The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปัญญาปทีปธรรม เล่ม 1 หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-02-26 20:58:59

ปัญญาปทีปธรรม เล่ม 1 หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

ปัญญาปทีปธรรม เล่ม 1 หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

Keywords: ปัญญาปทีปธรรม เล่ม 1,หลวงปู่เปลี่ยน

200 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

อ บ า ย มุ ข

ค�ำ วา่ อบายมุข คือเหตุแหง่ เคร่อื งฉิบหาย ๔ อย่าง เครอ่ื งฉบิ หายกค็ อื เครือ่ ง
หายนะ เครื่องไม่มีประโยชน์ เครอื่ งเสอ่ื มเสียในชวี ติ ของคนทีเ่ ราเกิดข้นึ มาแล้ว ถา้ หาก
เราปฏิบัติตนอย่างนั้นมันก็ไปในทางที่เส่ือมเสียหาย ในชีวิตของคนเราที่เป็นมนุษย์มี
จิตสูง เป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด ทำ�ไมจึงไปตกอยู่ในอำ�นาจของกิเลสอย่างนี้ ความ
เสื่อมเสยี หายอย่างนี้ ก็อยา่ งกล่าวไดว้ า่

๑. ความเป็นนักเลงหญิง เราก็จะรู้จักคำ�ว่านักเลงหญิง แต่นักเลงชายมันก็มี
เหมือนกนั ใชม่ ัย้ ทกุ วนั นเี้ หมือนๆ กนั ซินะ ด้อื เท่าๆ กนั ทงั้ ผู้หญงิ ผู้ชาย ผูห้ ญิงมันก็ดอื้
ไม่ใช่หาวา่ แต่ผชู้ ายเทา่ นัน้ ทเ่ี ป็นนักเลง เขา้ ใจม้ยั ผ้หู ญิงทีป่ ระพฤตติ ัวไม่ดกี ็มอี ยู่ท่ัวบ้าน
ทัว่ เมืองใชม่ ้ัย นักเลงชายน่ันแหละผู้หญิง ถ้าผูช้ ายก็เปน็ นักเลงหญงิ เท่ยี วผู้หญิงกันนะ
แม้จะมีครอบครัวมีภรรยามีลูกก็จะยังเที่ยวอยู่นั่นนะ เกิดเป็นโรคเอดส์จนตายไปก็มี
มากมายหลายคนแล้ว

เม่ือคนประพฤติอยู่เช่นน้ีแล้ว ความเสียหายมันเป็นอย่างไร ประการแรก ถ้า
เรามีครอบครัวอยู่เราก็ผิดศีล เข้าใจบ่ ไปเที่ยวผู้หญิง มันเป็นอย่างน้ี ถ้าเขามีผัวอยู่
เขาไปเท่ียวผู้ชายก็ผิดศีลข้อกาเมเหมือนกัน ประการที่สอง มีอันตรายเกิดขึ้นได้ ถ้ามี
ครอบครัวอยู่แล้วมันจะต้องแตกแยกกัน เราเห็นกันอยู่ว่ามีการทุบตีกันฆ่าฟันกันตาย
เข้าใจมั้ย มันเป็นกันอยู่อย่างน้ี สมมุติว่าผู้หญิงเขามีสามีอยู่นะ ถ้าเราไปเล่นเมียเขาน่ี
เขาก็เสียใจ เขาโกรธ สามีเขาก็ฆ่าเราตายได้ใช่มั้ย มีปัญหาเกิดขึ้นมีอันตรายได้ หรือ

อ ริ ย ท รั พ ย์ ๗ ป ร ะ ก า ร 201

หากวา่ ผู้หญิงมีสามีอยู่แล้วแตไ่ ปชอบผู้ชายคนอืน่ เขากส็ ามารถไปฆา่ สามเี ขาได้ เขา้ ใจบ่
เพราะมนั รกั ผู้อนื่ ชา้ งสาร งูเหา่ ข้าเกา่ เมยี รัก ไวใ้ จบ่ได้นะ ถ้ามนั อยากได้ผชู้ ายคนอื่น
มันก็ปาดคอเราซิ มันจะเอายาเบ่ือให้เรากินตาย ยิงเราตายได้ จ้างคนอื่นฆ่าเราตายได้
มันเสียหายนะ ผู้ชายก็เหมือนกัน ถ้าเขาอยากได้เมียใหม่เขาก็ฆ่าเมียเก่าท้ิงเสีย มันมี
ความฉบิ หายอยา่ งนซี้ ิน่ี เกดิ เรอ่ื งราวฆ่ากนั ไม่มคี วามสงบ ครอบครวั น้ันจะแตกแยกกัน
เป็นทางท่ีเส่ือมเสียในการครองเรือน เข้าใจบ่ เราทุกคนก็ควรจะศึกษาเอาไว้ ประการ
ที่สาม มันเสื่อมเสียเป็นเรื่องเสียเงินเสียทองใช่มั้ย มันวุ่นวายเขาเป็นกันอยู่นี่ เขามา
ฟ้องมือท่ีสองมือท่ีสาม เขาว่าอย่างนั้น เขามาถามปัญหานะ ฉะน้ัน มันมีอันตราย
เกดิ ขนึ้ อย่างน้ี ความเปน็ นกั เลงหญงิ นกั เลงชาย เหมอื นกันนัน่ แหละท้งั ผู้หญงิ ผู้ชาย มนั
ก็ทำ�ความเสือ่ มเสียหายเทา่ ๆ กนั แหละ มนั เป็นอยา่ งน้ี

เหตุฉะนั้น คนท่ีประพฤติเช่นน้ันมันไม่รู้จักอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ตน ความ
ทกุ ขย์ ากลำ�บากเกดิ ขนึ้ ในการมภี าระต่างๆ เสยี ทรพั ย์สมบตั ิ เสยี ศักดศ์ิ รขี องตระกูลด้วย
มนั เสียหายหลายอย่าง จงึ วา่ มนั เปน็ ทางเสือ่ มเสียหาย

๒. ความเป็นนักเลงสุรา คำ�ว่าเป็นนักเลงสุรามันก็ดื่มสุรานี่ ด่ืมน้อยมันก็เสีย
เงนิ นอ้ ย ดื่มมากมนั กเ็ สียเงนิ มากนะ

โทษประการแรก มนั กเ็ สยี ทรัพยส์ มบตั ิ ปรากฏเห็นดว้ ยตนเองแหละ คนด่ืมสรุ า
ประการที่สอง เมามาแล้วกก็ ่อทะเลาะวิวาทกนั เกดิ เรอ่ื งราวทบุ ตกี ันฆา่ กนั กไ็ ด้
ถ้าอาละวาดเกดิ เรื่องเกดิ ราว มนั มแี ตเ่ รอ่ื งราวมากมายเกดิ ขนึ้ ใช่ม้ัย เมาเหลา้ ก่อทะเลาะ
วิวาทเกิดขึ้น ไม่ผิดกับเพ่ือนก็มาผิดอยู่กับคนท่ีบ้าน ผิดกับลูกกับเมียกับผัว กับพ่อแม่
ผดิ กบั พีน่ ้อง มันผดิ หลายอย่าง อาละวาดจากท่เี มาๆ น่แี หละคนเมาเหล้า แลว้ กพ็ ดู มาก
ด้วยนะ เงนิ มีรอ้ ยเดยี วก็ว่ามีสามหมืน่ เอามอื ล้วงกระเป๋าเอาเงินเข้าๆ ออกๆ จนเงนิ นี่
ขาดหมด คนขี้เหล้ามันว่ามีเป็นแสนๆ ล้านๆ มันเป็นอย่างนี้ มันคุยโม้โอ้อวดไปหมด
รถมคี นั เดียวก็คุยโม้ไปว่ามีสิบคนั ในบา้ นมนั มนั เปน็ อย่างนี้ คนพูดมาก

202 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

บัดนี้ โทษประการท่ีสาม ก็คือไม่ละอายใครนะ คนเมาเหล้าน่ี เห็นบ่ เดิน
เซซ้ายเซขวา แอ่นหน้าแอ่นหลังนั่น เดินไปถนนทางนี้ทางน้ัน ล้มอยู่ที่ไหนผ้าหลุดออก
มันก็ไม่ละอายใคร เข้าใจมั้ย ล้มอาเจียนอยู่บ้านของใครก็ไม่ละอายใครท้ังน้ันแหละ
แน่ะ ไม่ละอายใครเลยเสียศักด์ิศรีไปหมด ผู้หญิงผู้ชายถ้าเมาแล้วเท่าๆ กันนะ ถ้าเมา
จนเดินไม่ได้เขาก็หามขึ้นรถไปส่งบ้าน มันเป็นอย่างน้ี ไม่ละอายใคร เห็นม้ัยเขาฟ้อน
ตามถนนหนทางนี่ เกิดไม่ละอาย เมอ่ื พูดกพ็ ูดมากไมร่ ูจ้ ักถกู จักผดิ ไมล่ ะอายใคร

ประการท่ีสี่ ทอนกำ�ลังปัญญา ถ้ากำ�ลังเมาๆ น่ี เข้าไปประชุมในการงานต่างๆ
ก็จำ�เร่ืองอะไรไม่ได้ เห็นม้ัย เมื่อประธานการประชุมอธิบายเรื่องต่างๆ ก็จำ�ไม่ได้เลย
ฟังเทศน์ฟังธรรมจำ�ไม่ได้ทั้งนั้นนะตอนกำ�ลังเมานี่ เขาเรียกทอนกำ�ลังปัญญา ทำ�ให้ไม่มี
ปัญญาเพราะจำ�ไม่ได้ เขาพูดเรื่องราวอะไรต่างๆ ก็จำ�ไม่ได้ ใครอธิบายเรื่องอะไรก็จำ�
ไม่ไดเ้ ลย จงึ เรียกว่าทอนกำ�ลงั ปัญญา

บัดน้ี โทษประการท่ีห้า มันเป็นบ่อเกิดแหง่ โรค คนเมาน่ีเวลาขบั รถก็จะมีอันตราย
ได้ มันเสียหลัก ขับรถก็ไปชนที่โน่นท่ีนี่ ตกเหว ชนต้นไม้ ชนหลักกิโลเมตรอะไรต่างๆ
หรือไปชนเสาไฟฟ้า ชนรั้วเขาก้ันถนนไว้ ชนรถคนอ่ืนเขาเลยซิเมาเหล้า เกิดความ
เสียหาย เปน็ โรคอนั ดับหนึ่งเลยใชม่ ั้ย น่แี หละอนั ดับหนึง่ เลย ตายโดยเร็วๆ เลยทเี ดยี ว
น่ันน่ะ อุบัติเหตุเกิดข้ึนเพราะเมาเหล้า ถ้าเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ก็เป็นโรคตับแข็งตับบวม
โรคอัมพฤกษ์อัมพาตเขาเป็นกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นเรื่องของคนท่ีเขาชอบด่ืมเหล้าท้ังน้ัน
แหละ เหลา้ มันเปน็ ของร้อนไปไหมต้ บั ตบั ซีดหมด ตบั อักเสบ ตับแขง็ ตับบวม แลว้ ก็
เป็นโรคกระเพาะ ตาฝา้ ฟาง มโี ทษหลายอย่าง เห็นบ่ เปน็ อมั พฤกษอ์ ัมพาต เขาเปน็ กัน
ทกุ วนั น้ี มแี ต่เป็นนักเลงเหลา้ มาก่อน เรากเ็ หน็ กันอยอู่ ย่างนี้

บัดน้ี ประการที่หก บุคคลอ่ืนเขาก็ต้องติเตียน ถ้าเมาทุกวันๆ นี่ ถ้าเป็นเพื่อน
ของเราเมาทุกวันๆ แต่เราไมเ่ มากบั มันใชม่ ัย้ เรากต็ ้องคิดวา่ เอ้..ไอ้น่ีมันเมาเหล้าทกุ วัน
เราก็คิดติเตียนเขา เด๋ียวก็มาขอเงิน เราได้เงินเดือนเท่ากัน มาขอเงินเราไปซื้อเหล้ากิน
มันจะเกลยี ดกันซิ เขา้ ใจบ่ เอาไปซือ้ เหลา้ กนิ มีเงนิ เดอื นเทา่ กันอยูแ่ ตม่ ันเอาไปซ้อื เหลา้

อ ริ ย ท รั พ ย์ ๗ ป ร ะ ก า ร 203

กินจนเมาทุกวัน ไม่รเู้ รอ่ื งดแู ลลกู เมียเลย มนั ก็มาขอเราบอ่ ยๆ เหน็ บเ่ ขาเป็นกนั มนั เปน็
อย่างนี้ ผู้หญิงถ้ามันเมาก็เหมือนกัน เขาจะลืมลูกลืมผัวไม่รู้ล้มนอนอยู่บ้านใครล่ะ เขา
เรียกว่าเสียหาย คนอื่นเขาติเตียน เอ..ไอ้ข้ีเมาล่ะ เขาเรียกคนขี้เมา คนเฒ่าคนแก่คน
มีศีลธรรมหรือเพ่ือนฝูงเขาก็ติเตียนนะ ต้องติเตียน เขาอาจจะถาม ถ้าเป็นผู้ชายมีเมีย
เมียใครกำ�ลังเดินมา เมียไอ้ข้ีเหล้า ลูกใครเดินมา ลูกไอ้ข้ีเหล้าอีก พ่อก็พ่อไอ้ขี้เหล้า
แม่ไอ้ขี้เหล้า เขาเห็นคุณตาเดินมา โอ้..หลานกินเหล้าเก่งน่ัน ยายมันเดินมา เขาก็ว่า
หลานกินเหล้าเก่งนะยายน่ี เสียทั้งข้ึนท้ังล่องเลยคนเมาเหล้าเนี่ย เสียศักด์ิศรีของ
ตระกูล เข้าใจบ่ นามสกุลมันอย่างไรแซ่อะไรน่ี เอาล่ะน่ีเขาจะถามหา ท้ังๆ ที่เราเสีย
คนเดียวนะ เราเมาเหล้า แต่เขาติเตียนทั้งตระกูล เข้าใจบ่ ถ้าวงศ์ตระกูลมันเป็นคนดี
ทุกคน เขาก็เป็นคนดีอยู่ไม่เสียหายอะไร แต่เราเป็นคนเสียคนเดียว เขาก็ติเตียน คน
เมาเหล้าจะเป็นอย่างน้ี เหตุฉะนั้น ถ้าหากเรารู้โทษของการด่ืมสุราก่อน เราจึงจะรู้จัก
วาง ไมด่ ืม่ สุรา มันเป็นอยา่ งนั้น ความเปน็ นักเลงสรุ า

๓. ความเปน็ นกั เลงการพนนั โทษของมันน่ี ประการแรก เม่อื ชนะยอ่ มก่อเวร
ทำ�ไมจึงก่อเวรเม่ือเราชนะ เราเล่นการพนันได้เงินเขา เขาก็จะหมดตัว แต่เราจะไม่ไป
เลน่ กับเขาอกี บดั นี้ เขาโกรธเรา เขากจ็ ะตามฆา่ เราได้ เขาผูกเวรเอาไว้นน่ั แหละ เราก็
ต้องไปเล่นการพนันอีกนั่นแหละ มันเป็นอย่างนี้ ชนะย่อมก่อเวร ประการท่ีสอง เม่ือ
แพ้เราเสียเงินย่อมเสียดายทรัพย์ท่ีเสียไป เข้าใจบ่ มันเสียมาก การเล่นการพนันน่ี
มันเป็นอย่างนี้ ประการท่ีสาม ไม่มีใครเชื่อฟังคำ�ส่ังสอนของตน ประการท่ีสี่ เป็นท่ี
หมนิ่ ประมาทของเพ่อื น แลว้ กป็ ระการที่ห้า ไม่มใี ครประสงค์จะแตง่ งานดว้ ย เอาแหละ
น่ี คราวนี้คนท่ีเล่นการพนันเหมือนกันนะ ผู้หญิงผู้ชายมันแต่งงานกันได้ ผัวก็เล่นเมีย
กเ็ ลน่ ไม่ดีกนั ทง้ั ค่เู ลย เห็นบ่ว่าซอ้ื หวย สามีภรรยาเวลาซื้อเบอร์ซอื้ หวยน่ีไมผ่ ดิ กันหรอก
เพราะมันอยากได้เงินทั้งคู่ เสียหมด การพนันนั่นแหละ เพื่อนฝูงเขาก็ไม่อยากคบหา
สมาคมด้วย ไม่อยากเช่ือถือกันแล้ว ถ้าต้องติเตียนก็ต้องติเตียนเหมือนกันนะ ถ้าเราจะ
เพิ่มเขา้ ไปอกี ก็คนที่มวั แต่เลน่ ไพน่ ะ ไม่ท�ำ การทำ�งานก็ฉบิ หาย

204 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

ทนี ี้ คนเล่นการพนนั นม่ี ันรวยบ่ ไปเลน่ ไมร่ วยซิ แต่วา่ รัฐบาลรวย ไม่รวยมันก็
ทะเลาะแย่งเงินกันนะ รัฐบาลจึงว่าไม่มีเงินก็เบิกเอาเงินที่คลังไปใช้กัน ทำ�เป็นเล่นนะ
มันเสียหาย นี่แหละเล่นการพนัน ทำ�ให้เสื่อมเสียหาย ไม่ดีไม่งาม ท่านจึงบอกว่าเป็น
ทางเสอ่ื มเสียหาย ฉะน้ัน พวกเราควรพากันมาศึกษาเร่ืองธรรมะทพี่ ระพุทธเจา้ ตรัสห้าม
เอาไว้ มนั เกิดมีเร่อื งราวอยา่ งนี้

๔. คบคนช่ัวเป็นมิตร ถ้าเราคบคนชั่วเป็นมิตรนี่เป็นเร่ืองใหญ่ ไม่ว่าเราจะเป็น
ฆราวาสหรือเป็นพระก็แล้วแต่ เราจึงควรรู้จักว่ามิตรแท้ มิตรเทียม คนช่ัวนั่นเป็นยังไง
ถ้าเราไปคบคนชั่วเขาอยู่ในระดับน้ีหมดล่ะ คนชั่วหลงอยู่ในอบายมุขนี่ นักเลงหญิงก็
อยู่นัน่ ล่ะ นกั เลงการพนนั กอ็ ยนู่ ่ันละ่ นักเลงกนิ สุราก็อย่ใู นน้ันละ่ นักเลงเล่นไพ่เล่นไฮโล
อะไรมนั อยใู่ นน้ันหมด เทยี่ วกลางคืนเกง่ กอ็ ยู่ในนนั้ ล่ะ ขี้เกยี จทำ�การงานอะไรต่างๆ มนั
อยใู่ นนน้ั เขาเรยี กว่ามติ รเทยี ม

พอเราไปคบคนด่ืมเหลา้ มันก็ชวนเราด่มื เหล้า เข้าใจบ่ ไมถ่ ึง ๑๕ วนั หรอก ไป
คบมนั เถอะ มันดื่มเหล้าทกุ วนั มนั ชวนเราดื่มแน่ มันเปน็ อย่างน้ี ถา้ มนั เป็นนกั เลงหญิง
มันกช็ วนเราไปเท่ียวผหู้ ญงิ นั่นล่ะ เพราะเราไปคบมัน เอาละ่ น่กี ารพนนั มันกช็ วนเล่นไพ่
เล่นไฮโลอยู่นั่นล่ะ แน่ะเราไปคบกับเขา มันก็เป็นอย่างนี้ เท่ียวกลางคืนก็ไปตะลอนๆ
หมดคืนเลยนน่ั ละ่ ดูหนังดลู เิ กละครกันนั่นละ่

ถ้าเราไปคบขโมยนั่นเขาจะชวนเราไปขโมยสิ่งของ มันเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าไป
คบกับคนคอรัปช่ัน มันก็ชักชวนเราไปคอร์รัปช่ันโกงกินเงินคนอื่น เข้าใจบ่ เหมากัน
หมดเลย ถ้าเราไปคบคนช่ัวคนผิดศีลธรรม เขาจะพาเราไปทำ�ไม่ดีไม่งามเลย ไปคบกับ
พวกที่ชอบตีกันอีกนี่นะ ยกพวกตีกันมันก็จะพาไปตี กรุ๊ปมันไม่ดี เอ้า..มันเป็นอย่างน้ี
แหละ ถ้าเราไปคบคนเกียจคร้านไม่ทำ�การทำ�งาน เอา..น่ีมันอยู่ในกลุ่มอบายมุขนี่ มัน
จะพาเราไม่ทำ�การทำ�งานมีแต่เที่ยว มาบ้านก็หารบกวนกินข้าวกินนำ้�อยู่กับพ่อแม่
เข้าใจบ่ ขอเงินพ่อเงินแม่ ไม่ให้ก็ตีฝาบ้านใส่ ผิดกันนี่ บางบุคคลก็ประพฤติตนไม่ดี
ไม่ฟังคำ�สั่งสอนของพ่อแม่เลย ไปโรงเรียนก็ไม่ไป ไม่ศึกษาเล่าเรียน มันเสียหาย ก็

อ ริ ย ท รั พ ย์ ๗ ป ร ะ ก า ร 205

เรียกว่าเป็นคนพาลเป็นคนไม่ดี ตกอยู่ในหมู่อบายมุขเป็นสิ่งท่ีไม่ดีนะ มิตรเทียมนี่
เข้าใจบ่

มติ รเทียมมนั เหมอื นว่า มติ รปอกลอก มิตรดแี ต่พูด มิตรหัวประจบ มิตรเหน็ แต่
ได้ฝ่ายเดียว เวลามีการงานมีเรื่องมันชวนขอเราไปช่วย แต่เวลาเรามีงานขอมันมาช่วย
มันไม่มา ระวังให้ดีเถอะนะ พวกนั้นแหละมันปอกลอก ถ้าเป็นมิตรปอกลอกมันจะเอา
ของเราอย่างเดยี ว ดแี ต่พูด พูดเกง่ แต่ขเี้ กียจขี้ครา้ น คนหัวประจบ ประจบประแจงเรา
จะเอาเงนิ เราไป จะยมื เงนิ เราไป วา่ ๓ วนั จะส่งคืนให้ ๓ เดือนกไ็ ม่สง่ เดี๋ยวมายืมรถไป
มันเอาไปขายระวังให้ดีเถอะ ยืมนาฬิกาไปเด๋ียวเอาไปขายหายจ้อยเลยนะ ระวังให้ดี
เถอะมันเป็นเช่นนี้ แล้วมันประจบประแจงเก่ง เขาเรียกว่าหัวประจบ มีแต่เห็นแก่ได้
ฝ่ายเดียว ถ้าจะค้าขายร่วมกันหาเงินร่วมกัน ถ้าได้กำ�ไรสักหม่ืนหน่ึงหรือแสนหน่ึงก็
แล้วแต่ หม่นื หน่ึงมันจะเอาแปดพนั แลว้ แสนหนงึ่ มนั จะเอาแปดหมื่นมันให้เราสองหม่นื
เห็นแต่ได้ฝ่ายเดียว เข้าใจบ่ ไม่แบ่งครึ่งเลยกำ�ไรของการค้าเนี่ย นั่นแหละมันเห็นแต่ได้
ฝา่ ยเดยี ว

