The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สัมมาสมาธิ หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-05-05 23:06:11

สัมมาสมาธิ หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต

สัมมาสมาธิ หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต

Keywords: สัมมาสมาธิ หลวงพ่อสงบ มนัสสันโต

องคส มเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจา
ปรารถนารือ้ สัตวขนสัตว วางแนวทางไว
เวลาวางแนวทางไวแ ลว เรากท็ าํ ตามแนวทางนั้น
แลวเรากส็ รางเรื่องของเราเองไดหมดเลย

...มายา ปฏิบตั โิ ดยมายา
แลว ก็เอามายานั้นเปน หลักเกณฑข องตน
แลวอางอิงธรรมะขององคส มเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา
แตไ ฟสุมขอนในใจเตม็ หวั ใจ ไมม ีสจั จะความจริงเลย



ไฟสุมขอน

พระอาจารยส์ งบ มนสฺสนโฺ ต
เทศน์บนศาลา วันท่ี ๙ ตลุ าคม ๒๕๖๑
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบรุ ี

ตง้ั ใจฟงั ธรรมะ ตง้ั ใจฟงั ธรรม ตงั้ ใจฟงั ธรรมเพอื่ ชวี ติ ของเรา
เหน็ ไหม คนเราเกดิ มา กำ� เนิด ๔ กำ� เนดิ ๔ เกิดมาแตกตา่ งกัน
เกดิ ในครรภ์ เกิดในไข่ เกดิ ในน�้ำคร�ำ เกดิ ในโอปปาตกิ ะ แตต่ าย
เหมือนกนั

เกิด เกดิ แตกตา่ งกนั มา เพราะเกิดมาดว้ ยเวรดว้ ยกรรม
ท�ำดีได้ดี ท�ำชั่วได้ชั่ว ใครท�ำกรรมสิ่งใดมาได้เกิดตามกรรมนั้น
เวลาเกดิ มาแลว้ เกดิ มานผ่ี ลของวฏั ฏะๆ เวลาองคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สมั พทุ ธเจา้ เวลาสรา้ งสมบญุ ญาธกิ ารๆ กเ็ วยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะน้ี
เหมอื นกนั แตก่ ารเวยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะนี้ การเวยี นวา่ ยตายเกดิ
ในวฏั ฏะเพอื่ สรา้ งคณุ งามความดี สรา้ งอำ� นาจวาสนาบารมจี นบารมเี ตม็
พอบารมเี ตม็ กม็ าเกดิ เปน็ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ เวลาเกดิ เปน็ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ
ออกประพฤติปฏิบัติจนถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ๆ ถึงเข้าใจสัจธรรมนี้
ตลอดรอดฝ่งั

แตข่ องเรา เราเกดิ เปน็ มนษุ ย์ เกดิ มาพบพระพทุ ธศาสนา
เกิดมาด้วยทิฏฐิมานะของตน เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จ

102 • เทศน์บนศาลา

พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ศกึ ษามาแลว้ ศกึ ษามาวา่ เปน็ สมบตั ขิ องตนๆ
การศกึ ษามา ศกึ ษามาเปน็ ประเพณวี ฒั นธรรม เปน็ ประเพณวี ฒั นธรรม
เพราะวา่ ใหเ้ รามสี ตมิ ปี ญั ญา มสี ตมิ ปี ญั ญาพาชวี ติ ของเราใหป้ ระสบ
ความส�ำเร็จในชีวิตน้ี ให้ชีวิตของเราไม่ทุกข์ไม่ร้อนจนเกินไป
แตม่ นั กเ็ ปน็ ความทกุ ขว์ นั ยงั คำ�่ นะ่ เปน็ ความทกุ ขว์ นั ยงั คำ�่ เพราะอะไร
เพราะทกุ ขเ์ ปน็ อรยิ สจั ทกุ ขเ์ ปน็ ความจรงิ ทกุ ขค์ อื สงิ่ ทท่ี นอยไู่ มไ่ ด้
ถา้ สง่ิ ทท่ี นอยไู่ มไ่ ด้ ทนอยไู่ มไ่ ดแ้ ลว้ อยเู่ พอื่ อะไรละ่ นไ่ี ง กอ็ ยดู่ ว้ ยการ
ด�ำรงชีวิตนีไ้ ปไง

ชีวิตของเรา เราเกิดมาแล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมา
พบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงส้ินสุดแห่งทุกข์
แต่ก่อนที่จะส้ินสุดแห่งทุกข์นั้น คนต้องมีอ�ำนาจวาสนาบารมี
เขาถงึ พยายามกระทำ� ของเขาถึงที่สุดแห่งทุกขน์ ั้นได้

แต่ของเราเกิดมาเปน็ มนษุ ย์ เกดิ มาพบพระพุทธศาสนา
มนั เกดิ เปน็ โลกยี ปญั ญาๆ ปญั ญาของโลกๆ ไง เราเกดิ มากบั โลกนี้
เกดิ มาดว้ ยทฏิ ฐมิ านะของตน เวลาทฏิ ฐมิ านะของตน สำ� คญั ตนวา่
ตัวเองมีอ�ำนาจวาสนา ส�ำคัญตนว่าตัวเองมีปัญญา ส�ำคัญตนว่า
ตัวเองเปน็ ผู้ยง่ิ ใหญ่ ยงิ่ ใหญเ่ พราะอะไรน่ะ กิเลสมนั หลอกทัง้ นั้น
กิเลสในใจของคน ทฏิ ฐิมานะของคน นั่นน่ะตวั ร้าย

แต่ถ้าคนมีคุณธรรมขึ้นมา เห็นไหม โดยสัญชาตญาณ
ของมนุษย์ จิตใต้ส�ำนึกของมนุษย์มันถือตัวถือตนท้ังนั้นน่ะ
การถือตัวถือตนมันมีทิฏฐิมานะในใจของตน การมีทิฏฐิมีมานะ
ในใจของตน แต่ถ้ามันเป็นคุณงามความดี ถ้าคุณงามความดีนะ

ไฟสมุ ขอน • 103

เขาสงสยั สนเทห่ ใ์ นชวี ติ นไี้ ง ชวี ติ นเ้ี กดิ มาทำ� ไมๆ คนทเ่ี ขามสี ตปิ ญั ญา
เทา่ นนั้ แตด่ ว้ ยคนทม่ี อี ำ� นาจวาสนาเกดิ มามง่ั มศี รสี ขุ ขนึ้ มา มพี อ่ มแี ม่
มผี คู้ มุ้ ครองดแู ล เขากค็ มุ้ ครองดแู ลไปใหม้ สี ตมิ ปี ญั ญา มกี ารศกึ ษา
มกี ารบม่ เพาะเพอื่ ใหเ้ ปน็ คนดๆี แตม่ นั จะเปน็ คนดตี ลอดรอดฝง่ั ไป
หรอื ไม่

การว่าเป็นคนดีตลอดรอดฝั่งไป เห็นไหม ในทางโลก
ธรุ กจิ เวลาเขาบอกเขาสง่ ทอดกนั อยา่ งมากก็ ๓ รนุ่ สดุ ทา้ ยไปแลว้
ในปัจจุบันนี้เร็วกว่านั้นมากเลย เร็วกว่าน้ันมากเพราะโลก
มันหมุนไปเร็วมากไง ถา้ โลกหมนุ ไปเรว็ มาก เหน็ ไหม

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ส่ิงท่ี
อำ� นาจวาสนานใี้ นโลกนๆี้ แตเ่ วลาองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ตรสั รธู้ รรมนะ บพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ จตุ ปู ปาตญาณ อาสวกั ขยญาณ
นีว่ ิชชา ๓ ขององคส์ มเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้

คนมนั มามนั ตอ้ งมอี ดตี ชาตมิ า มนั ตอ้ งมที มี่ าทไ่ี ปทง้ั นน้ั นะ่
ธรรมท้ังหลายมาแตเ่ หตุ มันไม่มสี ่งิ ใดลอยมาจากฟา้ หรอก มันมี
การกระทำ� เหน็ ไหม บพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ สง่ิ ทเี่ ราสรา้ งสมมา
เรามาเกดิ เปน็ มนษุ ยน์ ่ี จตุ ปู ปาตญาณ ถา้ เราเชอื่ มนั่ ในพระพทุ ธศาสนา
เราทำ� คณุ งามความดขี องเรา เราจะประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องเราไดม้ าก
ได้น้อยขนาดไหน ถ้ามันยังไม่สิ้นกิเลสมันต้องไปเกิดเอาข้างหน้า
แน่นอน เพราะอะไร เพราะมนั มภี วาสวะ มีภพ

104 • เทศนบ์ นศาลา

จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตน้ีเวียนว่ายตายเกิด
ในวัฏฏะด้วยคุณงามความดีได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี่ พอได้เกิดเป็น
มนษุ ยม์ ีสติมีปัญญา ไดศ้ ึกษาค้นคว้า ค้นควา้ ในสง่ิ ใด ค้นคว้าใน
พระพทุ ธศาสนา

พระพุทธศาสนาสอนถึงพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ถา้ มนั จะเบกิ บาน เวลาเราศกึ ษามนั มคี วามทกุ ขค์ วามยากทงั้ นนั้ นะ่
นี่พูดถึงถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันมีสติมีปัญญาข้ึนมา
ถ้ายังไม่ถึงท่ีสุดแห่งทุกข์ มันไปเกิดเอาข้างหน้าแน่นอน ส่ิงน้ี
มันเป็นสัจจะเป็นความจริงในตัวของมันเอง ใครจะเช่ืออย่างไร
ใครจะมคี วามรู้ความเห็นอย่างไร นน่ั เป็นสิทธ์ิของแตล่ ะบุคคล

ค�ำว่า “สทิ ธ์ิของแต่ละบคุ คล” นนั้ มันก็บวกดว้ ยอำ� นาจ
วาสนาของคนนนั้ ดว้ ย ถา้ อำ� นาจวาสนาของคนคนนน้ั เขามอี ำ� นาจ
วาสนาขน้ึ มา เขาตรวจสอบของเขา เขาพจิ ารณาของเขา มนั เปน็
ความจริงหรอื ไม่เป็นความจรงิ ไง

ถา้ มนั ไมเ่ ปน็ ความจรงิ เขาขวนขวายของเขา แกไ้ ขของเขา
เขาพัฒนาของเขาเพ่ือหัวใจของเขา เพราะเขาเกิดมาเป็นมนุษย์
เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเขามอี �ำนาจของเขา เขาไมใ่ ชค่ น
โงๆ่ เซอ่ ๆ

โง่ๆ เซ่อๆ เห็นไหม ไปยอมจ�ำนนกับกิเลสของตน
ไปยอมจ�ำนนกับกิเลสของตนก็ทิฏฐิมานะของตนน่ันไง แต่ไม่มี

ไฟสุมขอน • 105

การคน้ ควา้ ไมม่ กี ารตรวจสอบในใจของตน นไ่ี ง ปจั จตั ตงั สนั ทฏิ ฐโิ ก
มันเป็นปัจจัตตังจริงหรอื ร้แู จ้งจรงิ หรือ ถา้ มันไมจ่ รงิ เหน็ ไหม

ถ้ามันจะเป็นจริง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ย้อนกลับมาหมด อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ในหัวใจของตน
ญาณหย่ังรู้ในจิตท่ีละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเป็นช้ันเป็นตอนเข้าไป
เวลามนั สำ� รอก สำ� รอกด้วยอ�ำนาจวาสนา นไ่ี ง มชั ฌิมาปฏปิ ทา
มชั ฌิมาปฏิปทา ความทลี่ ะเอยี ดออ่ นลึกซ้ึง

ธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เวลาองคส์ มเดจ็
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยู่ เทวดามาดดี พณิ ๓ สาย
สายทตี่ งึ ไปกข็ าด สายทีห่ ย่อนไปก็ไมด่ งั ถา้ พอดๆี นนั่ นะ่ พอดี

นั่นนะ่ “ทางสายกลางๆ” น่นั สายกลางกส็ ายกลางของ
กิเลสไง แล้วแต่คนจะคาดหมาย ถ้าเป็นความจริงไม่เป็น
ความจรงิ หรอก

ถา้ เปน็ ความจรงิ นะ สง่ิ ทอ่ี งคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
กราบธรรมๆ สจั ธรรมอนั นน้ั เวลาองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
บรรลุธรรม มีรัตนะ ๒ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับ
พระธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ
พระอญั ญาโกณฑญั ญะมดี วงตาเหน็ ธรรม นนั่ นะ่ สงฆอ์ งคแ์ รกของโลก
เกิดขนึ้ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์

พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาหลวงตาทา่ นประพฤติ
ปฏบิ ตั ิ เหน็ ไหม “พทุ ธ ธรรม สงฆร์ วมลงเปน็ หนงึ่ เดยี วในหวั ใจนนั้ ”

106 • เทศนบ์ นศาลา

ในหวั ใจท่ีเปน็ พทุ ธะนนั่ นะ่ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆร์ วมลง
ในหวั ใจของตน มนั สวา่ งกระจา่ งแจง้ ขนึ้ มาในใจของตน ครอบโลกธาตุ
๓ โลกธาตุ หวั ใจนคี้ รอบหมด ครอบหมดแลว้ มนั ยงิ่ ใหญข่ นาดนน้ั ไง

ทอี่ งคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กราบธรรมๆ คณุ ธรรม
มีคุณค่าขนาดน้ัน แต่ในปัจจุบันน้ีเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมา
พบพระพุทธศาสนา หวั ใจของเราโดนกเิ ลสมนั ครอบงำ� อยู่ กเิ ลส
มนั บีบบี้สไี ฟจนไมม่ ีสิง่ ใดมคี ณุ ค่า

เวลาคนทุกขค์ นยากทางโลกนนี้ ะ เวลาเขาไปท�ำร้ายเขา
ท�ำร้ายร่างกายจนสิ้นชีวิตไปเพื่อจะพ้นจากทุกข์ไง เวลาทุกข์
มนั บบี คนั้ ขน้ึ มาไมม่ ที างออก ฆา่ ตวั ตายๆ นนั่ นะ่ คนทมี่ นั จนตรอก
เวลาคนจนตรอกจะหาทางออก หาทางออกไม่ได้ บีบค้ันจน
ทำ� ลายตวั เอง

ไอ้ของเรา เราถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม เวลา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นกิเลสไป ครูบาอาจารย์
ทา่ นประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ป จติ ใจนค้ี รอบ ๓ โลกธาตุ กามภพ รปู ภพ
อรปู ภพ จติ ทเ่ี วียนว่ายตายเกดิ ในวัฏฏะใน ๓ โลกธาตุ เวลาจิต
ทม่ี นั พน้ ไปแลว้ มนั มหศั จรรยข์ นาดนน้ั นะ่ สงิ่ ทม่ี หศั จรรยข์ นาดนนั้
ถา้ มันเปน็ ความจริง ความจริงในพระพุทธศาสนานะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแสดงธรรม
“พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” เวลาพระโมคคัลลานะ
ไปเหน็ สง่ิ มหศั จรรยส์ งิ่ ใดๆ “อยู๋ ! เรารเู้ ราเหน็ มาทง้ั นน้ั นะ่ แตเ่ รา

