The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กังวานธรรม หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-05-23 22:14:11

กังวานธรรม หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

กังวานธรรม หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

Keywords: กังวานธรรม หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร

ไมไดประพฤติ ทาน ศีล ภาวนา ใหพรอมมลู หละ มันไมร ูสึกหละ
มันมัวเมา เมื่อพระพุทธเจาของเราตั้งใจบําเพ็ญบารมีมา สี่อสงไขย
แสนมหากปั จนไดม าตรสั รใู นชาติปจจบุ นั ใตตน ไมโ พธ์ิ พระองคระลกึ
คืนไปขา งหลังตั้งแตช าติปจ จบุ ันนี้ คืนไปขางหลงั วาพระองคไ ดม าเกดิ
มาตายเปนอะไรตอมิอะไรมากมายจนนับไมถวน จะนับเปนกัปเปน
กลั ป จะนบั เปน อะไรก็นับไมไ ด มากมาย แตก ม็ ายตุ ใิ นปจจุบนั ชาตนิ ไ้ี ม
ตออีก แตคนเราธรรมดานน้ั ยงั ไมไดปฏิบตั ิบูชา ภาวนาใหด ี ยงั ไมพน
ทุกขนน้ั ชาติตอ ไปขา งหนา ก็นับไมถว นอกี เราตอ งทําชาตขิ างหนา ให
จบลงไปดว ยการนงั่ สมาธิภาวนา เดนิ จงกรม ไมต องเปน หวงหนา หวง
หลัง วติ ก วิจารณ รวมกําลังตงั้ มนั่ ลงไป

แมเราทานทั้งหลายทุกคน การเกิดการตายมาในโลกนี้ก็นับไม
ถวนแลว ในอดตี ถา จะนับจากพระพทุ ธเจา เขา สูน ฤพานมานก้ี ็ ๒๕๒๖
พรรษาแลว ๒,๐๐๐ ป ๒,๐๐๐ ปน้ี ถา จะคิดเปนเรามาเกดิ มาตายแลว ก็
มากอยู ยงั ไมพ น ทกุ ขไปได แตพระพุทธเจา พระสงฆสาวกเจาทัง้ หลาย
ในครงั้ พุทธกาล ทา นพน ทุกขไปแลว แตพวกเราทง้ั หลายยงั ทอ งเทีย่ ว
อยู ยังหลงอยู ยังสําคัญวาในโลกน้ียงั มคี วามสุขอยู มันจะเอาความสุข
นนั่ แหละ แตว า มนั ไมมคี วามสุขในโลกนี้ ในรปู นาม ตวั ตน คนเรานน้ั
มันมแี ตความทุกข ความทุกขน้นั พอจะได แตความสขุ จรงิ จริงนะมนั
ไมมี พระพทุ ธเจาตรัสวา คอื มนั ทกุ ขม ันมากกวาสุข สุขท่คี นเราสมมติ
วาเปน สุข มันนอ ยนิดเดียวแตท ุกขน ัน้ มนั เต็มตัวเตม็ โลกอยู ไมว า อยู
ที่ไหนไปทีไ่ หนมนั กเ็ รือ่ งทุกขท้งั นั้น เกดิ เปนทกุ ข แกเปน ทุกข เจบ็ เปน

๑๔๕

ทุกข เจบ็ ไขไ ดป วยเปนทกุ ข ตายเปนทกุ ข กองทุกขห นะมนั เต็มตัวอยทู ้ัง
นัน้ นอกจากทุกขท ่เี ราแกไ ด บรรเทาไดดว ยตนเอง อันนี้สวนหนง่ึ เจบ็
ไขไ ดปวยเลก็ ๆ นอยๆ ก็เยียวยาพยาบาลพน ภัยไป ถามนั มากกวา น้ี
แลวกเ็ ขาโรงพยาบาล การทไี่ ปนอนโรงพยาบาลนนั้ กม็ ันไมแ นตลอดไป
เราอยาเขาใจวาเขาไปแลวหาย เขาไปแลวตายนั้นมีเยอะเหมือนกัน
ถ้าไม่เข้าก็ไม่เป็นไร เพราะว่าโรคที่เกิดในร่างกายมนุษย์คนเรานั้น
โรคบางอยางเมื่อมันเกิดขึ้นมาแลวกินยาก็หายไมกินยาก็หาย อันนั้น
แหละแบบหนง่ึ แตม นั ไมใ ชหายแท มันเพยี งบรรเทาเลือ่ นทไี่ ปหนอ ย
ภายใน ๑๐๐ ปก ็กลับมาเจบ็ มาไขมาตายอีก เพราะวา รา งกายสังขาร
นม้ี ันเต็มไปดวยทกุ ข พระพทุ ธเจา วา ไมใ ชสขุ แตจิตหลงของคนเรามนั
เขา ใจวามนั เปน สขุ ตา งหาก โรคบางอยา งกนิ ยาจึงหาย บางอยา งกไ็ ป
ผาตัดหายก็มี ผา ตดั แลว ตายก็มี บางคนบางองคคน ควา พจิ ารณาไปจน
ไดเห็นนว่ิ ในดี วานีห้ ละไดแลว พยาธิตอ ไปนี่ขาจะหายแลว มนั จะหาย
อยางใดคนแกชราเอานิ่วในดีออกแลวก็ยังตายอยูนี่แหละ คือวาพยาธิ
โรคาทมี่ ันบังเกิดมีข้นึ ในรา งกายสงั ขารนั้นเปนเรือ่ งของรูปขนั ธ สวนใน
ทางรูปขันธนี้พระพุทธเจาของเราทานใหปลงกรรมฐานวาถาถึงคราว
แลวมนั จะตองเปนไปอยา งนนั้

พระพทุ ธเจา ของเราสอนเนน หนักไปในทางจิตใจ คอื ใหใ จภาวนา
ใหเกิดปญ ญา ความรู ความเขาใจท่ถี กู ตอง แกไ ขจติ ทเ่ี ต็มไปดวยราคะ
ตัณหาใหเบาบางหมดสิ้นไป พระองคแกทางในจิตเพราะตนตอตน
เหตมุ ันไปจากนี้ ทีม่ าเกิดเปนรปู รา ง ไดเจบ็ ไขไ ดปวย มันมาจากจติ

๑๔๖

หลง มายดึ มาถือเอาธาตดุ นิ นํา้ ไฟ ลม วา เปน ตวั ตนของเรา เมื่อมา
ยึดเอาธาตุเหลานี้วาเปนตัวเราของเรา มันธาตุเรานี้เปนของแตกของ
ตาย ทีย่ ังมชี ีวติ อยใู นเวลาน้ีคือวา ช่ัวคราว ทานจึงเปรยี บวา เหมอื นเรา
ไปยืมของคนอื่นมาทําการทํางานนิดหนอย สิ่งใดเราไมมีไปยืมเขามา
อีกไมนานเราทํางานแลวเราก็สงเขาสงเจาของเดิมเขา รูปขันธตัวตน
คนเราที่ไดม านี้ก็ยืมโลกมนุษยเ ขา ถายเทกนั มาโดยลําดบั ลําดับ ตัวเรา
ไดม าจากบิดามารดาผูบงั เกิดเกลา บิดามารดาผบู ังเกิดเกลากไ็ ดตอๆ
กันมาอยางน้ี แตมันไมใ ชของม่ันคงถาวร จําเปน เราจะตอ งใชใ หเกดิ
ประโยชน เมื่อเราไดก าย วาจา จติ อนั นม้ี าแลว ขอ แรกกค็ ือวา เอามา
ฟง ธรรมคําสง่ั สอนของพระพุทธเจา ใหจ ิตใจดวงผรู อู ยภู ายในนนั้ แหละ
รูเขาใจวาทางออกจากโลกจากวัฏสงสารนี้ไมใชที่อ่ืนตองออกจาก
จิตใจน้ี จงึ สอนใหภาวนา บริกรรมทาํ ใจใหส งบตั้งม่นั จะไดแกภ ายใน
จิตใจน้ีใหห ลุดใหพ นใหอ อกไมใหห ลงยดึ อยู ถืออยู ในรปู ในนาม ใน
กาย ในจติ ในสมมติโลกอนั น้ี เม่ือแกไ ดแกหมดแลว จิตอนั นี้กไ็ มม า
ลุมหลงไปตามรปู เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ คือวา ความ
สขุ สะดวก สบายอนั ใดทจ่ี ิตใจเราหลงอยู มันเลกิ ละออกไปไดหมด ใจ
มนั ไมเ กยี่ วเกาะกงั วล เมือ่ จิตใจมันหลุดพน นพิ พิทาญาณ เบอ่ื หนาย
คลายออกหมดทุกอยาง ทนี ้ีมนั กไ็ มต ดิ ไมขอ ง ไมติดใจในอารมณใ ดๆ
เพราะอะไรก็ตาม เปนรปู ทา นกม็ องเห็นวา รปู นนั้ มนั ไมเทีย่ งแทแ นน อน
มันมชี ราพยาธิ มที กุ ข ไมใ ชรูปของเรา แมม นั จะมอี ยูท ่ตี วั เราเปน ขา ๒
แขน ๒ ตัวเราไปมาทางไหนก็เอาตวั นี้ไป ก็ไมใ ชของเรา ยมื เขามาใช
ใชด กี ม็ ปี ระโยชน บาํ เพญ็ ทานรกั ษาศลี ภาวนาปฏบิ ตั บิ ชู ากเ็ กดิ ประโยชน

๑๔๗

ถาไปทาํ บาปทาํ อกศุ ลตา งๆ กไ็ ดโ ทษ ใหติดของอยใู นรางกายสังขาร
อันน้ี พระพุทธเจาทานจึงใหเ อาดวงจติ ดวงใจผไู ดย ินไดฟ ง อยูเดี๋ยวนี้
ขณะนแี้ หละมาภาวนา บริกรรมทาํ ใจใหสงบต้งั มนั่ ไมใ หจิตใจลุม หลง
มวั เมาไปตามกระแสของโลก โลกน้นั มันไมไปถงึ ไหนมนั กเ็ กิด แก เจบ็
ไข ตาย เทา น้นั เอง มีความเกดิ ขึ้นแลว กด็ บั ไป เปนอยูอ ยา งนี้ไมวา
คนชาติใด ภาษาใด ก็เทาๆ กัน ไมมีใครจะอยูช ั่วฟาดนิ สลาย ไมเ ชือ่
ก็ใหดูอยางนี้ เราไปบานใดใหถามดูวาปาชาบานนี้มีไหม ที่เผาศพมี
ไหม เคา จะตอบวามี มีคนตายไหมเคา ก็จะตอบวา มี จะเปน ฝร่ังมังคา
เปนคนไทย คนอะไรก็ตามมันก็ถามเคาไปเถอะมันก็ตายเหมือนกัน
ตายเหมอื นกันเกิดมาใหมเหมือนกนั เทา ๆ กนั มนั วอกแวกวนเวยี น

๑๔๘

อยูอยางนี้ไมมีที่จบที่สิ้น เมื่อพระพุทธเจาของเรามาชี้แจงแสดงให
บาํ เพ็ญภาวนา รวมจิตรวมใจใหส งบตง้ั มั่นจนไมหว่ันไหว จนจติ ใจของ
ผนู นั้ กําหนดพจิ ารณาเหน็ แจงดวยตนเองวา การทคี่ นเรามาเกิด มาแก
มาเจบ็ มาไข มาตาย อยนู เ้ี พราะจติ มันหลง จติ อวชิ ชา จิตไมร ู ไมร ู
ว่ามันเกิดมาแล้วมันต้องเจ็บอย่างนี้อย่างนี้ เกิดมาแล้วมันต้องแก่
อยางนี้อยางนี้ เกิดมาแลวมันตองตายอยางนี้อยางนี้เหมือนกันหมด
เมื่อมันรแู จง อยางนแี้ ลวมนั ก็ไมไ ปแตะตอง ไมไ ปยดึ เอา ถือเอา เรียกวา
ภาวนาอยใู นใจ ชําระจติ ใจดวงนใ้ี หรจู กั รแู จง รูจรงิ รอู ยู รวู า รปู นาม
กาย ใจ ตวั ตน บคุ คลเหลา น้ี มันเกิด มันแก มนั เจบ็ มนั ตาย วนุ วาย
อยูตามภาษาของจิตไมรูนั่นเอง เมื่อจิตของผูใดรู เขาใจแลววาไมใช
ของเรา ไมใชตวั เรา มนั ไมเ ท่ียงแทแ นนอน จิตดวงนี้มนั กไ็ มยึดหนา ถอื
ตา ไมยึดตวั ถือตน ไมย ดึ เรายึดของของเรา มีอยางใดมนั ก็รูเทา ทัน ได
อยา งใดมันก็รเู ทาทนั เสียไปมนั ก็รเู ทาทัน ไดก บั เสียทา นไมไ ปทุกขไป
รอ น ทา นภาวนาละกิเลส ทานลางจติ ใจของทานใหส ะอาด ขาวสะอาด
เหมือนผาขาวสะอาดใหมอยา งนนั้ แหละ ใจทีข่ าวสะอาดเปนใจทไี่ มม ี
ความโกรธใหใ คร ไมม คี วามอิจฉาพยาบาทใคร แมค นอ่ืนเขาจะอิจฉา
พยาบาทดดุ า วา รา ยใหอยา งไรกต็ าม ดตู ัวอยา งพระพุทธเจา ของเรา ถา
เราดผู ิวเผินก็วา พระพุทธเจา นั้น มแี ตคนยกยอ งสรรเสรญิ มนั กม็ พี วก
หน่งึ พวกสาวกของพระองคก ็เทดิ ทูนกราบไวบ ูชา พวกอจิ ฉาพยาบาท
มันก็มี บางพวกกพ็ ระพุทธเจาไปบณิ ฑบาตกจ็ างคนมาดา ไปไหนกด็ า
เก็บมาดา หมดแหละในโลกท่ีเขาดา กนั พระองคก็เฉย ไมห วัน่ ไหว บาง
คราวไปบณิ ฑบาตเคาเอาไม เอาหนามทับทางไมใ หท านเดิน พระองค

