ปฏิปทาของหลวงปมู ั่น
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สมั พุทธสั สะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สัมพทุ ธัสสะ
ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคเจาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา
พระองคน ้ัน
ณ บดั นี้ถงึ เวลานง่ั สมาธิภาวนา อยามัวคดิ ฟงุ ซา นไปที่อ่นื ตง้ั ใจ
ขน้ึ มา ต้งั ใจ ตั้งตัว ตั้งกาย ต้ังทัง้ หมดทกุ อยา ง ตัง้ แตด วงจติ ดวงใจขนึ้
มา ใจของคนเรากบั รูปรา งกาย ใหมนั เปน สามคั คี ทําอะไรใหม นั พรอ ม
อยูใ นใจ เมื่อใจตองการอยา งไร กายก็ใหเปนไปอยางนัน้
ดูพระสาวกเจาทั้งหลายในครง้ั พุทธกาล ทั้งทบี่ วชเรียนเขียนอาน
เปน ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี สามเณร สามเณรี ท้ังที่เปนอุบาสก อุบาสิกาสมัย
โนน ทานมีความหม่นั ความขยนั ไมทอ ถอย คาํ วา พทุ โธ หรอื พทุ ธคุณ
ไมวาอยทู ีไ่ หน เพนิ่ เจรญิ อยใู นใจ สวดอยใู นใจ สวดทงั้ นอกท้งั ใน ทาน
เจริญธรรมกรรมฐาน มศี รัทธาแกก ลา อยา งสมยั พระพทุ ธเจาของเรา
เมอ่ื ยงั มีชวี ิตจติ ใจอยู ทานไปเทศน ไปแสดงธรรมทเี่ มอื งกุรุราช แสดง
๙๕
มหาสตปิ ฏ ฐาน มหาสติปฏฐานสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม พระองคไ ป
ตรสั เทศนา สอนคนเมอื งนน้ั เมืองกุรรุ าชนัน้ เปน เมอื งไมใหญเทา ไหร
เปน เมอื งยังไมเ จรญิ เหมอื นเมอื งใหญต าง ๆ ในสมยั นน้ั แตศรัทธา
ญาติโยม เลื่อมใสศรัทธาในมหาสติปัฏฐานสี่ ตามตํานานญาณ
หลวงปมู น่ั ทา นวา หลวงปมู น่ั ในเวลานน้ั ทา นกย็ งั อยทู อ่ี นิ เดยี ยงั เปน แขก
อินเดียอยู เปน คนเมืองกุรุราช แตเ ปน คนช้ันกลาง ไดเ ห็นพระพทุ ธเจา
ไดกราบ ไดไ หว ไดเ ห็นรศั มหี กประการ ไดฟงธรรม เกิดศรทั ธา ปสาทะ
ความเช่อื ความเล่อื มใสอันสงู สดุ ในเวลาน้นั จนไดตง้ั ใจวา จะเอาให
ไดเ ปนพระพุทธเจา อกี องคห นึ่งในอนาคตกาล แตก็บําเพญ็ ทาน รักษา
ศลี ภาวนาพรอมมา จนกระทัง่ เกิด ตาย เกดิ ตาย มาสองพนั สี่รอยป
จนมาเกิดในประเทศไทย อุบลราชธานี มาชาติปจจุบนั หรอื หลายชาติ
มาแลว ทา นก็ไดบ วชในพระพุทธศาสนา
เม่ือไดมาบวชในศาสนาแลวภาวนา จติ ใจสงบระงับ ตง้ั ม่นั ใน
ภาวนาดีขนึ้ โดยลาดบั จงึ มาถอนคําปฏิญาณในใจตนเองวา จะเอาเปน
พระพทุ ธเจา นัน้ มันกินเวลานาน จะไปนพิ พานในภพน้ใี นชาตนิ ี้ไมไ ด
ทา นก็เลยหยุดไมเ อา เมอ่ื บุญบารมีแกก ลา เห็นทุกขเห็นโทษ เห็นภยั
ในวัฏสงสารแลว ต้งั ใจปฏบิ ัตภิ าวนา เอาพนทุกข ภายในโลกปจ จบุ นั น้ี
เสยี เราจงึ ไดเห็นหลวงปูม่ัน ขยนั หม่ันเพยี ร มคี วามสามารถอาจหาญ
การทที่ า นไดม าเกิดในสมัยน้ี มาพาพระสงฆอ งคเ จาประพฤติ ปฏิบตั ิ
ในการปฏบิ ตั ิธรรมกรรมฐาน ตลอดจนถึงขอวัตรปฏิบัตติ าง ๆ แตก อ น
นม้ี นั เสอ่ื มไปจนวา วดั ปา กไ็ มม ี ยงั เหลอื แตว ดั บา น วดั บา นกร็ อ แรเ ตม็ ท่ี
๙๖
เมือ่ หลวงปูมน่ั มาบวชในศาสนา เจรญิ ภาวนา ทานก็แกไ ข แกไข
ใหมวี ัดปาข้นึ ไมวา ไปที่ไหนก็อยใู นปา สรางวดั ปาขนึ้ มา แตก อ นนีก้ ม็ ี
แบบพระธุดงค ภาคกลาง เวลาจําพรรษา ก็จําพรรษาวดั บา นธรรมดา
ออกพรรษาแลว ดนิ แหง กอ็ อกธุดงค แบกกลดใหญ สะพายยา ม ไป
ภาวนาตามทีช่ อบใจ จะไปธดุ งคท่ใี ดกไ็ ป แตกอ น ๆ มีอยางนนั้ เม่ือ
หลวงปมู ัน่ ทา นขยันภาวนา ทานไมเอาอยางนนั้ ใกลจ ะเขาพรรษา ก็
ใหจัดเสนาสนะ ไมตองเอาหรหู รา เอาพอกันแดด กนั ฝน กันลม เปน
ท่ีจาํ พรรษา ชวั่ ระยะไตรมาสสามเดือน ใหญาติโยมมาปลูกกระตอ บ
กฏุ ิพระอาจารยม ่นั ภูริทัตตเถระ (พระอาจารยพักทน่ี ี่ประมาณป ๒๔๘๖) ณ วัดปา บานนามน
(วดั ปา นาคนมิ ติ ต) ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร เปนกุฏิเกา สมยั หลวงปูมั่น ได
รับการซอ มแซมบูรณะใหคงสภาพเดมิ วดั น้ีเปนทกี่ าํ เนดิ โอวาท “มุตโตทยั ” ของพระอาจารย
ม่ัน ภูรทิ ัตตเถระ
๙๗
ปลูกกฏุ ินอยใหอ ยู มศี าลาโรงฉัน มุงหญา มุงคาก็พอแลว ทนี เี้ ม่ือทาน
มาววิ ฒั นพ ัฒนาการมาได สมัยน้ี ทางภาคอสี าน ถา ไปทไี่ หนกจ็ ะมีวัด
ปา อยางวานแ้ี หละ แบบงาย ๆ แตสมยั น้ีกแ็ บบใหญโ ตมากขนึ้ มาแลว
ลําบากหนอย ถา ออกพรรษาแลว ทา นกพ็ าเดนิ จงกรม พาไปธดุ งค ไม
ใหอยู ไปหาทภ่ี าวนา ทภี่ เู ขา ทถ่ี าํ้ ทีว่ ิเวกทไ่ี หนมีกไ็ ปเจริญภาวนา ไมให
ไปมาก ไปองคสององค เพื่อจะไดปฏิบตั บิ ชู า ภาวนาจรงิ ๆ เมือ่ ขดั ขอ ง
อยางไร ก็มาหาทา น มาหาครบู าอาจารย ใหแ นะนาํ ตักเตอื นแกไ ข ใน
ชว งชวี ติ ของทา นน้ีแหละ ก็เรียกวา เจริญรุง เรอื งขึ้นมาได ใหช อ่ื วา พระ
วดั ปา หรอื พระกรรมฐาน พระธดุ งคท ่ัวไป หรอื อยางเชยี งใหม แตก อน
ยงั ไมมพี ระกรรมฐาน พระธดุ งคก ข็ ยายไมอ อก พระทางวัดบา นเขาไม
กุฏพิ ระอาจารยม นั่ ณ บาน หวยหบี ใกลว ดั ปาหวยหบี ใกลวดั ปาบานนามน
(พระอาจารยพกั ทนี่ ีป่ ระมาณป ๒๔๘๖ เวลาใกลกบั บา นนามน)
๙๘
ยอม ไมย อมใหม ี กลวั จะไปทาํ ลายลาภสกั การะของเขา แตเ มอ่ื หลวงปมู น่ั
และลูกศษิ ยห ลวงปูมั่นมา มันกข็ ยายออกไปได มวี ดั ปากรรมฐานมาก
วดั ตอ ไป นแ้ี หละ อาศยั หลวงปูมั่นทา นขยัน สมยั ทา นยงั มชี ีวิตจิตใจ
อยู ทา นไมทอถอย ภาวนาในปา ในถํา้ ทวี่ ิเวก อีกอ มอเซอร ที่ไกล ๆ
สงู ๆ ภเู ขาสูงทีส่ ดุ ทา นกไ็ ปอยไู ด เพราะทานมีความอดทน ทานไมถ ือ
ความสุข ความสะดวกสบาย แมภ ูเขาสงู ขนาดไหน เวลาเย็น ๆ คํา่ ๆ
ทา นไปสรงนํ้า กจ็ ะเอาบ้งั ไมไผส ะพายลงไป ไมลาํ ใหญ ๆ ไมหก ไมซาง
นอกจากสรงน้ําแลว ก็จะเอาน้ํามาใช้ในที่พักอาศัย สะพายขึ้นมา
ถามีลูกศิษยท่ีจะชวย ถา ไมม ี องคทา นก็หมน่ั ขยันทาํ ได คือมีความ
เพียร ความหมัน่ ความขยนั เทา นั้นแหละ มนั ทาํ ไดทง้ั น้ัน คือทา นไมม งุ
เอาความสะดวกสบาย มงุ เอาประโยชน ทไ่ี หนก็ตามใหมที ภ่ี าวนา เดิน
จงกรม ปฏิบัตบิ ูชาภาวนา ใหไดเ ต็มทเี่ ตม็ ฐาน ทานเอาการปฏิบัตเิ ปน
หลัก ถาหากวาเกิดเจ็บไขไดปวย ทานกม็ กั สอนวา ไมใ หนอนมากเกิน
ไป ใหเดินจงกรมใหมาก นง่ั สมาธิภาวนาแลว ก็เดินจงกรม เดนิ จงกรม
แลวกไ็ หวพระสวดมนต นงั่ ภาวนา สลบั เปลีย่ นแปลงไป เมือ่ รา งกายจะ
ไดอยดู ีสบาย จะไดปฏบิ ตั ิภาวนาตอไป
อยางทีเ่ คยไดเ ลา วา ทานเดนิ จงกรมกอ นสองชัว่ โมง ข้ึนไหวพ ระ
สวดมนตน งั่ สมาธสิ องชั่วโมง ก็พอดสี ่ีทมุ สท่ี ุมทานกจ็ าํ วดั จําก็อยูใน
ส่ชี ่วั โมงเทานน้ั แหละ ตสี องทา นก็ลกุ ขน้ึ มาเดินจงกรมสองชวั่ โมง นัง่
สมาธิ ไหวพ ระสองชวั่ โมง กพ็ อดแี ลวสวา ง ไปบณิ ฑบาต อนั นน้ี บั วาทาน
ทาํ ได เรากใ็ หต ัง้ ใจขึ้นมา มีขาสองขาเหมอื นทาน มมี อื สองมอื เหมือน
ทาน มีตาสองตา มหี ูสองหู มีจมกู สองปลอ ง มกี ายมีจิตเหมอื น ๆ
๙๙
กบั ทาน ทานทาํ ได เรากท็ าํ ได โดยเฉพาะแลว ตองการละกิเลส ความ
โลภ ความหลง กิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในจิตใจของเรา ใหมันเบาไป
บางไปหมดไปสน้ิ ไป ไมใ ชเพ่มิ ขนึ้ ธรรมดาหลวงปูม นั่ สมชื่อ ชอื่ ก็ม่ัน
มั่นคง เวลาทา นทําอะไรก็มน่ั คง หนักแนน ไมท อถอย มจี ิตใจแนว แน
เดด็ ขาด ดูรปู ท่ีทา นยนื ใหเ ขาถา ยนะ ถามองแสงตาดูสายตาของทาน
จิตใจแขง็ ไมย อทอ ไมกลัว ทนี ้ลี กู ศษิ ยสมยั น้ี เมอ่ื ยังมชี ีวติ อยอู ยา งน้นั
ไมค อยมีใครจะไปอยใู กลแหละ ถา ทําไมถ กู ทานก็ไลห นี ไลไป ไมใหอยู
คอื ทานตองการผตู งั้ ใจปฏิบัติ ไมใชเ พียงแตวา จะอยูส บาย ไมภาวนา
ไมล ะกเิ ลส หลวงปมู ่ันทา นภาวนา ทานละกิเลส ทา นมคี วามหม่นั
ความขยัน เดนิ จงกรม ไหวพ ระสวดมนต นงั่ สมาธิ กรรมฐานภาวนา มี
กจิ วตั รอันใดเกดิ ขน้ึ ทานกท็ ําได
อันเราทกุ คนท่ีเกิดมา สุดทา ยแลวกใ็ หตง้ั อกต้ังใจภาวนา ภาวนา
อยา งเดียว นั่งสมาธอิ ยา งเดียวกไ็ มพ อ ใหเดินจงกรมบา ง การเดนิ
จงกรมนนั้ เปนการเปล่ยี นอริ ยิ าบถ น่ังนาน ๆ แลว ยืน ยนื นาน ๆ แลว
ก็เดนิ เดินกลับไปกลบั มา ภาวนาพทุ โธ ในใจ ตง้ั ใจอยูเสมอ ไมย อมอยู
ใตอ าํ นาจกิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง พยายามฝกฝนจติ ใจ
ของตน ใหม คี วามแกก ลา สามารถ ในการทีจ่ ะประพฤติปฏบิ ัติตาม
พระธรรมวนิ ยั คาํ สอนของพระพทุ ธเจา ในสมยั เมอ่ื หลวงปมู น่ั ทา นยงั อยู
ความเจริญรงุ เรืองในทางปฏบิ ัติบูชา จึงมีมาก เมื่อทา นลวงลบั ไปแลว
ลกู ศษิ ยภ ายหลังก็ไมข ยนั เหมือนทา น อันนี้เราตองต้งั ใจขน้ึ มา มันอยทู ่ี
