นกนั
ถา้ ปฏบิ ตั เิ ปน็ นะ มงั คดุ ใครไปเคย้ี วเปลอื กมนั ละ่ มงั คดุ เปลอื กมนั ขม
ขนาดน้นั น่ะ
เขาแกะเปลือกแล้วเขากินที่เน้ือมัน แต่คนที่ไม่รู้นะ
เขาไม่รู้โดยธรรมชาติของเขา เขากัดเลยนะ เขากัดท่ีลูกมังคุด
คนไทยไปเหน็ เขา้ โอ้โฮ! เพราะเขาไม่รู้

92 • เทศนบ์ นศาลา

น่ีเหมือนกัน ถ้ามันไม่เป็นก็คือมันไม่เป็น มังคุด
มันกินที่เปลือก มันกัดท่ีเปลือก แต่ธรรมะขององค์สมเด็จ
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทา่ นฉลาด มงั คดุ เปน็ ยอดของผลไม้ เวลากนิ
แกะเปลอื กออก กนิ เนื้อมนั ถ้ากนิ เน้ือมนั เนอื้ มนั หวาน เนือ้ มนั
ชุ่มฉ่ำ� เนอื้ มันมีรสชาติ

นีก่ ็เหมอื นกนั เวลาปฏบิ ัตมิ า เปลอื กมันขม เดินจงกรม
น่ังสมาธิภาวนาทุกข์ยากท้ังน้ันน่ะ แต่ความทุกข์ยากข้ึนมา
ผลไม้ที่มันมีคณุ คา่ การรักษาการดูแลมันรักษายากนะ มงั คุดนะ่
ดูแลรักษาจนกว่ามันจะออก ต้องดูแลรักษาจนกว่ามันจะแก่
แล้วสุดท้ายแล้วถึงเก็บมาขาย เก็บมาเป็นอาหาร น่ีก็เหมือนกัน
หวั ใจของเรา หวั ใจของเราทจี่ ะประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ นึ้ มาไมใ่ ชอ่ ปุ โลกนเ์ อา
เอาจรงิ เอาจังขึน้ มา

อปุ โลกนแ์ บบนน้ั มนั กเ็ ปน็ พธิ กี รรม มนั เปน็ เรอ่ื งของโลกๆ
มนั เปน็ เรอ่ื งพธิ กี รรม พธิ กี รรมมนั กว็ นิ ยั กรรมนะ มนั กเ็ ปน็ เรอื่ งของ
ศาสนา วัฒนธรรม

แต่เวลาจะเอาชนะกิเลสๆ มันเป็นเร่ืองผู้ใดเห็นธรรม
ผู้น้ันเห็นตถาคต เห็นร่องเห็นรอยขององค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า แล้วซาบซ้ึงมาก ซาบซึ้งๆ นะ ถ้าไม่มีพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีศาสนา เราจะเอาอะไรมาปฏิบัติ

เวลาเราปฏิบัติข้ึนมา เราปฏิบัติตามธรรมวินัย แต่เรา
ต้องการสัจจะความจริง ต้องการรสของธรรม ไม่ใช่ต้องการ

อุปโลกนธ์ รรม • 93

พธิ กี รรมอนั นนั้ แตเ่ รากต็ อ้ งทำ� ตามพธิ กี รรมอนั นน้ั ตอ้ งเดนิ จงกรม
นงั่ สมาธภิ าวนา เพอื่ พยายามอริ ยิ าบถ ๔ เพอื่ คน้ ควา้ หาใจของตน

คนนอนภาวนากม็ นี ะ สมยั พทุ ธกาลมี แตส่ มยั ปจั จบุ นั นนี้ อ้ ย
แล้วไม่ต้องไปท�ำหรอก เอาจริงเอาจังของเราขึ้นมา จะท�ำสิ่งใด
แลว้ กก็ ลวั เปน็ กลวั ตายทงั้ นน้ั นะ่ จะเอาแตค่ วามสะดวกสบายขน้ึ มา
แล้วเอาความสะดวกสบายข้ึนมาก็เข้าทางกิเลสไง