๑๔๙

ก็เฉยได บ ตอ งไปทุกขไ ปรอนกบั เขา น่ันแหละพระพุทธเจา คนทําชวั่
เสียหายใหก ็ไมเ บียดเบียนตอบ ใชอ ุเบกขาเฉยเสยี อยา งพระเทวทตั
ท้ังๆ ทพ่ี ระองคบ วชใหก ็ไมฟง คํา คอยดดุ าวา รา ยปายสีใหพระพทุ ธเจา
อยตู ลอดเวลา เทาน้นั ยังไมพ อยังจะทําลายพระพุทธเจา เอากอนหนิ
ใหญไ ปเตรียมไวท ีเ่ ขาคิชกฏู ไปเตรยี มไวเสร็จบนทางพระองคลงจาก
ภเู ขามาบอ นที่ชันชันน่นั พอพระองคผนิ หลังใหลงไปกเ็ ทวทัตมันหมอบ
อยูคอยกลิ้งกอนหินกอนนั้นลงทับพระพุทธองค ทับพระองคก็ไมสั่น
หวนั่ ไหว ไมหลกี เดนิ ธรรมดา กอนหนิ ก็กลง้ิ ลงไป พอไปใกลจะถึง
พระองคมันก็เบี่ยงทางไปอีกทางหนึ่ง พระพุทธเจานั้นเรียกวาเปน
ผูไมสะทกสะทานยานกลัวตอภัยอันตราย จนกอนหินหลีกไปเอง
พระเทวทัตก็เสียอกเสียใจจะเอาใหพระพุทธเจาตายวันน้ีก็ยังไมตาย
ไฟนรกก็หมกไหมหัวใจพระเทวทัตอยูตลอดเวลา อันนี้แหละตัว
พระองคน น้ั มจี ิตใจภาวนาอยางแทจรงิ เขาอิจฉาพยาบาท เขาจะเอาให
พระองคตายพระองคก ไ็ มต อบโต ไมห ลบหลกี เอาจนกอนหนิ หลีกไป
เอง นนั่ แหละเปน ภาวนา เพ่ินวางขนั ธท งั้ ๕ ละความหวาดความสะดุง
ขนพองสยองเกลาไดหมด ตัวลวนกิเลสทงั้ นั้นหละ อยากได อยากดี
อยากเปน อยากมอี ะไรตอมิอะไรพระองคเลิกละไดห มด ถาอยูทางโลก
ก็จะไดเ ปน ถึงพระเจา จกั รพรรดิตราธิราช พระองคก็ไมเอา ขา จะเอา
เปน นักบวช ไมม สี มบตั ิอะไรเปนของตัวเทานั้น ใจของพระพุทธเจา น้นั
จงึ ควรกราบไหวบ ชู าวนั ยนั คาํ่ คนื ยนั รงุ เปน จติ ใจอนั เสยี สละทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง
เพื่อใหมนุษยและเทวดาอินทรพรหมทั้งหลายใหม ีความสขุ อยางเดียว

๑๕๐

พระพทุ ธเจา เกิดมานน้ั ไมมีทจ่ี ะใหสตั วทกุ ข เวนเสยี แตเ ขาทํา
เขาเอง ทุกขมนั ก็ไปสเู ขาเอง ทจี่ ะเกิดจากพระองคไมมแี ตวาคนเรา
ธรรมดาไมภาวนาละกิเลส มันไมอยูม นั ไมเอาอยางน้ัน เขาดา มาก็ดา
ตอบ เขาตปี ระหารเราเราก็ตอบ อาจจะเกดิ เขาจะมาฆาเรา เราก็ฆา
มนั กอนไปอยา งน้ัน คือวา มนั จิตอันน้นั มันไมส งบ จิตพระอารยิ ะเจา
ท้ังหลายทา นไมม อี ยางน้นั เขาจะมาฆาสมมตินะ ก็เขาฆา เราไมไ ดฆ า
ชางมัน ไมทุกขไมรอน เขาฆาใหตายก็สบายเหมือนกันจะไดเขาสู
นิพพานแลวใหมันแลวรูแลวรูรอดไป บ ตองมาปวด หิวขาว หิวน้ํา
มานั่งภาวนาปวดหลังปวดเอวยาก นี่เขามาฆาใหตายก็สบาย ไปอยู
เมืองนพิ พานไมมีใครฆา ไปอยางสบายอยู อยางนนั้ เราตอ งตั้งอกตัง้
ใจปฏิบตั ิบูชาภาวนา เอามนั จรงิ เปน ลูกศิษยส าวกของพระพุทธเจา
อยา ไปทอ ถอย วนั ไหนก็ตาม คืนไหนก็ตาม ภาวนาในใจใหม นั ไดตลอด
เวลา คอื ไดทุกลมหายใจเขาออก ไมว าภาวนาบทใดขอ ใด ลมเขาไป
ก็ภาวนาใหมันได ลมออกมาก็ภาวนาใหมันได คือความตั้งใจในใจ
น่ันแหละมันมีอยูตลอดเวลา ทา นมสี ตเิ ตอื นจติ เตือนใจ เราทกุ คนทุก
ดวงใจก็ใหพ ากันตง้ั จติ ตงั้ ใจขึ้นมา อยาไดมคี วามทอ แทออนแอในหวั ใจ
พระพุทธเจาทรงสอนแลววา สาวกของเราตถาคตนั้นตองเปนคนมี
ความเพยี ร ตองเปน คนมจี ติ ใจความเพียร ความหม่นั ความขยัน ความ
อดความทน สาวกของพระพทุ ธเจาไมใ ชเ ร่ืองเลก็ นอย หม่นั ขยนั ในการ
ปฏิบตั บิ ูชา ภาวนาละกิเลส ตราบใดเมอื่ ทา นยังมชี วี ิตอยู ทานกภ็ าวนา
เรอ่ื ยไป ทาํ คุณงามความดเี รื่อยไป ไมไ ดมุงเอาอะไรตอ มอิ ะไรในโลกน้ี
อีก เอาภาวนาจิตใจ สงบ ต้ังมน่ั จิตใจรูแ จง เหน็ จริง เรียกวา คลายกเิ ลส

๑๕๑

ตัณหา มานะทิฐิ ออกไปทีละนอยละนอ ย ผลท่สี ุดจนกเิ ลสในจติ ในใจ
หมดไปสน้ิ ไปนนั่ แหละ จึงจะรแู จง ดวยปญ ญาอันชอบดว ยตนเอง ไมใช
ผูอน่ื รูให เขาใจให การปฏบิ ตั ิบชู าในทางพทุ ธศาสนาน้ี จะตองทาํ เอง
ละเอง ถอนเอง กิเลสความโกรธ ความโลภ ความหลงในจิตใจน้ี ผอู น่ื
จะมาเลิกมาละใหไมไ ด เพราะเวลาเราทําตามอาํ นาจกเิ ลสนนั้ มาเรา
ทาํ เอง ความโกรธเรากโ็ กรธเอง ความโลภเรากโ็ ลภเอง ความหลงเรา
กห็ ลงเอง พระพุทธเจาทา นเปนผูชี้แจงแสดงให พวกเราท้ังหลายอยา
นิ่งนอนใจ นั่งภาวนา หลับตานกึ บรกิ รรมพุทโธ นึกถงึ มรณะภยั ความ
ตายในใจของเราไดท ุกเวลา จนกระทงั่ มันเพียงพอ ถอดถอนกิเลส
ราคะ กิเลสโทสะ กิเลสโมหะ ในจติ ในใจ ในกาย วาจาจติ นจ้ี นออก

๑๕๒

หมด ไมมกี เิ ลสความโกรธโลภหลงอยูใ นตัวในใจเลย นนั่ แหละจงึ จะ
เปนทางพนจากทกุ ข ออกจากทุกข ไมมาเวียนวายตายเกิดในโลกนอ้ี กี
เพราะทา นแจง ทานพอแลว ทานเลิก ทานละแลว ทานปลอยท้งิ แลว
ทา นไมเ อามาอกี แลว เหมือนเขฬะน้าํ ลายทเ่ี ราถายออกไป บว นนํ้าลาย
ไปแลว หนะไมไ ปเกบ็ มาอมอีก ไมไ ปเอามากินอีก กิเลสในจติ ใจของเรา
ทุกคน ถา เราภาวนาใหด แี ลวมนั กม็ แี ตจ ะเลกิ จะละ จะถอนออกไป
เทานนั้ เมื่อถอนยังไมไ ด ละยังไมห มด ก็เพยี รละไปทกุ วนั คืนเดอื นปไ ม
ประมาท ผลที่สดุ จิตทไี่ มประมาทนนั้ แหละจะเปนดวงดวี เิ ศษ ละกเิ ลส
ราคะ โทสะ โมหะ ในจติ ใจใหหมดไปสิ้นไป ในกายกไ็ มใหมี ในวาจาก็
ไมพ ูด ในใจก็ไมค ดิ คิดแตภ าวนาและกิเลสอยางเดยี ว ผลที่สดุ กเิ ลสที่
มันทวมจิตทว มใจอยมู นั กห็ มดไปได พน ไปได

พระสาวกในครง้ั พทุ ธกาลทานไปสสู วรรคนพิ พานมากมาย เรียก
วานบั เปนอสงไขย อสงไขย ไมใชเ ร่อื งเล็กนอย มากมายถงึ กระนน้ั
ก็ตาม พวกเราท้ังหลายกย็ งั ไมไปถึง ยังไมไปพนทุกขอ ยา งน้ันอยู ยัง
หลงยังอกี อยู ฉะนัน้ เราตองตง้ั ใจในเวลานใ้ี หพรอ มมูลบริบูรณอ ยู น่งั
กพ็ ระพุทธเจานั่งอยใู นนี้น่งั อยูในใจ ภาวนาพุทโธในใจ ภาวนาจนหลบั
หลับแลวก็แลวไป ตื่นขึ้นมาฝนรายฝนดีไมเกี่ยว ภาวนาพุทโธตอไป
ภาวนามรณกรรมฐานในจิตในใจตอไป เรงทําความเพียรภายในจิต
นนั้ ไมใ หจิตใจทอ ถอย ทอ แท ออ นแอในหวั ใจ มันเกิดทอ ถอยใจข้นึ มา
เม่ือใดเวลาใดเตือนจิตของตวั เอง สอนจิตของเรา ดดุ าให พระพุทธเจา
ทาํ ไมทานไมทอแทอ อนแอ ทาํ ไมทา นสามารถอาจหาญ ทา นก็เปน เนอื้

๑๕๓

หนงั มนุษยไ ดมาจากทองแมเหมอื นๆ กัน ทาํ ไมทา นทําได จติ เราตัว
เรามนั คาอะไร จงึ เลิกไมไ ด ละไมไ ด ตอ งใจมนั ลุกขน้ึ ภาวนา ทาํ ความ
เพยี รปฏิบัติบชู าไมทอ ถอย ท้งั กลางวัน กลางคืน ยนื เดนิ นง่ั นอน
ทุกอิริยาบท เมื่อตั้งใจประกอบกระทําอยูอยางนี้ตลอดเย็นนตลอด
กาลเวลา มนั จะเหลอื ความเพียรของผปู ฏิบตั ิไปไดหรือ ไมม ีอะไรที่จะ
เหลือความเพยี รไปได เรามีความเพียร ความหมั่น ความขยนั อยใู น
ดวงใจ ไมท อแท ออนแอ จิตใจดวงอยูภายในน้นั ก็ยอ มมกี ําลัง มีความ
สามารถอาจหาญ ความเหน็ดเหนอ่ื ยเมื่อยหวิ มนั หายไปเอง ความ
ทุกขความรอ นใจหายไปเอง เพราะภาวนาทาํ ความเพียร ละกิเลสอยู
เมื่อกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ท้ังอยา งหยาบ อยา งกลาง อยางละเอียด
หมดไป สน้ิ ไปไดเ ม่ือใด เวลาใด ความรูแ จงแทงตลอดในธรรมกย็ อ ม
ปรากฏการณขึ้นมาในจิตใจของผูป ฏบิ ัติน้ันๆ ไมไ ดมีใครมาหยิบยน่ื
ให ไมใ ชพระพทุ ธเจาโยนให ไมใชพ ระธรรมโยนให ไมใ ชพระสงฆโ ยน
ให มนั เปนการปฏิบัตบิ ูชาภาวนา ละกิเลสในจติ ในใจในตัวของเราให
เบา ใหบาง ใหหมดไปสนิ้ ไป มุงอยอู ยา งนีต้ ลอดเวลา ตงั้ ใจใหม นั่ อยู
ตลอดเวลา ผลที่สุดจิตก็ยอ มสบาย กายก็สบาย จิตกส็ บาย เมอื่ ถึง
คราวเจบ็ ไขไดปวยก็ไมตองเปนทุกขเปนรอน จนกระทั่งถึงขั้นจะแตก
จะตายก็ไมต องไปทกุ ขไ ปรอ น คอื ไมใ ชใ จมันตาย ไมใ ชจ ติ เราตาย ธาตุ
ดนิ เขาตาย ธาตนุ ํา้ เขาแตกเขาตาย ธาตุไฟเขาแตกเขาตาย ธาตลุ มเขา
แตกเขาตายตา งหาก จติ มันตายไดท่ไี หน จิตมันเหมอื นอากาศเหมอื น
ลม ลมและอากาศใครจะไปทําลายได ดงั ไฟใสม นั กม็ ีอยูอยา งนั้น ลม
และอากาศ ใจของเราทกุ คนน้ีก็เหมอื นกนั อยา ไปกลวั มนั ตาย จติ มนั

๑๕๔

ไมตาย รปู รา งกายนนั้ ตา งหากมันแตกมันตายอยูทนไมไ ด สวนจิตใจ
เมอื่ ต้งั อกตัง้ ใจบําเพ็ญภาวนาในทางพุทธศาสนา ไมทอ ไมถอยแลวก็
ยอ มขยับไปขางหนา เรยี กวาเดนิ หนา ไปเรอ่ื ยๆ คือภาวนาไมทอถอย
เมื่อภาวนาไมทอถอยมันก็มีแตยังไมรูก็จะคอยรูไป สิ่งใดยังไมเขาใจ
ก็จะเขาใจไป สิ่งใดยังเลิกยังละไมไดแตวามีความเพียรความหมั่นอยู
ในใจก็ตอ งเลิกไดล ะได เพราะพระพุทธเจา เปนตัวอยาง พระองคตรสั รู
พระอนตุ ตรสมั มาสมั โพธญิ าณ ละกเิ ลสพรอ มทง้ั วาสนาหมดแลว สาวก
เจาท้งั หลายสมยั กอ นนนู เมือ่ ทา นไดด ู ไดเ หน็ ไดยนิ ไดฟ ง ธรรมวินัย
สธุสะ ศาสนาคาํ สอนของพระพทุ ธเจา ทานก็ลุกขึ้นปฏิบตั ิบชู าภาวนา
ไมเหน็ แกค วามเหน็ดเหนื่อยเม่ือยหิว ตง้ั ใจปฏบิ ัตอิ ยูท ุกลมหายใจเขา
ทุกลมหายใจออก มรณงั เม ภวิสสติทานนกึ ทานเจริญไดอยูในใจทกุ
เวลา ผลทสี่ ดุ สงิ่ ทวี่ ายากมนั กก็ ลายเปน งา ยข้นึ มา จิตเราไมส งบเอา
จรงิ ๆ มนั กส็ งบได มนั ไมมีปญ หาอะไร ปญ หามนั อยูท จ่ี ิตเราเปน คน
ข้เี กียจขี้คราน มักงาย อยากได มแี ตความอยากได การประกอบกระทํา
ไมก ระทํา มนั กไ็ มไ ดอยูดีนน่ั แหละ ถาวา ใจของเราต้งั ใจปฏิบตั ิบูชา
ภาวนาไมท อ ถอย เมอื่ จติ ไมทอ ถอยก็ยอมไดย อ มถึงอยูใ นตวั

