150 • เทศน์บนศาลา
เหมอื นกบั วดิ ทะเลทงั้ ทะเลเลย เพอื่ เอาปลาตวั เดยี ว แตก่ ค็ รองเรอื นกนั
ท้ังโลก ไม่มีใครออกจากเรือน ไม่มีใครออกประพฤติปฏิบัติ
เวลาออกไปประพฤตปิ ฏิบตั ิขึ้นมาก็ทกุ ข์ๆ ยากๆ
เวลาประพฤติปฏิบัติ เราก็พยายามขวนขวายของเรา
ถ้ามันประพฤติปฏิบัติ คนท่ีมีอ�ำนาจวาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์
เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วจะประพฤติปฏิบัติ ออกบวชๆ
เวลาออกบวชขน้ึ มาแลว้ จะแสวงหาครบู าอาจารยท์ ดี่ ี เราจะประพฤติ
ปฏบิ ตั ขิ นึ้ มาเพอื่ ใหพ้ น้ จากทกุ ขๆ์ ไง แนวทางปฏบิ ตั กิ ม็ หาศาลใชไ่ หม
เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามขวนขวาย
ของทา่ นๆ ทา่ นไปแสวงหาทไ่ี หนกแ็ ลว้ แต่ เพราะคนทมี่ อี ำ� นาจวาสนา
มนั จะมจี ดุ ยนื นะ เวลามจี ดุ ยนื มนั จะเทยี บเคยี งกบั คำ� สง่ั สอนของเขา
พฤตกิ รรมของเขา การกระทำ� ของเขา มนั มอี ยจู่ รงิ หรอื ไม่ ถา้ มนั
ไมม่ อี ยจู่ รงิ เราทง้ิ สละจากทน่ี นั้ ไป ไปหาทใี่ หมๆ่ หาทไี่ หนมคี นรแู้ จง้
คนร้แู จ้งมันหามาจากไหน มันหาไม่ได้ เหน็ ไหม ทา่ นถงึ พยายาม
ประพฤติปฏบิ ัติขึ้นมาตามข้อวตั ร แล้วพยายามคน้ ควา้ ข้ึนมา
เพราะมนั เปน็ ยคุ เปน็ คราวนะ คำ� วา่ “เปน็ ยคุ เปน็ คราว”
เวลาคนมบี ญุ เกดิ เวลาคนมบี ญุ เกดิ นะ สงั คมรม่ เยน็ เปน็ สขุ ฝนฟา้
ตกตอ้ งตามฤดกู าล การอยขู่ องสงั คมมนั มคี วามสขุ เวลามแี ตค่ นบาป
เกดิ นะ สงั คมมแี ตค่ วามทกุ ขค์ วามรอ้ น มแี ตภ่ ยั แลง้ อาหารการกนิ
ก็ไม่มี ทุกอยา่ งทกุ ขย์ ากไปหมด
เวลาคนมีบุญเกิด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าช้ีไว้ในพระไตรปิฎก ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง
ในสติปฏั ฐานสม่ี ี • 151
กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหน่ึง หลวงปู่ม่ัน
ทา่ นพดู ไวว้ า่ มนั จะเจรญิ ตง้ั แตส่ มยั พระจอมเกลา้ ฯ กอ่ น พ.ศ. ๒๕๐๐
กง่ึ พทุ ธกาลนนั่ นะ่ เวลาครบู าอาจารยท์ า่ นประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องทา่ น
มนั มแี นวทาง สงั คมมนั ซบั ซอ้ นมาเพอ่ื จะใหค้ น้ ควา้ ไง เวลาคน้ ควา้
ข้ึนมา แลว้ ใครรจู้ ริงละ่ สัจธรรม สจั ธรรมมันอยทู่ ไี่ หน
ธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ธรรมและวนิ ยั
เปน็ ศาสดาของเราๆ กไ็ ดศ้ กึ ษามาเพอื่ เปน็ แนวทางกบั เรา ศกึ ษามา
ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจา้ ปริยตั ิ ปฏิบัติ ปฏิเวธ โลกยี ปญั ญา โลกุตตรปัญญา
ก็แนวทางในพระพุทธศาสนามันมีอยู่แล้ว แต่ศึกษามาๆ ก็ไป
หยิบฉวยมาประดับเกียรติของกิเลส กิเลสเอามาชูธง ชูธงว่า
แนวทางปฏิบตั แิ นวทางนั้นดี ปฏิบัติไปแนวทางนด้ี ี
ธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ถา้ ชำ� ระลา้ ง
กิเลส เห็นไหม รวงข้าว เวลาข้าวมันออกรวง มันแก่
มนั นอ้ มลงตำ�่ หลวงปเู่ สาร์ หลวงปมู่ น่ั ไมเ่ คยไปทะเลาะเบาะแวง้
ไมเ่ คยไปโชวใ์ ครเลยวา่ แนวทางไหนดี ทา่ นเกบ็ เนอื้ เกบ็ ตวั ของทา่ น
ชอ่ื เสยี งกติ ตศิ พั ทก์ ติ ตคิ ณุ ขจรขจายไปทว่ั โลก คนทจี่ ะประพฤติ
ปฏบิ ัติตอ้ งแสวงหา ตอ้ งพยายามขวนขวายไปหาทา่ น
พอไปหาท่าน ท่านไม่ให้อยู่ด้วย พระอยู่จ�ำพรรษากัน
๔ องค์ ๕ องคเ์ ทา่ นนั้ อยา่ งมาก นอกน้นั ให้อยู่ชายขอบ มีเวลา
เข้ามาแล้วให้เข้ามาฟังธรรม เสร็จแล้วให้ออกไปประพฤติปฏิบัติ
นี่ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา เห็นไหม สูงสุดสู่สามัญไง
152 • เทศน์บนศาลา
นอ้ มลงตำ่� ๆ ไมช่ ธู งวา่ สง่ิ นนู้ ดอี ยา่ งนี้ สงิ่ นด้ี อี ยา่ งนนั้ เวลาไปปฏบิ ตั ิ
ก็ไปปฏิบตั ิแนวทางสติปฏั ฐาน ๔
เวลาครูบาอาจารย์ “แลว้ ปฏิบัติอย่างไร”
“กป็ ฏบิ ัตแิ นวทางสตปิ ัฏฐาน ๔ สิคะ”
“แล้วเอาอะไรปฏิบตั ิล่ะ”
“กป็ ฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ สคิ ะ”
แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ก็ธรรมวินัยขององค์สมเด็จ
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไง กท็ อ่ งจำ� กนั มาไง แลว้ เอาอะไรปฏบิ ตั ลิ ะ่
“กป็ ฏิบัตติ ามแนวทางสตปิ ฏั ฐาน ๔”
สติปัฏฐาน ๔ อยา่ งไร
“ก็แนวทางสติปฏั ฐาน ๔”
กเ็ อาบาลีมาถกเถียงกัน แล้วไดอ้ ะไรขึ้นมาละ่
แตจ่ ติ นเ้ี ปน็ ไดห้ ลากหลายนกั จติ นี้ เหน็ ไหม แคช่ าวพทุ ธเรา
มศี รทั ธาความเชอื่ ในพระพทุ ธศาสนา เรากแ็ สวงหาคณุ งามความดี
ของเรา เราพยายามแสวงหาความดขี องเรา เดยี๋ วกเิ ลสมนั แทรกแซงมา
กพ็ ยายามใชส้ ตยิ บั ยงั้ มนั เราปฏบิ ตั ขิ องเราไปมนั กย็ งั มคี วามรม่ เยน็
เป็นสุขไง เวลาคนท่ีประพฤติปฏิบัติไปจะถูกต้องดีงามไม่ดีงาม
อยา่ งไร เขากพ็ ยายามขวนขวายของเขา พยายามหกั หา้ มความรสู้ กึ
นกึ คดิ ของเขา มันก็อยู่ในแนวทาง ก็แค่น้นั
ในสติปฏั ฐานสมี่ ี • 153
“แนวทางสติปัฏฐาน ๔ สคิ ะ”
เวลาท�ำปฏิบัตินะ แล้วเวลาปฏิบัติไป เวลาคนที่
ประพฤติปฏิบัติ น่ีพูดถึงว่าในแนวทางท่ีเขายกย่องว่าเป็นปัญญา
เวลาผทู้ ป่ี ระพฤตปิ ฏบิ ตั ดิ ว้ ยกนั หายใจเขา้ นกึ พทุ หายใจออกนกึ โธ
เขาบอกไอ้น่ันเป็นสมถะ ไอ้น่ันมันเสียเวลาเปล่า ไอ้นั่นไม่เป็น
วิปัสสนา
คนที่มีสติมีปัญญาก็พยายามขวนขวายของเขา เวลา
ขวนขวายของเขา เวลามนั ไปรไู้ ปเหน็ สง่ิ ตา่ งๆ ขน้ึ มามนั กว็ า่ นนั่ คอื
การพจิ ารณา
มันจะไปพจิ ารณาอะไร โลกียปญั ญา ถา้ โลกุตตรปญั ญา
โลกุตตระมันจะเกิดอย่างไร ถ้ามันยังไม่เกิด มันเป็นไปไม่ได้
มันกเ็ ป็นไปไมไ่ ดท้ ัง้ สิ้น ถ้าเป็นไปไมไ่ ด้ เหน็ ไหม
เวลาเราเปน็ นกั ปฏบิ ตั นิ ะ เรม่ิ ตน้ จากการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
เรากม็ คี วามทกุ ขค์ วามยากมาในหวั ใจทง้ั นน้ั เรามเี ปา้ หมายของเราวา่
เราจะพ้นจากทุกข์ เราอยากประพฤติปฏิบัติให้ได้มรรคได้ผล
ถา้ ไดม้ รรคไดผ้ ลขนึ้ มา เราปฏบิ ตั ขิ องเรา ถา้ เราหายใจเขา้ นกึ พทุ
หายใจออกนึกโธ ท�ำความสงบของใจเราเข้ามา เราก็มีความสุข
ความสงบระงับพอสมควร ถ้าพอสมควร ถ้ามันรู้มันเห็นส่ิงใด
มันก็รู้เห็นของมันใช่ไหม ตามแต่ท่ีครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติ
แนวทางของใคร
154 • เทศนบ์ นศาลา
แนวทางส่วนแนวทาง แต่ความจริงกับความเท็จ
อกี เรอ่ื งหนง่ึ เหน็ ไหม ระหวา่ งกเิ ลสกบั ธรรมๆ ถา้ มนั เปน็ ธรรมๆ
ขึ้นมา มันก็จะเป็นอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด
เป็นธรรมๆ ขน้ึ มา ใจมนั กม็ ีหลกั มีเกณฑข์ น้ึ มา มีหลกั มีเกณฑ์
ขน้ึ มามนั ก็พฒั นาของมนั ขึ้นไป
ถา้ มันไม่เป็นธรรมๆ มันก็เป็นเรื่องวปิ สั สนึก นึกเอาเอง
นกึ เอาเอง สรา้ งภาพเอง มนั กเ็ ปน็ ไปตามความเหน็ ของมนั นนั่ นะ่
ถ้าประพฤติปฏิบัติ น่ีไง หลวงปู่ม่ันท่านบอกไง จิตนี้
เป็นได้หลากหลายนักๆ เริ่มต้นก็กิเลสของเรากิเลสอย่างหยาบๆ
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไม่พอใจต่างๆ เวลาถ้า
ท�ำความสงบของใจเข้ามา อุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียด กิเลส
อย่างละเอียดมนั กห็ ลอกมนั กล็ ่อ เหน็ ไหม
เวลาครบู าอาจารยท์ ไ่ี มเ่ ปน็ ไง “จติ สงบแลว้ กพ็ จิ ารณากายสิ
จิตสงบแล้วกพ็ จิ ารณากายสิ”...กายอะไร
เวลาค�ำว่า “กาย” เวลาโดยพ้ืนฐาน โดยสามัญส�ำนึก
ของมนุษย์ โดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ กาย
เวทนา จติ ธรรม มนั เปน็ สจั จะเปน็ ความจรงิ ทง้ั นนั้ นะ่ เวลาคนที่