ความต้ังใจของผูป ฏบิ ตั ิ เมือ่ เรานึกถึง พทุ โธ คณุ ของพระพุทธเจา ใน
๑๐๐
พุทโธ คณุ ของพระพุทธเจา นั้นแหละ พระธรรมก็มีอยูน ัน่ พระอริยสงฆ
สาวกก็อยูท ีน่ ่นั คณุ ครูบาอาจารยกอ็ ยทู ่ีน่ันพระสงฆส าวกองคอ รหันตา
ก็อยูทน่ี ่นั พุทโธ พระพทุ ธเจานนั้ แหละ กวาจะไดถ งึ คาํ วา พุทโธ
จะตอ งภาวนาปฏิบัตบิ ูชา เอาจรงิ เอาจัง ไมใ ชป ลอยไป เหมอื นตกไปใน
กระแสนาํ้ ทาํ ใหน ํา้ ไหลไปไมได ผูภ าวนา ผูปฏบิ ตั ธิ รรม ในทวนกระแส
ทวนกระแสใจของตนเองอยูตลอดเวลา ธรรมดาใจกเิ ลส มนั ไหลไปสู
ทางตํา่ เหมอื นฝนทต่ี กลงมาจากฟา มาบนภเู ขา ไหลลงมาเปนหวย
เล็กนอย ไปรวมกันเปน แมนาํ้ ลําธาร ใหญโ ตกนั ขึ้นไปเปน ลําดับ นาํ้
นน้ั กจ็ ะไหลลงไปสูท ะเล มหาสมทุ ร ธรรมดานํ้าไหลลงไปสทู ่ีตํา่ ฉันใด
ใจคนเราทุกคนนัน้ ถา ไมม กี ารปฏิบัติบูชา ไมม ภี าวนา ไมม ีทาน ไมม ี
ศลี ไมม สี มาธิ ไมมีปญ ญา จติ ใจมนั จะไหลไปสทู างต่ําเสมอ คาํ วา
ตํา่ เต้ยี คอื ไหลลงไปสทู างตํ่าคือกเิ ลส กเิ ลสมันอยูที่ไหน ใจมนั กไ็ ปขอ ง
แวะอยใู นกเิ ลสความโกรธ ความขดั เคอื งนัน้ กิเลสความโลภ หรอื วา
ราคะตัณหา เม่ือมนั เกิดขน้ึ ในจิตใจแลว มันกไ็ หลไปสทู ตี่ ่าํ ถา ใครทํา
ตามอํานาจกเิ ลส ความโกรธกด็ ี ความโลภก็ดี ความหลงก็ดี ไมมีทางท่ี
จะดขี ึ้นมาได มีแตจะเสื่อมเสีย จติ ใจมนั ตกตาํ่ ไป ไมสูงขน้ึ
จงึ มีการระลกึ ถึงพระบรมครูศาสดาจารยสัมมาสัมพุทธเจา ของ
เราทัง้ หลาย นบั ตงั้ แตพระองคต ้งั ปณธิ านความหมายมั่นปน ใจ วา จะ
บาํ เพญ็ บารมี ใหไดตรสั รูเปนพระศาสดาสัมมาสมั พทุ ธเจาขึ้นในโลก
จะบาํ เพญ็ ทาน ศลี ภาวนาใหเต็มท่ี จนใหเตม็ เปย มในหลกั ท่สี อ่ี สงไขย
แสนมหากปั ตงั้ แตน้ันมา พระองคกไ็ มม ีความทอถอยประการใด ไม
วาจะมาเกิดเปนคนทุกขไ รอนาถา แมย ังเปนสตั วส ่งิ เดรัจฉานอยูกต็ าม
๑๐๑
เมื่อถึงวนั พระวนั ศลี จะเปน นกเขานกกระทาเปน สตั วอะไรก็ตาม ทา น
ก็รกั ษาศลี รกั ษาศีลหา รักษาศลี แปด ยงิ่ ถา มาเกิดเปนมนุษยเ ปนคน
แลว ย่ิงเอาใหญ ทาน ศลี ภาวนา ทานบาํ เพญ็ อยูต ลอดกาล ดว ยอํานาจ
จิตใจทานไมท อ ถอยนน่ั เอง แมแตเกิดมาตายอยใู นโลก สอ่ี สงไขยแสน
มหากปั นาํ้ พระทยั ในพระพทุ ธเจา ก็แข็งแกรง แกลวกลา สามารถ ได
ตรัสรูพระอนุตตรสัมมาสัมโพธญิ าณ ตัดกเิ ลส ขาดสะบน้ั หั่นแหลก เปน
พระพุทธเจา เปนพระสมั มาสมั พทุ ธเจาขึน้ ในโลก แลว กย็ ังมเี มตตา
การุณยแกมนุษยแ ละเทวดาอนิ ทรพ รหมท้งั หลาย ชวยมนุษยคนเรา
กุฏพิ ระอาจารยม ่ัน ภรู ิทัตตเถระ ท่ี วดั ปา บา นหนองผอื (วดั ปาภรู ิทัตตถริ าวาส)
ต.นาใน อ.พรรณานคิ ม จ.สกลนคร เปนท่พี กั ทพ่ี ระอาจารยม ่นั อยจู าํ พรรษานานทีส่ ุดคอื ใน
ป พ.ศ. ๒๔๘๘- ๒๔๙๒
๑๐๒
แมพระองคท า น มชี ีวิตไมถึงพวกเราทั้งหลาย ทานกย็ ังวาง
พระพุทธศาสนาประดษิ ฐานไวหาพันป ศาสนาของพระองคจึงจะหมด
จากโลกนี้ เวลานี้ก็ลวงไปแลว ๒๕๒๖ ปน ี้ กน็ บั วาเราทกุ คนยังเปนผู
โชคดีอยู เราเกดิ มาภพนชี้ าตนิ ี้ กย็ งั ไดเ ขาสูพ ระพุทธศาสนา ยงั อยใู น
เขตขา ยศาสนาของพระองค แลวเราทกุ คนกจ็ ะไดร ีบเรง ปฏบิ ตั ิบูชา
ภาวนา สรางคุณงามความดีตาง ๆ ใหเกดิ มีขึน้ เพราะการอยากไดดี
นั้น มันก็มีอยูท ุกหัวใจ มีอยูทุกคน แตมันจะดไี ดต อ งอาศัย ปฏิบัติบูชา
ภาวนา ปฏบิ ัตบิ ูชาภาวนานห้ี มายความวา ลงมอื ลงมือทาํ ลงมอื ปฏิบัติ
ลงมือใหทาน ลงมอื รักษาศลี หา ลงมือรักษาศลี แปด ขน้ึ ไป ลงมอื
ทองบน สาธยายคาํ สอนของพระพุทธเจา ลงมือไหวพ ระสวดมนต
ตามกาลเวลาของหมขู องคณะแลว กน็ ง่ั กรรมฐานภาวนาอยา ไปบน วา มนั
เจ็บ เปนน่นั เปน น่ี ไมตอ งวา ถงึ จะไปบนให ก็ไมห ายเจบ็ ถา มนั หนาที่
มันตอ งเจ็บมันกเ็ จบ็ ธรรมดารปู รา งกายน้ี ธาตดุ นิ ธาตนุ ํา้ ธาตุไฟ
ธาตลุ ม จะไมใหม นั ไมเ จบ็ ไขไ ดปวย มันเปน ไปไมได หรอื วา เกิดมา
แลว จะเยยี วยาพยาบาล ไมใหม ันแตก มันตายกไ็ มไดอ ีก ในทางท่ดี ี ท่ี
เหมาะท่ีสมชัว่ ชวี ิตของเราทีย่ ังมอี ยู
พระพุทธเจาทา นตรัสวา อยา ไดทอ ถอย บาํ เพญ็ ภาวนา รกั ษา
ศลี ของตนใหบ ริสุทธิ์ อนั ศลี บรสิ ทุ ธ์ินน้ั จะไปเพงเล็งเอาตามสกิ ขาบท
วินยั ก็ไมคอ ยเต็มทเ่ี ทาไหรนกั คาํ วา ศลี บรสิ ทุ ธิท์ ุกคร้ังทเี่ ราน่งั สมาธิ
ภาวนา นั่งสมาธเิ สร็จแลว เรากน็ ัง่ ภาวนาทกุ คืน ระยะเดยี๋ วนี้กต็ าม
ระยะตอ ไปก็ตาม ตลอดระยะที่เรานัง่ ภาวนาอยู ในขณะน้นั แหละ
ใหถือวาศีลของเราบรสิ ทุ ธิ์ สมาทานศลี ในใจ คาํ วา ศีลบริสทุ ธิ์ เรา
๑๐๓
นัง่ บริกรรมภาวนา พุทโธ อยใู นใจ ไมไ ดไปฆาสัตวท ีไ่ หน ไมไ ดไ ปลัก
ขโมยใคร ไมไ ดป ระพฤติผิดในกาม ไมไ ดกลา วมสุ าวาท ไมไดดืม่ กนิ
สุราเมรยั เปนตน ขนึ้ ไป น่นั แหละถอื วา เวลาปจจุบนั น้ันแหละ ศีลของ
เราก็บรสิ ทุ ธิ์ สมาธิกต็ ัง้ ใจใหม นั่ คง ไมต อ งหลงใหลไปกับคนสตั ว วัตถุ
ทานทง้ั หลาย ตัง้ ใจภาวนา พุทโธ หรืออบุ ายใด ถูกกับจริตจติ ใจเรา ก็
ใหนึกอุบายน้นั เมอื่ นกึ อุบายอน่ื ๆ มันยงั ไมสงบ ก็อยาลมื อบุ ายคําวา
ความตาย ความตายน้นั เปน ยอดธรรม ถาผูใดนกึ ถึงความตาย จติ ใจ
ยังประมาทอยู ยงั เขา ใจวา เราไมต ายไมได ความตายนัน้ ไมมีใครไป
แกไ ขได ความตายมันไมใ ชวา แกชราไปมาไมไ ดแลวมนั ตาย เกาสบิ ป
กวาหรอื รอยปมันจงึ ตาย ไมใ ชอยา งนัน้ มนษุ ยค นเราและสตั วท งั้ หลาย
เกิดมาแลว ความตายไมม เี วลา นง่ั อยดู ี ๆ กต็ าย ไปรถไปเรอื ก็ย่งิ ตาย
เร็ว เม่อื มันเกิดอุบตั ิเหตุขึ้นมา ความตายน่ใี กลทีส่ ดุ ถา เราไมภ าวนา
ปลอยปละละเลย มีแตจติ ประมาท ก็คิดเอาเอง หมายเอาเองวา เราคง
ไมตายงา ย ๆ ความจรงิ แลวความตายน้ีเรว็ ทส่ี ุด เวลามาถงึ เขา แทบจะ
รไู มท ัน ปบุ ปบกต็ ายไปเลย
ทางที่ดี เราตอ งรีบทํารบี ปฏิบตั ไิ ว จะภาวนาขอ ใดส่งิ ใด ก็ใหเรมิ่
ขึน้ ตง้ั แตเด๋ียวนแ้ี หละ จิตยงั ไมส งบ ก็เอาใหมนั สงบ จิตยังไมต้งั มั่น เอา
ใหมันต้ังมั่น จิตมนั ยังไมแจมแจงชัดเจน เอาใหมันแจม แจง ชัดเจน จน
กระทัง่ จิตใจน้นั แหละ เกิดความรคู วามฉลาด ความสามารถอาจหาญ
ตัดบวงหว งอาลัย กิเลสตัณหาใด ๆ ทเ่ี คยยดึ ม่นั มาก็คลีค่ ลายออกไป
ยังจติ ใจใหต ั้งมนั่ ในธรรมปฏบิ ัติ ทนี ้เี มอ่ื จิตใจสงบระงับ ตั้งมั่นดีแลว
๑๐๔
ภัยอนั ตรายใด ๆ มนั เกิดข้นึ มา ตามธรรมดาธรรมชาติ ผูภาวนาก็
จะตอ งรูเทา ทนั ไมใ หอาํ นาจฝายต่ํา มาทบั ถมจิตใจของตน จงนกึ ถงึ
พระบรมศาสดาจารย พระสมั มาสัมพทุ ธเจา ทเี่ ราเจริญอยวู า พทุ โธ
พุทโธ นน่ั แหละคอื วา องคพระพุทธเจา
องคพ ระพุทธเจา ไมมสี ะทกสะทาน ยา นกลัวตอ ภัยอนั ตราย
เพราะวาจิตของทา นบรสิ ทุ ธิ์ หลดุ พนจากกเิ ลสแลว ทา นไมม ีความ
ยุงยากใด ๆ ในหัวใจของทาน ทานเลิก ทา นละ ทา นปลอย ทานวางได
หมดแลว กิเลสความโกรธทานกไ็ มมีในจิตของพระพุทธเจา กิเลสความ
โลภความอยากไดอ ยา งคนเราธรรมดา ทา นกไ็ มมี กิเลสความหลง
หลงตามตน หลงตามสัตว ตามวัตถธุ าตทุ ้งั หลายก็ไมห ลง จติ ใจของ
พระพทุ ธเจา จงึ แจง สวา งกลายมาเปน รศั มหี กประการ อนั พระสมั มาสมั พทุ ธเจา
ทุก ๆ พระองค เมือ่ มาตรสั รใู นโลกแลว มีรัศมีสสี นั วรรณะหกอยา ง
ขา งละวา ขา งละวา พระองคเ สด็จไปไหน ไมตองจดุ ไฟ ไมต องมีไฟฉาย
เทียนไข มนั สวา งในตัว พระองคน งั่ อยู พระองคน อนอยกู ต็ าม เสดจ็
ไปไหนท้งั กลางคนื กลางวนั จะมีรศั มีหกประการตามไป ซง่ึ คนทง้ั หลาย
ตลอดจนถงึ เทวดาอนิ ทรพรหมไดรูไดเ หน็ ก็เขา ใจทเี ดียววา นั่นท่ีมรี ัศมี
หกประการนนั้ แหละ คือพระศาสดาสมั มาสมั พุทธเจา กราบไหวบ ชู าได
สนิทใจ ทเี่ ปนเชนนนั้ กด็ วยอํานาจทานบารมขี องพระองค ดวยอาํ นาจ
ศีลบารมีของพระองค ดว ยบารมีสบิ ประการ ดว ยบารมีสามสิบทศั
ทพี่ ระองคบ ําเพญ็ มาครบถว น ทกุ สวนทุกประการนัน่ เอง จติ ใจกด็ ี
กายกด็ ี ความทกุ ข ความเดอื ดรอนตา ง ๆ นานา ในจิตใจ เปนอนั วาไมม ี
๑๐๕
สบาย ทานก็ไมไ ปยดึ ไปถอื เอา เมอื่ ไมสบายทา นก็ไมไปยึดไปถอื เอา
กิเลสความโกรธ โลภหลง ทานสลดั ทิ้ง ทา นฆา มนั ทิง้ มันตายไป
หมดแลว ไมมกี เิ ลสความโกรธใหใคร ไมม กี เิ ลส ความโลภอยากได
สมบัตพิ สั ถาน ในโลกนี้ มกี ิเลสความหลง จะหลงอยใู นรูป ในนาม
ในกาย ในจติ เหมอื นคนเราธรรมดาไมมี นํ้าพระทัยในพระพุทธเจา จงึ
ชือ่ วา แจงสวาง
สาวกทั้งหลาย พวกเราท้งั หลาย จึงไดน อ มนึกรําลกึ เอา พุทธคณุ