ฉะนนั้ การปฏบิ ตั บิ ชู าภาวนาภายในจติ ใจของตนนน้ั อยา ไปโยน
ใหคนอื่นทาํ ตองโยนใหจติ ใจของเราทํา กายวาจาจติ ของเราทํา ของเรา
ปฏิบตั จิ นใหร ูไดเ ขา ใจในจติ ใจของตนนี้ทเี ดียว เม่ือเราทําตาม ปฏิบัติ
ตามก็ยอ มไดร บั ความสขุ กายสบายใจ เรอ่ื งเดอื ดเนือ้ รอนใจยอมไมม ี
ดงั แสดงมากส็ มควรดว ยกาลเวลา เอวังก็มดี ว ยประการฉะน้ี

๑๕๕

สัพพตี ิโย ววิ ัชชันตุ สพั พะโรโค วินสั สะตุ
มา เต ภะวัตวนั ตะราโย สขุ ี ทฆี ายโุ ก ภะวะ
อะภวิ าทะนะสลี ิสสะ นิจจัง วฑุ ฒาปะจายิโน
จตั ตาโร ธัมมา วัฑฒนั ติ
อายุ วัณโณ สขุ ัง พะลงั ฯ

๑๕๖

รุกขมลู รมไมเปนเสนาสนะ

นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธสั สะ
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สมั พทุ ธสั สะ

ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา
พระองคน น้ั

ณ โอกาสน้เี ปนตน ไป เปน โอกาสฟง ธรรม การฟงธรรมน้ีให
พวกเราทกุ ๆ คนน่งั สมาธิภาวนา ขดั สมาธิ เอาขาขวาทับขาซาย เอา
มือขางขวาวางทบั มอื ขางซา ย ตงั้ ตัว ตั้งกายใหเท่ียงตรง แลวก็หลบั ตา
นึกภาวนาพุทโธ พุทโธ ทุกลมหายใจเขาออก พรอมกบั การไดยนิ ได
ฟง การฟงน้ไี มตอ งสง จิตใจมาฟง ใหเ ราทกุ คนรวมจติ รวมใจใหเปน
ดวงหน่งึ ดวงเดียวอยภู ายในใจ จติ ใจของคนเรานัน้ มจี ุดหมายอยู คอื วา
ดวงใจดวงจติ ท่มี ีความรอู ยู เสยี งทล่ี อยไปในอากาศ ถาคนหูดมี ันกจ็ ะ
เขาไปเอง เขาไปทีโ่ สตทีห่ ู ท่เี รารูวา เสยี งน้นั คือวา จติ ธรรมดาหเู ปน
เครอ่ื งรบั เอาเสยี ง ใครเปน ผมู ารูวา เสียง วา เทศนอ ยา งงั้นอยา งงี้ สอน
อยางงัน้ อยางง้ี นน่ั คือ จิตแหละ ดวงจิตน้ไี มต อ งไปหาที่อน่ื มีอยูในตัวมี
อยูในกาย วาจา จิตของเราทุกคน ถาเรานั่งภาวนาแลว บริกรรมพุทโธ

๑๕๗

อยูในดวงใจ ที่เราไดยินเสียงพุทโธอยูในนั้น ก็คือจิตนั่นเอง
เปนผูรู เปนผูไดยิน สวนเสียงที่วาพุทโธนี้เปนชื่อ เปนนามของ
พระพุทธเจา เปนการระลึกถึงพระพุทธองค แมทานจะดับขันธเขาสู
นฤพานไปนานแลว ก็ตาม ในเวลานีเ้ ชอื่ วา พระพุทธองคน้นั ยงั วางพระ
ธรรมวินัยลงในพุทธศาสนาไวถึงหาพันปหลังจากพระองคดับขันธเขาสู
นฤพาน เวลานี้ก็สองพันห้าร้อยยี่สิบหกปี ก็นับว่าเราอยู่กึ่งกลาง
พุทธศาสนา ถา เราทาํ บญุ ใหท านกด็ ี กไ็ ดเต็มเม็ดเตม็ หนวยเหมือน
สมัยพระพทุ ธเจา ยังมพี ระชนมชีพอยู เรารักษาศีลหา ก็มีผลมีอานสิ งค

๑๕๘

เทากันกับสมัยพระพุทธเจายังมีพระชนมชีพอยู เราฟงธรรม สงบจิต
สงบใจ ยังใจของเราใหเยือกเยน็ สบาย กม็ ผี ลมอี านิสงคเ ทา กบั สมัย
พระพทุ ธเจา โดยเฉพาะแลวการสดับรบั ฟง การฟงธรรมนี้ เปนสือ่ สาร
อนั สาํ คญั ทเ่ี ราจะตอ งกําหนดจดจาํ ไวภ ายใน คือ พระธรรมวนิ ัย ก็คือ
ศาสนา คาํ สอนของพระพทุ ธเจาน้ี ทเ่ี ราฟง นก้ี ด็ ี หรอื อา นตาํ รับตํารา
ตางๆ อันนท้ี า นวา พระปรยิ ัติธรรม เปนธรรมทีจ่ ะตอ งจดจาํ นาํ ไป
ประพฤติ ปฏบิ ัติ เมือ่ เราฟงแลว จดจําไดขอ ใด คาํ ใด เอาไปประพฤติ
ปฏิบัติ มีการน่ังภาวนาในบา นเรือนของเราเปน ตน ทุกๆ คนื กอนจะ
หลบั จะนอนกใ็ หฝ กฝน อบรมจิตใจของเรา โดยวธิ นี ง่ั สมาธภิ าวนานัน้
ใหไ ดท ุกคืน ถา เราทําทุกคืน ทุกคืนไป กไ็ มเหลือวสิ ยั เพราะวา จติ ใจ
ของเราจะคุน เคยกับการน่ัง คนุ เคยกบั การบรกิ รรมภาวนา เม่อื ทาํ ชาํ นิ
ชํานาญแลว จติ ใจของเราน้นั แหละ จะไดรบั ความสงบระงับ เยอื กเย็น
สบายทกุ คนื ไป เมอ่ื ใจของเรามคี วามสงบ ระงบั เยน็ สบาย ตง้ั มน่ั ไดแ ลว
ก็เปนตน ทางทจี่ ะกําหนด รูป นาม กาย ใจ ตัวตนคนเราน้แี หละ ให
เห็นแจงในหลักสามประการ ใหเห็นวารูปนาม ตัวตนของคนเรานี้
มีความไมเที่ยงแท แนนอน เปลี่ยนแปลงอยูเสมอ ไมควรประมาท
ระลึกขึ้นมาในดวงจิตดวงใจของเราวา เวลานี้เปนเวลาปฏิบัติบูชา
ภาวนา เตือนใจของเราอยางนี้ ไมใ หใจของเราลุมหลงมวั เมา ปลอ ยไป
ตามอารมณก ิเลส ทกุ ลมหายใจเขา ทุกลมหายใจออก อยา ไดหลงลมื
คําวา พทุ โธ หรอื อุบายอ่นื ใดก็ได สุดแทแตว าจริต นสิ ยั จิตใจของเรา
นึกถึง ความเกิด ความแก ความเจ็บ ความไข ความตาย
ความพลัดพรากจากสัตวและสังขารท้ังหลายอยางใดอยางหนึ่งก็ตาม

๑๕๙

ถา เรานึกเชนน้นั แลว จติ ใจของเรามีความสงบ ระงบั ก็ใหนึกอบุ ายนั้น
ก็เหมือนกันกับพุทโธ หรือวา เหมือนกันกับอานาปาลมหายใจ
เพราะวาคนเรานั้นมีจรติ นสิ ยั ตางๆ กนั ไมเ หมอื นกันจะใหเ หมอื นกัน
ทกุ คนไมไ ด อยา งพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจาของเรานัน้ เวลาทานจะ
เอาจรงิ เอาจงั ถึงข้ันไดตรสั รูเ ปนพระพทุ ธเจา น้นั ทานไดน ่งั ภาวนาใต
ตนไมโพธิ์ พระองคกําหนดอานาปาลมหายใจเขา ลมหายใจออก
ทา นเอาลมนแ้ี หละ มดั จติ ใจของพระองคไ มใ หค ดิ ฟงุ ซา นเหมอื นแตก อ น
ลมเขาไปพระองคก็กําหนดรูวานี้เปนลมเขาไป ลมออกมาพระองคก็
กําหนดรูว านี้เปนลมออกมา เขา ยาวออกยาว เขา สัน้ ออกส้ัน จนกระทงั่
ลมละเอยี ด ทานกร็ ู รูวาลมมันขาดไปหมดไป แตว า ไมใชลมหมด
จิตมันวางลมหายใจก็เหมือนกบั วาเรานั่งอยูเฉยๆ ไมหายใจ พระองคก็
มสี ติ ระลกึ อยู ภาวนาเพียรเพงอยู ในอบุ ายธรรมอานาปาน้ัน ในคืน
วนั น้ันเองพระองคกไ็ ดสมถกรรมฐานเตม็ ที่ สมถกรรมฐาน จติ ใจ สงบ
ระงับได เปนปากทาง เปนตนทางที่พระองคจะไดตรัสรูเปน
พระสัมมาสัมพุทธเจา เมื่อพระองคไดสมาธิตั้งมั่นแลว พระองค
ก็กาํ หนดรูป นาม กาย ใจ ของพระองคว า นามรูปง อนิจจงั นามและ
รูปนี้ไมเที่ยง เมื่อของพระองคไมเที่ยง ของคนทั้งหลายก็เหมือนกัน
ดูซิเวลาเกิดมาเปนอยา งไร เปน หนมุ มาเปน อยางไร แกชราเปนอยา งไร
อยางนี้ก็ยอ มเห็นแลววา รูปขนั ธ รปู นาม กาย ใจ ของคนเรานนั้ ไมเ ท่ยี ง
อยา งนี้ แลวกเ็ ปนทกุ ข ถา หากวาไมภ าวนาละกเิ ลส มันก็มีแตเรือ่ งทุกข
เหมอื นคนเราท่ีเกิดมาแลวจติ ไมภ าวนา ไมรวมมนั ก็เปนทุกข รูป นาม
กาย ใจ ของคนเราน้ี สว นมากเราจะนบั วา เปน ตวั เราของเรา ความจริง

๑๖๐

แลว มนั ไมใ ชตัวเรา เปนอนตั ตา คือวา เวลามนั เจบ็ ไขไ ดปว ย เราบอก
วาอยาไดไ ปเจ็บไขไ ดป วยเลย มนั ก็ไมฟง ถา ถึงเวลามันจะแตก จะดับ
เรากบ็ อกมนั ไมได อันนที้ า นใหร วู าจิตใจเราอยา ไปยึดมนั่ ถือมั่น ในตัว
ในตน ในเรา ในของของเราเกินไป เพราะวา รางกาย สงั ขารของคนเรา
นม้ี นั มคี วามแก ความชรา มคี วามเจบ็ ไขไ ดป ว ย มคี วามตายเปน ผลทส่ี ดุ

เม่ือพระพุทธเจาตั้งม่ันใจไดแลวก็ไดมาตรัสรูเปนพระพุทธเจา
ข้ึ น ใ น โ ล ก ห ลั ง จ า ก น้ั น ม า พ ร ะ อ ง ค ก็ โ ป ร ด ป ญ จ วั ค คี ย ทั้ ง ห า
แสดงธัมมจักกปั ปวตั นสูตร แสดงอนัตตลักขณสตู ร ปญจวคั คยี ท ้ังหา
ก็ได้สําเร็จเป็นพระอรหันตาขีณาสพจบพรหมจรรย หลังจากนั้น
แลว พระองคกส็ ง สาวกท้ังหา องคไ ปเผยแผพ ระพุทธศาสนา ใหไ ปองค
ละทศิ ละทาง ไมใ หไ ปดว ยกนั สว นพระองคข องเรากโ็ ปรดไปอีกทางหน่ึง
เผยแผพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย เรียกวาเจริญรุงเรือง
ทั่วไปในสงั ฆมณฑลในประเทศชาติ สมัยน้นั นับวาพระพุทธศาสนา
เจริญมีพระโสดาพระสกิทาคามีพระอนาคามีพระอรหันตาขณี าสพทั้ง
มนุษยและทั้งเทวดา พญาอินทร พญาพรหม ทั้งหลายในสมัยนั้น ได
สดับฟงคําสอนของพระพุทธเจา พระสาวกพระพุทธเจาแลว ทานก็
ตั้งใจปฏิบัติบูชา ภาวนา ไมทอไมถอย ไดสําเร็จมรรคผลนิพพาน
ท่วั ไป นัน้ กช็ ่อื วาการประกอบ การกระทํา สว นพระพุทธเจาของเราน้นั
นบั ต้ังแตพ ระองคไดต รสั รูเ ปน พระพทุ ธเจาแลว เรียกวาอยูในพทุ ธวาท
พุทธวงศ พุทธประเวณี ประเวณขี องพระสัมมาสมั พุทธเจาแตเ กา กอน
ทม่ี าตรสั แลว ทา นประกอบกจิ การอนั ใด พระพทุ ธเจา ของเราผมู นี ามวา

๑๖๑

พระพทุ ธเจา โคดม กป็ ระกอบส่งิ น้นั ๆ เหมอื นกบั ทีพ่ ระพุทธเจาแต
เกา กอนมา คอื ตอนเชา พระองคก ็โปรดสัตวใ นทางบณิ ฑบาตทกุ วัน
ถา ไมม ีกจิ อ่ืน เรียกวา ปพุ ฺพณเฺ ห ปณ ฑฺ ปาตจฺ เวลาเชา โปรดสตั วใ น
ทางบณิ ฑบาต สายัณเหธรรมเทศนา ตอนบา ยๆ เยน็ ๆ พระองคก ็
ตรสั พระธรรมเทศนา สอนอบุ าสก อุบาสิกา เฒา พระยา มหากษัตรยิ 
เศรษฐี มหาเศรษฐี อยางในกรุงสาวัตถี ก็วัดเชตวันมหาวิหาร บายๆ
เย็นๆ กอนพระอาทิตยตก พระองคก็มาตรัสพระธรรมเทศนาสอน
ญาตโิ ยม อยางนน้ั ทกุ วันมาโดยลาํ ดบั ทนี ี้ถาตอนคาํ่ พระพทุ ธเจา ก็