ประพฤติปฏิบตั ิหายใจเข้านกึ พทุ หายใจออกนึกโธ
เวลากเิ ลสมนั รนุ แรงขนึ้ มา หายใจเขา้ พทุ หายใจออกโธ
มันก็หายใจไม่ได้ ก�ำหนดค�ำบริกรรมก็ไม่ได้ เห็นไหม
ใหก้ ำ� หนดมรณานสุ ติ ระลกึ ถงึ ความตายๆ เวลาคนทม่ี นั มพี น้ื ฐานที่
ในสติปัฏฐานสี่มี • 155
หยาบชา้ คนทห่ี วั ใจทม่ี นั ดอ้ื ดา้ น เวลาหวั ใจมนั ดอ้ื ดา้ น ครบู าอาจารย์
ก็บอกว่าให้ไปเท่ียวป่าช้า ให้ไปอยู่กับซากศพ ให้ไปพิจารณา
มันกเ็ ปน็ พ้ืนฐานเพอ่ื ทำ� ความสงบของใจทง้ั สิ้น น่ีโดยพื้นฐานๆ
นไี่ ง มนษุ ยเ์ กดิ มาจากไหน จติ นเ้ี วยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะๆ
เวลามนั เกดิ มา มนั เกดิ มาเพราะอะไร มนั เกดิ มาเพราะเวรเพราะกรรม
ของมัน ถ้าเพราะเวรเพราะกรรมของมัน แต่มันได้มีบุญกุศล
มนั ได้เกิดมาเปน็ มนษุ ย์ เกิดเป็นมนุษยข์ นึ้ มาแล้วถ้ามีสติมปี ญั ญา
เราจะประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ น้ึ มาเพอื่ คมุ้ ครองดแู ลหวั ใจของตน มนั กจ็ ะ
พยายามของมัน
ถา้ มคี วามพยายาม การพยายาม ธรรมะขององคส์ มเดจ็
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันจะรู้เฉพาะตน
มนั เปน็ สนั ทฏิ ฐโิ กรเู้ ฉพาะหวั ใจดวงนน้ั ถา้ หวั ใจดวงนนั้ เปน็ ความจรงิ
ขึ้นมา มันมีอ�ำนาจวาสนาข้ึนมา มันก็พยายามขวนขวายของมัน
ถา้ ขวนขวายของมนั นะ ถ้าเปน็ ความจรงิ ขน้ึ มา
“ปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ สิคะ” มันก็มีแต่คารม
มแี ตส่ ญั ญาอารมณ์ มแี ตก่ ารคาดหมายกนั ไป แตด่ ว้ ยมารยาทสงั คม
ปฏิบตั แิ ลว้ มนั ก็นุม่ นวล นมุ่ นวลก็ดูว่าเป็นจริงเป็นจัง
แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คนที่ประพฤตปิ ฏิบตั ินะ ถา้ มนั มีอำ� นาจวาสนาแลว้ ดแู ลดๆี เวลา
จิตมันสงบระงับมันก็เป็นไปของมัน เวลาท่ีมันเส่ือม เวลาที่มัน
ดอ้ื ดา้ น เวลามนั ดื้อมันด้าน มันฟาดงวงฟาดงา
156 • เทศน์บนศาลา
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า
กเิ ลสเหมอื นชา้ งสารทตี่ กมนั อยใู่ นกลางหวั ใจเราน่ี เวลาชา้ งตกมนั
ก็กระฟัดกระเฟียดขนาดไหน ถ้ามันกระฟัดกระเฟียดขนาดไหน
เวลาจติ ที่มันประพฤติปฏิบัติถา้ มนั ดงี าม มนั ก็ดีงามของมัน
เวลามันกระฟัดกระเฟียด ดูผู้ท่ีประพฤติปฏิบัติแล้ว
แหลกเหลวไปก็เพราะว่าเวลาจิตมันเสื่อม จิตมันตกต่�ำ แล้วมัน
ไม่มีการฟื้นฟู มันไม่มีการกระท�ำของมันข้ึนมาไง นี่เวลาถ้ามัน
ไมม่ สี ตไิ มม่ ปี ญั ญา ครบู าอาจารยข์ องเราทา่ นถงึ บอกพยายามจะให้
รักษา พยายามจะดูแลใหด้ ีขึน้ มา ถา้ ดแู ลใหด้ ขี ึ้นมา เห็นไหม
ถา้ เปน็ จรงิ ทำ� ความสงบของใจเขา้ มา ถา้ ใจสงบระงบั แลว้
ถ้ามันเป็นจริงแล้วมันจะรู้เห็นตามความเป็นจริงของมัน ถ้ารู้เห็น
ตามความเปน็ จริงของมนั
ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน ศีล สมาธิ ปัญญา
เรามศี ลี หรอื ไม่ เรามสี มาธหิ รอื ไม่ เรามปี ญั ญาหรอื ไม่ ถา้ เรามศี ลี
มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา เราขวนขวายขึ้นมา มันจะเริ่มต้น
ในการวิปัสสนา ในการท�ำคุณงามความดีของเรา แต่มันไม่มี
พอไม่มีข้ึนมา “กาย กายก็เป็นอริยสัจ เวทนาก็เป็นอริยสัจ
จิตก็เป็นอริยสัจ ธรรมก็เป็นอริยสัจ”...มันจะเป็นอริยสัจไปได้
อยา่ งไร ความท่เี ป็นอรยิ สัจน้มี ันเปน็ สามัญสำ� นกึ มันเป็นปญั ญา
สามญั ชน มนั จะเปน็ อรยิ สัจไปไหน มนั เปน็ อรยิ สจั ไปไม่ได้
ในสตปิ ัฏฐานสี่มี • 157
แต่ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามีจิต ในสติปัฏฐาน ๔ มี
ในสตปิ ัฏฐาน ๔ มีกาย มเี วทนา มจี ติ มีธรรม ถา้ ในธรรมะของ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา
ภาวนามยปญั ญา สตุ มยปญั ญาคอื การศกึ ษามาๆ กท็ อ่ งจำ� ทงั้ นนั้ นะ่
การท่องจำ� นกแก้วนกขุนทองมนั ไม่มอี ย่จู ริงหรอก
แต่ถ้ามันจะเป็นจริงๆ ข้ึนมา ในสติปัฏฐาน ๔ มีกาย
เวทนา จติ ธรรม เหน็ ไหม ถา้ มนั เปรยี บเทยี บ เหมอื นกบั อาหาร
สิ่งที่มีอาหารขึ้นมา เขาจะแกงเทโพ เวลาแกงเทโพเขามีหมู
มพี รกิ แกง เขาตอ้ งมผี กั บุ้ง เขามตี า่ งๆ เขากแ็ กงข้นึ มา มันเปน็
แกงเทโพ
แกงเทโพมผี กั บงุ้ แตใ่ นผกั บงุ้ ไมม่ แี กงเทโพ ในผกั บงุ้ กผ็ กั บงุ้
ศีล สมาธิ ปัญญา เวลามีศีล มีสติ มีสมาธิ ถ้ามีศีล มีสติ
มีสมาธิข้ึนมา เรามีวัตถุพร้อมแล้ว ถ้ามีวัตถุท่ีพร้อมแล้วเราจะ
แกงเทโพ มันก็จะเปน็ แกงเทโพข้นึ มา
ถ้าผักบุ้งก็มี หมูก็มี พริกแกงก็มี ปล่อยไว้ให้มันเน่า
มนั เสีย แกงไมเ่ ปน็ แกงไม่เป็นกท็ ้ิงไว้นนั่ เห็นไหม แล้วพอแกง
ไม่เป็นข้ึนมา พอปฏิบัติไปมีอายุพรรษาขึ้นมา เวลาส่ังสอนนะ
“กายกค็ อื อรยิ สจั เวทนากค็ อื อรยิ สจั จติ กเ็ ปน็ อรยิ สจั ธรรมกเ็ ปน็
อรยิ สจั เปน็ สตปิ ฏั ฐาน ๔”...สตปิ ฏั ฐาน ๔ อะไร
ในสตปิ ฏั ฐาน ๔ มีกาย มเี วทนา มจี ิต มธี รรม
ในกาย ในเวทนา ในจติ ในธรรม ไมม่ สี ตปิ ฏั ฐาน ๔ ไมม่ ี
158 • เทศนบ์ นศาลา
ในผกั บงุ้ ไมม่ ีแกงเทโพ ในแกงเทโพมผี ักบงุ้
ถา้ เปน็ ผกั บงุ้ ผกั บงุ้ คอื ผกั บงุ้ กายกเ็ ปน็ กาย จติ กเ็ ปน็ จติ
เวทนาก็เปน็ เวทนา ธรรมกเ็ ป็นธรรม
กาย ถ้ามันเป็นสติปัฏฐาน ๔ มันเป็นอริยสัจ คนตาย
ซากศพเยอะแยะไปหมด น่ันคือกาย เวลาร่างกายของเรา
มนั เจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย รา่ งกายของเรามนั เปน็ อรยิ สจั ไหม คนอยนู่ อกศาสนา
คนทไี่ มเ่ ชอื่ ในพระพทุ ธศาสนา เขาไมเ่ ชอื่ ของเขา กายเปน็ อรยิ สจั ไหม
กายไม่เป็นอริยสจั
เวทนา เจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย ความทกุ ขค์ วามยาก เปน็ อรยิ สจั ไหม
ถา้ เป็นอรยิ สจั ทำ� ไมเอ็งเจบ็ ปวดคร�ำ่ ครวญรอ้ งไห้ ถา้ เป็นอรยิ สัจ
ท�ำไมเอ็งไมว่ ิปสั สนา เอง็ ไมร่ แู้ จง้ ในเวทนานน้ั
จิต ดูสิ คนคิดฟุ้งซ่าน คนคิดร้อยแปดไป มันเป็น
อริยสัจไหม
เวลาอารมณ์ อารมณ์ความรู้สึก ธรรมารมณๆ์ มันเปน็
อริยสจั ไหม มนั ไมเ่ ป็น มันไม่เป็นอรยิ สจั
กาย เวทนา จิต ธรรม ก็คือกาย เวทนา จิต ธรรม
แนวทางสตปิ ฏั ฐาน ๔ แนวทางสตปิ ฏั ฐาน ๔ ในพระพทุ ธศาสนา
องคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าสอนแนวทางสตปิ ัฏฐาน ๔
เราทำ� ความสงบของใจเขา้ มา ถา้ ใจมนั สงบระงบั เขา้ มาแลว้
นใ่ี จสงบระงบั มนั ยงั ยกขน้ึ สวู่ ปิ สั สนาไมเ่ ปน็ นไี่ ง เวลาเรามศี ลี มสี มาธิ
ในสติปัฏฐานสีม่ ี • 159
ปญั ญาวปิ สั สนาไมไ่ ด้ มผี กั บงุ้ พรอ้ ม มหี มพู รอ้ ม มพี รกิ แกงพรอ้ ม
ทงิ้ ไวเ้ นา่ หมดเลย เจรญิ แลว้ เสอ่ื ม เสอื่ มแลว้ เจรญิ มนั เอาแกงเทโพ
มาจากไหน
แกงเทโพมันก็อยู่ที่การประพฤติ อยู่ที่การฝึกหัด อยู่ที่
การกระทำ� ถา้ อยทู่ ก่ี ารประพฤติ อยทู่ กี่ ารฝกึ หดั อยทู่ ก่ี ารกระทำ�
เห็นไหม เป็นพ่อครัวใหม่ เวลาเห็นเขาแกงก็แกงตามเขาไป
มันจะเป็นแกงก็ไม่เป็นแกง ก็เป็นต้ม เวลาท�ำไม่เป็นข้ึนมา
เขาแกงเทโพ ไอ้น่มี นั เปน็ แกงส้ม แกงสม้ ผกั บงุ้
เขาแกงเทโพ เขามีกะทิ เขาก็มีเคร่ืองแกงของเขา
มนั แกงเทโพ เรากท็ ำ� กบั เขา แตเ่ ราใสไ่ มส่ มบรู ณข์ องเรามนั กเ็ ปน็
แกงส้ม แล้วผักบุ้ง ผักบุ้งมันจะไปผัดผักบุ้งไฟแดงนู่นน่ะ
แล้วมันก็จะแถ “กายเป็นอย่างนั้น กายเป็นอย่างนี้ ผักบุ้ง
จะเป็นอะไรก็ไดถ้ า้ เราใช้สติปัญญาของเรา”
ผักบุ้งก็คือผักบุ้ง นี่เขาพูดถึงแกงเทโพ ผักบุ้งมันจะ
ผดั ผกั บ้งุ ไฟแดงกไ็ ด้ ผักบงุ้ แกงส้มกไ็ ด้ ผกั บุ้งจม้ิ น�้ำพริกก็ได้