เวลามีเร่อื งราวอะไร มันเกดิ ทกุ ข์ข้ึนมา มนั จะมาขอเราซิ ใหเ้ ราช่วยมันเรือ่ งนัน้
เรื่องนี้ ชว่ ยเงนิ ไปมันเอาไปเลน่ หมด เลน่ บอลหมดเกล้ียงเลยนะเลน่ การพนนั มาขอเงิน
แล้วผิดกัน ผัวกับเมียก็แตกกันอยู่เชียงใหม่หลายคู่อยู่ ท่ีเชียงใหม่เล่นฟุตบอลโลกเป็น
๓ แสน ๕ แสนอะไรกันน่ีเขาลงกัน ผิดกันแหละ เถียงกันแหละ แยกกันผัวกับเมีย
ผิดกันเกิดจากเรื่องเล่นการพนัน มีกันมากเลยทีเดียวเร่ืองมิตรเทียม เราก็ควรพากัน
ศึกษาใหร้ ้ดู ๆี นะ

ทีน้ี เรามาคิดซินี่ มิตรแท้นั้นคืออย่างไร เราจะศึกษาเร่ืองมิตรแท้ มิตรแท้น่ีคือ
มติ รที่เขารักใคร่เรา เขารกั เราเหมอื นกับตวั ของเขาเอง เขาห่วงเรา ส่วนมิตรแนะประโยชน์
น่ี ถ้าเราทำ�อะไรไม่ดีนี่เขาจะห้าม ถ้าเราพูดอะไรไม่ดีเขาก็ห้ามไม่ให้พูด ถ้าเราคิดอะไร
ไม่ดี อดุ มการณ์ไมด่ ีเขาก็ไมใ่ ห้คดิ เขาแนะน�ำ ประโยชน์ใหเ้ รา เขาแนะน�ำ ใหเ้ ราท�ำ ความดี
ทำ�คุณงามความดีที่ไม่ผิดจากศีลธรรม เขาแนะนำ�ให้เราพูดจาปราศรัยอยู่ในหลักศีลธรรม

206 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

เขาแนะนำ�ให้พวกเราเป็นคนที่คิดดี คิดแต่มีความสุข ไม่มีความเดือดร้อนในการทำ�
การพูด การคิด เขาเรียกว่า มิตรแนะประโยชน์ แนะประโยชน์ให้เราได้ประโยชน์ ไป
คบคนดี มิตรแท้เขาก็ปฏิบัติตนเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องศึกษาเพ่ือให้รู้และเข้าใจในมิตรแท้

บัดนี้ มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข ก็คือการอยู่กินหลับนอน หากไปบ้านเพ่ือน เพื่อน
จะจดั ให้มอี าหารการกิน ใหอ้ ยกู่ ินนอนบ้านเพื่อนกไ็ ด้ เวลาขับรถขับเรือเวลาไปโนน่ ไปน่ี
เพ่อื นขบั ใหเ้ รากไ็ ด้ หรอื เราขบั ใหเ้ พ่อื นก็ได้ เพราะเปน็ เพอ่ื นรว่ มทุกข์ร่วมสขุ เวลามีรถ
มีเรือก็เพ่ือนยืมไปก็ได้ เขาก็จะรักษาของเพ่ือนอย่างดีเลย ให้เขายืมรถไปเขาก็รักษา
ความปลอดภัยของรถ รักษาความสะอาด เติมน�้ำ มันให้ แล้วกก็ �ำ หนดมาสง่ นคี่ ือเพ่ือน
ที่แท้จริง ถ้ารถเราเสียเราก็ไปเอารถเขามาใช้ เข้าใจบ่ ถ้ามีคนละคัน มิตรท่ีร่วมทุกข์
ร่วมสุขกัน อยู่กินหลับนอน อาหารการกินมียังไงก็แบ่งกันกิน เวลาเขาเกิดขัดข้องไม่มี
เงินก็เอาเงินให้ไปใช้ แต่ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็เอาให้เรามาใช้ มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุขก็เป็น
อย่างนี้ รักพ่อรักแม่ของเพื่อนเหมือนพ่อแม่ของตนเอง รักครอบครัวของเพ่ือนกับ
ครอบครัวของตนเองเหมือนกัน ดูแลซึ่งกันและกัน เวลาเจ็บป่วยก็ไม่ท้ิงกัน เข้าใจบ่
เวลาเจ็บป่วยเกิดขึ้นต้องดูแลซึ่งกันและกัน เราก็ไปดูแลเขาถ้าเขาเจ็บป่วย แต่บางทีถ้า
เพ่ือนไม่มีเงินเราก็จ่ายค่ายาให้ เวลาเราป่วยเขาก็จ่ายค่ายาให้เราได้ เป็นอย่างนี้แหละ
มติ รร่วมทกุ ข์รว่ มสุข เราก็ควรแสวงหาบุคคลที่เปน็ มิตรแท้ดังได้กล่าวมา

ถึงแม้ค้าขายอะไรมาเขาก็แบ่งกำ�ไรคร่ึงหนึ่ง เข้าใจบ่ สมมุติค้าขายกันได้เงินมา
ถ้าต้องไปเมืองนอกค่าเครื่องบินเท่าไหร่ เราจะคิดค่าเครื่องบินให้ คนเป็นเพ่ือนนะ
เขาจะมีความคิดว่าวันนี้คนน้ีไป ถึงวันหน้าเราไป ราคาเคร่ืองบินไม่คิดจะเอาหรอก
แสนกว่าบาทหรือสองแสนเพราะได้เงินมาเยอะแล้ว เขาเรียกว่าเป็นคนท่ีเป็นมิตรแท้
ไม่ละทิ้งกันในยามตกทุกข์ได้ยากอะไร ต้องดูแลซึ่งกันและกัน เราก็ควรแสวงหาคบ
มิตรแท้ เขาเรียกสังคมศาสตร์ เรียนสังคมศาสตร์เพ่ือให้รู้จักสังคม ถ้าหากเราไม่เรียน
เราจะผิดพลาดได้ง่าย ผิดพลาดในการคบคนนะ เห็นว่าเป็นคนน้ีคบไปเลย เราต้องดู
คนให้ดีกอ่ น แม้ดูวา่ ดดู ีอยู่มันยังพลาดได้ เข้าใจบ่ อย่างการค้าขายนี่ ถ้าเราไดเ้ พ่อื นแท้

อ ริ ย ท รั พ ย์ ๗ ป ร ะ ก า ร 207

นี่ก็จะหมดปญั หา ไม่มปี ญั หาอะไร แต่ถา้ มันไมเ่ ปน็ มิตรแทน้ ี่ เมื่อค้าขายกนั ปหี นึ่ง ปีต่อไป
มนั หาโอกาสหักหลังเรา เขา้ ใจบ่ มันหักหลังคือว่ามันโกงเรา แลว้ เปน็ ปญั หาใหญแ่ หละ
เรื่องอย่างนี้ มกี นั มากมายเยอะแยะนะ

ถ้าหากคนค้าขายร่วมกันเป็นมิตรแท้ ค้าขายกันอยู่มันซ่ือสัตย์ต่อกันตั้งแต่
เริ่มแรก เขาซ่ือสัตย์ต่อเรา เราก็ซื่อสัตย์ต่อเขาซิ ๓๐ ปีก็ไม่ทิ้งกัน เข้าใจบ่ ค้าขายกัน
กับมิตรแท้ น่ีมันเปน็ อยา่ งน้ี เราจะไปเรียนหนงั สอื เราจะไปทำ�การท�ำ งานทกุ สิ่งทุกอยา่ ง
เราควรที่จะแสวงหามิตรแท้ มิตรเทียมนี่ก็รู้จักว่าคนน้ีไม่ดี เราก็จะไม่ไปคบหาสมาคม
สมัครรักใคร่ สนิทสนมกลมเกลียว แต่เมื่อเวลาเราคบกับเขาเราก็พูดคุยกันได้ แต่เรา
จะไม่สังคมกับเขา แต่ถ้ามิตรแท้นี่ เราก็สามารถสนิทสนมกลมเกลียว ไปมาหาสู่สมัคร
รกั ใคร่กนั อยูด่ ว้ ยกัน ท�ำ งานร่วมกนั ไปได้อยา่ งยนื ยาว จนเฒา่ จนแก่ได้ ไม่เปน็ ไร ไมม่ ี
ความเสอ่ื มเสียหายอะไร

บดั น้ี พระพุทธเจ้าจึงให้คบมติ รแท้ เขา้ ใจบ่ เราควรพากันศึกษาและรู้จกั มติ รเทียม
วา่ เปน็ คนไมด่ ี เป็นคนพาล พาไปหาผิดตลอดเลยคนพาล เราควรไปคบบณั ฑิต คบคน
พาลพาไปหาผดิ คบบณั ฑติ พาไปหาผล คบคนชว่ั พาไปใหต้ วั ยากจน คบคนดีมศี รแี ก่ตน
ท่านได้เขียนเป็นโคลงไว้ ควรที่เราจะศึกษา นี่แหละเราอยู่ในโลกนี้เราอยู่คนเดียวไม่ได้
เข้าใจบ่ ก็ต้องเข้าใจเร่ืองน้ี ไปอยู่ประเทศไหนก็อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องมีเพื่อน แต่การ
ที่จะสังคมกบั เพ่อื นนน่ั น่ะเป็นเรือ่ งใหญ่

พระพุทธเจ้าจึงสอนไว้ในมงคลสูตร อเสวนา จ พาลานํ การไม่คบคนพาลเป็น
มงคล ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา การคบบัณฑิตเป็นมงคลอันประเสริฐ เป็นบ่อเกิดแห่ง
คุณงามความดี บณั ฑติ ก็คือมติ รแท้นัน่ เอง แต่บัณฑิตจะลกึ ลบั สอนศลี ธรรมลกึ ซึง้ เข้าไป
กว่าเพื่อนของเรา เพ่ือนก็สอนเรา สมมุติเราจะทำ�ส่ิงไม่ดี เพื่อนก็พูดเตือนสติให้เราละ
มนั เป็นอย่างน้ี

208 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

เหตุฉะนั้น ถึงแม้ว่าเราบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ให้รู้จัก
การคบหาสมาคม ไมใ่ ชจ่ ะคบกันไปหมดนะพระ บางทีเขาบวชปลอมมาเราก็เสียหายไป
กบั เขา เป็นอลชั ชปี ลอมบวชมา ทนี ้ีคนบวชจริงเขาปฏบิ ตั ดิ ี เรากห็ าคบผปู้ ฏิบตั ดิ กี วา่ เรา
เราก็คบหาสมาคมศึกษากับภิกษุองค์น้ัน เพ่ือท่านจะสอนเรา แนะนำ�หนทางให้เรา
ชักจูงเราไปในทางท่ีดี พระพุทธเจ้าก็สอนไว้อย่างน้ี ให้ดูคน ให้ดูครูบาอาจารย์ ดูผู้พา
ปฏิบัติผู้นำ�ทาง เข้าใจบ่ คนนำ�ทางไม่ดีก็พาหลงไป เข้าใจม้ัย หลงก็มีแต่ทุกข์ซิถ้าหลง
ในโลกนี้ถ้าเรามีความหลงมันก็มีแต่ความทุกข์ท้ังนั้น หลงทางมันยังค่อยยังชั่ว คอยถาม
คนอนื่ เขาแลว้ กก็ ลบั คืนมาได้ง่ายหนอ่ ย แต่ถ้าหลงใจแลว้ มนั คนื ยาก เข้าใจบ่ หลงมดื มน
อนธการมัวไปหมดเลย หลงใจน่ี ถ้ามันหลงไปจริง มืด กลุ้มใจเลยไม่มีทางออก มัน
ตัดสินใจผิดล่ะซเิ น่ยี แลว้ กไ็ มม่ ที างออก เหตฉุ ะนนั้ เราจึงตอ้ งศึกษาเอาไว้ อบายมขุ เปน็
สิง่ ทส่ี ำ�คญั ท่านจดั ไว้อบายมขุ ๔

บัดน้ี อบายมุข ๖ มันมีเพ่ิมเติมอบายมุขเป็นเคร่ืองฉิบหายอีก อย่างการดื่ม
นำ้�เมาเราก็รู้จักแล้ว การดื่มนำ้�เมามีโทษดังได้กล่าวมาน้ัน อย่างเท่ียวกลางคืนน้ีมัน
มีโทษยังไงล่ะน่ี เที่ยวกลางคืน หน่ึง คนมีทรัพย์สมบัติไม่รักษาทรัพย์สมบัติ สอง ไม่
รกั ษาลกู เมีย เปรียบเทยี บกบั ผู้ชายไวง้ น้ั นะ

บัดนี้ ข้อท่ีเพิ่มเติม ๕. ไปเท่ียวดูการละเล่น รำ�ท่ีไหนไปท่ีนั่น ซอท่ีไหนไป
ท่ีน่ัน เถิดเทิงท่ีไหนไปท่ีนั่น ดีดสีตีเป่าที่ไหนไปที่น่ัน มีเพลงที่ไหนไปที่น่ัน ถ้าหากเรา
ไปที่นัน่ ประการแรก ก็เสียเงนิ ทง้ั นน้ั ซิ บัตรหนึง่ เทา่ ไหร่ล่ะ ๕๐๐ หรอื ๑,๐๐๐ ขน้ึ ไป
เขาเกบ็ กันน่ะทุกวันนต้ี ามความนยิ มของคน บัตรไมเคลิ แจ็คสันมัน ๓,๕๐๐ นะ่ ถ้าเรา
ไปดูนักร้องเพลง ไปดูมันเต้นย็อกๆ แย็กๆ ก็เสียหลายตังค์อยู่นะ ตามราคาค่าบัตร
เข้าชม ประการทีส่ อง เสยี ท่ไี ม่รกั ษาสุขภาพของตนเอง เข้าใจบ่ ไม่ไดห้ ลบั ได้นอน น่ีแหละ
โทษของมนั นี่ บดั นี้ ประการทีส่ าม อาจถูกใส่ความได้ ค�ำ วา่ ถูกใสค่ วามนคี้ อื เหมือนวา่
เราไปดีๆ นี่แหละ ไปฟังดนตรีมาหรือไปดูหนังมาน่ีนะ เราดีๆ นี่นะแต่เราเดินมาเจอ
ตรงที่เขาปล้นกัน หรือว่าเขาขโมยของกันนี่นะ หรือเขาแย่งกระเป๋ากัน เขาวิ่งหนี
เราเดินมา ตำ�รวจก็มาเจอเราในที่นั่นอยู่พอดี พวกทำ�ผิดกฎหมายเขาว่ิงหนีกันหมดแล้ว

อ ริ ย ท รั พ ย์ ๗ ป ร ะ ก า ร 209

เหตุการณ์ตรงนั้นตำ�รวจก็สงสัยเราใช่ม้ัย ตำ�รวจสงสัยว่าคนน้ีแหละมันอยู่ในแถวนี้ อยู่
สถานการณ์ตรงนี้แหละ เขาก็หาเร่ืองใส่ความแก่เราได้ เพราะเราอยู่ตรงนั้น เราจะมี
ความลำ�บาก จะทุกข์ยากลำ�บาก ต่อมาเจ้าหน้าท่ีตำ�รวจเขาก็จะนัดเราไปสอบสวนท่ี
ศาล เข้าใจบ่ ไปให้ความ แล้วเขาก็นัดไปแล้วก็นัดไปเร่ือยๆ ทำ�ให้มีความลำ�บาก
เกิดขึ้นแก่ตน นั่นแหละเที่ยวกลางคืนมีโทษอย่างน้ี ท้ังๆ ที่เราเป็นคนดีนะ ไปดูหนัง
ดูลเิ กดูละคร แต่มาเจอเหตุการณอ์ ย่างน้ี ก็เลยถูกซักฟอกซิ แลว้ ก็นดั ขึน้ ศาลบอ่ ยๆ ยงุ่
ละ่ ซิ เป็นอย่างน้แี หละ น่ีการเท่ยี วกลางคืนมันมีโทษอย่างน้ี เราควรศกึ ษาให้รู้

ในอบายมขุ ๖ ก็มเี รอ่ื งการพนนั อีก เราก็ได้อธบิ ายเรอื่ งการพนนั ไวแ้ ล้ว แล้วกม็ ี
เร่ืองการคบคนช่ัวเป็นมติ รเชน่ กนั

บัดน้ี ข้อที่เพิ่มเติมอีกคือ ๖. ขี้เกียจทำ�การงาน คร้ันต่ืนเช้าอยู่ มันก็ว่าเช้า
ไม่ไปทำ�การงาน มันว่ายังเช้าอยู่ ครั้นตื่นสายมันว่าสายแล้ว ไม่ไปหรอกทำ�งานน่ะ มัน
สายแล้ว มันอ้างว่ามันสายมันไม่ไปทำ�งาน ถ้าหากอากาศร้อนมากมันก็หาว่าอากาศ
ร้อนมาก ไม่ไปทำ�การงานหรอกมันร้อน ถ้าหนาวมากมันก็ว่าหนาวมาก มันไม่ไปทำ�
การงานหรอก มันหนาวมาก ไม่เอา เวลามันกระหายนำ�้ โอย้ ..กระหายนำ�้ ไม่ท�ำ การงาน
หรอก มันกระหายนำ้� เดี๋ยวมันหิวข้าว มันก็อู้ย..หิวข้าว ไม่ได้ทำ�การงานหรอกมันหิว
มนั อ้างตัง้ หกอย่าง เขาเรียกวา่ คนข้เี กียจทำ�การงาน ไมไ่ ด้ผลละ่ ซิ งานไมส่ ำ�เรจ็ ซกั อยา่ ง
ล่ะถ้าอ้างอย่างน้ี เข้าใจบ่ ทำ�การทำ�งานต่างๆ หากอ้างกาลอ้างเวลาอย่างน้ี ก็ทำ�
การงานไม่สำ�เร็จตามประสงค์

บัดน้ี ตรงนี้แหละมีแต่ทางเส่ือมเสียท้ังน้ัน มันเป็นอย่างน้ีล่ะทางฉิบหายท้ังน้ัน
คนจะไม่เจริญรุ่งเรือง จะไม่ม่ังมีศรีสุขมีเงินมีทองมีสิ่งมีของ มันเสียหายคือว่าเป็นทาง
ฉิบหาย ทางฉิบหายกค็ อื ไม่ได้มีเงินมที อง ทุกข์ยากลำ�บากในชวี ิตของเราน้ี มันเสียหาย
เปล่าประโยชน์ เหตุฉะน้ัน พวกเราต้องมาศึกษาเรื่องอย่างนี้นะ ดูเอาเองซิ ศึกษา
ทางกวา้ งเลย พูดเอาไวน้ ิดๆ หนอ่ ยๆ เราก็ตอ้ งมาขยายเอา เข้าใจบ่ มาขยายวา่ มันเปน็
อยา่ งนีๆ้ มันจะรวมอยใู่ นเรอ่ื งทางเส่อื มเสยี หายหมด

210 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

คำ�วา่ อบายมขุ อบายแปลวา่ ไม่สบาย มขุ แปลว่าประตหู รอื ทวาร อบายมุข จึง
แปลว่าทวารท่ไี มส่ บาย ถา้ บคุ คลใดเปดิ ประตนู เ้ี ข้าไป บคุ คลนั้นจะไมส่ บาย จะฉิบหาย
จะเสื่อมเสีย ถ้าบุคคลใดหลงเข้าไปในคาสิโนก็จะเป็นทางให้เส่ือมเสียกิจการงาน การ
เดินเข้าไปประตูนั้นก็คือไปคบหาสมาคม ไปมาหาสู่สิ่งเหล่าน้ี ก็จะแปลว่าเราเข้าไปผิด
ประตูแล้ว มุขแปลว่าปาก แปลว่าประตู แปลว่าทวาร คราวน้ีถ้าเราเดินเข้าไปเหมือน
เราเดินทางผิด เข้าใจบ่ ถ้าเราเดินทางผิดจะไปเมืองโน้นเมืองน้ี มันผิดตลอด เข้าใจมั้ย
มันก็เกิดทุกข์ จะเกิดทุกข์ตลอดเลยถ้าเราไปในทางที่ผิด เราก็ควรท่ีจะศึกษา มันเป็น
เรื่องใหญ่เราก็เลยอยากให้ศึกษากันเรื่องอย่างนี้ มันเป็นเรื่องใหญ่ในการที่เราสังคมอยู่
ในโลก ถ้าหากเราศึกษาเร่ืองน้ีเข้าใจ เราจะได้เข้าสังคมที่ถูกต้อง ในชีวิตของเรานี่ เรา
จะได้เจริญ จะไม่ไปในทางเสื่อมเสียหายในชีวิต เหตุฉะนั้น จึงเป็นสิ่งจำ�เป็นในการ
เข้าสังคม เร่ืองใหญ่นะ การเข้าสังคม จะไปอยู่ประเทศไหนก็ต้องมีเพ่ือน อยู่คนเดียว
ไมไ่ ด้ ก็ตอ้ งหดั เปน็ คนฉลาดนะ จะไดเ้ ขา้ ใจ

ทีน้ี มิตรแท้มิตรเทียมน่ีเป็นตัวสำ�คัญ เหตุฉะน้ัน พวกเราก็เลยเรียนสูงข้ึนไป
ลึกลับกว่าน้ี ลึกลบั กว่ามิตรแทน้ คี้ อื ใคร เขาเรียกวสิ าสะ เข้าใจบ่ ทางธรรมะเรยี กวสิ าสะ
คำ�ว่าวิสาสะน้ี รักมากกว่าห่วงใยมากกว่ามิตรแท้ มิตรแท้น่ีก็ว่าดีแล้ว ควรคบ แต่
วิสาสะนั้นจะลึกซ้ึงมาก คำ�ว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขซึ่งกันและกันน้ี วิสาสะนี่เขาจะลึกซึ้ง
สมมุติส่ิงของต่างๆ น่ี เครื่องใช้ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันใช้เหมือนอย่างเดียวกันเลย อย่าง
รถนนี้ ะ ถา้ เรามรี ถเวลารถเขาเสียเอารถเราไปใช้สบายเลย วิสาสะน่ี ลึก ลกึ มาก ถ้าไป
เท่ียวด้วยกันล่ะน่ี เท่ียวด้วยกันแล้วไปถึงบ้าน สมมุติว่าเรามีชุดเครื่องนุ่งห่ม มันตัว
เท่ากันนี่ สงู เทา่ กันตัวใหญๆ่ เท่าๆ กัน เส้ือผา้ กด็ ี นาฬกิ ากด็ ขี องใชต้ า่ งๆ ทมี่ อี ยู่ในบา้ น
มานุ่งเอากางเกงของเรารีดไว้ดีๆ นุ่งเอาเสื้อผ้าเราดีๆ นาฬิกาของเราน่ีเอามาแขวน
ราคาแพงก็เอาไปใส่ มีเงินอยู่ในกระเป๋าหลายพันหลายหม่ืน หลายพันบาทก็ เอ้า..เงิน
ไม่มกี ็เอาไปใช้เลยน่ี มันจะเอาไปใช้เลย เขา้ ใจบ่