๑๖๒

ประทานโอวาทแกพระสงฆ พระสาวกทั้งหลายมี ภกิ ษุ ภิกษุณี สามเณร
สามเณรี ผาขาว นางชี สอนเนนหนักไปในทางนั่งสมาธิภาวนา
เดนิ จงกรม บรกิ รรมภาวนา วา สาวกทั้งหลาย นักบวชเปนผูเสียสละทกุ
สิ่งทุกอยางแลว ใหหมน่ั ภาวนา ละกเิ ลสความโกรธ โลภ หลง ในจิตใจ
ของตนใหหมดไป สิ้นไปเปนจุดมุงหมาย สาวกทั้งหลายก็ตั้งใจปฏิบัติ
บูชา ภาวนาไมทอ ถอย จนไดส าํ เรจ็ มรรคผลนิพพาน ตามอุปนสิ ยั
วาสนาของทา น ทีนีเ้ ม่ือพระสงฆอ งคเจา เลกิ ราไปแลว ตอนเที่ยงคืน
พระพุทธเจา ก็ไมไดหลับไมไดนอน เท่ยี งคนื กเ็ รียกวา ทรงพยากรณแ ก
ปญหาของเทวดา พญาอนิ ทร พญาพรหมในสบิ โลกธาตุ ผใู ดมเี วลา
วาง สงสัยอยางไร ก็มาถามพระพุทธเจาได แตสิ่งนี้นั้นอยางคน
เราธรรมดาไมรูหรอก เพราะวา กายก็เปนกายทิพย จิตใจของทานก็
มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ก็มาฟงเทศน
นนั่ เอง ฟง พระพุทธเจา เทศนตอนเทยี่ งคืน พระพุทธเจามีกิจประจํา
อยูอยางนี้ แลวจวนจะสวางก็พิจารณาสัตวโลกวา มนุษยและเทวดา
อินทร พรหม ท้ังหลาย พรุงนี้มนษุ ยและเทวดาผใู ดมอี นิ ทรียบารมแี ก
กลาพอจะโปรด จะสอนมีหรือไม พระองคก็เขาสมาธิ เขาฌาน
เขา สมาบัติ ถา มีกม็ าปรากฏ ถา ไมมกี ็แลว ไป อนั นเ้ี ปน กจิ ประจาํ วนั
นับตั้งแตพระพุทธเจาไดตรัสรูแลว จนถึงวันนิพพาน ๔๕ ป หรือวา
๔๕ พรรษา นับวา พระพุทธเจา ของเรานั้นมกี าํ ลงั กายแขง็ แรง ความ
เจ็บไขไดปวยก็มีนอย เพราะวาจิตใจของทานเขมแข็ง มีอะไรอะไร
ทุกอยางที่คนเราทําไมได พระพุทธเจานั้นทําได ปฏิบัติได
ขนาดหนาวรอนทานก็ไมห วั่นไหว อยางทา นไปภาวนาอยใู นปา ในเขา

๑๖๓

ในปา หมิ พานต ปานาํ้ แขง็ ทานกไ็ ปภาวนาได บนฟา บนสวรรค ไป
โปรดพุทธมารดาแม จําพรรษาอยูด าวดึงสไมมลี มหายใจ ทา นกเ็ อาลม
หายใจได ไมมขี า วนา้ํ โภชนาอาหาร ทา นกไ็ ปเทศนาอยูโนน ต้ังสาม
เดือน จงึ กลับลงมามนษุ ยโลก สง่ิ เหลา นแ้ี หละ ท่พี ระพทุ ธเจา น้นั เปน
ผูยิ่งใหญทุกทิศทุกทางไมมีใครจะดีวิเศษเกินกวาพระสัมมาสัมพุทธเจา
ไปได

อนั เราทกุ คนทเี่ กิดมายุคนี้ สมัยน้ี ก็อยา มาทอแท ออนแอวาเรา
ไมไดเห็นพระพุทธเจา เห็นแตพระพุทธรูปเห็นแตพระที่เขียนเปนรูป
เปนรางออกมาก็อยาไปนอยใจ พระธรรมวินัย พระไตรปฎกที่เรา
ทานทั้งหลายทําบุญสุนทานอยูทุกวันนี้ ก็ยังมีเปนหลักฐานพยานอยู
ตลอดจนผูปฏิบัติ เจริญสมถกรรมฐาน วิปสสนากรรมฐานก็ยังมีอยู
พระสงฆองคเจาก็ยังมีอยู และวัดวา ศาสนาก็ยังมีอยูทั่วไปใน
ประเทศไทย ฉะนั้นใจของเราอยาไดมีความทอถอย เมื่อใจ
เราไมทอถอยแลว นอกจากเราทําบุญใหทานอยางที่เราทํานี้ก็ดี
หรืออยางอืน่ ก็ตาม เรยี กวา อามสิ ทาน ใหท าน ปจจยั ทั้งส่ี ไดแก
ถวายอาหาร และบิณฑบาต ถวายผาปาบังสุกุล เครื่องนุงหม
ถวายเสนาสนะ ถวายหยูกยาแกโ รคภยั ไขเจบ็ อนั นท้ี า นวา อามสิ บชู า
สว นปฏบิ ตั บิ ชู ากเ็ หมอื นเราทา นทง้ั หลาย เมอ่ื ทาํ บญุ สนุ ทานแลว กฟ็ ง ธรรม
นง่ั กรรมฐานภาวนา อยา งทน่ี ก้ี เ็ รยี กวา เราไดท ่ี อนั เรามงุ มาดปรารถนา
มานานแลว วาเมอื่ ใดหนอขาพเจาจะไดไ ปในปา ไปในเขา ไปในถ้ํา
ในคหู า บดั นเ้ี รากไ็ ดแ ลว สถานทว่ี เิ วก คอื วา เงยี บสงดั ในทางพทุ ธศาสนา

๑๖๔

พระพุทธเจาทรงตรัสสั่งไวกับผูบวชใหม บวชใหมเมื่อใดทานก็สั่งไววา
รุกขฺ มูลเสนาสนํ นสิ สฺ าย ปพพฺ ชฺชา ตตถฺ เต ยาวชวี ํ อสุ ฺสาโห กรณีโย
ผูบรรพชาอุปสมบทแลวใหถือวาเสนาสนะที่อยูอันสําคัญนั้น คือ
รุกขมูลรมไม รกุ ขมลู รม ไมนัน้ ไมมีความอาลัยสง่ิ ใดๆ เวลาไปน่ัง
ภาวนา นอนภาวนา เวลาไปจากน้ันกไ็ มห ว งอะไร เพราะไมมสี มบตั ิ
อะไรในรมไมน้นั ไมเหมอื นโบสถ วหิ าร หรือวา ศาลการเปรยี ญ อนั น้ี
มันมกั ยงั มีหวงอยบู า ง แตว ารุกขมูลรมไมนั้นไมมหี ว ง พระองคจ งึ สอน
วาใหไปภาวนาในรุกขมูลรมไม บัดนี้เราทานทั้งหลายที่วาเราอยูในที่
ชุมนมุ ชนหาเวลาวา งไมได วันน้ี คนื นี้ เชื่อวา ไดแลว สถานทนี่ ั้น ถา เรา
ตง้ั อกตง้ั ใจปฏบิ ตั บิ ชู า ภาวนาพทุ โธ จนรวมจติ ใจของเราลงไปไดน น้ั แหละ
สําคัญมาก เพราะวาบัดนี้ที่ใดจะพูดวาที่นี้ไมเงียบไมสงัดไมได
เพราะวาปาเขา ปา เขาลําเนาไพร เปน ทเ่ี งยี บทส่ี งดั เปน ท่ีสบายที่สดุ
ถาเราสังเกตตั้งแตเราขึ้นมาทีแรก จะเห็นวาใจของเราแมกายจะ
เหน็ดเหนื่อย เมื่อย หิว ใจนั้นเรียกว่าใจมีกําลัง มีความสามารถ
อาจหาญ ขน้ึ มาไดโดยลําดบั ลําดับ จนกระทงั่ มาถึงแลว จติ ใจของเรา
กส็ บาย จนกระท่ังมาถวายทาน เสรจ็ แลว ก็มาน่งั สมาธภิ าวนา ฟง ธรรม
ตอไป อันนี้ก็ไดชื่อวาเปนอุบายธรรมอันสําคัญ เพื่อที่จะเสริมสราง
กาํ ลงั จติ กาํ ลงั ใจของเราใหม กี าํ ลงั ความสามารถ หรอื วา มศี รทั ธาแกก ลา
คนเรามนั สําคญั ท่ีจติ ใจ ถาวา จติ ใจจะเอาจรงิ ๆ ภาวนาจริงๆ แลวไม
เลอื กวาหญิง วา ชายภาวนาไดท ้งั น้นั กเิ ลสความโกรธ กิเลสความโลภ
กิเลสความหลงน้ัน มนั อยูในใจ อยูในจิตใจดวงผรู ู พวกเราฟงอยนู เี้ อง
ถา เราต้ังใจ รวมใจเขา มาตงั้ ม่นั จริงๆ แลว จนเหน็ วา นอกจากจติ ใจ

๑๖๕

ดวงผูรูอยูในตัวในใจนี้ออกไปทั้งหมดมันไมเที่ยงแท แนนอน เราอยา
ไปยึดถอื เอา ถา ยึดถอื เอามนั กเ็ ปน ทกุ ขเปลา ๆ นอกจากจติ ใจดวงผรู ู
ออกไปน้ีแลว ก็วาไมใชต วั ตนของเรา ตวั ตนของเราจริงๆ กค็ ือวา ตั้งจิต
ต้ังใจรวมใจใหสงบต้ังมั่นมาอยูในจิตใจดวงผูรูในตัวในใจของเราใหได
เมือ่ ม่นั คงลงไป ทีนไ้ี ดแลวกจ็ ะมองเห็นไดว า ทกุ สิ่ง ทกุ ประการในโลกท่ี
เรามาเกดิ อยนู ้ี มคี วามไมเท่ยี งแทแ นน อนท้ังหมดนน่ั แหละ อยาไดหลง
ยึดเอาถือเอา เราภาวนาพทุ โธใหใจเราเยน็ สงบระงับ สบายทุกๆ คนื ไป
อันนีแ้ หละเปนของดวี ิเศษ ส่งิ อ่ืนนอกจากนีแ้ มจะมีทรัพยสินเงินทอง

๑๖๖

วตั ถุ ขา วของมากมายเหลอื ใช เหลือสอยกต็ าม สิง่ นั้นยงั เปน ท่พี ่ึงจรงิ ๆ
เหมือนสมาธิภาวนานี้ไม่ได สวนการนั่งสมาธิภาวนาทําความเพียร
ละกิเลสในใจของตนนีไ้ ด นน้ั แหละเปนท่ีพ่ึงไดอ ยา งแทจรงิ ยังมีชีวิต
อยูเรากใ็ จสบายมีความสขุ ภาวนาใจสงบระงับ รูจกั บาป บญุ คณุ โทษ
ประโยชน และไมใ ชป ระโยชนใ นตวั ในใจของเรา ถา ชวี ติ แตกดบั ไป เม่อื ใด
เวลาใด จิตใจที่ภาวนานีม้ นั จะตดิ ตามเราไป ถา เราละกเิ ลสยงั ไมห มด
ก็จะ เกิด แก เจ็บ ตาย วุนวายไปอกี ถาละกเิ ลสความโกรธใหหมด
ไป กเิ ลสความโลภ ความอยากไดใ หห มดไป ละกเิ ลสความหลงให
หมดไปสิ้นไป ใจเราผองใส สะอาดไมวุนวายในกิเลสกาม วัตถุกาม
มีจิตใจแนวแนมั่นคงเปนดวงเดียว จิตใจดวงนี้แหละ จะประพฤติดี
ปฏิบัติชอบ ประกอบกับสิ่งที่เปนบุญเปนกุศล จะไดสติ จะมีสมาธิ
จะไดปญ ญา ไดญาณอนั วิเศษ ละกิเลส โลภ หลง ใหห มดไป ส้ินไปได
แตตอ งตั้งใจจริงๆ ความต้งั ใจมนั่ คงนนั้ แหละสาํ คญั ทานวาถาใจเรา
มั่นคงแลวเปนสมาธิ ทําอะไรแลวตั้งใจทําจริง อยางเรานึกบริกรรม
พทุ โธ ก็ตงั้ ใจ หรือเราฟง ธรรมไดย ินเสยี ง มคี วามรสู ึกใจของเราก็ตั้งใจ
กําหนดเอาจิตใจดวงนี้ใหได จะมีเรื่องกระทบกระเทือนอยางไรก็ตาม
ไมหวั่นไหวไปในส่ิงใดๆ ใจเราจะมั่นคง หนักแนนเหมือนพ้ืนแผนดิน
ถา เราทาํ ใจใหห นักแนนเหมอื นแผนดนิ แลว ทําอะไรสาํ เร็จทัง้ นั้นแหละ
ถา หากใจเรานน้ั เหมอื นกบั เอาไมไ ปปก ทราย ลมพดั มากล็ ม อยา งนไ้ี มไ ด
ทานวาใหใจเราหนักแนนเหมือนแผน ดิน ดูแผน ดิน ใครจะทาํ ดที าํ รา ย
อะไรใหแผนดนิ กเ็ ฉย ใจของเราเม่อื นึกภาวนาพุทโธ พุทโธรวมลงไป
จนเปนดวงหนึ่งดวงเดียวแลวจิตก็สบายเลย หรืออยางหนึ่งเราก็ดูถ้ํา

๑๖๗

ถา้ํ คูหาท่เี รานงั่ ภาวนาอยูเด๋ียวนี้ ถ้ํานี้มันมคี วามหนักแนน ใครจะไปทาํ
อะไรใหถ้ํานี้หวั่นไหวไมได ถาเราทําใจใหเหมือนกับถ้ํา เหมือนคูหา
เหมอื นถํา้ จิตใจเรากส็ บาย ใครจะตเิ ตยี นนินทากเ็ หมอื นเราไปติเตียน
นินทากอ นหินอยา งงน้ั แหละ กอนหินมนั ก็เฉย ถา เราวางเฉยไดใ ครจะ
สรรเสริญ นินทากาเลก็ชา ง เราก็ภาวนาพทุ โธอยูในใจ น่ังก็พทุ โธอยใู น
ใจ ยนื ก็พทุ โธอยูในใจ เดนิ ไปไหนมาไหนกพ็ ทุ โธอยใู นดวงใจ ใจของเรา
มคี วามสุข มีความเยน็ ความสบายแลว ไมวา จะอยทู ี่นี้ อยูทีไ่ หนกต็ าม
เปนอนั วาภาวนาไดทกุ อิรยิ าบถ ยนื เดนิ นงั่ นอน นั่นเอง เม่อื เราทํา
อยู ปฏิบตั ิอยู ไมป ระมาทมัวเมา จิตใจของคนเรานี้ มันมีหลักอยูวา ถา
เราทําดี ทาํ บุญ ใหทาน รกั ษาศลี จนถึงขั้นฟงธรรม นงั่ สมาธิ ถา เราทาํ
บอยๆ มนั กเ็ จรญิ ข้ึน จิตใจของเราน้แี หละ มันดขี ึ้น สบายข้ึน หนักแนน
ข้นึ ทําดีไดตลอดไป ความดีทเ่ี ราทาํ นแ้ี หละ มันเปน นสิ ยั เปน ปจจัย
เปนอุปนิสัย วาสนาบารมี ใหใจของเราแกกลา ในการที่จะละความ
โกรธ ความหลงในใจใหห มดไปสิน้ ไป มนั ขน้ึ กบั จิตใจของคนเราทัง้ นัน้
ไมไดขึ้นกับวาเปนหญิงภาวนาไมได ภาวนาไดแตชายไมถูก หญิงก็
ภาวนาได ชายก็ภาวนาได มนั อยทู ศ่ี รัทธา อยทู ส่ี ตปิ ญ ญาของแตล ะ
บุคคล สติปญญาของแตละบุคคลจะบังเกิดมีขึ้นไมใชวาอยากใหมัน
เกิดมีขึ้นก็เกิดขึ้นเอง เราตองประกอบกับธรรมเหมือนอยางขณะนี้
เวลาน้เี รามาสสู ถานท่ีเงียบสงดั มาสสู ถานทีฟ่ งธรรม จิตใจเราก็ไมใ ห
ฟุง ซานไปทอี่ ื่น ตง้ั ใจบรกิ รรม ฟงธรรมอยตู ลอดกาล จนกระทง่ั ใจสงบ
ใจตัง้ ม่นั ใจเยน็ ใจสบาย เม่อื ใจสบายแลว อยทู น่ี ี้ก็สบาย กลับไปบา น
เรือนเคหะสถานก็สบายทั้งนั้น เพราะวาใจภาวนา ใจละความโกรธ