น่ีก็เหมือนกัน “พิจารณากายสิคะ เวลาจิตสงบแล้ว
พจิ ารณากายสิ พิจารณากาย”
พจิ ารณาอยา่ งไร แลว้ พจิ ารณาแลว้ มนั เปน็ อยา่ งไร เคยกนิ
แกงเทโพไหม เคยกินแกงส้มไหม เคยกินผักบุ้งไฟแดงหรือเปล่า
มันต่างรสชาติ มันต่างสถานะ มันมีความแตกต่าง มันมีรสชาติ
ไม่เหมือนกนั
160 • เทศนบ์ นศาลา
นก่ี เ็ หมอื นกนั ถา้ มนั ภาวนาเปน็ นะ ในสตปิ ฏั ฐาน ๔ มกี าย
มีเวทนา มจี ิต มีธรรม ในสตปิ ฏั ฐาน ๔ นอกสตปิ ฏั ฐาน ๔ นี่ไง
กายก็คือกาย มันเป็นเรื่องโลกๆ เวลาคนเกิดมา มนุษย์เกิดมา
มีกายกับใจๆ แล้วก็ตายหมด เกิดมาตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีสิ่งใด
เป็นสมบัติเป็นชิ้นเป็นความดีของตนไปเลย แล้วเกิดมาแล้ว
ยงั ทำ� ความเลวทรามต่างๆ มนั ย่ิงไดเ้ วรกรรมเพ่มิ มากข้นึ ไปอีก
เวลาเกิดมาแล้ว ตายแล้วอย่างน้อยให้ได้เกิดเป็นมนุษย์
มนษุ ยส์ มบตั ิ ถา้ จะเปน็ เทวดา อนิ ทร์ พรหม สรา้ งคณุ งามความดี
เวลาตายแลว้ จติ ตคหบดี เขาเอารถเทวดามารบั รถสวรรคม์ ารบั เลย
นี่ไง ถ้าจติ เวยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้
เชอ่ื กรรม กรรมคอื การกระทำ� ทำ� ดี ทำ� ชวั่ ถา้ ทำ� คณุ งามความดี
ท�ำคุณงามความดีทางโลก เราก็ได้ส่ิงท่ีเป็นผลเป็นอามิส
ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า เราจะฝึกหัดใจของเราข้ึนมาให้เป็นสัจจะ
เปน็ ความจริงข้นึ มา ถา้ เปน็ สัจจะเปน็ ความจรงิ ขึน้ มา ถา้ เป็น
ความจริงข้ึนมามันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันจะรู้
ความจริงของมนั ขึ้นมาในหวั ใจอนั นน้ั
ถา้ หัวใจอันนน้ั นะ เวลาเราประพฤตปิ ฏิบตั ิเร่มิ ตน้ เวลา
คนทปี่ ฏบิ ตั ลิ ม้ ลกุ คลกุ คลานทงั้ นนั้ นะ่ เพราะวา่ ปถุ ชุ น ปถุ ชุ นคนหนา
ถ้าปถุ ชุ นคนหนา กิเลสมนั ย่�ำยที ั้งน้นั น่ะ ถ้าปุถชุ นคนหนา กิเลส
เจ้าวัฏจักรมันครอบครองหัวใจของสัตว์โลกต้ังแต่พรหมลงมาเลย
ในสตปิ ฏั ฐานสมี่ ี • 161
มันครอบครองหมด เว้นไว้แต่พรหมที่เป็นอริยเจ้า ถ้าอริยเจ้า
มนั มสี ว่ นของพญามาร แตล่ กู หลานมนั เขารทู้ นั มนั ควบคมุ มนั ได้
นถ่ี ้าเป็นจริงๆ นะ
แต่ถ้าไม่เป็นจริงนะ มืดบอด มืดบอดก็ไม่รู้หน้ารู้หลัง
ไม่รู้สิ่งใดท้ังสิ้น เช่ือแต่ความเห็นของตน เช่ือแต่ความหยาบช้า
ของกเิ ลสทม่ี นั เหยยี บยำ�่ ทำ� ลายหวั ใจของตน แลว้ ถา้ คนไมม่ วี าสนา
มนั กไ็ มเ่ ชอ่ื สง่ิ ใดๆ เลย ถา้ คนมวี าสนาเวลาเชอื่ ขน้ึ มากเ็ ชอ่ื โดยกเิ ลส
ท่มี ันบิดเบือน บิดเบือนให้อา้ งอิง อ้างองิ ไปไง
นไี่ ง แตถ่ า้ เปน็ จรงิ ๆ ขน้ึ มา คนทมี่ สี จั จะมคี วามจรงิ ขนึ้ มา
เขาต้องทดสอบใจของเขา ทดสอบใจของเขา ถ้าเป็นสมาธิ
แคเ่ ปน็ สมาธนิ ม่ี หศั จรรยแ์ ลว้ สว่ นใหญท่ ท่ี ำ� กนั ไมไ่ ด้ ทำ� สมาธไิ มเ่ ปน็
ทำ� สมาธไิ มเ่ ปน็ แล้วกายยังเปน็ อรยิ สัจอกี
ผักบุ้งไม่ใช่แกงเทโพ กายเป็นกาย กายมันจะเป็นไปได้
แนวทางสตปิ ฏั ฐาน ๔ หลวงปูเ่ สาร์ หลวงปู่มั่นทา่ นสอนแนวทาง
สตปิ ฏั ฐาน ๔ แต่ทา่ นสอนตามความเปน็ จรงิ ตามความเปน็ จรงิ
เพราะคนเรามนั อยู่ท่อี �ำนาจวาสนา อยู่ทอ่ี ำ� นาจวาสนา เห็นไหม
พนั ธกุ รรมของจติ ๆ ใครไดส้ รา้ งสมบญุ ญาธกิ ารมามากนอ้ ยขนาดไหน
ในเมอ่ื ในดวงใจของใครทส่ี รา้ งสมบญุ ญาธกิ ารมา เมลด็ พนั ธ์ุ
ใจดวงนี้เป็นเมล็ดพันธุ์เป็นทุเรียน มันก็ปลูกเป็นทุเรียนทั้งน้ันน่ะ
ถ้ามนั เป็นส้มกป็ ลูกเป็นสม้ ถ้ามันเปน็ กลว้ ยมนั ก็ปลูกเป็นกล้วย
162 • เทศนบ์ นศาลา
นี่ก็เหมือนกัน มันจะพิจารณาเป็นแนวทางอย่างใด
มนั อยทู่ จี่ รติ นสิ ยั ถา้ จรติ นสิ ยั ขนึ้ มา ดสู ิ เวลาหลวงปมู่ น่ั ทา่ นสอน
ทา่ นสอนเฉพาะๆ ทง้ั สนิ้ เวลาสอนเฉพาะๆ ทวี่ า่ องคท์ ม่ี คี วามสามารถ
องคท์ ปี่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ด้ ถา้ องคท์ ไ่ี มม่ คี วามประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ นึ้ มา
ทา่ นกด็ แู ลไวเ้ ปน็ อาจารยก์ บั ลกู ศษิ ย์ กเ็ ทา่ นน้ั นม่ี นั เปน็ เรอ่ื งวาสนา
ของคน ถ้าเรือ่ งวาสนาของคน
ถา้ มนั เปน็ จรงิ ๆ ขนึ้ มา มนั ไมเ่ ปน็ โดยสตู รสำ� เรจ็ หรอก
ปฏิบัติโดยสูตรส�ำเร็จ ไม่มี ปฏิบัติโดยการฝึกทหาร ไม่มี
มนั เป็นแมเ่ ป็ด เป็ดเดนิ เปน็ แถวๆ ไม่มี มันปฏบิ ัติ มันปฏิบตั ิ
ตามความเปน็ จรงิ อนั นน้ั ปฏบิ ตั ติ ามความเปน็ จรงิ ในกเิ ลสของคน
น่ันในกเิ ลสของคน เหน็ ไหม
ถ้าแนวทางสติปัฏฐาน ๔ เวลาประพฤติปฏิบัติไป
มันจะรู้จะเหน็ ส่งิ ใดข้นึ มา มันเห็นส่งิ ใดกไ็ ด้ แลว้ ไม่จำ� เป็นตอ้ ง
เห็นส่ิงใดอย่างหน่ึงตลอดไป มันจะพิจารณาของมัน ถ้ามัน
จบั ตอ้ งสงิ่ ใดมนั จะพจิ ารณาอยา่ งนนั้ ถา้ มนั มสี จั จะความจรงิ นะ
ถ้ามีสัจจะความจริง มันจะเหน็ คณุ คา่ ของจิตทีส่ งบ
จติ ทส่ี งบนะ เรม่ิ ตน้ การกระทำ� หลวงปเู่ สาร์ หลวงปมู่ น่ั
ท่านสอนประจ�ำ ผู้ฝึกหัดใหม่ให้ท�ำความสงบของใจเข้ามา ผู้ที่
ปฏิบัติฝึกหัดใหม่ท�ำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบแล้วนะ
ถา้ ใจมนั สงบระงบั ขน้ึ มามนั จะเหน็ คณุ คา่ ของพระพทุ ธ พระธรรม
พระสงฆ์
ในสติปัฏฐานสมี่ ี • 163
พระ ถ้ารักษาหัวใจของตนได้ มนั จะมคี ณุ คา่ ในความ
เปน็ พระ น่ีในความเปน็ พระไง ผู้ใดเหน็ ธรรม ผูน้ นั้ เหน็ ตถาคต
ผใู้ ดท�ำความสงบของใจเขา้ มาไดน้ ี่เห็นพุทธะ พุทธะ ผรู้ ู้ ผู้ต่นื
ผู้เบิกบานของหัวใจ ถ้าหัวใจมันต่ืน มันเบิกบาน มันองอาจ
มันกล้าหาญของมันนะ มันกล้าหาญ กล้าหาญในจริยธรรม
กลา้ หาญในการไมย่ อมใหห้ วั ใจถกู กเิ ลสกดขี่ มนั จะมสี ตมิ ปี ญั ญา
ถ้าจิตมนั สงบเขา้ มา
แตถ่ า้ จติ มนั ไมส่ งบเขา้ มา มนั เปน็ โลก คำ� วา่ “เปน็ โลก”
เห็นไหม เราอยใู่ นบ้าน แต่จติ ใจเราไมอ่ ยู่ในบ้านเลย มันรอ้ นรน
คดิ แตส่ ง่ ออกไปนอกบา้ นหมด พระ พระทป่ี ระพฤติปฏบิ ัตขิ นึ้ มา
จติ ใจไมอ่ ยกู่ บั เนอื้ กบั ตวั เลยเวลาจติ มนั เสอื่ ม ถา้ จติ มนั มสี ตปิ ญั ญา
ความคิดท่ีส่งออกๆ ไป มันส่งออกไปจากภวาสวะ ส่งออกไป
จากจติ ของเรา
ซากศพคิดไม่เป็น ซากศพคิดไม่ได้ คนตายคิดไม่ได้
คนท่จี ะคดิ ได้ เฉพาะคนเป็นๆ เท่านั้น คนเปน็ ๆ มันมจี ิตอยู่
จติ เวลาจิตนมี้ นั เวียนว่ายตายเกดิ ในวัฏฏะ จิตน้ีมาเกดิ
เป็นเราๆ ด้วยอ�ำนาจวาสนาของเรา มันคิดได้ประสาเรา เวลา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ
ยอ้ นอดตี ชาตไิ ปกวา้ งไกลขนาดไหน ไมม่ ตี น้ ไมม่ ปี ลาย นก่ี เ็ หมอื นกนั
เราเกิดมาเราไม่มีความสงบระงับขึ้นมา เราไม่สามารถย้อน
หรือสามารถดูได้เลยว่าเราน้ีมันมาจากไหน เราไม่รู้หรอก
ถา้ ท�ำความสงบไม่เปน็ เห็นไม่ได้
164 • เทศนบ์ นศาลา
เวลาทำ� ความสงบของใจเขา้ มา เวลาองคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สัมพุทธเจ้า นี่ไง เวลาน่ังลงสู่โคนต้นโพธ์ินั้น “คืนนี้ถ้าไม่ตรัสรู้
เราจะไมล่ กุ จากทนี่ ”ี่ เรม่ิ กำ� หนดอานาปานสติ กำ� หนดลมหายใจเขา้
และลมหายใจออก ดแู ตล่ มหายใจอยา่ งนน้ั อยา่ งใดๆ ไมส่ นใจทงั้ สน้ิ
พอจิตมันสงบระงับเข้าไป พอจิตมันสงบเข้าไป น่ีสัมมาสมาธิ
ถ้าจิตมันสงบเขา้ ไปๆ บพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ ยอ้ นอดีตชาติได้
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตคนที่มันสงบระงับเข้ามา ถ้ามัน
รักษาตัวมันเองได้ มันมีอ�ำนาจวาสนาบารมี มันสามารถรู้ได้
ค�ำว่า “รู้ได้” แต่ถ้ามันโดยอ่อนด้อย พอมันไปรู้ไปเห็นสิ่งใด
มันไปตื่นเต้นกับความรู้ความเห็นไง น่ีไง พอตื่นเต้นกับความรู้