ถ้าจะเอาความจรงิ ๆ เห็นไหม เราพอใจ เวลาพอใจนะ
ดสู ิ เวลาเราดชู วี ติ ทางโลก ทกุ ขเ์ จยี นตาย ทกุ ขเ์ จยี นตายมนั กต็ อ้ ง
ทกุ ขอ์ ยอู่ ยา่ งนน้ั นะ่ ทกุ ขเ์ จยี นตายมนั กไ็ มม่ ที างออกไง แตข่ องเรา
พอเรามีศรัทธามีความเช่ือของเรา เราจะพ้นจากทุกข์ของเรา
ถ้าเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขนาดไหน มันจะทุกข์เจียนตาย
ให้มันตายไป อะไรมันตายก่อน

เวลากิเลสมันพลิกมันแพลงขึ้นมา เวลาทุกข์เจียนตาย
ไมเ่ หน็ วา่ เปน็ โทษ เวลาเดนิ จงกรม นงั่ สมาธภิ าวนาเพอื่ จะฆา่ กเิ ลส
มันไปเห็นว่าเป็นโทษ มนั เจียนตายๆ

เจียนตาย เอาอะไรมาตาย นี่กิเลสมันก็พลิกมาเป็น
ประโยชน์กับมันทั้งน้ันน่ะ กิเลสมันก็พลิกข้ึนมาเพ่ือจะท�ำลาย
ความเพียรของเรา ความชอบธรรมของเรา น่ีความชอบธรรม
ของเรา

94 • เทศน์บนศาลา

เราจะฆา่ มนั อยนู่ ่ี ไมใ่ ชใ่ หม้ นั เอาสญั ญาอารมณม์ าพลกิ แพลง
มาทำ� รา้ ยเราๆ ถา้ เราคดิ ได้ เรามปี ญั ญาของเราได้ เราแกไ้ ขของเราได้
คนมีสตมิ ีปัญญาแก้ไขๆ แกไ้ ขก็แก้กเิ ลสของเรานั่นแหละ

แก้ไขว่า ส่ิงที่กิเลสมันเอามาหลอกน่ันน่ะ ใช้ปัญญา
พลกิ แพลง พลกิ แพลงเอาชนะมนั พอเอาชนะขนึ้ มา พอถา้ มสี ตปิ ญั ญา
ถ้ามีสติแลว้ มสี มาธนิ ะ เวลาพิจารณาเอาชนะมนั ไดน้ ่ีโลง่ หมดเลย
ไอก้ ิเลสหนา้ ดา้ นท่ีมันหลอกๆ มนั หลบหน้าไปเลย

แต่ถ้ามันอ่อนแอ เวลามันคิดอย่างน้ันน่ะ ล้มเลย “ใช่
มนษุ ยต์ อ้ งมอี าหาร มนษุ ยต์ อ้ งมกี ารพกั ผอ่ น มนษุ ยจ์ ะทำ� ความเพยี ร
เกนิ กำ� ลงั ของรา่ งกายทนไมไ่ ด้ ไมไ่ ด”้ มนั คดิ ไปนนู่ นะ่ เวลากเิ ลส
มนั เตมิ เชื้อเพลิงเชอื้ ไฟ เราเชอ่ื มันเลย

แต่ถ้าคนที่มีสติมีปัญญานะ ส่ิงใดที่มันจะเอามาท�ำร้าย
เอามาท�ำลายเรา เรามีสติปัญญาใคร่ครวญ สติปัญญา ถ้ามีสติ
ใคร่ครวญ ถ้ามีก�ำลังพอ ซ้�ำแล้วซ้�ำเล่าๆ มันอยู่ที่เชาวน์ปัญญา
คำ� ว่า “เชาวนป์ ัญญาๆ” ปฏิภาณไหวพรบิ นี่วาสนาของคน

วาสนาของคนถ้ามีความคิดดีๆ มีหลักการที่ดีๆ นะ
เขามจี ดุ ยนื ของเขา เขาพยายามของเขา เขาทำ� ของเขา มนั ไมไ่ ด้
กไ็ ม่เปน็ ไร ไม่ไดก้ ็แล้วกันไป ส้อู ยอู่ ย่างน้ันนะ่ ท�ำอยู่อยา่ งนั้นนะ่