ไฟสุมขอน • 107

ไม่พูด” เพราะอะไร เพราะมันไม่มีประโยชน์ เห็นนรกสวรรค์
เหน็ เปรตเหน็ ผี เหน็ ทงั้ นนั้ นะ่ มนั ปดิ ตาขององคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สัมพุทธเจ้าไม่ได้หรอก มันปิดตาของผู้ท่ีสิ้นกิเลสไปไม่ได้หรอก
มันรู้มันเห็นไปท้ังน้ันน่ะ แต่มันมีประโยชน์ไหม นี่ไง ถ้ามันไม่
เป็นประโยชน์ พอพูดไปมันก็เป็นสิ่งท่ีว่ามันออกนอกลู่นอกทาง
ผวู้ เิ ศษๆ ไง อภญิ ญา ๖ อภญิ ญาสง่ิ ตา่ งๆ ทรี่ ไู้ ด้ รไู้ ดแ้ ลว้ มคี ณุ คา่
อะไร

ถา้ ใจเปน็ ธรรม เขาไมต่ นื่ ไมเ่ ตน้ กบั เรอื่ งอยา่ งนน้ั หรอก
ส่ิงท่ีเป็นจริงๆ ขึ้นมาเขาจะย้อนกลับมาสู่อริยสัจ ย้อนมาสู่
ความจริงของตน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ยอ้ นกลับมา ทำ� ความสงบของใจเขา้ มา ศลี สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าใครมีอ�ำนาจวาสนาข้ึนมา เวลา
จะประพฤติปฏิบัติข้ึนมา คนท่ีมีอ�ำนาจวาสนาเขาจะย้อนกลับ
เข้ามาที่ใจของตน เข้ามาต้นเหตุ เหตุที่พาให้เวียนว่ายตายเกิด
ในวฏั ฏะ

ส่ิงที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีการกระท�ำท้ังน้ัน
กรรมดี กรรมชวั่ จติ ดวงใดทไ่ี มม่ กี ารกระทำ� มกี ารกระทำ� มาทงั้ สนิ้
เวลาท�ำสิ่งใดมา เห็นไหม วาระท่ีเราเกิดเป็นมนุษย์ เวลาเกิด
เปน็ มนษุ ย์ เกดิ มาพบพระพทุ ธศาสนา เรามอี ำ� นาจวาสนามากนอ้ ย
แคไ่ หน ชวี ิตน้ี ๑๐๐ ปแี ปบ๊ เดียว

108 • เทศนบ์ นศาลา

เวลาในพระไตรปิฎกนะ นางฟ้าเขาไปเก็บดอกไมก้ ันนะ่
นางฟา้ เขาหายไปพกั หนงึ่ เวลาเขาเกบ็ ดอกไมย้ งั ไมท่ นั เสรจ็ จะกลบั
เขาโผล่ไปเปน็ นางฟ้าอย่างเดิมอกี แล้ว

“เธอไปไหนมา”
“ไปเกดิ เปน็ มนษุ ย์ชาตหิ นึ่ง”
๑๐๐ ปีของเราเท่ากบั ของเขา ๑ วนั คำ� วา่ “๑ วนั ”
๑ วนั ทเี่ ขาไปเกบ็ ดอกไมย้ งั ไมท่ นั กลบั นะ่ นางฟา้ ลงมาเกดิ เปน็ มนษุ ย์
ชาติหนึง่ แลว้
แล้วเวลาเทวดาเขาอวยพรกัน เวลาจะหมดอายุขัย
“ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์เถิด เกิดแล้วได้สร้างบุญกุศลให้เกิดเป็น
นางฟ้าอย่างเดิม ให้มาเกิดเป็นเทวดาอย่างเดิม” นี่ไง ผลของ
วัฏฏะๆ ไง
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลา
สน้ิ กเิ ลสไปแลว้ ครอบ ๓ โลกธาตุ ตงั้ แตก่ ามภพ รปู ภพ อรปู ภพ
กามภพ เทวดานก่ี ามภพ เวลาพรหมนรี่ ปู ภพ อรปู ภพ นี่ ๓ โลกธาตุ
มันย่ิงใหญ่ขนาดนั้นน่ะ ถ้ามันย่ิงใหญ่ขนาดนั้นน่ะ ดวงใจดวงนี้
ทมี่ นั เปน็ ได้ เปน็ ไดเ้ พราะอะไร เปน็ ไดด้ ว้ ยการทเี่ รามสี ตมิ ปี ญั ญา
เราค้นคว้าในใจของตนให้มันเกิดคุณธรรมของเราขึ้นมาตาม
ความเป็นจรงิ ถ้าคน้ คว้าตามความเป็นจรงิ นะ

ไฟสุมขอน • 109

ทเี่ รามาวดั มาวา เรามาประพฤตปิ ฏบิ ตั กิ นั อยนู่ ี่ เรากม็ า
คน้ ควา้ หาใจของตนๆ ถา้ จะคน้ ควา้ หาใจของตน เราทำ� ความสงบ
ของใจเข้ามา เวลาลูกศิษย์กรรมฐานๆ เขาให้รักษาใจของตนๆ
แลว้ คน้ ควา้ หาใจของตน

เวลาศึกษาทางโลกมา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติก็
ศึกษามา มันต้องมีการศึกษาท้ังนั้นน่ะ คนเรามันโง่มันฉลาด
มันกม็ ีประสบการณข์ องชีวิตนนั่ แหละ ศึกษาในหอ้ งเรียน ศึกษา
ตลอดชีวิต เวลาศึกษาข้ึนมา เวลาประสบการณ์ของตน น่ีเวลา
ศึกษามา ศึกษามาเพ่ือประโยชน์ คนอะไรมันจะโง่เง่าเต่าตุ่น
ขนาดที่ไม่รู้ส่งิ ใดๆ เลยหรือ มนั กร็ มู้ าท้งั นั้นนะ่

เวลารู้มาแล้วทั้งนั้น เวลาจะมาประพฤติปฏิบัติ
ท�ำความสงบของใจเข้ามาก่อนๆ ให้มันสงบระงับเข้ามาให้ได้
ถ้ามันสงบระงับเข้ามา สงบระงับได้มากได้น้อยแค่ไหนมันก็เป็น
อ�ำนาจวาสนาของคนแลว้

เนน้ ยำ�้ วา่ “อำ� นาจวาสนา” อำ� นาจวาสนาคอื การกระทำ�
มันเหมือนผลไม้ เมล็ดพันธุ์พืชทุเรียนก็เป็นทุเรียน ส้มก็เป็นส้ม
เงาะกเ็ ปน็ เงาะ แลว้ แตส่ ายพนั ธข์ุ องมนั นก่ี เ็ หมอื นกนั หวั ใจของคน
อยู่ท่ีสายพันธุ์ คือเวรคือกรรมที่สร้างมา เวรกรรมของแต่ละคน
มันสรา้ งมาไมเ่ หมอื นกันหรอก เวลาสรา้ งมาไม่เหมือนกัน เวลามี
การกระท�ำ มุมมองก็แตกต่างกันไป แต่มุมมองแตกต่างกันไป
เวลาจะประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ ขา้ มามนั กเ็ ขา้ สอู่ รยิ สจั มนั จะเขา้ สอู่ รยิ สจั
หรอื ไม่เขา้ สูอ่ ริยสัจ มนั อยูท่ ี่วาสนาของคนแลว้

110 • เทศนบ์ นศาลา

เวลาทำ� ความสงบของใจเขา้ มาๆ ถา้ ใจมนั สงบระงบั เขา้ มา
เหน็ ไหม ถา้ มนั สงบระงบั เขา้ มามนั จะมคี วามสขุ ของมนั ๆ แลว้ มนั กเ็ ปน็
ทางโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนประพฤติปฏิบัติ
ไปศกึ ษากบั เจา้ ลทั ธติ า่ งๆ มา เวลาเจา้ ลทั ธติ า่ งๆ องคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สัมพุทธเจ้าไปเรียนกับอุทกดาบส อาฬารดาบส ได้สมาบัติ ๖
สมาบตั ิ ๘

คำ� วา่ “สมาบตั ิ ๖ สมาบตั ิ ๘” ไปเรยี นกบั เขามากท็ ำ� ได้
ฤๅษชี ไี พรเขากท็ ำ� ของเขาได้ ถา้ ทำ� ของเขาได้ ความสงบระงบั เขา้ มา
เขาทำ� ของเขามาอยู่แลว้ เวลาเกิดอภญิ ญาๆ เขาก็เกิดได้

เวลาเทวทตั เปน็ ลกู ศษิ ยอ์ งคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
เทวทตั ขนึ้ มา อำ� นาจวาสนาเทวทตั เหน็ ไหม ชชู กกบั พระเวสสนั ดร
ตง้ั แตย่ อ้ นไปอดตี ชาตไิ ดส้ รา้ งกนั มาเปน็ คกู่ นั มาตลอด ทำ� ลายลา้ ง
ห้�ำหนั่ กนั มาตลอด

การสร้างสมๆ ขึ้นมา เวลามาเกิดเป็นเทวทัต เกิดเป็น
องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เวลาองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ
องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มสี ตปิ ญั ญานะวา่ มนั ไมใ่ ช่ มนั ไมใ่ ช่
ก็ดึงกลับมาๆ เวลาลงสู่มัชฌิมาปฏิปทา ลงสู่ความสมดุลของมัน
อาสวกั ขยญาณขนึ้ มา ทำ� ลายอวชิ ชา ครอบครวั ของมารในใจของ
องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ส้นิ ไป

ไฟสุมขอน • 111

เทวทตั เทวทตั ไดส้ รา้ งบญุ กศุ ลมา นว่ี าสนาๆ ไดเ้ ปน็ คกู่ นั มา
การกระทำ� เปน็ คตู่ อ่ กรกนั มาตลอด เวลาทำ� ความสงบของใจเขา้ มา
กไ็ ดอ้ ภญิ ญา แปลงรา่ งไปเปน็ พญานาค ไปเปน็ งบู นหวั อชาตศตั รไู ด้
นอ่ี ภญิ ญาๆ

วาสนาเหมอื นกนั ทำ� ไดเ้ หมอื นกนั แตอ่ นั หนงึ่ มนั เขา้ สมู่ รรค
อนั หนง่ึ เขา้ สอู่ รยิ สจั อกี อนั หนงึ่ มนั เขา้ สกู่ เิ ลส เขา้ สอู่ ภญิ ญา เขา้ สู่
การมกั มาก เขา้ สกู่ ารอยากใหญ่ เขา้ ไปสเู่ รอื่ งโลก มนั จะเขา้ สอู่ รยิ สจั
หรอื ไม่ มันไมเ่ ขา้ สอู่ รยิ สัจเพราะอะไร นี่ไง วาสนาของคนไง

แตถ่ า้ มคี รบู าอาจารย์ เหน็ ไหม หลวงปเู่ สาร์ หลวงปมู่ นั่
ทา่ นเนน้ ยำ้� เลย เนน้ ยำ�้ ตลอด “แกจ้ ติ แกย้ ากนะ แกจ้ ติ แกย้ ากนะ”

คนมันไม่เคยมีประสบการณ์ หัวใจมันไม่เข้าสู่อริยสัจ
มนั จะรไู้ ดอ้ ยา่ งไร มนั รไู้ มไ่ ดห้ รอก มนั สง่ ออกทงั้ นน้ั เวลามนั สง่ ออก
มันส่งออกไปไหน ส่งออกไปสร้างทิฏฐิมานะของตนไง สร้างแต่
ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในใจวา่ อหงั การไง มนั ไมเ่ ขา้ สคู่ วามสงบ ไมเ่ ขา้ สู่
สัมมาสมาธิ

ถา้ มนั เขา้ สสู่ มั มาสมาธนิ ะ ครบู าอาจารยท์ า่ นสอน เหน็ ไหม
พวกเราเหมอื นชาวนาชาวไร่ ชาวนาชาวไรเ่ ขากพ็ ยายามทำ� นาทำ� ไร่
ของเขาเพื่อหาผลประโยชน์ของเขา

นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่ม่ันท่านสอนนะ ชาวนาท�ำนา
ก็ท�ำนาลงพื้นดินของเขาทุกปีนั่นแหละ ชาวไร่เขาก็ท�ำอยู่ท่ีดิน
ของเขาทกุ ปๆี นัน่ แหละ นีก่ ็เหมือนกัน เราชาวนาชาวไร่ เราจะ

112 • เทศน์บนศาลา

หาความสงบของใจของเราเข้ามา เราจะหาหัวใจของเรา เราจะ
หาสมถกรรมฐาน ฐานทต่ี งั้ แหง่ การงาน งานมกี ารกระทำ� ของเรา
ข้นึ มาบนหวั ใจของเรา บนหัวใจของเรา

แต่มีการศึกษา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า การศึกษามาคือการทรงจ�ำธรรมวินัย การทรงจ�ำ
ธรรมวินัยไว้เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ไปทรงจ�ำ
ธรรมวินัยแล้ว นี่ไง เวลาใจมันทุกข์ระทมมันบีบบี้สีไฟเหมือนไฟ
เผาหวั ใจเลย ไฟเผาหวั ใจ เวลาไฟเผา ความคดิ ความฟงุ้ ซา่ นขน้ึ มา
เห็นไหม ก็ท�ำความสงบของใจเข้ามาๆ ดับฟืนดับไฟอันนั้นให้ได้
ถ้าดับฟืนดับไฟอันน้ันให้ได้มันก็เป็นความสงบเข้ามา ถ้ามันสงบ
น่ีไง ธรรมาธิษฐาน

เวลาไฟมนั เผามนั ผลาญ ไฟมนั ลกุ มนั ลามขน้ึ มา มนั มแี ต่
ความทุกข์ความร้อนทั้งนั้นน่ะ ดูสิ เวลาไฟมันเผามันผลาญ
พนักงานดับไฟ พนักงานป่าไม้ดับไฟป่าๆ เวลาไฟมันเกิด ไฟป่า
มนั เผามนั ผลาญขน้ึ มา เขาตอ้ งดบั ไฟปา่ การดบั ไฟปา่ พนกั งานดบั ไฟ
เขาท�ำทางกันไฟ เขาจดุ ไฟเพื่อดบั ไฟ

น่ีไง น่ีก็เหมือนกัน เวลาความคิดความฟุ้งซ่านมันฟุ้ง
มนั ซา่ นในหวั ใจของมนั มนั เกดิ ฟนื เกดิ ไฟทง้ั นน้ั นะ่ แลว้ ทำ� ความสงบ
ของใจเข้ามา ท�ำความสงบของใจเข้ามาให้มันสงบระงับเข้ามา
ใหม้ ีความสขุ เขา้ มา

ไฟสุมขอน • 113

เราก็เป็นพนักงานป่าไม้ใช่ไหม นี่ไง เป็นพนักงานป่าไม้
เปน็ พนกั งานดบั ไฟ พวกพนกั งานปา่ ไมเ้ ขากท็ ำ� หนา้ ทกี่ ารงานของเขา
เพอื่ การยังชพี ของเขา นีม่ นั เป็นเรอื่ งโลกๆ ไง มนั เรอ่ื งภายนอก

นกี่ เ็ หมอื นกนั เวลาเกดิ ขน้ึ มามนั เกดิ เปน็ ฟนื เปน็ ไฟขนึ้ มา
เห็นไหม เวลาคนมีอ�ำนาจวาสนา ปัญญาๆ นี้ส�ำคัญมาก เวลา
คนท่ีมีปัญญา ปัญญาเอาตัวรอดได้ทุกๆ อย่าง แก้ไขทุกอย่าง
แกด้ ้วยปญั ญาๆ แตป่ ญั ญาโลกๆ มนั ก็แกไ้ ขไดเ้ ร่อื งโลกๆ