๑๖๘

ใจละความโลภ ใจละความหลง อยทู ไี่ หนไปทไี่ หน ก็สบายท้ังน้ัน

อันการปฏิบัติบูชา ภาวนาในทางพุทธศาสนานี้ ตอนแรกๆ
ก็อาศัยสถานที่บาง คือวาจิตใจของเรายังไมคุนเคยกับสิ่งแวดลอม
ตา งๆ ถา เราทาํ เราปฏบิ ตั ิจนตั้งจติ ตง้ั ใจไดดแี ลว อยทู ี่ไหนกภ็ าวนาได
จะเห็นไดวาในสมัยครง้ั พุทธกาลเดก็ ๆ ขนาดอายุ ๗ ขวบ ทง้ั บวชและ
ไมบ วช ทา นภาวนาจนไดส าํ เร็จเปน พระโสดาบันกม็ ี เปน พระสกิทาคา
ก็มี เป็นพระอนาคาก็มี เป็นพระอรหันตขีณาสพ ก็มีเยอะแยะ
ในสมัยครั้งพุทธกาลโนน นั่นแหละคือ ทานตั้งใจทํา ตั้งใจปฏิบัติ
แมจ ะเปน คฤหสั ถญาตโิ ยมกต็ ัง้ ใจอยูอ ยา งงั้นจะเหน็ ไดวาพุทธบิดาพอ
พระพุทธเจานั้น ทานไมไดไปบวช ไมเรียน เหมือนพระพุทธเจาของเรา
พระองคก เ็ ปน พระเจา แผน ดนิ อยกู รงุ กบลิ พสั ดนุ น่ั เอง

เม่อื พระพทุ ธเจา ไปภาวนาได ๖ พรรษา ไดต รสั รแู ลว กไ็ ดม าโปรด
พุทธบดิ าพอ พอ นนั้ ก็ตั้งอกต้งั ใจทาํ บญุ ใหท าน รกั ษาศลี แลว กภ็ าวนา
พระองคต รสั สอนอยา งไร ทา นกท็ าํ ตาม ไมไ ดบวช ไมไดเ รยี น แตท า นก็
ภาวนาทห่ี อปราสาทราชมณเฑยี ร แตก ไ็ ดส าํ เรจ็ เปน พระโสดา พระสกคิ าทา
พระอนาคา พระอรหันตรา บั้นปลายชีวิตก็ดับขันธเขาสูนฤพานใน
ปรางคป ราสาทนน่ั เอง พระพทุ ธเจา ของเรากไ็ ดไ ปทาํ ฌาปนกจิ พทุ ธบดิ า
น่ันแหละอยูทไ่ี หนก็ตาม ถา หากวา ตัง้ ใจทํา ต้ังใจปฏิบัติมันไดท้ังน้ัน
ดีทั้งนั้นแหละ ไมตองไปวาอยูอยางงั้นไมได ทําอยางงั้นไมได
อันนเ้ี ราหลงมารกิเลส ธรรมดาสงั ขารมาร กิเลสมารน้ัน มนั โกหกพกลม

๑๖๙

อยา งนน้ั อยูวนั ยังคา่ํ คืนยงั รุง ถาเรายังไมม ีสติ ภาวนา ก็สูมารกิเลส
ในใจของเราไมได อยางงายๆ ก็คือวา เมื่อถึงเวลาที่เราจะหลับจะ
นอน เราจะไหวพระ สวดมนตร นั่งภาวนา เสียกอนจึงคอยนอน
มารสังขารอันนี้มันก็โกหกพกลมวา อยามานั่งภาวนาเลย วันนี้มัน
เหนื่อยมากไปทําการทํางานวันยังค่ําแล้วก็ยังมานั่งภาวนา เดี๋ยว
รางกายจะเจ็บไขไดปวยอยางโนนอยางนี้ มันวาอยาไปเชื่อไปหลง
กอนที่เราจะนอนเราก็กราบพระ ไหวพระ นง่ั สมาธิภาวนา ใหมันสงบ
ระงบั เยอื กเยน็ สบาย เสยี กอ นจงึ คอ ยหลบั คอยนอน ถา เกดิ จิตใจเรา
ด้ือดานขนึ้ มา กอ็ ยาไปถอยความเพียร ถาวานั่งสมาธภิ าวนา นิดหนอย
มันไมส งบ ก็น่งั เพิม่ ไปทกุ วนั ทกุ วัน เอาจนตเี ตลิดได เอาจนไดชยั ชนะ
เมอ่ื ไดช ัยชนะมนั กช็ นะเรื่อยไป

ฉะนั้นการภาวนา ปฏิบัติบูชา ในทางพุทธศาสนานี้อยาไป
ติวาเราบุญนอย วาสนานอย ทําไมได เปนไปไมได หรือมันก็มักจะ
อางวาเราอยูในฆราวาส ญาติโยม การภาวนาเปนเรื่องของพระสงฆ
องคเจา เหลานี้แหละเลห เหลยี่ มพญามาร อยาไปเชื่อ ไปหลง ตอ ง
เช่อื พระพุทธเจา เชื่อพระอรยิ สงฆ สาวกเจาทงั้ หลาย เช่ือพระธรรม
คาํ สอนของพระพทุ ธเจา วา ต้ังใจปฏิบตั ิเมอื่ ใด เวลาใด ก็ไดร ับความ
สุขกาย สบายใจเมื่อนั้นเวลานั้น แลวไมตองรอใหแก ใหชราเสียกอน
ไมไหว เรายังเด็กก็ภาวนา ปฏิบัติบูชาตั้งแตเด็กนี่แหละไป เราตก
อยใู นวัยหนุม ก็รบี ภาวนาในวยั หนมุ เมอ่ื ตกอยใู นวัยแกวยั ชรากย็ ิง่ เรง
ภาวนาใหเ กง กลาสามารถอาจหาญ เพราะวา คนแกชรานน้ั ทานเปรยี บ

๑๗๐

อปุ มาเหมอื นไมใกลฝง มนั มีแตจ ะหักโคนลงมาฉันทใ ด เมอื่ ถึงวัยแก
วัยชราอะไรมันก็ติดขัดไปหมดเปนสวนมาก ตาก็ไมดีเพราะวา
ตามันแก หกู ฟ็ งอะไรไมช ัดเพราะวาหูมนั แก อะไรอะไรมนั กแ็ กช ราไป
ทกุ อยา งทุกประการ อยาไปรอใหมันแก เอาปจจบุ นั มาทํา คือในขณะน้ี
เดี๋ยวนี้ ใหมันตั้งขึ้นมาในจิตใจของเรา ยิ่งประพฤติปฏิบัติไดแต
เมื่อเด็ก เม่ือหนุมน้นั แหละดี วิเศษ ไปรอใหแ กแ ลวมันกไ็ หนมาไหน
ไมร อด ตาไมด ี หูไมดี จติ ใจกเ็ ศราโศก เสยี ใจอยางน้ไี มถ กู เอาใหม ัน
แกกลา สามารถ ยิ่งคนแกก็ยิง่ ภาวนาไดดี กเ็ ราแกช ราแลวมันเหลอื ลม
หายใจเขา ออกเทานี้ มันจะมาตวิ า ตวั เองแก เมอื่ หนมุ มันไปอยูท ่ไี หน
ลุกขึ้นภาวนาบต องรอคนหนมุ เอาใหมันคนแกชราใหรจู กั กองทุกข กอง
ภยั ในโลก ในวฏั สงสาร ในรูป นาม กาย ใจ ตวั ตนคนเรานี้ ถาจะมา
เหนือกวา ภายนอกไมได ตอ งเหนือในใจ คือเอาใจมาภาวนา ตั้งใหม ัน่
เมอื่ ใจตั้งมนั่ แลวก็ใหก ําหนดวาอะไรอะไรทกุ อยา งในโลกนี้ เราจะไป
คดิ เอาตามใจหวงั นนั้ ไมไ ด เพราะวาสิง่ ทง้ั หลายไมเที่ยง สง่ิ ทง้ั หลาย
ในโลกนี้เปนทุกข สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ไมใชตัวตนของเรา อยามา
หลงยึดเอาถือเอา รูจ ักปลอ ยวาง ทําใจใหขาวสะอาดเหมือนผาใหม
ผา ขาว เม่ือใจของเราใสสะอาด เลือ่ มใสในคณุ พระพุทธเจา เลอ่ื มใส
ในคุณพระธรรม เลื่อมใสในคุณพระสงฆ เลื่อมใสในการปฏิบัติบูชา
ภาวนา ประจําอยูในจิตใจในตัวของเราแลว ก็ยอมเปนไปเพื่อความ
เจริญรุงเรืองในทางจิตใจในทางพุทธศาสนา เพื่อวาเราทานทั้งหลาย
พากนั ไดย นิ ไดฟง แลว กใ็ หกาํ หนด จดจาํ นาํ ไปประพฤติปฏิบตั กิ ็คงได
รับความสขุ ความเจรญิ เอวังกม็ ดี วยประการฉะนี้

๑๗๑

สัพพตี ิโย ววิ ัชชันตุ สพั พะโรโค วินสั สะตุ
มา เต ภะวัตวนั ตะราโย สขุ ี ทฆี ายโุ ก ภะวะ
อะภวิ าทะนะสลี ิสสะ นิจจัง วฑุ ฒาปะจายิโน
จตั ตาโร ธัมมา วัฑฒนั ติ
อายุ วัณโณ สขุ ัง พะลงั ฯ

๑๗๒

สุดยอดของศาสนา

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สมั พุทธสั สะ
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธสั สะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สมั พทุ ธัสสะ

ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา
พระองคนัน้

ณ โอกาสนเ้ี ปน โอกาสฟง ธรรม เปน โอกาสปฏบิ ตั ธิ รรมไปในตวั ดว ย
การปฏบิ ตั ิน้ัน คือวา การกระทําตามทพี่ ระพุทธเจา ทรงตรสั ทรงชี้แจง
แสดงไว อันพระพุทธเจาของเรานั้น วันที่พระองคจะไดตรัสรูเปน
พระพุทธเจา พระองคนั่งขัดสมาธิภาวนา ที่วานั่งขัดสมาธิเพชรคือ
พระองคเอาขาซายขึ้นมาทับขาขวา แลวก็เอาขาขวาขึ้นมาทับขาซาย
มือขางขวาวางทับมือขางซาย นั่งใตตนโพธิ์ ผินพระพักตรไปทางทิศ
ตะวันออก เม่อื พระองคนงั่ ขดั สมาธิเสรจ็ เรียบรอยแลว พระองคก ต็ ง้ั
สัจอธิษฐานในจิตใจของพระองควา การนั่งสมาธิภาวนาครั้งนี้ จะให
เปนครั้งสุดทาย จะไดใหตรัสรูเปนพระพุทธเจา เปนจุดใหญสําคัญ
ถา หากวา ไมไ ดต รสั รู กจ็ ะไมล กุ ไปมาในทใ่ี ดๆ ทง้ั หมด จะนง่ั อยทู น่ี ใ้ี หเ ปน
ทต่ี าย พดู งา ยๆ อยา งนน้ั เรยี กวา พระพทุ ธเจา ตง้ั สจั จะอธษิ ฐานลงไป

๑๗๓

วา จะไมห ว่นั ไหวไปตามอารมณก ิเลสกิเลสราคะโทสะโมหะสังขารมาร
กิเลสมาร อะไรทั้งหมด จะไมหวั่นไหวไปตามเรื่องอะไรทั้งหมด
แมเลือดเนื้อเชื้อไขจะเหือดแหงไป เหลือแตหนังหุมกระดูกก็ตามที
จะไมลกุ หนจี ากการนง่ั สมาธิภาวนานี้เปนอันขาด เวนเสียแตไ ดต รสั รู
เปนพระสัมมาสมั พุทธเจา เทา น้นั อนั นีค้ อื วา พระพุทธเจา กอนจะไดต ดั
จากกเิ ลสตณั หา มานะ ทิฐใิ นโลกน้ีใหข าดลงไปไดนน้ั มีจติ ใจอนั สงู สง
แนว แน มัน่ คงทีส่ ุด เรียกวา เด็ดขาดลงไป ไมมีความทอแท ออ นแอใน
หัวใจประการใด รวบรวมกําลงั จติ กําลังใจ ของพระองคเ ต็มท่ี ยกจติ ใจ

๑๗๔

สูงสง เมื่อพระองคนั่งขัดสมาธิภาวนาเสร็จเรียบรอยแลว พระองคก็
เลือกอุบายภาวนาว่า จะเอาอุบายใดเป็นอุบายภาวนา พระองค์ก็
กําหนดไดวา ลมหายใจเขาออก เปนอุบายภาวนาดีที่สุด ลมนั้นมัน
ผานเขาไป สูดเขาไปเลี้ยงรางกายก็ผานดวงใจเขาไป เวลาลมออกมา
กผ็ านดวงจิตดวงใจ ดวงจิตดวงใจ คอื จติ ผรู อู ยู พระองคต ัง้ สติระลึก
เต็มที่ ใจกม็ ่นั คง ไมปลอยปละละเลยเหมือนแตเกา พระองคท าํ สําคญั
อยวู า นเ้ี ปนลมหายใจเขา นีเ้ ปนลมหายใจออกอยูทกุ เวลาไมใหจติ คดิ
ฟุงซา นไปท่อี ื่น ทกุ ลมหายใจเขา ทุกลมหายใจออก พระองคจดจอ
อยใู นดวงจติ ดวงใจผูรขู องพระองค สงั วรระวัง รกั ษา ตง้ั ใจกําหนดอยู
รูอยู เห็นอยู ซึ่งลมหายใจเขาออก คอื วา เอาลมหายใจยดึ เหน่ียวไว
ไมใหคิดไปอยางจิตใจธรรมดา ดวยอํานาจพละกําลัง ในน้ําพระทัย
ใจพระพุทธเจา เรียกวา ทาํ จริง เอาจริง และในขณะท่ลี มหายใจเขาไป
ลมหายใจออกมา พระองคก็กําหนด มรณภัย คือ ความตายไวดวย
คนเราทุกคนนะ พระองคเองก็เหมือนกัน ถาลมหายใจนี้ออกไปแลว
สูดเขามาไมไดก็ตาย หรือหายใจเขาไปแลว ลมหายใจไปไมติดขัดเขา
ออกมาไมไ ดก ต็ าย ในขณะเดยี วกนั ทา นกน็ กึ ถงึ ความตายทจ่ี ะมาถงึ องค
ของทาน แนว แน ม่นั คง ใจไมห ลงใหล ไมล ืม ไมข าดสตสิ ัมปชัญญะ
นาํ้ พระทัยใจพระพุทธเจากส็ งบระงบั เปนขณกิ สมาธิ เปนอปุ จารสมาธิ
เปน อปั ปนาสมาธิ ทีว่ า จติ สงบต้ังมนั่ ไมอ อกไปภายนอก จิตใจดวง
ผรู อู ยู เรยี กวา มน่ั คงลงไปในจิตใจของพระองคจริงๆ ทกุ ลมเขา
ทุกลมออก ไมประมาทมัวเมา เอาจริงทีเดียว เมื่อจิตใจมั่นคง
หนักแนน ไมโลเล ลังเลสงสยั แลวพระองคก็กําหนด รูป นาม กาย