ความเห็น ในแนวทางสติปฏั ฐาน ๔ เขาบอกว่า “กำ� หนดพทุ โธ
ก�ำหนดลมหายใจเข้าออกมันจะไปเห็นนิมิต มันจะไปติดนิมิตน้ัน
น่งั หลบั ตาๆ มนั เปน็ ฌาน มันตอ้ งน่งั ลมื ตา”
หลับตาหรือลืมตา สมาธิก็คือสมาธิ ตาก็คือตา
ตาไม่เกี่ยวกับสมาธิ สมาธิไม่เกี่ยวกับตา แต่ในวงกรรมฐาน
การนง่ั หลบั ตา หายใจเข้านกึ พุท หายใจออกนกึ โธ การนั่งสมาธิ
การนัง่ สมาธเิ ปน็ สมาธิไดง้ ่าย แลว้ ก็จะเสอื่ มง่าย
การเดินจงกรมก็คือการลืมตา การเดินจงกรม สมาธิ
เกดิ ในทางจงกรมเกดิ ไดย้ าก เพราะเคลอ่ื นไหวแลว้ สงบ เคลอ่ื นไหว
คือเดนิ อยู่ แล้วจิตสงบ แต่ถา้ มนั สงบแลว้ มนั จะเข้มแขง็ มันจะมี
จุดยนื ของมัน
ในสติปัฏฐานสมี่ ี • 165
สมาธิก็คือสมาธิ ไม่เกี่ยวกับหลับตาลืมตา น่ีไง
แต่ความเข้าใจผิดว่า สมาธิหลับตานี่เป็นฌาน เป็นฌานโลกีย์
มันไมใ่ ชป้ ญั ญา ถา้ ลืมตา ลืมตามันจะเปน็ ปัญญา แตเ่ วลาปิดใจ
มนั ไมบ่ อก ใจปดิ กน้ั ใจปฏเิ สธ ใจไมย่ อมรบั ความจรงิ มนั จะเปน็
สมาธไิ ปได้อยา่ งไร
สมาธมิ นั กค็ อื สมาธิ สมาธคิ อื จติ ตงั้ มนั่ จติ ไมว่ อกแวกวอแว
จิตตั้งม่ันแล้วจิตมีก�ำลัง ถ้าจิตมีก�ำลัง ถ้ามันจะเห็นนิมิต ถ้ามัน
จะรสู้ ง่ิ ใด นน้ั มนั คอื จรติ นสิ ยั นนั้ คอื กรรมจำ� แนกสตั วใ์ หเ้ กดิ ตา่ งๆ กนั
ผลของวัฏฏะๆ เพราะจิตดวงน้ีเคยเวียนว่ายตายเกิดมาในวัฏฏะ
เพราะจติ นม้ี นั เวยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะ มนั ทำ� บญุ ทำ� กรรมสง่ิ ใดมา
เวลาจิตสงบเข้าไปแล้วมันก็จะไปรู้ไปเห็นตามแต่อ�ำนาจวาสนา
ตามแตก่ รรมของตน
ถา้ กรรมของตน คนมกี รรมๆ ถา้ คนมกี รรมเวลามนั เหน็ สง่ิ ใด
เขาก็มีสติปัญญาคอยแยกแยะคอยแก้ไข ถ้าเห็นผีเห็นเปรต
เห็นอดีตอนาคต เห็นคนโน้นจะไปหา คนนี้จะไปหา...ไร้สาระ
ไรส้ าระเพราะเราตงั้ ตน้ ตงั้ แตเ่ รมิ่ ปฏบิ ตั วิ า่ เราจะนง่ั สมาธิ เราไมไ่ ด้
ตั้งตน้ วา่ เราปฏิบตั ิแลว้ เราจะไปรู้เหน็ สิ่งใดๆ ทั้งส้ิน
ถ้ารู้เห็นสิ่งใดๆ นะ ส่ิงที่ว่าพวกฤๅษีชีไพร พวกหมอดู
พวกทายโชคทายชะตา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธ
ทั้งน้ันน่ะ ปฏิเสธไม่ไปเก่ียวข้องวอกแวกวอแวกับเขา เพราะมัน
ไม่มีอยใู่ นตำ� ราพระพุทธศาสนา
166 • เทศนบ์ นศาลา
ตำ� ราในพระพทุ ธศาสนาสอนถงึ ศลี สมาธิ ปญั ญา มรรค ๘
ความจะเป็นมรรค ๘ มันอยู่ที่วาสนาไง แล้วเราก็ต้ังใจแล้วว่า
เราบวชมาหรือเรานกั ปฏบิ ตั ิมา เราจะประพฤตปิ ฏิบตั ิขนึ้ ไปเข้าสู่
สัจจะความจริงๆ
ถา้ เขา้ สสู่ จั จะความจรงิ ถา้ จติ มนั สงบระงบั เขา้ มา แลว้ ถา้ มนั รู้
มันเหน็ สิง่ ใด ถ้าครบู าอาจารย์ หลวงป่เู สาร์ หลวงปู่มน่ั ท่านบอก
ทำ� ความสงบของใจเขา้ มา รเู้ หน็ สงิ่ ใดวางไวๆ้ สง่ิ นน้ั เหน็ แลว้ วางไวๆ้
เหน็ แลว้ ไปตน่ื เตน้ ทำ� ไม เราไมต่ อ้ งการสงิ่ นน้ั เราตอ้ งการหวั ใจของเรา
เราตอ้ งการฟน้ื ฟหู วั ใจดวงน้ี ถา้ ฟน้ื ฟหู วั ใจดวงน้ี เหน็ สง่ิ ใดกว็ างไวๆ้
มันจะเขม้ แข็งข้ึนมา
แต่คนท่ีมันอ่อนด้อยไปรู้เห็นสิ่งใด “อู้ฮู! ฉันมีก�ำลัง
ฉันมีความรู้” นี่ไง ในผักบุ้งไม่มีแกงเทโพ แกงเทโพมีผักบุ้ง
ในผักบุ้งไม่มีเทโพ จะเอาผักบุ้งไปท�ำอะไร จะรู้เห็นอะไร
จะออกนอกไปไหน ผกั บงุ้ ยงั ไมม่ หี มู ยงั ไมม่ พี รกิ แกง เพราะอะไร
เพราะการวปิ ัสสนา จติ สงบแลว้ ในสติปัฏฐาน ๔ มีกาย
มเี วทนา มจี ติ มธี รรม แตใ่ นนมิ ติ เหน็ นมิ ติ ในนมิ ติ นนั้ มนั เปน็ ไป
โดยวาสนา มันเปน็ ไปโดยวาสนาว่าคนไปรไู้ ปเหน็
๑. เปน็ ไปโดยวาสนา
๒. พอมีวาสนาแล้วมนั เกดิ อปุ าทาน
เคยรเู้ คยเหน็ แลว้ อยากรอู้ ยากเหน็ ใหช้ ดั ๆ เคยเหน็ สง่ิ นแ้ี ลว้
อยากจะเหน็ ใหม้ นั ชดั เจน นมี่ นั หลอก ถา้ มนั เปน็ ไปโดยขอ้ เทจ็ จรงิ
ในสตปิ ฏั ฐานสม่ี ี • 167
มนั จะเปน็ ไปโดยวาสนาของคน มนั จะเปน็ ไปโดยจรติ แตโ่ ดยจรติ
คนท่ีมีอ�ำนาจวาสนานะ โดยจริตถ้าจริตมันเข้มแข็งมันวางได้
เพราะไมต่ อ้ งการ แตค่ นทอี่ อ่ นแอออ่ นดอ้ ยเหน็ แลว้ สำ� คญั วา่ สงิ่ นน้ั
เป็นจริง
ในผักบุ้งไม่มีแกงเทโพ ความรู้ความเห็นสิ่งน้ีมันไม่ใช่
สติปัฏฐาน ๔ มันไม่เข้าสู่แนวทางการประพฤติปฏิบัติ
แต่มันก็เป็นเพราะด้วยอุปาทาน เพราะด้วยความอ่อนด้อย
เพราะด้วยไม่มีวาสนา เพราะด้วยการกระท�ำมันอ่อนด้อยไป
แล้วมันจะพาถูลู่ถูกังไป จนถึงท่ีสุด “เออ! ไม่เห็นได้อะไรเลย
เออ! ปฏบิ ัติมาต้ังนาน เหนอ่ื ยน่าดูเลย” ...ก็เอ็งโงไ่ ง กเ็ อ็งโง่
เพราะเอ็งไมม่ คี รบู าอาจารย์คอยช้ีแนะ
ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยช้ีแนะ ท�ำไปเถอะ เห็นไปเถอะ
เห็นจนเหน่ือย เห็นแล้วเห็นอีก เห็นแล้วได้อะไร เห็นแล้ว
พลงั งานทสี่ ง่ ออกไปมนั มปี ระโยชนอ์ ะไร สงิ่ ทเี่ หน็ ๆ กลอ้ งถา่ ยรปู
ดกี วา่ เอง็ อกี กลอ้ งวงจรปดิ มนั จบั ภาพทง้ั วนั เลย แลว้ มนั ไดอ้ ะไรขนึ้ มา
ในผักบุ้งไม่มีแกงเทโพ กล้องมันก็คือกล้อง มันก็เห็น
กล้องมันก็จับได้ ตาเราก็จับได้ แล้วเราจะลดค่าตัวเราไปเท่ากับ
กล้องวงจรปิดหรือ เรามีคุณค่ามากกว่านั้น เพราะเราเป็นคน
ไปติดตั้งมันขึ้นมาเอง ติดตั้งมันข้ึนมาเพื่อประโยชน์กับการรักษา
ความปลอดภัย แล้วจิตของเราไปรู้ไปเห็น เราเสียรู้ไป มันจะ
รักษาความปลอดภัยตรงไหน เราไม่รู้ไม่เห็นส่ิงใดเลยหรือ น่ีไง
ถา้ จิตใจมนั ออ่ นดอ้ ย
168 • เทศน์บนศาลา
ถา้ จติ ใจมนั ฉลาด เราไมด่ กู ไ็ ด้ เดย๋ี วเราไปเปดิ กลอ้ งดทู หี ลงั
นไี่ ปรสู้ งิ่ ใดมนั กว็ าง วางหมด นไ่ี ง ผกั บงุ้ ตอ้ งมหี มู ตอ้ งมพี รกิ แกง
ตอ้ งมเี ครอ่ื งปรงุ ตอ้ งมที กุ อยา่ งพรอ้ ม ทำ� ความสงบของใจเขา้ มาๆ
ถา้ ใจมนั สงบแลว้ ของมนั มมี ากมายมหาศาล พอมมี ากมายมหาศาล
เราตม้ เราแกงเปน็ หรอื ไม่ ถา้ เราตม้ เราแกงไมไ่ ด้ ไดส้ งิ่ ใดมากส็ ำ� คญั ตน
แลว้ กว็ างไว้ๆ มันเนา่ มนั เสียไปท้งั นั้นน่ะ
พระทปี่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ไ่ี มไ่ ดผ้ ลกเ็ พราะตรงนไ้ี ง ไดส้ ง่ิ ใดมา
เพราะไมม่ วี าสนา ไมม่ วี าสนาเพราะอะไร เพราะดำ� รชิ อบ งานชอบ
เพยี รชอบ ดำ� รชิ อบ ดำ� รเิ พอ่ื อะไร ดำ� รเิ พอ่ื ออกจากทกุ ข์ ไมใ่ ชด่ ำ� รวิ า่
ปฏิบตั ิเพือ่ จะรเู้ ห็น เพอ่ื จะส�ำคญั ตน เพือ่ จะเกบ็ คะแนน
การเกบ็ คะแนน การสะสมนน้ั คอื กเิ ลสมนั หลอกลวงไป
การละ การวาง การเสยี สละนนั้ นะ่ ยง่ิ ละยง่ิ วางไดม้ ากเทา่ ไหน
จิตใจย่ิงสะอาด จิตใจย่ิงเบาบาง จิตใจเบาบางเพราะอะไร
เพราะได้ละได้วางๆ
เพราะจิตน้ีเป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมนั้น
กเิ ลสมนั พอกพนู ขนึ้ มาในหวั ใจดวงนน้ั มนั ถงึ มนั ทกุ ขม์ นั ยากของมนั
ขนาดน้ัน
ถา้ มนั ทกุ ขม์ นั ยากขนาดนนั้ เรามาปฏบิ ตั ิ ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ละ
เพอ่ื วาง ไมป่ ฏบิ ตั เิ พอื่ จะไดม้ กั มากอยากใหญ่ เพราะความมกั มาก
อยากใหญ่ อยากรู้อยากเห็น มันเลยไม่รู้ส่ิงใด กิเลสมันก็ทิ่ม
มนั กแ็ ทงใหเ้ ราไดอ้ อกนอกลู่นอกทาง
ในสตปิ ัฏฐานส่มี ี • 169
แตพ่ อมสี ตปิ ญั ญาขน้ึ มา ยอ้ นกลบั มา สตปิ ญั ญายอ้ นกลบั มา
เฮ้อ! โดนหลอกอีกแล้ว พอโดนหลอกอีกแล้วก็กลับมาฟื้นฟู
กลับมาฟื้นฟูไง ถ้ากลับมาฟื้นฟู ต้องมีสติ ถ้ามีสติสัมปชัญญะ
สตนิ ะ ครบู าอาจารยท์ ท่ี า่ นประพฤตปิ ฏบิ ตั มิ สี ติ แลว้ ตอ่ ไปขา้ งหนา้
จะมีมหาสติ สติมันจะลึกซงึ้ เพราะอะไร
เพราะขณะทที่ กุ คนประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หมๆ่ จะบอก โอโ้ ฮ!