ถ้าปัญญาทางธรรมนะ มันจะเข้าไปหากิเลสตัณหา
ความทะยานอยาก มันจะไปฆา่ กิเลสตัณหาความทะยานอยาก
มันเห็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของมันนะ ถ้ามัน
เข้าไปเห็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก น่ีมันเกิดวิปัสสนา
เกดิ ปัญญาการรแู้ จง้ ในใจของตน อนั นนั้ นะ่ มันเปน็ ความดีงาม
มนั เป็นการกระท�ำ

นี่ไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม
ขึน้ มาแลว้ เทวทัตพยายามจะยึดครอง พยายามจะปกครองสงฆ์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เทวทัต แม้แต่
พระสารบี ตุ ร พระโมคคลั ลานะเปน็ อคั รสาวกเบอ้ื งซา้ ยและเบอื้ งขวา
เรายงั ไมใ่ หป้ กครองเลย เราใหส้ งฆป์ กครองสงฆก์ นั เอง ใหธ้ รรมวนิ ยั
เปน็ ศาสดา ให้สง่ิ ท่เี ป็นการประพฤตปิ ฏิบัต”ิ

นี่ก็เหมือนกัน ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ส่งต่อเป็นทอดๆ
มาจากองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ใครจะปกครองใคร ใครจะมี

114 • เทศน์บนศาลา

อำ� นาจวาสนา นไี่ ง มนั เปน็ ยคุ เปน็ คราว ศาสนานท้ี มี่ นั เจรญิ รงุ่ เรอื ง
ในอินเดียพันกว่าปี แล้วก็หมดส้ินไปเลย มาเจริญรุ่งเรืองอยู่ใน
เอเชยี ตะวันออกเฉยี งใตน้ ้ี

รุ่งเรืองๆ มันเป็นยุคเป็นคราว เวลามันเส่ือมโทรม
เสื่อมโทรมโดยทิฏฐิมานะ โดยโลกเป็นใหญ่ โลกเป็นใหญ่มันก็
เอาความสะดวกเอาความสบาย เอาสถานะ เอาความสงู ความตำ่�
มาบีบบี้สีไฟกัน แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ หลวงปู่เสาร์
หลวงปมู่ น่ั ทา่ นประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องทา่ นขนึ้ มา ทา่ นจะบบี บส้ี ไี ฟกเิ ลสไง

เรื่องโลกก็เป็นเรื่องโลก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมา
พบพระพุทธศาสนา เราได้เสียสละความเป็นฆราวาสมาบวชเป็น
นักรบ เป็นพระ ความเป็นพระแล้วไม่ถือตัวถือตนนะ พระเป็น
ผเู้ ลยี้ งงา่ ย พระอาศยั เลย้ี งชพี ดว้ ยปลแี ขง้ มนั อยทู่ ส่ี งั คมจะมองเหน็
มากนอ้ ยแคไ่ หนมนั เรอื่ งของเขา เรอ่ื งของเรา เราจะประพฤตปิ ฏบิ ตั วิ ะ่
เราจะขวนขวายหาความจริงในใจของเรา

เห็นไหม ถ้าสงฆ์ปกครองสงฆ์ สัจธรรมมันเป็นสัจธรรม
ถา้ สจั ธรรม ผทู้ ม่ี อี ำ� นาจวาสนาขน้ึ มา เขาจะคน้ หาสจั จะความจรงิ
ของเขาขน้ึ มา ถา้ คน้ หาสจั จะความจรงิ ขน้ึ มา มนั จะคน้ หาความจรงิ
ในใจของตนจริงๆ

ถ้าในใจของตน คนท่ีมีอ�ำนาจวาสนา ส่ิงรอบข้าง
โลกธรรม ๘ เรื่องไร้สาระเลย มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ

ไฟสุมขอน • 115

เราก็ได้เห็นมาตลอดแล้ว แล้วเวลามาประพฤติปฏิบัติข้ึนมามันก็
สรา้ งเปน็ ความหลอกลวงตนขึน้ มาว่านใี่ ช้ปัญญาวิปสั สนา

วปิ สั สนาอะไร ความฟงุ้ ซา่ น ถา้ มนั เปน็ ปญั ญาอบรมสมาธิ
มันก็แคส่ งบเทา่ นั้น แลว้ สงบยงั ไม่ร้วู า่ สงบด้วย

เวลาเกิดไฟ เวลาปญั ญาๆ ความรู้สกึ ของคน ความคิด
ของคนเกดิ ดบั มนษุ ยเ์ กดิ มามธี าตุ ๔ และขนั ธ์ ๕ เวลาขนั ธท์ ำ� งานๆ
ขนั ธ์โดยธรรมชาติของมัน รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ
ความคดิ ไง ความคดิ ของคนมนั มขี องมนั อยแู่ ลว้ ใชไ่ หม แลว้ ความคดิ
ของมนั คนเกดิ มาดว้ ยอวชิ ชา ดว้ ยกเิ ลสตณั หาความทะยานอยาก

ทนี ค้ี นเกดิ มามธี าตุ ๔ และขนั ธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขนั ธ์ ๕
ตั้งอยู่บนอะไร ตั้งอยู่บนความไม่รู้ ตั้งอยู่บนอวิชชา เวลาศึกษา
ก็เอาสิ่งน้ีไปศึกษา เวลาศึกษาขึ้นมาแล้วก็ศึกษามาว่าเป็นสมบัติ
ของตนๆ เป็นสมบัติของตนเพราะอะไร เพราะความเผอเรอ
ความไมร่ เู้ ทา่ ความเปน็ จรงิ มนั ทรงจำ� ธรรมวนิ ยั องคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สมั พทุ ธเจา้ แลว้ กใ็ หก้ เิ ลสมนั ปลน้ิ มนั ปลอ้ น ใหก้ เิ ลสมนั พลกิ มนั แพลง
ใหก้ เิ ลสมนั หลอกมนั ลวง เวลากเิ ลสมนั หลอกลวง เหน็ ไหม ถา้ ใช้
ปัญญาๆ ปญั ญาของคนทม่ี ีสตมิ ปี ญั ญา สงิ่ น้ันจะเปน็ ประโยชน์

คนเราเกิดมา ตัง้ แตส่ มัยโบราณ ตัง้ แตส่ มยั หนิ สมัยยคุ
น้�ำแข็ง ไม่มีฟืนไม่มีไฟ แล้วเริ่มต้นจากรู้จักไฟ รู้จักไฟข้ึนมา
ก็เป็นประโยชน์ข้ึนมา น่ีก็เหมือนกัน คนเรามีสติมีปัญญา

116 • เทศน์บนศาลา

มีความคิดท้ังน้ันน่ะ ถ้าความคิดถ้ามันเป็นคุณธรรมมันก็เป็น
ประโยชนข์ ึ้นมาทง้ั นัน้ นะ่

ดสู ิ อตุ สาหกรรมเขาตอ้ งใชพ้ ลงั งาน พลงั งานเปน็ ประโยชน์
ทงั้ นนั้ นะ่ นก่ี เ็ หมอื นกนั แตห่ วั ใจเรามนั เปน็ พลงั งานทม่ี นั มขี องมนั
อยู่แล้ว แต่คนไม่เข้าใจ เห็นไหม แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมา
สมั พทุ ธเจา้ วางธรรมวนิ ยั นไ้ี ว้ เอาสงิ่ นนั้ มาเปน็ สจั จะเปน็ ความจรงิ
ย้อนกลับเข้ามา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทวนกระแสกลบั เขา้ มาในใจของตน แตไ่ มม่ ใี ครเคยรเู้ พราะธรรมชาติ
ของมันส่งออก ธรรมชาติของจิตนี้มันส่งออกทั้งน้ัน คนเกิดมามี
ธาตุ ๔ และขนั ธ์ ๕ แลว้ ขนั ธ์ ๕ มนั ดว้ ยความเบาปญั ญาของตน
ไมม่ สี ตปิ ญั ญาของตน

สงิ่ ทเี่ ปน็ ปญั ญาๆ สง่ิ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ สง่ิ ทเ่ี ปน็ ไฟทห่ี งุ หา
อาหาร ทำ� การกสกิ รรมตา่ งๆ เขาใชพ้ ลงั งานทง้ั นนั้ นะ่ ใชไ้ ฟทง้ั นนั้ นะ่
แต่ไฟนเี้ ขาเพ่อื ประโยชน์ไง ถา้ มันเป็นความจริงไง

แต่ถ้ามันไพล่ไป เวลาไฟไหม้บา้ น ไฟฟ้าลดั วงจร ไฟฟ้า
ลัดวงจรมันเผามันผลาญหมดล่ะ สิ่งที่เป็นประโยชน์ๆ ถ้ากิเลส
มันพาใช้ละ่ กเิ ลสมันพาใช้ท้งั น้นั นะ่ เวลาไป ไฟป่าๆ เวลาฟา้ ผา่
ฟ้าผ่าลงมา ดูสิ เวลามนั ไหม้ ไฟปา่ สตั วป์ า่ สง่ิ มีชวี ติ ตายหมด
ทำ� ลายหมด ตอ้ งมพี นกั งานดบั ไฟปา่ เรากไ็ ปฝกึ พนกั งานดบั ไฟปา่ ไง

ศกึ ษาธรรมะๆ กศ็ กึ ษาธรรมะไดแ้ คน่ นั้ แหละ เพราะอะไร
เพราะมันเป็นสัจจะเป็นความจริง “ธรรมะเป็นธรรมชาติ รู้เห็น

ไฟสมุ ขอน • 117

เป็นจรงิ ทง้ั นัน้ สัจธรรมรู้แจ้ง” นีไ่ ง กิเลสหลอกทั้งนนั้ นะ่ กิเลส
มันหลอกให้ไปดูสิง่ อื่น กิเลสมันหลอกใหไ้ ปดขู า้ งนอก มันไม่รู้จกั
ตัวมันหรอก ถ้าคนไม่รู้จักกิเลส ไม่เห็นกิเลส มันจะฆ่ากิเลส
ไดอ้ ย่างไร กเิ ลสมนั อยู่ทไ่ี หน

เวลาเป็นฟืนเป็นไฟ ทกุ คนมันเห็นได้ แต่เวลาเป็นกิเลส
ตณั หาความทะยานอยากในใจของตนนะ ไฟสมุ ขอน ไฟสมุ ขอนนะ
ดูสิ เวลาไฟไหม้ ไฟไหม้ใหญ่ เวลาพนักงานดับไฟดับไฟไปแล้ว
เขาต้องฉีดน�้ำเล้ียงไว้ เพราะอะไร เพราะเดี๋ยวมันปะทุขึ้นมาอีก
ไฟสุมขอนมันดบั ไปแลว้ มองไม่เหน็

นี่ไง ส่ิงต่างๆ จะเห็นกิเลส เห็นอย่างไร จะรู้จักกิเลส
รอู้ ยา่ งไร ไมเ่ คยรไู้ มเ่ คยเหน็ เหน็ แตฟ่ า้ ผา่ ฟา้ ผา่ สปู่ า่ ปา่ ตดิ ไฟปา่
เผาไหมไ้ ปหมดเลย ตายหมดเลย

“เราคนเดียวเป็นคนรอดมา เรามีสติมีปญั ญาวปิ สั สนา”
พนักงานดับไฟปา่ ดกี ว่าเอ็งอกี ไม่มคี วามจรงิ ในใจ ถา้ มี
ความจริงในใจๆ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ให้ท�ำความสงบ
ของใจเข้ามา สิ่งที่เรามีการกระท�ำนั้นมันเป็นการท�ำความสงบ
ความสงบนน้ั เปน็ สมถะ ดถู กู ดแู คลน ดถู กู ดแู คลนวา่ “หายใจเขา้
นกึ พทุ หายใจออกนกึ โธ เปน็ สมถะๆ มนั ไมใ่ ชว่ ปิ สั สนา มนั ไมใ่ ช้
ปญั ญา”
ปญั ญาอะไรของเอง็ ปญั ญานะ โลกยี ปญั ญา โลกตุ ตรปญั ญา
ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดอย่างไร แล้วถ้ามันเป็นโลกียะ

118 • เทศนบ์ นศาลา

โลกียะอย่างไร ถ้ามันเป็นโลกุตตระ โลกุตตระอย่างไร ไม่รู้จริง
ไม่เห็นจริง มันแบ่งแยกกันไม่ได้ มันก็เหมารวมหมด พอเหมา
รวมหมดมนั ก็ว่าน่ีธรรมาธิษฐาน

ธรรมาธิษฐาน ธรรมน้ีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า ให้แยกให้แยะ ถ้าแยกแยะ คนมีวาสนานะ เขาจะ
ตรวจสอบใจของเขา เขาจะพยายามคน้ ควา้ หาสจั จะความจรงิ ใหไ้ ด้
ถ้ามันเป็นสัจจะความจรงิ ข้นึ มา นัน่ คือวาสนาของคน

ถ้าคนไม่มีอ�ำนาจวาสนา เห็นไหม ซ�้ำแล้วซ้�ำเล่าๆ
ประพฤติปฏิบัติไปล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างน้ันน่ะ เวลาหลวงตา
ทา่ นสอนไง “โง่ยงิ่ กว่าหมาตาย”

โงย่ ง่ิ กวา่ หมาตาย หมามนั ตาย หมาตายแลว้ มนั ไมม่ ชี วี ติ
แลว้ เราไปทำ� ดสู ิ สง่ิ ทไ่ี มม่ ชี วี ติ มนั ขยบั เขยอ้ื นไหม มนั ไมข่ ยบั เขยอ้ื น
สิ่งใดเลย มันนอนรอแตค่ วามเนา่ เป่อื ยท้ังนั้นน่ะ

นกี่ เ็ หมอื นกนั ประพฤตปิ ฏบิ ตั กิ ซ็ ำ�้ ๆ ซากๆ อยนู่ นั่ นะ่
ไม่มีอุบายวิธีการพลิกแพลงใจของเราเลยใช่ไหม ถ้ามันมี
อุบายวิธีการพลิกแพลงใจของเรา เราท�ำของเราซ�้ำนั่นแหละ
แต่ถ้ามันท�ำซ�้ำด้วยอ�ำนาจวาสนาของคน มันจะแสดงตัว
ใหเ้ หน็ ทงั้ นน้ั นะ่ ถา้ มนั แสดงตวั ใหเ้ หน็ มนั จะละเอยี ดไปเรอ่ื ยๆ
นม่ี รรคหยาบฆา่ มรรคละเอยี ดอกี แหละ มรรคหยาบฆา่ มรรคละเอยี ด

ไฟสุมขอน • 119

สงิ่ ทท่ี ำ� มา ศกึ ษาธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
มรรค ๘ เล้ียงชีพชอบ ท�ำงานชอบ ทุกอย่างชอบธรรมหมด
แล้วกบ็ วกลบคณู หารเลย ชอบ ชอบทัง้ น้นั นะ่

เรอ่ื งการสง่ ออก เปน็ ไปไมไ่ ด้ มนั เปน็ ไปไมไ่ ด้ แตม่ นั เปน็
วาสนาของคน ถ้าวาสนาของคนนะ มันทวนกระแสกลับได้
การทวนกระแสกลับมันท�ำซ�้ำท�ำซากๆ จิตเห็นอาการของจิต
ถ้าจิตมันพิจารณาของมัน มันเห็นอาการของจิตนะ เห็นอาการ
ของจิต จิตเห็นอาการของจิตโดยข้อเท็จจริง โดยข้อเท็จจริง
ถ้าจิตเหน็ อาการของจิต มันสะเทอื นใจของมันเอง