๑๗๕

ใจ นี้แหละวา นามรปู ง อนิจจัง นามและรูป กาย ใจ น้ไี มเท่ียง
ทง้ั ภายนอกและภายในนี้ ไมม ีอะไรเทยี่ ง ท้ังกาย ท้งั จติ หรือตลอด
ในโลกน้ี จะเปน ผนื แผน ดนิ ทอ งฟา ปา ดง ภูเขา ดวงพระอาทติ ย
พระจันทร ที่อยูในโลกอันนี้ ก็ไมเที่ยง ไมคงที่ ไมเปนอยูอยางนี้
เมื่อหมดอายุขัยของแตละอยางๆ จะลงสูความไมเที่ยง ความเปน
ทุกข ความไมใชตัวตนของบุคคลผูใดทั้งนั้น เมื่อพระองคมากําหนด
กาย วาจา จิต ของพระองคเ หน็ แจง ในหลกั อนิจจงั ทุกขัง อนตั ตา เกิด
ขน้ึ ดว ยญาณ ดว ยปญ ญาอันวเิ ศษ ละกิเลส ตัดกิเลส ความโกรธ ความ
โลภ ความหลง ไดเ ด็ดขาด จิตใจของพระองคกไ็ มม ายึดหนา ถือตา ไมมา
ยดึ ตัวถือตน ยดึ เรา ยึดของของเรา อกี ตอไป จงึ มนี ามวา พระพุทธเจา
ไดตรัสรูพระโพธิญาณ ไดตรัสรูพระอนุตระสัมมาสัมโพธิญาณ
เปนสัพพัญพู ุทธะ เรยี กวา รูแจง โลก รูแ จง ธรรม จติ อวชิ ชา ตัณหา
มัวเมา อยูใ นโลกน้ี โลกหนา โลกไหน ก็ไมม ีในน้ําพระทัยใจพระพุทธเจา
จึงไดนามวา พระสมั มาสมั พระพทุ ธเจา ไดอบุ ัตบิ งั เกดิ ข้ึนในโลกแลว
ตรสั รเู ปน องคพ ระพทุ ธเจา ขน้ึ มา เรยี กวา พระองคถ งึ แลว ซง่ึ ความพน ทกุ ข
ถงึ นิพพาน นา้ํ พระทัยใจพระองคไ มห วั่นไหว กิเลสมาร สงั ขารมาร
ก็ไมมาทําใหพระองคไดเดือดรอนตอไปอีก นั่นมาจากพระองคนั่ง
สมาธภิ าวนา แมพ วกเราทั้งหลายกต็ องปฏิบตั บิ ูชา นั่งสมาธภิ าวนา
จนกวาจิตใจจะไดสําเร็จมรรคผลถึงซึ่งนิพพาน ถายังไมเห็นแจงพระ
นพิ พานดวยตนเอง จะมาหยดุ อยูไมไ ด จะตองเดนิ จงกรม จะตอง
นั่งสมาธิภาวนา ท้ังรูปรางกาย ไมวารา งกายจะยืน จะเดิน จะน่ัง จะ
นอน จะไปมาทไี่ หน ก็ภาวนาทุกลมหายใจเขาออกเร่อื ยไป จนกวา

๑๗๖

จิตใจจะไดสงบ ระงับ ตัง้ มัน่ เห็นแจง ในธรรมะปฏบิ ัติ เห็นแจง ในหลกั
อนจิ จัง ทกุ ขงั อนัตตา จริงๆ ไมใชเพยี งเราจาํ ฟง กันเทานี้เปน ความ
ธรรมในใจใหแ จง ประจกั ษจ น เลิก ละ ตดั ปลอ ยวางกเิ ลส ความโกรธ
ไดเด็ดขาด กเิ ลสความโลภ ความอยากในใจไดเ ด็ดขาด กเิ ลสความ
หลงในใจนั้นได้เด็ดขาด เมื่อสาวกทั้งหลาย ได้ฟังธรรม คําสอน
พระพทุ ธเจา ทําตามที่พระองคทรงตรัส มีปญจวัคคียทั้งหา จึงได
สําเร็จมรรคผล แสดงขนั ธทง้ั ๕ ถงึ รปู เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ
วาไมเทย่ี ง เปน ทกุ ข เปนอนตั ตา ไมค วรยดึ มัน่ ตงั้ มัน่ ในธาตุ ในขนั ธ
ในหนา ในตา ในตวั ในตนน้ี ความจรงิ มนั ไมใชตัวตนของเราเลย จติ
มาหลงยึดเอาถือเอา ความสขุ ความทุกข อนั บังเกิดมีขึ้นในรปู รางกาย
สงั ขารน้ี ความหลง ความไมรู เมื่อพระองครแู ลว เขา ใจแลว นาํ มาสอน
สาวก สาวกิ า ศรทั ธา ญาตโิ ยม ทัว่ ไป ใครมีบุญบารมี กําลงั จติ ใจ พอจะ
รไู ด เขาใจ ไมเลือกวาคฤหัสถและบรรพชิต ในสมัยครั้งพุทธกาลโนน
ทานไดบรรลมุ รรคผล เปน พระโสดา เปนพระสกิทาคา เปน พระอนาคา
เปน พระอรหนั ตาสดุ ยอด เชือ่ วา สมยั โนนมรรคผลนพิ พานเจรญิ รุง เรอื ง
ไมเ หมอื นยคุ เรา สมัยเราทมี่ าเกิดน้ี เรียกวาสมยั ทานเจริญดว ยความ
สขุ จิตสขุ ใจ จติ ใจไมม ีความโกรธกเ็ ปน ความสขุ จติ ใจไมม คี วามโลภ
ก็เปนความสุข จติ ใจไมมีความหลงไปตามอํานาจกิเลส ราคะ โทสะ
โมหะ ก็เปน สุดยอดโลก เรยี กวา สูงสดุ แหงความสขุ ทงั้ หลาย การเจริญ
ภาวนาในทางพระพุทธศาสนาน้ี จงึ มีจดุ หมายอยทู ตี่ รงน้ี แมจะเรยี น
ธรรม คาํ สอนของพระพทุ ธเจาถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธจ บ ถา ไมมา
ปฏบิ ัตภิ าวนา ละกิเลสในใจของตวั เองก็ไมรเู ร่ืองรรู าวอยูนน่ั แหละ

๑๗๗

ฉะนั้น พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
ที่พระพุทธเจาทรงตรัสไว จึงจะเขาใจในพระพุทธศาสนา เพราะวา
พระพุทธศาสนานั้นถาหากวาไมมีพระศาสดา สัมมาสัมพุทธเจา
มาตรสั รกู อน แมมนุษยและเทวดา อินทร พรหม คนท้ังโลก กไ็ มมี
ใครสามารถท่จี ะบกุ เบิกไปสูนิพพานได เพราะวา กเิ ลส ตณั หา มานะ
ทฐิ ขิ องสตั วโ ลกนน้ั มนั ยดึ ไว ถอื ไว ผกู ไว มดั ไว ไมใ หไ ปทไ่ี หน ไปไมไ ด
เมือ่ ไดฟงธรรมคาํ สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจา แลว สาวกท้งั หลาย
ไมว าหญงิ ชาย คฤหสั ถ และนักบวช ทา นไมน งิ่ นอนใจ ลกุ ขึ้นเจรญิ
ภาวนา ไมห ลงใหล อยูใ นความสุข ความทกุ ขอ นั เปนธรรมดาโลก

๑๗๘

น้ี ทานลกุ ข้นึ ภาวนา ทําใจใหสงบต้ังมั่น จนพิจารณาเหน็ แจง ในหลกั
อนจิ จงั ทกุ ขัง อนัตตา ละกเิ ลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง
หมดสิน้ ไป เหมือนพระพทุ ธเจา เขา สนู ฤพานได น่ันแหละเปน สุดยอด
แหงพระพุทธศาสนา สุดยอดแหงการภาวนา ถายังไมเขาใจตอนนี้
แลวก็ไดชื่อวายังไมไดเปนสาวกของพระพุทธเจา แมจะบวช ก็บวช
เพียงแตว า เปน สงฆส มมุติใหเปนพระ แตวาจิตยงั ไมเปน พระ ยงั เปน
คนอยู เปนสัตวอยกู ม็ ี เม่อื ใดตวั เองต้ังใจชําระจติ ใจนี้ใหบ ริสทุ ธิ์ ผอ งใส
สะอาด ปราศจากมลทินโทษ ไดดว ยสตปิ ญ ญา วชิ าความรู ภายในน้ัน
จึงจะเขา ถึงพทุ ธธรรม

คําสอนของพระพุทธเจาจริงๆ แมวาไมมีความสงสัย ในทาน
ในศีล ในภาวนา เมื่อไมมีความสงสัยแลว ก็ตั้งใจปฏิบัติเรื่อยไป
แมวา วนั คืน เดอื น ป จะเปลีย่ นไปอยางไรก็ตาม จติ ใจของผูปฏิบัติ
นั้นไมมีเปลี่ยนแปลง มุงหนา เดินหนาไปทาเดียว ตั้งใจบริกรรม
ภาวนาอยูทุกขณะ ทุกเวลา จนกระทั่งทุกลมหายใจเขาออก
ก็ภาวนาได มองเห็นภัยอันตรายที่จะมาถึงตนได ทุกลมหายใจเขา
ทกุ ลมหายใจออก นํา้ พระทัยใจพระสาวกเจา ในทางพระพทุ ธศาสนา
ทานจึงรีบเรง ภาวนา ปฏิบัตบิ ชู า จนไดส าํ เร็จมรรคผล เห็นแจงพระ
นิพพาน ตามสมเดจ็ พระพทุ ธเจา จงึ จดั วาเปนผูเ ขา ถงึ พระพุทธศาสนา
เรียกวา พระพุทธศาสนา เปนศาสนาผูรู ไมใชผ ูหลง เมือ่ เขา ถึงได
ละกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ของตนใหเ บาบาง หมดสิน้ ไป จงึ ช่อื วา
เปนผูจบพรหมจรรย ไมมีความลังเลสงสัยประการใด

๑๗๙

ถา หากวาผปู ฏบิ ตั ิ ทําใหถึงสุดยอด คือวา เลกิ ละ กิเลส ตัดกเิ ลส
จนหมดแลว มันก็หมดเรื่องที่เราทําอยู ปฏิบัติอยู มันยังไมจบเรื่อง
เร่อื งกเิ ลสมันเยอะแยะ ทจี่ ะใหล ุมหลง มัวเมา ตดิ ขอ ง พวั พนั อยู
มันยังไมปลอย ไมวาง จึงจําเปน ทุกๆ คนที่ไดเกิดมาเปนมนุษย
ไดพบพุทธศาสนา แมจะไมไดพบองคพระสัมมาสัมพุทธเจาก็ตาม
แตวาภายใน ๕,๐๐๐ ปนี้ พระพุทธเจาทรงตรัส วางศาสนาของ
พระองคไ วใ หมนษุ ยคนเรา พรอ มดว ยเทวดา อนิ ทร พรหม ประพฤติ
ปฏบิ ัติ เลกิ ละ กเิ ลส ในจติ ในใจของตนได ถาทาํ ตาม ปฏิบัติตาม เราก็
มหี นา ทที่ ําตาม ปฏิบัติตามคือวา ใหนง่ั สมาธิภาวนาใหไดทกุ ๆคนื กอน
จะหลับจะนอนนั้น อยา ประมาท แมจะเปนเวลานิดนงึ หนอยนงึ ก็ยังดี
กวาไมท ํา ไมป ฏบิ ัติ ทางท่ีจะเปนไป กค็ อื ทางภายใน ไมใ ชทางภายนอก
ภายในตวั กายเราก็นงั่ อยนู ้ี จิตกผ็ รู ู ผเู หน็ ผไู ดย ินไดฟง อยู จิตดวงผรู ู
ไดย ิน ไดฟ งอะไรอยู ก็ใหร วมจติ ใจเขา ไปตั้งใหม ่นั เอาใหจริงในจติ ใจนัน้
จึงจะเข้าใจในธรรมะ คําสอนของพระพุทธเจ้าตามความเป็นจริง
ไมใ ชวา คดิ เดาเอา หมายเอา ตามสัญญาอารมณ ตอ งทํา ตอ งปฏบิ ัติ
ตองลกุ ข้นึ ท้งั กาย วาจา จติ ตวั เราทกุ คนจะตอ งทําใจใหส งบต้งั มัน่
เปน สมาธิภาวนาขอแรก ขอ ตอมากพ็ ิจารณาในหลัก อนิจจงั ทุกขงั
อนตั ตา ใหจ ติ ใจนร้ี ู เขา ใจวา อะไรๆ ทง้ั หมด ไมใ ชข องเรา เปน ของ
โลกเขา ท่ีวา ใหความสุขนน้ั กไ็ มจ รงิ เพราะคนเราถา พจิ ารณาดูความ
จรงิ แลว ตง้ั แตเ กดิ จนแก ตง้ั แตแ กจ นตาย มนั หาความสขุ สบายไมค อ ยได
คนเราเมอื่ ยงั เปนเดก็ เปน หนุม กม็ งุ หมายวา ใหถ งึ วยั แกวยั ชราเสยี
กอนจงึ จะบาํ เพญ็ ทาน รักษาศลี ภาวนา ความจริงชีวติ ของคนเราไม

