หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู คณะศึ กษาศาสตร์
วิ ท ย า ลั ย บั ณ ฑิ ต เ อ เ ชี ย
นวัตกรมทางการศึ กษา ความรู้เบื้ องต้นเกี่ยวกับ
เ ท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เ ท ศ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เ ท ศ
เพื่ อการเรียนรู้
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยี
สารสนเทศทางการศึกษา
กุมภาพันธ์ , 2565
(FEBUARY,2022
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
จัดทำโดย
นางสาวจันทิมา ศรีโสดา ห้อง 6 เลขที่ 29
รหัสนักศึกษา 646550200-9
เสนอ
ดร. กฤษฎาพันธ์ พงษ์บริบูรณ์
1
รายงาน
เร่ือง นวัตกรรมทางการศกึ ษา ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
และเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ การเรียนรู้
จัดทาโดย
นางสาวจันทิมา ศรโี สดา
เลขที่ 29 หอ้ ง 6
รหสั นกั ศึกษา 646550200-9
เสนอ
ดร. กฤษฎาพนั ธ์ พงษ์บรบิ ูรณ์
รายงานนี้เปน็ สว่ นหน่งึ ของรายวชิ านวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศกึ ษา
หลักสตู รประกาศนยี บตั รบัณฑติ วชิ าชีพครู
คณะศกึ ษาศาสตรแ์ ละศลิ ปะศาสตร์
ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
วทิ ยาลัยบณั ฑติ เอเชยี
ก
คานา
รายงานเรอ่ื ง นวัตกรรมทางการศกึ ษา ความรูเ้ บอ้ื งตน้ เก่ยี วกับเทคโนโลยีสารสนเทศ และ
เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ เป็นสว่ นหนง่ึ ของรายวชิ านวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทาง
การศกึ ษา รหัสวิชา 810105 รายงานเล่มน้จี ัดทาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนรจู้ ึงเหมาะกับบคุ คลท่สี นใจท่วั ไป
เพราะในรายงานผูจ้ ดั ทาไดร้ วบรวมเนื้อหาจากหลายแหลง่ คอื หนังสือ งานวจิ ยั รวมท้งั เว็บไซต์ทน่ี ่าเชื่อถือตา่ งๆ
ซึง่ เนอื้ หาเกีย่ วกบั นวตั กรรมทางการศกึ ษา ท่ัวไปผจู้ ัดทาหวังเปน็ อยา่ งย่งิ วา่ รายงานเล่มนีจ้ ะเป็นประโยชน์แก่
ผู้ท่ไี ด้ศึกษาไมม่ ากก็น้อยและหากมขี ้อผิดพลาดประการใดตอ้ งขออภัยมา ณ ทีน่ ดี้ ้วย
จันทมิ า ศรีโสดา
สารบัญ ข
เรือ่ ง
บทท่ี 1 นวตั กรรมทางการศึกษา หนา้
1.1 ประวัติ ความเป็นมาของนวตั กรรมทางการศึกษา 1
1.2 แนวคดิ พนื้ ฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา 5
1.3 ประโยชน์ของนวัตกรรมทางการศึกษา 7
1.4 ลักษณะของนวตั กรรมทางการศึกษา 8
1.5 ประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษา 8
1.6 องค์ประกอบของนวตั กรรมการศึกษา 9
1.7 กระบวนการพฒั นานวตั กรรมทางการศึกษา 10
1.8 ความสาคญั ของนวัตกรรมทางการศึกษา 10
1.9 นวตั กรรมทางการศึกษาท่สี าคญั ของไทยในปจั จบุ ัน 11
1.10 ประเภทของการใชน้ วตั กรรมการศึกษาในประเทศไทย 12
1.11 นวตั กรรมทางการศึกษาต่างๆ ที่กล่าวถึงกนั มากในปจั จบุ ัน 15
1.12 ลักษณะสาคญั ของ e-Learning 16
1.13 องคป์ ระกอบของ e-Learning 17
1.14 ข้อไดเ้ ปรยี บ และข้อจากัดของ e-Learning 19
1.15 ขอ้ จากัด 21
1.16 ระดบั ของสื่อสาหรับ e-Learning 22
1.17 ระดับของการนา e-Learning ไปใชใ้ นการเรียนการสอน 23
1.18 m-Learning 24
1.19 ความหมายของ M – Learning 25
1.20 กระบวนการเรียนรู้แบบ M – Learning 26
1.21 ประโยชนแ์ ละข้อจากดั ของ M – Learning 26
บทที่ 2 ความรู้เบ้ืองต้นเกีย่ วกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ
2.1 ความรูเ้ บ้อื งต้นกับสารสนเทศ 28
2.2 วิวฒั นาการของสารสนเทศ 29
2.3 สาเหตุทที่ าให้เกิดสารสนเทศ 30
2.4 ความหมายของสารสนเทศ 30
2.5 หลักเกณฑก์ ารประเมินผลลพั ธ์ หรือผลผลิต 33
ค
สารบญั (ตอ่ )
เรอื่ ง หน้า
2.6 คุณลักษณะของสารสนเทศท่ีดี 33
2.7 คณุ ภาพของสารสนเทศ 34
2.8 ความสาคัญของสารสนเทศ 36
2.9 บทบาทของสารสนเทศ 36
2.10 องคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ 37
2.11 เทคโนโลยสี อ่ื สารโทรคมนาคม 40
2.12 ความสาคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 41
2.13 ปัจจยั ท่ีทาให้เกิดความล้มเหลวในการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ 42
2.14 ผลของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 43
2.15 เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการใชช้ ีวิตในสังคมปัจจุบนั 44
2.16 ประโยชนข์ องระบบสารสนเทศ 48
2.17 คอมพิวเตอรแ์ ละอนิ เทอรเ์ นต็ 49
2.18 องค์ประกอบและการทางานของอนิ เทอรเ์ นต็ 51
2.19 ประโยชนแ์ ละโทษของอินเทอร์เนต็ 53
2.20 ระบบการสบื คน้ ผา่ นเครอื ข่ายเพือ่ การเรียนรู้ 57
2.21 การสบื คน้ และการรับส่งขอ้ มลู แฟม้ ข้อมลู และสารสนเทศเพ่ือใชใ้ นการจัดการเรียนรุ้ 60
2.22 ความหมายของคาวา่ ข้อมูล 61
2.23 ชนดิ ของข้อมลู 62
2.24 กรรมวธิ กี ารจดั การขอ้ มูล 63
บทที่ 3 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรยี นรู้
3.1 คอมพวิ เตอร์และอนิ เตอร์เนต็ กบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 65
3.2 เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ 67
3.3 ความหมายและความสาคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 68
3.4 องคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 71
3.5 การสอ่ื สารดว้ ยเทคโนโลยสี ารสนเทศ 74
3.6 ความสาคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สารกับการเรยี นรู้ 75
3.7 การบรู ณาการเทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรยี นรู้ 77
3.8 สื่อเพื่อการเรียนรู้ 80
สารบัญ (ตอ่ ) ง
เรอ่ื ง
หน้า
3.9 การจาแนกประเภทของส่ือการเรยี นรู้ 82
3.10 การออกแบบนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่อื การเรยี นรู้ 84
3.11 ประเภทนวัตกรรมการศึกษา 85
3.12 แนวคิด และกระบวนการออกแบบนวัตกรรมการศึกษา 86
3.13 การออกแบบรายละเอียดนวตั กรรม 86
3.14 การเรียนรู้ แหลง่ เรียนรู้ เครือข่ายการเรยี นรู้ 90
3.15 หลกั การสาคัญของเครือข่ายการเรยี นรู้ 92
3.16 รูปแบบเครือข่ายการเรียนรู้ 93
3.17 การจัดการเรยี นรู้บนเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ 94
3.18 องคป์ ระกอบของบทเรียนบนเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ 95
3.19 ประเภทของบทเรยี นบนเครือข่ายอินเทอร์เนต็ 96
3.20 ระบบการสืบค้นผา่ นเครอื ข่ายเพ่ือการเรยี นรู้ 98
3.21 การค้นคว้าและการสบื คน้ ข้อมลู 100
3.22 การสบื ค้น และรบั สง่ ข้อมลู แฟม้ ขอ้ มลู 105
3.23 สารสนเทศเพ่ือใช้ในการจดั การเรยี นรู้ 106
3.24 เทคโนโลยีกบั การเรยี นการสอน 107
3.25 การวเิ คราะห์ปัญหาทีเ่ กิดจากการใชน้ วัตกรรม 108
ขอ้ สอบทา้ ยบท
เฉลยข้อสอบทา้ ยบท
บรรณานกุ รม
1
บทที่ 1
นวตั กรรมทางการศึกษา
1.1 ประวัติ ความเปน็ มาของนวัตกรรมทางการศกึ ษา
“นวตั กรรมการศึกษา (Educational Innovation )” หมายถึง นวัตกรรมทจ่ี ะช่วยใหก้ ารศึกษา
และการเรยี นการสอนมปี ระสิทธิภาพดียง่ิ ขึ้น ผู้เรียนสามารถเกดิ การเรยี นรอู้ ย่างรวดเร็วมปี ระสิทธผิ ลสูง
กว่าเดมิ เกดิ แรงจงู ใจในการเรียนดว้ ยนวตั กรรมการศึกษา และประหยัดเวลาในการเรียนไดอ้ ีกดว้ ย ในปจั จบุ นั
มีการใชน้ วตั กรรมการศึกษามากมายหลายอย่าง ซ่งึ มีท้ังนวัตกรรมท่ใี ช้กนั อย่างแพร่หลายแล้ว และประเภทท่ี
กาลงั เผยแพร่ เช่น การเรยี นการสอนทใี่ ช้คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (Computer Aids Instruction) การใช้แผ่น
วดิ ที ศั น์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) ส่ือหลายมติ ิ ( Hypermedia ) และอินเทอร์เน็ต [Internet] เหล่าน้ี
เปน็ ต้น (วารสารออนไลน์ บรรณปญั ญา.htm)
“นวตั กรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง การนาเอาสิง่ ใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ใน
รูปของความคดิ หรือการกระทา รวมทัง้ สง่ิ ประดษิ ฐก์ ต็ ามเข้ามาใชใ้ นระบบการศกึ ษา เพื่อมงุ่ หวงั ท่ีจะ
เปล่ียนแปลงส่ิงทีม่ ีอย่เู ดิมใหร้ ะบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพย่งิ ข้ึน ทาให้ผู้เรียนสามารถเกดิ การเรียนรู้ได้
อยา่ งรวดเร็วเกดิ แรงจูงใจในการเรียน และชว่ ยให้ประหยัดเวลาในการเรยี น เช่น การสอนโดยใชค้ อมพวิ เตอร์
ชว่ ยสอน การใช้วีดทิ ัศน์เชิงโตต้ อบ(Interactive Video) ส่อื หลายมติ ิ (Hypermedia) และอนิ เตอร์เน็ต เหล่านี้
เปน็ ตน้
“นวัตกรรม” หมายถงึ ความคิด การปฏบิ ัติ หรอื สิง่ ประดิษฐ์ใหม่ ๆ ทีย่ งั ไมเ่ คยมใี ชม้ าก่อน หรือเป็น
การพฒั นาดดั แปลงมาจากของเดมิ ทม่ี ีอยแู่ ลว้ ให้ทนั สมยั และใชไ้ ดผ้ ลดยี ่ิงข้ึน เมอ่ื นา นวัตกรรมมาใช้จะชว่ ยให้
การทางานน้นั ไดผ้ ลดีมีประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลสูงกวา่ เดิม ท้งั ยังช่วย ประหยดั เวลาและแรงงานไดด้ ้วย
“นวัตกรรม” (Innovation) มรี ากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาตนิ แปลวา่ ทาสงิ่ ใหมข่ ้ึนมา
ความหมายของนวัตกรรมในเชงิ เศรษฐศาสตร์คือ การนาแนวความคิดใหมห่ รือการใชป้ ระโยชน์จากสิ่งทมี่ ีอยู่
แลว้ มาใช้ในรูปแบบใหม่ เพอื่ ทาใหเ้ กดิ ประโยชนท์ างเศรษฐกิจ หรือก็คอื ”การทาในสิง่ ท่ีแตกต่างจากคนอื่น
โดยอาศยั การเปล่ียนแปลงต่าง ๆ (Change) ท่ีเกิดขึน้ รอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส (Opportunity) และ
ถา่ ยทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ทีท่ าใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อตนเองและสังคม” แนวความคดิ นี้ไดถ้ ูกพฒั นาขนึ้ มา
ในชว่ งต้นศตวรรษที่ 20 โดยจะเห็นไดจ้ ากแนวคิดของนักเศรษฐอตุ สาหกรรม เช่น ผลงานของ Joseph
Schumpeter ใน The Theory of Economic Development,1934 โดยจะเนน้ ไปท่ีการสรา้ งสรรค์ การ
วิจัยและพัฒนาทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี อนั จะนาไปส่กู ารไดม้ าซ่งึ นวตั กรรมทางเทคโนโลยี
(Technological Innovation) เพ่ือประโยชนใ์ นเชิงพาณิชย์เปน็ หลัก นวัตกรรมยังหมายถึงความสามารถใน
การเรยี นรแู้ ละนาไปปฎบิ ตั ใิ ห้เกดิ ผลไดจ้ ริงอีกดว้ ย (พนั ธุอ์ าจ ชัยรตั น์ , Xaap.com)
2
คาวา่ “นวตั กรรม” เปน็ คาที่ค่อนข้างจะใหมใ่ นวงการศกึ ษาของไทย คานี้ เปน็ ศัพทบ์ ัญญัตขิ อง
คณะกรรมการพิจารณาศัพทว์ ิชาการศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร มาจากภาษาอังกฤษวา่ Innovation มาจาก