แต่น่ีมันไม่เห็น มันไปหมดไง กิเลสเป็นเรา ความทุกข์
ความยากเปน็ เรา การประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ ปน็ เรา ถา้ มนั เปน็ เราๆ แลว้
ถา้ กเิ ลสเปน็ เราแลว้ มนั ทกุ ขม์ นั ยากไปทง้ั นน้ั เวลามนั ทำ� ทกุ ขย์ าก
ไปขนาดไหนแล้ว เวลามันเผอเรอข้ึนมา “โอ้โฮ! ธรรมะเกิดๆ”
กเิ ลสมนั เผลอ พอกเิ ลสมนั เผลอเทา่ นนั้ แหละ “โอย๋ ! นบี่ รรลธุ รรมๆ”

เอาธรรมท่ีไหนมาบรรลุ เอาธรรมที่ไหนมาบรรลุ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม เอ็งเอาธรรมที่ไหน
มาบรรลุ ก็เผอเรอไง เวลากิเลสมันเผอเรอ เผอเรอขึ้นมา
มนั เขา้ ใจของมนั ว่าเป็นอยา่ งน้ันไง พนักงานดับไฟปา่

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ข้ึนมา สิ่งน้ัน ส่ิงท่ีองค์สมเด็จ
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แสดงไวม้ นั เปน็ วธิ กี ารทง้ั นน้ั แลว้ วธิ กี ารทง้ั นนั้

120 • เทศน์บนศาลา

ถ้าเป็นปริยัติมันก็เป็นช่ือ มันเป็นทฤษฎี แล้วถ้ามันเป็นจริง
มนั เป็นจริงกับเรา ถา้ เป็นจรงิ กับเรานะ เราไมส่ รา้ งภาพ

ถ้าไปสร้างภาพ ความขุ่นข้องหมองใจ ความโทสะ
โมหะ มนั เปน็ กิเลส เราพยายามจะหลีกเล่ียง เราพยายามจะไม่
เผชญิ หนา้ กบั มนั ไมเ่ ผชญิ หนา้ กบั มนั นมี่ นั หงดุ หงดิ ของมนั มอี ยนู่ ะ่
ไฟสุมขอน ไฟสมุ ขอนมนั เผาลน ถา้ มันเผาลนอยู่แลว้ มนั มสี ง่ิ ใด

ลมพดั ไฟมนั แดงขน้ึ มาเลย แลว้ ลมพดั มนั มเี ศษใบไมน้ ะ
ไฟลุกเลย น่ีมันไฟสุมขอน มันมีของมันอยู่อย่างน้ันแหละ
ถา้ มอี ยอู่ ยา่ งนนั้ แตม่ นั ไปดบั ไฟปา่ ไง ไปดบั สง่ิ ทเ่ี รารเู้ ราเหน็ นนั้ ไง
แตไ่ อ้ไฟสมุ ขอนมองไม่เห็นหรอก

แตถ่ า้ เราจะเหน็ ไฟสมุ ขอน เหน็ ไหม เวลาไฟปา่ มนั เกดิ ขนึ้
ถา้ ลมมนั รนุ แรง มนั พดั มนั ยง่ิ ไดเ้ ชอื้ เพลงิ ทดี่ ี มนั ลกุ ลามมากมายเลย
พอลุกลามมากมาย มันก็เหมือนกับชีวิตของเรานี่ไง เวลาเรามี
ความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นมา คนเราตามืด ตาบอด
ตาพร่ามัว ท�ำลายเขาไปทั้งน้ัน ท�ำลายชีวิตของตนท้ังนั้นน่ะ
เวลาท�ำส่ิงใดไปสร้างเวรสร้างกรรม จะได้มากได้น้อยขนาดไหน
สร้างเวรสรา้ งกรรมทงั้ นั้นนะ่

แตถ่ า้ เราสงบระงบั ได้ เราไมส่ รา้ งเวรสรา้ งกรรม เราทำ� แต่
คณุ งามความดี ค�ำว่า “คณุ งามความดี” เห็นไหม การเสียสละ
ทางโลก ถ้ามันเป็นการประพฤติปฏิบัติก็การละการวาง การละ
การวางความเศรา้ หมองในใจของตน

ไฟสมุ ขอน • 121

เวลาถา้ มนั ละความฟงุ้ ซา่ น ความฟงุ้ ซา่ นกเ็ ปน็ กเิ ลสอยา่ งหนง่ึ
ความเศรา้ หมองกเ็ ปน็ กเิ ลสอยา่ งหนงึ่ ความกดดนั ใจของตนกเ็ ปน็
กิเลสอย่างหนึ่ง กิเลสๆๆ ทั้งนั้นน่ะ มันครอบครัวของมารน่ะ
ปยู่ า่ ตายายของมนั นกี่ เิ ลสทง้ั นนั้ กเิ ลสทงั้ นนั้ แลว้ ถา้ มสี ตสิ มั ปชญั ญะ
หายใจเข้านกึ พทุ หายใจออกนกึ โธ ใชป้ ัญญาอบรมสมาธิ

ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ค�ำว่า “ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ”
มนั ใชป้ ัญญาเพราะอะไร มันใช้ปัญญาเพราะเราพทุ โธไม่ได้ คนท่ี
พทุ โธไมไ่ ดก้ ค็ อื พทุ โธไมไ่ ด้ พทุ โธแลว้ หลบั ทกุ ที พทุ โธแลว้ มนั ไปอนั้ ตู้
อยนู่ นั่ นะ่ มนั ไปไมไ่ ดห้ รอก เพราะอะไร เพราะมนั เปน็ จรติ นสิ ยั ไง
สทั ธาจรติ พุทธจริต จริตนสิ ัยของคน

ถ้าจริตนิสัยของคนนะ ถ้ามีอ�ำนาจวาสนาขึ้นมา
ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ มันปล่อยวางของมันเข้ามา มันปล่อยวาง
ของมันเข้ามา เขามีสติปัญญาของเขา ปล่อยวางก็คือปล่อยวาง
มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ อ้าว! ไฟป่าๆ เราดับไฟป่าไง เราจะดับไฟป่า
เหน็ ไหม เวลาคนทเ่ี ขาชำ� นาญของเขา พนกั งานดบั ไฟปา่ เวลาเขาทำ�
ทางกันไฟ เวลาไฟมา เขาจุดไฟก่อนเลย จุดไฟให้เข้าไปดับไฟ
นไี่ ง กเิ ลสมนั ฟขู น้ึ มากใ็ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาไง พอไฟมนั ไปชนกบั ไฟ
มันก็ดับไง แล้วมีอะไรล่ะ ก็ดับไฟ แค่น้ันเอง แล้วมีอะไรต่อ
นไี่ ฟสมุ ขอน ไฟสมุ ขอนในใจของเอ็งมองไมเ่ หน็ นะ่

อ�ำนาจวาสนาของคนนะ ถ้าอ�ำนาจวาสนาของคน
เพราะคนท�ำความสงบของใจมาก พระปฏิบัติมาเยอะมาก เวลา
จติ สงบแลว้ ทำ� อยา่ งไรกไ็ มไ่ ด้ พอจติ สงบแลว้ กเ็ สอื่ ม พอเสอ่ื มขน้ึ ไปแลว้

122 • เทศนบ์ นศาลา

เพราะถ้าท�ำความสงบของใจเราได้บ้าง มันก็มีความสุขนะ
มีความสุข มีความสงบ อ�ำนาจวาสนาแค่นห้ี รอื

แลว้ ถา้ จะท�ำต่อเนอ่ื งไป มันอยู่ทตี่ ้นทนุ เดิมนะ่ มันอยู่ที่
อำ� นาจวาสนาของคน เพราะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย
คนที่มีคุณธรรมขึน้ มาน่ะ ๑ แสนมหากัป ๑ แสนมหากัปขึ้นมา
จติ มนั มีก�ำลงั ของมนั จติ มนั มีอ�ำนาจวาสนาของมนั มนั ร้อื มันค้น
ของมนั น่ีจติ นะ จติ ถา้ จิตมันเป็นอย่างนั้นขึ้นมาเพราะอะไรล่ะ
นไี่ ง คนเกดิ มาเหมอื นคน คนเกดิ มาเทา่ กบั คน เทวดา อนิ ทร์ พรหม
มาฟงั เทศนอ์ งคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจ้า

โดยความเชอื่ ของมนษุ ย์ เทวดา อนิ ทร์ พรหมตอ้ งสงู สง่
กวา่ เรา ทำ� ไมเทวดา อนิ ทร์ พรหมมาฟงั เทศนอ์ งคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สมั พทุ ธเจา้ ละ่ นไี่ ง แลว้ ทำ� ไมเวลาองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
คู่มากับเทวทัต ท�ำไมเทวทัตเข้ามาบวช มาบวชเป็นลูกศิษย์ของ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาเป็นญาติกันด้วย
แต่อ�ำนาจวาสนา มันอย่ทู อี่ �ำนาจวาสนา

แตอ่ ำ� นาจวาสนาของคนมนั จะมากนอ้ ยแคไ่ หนกแ็ ลว้ แต่
ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เราจะแก้ไขหัวใจของเรา เราจะ
แกไ้ ขหวั ใจของเรามนั ไมเ่ กยี่ วกบั ใครทงั้ สนิ้ มนั ไมเ่ กยี่ วกบั ใครทงั้ สน้ิ
องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ บอกวา่ “เราเปน็ แคค่ นชที้ างเทา่ นนั้
พวกเธอเป็นผ้ทู ่กี ้าวเดนิ ของเธอไปเอง”

ไฟสุมขอน • 123

แตเ่ วลาคนทป่ี ระพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ นึ้ มามนั ดดั จรติ มนั ดดั จรติ
มันสร้างภาพ สร้างทางเดินของตน ท้ังๆ ที่การประพฤติปฏิบัติ
มันก็เป็นการสร้างทางเดินของตนนะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
ตนเปน็ ทพ่ี งึ่ แหง่ ตน ตนเทา่ นนั้ เปน็ ผทู้ ปี่ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ตนเทา่ นน้ั
ทเี่ ปน็ ผทู้ แี่ สวงหา ตนเทา่ นน้ั เปน็ ผหู้ มนั่ เพยี ร ตนเทา่ นนั้ ไมม่ ใี คร
ทำ� ใหไ้ ดเ้ ลย แตม่ นั ดดั จรติ แหม! ตอ้ งเปน็ อยา่ งนน้ั ๆ พอมนั ดดั จรติ
มนั กอ็ อกจากธรรมะ ออกจากสัจธรรม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไง
เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนท่ีเธอไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค
กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค มชั ฌมิ าปฏปิ ทาเปน็ ทางสายกลาง ทางสายกลาง
ด�ำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ความชอบธรรม
ถา้ ความชอบธรรมมนั กช็ อบธรรมในธรรม ไมใ่ ชด่ ดั จรติ ชอบ ชอบในใจ
ของตน แล้วดัดจริตแล้วก็สร้างภาพของตน มันไปไม่รอดหรอก
มันเป็นไปไม่ได้

ถา้ มนั จะเปน็ จรงิ ๆ ขนึ้ มา มนั เปน็ จรงิ มชั ฌมิ าปฏปิ ทา
งานชอบ เพยี รชอบ ระลกึ ชอบ ความชอบธรรม ความชอบธรรม
แล้วมันพิจารณาของมัน มันจะเข้าไปสู่ไฟสุมขอนน่ันน่ะ
เข้าไปสู่ไฟสุมขอน เข้าไปสู่จิตของตน เข้าไปสู่กิเลสตัณหา
ความทะยานอยาก แลว้ กเิ ลสตณั หาความทะยานอยาก เวลามนั
พจิ ารณาขึ้นมา เหน็ ไหม

124 • เทศน์บนศาลา

ต�ำรา เห็นไหม “พิจารณากายสิคะ จิตสงบแล้ว
พจิ ารณากายสคิ ะ แลว้ กพ็ จิ ารณาของเราสคิ ะ” นเี่ ขาอปุ าทานทงั้ นน้ั
ถ้ามันไม่อุปาทานมนั พูดอย่างนน้ั ไมไ่ ด้

พิจารณากาย พิจารณากายอย่างไร การพิจารณากาย
จิตมันสงบแล้วเห็นกายตามความเป็นจริง ถ้าเห็นกายตาม
ความเปน็ จริง มันจะเหน็ อย่างไร เห็นกายจะเห็นอย่างไร

การเห็นกาย ถา้ ตามความเปน็ จรงิ มันสะเทอื นกิเลส
ไอน้ ี่ “พจิ ารณากายสิคะ พจิ ารณากายสิคะ”
พิจารณากายสิคะ มันก็อุปาทานสิคะ เพราะอะไร
เพราะมนั สง่ ออก นไี่ ง ดบั ไฟปา่ ๆ ไฟปา่ เกดิ ขนึ้ กจ็ ดุ ไฟดบั ไฟปา่ ไง
ถา้ จดุ ไฟปา่ ดบั ไปแลว้ แลว้ มอี ะไรตอ่ เดยี๋ วปา่ มนั กฟ็ น้ื ฟขู น้ึ มาใชไ่ หม
เรากไ็ ปเอาสตั วป์ า่ มาอนบุ าลแลว้ เอาสตั วป์ า่ ไปคนื ปา่ ไง นนั่ มนั เปน็
ระบบการบริหารจดั การของกรมป่าไม้
ธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ กส็ อนแบบนน้ั
พระไตรปฎิ กอา่ นแลว้ ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค อา่ นแลว้ เขากค็ ดิ
แบบนน้ั การคิดแบบนน้ั มันเปน็ โลกยี ปัญญา
การคิดแบบน้ันเพราะธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็น
สัจธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จ
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เปน็ ศาสดา องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ปรารถนามารอ้ื สตั วข์ นสตั ว์ รอ้ื สตั วข์ นสตั วก์ ใ็ หส้ ตั ตะผขู้ อ้ ง ใหห้ วั ใจ

ไฟสุมขอน • 125

ท่ีมันติดข้อง ให้หัวใจของคนที่มีผลของวัฏฏะท่ีเวียนว่ายตายเกิด
ในวฏั ฏะ ใหพ้ ยายามประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ใหฝ้ กึ หดั ขน้ึ มาใหเ้ ปน็ สจั จะ
เปน็ ความจรงิ ในใจอนั นนั้ ถา้ ฝกึ หดั ขนึ้ มาใหเ้ ปน็ สจั จะเปน็ ความจรงิ
ในใจอนั นน้ั นะ นไ่ี ง อรยิ สจั สจั จะความจรงิ มนั กต็ อ้ งประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ตามธรรมวินยั ขององคส์ มเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้านั่นแหละ

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์
ขนสัตว์ วางแนวทางไว้ เวลาวางแนวทางไว้แล้ว เราก็ท�ำตาม
แนวทางน้ัน แล้วเราก็สร้างเร่ืองของเราเองได้หมดเลย...มายา
ปฏบิ ตั โิ ดยมายา แลว้ กเ็ อามายานนั้ เปน็ หลกั เกณฑข์ องตน แลว้ อา้ งองิ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไฟสุมขอนในใจ
เตม็ หวั ใจ ไม่มสี จั จะความจรงิ เลย