๑๘๐

แนนอน วันนี้อาจจะเปนวันตายเราก็ได คืนนี้อาจจะเปนคืนตาย
ของเราก็ได จะเอาอะไรมาแนน อนได ดว ยเหตนุ ้ีผปู ฏบิ ัติภาวนาทา น
จึงใหลกุ ขน้ึ ต่ืนข้นึ ตัง้ อกตง้ั ใจภาวนา เอาใหมันเด็ดขาดลงไปกิเลสใน
หวั ใจน้นั ถาหากวา เราตัง้ ใจภาวนา เอาจติ ใจใหแ นว แน ม่นั คงจรงิ ๆ
ก็ยอมไดบรรลุมรรคผล ไมวายุคใดสมัยใดเปนไปไดทั้งนั้น แตตอง
อาศัยการประกอบ กระทาํ ใหเ กิด ใหม ขี ้ึนในจติ ในใจจริงๆ เพราะวา
พระธรรมวินัย พระพทุ ธศาสนา คาํ สอนของพระพทุ ธเจานนั้ จะตอง
ปฏิบัติบูชา ภาวนา ไมใชว าอยเู ฉยๆ แลวก็จะได จะบังเกิดมขี น้ึ ก็ไมไ ด
ตองทาํ ตอ งปฏิบัติ ตอ งภาวนาในใจ ทัง้ กาย วาจา จิต ก็ตองต้งั อยูใน
ความสงบ แนวแนมน่ั คง ไมหลงใหล เมอื่ ใจนไี้ มห ลงใหลไปในที่ใดๆ
มีความเช่อื มัน่ ในธรรมปฏบิ ัติ นัง่ กป็ ฏิบัติ ยืนกป็ ฏบิ ตั ิ เดนิ ไปมาทีไ่ หนก็
ปฏิบัติบูชาอยู เมือ่ ทําอยู ปฏบิ ัติอยู อยา งน้แี หละ ชอื่ วา สาวโก สาวก
ของพระพทุ ธเจา ผูจ ะเขาไปสพู ระนิพพานเกียจครานไมได จะตองทาํ
จะตองประกอบ ใหเกิด ใหม ขี ึ้น

ฉะนั้นทุกลมหายใจเขาออกเราทานทั้งหลายอยาไดประมาท
ตั้งใจปฏิบัติบูชา ภาวนาเรื่อยไป สิ่งที่เรามุงมาดปรารถนา ก็จะ
สาํ เรจ็ ลลุ ว งไปไดไมไกลนกั ฉะน้นั แมวาเราทา นท้งั หลายพากนั ไดยิน
ไดฟงแลว กใ็ หก าํ หนด จดจํา นําไปประพฤติปฏบิ ตั ิ ก็คงไดร ับความสขุ
ความเจรญิ เอวังกม็ ดี ว ยประการ ฉะน้ี

๑๘๑

สัพพตี ิโย ววิ ัชชันตุ สพั พะโรโค วินสั สะตุ
มา เต ภะวัตวนั ตะราโย สขุ ี ทฆี ายโุ ก ภะวะ
อะภวิ าทะนะสลี ิสสะ นิจจัง วฑุ ฒาปะจายิโน
จตั ตาโร ธัมมา วัฑฒนั ติ
อายุ วัณโณ สขุ ัง พะลงั ฯ

๑๘๒

อยาเลย้ี งกิเลส

นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สมั พุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพทุ ธัสสะ

ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา
พระองคน นั้

จากวันนี้ไป คืนนี้ไป ขางหนาไมนาน ก็จะถึงวันออกพรรษา
วนั มหาปวารณา เมอ่ื แรก เราทกุ คนไดต ง้ั ใจไวว า พรรษาน้ี กเิ ลสความโกธร
กเิ ลสความโลภ ความหลงในใจ จะไดพ ากนั เลิก ละ ปลดปลอยออก
ไป อยางนอยก็ใหไดเปน โสดาปฏิผล เปนพระอิรยะบุคคคล ในทาง
พทุ ธศาสนา ทง้ั พระภิกษุ สามเณร ผาขาว นางชี ญาตโิ ยมทุกคน ตัง้ ใจ
ไววา จะทาํ ความเพยี ร เพอ่ื ละกเิ ลสในจิตในใจ ใหไ ดใหถ ึง บดั นีม้ ัน
หมดไปสองเดอื นกวาแลว ทวี่ า จาํ พรรษาไตรมาสสามเดอื น หมดไป
สองเดือนกับสิบหาวันแลว ยังเหลืออยูสิบหาวันก็จะถึงสามเดือน
ไตรมาสสามเดอื น ทนี เ้ี ม่ือยังเหลอื นอ ย ถาผใู ดมองดกู เิ ลสในใจของเรา
ยังมากอยูจะตองตั้งอกตั้งใจขึ้นมา อยาไปหละหลวมในการบําเพ็ญ

๑๘๓

ทาน รกั ษาศลี ภาวนา บารมีสิบ บารมีสามสิบทศั ทพ่ี ระพุทธเจา
พระอรยิ เจา ทง้ั หลายทา นบาํ เพญ็ มา ในกลางพรรษา สว นมากพระอรยิ เจา
ทัง้ หลายในครั้งพทุ ธกาลโนน ทานเรงทาํ ความเพียร เบ้อื งตน ทามกลาง
ท่ีสุด ที่สุดทา ย กค็ ือวา วันออกพรรษามหาปวารณา อยางขี้ราย ข้เี หล
กว็ นั นน้ั ใหไ ดส าํ เรจ็ มรรคผล ละกเิ ลส ความโกธร โลภหลงในใจของตนได
ไปนงิ่ นอนใจอยไู มไ ด จะตองลกุ ขนึ้ ภาวนา ปฏบิ ัตบิ ชู าภาวนา

คาํ วาภาวนานะ เปนนโยบายของ ละกเิ ลส ถา ไมต ั้งใจละกิเลส
ไมตัง้ ใจปฏิบัติภาวนา กเิ ลสมันไมห ลดุ ไมอ อกไป ทา นเปรยี บอุปมา
เหมือนอยา งวา ไมสีไฟ คอื คนโบราณเขาทําไมข ดี ไฟไมได เอาไมไ ผม า

๑๘๔

สองขางเอาไมไผมาผาแลวก็เจาะลงไปขูดเอาติวไมไผมายัดลงไป ทีนี้
ไมไผสว นหน่งึ ก็เอาเปนคมฝงลงไป เอาไมประกบตีลงไปในดนิ แลวก็
เอาไมที่ทําเพื่อใหไฟติดนะไปถูกับ ไอไมไผที่เปนคม ถูเขา ถูเขา
แรงเขา แรงเขา จนกระท่งั เกิดควนั ธาตุไฟน้นั เมอื่ เอาไมไ ผ ถกู ันแลว
มันเกิดเปนไฟขึ้นมาได ก็ไดไฟมาใชสอย จะหุงตมทําอะไรไดหมด
มนั เกดิ เปน ไฟขน้ึ มาได เพราะเอาไมไ ผถูกัน สีไฟ เขาเรยี กวา สไี ฟ แตว า
ถา ไมส ไี ฟนน้ั ไมเ อามาถกู นั เกบ็ ไมส องอยา งนน้ั ไว รอ ยป กอ็ ยนู น้ั แหละ
ไมเกิดไฟขึ้นไดไมสองอยางมันจะไปถูกันจนเปนไฟนั้นเปนไปไมได
แตมันจะเปนไฟขึ้นมาไดนั้นเอาไมสองอยางมาถูกัน แลวก็มีเชื้อเพลิง
มกี ะระยะไวใ หเ สรจ็ พอถูกนั รอ น มันกม็ าติด ติดไฟแลวกเ็ อาตอ ไฟอยา ง
อื่น แตเ อาไมสองอยา งนน้ั แหละทิ้งไว รอ ยป สองรอ ยป ก็ไม ไมเ กิด
เปน ไฟขึน้ มาได อันน้ีคนโบราณาจารยเ จาทงั้ หลาย ทานเปรียบเทียบ
ไวใ หพวกเราเอามาคิดพินิจพิจารณา ในการที่จะละกิเลส ความโกธร
ความโลภ ความหลงในใจของตนใหม นั หมดไปสน้ิ ไป ทา นใหด กู ารไมส ไี ฟ
ถา เอาถกู นั ไมก ่ี ไมก น่ี าที ก็เกดิ ไฟได แตว า ถาเกบ็ ไวเ ฉยๆ ก็ดี ทง้ิ ไวกด็ ี
ไมสองอยางนั้น นานเทาไหรก็ไมเกิดไฟ

อันน้ีทา นใหเ อามาเปรียบเทียบเวลาเรา สรา งบุญ สรางบารมี ใน
จติ ในใจ ของเรา ทานบารมี การทําบญุ ศุลทาน บรจิ าค จนถงึ อภยั ทาน
ใหอ ภัยแกบ คุ คลอน่ื สตั วอ่นื ศลี บารมี รกั ษาศลี หา ศีลแปด ศลี สบิ
สองรอ ยยส่ี บิ เจด็ ตามความตง้ั ใจของแตล ะบคุ คล ศลี หา นน้ั เปน หลกั ศลี
แกน ศีล กว็ า ได ไดแ ก เวน จากฆา สัตว คาํ วาสตั วน ั้น มันเนอ่ื งถงึ คนลง

๑๘๕

ไปจนถงึ สตั วเ ลก็ สตั วน อ ย เวน จากการลกั ทรพั ย ขา วของของบคุ คลผอู น่ื
คอื มนษุ ยเรานัน้ มนั มสี มบตั ิ จะเปนปจ จัยส่ี หรือเปนเงินเปน ทองอะไร
ก็ตาม ถาไปเกิดลักขโมยกันขึ้นมาก็ชื่อวาศีลไมบริสุทธิ์ อทินาทาน
การเมสมุ จิ ฉาจาร อนั นก้ี ร็ า ยใหญ ใจมนษุ ยค นเรา โดยเฉพาะยคุ นส้ี มยั น้ี
ไมคอยสังวรระวังกันกับมุสาวาท โกหกพกลม ไมตองคิด จะพูดอะไร
กเ็ รียกวาโกหกพกลมไปเร่ือย สัปปริข้จี ุ ศลี ๕ เพน่ิ มี สุรา เมรยั สรุ า
เปนเครื่องดองของเมา เมื่อผูใดไปบริโภคเขา ก็พาใหคนดีกลายเปน
ผบี าไป หมดความละอายตอบาป พูดทําคิดอะไรก็เรียกวาไมไดเรื่อง
นอนกลางถนนริมถนนได อาเจียนออกมาหมามามันก็ไปกินลาก
ของคนข้เี หลา เลียปากให ลา งปากให ตาขี้เหลา แลว กข็ อ แกก ็คือวา
เก่ียวกบั สงั คมอนั น้คี อื วาคนไมตัง้ ใจรักษารกั ษาศีลไมใ ชเพียงแตวาเพง
ใหศ ีลรักษาเรา อันนี้สวนหนึ่ง เราตองรักษาศีลกอน เมื่อเรารักษาศีล
ศีลมันจึงจะรักษาเรา เราตองนั่งสมาธิภาวนากอนไมใชใหสมาธิ
มาเป็นผลโดยเราไม่ทําเหตุก็ไม่ได้ เมื่อเราทําสมาธิภาวนา ให้เกิด
ใหมี ในจิตในใจ ผลมันตองตามมาทีหลัง

แตคนเรายุคนี้สมัยนี้นั้น มีแตอยากจะไดผล แตไมทําเหตุ
คือวาไมทํามันก็เลยไมได อยางฆราวาสญาติโยม การงานหนาที่
ความเพยี ร ความมั่น ความขยันขันแข็ง ไมคอยเอาใจใส ไมเหมอื น
คนญปี่ ุน แลว มันผลมันก็เลยไมค อ ยได จะเอาแบบงา ยๆ หรอื วาแบบ
เรียนลัด ลัดเอา ที่นี่ก็ลัดเอา แบบเงินทอง ก็จะเอาเปนตัวเงินที
เดยี ว ซอ้ื หวยรฐั บาล ซอ้ื หวยลอ็ ตเตอร่ี สลากกนิ แบง ยงั ไมพ อ แลว ก็

๑๘๖

เอาใหเร็วเขา ซื้อสลากกินรวบ รวบเอาทีเดียวใหพอเลยมันก็เลย
ไปตายอยูแคร วบหมดเลย นกึ วาไดเงนิ ไดทองอะไร คือวา มันจะ
เอางา ยเขา วา เอาความสะดวกสบายเขา วา ฉะนน้ั ตองดูวา ทาน
ศีล ภาวนา บารมี จะแกก ลา ตอ งปฏบิ ตั ิบูชาภาวนา ทุกส่งิ ทกุ อยาง
เหมือนไมสีไฟ เอาทิง้ ไวเฉยๆ มนั กอ็ ยูร อยป พันป กอ็ ยอู ยา งนน้ั นะ
แตไ มไ ดไ ฟเกดิ จากทน่ี น่ั เราตอ งการบญุ กศุ ล ตอ งการความสขุ กาย สบายใจ
ตองการ อยางนอยก็ตองการเพื่อใหไปเกิดในสวรรคชั้นฟา วิมาน
ไมต องมาทกุ ขยากปากหมองวนุ วาย แตว า เวลาทํา เวลาปฏบิ ัตคิ นเรา
ก็ชอบลัดเอา ไมต ัง้ ใจจรงิ ๆ จงใหพากนั นึกใหได เมื่อนึกอยางอน่ื ไม
ไดก็ใหนกึ ไวว า ไมส ีไฟ จะเกิดเปน ไฟได ตอ งคนเรา ตัวเรา เปน ผูจบั
ไมส องอยางมาถกู นั เขา แมมันจะเหนด็ เหน่ือย เม่ือย หิว ไมเ หมอื นขีด
ไมขดี ไฟก็ตาม แตก ไ็ ดไฟมาใชเหมือนๆ กัน อันน้ีหมายถงึ วาเราทุกคน
ทุกตน ทุกองค ตอ งลุกขน้ึ ภาวนา วนั เวลา ไมไดค อยทา

ดูนั่น ประเดีย๋ วเดียว ประเดี๋ยวดาว จะออกพรรษาแลว จะถงึ
วนั มหาปวารณา อีกสบิ สี่ สิบหา วนั ก็ หมดเขต หมดเขตสามเดอื น
ทนี ถี้ า เราไมเ รงรบี ภาวนา เดยี๋ วน้ี ขณะน้ี หรอื ต้งั แตค ืนนี้ วันนี้เปนตน
ไป จะไมท ัน ไปนอนใจอยไู มได ตอ งลุกข้นึ ภาวนา อยาไปเหน็ แกหลับ
แกน อน เพราะวา ความโกรธ ความโลภ ความหลง มนั จะออกไปได
เราจะเลกิ มนั ได ละมันไดน น้ั ความโกรธ โลภ หลง อวชิ ชา ตัณหา
เพิ่นเปรยี บเหมือนของเหนยี ว ยา ตงั เคร่ืองติด ถา มนั ตดิ มาแลวก็ดหี รอื
ตดิ ใหมกต็ าม เราจะตอ งใชความบากบน่ั พยายาม เอาใหย างเหนียว