คากรยิ าว่า innovate แปลวา่ ทาใหม่ เปลย่ี นแปลงให้เกิดส่ิงใหม่ ในภาษาไทยเดิมใชค้ าว่า “นวกรรม” ต่อมา
พบว่าคานมี้ ีความหมายคลาดเคลื่อน จงึ เปล่ียนมาใชค้ าว่า นวัตกรรม (อ่านว่า นะ วัด ตะ กา) หมายถึงการนา
สง่ิ ใหม่ๆ เขา้ มาเปล่ียนแปลงเพ่มิ เตมิ จากวิธกี ารท่ีทาอยเู่ ดมิ เพ่ือให้ใช้ไดผ้ ลดีย่ิงขึน้ ดังนน้ั ไมว่ ่าวงการหรือ
กจิ การใด ๆ กต็ าม เม่ือมีการนาเอาความเปลยี่ นแปลงใหม่ๆ เขา้ มาใชเ้ พ่อื ปรบั ปรุงงานให้ดขี นึ้ กวา่ เดมิ กเ็ รียกได้
วา่ เป็นนวตั กรรม ของวงการนั้น ๆ เชน่ ในวงการศกึ ษานาเอามาใช้ กเ็ รยี กวา่ “นวัตกรรมการศึกษา”
(Educational Innovation) สาหรบั ผูท้ ีก่ ระทา หรือนาความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มาใชน้ ้ี เรียกว่าเปน็
“นวัตกร” (Innovator) (boonpan edt01.htm)
ทอมสั ฮวิ ช์ (Thomas Hughes) ได้ใหค้ วามหมายของ “นวตั กรรม” วา่ เป็นการนาวิธีการใหม่ ๆ
มาปฏบิ ัตหิ ลงั จากไดผ้ า่ นการทดลองหรือได้รบั การพฒั นามาเป็นขั้น ๆ แลว้ เรมิ่ ตั้งแต่การคดิ ค้น (Invention)
การพฒั นา (Development) ซึง่ อาจจะเป็นไปในรูปของ โครงการทดลองปฏิบัตกิ ่อน (Pilot Project) แลว้ จึง
นาไปปฏิบตั จิ รงิ ซง่ึ มีความแตกตา่ งไปจากการปฏบิ ตั ิเดมิ ท่ีเคยปฏิบัติมา (boonpan edt01.htm)
มอรต์ นั (Morton,J.A.) ใหค้ วามหมาย “นวตั กรรม” วา่ เป็นการทาให้ใหม่ข้นึ อกี ครงั้ (Renewal) ซง่ึ
หมายถงึ การปรับปรุงสิ่งเกา่ และพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงาน หรือองคก์ ารนัน้ ๆ
นวตั กรรม ไม่ใช่การขจัดหรือลม้ ลา้ งส่งิ เก่าให้หมดไป แต่เป็นการ ปรับปรุงเสรมิ แตง่ และพฒั นา (boonpan
edt01.htm)
ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2521 : 14) ได้ให้ความหมาย “นวตั กรรม” ไวว้ ่าหมายถึง วิธกี ารปฎบิ ตั ิใหมๆ่
ที่แปลกไปจากเดิมโดยอาจจะไดม้ าจากการคดิ ค้นพบวิธีการใหมๆ่ ขึ้นมาหรือมีการปรับปรงุ ของเกา่ ให้
เหมาะสมและสงิ่ ทงั้ หลายเหล่านี้ได้รับการทดลอง พัฒนาจนเปน็ ที่เช่ือถือได้แล้วว่าไดผ้ ลดีในทางปฎิบัติ ทาให้
ระบบกา้ วไปส่จู ุดหมายปลายทางได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพขึ้น
จรญู วงศส์ ายัณห์ (2520 : 37) ไดก้ ลา่ วถึงความหมายของ “นวตั กรรม” ไวว้ ่า “แมใ้ นภาษาอังกฤษ
เอง ความหมายก็ต่างกันเป็น 2 ระดบั โดยท่วั ไป นวัตกรรม หมายถงึ ความพยายามใด ๆ จะเปน็ ผลสาเรจ็
3
หรอื ไม่ มากน้อยเพียงใดก็ตามทเี่ ปน็ ไปเพ่ือจะนาส่ิงใหม่ ๆ เขา้ มาเปลี่ยนแปลงวิธกี ารท่ที าอยู่เดิมแลว้ กบั อกี
ระดบั หนึง่ ซ่งึ วงการวิทยาศาสตรแ์ ห่งพฤตกิ รรม ได้พยายามศกึ ษาถงึ ท่ีมา ลกั ษณะ กรรมวธิ ี และผลกระทบทมี่ ี
อย่ตู ่อกล่มุ คนทเ่ี กย่ี วข้อง คาว่า นวัตกรรม มกั จะหมายถึง ส่งิ ท่ีไดน้ าความเปลี่ยนแปลงใหม่เข้ามาใช้ได้
ผลสาเรจ็ และแผก่ วา้ งออกไป จนกลายเปน็ การปฏิบัติอย่างธรรมดาสามัญ (บุญเกอ้ื ควรหาเวช , 2543)
สมบรู ณ์ สงวนญาติ (2534) ใหค้ วามหมายไวว้ า่ นวตั กรรมทางการศกึ ษา หมายถงึ วธิ กี ารปฏิบัติ
ใหม่ๆ ในทางการศึกษา ซึ่งแปลกไปจากเดิมอาจได้มาจากการค้นพบวธิ ีใหมๆ่ หรือปรับปรุงของเกา่ ใหเ้ หมาะสม
โดยไดม้ กี ารทดลอง พฒั นา จนเป็นทนี่ า่ เชอ่ื ถือได้วา่ มผี ลดีในทางปฏบิ ัติ และสามารถทาใหร้ ะบบการศกึ ษา
ดาเนินไปสู่เปา้ หมายได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
กดิ านันท์ มลิทอง (2540) ให้ความหมายไว้วา่ นวัตกรรมการศึกษา หมายถงึ นวัตกรรมทีช่ ว่ ยให้
การศกึ ษาและการเรียนการสอนมปี ระสิทธิภาพดียง่ิ ขึ้น ผูเ้ รียนสามารถเกดิ การเรียนรไู้ ด้อย่างรวดเรว็ มี
ประสิทธิผลสงู กว่าเดิม เกิดแรงจูงใจในการเรียนดว้ ยนวตั กรรมเหลา่ น้ัน และประหยัดเวลาในการเรียนไดอ้ ีก
ดว้ ย ในปัจจุบนั มีการใชน้ วัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่างซึ่งมที ้ังนวตั กรรมที่ใชก้ นั แพร่หลายแล้วและ
ประเภททก่ี าลังเผยแพร่ เช่น การสอนใช้คอมพวิ เตอร์ช่วย การใชแ้ ผ่นวดี ิทัศน์เชิงโต้ตอบ สื่อหลายมติ ิ และ
อนิ เทอร์เน็ต เหล่านีเ้ ป็นต้น
วรวิทย์ นเิ ทศศิลป์ (2551) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง การนาเอาความคิด
หรอื วิธีปฏบิ ตั ิทางการศึกษาใหม่ๆมาใช้กับการศึกษา
คณาจารย์ภาควชิ าเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศกึ ษา (2539) ใหค้ วามหมายไว้วา่ นวตั กรรม
การศึกษา หมายถงึ แนวความคิดหรือวธิ กี ารหรือเครื่องมือ ซ่ึงเป็นส่ิงแปลกใหมย่ งั ไม่เคยนามาใช้ในวงการ
การศึกษามาก่อน แต่ได้ถกู นามาทดลองใช้เพ่ือดูผลวา่ ไดผ้ ลดีเพียงใด ถ้าไดผ้ ลดีก็จะได้รบั การยอมรับและ
เผยแพรใ่ หร้ ูจ้ กั และนามาใช้กันอย่างกวา้ งขวางต่อไป
4
สคุ นธ์ สนิ ธพานนท์ (2553) ให้ความหมายไว้วา่ นวตั กรรมทางการศึกษา หมายถึง ส่ิงใหม่ๆ ทีส่ รา้ ง
ข้นึ มาเพ่ือช่วยแกป้ ัญหาเกยี่ วกับการจัดการเรยี นการสอนหรือพฒั นาให้ผ้เู รียนเกดิ การเรยี นร้อู ยา่ งมี
ประสทิ ธิภาพ ได้แก่แนวคิด รปู แบบ วิธกี าร กระบวนการ สื่อตา่ งๆ ท่เี ก่ยี วกับการศึกษา
ธารงค์ บวั ศรี (2527 : 44) ได้กล่าวว่า นวตั กรรมการศึกษาถกู สรา้ งขน้ึ มา เพ่ือแก้ปญั หาทาง
การศึกษา
ลดั ดา ศุขปรีดี (2523 : 19) ได้ใหค้ วามหมายไว้วา่ หมายถึง ความคิด วิธกี ารใหม่ๆ ทางการเรียนการ
สอนซงึ่ รวมไปถงึ แนวคิดวธิ ปี ฏบิ ัตทิ ่ีเก่ามาจากที่อื่นและมีความเหมาะสมทจ่ี ะนามาใช้ในการเรยี นการสอนใน
ปจั จุบัน
สาลี ทองธวิ (2526 : 3) ใหค้ วามหมายไวว้ า่ นวตั กรรมการศึกษาเปน็ ส่ิงทถี่ ูกสร้างขึน้ มาเพ่อื
แก้ปญั หาทางการศกึ ษา หรอื เพอ่ื ปรับปรุงเปลยี่ นแปลง ส่ิงท่ีมอี ย่เู ดิมให้ได้ มาตรฐานคณุ ภาพเพ่ิมข้นึ ผู้สร้าง
นวตั กรรมจะคานงึ ถงึ ว่า นวัตกรรมทีส่ ร้างข้ึนมาจะต้องดกี ว่าของเดิมคือ จะต้องไดร้ บั ประโยชน์มากกว่าเดมิ
หรือมีความสะดวกมากขึน้ ไม่ยากตอ่ การใช้ ตรงกับความต้องการของผใู้ ช้
บญุ เกือ้ ควรหาเวช (2521 : 1) ใหค้ วามหมายไวว้ ่า นวัตกรรมทางการ ศึกษาคือความคดิ และการระ
ทาใหม่ ๆ ในระบบการศึกษาที่ได้รับการพสิ ูจนว์ า่ ดที ่สี ุดใน สภาพปัจจุบันเพ่ือสง่ เสรมิ ให้การเรียนการสอนมี
ประสทิ ธิภาพมากยิ่งขนึ้
สถาบันพฒั นาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยภาคเหนือ กลา่ วไวว้ ่า นวัตกรรมทาง
การศกึ ษา หมายถึง ความคิดและวธิ ีการปฏบิ ตั ใิ หมๆ่ ทส่ี ง่ เสรมิ ใหก้ ระบวนการทางการศึกษามีประสิทธภิ าพ
ฐานความรูศ้ ูนยน์ วัตกรรมและเทคโนโลยกี ารศึกษา (http://ceit.sut.ac.th/km/wordpress/?p=
138) กลา่ วไว้วา่ นวตั กรรมการศึกษา หมายถึง นวตั กรรมท่จี ะช่วยใหก้ ารศึกษา และการเรียนการสอนมี
ประสิทธิภาพดยี ิ่งขึ้น ผูเ้ รยี นสามารถเกิดการเรียนรู้อยา่ งรวดเร็วมปี ระสิทธผิ ลสงู กว่าเดิม เกิดแรงจงู ใจในการ
เรียนด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยดั เวลาในการเรียนได้อีกดว้ ย ในปัจจบุ ันมกี ารใช้นวตั กรรมการศึกษา
มากมายหลายอยา่ ง ซึ่งมีทง้ั นวัตกรรมทีใ่ ช้กันอยา่ งแพร่หลายแลว้ และประเภทท่ีกาลงั เผยแพร่ เชน่ การเรยี น
การสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Aids Instruction) การใชแ้ ผ่นวิดีทัศนเ์ ชิงโต้ตอบ
(Interactive Video) ส่อื หลายมติ ิ ( Hypermedia ) และอินเทอรเ์ นต็ (Internet) เปน็ ต้น
สมจติ ร ยิ้มสุด กล่าวไวว้ า่ “นวตั กรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง การ
นาเอาสง่ิ ใหม่ซง่ึ อาจจะอยใู่ นรูปของความคดิ หรือการกระทา รวมทง้ั สิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบ
การศึกษา เพื่อมุ่งหวังท่จี ะเปลย่ี นแปลงสิง่ ทีม่ อี ยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิง่ ขึ้น ทาให้
ผู้เรยี นสามารถเกดิ การเรียนรู้ได้อยา่ งรวดเรว็ เกิดแรงจูงใจในการเรียน และช่วยใหป้ ระหยัดเวลาในการเรยี น
เช่น การสอนโดยใช้คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน การใชว้ ีดิทัศนเ์ ชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สอ่ื หลายมติ ิ
(Hypermedia) และอินเตอรเ์ น็ต เหล่านี้เป็นตน้
5
ครบู ้านนอก Blog (http://www.kroobannok.com/blog/33349) กล่าวไว้วา่ นวัตกรรมทาง
การศกึ ษา คือ การปรบั ประยุกต์ ความคดิ ใหม่ วธิ กี ารใหม่ รูปแบบใหม่ เทคนคิ ใหม่ แนวทางใหม่ ท่ีสรา้ งสรรค์
และพัฒนาท้งั จากการต่อยอดภูมปิ ัญญาเดมิ หรอื จากการคิดค้นขึ้นมาใหม่ใหเ้ กดิ ส่งิ ท่เี ปน็ ประโยชนต์ ่อ
การศึกษาในระบบการศกึ ษา นอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศัย
สรุป “นวตั กรรมการศึกษา” (Educational Innovation) คือ การนาสง่ิ ใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเปน็
ความคิด วธิ กี าร หรอื การกระทา หรอื สง่ิ ประดิษฐข์ ้นึ ท้ังในส่วนทไี่ มเ่ คยมีมาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลง
จากส่งิ ทม่ี ีอย่แู ต่เดิม ให้ดขี ้ึน โดยอาศัยหลกั การ ทฤษฎี ที่ได้ผา่ นการทดลองวิจัยจนเช่ือถือได้นามาใชบ้ งั เกดิ ผล
เพิม่ พูนประสทิ ธภิ าพตอ่ การเรยี นรู้
นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คอื
ระยะท่ี 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรอื เปน็ การปรุงแต่งของเกา่ ใหเ้ หมาะสมกับกาลสมัย
ระยะที่ 2 พฒั นาการ (Development) มีการทดลองในแหลง่ ทดลองจดั ทาอยู่ในลกั ษณะของ
โครงการทดลองปฏิบตั ิก่อน (Pilot Project)
ระยะที่ 3 การนาเอาไปปฏิบตั ใิ นสถานการณท์ ่ัวไป ซึง่ จดั ว่าเป็นนวตั กรรมขนั้ สมบรู ณ์
1.2 แนวคดิ พน้ื ฐานของนวัตกรรมทางการศกึ ษา
ปจั จัยสาคญั ทีม่ ีอิทธพิ ลอย่างมาก ตอ่ วิธีการศกึ ษา ได้แก่แนวความคิดพ้ืนฐานทางการศึกษาที่
เปลี่ยนแปลงไป อันมีผลทาให้เกดิ นวัตกรรมการศึกษาทส่ี าคัญๆ พอจะสรุปได้ 4 ประการ คือ
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) การจดั การศกึ ษาของไทยไดใ้ หค้ วามสาคัญ
ในเร่ืองความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้อยา่ งชดั เจนซง่ึ จะเห็นไดจ้ ากแผนการศึกษาของชาติ ให้มุง่ จดั
การศกึ ษาตามความถนดั ความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ตัวอย่างทเี่ หน็ ได้ชัดเจนได้แก่
การจดั ระบบห้องเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเปน็ เกณฑ์บ้าง นวัตกรรมที่เกดิ ข้นึ เพ่ือสนอง
แนวความคิดพนื้ ฐานน้ี เชน่
• การเรยี นแบบไม่แบง่ ชน้ั (Non-Graded School)
6
• แบบเรยี นสาเรจ็ รปู (Programmed Text Book)
• เครอ่ื งสอน (Teaching Machine)