ถ้ามีสัจจะความจริงข้ึนมา เห็นไหม สิ่งท่ีมันละมันวาง
เวลาประพฤติปฏิบัติเร่ิมต้น ถ้ามันเห็นกายนะ การเห็นกาย
โดยพน้ื ฐาน ถา้ มจี ติ สงบมนั ถงึ จะเหน็ ได้ แลว้ ถา้ เหน็ กาย ถา้ พอมนั
ใชป้ ัญญาไมเ่ ป็น มันไปไม่ไดห้ รอก

การเหน็ กายๆ ดสู ิ ถา้ ไฟ พลงั งานทม่ี นั เสถยี ร เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้
ขน้ึ มา เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ทม่ี นั ใชง้ านอยมู่ นั กเ็ สถยี ร แตถ่ า้ ไฟไมเ่ สถยี ร
เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าน้ันเสถียรไมไ่ ด้

สมาธมิ ึงเสถียรหรือ สมาธทิ ี่ปฏบิ ัติน้ีจริงหรอื ถ้ามันจรงิ
ข้ึนมา ความตั้งอยู่ ตั้งอยู่อย่างไร พอต้ังอยู่แล้ว รสของธรรม

126 • เทศนบ์ นศาลา

ชนะซึ่งรสทั้งปวง สุขอ่ืนใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าสมถธรรม
มนั จะมคี วามสุขของมนั

พอความสขุ ของมนั ความสขุ นนั้ เปน็ พนื้ ฐาน สมถกรรมฐาน
ฐานท่ีตั้งแห่งการงาน ถ้าฐานท่ีตั้งแห่งการงานยกข้ึนสู่วิปัสสนา
ถ้ามันเห็นกายของมันน่ะ การเห็นกาย พลังงานที่ใช้ออกไป
ถ้ามันเสถยี ร เสถยี รอย่างไรก็แลว้ แต่ มันใชไ้ ปแลว้ มันเบาบางลง
พอเบาบางลงมันจะทรงใหเ้ หน็ กายน้นั ไดอ้ ยา่ งไร

ถา้ เหน็ กายอยา่ งนน้ั นะ่ ถา้ มนั ไมม่ กี ำ� ลงั ขน้ึ มา จะใหม้ นั เปน็
ไตรลักษณ์ ให้มันพิจารณา ให้มันจากอุคคหนิมิตให้เป็นวิภาคะ
วิภาคะคือแยกส่วนขยายส่วน แยกส่วนขยายส่วนเพ่ือให้มันเป็น
ไตรลกั ษณข์ ึ้นมา

ถา้ มนั ไฟสมุ ขอน ไฟสมุ ขอนมนั เผาไหมเ้ อง แลว้ มนั หลอกลวง
มันพลิกแพลงอยู่ในหัวใจน่ะ เอ็งเห็นไฟสุมขอนอันน้ันหรือไม่
ถา้ ไมเ่ หน็ ไฟสมุ ขอนอนั นน้ั เอง็ จะเขา้ ไปวปิ สั สนาอยา่ งไร นพี่ ดู ถงึ ไง
พดู ถงึ เวลาเราวา่ ไฟๆ เราพดู ถงึ ปญั ญาๆ ปญั ญากเ็ ปรยี บเหมอื นไฟ

ดูสิ ที่เราทุกข์กันอยู่น่ี ทุกข์เพราะอะไร เราไม่ใช่ทุกข์
เพราะความคดิ เราหรอื นเ่ี ราทกุ ขเ์ พราะความคดิ เรานะ แลว้ ถา้ มนั
ละเอยี ดเขา้ ไป มนั ทกุ ขเ์ พราะอปุ าทานนะ มนั ทกุ ขเ์ พราะกามราคะ
มนั ทกุ ขเ์ พราะความบบี บส้ี ไี ฟในหวั ใจ มนั ทกุ ขเ์ พราะความเศรา้ หมอง
นไ่ี ง บคุ คล ๔ คู่ เวลาปฏบิ ตั เิ ขา้ ไป ไฟสมุ ขอนในใจมนั ละเอยี ดลกึ ซงึ้

ไฟสมุ ขอน • 127

เข้าไปกว่านั้นอีกหลายร้อยเท่า ไอ้ที่พร่�ำเพ้อมาน่ันน่ะ ไอ้น่ัน
มันเรื่องของกระแสสังคม

ตอนน้ีกระแสสังคมนะ เพราะว่ามันเป็นไปโดยสังคม
ถ้าสังคมไม่เช่ือถือ สังคมไม่มั่นใจก็ไม่เช่ือถือ หมดยุคหมดสมัย
แตเ่ วลาหลวงปเู่ สาร์ หลวงปมู่ น่ั ทา่ นมาขวนขวายของทา่ น ทา่ นมา
ปฏบิ ตั ขิ องทา่ นในความจรงิ ของทา่ น ประกาศสจั ธรรมในใจของทา่ น
ใครจะเชอื่ หรอื ไมเ่ ชอื่ นน่ั มนั เปน็ เรอ่ื งของสงั คม แตเ่ พราะการกระทำ�
ของทา่ นมนั เปน็ ความจรงิ สงั คมถงึ ไดเ้ ชอ่ื ถอื ศรทั ธาขน้ึ มาอกี รอบหนง่ึ

พออีกรอบหน่ึง เห็นไหม พอปฏิบัติไป ธรรมดาสังคม
ใหญข่ นึ้ มคี นมากขน้ึ มนั กม็ คี วามเหลวไหลมากขนึ้ เปน็ เรอื่ งธรรมดา
พอมีความเหลวไหลมากขึ้นเป็นธรรมดา พอมากขึ้นเป็นธรรมดา
ตอนนสี้ งั คมมนั สงู ขน้ึ ในสำ� นกั ปฏบิ ตั กิ ม็ ากขน้ึ พอมากขน้ึ ผทู้ หี่ วงั ดี
ใฝด่ ี เขากพ็ ยายามอานาปานสติ เพอ่ื ใหเ้ ดก็ ใหส้ งั คมไดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ

เดก็ ๆ นอ้ ยๆ มนั ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั กิ ำ� หนดลมหายใจ ดขี น้ึ ๆ
นั่นเขาดีข้ึนของเขาเพราะด้วยความไร้เดียงสา ความไร้เดียงสา
มนั เปน็ อยา่ งไรมนั กพ็ ดู ของมนั อยา่ งนนั้ นะ่ ไอข้ องเรามนั มจี รติ จะกา้ น
“วิปัสสนาๆ” วิปสั สนามาจากไหน

จิตนี้เวียนวา่ ยตายเกิดในวฏั ฏะ ผลของวัฏฏะๆ แลว้ ผล
ของวฏั ฏะมนั เปน็ อยา่ งไรละ่ ชวี ติ นเ้ี กดิ มาทำ� ไม เกดิ มาทกุ ขๆ์ ยากๆ
เกิดมาทำ� ไม เวลาเกิดมา คนมบี ญุ เกิดมาแล้วประสบความส�ำเร็จ
ทางโลก มีช่ือมเี สียง มีกติ ติศพั ท์มีกติ ติคุณนะ มีทุกขไ์ หม ทกุ ข์

128 • เทศนบ์ นศาลา

เวลาคนท�ำหน้าท่ีการงานอย่างใดก็แล้วแต่ ถ้าประสบ
ความสำ� เรจ็ กต็ อ้ งประสบความสำ� เรจ็ มากขน้ึ ไปเรอื่ ยๆ มนั มคี วามทกุ ข์
ความยากทั้งน้ันน่ะ ความทุกข์ความยาก แต่เพราะมันชอบ
กิเลสมันชอบ สังคมเขายอมนับหน้าถือตา สังคมเขาเชิดชู เก่ง
ยอดเยยี่ ม

แตเ่ วลาถา้ เจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ยขนึ้ มา เวลามรณานสุ ติ คนใกลต้ าย
ขน้ึ มา แลว้ เราไดอ้ ะไรละ่ เราไดอ้ ะไร นมี่ นั สมบตั สิ าธารณะทงั้ นน้ั
มันต้องท้ิงไว้กับโลก นี่เราจะตายแล้ว เราจะต้องไปข้างหน้า
แล้วข้างหน้าไปแล้วมันคืออะไร เวลาไปถึงมรณานุสติ ใกล้ตาย
ขึน้ มา จะไปสงั เวชทีน่ ัน่ นะ่ เราท�ำอะไร

ทกุ คนมนั กอ็ ยากไดบ้ ญุ อยากไดก้ ศุ ล เอาหวั ใจนไ้ี ดข้ องมนั ไป
เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา บุคคล ๔ คู่ อกุปปธรรม ธรรมท่ี
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมโดย
ข้อเท็จจริง ถ้าใจดวงนั้นมันมีคุณธรรมอย่างน้ันไปแล้วมันไปกับ
ใจดวงนน้ั เหน็ ไหม ๗ ชาติ ๓ ชาติ อนาคามไี มม่ าเกดิ บนกามภพ
สนิ้ กิเลสไป จบ จบแล้ว ฟ้าผา่ มาเลย

ฟา้ ผา่ นะ ดสู ิ เวลาฟา้ ผา่ เกดิ ไฟปา่ ทกุ คนเหน็ แลว้ มนั ตกใจ
แตค่ นทเี่ วลาสน้ิ สดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ปแลว้ นะ ฟา้ ผา่ เปน็ ของขวญั จากฟา้
ฟ้าผ่าก็ผ่าโลกไง ฟ้าผ่าก็ปรากฏการณ์ธรรมชาติไง มันมีผลอะไร
เป็นของขวัญ มนั สวยงาม

ไฟสมุ ขอน • 129

เพราะวา่ ฟา้ ผา่ ผา่ ขน้ึ มาเพอื่ มกี ารเผาไหม้ เพอ่ื ใหพ้ ชื พนั ธ์ุ
มันได้เจริญงอกงาม มันเป็นการกระท�ำความอุดมสมบูรณ์ข้ึนมา
จากปา่ นไี่ ง จติ ใจถา้ มนั พน้ จากทกุ ข์ เปน็ ของขวญั นะ เปน็ ของขวญั
จากธรรมชาติ ธรรมชาติ ปรากฏการณธ์ รรมชาตไิ ง นม่ี นั เปน็ ของขวญั
แตถ่ า้ ยงั มกี เิ ลสตณั หาความทะยานอยาก เจบ็ ปวดแสบรอ้ นไปทง้ั นนั้
เพราะอะไร เพราะมนั เสยี หาย มนั ทำ� ลายทรพั ยส์ นิ ของเรา มนั ทำ�
สงิ่ มชี วี ติ ใหม้ นั ลว่ งไป เสยี หายทง้ั นน้ั เพราะอะไร เพราะไฟสมุ ขอนไง
มนั ไมเ่ หน็ มนั ไปเหน็ ปรากฏการณธ์ รรมชาติ โอโ้ ฮ! สดุ ยอด โอย๋ !
ดเี ยย่ี ม ดีงาม แตไ่ อ้ความทุกข์ความยากในใจมหาศาล

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ท�ำ
ความสงบของใจเขา้ มา พอใจสงบระงบั เขา้ มาแลว้ ถา้ มอี ำ� นาจวาสนา
จติ สงบแลว้ มนั จะเหน็ กาย เหน็ ตา่ งๆ ของมนั นะ สงิ่ ทเี่ หน็ ๆ กนั อยู่
พอจิตสงบแล้วไปเห็นนู่นเห็นนี่ เห็นอย่างนั้นหลอกท้ังนั้นน่ะ
เหน็ จรงิ ไหม จริง แตค่ วามเหน็ ไมจ่ รงิ ไมจ่ ริงหรอก

แต่ถ้าเห็นกาย เห็นกายของเราถ้ามันเห็นโดยสัจจะ
ความจริงนะ ถ้าเห็นกาย ถ้าเราพิจารณาแล้วมันจะหายไป
มนั ไมอ่ ยกู่ บั เราหรอก ถา้ เราเหน็ กายแลว้ กายอยกู่ บั เราได้ แสดงวา่
จติ เรามกี ำ� ลงั จติ มีกำ� ลังน้เี ป็นเร่อื งใหญ่นะ

ปฏบิ ตั ิ ๒ วัน ท�ำอะไรแล้วเปน็ มรรคเป็นผลไปหมดเลย
แล้วดัดจริต วางแนวทางไว้เลย ต้องเป็นอย่างน้ัน ๑ ๒ ๓ ๔
เพราะอะไร เพราะฟงั ธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้

130 • เทศนบ์ นศาลา

มามาก แลว้ กส็ ร้างภาพไปเลย นไ่ี ง มายา มายาของกเิ ลส กเิ ลส
มันหลอก

แต่ถ้าเอาความจริงๆ ดูสิ ชาวนาท�ำนาท่ีนานั้นทุกปี
ทำ� นากต็ อ้ งไถนา ไถนาขนึ้ มา ชกั นำ้� เขา้ ทำ� กลา้ ปกั ดำ� ปกั ดำ� แลว้
ดแู ลรกั ษาจนกวา่ ขา้ วมนั จะออกรวง เกบ็ เกย่ี วขนึ้ มามนั ถงึ ไดผ้ ลของมนั

น่ีก็เหมือนกัน ถ้าจะท�ำความจริงๆ ในใจของเราขึ้นมา
มันจะเป็นผลประโยชน์กับเรา ผลประโยชน์คือสมบัติของเราไง
ถา้ สมบตั ขิ องเราขน้ึ มา ถา้ เปน็ สมบตั ขิ องเรามนั พจิ ารณาของมนั ได้

ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันเห็นกายๆ เห็นกายมันไหว
ภาพมันไหว มันไม่จริง ความเห็นอันน้ันน่ะ แต่ถ้ามันฝึกหัด
บอ่ ยครงั้ เขา้ มนั เหน็ แลว้ เรากพ็ จิ ารณาของเราตอ่ เนอ่ื ง ถา้ มนั ไมเ่ หน็
พจิ ารณาไปแลว้ มนั ขยบั ขยบั แลว้ มนั หายหมดนะ่ แลว้ เรากลบั มา
ท�ำความสงบของใจใหม้ ากข้นึ ถา้ นอ้ มไปเหน็ กาย

ถา้ ไมเ่ หน็ กาย ถา้ มนั เปน็ เวทนา เปน็ ความขนุ่ ขอ้ งหมองใจ
เราจบั ของเราพจิ ารณาของเราไปดว้ ย เราฝกึ หดั ใจของเราขนึ้ มาไง
ถา้ มนั ฝกึ หดั คอื การพจิ ารณาใชป้ ญั ญาของเราตอ่ เนอื่ งไป ถา้ ใชป้ ญั ญา
ตอ่ เนอื่ งไปบอ่ ยครง้ั เขา้ ๆ สง่ิ นนั้ มนั ละเอยี ดเขา้ มาๆ มนั จะเขา้ ไปสู่
ไฟสมุ ขอนนนั้ ถา้ เขา้ ไปสไู่ ฟสมุ ขอนนน้ั มนั จะไปสะเทอื นกเิ ลสนนั้
ถ้าไปสะเทือนกิเลสน้ัน พิจารณาเข้าไป มันจะถอดมันจะถอน
ในจิตใต้ส�ำนึกนั้น ถ้าจิตใต้ส�ำนึกนั้น นี่ไฟสุมขอนๆ ไม่ใช่ไฟป่า
ไม่ใชป่ รากฏการณธ์ รรมชาติ