คาํ วา พุทโธ พระพุทธเจา มาผกู จติ ผกู ใจของเรา นอมนกึ รําลึกอยูใน
ตัวในใจของเรา ไมวานงั่ กน็ กึ ถึงคณุ พระพุทธเจา จติ ใจก็เย็นสบาย ไม
ทกุ ขไมร อน ยนื ไปทไ่ี หน เดนิ ไปที่ไหน กร็ ะลกึ นกึ เอาพระพทุ ธเจาเปน
ลานจงกรม พระอาจารยม ัน่ ภูริทัตตเถระ วัดปา บา นหนองผือ
๑๐๖
อารมณ จติ ใจทเี่ ตม็ ไปดวยกเิ ลส ความโลภ ความหลง ไมใ หมใี นใจนี้
พทุ โธ พระพุทธเจา มาอยูใ นกาย ในใจ ในวาจาของเราไดทุกเวลา
ดว ยอาํ นาจคุณพระพุทธเจา คุณพระศรรี ตั นตรัยนแ้ี หละ พุทธบรษิ ัททั้ง
หลาย ที่ยังนึกยังเจริญ ถงึ คุณของพระพุทธเจาอยู ภยั อนั ตรายตาง ๆ
ก็ไมเกิดมีขึ้น แมวาจะเกิดมีขึ้นก็นอยเบาบาง ดวยเดชานุภาพของ
พระพุทธเจา ดวยเดชานุภาพของพระธรรม ดวยเดชานุภาพของ
พระอรยิ สงฆ จติ ใจของผเู จรญิ อยกู ม็ แี ตค วามสขุ กม็ แี ตค วามเยน็ มแี ตค วาม
สบาย ไปไหนอยไู หน กไ็ มม ภี ยั อนั ตราย มีแตความสขุ กายสบายใจ
ไมเ ดือดเนื้อรอ นใจประการใดแลว วา บําเพ็ญภาวนาปฏิบตั ิบูชาในจิตใจ
ของตนไดทกุ เวลา
ไมวาจะอยใู นเพศพนั ธวุ รรณะใด ๆ กต็ าม เม่อื จติ ใจตง้ั ไดก็นกึ
ภาวนาได รวมเอาจิตใจของตนได อยูทไ่ี หนก็มคี วามสขุ ไปท่ไี หนก็
มีความสขุ ความสบาย เร่ืองเดือดเนือ้ รอ นใจยอมไมมี เพราะไดต้งั ใจ
ปฏบิ ัติ บูชาภาวนา นึกนอมถึงคณุ พระรัตนตรัยอยู จิตใจทเี่ ศราหมอง
ขนุ มัว เดือดรอนวุนวายก็จะหายไป จะเปนจติ ใจที่มี ความหนกั แนนใน
ธรรมปฏิบัติ อยูที่ไหน ไปท่ไี หน นัง่ นอนยนื เดนิ อยทู ใี่ ด เมื่อยังไมห ลบั
ก็ภาวนาได ปฏิบตั บิ ชู าทาํ ความดีไดต ลอดไป เวน เสยี แต นอนหลบั
นอนหลับไปแลวกแ็ ลว ไป ต่ืนขึ้นมา รูสกึ ตวั รสู กึ ใจขน้ึ มา กต็ ้งั อกต้ังใจ
ปฏิบตั บิ ชู าภาวนา รวมจติ รวมใจใหม าสงบตั้งม่ัน ในธรรมะปฏิบตั ิ เรียก
วาจิตใจดวงผรู อู ยูเห็นอยู มอี ยูในตัวในใจน้ัน ไมไ ดหลง ไมไดลมื วนั
ไหนคนื ไหน เวลาใดกต็ าม เรยี กวา ตั้งอยูเสมอ เจรญิ ข้ึนมาในจติ ใจของ
ผูปฏบิ ัติน้นั ท่ที านวาภาวนาใหไ ด ทกุ ลมหายใจเขาออก ลมเขา ไปลม
ออกมา ก็ภาวนาไดอยู ไมหลงไมล มื หรือวา เมือ่ เราแกเฒา ชราถึงขน้ั
๑๐๗
แตกดับ จะตายหนีจากโลกน้ี จติ ใจดวงท่ีภาวนามาจนมหี ลกั ฐานอยูใน
ใจในตวั นนั้ จะเปนทพี่ ึง่ พาอาศยั ได ท้ังในโลกน้ี โลกหนา โลกใดกต็ าม
บญุ กศุ ลที่ตนประกอบกระทาํ อยเู นืองนติ ยต ดิ ตอ กันไปอนั นแ้ี หละ จะ
พาใหจ ิตใจของเราเดินตามทางถูก ไปทางสวรรค เทวโก พรหมโลก ไป
สูทางนิพพาน ไมม าหลงใหล ตดิ ของพัวพนั อยูตามอาํ นาจ กิเลส จงึ
เปนขอ วัตรปฏิบตั อิ ันสําคญั ยงิ่ ในทางพุทธศาสนา ทีเ่ ราทกุ คนทกุ รปู
ทุกนาม จะตองตงั้ อกตัง้ ใจปฏบิ ัติบชู าภาวนา ไมใ หจติ ใจทอแท ออนแอ
ศาลาแสดงธรรม ณวดั ปาบา นหนองผือ พระอาจารยมนั่ ภรู ทิ ัตตเถระ ใชเปน ทแี่ สดง
ธรรม แกพทุ ธบริษัท และเปน ทอี่ บรมวางกฏเกณฑใ หแกพระกรรมฐาน และไดแสดงโอวาท “มุต
โตทยั ” ตอนท่สี อง ทน่ี ี่เปนทกี่ ําเนดิ โอวาท มตุ โตทัยตอนที่สอง ของพระอาจารยม่นั ไดบันทกึ
จากในศาลาน้ี
๑๐๘
ในดวงใจประการใด พระพุทธเจาเตือนวา ใหภ าวนาจนกระท่งั ไดท กุ ลม
หายใจเขา มคี วามสงบระงบั เม่ือความสงบระงับ บงั เกดิ มขี น้ึ ได ก็จะ
ตองเขาสูค วามรูแ จง เห็นจรงิ ในธรรมะปฏิบตั ิ เมอื่ จติ ใจรูแลว วา รปู นาม
นีไ้ มเ ทยี่ งจรงิ ๆ เปนทุกข รปู นามกเ็ ปนทุกข รปู นามไมใชต ัวตน สังขาร
ทงั้ หลายมีความไมเ ท่ยี งแทแ นน อน จิตใจกจ็ ะไมว ุนวายเล่อื นไหลไปอยู
ใตอาํ นาจกิเลส ส่ิงใดไมด ีกเ็ ลกิ ละออกไป ส่ิงใดดี มปี ระโยชนไ มมีทุกข
โทษประการใด ก็ใหริเริ่มทาํ แลววา ภาเวตัพพธรรม รบี ทาํ ใหเกดิ ใหม ี
ข้ึน อยา ไปมัวรอทา คนโนน คนนอ้ี ยไู มไ ด ใครกต็ ามพระพทุ ธเจาตรัสไว
สงั่ ไว สอนไวแ ลว ใหเ ราทกุ คนจงรีบเรงภาวนา ทําใจใหสงบต้งั มน่ั
เมอ่ื จิตใจสงบตง้ั มนั่ แลวก็ใหนอมนาํ คําวา หลัก อนจิ จงั ทุกขงั อนัตตา
สอนจติ ใจของเรานี้อกี ทหี นึ่ง เม่ือใจน้มี ารจู ักรูแจงรูจรงิ อยภู ายในวา ใน
โลกน้ีจะไปเกดิ ที่ไหน อยทู ไ่ี หนกต็ าม มันจะตองตกอยูใ นความไมเทีย่ ง
แทแนนอน แลว กเ็ ปน เร่ืองทุกขดวย การมชี วี ติ จติ ใจอยใู นโลก ถาไม
ภาวนาละกเิ ลส ถา ตัง้ ใจภาวนาละกิเลสใหมันหมดไปส้นิ ไป จิตใจมอง
เหน็ กเิ ลส ตณั หา มานะ ทิฐิ อยู การเพยี รละกิเลส ตัณหา มานะ ทฐิ ิ
อันมอี ยใู นตวั ในใจนั้นแหละ ใหมันหมดไปสิ้นไป จนรแู จง พระนพิ พาน
ดวยตนเอง จติ ใจของบุคคลผนู ัน้ กจ็ ะเปนไปเพอื่ ความเจริญงอกงาม
อยทู ่ไี หนไปทไ่ี หนก็เจริญ เจรญิ รงุ เรือง เกิดความรคู วามสามารถ
อาจหาญข้นึ มาในจติ ใจ จติ ใจกย็ อ มผองใสสะอาด เรียกวา ใจเย็นใจ
สบาย ใจเปนดวงหนง่ึ ดวงเดียว เพราะผปู ฏิบตั ทิ ้งั หลาย ภาวนา พทุ โธ
อยูในหวั ใจ ไมป ลอยปละละเลยใหใจฟงุ ซา นราคาญ อยใู ตอ าํ นาจกเิ ลส
เมอ่ื จิตใจมีความสงบตงั้ มน่ั อยใู นธรรมะปฏิบตั ิ กม็ ีความสุขจติ สุขใจ
๑๐๙
เมอื่ จิตใจมีความสุข ภายนอกมันก็สขุ ไดหมด เพราะวา จติ ใจ
มนั เปนนายกายเปน บาว ถาใจดกี ายวาจาจติ มนั ก็ดไี ปหมด ถา ใจเสยี
อะไรอะไรกเ็ สียไปหมด ใจทไ่ี มเ สยี ก็คือ ใจที่ภาวนา พทุ โธ อยูทุกลม
หายใจเขา ออก ฉะนัน้ เมือ่ วา ทา นทง้ั หลาย พากนั ไดย ินไดฟงแลว ก็
ใหก าํ หนดจดจํา นาํ ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ก็คงไดรับความสุขความเจรญิ
เอวังก็มดี ว ยประการฉะนี้
สพั พตี โิ ย ววิ ชั ชนั ตุ สัพพะโรโค วินัสสะตุ
มา เต ภะวตั วันตะราโย สุขี ทฆี ายโุ ก ภะวะ
อะภิวาทะนะสลี สิ สะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
จตั ตาโร ธัมมา วัฑฒนั ติ
อายุ วัณโณ สขุ งั พะลงั ฯ
๑๑๐
ปฎบิ ัติตามพระพทุ ธเจา
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธสั สะ
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สมั พทุ ธัสสะ
ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา
พระองคนัน้
ณ โอกาสนี้เปน โอกาสฟง ธรรม เปนโอกาสปฏบิ ตั ิธรรมะไป
ในตวั ดว ย การปฏบิ ตั ิน้นั คือวา การกระทาํ ตามที่พระพทุ ธเจา ทรงตรัส
ทรงชแี้ จงแสดงไว องคพระพทุ ธเจา ของเรานั้น วนั ที่พระองคจะได
ตรสั รเู ปน พระพทุ ธเจา พระองคน ่ังขดั สมาธภิ าวนา ท่วี านั่งขดั สมาธิ
เพชรคอื พระองคเอาขาซายขึ้นมาทบั ขาขวา แลวกเ็ อาขาขวาขึ้นมาทบั
ขาซาย มือขางขวาวางทบั มือขางซา ย นงั่ ใตตน โพธ์ิหนั พระพักตรไ ปทาง
ทิศตะวันออก เมื่อพระองคนั่งขัดสมาธิเพชรเรียบรอยแลวพระองคก็
ตัง้ สตั ยอธิษฐานในจิตใจของพระองคว า การน่งั สมาธภิ าวนาครั้งนี้จะ
ใหเ ปนคร้งั สดุ ทาย จะใหไ ดต รสั รเู ปน พระพทุ ธเจา เปน จดุ ใหญส ําคญั
ถาหากวา ไมไดตรสั รกู ็จะไมล ุกไปมาในทีใ่ ดๆ ทงั้ หมด จะนัง่ อยทู ีน่ ใี่ ห
เปนทตี่ าย พดู งายๆอยางน้นั เมอ่ื วาพระพทุ ธเจาต้งั สัจจะอธษิ ฐาน
ลงไป วาจะไมห วัน่ ไหวไปตามอา๑รม๑ณ๑กเิ ลส กเิ ลส ราคะ โทสะ โมหะ
สงั ขารมาร กเิ ลสมาร อะไรทง้ั หมดจะไมห วน่ั ไหวไปตามเรอ่ื งอะไรทงั้ หมด
แมเ ลอื ดเนอื้ เชอ้ื ไขจะเหือดแหง ไปเหลอื แตหนงั หุม กระดกู ก็ตามที จะ
ไมล ุกหนีจากการน่ังสมาธิภาวนานเ้ี ปน อนั ขาด เวน เสยี แตไดตรสั รเู ปน
พระสัมมาสัมพุทธเจาเทานั้น อันนี้คือวาพระพุทธเจากอนจะไดตัด
จากกิเลสตัณหา มานะทิฐิในโลกใหขาดลงไปไดนั้น มีจิตใจอันสูงสง
แนวแน มน่ั คงทสี่ ดุ เรียกวา เด็ดขาดลงไปไมมีความทอ แท ออ นแอใน
หวั ใจประการใด รวบรวมกําลังจิตกาํ ลังใจของพระองคเ ต็มที่ ยกจิตใจ
สูงสง เมื่อพระองคนั่งขัดสมาธิภาวนาเสร็จเรียบรอยแลว พระองค
๑๑๒
ก็เลือกอุบายภาวนาวาจะเอาอุบายใดเปนอุบายภาวนา พระองคก็
กาํ หนดไดวา ลมหายใจเขา ออก เปน อบุ ายภาวนาดที สี่ ดุ ลมน้ีมันผาน
เขาไป สูดเขา ไปเบ้อื งรา งกายก็ผา นดวงใจเขา ไป เวลาลมออกมากผ็ าน
ดวงจติ ดวงใจ ดวงจิตดวงใจคอื จิตผรู อู ยู พระองคต ง้ั สติระลกึ เต็มท่ี
ใจกม็ ั่นคง ไมป ลอยปละละเลยเหมือนแตเ กา พระองคทาํ สําคญั อยูว า
นเ้ี ปน ลมหายใจเขา นเ้ี ปน ลมหายใจออก อยทู กุ เวลาไมใ หจ ติ คดิ ฟงุ ซา น
ไปที่อืน่ ทกุ ลมหายใจเขา ทุกลมหายใจออก พระองคจ ดจอ อยใู น
ดวงจิต ดวงใจผูรขู องพระองค สงั วรระวงั รกั ษาตงั้ ใจกําหนดอยูรูอ ยู
เห็นอยูซึ่งลมหายใจเขาออก คือวาเอาลมหายใจยึดเหนี่ยวไวไมให
คิดไปอยางจิตใจธรรมดา ดวยอํานาจพละกําลังในน้ําพระทัยใจ
พระพทุ ธเจา เช่อื วาทาํ จริง เอาจริง และในขณะท่ีลมหายใจเขาไป