• การสอนเปน็ คณะ (TeamTeaching)
• การจดั โรงเรียนในโรงเรยี น (School within School)
• เคร่อื งคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (Computer Assisted Instruction)
2. ความพรอ้ ม (Readiness) เดิมทีเดียวเชื่อกันวา่ เดก็ จะเร่ิมเรยี นไดก้ ็ต้องมคี วามพรอ้ มซึ่งเปน็
พัฒนาการตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันการวจิ ยั ทางดา้ นจติ วทิ ยาการเรยี นรู้ ช้ใี หเ้ ห็นว่าความพร้อมในการเรยี น
เป็นสิ่งทีส่ ร้างขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรยี น ให้พอเหมาะกบั ระดับความสามารถของเดก็ แต่ละคน วชิ าท่ี
เคยเชอื่ กนั วา่ ยาก และไมเ่ หมาะสมสาหรับเดก็ เล็กก็สามารถนามาให้ศกึ ษาได้ นวัตกรรมท่ตี อบสนอง
แนวความคิดพน้ื ฐานนไี้ ดแ้ ก่ ศนู ยก์ ารเรียน การจดั โรงเรียนในโรงเรยี น นวัตกรรมท่สี นองแนวความคดิ พ้นื ฐาน
ด้านนี้ เชน่
• ศูนย์การเรยี น (Learning Center)
• การจัดโรงเรยี นในโรงเรียน (School within School)
• การปรับปรงุ การสอนสามชน้ั (Instructional Development in 3 Phases)
3. การใชเ้ วลาเพ่ือการศึกษา แต่เดิมมาการจดั เวลาเพ่ือการสอน หรอื ตารางสอนมกั จะจดั โดยอาศยั
ความสะดวกเป็นเกณฑ์ เชน่ ถอื หนว่ ยเวลาเปน็ ชัว่ โมง เท่ากันทุกวชิ า ทกุ วันนอกจากนั้นก็ยังจัดเวลาเรียนเอาไว้
แน่นอนเปน็ ภาคเรียน เปน็ ปี ในปัจจบุ นั ไดม้ ีความคดิ ในการจดั เปน็ หนว่ ยเวลาสอนใหส้ มั พนั ธ์กบั ลกั ษณะของ
แตล่ ะวิชาซึ่งจะใชเ้ วลาไม่เทา่ กนั บางวิชาอาจใชช้ ว่ งสัน้ ๆ แตส่ อนบอ่ ยครงั้ การเรยี นก็ไม่จากดั อยู่แตเ่ ฉพาะใน
โรงเรยี นเทา่ นั้น นวัตกรรมทสี่ นองแนวความคดิ พ้ืนฐานด้านน้ี เช่น
• การจัดตารางสอนแบบยืดหยุน่ (Flexible Scheduling)
• มหาวทิ ยาลัยเปิด (Open University)
7
• แบบเรียนสาเรจ็ รูป (Programmed Text Book)
• การเรยี นทางไปรษณยี ์
4. ประสทิ ธภิ าพในการเรยี น การขยายตวั ทางวิชาการ และการเปล่ยี นแปลงของสงั คม ทาให้มีส่ิง
ต่างๆ ท่คี นจะตอ้ งเรียนรเู้ พิ่มข้ึนมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจบุ นั ยังไม่มีประสทิ ธภิ าพเพยี งพอจงึ
จาเปน็ ตอ้ งแสวงหาวธิ ีการใหมท่ ี่มีประสิทธิภาพสงู ข้ึน ท้ังในดา้ นปจั จัยเก่ียวกับตวั ผเู้ รยี น และปัจจยั ภายนอก
นวตั กรรมในดา้ นนี้ทีเ่ กดิ ข้นึ เชน่
• มหาวทิ ยาลัยเปดิ
• การเรยี นทางวิทยุ การเรยี นทางโทรทัศน์
• การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรยี นสาเรจ็ รูป
• ชดุ การเรียน
หลกั การ ทฤษฎที เ่ี กย่ี วข้องกับนวัตกรรมทางการศึกษา ประกอบด้วย
ทฤษฎีการเรียนรู้ที่นามาใชใ้ นดา้ นการศึกษา ต้ังแต่อดีตจนถงึ ปจั จบุ นั นนั้ อาจสรุปได้ดังนี้
1. กลุ่มพฤติกรรมนยิ ม คือ พฤติกรรมของมนุษยเ์ กดิ จากการตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ และแสดง
พฤติกรรมเหลา่ นั้นออกมา
2. กลมุ่ ปัญญานิยม คือเรียนรู้เปน็ กระบวนการของจิตทีต่ ้องมกี ารรับรู้จากการกระทา และตีความ
สามารถใหเ้ หตผุ ลจนเกดิ เป็นความรู้
3. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม คอนสตรคั ติวสิ ต์ เป็นการอาศยั ประสบการณ์เดมิ ทางปัญญาที่มีอยู่เดิม
4. ทฤษฎกี ารสอื่ สาร คอื กระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมลู ระหวา่ งบุคคล โดยใช้สญั ลักษณ์ สัญญาณ
หรือพฤติกรรมท่เี ขา้ ใจกนั
5. ทฤษฎรี ะบบ จดั เปน็ สาขาวชิ าทเ่ี กิดข้นึ ช่วงปลายศรวรรษท่ี 20 โดยอาศยั ทฤษฎหี ลายสาขาวชิ า
โดยนาแนวคิดแตล่ ะวชิ ามาประยุกต์รวมกัน สรา้ งเปน็ ทฤษฎรี ะบบขึ้นมา
6. ทฤษฎกี ารเผยแพร่ เกิดจากการผสมผสานทฤษฎีหลักการ และความรู้ ความจริงจากหลาน
สาขาวชิ า มาเปน็ นวตั กรรมของศาสตรน์ นั้ ๆ มาเผยแพร่ขน้ึ
1.3 ประโยชนข์ องนวตั กรรมทางการศกึ ษา
1. ชว่ ยพัฒนาศักยภาพ และความสามารถสงู สุดของบุคคล
2. ชว่ ย ขยายขอบเขตความรู้ และโลกทัศน์ทางวชิ าการได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
3. ช่วยลดปญั หาเรอ่ื งความแตกต่างระหว่างบคุ คล
4. ช่วยเปิดโอกาสทางการเรียนให้กับผเู้ รียนอย่างทวั่ ถงึ
5. ชว่ ยให้คนสามารถปรบั ตัวในสังคมท่เี ปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ได้
5. ช่วยให้ผ้เู รียนใช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชนส์ ูงสดุ ในการศึกษาหาความรู้เพ่มิ เติม
8
1.4 ลักษณะของนวตั กรรมทางการศกึ ษา
นวัตกรรมทางการศึกษา เปน็ การนาแนวคดิ วธิ กี ารมาใช้ในการจดั การศึกษาเพ่ือส่งเสรมิ กจิ กรรม
การเรียนการสอนใหม้ ปี ระสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน มลี กั ษณะสาคญั คือ
(1) เป็นแนวความคดิ ที่ไม่ยงั ไมม่ กี ารนามาปฏบิ ัติในวงการศึกษาและอาจเป็นส่ิงใหม่บางส่วนหรอื
เป็นสงิ่ ใหม่ทั้งหมดซึ่งใช้ได้ไมไ่ ดผ้ ลในอดตี ซง่ึ ได้รบั การปรับปรุงแก้ไขให้ดีขน้ึ เชน่ การนาคอมพวิ เตอร์มาใช้ใน
การจดั การเรียนรู้
(2) เปน็ แนวความคดิ หรอื แนวทางปฏบิ ตั ิในลักษณะใหม่ซ่งึ ดดั แปลงจากแนวความคิดหรือ
แนวทางปฏิบัติเดิมที่ปฏบิ ัตไิ ม่ประสบความสาเรจ็ ใหม้ ีความสอดคล้องกบั สภาพแวดลอ้ มในปัจจบุ ันและ
ก่อให้เกดิ ความสาเรจ็ ได้ และมกี ารจัดระบบข้ันตอนการดาเนนิ งาน (System Approach) โดยการพจิ ารณา
ข้อมูล กระบวนการ และผลลัพธ์ ใหเ้ หมาะสมก่อนทาการเปลี่ยนแปลงนนั้ ๆ
(3) เป็นแนวความคดิ หรือแนวทางปฏบิ ตั ิซ่งึ มมี าแต่เดิมและได้รบั การปรบั ปรงุ ให้มีลักษณะ
ทันสมยั และไดร้ ับการพิสจู นป์ ระสิทธภิ าพดว้ ยวิธีทางวทิ ยาศาสตรห์ รืออยู่ระหวา่ งการวจิ ยั
(4) เป็นแนวความคดิ หรอื แนวทางปฏิบัติทีส่ อดคล้องกบั การเปลยี่ นแปลงของสภาพแวดลอ้ ม
ซ่งึ เอื้ออานวยให้เกิดความสาเร็จย่งิ ขนึ้ เช่น การศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง
(5) เป็นแนวความคดิ หรือแนวทางปฏบิ ัตทิ ่ีคน้ พบใหม่อยา่ งแท้จรงิ ซง่ึ ยงั ไม่ไดท้ าการเผยแพร่หรือ
ได้รับการยอมรับเป็นสว่ นหนึง่ ของระบบงานในปจั จบุ ัน
1.5 ประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษา
นกั การศึกษาได้แบ่งประเภทของนวตั กรรมทางการศึกษาตามจดุ เนน้ ของการพฒั นาการจัดการศึกษา
หลายลักษณะ
วทุ ธศิ ักดิ์ โภชนุกูล (2550 : 8) อธบิ ายว่า นวตั กรรมทางการศกึ ษา แบง่ ออกเปน็ 5 ประเภท คือ
(1) นวัตกรรมทางดา้ นหลกั สูตร เชน่ หลักสตู รบรู ณาการ หลกั สูตรรายบุคคล หลกั สตู รกจิ กรรม
และประสบการณ์ หลักสูตรท้องถนิ่
(2) นวตั กรรมการจัดการเรียนรู้ เช่น การสอนแบบศูนย์การเรียน การใชก้ ระบวนการกลุม่
สมั พนั ธ์ การสอนแบบเรยี นรูร้ ่วมกัน และการเรยี นผา่ นเครือข่ายคอมพิวเตอรแ์ ละอนิ เทอร์เนต็ กระบวนการ
สร้างความตระหนัก กระบวนการสรา้ งเจตคติ กระบวนการสรา้ งความคดิ รวบยอด กระบวนการปฏิบตั ิ
9
กระบวนการสบื สอบ กระบวนการสรา้ งทกั ษะการคิดคานวณ การสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี น การสอนแบบใช้
บทบาทสมมติ การสอนโดยใช้สถานการณจ์ าลอง การเรียนแบบสญั ญาการเรยี น การเรยี นเปน็ คู่ การเรียนเพอ่ื
รอบรู้ การเรียนแบบร่วมมือ เปน็ ตน้
(3) นวตั กรรมส่อื การสอน เช่น Computer Assisted Instruction (CAI), Web-based
Instruction (WBI) Web-based Training (WBT) Virtual Classroom (VC) Web Quest Web Blog
บทเรยี นสาเรจ็ รูป บทเรยี นโมดูล บทเรยี นออนไลน์ คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน ชดุ การสอน จุลบท ชุดส่ือประสม
วีดิทศั น์ สไลดป์ ระกอบเสยี ง แผ่นโปรง่ ใส บตั รการเรียนรู้ บัตรกจิ กรรม แบบฝึกทักษะ เกม เพลง เป็นตน้
(4) นวตั กรรมการประเมนิ ผล เชน่ การพฒั นาคลงั ข้อสอบ การลงทะเบียนผา่ นทางเครือข่าย
คอมพวิ เตอร์และอนิ เทอร์เนต็ การใช้บตั รสมารท์ การด์ เพื่อการใชบ้ ริการของสถาบันศึกษา การใช้คอมพิวเตอร์
ในการตดั เกรด
(5) นวตั กรรมการบรหิ ารจดั การ เชน่ ฐานขอ้ มูล นักเรยี น นกั ศึกษา ฐานข้อมลู คณะอาจารย์
และบคุ ลากร ในสถานศึกษา ดา้ นการเงิน บญั ชี พสั ดุ และครุภณั ฑ์
มหาวิทยาลยั รงั สิต (2549 : 1) กลา่ ววา่ นวัตกรรมทางการศกึ ษาดา้ นการจดั การเรียนรทู้ ี่ครผู สู้ อน
สร้างหรือพัฒนาขึ้นเพ่ือพฒั นาหรือปรับปรุงแก้ไขปญั หาการจัดการเรียนรู้ แบง่ ได้ 2 ประเภท คอื
(1) กิจกรรมการพฒั นาการเรียนรหู้ รอื เทคนิควิธสี อน (Instruction) เช่น บทเรยี นสาเรจ็ รูป
ชุดการเรียนการสอน ชุดฝกึ แบบฝึก แผนการจัดการเรียนรู้ที่เนน้ รปู แบบการสอน, กิจกรรมการเรยี นรู้, หรือ
กระบวนการเรียนรู้ ชุดพฒั นาคณุ ลักษณะ เป็นตน้
(2) สือ่ การเรยี นรหู้ รอื สิง่ ประดษิ ฐ์ (Invention) เชน่ สื่อประสม วีดทิ ศั น์ แบบจาลอง
รูปภาพ, แผน่ โปรง่ ใส, แผนภาพ เกมประดษิ ฐ์หรือเกมฝึกทักษะ เป็นตน้
สาหรบั นวตั กรรมทางการศึกษาทีเ่ ก่ยี วกับการจดั กจิ กรรมการเรียนรใู้ นระดบั ชนั้ เรียน แบ่งเป็น 2
ประเภทหลัก คือ ประเภทกิจกรรมการพัฒนาการเรียนรแู้ ละเทคนิควธิ ีสอน (Learning and Instruction)
และประเภทส่ือการเรยี นรู้หรือส่ิงประดิษฐ์ (Invention)
1.7 องคป์ ระกอบของนวัตกรรมการศกึ ษา
องค์ประกอบท่ีเป็นมิติสาคญั ของนวัตกรรม มีอยู่ 3 ประการ คือ
1. ความใหม่ (Newness) หมายถงึ เป็นสิง่ ใหม่ที่ถกู พฒั นาข้ึน ซง่ึ อาจเป็นตัวผลติ ภณั ฑ์ บรกิ าร หรือ
กระบวนการ โดยจะเป็นการปรับปรุงจากของเดิมหรือพฒั นาขึน้ ใหมเ่ ลยก็ได้
2. ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกจิ (Economic Benefits) หรือการสรา้ งความสาเร็จในเชงิ พาณิชย์
กลา่ วคือ นวัตกรรม จะต้องสามารถทาใหเ้ กิดมลู ค่าเพ่ิมขน้ึ ไดจ้ ากการพฒั นาสิง่ ใหมน่ ้นั ๆซงึ่ ผลประโยชน์ทีจ่ ะ
เกดิ ขึ้นอาจจะวดั ไดเ้ ป็นตวั เงินโดยตรง หรือไมเ่ ปน็ ตัวเงนิ โดยตรงกไ็ ด้
10
3. การใช้ความรแู้ ละความคดิ สร้างสรรค์ (Knowledge and Creativity Idea) สง่ิ ทีจ่ ะเป็น
นวตั กรรมไดน้ ้ันต้องเกิดจากการใชค้ วามรู้และความคิดสรา้ งสรรค์เป็นฐานของการพฒั นาให้เกดิ ซา้ ใหม่ ไม่ใช่
เกดิ จากการลอกเลยี นแบบ การทาซ้า เป็นต้น
1.8 กระบวนการพัฒนานวัตกรรมทางการศกึ ษา
กระบวนการพฒั นานวัตกรรมทางการศึกษา แบง่ เปน็ 3 ขนั้ ตอนหลัก คือ
(1) การประดษิ ฐ์คิดคน้ เปน็ ขนั้ ตอนการศึกษาสภาพปัญหาและการคดิ คน้ เพ่ือกาหนดรูปแบบ
นวตั กรรมท่ีใชใ้ นการปรับปรงุ แก้ไขปญั หา โดยพจิ ารณาความเปน็ ไปไดต้ ามหลักการทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
(2) การสร้างและพฒั นานวัตกรรม เปน็ ขัน้ ตอนการจดั ทานวตั กรรมตามรปู แบบทก่ี าหนด