ไฟสุมขอน • 131

ปรากฏการณ์ธรรมชาติเพราะอะไร เพราะเราเกิดเป็น
มนษุ ยไ์ ง เราเกิดเปน็ มนษุ ย์ เกิดมามธี าตุ ๔ และขนั ธ์ ๕ เรามี
ความคิดเป็นเร่ืองธรรมดา เรามีความคิด เห็นไหม ภารา หเว
ปญจฺ กขฺ นธฺ า ส่งิ ที่เปน็ ภาระหนา้ ท่ขี องผ้ทู ่ีสนิ้ กเิ ลสไป

แตข่ องเราขนั ธมารๆ ขนั ธน์ เ้ี ปน็ มารนะ ความคดิ กเ็ ปน็ มาร
สรรพสงิ่ นเ้ี ปน็ มารทงั้ นนั้ นะ่ มารคอื กเิ ลสตณั หาความทะยานอยาก
แลว้ มารมนั มาประพฤตปิ ฏบิ ตั กิ บั เราไง เวลาประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรม
บอก “ปฏิบัติธรรมๆ” ปฏิบัติธรรมโดยมาร มารมันก็สร้างภาพ
ให้เราอ้างอิงว่ามันบังเงา เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมา
สมั พทุ ธเจา้ มาอา้ งองิ อา้ งองิ ขนึ้ มาแลว้ วา่ เปน็ จรงิ ๆ ในใจของเราไง
น่ผี ู้ท่ปี ฏบิ ัตทิ ี่เหลวแหลก เลวรา้ ย

แตผ่ ทู้ ป่ี ฏบิ ตั เิ พอื่ ธรรมนะ เขาเคารพธรรมขององคส์ มเดจ็
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ถา้ เคารพธรรม เขาจะมศี ลี มคี วามซอื่ สตั ย์
มกี ารกระทำ� ครบู าอาจารยท์ ที่ า่ นเปน็ ธรรมๆ เพราะทา่ นมสี จั จะ
ท่านตั้งเป้าส่ิงใดแล้วต้องท�ำสิ่งนั้น ตั้งเป้าส่ิงใดท�ำสิ่งนั้น
แลว้ ถา้ มนั ไม่ได้ผลกเ็ รอื่ งของบุญวาสนาของเรา

ถา้ มบี ญุ วาสนาของเรานะ เราเดนิ จงกรม นงั่ สมาธภิ าวนา
ของเรา เราทำ� ของเราตอ่ เนอื่ งไปๆ การทำ� ตอ่ เนอ่ื งนนั่ นะ่ ถา้ ทำ� ตอ่ เนอื่ ง
จนจิตใจมนั ไม่วอกแวกวอแว ถ้ามนั สมดลุ ของมัน มนั กล็ งได้

สมาธเิ ปน็ สมาธิ แลว้ ถา้ สมาธแิ ลว้ จติ ตงั้ มน่ั ๆ มนั ตงั้ มน่ั
ได้ยาก ตั้งม่ันได้ยากเพราะมันหว่ันไหว โลกธรรม ๘ มันเจาะ

132 • เทศน์บนศาลา

มันไชจิตใจเราอยู่ตลอดเวลา กิเลสมันฟักตัวอยู่ในหัวใจของเรา
ไอ้ไฟสมุ ขอนๆ น่ันนะ่ มนั ทำ� ลายมาตลอดทง้ั ส้นิ

ไอ้ข้างนอกๆ ดูสิ “เมื่อก่อนมีความโกรธมาก เด๋ียวนี้
หายโกรธแล้ว” หายโกรธแล้วมีสติ เดย๋ี วเผลอมันกโ็ กรธอกี

ไอค้ วามโลภ ความโกรธ ความหลง มนั เปน็ เรอื่ งธรรมดา
แตม่ นั เปน็ จรติ นสิ ยั ของเรา เราจะควบคมุ ดแู ลอยา่ งไร ถา้ ควบคมุ
ดูแลของเรา เรามีสติของเราตลอดเวลา เราพยายามศึกษา
พยายามค้นคว้า พยายามรักษาไว้ รักษาใจน้ีไว้

ดสู ิ เวลาครบู าอาจารยข์ องเราอดนอนผอ่ นอาหารขนาดไหน
เวลาถ้ามันผิดพลาดข้ึนมามันถอยกรูดๆ มันล้มลุกคลุกคลาน
ขนาดไหน ถ้าล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน ถ้ามันพ่ายแพ้ข้ึนมา
มันก็ฟื้นตัวกลับมาต่อสู้กับมันใหม่ ต่อสู้กับมันๆ ถ้าเราจริงจัง
ของเรานะ แต่ส่วนใหญ่แล้วเวลามันพ่ายแพ้แล้วมันยอมแพ้
มันไมต่ อ่ สูโ้ ดยความเป็นจรงิ ไง

ถ้ามันต่อสู้โดยความเป็นจริง ถ้าความเป็นจริงๆ นะ
ความเปน็ จรงิ คอื ศลี สมาธิ ปญั ญา ความเปน็ จรงิ เรามศี ลี มสี ตั ย์
ของเรา เรามีสมาธิของเรา ถ้าเป็นปัญญาๆ ปัญญาเกิดขึ้น
เราคน้ ควา้ หาเหตหุ าผลของเรา อยา่ ใหก้ เิ ลสอปุ าทานมนั มาสรา้ งภาพ
การสร้างภาพนั้นมันไม่เป็นความจริง แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติ
ไตรลักษณะ เวลาบอก “เปน็ อนัตตาๆ”

ไฟสุมขอน • 133

ตาอะไร ตากอไผน่ ะ่ สิ ตาทไ่ี หน มนั เปน็ ความหลอกลวง
ทงั้ น้นั นะ่

ถ้ามันเป็นความจริง โอ้โฮ! มันสลดสังเวช เวลาเห็น
ความจรงิ ขน้ึ มานะ มนั สลดสงั เวช ธรรมสงั เวช ขนาดธรรมสงั เวช
เกิดขึ้นมามันยังเศร้าใจเลย ธรรมสังเวชนะ สังเวชโดยธรรม
แต่ถ้ามันเป็นกิเลส มันไม่สังเวช มันจะตะครุบ มันอยากได้
อยากมีอ�ำนาจ อยากใหญ่

แตถ่ ้าเปน็ จรงิ ไมใ่ ช่อยา่ งนั้น ถ้าเป็นจริงนะ ออ่ นน้อม
ถ่อมตน มันจะอ่อนน้อมถ่อมตน หาที่สงบสงัด หาท่ีที่เราจะ
ฆ่ากิเลส เราจะฆ่ามันๆ เพราะเห็นแล้วมันเศร้าใจ น่ีไง
มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย เราเกิดตายๆ
มาขนาดไหน ใครจะเชือ่ ใครจะไมเ่ ชอ่ื มนั เรือ่ งของเขา

แตเ่ พราะเรามอี ำ� นาจวาสนา เราถงึ ไดม้ คี วามเชอื่ ของเรา
แบบนี้ ความเชอ่ื ไมใ่ ชค่ วามจรงิ แตค่ วามเชอ่ื กเ็ ปน็ วาสนา ถา้ ไมม่ ี
ความเชอื่ มนั จะลากเรามาประพฤตปิ ฏบิ ตั หิ รอื ถา้ ไมใ่ ชค่ วามเชอื่
มนั จะลากเรามาทกุ ขม์ ายากหรอื คนเรามกี ำ� ลงั ใจนะ จะอดนอน
ผ่อนอาหารขนาดไหนมันกส็ ้นู ะ

ทำ� ไมเราตอ้ งมาทกุ ขม์ ายากอยา่ งนลี้ ะ่ เรามาทกุ ขม์ ายาก
แบบนเี้ พราะกเิ ลสเราหนา กเิ ลสเรามนั หนา ทำ� แบบสกุ เอาเผากนิ
ทำ� แบบเอาสะดวกสบายไมไ่ ด้ ทำ� เอาสะดวกสบาย ไปยอมจ�ำนน

134 • เทศนบ์ นศาลา

กบั มนั ตลอด ปฏบิ ตั มิ าตงั้ แตต่ น้ ปฏบิ ตั มิ า ลม้ ลกุ คลกุ คลานมาตลอด
ถึงท่สี ดุ แล้วกเิ ลสเอาไปกนิ หมดเลย มันไม่ลงสูค่ วามจริงสกั อย่าง

ความสคู่ วามสงบ สงบตามความเป็นจริงนะ จิตมันสงบ
ข้ึนมาแล้วมีสติสัมปชัญญะ สุขมาก ถ้าจิตมันสงบนะ เวลามัน
คลายตัวออกมา เราก็อยากได้อย่างนี้อีกๆ แล้วถ้ามันได้อย่างนี้
ถ้ามันมีพน้ื ฐาน มคี วามสงบอยา่ งนี้ ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ใช้ปญั ญา
แยกแยะ ถ้ามันเป็นไปได้จริง เพราะมันมีก�ำลังของสมาธิ ก�ำลัง
ของสมาธคิ อื กำ� ลงั ของความสงบน้ี มนั กฝ็ กึ หดั ใชป้ ญั ญาของมนั ไป
ถ้าพอมันใช้ปัญญามากข้ึนไปมันเป็นสัญญา คิดอะไรไม่ออก
อั้นตไู้ ปหมดเลย จะไปซา้ ยไปขวา ปดิ กนั้ ทั้งน้ัน

กลบั มาทำ� ความสงบของใจใหม้ ากขนึ้ แลว้ กลบั ไปฝกึ หดั
ใชป้ ญั ญา ฝกึ หดั อยอู่ ยา่ งนนั้ แยกแยะอยอู่ ยา่ งนน้ั เราทำ� ซำ้� ทำ� ซาก
อยา่ งนน้ั มนั ตอ้ งมปี ระโยชนก์ บั เราขน้ึ มาแนน่ อน เราทำ� ของเราขน้ึ มา
ดว้ ยอำ� นาจวาสนามากนอ้ ยขนาดไหนกแ็ ลว้ แต่ เราจะประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
ของเราขนึ้ มาใหเ้ ปน็ ความจรงิ ของเราขน้ึ มา ถา้ มนั เปน็ ความจรงิ ขน้ึ มา
มันจะเขา้ สู่จิตใตส้ �ำนกึ นน้ั นีไ่ ง ไฟสุมขอนๆ นน่ั น่ะ

มันเป็นไฟสุมขอนอยู่ในจิตลึกๆ ไอ้ท่ีมันพูดกันอยู่นี่
มันเป็นปลายเหตุ มันอยู่เปลือกนอก ความอยู่เปลือกนอกก็นี่ไง
ปุถุชนไง สามัญส�ำนึกของเรานี่ไง ความรู้สึกนึกคิดของเรานี่ไง
แลว้ มนั ไดส้ งิ่ ใดมา ไดม้ าแตค่ วามทกุ ข์ ปฏบิ ตั กิ ท็ กุ ข์ ชวี ติ โลกกท็ กุ ข์
ทำ� สงิ่ ใดกท็ กุ ขไ์ ปหมดเลย ไมม่ ที างออก นไ่ี ง มนั อยเู่ ปลอื กนอกไง

ไฟสมุ ขอน • 135

แล้วเข้าสู่สัจจะความจริงของเราล่ะ ท�ำไมต้องตั้งสติ
ท�ำไมครูบาอาจารย์ สมัยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนะ เวลาพระ
จะลา้ งบาตร ใหอ้ มนำ้� ไวเ้ ลยนะ ไมใ่ หพ้ ดู กนั ไมใ่ หค้ ยุ กนั ใหต้ า่ งคน
ตา่ งตง้ั สตไิ ว้ ดใู จของตน ถา้ วนั ไหนคยุ กนั มากๆ ใหอ้ มนำ�้ ไว้ ไมใ่ ห้
คยุ กนั นเ่ี ขาฝกึ หดั กนั ขนาดนน้ั ฝกึ หดั ขนาดนนั้ คอื ใคร นกั รบนะ
พระกรรมฐานนะ ส้กู บั กิเลสนะ

ไอข้ องเราไมอ่ ยา่ งนนั้ โอโ้ ฮ! ตาสปั ปะรดเลย สง่ ออกหมดเลย
โอ้โฮ! ปฏบิ ตั ิยอดเย่ียม พูดไปเถอะ ไมม่ ีใครเขาเช่ือหรอก

ถ้าเป็นความจริง มันเป็นความจริงในใจนี้ ถ้าความจริง
ในใจน้ี ตงั้ สตไิ ว้ ถา้ ขาดสตแิ ลว้ นะ เรมิ่ ตน้ จากขาดสติ การกระทำ� นนั้
เปน็ มจิ ฉาหมด ถา้ ไมม่ สี ตสิ มั ปชญั ญะทำ� สง่ิ ใด เราไมอ่ ายตวั เองหรอื
ดูสิ เราลืมของไว้ เราวางของไว้ผิดที่ พอเราไปเห็นเรายังติ
ตัวเราเองได้เลยว่าเราขาดสติ เราท�ำส่ิงใดด้วยความพลั้งเผลอ
น่ีเรายังติตัวเราได้เลย แล้วอารมณ์ความรู้สึกมันเร็วขนาดไหน
นเี่ ราฝกึ หดั ขนาดนน้ั นะ ถา้ มนั จะทำ� ตามความเปน็ จรงิ ขนึ้ มาใหไ้ ด้
ถา้ ทำ� ความจรงิ ของเราขน้ึ มาใหไ้ ด้ เราตงั้ สตไิ ว้ เราฝกึ หดั ของเราไว้

สิ่งท่ีท�ำงานทางโลกเขาท�ำแล้วท�ำเล่าๆ เขาท�ำแล้ว
เขาสำ� เรจ็ ของเขา ไอเ้ ราประพฤตปิ ฏบิ ตั ภิ พชาตนิ ี้ ทำ� ใหม้ นั เปน็ จรงิ
เป็นจังข้ึนมา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
เรามอี ำ� นาจวาสนาแลว้ เราไดก้ ายกบั ใจนม้ี าๆ ทเี่ ราทำ� ความสงบ
ของใจเข้ามากเ็ พื่อรกั ษาใจดวงน้ี

136 • เทศน์บนศาลา

แตท่ ำ� ความสงบไมไ่ ด้ เรากม็ วี ธิ กี ารใชป้ ญั ญาอบรมสมาธิ
ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา วิธีการมันแยกแยะ
ออกไป โดยอรยิ สจั ๔ สจั จะความจรงิ ในพระพทุ ธศาสนา อรยิ สจั
สจั จะความจริงๆ เราแสวงหาส่ิงน้ัน

เราแสวงหาสงิ่ นน้ั แตจ่ ติ ใจเราเปน็ สมมตุ ิ จติ ใจเรานเี้ ปน็ โลก
ถ้าเป็นโลกมันปลิ้นปล้อน มันมีพญามาร ครอบครัวของมาร
มารมนั มลี กู มหี ลานนะ ดสู ิ นางตณั หา นางอรดี เปน็ ลกู ของพญามาร
แลว้ พญามาร ไอน้ ม่ี นั เปน็ สมมตุ บิ ญั ญตั ิ สมมตุ ขิ นึ้ มาวา่ เปน็ อยา่ งนน้ั
แต่เวลาปฏิบัติเปน็ ยิ่งกวา่ นั้นอกี