ลมหายใจออกมา พระองคก็กําหนดมรณภัยคือ ความตายไวดวย
คนเราทกุ คนนนั้ พระองคเองก็เหมือนกัน คือลมหายใจนอ้ี อกไปแลวสูด
เขา มาไมไดกต็ าย หรือหายใจเขา ไปแลว ลมหายใจไปตดิ ขดั ออกมา
ไมไดก ็ตาย ในขณะเดียวกันกน็ ึกถึงความตายท่ีจะมาถึงองคข องทา น
แนว แนม นั่ คงใจไมหลงใหล ไมลืม ไมขาดสติสมั ปชญั ญะ น้าํ พระทัย
ใจพระพุทธเจา กส็ งบ ระงบั เปนขณิกสมาธิ เปนอุปจารสมาธิ เปน
อปั ปนาสมาธิ ที่วาจิตสงบตั้งม่ัน ไมอ อกไปภายนอก จิตใจดวงผูร ู
อยูเรยี กวา มัน่ คงลงไป ในจิตใจของพระองค ทุกลมเขา ทกุ ลมออกไม
ประมาทมวั เมา เอาจริงทีเดียว เมื่อจิตใจมน่ั คงหนกั แนน ไมโลเล ลงั เล
สงสัยแลว พระองคก ก็ าํ หนดรูปนามกายใจน้แี หละ วานามรปู ง อนิจจงั
นาม และรปู กายใจนไี้ มเ ทย่ี ง ท้ังภายนอกและภายในไมมอี ะไรเท่ียง
ทง้ั กายทั้งจิต หรอื ตลอดในโลกนจ้ี ะเปนพืน้ แผน ดนิ ทอ งฟาปาดงภเู ขา
๑๑๓
ดวงอาทติ ย พระจนั ทร ท่อี ยใู นโลกอันนก้ี ไ็ มเท่ยี ง ไมค งท่ีไมเปนอยู
อยา งนเ้ี มื่อหมดอายุขัยของแตละอยาง ละอยาง ก็ลงสคู วามไมเท่ียง
ความเปน ทุกข ความไมใชต ัวตนของบคุ คลผใู ดทั้งนัน้ เม่อื พระองคม า
กําหนดกาย วาจา จิต ของพระองค เหน็ แจง ทางหลกั อนิจจัง ทุกขัง
อนัตตา เกิดขึ้นดวยญาณ ดวยปญญา อันวิเศษ ละกิเลส ตัดกิเลส
ความโกรธ ความโลภ ความหลงไดเ ดด็ ขาด จิตใจของพระองคก ไ็ มม า
ยึดหนา ถอื ตา ไมมายดึ ตวั ถอื ตนยึดเรายดึ ของๆ เรา อีกตอ ไป จงึ มี
นามวา พระพุทธเจา ไดต รัสรูพระโพธิญาณไดตรสั รพู ระอนตุ รสัมมา
สมั โพธญิ าณ เปน สพั พญั พู ทุ ธะ เวลารแู จง โลกรแู จง ธรรมจติ อวชิ ชาตณั หา
มวั เมาอยใู นโลกนโ้ี ลกหนา โลกไหน ก็ไมม ใี นนํา้ พระทยั ใจพระพทุ ธเจา
จึงไดน ามวาพระสมั มาสัมพทุ ธเจา ไดอ บุ ัติบังเกิดขนึ้ ในโลกแลว ตรัสรู
เปน องคพ ระพุทธเจา ขึ้นมา เรียกวาพระองคถึงแลว ซ่งึ ความพน ทุกข
ถงึ นพิ พาน นาํ้ พระทัยใจพระองคไ มห วั่นไหว กเิ ลสมาร สงั ขารมาร
ก็ไมม า ทาํ ใหพ ระองคไ ดเ ดอื ดรอนตอไปอีก น้นั รูจากพระองคนง่ั
สมาธภิ าวนา แลวพวกเราทง้ั หลายกต็ องปฏบิ ตั บิ ูชา นัง่ สมาธภิ าวนา
จนกวา จิตใจจะไดสําเร็จมรรคผลถึงซึ่งนิพพาน ถา ยังไมเห็นแจง พระ
นพิ พานดวยตนเองจะมาหยดุ อยไู มได จะตองเดนิ จงกรม จะตอ งนั่ง
สมาธภิ าวนาทางรูปรา งกาย ไมวารางกายจะยืน จะเดนิ จะนงั่ จะนอน
จะไปมาท่ไี หน กภ็ าวนาทุกลมหายใจเขาออก เรือ่ ยไป จนกวาจติ ใจ
จะไดสงบ ระงบั ตั้งมนั่ เห็นแจง ในธรรมะปฏิบตั ิ เหน็ แจงในหลัก
อนจิ จัง ทกุ ขงั อนตั ตา จริงๆ ไมใชเพยี งเราจาํ ฟงกันเทานี้ เปน ความ
ทําในใจใหแ จงประจักษ จะเลิก ละ ตดั ปลอ ย วางกิเลส ความโกรธ
ไดเดด็ ขาด กิเลสความโลภ ความอยากไดในใจไดเดด็ ขาด กิเลส
๑๑๔
ความหลงในใจนัน้ ไดเ ดด็ ขาด เมอ่ื สาวกทง้ั หลายไดฟง ธรรมคําสอน
พระพทุ ธเจาทาํ ตามทีพ่ ระองค ทรงตรสั มีปญ จวคั คียทง้ั หา จงึ ไดส ําเร็จ
มรรคผล แสดงขันธท้งั ๕ ถึงรปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ วาไม
เท่ยี งเปนทกุ ข เปน อนตั ตา ไมค วรยดึ มน่ั ถือมน่ั ในธาตุ ในขันธ ในหนา
ในตา ในตวั ในตนน้ี ความจรงิ มันไมใ ชตวั ตนของเราเลย จิตมาหลง
ยึดเอา ถือเอาความสขุ ความทกุ ข จงึ บงั เกดิ มขี น้ึ ในรูปรางกาย สังขาร
นี้ ความหลง ความไมร ู เมอ่ื พระองคร แู ลวเขา ใจแลว ก็นาํ มาสอน
สาวก สาวกิ า ศรทั ธาญาติโยมทั่วไปใครมีบุญบารมี กาํ ลงั จิตใจพอจะ
รไู ด เขาใจ ไมเลือกวา คฤหสั ถและบรรพชิต ในสมยั ครง้ั พทุ ธกาลโนน
ทา นไดบรรลุมรรคผลเปนพระโสดา เปนพระสกทิ าคาเปนพระอนาคา
เปน พระอรหนั ตาสดุ ยอด
เช่อื วาสมัยโนน มรรคผลนิพพานเจรญิ รุงเรือง ไมเหมอื นยคุ เรา
สมัยเราที่มาเกิดนี้ เพราะวาสมัยทานเจริญ ดวยความสุขจิตสุขใจ
จิตใจไมม ีความโกรธ ก็เปนความสขุ จติ ใจไมมคี วามโลภก็เปน ความ
สขุ จติ ใจไมม ีความหลงไปตามอาํ นาจ กเิ ลส ราคะ โทสะ โมหะ ก็เปน
สดุ ยอดโลก เรียกวา สูงสดุ แหง ความสขุ ทัง้ หลาย การเจริญภาวนาใน
ทางพุทธศาสนานีจ้ งึ มีจุดหมายอยทู ต่ี รงนี้ แมจะเรียนธรรมคาํ สอน
ของพระพทุ ธเจา ถงึ แปดหมืน่ สี่พันพระธรรมขนั ธจ บ ถาไมมาปฏิบตั ิ
ภาวนา ละกิเลสในใจของตัวเอง ก็ไมรูเรื่องรูราวอยูนั่นแหละ ดังนั้น
พุทธศาสนาน้ีเปนศาสนาท่ีปฏิบัติตามพระธรรมวินัยท่ีพระพุทธเจา
ทรงตรสั ไวจึงจะเขาใจในพระพุทธศาสนาเพราะวาพระพทุ ธศาสนานน้ั
ถาหากวา ไมม พี ระศาสดาสมั มาสัมพุทธเจามาตรัสรเู สียกอ น แมมนุษย
๑๑๕
และเทวดา อนิ ทร พรหม คนท้งั โลก กไ็ มมใี ครสามารถทจี่ ะบกุ เบกิ ไปสู
นพิ พานได เพราะวา กเิ ลส ตณั หา มานะ ทฐิ ิของสตั วโ ลกนน้ั มนั ยึดไว
ถอื ไว ผกู ไว มดั ไว ไมใหไปทไ่ี หน ไปไมไ ด เมอ่ื ไดฟ งธรรมคําสอนของ
พระสัมมาสัมพุทธเจาแลว สาวกทั้งหลายไมวา หญงิ ชาย คฤหัสถ และ
นกั บวชทานไมน ง่ิ นอนใจ ลกุ ขึ้น เจรญิ ภาวนา ไมหลงใหลอยใู นความ
สุข ความทุกข อนั เปนธรรมดาโลกนี้ ทานลกุ ขนึ้ ภาวนาทาํ ใจใหสงบ
ต้งั ม่ัน จนพิจารณา เห็นแจง ในหลัก อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา ละกิเลส
ความโกรธ ความโลภ ความหลง หมดส้ินไป เหมอื นกับพระพุทธเจา
๑๑๖
เขาสูพระนิพพานได นี่แหละเปนสุดยอดแหงพระพทุ ธศาสนา สดุ ยอด
แหง การภาวนา ถายังไมเขาใจตอนนแ้ี ลว กไ็ ดช ่อื วา ยังไมเ ปน สาวกของ
พระพุทธเจา แมจะบวชกบ็ วชเพียงแตว า เปนสงฆ สมมตุ ิใหเปนพระแต
วาจติ มันยังไมเปน พระ จติ มันยังเปน คนอยู เปนสตั วอ ยูกม็ ี เมือ่ ใดตัว
เองต้ังใจชําระจิตใจน้ีใหบริสุทธิ์ผองใสสะอาดปราศจากมลทินโทษได
ดว ยสติปญ ญา วิชชา ความรภู ายในนัน้ จงึ จะเขา ถงึ พุทธธรรมคําสอน
ของพระพุทธเจาจริงๆ โดยวา ไมมีความสงสยั ในทาน ในศีล ในภาวนา
เมอื่ ไมม ีความสงสัยแลว ก็ ต้งั ใจปฏิบัตเิ รื่อยไป ไมว า วนั คนื เดือน ป
จะเปล่ียนแปลงไปอยางใดกต็ ามจิตใจของผูป ฏบิ ตั ินนั้ ไมมเี ปล่ยี นแปลง
มงุ หนา เดินหนาไปทา เดียว ตัง้ ใจบรกิ รรมภาวนาอยทู กุ ขณะ ทกุ เวลา
จนกระทั่งทุกลมหายใจเขา ออก ก็ภาวนาได มองเห็นภยั อนั ตรายท่จี ะ
มาถงึ ตนไดทุกลมหายใจเขา ทุกลมหายใจออก
นอมพระทัยใจพระสาวกเจาในทางพระพุทธศาสนาทานจึงรีบ
เรง เรงภาวนาปฏิบตั บิ ูชา จนไดส ําเร็จมรรคผลเห็นแจง พระนิพพาน
ตามสมเด็จพระพุทธเจา จึงจัดวาเปนผูเขาถงึ พุทธศาสนา เพราะวา
พทุ ธศาสนาเปน ศาสนาผรู ไู มใ ชผหู ลง เมอื่ เขาถงึ ได ละกิเลส ราคะ
โทสะ โมหะ ของตนใหเ บาบางหมดสิ้นไป จึงชื่อวาเปน ผจู บพรหมจรรย
ไมมีความลังเลสงสัยประการใด ทําใหวาผูปฏิบัติธรรมใหถึงสุดยอด
คอื วา เลิก ละ กเิ ลส ตดั กิเลส จนหมดแลวมันกห็ มดเรื่อง ที่เราทําอยู
ปฏิบัติอยู มันยังไมจบเรื่อง เรื่องกิเลสมันเยอะแยะที่จะใหลุมหลง
มัวเมาติดของพัวพันอยู มนั ยงั ไมป ลอยไมว าง จึงจาํ เปน ทุกๆ คนท่ไี ด
เกดิ มาเปน มนษุ ยไ ดพ บพทุ ธศาสนา แมจ ะไมไ ดพ บองคส มั มาสมั พทุ ธเจา
๑๑๗
ก็ตาม แปลวาภายในหาพนั ปนพ้ี ระพทุ ธเจา ทรงตรสั วางศาสนาของ
พระองคไ ว ใหมนุษยคนเราพรอมดว ยเทวดา อินทร พรหม ประพฤติ
ปฏิบตั ิ เลกิ ละกเิ ลส ในจติ ในใจของตนได ถา ทําตามปฏิบัติตาม เรา
ก็มีหนาที่ทําตามปฏิบัติตามเพื่อวาใหนั่งสมาธิภาวนาใหไดทุกๆ
คืน กอ นจะหลบั จะนอนนั้นอยา ประมาทแมจ ะเปน เวลานดิ หนึ่งหนอย
หน่ึงก็ยังดกี วา ไมทาํ ไมป ฏบิ ตั ิ ทางทจ่ี ะเปน ไปก็คอื ทางภายในไมใชทาง
ภายนอก ภายในตวั กายเรากน็ ง่ั อยนู ้จี ิตก็ผรู ู ผเู ห็น ผไู ดย นิ ไดฟ งอยู
จติ ดวงผูร ูไ ดย นิ ไดฟง อะไรอยู กใ็ หร วมจิตใจเขา ไปต้งั ใหม ั่นเอาใหจ รงิ
ในจติ ใจน้ัน จึงจะเขา ใจในธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธเจา ตามความเปน
จรงิ ไมใ ชวา คิดเดาเอาหมายเอาตามสญั ญาอารมณ ตองทําตองปฏิบตั ิ
๑๑๘
ตอ งลกุ ขึน้ ท้ังกาย วาจาจิตตัวเราทกุ คนแหละจะตอ งทําใจใหส งบตั้ง
ม่ันเปน สมาธิภาวนาขอ แรก ขอตอ มาก็พิจารณาในหลักอนิจจัง ทุก
ขัง อนัตตา ใหจ ิตใจนรี้ เู ขาใจวาอะไรๆ ทัง้ หมดไมใ ชของเรา เปนของ
โลกเขา ท่วี า ใหความสุขนน้ั กไ็ มจรงิ เพราะคนเราถาพจิ ารณาดคู วาม
จริงแลวตง้ั แตเกิดจนแก ตง้ั แตแ กจ นตายมันหาความสขุ สบายไมคอ ย
ได คนเราเม่ือยงั เปน เด็ก เปน หนุม กม็ ุง หมายวาใหถ งึ วัยแก วัยชรา
เสียกอนจงึ จะบาํ เพ็ญทาน รกั ษาศลี ภาวนา ความจรงิ ชีวิตของคนเราไม