ครบู าอาจารยท์ ที่ า่ นประสบความสำ� เรจ็ ๆ สว่ นใหญแ่ ลว้
ทา่ นมจี ดุ ยนื ของทา่ น คำ� วา่ “จดุ ยนื ของทา่ น” นไี่ ดส้ รา้ งของทา่ นมา
ถ้าสร้างของท่านมา ส่ิงใดที่เป็นเรื่องโลก ส่ิงใดท่ีเป็นความ

อปุ โลกน์ธรรม • 95

สะดวกสบายของโลก ยกใหค้ นอนื่ เขาไป ถา้ มนั เปน็ ประโยชนก์ บั ใคร
เชญิ แตม่ นั ไมเ่ ปน็ ประโยชนก์ บั เรา ถา้ ประโยชนก์ บั เรา เราขวนขวาย
เรามกี ารกระทำ� ถา้ มีการกระทำ� ข้นึ มา ฝึกหดั ใชป้ ัญญา ถา้ ได้
มังคดุ มาก็ปอกเปลือก

แต่คนโดยท่ัวไปถ้ามันศึกษา มันรู้มันเห็นข้ึนมาแล้ว
ไมม่ ใี ครหรอกเอาความขนื่ ความขมเขา้ ปากของตน คนทกุ คนกต็ อ้ ง
เอาแต่ความเอร็ดอร่อยเข้าปากของตนทั้งน้ันน่ะ แต่ท่ีเขาไม่รู้ๆ
เพราะอวชิ ชา เหน็ ไหม แตค่ นทมี่ วี ชิ ชา คนทร่ี แู้ ลว้ รแู้ ลว้ สง่ิ ทไี่ ดม้ า
มันจะไดม้ าอยา่ งไร ถ้าไดม้ าอยา่ งไร

สงิ่ ทยี่ งั ไมไ่ ดม้ า เรากต็ อ้ งรกั ษาของเรา เราตอ้ งขวนขวาย
ของเรา ถา้ ขวนขวายของเรา ถา้ มสี ติ ทำ� สง่ิ ใดถา้ มสี ตขิ นึ้ มามนั เปน็
ความเพยี รชอบ

ถา้ ขาดสติ ขาดจากการกระทำ� ดสู ิ เดนิ จงกรม นง่ั สมาธิ
ทงั้ วนั เลย ไมไ่ ดอ้ ะไรเลย ไมไ่ ดอ้ ะไร กเ็ หมอ่ ลอยทง้ั วนั มนั จะไดอ้ ะไรละ่

แตถ่ า้ มนั มสี ตปิ ญั ญาขนึ้ มา มนั ตงั้ ใจทำ� ของมนั เดนิ จงกรม
กร็ วู้ า่ เดนิ จงกรม วนั เวลาไมเ่ กยี่ ว เราคน้ ควา้ หาจติ ของเรา ถา้ คน้ ควา้
หาจติ ของเราเจอ ถา้ มันสงบขน้ึ มาก็สงบของเรา

แล้วเวลาท�ำข้ึนมาแล้ว คนเราภาวนามาแล้วจะสูงส่ง
ขนาดไหน มนั ตอ้ งอาศยั สมาธติ ลอดไป ถา้ อาศยั สมาธติ ลอดไปนะ
เขากต็ อ้ งทำ� ความสงบของเขาตอ่ เนอื่ งกนั ไป ไมใ่ ชว่ า่ ทำ� ความสงบ
ของใจเข้ามา เสรจ็ แล้วพอภาวนาเปน็ แลว้ สมาธิไม่จำ� เปน็ ไม่มี

96 • เทศนบ์ นศาลา

สมาธิเป็นที่พักผอ่ น ทุกขค์ วรก�ำหนด แลว้ สุขล่ะ เวลา
เปน็ สมาธิข้ึนมามันมีความสุขความสงบของมัน เวลาถ้ามันเข้าไป
เผชิญกับกิเลส เข้าไปต่อสู้กับกิเลส มันทั้งเหน่ือย ท้ังกระหาย
ท้ังหิวโหย ร้อยแปดเลย