อ ริ ย ท รั พ ย์ ๗ ป ร ะ ก า ร 211

วิสาสะลึกลับนะ วิสาสะนี่ มันอยู่กินเท่าๆ กันเลย บัดน้ีเพ่ือนเอาของไปน่ี
สงิ่ ของตา่ งๆ ของใชต้ า่ งๆ ทเ่ี ราซอื้ มาใหมๆ่ บางทเี ขาเอาไปใชเ้ ลย เขา้ ใจบ่ วสิ าสะมนั เปน็
อย่างน้ี สมมุติเราซื้อของมาจะมาใช้ ของใช้ราคาแพงอยู่หลายตังค์อยู่ แต่มันมาเห็น
บ่ทนั ไดซ้ ื้อ อยู่ทบี่ ้านบ่มี เอา้ ..มันเอาไปเลยน่ัน ไม่ต้องไปซ้อื ใหม่ เขา้ ใจบ่ วิสาสะ เม่ือ
เราเห็นเพ่ือนวิสาสะเอาไปใช้ เราก็ไม่โกรธกัน เข้าใจมั้ย เหมือนตนเองได้ใช้น่ันแหละ
เคร่ืองใช้ทกุ อย่างอาหารการกนิ มันเป็นอยา่ งน้ัน นาฬิกาบางทีบอกเอาไปใส่เลย หายจอ้ ย
เลย นาฬิกาน่ีซื้อมาแพงๆ ก็จะภูมิใจว่าเพื่อนตนเองเอาไปใส่ เข้าใจบ่ วิสาสะนี่ เมื่อ
เวลาเราไปบ้านของเพ่ือนก็เหมือนกัน เราไปเปลี่ยนเคร่ืองนุ่งห่ม มันซ้ือมาไว้ตัวสวยๆ
เราก็เอาไปนุ่งเลย โยมนะ เส้ือก็เอาไปใส่เลย นาฬิกาก็ใส่ด้วยกัน เงินมีก็เอามาใช้เลย
เพ่ือนจะไม่เสียใจ เขาเรียกวิสาสะ เขามีความดีใจเหมือนตนเองใส่ เข้าใจบ่ ถ้าอาหาร
การกินกเ็ หมอื นกัน ถ้าอาหารทีเ่ ราซื้อมาใหม่ๆ จากภตั ตาคารดีๆ อร่อยๆ เสร็จกลบั บ้าน
จะเอาไปกินบา้ นนะ เพือ่ นต้องเอาไปกนิ ก็จะไมโ่ กรธนะ ก็ไปหาใหม่ ฟังเข้าใจม้ัย วิสาสะ
นี่ ลึกลบั นะโยม วสิ าสะน่ี เขารกั เพอื่ นเหมือนตวั เองเลย รกั กนั เหมือนกับคนรกั กันมาก
กอดคอกันตายเลย เข้าใจบ่ นีว่ สิ าสะเป็นอย่างนี้

บัดนี้ คนวสิ าสะนี่ เขารกั ครอบครวั พ่อแมข่ องเพื่อนนี่ เหมอื นพ่อแมข่ องตนเอง
เลย ดูแลอย่างพ่อแม่ตนเองนะ เพื่อนก็รักครอบครัวของเราเหมือนครอบครัวของเขา
เขาจะดูแลอย่างดีเลย เวลาเจ็บป่วยนี่ ดูแลกันอย่างเข้มงวดเลยทีเดียว เงินทองค่ายา
ค่าอะไรจ่ายให้กันได้เลย ไม่เป็นไร เขาเห็นรถใหม่ๆ นี่ก็เอาไปใช้ได้ เพื่อนเอาไปใช้ได้
เราไปบ้านเพ่ือนเอารถเพื่อนไปใช้เลยเพราะมันขับคล่อง ฝ่ายเพื่อนก็ดีใจเหมือนกัน
เพื่อนเอารถไปได้เหมือนกับอยู่กับตัวเลยนะ ดีใจเหมือนกัน รถนี่นะของทุกส่ิงทุกอย่าง
เข้าใจบ่ วสิ าสะ ลึกลบั มากเลย ลว้ งกระเปา๋ กันไดห้ มดนะเงิน ไมม่ ปี ัญหาทง้ั น้ัน

212 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

ทีนถี้ ้าเป็นพระ ถ้าไม่ใช่วิสาสะกัน เขาใหถ้ ือย่ามกถ็ ือไว้น่ันอยา่ ไปเปิดยา่ ม เวลา
บวชน่ีอย่าไปเปิดย่ามเพื่อน เพื่อนด้วยกันนี่แหละแต่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของอย่าไป
เปิดนะ อย่าไปเปิด ห้าม พระพุทธเจ้าห้าม ยังไม่ได้เป็นวิสาสะ ถ้าเพื่อนบอกว่าเปิด
เอาของอยู่ในย่ามมาให้ด้วย เปิดได้ ถ้าไม่ได้บอกอย่าไปลักเปิด มักคุ้นกันก็อย่าไปเปิด
เปน็ ปรับให้ศลี ขาดไปขอ้ หนึ่งอกี เพราะไม่ได้รบั อนญุ าต เสยี มารยาทดว้ ย เหมอื นเราไป
รับจดหมายมา เราไปเปิดอ่านก่อนเจ้าของ เข้าใจบ่ เขาเรียกว่าเสียมารยาท ผิด เขา
ปรบั ลงโทษได้

เหตุฉะน้ัน ถา้ หากว่าเป็นวิสาสะนี่ เราเอายา่ มวางไว้ เราเอาของวางไว้ เขาเปิด
ได้เลยเข้าใจบ่ มันไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของก่อน เปิดย่ามไปเห็นของอะไรแล้วมันขน
เอาไปหมดเลย เอาไปใส่ย่ามมนั สะพายกลบั วดั ไปเลย ถ้าเรามีจวี รมาใหมๆ่ ยอ้ มมาใหมๆ่
ซกั ตากแดดน่ังเฝ้าอยู่ สวยเพิง่ เยบ็ มาใหม่ๆ ถ้ามนั มาจากวัดอื่น เขาเปน็ วสิ าสะกนั มนั
เป็นเพ่อื นกันจรงิ ๆ มาเหน็ จวี รนี่ ถามว่าจีวรน่เี ปน็ ของใคร จีวรผมก�ำ ลังนง่ั เฝา้ อยู่ ก�ำ ลงั
ตากแดดใกล้จะแห้ง โอ้ย..ของผมจีวรเก่าแล้วนี่ มันก็เอาจีวรเราคลุมกลับวัดมันเลย
เจา้ ของบไ่ ด้คลมุ เลยน่ัน แล้วกไ็ ม่โกรธ เขา้ ใจบ่ ไม่โกรธเกลียดกันนะ วิสาสะ ลึกลับเลย
ทีเดียว ยอมตายแทนกันได้ ถ้าคนใดมาโจมตีเพื่อน มาว่าเพ่ือนเขาจะต่อต้าน อย่าพูด
ให้ร้ายเพื่อนนะ เขาจะต่อต้านเลยว่าเพื่อนเป็นคนดี เขาไม่ให้คนอ่ืนโจมตีเพ่ือนของเขา
ไปดูถูกเพื่อนเขาไม่ได้ เขาหวงขนาดนั้นเลย เขาเรียกว่าวิสาสะ เป็นอย่างนี้ ให้จำ�ไว้
อยา่ งน้ี

บัดนี้ เวลาเราเข้าสังคมกับเพื่อนกับฝูง อีกเร่ืองหน่ึงก็คือ การปิดความลับของ
เพื่อน เปิดความลับของตนเองให้เพื่อนฟังได้ ข้อน้ีควรที่จะสนใจพิจารณาให้เข้าใจใน
เรื่องการคบเพื่อนนี้ คำ�ว่าปิดความลับของเพ่ือน สมมุติเพ่ือนมีเงินเข้าใจบ่ เพื่อนมีเงิน
มีทอง หรือเพ่ือนไม่มีเงิน ถ้าคนอ่ืนถามว่าคนน้ีมีเงินมั้ย เพื่อนเขาจะปิดความลับไว้
เขาไมเ่ ปิดเผย เขาจะมที างหลีกเลย่ี ง มแี ตม่ พี อใช้เทา่ นน้ั แหละ แตเ่ ขามลี า้ นๆ นะ่ หลาย
ร้อยล้านพันล้านก็แล้วแต่ แม้ว่าจะมีเงินมาก เงินบริษัทหรือเงินร่วมกัน เขาจะมีความ

อ ริ ย ท รั พ ย์ ๗ ป ร ะ ก า ร 213

หลีกเลี่ยงการจะพูด ของเขากับเพ่ือนเขา เขาปิดความลับกัน ถ้าเพ่ือนไม่มีเงินเขาก็
ไม่บอก ก็ว่าเขามีแต่ว่ามันไม่มีพอสักที มีหลายแสนล้านแล้วเขาก็ว่ามันไม่มีเงินมาก
เท่าไหร่ เขาจะปิดความลับไว้ เปิดความลับของตนเองให้เพื่อนฟังคืออะไร คือเรามีเงิน
ก็บอกเพ่ือนคนน้ันได้ เพ่ือนก็จะปิดความลับไว้เหมือนกัน ถ้าเราทุกข์จน มันก็ปิดไว้ให้
กัน ตัวนี้สำ�คัญที่สุดนะ เวลาทำ�การค้าขายเวลาอยู่ในสังคมเราจะเอาไปใช้ สมมุติเรา
เปน็ เพื่อนกนั อยู่สองคน อีกหมูห่ นึง่ เปน็ เพ่ือนกันอกี ๔-๕ คน แล้วไปกลมุ่ เดียวกนั เปน็
กลุ่มนะ กลุ่มนักศึกษาหรือว่ากลุ่มพ่อค้าด้วยกัน เขาจะปิดความลับให้เพื่อน ก็ค้าขาย
กับเขาสองคนนี่ เขาจะปิดความลับกนั ดี เพ่ือนเขาแท้ๆ ไปค้าขายกนั ร่วมหมูอ่ ีก ๑๐ คน
๒๐ คนเขาจะปิดตรงน้ันไว้ เขาไม่ให้รู้ว่า ๒ คนนี้มีเงินยังไง ๒ คนนี่เขาปิดความลับ
กนั เอง

เหตุฉะน้ัน การเป็นวิสาสะจึงเป็นหลักสำ�คัญที่สุด เป็นพระเขาก็เปิดย่ามได้ ถ้า
อย่างมาที่กุฏิเราน่ีเขาจะขอผ้าขอร่มนี่ เขาก็ขอเอาไปท่ีกุฏิเขามันไม่มี ของพวกนี้มันถือ
เอาไปเลย เอาข้ึนรถมนั ไปเลย วิสาสะ จะเอาอะไรนี่ ที่กุฏบิ ่มี จะเอาไปสักตัวเอาไปเลย
เขาก็ไม่เสียใจเพราะเพอื่ น ได้เห็นเพอ่ื นใช้เห็นเพอื่ นสบายใจสขุ ใจ เข้าใจบ่ มนั ไมท่ ุกขใ์ จ
เขาเรียกวิสาสะ ถ้าเรามีวสิ าสะอยา่ งนั้นอยดู่ ้วยกนั นะ เรอ่ื งเงนิ เรื่องทองเรอื่ งสง่ิ เรือ่ งของ
เรือ่ งอะไรใชส้ อยร่วมกนั ทงั้ รถทงั้ เรือทงั้ เครื่องใชต้ า่ งๆ น่หี มดห่วง ถ้าเอาเงนิ ให้มัน มัน
เอาเงินไปเมืองนอกมันก็ไม่ท้ิงเงินเรา เข้าใจบ่ จะส่งเงินเขาหลายแสนล้านดอลล่าร์ไป
เมืองนอกมนั ก็ไมโ่ กง วสิ าสะ เรากไ็ ม่โกงเขา เขากไ็ ม่โกงเรา คนเรานี้อยูก่ นั จนเฒา่ จนแก่
น่ันแหละ ไม่เป็นอะไร นั่นแหละหายากรึบ่น่ี ของดีมันหายาก ค่อยๆ หาไปมันจะไป
เจอกันนะ คนซื่อสัตย์ต่อกัน ตรงนี้แหละการคบหาสมาคมต่อกันนั้น จึงเป็นสิ่งที่เรา
ทุกคนควรศึกษา

214 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร
จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 215

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ฺธสฺส
นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ทุ ฺธสสฺ
นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ฺธสสฺ
ท่านสาธุชนพุทธบริษัทท้ังหลาย อาตมาจะพูดถึงเร่ืองการกระทำ�ความดีใน
เบื้องตน้ ของเราชาวพทุ ธทไ่ี ด้พากนั กระท�ำ อยใู่ นปจั จุบนั นี้ การที่เราท�ำ บุญบริจาคทานนี้
ถ้าเราต้องการให้ถูกต้อง เพื่อจะได้บุญมากนั้น มีอยู่ว่าเร่ิมตั้งแต่การที่พวกเราจะพากัน
กระทำ�อะไร เรากค็ วรศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจส่ิงท้งั หลายเหลา่ นั้นวา่ อะไรควรทำ� อะไรไมค่ วรทำ�
ให้รู้เข้าใจดีก่อน เราจึงควรกระทำ�ในสิ่งนั้นเพราะเป็นส่ิงที่ดี เม่ือเราจะไปแสวงหา
ส่งิ ของต่างๆ มาท�ำ บุญทำ�ทาน เราต้องไดป้ ัจจยั ที่ไดม้ าด้วยความบรสิ ุทธิ์ เปน็ สัมมาอาชวี ะ
แลว้ เราจึงไปหาซื้อสง่ิ ของต่างๆ มาด้วยความบริสุทธิ์ เรียกว่า วัตถไุ ทยทานท่ีได้มาดว้ ย
ความบริสุทธ์ิ วัตถุส่ิงของต่างๆ ท่ีเหมาะสมแก่การทำ�บุญบริจาคทาน ตามที่กล่าวไว้ใน
พระสูตร พระวนิ ยั และพระปรมัตถ์มีหลายอย่างด้วยกัน

216 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

ทานในพระสูตร

ทานในพระสตู รมี ๑๐ อย่างด้วยกัน เปน็ การบรจิ าคทานทั่วไป ได้แก่ บรจิ าค
ทานข้าว ทานน�้ำ ทานผา้ (เครื่องนงุ่ หม่ ) ทานยานพาหนะ ทานดอกไม้ ทานของหอม
ทานเครือ่ งลูบไล้ ทานเส่ือสาดอาสนะ ทานที่อยู่พกั พาอาศัย และทานประทีปดวงไฟ

สิ่งของทั้งหลายเหล่านี้ หากจะบริจาคทานแก่สัตว์เดรัจฉานแล้ว สัตว์บางชนิด
เท่านั้นที่รับบริจาคทานสิ่งของเหล่านี้ได้ เช่น เรามีข้าวเราก็ไม่สามารถบริจาคให้วัว
ควายได้ เพราะขา้ วไมใ่ ชอ่ าหารของมัน

หากจะบริจาคทานทัง้ ๑๐ อย่างนีใ้ หม้ นษุ ย์น้นั บรจิ าคใหค้ นเราไดท้ วั่ ไป ต้ังแต่
บุคคลทุพพลภาพ วิบัติ วิกลวิกาลอวัยวะ เช่น คนตาบอด หูหนวก แขนขาด้วน
วิกลจริต เป็นบ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ คนทุกข์ยากไร้เข็ญใจอนาถา เด็กกำ�พร้าไม่มีที่
พึ่งพาอาศัย ไฟไหม้บ้านเรือนสมบัติวอดวายไปหมด นำ้�ท่วมบ้านเรือนเสียหาย ไร่นา
ข้าวกล้าตายไปหมด ไม่มีอะไรจะกิน ลมพายุพัดพาสิ่งของเสียหาย หมดตัว ไร้ท่ีพึ่ง
ในสิ่งท้ังหลายดังกล่าวมาน้ี ถ้าเรามีศรัทธาอยากบริจาคทานส่ิงใดส่ิงหน่ึง มีเมตตาแก่
เพ่ือนมนุษย์ท้ังหลายน้ัน เราก็พากันบริจาคทานช่วยเหลือเจือจานกันได้ตามกำ�ลัง
ศรทั ธาของตน เรยี กว่าบริจาคทานสงเคราะหท์ ั่วไป เพ่ือให้เขาเหล่านัน้ พน้ จากทกุ ข์และ
มีความสขุ บา้ ง

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 217

ทานในพระวินัย

ทานในพระวนิ ัย เป็นการบริจาคทานปัจจัย ๔ ส�ำ หรบั พระภกิ ษสุ ามเณร มี ๔
อย่างด้วยกัน ได้แก่ ทานจีวร ทานข้าวนำ้�โภชนะอาหารขบฉัน ทานเสนาสนะท่ีอยู่
พกั พาอาศัย ทานคลิ านเภสัชปัจจยั ยารักษาโรคภัยไข้เจบ็ ตา่ งๆ

การทำ�บุญบริจาคทานกับพระภิกษุสามเณรน้ัน ศรัทธาทั้งหลายก็ควรศึกษา
ให้เข้าใจว่า อะไรควรทำ� อะไรไม่ควรทำ� อะไรไม่ควรบริจาคทานทำ�บุญกับพระภิกษุ
สามเณร อะไรสมควรที่ท่านจะบริโภคได้ ในข้อน้ี คณะศรัทธาญาติโยมพุทธบริษัท
ท้ังหลายที่ยังไมเ่ ข้าใจกม็ อี ยู่เป็นสว่ นมาก ในทุกวนั น้ที ำ�กันผดิ ๆ ถูกๆ อย่เู สมอ

เหตุฉะน้ัน จึงอยากขอแนะนำ�ศรัทธาญาติโยม ผู้มีจิตใจเป็นกุศลท้ังหลายได้
ศกึ ษาหาความรู้ ท�ำ บุญให้ถูกตอ้ งขึน้ ตามทางพระพทุ ธศาสนาโดยย่อๆ พอเป็นแนวทาง
ในการปฏิบัติ เพ่ือจะได้พากันกระทำ�บุญแล้วได้บุญกุศลจริงๆ จึงควรศึกษาการทำ�บุญ
บริจาคทานแตล่ ะอย่างให้เข้าใจ ดังตอ่ ไปน้ี

๑. ทานในพระวนิ ัยอยา่ งแรก ไดแ้ ก่ การบรจิ าคทานจีวร สบง เคร่อื งนุ่งหม่
ตามศรัทธาทเ่ี ราหามาได้ จะกวา้ งยาวเท่าไร และสีผ้าทค่ี วรแก่พระภิกษุสามเณรใชน้ ุ่งห่ม
ญาตโิ ยมทง้ั หลายจงึ น�ำ ไปทำ�บญุ ถวายทานแก่พระภกิ ษุสามเณร

๒. การบรจิ าคทานโภชนาหารการขบฉัน เราก็ควรศึกษาเช่นกันใหร้ วู้ ่า อาหาร
อะไรควรฉันเวลาไหน จึงจะเหมาะสมกับกาลเวลาน้ัน ถ้าญาติโยมเข้าใจดีแล้วก็ไม่มี
ปญั หาอะไร สะดวกกับการทำ�บุญถวายทาน

ปัญหาที่ได้พบเกี่ยวกับการทำ�บุญบริจาคทานโภชนาหารการขบฉัน
ส่วนมากแล้วญาติโยมไม่รู้ไม่เข้าใจ มักคิดกันว่าเวลาไปทำ�บุญกับพระภิกษุ เม่ือ
น�ำ ไทยทานไปถึงพระภกิ ษแุ ลว้ ต้องประเคนหมด ถ้าไมป่ ระเคนหมดเราจะไม่ไดบ้ ุญ โยม
มีศรัทธาก็เลยบังคับพระภิกษุให้รับประเคนส่ิงของท้ังหลายเหล่านั้นหมด พระภิกษุท่าน

218 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

อาจจะบอกว่า “คุณโยมควรแยกส่ิงน้ีออกก่อน เพราะของเหล่านี้มีมากเกินไปแล้ว
เก็บเอาไว้ที่โรงครัว วันหลังจึงให้คนวัดจัดมาประเคนให้พระฉัน” เมื่อพระท่านบอก
โยมบางคนก็บ่นโกรธพระว่า พระภกิ ษุวัดนีท้ ำ�บุญยาก ปฏบิ ตั ิกับทา่ นยากมาก

ถ้าอย่างนั้น เอาอย่างนี้ดีกว่าโยม หากโยมมีความปรารถนาต้องการจะประเคน
สิ่งของท่ีเอามาทำ�บุญทั้งหมดน้ีก็ได้ อาตมาก็รับได้ท้ังหมดไม่เป็นไร แต่ส่ิงของท่ีเป็น
อาหาร เชน่ ขา้ วสาร กุ้ง หอย ปู ปลา เนอื้ ขนมต่างๆ ผลไม้ทกุ อยา่ ง รวมทัง้ ไมโล
โอวัลติน นมสด ไวตามิลค์ และสิ่งของอื่นๆ ท่ีจัดเป็นอาหารท้ังหลายเหล่านี้ เม่ือ
อาตมาได้รับประเคนจากโยมแล้ว อาตมาก็ฉันไม่ได้ในวันต่อไป และพระภิกษุท่ีอยู่
ภายในวัดนี้และวัดอื่นๆ ก็ฉันไม่ได้ท้ังหมด เพราะพระพุทธเจ้าห้ามไว้ ไม่ให้พระภิกษุ
เก็บอาหารทุกอย่างท่ีได้รับประเคนแล้วไว้เพื่อฉันในวันต่อๆ ไป เป็นการผิดศีลของพระ

อาหารท่ีได้รับประเคนแล้วในตอนเช้า ก็ให้ฉันในตอนเช้าไปถึงเที่ยงวันของวัน
รบั ประเคนเท่าน้ัน ในวันตอ่ ไปห้ามฉนั อาหารทเี่ หลืออยูน่ ัน้ อีก