เวลาปฏบิ ตั ิ ตง้ั แตพ่ จิ ารณา ถา้ เหน็ กาย เหน็ เวทนา เหน็ จติ
เหน็ ธรรมตามความเปน็ จรงิ เหน็ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ตามความเปน็ จรงิ
เวลาพจิ ารณา นนั่ ลกู หลานมนั ทง้ั นนั้ นะ่ ไอน้ แี่ คเ่ ดก็ ๆ เวลาแคเ่ ดก็ ๆ
พิจารณาแค่เด็กๆ เวลาสังโยชน์ เวลาที่มันร้อยรัดหัวใจน้ีไว้
ร้อยรัดหัวใจนี้ไว้อยู่ในอ�ำนาจของมัน ถ้ามันอยู่ในอ�ำนาจของมัน
พิจารณาอยา่ งไรทจี่ ะไปส้กู ับมนั

น่ีมันไม่เคยไปเห็นตัวมันเลย ไม่เคยเห็นจิตของตนตาม
ความเปน็ จรงิ เลย แลว้ วา่ จะไปตอ่ สกู้ บั กเิ ลสๆ ใหก้ เิ ลสมนั เหยยี บยำ�่
ทำ� ลายอยอู่ ยา่ งนน้ั นะ่ นไี่ ง มนั เปน็ ละครนะ่ ละครชวี ติ เปน็ ละครชวี ติ

แตเ่ วลาองคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไมใ่ ชล่ ะครชวี ติ นะ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์
สร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหน สละชีวิตมาไม่รู้ก่ีภพก่ีชาติ

ไฟสมุ ขอน • 137

สละมาหมด เป็นสัตว์ เหน็ นายพรานเขาหลงปา่ เขาหิวกระหาย
น่ีโดดเข้ากองไฟเอาชีวิตนี้เพ่ือเอาเน้ือให้เขาด�ำรงชีวิตต่อไป
นท่ี า่ นสร้างอำ� นาจวาสนามาขนาดนนั้

เวลาเอาจริงเอาจังข้ึนมา มันพิจารณาขึ้นมาเป็นสัจจะ
เปน็ ความจรงิ ขน้ึ มา สง่ิ ทก่ี ารกระทำ� มาอยา่ งนม้ี นั เปน็ ความจรงิ ขนึ้ มา
ในหัวใจ เวลาประพฤติปฏิบัติข้ึนมา ในพระไตรปิฎก เห็นไหม
เปน็ นทิ าน เปน็ แตล่ ะภพแตล่ ะชาตทิ อี่ งคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
เสวยภพเสวยชาติ แลว้ เวลาเสยี สละ เสยี สละมาเพอ่ื ความเขม้ แขง็
ของหัวใจ นี่ท�ำมาขนาดนน้ั ถงึ วา่ เปน็ พระโพธิสตั ว์ๆ

เวลาปรารถนาเปน็ พระโพธสิ ตั ว์ ปรารถนามาเปน็ องคส์ มเดจ็
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ สรา้ งสมบญุ ญาธกิ ารมาขนาดนนั้ หวั ใจมนั เลย
เขม้ แขง็ หวั ใจมนั เลยมสี ตปิ ญั ญาขนึ้ มา เวลามาประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ นึ้ มา
มนั เทา่ ทนั กบั มาร

แตเ่ วลาเราประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ นึ้ มามนั เปน็ สมมตุ ไิ ปหมดเลย
ธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เปน็ ความจรงิ สมมตุ บิ ญั ญตั ิ
โลก โลกสมมตุ ิ เวลาบญั ญตั ิ บัญญตั ิมาเปน็ ธรรมขององค์สมเด็จ
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เวลาไปศกึ ษาบญั ญตั บิ อกว่าฉนั รู้ๆ

รู้อะไร สมมุติซ้อนสมมุติ โลกน้ีโลกสมมุติทั้งนั้นน่ะ
ภาษานส่ี มมตุ ิ ภาษาเปลยี่ นแปลงตลอดเวลา ทกุ อยา่ งเปลย่ี นแปลงไป
ตามกาลเวลา

138 • เทศน์บนศาลา

แลว้ บญั ญตั ลิ ะ่ บญั ญตั ิ บาลี เพราะอะไร เพราะมนั เปน็
ภาษาทต่ี ายแลว้ ไมเ่ คลอ่ื นไหว แลว้ กแ็ ปล แปลออกมากแ็ ปลเปน็
ภาษาไทย น่ีเราแปลมา แต่หัวใจล่ะ แปลกิเลสไหม กิเลสในใจ
ท่มี ันครอบงำ� อยูน่ ี่

พิจารณา ท�ำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้ว
เราจะแปลกเิ ลส กำ� จดั กเิ ลส ดว้ ยมรรคดว้ ยผล ดว้ ยศลี ดว้ ยสมาธิ
ดว้ ยปญั ญาของเรา ถา้ ปญั ญาของเราเกดิ ขน้ึ มา เราพจิ ารณาของเรา
พจิ ารณา ฝกึ หดั ๆ ถา้ ฝกึ หดั เรมิ่ ตน้ ถา้ พดู ถงึ สมาธอิ บรมปญั ญา
ปญั ญาอบรมสมาธิ

ถ้าสมาธิอบรมปัญญา พุทโธๆๆ น่ีสมาธิอบรมปัญญา
ทำ� ความสงบของใจเขา้ มาใหเ้ ปน็ สมาธิ ใหม้ นั ตง้ั มน่ั ขน้ึ มา ใหม้ กี ำ� ลงั
ขึ้นมา แล้วถ้าพิจารณาได้ ฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา
สมาธิเราท�ำไม่ได้ เพราะสมาธิเราไม่แข็งแรง ถ้าเราใช้ปัญญาๆ
นป่ี ัญญาอบรมสมาธิ

ปัญญาอบรมสมาธิก็ใช้ปัญญาไล่ต้อนเข้ามาๆ พิจารณา
ดว้ ยเหตดุ ว้ ยผลเขา้ มา มนั ปลอ่ ยวางเขา้ มาๆ ถา้ ปลอ่ ยวางเขา้ มาถงึ
หวั ใจของตน เหน็ ไหม สงิ่ ทม่ี กี ารกระทำ� ทำ� ใหเ้ ปน็ ความจรงิ ขน้ึ มา
ถา้ เปน็ ความจรงิ ขนึ้ มา มนั เหน็ โทษ เวลาคนทป่ี ระพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ นึ้ มา
เขาถงึ ไปสู่ความสงบระงับ เห็นไหม

ตา หู จมูก ล้ิน กาย ปิดให้หมด เหลือแต่หัวใจนี้ไว้
แลว้ เราพยายามทำ� ความสงบของใจใหม้ ากขนึ้ ๆ แลว้ เราจะสงสารตวั เอง

ไฟสุมขอน • 139

เราจะสงสารหวั ใจเราเอง หวั ใจทม่ี นั ทกุ ข์มนั ยาก หวั ใจทีม่ ันทกุ ข์
มันยากนะ เกิดแตล่ ะภพแตล่ ะชาติ

แล้วเวลาถ้ามันใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันทันความคิด
ความคดิ เวลามนั ผดุ ขนึ้ มานะ่ ความคดิ มนั ไวขนาดไหน แลว้ เวลาทมี่ นั
ตง้ั มน่ั ๆ พอมนั ตง้ั มน่ั ขน้ึ มาแลว้ มนั จะนอ้ มไปแลว้ ถา้ เหน็ สตปิ ฏั ฐาน ๔
ตามความเปน็ จรงิ เหน็ กาย เหน็ เวทนา เหน็ จติ เหน็ ธรรม ถา้ มนั
เหน็ กาย เห็นเวทนา เห็นจติ เห็นธรรมขน้ึ มา นี่มรรคมนั เกดิ

ทีน้ีมรรคมันไม่เกิด มรรคมันไม่เกิดข้ึนมา มันไม่เห็น
ตามความเป็นจริง ถ้าไม่เห็นตามความเป็นจริง ส่ิงท่ีมันไม่เห็น
ตามความเปน็ จรงิ มนั กเ็ ปน็ เรอ่ื งภาพลวงตา มนั เปน็ ของภายนอก
ทง้ั นนั้ น่ะ

ฉะน้ัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ปิดตา หู
จมูก ล้ิน กาย เหลือใจไว้ แล้วพยายามรักษาหัวใจขึ้นมา
ใหม้ ่ันคงขนึ้ มา ถ้ามันมน่ั คงขึ้นมานะ สุขอ่นื ใดเท่ากับจติ สงบไม่มี
ถา้ จติ มันสงบระงับแล้ว มนั ฝกึ หัดใชป้ ญั ญาตอ่ เนือ่ งไป ถา้ ฝึกหดั
ใช้ปัญญา ฉะน้ัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ครูบาอาจารย์เรา
ในวงกรรมฐาน เห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปญั ญา

ปญั ญาอบรมสมาธิ ใชป้ ญั ญาไลเ่ ขา้ มาเลย ใชป้ ญั ญาไลเ่ ขา้ มา
ให้จติ มนั ตง้ั มัน่

สมาธอิ บรมปญั ญา ถา้ เวลามนั เกดิ สมาธแิ ลว้ ปญั ญาอนั นน้ั
จะเปน็ ภาวนามยปญั ญา ปญั ญาการฆา่ กิเลส

140 • เทศน์บนศาลา

ถา้ ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิก็เหมือนพทุ โธ
เวลาพทุ โธๆๆ นเี่ ราทำ� ความสงบของใจเราเขา้ มา ศลี สมาธิ ปญั ญา
ถ้ามีสมาธิข้ึนมาแล้วก็เกิดปัญญา มันจะเป็นภาวนามยปัญญา
ปัญญาในการฆ่ากิเลส

แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้ปัญญาพยายาม
ปลดเปลอื้ งความเกย่ี วขอ้ งกบั ใจของเรา มนั ปลดเปลอ้ื งๆๆ เขา้ มา
นมี่ นั เปน็ ปญั ญาอบรมสมาธิ แลว้ เป็นสมาธขิ ึ้นมาแล้ว ถ้ามันเกดิ
ปัญญาขนึ้ มาอีกชน้ั หนึ่ง นน่ั น่ะจะเปน็ มรรค

ถา้ มนั ไมเ่ ปน็ มรรค มนั กเ็ ปน็ กเิ ลส ถา้ มนั เปน็ กเิ ลส มนั ก็
ซ้อนกิเลส เวลาเราประพฤติปฏิบัตินะ เราว่าเราจะฆ่ากิเลสๆ
ให้มันเป็นความจริงๆ มันเลยกลายเป็นกิเลสซ้อนกิเลสไง กิเลส
มันซ้อนกิเลส กิเลสมันหลอกมันลวง กิเลสมันท�ำให้เรา
ลม้ ลกุ คลกุ คลาน ถา้ มนั ลม้ ลกุ คลกุ คลานขน้ึ มา นค่ี วามทกุ ขค์ วามยาก
ความทกุ ข์ความยาก เหน็ ไหม

เราจะฆ่ามันนะ เราจะส�ำรอก เราจะคายกิเลสออกไป
ถ้าเวลาปัญญาอบรมสมาธิๆ ใช้ปัญญาๆ ไล่ให้มันเท่าทันกิเลส
ถ้ากิเลสสงบตัวลง น่ันน่ะเป็นสมาธิ น่ันมันปล่อยวางช่ัวคราวๆ
แล้วปล่อยวางช่ัวคราว ถ้ามันใช้ปัญญาต่อไป มันจะเป็น
ภาวนามยปญั ญา ปญั ญาเกดิ จากการภาวนาๆ แลว้ มนั เกดิ ปญั ญา
ข้ึนมา มันจะย้อนกลับเข้ามาในใจของตน ถ้ามันย้อนกลับเข้ามา
ในใจของตนไดม้ นั จะเปน็ มรรค

ไฟสุมขอน • 141

ทเี่ ราประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ นึ้ มา ทว่ี า่ จะเขา้ สมู่ รรคๆ ถา้ มนั เปน็
สมุทัย สมุทัยก็เป็นตัณหาความทะยานอยาก คิดโดยสมุทัย
สมทุ ยั คอื กเิ ลส สมทุ ยั คอื การทำ� ใหเ้ ราเหลวไหล เวลาปฏบิ ตั เิ ขา้ ไป
มันก็เปน็ ภาพลวงตาท้ังสน้ิ

แต่ถ้ามันเป็นมรรคๆ ข้ึนมา มันจะเป็นความจริงแล้ว
ถา้ เปน็ ความจรงิ ขนึ้ มามนั จะยอ้ นกลบั เขา้ มาขา้ งในใจของตน ถา้ เขา้ มา
ในใจของตน มนั จะเปน็ ความจรงิ ขนึ้ มาได้ ถา้ เปน็ ความจรงิ ขน้ึ มา
มันก็เปน็ ความจรงิ เพื่อหวั ใจดวงน้ี

เวลาเวยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะนะ จติ นเี้ วยี นวา่ ยตายเกดิ
ในวฏั ฏะไมม่ ตี น้ ไมม่ ปี ลาย เราเวยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะมาตลอด
สง่ิ ทไ่ี ดส้ รา้ งบญุ กศุ ลขน้ึ มาไดเ้ กดิ เปน็ มนษุ ย์ เตา่ ตาบอดขน้ึ มาจากนำ้�
ถา้ มนั เข้ามาในบ่วงนนั้ จะไดเ้ กดิ เปน็ มนษุ ย์

จติ นเี้ วยี นวา่ ยตายเกดิ ในวฏั ฏะ สงิ่ ทวี่ า่ เวลาครบู าอาจารย์
ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา เกิดเป็นมนุษย์ต่อเน่ืองกันมา
ก็ด้วยอ�ำนาจมนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัติ การได้เกิดเป็นมนุษย์นี้
มีคุณค่ามาก เพราะมนุษย์เท่าน้ันที่มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ
ถา้ เปน็ เดรจั ฉานไป จบแลว้ แลว้ ดสู ิ เวลาสตั วเ์ กดิ สตั วเ์ กดิ มหาศาล
แล้วเวลาคนเกิดก็มีจ�ำนวนมากข้ึนมหาศาล มากขึ้นมหาศาล
มนั กเ็ ปน็ เวลาของเขา

ถ้ามันเป็นจริงๆ น่ีเป็นเวลาของเราก่ึงพุทธกาล
กง่ึ พทุ ธกาลศาสนาจะเจรญิ อกี หนหนง่ึ เจรญิ ทไี่ หนละ่ ถา้ มนั เจรญิ

142 • เทศน์บนศาลา

มันต้องเจริญในหัวใจของเรานี่ ถ้ามันเจริญในหัวใจของเรานี่
เราประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ น้ึ มามนั ตอ้ งมคี วามเปน็ จรงิ ขนึ้ มา ศลี สมาธิ
ปัญญา มันเปน็ มรรคเป็นผลข้ึนมา

สง่ิ ทถี่ า้ มนั ไมเ่ ปน็ มรรคเปน็ ผล มนั เปน็ กเิ ลส กเิ ลสอา้ งองิ
เพราะเรามกี ารศกึ ษา เดย๋ี วนนี้ ะ เพราะวา่ ในคอมพวิ เตอรม์ ไี ปหมด
เพราะพระไตรปิฎกแปลเข้าคอมพิวเตอร์หมด เวลาการศึกษา
เปน็ การศึกษา แต่ศึกษาแล้ว ศลี สมาธิ ปญั ญา เวลาศึกษาแล้ว
ตอ้ งมาปฏบิ ตั ิ เวลาปฏบิ ตั จิ ะเปน็ ความจรงิ ไหม ถา้ เปน็ ความจรงิ ขน้ึ มา
มันกจ็ ะแกก้ เิ ลสได้