จติ นไ้ี วมาก จติ นค้ี ดิ เรว็ มาก สงิ่ ทไ่ี วมาก คดิ เรว็ มาก เพราะมนั เปน็
นามธรรมที่มันมีความรวดเร็ว ถ้ามีความรวดเร็ว เวลาสติข้ึนมา
มันทันหมด แล้วพอมันทันหมดแล้วถ้ามันละเอียดขึ้นไปๆ นะ
น่ีสงั โยชน์ สงั โยชน์ ๑๐ เวลาขึน้ ไป รปู ราคะ อรูปราคะ มานะ
อทุ ธจั จะ อวชิ ชา
รูปราคะ อรูปราคะนะ ราคะคือความก�ำหนัดของตน
รปู ราคะ รูป อรปู ภายใน โอ้โฮ! มันละเอียดกว่านั้นอีกเยอะมาก
น่ีไง “แนวทางสติปัฏฐาน ๔ สิคะ ปฏิบัติแนวทาง
สติปัฏฐาน ๔ สิคะ” ไอ้ไม่เป็นเลยก็วิปัสสนึก นึกไปเลย กาย
เวทนา จติ ธรรม เปน็ อรยิ สัจ มนั เปน็ ตรงไหน มนั เป็นอยา่ งไร
ถา้ มันเปน็ ข้ึนมา ท�ำไมจบั ต้องสงิ่ ใดไมไ่ ด้เป็นชนิ้ เปน็ อนั
ถา้ มนั จบั ตอ้ งสง่ิ ใดเปน็ ชน้ิ เปน็ อนั ขนึ้ มา เวลามนั ละมนั วาง
ขน้ึ ไป ยง่ิ ละยงิ่ วาง ยงิ่ แวววาว ยงิ่ ผอ่ งใส ถา้ มนั ละมนั วาง แตเ่ พราะ
ละวางไมไ่ ด้ แลว้ กลวั ดว้ ย กลวั วา่ ละวางไปแลว้ เราจะเสยี ความรสู้ กึ
เราจะจบั ตน้ ชนปลายไมถ่ กู เพราะเรากลวั เสยี ความรสู้ กึ เสยี การรบั รู้
อันนัน้ เราถงึ ยึดม่นั
170 • เทศน์บนศาลา
ยิ่งยึดย่ิงไม่มี ย่ิงยึด กิเลสย่ิงพาหลงทาง พอละวาง
สัญญาอารมณ์ ความคิดเกิดจากจิต มันลากไปทั้งนั้นน่ะ เราละ
เราวาง เราก็จะไปอยู่กับจิตเรา ถ้าเราละเราวางสิ่งต่างๆ มันก็
เข้มแข็งข้ึนมา การท่ีเข้มแข็งข้ึนมา สติกับความรู้ ความรู้กับสติ
“อย่าท้ิงผูร้ ู้ อยา่ ท้งิ พุทโธ” เปน็ คำ� ส่งั เสียของหลวงปู่มนั่
“อย่าทง้ิ ผูร้ ู้ อยา่ ทิง้ พทุ โธ แล้วไม่เสีย”
ไม่ทงิ้ ผู้รคู้ อื ไม่ทงิ้ หวั ใจของเรา ไม่ทิ้งจติ ของเรา
อยา่ ทงิ้ พทุ โธ เพราะจติ ของเรามนั วอกแวกวอแว จติ ของเรา
มนั จะทรงตวั ของมนั อยไู่ มไ่ ด้ ผรู้ นู้ ตี้ อ้ งกำ� หนดพทุ โธ ผรู้ นู้ ก้ี ำ� หนดพทุ โธ
เพราะเราจะไปเฝา้ พทุ ธะ ถ้าผรู้ นู้ อ้ี ยูก่ ับพุทโธ พทุ โธๆๆ ของเรา
ต่อเน่ืองไปๆ ฟา้ ดนิ จะถล่ม เร่อื งของเขา ความรู้ความเห็นตา่ งๆ
เรื่องของเขา อยกู่ ับผรู้ ู้ อยกู่ ับพุทโธ
มนั จะแวววาว มนั จะมกี ำ� ลงั ของมนั ถา้ แวววาว มกี ำ� ลงั
ของมนั นะ นไ่ี ง ถา้ มนั เปน็ จรงิ ๆ เหน็ ไหม ในสตปิ ฏั ฐาน ๔ มกี าย
เวทนา จิต ธรรม เราน้อมไปท่ีกาย ถ้ามันน้อมไปท่ีกายนะ
คนทพี่ จิ ารณา เวลามนั พจิ ารณาไปแลว้ นง่ั ภาวนาไป ถา้ จติ มนั สงบแลว้
ถ้าเวทนามันเกิดขึ้น ถ้ามันจับเวทนาได้ เวทนาสักแต่ว่าเวทนา
เวทนา เราจับเวทนามาพิจารณาได้
แต่ถ้าเวทนาเป็นเรา เห็นไหม ในผักบุ้งไม่มีแกงเทโพ
ถา้ เวทนากบั เราเปน็ อนั เดยี วกนั ไมม่ สี ตปิ ฏั ฐาน ๔ เวลาเวทนาเกดิ ขน้ึ
เจบ็ ปวดนกั นเี่ วทนาลว้ นๆ เวทนาเปน็ เรา เราเปน็ เวทนา มนั เปน็
ในสตปิ ัฏฐานสี่มี • 171
สติปัฏฐาน ๔ ตรงไหน มันจะเป็นจะตายอยู่นี่ ถ้ามันจะเป็น
จะตายอยู่นี่ ถ้าจิตสงบเข้ามานะ แล้วมันจับต้องของมันได้
จติ สงบแลว้ มนั จบั เวทนาได้ เวทนากเ็ ปน็ เวทนา แลว้ เวทนาขน้ึ มา
เวลาวิปัสสนาไปมันจะรู้มันจะเห็นของมัน มันแยกแยะของมัน
เวทนานี้เป็นนามธรรม เวทนามันเกิดข้ึนมาเพราะเอ็งโง่ เพราะ
ไปยดึ ม่ันถอื ม่ัน เหน็ ไหม
เวลาเวทนามันเกิดขึ้น เกิดขึ้นในแข้งในขาของเรา
เวลานั่งภาวนา เวลาพิจารณาไปๆ มันแยกมันแยะของมันนะ
อะไรเปน็ เวทนา เอาตวั มนั มาสิ กระดกู เปน็ เวทนา หนงั เปน็ เวทนา
ขนเป็นเวทนา อะไรเป็นเวทนา ไม่มีสักอย่างที่เป็นเวทนา
เวทนาเพราะอะไร เพราะจติ มนั โงม่ นั ถงึ ไปรบั รู้ มนั ถงึ เปน็ เวทนาไง
แลว้ มเี วทนากาย เวทนาจติ ถา้ เวทนาจติ นะ่ ความหงดุ หงดิ
ความไม่พอใจ มันมาจากไหน มันมาจากกายหรือเปล่า ไม่เห็น
มาจากกายเลย มนั มาจากหวั ใจทง้ั นน้ั นะ่ เวทนากาย เวทนาจติ ไง
ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา มันวิปัสสนาข้ึนมา มันพิจารณา
ของมันข้ึนมา น่ถี ้าพจิ ารณา ในสติปฏั ฐาน ๔ มี
นอกสติปัฏฐาน ๔ น่ีไง สติปัฏฐาน ๔ จอมปลอม
ปลอมๆ ของปลอมๆ ของปลอมๆ คือของจ�ำ ของจ�ำมา
ของเพ้อเจ้อ น่ีขนาดเพ้อเจ้อนะ เพ้อเจ้อมันยังมีความสุขเลย
ขนาดเพอ้ เจอ้ เพราะอะไร เพราะทอ่ งทรงจำ� ธรรมวนิ ยั ไง ทอ่ งธรรมะ
ขององค์สมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจ้าแล้วใคร่ครวญๆ
172 • เทศน์บนศาลา
ถ้ามันเป็นจริงๆ เวลาถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ
ปัญญาอบรมสมาธคิ อื การตรกึ ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพทุ ธเจา้ เวลาเราจะประพฤตปิ ฏิบัตเิ รม่ิ ต้นกนั อย่างไร
น่ีไง เวลาคนท่ีท�ำงานเขามีสถานท่ีท�ำงานใช่ไหม
เวลาปฏิบัติข้ึนมาเขาต้องมีสมถกรรมฐาน ฐานท่ีตั้งแห่งการงาน
นสี่ มถกรรมฐาน เวลาปญั ญามนั เกดิ มนั เกดิ บนฐานนน้ั เวลาปญั ญา
มนั เกดิ มนั เกดิ บนภวาสวะ มนั เกดิ บนจติ นนั้ มนั จะแก้ มนั จะถอด
มันจะถอน มนั จะส�ำรอกมันจะคายกิเลสจากจติ นน้ั ถา้ คายกิเลส
จากจติ นน้ั
ส่ิงที่การกระท�ำ สมถกรรมฐาน ฐานท่ีต้ังแห่งการงาน
ถา้ ฐานทตี่ ง้ั แหง่ การงาน เราพยายามหายใจเขา้ นกึ พทุ หายใจออกนกึ โธ
แลว้ ถา้ มนั ทำ� ไมไ่ ด้ เราใชป้ ญั ญาอบรมสมาธๆิ ความคดิ มนั เกดิ จากไหน
ความคดิ มนั เกดิ จากจติ ความคดิ เกดิ จากฐานนนั้ นะ่ ความคดิ ของคน
เกิดบนภวาสวะ เกดิ บนภพ
ไมม่ สี ถานทท่ี ตี่ ง้ั ไมม่ สี ถานท่ี ความคดิ เกดิ ไมไ่ ด้ คนตาย
ไมม่ คี วามคดิ แมแ้ ตค่ นเปน็ ๆ นะ เวลามนั เผอเรอมนั ยงั ไมค่ ดิ เลย
อายตนะไมเ่ กยี่ วเนอื่ งกนั ความสมั ผสั ระหวา่ งผวิ หนงั กบั บรรยากาศ
ถา้ จติ รบั รู้ ลมพดั แตถ่ า้ มนั ลมพดั เยน็ ๆ แตจ่ ติ อายตนะไมเ่ กย่ี วกนั
อายตนะภายนอกภายใน น่ไี ง ความกระทบมนั ถงึ รับรู้
แล้วเวลาเราจะประพฤติปฏิบตั ขิ น้ึ มา เรากำ� หนดกไ็ มไ่ ด้
เราท�ำอะไรก็ไม่ได้ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิ
ในสตปิ ฏั ฐานส่ีมี • 173
คอื ตรกึ ในธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรกึ ในธรรมๆ
ที่ว่า “ปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ สิคะ” เขาก็ตรึกในธรรมะ
ขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ นแ่ี หละ ตงั้ จะเอาบาลขี อ้ ไหน
แลว้ กใ็ ชป้ ญั ญาใครค่ รวญ ถา้ มนั เปน็ สมั มาทฏิ ฐถิ กู ตอ้ งดงี าม มนั จะเปน็
ปัญญาอบรมสมาธิ
ค�ำว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ” น้ีคือการท�ำความสงบ
ของใจ เพราะผลของมนั คอื สมาธิ ผลของการใชป้ ญั ญาคอื สมาธิ
เพราะเป็นปุถุชน เพราะเป็นคนหนา เพราะจิตใจเรายังหยาบ
จิตใจเรายงั กระด้าง จติ ใจเรามนั ยังไม่สมควรแก่ธรรม
น่ีไง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาแสดงธรรมๆ อนุปุพพิกถา ให้เขาท�ำทาน ให้เขามีศรัทธา