แนน อน วันน้อี าจจะเปน วันตายเราก็ได คนื นอี้ าจจะเปน คืนตายของเรา
ก็ไดจ ะเอาอะไรมาแนน อนได
ดวยเหตุนี้ผูปฏิบัติภาวนา ทานจึงใหลุกขึ้นตื่นขึ้น ตั้งอกตั้งใจ
ภาวนา เอาใหม นั เดด็ ขาดลงไป กิเลสในหวั ใจน้ัน ถา หากวา เราตงั้ ใจ
ภาวนาเอาจิตใจใหแนวแนมันคงจริงๆ ก็ยอมไดบรรลุมรรคผลไมวา
ยคุ ใดสมัยใด เปนไปไดท ง้ั น้ัน แตต อ งอาศยั การประกอบกระทาํ ให
เกิด ใหมขี ึ้น ในจติ ในใจจริงๆ เพราะวาพระธรรมวนิ ัย ศาสนาคําสอน
ของพระพทุ ธเจา นนั้ จะตองปฏบิ ัติบชู าภาวนา ไมใชว า อยเู ฉยๆ แลว ก็
จะไดจะบงั เกดิ มีขน้ึ ก็ไมไดต องทาํ ตอ งปฏิบัติ ตองภาวนาในใจท้ังกาย
วาจา จิต กต็ อ งตง้ั อยใู นความสงบแนวแนม่ันคงไมห ลงใหล เม่อื ใจน้ี
ไมหลงใหลไปในท่ใี ดๆ มีความเชอื่ ม่นั ในธรรมะปฏบิ ัติ น่ังก็ปฏิบตั ิ ยืน
ก็ปฏิบตั ิ เดินไปมาทไ่ี หนกป็ ฏิบัตบิ ชู าอยู เมอ่ื ทาํ อยูปฏบิ ัตอิ ยูอ ยา งน้ี
แหละชอื่ วา สาวโก สาวกของพระพุทธเจา ผจู ะเขาไปสูพระนิพพาน
เกียจครานไมไดจะตองทําตองประกอบใหเกิดใหมีขึ้น ดังนั้นทุกลม
หายใจเขา ออก เรา ทา นทงั้ หลาย เราอยา ไดประมาท ต้งั ใจปฏิบัตบิ ชู า
๑๑๙
ภาวนาเรื่อยไป สิง่ ที่เรามงุ มาดปรารถนากจ็ ะสําเร็จ ลลุ วงไปได ไมไ กล
นกั ฉะนัน้ เม่อื วาเราทานท้งั หลาย พากนั ไดยินไดฟ ง แลวก็ใหก าํ หนด
จดจํานาํ ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ กค็ งไดร ับความสุข ความเจริญ เอวังก็มี
ดว ยประการฉะนี้
สพั พตี ิโย ววิ ชั ชันตุ สัพพะโรโค วนิ สั สะตุ
มา เต ภะวัตวนั ตะราโย สขุ ี ทีฆายุโก ภะวะ
อะภิวาทะนะสลี สิ สะ นจิ จงั วุฑฒาปะจายิโน
จตั ตาโร ธมั มา วัฑฒันติ
อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง ฯ
๑๒๐
ปฎิบัตใิ หร จู ริง
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สมั พทุ ธัสสะ
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธสั สะ
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สมั พุทธัสสะ
ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา
พระองคน นั้
โอกาสน้ี เปน โอกาสสาํ คญั ท่ีเราทกุ คนทุกดวงใจ จะตองตั้งใจ
นง่ั สมาธิภาวนา การนง่ั สมาธิน้ี ใหพ ากันนั่งขัดสมาธิ เอาขาขวาทับ
ขาซาย เอามือขางขวาวางทับมือขางซาย ตั้งกายใหเที่ยงตรง หลับตา
นกึ ภาวนาพุทโธรวมจิตใจเขาไปภายใน คาํ วานั่งสมาธคิ ือสงบกาย
แมร า งกายจะเจบ็ ปวดทุกขเวทนาอยา งไรเกดิ ขน้ึ กท็ าํ ใจใหเฉยไว อยา
ไปยุงกบั รา งกาย มอื เทา อวัยวะรา งกายทกุ สว นๆ ใหอยใู นความ
สงบไมใหมันดิ้นรน วุนวายไปในที่ใดๆ ไมจําเปนจริงๆ เราจะไม
ลกุ หนี จากทน่ี ั่งภาวนานี้ตั้งใจลงไปอยางนั้น เพื่อเปนเครื่องฝกจิต
ฝกใจใหทําจริง น่ังสมาธจิ ริงๆ สงบกายจรงิ ๆ สงบวาจาจริงๆ สงบ
จติ จรงิ ๆ เมอื่ จติ สงบ กายวาจาทุกอยางกส็ งบ มันเปนท่จี ิตใจไมส งบ
เปน ที่จิตใจไมนึกนอมภาวนาอยู มันแสสา ย ลุมหลงออกไปภายนอก
ไมอยูภายใน คาํ วาภายใน ทางร๑ูป๒รา๑งกาย ทานหมายเอาปริมณฑล
หนงั หมุ อยูเปน ท่สี ดุ รอบ คือตัวเราทา นทง้ั หลายนี้ ไมใ หม นั คิดนอกออก
ไปจากหนงั หมุ ใหดูตงั้ แตผ ม ขน เล็บ ฟน หนงั เน้อื เอน็ กระดูก ตบั ไต
ไสพ ุงอยู ดนู ํา้ เลอื ด น้าํ เหลอื ง ดูสงิ่ ปฏกิ ูลโสโครกภายในรา งกายน้อี ยู ก็
เปน อุบายภาวนา เพราะวาส่ิงเหลานี้เมือ่ จติ รูแ จง รจู รงิ จิตใจนีม้ นั จะ
เลกิ ละ ปลอยวาง อารมณกิเลสตัณหาทั้งหลายได เพราะมารูแจงรู
จริงใน รูปขันธอันนี้ จิตใจนี้มันหลงรูปรางกายของตัวเอง คือจิตมัน
เขา ใจวา กอ นธาตดุ นิ หนงั หมุ อยนู เ้ี ปน ตวั เราเปน ของเรา ทง้ั ๆ ทม่ี นั ไมไ ด
เปนของใคร จิตหลงอันนี้หละมันหลงผิดเขาใจวาเปนตัวของเรา เมื่อ
เขา ใจผิดวา คดิ เปน ตวั ของเราแลว ทีน้ีมนั ก็วุน วาย ความทุกขที่เกิดใน
รปู ขนั ธม นั กเ็ ขา ใจวา เราเปน ทกุ ข เพราะตวั เราเจบ็ ตวั เราไขตวั เราไมส บาย
มนั เขา มายดึ มาถอื มนั ยดึ ถอื มาตง้ั แตอ ยใู นทอ งแมจ นบัดนี้ เวลานมี้ ันก็ยงั
๑๒๒
ยึดม่ัน ถอื ม่ันอยู แกไมออก แกไมหลุด หลุดไมหมดหลุดไมสิ้นจึงจําเปน
ตองปฏิบัติบชู า ภาวนามาอยทู กุ วนั คืน ยนื เดนิ น่งั นอนอยทู ุกอิริยาบถ
เราจะตอ งภาวนาไปจนถงึ วนั ตาย อยา เขา ใจวา เรอ่ื งเลก็ นอ ย ภาวนาไป
ปฏบิ ัติไป รวมจิตรวมใจเขาไปภายในเอาจนตายวา ถายังไมตายก็
ภาวนาอยูอยา งน้แี หละ จะภาวนาบทใด ขอ ใด ก็ใหตง้ั ใจนึก ต้ังใจเจรญิ
ตั้งใจพนิ ิจพจิ ารณาในสิ่งที่ตน ยกขึ้นมาเปนอุบายภาวนาน้นั จนใหร จู กั
รูแจงรูจริงรูใหตลอดรอดฝง รูใหทั่วถึงจิตใจนั้น จึงจะยอมสงบ ตั้ง
มั่นได คือไมใหเ ห็นเพียงแตวา เห็นผิวเผนิ ดูทางใน ในหนงั เนื้อเขา ไปมัน
เปนอยอู ยา งไรมันตั้งอยอู ยางไร เดีย๋ วน้จี ิตใจไมร วม ไมสงบ มนั เห็นแต
เร่อื งภายนอกมันอยูภายนอกมันไมไดอยูในใจ ไมอยูภายในไมอยูใน
ตัวไมอยภู ายในหนงั หมุ เขา ไป มนั โลเลๆ อยูขา งนอก ตัวกูตวั ขาตัวเรา
ของเรา ตัวเราท่ไี หนของเราท่ีไหน ภาวนาเพง ดูใหด ี วตั ถุขา วของมนษุ ย
ที่สมมุติวาเปนของเราเปนของมนุษย ผลที่สุดมันไปจบลงที่ไหนมัน
เปน สมบตั แิ ผน ดนิ ผลท่ีสดุ ก็ลงสูเปน แผน ดิน เมื่อมนั เปน แผนดินเชนนี้
สมบัติท้ังหลาย ทจ่ี ติ นหี้ ลงผิดคดิ วา เปน ของเรา แททจ่ี รงิ มนั เปนสมบตั ิ
ของแผนดิน เมื่อมันยังไมแตกไมตายมันก็อยูบนแผนดินนี้ตั้งแตเกิด
จนตายเม่ือตายแลว ก็ถมแผนดนิ ไมไปไหนเผาไฟกนั ลงไปสูดิน ไมม ใี คร
เผาทง้ิ ไวน านเขา มนั กล็ มเปนแผน ดนิ ภาวนาดูนึกดูเจริญดทู าํ ใจใหสงบ
ระงับจึงจะเขาใจถาไมอยางนั้นก็ไมเขาใจตลอดกาล คือจิตไมยอมรับ
รู รับเห็นท่วี า ไมใ ชของเรา สมบัติที่มนษุ ยห ลงอยมู นั ลงเปน แผน ดินเมอ่ื
ไมไปสูแ ผนดินมันไปสูทไ่ี หนคนตายแลว มนั ข้นึ ไปอยูบ นฟา บนอากาศ
หรอื รูปขันธอนั น้ี ยังไมต ายมนั ก็อยบู นแผน ดนิ สรา งบานสรางเรือน
ที่อยูอาศัยมันก็อยูบนแผนดินเอาธาตุดินน้ันหละมาสรางท่ีอยูอาศัย
๑๒๓
เอาธาตุดินนน้ั หละ มาทําเปน ผานงุ ผาหม เอาธาตุดนิ ธาตนุ า้ํ น้ันหละ
มากินอยูบนแผนดิน เกิดบนแผนดิน เจ็บไขไดพยาธิอยูบนแผนดิน
ตายแลวกเ็ ปน ดนิ ยงั ไมต ายมันกเ็ ปน ธาตดุ นิ อยูแลว ธาตุ ดิน นํ้า
ไฟ ลม มีอยูอยางนี้เปนอยูอยางนี้ แมเจาตัวจะยังไมกําหนดพิจารณา
มัวเมาไปตามอาํ นาจกเิ ลสอยตู ลอดกาลกต็ าม แตธ าตดุ นิ นาํ้ ไฟ ลม
กาย วาจา จติ ของบุคคลเหลานั้นมันก็อยูบนแผนดิน ธาตุรางกายที่
เคลื่อนไหวไปมาบนดนิ ดินนา้ํ ไฟลมจงดูจงรเู สียในขนาดน้ีแลวกต็ ้ังใจ
ปฏิบัติภาวนาใหมันแจง อกแจง ใจ อยาใหมแี ตอ ะไรๆ กส็ งสยั สงสยั โนน
สงสยั นี้ คือจิตไมสงบก็สงสัยตลอดกาล จิตไมเย็นจติ ไมสบาย ไมเปน
ดวงหนึ่งดวงเดียวมันก็สงสัยอยนู น้ั รวมจิตเขาไปรวมใจเขาไป คําวา จิต
คาํ วา ใจ มนั อยทู ไ่ี หนใครเปน ผรู วู า จติ วา ใจคนเรามใี จ ใจมนั เปน อยา งไร
อยทู ไ่ี หนตง้ั อยทู ไ่ี หนทาํ ไมเวลาเสยี งกระทบมนั จงึ รสู กึ เสยี งนน้ั มนั กระทบ
เขาไปถึงในดวงจิตดวงใจผูรูอยูในตัวในใจน้ันเองก็เกิดความรูสึกนึกคิด
ข้นึ มาเรานึกบริกรรมภาวนาข้นึ มาพทุ โธ พทุ โธ ในใจมนั กไ็ ดย นิ อยใู นใจ
นน้ั แหละ ถา ใจไมค ดิ ไปทางอ่ืนถา จิตไมร วมไมสังวรณระวงั มนั คิดฟุงซา น
ไปที่อื่นนึกภาวนาอยูที่นี่มันก็ไมอยูที่นี่ มันไปที่ไหนไมรูเพราะมัน
ขาดสติ ขาดสมาธิ ขาดปญ ญา ขาดวิชชาในทางพระพทุ ธศาสนา คือ
ไมเขาใจในการประพฤติปฎิบัติไมเขาอยูในกายคือไมดูกายไมพิจารณา
กายของตัวเอง พิจารณาดูเห็นไดแตนอกกายนอกออกไปเทาไรๆ
มันรูเห็น แตความรูเห็นเหลานั้นมันรูเห็นไปตามอํานาจกิเลสราคะ
ราคะ ตัณหามันพาใหดิ้นรนวุนวายอยูอยางนั้นเอง ราคะราคีในใจ
คือราคะมนั ไหมห วั ใจลุกอยูตลอดกาล ไฟโทสะมันไหมอ ยูตลอดกาล
เพราะไมภาวนาดับ ไมภ าวนาละในใจมันกล็ ุกไหมอ ยู ไฟโมหะ อวิชชา
๑๒๔
ตัณหามนั กไ็ หมอ ยูท ั้งกลางวันกลางคนื ยนื เดิน นั่ง นอน ทกุ อิริยาบท
ไหมอยูใ นใจท่ีไมเ ลกิ ไมล ะ ราคะ โทสะ โมหะ ใหห มดใหใสให
สะอาดนั้นเองเปนไฟเปนของรอนพระพุทธเจาพระองคทรงตรัสวา
รอ นดวยอะไร รอนดวยราคะกนิ าไฟคอื ราคะ รอ นดว ยโทสะกนิ าไฟคอื
โทสะ รอ นดว ยโมหะกนิ าไฟคอื โมหะ มนั รอ นอยใู นตัวมันรอนอยูใ นใจ
ไมเยน็ ไมสบายไมเ ขาถึงพุทโธพุทธะ พทุ โธพระพทุ ธเจาผรู ูอยูใ นตัวอยู
ในใจนนั้ และเมื่อเขา ถึงตัง้ ม่ันอยใู นจิตใจดวงพทุ ธะนี้ สิง่ อ่ืนใดนอกจาก
จติ ใจพุทธะนี้ออกไปไมเ ทยี่ ง เปนกองทกุ ข ไมใ ชต ัวตนของเราจงเลิก