แต่ถ้ามันกลับมาพุทโธ กลับมาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ
เวลาสงบ หมดเลย ไอ้หิว ไอ้กระหาย ไอ้อ่อนเพลียต่างๆ
โลง่ หมดเลย แล้วเวลามันโลง่ ถา้ โลง่ แลว้ ถา้ มกี �ำลงั แล้วกลบั มา
ใช้ปัญญา ถ้ากลับมาใช้ปัญญาข้ึนมามันพิจารณาไป เพราะอะไร
เพราะวิปัสสนาอ่อนๆ มันก็ปล่อยวางอ่อนๆ ไป วางไปๆ
วิปัสสนาอ่อนๆ พอมันวิปัสสนาอีก มันก็วิปัสสนาให้มันเข้มแข็ง
ขนึ้ มา

ถ้าพิจารณากายแล้ว พิจารณากายขนาดไหน ถ้ามัน
ปล่อยวางได้ ปล่อยวางได้เดี๋ยวก็พิจารณากายใหม่ เพราะมัน
พิจารณาๆ ไป ถ้ามันพิจารณา วิปัสสนาอ่อนๆ ถ้ามันเข้มแข็ง
ขน้ึ มานะ มนั ตอ่ เนอ่ื งไปกเ็ ปน็ ตทงั คปหาน คอื ชวั่ คราวๆ คอื ปลอ่ ยวาง
ชวั่ คราวๆ

การวา่ ปลอ่ ยวางชวั่ คราว ปลอ่ ยวางชว่ั คราวมนั กเ็ หมอื น
สามัญส�ำนึก มันรับรู้ได้แค่น้ี แต่เวลาถ้ามันสมุจเฉทปหานน่ะ
กงั วานกลางหวั ใจเลย

จากปถุ ชุ น เวลานกั วทิ ยาศาสตรท์ างโลกเขายงั คดิ วา่ จติ น้ี
เวยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะ จติ นเ้ี วยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะจรงิ หรอื

อุปโลกนธ์ รรม • 97

จรงิ หรอื มนั มชี าตนิ ช้ี าตหิ นา้ จรงิ หรอื มนั มจี รงิ ๆ หรอื ทางวทิ ยาศาสตร์
เขาพจิ ารณากนั แลว้ นะ วทิ ยาศาสตรเ์ ขาวนิ จิ ฉยั แลว้ ดว้ ย บอกวา่
มชี าตเิ ดยี ว ไมม่ ชี าตหิ นา้ ไมม่ ี เพราะอะไร เพราะสสารในรา่ งกายน้ี
มันจดจำ� ไปชาตหิ น้าไม่ได้ มีชาติเดียว

แตถ่ า้ วปิ สั สนา วปิ สั สนาถา้ มนั เปน็ ความจรงิ ถา้ เวลามนั
ตทงั คปหานชวั่ คราวๆ มนั กไ็ ดแ้ คน่ ้ี มนั กย็ งั งงๆ อยู่ ถา้ วทิ ยาศาสตร์
พูดอย่างนี้ เออ! มันก็จริง เพราะเขาพิสูจน์ได้ แต่ของเรา
ยงั พิสูจน์ไม่ได้

แตพ่ จิ ารณาแลว้ พจิ ารณาเลา่ ๆ เวลาสมจุ เฉทปหานมนั ขาด
สักกายทิฏฐิ วิจิกจิ ฉา สีลพั พตปรามาส เวลาสกั กายทิฏฐิ ทฏิ ฐิ
ความเหน็ ผดิ ทฏิ ฐคิ วามเหน็ ผดิ ในกาย สกั กายทฏิ ฐิ ทฏิ ฐใิ นกายนี้
ความเห็นว่ากายของเราเป็นของเรา จิตเป็นของเรา เรายึดมั่น
ในตัวของเรา ถ้ามันพิจารณาซ้�ำแล้วซ้�ำเล่าๆ โดยตทังคปหาน
ก็ปล่อยมาๆ ปลอ่ ยกค็ อื ก�ำลังมันปล่อย กำ� ลังของปัญญา ปัญญา
พจิ ารณาของมนั ไป แตม่ นั ไมถ่ งึ ทสี่ ดุ มนั ไมส่ ามารถละสงั โยชนไ์ ด้
แต่เวลามันขาด กังวานกลางหัวใจนะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส

คำ� วา่ “สีลพั พตปรามาส” มนั ลูบๆ คลำ� ๆ วจิ ิกิจฉาคอื
สงสัย เวลามันขาด พระโสดาบัน รู้ทันทีเลย เกิดอีก ๗ ชาติ
มนั รไู้ ด้อยา่ งไรละ่ มันรูไ้ ด้อย่างไร

98 • เทศน์บนศาลา

โดยสจั จะโดยความเปน็ จริงนะ พระโสดาบันละกิเลสได้
๒๕ เปอรเ์ ซน็ ต์ ถา้ เวลาถา้ สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี พั พตปรามาส
ถา้ สงั โยชนม์ นั ขาด เวลามนั ขาดนพี่ าดกระแส นพ่ี ระอญั ญาโกณฑญั ญะ
มดี วงตาเหน็ ธรรม

“อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะ
รแู้ ลว้ หนอ” พระอญั ญาโกณฑญั ญะเปน็ พระโสดาบนั องคส์ มเดจ็
พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าอนุโมทนา

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อนุโมทนา
พระอัญญาโกณฑญั ญะรู้ รู้อะไร มีดวงตาเห็นธรรม เห็นอย่างไร
เห็นอะไร นเี่ วลามันขาด รู้ทนั ทีว่าอกี ๗ ชาติ

เพราะบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ
อาสวกั ขยญาณ บพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ยอ้ นอดตี ชาตไิ ปไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ
จุตูปปาตญาณ มันจะเกิดไปไม่มีท่ีสิ้นสุด อาสวักขยญาณ
ช�ำระล้างกเิ ลส จบ

แลว้ สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี พั พตปรามาส มนั พาดกระแส
มันพาดกระแส พาดอะไร อะไรพาด เอาอะไรไปพาดกระแส
แลว้ กระแสอะไร แล้วอะไรร้วู ่าเกดิ หรือไมเ่ กดิ

ถ้าไม่อุปโลกน์ ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงตาม
ข้อเท็จจริงอันนี้ มันยืนยันตามธรรมธาตุ ธาตุของธรรม
ธรรมเหนอื โลกๆ ไง

อุปโลกนธ์ รรม • 99

ไอ้ท่ีว่าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย
ผลของวฏั ฏะ ผลของวฏั ฏะคอื เวยี นวา่ ยตายเกดิ นไ่ี ง แลว้ เวลามนั
พาดกระแสแลว้ มันรไู้ ดอ้ ย่างไร

อกี ๗ ชาตเิ ทา่ นนั้ นะ โดยขอ้ เทจ็ จรงิ แตถ่ า้ พระโสดาบนั
มันก็มีหลายประเภท ประเภทน้ันน่ะ ๓ ชาติ หรือว่าอย่าง
พระอานนท์ จากเป็นพระโสดาบนั พระสกิทาคามี พระอนาคามี
สน้ิ กเิ ลสไป นเี่ ปน็ พระโสดาบนั แตก่ ป็ ระพฤตปิ ฏบิ ตั จิ นถงึ สนิ้ กเิ ลสไป
แต่ต้องเป็นตามข้อเท็จจริงนะ ไม่ใช่ธรรมะอุปโลกน์นะ
ไม่ใชโ่ สดาบนั อุปโลกน์ ชักบังสุกลุ เอาไง อปุ โลกน์เอาเลย

แม้แต่กฐินผ้าป่าเขายังต้องมีไทยทานเพื่อเป็นองค์ผ้าป่า
องค์กฐิน ประพฤติปฏิบัติธรรมจะอุปโลกน์เอา คิดเอาเอง
ทำ� เอาเอง คาดหมายเอาเอง อา้ งคนนู้น อ้างคนน้ี อา้ งเขาไปทวั่
ไม่มีความจรงิ ในหัวใจเลยหรือ เปน็ พระโสดาบันได้อย่างไร

พระโสดาบันเขามคี ณุ ธรรมในใจ อกปุ ปธรรมๆ อฐานะ
ที่ไม่มีการเปล่ียนแปลง ถ้ามันสมุจเฉทปหานตามความเป็นจริง
เอวัง


Click to View FlipBook Version