ใหเ้ ขามคี วามเชอ่ื ของเขา สดุ ทา้ ยแลว้ ใหถ้ อื เนกขมั มะ แลว้ องคส์ มเดจ็
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ถงึ แสดงอรยิ สจั คำ� วา่ “อรยิ สจั ” ไง อรยิ สจั
น่ีไง อริยสัจคือมรรค
แตถ่ า้ มนั เปน็ ความรสู้ กึ สามญั สำ� นกึ มนั เปน็ โลกยี ปญั ญา
มนั เปน็ เรอ่ื งโลก มนั เปน็ เรอ่ื งสามญั สำ� นกึ มนั เปน็ เรอื่ งความเปน็ อยู่
ของมนษุ ย์ ฉะนน้ั เวลามนษุ ยเ์ รา เรามาศกึ ษาธรรมะขององคส์ มเดจ็
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ตรึกในธรรมๆ แบบท่ีเขาบอกว่า
“ปฏบิ ัติแนวทางสติปฏั ฐาน ๔ สิคะ”
แนวทางสตปิ ฏั ฐาน ๔ คอื เขาตรกึ ในธรรม เขาเอาธรรมะ
ของพระพทุ ธเจา้ มาใครค่ รวญ มาแยกแยะ เปน็ คำ� รอ้ ง เปน็ กลอน
174 • เทศน์บนศาลา
เปน็ การฝกึ หดั ปญั ญา ถา้ เขาฝกึ หดั ปญั ญาโดยความเปน็ สมั มาสมาธิ
โดยความเปน็ สมั มาทฏิ ฐิ ความเหน็ ถกู ตอ้ งดงี าม ผลของมนั คอื สมถะ
ผลของมันคือสมาธิ ผลของมันน่ะ แต่เขาไม่ยอม ไม่ยอมรับรู้
เขาบอกว่า “นเี่ ป็นแนวทางสติปฏั ฐาน ๔”
เขาพยายามจะบงั คบั ใหผ้ กั บงุ้ เปน็ แกงเทโพแลว้ กนั แหละ
“ก็มีพรอ้ ม มกี าย มเี วทนา มีจติ มีธรรม”
กาย เวทนา จิต ธรรมก็นึกเอา ผักบุ้งไม่ใช่แกงเทโพ
ผกั บงุ้ จะผดั ผกั บงุ้ ไฟแดงได้ ผกั บงุ้ จะจม้ิ นำ้� พรกิ กไ็ ด้ แตไ่ มใ่ ชแ่ กงเทโพ
มันไมเ่ ข้าสอู่ ริยสจั หรอก
ถ้ามันจะเข้าสู่อริยสัจ เข้าสู่สัจจะความจริง มันต้องมี
ความสมบูรณ์พร้อม จากปุถุชน กัลยาณชน น่ีไง ถ้าเป็น
ปญั ญาอบรมสมาธิ ถา้ เปน็ สมั มาทฏิ ฐนิ ะ สมั มาทฏิ ฐคิ อื ความเหน็
ถูกตอ้ งดงี าม
แต่ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเร่ิมต้นตั้งแต่มิจฉาทิฏฐิ
ดว้ ยความเหน็ ของตน “กายกเ็ ปน็ อรยิ สจั ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั
เป็นอริยสัจ”...อริยสัจตรงไหน อริยสัจตรงไหน เพราะอะไร
เพราะดว้ ยความบกพรอ่ ง เพราะคนภาวนาไมเ่ ปน็ เพราะคนไมเ่ คยเหน็
สจั จะความจริง
การแสดงธรรม ถ้าแสดงธรรมมาจากหัวใจท่ีเป็นความ
เป็นจริง มนั จะสมบูรณ์แบบของมนั ถา้ มันแสดงไมเ่ ปน็ ความจริง
มันไปจับเป็นช้ินเป็นอัน จับตรงไหนก็แล้วแต่มาตั้งเป็นหัวข้อ
ในสตปิ ัฏฐานสีม่ ี • 175
แลว้ หวั ขอ้ นน้ั กท็ ำ� ใหม้ คี วามผดิ พลาด มคี วามผดิ พลาดเพราะอะไร
เพราะเอาหวั ขอ้ นน้ั เปน็ อรยิ สจั เอาหวั ขอ้ นน้ั เปน็ ความจรงิ มนั เปน็
ความจรงิ ข้ึนมาไม่ได้
ถ้ามันจะเป็นความจริงข้ึนมาได้ ปัญญาอบรมสมาธิๆ
ตอ้ งจติ นนั้ เปน็ สมาธิ จติ นน้ั มนั เปน็ ผเู้ หน็ ถา้ จติ นน้ั เปน็ ผเู้ หน็ นะ
ในสตปิ ฏั ฐาน ๔ มีกาย จิตมันร้มู ันเหน็ ขนึ้ มานะ อ้ฮู ู!
ขณะเป็นสมาธิมันก็เป็นสมาธินะ สมาธิ คนที่ท�ำสมาธิ
แล้วสมาธิเสื่อมไป สมาธิเส่ือมแล้วเราพยายามฝึกฝนขึ้นมา
โดยธรรมชาติ โดยขอ้ เทจ็ จรงิ มนั มเี จรญิ แลว้ เสอื่ ม เสอื่ มแลว้ เจรญิ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของครูบาอาจารย์
ของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติมีหนักมีเบา เวลาถ้ากิเลสมันหนา
กิเลสมันหนาคือสมาธิเสื่อม คือกิเลสมันฟาดงวงฟาดงากับหัวใจ
นั่นแหละเขาตอ้ งเข้มขน้
การเข้มข้น การอดนอนผ่อนอาหาร การเผชิญหน้ากับ
ความจรงิ มนั จะเผชญิ หนา้ ทำ� ไมตอ้ งเผชญิ หนา้ ละ่ ถา้ เราไมเ่ ผชญิ หนา้
ถา้ กเิ ลสมันเคยชนะเราหนหนึ่งนะ ตอ่ ไปมนั จะเอาเทคนคิ อยา่ งน้ี
คอยบบี บ้ีสไี ฟ การประพฤตปิ ฏิบัตขิ องเราจะเหลวแหลก
แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติมาตามแนวทาง การปฏิบัติ
สมำ�่ เสมอ การปฏบิ ตั ติ อ่ เนอื่ ง การรกั ษาหวั ใจของเราใหม้ นั มมี าตรฐาน
เวลาถ้ามันเส่ือม เสื่อม เราก็ฟื้นฟูข้ึนมา ถ้ามันผิดพลาดขึ้นมา
เราก็แกไ้ ขของเราตลอดไป รักษาใหม้ ่นั คงๆ ขึ้นมา
176 • เทศน์บนศาลา
แล้วถ้ามันน้อมไปสู่กาย น้อมไปสู่สติปัฏฐาน ๔
จติ สงบแลว้ จติ ตงั้ มนั่ จติ มกี ำ� ลงั ถา้ มนั เหน็ กาย มนั สะเทอื นกเิ ลสมาก
ถ้ามันจับเวทนาได้ มันก็พิจารณาเวทนาเป็นช้ินเป็นอัน ถ้ามัน
จับจิตของมันได้ แล้วถ้ามันจับธรรมารมณ์ อารมณ์ท่ีเกิดข้ึน
มันพจิ ารณา
เพราะถ้าจับธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์ อารมณ์คืออะไร
อารมณ์ ถ้าอารมณ์มันสมบูรณ์แบบของมัน มันก็เป็นความคิด
ความคิดมันเกิดข้ึนมาได้เพราะอะไร ความคิดมันเกิดขึ้นมาได้
เพราะสัญญา สัญญาความจ�ำไดห้ มายรู้
เดก็ ๆ เกดิ มา นส่ี เี ขยี ว นสี่ แี ดง เดก็ ๆ ไมร่ จู้ กั สสี นั หรอก
เรากพ็ ยายามฝกึ ฝนใหเ้ ขามกี ารศกึ ษา ใหเ้ ขาจำ� ได้ ใหเ้ ขาจำ� ตวั อกั ษรได้
ให้เขาผสมค�ำไดต้ ่างๆ นค่ี ือสัญญาทัง้ นนั้ น่ะ สญั ญาคือการศึกษา
คือการศกึ ษาทางโลก
ทนี ก้ี ารศกึ ษาทางโลก สง่ิ ทร่ี ทู้ เี่ หน็ ขน้ึ มา รเู้ หน็ แตส่ ญั ญา
สญั ญามนั รบั รู้ รบั รขู้ น้ึ มา สงั ขารกป็ รงุ เวลาสงั ขารปรงุ ขนึ้ มาแลว้
เวทนา ปรุงดีหรือชั่ว มันเกิดวิญญาณรับรู้ วิญญาณรับรู้มันก็
เป็นรปู เป็นอารมณ์ข้นึ มา พอเปน็ อารมณข์ น้ึ มา เหน็ ไหม
ถ้าเป็นสติปัฏฐาน ๔ มันจับแล้วมันแยกมันแยะได้นะ
อารมณ์อารมณ์หน่ึงมันก็เหมือนวงจรหน่ึง ถ้ามีสติปัญญาเข้าไป
แยกวงจรนน้ั ออก ดบั อารมณ์นัน้ ดับ น่ถี า้ เปน็ สติปัฏฐาน ๔
ในสตปิ ัฏฐานสมี่ ี • 177
แต่ถ้าไม่เป็นสติปัฏฐาน ๔ ในผักบุ้งไม่ใช่แกงเทโพ
ในความรู้สึกของเรา ความรู้ก็มีอารมณ์ มีโกรธ มีโลภ ไม่พอใจ
ทุกข์ใจ อ้าว! ก็เราคิด เราดี เราเก่ง เราแน่ เรายอด มันก็ไป
ตามประสามัน นี่ไง มันไม่ใชส่ ตปิ ัฏฐาน ๔ หรอก
ถ้ามสี ตปิ ฏั ฐาน ๔ คือมันจะจบั ได้จรงิ ๆ มันจับอารมณ์
ของเราได้ จับสติปัฏฐาน ๔ คือธรรมารมณ์ จิตสงบแล้ว
มีก�ำลงั แล้วจับได้ พอจบั ได้ เพราะอารมณน์ ้ี พญามาร ครอบครวั
ของมารมนั ไดใ้ ชอ้ าศยั เพอ่ื สรา้ งเวรสรา้ งกรรมมากบั ชวี ติ ของเรามหาศาล
แลว้ ชวี ิตของเรากอ็ ยใู่ ต้อำ� นาจของมารท่ีให้มันข่มขก่ี ันมาตลอด
ในผักบุ้งไม่ใช่แกงเทโพ ในความรู้สึกนึกคิดของเรา
มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ท�ำลายล้างเรามาตลอด
ถา้ มนั มสี ตมิ ปี ญั ญาจะสรา้ งคณุ งามความดขี นึ้ มาบา้ ง มนั กต็ โี พยตพี าย
มนั กบ็ อกวา่ “ไมม่ คี วามจำ� เปน็ ไมจ่ ำ� เปน็ จะตอ้ งทำ� ตอนน้ี ไปทำ� ตอน
ใกล้จะเสียชีวิตก็ได้ การภาวนา ภาวนาตอนไหนก็ได้ ตอนน้ี
ส�ำมะเลเทเมากนั ไปกอ่ น”
นี่ไง ในผักบุ้งไม่มีแกงเทโพ ในความรู้สึกนึกคิดถ้ามัน
ไมม่ คี วามสงบของใจ แลว้ ไมเ่ หน็ ตามความเปน็ จรงิ นไ่ี ง สตปิ ฏั ฐาน ๔
มนั เกดิ ตรงไหน สติปฏั ฐาน ๔ มนั เป็นอย่างใด
เวลาจติ ทส่ี งบแลว้ เหน็ กาย เหน็ เวทนา เหน็ จติ เหน็ ธรรม