จากขนั้ ตอนที่ 1 สาหรบั วิธพี ฒั นานวตั กรรมอาจทาได้หลายวิธี ซ่งึ วธิ ที ่ไี ด้รบั ความนิยมและไดร้ บั ความเช่ือถือ
คือ การทดลองเพื่อพสิ ูจนป์ ระสทิ ธภิ าพของนวตั กรรมในการแกป้ ญั หาหรือพัฒนาคณุ ภาพการจดั การเรียนรู้
(3) การยอมรบั และนานวัตกรรมไปใช้ เปน็ ข้ันตอนการยอมรับนวัตกรรมที่ได้สร้างและ
พัฒนาข้นึ และนานวตั กรรมนั้นไปใช้ปรับปรงุ แก้ไข และพฒั นาการจัดการเรยี นรู้ ในสถานการณ์และ
สภาพแวดลอ้ มปกติ
1.9 ความสาคญั ของนวตั กรรมทางการศกึ ษา
นวตั กรรมมีความสาคญั ต่อการศึกษาหลายประการ ท้งั นีเ้ น่ืองจากในโลกยคุ โลกาภิวตั น์
Globalization มกี ารเปลี่ยนแปลงในทกุ ด้านอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ความก้าวหน้าท้งั ดา้ นเทคโนโลยี
และสารสนเทศ การศึกษาจึงจาเปน็ ต้องมีการพัฒนาเปล่ยี นแปลงจากระบบการศกึ ษาท่ีมอี ยเู่ ดิม เพ่ือให้
ทนั สมัยต่อการเปลย่ี นแปลงของเทคโนโลยี และสภาพสงั คมทเ่ี ปลยี่ นแปลงไป อีกท้งั เพ่อื แก้ไขปญั หาทางดา้ น
การศึกษาบางอย่างท่ีเกิดข้ึนอย่างมปี ระสิทธภิ าพเช่นเดียวกัน การเปลยี่ นแปลงทางด้านการศึกษาจึง
จาเปน็ ต้องมีการศึกษาเกยี่ วกับนวัตกรรมการศึกษาทจ่ี ะนามาใช้เพ่ือแก้ไขปัญหาทางดา้ นการศึกษาในบางเรอ่ื ง
เชน่ ปัญหาทเ่ี กยี่ วเนอ่ื งกับจานวนผเู้ รยี นท่ีมากขน้ึ การพฒั นาหลกั สูตรให้ทนั สมยั การผลิตและพฒั นาสื่อใหมๆ่
ขน้ึ มาเพอื่ ตอบสนองการเรียนรขู้ องมนุษย์ใหเ้ พ่มิ มากขึ้นด้วยระยะเวลาที่สั้นลง การใช้นวัตกรรมมาประยุกตใ์ น
ระบบการบริหารจดั การด้านการศกึ ษาก็มสี ว่ นชว่ ยให้การใช้ทรพั ยากรการเรยี นรูเ้ ปน็ ไปอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
เชน่ เกดิ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
11
1.เพอื่ นานวตั กรรมมาใช้แกป้ ัญหาในเรอื่ งการเรียนการสอน เช่น
1.1 ปัญหาเรอ่ื งวิธีการสอน ปัญหาที่มกั พบอยเู่ สมอ คอื ครูสว่ นใหญย่ งั คงยดึ รปู แบบการสอน
แบบบรรยาย โดยมคี รเู ปน็ ศนู ย์กลางมากกวา่ การสอนในรูปแบบอื่น การสอนด้วยวธิ ีการแบบน้ีเปน็ การสอนท่ี
ขาดประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลในบัน้ ปลาย เพราะนอกจากจะทาใหน้ กั เรียนเกิดความเบื่อหน่ายขาดความ
สนใจแล้ว ยังเปน็ การปิดกน้ั ความคิด และสตปิ ัญญาของผเู้ รยี นใหอ้ ยู่ในขอบเขตจากัดอกี ดว้ ย
1.2 ปัญหาด้านเนื้อหาวิชา บางวิชาเนอ้ื หามาก และบางวิชามเี น้ือหาเป็นนามธรรมยากแกก่ าร
เข้าใจจงึ จาเปน็ จะต้องนาเทคนิคการสอนและส่อื มาช่วย
1.3 ปญั หาเรือ่ งอปุ กรณก์ ารสอน บางเน้อื หามสี อื่ การสอนเป็นจานวนนอ้ ยไมเ่ พียงพอตอ่ การ
นาไปใชเ้ พื่อทาใหน้ ักเรยี นเกิดความรู้ความเข้าใจในเน้ือหาวิชาไดง้ ่ายขึ้นจึงจาเป็นตอ้ งมีการพัฒนาคดิ คน้ หา
เทคนิควิธีการสอน และผลติ สื่อการสอนใหม่ ๆ เพือ่ นามาใช้ทาให้การเรยี นการสอนบรรลเุ ป้าหมายได้
2. เพอ่ื นานวตั กรรมไปใช้ในการพฒั นาการเรียนการสอน เพ่อื ให้มีประสิทธภิ าพยงิ่ ขึ้นและเป็น
ประโยชน์ต่อการศกึ ษา โดยการนาสงิ่ ประดิษฐ์หรอื แนวความคิดใหม่ ๆ ในการเรยี นการสอนนั้นเผยแพร่
ไปสู่ครู อาจารย์ทา่ นอนื่ ๆ หรอื เพื่อเป็นตัวอย่างอีกรูปแบบหน่ึงใหก้ ับครู อาจารย์ทีส่ อนในวิชาเดยี วกนั ได้
นาแนวความคิดไปปรบั ปรุงใช้หรือผลิตส่ือการสอนใหม่ ๆ เพ่อื นามาใชใ้ นการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป
3. เพอื่ นาไปใช้ในการบริหารการศกึ ษา เพ่อื ให้เปน็ ไปด้วยความสะดวกและมปี ระสิทธภิ าพซงึ่ สุดท้าย
ผลประโยชนท์ ไ่ี ด้รับก็จะนาไปผลสมั ฤทธทิ์ างการศึกษาท่สี งู ขน้ึ ต่อไป
1.10 นวตั กรรมทางการศึกษาที่สาคญั ของไทยในปัจจบุ นั
นวัตกรรม เป็นความคิดหรอื การกระทาใหม่ๆ ซง่ึ นกั วชิ าการหรือผเู้ ชยี่ วชาญในแต่ละวงการจะมกี าร
คดิ และทาส่ิงใหม่อยูเ่ สมอ ดงั น้นั นวัตกรรมจงึ เป็นสง่ิ ทีเ่ กิดขนึ้ ใหมไ่ ดเ้ รือ่ ย ๆ สิ่งใดท่ีคิดและทามานานแลว้ กถ็ ือ
วา่ หมดความเปน็ นวัตกรรมไป โดยจะมสี ่ิงใหมม่ าแทน ในวงการศกึ ษาปัจจบุ ัน มสี ่งิ ท่ีเรียกว่า นวัตกรรมทาง
การศึกษา หรือ นวัตกรรมการเรียนการสอน อยู่เปน็ จานวนมาก บางอยา่ งเกิดขึ้นใหม่ บางอยา่ งมีการใช้มา
หลายสิบปแี ล้ว แต่ก็ยังคงถือว่าเป็นนวตั กรรม เน่ืองจากนวัตกรรมเหลา่ น้ันยังไม่แพรห่ ลายเป็นที่รจู้ ักทัว่ ไปในวง
การศกึ ษา
12
1.11 ประเภทของการใชน้ วัตกรรมการศึกษาในประเทศไทย
ประเภทของนวัตกรรมการศึกษาพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ไดม้ ีบทบัญญัติที่
เกีย่ วข้องกบั เทคโนโลยีการศกึ ษาและนวัตกรรมการศกึ ษาไว้หลายมาตรา มาตราท่สี าคญั คือ มาตรา 67 รฐั
ตอ้ งสง่ เสริมให้มกี ารวิจยั และพฒั นาการผลติ และการพัฒนาเทคโนโลยเี พอ่ื การศึกษา รวมทง้ั การติดตาม
ตรวจสอบและประเมนิ ผลการใช้เทคโนโลยีเพอ่ื การศึกษา เพื่อใหเ้ กดิ การใช้ที่คุ้มคา่ และเหมาะสมกบั
กระบวนการเรยี นรู้ของคนไทยและในมาตรา 22 "การจดั การศกึ ษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมคี วามสามารถ
เรยี นรูแ้ ละพัฒนาตนเองได้และถือวา่ ผเู้ รยี นมคี วามสาคัญท่ีสดุ กระบวนการจัดการศึกษาตนเองได้และถือว่า
ผเู้ รียนมีความสาคญั ทสี่ ุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผเู้ รยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็ม
ตามศกั ยภาพ" การดาเนนิ การปฏริ ปู การศึกษาใหส้ าเรจ็ ได้ตามท่ีระบุไว้ในพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 ดงั กล่าว จาเปน็ ตอ้ งทาการศึกษาวิจัยและพฒั นานวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆ ที่จะเข้ามาชว่ ยแก้ไข
ปัญหาทางการศึกษาทั้งในรปู แบบของการศกึ ษาวิจยั การทดลองและการประเมินผลนวตั กรรมหรือเทคโนโลยี
ท่ีนามาใช้วา่ มีความเหมาะสมมากน้อยเพยี งใด นวตั กรรมท่ีนามาใช้ท้งั ท่ผี า่ นมาแลว้ และทจี่ ะมใี นอนาคตมี
หลายประเภทขน้ึ อยู่กบั การประยกุ ต์ใช้นวัตกรรมในด้านตา่ งๆ ในท่ีนี้จะขอกลา่ วคอื นวตั กรรม 5 ประเภท คือ
1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร
2. นวัตกรรมการเรยี นการสอน
3. นวัตกรรมสอื่ การสอน
4. นวตั กรรมการประเมนิ ผล
5. นวัตกรรมการบรหิ ารจดั การ
13
1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร
นวตั กรรมทางด้านหลักสตู ร เป็นการใช้วิธกี ารใหมๆ่ ในการพัฒนาหลักสตู รใหส้ อดคลอ้ งกับ
สภาพแวดลอ้ มในท้องถ่นิ และตอบสนองความต้องการสอนบคุ คลให้มากขน้ึ เนื่องจากหลักสูตรจะต้องมีการ
เปลยี่ นแปลงอยเู่ สมอเพื่อให้สอดคล้องกบั ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศ
และของโลก นอกจากนี้การพัฒนาหลักสตู รยังมีความจาเป็นที่จะต้องอย่บู นฐานของแนวคดิ ทฤษฎีและปรชั ญา
ทางการจดั การสมั มนาอีกด้วย การพฒั นาหลักสูตรตามหลักการและวธิ กี ารดงั กลา่ วตอ้ งอาศยั แนวคิดและ
วธิ กี ารใหม่ๆ ท่เี ปน็ นวัตกรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทิศทางท่ตี ้องการ นวัตกรรม
ทางดา้ นหลกั สูตรในประเทศไทย ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรดงั ตอ่ ไปน้ี
1. หลักสตู รบูรณาการ เปน็ การบรู ณาการสว่ นประกอบของหลกั สตู รเข้าดว้ ยกนั ทางด้าน
วิทยาการในสาขาต่างๆ การศึกษาทางด้านจริยธรรมและสังคม โดยมงุ่ ให้ผู้เรยี นเปน็ คนดีสามารถใช้ประโยชน์
จากองค์ความรใู้ นสาขาตา่ งๆ ใหส้ อดคล้องกบั สภาพสงั คมอย่างมีจรยิ ธรรม
2. หลกั สูตรรายบุคคล เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรเพอ่ื การศึกษาตามอัตภาพ เพ่ือ
ตอบสนองแนวความคดิ ในการจดั การศึกษารายบุคคล ซ่งึ จะตอ้ งออกแบบระบบเพ่ือรองรบั ความกา้ วหน้าของ
เทคโนโลยีด้านตา่ งๆ
3. หลักสตู รกิจกรรมและประสบการณ์ เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้น กระบวนการในการจดั กิจกรรม
และประสบการณ์ให้กับผ้เู รียนเพอ่ื นาไปสคู่ วามสาเรจ็ เช่น กิจกรรมทส่ี ง่ เสริมใหผ้ ูเ้ รยี นมีส่วนร่วมในบทเรยี น
ประสบการณ์การเรยี นรู้จากการสบื คน้ ดว้ ยตนเอง เปน็ ตน้
4. หลักสูตรทอ้ งถน่ิ เปน็ การพัฒนาหลักสูตรท่ตี อ้ งการกระจายการบริหารจดั การออกสู่ท้องถ่ิน
เพ่ือใหส้ อดคล้องกบั ศิลปวัฒนธรรมสง่ิ แวดลอ้ มและความเป็นอยูข่ องประชาชนที่มอี ยใู่ นแต่ละท้องถิน่ แทนท่ี
หลักสูตรในแบบเดมิ ท่ีใช้วิธีการรวมศนู ย์การพัฒนาอยูใ่ นสว่ นกลาง
2. นวัตกรรมการเรยี นการสอน
เปน็ การใช้วธิ ีระบบในการปรบั ปรงุ และคดิ คน้ พฒั นาวธิ สี อนแบบใหม่ๆ ท่สี ามารถตอบสนองการ
เรยี นรายบุคคล การสอนแบบผ้เู รยี นเป็นศนู ยก์ ลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การเรียนร้แู บบแกป้ ัญหา การ
พัฒนาวิธีสอนจาเปน็ ตอ้ งอาศัยวธิ กี ารและเทคโนโลยใี หมๆ่ เข้ามาจดั การและสนับสนุนการเรยี นการสอน
ตัวอยา่ งนวตั กรรมที่ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่ การสอนแบบศนู ย์การเรียน การใชก้ ระบวนการกลมุ่ สัมพนั ธ์
การสอนแบบเรยี นรรู้ ่วมกนั และการเรยี นผา่ นเครือข่ายคอมพวิ เตอร์และอนิ เทอร์เนต็ การวิจัยในชนั้ เรียน ฯลฯ
14
3. นวัตกรรมส่อื การสอน
เน่อื งจากมีความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ คอมพวิ เตอรเ์ ครือข่ายและเทคโนโลยี
โทรคมนาคม ทาให้นกั การศึกษาพยายามนาศักยภาพของเทคโนโลยเี หล่านม้ี าใชใ้ นการผลติ สอ่ื การเรยี นการ
สอนใหมๆ่ จานวนมากมาย ท้ังการเรยี นดว้ ยตนเองการเรยี นเป็นกลมุ่ และการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนสอ่ื ที่
ใช้เพ่ือสนับสนนุ การฝึกอบรม ผ่านเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ตวั อยา่ ง นวตั กรรมสื่อการสอน ไดแ้ ก่
- คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (CAI)
- มัลตมิ ีเดยี (Multimedia)
- การประชุมทางไกล (Teleconference)
- ชุดการสอน (Instructional Module)
- วดี ที ัศนแ์ บบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive Video)
4. นวตั กรรมทางดา้ นการประเมินผล
เป็นนวตั กรรมทีใ่ ชเ้ ป็นเครอื่ งมอื เพือ่ การวัดผลและประเมินผลไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและทาได้
อยา่ งรวดเรว็ รวมไปถงึ การวจิ ยั ทางการศกึ ษา การวจิ ัยสถาบนั ด้วยการประยุกต์ใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์มา
สนบั สนนุ การวัดผล ประเมนิ ผลของสถานศึกษา ครู อาจารย์ ตัวอย่าง นวัตกรรมทางดา้ นการประเมนิ ผล ได้แก่
- การพัฒนาคลงั ขอ้ สอบ
- การลงทะเบยี นผา่ นทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และอินเตอรเ์ น็ต