ฉะน้ัน สิ่งของท่ีเป็นอาหารท้ังหมด อาตมาก็จะยกให้โยมศิษย์วัดไปรับประทาน
ก็ไดค้ ุณโยม ถ้าโยมต้องการอย่างนี้ อาตมากร็ ับประเคนอาหารของโยมไดห้ มด ไมเ่ ป็นไร
เอาไปแจกให้กับคนยากจนต่อไปก็ได้ แต่พระภิกษุทั้งวัดก็หมดสิทธิ์ในอาหารท้ังหมด
นั้นแล้ว

สำ�หรับโยมนั้น เมื่อทำ�บุญแล้วโยมก็ได้บุญแล้ว ถ้าหากโยมเกรงว่าเมื่อไม่ได้
ประเคนอาหารท้ังหมดแล้วจะไม่ได้บุญมาก โยมจึงต้องการประเคนอาหารทั้งหมดให้
พระ อาตมาก็ตกลงรับประเคนได้ โยมก็ตกลงกันประเคนสิ่งของและอาหารท้ังหมด
ตามความประสงคข์ องตน

โยมบางคนอาจคิดว่า สำ�หรับการทำ�บญุ ในวนั ขา้ งหนา้ นั้นไปท�ำ บุญทว่ี ัดอ่ืนดีกวา่
เราไปท�ำ บญุ ทว่ี ัดโน้นหรือวัดอ่นื ๆ ไมย่ ากอยา่ งน้ีหรอก พวกเราจดั เตรียมสิ่งของอะไรไป
ทำ�บญุ กับพระภกิ ษุในวัดโน้น เราถวายประเคนท่าน ท่านรบั ประเคนหมดทุกอย่าง พระ

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 219

ภิกษุวัดนั้นท่านไม่เห็นแยกอะไรห้ามอะไรเลย ญาติโยมศรัทธาท้ังหลายจะมีความเห็น
แบบนี้ เป็นตัวอย่างส่วนมากในปัจจุบันทุกวันนี้ เพราะเหตุว่าญาติโยมยังไม่เข้าใจใน
ขนบธรรมเนียมประเพณีของพระภกิ ษุอย่างลกึ ซึง้ แน่นอน

ขอ้ ปฏบิ ตั ิของพระภิกษนุ น้ั ญาตโิ ยมไมไ่ ด้ศึกษายอ่ มไมเ่ ขา้ ใจว่า สง่ิ ของอะไรควร
ถวายในตอนเช้าได้ อะไรไม่ควรถวายพระภิกษุในตอนบ่าย เพราะพระภิกษุฉันไม่ได้
และสง่ิ ของอะไรพระภกิ ษุรับประเคนได้ ฉันได้ทั้งในตอนเชา้ เย็น กลางคืน อะไรท่านฉนั
ไดท้ ุกเวลาถา้ มเี หตจุ ำ�เปน็ เกิดข้นึ แก่ทา่ น

เวลาและประเภทของโภชนะอาหารที่พระภิกษุรับประเคนได้
ฉะน้นั ญาตโิ ยมทัง้ หลายควรทำ�ความเขา้ ใจ ดงั ตอ่ ไปน้ี
ส่ิงของที่ควรถวายแก่พระภิกษุในตอนเช้า และไม่ควรถวายในตอนบ่ายเพราะ
พระภกิ ษุฉันไมไ่ ด้ ไดแ้ ก่ โภชนะอาหารทั้ง ๕ อยา่ งคอื ขา้ วสุก ขนมสด ขนมแหง้ ปลา
และเนอ้ื
ส่ิงของท่ีพระภิกษุท่านรับประเคนได้ ฉันได้ท้ังในตอนเช้า เย็น กลางคืน และ
ท่านเกบ็ ไว้ฉันได้ ๗ วนั ได้แก่ นำ�้ ผ้ึง น�้ำ อ้อย น้�ำ ตาล นำ�้ หวาน เนยใส เนยข้น
สิ่งของท่ีพระภิกษุท่านรับประเคนได้ท้ังเช้า เย็น กลางคืน และท่านฉันได้
ทุกเวลาถ้ามีเหตจุ ำ�เปน็ เกิดขึ้นแกท่ ่าน ไดแ้ ก่ ยารกั ษาโรคภยั ไขเ้ จบ็
สิ่งของท่ีพระภิกษุท่านรับประเคนได้ ฉันได้ในตอนบ่าย เย็น และกลางคืน
ได้แก่ นำ้�ปานะ
อีกอย่างหน่ึง ญาติโยมศรัทธาชาวพุทธทั้งหลาย ยังขัดแย้งถกเถียงกันอยู่บ้าง
เป็นบางกลุ่มทุกวันน้ีว่า พระภิกษุสามเณรองค์น้ัน ในวัดน้ัน สำ�นักน้ัน ฉันมังสวิรัติ
ไม่ฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิด ปฏิบัติดีกว่าพระภิกษุสามเณรวัดต่างๆ ญาติโยมก็ปฏิบัติดี
เหมือนกัน กลุ่มหน่ึงก็ว่าตนเองเป็นชาวพุทธแท้ และตำ�หนิติเตียนพระภิกษุสามเณรใน

220 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

วัดต่างๆ ทั่วไปว่า พระภิกษุสามเณรวัดต่างๆ ฉันเนื้อสัตว์ เม่ือพบกันเข้า พระภิกษุ
สามเณรก็ดี ญาติโยมก็ดี ก็ขัดแย้งกัน มีความเห็นต่างกัน เข้ากันไม่ได้ แยกหมู่แยก
พวกอกี เพราะความเหน็ ไม่ตรงกนั เป็นเหตนุ น่ั เอง บางคนก็ถกเถียงกนั โกรธกันกม็ ี

ในเร่ืองนี้ พวกเราชาวพุทธมีศรัทธาเคารพนับถือในพระธรรม คำ�ส่ังสอนของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน ท้ังพระภิกษุสามเณร พุทธบริษัททั้งหลาย เราควรพากัน
มาศึกษาในคำ�สอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจกันดีกว่า ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนห้ามทำ�
อะไร อนุญาตใหท้ ำ�อะไร ฉันอะไรได้ ปฏิบตั ิอยา่ งไรจงึ ถูกตอ้ งเหมาะสมกับกาลเทศะนน้ั

เนื้อสัตว์ ๑๐ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามพระภิกษุสามเณรไม่ให้ฉัน
บัดนี้ เรามาพากันศึกษาว่า พระภิกษุสามเณรได้เข้ามาบวชในพระศาสนาแล้ว

พระพุทธเจ้าทรงห้ามฉันเน้ืออะไรบ้าง ท้ังสุกและดิบนั้น เราต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ มี
๑๐ อย่างคือ ๑. เน้ือมนุษย์ ๒. เนื้อช้าง ๓. เนื้อเสือเหลือง ๔. เน้ือเสือโคร่ง ๕. เนื้อ
เสือดาว ๖. เนื้อหมี ๗. เน้ือราชสีห์ ๘. เนื้องู ๙. เน้ือสุนัข ๑๐. เนื้อม้า มังสังทั้ง ๑๐
อย่างนี้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ห้ามแกพ่ ระภิกษสุ ามเณรไมใ่ หฉ้ ันท้ังสกุ และดิบ

เนื้อสัตว์ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุสามเณรฉันได้
เน้อื สตั ว์ทั้งหลายนอกจาก ๑๐ อยา่ งนนั้ พระพทุ ธเจา้ ทรงอนญุ าตใหฉ้ นั ได้ แต่
ตอ้ งทำ�ให้สกุ ดีก่อนจึงฉนั ได้ เช่น เนอื้ วัว เนื้อหมู ปลา กุ้ง เป็นตน้

มังสวิรัติ
อกี เรอ่ื งหนง่ึ พระภกิ ษสุ ามเณรบางองคบ์ างรปู ตามส�ำ นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมตา่ งๆ พากนั
ฉันอาหารมังสวริ ตั ิ ไม่ฉนั เน้ือสตั ว์ทุกชนดิ เพราะเขา้ ใจวา่ พระพุทธเจา้ ห้ามหมด ทั้งพระ
ท้ังเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกาท้ังหลายในกล่มุ น้ีจงึ พากันปฏบิ ตั ิอยู่ เพราะคิดวา่ ถกู ตอ้ ง
ดี ก็พากันฉันไปเถอะกินกันไปเถอะ ไม่เป็นไร แต่อย่าพากันไปอวดว่าตนเองนี้เก่งกว่า
ดีกว่าพระภิกษุสามเณรองค์อ่นื ๆ และคนอืน่ ๆ นะโยม

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 221

อุทิศมังสะ
เรื่องน้ีเป็นเรื่องสำ�คัญ ท่ีพระภิกษุสามเณรเรานักปฏิบัติทั้งหลาย การท่ีพระ-
พุทธเจ้าทรงห้ามฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิดท่ีเคยทรงอนุญาตให้ฉันได้ท้ังหมดก็ตาม เพราะ
อะไรเปน็ เหตุ เราต้องเขา้ ใจขอ้ น้ใี หแ้ จ่มแจง้
โภชนะอาหารซง่ึ เปน็ อทุ ศิ มังสะส�ำ หรับพระภกิ ษุนนั้ เกิดจากสาเหตุ ๓ ประการ คอื
๑. ภิกษไุ ดย้ นิ โยมบอกกล่าว ออกช่ือโภชนะทั้ง ๕ อย่าง ไดแ้ ก่ ข้าวสุก ขนมสด
ขนมแห้ง ปลา เนอ้ื ในเวลาทีม่ านิมนต์พระ
๒. ภิกษุได้เห็นญาติโยมคนท่ีกล่าวนั้น นำ�โภชนะท้ัง ๕ แม้เพียงอย่างใดอย่าง
หนึง่ มาถวายแกต่ น
๓. ภิกษรุ ังเกียจว่าโภชนะท้ัง ๕ อยา่ งนีญ้ าติโยมแสวงหาทำ�มาเพอื่ ตนเอง
โภชนะทั้ง ๕ อย่างน้ัน แม้จะผสมด้วยเนื้อสัตว์ที่พระพุทธเจ้าเคยทรงอนุญาต
ให้พระภิกษุฉันได้ก็ตาม เมื่ออยู่ในสภาพการณ์ทั้ง ๓ อย่างน้ันแล้ว พระพุทธองค์ทรง
หา้ มภิกษุไมใ่ ห้ภกิ ษุฉนั ภตั ตาหารน้ัน เพราะเป็นอุทิศมงั สะ ญาตโิ ยมได้แสวงหาเน้อื สตั ว์
น้ันมาปรงุ อาหารเพอ่ื ถวายตนเอง
ต้นเหตุของเรื่องอุทิศมังสะนี้เกิดข้ึนเนื่องจากในสมัยพุทธกาล ได้มีญาติโยม
พุทธบริษัททั้งหลายที่มีศรัทธาอยากทำ�บุญท�ำ ทาน โดยการนิมนต์พระไปฉันภัตตาหาร
ท่ีบ้านตน เม่ือไปนิมนต์พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ตามให้มาฉัน
ภัตตาหารท่ีบ้าน โยมก็กล่าวออกชื่ออาหารท่ีจะถวายพระในวันทำ�บุญให้ทราบเป็นการ
ล่วงหน้าต่อหน้าพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ บอกล่วงหน้าว่าจะจัดภัตตาหารที่ประกอบ
ด้วยเนื้อสัตว์อะไรบ้าง โดยจะต้ม แกง ปิ้ง จี่ อบ ตุ๋น รวมท้ังข้าวต้มขนมหวาน
พร้อมทั้งผลไม้เผือกมัน ของฉันเหล่าน้ีจะเล้ียงท่านให้อ่ิมเต็มท่ี จึงจะให้ท่านกลับสำ�นัก
เพราะเหตุน้ีเองพระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้ฉัน เพราะทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า ภิกษุ
ไมส่ มควรฉันอาหารเหล่านี้ จึงถอื เปน็ อุทศิ มังสะ

222 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

ทัง้ น้ี เว้นไว้แตเ่ มื่ออยู่ในสมัย ๗ ประการ
๑. คราวภกิ ษุเปน็ ไข้ แมเ้ พียงเท้าแตก เที่ยวบณิ ฑบาตไม่ได้
๒. คราวใหจ้ วี ร คือ แตว่ นั มหาปวารณา (วนั ออกพรรษา) แลว้ ไป กฐินยงั ไม่ได้
กราน ปลายฤดูฝนเดือนหนึ่ง กฐินได้กรานแล้วรวม ๕ เดือน นับแต่วันออกพรรษา
(คอื นบั แตว่ ันออกพรรษาแลว้ นับไปได้เดอื นหน่งึ และอกี ๔ เดอื น จงึ รวมทัง้ หมดได้ ๕
เดือน)
๓. คราวภิกษทุ �ำ จวี รตัดเย็บอยู่
๔. คราวเดินทางไกลเพียงก่ึงโยชน์ เมื่อจะไปก็พึงฉันได้ ไปอยู่ตามทางก็พึง
ฉนั ได้ มาถงึ แลว้ กพ็ ึงฉันได้
๕. คราวข้นึ ไปในเรือ เม่อื จะขึน้ ไปแลว้ ก็พงึ ฉนั ได้ เมือ่ ลงจากเรอื ก็พึงฉันได้
๖. มหาสมัยคราวใหญ่ คือ ในที่ใดกาลใด ภิกษุ ๒ - ๓ รูปพอเท่ียวบิณฑบาต
เลยี้ งชีพได้ ครั้นมาอกี ๑ รปู เปน็ ที่ ๔ ไม่พอการเลยี้ งชีพได้
๗. คราวภตั แห่งสมณะ คอื นักบวชจ�ำ พวกใดจำ�พวกหน่งึ ทำ�ภัตนิมนตภ์ กิ ษดุ ว้ ย
ข้าวสุก
สมัยท้ัง ๗ นี้ สง่ิ ใดสิ่งหนง่ึ มี ฉันคณะโภชนะได้ ไม่เปน็ อาบตั ิ
อีกประการหนง่ึ ถา้ ผ้ฉู นั เปน็ ภกิ ษุบา้ ก็ไมถ่ ือวา่ เป็นอาบัติเชน่ เดียวกนั
พระภิกษุ สามเณรบางรูปบางองค์ก็ดี ก็ยึดมั่นถือมั่นว่าพระพุทธเจ้าตรัสไม่ให้
ฉันเนื้อสัตว์ทุกชนิดเลย ทั้งลูกศิษย์ คณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลายผู้ไปปฏิบัติธรรม
ด้วยกัน หมู่เดียวกัน ก็ต้องมีทัศนะความเห็นเหมือนกันจึงอยู่ด้วยกันได้ แต่ขอให้มี
ความตั้งใจปฏิบัติธรรม เราจะฉันอย่างอ่ืนไม่ฉันเน้ือสัตว์ก็ตาม ถ้าอยู่สบายกายสบายใจ
ตนเอง เวลาน่ังทำ�สมาธิจิตใจก็สงบดีก็ไม่เป็นไร แต่เราอย่าไปอวดดีว่าคนอื่นท้ังหมด
ไม่ดีเท่าตนเอง ควรลดมานะทิฏฐิกิเลสออกจากจิตใจของตนเองให้หมดส้ินไปดีกว่า คง

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 223

จะมีความสุขแท้ พวกที่ฉันเน้ือสัตว์ท่ีควรฉันได้ก็เหมือนกัน ก็พากันมุ่งหน้าปฏิบัติธรรม
ละกิเลสกันไปตามกำ�ลังของตน เมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายได้พากันปฏิบัติดีแล้ว มีสติปัญญา
เหมือนกันหมด ก็คงหมดปัญหา เม่ือไปมาพบกันก็คงมีแต่ความสุขทั้ง ๒ ฝ่ายเท่านั้น
อยู่ด้วยกันก็ได้ เพราะหมดพิษภัยหายจากโรคแล้ว เพราะรักษาโรคกิเลสหายได้ด้วย
เปน็ ผูม้ ีสติปัญญาเท่านนั้ พวกเราจึงพากันอยู่มีแต่ความสุข

ฉะน้ัน คณะศรัทธาญาติโยมท้ังหลาย เราควรพากันศึกษาเรื่องการถวายของ
ทำ�บุญในโอกาสต่างๆ ให้ถูกกาลเทศะกับส่ิงของเหล่าน้ัน และควรฟังคำ�แนะนำ�ของ
พระภกิ ษุ ทา่ นจะแนะให้ปฏิบตั ิอย่างไรทีถ่ ูกต้องในการท�ำ บญุ เรากป็ ฏิบตั ติ ามให้ถูกต้อง
อย่าขัดแย้งต่อคำ�ท่ีพระท่านสอน เพราะว่าพระภิกษุท่านศึกษาเรียนรู้มาดีแล้วในทาง
การปฏบิ ัตศิ าสนกจิ ทางพระพุทธศาสนา

๓. การบรจิ าคทานสรา้ งเสนาสนะ ก็หมายถึงการก่อสรา้ งกุฏสิ งฆ์ ศาลา โบสถ์
วิหาร หรือสร้างสิ่งอำ�นวยความสะดวกต่างๆ ภายในวัด ให้พระภิกษุ สามเณรและ
อุบาสก อบุ าสกิ า รวมท้งั พทุ ธบริษทั ทง้ั หลายได้ไปพักพาอาศยั หลบั นอน นงั่ พกั ผอ่ นกนั
ให้สบายเป็นสุข หรือเวลาที่คณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลายมาจากทางใกล้หรือทางไกล
กด็ ี พากันมาท�ำ บญุ ทีว่ ัดกต็ อ้ งอาศยั ศาลาบ้าง พระวหิ ารบา้ ง ทำ�งานบุญต่างๆ ก็น่งั รวม
กันได้อยู่หลายคน สร้างบุญกุศลได้ความสะดวกสบาย ให้ความสุขกับทุกคน เราจะน่ัง
ท่ีใด นอนท่ีไหน เดินไปไหน โรงครัว บ้านพักโยม เข้าห้องนำ้� อาบนำ้� ไม่ต้องเกรงใจ
ใคร ไปสะดวกสบาย เพราะสงิ่ ปลกู สร้างภายในวัดเป็นของสาธารณะทวั่ ไปแก่พระภกิ ษุ
สงฆ์และญาตโิ ยมทวั่ ไป หรือญาตโิ ยมบางท่านกลา่ วว่าสรา้ งสิง่ ตา่ งๆ ภายในวัดไมไ่ ดบ้ ุญ
มาก สู้ไปสร้างนอกวัดไม่ได้หรอก สร้างนอกวัดได้บุญมากนะ บางคนก็พูดอย่างน้ี ถ้า
อย่างน้ันญาติโยมท่านไหนมีความเห็นเช่นน้ันก็ดีเหมือนกัน ผู้เขียนหนังสือน้ีก็เห็นด้วย
คร่ึงหน่งึ เท่านั้น กเ็ ปน็ บญุ เหมอื นกัน แมจ้ ะสรา้ งภายในวดั ก็ไดบ้ ญุ สร้างนอกวดั กไ็ ด้บญุ
เช่นกัน ส่วนสรา้ งสิ่งตา่ งๆ ภายในวัดนน้ั ก็กลา่ วมาแลว้ พอเขา้ ใจนะ

224 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

บัดนี้ สร้างบุญนอกวดั ก็ไดบ้ ุญเหมอื นกัน เช่น สร้างศาลารมิ ทางหลวง ห้องน้�ำ
โรงเรียน โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ สถานที่ทำ�การงานราชการ ขุดบ่อนำ้� สระนำ้�
ชลประทาน เหมืองฝาย ถนนหนทางเดินรถเดินเท้า สะพานข้ามแม่นำ้�ไปมา สวน
สาธารณะใหพ้ ักผอ่ นหยอ่ นใจ และสิง่ อน่ื ๆ ทอี่ ำ�นวยความสะดวกใหม้ คี วามสุข ก็ไดบ้ ญุ
กุศลท้ังนั้น และก็ได้บุญเหมือนกัน ถ้าหากว่าบุคคลท้ังหลายมีสติปัญญาฉลาดแล้ว
จะพากันสร้างบุญกุศล ภายในวัดหรอื นอกวัดกไ็ ด้บุญท้ังนน้ั แหละ

๔. การบริจาคทานคิลานเภสัช ได้แก่ ยารักษาโรคภัยไข้เจ็บท่ีเกิดขึ้นแก่
ร่างกาย บำ�บัดทุกขเวทนาให้หายไป ใครจะศึกษาเล่าเรียนเป็นพยาบาล เป็นแพทย์
เป็นหมอ รักษาโรคภัยไข้เจ็บบุคคลอื่นก็ได้บุญ หรือสร้างโรงพยาบาล บริจาคเคร่ืองมือ
แพทย์ใช้รักษาคนป่วย จะเป็นพระภิกษุ สามเณร และคณะศรัทธาญาติโยมท้ังหลาย
ก็ตาม ใหห้ ายจากโรคภัยไข้เจ็บพน้ จากทุกขเวทนามคี วามสขุ กไ็ ด้บุญกุศลท้งั นัน้ แหละ