ตามความเป็นจริง นี่เป็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔ คือจิตสงบแล้ว
ยกขึ้นสู่วปิ ัสสนา
178 • เทศน์บนศาลา
เวลาวิปัสสนาไปๆ คนเราวิปัสสนา คนเราเห็นกาย
เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เราพิจารณาไปแล้ว ทีแรก
พิจารณาไปแล้วมันก็แช่มชื่น พิจารณาไปแล้วมันก็ทะลุปรุโปร่ง
พจิ ารณาไปแลว้ แหม! มันสดุ ยอด
การท�ำงานมันต้องพัก ถ้าการท�ำงานไม่พักแล้ว คน
พอมนั เหนอ่ื ยจากงาน คนมนั สมบกุ สมบนั แลว้ มนั จะเอากำ� ลงั ทไ่ี หน
ไปทำ� งาน แตด่ ้วยคนเราถ้ามันเปน็ สมาธิๆ มนั ไมใ่ ชป้ ญั ญา เวลา
สมาธไิ มใ่ ชป้ ญั ญา ทำ� สมาธเิ กอื บเปน็ เกอื บตาย ตอนนพี้ อใชป้ ญั ญาแลว้
ก็จะจ้วงจะฟัน จะเอาให้ได้มรรคได้ผลข้ึนมาไง พอมันใช้ไป
สมาธิมันก็เส่ือมลง เวลาคิดไปมันเป็นสัญญาท้ังนั้นน่ะ เวลา
ใชป้ ัญญาไปๆ
คนทภ่ี าวนาใหมๆ่ มนั กจ็ ะตกไปในสองฝา่ ย อตั ตกลิ มถานโุ ยค
กามสุขลั ลิกานโุ ยค มันจะตกไปในสองสว่ น มันตกขอบไปทัง้ ซา้ ย
และขวา
มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลพอดี ความสมดุลพอดี
มันต้องมีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้าสัมมาสมาธิเป็นพ้ืนฐาน
มนั จะไมท่ ำ� ใหจ้ ติ เราตกขอบไดท้ ง้ั สองดา้ น ถา้ การตกขอบสองดา้ น
เวลามนั ภาวนาดี มนั ภาวนาใชไ้ ด้ อฮู้ !ู สดุ ยอดๆ นกี่ ามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค
มีความสุขมีความสงบของมันไป
แล้วท�ำสมาธิมาเกือบเป็นเกือบตาย สมาธิมันเป็นสมาธิ
เท่าน้ันแหละ มันไม่ใช่เป็นปัญญา เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมาแล้ว
ในสติปัฏฐานสม่ี ี • 179
วิปัสสนา น่ีแนวทางสติปัฏฐาน ๔ พอพิจารณาต่อเน่ืองไป
มชั ฌมิ าปฏปิ ทา มนั เบาบางลง เพราะในมชั ฌมิ าปฏปิ ทา สมาธชิ อบ
งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ปัญญาชอบ ความชอบธรรม
มันเก่ียวเน่ืองกนั ไป
ถ้าความชอบธรรมมันเก่ียวเนื่องกันไป วิปัสสนาไป
มนั ใชป้ ญั ญาไป มนั สมดลุ มนั กป็ ลอ่ ยวาง การปลอ่ ยวาง ปลอ่ ยวาง
มนั ชวั่ คราว พอชวั่ คราว พอปลอ่ ยวางแลว้ กำ� ลงั มนั ใชไ้ ปขนาดไหนละ่
กำ� ลงั ใชไ้ ปขนาดไหน พอคราวตอ่ ไปมนั กเ็ ปน็ ปญั ญา ปญั ญาทกี่ เิ ลส
สมุทยั เจือมาแล้ว สมุทัยคอื กเิ ลส ตณั หา วิภวตัณหา มันกส็ อด
เขา้ มาแลว้ พอสอดเขา้ มาแลว้ “อยู๋ ! ภาวนาดี ภาวนาเกง่ ภาวนาเลย
ปัญญายอดเยี่ยม โอ!้ ภาวนาไป”...นี่กิเลสมนั หลอก
พอไปถูลู่ถูกังไป สัญญาท้ังนั้น สัญญาคือเราเคยท�ำได้
เราคดิ วา่ เราทำ� อยา่ งนก้ี จ็ ะได้ แตไ่ ปแลว้ มนั เปน็ อดตี อนาคต สงิ่ ท่ี
ท�ำมาแล้วคืออดีต ส่ิงที่ยังไม่เป็นคืออนาคตคาดหมายว่าเราเคย
ทำ� อยา่ งนีแ้ ลว้ จะไดอ้ ย่างนี้
อดตี อนาคตนะ มนั ไมเ่ ปน็ ปจั จบุ นั มนั เปน็ ปจั จบุ นั ไปไมไ่ ด้
เพราะมนั ขาดสัมมาสมาธิ มันขาดพื้นฐานของความตง้ั มน่ั ของจติ
ถ้ามันขาดพ้ืนฐานขึ้นมา มันเป็นสัญญา คือเราเคยรู้เคยเห็นไง
เคยเป็นไง นีไ่ ง เวลามันฉดุ กระชากลากไปไง
ถา้ คนทป่ี ระพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ หมม่ นั กจ็ ะไป เพราะวา่ มนั แตกตา่ ง
คือผลตอบสนองมันมากกว่า คือปัญญามันทะลุทะลวงไป โอ้โฮ!
180 • เทศนบ์ นศาลา
มนั สดุ ยอด แลว้ พอมนั ได้ มนั กจ็ ะจว้ งจะฟนั จะเอาใหไ้ ด้ เอาใหไ้ ด้
นก่ี ิเลสมนั พลกิ แพลง
พอกิเลสพลิกแพลง สมุทัยเจือเข้ามา สมุทัยคือกิเลส
ตัณหา ภวตัณหา คืออยากได้อยากดีนั่นแหละ มันเจือเข้ามา
พอเจือเข้ามา แล้วถ้าเจือเข้ามา มันจะเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร
มนั จะเป็นมชั ฌมิ าได้อย่างไร มนั เปน็ กเิ ลสแล้ว
ถ้าเป็นกิเลสแล้ว ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่ีเป็นจริงนะ
ทา่ นจะบอกเลย “เอาเลย เอาใหเ้ ตม็ ทเี่ ลย” เตม็ ทม่ี นั กถ็ ลำ� ไปเลย
พอถล�ำไปเลยนะ ผักบุ้งเน่าแล้ว หมูเหมอเน่าหมดแล้ว
แลว้ ท�ำอยา่ งไรละ่
กลับมาหาใหม่ไง กลับไปเก็บผักบุ้งตามชายคลอง
แล้วก็ไปหาใหม่ หาใหม่ก็ต้องกลับมาท�ำความสงบของใจเข้ามา
บางคนทำ� ได้ บางคนทำ� ไมไ่ ด้ บางคนนอ้ ยเนอื้ ตำ�่ ใจ บางคนสละทงิ้
ก า ร ป ร ะ พ ฤ ติ ป ฏิ บั ติ เ ร่ิ ม ต ้ น จ า ก ก า ร ข ว น ข ว า ย
การมุมานะขึ้นมา แล้วพอท�ำๆ ไปแล้วนะ ท้ังไม่มีอุดมการณ์
ทง้ั ไมม่ จี ดุ ยนื ไมม่ สี จั จะ ไมม่ กี ำ� ลงั ของตน เหน็ ไหม ในหมพู่ ระ
ทปี่ ฏบิ ตั เิ ขาตอ้ งมคี รมู อี าจารยไ์ ง เวลามนั ทอ้ แท้ เวลามนั สน้ิ หวงั
เอาครูบาอาจารยเ์ ปน็ ทีต่ ้งั
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาท่านประพฤติปฏิบัติมา
ทา่ นทมุ่ เททงั้ ชวี ติ แลว้ ทมุ่ เททงั้ ชวี ติ เวลาขาดตกบกพรอ่ ง เอาใคร
ในสติปัฏฐานส่มี ี • 181
เป็นตัวอย่าง เวลามันเหลวแหลก คนท�ำงานแล้วมันจะประสบ
ความส�ำเรจ็ ไปทกุ ทีๆ หรอื
การทำ� งานประสบความสำ� เรจ็ ๕๐ เปอรเ์ ซน็ ต์ ลม้ เหลวสกั
๕๐ เปอร์เซ็นต์ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว ถ้ามันประสบความส�ำเร็จ
๕๐ เปอรเ์ ซน็ ต์ อนั นน้ั คำ� วา่ “ประสบความสำ� เรจ็ ๆ” ในผลการปฏบิ ตั ิ
ไม่ใช่ประสบความส�ำเรจ็ ถงึ การท่ีมันช�ำระล้างกิเลส
การช�ำระล้างกิเลส ขณะจิตสมุจเฉทปหาน การฆ่า
การทำ� ลายกเิ ลสชดั ๆ ถา้ ไมม่ กี ารฆา่ การทำ� ลาย อยา่ หลอกตวั เอง
การหลอกตวั เอง นน่ั แหละมนั เปน็ ผลรา้ ยของตวั เอง เปน็ ผลรา้ ย
ของการกระทำ� ของเรา ถา้ มนั เปน็ ผลรา้ ยเพราะอะไร เพราะวา่
กเิ ลสมนั กท็ ว่ มทน้ ในหวั ใจอยแู่ ลว้ เรายงั ไปรว่ มมอื กบั มนั อกี ใชไ่ หม
เราจะฆา่ จะทำ� ลายเขา เราไมใ่ ชไ่ ปรว่ มมอื กบั เขา เราจะ
ร่วมมือกับธรรมะ เราจะร่วมมือกับอริยสัจ เราจะร่วมฟื้นฟู
หัวใจของเรา ถ้าเราจะฟื้นฟูหัวใจของเราเพื่อเป็นอริยสัจ
เพอื่ เปน็ สจั จะเปน็ ความจรงิ เราตอ้ งมคี วามหมนั่ เพยี ร เพยี รชอบ
งานชอบ ความวริ ยิ ะ ความอตุ สาหะ เป็นความหมัน่ เพยี ร
ธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ สอนใหป้ ลอ่ ยวาง
สอนการละการวาง แต่การละการวางมันต้องการละวางแบบ
เศรษฐีธรรม เศรษฐีธรรม เวลาหลวงตาท่านช่ืนชมหลวงปู่ลี
เศรษฐีธรรมๆ
182 • เทศน์บนศาลา
มนั ตอ้ งเปน็ เศรษฐแี ลว้ ปลอ่ ยวาง ไมใ่ ชข่ คี้ รอก “ผมกเ็ ปน็
อรยิ สจั ขนกเ็ ปน็ อรยิ สจั ” ไมร่ อู้ ะไรเลย แลว้ เปน็ เศรษฐไี ดอ้ ยา่ งไร
ไมร่ ้อู ะไรเปน็ เศรษฐธี รรมไดอ้ ยา่ งไร
เศรษฐีธรรมคือเขาสร้างสมข้ึนมามากมายมหาศาล
เริ่มต้นจากการใช้ปัญญาๆ คนที่ปฏิบัติไปเขาจะรู้ถึงตทังคปหาน
คอื การใช้ปญั ญาดว้ ยความแยกแยะของเรา แลว้ มนั มีก�ำลงั สมดลุ
ของมัน มันปล่อยวาง เหมือนเลย เหมือนกิเลสตาย โอ้โฮ!