ละ ปลอ ยวาง ถอดถอนทิฐิมานะเหลา นี้ออกไปใหห มดสน้ิ ถอนกเิ ลส
ความโกรธ ความขัดเคืองในใจออกไปใหหมดสนิ้ ใครจะวารายวาดีให
กเ็ ปน เรอ่ื งของโลกเปน เรอ่ื งของลมปากจติ อยา ไปรบั เอา ภาวนาถอนหนา
ถอนตา ถอนตวั ถอนตน ถอนตวั กขู องกู ตัวขาของขา ตวั เราของเรา
ออกไป พทุ โธจิตเปนหน่งึ
พุทโธจิตรูแจง พุทโธจิตรูจริง พุทโธอยูในตัวในใจ ไมใชพุทโธ
นอกกายนอกใจไป พุทโธไมตองดทู ่อี ืน่ พุทโธดกู ายใหท ว่ั ถงึ พทุ โธ
ดวู าจาท่ตี ัวเอง พุทโธดใู จทจ่ี ติ ใจมันคดิ คดิ ภาวนาพทุ โธในใจหรอื
ไม มนั คิดอิจฉา พยาบาท อาฆาต จองเวรแกใ ครอยเู ดี๋ยวกโ็ กรธให
คนนน้ั สัตวต ัวนน้ั เดย๋ี วก็โลภอยากไดอ ยา งนั้นอยางน้ี โลภะ ตัณหา
ละทงิ้ ใหห มด ทําใจใหสงบเปนหนึ่งไมใหเ ปนสองจติ สองใจเอาให
มันจริงแจง ลงไปในหัวใจของตัวเอง น้แี หละจงึ ชือ่ วาภาวนาอยใู นตัว
ภาวนาอยใู นใจ ภาวนาอยใู นธรรม ภาวนาอยใู นวนิ ยั สาธศุ าสนาคาํ สอน
ของพระพุทธเจา
๑๒๕
พระพุทธเจาไมไดสอนใหอยูทางนอก พระพุทธเจาสอนใหดู
อยภู ายในท่วี า ปริมณฑลหนงั หุมอยูเปน ทสี่ ดุ ดูอยูในกายใหเ ห็นกาย
ในกาย ไมใหไปเห็นที่อื่นๆเปนเครื่องหลอกลวงเห็นกายอยูในกาย
คือมันแจงอยูในกายวามันเปนอยางน้ีกายคนอ่ืนมันก็เหมือนอยาง
นี้ไมมีอะไรจะวิเศษกวากันไป ถามันแตกดับมันตายเมื่อใดเวลาใด
กายนมี้ ันจะเนาเขยี ว แตก น้ําเหลืองไหล น้ําหนองออกมา มนั จะมี
กลิน่ เหม็นไมใชกล่ินหอมตา งหาก วาถาเวลามันเปอยเฟะอยางน้ัน
เราจะไปนั่งอยใู กลกไ็ มได มนั เหม็นสาบ เหมน็ คาว เหมน็ ไมเขา ทา
๑๒๖
หรอื จะไปนง่ั ทานอาหาร กนิ ขา วทน่ี น้ั กอ็ าเจยี นราดออกกก็ นิ ไมไ ดน ้ี
ตวั เรากเ็ หมือนกันตัวเขาก็เหมือนกนั คนท่ีเกิดมาในโลกเหมอื นกันหมด
เมื่อยังมีชีวิตรางกายนี้มันจะแตงกัน เปลี่ยนแปลงกันไปบาง
แตวาเมื่อแตกตายแลวเหม็นเนาเหมือนกันหมด มีเกิดขึ้นแลวก็ดับ
ไปเหมอื นกนั หมด ทา นจึงใหว า พระธรรมคําสอนของพระพทุ ธเจา
ทานใหนอมเขามาเตอื นจติ เตือนใจใหส งบตัง้ ม่นั จิตใจท่ไี มส งบตงั้ มนั่
น้นั คอื วา จิตน้ันไมด ู ไมพ ิจารณาความจริง มันจะพจิ ารณาไปตามไม
จริงคอื ของปลอม ของปลอมของแปลงคอื ของภายนอกเปน ของหลอก
ลวงของไมจ รงิ ของจรงิ มนั มเี ตม็ อยใู นกายในจติ นท้ี ง้ั นน้ั
นามรปู ง อนจิ จงั นามรปู กายใจ ตัวตนสตั วทุกคนเหมือนกัน
หมดมีความไมเทยี่ งแทแ นน อนอยูอยางนี้ เมื่อจิตไมอ ยูไมรวมไมสงบ
มันกไ็ มร ู ไมรูมันไปไหนมันหลง หลงกายตัวเองยังไมพ อ หลงกายคน
อืน่ หลงวัตถภุ ายนอกตอ ไป ไมมีที่สุดท่สี นิ้ ตายแลวกห็ ลงไปตามความ
หลง ความหลงอนั น้ันก็พามาเกดิ อกี เกิดมาอีกก็แกชรา เจ็บไขไ ดปวย
ดน้ิ รนวุน วายไปเหมอื นเมือ่ กับเราเกิดมาภพนี้ ชาตินี้เหมือนกันหมด
ผลที่สุดแกหรือไมแก เด็กก็ตาม ถึงเวลาตายก็แตกดบั ตายไปอยางน้ี
จงดจู งรูจงเห็นอยูในตัวในใจนเี้ มอื่ ใดวันไหนเวลาใดจะรู พระพทุ ธองค
ทรงตรสั วา ทรี่ ูแจงรูจรงิ มันไมใชรอู ดตี อนาคตเปนรูปจ จุบัน รู
ปจ จุบนั ทันปจจุบัน แจง ปจ จบุ นั เหน็ จรงิ ในปจจบุ นั พุทโธในปจจุบัน
ธรรมโม สังโฆในปจ จบุ ัน ไมใ ชพ ุทโธ ธรรมโม สังโฆอดีต อนาคต
อยูที่อื่นโนน พุทโธ ธรรมโม สังโฆ อยูในตัวอยูในใจภาวนาได
ทุกเวลาทุกลมหายใจเขาออกประกอบกระทําอยูอยางนี้ตลอดเวลา
ไมว ารา งกายจะยืน จะเดนิ จะนัง่ จะนอนทกุ ลมหายใจลมหายใจยงั
๑๒๗
มีอยูก็ภาวนาอยู ภาวนาใหไ ดอ ยา งลมหายใจ เตอื นใจดวงน้อี ยาได
ประมาท เตือนใจใหร สู ึกวา ความตายน้ัน มันใกลเขา มาขยบั เขามา
มันมว นเขาไปเรื่อยเขาไปมนั ใกลเขาไปทกุ เวลา อยา เขา ใจวาตนเอง
อยหู า งไกล เพราะวามรณภัย คอื ความตายมันไมม ตี น มตี อมนั จะ
ตายเดี๋ยวน้เี ลยกไ็ ด แตบุญ กุศลยงั รักษาไวไมใ หตายจะไดปฏิบัติบชู า
ภาวนาตอ ไปอีก ถา บุญกศุ ลหมดเมื่อใดเวลาใดตายแหงๆ น้นั แหละ
ไปอวดดีไมไดตองรู รีบทาํ รีบปฏิบตั เิ อาใหม นั ลงหลักปจ จุบันนัง่ แบบ
ไหนก็ภาวนาในใจได ยืนแบบไหนกภ็ าวนาในใจได เดินไปมาที่ไหน
ก็ภาวนาในใจไดไมใชไดแตคําพูดใหมันไดในตัวในใจตลอดเวลาไมมี
คนอ่ืนจะมาทําใหปฏิบัติใหมันเปนเรื่องของจิตใจของตัวเองเปนผู
ประกอบกระทาํ ถาไปปลอ ยใหม นั งว งเหงา หาวนอน ฟงุ ซา น ราํ คาญ
ก็ไมมีเวลาทําดูใจที่มันอางการอางเวลาอยางเด็กก็วาเรายังเด็กอยู
ทาํ เมื่อไรก็ได ยงั หนุมแนน อยกู ็เขาใจวา เรายังหนมุ แนน แข็งแรงอยูคง
จะไมตายงา ยๆ ทําเมือ่ ไรก็ไดทีนีถ้ า มันเจ็บไขไดปว ยกระทันหนั ข้นึ
มาหรือตายอุบัติเหตุขึ้นมา มันจะทําไดยังไงเพราะมันอางการอาง
เวลาอยู เชาก็วาเชานักไมภาวนา สายก็วารอนแลวไมภาวนา
กลางคืนก็วากลางคืนไมภาวนา กลางวันก็กลางวันไมภาวนา เมือ่ ไม
ภาวนากลางคืนกับกลางวนั ไปภาวนาทไ่ี หนโลกนีม้ นั มแี จง ก็ใหช่ือวา
กลางวัน มืดกใ็ หชือ่ วากลางคืน กลางคนื มดื แจง สองอยา งรวมกันเขา
ก็เรยี กวา วันหนึง่ ตามสมมุตินนั้ มันกม็ ีอยูเ ทาน้ีเมอื่ มอี ยูเ ทา น้ีเรากเ็ อา
ท้งั กลางวันกลางคืน พระพุทธเจาตักเตอื นไวว า ทกุ ลมหายใจเขา ออก
นะเผลอไมได ลมื ตัวไมไ ด ขาดสตไิ มไ ด ขาดสมาธิความต้งั ใจม่ันก็ไม
ไดขาด ปญญา วชิ ชา ความรภู ายในกไ็ มได ขาดตกบกพรองไมไดทง้ั นน้ั
๑๒๘
จะตองบริกรรมภาวนา พจิ ารณากายอันเปน รปู ขันธหยาบหยาบแลว
มนั เห็นแตเ บอ้ื งตนมาเกิดทา มกลางภาวะเปนอยูบ นั้ ปลายคอื วาตายลมื
ไมได ตายเพราะมันจะตายอยูวันยงั ค่าํ มนั รอตายอยูคนื ยงั รงุ ตายมัน
ขยับเขา มาใกลท กุ เวลา
รางกายสังขารน้ีทานเปรียบเหมือนหมอดินเขาเอาดินมาปนเปน
หมอ เปน ไห หมอดนิ ท่ีปน ขึ้นมาใหญ เล็ก หนา บาง ประการใดก็ตาม
หมอดินยอมมีเวลาแตกรูปขันธ รูปนามกายใจของคนเราทุกคนมัน
คอยวันแตก วนั ทาํ ลายอยตู ลอดเวลาแตไดอ าศัยความประมาทมัวเมา
ในใจยังไมร ูส กึ ตวั ไมมีความสลดสงั เวช เปนจิตใจแข็งกระดาง มืดมน
ตลอดกาล ทั้งกลางวันกลางคืนไมภาวนา ไมชาํ ระจิตใจดวงนี้ให
ผอ งใส สะอาด ใจอนั นม้ี ันกห็ ลงอยอู ยา งนี้ มันกเ็ มาอยอู ยางน้ี ลืมตัว
ลืมตน ลมื กาย ลมื จิต หลงตาย หลงตายไมไดนงั่ ตาย กม็ ีบางคนน่ัง
อยดู ๆี เวลามนั จะตายมนั กต็ ายตายเอาดอ้ื ๆ อยางน้ัน เกิดเปน ลม
ขึ้นมา อืออานั่งลงอยูๆ ก็ตาย ความตายมันไมมีกําหนดกฎเกณฑ
อยา งไร เมอ่ื ถงึ เวลาความเปนเด็กเปนหนุมมนั ก็สไู มไ ด ตายได
เหมือนกัน แกชราหรือไมแกชรามันก็ตายไดเหมือนกัน ตายไมใชแค
คําพดู เวลาจะตายจรงิ ๆ มันเจบ็ จนเหลอื เจบ็ จนมันเรียกวาตาย ไมใช
วาตายสบาย ตายมนั ไมม ที ีส่ บายกอ นที่มันจะตาย โรคบางอยางบาง
ประการนนั้ เรยี กวาเจบ็ ทีส่ ดุ เหลือเจ็บ เลยเจ็บไปมนั ก็เลยใหช ่อื วา ตาย
เดี๋ยวนี้มันยงั มชี วิ ติ อยูยังมีลมหายใจเขาออกอยู มนั ก็ตายไปทลี ะเลก็ ที
ละนอย มันตายปดบัง มันปดไวบังไวไมใหจิตใจรูเห็นมันตายมาโดย
ลําดับๆ
๑๒๙
คนเราทุกคนมาปฏิสนธิวิญญาณในทองแมแลวก็คลอดออกมา
คือวามันตายออกมา ตายจากทองแมม าอยูข า งนอก ตายอยูข า งนอก
ไมน านเดย๋ี วมนั กค็ ืบคาน ยนื เดินไปมา มารอวนั ตายอยูขา งนอก
อีกไมนานมันก็ตายอายุไมถึงรอยปตายแลวถาใครอายุยืนสักรอย
ปเดยี๋ วก็ไดย ินวา พวกเราท่ีน่งั อยนู นั้ และพระองคน นั้ ตายไป เณร
องคนน้ั ตายไป แมขาวนางชีคนนน้ั ตายไป แมดําแมด า งตายไป ถา
ผูยังไมต ายมันกร็ เู ห็นใครตายมันก็แลวไปแตม นั ไมใชแ ลว ตาย
๑๓๐
วนั น้มี นั ก็เกิดมาอีกวันใหม เกดิ ใหมเ ดอื นปใ หมอ กี มา กม็ าเปน
ทุกขเปนรอนดวยการกินการนอนวุนวายภายนอกคิดกันเถียงกัน
แยงกันอะไรตอมิอะไรมากมายจึงใหชื่อวา ภาราหเวปญจขันทา
ขนั ธท้ังหา เปนภาระอนั หนักคือกาย วาจา จิตของคนเราทกุ คนนี้
แหละขนั ธ
ขันธกอนนี้ กองนก้ี อนนี้ มนั เปน กอนทกุ ขไ มใชส ุขทเี่ ราวา สขุ สบาย
มนั นอ ยเดยี ว นดิ เดียวเทา นน้ั ทุกขมันเตม็ ไปหมด นัง่ เปนทกุ ขในเวลานง่ั
กนิ เปน ทกุ ขใ นเวลากิน แสวงหามาเปนทุกขใ นการแสวงมาหามา นอน
เปน ทกุ ข นอนตายก็มี นัง่ ตายกม็ ี ยืนตายกม็ ี เดนิ ไปมาตายกม็ ี มนั ตาย
ไดวนั ยังค่ํา ตายไดคืนยังรงุ อยา ไปเขาใจวาตัวเองสุขสบายมันไมเ ป็น
อะไร ไมเปนอะไรก็ตายภายในไดรอยป มันเลยไปไดที่ไหน เลยไปก็
ไปตาย ยงั ไมถ งึ รอยปมันกต็ าย เดก็ ก็ตาย หนุมกต็ าย แกช รากต็ าย พระ
ก็ตายได เณรก็ตายได ผาขาวนางชีใครก็ตายได เกิดมาแลวก็ตายทุก
คน เวลาถึงเวลาตายมันไมใชจะภาวนาพุทโธมันวุนวายที่สุดวนุ วาย