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 225

ทานในพระปรมัตถ์

ทานในพระปรมัตถม์ ี ๖ ประเภทด้วยกัน คือ
๑. ทานที่เกิดจากตาของเรามองดูเห็นรูปสิ่งของต่างๆ สวยดี ก็คิดอยากเอา
ส่ิงของเหลา่ น้ันไปทำ�บุญ
๒. ทานท่ีเกิดจากหูได้ยินเสียงคนท้ังหลายพูดกัน ชวนไปทำ�อย่างโน้นอย่างนี้
ทำ�ทานสิ่งน้ันสิ่งนี้ เราก็จะได้บุญกุศลมากด้วยการท่ีเราพากันกระทำ�บุญนั้น หรือได้ยิน
เขาชวนไปรักษาศีลภาวนาในสำ�นักหรือวัดต่างๆ แล้วก็คิดอยากไปทำ�บุญทำ�ทานรักษา
ศลี ภาวนาในส�ำ นกั หรอื วัดต่างๆ เหลา่ นั้น
๓. ทานทีเ่ กิดจากจมูกไดด้ มกลนิ่ ของหอมแล้วชืน่ ใจ กค็ ิดอยากจะเอาของหอม
เช่น ดอกไม้ หรือของมกี ลน่ิ ตา่ งๆ ไปทำ�บุญบชู าพระพุทธรปู เพื่อจะไดบ้ ญุ ในสงิ่ นั้น
๔. ทานท่ีเกิดจากล้ินได้ล้ิมรสของอาหารการกินต่างๆ อร่อยดี ก็คิดอยากได้
อาหารการกินท้ังหลายเหล่านี้ไปถวายพระภิกษุสามเณร ทำ�บุญกับท่านเพื่อจะได้บุญ
กศุ ลแก่ตนเองและท�ำ ทานกบั บุคคลท่ัวไปด้วย
๕. ทานท่ีเกิดจากกายถูกต้องสัมผัสสิ่งของต่างๆ เช่น เคร่ืองนุ่งห่ม ท่ีน่ัง
ที่นอน ที่อย่พู ักพาอาศยั ใหส้ บาย มคี วามสุขพอแกต่ นเองแลว้ กค็ ดิ อยากไดส้ งิ่ ของต่างๆ
ท้ังหลายเหล่าน้ันไปทำ�บุญทำ�ทานการกุศลกับพระภิกษุ สามเณร หรือบริจาคทานกับ
บุคคลท่ัวไปให้ได้บุญกุศลแกต่ น
๖. ทานที่เกิดจากจิตใจสัมผัสกับอารมณ์ในสิ่งท้ังหลาย ตาเห็นรูปดี หูได้ยิน
เสียงดี จมูกได้ดมกลิ่นดี ลิ้นได้ล้ิมรสดี กายถูกต้องสัมผัสดี ใจสัมผัสกับอารมณ์
ท้ังหลายเหล่านั้นแล้วมีความสุข ก็คิดมีความปรารถนาอยากได้สิ่งของท้ังหลายเหล่าน้ัน
ไปทำ�ทานการกุศล เพื่อจะได้ผลบุญไว้เป็นที่พ่ึงของตนและมีความสุขต่อไป จึงเรียกว่า
เป็นการทำ�บุญในทางปรมัตถธรรมท้ัง ๖ อย่างนี้ ก็เรียกว่าเป็นการทำ�บุญอีกอย่างหนึ่ง
ในทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นทางดา้ นจิตใจ ตัวเจตนาอยากจะท�ำ บุญให้สำ�เร็จได้

226 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

องคป์ ระกอบในการท�ำ บุญเพื่อจะได้บญุ มาก

๑. ปุพพเจตนา การที่เราทำ�บุญนี้เราต้องการให้ถูกต้อง เพ่ือจะได้บุญมากนั้น
มีอยู่ว่า เร่ิมต้นตั้งแต่เราจะไปแสวงหาสิ่งของต่างๆ มาทำ�บุญทำ�ทาน เราต้องได้ปัจจัย
ทไ่ี ดม้ าด้วยความบรสิ ทุ ธ์ิ แลว้ เราไปซอ้ื ของมาด้วยความบรสิ ุทธิ์ เรยี กวา่ ไดว้ ัตถุไทยทาน
ทไ่ี ด้มาด้วยความบรสิ ทุ ธิ์

เมื่อเรากำ�ลังไปหาซื้อของที่เราต้องการเพ่ือจะไปทำ�บุญ เราก็ทำ�ใจของเราให้
สบายให้มีความสขุ อยูว่ ่า เราจะซ้อื หาสิง่ ของนั้นไปทำ�บุญ ของทที่ �ำ บญุ นนั้ จะมีมากนอ้ ย
เพียงไร แต่เราต้องทำ�ใจของเราให้มีความสุข ถ้าเราจะเอาของไปทำ�คุณงามความดี จึง
เรียกวา่ เป็นปพุ พเจตนา คือเจตนาในเบ้ืองตน้ เปน็ เจตนาท่ีดบี ริสทุ ธ์ิ

๒. มุญจนเจตนา ถ้าเราไปหาซื้อของที่ได้มาด้วยความบริสุทธ์ิ ก็เรียกว่า วัตถุ
บริบูรณ์แล้ว และกำ�ลังถือส่ิงของมาจะไปทำ�บุญที่วัดใดวัดหน่ึง ครูบาอาจารย์องค์ใด
องค์หนึ่งก็ดี สมมุติว่าเราจะมาทำ�บุญถวายท่ีวัด เม่ือหากเรามาทำ�บุญท่ีวัดแล้วต้องการ
บญุ ที่มคี วามบรสิ ทุ ธ์ิจรงิ นนั้ ก็คือ เราต้องไหวพ้ ระ รับศีลกอ่ น ให้ตนเองมศี ีล เช่น การ
ทำ�สังฆทาน เป็นต้น บัดนี้ เราผู้เป็นทายกคือผู้ถวายทานก็เป็นผู้มีศีล และภิกษุผู้เป็น
ปฏิคาหกคือผู้รับสังฆทานก็เป็นผู้มีศีล แล้วเราจึงน้อมของทานไปถวายด้วยความเคารพ
ในกองบุญของตน ก็เรียกว่ามันพรอ้ ม เรียกวา่ วัตถไุ ทยทานบรสิ ทุ ธ์ิ ทายกผู้บรจิ าคทาน
ก็บริสุทธิ์ ปฏิคาหกผู้รับทานคือพระภิกษุก็เป็นผู้มีศีลเหมือนกัน ของทานของเราจะ
มากน้อยเพยี งไร เราก็ยอ่ มถวายดว้ ยความเคารพ พอถวายด้วยความเคารพแลว้ เรยี กว่า
มุญจนเจตนา

การประเคนสิ่งของแก่พระภิกษุ
บดั นี้ การถวายส่งิ ของตา่ งๆ ใหแ้ กพ่ ระภกิ ษุรับ เรียกวา่ ประเคนสง่ิ ของ เราควร
ทำ�ความเข้าใจใหร้ กู้ อ่ นว่าท�ำ อย่างไรจงึ จะเหมาะสมและถกู ตอ้ งดี ในการประเคนของนั้น
ขนาดและนำ้�หนักของสิ่งที่จะประเคนนั้น ควรจะเป็นส่ิงของพอบุรุษมีกำ�ลังยกคนเดียว

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 227

ได้ หรือไม่หนักเกินไป เพ่ือจะยกประเคนได้สะดวก และพระก็รับประเคนได้สะดวก
เช่นกนั สว่ นสง่ิ ของท่นี ำ�้ หนักเบาและขนาดน้อยน้นั กไ็ ม่มปี ัญหาอะไร เมื่อทายกจัดเตรียม
ส่ิงของเหล่านั้นเสร็จแล้ว พระก็นั่งเรียบร้อยดี เราก็ถือสิ่งของเหล่านั้นเข้าไปใกล้พระ
ใหไ้ ด้หัตถบาส คือให้หา่ งกนั ประมาณ ๑ ศอกคืบ หรอื ๒ ศอก พอเหมาะสมกบั สถานที่
น้ันๆ ด้วย แล้วยกของนั้นประเคนพระภิกษุให้สูงพอแมวลอดได้ พระภิกษุก็น้อมรับ
ส่ิงของทโ่ี ยมถวายแก่ตนด้วยความเคารพเชน่ กนั

การรบั ประเคนสง่ิ ของนัน้ ถา้ โยมยกของถวาย ๒ มือ พระก็ต้องรับของ ๒ มอื
ถ้าโยมยกของถวายมือเดียว พระก็รับของมือเดียวเช่นกัน ถือว่าถูกต้องในการประเคน
ส่งิ ของส�ำ หรับโยมผชู้ าย

ถ้าหากว่าเป็นโยมผู้หญิงประเคนสิ่งของแก่พระภิกษุนั้น ก็ควรจะนั่งห่างจาก
พระภกิ ษุประมาณ ๒ ศอก หรอื ใหเ้ หมาะสมกบั สถานทน่ี ้นั ๆ

พระภิกษุเม่ือรับประเคนสิ่งของจากโยมผู้หญิงน้ัน ก็ควรมีผ้าสำ�หรับรับประเคน
หรือผ้าทคี่ วรหาไดว้ า่ เหมาะสมกไ็ ด้ แลว้ วางผ้าน้นั ลงที่ตรงหนา้ ของตนให้เรียบรอ้ ย แลว้
โยมผู้หญิงก็น้อมส่ิงของท่ีจะถวายพระวางบนผ้าท่ีพระท่านจัดปูไว้น้ันด้วยความเคารพ
ถา้ โยมยกของถวาย ๒ มอื พระก็ตอ้ งจบั ผ้า ๒ มือ ถ้าโยมยกของมอื เดยี ว พระก็จับผา้
มือเดียวเช่นกัน ด้วยความเคารพในสิ่งของท่ีตนบริจาคทานด้วยกันท้ัง ๒ ฝ่าย จึง
เรียกว่าเป็นการประเคนสิ่งของให้พระภิกษุอย่างถูกต้อง และแลดูสวยงามเหมาะสมใน
ทางพระพทุ ธศาสนา

การทำ�บุญตักบาตรแก่พระภิกษุสามเณร
บดั น้ี การท�ำ บุญตกั บาตรแก่พระภิกษสุ ามเณรน้ัน ญาติโยมควรพากันปฏบิ ัติให้
ถกู ตอ้ งเช่นกนั ในการใส่บาตรหรือตกั บาตรพระ เมอ่ื พระภกิ ษุสามเณรออกไปบิณฑบาต
ตามกิจวัตรของท่าน ถ้าญาติโยมมีความประสงค์อยากทำ�บุญใส่บาตรพระตามกำ�ลัง
ศรทั ธาของตน เม่ือพระเดินมาบณิ ฑบาต หากเราเตรยี มอาหารเพือ่ จะใส่บาตรเรียบรอ้ ย

228 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

แล้ว ก็นำ�อาหารเหล่านี้ออกมาต้ังในที่ใดที่หนึ่งที่เห็นว่าสมควร หรือถืออาหารออกไป
เพื่อใส่บาตร เม่ือพระมายืนเฉพาะหน้าของตน ท่านเปิดฝาบาตรออกเพื่อรับภัตตาหาร
จากโยม โยมกจ็ ัดอาหารนั้นใสบ่ าตรพระตามความประสงคข์ องตน

การตักบาตรหรือการใส่บาตรนั้น ถ้าญาติโยมใส่รองเท้าอยู่ ควรถอดรองเท้า
เสียก่อนจึงใส่บาตร เพราะว่าพระภิกษุสามเณรท่านไม่ได้ใส่รองเท้ามาบิณฑบาต เรา
ก็ไม่ควรท่ีจะใส่รองเท้าเหมือนกัน เพราะจะทำ�ให้อยู่สูงกว่าพระภิกษุสามเณร จึงเป็น
การไม่เคารพต่อพระภิกษุสามเณร และกองบุญของตน เว้นไว้แต่ข้าราชการ ตำ�รวจ
ทหาร ท่ีอยู่ในชุดเคร่ืองแบบประจำ� จึงใส่บาตรได้โดยไม่ต้องถอดรองเท้า นอกน้ันต้อง
ถอดรองเท้าจึงเป็นการเคารพในการท�ำ บุญตกั บาตรของตน

ถ้านิมนต์ให้ท่านยืนรับบิณฑบาตบนพื้นที่อยู่สูงกว่าที่โยมยืนอยู่ โยมจะสวม
รองเท้าเวลาตักบาตรก็ได้ เพราะพระท่านอยู่ในที่สูงกว่าโยมแล้ว หรือถ้าโยมถอด
รองเท้ายืนรอตักบาตรอยู่บนเสื่อแล้วจะนิมนต์ให้ท่านยืนรับบิณฑบาตบนเส่ือด้วยก็ใช้ได้
เพราะโยมไม่ได้ยืนอยบู่ นทส่ี ูงกวา่ พระ คืออยูบ่ นทส่ี งู ระดบั เดียวกันกไ็ ด้เชน่ กัน

ท้ังพระภิกษุ สามเณร และอุบาสก อุบาสิกาควรพากันนำ�ไปปฏิบัติตนดังกล่าว
แลว้

๓. อปราปรเจตนา เม่ือพระภิกษุให้พรมีความเต็มใจ และเราผู้รับพรก็ทำ�จิตใจ
ของเราให้แช่มชื่นเบิกบาน มีความสุขอยู่ท่ีเราได้ทำ�ความดี เราก็จะได้บุญมาก เรียกว่า
อปราปรเจตนา

ถ้าของนอ้ ยเทา่ ไรกไ็ มค่ ิดว่ามันนอ้ ย จะทำ�ทางดา้ นปจั จัยเงนิ ทอง จะทำ�ทางดา้ น
วัตถุส่ิงของเคร่ืองใช้ หรือจะทำ�ด้านอาหารการกินเคร่ืองใช้สอยอะไร วัตถุไทยทาน
ท้ังหลายน่ันนะแล้วแต่ มีหลายอย่าง ได้แก่ ยารักษาโรคภัยไข้เจ็บ อาหารการกินก็ดี
เครื่องใช้สอยก็ดี จะเป็นปัจจัยเงินทองอะไรก็แล้วแต่ แต่ให้เราได้มาด้วยความบริสุทธิ์
อย่างน้ัน

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 229

บัดน้ี ที่จะได้บุญมากก็คือ เราก็มีความสุขมาก แต่เรายังไม่ได้แผ่เมตตาให้ใคร
เลย บุญเราได้เตม็ จึงเตม็ ใจแผ่กุศลผลบญุ และแผเ่ มตตาให้แกส่ รรพสัตวท์ ้ังหลายด้วย

การท่ีจะให้ได้บุญมากน้ันอีกอย่างหนึ่ง คือ พระภิกษุเป็นผู้มีความบริสุทธ์ิมาก
นอ้ ยตา่ งกนั บญุ กไ็ ด้มากน้อยตา่ งกนั ถ้าการทำ�บุญบรจิ าคทานนั้นเราจะใหส้ ตั ว์เดรจั ฉาน
แต่สัตว์เดรัจฉานไม่มีศีลก็ได้บุญน้อยกว่า ถ้าเราทำ�บุญกับผู้ไม่มีศีลสักข้อเดียว เช่น เรา
ให้คนจนหรือคนพาลก็แล้วแต่ เราบริจาคช่วยเหลือเขาแต่เขาไม่มีศีล มันก็ได้บุญมากขึ้น
กว่าให้สัตว์เดรัจฉาน เพราะมนุษย์มันพูดกันได้ใช้กันได้ ทำ�อะไรสักอย่างได้ เพราะมัน
เป็นมนุษย์ บัดน้ี ถ้าหากผู้รับเป็นผู้มีศีล ๕ การท่ีเราไปทำ�บุญด้วยมันก็ได้บุญมากข้ึน
เพราะเขาเป็นผู้มีศีล ถ้าศีล ๘ มันก็ได้บุญมากข้ึนไปตามลำ�ดับ มากกว่าไปทำ�บุญกับ
ผู้ท่ไี ม่มศี ีล ถา้ ศลี ๑๐ ศีล ๒๒๗ ขอ้ บริสทุ ธ์ิ อยา่ งเช่นพระภกิ ษนุ ี่ก็ได้บญุ มากขน้ึ ถ้าหาก
ว่าเป็นพระโสดาบันเราไปทำ�บุญด้วยก็ย่อมได้อานิสงส์มากขึ้น ย่ิงเป็นพระสกิทาคามี
พระอนาคามี หรือพระอรหันต์ไปจนถึงพระพุทธเจ้า ก็ทำ�ให้เราน้ีได้บุญมากตามท่าน
ผบู้ รสิ ทุ ธ์ิ

ทำ�บุญด้วยวัตถุไทยทานที่ได้มาอย่างไม่บริสุทธิ์
ถ้าหากเราได้ของมาไม่บริสุทธิ์ สมมุติเราไปขโมยเอาของเขามา วัตถุนั้นก็ไม่
บรสิ ทุ ธิ์ ทายกเองก็ไมม่ ศี ลี เพราะเปน็ ขโมย บัดน้ี พระภกิ ษุก็ไมม่ ศี ลี ศลี ไมด่ ี ตรงนี้มัน
ได้บุญน้อย ทำ�บุญแล้วได้บุญน้อย เพราะของก็ไม่บริสุทธ์ิ ตนเองก็ไม่มีศีล พระภิกษุ
ก็ไมม่ ีศีลด้วย บญุ ทไ่ี ดก้ เ็ ลยน้อย พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่าได้บญุ น้อย

ทำ�บุญกับพระภิกษุผู้มีศีลไม่สมบูรณ์
ถ้าหากว่าเราทำ�บุญ แต่เราได้วัตถุไทยทานมาโดยบริสุทธิ์ เราผู้ทายกก็มีศีลด้วย
แต่พระภิกษุมีศีลไม่สมบูรณ์ ท่านเปรียบเทียบเหมือนกับเราปลูกข้าวในนาท่ีทราย ที่
ชายทะเล มันไม่มีปุ๋ย มีแต่ทรายเปล่าๆ เม่ือเราหว่านพืชไปแล้ว พืชย่อมไม่งอกงาม
เพราะมันไม่มีปุ๋ย เปรียบเทียบได้กับพระภิกษุที่ไม่มีศีล ประพฤติปฏิบัติตนไม่ดีไม่งาม
เม่ือเราทำ�บุญกับพระภกิ ษุเช่นนี้ บุญก็ไมไ่ ดม้ ากก็ฉันนนั้ เหมอื นกัน

230 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

ทำ�บุญด้วยวัตถุไทยทานบริสุทธิ์ ทายกบริสุทธิ์ และภิกษุเป็นผู้มีศีล
บัดน้ี ถ้าเรามีเคร่ืองไทยทานบริสุทธ์ิอยู่ ตนเองผู้เป็นทายกหรือผู้บริจาคก็บริสุทธ์ิ
และเรากน็ ำ�เครือ่ งไทยทานนั้น ออกเดินทางไปท�ำ บุญกับพระภิกษุผู้มีศีล มันก็จะได้บุญ
ตามระดบั ขึน้ ไปเรื่อยๆ จนเตม็ บรบิ ูรณ์เหมอื นอย่างทีก่ ลา่ วมาแล้วนั้นเอง
ทายกผู้ให้ทานไม่มีศีล และวัตถุไทยทานได้มาอย่างไม่บริสุทธิ์
ท่านเปรียบเทียบว่าเราไมม่ ศี ีล ของกข็ โมยเขามา แตพ่ ระท่านเป็นผู้บรสิ ทุ ธิ์ เราก็
จะได้บุญมากข้ึนครึง่ หนงึ่ เปรียบเทียบดูให้เข้าใจ เพราะพระทา่ นบริสุทธิ์ จงึ เปรียบเทยี บ
พระภิกษุ สามเณรท้ังหลายได้กับพืน้ ที่มปี ยุ๋ บา้ ง ทีด่ ินมีปยุ๋ ก็เป็นนาชน้ั ตรี ถา้ ไปปลกู ข้าว
ลงไปมนั จะงามไดห้ ลายรวง อาจจะถงึ ๓ - ๔ รวงในแตล่ ะต้น
แต่ถ้าเราได้ของมาไม่บริสุทธิ์ เราเองก็ไม่บริสุทธ์ิ แต่พระภิกษุน้ันมีศีลบริสุทธ์ิ
และมีสมาธิด้วย ก็เปรียบได้กับนาช้ันโท ปุ๋ยมากปลูกพืชก็งามอยู่ ก็ยังได้ผลอยู่ แต่ผล
ท่ไี ดน้ นั้ กค็ อื บุญของเราน้นั ไม่เตม็ เพราะไปขโมยของคนอนื่ เขามา เช่น เงินทอง สงิ่ ของ
ต่างๆ พวกเขาที่เป็นเจ้าของก็ได้บุญด้วยนะ ของน้ันไม่ใช่เป็นสิทธ์ิของเรา เราไปขโมย
ของเขามา ฉะนนั้ จงึ เรยี กว่าวัตถไุ มบ่ ริสุทธิ์
ถ้าหากเราไปทำ�บุญ แต่เราไม่มีศีล วัตถุก็ไม่บริสุทธ์ิ เกิดเราไปทำ�บุญกับ
พระอรหนั ต์ เหมอื นกับนาชั้นเอกมีปยุ๋ มาก เม่ือเราไปทำ�บุญก็จะไดบ้ ุญมาก เหมือนกับ
เราเอาขา้ วไปปลูกต้นหนงึ่ ในนาทมี่ ีพืน้ ท่ีดินดี มีปุย๋ มาก มนั จะมีลูกถึง ๒๐ - ๓๐ ต้นกไ็ ด้
และต้นหนึ่งก็มีหลายเมล็ดหลายรวง ต้นหนึ่งรวงใหญ่หลายเมล็ดเพราะดินมีปุ๋ยมาก
ท่านเปรียบเทียบผู้บริสุทธิ์ไว้เท่ากับเป็นนาชั้นเอก ใครหว่านพืชลงไปในที่น้ันย่อม
งอกงามยอ่ มเจรญิ จึงเปรียบเทียบกบั ผู้มศี ีลมคี ุณธรรมอนั งาม

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 231

ท่านเปรียบเทียบการทำ�บุญไว้อย่างนี้ แต่ถ้าไม่มีพระดีตามที่เราต้องการ พระ
ภิกษุที่มีอยู่เกิดเป็นพระภิกษุที่ไม่ดี ปฏิบัติไม่ดี แต่เราจะทำ�บุญ และเราไม่อยากให้
ขาดบุญของเรา เปรียบเหมือนนำ้�บ่อทรายมีนำ้�ไหลออกมาทีละน้อยๆ เราเอาเครื่อง
ตักตวงเอานำ้�น้ันทีละน้อยๆ ตักได้แค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าตักมากคร้ังก็จะเต็มโอ่งหม้อได้
กเ็ ลยใสบ่ าตรพระเณรและทำ�บุญไปอย่างน้ันแหละ ตั้งใจใสบ่ าตรท�ำ บญุ ไปขณะเดียวกนั
ใหเ้ ราพากันระลกึ คิดถงึ พระพุทธเจา้ คดิ ถึงพระสาวกทั้งหลายผบู้ รสิ ุทธ์ิ นกึ ว่าเราท�ำ บุญ
กับผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นเป็นต้น ส่วนพระภิกษุสามเณรองค์น้ันจะดีหรือไม่ดีก็เป็นเร่ืองของ
พระเณร แต่เรามีเจตนานึกถึงผู้บริสุทธิ์ ทำ�ให้ใจของเรามีความสุขนั่นเอง ก็เป็นการ
ทำ�บุญดีแล้ว ถ้าจิตใจของเราไม่มีความสุข ไม่พอใจท่ีจะทำ�บุญแล้ว บุญท่ีได้ก็จะไม่เต็ม
ได้บุญน้อยด้วย เราควรที่จะทำ�ใจของเราให้สบาย ให้จิตใจของเรามีความสุข เม่ือเรา
ทำ�บุญทุกคร้ังไป เรียกวา่ ทานสงเคราะหไ์ ปเรือ่ ยๆ นะ