๑๘๗

คือกเิ ลส ความโกธร โลภ หลง เหลา นใี้ หอ อกไป ไมใหมันมานอน
อยูในกาย วาจา จิต ของเรา ใจของเราใหม ีภาวนา พทุ โธ ธรรมโม
สังโฆอยู ใจของเราใหมอี บุ ายธรรมทุกอยาง ทกุ ประการ อันใดทีพ่ า
ใหจ ติ ใจสงบระงับได ไมต องมาก อยา งเดยี วมนั กไ็ ดคือมนั อยูท ก่ี าร
ลงมือทํา คือวา ต้งั ใจทาํ คาํ วาต้งั ใจนะมนั หมดทั้งกาย ทง้ั วาจา ทงั้ จติ
ท้งั มอื เทา อวัยวะ รา งกายทกุ สวนน่นั แหละ จึงจะเปน ศลี จึงจะเปน
ธรรม เปน คําส่งั สอนของพระพทุ ธเจา และไมใ ชเ รื่องผูอน่ื ทําใหดว ย

๑๘๘

มันเปนเรื่องตัวเราเอง จะตองตั้งอกตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา อยา
ไปหลงกลมารยาของมารกเิ ลส คร้นั จะน่ังภาวนาที่นี่ มนั กบ็ อกวา ท่ี
โนน ดกี วา บดั น้ี นง่ั ภาวนามาตง้ั สองเดอื น กบั สบิ หา วนั แลว กเิ ลสในใจ
ของเราทกุ คนนะ มนั เบาบางไปหรอื ยงั หรอื มนั ยงั หนาแนน อยู ถามนั
ยังหนาแนนอยอู ยาไปน่ิงนอนใจไมไ ด ตอ งเรง ความเพียร ตง้ั แตค นื นี้
เด๋ียวน้เี ปน ตนไป ถาไมอ ยา งนั้นจะเสยี เวลา เพราะวาวันคนื เดอื นป
ทม่ี นั ลว งไป ลว งไป ทเ่ี ราเหน็ อยกู ลางวนั สบิ สองชว่ั โมงกห็ มดไปอกี
กลางคืนถาถึงแจงสวางก็อีกสิบสองชั่วโมง มันมีแตหมดไป สิ้นไป
แลว มันไมใ ชวา สนิ้ ไป หมดไป แตว ันคนื เดอื น ป อยางนนั้ ทมี่ ันหมด
จริงๆ กค็ ือชีวติ ของเราทุกคน วันคนื มนั ไมห มดแตช ีวติ คนเรามนั หมด
สิบปมันก็หมดไปสิบป ยี่สิบปมันก็หมดไปยี่สิบป สามสิบป สี่สิบป
หาสิบป หกสิบป มันหมดไปทั้งนั้น อายุที่เรานับกันนะ มันไมใชได
มันหมดไป มันหมดไป มนั ส้ินไป มนั เสอ่ื มไป เสื่อมไป สน้ิ ไปหมดไป
เปน ธรรมดาอยา งนน่ั แหละ สว นวนั คนื เดอื น ป มดื แจง มนั ไมไ ดห มด
มนั มีอยูตามธรรมดา เราไมค ิดไมนกึ มนั กม็ ดื เองมันแจงเอง เปน ช่วั โมง
นาที วินาที ของมนั ไปเอง ในเมอื่ เวลามามองเหน็ วา ชีวิตนเ้ี ปนของนอ ย
นกั นอยหนา มนั หมดไป เส่อื มไป ส้นิ ไป เปนธรรมดาของโลกอยา งน้ี
แลวเราจะมาลุมหลงมัวเมา ประมาทไมลุกขึ้นภาวนา ทําใจออนแอ
ทอแทก ลัวตายอยไู มไ ด

พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ของเรา พระองคจ ะไดต รสั รเู ปน พระพทุ ธเจา นน้ั
พระองคเอาชวี ติ แลกมา กค็ ือวา ทาํ มา ตั้งส่ีอสงไขยแสนมหากัปบาง

๑๘๙

แปดอสงไขยแสนมหากัปบา ง สบิ หกอสงไขยแสนมหากัปบา ง ทสี่ บิ
หกอสงไขยก็ดี แปดอสงไขยก็ดี สี่อสงไขยก็ดี ไมใชเพียงแตวานับ
เอาเทานั้น หมายถึงความดี ตั้งใจทําความดี บําเพ็ญทาน รักษา
ศลี ภาวนา ไมประมาทเลินเลอ เผอเรอ ไมม ัวคดิ ฟุงซา นราํ คาญไป
ที่อื่น ยกจิตใจของตนใหสูงขึ้น อยูในที่สูง เหมือนเราขึ้นหัวปลวก
หรอื ขึน้ ตนไมท ี่สงู สุด หรอื ขึน้ ภเู ขาท่ีสงู สดุ จิตใจคนเรานกี้ เ็ หมอื นกนั
ถา หากวา ปลอ ยใหม นั เปน ไปตามอาํ นาจของกเิ ลส ตณั หาแลว มนั มแี ต
จะตํ่า คอื วา ไม ไมย อมลุกข้ึนภาวนา เม่ือไมลุกข้ึนภาวนากเิ ลสมาร
สังขารมารมันก็เหยีบย่ํา ย่ํายี เราจะลุกขึ้นมาปฏิบัติบูชา ภาวนาไมไ ด
เพราะกิเลส ความโกธร โลภ หลง น่มี ันย่าํ จติ ยํ่าใจของเรา ทับถม มัน
เคยเปน นายหวั ใจของเรามานาน มนั ไดใจมนั คือ เราไมไ ดล กุ ขน้ึ ภาวนา

ตอนี้ไป ใหตั้งใจลุกขึ้นภาวนา เอาใหมันสําเร็จลุลวงไปไดภายใน
พรรษานี้แลว จิตคนเรามันก็มักจะคิดวา มันเปนไปไมได เรามัน
คนบุญนอ ย วาสนานอ ย ยังไปไมได ยงั ทาํ ไมได ไมถึง อนั นม้ี นั เปนที่
ใจกิเลส เราไปเชือ่ ใจกเิ ลส เชือ่ ใจกเิ ลสราคะ เชอ่ื ใจกิเลสโทสะ เชือ่ ใจ
กเิ ลสโมหะ จิตใจมนั กเ็ ลยออ นแอ ทอแท กลัวตายอยูวนั ยันคํ่า คืนยนั รุง
ไมลกุ ขึ้นภาวนาในใจ จติ ใจผรู ูผ เู หน็ อยูภายใน มันอยตู รงไหนในเวลานี้
จงรวมกําลงั เขา มา จนเลกิ ได ละได ปลดปลอยออกไดทุกอยา งทุก
ประการ ศลี สมาธิ ปญ ญา วิชาความรู ในทางพุทธศาสนาก็จะได
คลอ งตวั ขน้ึ ไมว า กเิ ลสกองไหนจะเกิดมขี น้ึ กเิ ลสเกา กิเลสใหม สใู ห
มนั ได คอื ไมใชสูทีอ่ ืน่ สูทีส่ มาธิ ภาวนา ทาน ศีล ภาวนา ปฏบิ ตั ิบชู า

๑๙๐

ไมใ หจ ติ ใจทอ แท ออนแอ ในหัวใจ ดวงจิตดวงใจ ดวงท่ีรูอยูภายในนี่
เด๋ยี วน้ี เวลานี้ มนั มีอยทู ีน่ ี่ ท่ีจิตใจของทุกๆ คน ไมต องไปหาที่อืน่
ใตด นิ ใตน าํ้ กไ็ มม ี บนฟา บนอากาศ กไ็ มม ี มนั มอี ยปู จ จตั ตงั จาํ เพาะ
จติ มนั มีอยูท ร่ี ักษาศลี ภาวนา มันมอี ยทู ่ีจิตเจตนาท่แี นว แนม ั่นคง ไม
ปลอ ยใหค วามหลงตา งๆ เขามาทบั ถมจติ ใจ จนยกไมขน้ึ เอาไมไหว ท่ี
เปนอยางนั้นกเ็ พราะวา ไมมองเห็นผลบุญที่ตนกระทาํ อยเู ดยี๋ วนี้ เวลา
นี้ จิตเจตนาในจิต ในใจเนี้ยใหมันมีความเข็มขนขึ้นมา อยาไดไปเอา
แคความสะดวกสบาย แลวไมภาวนาละกิเลส ไมได ตองลุกขึ้นโจมตี
เอาใหม ันทันควนั เพราะวาการมาเกดิ แก เจบ็ ตาย วนุ วายอยูในโลกนี้
มันไมใชเรื่องอื่น ก็เรื่องจิตใจไมภาวนา ไมพิจารณา ไมดูของจริง
คอยดูแตข องปลอม ของจรงิ ไมดู ดขู องปลอม มันกเ็ ลยไดแ ตของปลอม
ของปลอมของแปลงเอาไมเ ทย่ี งแทแนน อนยงั่ ยืนอยไู ดเ ลย

ฉะนัน้ วนั น้ี เวลานี้ เราจะตองลุกข้นึ ยืนหยัดตอสูกิเลสมาร
สงั ขารมาร ในใจใหได แลวกท็ ันมันเมอื่ ใดก็ฆา มันท้งิ เลย อยา ไปเลีย้ ง
มันไว จิตที่หลงอยูในกิเลสราคะ กิเลสโทสะ กเิ ลสโมหะ ทนั มนั ทีน่ ่ีก็
ฆา มันทน่ี ่ี ทําลายลา งมนั ลงไป อยาไปเล้ยี งมนั ไว เลยี้ งมนั ไวเ ราก็เปน
ทกุ ข ไมตอ งเลี้ยง ละ ละก็คือไมเ อาไมต องการ ไม ไมป ระกอบกระทาํ
ใหเ ปน ไปตามอาํ นาจกิเลสนน้ั ๆ คนอืน่ ผอู ่นื เปน เรื่องของแตล ะบุคคล
ตวั เราใจเรากายของเราชีวติ ชวี า มนั อยูทีใ่ จน่ี รวบรวมกาํ ลังจติ กาํ ลัง
ใจเขามาภายในจนมคี วามสามารถอาจหาญ ไมม ีความทอ แท ออ นแอ
ไมกลัวตายกลัวมันก็ตายถงึ เวลามนั ตายเราจะไปไหวว อนเอาอยางน้นั

๑๙๑

อยางนไ้ี มไ ดท ้ังนัน้ ตองภาวนาเอาใหมันจติ ใจแนวแนมัน่ คงไมให
หลงไหลไปตาม รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ ไมเอามา
เก่ยี ว เพงเลงอยใู นดวงจิตดวงใจน้ีแหละ ลมเขาไปจติ มนั อยทู ่ไี หนจงึ
รูวาลมเขาไป ลมออกมาจิตมันอยูท ่ีไหนจงึ มารูวา น่ีจิตมนั ลมออกมา
ต้ังใจภาวนาอยใู นทอี่ ันเดียว ผอู นื่ จะมาดเี ทา ตัวเราเองไมม ี ตัวเราเอง
นั้นแหละ จะตองประกอบกระทําใหถึงพรอมดวยความไมประมาท
จิตใจคนเราเมื่อมันประมาทเลินเลอ เผอเรอ อะไร อะไร มนั ก็ทอ แท
ออ นแอไปหมด ฉะนัน้ อยา ไดป ลอ ยจติ ใจมนั ออนแอทอ แท ใหใ จมันตั้ง
ม่นั ใหเปน ภาวนา

การภาวนาบูชาในทางพุทธศาสนาน้ี ไมใชใหผอู น่ื ภาวนาแทนได
เอาจติ ใจของเรามาจดจอ อยทู ก่ี าย วาจา จิต มาพนิ ิจพิจารณาอยทู กุ
ลมหายใจ ความเพียรเพงอยูในตัวในใจนี้ แลวอยาไปเขาใจวาเราเกิด

๑๙๒

มาแลว ภัยอันตรายไมมากล้ํากรายไมได กิเลสตางๆ มันคอยจอง
อยู่เสมอ คนเราเผลอเมื่อใด เวลาใดมันก็เขาโจมตีแหละ จงมี
ความพาก ความเพยี ร ความพยายาม เอาใจใส ในการปฏบิ ตั บิ ูชา
ภาวนาในจิตในใจใหมันหมด ใสสะอาด ความขุนของหมองใจ
ไมใหม ี ในกายวาจาจิตของเรานี้ มันมตี ัวสาํ คญั อยู ตัวกิเลสความโกรธ
มันรอทา อยู ตวั กิเลสความโลภมันรอทาอยู ตวั กิเลสความหลงมนั รอ
ทาอยู แลวก็จะตองลุกขึ้น รวบรวมกําลังจิตของตัวเองใหมันเต็มท่ี
สใู หได สไู ปแคตาย ตายแลวมนั ยังไมพน มนั ก็ยังตองมาเกิดอีก เกดิ อีก
ก็มาบําเพ็ญภาวนาตอไปอกี ไมมที จ่ี บที่สนิ้ พระพทุ ธเจา พระอริยเจา
ทงั้ หลายทานเอาจนจบจนส้ิน นง่ิ แนวเปนดวงเดยี ว เมอ่ื จิตใจมีความ
สามารถอาจหาญ ทําจรงิ พูดจรงิ ปฏิบัตจิ ริง เลกิ ละ ตัด ปลอยวาง
จรงิ ๆ กิเลสมนั ก็อยไู มได อนั ตรธานหายไป ฉะนน้ั อบุ ายธรรมตางๆ
ดังกลาวมาน้แี หละ เปน อบุ ายธรรมปฏบิ ตั ิบชู า ภาวนา ละกิเลส เมอ่ื วา
เราทานทั้งหลายพากันไดยินไดฟงแลว ก็ใหกําหนดจดจํานําไป
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ กค็ งไดร บั ความสขุ ความเจรญิ เอวงั กม็ ดี ว ยประการฉะน้ี

สพั พตี ิโย วิวชั ชันตุ สัพพะโรโค วนิ ัสสะตุ
มา เต ภะวตั วนั ตะราโย สุขี ทีฆายโุ ก ภะวะ
อะภิวาทะนะสีลสิ สะ นจิ จงั วฑุ ฒาปะจายโิ น
จัตตาโร ธมั มา วัฑฒันติ
อายุ วัณโณ สุขงั พะลัง ฯ

๑๙๓

รวมจิตรวมใจเขามา พุทโธในใจ พุทโธ ทุกลมหายใจเขาออก
นึกพุทโธ พุทโธ มันจะไดอะไร มันมีไดอยู ใหนึกไปกอน เจริญไปกอน

จนกระทั่ง พุทโธ นั้น มันรวมตัวรวมใจ ลงไปอยูในใจได
จนเปนองคพุทธะ ธัมมะ สังฆะ อยูในจิตในใจแลว

นั่นแหละมันอยูที่นี่ เมื่ออยูที่นี่ มาสงบที่นี่ มาแจงที่นี่
มารูจัก รูแจงรูจริง รูอยู ในจิตในใจนี้ตลอดเวลา

จาก “ใหใจอยูกับสติ” หนา ๔๑


Click to View FlipBook Version