- การใช้บัตรสมารท์ การด์ เพ่ือการใชบ้ ริการของสถาบนั ศกึ ษา
- การใช้คอมพิวเตอรใ์ นการตัดเกรด
- ฯลฯ
5. นวัตกรรมการบริหารจดั การ
เปน็ การใช้นวตั กรรมท่ีเกีย่ วข้องกบั การใชส้ ารสนเทศมาช่วยในการบรหิ ารจัดการ เพ่ือการ
ตดั สนิ ใจของผบู้ ริหารการศึกษาให้มีความรวดเรว็ ทนั เหตกุ ารณ์ ทันตอ่ การเปล่ยี นแปลงของโลก
นวัตกรรมการศึกษาท่นี ามาใช้ทางด้านการบรหิ ารจะเกย่ี วข้องกบั ระบบการจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงาน
สถานศกึ ษา เชน่ ฐานขอ้ มลู นกั เรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์และบคุ ลากร ในสถานศึกษา ด้าน
การเงิน บัญชี พัสดุ และครุภัณฑ์ ฐานข้อมลู เหล่าน้ตี อ้ งการออกระบบทีส่ มบูรณ์มคี วามปลอดภยั ของข้อมูลสงู
15
นอกจากน้ียงั มีความเก่ยี วข้องกับสารสนเทศภายนอกหน่วยงาน เชน่ ระเบียบปฏิบตั ิ กฎหมาย พระราชบัญญตั ิ
ทเ่ี กีย่ วกับการจัดการศกึ ษา ซ่ึงจะตอ้ งมีการอบรม เกบ็ รักษาและออกแบบระบบการสืบค้นท่ีดีพอซงึ่ ผูบ้ รหิ าร
สามารถสบื ค้นข้อมูลมาใชง้ านได้ทันทตี ลอดเวลา
การใช้นวัตกรรมแตล่ ะดา้ นอาจมกี ารผสมผสานท่ซี ้อนทับกันในบางเรอ่ื ง ซ่ึงจาเป็นต้องมีการพฒั นา
ร่วมกนั ไปพรอ้ มๆ กันหลายด้าน การพัฒนาฐานข้อมูลอาจต้องทาเป็นกล่มุ เพ่ือให้สามารถนามาใชร้ ่วมกนั ได้
อย่างมีประสิทธภิ าพ
1.12 นวตั กรรมทางการศึกษาตา่ งๆ ที่กล่าวถึงกนั มากในปจั จุบนั
1.12.1 E-learning
ความหมายของ e-Learning
การเรียนทางอเิ ลก็ ทรอนิกส์ หรือ e-Learning รูปแบบการเรยี นการสอน ซง่ึ ใช้การถา่ ยทอด
เนอ้ื หา(delivery methods) ผ่านทางอปุ กรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ ไม่วา่ จะเป็น คอมพวิ เตอร์ เครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็
อินทราเน็ต เอก็ ซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม และใช้รปู แบบการนาเสนอ
เน้ือหาสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งอาจอยใู่ นรูปแบบการเรยี นทเ่ี ราค้นุ เคยกันมาพอสมควร เชน่
คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน(Computer-Assisted Instruction) การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) การ
เรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรยี นทางไกลผา่ นดาวเทยี ม หรืออาจอยู่ในลักษณะท่ยี ังไมค่ ่อยเปน็ ที่
แพร่หลายนกั เชน่ การเรยี นจากวดิ ที ศั น์ตามอธั ยาศัย (Video On-Demand) เปน็ ตน้
อย่างไรกด็ ี ในปจั จุบนั เมื่อกล่าวถงึ e-Learning คนส่วนใหญจ่ ะหมายเฉพาะถงึ การเรยี นเน้ือหา
หรอื สารสนเทศซ่ึงออกแบบมาสาหรับการสอนหรือการอบรม ซึง่ ใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Technology)
ในการถ่ายทอดเนื้อหา และเทคโนโลยรี ะบบการบรหิ ารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System)
ในการบรหิ ารจัดการการเรยี นรูข้ องผเู้ รียนและงานสอนดา้ นต่างๆ โดยผู้เรียนทเ่ี รยี นจาก e-Learning น้ี
สามารถศึกษาเนื้อหาในลกั ษณะออนไลน์ นอกจากนี้ เนอื้ หาสารสนเทศของ e-Learning จะถูกนาเสนอโดย
อาศยั เทคโนโลยมี ัลตมิ เี ดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยเี ชงิ โตต้ อบ (Interactive
Technology)จากความหมายที่คนส่วนใหญ่นิยาม e-Learning นน้ั จาเปน็ ต้องทาความเข้าใจใหช้ ดั เจนวา่ e-
Learningไม่ใชเ่ พยี งแค่การสอนในลักษณะเดิม ๆ และนาเอกสารการสอนมาแปลงให้อยู่ในรูปดิจิตัล และนาไป
16
วางไวบ้ นเว็บ หรอื ระบบบรหิ ารจดั การการเรยี นรูเ้ ทา่ น้นั แตค่ รอบคลุมถึง กระบวนการในการเรียนการสอน
หรอื การอบรมท่ีใชเ้ ครือ่ งมือทางดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ เพ่ือใหเ้ กิดความยดื หยุ่นทางการเรยี นรู้ (flexible
learning) สนับสนุนการเรยี นรู้ในลกั ษณะทีผ่ ู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (learner-centered) และการเรยี นใน
ลกั ษณะตลอดชีวติ (life-long learning) ซ่งึ อาศยั การเปลี่ยนแปลงด้านกระบวนทัศน์ (paradigm shift) ของ
ท้งั กระบวนการในการเรยี นการสอนด้วย นอกจากนี้ e-Learning ไม่จาเป็นต้องเป็นการเรียนทางไกลเสมอ
คณาจารยส์ ามารถนาไปใช้ในลกั ษณะการผสมผสาน (blended) กบั การสอนในชัน้ เรียนได้
1.13 ลักษณะสาคัญของ e-Learning (Feature of e-Learning)
ลกั ษณะสาคัญของ e-Learning ทดี่ ี ควรจะประกอบไปดว้ ยลกั ษณะสาคัญ 4 ประการ ดังน้ี
1. ทกุ เวลาทุกสถานที่ (Anywhere, Anytime) หมายถงึ e-Learning ควรต้องช่วยขยายโอกาสใน
การเข้าถึงเนอ้ื หาการเรยี นร้ขู องผู้เรยี นไดจ้ ริง ในทีน่ หี้ มายรวมถงึ การที่ผเู้ รียนสามารถเรียกดเู น้อื หาตามความ
สะดวกของผู้เรยี น เชน่ ผู้เรียนมีการเขา้ ถงึ เคร่อื งคอมพิวเตอรท์ ีเ่ ชอื่ มตอ่ กบั เครือข่ายได้อย่างยืดหยนุ่
2. มัลติมเี ดยี (Multimedia) หมายถงึ e-Learning ควรตอ้ งมีการนาเสนอเนอ้ื หาโดยใช้ประโยชน์
จากส่อื ประสมเพ่ือช่วยในการประมวลผลสารสนเทศของผ้เู รียนเพ่อื ใหเ้ กิดความคงทนในการจดจาและ/หรือ
การเรยี นรูไ้ ดด้ ีข้นึ
3. การเช่ือมโยง (Non-linear) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการนาเสนอเนื้อหาในลักษณะท่ีไม่
เป็นเชิงเส้นตรง กล่าวคือ ผเู้ รียนสามารถเข้าถงึ เนื้อหาตามความตอ้ งการ โดย e-Learning จะต้องจดั หาการ
เชอ่ื มโยงทย่ี ืดหยุ่นแก่ผูเ้ รียน นอกจากนย้ี ังหมายถึงการออกแบบใหผ้ ้เู รยี นสามารถเรยี นไดต้ ามจงั หวะ(pace)
การเรยี นของตนเองด้วย เช่น ผ้เู รียนท่ีเรยี นชา้ สามารถเลือกเนอื้ หาท่ตี ้องการเรียนซ้าไดบ้ ่อยคร้งั ผเู้ รยี นที่เรยี น
ดสี ามารถเลอื กที่จะข้ามไปเรียนในเนื้อหาทีต่ ้องการไดโ้ ดยสะดวก
4. การโตต้ อบ (Interaction) หมายถึง e-Learning ควรตอ้ งมกี ารเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนโต้ตอบ(มี
ปฏิสัมพันธ์) กบั เนื้อหา หรอื กับผ้อู น่ื ได้ กล่าวคือ
1) e-Learning ควรตอ้ งมีการออกแบบกิจกรรมซ่ึงผเู้ รยี นสามารถโต้ตอบกับเน้ือหา
(InteractiveActivities) รวมทง้ั มีการจดั เตรยี มแบบฝึกหัดและแบบทดสอบให้ผเู้ รยี นสามารถตรวจสอบความ
เข้าใจด้วยตนเองได้
2) e-Learning ควรตอ้ งมีการจดั หาเครื่องมอื ในการให้ช่องทางแกผ่ เู้ รยี นในการติดต่อสือ่ สาร
(Collaboration Tools) เพ่ือการปรึกษา อภิปราย ซักถาม แสดงความคิดเห็นกบั ผูส้ อน วทิ ยากรผเู้ ชีย่ วชาญ
หรือเพื่อน ๆ รว่ มชน้ั เรยี นโดยในส่วนของการโต้ตอบนี้ จะต้องคานึงถึงการใหผ้ ลป้อนกลบั ทีท่ นั ตอ่ เหตกุ ารณ์
(ImmediateResponse) ซ่งึ อาจหมายถึง การทีผ่ ู้สอนตอ้ งเข้ามาตอบคาถามหรือให้คาปรึกษาแกผ่ ้เู รยี นอยา่ ง
สมา่ เสมอและทันเหตุการณ์ รวมถึง การที่ e-Learning ควรตอ้ งมีการออกแบบให้มีการทดสอบ การวัดผล
17
และการประเมินผล ซงึ่ สามารถใหผ้ ลป้อนกลบั โดยทนั ทีแก่ผู้เรยี น ไม่วา่ จะอยูใ่ นลักษณะของแบบทดสอบกอ่ น
เรยี น (pre-test) หรอื แบบทดสอบหลงั เรยี น (posttest) ก็ตาม
1.14 องคป์ ระกอบของ e-Learning (Component of e-Learning)
1. เน้ือหา (Content) เนื้อหาเป็นองคป์ ระกอบสาคัญที่สดุ สาหรบั e-Learning คณุ ภาพของการ
เรยี นการสอนของ e-Learningและการที่ผเู้ รยี นจะบรรลวุ ัตถุประสงค์การเรยี นในลักษณะน้ีหรือไม่อยา่ งไร สิง่
สาคัญที่สุดก็คือ เน้ือหาการเรียนซึ่งผูส้ อนไดจ้ ดั หาใหแ้ ก่ผเู้ รียน ซึง่ ผู้เรียนมีหน้าทีใ่ นการใชเ้ วลาสว่ นใหญศ่ ึกษา
เนอื้ หาดว้ ยตนเอง เพ่ือทาการปรับเปลี่ยน (convert) เนอ้ื หาสารสนเทศที่ผู้สอนเตรยี มไว้ให้เกิดเป็นความรู้
โดยผ่านการคดิ คน้ วิเคราะห์อยา่ งมีหลกั การและเหตผุ ลดว้ ยตัวของผูเ้ รียนเอง คาว่า “เน้ือหา” ใน
องคป์ ระกอบแรกของ e-Learning นี้ ไม่ได้จากดั เฉพาะสื่อการสอน และ/หรือ คอรส์ แวร์ เทา่ นนั้ แตย่ ัง
หมายถงึ สว่ นประกอบสาคัญอ่ืน ๆ ท่ี e-Learning จาเปน็ จะต้องมีเพอื่ ใหเ้ น้ือหามีความสมบรู ณ์ เช่น คาแนะนา
การเรียน ประกาศสาคัญตา่ ง ๆ ผลป้อนกลับของผสู้ อน เป็นตน้
2. ระบบบริหารจดั การการเรียนรู้ (Learning Management System) องคป์ ระกอบทีส่ าคัญมาก
เช่นกันสาหรับ e-Learning ไดแ้ ก่ ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ ซึ่งเปน็ เสมอื นระบบทรี่ วบรวมเคร่ืองมือซึง่
ออกแบบไว้เพ่ือใหค้ วามสะดวกแกผ่ ้ใู ช้ในการจัดการกับการเรียนการสอนออนไลน์น่นั เอง ซึ่งผใู้ ช้ในทนี่ ี้ แบง่ ได้
เปน็ 4 กลุ่ม ได้แก่ ผู้สอน (instructors) ผ้เู รยี น (students) ผชู้ ว่ ยสอน (course manager) และผทู้ ีจ่ ะเขา้ มา
ช่วยผูส้ อนในการบริหารจัดการดา้ นเทคนคิ ตา่ ง ๆ (network administrator)ซงึ่ เคร่อื งมือและระดบั ของสิทธิ
ในการเขา้ ใช้ท่ีจดั หาไว้ให้ก็จะมีความแตกตา่ งกันไปตามแต่การใชง้ านของแต่ละกลมุ่ ตามปรกติแลว้ เคร่อื งมือ
ทีร่ ะบบบริหารจัดการการเรยี นรู้ต้องจดั หาไว้ให้กับผูใ้ ช้ ได้แก่ พนื้ ทีแ่ ละเครื่องมือสาหรบั การช่วยผูเ้ รียนในการ
เตรียมเน้ือหาบทเรยี น พนื้ ที่และเครอื่ งมือสาหรับการทาแบบทดสอบ แบบสอบถาม การจดั การกับแฟม้ ข้อมูล
ตา่ ง ๆ นอกจากนี้ระบบบรหิ ารจัดการการเรียนรทู้ ่สี มบรู ณจ์ ะจัดหาเครื่องมือในการตดิ ต่อสือ่ สารไว้สาหรบั ผู้ใช้
ระบบไม่วา่ จะเปน็ ในลักษณะของ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เว็บบอรด์ (Web Board) หรอื แช็ท
(Chat) บางระบบก็ยังจดั หาองค์ประกอบพิเศษอ่นื ๆ เพ่ืออานวยความสะดวกให้กบั ผู้ใช้อีกมากมาย เช่น การ
จัดใหผ้ ูใ้ ช้สามารถเขา้ ดคู ะแนนการทดสอบ ดูสถิติการเข้าใชง้ านในระบบ การอนญุ าตให้ผู้ใช้สร้างตารางการ
เรยี น ปฏทิ ินการเรยี น เปน็ ต้น
18
3. โหมดการตดิ ตอ่ ส่ือสาร (Modes of Communication) องค์ประกอบสาคัญของ e-Learning ที่
ขาดไมไ่ ด้อีกประการหน่ึง กค็ ือ การจัดให้ผู้เรียนสามารถติดต่อสอ่ื สารกับผ้สู อน วิทยากร ผ้เู ชย่ี วชาญอื่น ๆ
รวมทงั้ ผูเ้ รยี นด้วยกนั ในลกั ษณะทหี่ ลากหลาย และสะดวกต่อผู้ใช้ กล่าวคอื มีเครื่องมือท่ีจัดหาไวใ้ หผ้ เู้ รียน
ใชไ้ ด้มากกวา่ 1 รปู แบบ รวมทงั้ เครื่องมือน้นั จะต้องมีความสะดวกในการใชง้ าน (user-friendly) ดว้ ย ซ่งึ
เคร่อื งมอื ท่ี e-Learning ควรจัดหาให้ผเู้ รียน ไดแ้ ก่
3.1 การประชมุ ทางคอมพวิ เตอร์
ในทน่ี หี้ มายถึง การประชมุ ทางคอมพิวเตอรท์ ง้ั ในลักษณะของการติดต่อสื่อสารแบบต่างเวลา(Asynchronous)
เชน่ การแลกเปลยี่ นข้อความผ่านทางกระดานขา่ วอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ทรี่ จู้ ักกันในช่ือของเว็บบอรด์ (Web