การทำ�บุญกับคนพิการ
ส�ำ หรบั คนหหู นวก ตาบอด แขนขาขาด และทพุ พลภาพตา่ งๆ ทีเ่ ราใหท้ านกัน
ในทุกวันนี้น้ัน เช่น เม่ือเห็นคนเฒ่าคนแก่ทำ�อะไรไม่ได้เลย เราก็ทำ�ทานสงเคราะห์ไป
เราก็ได้บุญอยู่ ถ้าหากว่าคนเหล่าน้ันไม่มีศีล บุญที่ได้ก็ไม่มาก แต่ก็ยังได้บุญอยู่ตาม
กำ�ลังศรัทธา เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์ตรัสเทศนาส่ังสอนพุทธศาสนิกชนทั้งหลายว่า
เราควรเป็นผู้มีจิตใจเมตตา เจือจานแบ่งปันแก่เพ่ือนมนุษย์และสัตว์ท้ังหลายที่ตกทุกข์
ได้ยาก มคี วามลำ�บากเกิดข้นึ แกเ่ ขาเหลา่ นั้นแลว้ จงบริจาคทานตามก�ำ ลังของตนเองเถดิ
ฉะน้นั การที่เราจะทำ�บญุ ให้ไดบ้ ญุ มาก ก็คือ
๑. ต้ังแต่เบื้องต้นเจตนาที่จะทำ�บุญ แม้เราจะหาสิ่งของอะไรที่ควรจะบริจาค
ทานน้ัน จะมีมากน้อยเพียงใดก็ตาม เรียกว่า ปุพพเจตนา คือ ควรจะมีเจตนาในการ
ทำ�บุญท่ดี ี

232 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

๒. ภิกษุเป็นผู้มีศีล ทายกผู้ให้ทานก็เป็นผู้มีศีลด้วย วัตถุไทยทานได้มาบริสุทธิ์
กไ็ ดบ้ ุญสมบรู ณ์ แมข้ องทำ�บญุ น้อยกย็ ่อมไดบ้ ุญมาก เมอ่ื ไปถึงสถานทีแ่ ลว้ ทายกกต็ ้อง
ประเคนส่ิงของท่ีตนเองไปทำ�บุญแก่พระด้วยความเคารพนอบน้อม ถ้าหากเป็นการให้
สิ่งของแก่คนท่ัวไปก็ส่งให้ด้วยกิริยามารยาทดี เป็นการเคารพในกองบุญของตนเอง
และพระภิกษุผู้รับประเคนก็น้อมรับด้วยความเคารพ เรียกว่า มุญจนเจตนา ถึงแม้ว่า
ของทำ�บุญจะเป็นของเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร เวลาทำ�บุญต้องทำ�ด้วยความเคารพ ทำ�บุญ
ด้วยความไม่เคารพน้ันไม่ถูกต้อง มันจะไม่ได้บุญมาก มันเหมือนไม่พอใจที่จะบริจาคให้
แก่ผู้รับทาน ฉะนั้น จึงควรทำ�บุญด้วยความเคารพ พระพุทธเจ้าทรงส่ังสอนเอาไว้ว่า
ทายกผู้ให้มีความเคารพของทานของตน ปฏิคาหกผู้รับก็เคารพของทานนั้น จึงถูกต้อง
และควรปฏบิ ตั ิ

๓. แม้พระภิกษุต้ังใจให้พรแก่ทายกผู้บริจาคส่ิงของน้ันแล้ว ทายกตั้งใจรับพร
ด้วยความแช่มชื่นเบิกบานในกองบุญกุศลท่ีตนเองได้บริจาคทาน แล้วก็แผ่เมตตาอุทิศ
สว่ นกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทัง้ หลายด้วย เรยี กวา่ อปราปรเจตนา

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 233

การท�ำบุญท่ีไม่ถกู วธิ ี ๔ ประการ

ทุกวันน้ี เราไม่เข้าใจวิธีทำ�บุญท่ีถูกต้องเหมาะสมในทางพระพุทธศาสนา ท่าน
จัดไว้ว่า การทำ�ความดีท่ีไม่ถูกต้อง ๔ ประการเป็นเหตุทำ�ให้วิบัติ เป็นทางเสื่อม ไม่
เจรญิ ไดแ้ ก่ ท�ำ ความดีไมถ่ กู ท่ี ท�ำ ความดีไม่ถกู บุคคล ทำ�ความดีไม่ถกู กาลถูกเวลา และ
ทำ�ความดีแลว้ ไม่ตามความดีของตน

๑. ทำ�ความดีไม่ถูกที่ ท่านว่าการทำ�ความดีไม่ถูกท่ี ก็คือ เราจัดอะไรต่างๆ
เช่น อาหารการกิน เคร่ืองใช้สอยต่างๆ ว่าเอาไปทำ�บุญ บูชา บวงสรวง ผีสางนางไม้
ไรน่ าเรอื กสวน ตน้ ไม้ ภูเขา หอผี ศาลพระภูมิ ทำ�เอาไวใ้ นสถานทีต่ า่ งๆ เราก็คดิ วา่ เรา
พากันไปทำ�บุญที่ถูกต้อง แล้วเราก็จะได้บุญตามท่ีคณะศรัทธาญาติโยมท้ังหลายพากัน
ทำ�อยูเ่ ป็นส่วนมาก แต่นกั ปราชญท์ ้ังหลาย มพี ระพุทธเจ้าเป็นตน้ ตรัสวา่ เราท�ำ บุญบชู า
ไมถ่ ูกต้อง เราจะไมไ่ ดร้ บั ผลบญุ นน้ั เลย เพราะเราพากนั ท�ำ บุญไมถ่ กู ที่น่นั เอง

๒. การทำ�ความดไี ม่ถูกบคุ คล คือ ตัวบคุ คลผูร้ บั สิ่งของทเี่ ราให้เขานัน้ ไม่ดี เรา
กท็ �ำ ความดกี บั เขา เช่น ตวั อย่างบุคคลเหลา่ นน้ั เป็นคนพาล โจรขโมยปล้นจี้ ฆา่ เจ้าของ
เอาสิ่งของ สูบกัญชา ยาฝ่ิน แคป เฮโรอีน ผงขาว ยาเสพติดให้โทษ ทำ�ให้เสียสติ
มัวเมาลุ่มหลง ไมร่ ูบ้ าปบุญคุณโทษ จติ ใจหยาบช้า ทุบตี ฆา่ รันฟนั แทงกันอยใู่ นทกุ วันนี้
ให้มีความเดอื ดรอ้ นไม่สงบอยทู่ ุกมุมเมอื งทว่ั ไป บณั ฑิตท้งั หลายเรียกว่าคนพาล ถา้ หาก
พวกเราท่านท้ังหลายไปสงเคราะห์ทำ�ความดี ขวนขวายช่วยเหลือดูแล อุปถัมภ์บำ�รุง
ส่งเสริมให้กำ�ลังแก่คนพาลเหล่าน้ีน้ัน เช่น พวกเราเอาอาหารการกินไปบำ�รุงให้กินอ่ิม
เอายาเสพติด สุรายาเมา กัญชา ยาฝิ่น แคป เฮโรอีน ผงขาว ให้เขาด่ืมกิน สูบสิ่ง
ท้ังหลายเหล่าน้ี หรือเราเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ ปืน ระเบิด ของแหลมคม เคร่ืองมือ
เคร่ืองใช้เปิดงัดแงะขโมยสิ่งของต่างๆ เรานำ�เอาสิ่งของดังกล่าวน้ีไปให้เขา ช่วยเขา
บำ�รุงส่งเสริมให้เขามีกำ�ลังมากข้ึนเท่าไร ก็ย่ิงทำ�ให้คนพาลทั้งหลายเหล่าน้ีมีกำ�ลังมากข้ึน
ทุกๆ วัน ภัยอันตรายทั้งหลายและความวุ่นวายไม่สงบสุขอยู่ทุกมุมเมืองทั่วทุกประเทศ
ในโลกน้ี ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์เป็นผล แต่ทุกคนเราก็คิดว่าเราทำ�ความดีกับเขา

234 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

ทุกคน เพราะเราไม่เข้าใจในการทำ�ความดีน้ันเอง เหตุน้ันบัณฑิตเจ้าท้ังหลายจึงเรียกว่า
เราทำ�ความดีผิดคน

๓. การท�ำ ความดีผิดกาลเวลา นัน้ คือ สมมตุ วิ ่าเราจะปลกู พืชพันธ์ุตา่ งๆ พชื ท่ี
ควรปลูกในกาลเวลาฤดูฝนจึงจะงอกงามดีมีผลมาก แต่เราก็นำ�พืชพันธ์ุเหล่านี้ไปปลูกใน
ฤดูแล้ง ถ้าพืชพันธุ์ควรปลูกในฤดูแล้งแล้วจึงจะงอกงามดีมีผลมาก แต่เราเอาพืชพันธ์ุ
ชนิดนี้ไปปลูกในฤดูฝน ก็ทำ�ให้พืชผลเสียหายไม่งอกงามหรือตายไป การปลูกพืชพันธ์ุ
ต่างๆ ผิดกาลเวลาก็ย่อมไม่ได้ผลที่สมบูรณ์ เสียเวลาเปล่าประโยชน์ หรือต้นไม้ต่างๆ
เช่น ต้นไม้ปลูกในพ้ืนท่ีในเมืองที่มีอากาศหนาวต้นงอกงามดีใบดกมีผลมาก แต่ถ้าเรา
นำ�ต้นไม้ชนิดนี้มาปลูกในเมืองที่มีอากาศร้อน ต้นไม้ก็ไม่งอกงามเหี่ยวแห้งหรือตายไป
ก็ได้ เสียเวลาเปลา่ ๆ อกี

เราท�ำ ความดีกบั สัตวต์ ่างๆ ท้งั หลาย เชน่ ชา้ ง ม้า โค กระบือ เสอื หมี สนุ ัข
งพู ิษ ที่เรามเี มตตาเลี้ยงดู ถา้ เราไมด่ กู อ่ นว่าเวลาน้คี วรใหอ้ าหารแกส่ ัตว์เหลา่ น้ไี หม เรา
ควรเข้าไปใกล้สัตว์ได้ไหมในเวลาน้ี ถ้าเราไม่รู้เวลาท่ีควรเข้าใกล้ได้ หรือเวลาที่ไม่ควร
เข้าใกล้ เวลาสัตว์แสดงอารมณ์ไม่ดี ทำ�ท่าทางมีความโกรธอยู่นั้น ถ้าเราไม่รู้กาลเวลา
ก็เข้าไปใกล้สัตว์ดุร้าย สัตว์เขาไม่รู้อะไรเขาก็ทำ�ร้ายทุบตี เอางวงฟาด หรือเตะขวิดชน
กัดเราใหเ้ จบ็ ปวด เปน็ อันตรายหรือถึงตายไปกไ็ ด้ น่กี ็ท�ำ ความดีผิดกาลเวลาอกี

ท�ำ ความดไี มถ่ ูกกาลเวลากับคนเรานน้ั เราไม่พจิ ารณาดเู สยี กอ่ นว่าบคุ คลกลุ่มใด
หมู่ใดที่เรามีแต่ความเมตตาเขา อยากแนะนำ�ส่ังสอนเขาน้ัน แต่คนเราเกิดมามีนานาจิตตัง
หลายระดบั สติปัญญาต่างๆ กัน เราไม่เขา้ ใจ เอาแต่ความเมตตาเขาเป็นส่วนใหญ่ เพราะ
ขาดสติปัญญา ตัวอย่างเช่น เราไปพบคนพาลไม่รู้บาปบุญอะไร ใจหยาบช้าโหดร้าย
ทำ�ลายสมบัติของบ้านเมือง เป็นโจรขโมยปล้นจี้ เมาสุราอาละวาด ข้ียาอยู่ท่ัวมุมเมือง
ต่างๆ เม่ือไปพบเห็นคนพาลทั้งหลายเหล่านี้ เขาถืออาวุธปืน ระเบิด มีด หอก ดาบ
ไม้ค้อน ก้อนหิน ของแข็งมีคม ร่มอยู่ในมือ เราเห็นว่าพวกน้ีเป็นคนไม่ดี ก็อยากสอน
ให้เขาเป็นคนดี ไม่ดูกาลเวลาท่ีควรสอนหรือไม่ควรสอนเขา เราก็เข้าไปแนะนำ�สั่งสอน

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 235

เขาเหล่านั้น นายโจรนายขโมยอย่าไปปล้นจี้ ลักเอาสิ่งของบุคคลอ่ืนนะ ไม่ดี อ้ายข้ียา
ก็อย่าไปสูบกัญชา ยาฝิ่น แคป เฮโรอีน ผงขาว ดมกาวทินเนอร์นะ ไม่ดี อ้ายขี้ยา
เมาสุราน้ีก็อย่าไปดื่มกินสุรายาเมาท้ังหลาย เป็นคนไม่ดี ผิดศีลธรรม ขอให้พากันละ
เลิกจากส่ิงทั้งหลายเหล่าน้ีเสีย เราก็ปรารถนาดีมีเมตตาแก่เขา แต่เราไม่ดูเวลาก่อนว่า
สมควรสอนไหมในเวลาน้ัน เราไปสอนเขาผู้เป็นคนพาล สอนไปสอนมา สอนไม่หยุด
ไม่รเู้ วลาสอนธรรมะแกเ่ ขา ธรรมะทีส่ อนให้คนพาลเหลา่ นนั้ ก็ไปขัดกิเลสจิตใจเขา คนพาล
กโ็ กรธพระหรอื ญาตโิ ยมผูส้ ่งั สอนเขาอยู่ มอี ะไรอย่ใู นมอื คนพาล มรี ่ม ไม้คอ้ น ก้อนหนิ
มดี หอก ดาบ ปนื ระเบดิ คนพาลกใ็ ช้ร่มตี ไม้ค้อนตี ก้อนหินขวา้ งเรา มีดฟนั หอกแทง
ดาบฟาดฟนั ใช้อาวธุ ปนื ยงิ ขว้างระเบิด ประหัตประหาร ท�ำ ร้ายเราให้เจ็บปวดปางตาย
หรือมีอันตรายถึงแก่ชีวิตเกิดข้ึนแก่ตน เพราะเหตุเราสอนเขาเหล่าน้ันผิดกาลผิดเวลา
จึงมีโทษ เสียประโยชน์

ทำ�ความดีผิดกาลเวลากับบุคคลอีกกลุ่มหนึ่ง บุคคลยังไม่เคยเข้าวัด จึงทำ�บุญ
กราบไหว้บูชาพระก็ไม่เป็น เราก็ไปสอนบังคับเขาให้เข้าวัด ทำ�บุญ กราบไหว้บูชาพระ
เขาไม่ทำ� เพราะเขาไม่รู้เร่ือง เราจึงเสียเวลาโดยใช่เหตุ คนไม่เคยรักษาศีล เราก็ไป
บังคับให้เขารักษาศีล คนไม่เคยทำ�สมาธิภาวนา เราก็ไปบังคับเขาให้นั่งทำ�สมาธิภาวนา
คนยังไม่พร้อมด้วยการพิจารณาธรรมะ เราก็ไปบังคับเขาให้พิจารณาธรรมะ เขาก็
พจิ ารณาธรรมะไม่ได้ ไมร่ เู้ รือ่ ง เมอื่ เราอยากแนะนำ�ส่งั สอนเขาเหล่าน้ัน มีเมตตาต่อเขา
อยากใหม้ ีความสขุ ความเจริญ แตเ่ รากไ็ ม่รู้กาลเวลาทค่ี วรสอน หรอื ยังไมถ่ ึงเวลาที่ควร
สอนเขา เพราะยังไม่พร้อม ยังไม่ถึงเวลาท่ีเขาจะทำ�บุญ เข้าวัด กราบไหว้บูชาได้ ยัง
ไมถ่ งึ กาลเวลาจะรกั ษาศลี ได้ ยังไมถ่ ึงเวลานง่ั ท�ำ สมาธภิ าวนาได้

บุคคลผู้ที่จิตใจของเขายังไม่เป็นสมาธิหนักแน่น เขาก็ยังไม่ถึงเวลาพิจารณา
ธรรมะให้เข้าใจได้ บุคคลทั้งหลายเหล่าน้ัน แต่ละคนมีภูมิฐานสติปัญญาต่างระดับกัน
พระกด็ ี โยมก็ดี เมอ่ื เขา้ ไปพดู คุยกนั สนทนากนั เรื่องต่างๆ หรอื สนทนาธรรมะก็เหมือน
กัน สนทนากันไปสนทนากันมา ไม่รู้กาลเวลาว่าควรสอนเขาหรือไม่ควรสอนเขา ก็ไป

236 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

สอนคนอ่ืน บังคับคนอื่นให้เชื่อตามตนเอง คล้อยตามตนเอง สนทนาไม่หยุด ก็เกิด
ไมพ่ อใจ ถกเถียงกันข้ึน ทงั้ พระท้ังญาตโิ ยม จนแตกแยกจากกนั จากหมคู่ ณะไป พระ
เณรก็แตกจากกันไปอยู่คนละสำ�นักหรือไปอยู่วัดอื่น เสียเวลา เปล่าประโยชน์ เพราะ
ทำ�ความดผี ดิ กาลผดิ เวลา

๔. การทำ�ความดีแล้วไม่ติดตามความดีของตน เช่น เราเคยกระทำ�ความดี
ตา่ งๆ เป็นนักเรียน นกั ศกึ ษา เคยศึกษาเลา่ เรยี นมาแล้วกข็ ้ีเกียจ ไมศ่ กึ ษาเลา่ เรยี นตอ่ ไป
หรือเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนคนมาแล้วก็ไม่อยากส่ังสอนต่อ เคยทำ�งานทางราชการ
ทุกหน่วยงานในกระทรวงตา่ งๆ มาแลว้ กไ็ ม่ท�ำ ตอ่ ทง้ิ งานไปเสยี

ผู้ที่เคยทำ�ไร่ไถนา ค้าขาย ปลูกพืชพันธ์ุต่างๆ เช่น ปลูกข้าวกล้าในนา ถั่ว งา
หัวหอม กระเทียม ผกั ผลไม้ ตน้ ลำ�ไย ลิน้ จี่ ส้มเขียวหวาน ทุเรียน และมอี ีกหลายอยา่ ง
ต้นไม้มีผลทุกชนิด เราก็ไม่ดูแล ปล่อยทิ้งไว้ตามยถากรรม จะข้ึนหรือไม่ขึ้น นำ้� ปุ๋ยก็
ไม่เลี้ยงต้นไมเ้ ลย ปลอ่ ยใหเ้ ทวดารกั ษาตน้ ไม้ ขา้ วกลา้ พืชไร่ต่างๆ หญ้า หรอื เครอื เขา
เถาวลั ย์ก็เกิดขึ้น ทับถมปกคลุมตน้ ไม้เหลา่ นนั้ มองไมเ่ หน็ เสยี แล้ว พชื ต่างๆ และตน้ ไม้
กจ็ ะงอกงามขน้ึ มาได้อย่างไร มีแต่จะตายหมดเทา่ น้ัน แล้วกไ็ มไ่ ด้ผลิตผลอะไร

การงานคา้ ขายหรอื การก่อสร้างตึกรามบ้านช่อง ห้องแถว แฟลต อพารท์ เมนท์
ถ้าเราเคยค้าขายแล้วก็ไม่ติดต่อการค้าขายอีก ก็ไม่ได้เงินมาใช้ ส่วนตึกรามบ้านช่อง
หอ้ งแถว แฟลต เม่อื ลงมอื ก่อสรา้ งแตย่ งั ไม่เสร็จ เราก็หยุดไมไ่ ปก่อสร้างตอ่ สงิ่ ก่อสร้าง
ทั้งหลายเหล่าน้ี เม่ือสร้างไม่เสร็จก็ไม่ได้ขายเอาสตางค์มาใช้ และตนเองก็เข้าอยู่อาศัย
ไม่ได้ หรือการกอ่ สร้างสะพานกด็ ี การสรา้ งถนนหนทางไปบ้านนอ้ ยเมอื งใหญก่ เ็ หมอื นกนั
ถ้าลงมือก่อสร้างแล้วแต่ไม่ก่อสร้างต่อให้แล้วเสร็จ สะพานก็ใช้เดินข้ามแม่นำ้�ไปไม่ได้
ถนนสร้างไม่เสร็จก็ใช้เดินไปไม่ได้ ขับรถขับราว่ิงไปมาก็ไม่ได้ สร้างครึ่งปี หนึ่งปี หรือ
สองสามปีก็ไม่เสร็จสักที ก็เน่าเฟะอยู่น้ันแหละ รถวิ่งไปมาลำ�บากเขาก็ด่ากันท้ังเมือง
เพราะนายช่างรับเหมาทำ�แล้วไม่ติดตามงานก่อสร้างของตน ผลงานของตน ผลก็เลย
ไม่เจรญิ เพราะไม่ติดตามความดขี องตน

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 237

บุคคลท่ีเคยช่วยสงเคราะห์คน เคยเข้าวัดทำ�บุญกุศล จำ�แนกแจกทานมาบ้าง
แล้ว แต่ตอ่ มาภายหลังก็ไมเ่ ข้าวัด ไม่ทำ�บญุ ต่อไปอีกตามกำ�ลังของตน หรือได้เคยรักษา
ศลี ๕ ศลี ๘ มาแล้วกไ็ ม่รักษาศีลต่อไป ละทิ้งเสยี บุคคลทเ่ี คยนั่งสมาธิภาวนามาแลว้
ก็ละท้ิงเสีย เกียจคร้านไม่นั่งภาวนาต่อไปอีก อ้างโน้นอ้างนี่ ว่าไม่มีเวลา ว่ายุ่งกับงาน
ยุ่งกับลูกหลาน ว่าร้อนมากหนาวมาก ตื่นดึกต่ืนสาย หิวกระหาย อ่อนแอ ท้อแท้
เหน็ดเหน่ือยมาก เจ็บโน้นเจ็บนี้ ขี้เกียจ เอาแต่งานแบกหมอน เอาแต่นอนท่าเดียว
หมดท่าแล้วกัน หรือเคยพิจารณาสังขารต่างๆ ทางภายนอกและภายใน อะไรเที่ยง
อะไรไม่เที่ยง ส่ิงใดเป็นทุกข์ ส่ิงใดเป็นสุข ส่ิงใดเป็นอัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา ก็เคย
พิจารณามาแล้วบ้างแต่ก่อน ก็กลับมาละเลิกถอนเสีย ไม่พิจารณาต่ออีก สติปัญญาก็
ไม่เกิดข้ึน ผลออกมาแล้วจึงเรียกว่า ทำ�ความดีแล้วแต่ไม่ติดตามความดี ก็ไม่เกิดผลดี
อะไรขน้ึ มา มีแต่วิบัติอย่างเดยี ว ซงึ่ เปน็ ไปในทางเสือ่ มเสียเทา่ น้นั