ก็คือวาจิตมันไมยอมตายไมพิจารณาความตายเมื่อไมพิจารณาความ
ตายเมื่อความตายมาถึงเขา มันไมใชสบาย นั่งไมติดนั่งไมได นอน
ไมหลบั เม่ือความตายเขามาถงึ เขาหรือรูวา เหตภุ ยั ตางๆ มาจะถงึ ตวั
ของเราเปน วันตายขณะวนั นี้ คนื นเ้ี ด๋ียวน้ี เวลานต้ี อใหนอนอยูมนั ก็ไม
หลับหลอก เพราะมนั จะตาย เหตกุ ารณแ หง ความตายมนั เปน ของรอ น
ของไหม ถา ไมภาวนาจรงิ ๆ แลวกท็ กุ ขแ ทบตายนัน้ เอง จงึ ใหพากันรีบ
เรง ลกุ ข้นึ ต่ืนข้ึนอยาไปมวั เมาไปตามอาํ นาจกิเลส
๑๓๑
ธรรมดากเิ ลสไมว ากเิ ลส ราคะ โทสะ โมหะกิเลสอันใดกต็ ามมนั
เปน ของรอ นมนั เปน ไฟ ดแู ตไ ฟภายนอกใครพลั้งเผลอไปเหยยี บยํา่ ไฟ
ไฟก็ไหมเอาไหมเ อาถงึ ตายก็ได ไฟ คือกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ จิต
ทม่ี ายึดไวถอื ไว ไมเลิก ไมละ ไมป ลอ ยไมว างนนั้ แหละมันไหมหวั ใจ
มนั ไหมทางกายดวย ไหมทางวาจาดว ยมอี ะไรมนั ไหมหมดหละ
๑๓๒
ไฟภายในมันไหมขามภพขามชาติตายแลวมันก็กลับไปไหมตอไป
อีกไฟราคะ โทสะ โมหะทานจึงใหช ่อื วาไฟหมอ นรก มันไหม ทกุ คน
ไหมทุกหัวใจเม่ือใครไมตองการใหไฟเหลานี้มันลุกไหมก็คือวาภาวนา
สงบกายอยูใ นหลักของศลี สงบวาจาอยูใ นหลักของศีล สงบจิตสงบ
ใจอยูในหลักสมาธิภาวนา อยูในตัวอยใู นใจอยดู ว ยการภาวนาไมใชอยู
เฉยอยูภายนอก มันอยูภายในอยูภายในอยูในตัวในกายอยูในหนัง
หุมดกู อ นทกุ ข กองทุกขข องตนอยูท กุ เวลา วันไหนเวลาใดมนั จะเขา
ถงึ วันแตก ความทาํ ลายเราไมร ู คอื รูแลว มนั เอาไมไหวสูไมไ ดต อ งรีบ
เรงต้งั อกตงั้ ใจอยา มามัว มาสะทกสะทานกลัวภยั อนั ตรายอยู ภาวนา
ทาํ ความเพยี ร ละกเิ ลส กิเลสราคะ โทสะ โมหะนัน้ เองเปนกิเลสเรา รอ น
เผามนษุ ย และสตั วโ ลกทง้ั หลายเพราะความไมร นู น้ั แหละมนั จงึ เปน ทุกข
เปนรอ นอยใู นหัวใจใหน้นั วนั ใดเวลาใดวันไหนคนื ไหนใหร ีบเรงไมต อ ง
ไปรอ รอใหมันเจ็บซะกอนไมไดรอใหมันแกเสียกอนก็ไมได รอใหมัน
ใกลจะตายเสยี กอนกไ็ มไ ด ไมตอ งนัง่ รอ ภาวนาเร่อื ยไป ละกิเลสความ
โกรธใหมนั หมดเสียกอ น ละกเิ ลสความโลภโลภะตัณหาใหม นั หมดเสยี
กอ นจึงใหถงึ วนั ตาย ถาไมอยางนน้ั ตายแลวมันกม็ าทกุ ข มาเดอื ดรอน
ตอไปอีก ไมใ ชวาตายแลวมันแลว ไป เหมือนเรามองเหน็ ซากศพผตี าย
มนั แลวแตเ วลานัน้ แตว าจติ มนั ไมแลว จติ ราคะ จติ โทสะ จิตโมหะ มัน
ไมแ ลว มนั ด้นิ อยูด ว ยกามตณั หา วภิ าวตัณหาไมมที ่จี บทส่ี ิน้
ตายเกดิ ตายเกดิ นบั ไมถ ว น แลว มนั กเ็ กดิ ตายตอ ไปมนั กอ็ ม่ิ ไมพ อ
เพราะอาํ นาจของ กิเลส ราคะ โทสะ โมหะนน้ั เปนอํานาจใหญท่ีสุด
ตองภาวนาใหเขาใจปฏิบัติในจิตในใจของตนใหมันคลองแคลววองไว
๑๓๓
มันทันกาลเวลาอยูไมยอมลุมหลงมัวเมาไปอยูใตอํานาจกิเลสเม่ือ
จติ ใจของผปู ฏบิ ตั ภิ าวนาไมม คี วามทอ ถอยไมว า เชา สายบา ยคาํ่ กลางคนื
กลางวันกภ็ าวนาอยูในใจพิจารณา คนเกิด คนแก คนเจ็บ คนไข
คนผลัดพลากจากกันตองใหน้ําตาไหลใหคนตาย ลวนแลวแตเปน
ธรรมวนิ ยั พระพทุ ธศาสนาสอนคนพระพุทธเจา ของเราทงั้ นัน้ ใหนอ ม
นึกรําลึกอยูในตัวในใจใหได จิตใจก็จะสบาย
ฉะนั้นอุบายธรรมตาง ๆ เหลา น้ี เมอ่ื วาเราทา นทง้ั หลายพากัน
ไดยินไดฟงแลวก็ใหกําหนดจดจํานําไปพินิจพิจารณาคิดใหทั่วถึงลึก
ซึ้งก็จะไดรบั ความสขุ ความเจริญในทางพระพุทธศาสนา ดังแสดงมาก็
สมควรดว ยกาลเวลา เอวัง ดวยประการฉะน้ี
สพั พีติโย ววิ ัชชันตุ สพั พะโรโค วนิ สั สะตุ
มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทฆี ายุโก ภะวะ
อะภวิ าทะนะสลี ิสสะ นิจจัง วฑุ ฒาปะจายิโน
จตั ตาโร ธมั มา วฑั ฒันติ
อายุ วัณโณ สขุ ัง พะลงั ฯ
๑๓๔
ภพ-ชาติ
พรอมกันละนะ มานั่งภาวนา เวลานั่งขัดสมาธิเพชร อยาไป
เปน ทุกข เปน รอน ใหถ อื วา การนั่งขดั สมาธิเพชรน้แี หละ เหมอื นกบั
ขึ้นเมอื งสวรรค เมื่อขน้ึ เมอื งสวรรคไ ดก ็ไปพรหมโลกได ไปพรหมโลกได
กไ็ ปสทุ ธาวาสได สุทธาวาสมหาพรหม ไปถึงสทุ ธาวาสแลว ก็เปดประตู
พระนพิ พานเขาไปพระนิพพานได ดงั น้นั การนั่งสมาธิ ไมวา หญิง ชาย
เด็ก หนมุ แก ไมไดเลอื กพระ เณร ไมไดเลือกวา อุบาสก อบุ าสกิ า
ผาขาว ผา เขยี ว หยงั ก็นง่ั ได การนัง่ น้ี เรยี กวา เราเคารพพระพุทธเจา
เพราะพระพุทธเจา นง่ั ขดั สมาธิเพชร ใตร ุกขมลู รม ไม ตนไมโ พธิ์ จึงได
ตรัสรเู ปน พระพทุ ธเจา แตน นั้ เปนสถานท่ีตดั สวนตัดจริง ๆ พระองค
ตัดในจิตในใจ ใจมนุษยและสัตวทั้งหลายนั้น มันพัฒนาการตัวเอง
มาโดยลาํ ดับ ไมวา เมื่อบญุ บารมี ยังเล็กยงั ออนยงั นอ ย ก็บาํ เพ็ญ
มาแตเลก็ แตน อ ย เหมอื นมดแมงเลก็ ๆ นอ ย ๆ ตง้ั แตส ตั วน าํ้ สตั วน าํ้
บางอยางก็เล็กที่สุด ถาใครไดไปดูริมทะเล ไดเห็นตัวสัตวชนิดหนึ่ง
เขาเรยี กวา เคย ลูกเคยทงั้ หลาย ลกู เคยกค็ อื ลกู กงุ กุงนั้นลูกมนั เล็ก ๆ
ถาเราไปผอ ในดินทะเลบอลูกกงุ มันอยู เปน ฟารม เชียว นั้นมัน
พัฒนาการมาตั้งแตสัตวเ ลก็ สตั วนอ ย แมอยูใ นสตั วเล็กก็ตาม สตั วใ หญ
ก็ตามมดี วงวญิ ญาณดวงจติ
๑๓๕
ดวงจติ ดวงวิญญาณน้นั มนุษยป ถุ ุชนก็สงสัย วาดวงวิญญาณมัน
มาแตไ หน มันเกดิ มาเรื่อยหรือ ความจรงิ ดวงวิญญาณไมไ ดเ กดิ มัน
เกดิ มาแลวกอ นเกดิ กอ นที่จะเกิดมาเปน คน เปนสัตว มันเกิดมาเปน
ดวงวญิ ญาณ แตเปน ดวงวิญญาณยงั ไมฉ ลาด ยงั โงอ ยู หลงใหลอยู
ในกิเลสราคะ กิเลสราคะน่ี เปน ทีห่ ลงใหลของดวงวญิ ญาณ ดวงจติ
น้ันแหละ ดวงจิตยงั ต่ําอยตู ราบใด กิเลสราคะ มันมากทว มหวั ทวมตัว
ของมันหมดจนไมร ูส กึ ตัว กิเลสโทสะ มันกท็ บั ถม ดวงวญิ ญาณอนั นน้ั ก็
เปนขี้ขาตัณหา เวียนตายเวียนเกิดจนกระทั่งไมรูจักวา กี่ภพกี่ชาติ
๑๓๖
เพียงนับวาพระพุทธเจาพระองคหน่งึ จะไดมาตรัสรเู ปนพระพุทธเจาน้นั
จะตองบาํ เพ็ญทาน ศลี ภาวนา บารมี เปนจาํ นวนอสงไขย จนบารมี
แกกลา หมายถึง ดวงจิตดวงวิญญาณนี้แหละ มันกลาขึ้น กลา
ทําบุญ ใหทาน กลารักษาศีลหา ศีลแปด ศีลสิบ สองรอยยี่สิบเจ็ด
กลาฟงเทศน ฟงธรรม นั่งภาวนา กลาอยูในปา ในเขา ในถ้ํา
ไมกลัวตาย เมื่อดวงวิญญาณอันนี้มันกลาขึ้นมาโดยลําดับ ลําดับ
จนเปน พื้นฐานต้งั ใจบาํ เพ็ญจะใหไ ดเ ปนพระพทุ ธเจา กต็ องเปนไดแ ต
เปน เวลานาน
แตพระพุทธเจา พระสัมมาสัมพุทธเจานั้น มีอยูสองนัยยะ
คือนัยยะหนึ่ง ตอนปรารถนาดว ยตนเองแลว ก็บําเพญ็ ทาน รักษาศลี
ฟงเทศนฟง ธรรมมาโดยลาํ ดบั จนกระทงั่ อนิ ทรบี ารมีแกก ลา จงึ จะได
รับการพยากรณจากพระสัมมาสัมพุทธเจา พระองคใดพระองคหนึ่ง
จึงจะตั้งอกตั้งใจบําเพ็ญไปถึงขั้นเปนพระพุทธเจาได ถาลําพังแตตัว
คนเดยี ว คาํ วา บาํ เพญ็ บารมี ทําบุญใหท าน รกั ษาศลี ภาวนาน้นั มนั
เปนการหนักหนวง คือกิเลสในใจนี้แหละ มันไมยอมใหทําใหปฏิบัติ
ดวงจิต ดวงวิญญาณน้ันมันยงั ตา่ํ ฉะนัน้ เราตองบาํ เพ็ญ ตัง้ ใจปฏิบตั ิ
บางคนกว็ า ไมนงั่ ขัดสมาธิเพชรก็ไดก ระมัง นั่งอยา งไรกไ็ ด อันนี้แลววา
คนนน้ั ยงั ไมรไู มเขาใจ เขาใจวา ทาํ ตามสบายใจของตัวเองแลวจะสาํ เรจ็
มกั ผลไป ไมมขี อแกไ ขในใจ ในตัว คนเราจะละช่วั ทาํ ดนี นั้ จะตองมีนํา้ ใจ
เขมแขง็ ขน้ึ มา ถา ไมอยางนนั้ มนั กล็ ะความช่ัวไมไ ด จติ ใจมันจม จมไป
อยใู นกเิ ลสราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา ไมยอมเงยหนาดูฟา ดูดิน
มัวหลงไปตามความหลงของตวั เอง ฉะน้ัน เมอ่ื เราไดเกิดมาเปน มนุษย
๑๓๗
การเกิดมาเปนมนุษยนเ้ี รียกวา เปน กรรมดี บญุ บารมีแกกลา ข้ึนมาพอ
สมควร มนสุ สะ ปฏิลาโภ การเกดิ มาเปน คน เปนมนุษย เช่อื วา เปน
ลาภอันประเสริฐ ถา ไดล าภอนั ประเสริฐนี้มาแลว เราไมบ าํ เพ็ญอกี
ก็อยูแคมนุษย
มนษุ ยนีก้ ็ยงุ ยากไมใ ชของเลน เพราะเปนคนมันก็กเิ ลสมากกวา
คนมนั หลาย ฉะนัน้ โบราณทา นยงั กลาวไววา กเิ ลสมันมพี ันหา ตัณหา
รอยแปด ทานวา อยางง้นั เพราะมนั มีเยอะแยะ ไมร จู ะวา ยังไง แตม ันจะ
มากเทาไหร เทา ไหรก ็ตาม ใหพ ากันตงั้ ใจ สมาทานศลี ธรรม กรรมฐาน
ดวยจติ ใจของตัวเอง ไมยอมปลอ ยใหเปนไปตามอาํ นาจ กเิ ลส ราคะ
โทสะ โมหะ ถา ปลอยไปตามนั้นแลว ก็เรยี กวา ตกตํา่ หลง เปนคน
ก็กลายเปน สตั วไ ด อยา เขา ใจวา เปน คนแลว กเ็ ปน คนเรอ่ื ยไป สงู เรอ่ื ยไป
แตถาภพใดชาติใดเมื่อใดเราประพฤติปฏิบัติไมดี ทําไมดี พูดไมดี
คิดไมด ี มแี ตอิจฉาพยาบาทอาฆาตจองเวรแกมนุษยแ ละสัตวทง้ั หลาย
ระยะนนั้ จะตอ งต่าํ ตกเปนสัตว สง่ิ เดรจั ฉานกไ็ ด แมจ ะเกิดมาเปน
มนษุ ยเ ปน คนแลว กต็ าม ถงึ ขน้ั เปน มหาเศรษฐมี เี งนิ แปดสบิ โกฎิ สบิ ลา น