ถ้ามันแก้กิเลสของเราได้ มันแก้ด้วยความเป็นจริงนะ
มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก แล้วเวลามันเป็นจริงขึ้นมา
มนั สำ� รอกมนั คาย มนั ฆา่ เปน็ ชนั้ ๆ ขน้ึ มานะ จากความลงั เลสงสยั
จากความไม่รู้เหนือรู้ใต้ แต่ถ้ามันเป็นจริงข้ึนมานะ มันฆ่ากิเลส
เปน็ ชนั้ ๆ เขา้ มาเลย เวลาฆา่ กเิ ลสเปน็ ชน้ั ๆ ขน้ึ มาตงั้ แตล่ กู แตห่ ลานนะ
เหน็ ไหม

สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี ัพพตปรามาส
กามราคะ ปฏฆิ ะ ออ่ นลง
กามราคะ ปฏิฆะ ขาดไป
รปู ราคะ อรูปราคะ มานะ อทุ ธัจจะ อวิชชา
เวลามนั ฆ่า มนั ฆา่ เป็นชัน้ ๆๆ เขา้ มานะ นส่ี ังโยชน์ ๑๐

ไฟสมุ ขอน • 143

ถา้ มันเป็นความจรงิ ๆ มนั เห็นของมันจะจะ
ถา้ มนั ไมเ่ ปน็ ปจั จตั ตงั สนั ทฏิ ฐโิ กตามความเปน็ จรงิ ขนึ้ มา
กเิ ลสมนั ตายอยา่ งไร เวลากเิ ลสมนั ตาย มนั ตายตรงไหน เวลากเิ ลส
มันตายจากหวั ใจของสัตว์โลก
แล้วเวลากิเลสมันตายนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าบรรลุธรรม เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ
บรรลธุ รรม ถา้ บรรลธุ รรมนะ ถา้ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้
ทา่ นอนโุ มทนานะ มนั สะเทอื นกนั ไปหมด เวลาสะเทอื น ๓ โลกธาตุ
มันสะเทือนท่ีไหน สะเทือน ๓ โลกธาตุ โลกธาตุนี้หวั่นไหว
ถ้ามนั เปน็ ความจรงิ
แล้วพวกเราไม่ได้ยินหรอก พวกเราไม่รู้เร่ือง พวกเรา
มนั นอนจมอยูก่ ับกเิ ลส แลว้ เวลาประพฤตปิ ฏิบตั ิข้นึ มา เอากิเลส
ออกหนา้ เอาความมกั งา่ ย เอาความเหน็ แกต่ วั เอาความสะดวกสบาย
แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์นะ ท่านสมบุกสมบันมามาก
เวลาครูบาอาจารย์ท่ีท่านสมบุกสมบันของท่านมา สมบุกสมบัน
เพราะอะไร เพราะท่านเห็นกิเลสไวๆ เห็นกิเลสไวๆ การต่อสู้
การช�ำระล้างมันเห็นชดั ๆ มนั จบั ตัวมันได้ มนั พิจารณาได้
เวลามนั สำ� รอกมนั คาย ตทงั คปหาน เวลาปหานชวั่ คราวๆ
ส่วนใหญ่คนที่รู้ท่ีเห็นนะ ด้วยอ�ำนาจวาสนานะ ตทังคปหาน
ของชว่ั คราว มนั แคส่ ลบ แลว้ พอมนั สลบแลว้ นะ ถา้ เราไมต่ อ่ เนอื่ ง

144 • เทศนบ์ นศาลา

ไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะน�ำนะ เวลามันฟื้นขึ้นมาแล้ว
การต่อสู้กับมนั จบ เพราะอะไร เพราะมันรทู้ าง

เวลาหลวงปเู่สาร์ หลวงปมู่ นั่ ทา่ นเทศนาวา่ การ ทา่ นไมบ่ อกถงึ
เวลามันขาดนะ ท่านบอกถึงวิธีการๆ ให้เรามีก�ำลังใจเท่าน้ันน่ะ
เวลามันขาดๆ มันต้องเกิดจากปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกของเราเอง
ถ้าเราบอกแนวทางไว้นะ มันรู้หมด มันรู้ของมัน มันท�ำซ้�ำ
แลว้ มนั จะใหเ้ กิดอย่างนั้น แต่ไมใ่ ช่ ไม่ใช่

เวลามันใช่นะ สมุจเฉทปหาน เวลามันขาด ขาดตาม
ความเป็นจริง ถ้าขาดตามความเป็นจริง เวลากิเลสมันขาดนะ
มันฟื้นกลับข้ึนมาไม่ได้ ขาดแล้วขาดเลย อกุปปธรรม อฐานะท่ี
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ของเรานี่กุปปธรรม ไหลไปไหลมา
หลอกลวงกันไปหลอกลวงกันมา กปุ ปธรรม อกปุ ปธรรม

การประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องเรา เราตง้ั สตขิ องเราไว้ เราศกึ ษา
ค้นคว้าของเราไว้ เราย้อนกลับมาด้วยความละเอียดรอบคอบ
ทำ� ซำ้� แลว้ ซำ้� เลา่ ๆ ถา้ มนั เปน็ ความจรงิ ขนึ้ มานะ มนั เปน็ ปจั จตั ตงั
กอ้ งกงั วานกลางหวั ใจ กเิ ลสตายโดยสนิ้ ซาก ไมม่ สี ง่ิ ใดอยบู่ นใจดวงนนั้
เอวัง

ในสติปัฏฐานสมี่ ี • 145

ในสติปฏฐาน ๔ มีกาย
ในกายไมมีสติปฏฐาน ๔



ในสตปิ ัฏฐานสม่ี ี

พระอาจารยส์ งบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วนั ที่ ๑๗ ตลุ าคม ๒๕๖๑
ณ วดั ป่าสนั ตพิ ุทธาราม ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ตง้ั ใจฟงั ธรรมะ ตั้งใจฟงั ธรรมนะ ธรรมะขององค์สมเดจ็
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงธัมมจักฯ
พระอญั ญาโกณฑญั ญะมดี วงตาเหน็ ธรรม เวลาองคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สมั พทุ ธเจ้าแสดงอาทิตตปรยิ ายสูตร ชฎิล ๓ พีน่ ้องไดบ้ รรลเุ ป็น
พระอรหนั ต์

การประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรม การฟงั ธรรมมนั มคี ณุ คา่ มคี ณุ คา่
ทไี่ หน มคี ณุ คา่ ทวี่ า่ ธรรมทเี่ กดิ จากหวั ใจของครบู าอาจารยท์ เ่ี ปน็ ธรรม
ถ้าเป็นธรรมๆ ออกมาจากหัวใจทีเ่ ปน็ ธรรมนนั้ มนั จะมคี ุณธรรม

ถ้าออกมาจากความจ�ำๆ ก็อ่านหนังสือ เวลาหนังสือ
มกี ารทอ่ งจำ� นกแกว้ นกขนุ ทอง สงิ่ นน้ั มนั เปน็ ประเพณวี ฒั นธรรม
เปน็ ประเพณวี ฒั นธรรมของชาวพทุ ธนะ ทางอสี าน เวลาวดั ทไ่ี หน
ก็แล้วแต่ เวลาไม่มีพระไปอยู่นะ เขาจ้างให้พระไปอยู่จ�ำพรรษา
จ้างใหไ้ ปอยู่เพอ่ื เขาจะไดส้ ร้างบุญสร้างกุศลของเขา

ในสติปัฏฐานสม่ี ี • 147

นเี่ ขาขาดพระไมไ่ ด้ เพราะวา่ ประเพณวี ฒั นธรรมของเขา
เขาตอ้ งทำ� บญุ กศุ ลของเขา เขาทำ� เพอื่ ความสขุ ใจของเขา ถา้ ไมม่ ี
ไมม่ ีเขาก็แสวงหา ถ้าแสวงหาอย่างนน้ั มา สงิ่ น้ันมนั เป็นประเพณี
วัฒนธรรม ถา้ วัฒนธรรมของเขากเ็ ป็นวฒั นธรรมของเขา

เราศกึ ษาธรรมะขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มา
ศกึ ษามากน็ กแกว้ นกขนุ ทอง เรามาทอ่ งจำ� กนั ไง ถา้ ทอ่ งจำ� ทอ่ งจำ� น่ี
มกี ารสง่ เสรมิ พระพทุ ธศาสนา ถา้ สง่ เสรมิ พระพทุ ธศาสนา สง่ เสรมิ
ให้มีการศึกษา ศึกษามาเพ่ือมาประพฤติปฏิบัติ ศึกษามาเพ่ือ
เปน็ การท่องจำ� ไง

ท่องจ�ำกันมาแล้วนะ ใครมีความรู้มากความรู้น้อย
ถ้าความรู้มากความรู้น้อยก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก
กเ็ อากเิ ลสของตนใสเ่ ขา้ ไป เวลากเิ ลสของตนใสเ่ ขา้ ไปกค็ วามชอบใจ
ของตน พอความชอบใจของตนนะ มนั ปฏบิ ตั ไิ ป เวลาพดู ไปแลว้
ก็มกี ารขัดแยง้ กนั ถ้าขัดแยง้ กนั ก็บอกของใครถกู ของใครผดิ ไง

มันถูกมันผิด มันผิดที่กิเลสทั้งน้ันน่ะ ถ้าเป็น
ความถูกต้องดีงามมันเข้าสู่สัจธรรม ถ้าเข้าสู่สัจธรรมก็เข้าสู่หัวใจ
ของตน ถ้าเข้าสู่หัวใจของตน เห็นไหม เรามีความอบอุ่น
มคี วามองอาจมคี วามกลา้ หาญนะ แตค่ วามกลา้ หาญ กลา้ หาญของ
ผู้ท่ีประพฤติปฏิบัติ กล้าหาญกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก
ของตน กล้าหาญในการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ในการใช้
สตปิ ญั ญาของเรา กลา้ หาญในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ไมใ่ ชก่ ลา้ หาญ
ไปอวดใครหรอก

148 • เทศน์บนศาลา

ไปอวดใครน่นั มนั เรอื่ งกิเลสทั้งนน้ั น่ะ การยกตนข่มท่าน
การเหยียบย�่ำท�ำลายกัน มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก
แตถ่ า้ เปน็ ความจริงๆ นะ มนั ย้อนกลับมาสหู่ วั ใจของตน

เวลารวงข้าว ข้าวมันออกแล้วมันน้อมลงต่�ำ แต่จิตใจ
ของคนที่มีธรรม จิตใจของคนท่ีมีธรรมเขาเอาไว้ในหัวใจของเขา
เขาเหน็ แลว้ หลวงตาทา่ นพดู ไง ถงั ขยะ โลกเปน็ ถงั ขยะ มนั เปน็ ที่
นา่ สะอดิ สะเอียน มนั นา่ ขยะแขยง แล้วไปยุ่งกับมนั ทำ� ไม

แต่นี้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
เปน็ มนษุ ยด์ ว้ ยกนั ไง เวลาครบู าอาจารยท์ า่ นประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ องทา่ น
เวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันจะไปพูดกับใคร เขาจะหาว่าเราบ้า
หาวา่ เราบา้ ไง หาวา่ เราบา้ บา้ เพราะมนั พดู เรอื่ งนอกเหนอื จากโลก
โลก เรอ่ื งของโลก เขากแ็ สวงหาของเขาเพอ่ื ความอดุ มสมบรู ณข์ องตน
อุดมสมบูรณ์ของตนในความรูส้ ึกของเขาไง

แต่เวลาถ้าเป็นนักปฏิบัตินะ เขาแสวงหาท่ีสงบสงัด
เขาแสวงหาท่ีวิเวก เขาแสวงหา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติกัน
วนั เวลามนั ชา่ งเชอื่ งชา้ เหลอื เกนิ ทำ� สง่ิ ใดแลว้ ไมป่ ระสบความสำ� เรจ็
ทำ� ส่ิงใดแลว้ มนั กระวนกระวายไง

แตเ่ วลาครบู าอาจารยข์ องเรา เวลาประพฤตปิ ฏบิ ตั ขิ น้ึ มานะ
วันคืนล่วงไปเร็วมาก เด๋ียววันๆๆ ท�ำไมมันเร็วไปขนาดนั้นน่ะ
เพราะจติ ใจมนั อยกู่ บั ขอ้ วตั รปฏบิ ตั ไิ ง จติ ใจมนั อยกู่ บั ธรรมวนิ ยั ไง
จติ ใจมสี ตยิ บั ยงั้ ดแู ลมนั ไง ถา้ มสี ตยิ บั ยง้ั ดแู ลมนั มนั มแี ตค่ วามสขุ
ท้งั นน้ั นะ่ ถ้ามคี วามสขุ วนั เวลามนั ลว่ งไปเร็วมากๆ

ในสติปัฏฐานสี่มี • 149

แตถ่ า้ เวลาเราประพฤตปิ ฏบิ ตั นิ ะ วนั เวลามนั เชอ่ื งชา้ มาก
มันมีแต่ความทุกข์ความยาก มันมีแต่ความบีบค้ันหัวใจ เม่ือไหร่
จะหมดเวลาจริงๆ...หมดท�ำไม ปฏิบัติเอาคะแนนไง ปฏิบัติ
เทา่ นน้ั ชว่ั โมง ปฏบิ ตั เิ ทา่ นชี้ วั่ โมง ปฏบิ ตั แิ ลว้ มนั ไดค้ วามสขุ ความสงบ

จติ นเี้ ปน็ ไดห้ ลากหลายนกั จติ นเี้ ปน็ ไดห้ ลากหลาย จติ น้ี
มหัศจรรย์นัก ถ้าจิตนี้มหัศจรรย์นักนะ ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์
เกิดมาพบพระพุทธศาสนา น่ีเป็นอริยทรัพย์เพราะเราเกิดมา
มกี ายกบั ใจๆ ไง เพราะรา่ งกายนม้ี นั ตอ้ งบบี คนั้ รา่ งกายนม้ี นั ตอ้ งการ
อาหารของมนั รา่ งกายตอ้ งการความอบอนุ่ รา่ งกายตอ้ งการพกั ผอ่ น
รา่ งกายมกี ารกระท�ำ เห็นไหม

เวลาเราเกิดมา ร่างกายมันบีบคั้น เวลาเทวดาเขามีแต่
กายทิพย์ๆ เขามีความสุขของเขานะ เขามีความสุขของเขา
เขาไม่ต้องข้ีไม่ต้องเย่ียว ไม่ต้องเช็ด ไม่ต้องคอยอาบน้�ำอาบท่า
เขาไม่ตอ้ งเลย เขาเปน็ ทพิ ย์สมบัตหิ มด

แต่ของเรามันมีภาระรับผิดชอบพะรุงพะรังไปท้ังน้ัน
ภาระรบั ผดิ ชอบ โรคประจำ� ตวั ของเราคอื โรคหวิ โรคหวิ มนั บบี คนั้
ขน้ึ มา เวลาคนหวิ คนกระหายขน้ึ มากต็ อ้ งแสวงหาขนึ้ มาปรนเปรอมนั
ถา้ คนมสี ตมิ ปี ญั ญาเขาระลกึ ไดไ้ ง เราเกดิ มาทำ� ไมๆ เกดิ มา สง่ิ ทมี่ นั
บบี คัน้ นคี่ วามสุขนอ้ ยนดิ แต่ความทุกขม์ หาศาล

ธรรมะขององคส์ มเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาเขา
ครองเรือนๆ ความสุขน้อยนิด แต่ความทุกข์ความยากมหาศาล


Click to View FlipBook Version