เรอื่ งทั้งหมดน้ีจงึ เรยี กว่า วิบัติ ๔ ประการ คือ
๑. การท�ำ ความดีไมถ่ ูกท่ี
๒. การทำ�ความดีไมถ่ ูกบคุ คล
๓. การทำ�ความดีไมถ่ กู กาลเวลา
๔. การท�ำ ความดีแลว้ ไม่ติดตามความดขี องตน
เหตนุ ้ี ชาวพุทธบรษิ ัทท้ังหลายควรพากนั ศึกษาให้รู้ เพราะเป็นส่ิงทที่ ุกคนไม่ควร
นำ�ไปปฏบิ ัติ เพราะเป็นทางวิบตั เิ สอ่ื มเสีย ไมเ่ จริญทง้ั แกต่ นเองและบคุ คลอืน่ ดว้ ย

238 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

การท�ำความดีทีจ่ ะน�ำความเจรญิ มาสูต่ น

จะพูดถึงเร่ืองการทำ�ความเจริญให้เกิดข้ึนแก่ตนเอง เราควรปฏิบัติตนอย่างไรให้
ถูกต้อง และมีความเจริญได้ ให้มีความสุข ถ้าเราทำ�ความดีถูกที่ ทำ�ความดีถูกคน ทำ�
ความดีถูกกาลเวลา ท�ำ ความดีแลว้ กต็ ามความดีของตน ก็ย่อมมีความเจริญฝา่ ยเดียว

๑. การท�ำ ความดถี กู ที่ ได้แก่ เราเลือกหาสถานทีใ่ นการทำ�บญุ ของเรา เราก็ไป
เท่ียวหาดูในสถานที่ต่างๆ จะเป็นสถานท่ีที่คนจนตกทุกข์ได้ยากมีความลำ�บาก หรือ
คนพกิ ารอวยั วะตา่ งๆ ของร่างกาย เชน่ หูหนวก ตาบอด แขนขาด้วน ร่างกายทุกสว่ น
ไม่สมบูรณ์ หรือบุคคลถูกนำ้�ท่วม ไฟไหม้ ลมพายุพัดบ้านเรือนพังทลาย ทรัพย์สิ่งของ
เสียหายไปหมดส้ิน หาท่ีพึ่งพาอาศัยไม่มี หรือคนแก่ชราภาพท้ังหลายเหล่านี้เป็นต้น
ทุกคนถ้าตนเองมีทรัพย์สิ่งของพอเหลือใช้บ้าง ก็ควรพากันบริจาคช่วยเหลือ สร้าง
สถานที่ให้อยู่พักอาศัยแก่เขาเหล่านั้น หรือเรามีทรัพย์จะสร้างโรงเรียนเป็นที่ศึกษา
หาวิชาความรู้ สร้างโรงพยาบาลรักษาโรค สร้างถนนหนทาง สะพานข้ามนำ้�ให้คน
ท้งั หลายไดเ้ ดินไปมาสะดวก ขดุ บอ่ น�ำ้ สระน�ำ้ ชลประทานเหมืองฝายเกบ็ กกั น�้ำ เอาไว้ให้
ด่ืมกิน อาบใช้สอย ให้ความสุขแก่คนทั่วไป พวกเราก็ควรทำ�บุญทำ�ความดีในสถานท่ี
ควรทำ�

ถ้าหากคนเข้าใจในการทำ�บุญ เช่น สร้างศาลาทางหลวงอยู่ริมถนนนั้นก็ได้บุญ
ถ้าเราจะดูบญุ นะ การท�ำ ถนนน้ันเรากไ็ ด้บญุ อะไรจะใหค้ วามสขุ แกค่ นและสตั ว์ทงั้ หลาย
กท็ �ำ ได้ สมมตุ ิว่าหน้าบ้านของเรามีหลมุ สกั ๑ หรือ ๒ หลมุ เราถมท�ำ ให้เรยี บร้อย คน
เดินไปมาสะดวก รถว่ิงผ่านได้สบาย เราก็ได้บุญทันที ไม่ต้องไปกราบพระอยู่ที่วัดก็ได้
อย่ตู รงนัน้ กไ็ ด้บญุ แล้ว หาบญุ เอาไดส้ ะดวก ถา้ มไี ม้หรอื ส่ิงอื่นมาเกะกะทำ�ให้ถนนหนทาง
สกปรกทำ�ให้คนเดินไม่สะดวก เราก็ขนเอาไม้หรือส่ิงอ่ืนๆ เหล่าน้ันออกเสีย ทำ�ความ
สะอาดให้ดี ก็จะเดนิ ไดส้ ะดวกสบาย กไ็ ดบ้ ญุ แล้ว

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 239

ถ้าคนฉลาดในการทำ�บุญก็เรียกว่า ทำ�ความดีถูกท่ีแล้ว คนท้ังดีและไม่ดีก็ไปน่ัง
ท่ีศาลาทางหลวงด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าแดดออก ฝนตก ลมพายุพัดมา ทุกคนก็เข้าไป
นัง่ หลบกันสบาย ทงั้ ผู้ชาย ผู้หญิง เดก็ คนชรา และสตั ว์ หรอื เช่นมาสร้างกฏุ สิ งฆ์ ศาลา
โบสถ์ วหิ าร หอ้ งน้�ำ ไฟฟ้า โรงครัว ท่ีพกั นั่งนอนอาศัยแกบ่ ุคคลทัง้ หลายท่วั ไป ใหพ้ ระ
อยู่อาศัยในวัด ท้ังพระและญาติโยมท่ีมากราบพระก็ได้พักอาศัยกันสบาย หลังคากุฏิ
ศาลาก็กนั แดดกันฝนให้แก่ทกุ คน จึงเป็นการทำ�ความดที ่ีถูกทีเ่ ช่นกนั การให้ความสุขแก่
คนอ่นื ความสขุ น้ันกจ็ ะมาเป็นของเรา น่ีละ ทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ตรัสสอนไว้อยา่ งนี้

ถ้าเราจะเปรียบเทียบให้ดูอีกอย่างหนึ่งน้ัน เม่ือเราพากันทำ�ความดีถูกท่ีก็ได้บุญ
เช่น เราจะปลกู พชื พนั ธุ์ธญั ญาหารต่างๆ เช่น เราจะปลกู ขา้ ว ปลูกตน้ ไมม้ ีผล เช่น มะม่วง
ลำ�ไย ล้ินจ่ี เงาะ ทุเรยี น ละมดุ ลางสาด ส้มโอ ส้มเขยี วหวาน ฯลฯ พชื ผลท้ังหลาย
เหล่าน้ี ความต้องการของเราน้ันก็คือ อยากให้พืชพันธ์ุท้ังหลายมีลำ�ต้นงอกงาม และ
ออกดอกดีมีผลมาก ถ้าเรามีพืชพันธุ์น้อย ข้าวถ้ามีต้นเดียว หรือมะม่วง ลำ�ไย ล้ินจ่ี
และพืชพันธ์ุสิ่งอ่ืนๆ ก็มีต้นเดียว กิ่งเดียว เราก็ควรพากันแสวงหาพ้ืนที่ปลูกพืชพันธุ์
ท้ังหลายเหล่าน้ี หาดพู ้นื ทที่ ่ีมีดนิ ดี มีป๋ยุ บา้ งตามแตจ่ ะหาพื้นทไ่ี ด้

- ถา้ พื้นที่เปน็ ทรายไมม่ ปี ุย๋ ปลูกพชื กไ็ ม่งาม ผลได้ก็น้อย
- ถา้ พน้ื ท่มี ีปยุ๋ บ้าง ปลกู พชื กง็ ามขึ้นบ้าง ผลก็ไดม้ ากขน้ึ ตามล�ำ ดับ
- ถ้าพื้นท่ีมีดินคร่ึงปุ๋ยครึ่งเท่ากัน พืชพันธ์ุท่ีปลูกลงไปก็งามมากข้ึน ผลไม้ก็
มากข้นึ
- ถ้าพน้ื ท่ีมดี นิ ดี มีปุ๋ยมาก ผลไม้กส็ มบรู ณ์
เราดูก็เข้าใจในสถานท่ีอย่างนั้น เราก็จะเห็นว่าพื้นที่นั้นต้นหญ้าก็งาม ต้นไม้ป่า
ก็งามดี เรามีทรัพย์น้อยพืชพันธ์ุก็น้อย เราก็พากันหาทำ�หาปลูกพืชในที่ดินดีมีปุ๋ยมาก
เรากเ็ ตรียมสถานท่ีปลูกส่ิงเหลา่ นน้ั เชน่ พ้ืนทนี่ ามดี ินดีปยุ๋ ก็มาก ปลกู กล้าตน้ เดียวตน้ ข้าว
ก็งอกงาม แตกดอกออกลกู มีหลายตน้ หลายรวง มเี มลด็ มาก หรอื ตน้ ไม้ผลต่างๆ เช่นกนั
ถ้าเราเตรียมพื้นที่ที่มีดินมีปุ๋ยมาก เราปลูกต้นไม้ก่ิงเดียว ต้นไม้ผลของเราก็งอกงาม

240 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

แตกกิ่งก้านสาขามาก ผลิดอกออกผลบริบูรณ์มากข้ึน ได้รับประโยชน์มากขึ้นเช่นกัน
แตกต่างกันกับพวกเราปลูกข้าวกล้าในนาท่ีไม่มีปุ๋ยดี หรือมีปุ๋ยก็น้อยมาก ปลูกข้าวก็ไม่
งอกงาม ตน้ ขา้ วก็เลก็ ๆ ไมแ่ ตกลูก มตี น้ เดียวเท่าเดมิ หรือได้ลกู ครั้งละ ๑-๒ ต้นเท่านน้ั
จงึ ผลติ ไดเ้ พียง ๒-๓ รวง รวงข้าวกเ็ ล็ก มีเมลด็ กม็ ีน้อย กฉ็ นั น้นั เหมอื นกัน

เหตนุ น้ั เราจะท�ำ ความดอี ะไร เรามที รัพย์น้อยนดิ กต็ อ้ งหาท�ำ ให้ถกู ที่ ปลูกตน้ ไม้
พืชพันธุ์ต่างๆ เรามีน้อยก่ิงน้อยต้น เราก็ต้องแสวงหาปลูกท่ีมีดินดีมีปุ๋ยมากๆ เราก็จะ
ไดผ้ ลมากติดตามมา กเ็ หมือนกนั นัน้ แล

๒. การท�ำ ความดถี กู บคุ คล ในความหมายของข้อนน้ี ัน้ วา่ เราจะท�ำ ความดหี วัง
จะช่วยเหลือเจอื จานแบ่งปันกัน เฉลย่ี ความสขุ ให้ท่วั ไป ตามความสามารถที่เราจะท�ำ ให้
ได้ เชน่ เราจะให้อาหารการกินแก่สตั ว์เดรัจฉาน ต้ังแต่สัตว์เล็กๆ ไปจนถึงสัตว์ตัวใหญ่
เท่าช้าง ท่ีอยู่ในนำ้� บนบก มีขามาก มีขาน้อย ไม่มีขา เล้ือยคลานไปกับพ้ืนดิน หรือ
สัตว์บินได้ไปบนอากาศเหินฟ้าเวหาก็ตาม ถ้าเรามีเมตตา มีอาหารเศษเหลือพอแบ่งให้
เขากนิ ได้กใ็ ห้ไป หรือสตั วอ์ ื่นๆ เขากนิ อะไรไดก้ ช็ ว่ ยให้เขาบ้างกด็ ี เรียกว่าเราสงเคราะห์
ให้เขาอยไู่ ปได้ตามอัตภาพของสตั วน์ ้นั ๆ เราก็ไดบ้ ญุ

การทำ�ความดกี ับคน เราก็ต้องดูคนเหลา่ นน้ั ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ถา้ หากเรารู้วา่
เขาเป็นคนพาลไม่รู้บาปบุญคุณโทษ เราก็เว้นเสียไม่สงเคราะห์สนับสนุนอะไรเขา ทั้ง
สิ่งใดทีม่ ปี ระโยชนห์ รือไมม่ ปี ระโยชน์

เราก็ควรมาพากันช่วยสงเคราะห์บุคคลท้ังหลายที่มีความทุกข์ จน ยากไร้
เข็ญใจ อนาถา ตาบอด หูหนวก แขนขาด้วน ร่างกายพิการไปต่างๆ ช่วยตัวเองไม่ได้
หรือคนเฒ่าแก่ชราภาพ นำ้�ท่วมไร่นาข้าวกล้าตายหมด ลมพายุพัดพาบ้านพักพังทลาย
ไป ไฟไหม้บ้านเรือนสมบัติวอดวายเสียหายหมด ไม่มีท่ีพ่ึงพาอาศัยอยู่ เม่ือพวกเรารู้
บุคคลเหล่าน้ีแล ถ้าหากพวกเรามีอะไรพอช่วยเหลือกันได้ตามกำ�ลังของตนเอง เช่น
อาหารการกิน เคร่ืองนุ่งห่ม ที่พักพาอาศัย ยารักษาโรค และของใช้ต่างๆ ท่ีจำ�เป็น
ชว่ ยเหลือเจอื จานบรรเทาทกุ ข์ บำ�รงุ ให้เพ่ือนมนษุ ยย์ ังชีพตอ่ ไปไดช้ ่วั กาลเวลา กเ็ รียกว่า

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 241

เราทำ�ความดีกับบุคคลท่ีควรทำ� เราได้บุญกุศลอีกเช่นกัน เหมือนกับคนในบ้านเมืองเรา
ท่เี ปน็ ชาวพุทธ ที่มีจิตใจเมตตาช่วยเหลอื กนั อยู่ทุกวนั นี้

การทำ�ความดีถูกบุคคลอีกอย่างหน่ึง พวกเราชาวพุทธบริษัททั้งหลายผู้นับถือ
ในพระธรรมคำ�ส่ังสอนทางพระศาสนา ได้พากันกระทำ�ความดีกับบุคคลท่ีควรกระทำ�
เชน่ บดิ ามารดา ปู่ยา่ ตายาย ให้ลูกหลานบวชเปน็ พระภิกษุ สามเณรในพระพุทธศาสนา
แล้วก็พากันทำ�บุญถวายทานปัจจัย ๔ บำ�รุงดูแล บริจาคทานสบง จีวร เคร่ืองนุ่งห่ม
และภัตตาหารเคร่ืองขบฉัน ก่อสร้างเสนาสนะ มีกุฏิ ศาลา โบสถ์ วิหาร ห้องนำ้�
ห้องครัว บ้านพักญาติโยมทวั่ ไป สร้างไฟฟ้า นำ�้ ใชด้ ืม่ กิน อาบ ใช้สอย ใหค้ วามสะดวก
สบายแก่พระภิกษุ สามเณร ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ หลวงตาทั้งหลาย พักอยู่ตาม
สถานที่ต่างๆ สำ�นักใด วัดไหน ในเมืองใหญ่ เมืองเล็ก บ้านนอก ในป่า ภูเขา อยู่ใน
ถำ้�ใดก็ตามที ถ้าหากท่านเหล่าน้ัน ได้พากันประพฤติปฏิบัติตัวของท่านเป็นพระภิกษุดี
สามเณรดี มีศีลธรรมประจำ�จิตใจของท่านแล้ว ท่านสาธุชนพุทธบริษัทท้ังหลาย เรามี
ทรัพย์น้อยหรือเรามีทรัพย์มาก ก็ขอให้คณะศรัทธาญาติโยมพากันทำ�ความดีกับท่าน
ทั้งหลายเหล่านั้นเถิด เราทั้งหลายก็จะได้ทำ�ความดีถูกคนแน่ ถึงแม้จะมีคนเอา
วัตถุไทยทานมาทำ�บุญกับท่านมากด้วยกัน ไม่ว่าท่านจะมีข้าวของมากมายสักเพียงใด
เราก็ไม่ต้องไปคิดกังวล ท่านเป็นคนท่ีใจกว้าง ท่านก็จะเจือจานต่อไปเอง บุญของเรา
ก็จะกว้างต่อไป นักปฏิบัติจริงๆ จะไม่เก็บส่ิงของที่ศรัทธาญาติโยมถวายไว้ทั้งหมด จะ
แจกจ่ายออกไปเสมอ เพ่ือสงเคราะห์คนต่อไปด้วย ในส่วนตัวของเรานั้นเมื่อถวายของ
แก่ท่าน เราก็ได้บุญแล้ว และเมื่อท่านเอาของนั้นไปสงเคราะห์คนอ่ืนต่อไป เราก็ย่ิงได้
บุญตอ่ ไปอีกด้วย

แต่คณะศรัทธาญาติโยมบางคนนั้น ได้ไปเจอครูบาอาจารย์ประพฤติตนไม่ดี
ไม่งามตามขนบธรรมเนียมทางพระพุทธศาสนา ญาติโยมบางท่านเจอพระอย่างนี้แล้ว
ก็ใจแป้ว หมดศรัทธาทำ�บุญอีกต่อไป ศรัทธาบางคนก็เลยเหมาเอาหมดว่า พระภิกษุ
สามเณรท้ังหมดทุกวัด ทุกสำ�นัก ประพฤติปฏิบัติไม่ดี ก็เลยหมดความศรัทธาเลื่อมใส
จติ ใจออ่ นแอท้อแท้ไปหมด

242 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

เหตุน้ัน ผู้เขียนขอตักเตือนคณะศรัทธาท่านสาธุชนทั้งหลายว่า ขออย่าเป็น
บุคคลท่ีมีจิตใจท้อถอยในการกระทำ�ความดีกับบุคคลท่ีควรทำ� ดังภาษิตที่พระพุทธองค์
ตรัสไว้แล้วว่า “ทายกควรมีจิตใจไม่ท้อถอย ทำ�บุญในที่ใดได้ผลมาก ควรให้ในท่ีนั้น”
ก็แปลว่า การทำ�บญุ ทำ�ความดกี บั บุคคลนัน้ กใ็ ห้เลือกหาบุคคลทีป่ ฏบิ ตั ดิ ีนนั้ เอง เพราะ
มที รัพยน์ ้อยเราก็ท�ำ บญุ แตก่ ับบุคคลทดี่ ี

เอาอย่างน้ีดีกว่านะ ศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย ถ้าโยมทุกท่านไม่ศรัทธาเล่ือมใส
พระเณรองค์ใดรูปใด ก็ไม่ต้องทำ�บุญกับท่านแหละนะ เพราะไม่เต็มใจทำ�บุญจะไม่ได้
บุญมากแน่ๆ แต่ถ้าญาติโยมมีศรัทธาเล่ือมใสกับครูบาอาจารย์ พระเณรรูปใด ก็ควร
ทำ�บุญกับท่านรูปน้ันเถิด ก็จะได้บุญกุศลมาก เพราะโยมมีความเต็มใจทำ�บุญ ใจก็ย่อม
มคี วามสุขมาก

อีกอย่างหน่ึง อยากให้ญาติโยมคิดดูว่า เกิดเราหาพระเณรดีใกล้บ้านโยมไม่มี
โยมคงจะคิดว่า โยมจะพากันไปทำ�บุญท่ีวัดไหนหนอ สำ�นักใด ครูบาอาจารย์องค์ใด
ที่โยมศรัทธา วัดท่านก็อยู่ไกลมาก การเดินทางไปก็ลำ�บาก โยมก็ขาดความดีไปนาน
ขอให้ญาติโยมคิดอย่างน้ีดีกว่า โยมอย่าเหมาเอาว่าพระเณรทั้งหมดนั้น ทั้งบวชมานาน
แล้วก็มี และบวชมาใหม่ก็มีมากมาย พระภิกษุสามเณรท้ังหลายเหล่าน้ัน ผู้ที่ท่าน
ปฏบิ ตั ิดกี ็มมี ากมาย ผ้ปู ฏิบัตไิ มด่ ีมีเพียงสว่ นน้อยเท่านน้ั เอง พระภกิ ษสุ ามเณรแตล่ ะวดั
และสำ�นักต่างๆ ไม่ใช่ท่านจะปฏิบัติตนไม่ดีหมดทุกรูป เป็นบางรูปเท่านั้นปฏิบัติไม่ดี
สว่ นมากแล้วท่านก็ปฏบิ ตั ิตนของทา่ นดีอยู่

ญาติโยมควรทำ�บุญไปเถิดนะ ตามกำ�ลังที่ตนกระทำ�ได้ เพื่อไม่ให้ขาดความดี
ของตน แม้คิดวา่ จะไดบ้ ุญน้อยกต็ าม แต่เราทำ�บุญไปทีละนอ้ ยๆ ทำ�บ่อยๆ กจ็ ะได้บญุ
มากขึ้นเอง เปรียบเทียบกับเราตักนำ้�ในบ่อทราย นำ้�ออกทีละน้อยๆ แต่เราก็ตักเอา
นำ้�น้ันบ่อยๆ ใส่ในถังในโอ่งหลายคร้ัง ก็จะได้นำ้�มากเต็มถังเต็มโอ่งน้ันได้ ก็ฉันน้ัน
เหมือนกัน แต่ถ้าหากญาติโยมรู้ว่าทรัพย์ของเรามีน้อย เราก็ต้องเลือกหาท่ีดีๆ ที่ครูบา
อาจารย์ หลวงปู่ปฏิบัติดีนั้น หากเรามีโอกาสไปกราบท่าน เราจึงทำ�บุญกับท่านอย่าง
เตม็ ใจของตน

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 243

๓. การทำ�ความดีถูกกาลถูกเวลา ได้แก่ การท่ีเราจะไปเล้ียงพระ เราก็ดูว่าจะ
ไปเวลาไหน จะเตรียมของอะไรไปถวายบ้าง เชน่ น้�ำ ส้ม น้ำ�หวาน และเราเองจะไปท�ำ
อะไรบ้าง เชน่ ไปทำ�วตั รเชา้ ท�ำ วัตรเยน็ ไปฟังเทศน์ ตามกาลตามเวลาทีม่ ีอยู่ เราควร
รู้ว่าสิ่งของอะไรบ้างท่ีจะถวายพระในตอนเช้าได้ หรือสิ่งของอะไรบ้างที่จะถวายพระ
ในตอนบ่ายได้ เช่น ถ้าเราเอาอาหารไปถวายพระตอนบ่าย เราไม่ต้องไปประเคนท่าน
เพราะหากว่าท่านรับประเคนอาหารนั้นแล้ว ในวันต่อไปพระท่านจะฉันอาหารท่ีได้รับ
ประเคนไว้แล้วนั้นไม่ได้ เพราะผิดศีลของพระ เหตุฉะน้ัน ญาติโยมจึงควรนำ�อาหาร
เหล่าน้ันไปเก็บไว้ที่โรงครัว เพื่อจะได้ให้โยมวัดนำ�เอาอาหารมาถวายพระในวันถัดไป
อย่าไปบังคับให้พระท่านรับประเคนไว้ ส่วนมากแล้วญาติโยมทั้งหลายยังไม่เข้าใจเรื่อง
การถวายสิ่งของต่างๆ กับพระ ไม่รู้อะไรควรประเคนพระในตอนเช้า ไม่รู้ว่าอะไรควร
ประเคนในตอนบ่าย อะไรที่พระฉนั ได้ทกุ กาลเวลา เราต้องศกึ ษาใหร้ ู้ให้เข้าใจวา่