Board) เป็นต้น หรอื ในลักษณะของการติดต่อสอื่ สารแบบเวลาเดียวกนั (Synchronous) เชน่ การสนทนา
ออนไลน์ หรอื ที่คนุ้ เคยกันดีในชื่อของ แชท็ (Chat) และ ICQ หรอื ในบางระบบ อาจจัดใหม้ กี ารถ่ายทอด
สญั ญาณภาพและเสียงสด (Live Broadcast / Videoconference) ผ่านทางเวบ็ เป็นต้น ในการนาไปใช้
ดาเนินกจิ กรรมการเรยี นการสอน ผูส้ อนสามารถเปดิ สัมมนาในหัวขอ้ ทเ่ี ก่ยี วข้องกบั เนื้อหาในคอร์ส ซ่ึงอาจอยู่
ในรูปของการบรรยาย การสมั ภาษณ์ผูเ้ ชี่ยวชาญ การเปดิ อภปิ รายออนไลน์ เป็นต้น
3.2 ไปรษณยี ์อิเลก็ ทรอนิกส์ (e-mail)
ไปรษณีย์อิเลก็ ทรอนิกส์ เปน็ องค์ประกอบสาคัญเพ่ือใหผ้ เู้ รียนสามารถติดต่อส่อื สารกบั ผู้สอนหรอื ผู้เรียนอ่นื ๆ
ในลักษณะรายบุคคล การส่งงานและผลปอ้ นกลบั ให้ผเู้ รียน ผสู้ อนสามารถให้คาแนะนาปรึกษาแกผ่ เู้ รยี นเป็น
รายบคุ คล ท้ังน้เี พ่ือกระตุ้นให้ผู้เรยี นเกดิ ความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมกิจกรรมการเรยี นอยา่ งต่อเนอื่ ง ทั้งนี้
ผู้สอนสามารถใชไ้ ปรษณีย์อิเล็กทรอนิกสใ์ นการให้
ความคดิ เห็นและผลปอ้ นกลับท่ที นั ตอ่ เหตกุ ารณ์
4. แบบฝกึ หัด/แบบทดสอบ
องคป์ ระกอบสุดทา้ ยของ e-Learning แต่ไม่ได้มีความสาคัญนอ้ ยทส่ี ุดแต่อย่างใด ได้แก่ การจัด
ใหผ้ ู้เรยี นได้มีโอกาสในการโตต้ อบกับเนื้อหาในรปู แบบของการทาแบบฝึกหัด และแบบทดสอบความรู้
4.1 การจัดให้มแี บบฝกึ หัดสาหรบั ผเู้ รียน เนื้อหาท่นี าเสนอจาเปน็ ตอ้ งมีการจดั หาแบบฝกึ หัด
สาหรับผเู้ รียนเพอ่ื ตรวจสอบความเข้าใจไว้ดว้ ยเสมอ ทั้งน้เี พราะ e-Learning เปน็ ระบบการเรียนการสอนซงึ่
เนน้ การเรียนรดู้ ้วยตนเองของผเู้ รียนเป็นสาคญั ดังนน้ั ผเู้ รียนจงึ จาเป็นอยา่ งยิ่งทจี่ ะต้องมีแบบฝึกหัดเพื่อการ
ตรวจสอบวา่ ตนเขา้ ใจและรอบรูใ้ นเรอ่ื งท่ีศึกษาด้วยตนเองมาแลว้ เปน็ อยา่ งดีหรือไม่ อย่างไร การทาแบบฝึกหัด
จะทาให้ผู้เรยี นทราบไดว้ า่ ตนนน้ั พรอ้ มสาหรับการทดสอบ การประเมนิ ผลแลว้ หรือไม่
4.2 การจดั ใหม้ แี บบทดสอบผู้เรยี น แบบทดสอบสามารถอยู่ในรปู ของแบบทดสอบก่อนเรียน
ระหวา่ งเรยี น หรอื หลงั เรยี นก็ได้สาหรบั e-Learning แล้ว ระบบบริหารจัดการการเรียนรทู้ าใหผ้ ู้สอนสามารถ
สนบั สนนุ การออกข้อสอบของผสู้ อนไดห้ ลากหลายลักษณะ กล่าวคอื ผู้สอนสามารถออกแบบการประเมนิ ผล
19
ในลกั ษณะของ อัตนัย ปรนัย ถกู ผดิ การจบั คู่ ฯลฯ นอกจากนย้ี งั ทาให้ผูส้ อนมคี วามสะดวกสบายในการสอบ
เพราะผู้สอนสามารถทจ่ี ะจดั ทาข้อสอบในลกั ษณะคลังข้อสอบไวเ้ พ่ือเลือกในการนากลบั มาใช้ หรอื ปรบั ปรงุ
แก้ไขใหม่ไดอ้ ย่างงา่ ยดาย นอกจากน้ใี นการคานวณและตัดเกรด ระบบ e-Learning ยงั สามารถชว่ ยให้การ
ประเมินผลผเู้ รียนเป็นไปไดอ้ ย่างสะดวก เน่ืองจากระบบบรหิ ารจัดการการเรียนรู้ จะช่วยทาใหก้ ารคิดคะแนน
ผเู้ รียน การตัดเกรดผู้เรียนเป็นเรื่องงา่ ยขึ้นเพราะระบบจะอนุญาตให้ผูส้ อนเลือกได้ว่าต้องการทจ่ี ะประเมินผล
ผู้เรียนในลกั ษณะใด เชน่ อิงกลุ่ม องิ เกณฑ์ หรือใชส้ ถติ ใิ นการคิดคานวณในลักษณะใด เชน่ การใช้คา่ เฉลยี่
ค่า T-Score เป็นตน้ นอกจากน้ียงั สามารถทจ่ี ะแสดงผลในรูปของกราฟได้อกี ด้วย
1.15 ขอ้ ได้เปรยี บ และข้อจากัดของ e-Learning (advantage of e-Learning)
ประโยชนท์ ่ไี ดร้ ับจากการนา e-Learning ไปใชใ้ นการเรยี นการสอนมี ดงั นี้
1. e-Learning ชว่ ยใหก้ ารจดั การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยงิ่ ขน้ึ เพราะการถ่ายทอดเนื้อหา
ผ่านทางมัลตมิ ีเดยี สามารถทาให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ได้ดกี ว่าการเรียนจากสอื่ ขอ้ ความเพยี งอย่างเดยี ว หรอื
จากการสอนภายในห้องเรียนของผูส้ อนซ่งึ เน้นการบรรยายในลกั ษณะ Chalk and Talk แตเ่ พียงอย่างเดยี ว
โดยไมใ่ ช้สอ่ื ใด ๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทยี บกบั e-Learning ท่ีได้รับการออกแบบและผลติ มาอย่างมีระบบ e-
Learning สามารถชว่ ยทาให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้ได้อย่างมีประสทิ ธิภาพมากกว่า ในเวลาทเ่ี ร็วกวา่
นอกจากนีย้ ังเปน็ การสนับสนุนให้เกดิ การเรียนรู้ทผี่ ้เู รยี นเป็นศูนยก์ ลางไดเ้ ป็นอย่างดี เพราะผูส้ อนจะสามารถ
ใช้ e-Learning ในการจดั การเรยี นการสอนทีล่ ดการบรรยาย (lecture)ได้ และสามารถใช้ e-Learning ในการ
จัดการเรยี นการสอนท่เี น้นให้ผู้เรียนไดเ้ ป็นผู้รับผดิ ชอบในการจัดการเรียนรดู้ ้วยตนเอง (autonomous
learning) ได้ดยี ่งิ ขึ้น
2. e-Learning ชว่ ยทาใหผ้ สู้ อนสามารถตรวจสอบความก้าวหนา้ พฤตกิ รรมการเรียนของผู้เรยี นได้
อยา่ งละเอยี ดและตลอดเวลา เนอื่ งจาก e-Learning มกี ารจัดหาเครอ่ื งมือทสี่ ามารถทาให้ผ้สู อนติดตามการ
เรยี นของผ้เู รียนได้
3. e-Learning ช่วยทาให้ผูเ้ รยี นสามารถควบคุมการเรยี นของตนเองได้ เนื่องจากการนาเอา
เทคโนโลยี Hypermedia มาประยกุ ตใ์ ช้ ซึง่ มีลักษณะการเชอ่ื มโยงข้อมูลไมว่ ่าจะเปน็ ในรูปของข้อความ
ภาพน่ิง เสียงกราฟิก วดิ โี อ ภาพเคล่ือนไหว ทเ่ี กย่ี วเน่ืองกนั เข้าไว้ดว้ ยกันในลักษณะที่ไม่เป็นเชิงเสน้ (Non-
20
Linear) ทาให้ Hypermedia สามารถนาเสนอเนื้อหาในรปู แบบใยแมงมมุ ได้ ดังนั้นผู้เรียนจงึ สามารถเข้าถึง
ข้อมูลใดก่อนหรอื หลังก็ได้ โดยไม่ต้องเรียงตามลาดบั และเกดิ ความสะดวกในการเขา้ ถึงของผู้เรียนอกี ด้วย
4. e-Learning ช่วยทาใหผ้ ้เู รยี นสามารถเรยี นรู้ได้ตามจงั หวะของตน (Self-paced Learning)
เนือ่ งจากการนาเสนอเนื้อหาในรปู แบบของ Hypermedia เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรยี นรู้ของ
ตนในด้านของลาดบั การเรียนได้ (Sequence) ตามพ้นื ฐานความรู้ ความถนัด และความสนใจของตน
นอกจากน้ีผเู้ รียนยังสามารถ ทดสอบทักษะตนเองก่อนเรยี นไดท้ าใหส้ ามารถชชี้ ัดจดุ อ่อนของตน และเลอื ก
เนือ้ หาใหเ้ ข้ากบั รูปแบบการเรียนของตัวเอง เชน่ การเลือกเรียนเนือ้ หาเฉพาะบางส่วนทีต่ ้องการทบทวนได้ โดย
ไมต่ ้องเรยี นในส่วนที่เข้าใจแล้ว ซ่งึ ถือวา่ ผูเ้ รียนได้รับอิสระในการควบคุมการเรยี นของตนเอง จึงทาใหผ้ ู้เรียนได้
เรยี นรู้ตามจงั หวะของตนเอง
5. e-Learning ชว่ ยทาใหเ้ กิดปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งผ้เู รยี นกับครูผสู้ อน และกับเพ่ือน ๆ ได้ เนอ่ื งจาก
e-Learning มีเครือ่ งมือต่าง ๆ มากมาย เชน่ Chat Room, Web Board, E-mail เปน็ ต้น ทเี่ ออ้ื ตอ่ การ
โตต้ อบ (Interaction) ทห่ี ลากหลาย และไมจ่ ากดั วา่ จะต้องอย่ใู นสถาบนั การศึกษาเดยี วกัน (Global Choice)
นอกจากน้นั e-Learning ท่อี อกแบบมาเปน็ อย่างดีจะเอื้อให้เกิดปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งผูเ้ รยี นกับเนื้อหาได้อยา่ งมี
ประสทิ ธิภาพ เช่น การออกแบบเนื้อหาในลกั ษณะเกม หรอื การจาลอง เปน็ ตน้
6. e-Learning ชว่ ยส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ การเรยี นรูท้ ักษะใหม่ ๆ รวมท้งั เนื้อหาที่มีความทันสมัย และ
ตอบสนองตอ่ เรื่องราวตา่ ง ๆ ในปจั จุบนั ได้อยา่ งทันที เพราะการท่ีเน้อื หาการเรยี นอยู่ในรูปของข้อความ
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ (Etext) ซ่ึงได้แก่ข้อความซ่ึงไดร้ บั การจดั เก็บ ประมวลผล นาเสนอ และเผยแพรท่ าง
คอมพิวเตอร์ทาใหม้ ีขอ้ ได้เปรียบสื่ออ่ืน ๆ หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของความสามารถในการ
ปรบั ปรงุ เนื้อหาสารสนเทศให้ทนั สมัยไดต้ ลอดเวลา การเขา้ ถึงข้อมลู ที่ต้องการดว้ ยความสะดวกและรวดเร็ว
และความคงทนของขอ้ มูล
7. e-Learning ทาให้เกดิ รปู แบบการเรยี นทส่ี ามารถจัดการเรียนการสอนใหแ้ ก่ผเู้ รียนในวงกวา้ งขนึ้
เพราะผ้เู รียนที่ใชก้ ารเรียนลักษณะ e-Learning จะไม่มีข้อจากัดในดา้ นการเดนิ ทางมาศึกษาในเวลาใดเวลา
หนึ่งและสถานที่ใดสถานทหี่ น่ึง ดังนั้น e-Learning จงึ สามารถนาไปใชเ้ พือ่ สนบั สนุนการเรียนรตู้ ลอดชวี ติ
(Life- Long Learning) ได้ และยิ่งไปกวา่ น้นั ยงั สามารถนา e-Learning ไปใช้เพ่อื เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นทข่ี าด
โอกาสทางการศึกษาในระดบั ตา่ ง ๆ ได้เป็นอยา่ งดี โดยผู้เรียนไมว่ า่ จะอยู่ทใ่ี ด ในเมือง หรอื ในชนบทสามารถ
เข้ามาศึกษาเนอ้ื หาทีไ่ ด้มาตรฐานเท่าเทยี มกัน
8. e-Learning ทาให้สามารถลดต้นทุนในการจัดการศึกษาน้นั ๆ ได้ ในกรณีทีม่ ีการจัดการเรียนการ
สอนสาหรับผเู้ รียนท่ีมีจานวนมาก และเปดิ กว้างใหส้ ถาบนั อ่นื ๆ หรือบคุ คลทั่วไปเข้ามาใช้ e-Learning ได้ ซ่ึง
จะพบวา่ เม่ือต้นทนุ การผลิต e-Learning เท่าเดิม แต่ปริมาณผเู้ รียนมปี รมิ าณเพ่ิมมากขึน้ หรือขยายวงกวา้ งการ
ใช้ (Scalability) ออกไปกเ็ ท่ากบั เป็นการลดต้นทนุ ทางการศึกษาน่นั เอง สามารถศึกษาประโยชน์ในการลด
21
ต้นทุนของ e-Learning ไดจ้ ากรูปท่ี 6 ด้านล่าง ซง่ึ แสดงให้เหน็ ว่า เม่อื จานวนของผู้เรยี นที่เขา้ มาเรียนด้วย e -
Learning มีจานวนมากขึ้น ๆ อัตราการลงทุนของการศกึ ษาจะมากข้ึนไม่มากนกั และเปน็ อัตราท่นี ้อยกวา่ อตั รา
การลงทนุ เมื่อจดั การเรยี นการสอนแบบปรกติ
1.16 ขอ้ จากดั
1. ผ้สู อนทนี่ า e-Learning ไปใชใ้ นลกั ษณะของส่ือเสรมิ โดยไมม่ ีการปรับเปล่ียนวธิ กี ารสอนเลย
กลา่ วคอื ผู้สอนยังคงใช้แต่วธิ ีการบรรยายในทุกเน้อื หา และส่ังใหผ้ ูเ้ รยี นไปทบทวนจาก e-Learning หาก e-
Learning ไมไ่ ดอ้ อกแบบใหจ้ ูงใจผูเ้ รียนแล้ว ผู้เรียนคงใช้อยู่พกั เดยี วกเ็ ลิกไปเพราะไม่มีแรงจงู ใจใด ๆ ในการใช้
e-Learning กจ็ ะกลายเปน็ การลงทนุ ทไี่ ม่คมุ้ คา่ แต่อยา่ งใด
2. ผู้สอนจะตอ้ งเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ให้ (impart) เนอ้ื หาแก่ผ้เู รียน มาเปน็ (facilitator)
ผูช้ ว่ ยเหลอื และใหค้ าแนะนาต่าง ๆ แก่ผู้เรียน พร้อมไปกับการเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
จาก e-Learning ทง้ั นี้ หมายรวมถึง การที่ผูส้ อนควรมีความพร้อมทางดา้ นทักษะคอมพิวเตอรแ์ ละรับผดิ ชอบ
ต่อการสอนมคี วามใสใ่ จกบั ผเู้ รยี นโดยไม่ท้งิ ผู้เรยี น
3. การลงทนุ ในด้านของ e-Learning ตอ้ งครอบคลุมถงึ การจดั การใหผ้ ้สู อนและผู้เรียนสามารถ
เข้าถงึ เนื้อหาและการตดิ ต่อสื่อสารออนไลน์ไดส้ ะดวก สาหรบั e-Learning แลว้ ผู้สอนหรือผเู้ รยี นท่ใี ชร้ ปู แบบ
การเรยี นในลกั ษณะนี้จะต้องมสี ิ่งอานวยความสะดวก (facilities) ต่าง ๆ ในการเรยี นทีพ่ รอ้ มเพรยี งและมี