โล่งโถงไปหมดเลย แต่มันไม่มีสิ่งบอกเหตุ ไม่ได้ช�ำระล้างกิเลส
มันไม่มีสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สักกายทิฏฐิ
ความเห็นผดิ ในกายของตน ความเหน็ ผิด ความเห็นคือจติ
ส่ิงท่ีเกิดเป็นมนุษย์คือร่างกายนี้ กายกับใจๆ ท่ีบวกกัน
เป็นมนุษย์นี้ สิ่งที่เป็นสิทธิเสรีภาพ รัฐธรรมนูญรับรองการเกิด
เป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์นี้มีกฎหมายรองรับ ห้ามท�ำลาย
หา้ มเบียดเบยี นกัน
แตก่ เิ ลสทมี่ นั ครอบงำ� อยมู่ นั ครอบงำ� หวั ใจ มนั ทำ� ลายลา้ ง
ดว้ ยความทกุ ขค์ วามยาก เราใชส้ ตใิ ชป้ ญั ญาการประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรม
ดว้ ยมรรคดว้ ยผล ดว้ ยมรรค ๘ ดว้ ยมชั ฌมิ าปฏปิ ทา ดว้ ยความสมดลุ
ของตน เห็นไหม พิจารณาซ้�ำแล้วซ้�ำเล่า มันจะปล่อยวาง
เป็นครัง้ เปน็ คราวๆ
คนทปี่ ลอ่ ยวางนะ ปลอ่ ยวางแลว้ ถา้ เผลอไผล ปลอ่ ยวางแลว้
ส�ำคัญตน เส่ือมหมด เส่ือมเพราะอะไร เส่ือมเพราะส่ิงร้อยรัด
ในสติปฏั ฐานสีม่ ี • 183
สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี พั พตปรามาส มนั รอ้ ยรดั จติ อยู่ สงั โยชน์
รอ้ ยรดั กเิ ลสกบั จติ นเ้ี ป็นอนั เดยี วกัน
การวิปัสสนา วิปัสสนาเพ่ือผ่อนเพื่อคลาย การผ่อน
การคลายนน้ั คือปหานชั่วคราวๆ ค�ำวา่ “ชว่ั คราวๆ”
ครูบาอาจารย์ท่ีท่านประพฤติปฏิบัติ ถ้าท่านผิดพลาด
เวลามนั ปลอ่ ยวางแลว้ มนั มหศั จรรย์ กค็ ดิ วา่ สงิ่ นเี้ ปน็ ธรรม แลว้ ถา้
พลั้งเผลอหรือปล่อยปละละเลย เสื่อมหมด ถอยกรูดๆ ไปเลย
แลว้ กลับมายาก
แลว้ ถา้ ครบู าอาจารยอ์ งคไ์ หนเคยผดิ พลาด มนั มบี ทเรยี น
บทเรยี นการประพฤตปิ ฏบิ ตั นิ ค้ี อื ประสบการณ์ ประสบการณข์ อง
ครบู าอาจารยข์ องเราทา่ นประพฤตปิ ฏบิ ตั มิ าแตล่ ะองคๆ์ ในสายของ
หลวงปูม่ ั่น มันมีวาสนามาแตกต่างกนั
แต่คนที่ประสบความส�ำเร็จ ครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ของ
หลวงปมู่ น่ั ทที่ า่ นประสบความสำ� เรจ็ ทห่ี ลวงตาทา่ นชน่ื ชม ชน่ื ชมวา่
เปน็ เพชรนำ�้ หนง่ึ ๆ ทา่ นมปี ระสบการณอ์ ยา่ งน้ี แลว้ ประสบการณ์
ของแต่ละองคๆ์ ไมเ่ หมอื นกนั แตกตา่ งกันด้วยอำ� นาจวาสนา
คนเราเกดิ มาแตกตา่ งกนั การเวยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะมา
แตกต่างกัน แล้วเวลาท่านพิจารณาของท่าน สิ่งที่ท่านคุยกัน
ธมฺมสากจฺฉา ในวงปฏิบัติเขาถึงรู้ของเขา ถ้าเขารู้ของเขาข้ึนมา
เวลาทมี่ นั ปลอ่ ยวางชวั่ คราวๆ ครบู าอาจารยท์ ที่ า่ นเปน็ จรงิ ๆ แบบน้ี
184 • เทศน์บนศาลา
ท่านเคยผิดพลาด เคยปล่อยวางแล้วชะล่าใจ เส่ือมไป ท่านก็
ฟน้ื ฟขู ้นึ มา ท่านกพ็ ยายามขวนขวายของท่าน
ในสติปัฏฐาน ๔ มีกาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณา
ซำ้� แลว้ ซำ้� เลา่ ๆ ถา้ จะไปจบั กาย จบั เวทนา จบั จติ จบั ธรรมขนึ้ มา
พจิ ารณาโดยจติ โดยสามญั สำ� นกึ โดยโลกยี ปญั ญา เปน็ ไปไมไ่ ดห้ รอก
เปน็ ไปไมไ่ ด้ เพราะไปอนาคตมนั ยงั มสี ติ มหาสติ ปญั ญา มหาปญั ญา
มันมีปญั ญาญาณ ปญั ญารอบคอบ เพราะอะไร
เพราะบุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล
สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล
อรหตั ตมรรค อรหัตตผล
ในสติปฏั ฐาน ๔ มกี าย เวทนา จิต ธรรม
ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมโดดๆ ไม่มีจิต
จิตตภาวนาเข้าภาวนาร่วมด้วยไม่มี แล้วคนที่ไม่เป็นก็ไปจับวัตถุ
จติ โดดๆ ความโดดๆ นั้นมาบอกว่าเป็นอรยิ สัจ มนั เป็นไปไม่ได้
หนง่ึ ผทู้ ภ่ี าวนาไมเ่ ปน็ “จติ สงบแลว้ กพ็ จิ ารณากายสคิ ะ”
แต่ครูบาอาจารย์ของเรา “พิจารณากายสิ พิจารณา
อสุภะเลย พิจารณากายแยกแยะเลย เปน็ ไตรลักษณ์”
“มันจะเป็นอสุภะๆ” ภะไหน ภะอย่างไร มันไม่เป็น
เพราะมนั ไมเ่ ปน็ ถงึ เหลวแหลก พอเปน็ พธิ ี พอเปน็ พธิ สี มบรู ณแ์ บบ
แล้วว่าก็ใช่ พิธี ใครท�ำไม่ได้ พิธีกรรมเยอะแยะไปหมด ปฏิบัติ
ในสติปฏั ฐานส่ีมี • 185
พอเป็นพิธี แล้วสังคมชื่นชมกัน สังคมคือโลกไง โลกเป็นใหญ่
ไมใ่ ชธ่ รรมเปน็ ใหญ่
ธรรมเปน็ ใหญน่ ะ ครบู าอาจารยข์ องเราอยใู่ นปา่ ในเขา
ท่านบรรลุธรรมองค์เดียว ท่านกังวานในใจของท่านองค์เดียว
แล้วท่านเก็บเงียบ แล้วมีครูบาอาจารย์ที่ท่านใฝ่หาค้นคว้า
ท่านถึงแสวงหาเข้าไปศึกษา เข้าไปศึกษาก็เร่ิมต้นจาก
ท�ำความสงบของใจเข้ามาก่อน พอใจสงบระงับแล้ว พอคน
ทำ� สมั มาสมาธไิ ด้ จติ สงบระงบั แลว้ จะชนื่ ชม จติ นจี้ ะยอมรบั ใน
พระพุทธศาสนา
ไอข้ องเรายอมรบั แตป่ าก ปากวา่ เปน็ ชาวพทุ ธ อยากจะ
ประพฤติปฏิบัติ แต่โลเล ไม่แน่ใจ หมดกาลหมดสมัย เวลา
ปฏบิ ตั แิ ลว้ จะไดผ้ ลหรอื ไม่ ปฏบิ ตั ไิ ปไมเ่ หนอื่ ยเปลา่ หรอื แลว้ คนสอน
สอนถูกหรือเปล่า เอะ๊ ! เขาจะพาเราไปไหนเนีย่ ร้อยแปด
แตถ่ า้ มนั มคี รบู าอาจารยน์ ะ ทา่ นบอกวา่ ใหท้ ำ� ความสงบ
ของใจเข้ามาก่อน พอใจสงบนะ ผ้รู ู้ ผู้ตื่น ผู้เบกิ บาน
ผรู้ ู้ ผตู้ น่ื ผเู้ บกิ บานมนั จะรแู้ จง้ ในใจของตน ความรแู้ จง้
ในใจของตนจะเช่ือม่ันในพระพุทธศาสนา ในพระพุทธศาสนา
พุทธะ ผรู้ ู้ ผู้ต่ืน ผู้เบกิ บาน น่ไี ง ผ้รู ู้ ผู้ต่ืน ผเู้ บิกบาน น้อมไป
เหน็ กาย เหน็ เวทนา เหน็ จติ เหน็ ธรรมตามความเปน็ จรงิ ถงึ เปน็
แนวทางสตปิ ัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจรงิ
186 • เทศน์บนศาลา
ไม่ใช่แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ด้วยโวหาร ด้วยค�ำพูด
ด้วยพิธีกรรม ไม่มีอยู่จริง แต่มันมีอยู่ในพระพุทธศาสนา
ในพระพทุ ธศาสนา องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ สอนอยา่ งนน้ั
สอนอยา่ งนนั้ ใหค้ นทำ� อยา่ งนน้ั จากหวั ใจของเขา ไมใ่ ชใ่ หท้ ำ� แบบนน้ั
โดยการพรำ่� เพ้อ โดยการนึกเอา โดยวิปัสสนึก มนั ไมม่ ีอยจู่ ริง
ถา้ มนั เปน็ จรงิ ครบู าอาจารยข์ องเราทา่ นประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
มาก่อน ถ้ามันเป็นจริง เวลาตทังคปหาน มันใช้ปัญญาช่ัวคราว
ปญั ญาชวั่ คราวมนั ไมไ่ ดถ้ อนสงั โยชน์ ถา้ ไมไ่ ดถ้ อนสงั โยชน์ ตอ้ งทำ� ซำ�้ ๆ
การท�ำซ้�ำๆ ก็เพื่อพิจารณาเพื่อถอดเพ่ือถอน เพ่ือแยกเพื่อแยะ
ไตรลักษณ์น่ันแหละ ลักษณญาณ พิจารณาซ้�ำแล้วซ้�ำเล่าๆ
เวลามนั ขาด เวลามนั ขาดนะ อะไรมนั ขาด สงั โยชนข์ าด สกั กายทฏิ ฐิ
ถา้ สกั กายทฏิ ฐิ ทฏิ ฐิ ทฏิ ฐมิ านะขาด ความลงั เลสงสยั มไี ดอ้ ยา่ งไร
การลบู คล�ำจะลูบคลำ� ไดอ้ ย่างไร เพราะมนั ขาดไปแล้ว
พอมนั ขาดไปแลว้ นะ ผลของวฏั ฏะ ผลของวฏั ฏะไมม่ ตี น้
ไม่มีปลาย วัฏฏะน้ีรู้ได้ยากๆ แต่เป็นพระโสดาบันพาดกระแส
การพาดกระแสมนั ไมร่ จู้ กั วฏั ฏะไดอ้ ยา่ งไร แคพ่ าดกระแส มนั รจู้ กั
วัฏฏะจากใจของมัน
ใจดวงนั้นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย
มดื บอด แตเ่ วลาพาดกระแสมนั รเู้ ลยวา่ ๗ ชาติ รชู้ ดั ๆ พระโสดาบนั
ตอ้ งรู้ ถา้ ไมร่ ู้ ไมใ่ ชพ่ ระโสดาบนั เพราะอะไร เพราะปถุ ชุ นเขากไ็ มร่ ไู้ ง
ไมม่ ใี ครรผู้ ลของวฏั ฏะ ไมม่ ใี ครรวู้ า่ เรามาจากไหน เราเกดิ มาทำ� ไม
แลว้ จะไปไหน ไม่มใี ครรู้ แตพ่ ูดธรรมะจอ้ ยๆๆ เลยนะ
ในสตปิ ฏั ฐานสมี่ ี • 187
ในแกงเทโพมีผักบุ้ง ในผักบุ้งไม่มีแกงเทโพ ในผู้ที่ไม่รู้
รไู้ มไ่ ด้ ทำ� ไมไ่ ด้ ถา้ มนั ทำ� กแ็ กงสม้ แกงสม้ ผกั บงุ้ ถา้ มนั เอาไปผดั
ก็ผักบ้งุ ไฟแดง ไมใ่ ช่แกงเทโพ
ในสติปัฏฐาน ๔ เห็นไหม ในอริยสัจมีสติปัฏฐาน ๔
ตามความเปน็ จรงิ แลว้ มนั ตอ้ งทำ� ขน้ึ มาจากขอ้ เทจ็ จรงิ เทวฺ เม ภกิ ขฺ เว
ทางสองส่วนที่เธอไม่ควรเสพ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง
ความเหมาะสมพอดีของความเพยี ร เพียรชอบ
งาน คืองานในการค้นควา้ ตอ่ สู้กับกิเลสในใจของตน
สัมมาทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นที่ถูกต้องดีงาม ดีงามจาก
ปญั ญาญาณ ดงี ามจากปญั ญาของตน ดจี ากความเหน็ ความเหน็
ของจติ จติ ทมี่ นั แกไ้ ขตวั ของมนั เอง แลว้ มนั สวา่ งโพลงกลางหวั ใจ
ดอกบวั บานกลางหวั ใจ มนั จะไม่ร้ไู ด้อย่างไร
แตท่ แ่ี จว้ ๆ กนั อยนู่ ่ี มนั ไมร่ ไู้ มเ่ หน็ อะไรเลย มนั ไมม่ สี งิ่ ใด
บานกลางหวั ใจ มนั ถงึ ไมร่ ูจ้ กั วัฏฏะ แล้วลบู ๆ คลำ� ๆ
แต่ถ้าเป็นจริงนะ อกุปปธรรม พระอรหันต์คือไม่หัน
ไปไหนแลว้ “อะ” รอบตวั อกปุ ปธรรม เรม่ิ ตน้ ตงั้ แตพ่ ระโสดาบนั
อกุปปธรรมคือคงท่ตี ายตัวไมเ่ ปลย่ี นแปลง เอวัง
ธรรมะเหนอื ธรรมชาติ
เพราะธรรมชาตคิ อื วัฏฏะ
ในสตปิ ฏ ฐาน ๔ มกี าย
ในกายไมมีสติปฏฐาน ๔
มูลนิธิพระสงบ มนสฺสนฺโต
ตw.หwนอwงก.วsำaง อ-.nโพgธำoรำbม.จc.รoำชmบรุ ี