- อะไรทีเ่ ปน็ อาหาร เราก็ประเคนพระในตอนเช้าไปถึงแค่เทีย่ งวนั
- สงิ่ ทปี่ ระเคนพระไดต้ งั้ แต่ตอนบ่ายไปจนถึงเทยี่ งคนื กค็ อื นำ้�ปานะ
- เภสัชท่ีรับประเคนแล้วเก็บไว้ฉันได้ ๗ วัน คือ นำ้�ผ้ึง นำ้�อ้อย นำ้�ตาลทราย
เนยใส เนยขน้
- แต่เภสัชอย่างอ่ืนรับประเคนแล้ว เก็บไว้ฉันได้ตลอดชีวิต สิ่งท่ีควรประเคน
พระไดท้ กุ กาลทุกเวลา ก็คอื ยารักษาโรคทกุ ชนดิ

การทำ�น้ำ�ปานะถวายพระภิกษุสามเณร
ผลไม้ที่จะนำ�มาทำ�นำ้�ปานะถวายพระภิกษุ สามเณรน้ัน ต้องเป็นผลไม้ที่ไม่ใช่
มหาผล ผลไมท้ ค่ี วรใช้ทำ�น�ำ้ ปานะถวายพระภกิ ษุสามเณร ไดแ้ ก่ มะนาว พุทรา ลกู หว้า
สม้ เขียวหวาน ส้มเชง้ มะขาม มะปรางดบิ กลว้ ยดิบมีเมลด็ ฯลฯ
น้�ำ ท่ีใช้ท�ำ น�ำ้ ปานะ ควรตม้ ให้สุกเสียกอ่ น แลว้ ตงั้ ทงิ้ ไว้ใหเ้ ยน็

244 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

วิธีทำ�น้ำ�ปานะอย่างย่อๆ
นำ�ผลไม้มาแกะเอาเมล็ดออก แล้วค้ันเอาแต่นำ้�ผลไม้ จากน้ันนำ�มากรองด้วย
ผ้าขาวบางสะอาด ๗ ครั้ง แล้วจึงนำ�มาผสมด้วยพริก หรือเกลือ หรือนำ้�ตาล หรือยา
สมนุ ไพรตา่ งๆ ตามต้องการ
นำ้�ปานะที่ผสมเสร็จแล้วน้ี ห้ามนำ�ไปต้มสุกอีก นำ้�ปานะที่จัดเตรียมเรียบร้อย
แล้วน้ี จะประเคนพระได้ต้ังแต่เท่ียงวันไปแล้ว ถึงเท่ียงคืนก็หมดอายุกาล แต่น้ันไป
พระภิกษสุ ามเณรฉนั ไมไ่ ด้ เพราะน�้ำ ปานะเหลา่ น้นั จะกลายเป็นเมรยั จงึ หา้ มฉัน
เหตฉุ ะนนั้ เรอ่ื งการท�ำ น้ำ�ปานะถวายพระภิกษุ สามเณรนี้ คณะศรทั ธาญาตโิ ยม
ควรพากันปฏิบตั ใิ หถ้ ูกตอ้ งตามที่ได้กล่าวมาน้ี
การให้สิ่งของ เช่น ยารักษาโรคแก่คนทวั่ ไปกเ็ หมือนกัน ก็ต้องให้ถูกตามกาลเวลา
ท่ีกำ�หนดให้ และตามขนาดท่ีเหมาะสม ตามแพทย์กำ�หนดไว้ด้วย ไม่ใช่ขนเอายา
หลายๆ อยา่ งให้กนิ เพราะอยากให้หายเรว็ ก็เปน็ เรอื่ งทผ่ี ดิ ไมเ่ หมาะสม
ในกรณีที่เราเป็นผู้เข้าใจวิธีการทำ�บุญท่ีเหมาะสม และสมมุติว่าคนๆ หน่ึงที่
ไม่เคยรู้จักทำ�บุญเลย ไม่รู้จะทำ�อย่างไรจึงจะถูกต้อง เขากำ�ลังคุยปรึกษากันอยู่ เรา
ก็เลยเข้าไปคุยกับเขา บอกวิธีการทำ�บุญที่ถูกต้องให้เขา เช่น ต้องเตรียมของอย่างไร
พธิ ตี ่างๆ ตอ้ งทำ�อย่างไรบา้ ง ซง่ึ เป็นกาลเวลาที่ถูกตอ้ งท่จี ะสอนเขาใหร้ ู้จักวธิ ีการท�ำ บญุ
ท่ีถูกตอ้ ง เป็นเวลาสมควรทจี่ ะสอนให้คนท่ไี ม่รใู้ ห้มคี วามรู้ขน้ึ มา เขากจ็ ะยอมรบั ฟงั
ถา้ เขายังไมอ่ ยากรู้ ยังไมย่ อมรับฟงั เรากอ็ ยา่ เพิ่งไปสอนเขา ถา้ เขาสนใจ เราก็
แนะน�ำ สอนเขาได้วา่ เร่ิมต้นท�ำ บุญ เราตอ้ งท�ำ วธิ นี ้ีกอ่ น ถ้าธรรมดากเ็ ตรยี มสงิ่ ของถวาย
พระหรือใหก้ ับคนทวั่ ไป หรือจะท�ำ สงั ฆทาน เริ่มตน้ ไหวพ้ ระ รบั ศลี กลา่ วคำ�ถวายทาน
สิ่งของเสยี ก่อน แลว้ จงึ นำ�สง่ิ ของท่ที �ำ บญุ นน้ั ถวายพระเณร

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 245

บางคนท่ีเราเห็นว่าเขารู้เร่ืองการทำ�บุญดีแล้ว เข้าใจเรื่องการทำ�บุญดีแล้ว เราก็
ชวนเขารักษาศีลต่อไป เช่น พูดว่าทำ�บุญเก่งอย่างน้ีน่าจะรักษาศีลเพิ่มข้ึนไปด้วย ก็
เรียกว่าเหมาะแก่กาลท่ีจะสอน เขาก็คิดอยากรักษาศีลข้ึนมา มันก็เป็นบุญท่ีเราสอน
เรียกว่าเราใช้ค�ำ พูดของเราดี ใช้งานได้ ถ้าเราท�ำ ไม่ได้ เราก็พูดให้คนอ่นื ท�ำ กไ็ ด้ เรียกว่า
บุญท่ีสำ�เร็จด้วยการขวนขวายด้วยการพูดจา ถ้าเราทำ�ไม่ได้ เราไม่มีส่ิงของไทยทาน
เม่ือเห็นคนอื่นทำ�บุญเราก็ยกมือไหว้กล่าวคำ�สาธุ เป็นบุญที่สำ�เร็จด้วยการอนุโมทนา
เชน่ เหน็ คนเขาถวายพระพุทธรูป เหน็ คนเขาสร้างกุฏศิ าลาถวายพระ เห็นเขาท�ำ อาหาร
มาถวายพระ เรากส็ าธุตาม คือ อนโุ มทนา ได้น้อยๆ ก็อนโุ มทนา แตก่ ็ดีเพราะส่งเสรมิ
บุญของเราให้ได้สำ�เร็จ ได้บุญมากข้ึนมีพลังมากข้ึน หรือเห็นคนอ่ืนเขารักษาศีลได้ เรา
ยังรักษาศีลไมไ่ ด้ ก็อนโุ มทนากับคนอืน่ ทเ่ี ขารกั ษาศีลไดไ้ ปกอ่ น

เมื่อเห็นคนท่ีมาวัดเขารกั ษาศีล ๕ ศีล ๘ ได้ดแี ล้ว พระกช็ วนเขาฝึกหัดภาวนา
ต่อไป ถึงจะน่ังไม่ได้สงบก็ไม่เป็นไร ก็ชวนให้เขานั่ง อย่างที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่าน
ทำ�กันอยู่ คือ คุมให้เขานั่งสมาธิ เพราะเห็นว่าเหมาะแก่เวลาที่จะสอนเขาแล้ว เขา
เข้ามาจนถึงวัดแล้ว มาอยู่ด้วยในวัดรักษาศีลได้แล้ว ก็ควรสอนเขาภาวนาต่อ เพราะ
เปน็ เวลาท่ีเหมาะสมแกก่ ารภาวนา พอจติ สงบมีสมาธดิ ีแล้ว ไมร่ ู้จะพิจารณาอะไร เราก็
สอนให้เขาพิจารณาด้านปัญญา หาวิธีละกิเลสออกจากใจของเขา ตามกาลเวลา ก็เลย
เรียกวา่ ได้บุญ เพราะปฏบิ ัตถิ ูกต้องเหมาะสมตามกาลเวลา

๔. การทำ�ความดีแล้วให้ตามความดีของตน ถ้าเราไม่เคยไปทำ�บุญในวัดเลย
แต่เราเคยสร้างถนนหนทาง เราเคยทำ�ความสะอาด แนะนำ�สั่งสอนลูกหลานและ
เพื่อนฝูงที่ไม่ดีให้ทำ�ความดีอยู่เรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้เข้าวัด เราเคยสงเคราะห์คน ให้เงิน
ทองข้าวของอาหารการกินแก่คนอ่ืน หรือพี่น้องท้ังหลาย เราควรท่ีจะมีเมตตาเจือจาน
สงเคราะห์เขาไปเร่ือยๆ เช่น สงเคราะห์คนจน เป็นต้น โดยท่ียังไม่ได้เข้าวัด เมื่อเห็น
คนอ่ืนได้รับความวิบัติต่างๆ เช่น นำ้�ท่วมทรัพย์สินเสียหายหมด ไฟไหม้บ้านเรือน เรา
ก็ช่วยกันสงเคราะห์เขา ถ้าเขาขาดอาหารการกิน เราก็ช่วยเขา นี่คือการทำ�บุญนอกวัด

246 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

ยังไมไ่ ด้เข้าวดั กเ็ รียกวา่ เปน็ บญุ ด้วย สมควรทเี่ ราจะคอ่ ยๆ ทำ�ไปตามกำ�ลังความสามารถ
ทเ่ี ราจะชว่ ยเหลอื กันได้ ถ้าเรามาทำ�ในวดั เราเคยท�ำ ท�ำ ตามกำ�ลังของเรา เราก็พยายาม
สร้างบุญกุศลไปเร่ือยๆ เราเคยรักษาศีล เราก็พยายามจะรักษาศีลของตนเพื่อให้ดี
มากขึ้น ท่ีเคยรักษามาแล้วไม่ได้ละทิ้งให้เสื่อมลงไป ศีลข้อไหนยังไม่ดี ก็พยายามรักษา
ปรับปรุงเพ่ือจะให้ดีข้ึน ให้เป็นผู้มีศีลธรรมข้ึน ก็รักษาศีล ๕ เรามีศีล ๕ บริสุทธิ์แล้ว
ต่อมาเราอยากได้ศีล ๘ เราก็พยายามที่จะรักษาศีล ๘ ให้เราเป็นผู้มีศีล มีฐานะสูงข้ึน
เป็นศีลพรหมจรรย์ได้แค่วันหน่ึงก็เอา มันยังไม่ได้มาก ต่อมาลงมาอยู่ศีล ๕ ออกจาก
วัดมา ประคองศีล ๕ ไว้ ถึงวันพระวันโกนก็ไปต้ังใจรักษาศีล ๘ อีกต่อไป ให้พากัน
พยายามขวนขวายรักษาศลี ตามกำ�ลังของตน

พอมีศีลดีแล้วก็ฝึกทำ�สมาธิ ถ้าจิตใจของเรายังไม่สงบเป็นสมาธิ เราก็พยายาม
ฝึกไปเร่ือยๆ ต้องการให้จิตใจของเราสงบเป็นสมาธิ หม่ันเดินจงกรมอยู่เสมอ พอจิตใจ
สงบเป็นสมาธิเพียงขณิกสมาธิ ก็พยายามให้ได้ถึงอุปจารสมาธิ และจิตใจของเราสงบ
เป็นอารมณ์หน่ึงอารมณ์เดียว เราก็พยายามรักษาจิตใจของเราให้สงบเป็นสมาธิอยู่บ่อยๆ
เพ่ือให้จิตใจของเราสงบเป็นสมาธิอยู่ทุกเวลา เมื่อจิตใจสงบหนักแน่นมั่นคงดีแล้ว เราก็
ไม่ละความเพียรของตน ต่อไปเราจึงจะได้พิจารณาธรรมะ ถ้าพิจารณาธรรมะยังไม่เห็น
แจ้งชดั ในธรรมะน้นั เราก็ทำ�ไปเรอื่ ยๆ เหมือนกับคนซักผา้ ขาวท่เี ปรอะเปือ้ นสกปรก ถา้
ผ้ายังไม่สะอาดดี ก็เพียรซักอยู่นั่นแหละ ถูมันอยู่นั่นแหละ เอานำ้�ล้างมันอยู่นั่นแหละ
พยายามอยู่จนผ้าน้ันสะอาดตามความประสงค์ของตน ยกตัวอย่างเช่น คนเราเกิดมา
หลายปีแลว้ ยงั ไม่ได้เข้าวดั ชำ�ระกเิ ลสออกจากจิตใจของตน พากันซกั แตผ่ า้ เคร่ืองนุ่งห่ม
ล้างแต่มือเจ้าของ แต่ใจไม่ล้างสักที เราก็มาพยายามฝึกฝนอบรมจิตใจของเรา มันเคย
มีโลภะมาก เคยโกรธคนน้ันคนน้ี เกลียดคนน้ันคนน้ี เราก็จะมาดูจิตใจของตนเพ่ือ
ซักล้าง โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจให้สะอาดหมดจด คนมีความเพียรอยู่ตลอด
เรียกวา่ ตามความดี ก็ย่อมมคี วามเจริญเกิดขึน้ แกต่ นเอง

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 247

248 ปั ญ ญ า ป ที ป ธ ร ร ม เ ล่ ม ๑

การบริจาคทานท่ไี มถ่ อื เป็นบญุ ในทางพระพทุ ธศาสนา

หากว่าเป็นคนท่ีพอเข้าใจเรื่องการทำ�บุญบ้างแล้ว เขาย่อมเลือกทำ�บุญได้อย่างดี
และถูกต้อง เพราะเขารู้เร่ืองดีว่าจะทำ�อะไรเป็นบุญและมีประโยชน์อะไรบ้าง เมื่อ
ทำ�บุญแล้ว ก็เป็นเหตุท่ีทำ�ให้ผลย่อมออกมาตามเหตุท่ีเขากระทำ�นั้น เรียกว่าธรรมเกิด
จากเหตุและรู้จักผลของเหตุนั้น ซ่ึงเป็นธรรมะของบุคคลผู้มีปัญญา เม่ือเขาทำ�บุญย่อม
ได้บุญมาก คนไม่มีปัญญาทำ�บุญย่อมได้บุญน้อย เพราะอะไรมันจึงได้น้อย เพราะเขา
พากันทำ�อะไรก็ทำ� เขาพากันทำ�ชั่วก็ทำ� เขาพาทำ�ดีก็ทำ� ก็ได้บุญน้อยนะซิ เม่ือไม่รู้ว่า
จะเอาอะไรไปทำ�บุญจึงจะถูก ก็คิดกังวลอยู่นั่นแหละ คิดไปคิดมา เอาของที่ไม่ควร
ท�ำ บุญไปท�ำ บุญ ก็เลยไม่ได้บญุ มากตามทต่ี นเองปรารถนา

เหมือนท่ีพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า พุทธบริษัทท้ังหลาย ญาติโยมทั้งหลาย
ทำ�บุญเขาว่าได้บุญแต่เราว่าไม่ได้บุญ ถ้าบริจาคทานให้พระหรือจะถวายอะไรให้พระ
โยมคดิ ว่าไดบ้ ญุ เชน่ บริจาคทานชา้ ง ม้า โค กระบอื ให้พระ กน็ ่าจะได้บุญ บรจิ าคทาน
แห อวน เคร่ืองดักสัตว์ต่างๆ ให้เขา เขาจะไปจับสัตว์มาฆ่าเพื่อเป็นอาหารเล้ียงชีวิต
ของเขาเอง เขาก็คิดว่าได้บุญ บริจาคทานยาพิษ ยาเบ่ือ ยาเมา เพื่อให้ไปพ่นฆ่าสัตว์
ต่างๆ เขาก็คิดว่าได้บุญ บริจาคคนก็ได้นะ ให้เป็นลูกบุญธรรม ลูกเล้ียง บริจาคทาน
เด็กผู้หญิงเล็กๆ อายุน้อยๆ เขาก็ทำ�กันทุกวันนี้ ผู้ท่ีไม่มีลูกไปขอลูกคนอื่นมาเล้ียงก็
ได้บุญ รวมทั้งการบริจาคทานเคร่ืองวิจิตร เคร่ืองศิลปะอย่างท่ีกรมศิลปากรทำ�อยู่นี้
ก็คิดกันว่าได้บุญ เพราะสอนให้คนอื่นเขาทำ�งานศิลปะได้ก็ได้บุญทางโลก เพราะเขาได้
ศลิ ปะ ได้วิชาความรทู้ ่ีจะไปแกะสลักตอ่ ไป เทา่ กบั ให้วิชาความรทู้ างโลกแก่เขา

แตพ่ ระพทุ ธเจ้าตรสั ว่า มาสอนวชิ าศลิ ปะแก่พระน้ีไมไ่ ด้บญุ นะ การบรจิ าคทาน
ใหพ้ ระนนั้ คดิ แลว้ น่าจะได้บุญแตม่ นั ไมไ่ ด้บุญ พระพุทธเจา้ ไม่สรรเสรญิ เขาก็ยงั พากนั
บรจิ าคทานกนั อยู่ เชน่ เอาควาย วัว โค กระบือ ชา้ ง ม้า มาถวายใหพ้ ระ บางทีก็น�ำ
หมู เป็ด ไก่ มาปล่อยไวท้ ่วี ดั จัดเปน็ การบรจิ าคทานทไี่ มไ่ ดบ้ ญุ เชน่ กนั

ท ำ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร จึ ง ไ ด้ บุ ญ ม า ก 249

บรจิ าคโคกระบอื ใหพ้ ระภกิ ษเุ ล้ยี งดู สมมุติวา่ นำ�ชา้ ง มา้ โค หมู หมา เป็ด ไก่
มาให้พระเล้ียงในวัด โยมคิดว่าจะได้บุญ แต่มันไม่ได้บุญ พระภิกษุท่านไม่ยุ่งกับสิ่ง
เหล่าน้ันแล้ว เอาโคมาเล้ียงน่ีก็ต้องหาคอกให้มันอยู่ หาเชือกผูกมัน ต้องหาหญ้าให้มัน
กิน น่าท่ีจะใช้เวลาไปเดินจงกรม นั่งภาวนา ก็ต้องไปหาเกี่ยวหญ้าอยู่ตามทุ่ง เพื่อมา
เลย้ี งสัตวเ์ หลา่ น้นั พระทา่ นก็เป็นทกุ ขเ์ ทา่ นนั้ เอง

เมอ่ื เอาโคกระบือมาไวด้ ังน้ี มนั ไปเดนิ ก็เหยียบหญา้ เหยียบต้นไมท้ ี่ปลูกไวใ้ นวดั
เสียหาย และถ่ายมูลไว้ ทำ�ให้โบสถ์ วิหาร เจดีย์ กุฏิพระ และลานวัดสกปรกไปหมด
จนไม่มีใครอยากเข้ามาในวัดเพราะวัดน้ันสกปรก นี่มันไม่ได้บุญอยู่ตรงนี้ เพราะทำ�ให้
พระท่านเป็นทุกข์ น่าที่ท่านจะได้มีความสุขท่านก็เลยมาเป็นทุกข์เสีย โยมจึงไม่ได้บุญ
ในการบรจิ าคทานด้วยสิง่ เหลา่ น้ี

บรจิ าคอาวธุ ให้พระภิกษุ โยมน�ำ อาวุธมาถวายพระ เพ่อื ให้พระท่านปอ้ งกันตัว
เพราะโยมเหน็ ว่าพระท่านอยใู่ นป่า เกรงจะมอี ันตรายเกดิ ข้นึ แก่ทา่ น จงึ นำ�เอาอาวธุ ปืน
และระเบิดมาถวายให้พระท่านเพื่อใช้ป้องกันตัว แต่อาวุธเป็นเคร่ืองมือฆ่ากัน ทำ�ลาย
กัน โยมจึงไม่ได้บุญ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงห้ามพระภิกษุไม่ให้จับอาวุธปืน หรือ
พกปืนตดิ ตัวไปในที่ต่างๆ ดงั นนั้ การถวายปืนใหพ้ ระจงึ ไม่ไดบ้ ญุ

บริจาคเร่ืองดักสัตว์ต่างๆ เมื่อโยมนำ�เครื่องดักสัตว์ต่างๆ เช่น แห อวน จำ�
(ยกยอหรือสะดุ้ง) ลอบ ไซ ฯลฯ มาถวายพระ โยมก็ไม่ได้บุญ ถึงแม้ว่าเมื่อพระท่าน
รับส่ิงท้ังหลายเหล่าน้ีไว้แล้ว ถ้าท่านบริจาคให้ญาติโยมคนอ่ืนต่อไป โยมก็ไปจับสัตว์
ฆ่าสัตว์ เท่ากับว่าพระส่งเสริมให้ญาติโยมฆ่าสัตว์ใช่ไหม เพราะพระท่านเอาเคร่ืองมือ
เหล่านไี้ ปให้โยม โยมกต็ ้องจับสตั วฆ์ า่ สัตวต์ อ่ ไป โยมทำ�บุญดว้ ยเครือ่ งดักสตั ว์นน้ั ไม่ไดบ้ ญุ

บรจิ าคทารกเพศหญงิ ใหพ้ ระภิกษเุ ล้ยี งดู การให้ทานเดก็ หญิงเลก็ ๆ แหม มัน
น่าจะได้บญุ แต่กไ็ มไ่ ดบ้ ญุ อีก การเอาเดก็ ผหู้ ญิงเลก็ ๆ อายสุ ัก ๑ - ๒ เดือนข้ึนไปจนถึง
๑ - ๒ ปีมามอบให้พระ พระก็เลี้ยงดูไม่ได้ เพราะเหตุว่าพระจะจับต้องเด็กผู้หญิงไม่ได้


Click to View FlipBook Version