ประสทิ ธภิ าพ เช่น ผูส้ อนและผ้เู รยี นสามารถตดิ ต่อสอื่ สารกับผ้อู ืน่ ได้ และสามารถเรียกดเู น้อื หาโดยเฉพาะ
อยา่ งยงิ่ ในลักษณะมลั ติมีเดยี ได้อย่างครบถ้วน ด้วยความเร็วพอสมควร เพราะหากปราศจากข้อได้เปรียบใน
การตดิ ต่อสือ่ สารและการเข้าถึงเนื้อหาไดส้ ะดวก รวมทง้ั ข้อไดเ้ ปรยี บสือ่ อน่ื ๆ ในลกั ษณะในการนาเสนอ
เนอื้ หา เช่น มัลติมเี ดีย แลว้ นั้นผูเ้ รยี นและผสู้ อนก็อาจไม่เห็นความจาเป็นใด ๆ ท่ีต้องใช้ e-Learning
4. การออกแบบ e-Learning ที่ไม่เหมาะสมกับลักษณะของผเู้ รียน เชน่ ผูเ้ รียนระดับอุดมศกึ ษาใน
บ้านเราซึ่งสว่ นใหญ่อยู่ในวัยรนุ่ e-Learning จะต้องได้รบั การออกแบบตามหลักจิตวิทยาการศกึ ษา กลา่ วคือ
จะต้องเน้นใหม้ ีการออกแบบให้มีกิจกรรมโตต้ อบอยูต่ ลอดเวลา ไมว่ ่าจะเป็นกบั เนื้อหาเอง กบั ผ้เู รียนอืน่ ๆ หรือ
กบั ผสู้ อนก็ตาม นอกจากนนั้ แลว้ การออกแบบการนาเสนอเนือ้ หาทางคอมพิวเตอร์ นอกจากจะต้องเนน้ ให้
เนือ้ หามคี วามถกู ตอ้ งชดั เจน ยังคงจะต้องเนน้ ให้มีความน่าสนใจ สามารถดงึ ดูดความสนใจของผู้เรียนได้
22
ตวั อยา่ งเชน่ การออกแบบนาเสนอโดยใชม้ ลั ติมีเดีย รวมทง้ั การนาเสนอในลักษณะ non-linear ซงึ่ ผเู้ รียน
สามารถเลอื กที่จะเรยี นเน้ือหากอ่ นหลังไดต้ ามความต้องการ
5. ในการที่ e-Learning จะส่งผลตอ่ ประสิทธิผลของการเรียนรู้ของผู้เรยี นไดน้ น้ั สง่ิ สาคัญไดแ้ ก่ การ
ทผ่ี ้เู รยี นจะต้องรู้จักวธิ กี ารเรียนรดู้ ้วยตนเอง (self-Learning) อยา่ งมีประสิทธภิ าพ ดงั นัน้ จงึ จาเป็นที่จะต้องมี
การสนบั สนุน และสง่ เสรมิ ให้ผู้เรยี นมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกบั การสรา้ งวินัยในการเรยี นร้ดู ้วยตนเอง
(selfdiscipline)รวมทง้ั ตระหนกั ถึงความสาคัญในการสรา้ งเสริมลกั ษณะนสิ ยั ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ รู้จักวิธีการ
เลอื กสรรประเมิน รวบรวมสารสนเทศ รวมทัง้ รจู้ กั การจดั ระเบยี บ (organize) วิเคราะห์ สงั เคราะห์ และการ
นาเสนอสารสนเทศตามความเขา้ ใจของตนเอง
1.17 ระดบั ของสื่อสาหรบั e-Learning (Level of media for e-Learning)
สาหรบั e-Learning แลว้ การถา่ ยทอดเนือ้ หาสามารถแบ่งได้เป็น 3 ลกั ษณะด้วยกนั กล่าวคอื
1. ระดับเน้นขอ้ ความออนไลน์ (Text Online) หมายถึง เนอ้ื หาของ e-Learning ในระดบั นจ้ี ะอยู่
ในรูปของขอ้ ความเปน็ หลกั e-Learning ในลกั ษณะนี้จะเหมือนกับการสอนบนเว็บ (WBI) ซึ่งเนน้ เนื้อหาทเ่ี ปน็
ข้อความ ตัวอักษรเป็นหลกั ซ่ึงมขี ้อดี ก็คือการประหยัดเวลาและค่าใชจ้ ่ายในการผลิตเนื้อหาและการบริหาร
จัดการการเรียนรู้
2. ระดับรายวชิ าออนไลน์เชิงโต้ตอบและประหยัด (Low Cost Interactive Online Course)
หมายถึง เนือ้ หาของ e-Learning ในระดับนจี้ ะอยู่ในรปู ของตวั อักษร ภาพ เสียง และวดิ ีทศั น์ ทีผ่ ลติ ขึ้นมา
อย่างงา่ ย ๆ ประกอบการเรียนการสอน e-Learning ในระดับหนงึ่ และสองนี้ ควรจะต้องมกี ารพัฒนา LMS ท่ีดี
เพือ่ ชว่ ยผูใ้ ชใ้ นการสรา้ งและปรับเน้ือหาใหท้ ันสมยั ได้อยา่ งสะดวกด้วยตนเอง
3. ระดับรายวิชาออนไลนค์ ุณภาพสูง (High Quality Online Course) หมายถึง เน้ือหาของ e-
Learning ในระดับน้ีจะอยู่ในรปู ของมัลติมเี ดียท่ีมลี กั ษณะมืออาชพี กลา่ วคือ การผลิตต้องใช้ทีมงานในการ
ผลติ ท่ปี ระกอบด้วย ผเู้ ชย่ี วชาญเนอ้ื หา (content experts) ผู้เช่ียวชาญการออกแบบการสอน (instructional
designers) และ ผูเ้ ชยี่ วชาญการผลติ มลั ติมเี ดยี (multimedia experts) ซึง่ หมายรวมถึง โปรแกรมเมอร์
(programmers) นกั ออกแบบกราฟิก (graphic designers) และ/หรอื ผู้เชีย่ วชาญในการผลติ แอนเิ มช่ัน
(animation experts) e-Learning ในลักษณะนีจ้ ะต้องมีการใชเ้ ครือ่ งมอื หรอื โปรแกรมเฉพาะ เพมิ่ เติม
สาหรบั ทั้งในการผลติ และเรยี กดูเนอ้ื หาด้วย ตัวอย่างโปรแกรมในการผลติ เชน่ Macromedia Flash และ
ตวั อยา่ งโปรแกรมเรยี กดูเนื้อหา เช่น โปรแกรม Macromedia Flash Player และ โปรแกรม Real Player
Plusเป็นต้น
23
1.18 ระดบั ของการนา e-Learning ไปใชใ้ นการเรียนการสอน
การนา e-Learning ไปใช้ในการเรยี นการสอน สามารถทาได้ 3 ระดบั ดงั นี้
1. ใช้ e-Learning เปน็ สื่อเสริม (Supplementary) หมายถึงการนา e-Learning ไปใช้ในลกั ษณะ
สื่อเสรมิ กล่าวคือ นอกจากเน้ือหาทปี่ รากฏในลักษณะ e-Learning แล้ว ผ้เู รียนยังสามารถศกึ ษาเน้อื หา
เดยี วกันนใ้ี นลกั ษณะอื่น ๆ เชน่ จากเอกสาร(ชีท) ประกอบการสอน จากวิดที ัศน์ (Videotape) ฯลฯ การใช้ e-
Learning ในลักษณะนเี้ ท่ากับว่าผู้สอนเพยี งต้องการใช้ e-Learning เปน็ อีกหน่ึงทางเลือกสาหรบั ผเู้ รียนในการ
เขา้ ถึงเน้ือหาเพื่อให้ประสบการณ์พิเศษเพ่ิมเตมิ แกผ่ เู้ รยี นเท่านัน้
2. ใช้ e-Learning เป็นสอื่ เติม (Complementary) หมายถึงการนา e-Learning ไปใชใ้ นลกั ษณะ
เพม่ิ เติมจากวิธีการสอนในลกั ษณะอ่ืน ๆ เชน่ นอกจากการบรรยายในห้องเรียนแล้ว ผูส้ อนยังออกแบบเน้ือหา
ให้ผเู้ รียนเข้าไปศกึ ษาเนอื้ หาเพิม่ เตมิ จาก e-Learning โดยเนื้อหาที่ผเู้ รยี นเรยี นจาก e-Learning ผสู้ อนไม่
จาเป็นต้องสอนซา้ อีก แตส่ ามารถใชเ้ วลาในชนั้ เรยี นในการอธิบายในเน้อื หาทเี่ ขา้ ใจไดย้ าก คอ่ นข้างซบั ซ้อน
หรอื เปน็ คาถามที่มีความเข้าใจผดิ บ่อย ๆ นอกจากน้ี ยงั สามารถใชเ้ วลาในการทากิจกรรมทีเ่ น้นใหผ้ ู้เรียนได้เกดิ
การคิดวเิ คราะหแ์ ทนได้ ในความคิดของผเู้ ขียนแลว้ ในมหาวิทยาลยั เชียงใหม่ของเรา เมื่อได้มกี ารลงทุนในการ
นา e-Learning ไปใช้กบั การเรยี นการสอนแล้วอยา่ งน้อยควรตัง้ วัตถุประสงค์ในลักษณะของส่ือเตมิ
(Complementary) มากกวา่ แค่เพยี งเป็นสื่อเสริม(Supplementary) เพ่อื ให้เกิดความคุ้มทุน นอกจากนี้อาจ
ยังไมเ่ หมาะสมทจ่ี ะใชใ้ นลักษณะแทนที่ผ้สู อน (Replacement) ตวั อยา่ งการใช้ในลักษณะสอ่ื เติม เชน่ ผู้สอน
มอบหมายให้ผูเ้ รยี นศึกษาเนื้อหาด้วยตนเองจาก e-Learning ในวตั ถุประสงคใ์ ดวัตถปุ ระสงคห์ น่งึ ก่อนหรือ
หลังการเข้าชั้นเรยี น รวมทง้ั ใหก้ าหนดกจิ กรรมทที่ ดสอบความเข้าใจของผ้เู รียนในเนื้อหาดงั กล่าวใน session
การเรยี นตามปรกติ เป็นต้น ทง้ั น้เี พ่ือให้เหมาะสมกับลกั ษณะของผู้เรียนของเรา ซึ่งยังต้องการคาแนะนาจาก
ครผู สู้ อน รวมทง้ั การที่ผู้เรยี นส่วนใหญ่ยังขาดการปลูกฝงั ให้มีความใฝร่ ้โู ดยธรรมชาติ
3. ใช้ e-Learning เป็นสื่อหลัก (Comprehensive Replacement) หมายถึงการนา e-Learning
ไปใช้ในลักษณะแทนที่การบรรยายในห้องเรยี น ผเู้ รียนจะต้องศึกษาเนื้อหาท้ังหมดออนไลน์ และโต้ตอบกบั
เพื่อนและผู้เรียนอื่น ๆ ในช้ันเรยี นผ่านทางเครื่องมือตดิ ต่อส่ือสารต่าง ๆ ที่ e- Learning จัดเตรยี มไว้ ใน
ปจั จุบันแนวคิดเกี่ยวกับการนา e-Learning ไปใช้ในต่างประเทศจะอยู่ในลักษณะlearning through
technology ซง่ึ หมายถึง การเรียนรูโ้ ดยมุ่งเน้นการเรยี นในลกั ษณะมสี ่วนรว่ มของผูเ้ กี่ยวข้องไม่ว่าจะเปน็
24
ผสู้ อน ผู้เรียน และผเู้ ช่ยี วชาญอ่ืน ๆ (Collaborative Learning) โดยอาศัยเทคโนโลยใี นการนาเสนอเน้ือหา
และกิจกรรมต่าง ๆ ซง่ึ ต้องการการโต้ตอบผ่านเคร่ืองมอื สื่อสารตลอด โดยไมเ่ น้นทางด้านของการเรยี นรู้
รายบคุ คลผา่ นส่ือ (courseware) มากนกั ในขณะท่ีในประเทศไทยการใช้ e-Learning ในลกั ษณะสอ่ื หลัก
เช่นเดียวกบั ตา่ งประเทศนนั้ จะอยู่ในวงจากดั แต่การใช้ส่วนใหญจ่ ะยงั คงเปน็ ในลักษณะของ learning with
technology ซึง่ หมายถึง การใช้ e-Learning เป็นเสมือนเครือ่ งมือทางเลือกเพื่อใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ ความ
กระตือรือร้น สนุกสนาน พร้อมไปกับการเรียนรู้ในชั้นเรยี น
1.19 m-Learning
m-Learningหรอื Mobile-Learning หลักการก็คอื ทาให้ผู้เรยี นสามารถท่จี ะนาเอาบทเรียนมาวางไว้
บนมือถือและเรยี กดูได้ตลอดเวลาทุกที่ พร้อมท้ัง สามารถที่จะรบั ส่งข้อมูลได้เมอ่ื จาเป็นและมีสัญญาณจาก
เครือข่ายโทรคมนาคม นอกจากนนั้ จะต้องสามารถทางานไดท้ ้งั สองทาง เปล่ยี นแปลงบทเรียนสง่ การบา้ น
หรือวิเคราะห์คะแนนจาก แบบฝึกหดั ไดเ้ ชน่ กัน การเรยี นแบบผสมผสาน (Blended learning) การเรียนการ
สอนทอี่ าศัยสอ่ื หลายๆชนิดผสมผสานกนั ตัง้ แต่ด้านเทคโนโลยี กิจกรรมการเรยี นการ สอน และเหตุการณ์ท่ี
เหมาะสมเพ่ือสร้างรปู แบบการเรยี นการสอนท่เี หมาะสมสาหรับ กล่มุ เป้าหมาย Global learning บทเรยี นใน
รปู แบบของการผสมผสานระหวา่ งวิดโี อ เสียง ภาพเคล่ือนไหว ทาให้ นา่ สนใจและง่ายต่อการทาความเข้าใจ
เป็นส่ือการเรยี นร้ทู ี่สอดคล้องกบั ความต้องการและวถิ ีชีวิต ระบบ Online Learning เป็นการเรยี นร้ดู ว้ ย
ตนเองผา่ นเทคโนโลยี Internet ซึ่งจะนาเสนอ บทเรยี น ในรปู แบบของการผสมผสานระหว่างวดิ ีโอ เสยี ง
ภาพเคล่ือนไหว และตัวอักษร ทาให้ บทเรียน มคี วามน่าสนใจ และง่าย ต่อการทาความเข้าใจ เนือ่ งจากผูเ้ รียน
Online Learning สามารถเรียนรู้ทกุ เรือ่ งราวได้ทุกทีท่ ุกเวลา จึงทาให้ Online Learning เปน็ สอ่ื การเรยี นรู้
ออนไลน์ สมบูรณแ์ บบทส่ี อดคลอ้ งกับ ความต้องการและวิถชี วี ิต Mentored learning บทบาทของผสู้ อนใน
E-Learning จะเปล่ยี นไปเปน็ ผูใ้ ห้คาแนะนา (Guide) เปน็ ผู้ฝึก (Coach) เปน็ ผู้อานวยความสะดวก
(Facilitator) และเป็นพเี่ ลยี้ ง (Mentor) ตอ่ กระบวนการเรียนร้ขู องผู้เรยี น ในขณะทบ่ี ทบาทของผู้เรยี นจะ
เปลยี่ นแปลง
25
1.20 ความหมายของ M – Learning
การให้คาจากดั ความของ Mobile Learning สามารถแยกพิจารณาไดเ้ ป็น 2 สว่ น จากราก ศพั ทท์ ี่
นามาประกอบกนั คือ
1. Mobile (Devices) หมายถือ อุปกรณ์คอมพวิ เตอร์ หรือ โทรศพั ท์มือถือ และเคร่ืองเล่น หรือ
แสดงภาพท่ีพกพาตดิ ตวั ไปได้
2. Learning หมายถึงการเรียนรู้ เปน็ การเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจากบุคคลปะทะ กบั
สง่ิ แวดล้อมจึงเกิดประสบการณ์ การเรยี นรู้เกิดข้ึนได้เม่อื มกี ารแสวงหาความรู้ การพัฒนาความรู้ ความสามารถ
ของบุคคลใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพดีขึน้ รวมไปถึงกระบวนการสรา้ งความเขา้ ใจ และ ถ่ายทอดประสบการณ์ทีเ่ ปน็
ประโยชนต์ อ่ บุคคล
เม่ือพจิ ารณาจากความหมายของคาทั้งสองแล้วจะพบวา่ Learning นัน่ คือแกน่ ของM - learning
เพราะเป็นการใช้เทคโนโลยเี ครือขา่ ยไร้สายเพื่อใหเ้ กิดการเรียนรู้ ซึง่ ก็คล้ายกับ E – Learning ทเี่ ปน็ การใช้
เครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ น็ตเพ่ือใหเ้ กดิ การเรียนรู้