สมัยโบราณ มีเศรษฐีคนหนึ่งแกไมคอยเลื่อมใสในพระพุทธเจา
หาเรื่องขัดข้ามพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ ว่าตัวเองเป็นคนมีเงินมีทอง
มีทรพั ยม สี นิ มีอํานาจวาสนา เห็นพระพทุ ธเจาวา ไมดี สูต ัวไมไ ด
คอยติเตียนพระพทุ ธเจา อยทู ุกวัน เวลา แลวก็หารไู มว า ตวั เกดิ มา
เปน คน มนั ตอ งมีเวลาตาย เมื่อแกชรามาก็เกดิ ตายข้ึนมา เศรษฐี
นายนั้นตายแลวก็ไมรูจะไปที่ไหนเลยมาเกิดเปนสุนัขขาหมาบาน
๑๓๘
เฝา บานใหล กู เศรษฐี ธรรมดาเศรษฐีน้ันเวลาพอ แมต ายแลว กผ็ ใู ดเปน
ทายาทมีลกู ก็ใหลกู น้นั แหละเปน เศรษฐี พอลกู เปน เศรษฐี หมาตวั
เศรษฐกี ็มาเกดิ เปนหมาเปนสนุ ขั มาเฝาบา นใหลูกชายอีก แตล กู ชาย
ก็ไมรูวาพอของตัวเองมาเปนสุนัขในบาน เขาใจแตวาตายแลวก็สูญ
เหมือนคนสมยั นีบ้ างคนวา ตายแลว มันก็สูญไปเปน อะไรตอ อะไรไป
แลวไมตองมาอีก ตายครั้งเดียวก็แลวจะกินจะอะไรก็ทําไปตามเรื่อง
อันนี้แหละ คําพูดความเห็นอยางนี้แลวเหมือนสุนัขขาหมาเฝาบาน
ทีนี้วันหนึ่งพระพุทธเจาก็มาพิจารณาสัตวโลกก็ไปเห็นลูกเศรษฐีท่ีตาย
ไปแลว มาเปน เศรษฐีแทนพอ ลูกเศรษฐีเปนคนมบี ญุ บารมี พอท่จี ะสั่ง
สอนได วนั หน่ึงพระองคไปโปรดสัตว ไปบิณฑบาตกลับมาก็พอดผี าน
หนาหอปราสาทของเศรษฐี หมาเศรษฐกี เ็ ลยมาเหา เหา ฮง ฮง ตาม
ประสาหมา ทนี พ้ี ระองคก็มุง หวังเพื่อจะไดโ ปรดลูกเศรษฐี พระองคก ็
แสดงวาจาออกมาวา ดกู ร เศรษฐี เม่อื ทา นยงั เปน มนุษยเ ปนเศรษฐี
อยบู านหลังนี้ ก็ดาใหเราตถาคต ไมร จู ะดา วา อยางไง จนตายแลว กม็ า
เปนสุนขั มาเปนหมาน่ี ก็ยังไมหยุดไมหยอ น ยงั มาดา ใหเ ราตถาคตอีก
จะกัดแขงกดั ขา ยงั ทกุ อยา ง พอวาอยางน้นั ตรสั อยา งนัน้ ขาวนีก้ ข็ จร
ทว่ั ไปในเมอื ง เหมอื นสมยั นท้ี เ่ี ขาพมิ พห นงั สอื พมิ พอ อกมา ขา วตา ง ๆ
กอ็ านดูอยูในหนงั สอื พิมพ ทนี ข้ี า วที่วา เศรษฐขี องเมอื งนั้นตายแลว
มาเปนสนุ ขั มนั เปนไปไดหรือ ทีน้ขี า วนี้ไปเขาหูลูกชาย ลูกชายกเ็ กดิ
ไมพ อใจ เอ! พอของเราเปนเศรษฐจี ะมาเกิดเปนหมาไดหรอื ไมมที าง
เปน ไปได ทีน้ีกจ็ ะทําอยา งไร ตองไปถามพระพทุ ธเจา จงึ จะรู วา ยังงน้ั
ความไมพ อใจขดั เคอื งข้นึ มาในใจ ไปถามพระพทุ ธเจา วา พระองคได
ทานไดวาพอ ของกระผมเปนสุนัขหรอื เออ! ถูกแลว วาอยางนนั้ กแ็ ก
๑๓๙
เปน จรงิ ๆ วันน้ันพอดีมาเหา เราตถาคต แตว าขอเทจ็ จริง ทา นเศรษฐี
ตอ ง ตอ งทาํ อยางนี้ ถึงจะรูจ ักวา เปน พอของตัวเอง คอื ใหปฏบิ ัตหิ มา
ตัวนั้น เอาใจใส จัดทนี่ อนให มอี าหารใหม ันกินตามสะดวกสบาย จนมนั
สนิทสนมคนุ เคย จงึ คอยกระซิบถามท่ีหูของหมาน้ันวา พอไดเ อาทรพั ย
สมบตั ฝิ งไวใ นดนิ ทไ่ี หนบาง บอกลกู ดว ย จะไดไ ปขดุ เอามาใช ดีกวาทิง้
ไวในแผนดิน คอยถามดงั นีก้ บั สุนขั ตัวนั้น ทีนเ้ี ม่อื มันคนุ เคยแลว มันก็
พาไปละ มันไมพ ูดหรอกหมามันไดแ ตเ หา มนั พาไป ธรรมดาคนโบราณ
นั้น ทรพั ยส ินเงินทองเปนของไมเ ปอ ยเนา เขาก็เอาไปฝงดนิ ไว ใสไ ห
๑๔๐
ไวบา ง หมามันกไ็ ปตะกยุ ท่ีน่นั ท่ีนใี่ หอ กี เศรษฐกี ็ไปขุดตามหมาบอก
นนั้ แหละ มันไมพดู บอกแตมนั กเ็ อาเทา เขยี่ ๆ พอเศรษฐมี นั ตายแลวจิต
มันไมตาย ยงั มอี ยู มาเปน หมา เศรษฐีกไ็ ปขดุ ไดข องเยอะแยะ มันตะกุย
ทีไ่ หนกห็ มายไว หมายไว ไปขดุ ไดอีกเปนเงิน เปน คํา เปน ถาด โถ โอง
ไห อนั ใดท่มี นั ไมเ สีย จงึ รูวา เอ! พอเรานีม่ าเปน หมาแท โถ เพราะบเชือ่
คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ไหว้พระสวดมนต์ ไม่นั่ง
กรรมฐานภาวนา ไมน ่ังขัดสมาธิเพชร ผลทส่ี ดุ ก็มาเปน สนุ ัขอยา งนีห้ นอ
แกก็ตงั้ อกตง้ั ใจใหม ตอมากระทงั่ จนไดตกั บาตร ใสบ าตรพระพุทธเจา
พระสงฆสาวกเปนประจาํ น่แี หละคนเรานะ อยาไปถือวา เราดเี ราเดน
คนเดยี วไมได ตองมศี ลี มีธรรม มคี ําส่งั สอน ฟง เทศนฟ ง ธรรมแลว
ตงั้ อกต้งั ใจปฏิบตั ิ เราเกดิ มาเปนคนถา ไมท ําดมี ันไปเปนชั่วกไ็ ด ถงึ ข้ัน
เศรษฐไี ปเปน สนุ ัขกย็ งั มี มากมาย เปน สัตวส ิง่ เดรัจฉานตกนรกเหมอื น
พระเทวทตั อันเรือ่ งบด ีมันเปน ไปได
ดังนั้น อยาใหตัวเราใจเรา ตกไปในอารมณที่ต่ํา ใหมัน
สูงขึ้น ภาวนาพทุ โธ ทกุ ลมหายใจ เอาจิตเอาใจของเราใหได อยา ปลอ ย
ปละละเลยไปเล่ือนลอยไปตามกเิ ลส เปนทกุ ขเปลา ๆ ตายไปเปน ปู
เปน ปลา เขาก็เอามากินกนั หมดในโลก เปน หมู เปน ไก เขาก็เอามา
กินเปนอาหาร มนุษยมันก็กนิ ไปเร่อื ย ถาเราทาํ บด ไี ปเปนสัตวส ิ่ง
เดรัจฉาน ก็ไดชื่อวาตายไปใหเขากินเนื้อกินหนังของตัวเอง กอนจะ
กินเขาก็ฆาใหตายกอน กอนจะถึงตายมนั บใ ชเ ลนเลยเนอ มันเปน ทุกข
เปน รอ นเขาฆาหมูดูไมไดรอ งไปตามเรื่องฉะนั้นผใู ดไมอยากเปน คนชั่ว
คนต่าํ เปนสตั วส ่ิงเดรจั ฉาน ก็ใหต้ังอกตงั้ ใจภาวนาในพรรษาปน้ใี หมนั
๑๔๑
เจริญขน้ึ ใหม นั กาวหนา ไป อยาเพยี งแตพูดเลนหวั สนุกเพลดิ เพลิน
ดีอกดีใจอยกู ับหมูคณะ หรอื วาสง่ิ เหลาน้แี หละ มนั พาใหจ ิตใจผูกพนั
อยใู นวัฏสงสาร ถาเราภาวนา พทุ โธ ภาวนาตาย ทกุ ลมหายใจ
เขา ออก จิตใจมนั ก็จะไดฟน ฟขู ึน้ มา ภาวนาใหจิตใจใหม ันดขี ้นึ เจรญิ ขน้ึ
เมอ่ื ใจมันดขี ึน้ เจริญขน้ึ แลว พน จากความเปนมนุษยก็ได ใหส สู วรรค
เทวโลก พนขน้ึ ไปจนถึงพรหมโลก จนมารแู จงในหลักอริยสจั ธรรม
ท้ังส่ี เห็นแจง ในหลกั อนจิ จัง ทุกขข งั อนัตตา ในกาย วาจา จิต ของ
ตวั เองแลว จิตใจมันก็จะไดพ นออกจากรปู นามกายใจตวั ตนสรรบุคคล
อนั น้ีใหได ถา ไมอ ยางนน้ั แลวก็ คิดไปในอารมณตํ่า ไมว าผบู วชใหม
บวชเกา นน้ั ก็ใหต งั้ ใจข้ึนมา ไมเ พยี งแตวา บวชตามประเพณี พอแม บวช
ใหพ อ บางใหแ มบ างตามใจพอ แมอยา งนั้นอยา งนี้ไมเ พียงพอเม่ือเราได
มาบวชแลวกใ็ หป ฏบิ ตั ใิ หมนั ดขี ้ึน ดีไมด มี ันรไู ดดว ยตนเอง ถาเรา
ปลอ ยปละละเลยไมภ าวนาทุกลมหายใจ จิตมนั ก็ตา่ํ ไป อารมณต่ําก็คือ
มนั กห็ ลงไปตามกิเลส กิเลสน้นั ไมใ ชไมรู มนั รอู ยู แตมนั เลกิ ไมไดล ะไม
ได ถา ไมภาวนา ไมร กั ษาศีลภาวนา ไมมองเหน็ ตัวกเิ ลส หรอื มันเปน
ตัวตน เปน ตวั เรา ของเรา ตวั กู ของกเู ลยนะ บาํ รงุ บาํ เรอตง้ั แตรางกาย
สงั ขารอันเดยี ว จิตมนั กต็ าํ่ ลงไปเร่ือยไป ฉะนน้ั ดวงวิญญาณอนั นมี้ นั
กเ็ ลยตกตํา่ ไป ฉะนั้น ใหพ ากนั ตัง้ อกตั้งใจ ใหจ ิตใจมันตื่นขึ้น รูสึกตวั
ไมน ิ่งนอนใจ จึงจะเจริญกาวไปขางหนา การทําการปฏิบัตินั้นทานวา
ตองมีความเพียร มีความอดความทน
๑๔๒
ภาวนาลา งใจใหสะอาด
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธสั สะ
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สัมพทุ ธัสสะ
นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สัมพทุ ธสั สะ
ขอนอบนอมแดพระผูมีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา
พระองคน ้ัน
ณ โอกาสนี้เปนตนไป เปนโอกาสนั่งกรรมฐานภาวนา หรือวา
นั่งวิปสสนา นัง่ สมาธิ น่งั สมถะกรรมฐาน น่ังวิปส สนากรรมฐาน กค็ อื
ใหพากนั นง่ั ขดั สมาธิเพชร เอาขาซายขนึ้ มาทบั ขาขวากอนแลว กเ็ อาขา
ขวาข้ึนมาทบั ขาซาย ต้ังตัวตัง้ กายใหเ ทีย่ งตรง หลับตา คือการฟง ธรรม
การนัง่ สมาธนิ ไ้ี มเ ก่ียวกับลูกตา เก่ยี วกับหู คือเสยี งน้นั ถา ยทอดไปทาง
เขาทางหู เมือ่ เขา ไปหูแลว จิตดวงจิตผูรมู นั คอยฟง อยูทห่ี ูนนั้ แตคําวา
จติ ใจนีเ้ ปนธาตนุ ามธรรม ในขนั ธ ๕ พระองคท รงตรสั ไวว า รปู หมาย
ถงึ ตวั ขา๒ แขน๒ ศรี ษะ๑ นาม หมายถึง จติ มีเวทนาเสวยอารมณ
สญั ญาจาํ หมาย สงั ขารคดิ นกึ ปรงุ แตง เมอื่ จติ นกึ อะไรแลวกม็ ีความรูสกึ
ไปตามอาการนนั้ อาการของจติ นัน้ มีอยู ๔ อยาง เวทนา สญั ญา สงั ขาร
วิญญาณ มาอาศัยอยูในรปู ขันธ คอื ตวั นี้ รูปขนั ธน้ี ธาตทุ งั้ ๔ ปถวี ธาตุ
๑๔๓
ดิน อาโป ธาตุนา้ํ เตโช ธาตไุ ฟ ความรอน ความอบอนุ วาโย ธาตลุ ม
เมื่อธาตทุ งั้ ๔ นป้ี ระชมุ เปนกอนเปนหนวยแลว ดวงจติ วิญญาณจิต
ผรู ูอนั นี้ กอนที่จะมายดึ เอารปู รา งกายอันนนี้ น้ั ถา เปนคนก็ตายจาก
ภาวะเปน คนแลว แตช าตกิ อ นโนน จงึ เขามายึดถือเอารา งมนษุ ยท คี่ น
เราไดมาอยูเดี๋ยวนี้ ถาเปนสัตวก็ตายจากสัตวแลวจึงไดมาอาศัยเอา
ซึ่งรูปรางกายอันนี้ อันการตายมันเคยตายมานับไมถวนแลว แตมัน
กไ็ มเขด็ ไมห ลาบ เพราะเจา อวชิ ชา จิตไมร ู เปนจติ หลง จะเกดิ ก่ีภพก่ี
ชาตจิ นเรียกวาอเนกชาติมนั กจ็ ําไมได เพราะมนั หลงลืม ไมไดภาวนา
๑๔๔