นอกจากน้ีมผี ู้ใชค้ านยิ ามของ M - Learning ดังต่อไปนี้
ริว (Ryu, 2007) หวั หน้าศูนย์โมบายคอมพวิ ต้ิง (Centre for Mobile Computing) ที่
มหาวทิ ยาลยั แมสซี่ เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ระบุว่า M- learning คือกิจกรรมการเรียนรู้ ทเ่ี กิดข้นึ
เมื่อผู้เรยี นอยู่ระหว่างการเดนิ ทาง ณ ทใี่ ดก็ตาม และเม่ือใดก็ตาม
เก็ดส์ (Geddes, 2006) กใ็ ห้ความหมายวา่ M- learning คอื การได้มาซ่ึงความรู้และทักษะผา่ นทาง
เทคโนโลยีของเคร่ืองประเภทพกพา ณ ที่ใดกต็ าม และเม่อื ใดกต็ าม ซึ่งสง่ ผลเกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
วตั สนั และไวท์(Watson & White, 2006) ผ้เู ขยี นรายงานเรอื่ ง M- learning ในการศึกษา
(mLearning in Education) เน้นว่า M- learning หมายถึงการรวมกันของ 2 P คือ เปน็ การเรยี นจาก เครื่อง
สว่ นตวั (Personal) และเปน็ การเรียนจากเครือ่ งทพี่ กพาได้ (Portable) การทเี่ รียนแบบสว่ นตวั น้ันผู้เรยี น
สามารถเลอื กเรียนในหวั ข้อที่ต้องการ และการท่ีเรยี นจากเคร่ืองท่ีพกพาได้น้นั ก่อใหเ้ กิด โอกาสของการเรียนรู้
ได้ ซึ่งเครื่องแบบ Personal Digital Assistant (PDA) และโทรศพั ทม์ ือถือนนั้ เป็นเครื่องท่ใี ชส้ าหรับ M-
learning มากทสี่ ดุ
26
1.21 กระบวนการเรยี นรู้แบบ M – Learning
กระบวนการเรยี นรู้แบบ M – Learning มดี ว้ ยกันทงั้ หมด 5 ขั้นตอน ดงั น้ี
ขั้นท่ี 1 ผเู้ รียนมคี วามพร้อม และเครื่องมือ
ขน้ั ที่ 2 เช่อื มต่อเขา้ สู่เครอื ขา่ ย และพบเนื้อหาการเรยี นทต่ี ้องการ
ขนั้ ท่ี 3 หากพบเนื้อหาจะไปยังขัน้ ท่ี 4 แต่ถา้ ไม่พบจะกลบั เข้าสู่ขัน้ ท่ี 2
ขน้ั ท่ี 4 ดาเนินการเรยี นรู้ ซ่งึ ไม่จาเป็นทจ่ี ะตอ้ งอยู่ในเครอื ข่าย
ขั้นท่ี 5 ได้ผลการเรยี นรู้ตามวัตถปุ ระสงค์
1.22 ประโยชน์และข้อจากดั ของ M – Learning
เกด็ ส์ (Geddes, 2006) ได้ทาการศกึ ษาประโยชน์ของ M - Learning และสรุปว่าประโยชนท์ ี่
ชดั เจนอย่างยิง่ น้นั สามารถจัดได้เป็น 4 หมวด คือ
1. การเข้าถึงขอ้ มลู (Access) ไดท้ ุกท่ี ทุกเวลา
2. สร้างสภาพแวดลอ้ มเพ่ือการเรยี นรู้ (Context) เพราะ M - Learning ชว่ ยให้การเรยี นรจู้ าก
สถานที่ใดกต็ ามทม่ี คี วามต้องการเรยี นรู้ ยกตัวอยา่ งเชน่ การสอื่ สารกับแหลง่ ข้อมลู และผูส้ อนใน การเรียนจาก
สิ่งตา่ งๆ เช่น ในพิพธิ ภัณฑ์ทผ่ี ู้เรยี นแต่ละคนมเี คร่ืองมือสือ่ สารติดตอ่ กับวิทยากรหรือ ผสู้ อนได้ตลอดเวลา
3. การรว่ มมือ (Collaboration) ระหวา่ งผู้เรียนกบั ผ้สู อน และเพื่อนร่วมชนั้ เรียนได้ทุกที่ ทกุ
เวลา
4. ทาใหผ้ เู้ รยี นสนใจมากขน้ึ (Appeal) โดยเฉพาะในกลมุ่ วัยรุ่น เชน่ นักศึกษาท่ไี ม่คอ่ ย สนใจ
เรยี นในหอ้ งเรยี น แต่อยากจะเรียนด้วยตนเองมากขนึ้ ด้วย M - Learning
ข้อดีของ M - Learning
1. มคี วามเป็นส่วนตวั และอสิ ระทจ่ี ะเลือกเรียนรู้ และรบั รู้
2. ไมม่ ขี ้อจากัดด้านเวลา สถานที่ เพ่ิมความเปน็ ไปได้ในการเรียนรู้
3. มีแรงจูงใจตอ่ การเรียนรมู้ ากขึ้น
4. สง่ เสริมใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ได้จรงิ
27
5. ด้วยเทคโนโลยีของ M - Learning ทาใหเ้ ปล่ยี นสภาพการเรยี นจากท่ยี ดึ ผสู้ อนเปน็ ศูนยก์ ลาง
ไปสกู่ ารมปี ฏิสมั พันธ์โดยตรงกบั ผูเ้ รียน จึงเป็นการส่งเสรมิ ให้มีการสือ่ สารกับเพ่อื นและ ผู้สอนมากข้นึ
6. สามารถรับขอ้ มลู ที่ไมม่ ีการระบุช่ือได้ ซึง่ ทาให้ผู้เรียนทไี่ ม่มัน่ ใจกล้าแสดงออกมากขึ้น
7. เคร่ืองประเภทพกพาต่างๆ สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นมีความกระตือรอื ร้นทางการเรียนและมี ความ
รับผิดชอบต่อการเรียนดว้ ยตนเอง
ขอ้ ด้อยของ M - Learning
1. ขนาดของความจุ Memory และขนาดหนา้ จอท่จี ากดั อาจจะเปน็ อปุ สรรคสาหรบั การอา่ น
ข้อมลู แป้นกดตัวอักษรไมส่ ะดวกรวดเร็วเทา่ กบั คยี บ์ อรด์ คอมพิวเตอร์แบบต้งั โต๊ะ อีกทง้ั เครือ่ งยัง ขาด
มาตรฐาน ท่ีต้องคานึงถึงเมื่อออกแบบส่ือ เชน่ ขนาดหน้าจอ แบบของหนา้ จอ ท่ีบางรุน่ เปน็ แนวตั้ง บางรนุ่
เปน็ แนวนอน
2. การเช่ือมต่อกับเครอื ขา่ ย ยังมีราคาท่ีค่อนขา้ งแพง และคุณภาพอาจจะยังไม่น่าพอใจนกั
3. ซอฟตแ์ วร์ท่ีมอี ยู่ในท้องตลาดทว่ั ไป ไม่สามารถใช้ได้กับเครือ่ งโทรศัพท์แบบพกพาได้
4. ราคาเคร่ืองใหม่ร่นุ ทด่ี ี ยังแพงอยู่ อกี ท้ังอาจจะถูกขโมยไดง้ า่ ย
5. ความแขง็ แรงของเคร่ืองยังเทียบไม่ได้กับคอมพิวเตอรต์ ้งั โต๊ะ
6. อพั เกรดยาก และเคร่ืองบางรนุ่ ก็มศี ักยภาพจากัด
7. การพฒั นาด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง สง่ ผลให้ขาดมาตรฐานของการผลิตส่อื เพ่ือ M -
Learning
28
บทที่ 2
ความร้เู บื้องต้นเกยี่ วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ
1.1 ความรเู้ บ้อื งตน้ เกี่ยวกับสารสนเทศ
ในภาวะปจั จบุ นั ทท่ี ัว่ ทุกมมุ โลกมกี ารเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ประเทศตา่ ง ๆ ไมว่ ่าจะเปน็ ประเทศ
ด้อยพฒั นาทางเศรษฐกจิ และอตุ สาหกรรมหรือประเทศทพี่ ัฒนาแล้วก็ตาม ตา่ งอย่ใู นภาวะทีต่ ้องมีการปรบั ตัว
กันอย่างมาก ประเทศไทยก็เช่นเดยี วกันฉะนั้นจงึ ถอื ได้วา่ เราทกุ คนน้ันตา่ งดาเนินชวี ิตอยูใ่ นช่วงเวลาของการ
เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะรูปแบบทางสังคมทีเ่ กิดขึน้ ตา่ งมีความต้องการท่จี ะรับทราบข้อมลู ข่าวสาร และพึ่งพา
อาศยั ข้อมูลสารสนเทศในการดารงชีวิตประจาวันมากขึน้ ทุกวัน ซง่ึ กเ็ ปน็ ผลสืบเน่ืองมาจากแรงผลกั ดันของ
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หรือทเี่ รยี กกันวา่ IT
นอกจากนี้ ถอื ได้วา่ ระบบคอมพวิ เตอรแ์ ละระบบส่ือสารโทรคมนาคมทีท่ ันสมัยจะก่อใหเ้ กิดการ
ปฏิวตั ิทางเทคโนโลยีแลว้ ยังสง่ ผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกจิ การเมือง วฒั นธรรม และกิจกรรม
ระหวา่ งประเทศ เปรยี บเสมือนในชว่ งทีม่ กี ารเปลยี่ นแปลงใชเ้ คร่อื งจกั ร ไอน้าในงานอุตสาหกรรม และถือได้ว่า
เปน็ ยคุ ทส่ี ามที่พัฒนาต่อเนื่องมาจาก ยคุ เกษตรกรรม และ ยคุ อตุ สาหกรรม
ปัจจบุ นั เทคโนโลยีสารสนเทศได้สรา้ งการเปลีย่ นแปลงในทุกระดับ ตัง้ แตร่ ะบบสงั คม องค์การธุรกิจ
และปัจเจกชน โดยเทคโนโลยสี ารสนเทศกระตุ้นให้เกิดการปรับรปู แบบ ความสัมพนั ธภ์ ายในสังคม การแขง่ ขัน
และความร่วมมือทางธรุ กิจ ตลอดจนกิจกรรมการดารงชีวติ ของบุคคลให้แตกต่างจากอดีต ดงั นน้ั บุคคลทุกคน
ในฐานะสมาชิกของสงั คมสารสนเทศ (Information Society) จงึ จาเปน็ ตอ้ งมีความรู้ ทักษะ และความเข้าใจ
ถึงศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือใหส้ ามารถดารงชวี ิตและประกอบธุรกิจอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพใน
อนาคต
เทคโนโลยีสารสนเทศมีผลเกีย่ วขอ้ งกับทกุ เรื่องในชวี ติ ประจาวนั บทบาทเหลา่ น้มี แี นวโน้มที่สาคัญ
มากย่ิงข้ึน ด้วยเหตุนีเ้ ยาวชนคนรุ่นใหม่จงึ ควรเรียนรู้ และเขา้ ใจเกยี่ วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ เพื่อจะไดเ้ ป็น
กาลังสาคัญในการพฒั นาเทคโนโลยสี ารสนเทศใหก้ ้าวหน้าและเกิดประโยชนต์ อ่ ประเทศต่อไป
29
1.2 ววิ ัฒนาการของสารสนเทศ
อดีตมนุษย์ยังไมม่ ภี าษาท่ใี ช้สาหรับการสอ่ื สาร เม่ือเกิดมเี หตุการณ์ (Event) อะไร เกดิ ข้ึน กไ็ ม่
สามารถถา่ ยทอด หรือเผยแพรแ่ กบ่ ุคคลอนื่ หรือสังคมอื่นได้ อยา่ งถูกต้องตรงกนั ระหวา่ งผ้สู ง่ สารกับผรู้ บั สาร
จงึ มกี ารคิดใชส้ ญั ลกั ษณ์ (Symbol) หรือเครื่องหมาย ทาหนา้ ทสี่ ่ือ ความหมายแทนเหตุการณด์ งั กล่าว จึงมี
การใชก้ ฎ และสตู ร (Rule & Formulation) มาใช้เพื่ออธบิ ายเหตกุ ารณด์ ังกล่าวว่าเกิดมาจากสาเหตใุ ด หรือ
เกดิ มาจากสารใดผสมกบั สารใด เปน็ ต้น จากนัน้ เมื่อ มนษุ ย์มภี าษา สาหรับการสือ่ สารแล้ว กเ็ กิดมีข้อมูล
(Data) เกย่ี วกบั เหตุการณด์ ังกล่าว เกิดข้นึ มามากมาย ท้งั จากภายในสงั คมเดยี วกนั หรือจากสงั คมอนื่ ๆ เพื่อให้
ได้คาตอบที่ถกู ต้อง ทาใหต้ ้องมกี ารวิเคราะห์ หรอื ประมวลผล ขอ้ มลู ให้มสี ถานภาพเป็นสารสนเทศ
(Information) ทจี่ ะเปน็ ประโยชน์ต่อผ้ใู ช้ หรือผบู้ รโิ ภค เม่ือผู้บริโภคมกี ารสะสม เพิม่ พนู สารสนเทศมากๆเข้า
และมกี ารเรยี นรู้ (Learning) จนเกดิ ความเข้าใจ (Understanding) กจ็ ะเปน็ การพฒั นา สารสนเทศทมี่ ีอยใู่ น
ตนเองเป็นองค์ความรู้ (Knowledge) เนอ่ื งจากมนุษยเ์ ปน็ ผู้ทมี่ ีสติ (สัมปชัญญะ) (Intellect) รู้จักใช้ เหตแุ ละ
ผล (Reasonable) กบั ความรู้ทตี่ นเองมีอยู่กจ็ ะมีการพฒั นาความรู้เป็นปัญญา (Wisdom) ในท่ีสุด ดังแสดงได้
ตาม ภาพขา้ งล่างนี้
30
1.3 สาเหตทุ ่ีทาให้เกดิ สารสนเทศ
1. เม่ือมีวทิ ยาการความรู้ หรือสง่ิ ประดิษฐ์ หรอื ผลติ ภัณฑ์ใหมๆ่ พรอ้ มกนั น้นั ก็จะเกิด สารสนเทศ
มาพร้อมๆ กนั ดว้ ย จากนั้นกจ็ ะมกี ารเผยแพร่ หรือกระจายสารสนเทศ เกีย่ วกบั วิทยาการความรู้ หรือ
ส่งิ ประดิษฐ์ ผลิตภณั ฑ์ ชนดิ น้ันๆไปยงั แหล่งตา่ งๆ ท่เี กี่ยวข้อง
2. เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ เป็นเครอ่ื งมอื สาคัญในการผลติ สารสนเทศ เนอ่ื งจากมี ความสะดวกใน
การป้อน ข้อมูล การปรับปรุงแกไ้ ข การทาซ้า การเพ่ิมเติม ฯลฯ ทาให้มคี วาม สะดวกและงา่ ยต่อการผลิต
สารสนเทศ
3. เทคโนโลยสี อ่ื สารยคุ ใหม่มีความเร็วในการสอ่ื สารสงู ข้นึ สามารถเผยแพรส่ ารสนเทศ จากแหลง่
หนง่ึ ไปยงั สถานทต่ี ่างๆ ทวั่ โลกในเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง อีกทัง้ สามารถส่งผา่ นข้อมลู ได้อย่าง
หลากหลาย รปู แบบ พร้อมๆ กนั ในเวลาเดียวกนั
4. เทคโนโลยกี ารพิมพท์ ่ีมีความสามารถในการผลติ สารสนเทศสูงข้นึ สามารถผลิตสารสนเทศได้ครัง้
ละจานวน มากๆ ในเวลาสน้ั ๆ มีสสี ันเหมือนจริง ทาให้มีปริมาณสารสนเทศใหมๆ่ เกิดขน้ึ อย่ตู ลอดเวลา
5. ผู้ใช้มีความจาเปน็ ตอ้ งใช้สารสนเทศเพื่อการศึกษา เพ่ือการคน้ ควา้ วิจัย เพื่อการ พัฒนาคณุ ภาพ
ชวี ติ เพื่อการ ตดั สินใจ เพอ่ื การแก้ไขปญั หา เพ่ือการปฏบิ ัติงาน หรือปรบั ปรงุ ประสิทธิภาพการปฏบิ ัติงาน,
การบริหารงาน ฯลฯ
6. ผู้ใชม้ คี วามต้องการใช้สารสนเทศ เพื่อตอบสนองความสนใจ ตอ้ งการทราบแหล่งท่ีอยู่ของ
สารสนเทศ ตอ้ งการเขา้ ถึงสารสนเทศ ต้องการสารสนเทศท่มี าจากต่างประเทศ ต้องการสารสนเทศอย่าง
หลากหลาย หรือต้องการ สารสนเทศอย่างรวดเรว็ เปน็ ต้น
1.4 ความหมายของสารสนเทศ ( Information )
ซาเรซวิค และวูด (Saracevic and Wood 1981 : 10) ได้ให้คานิยามสารสนเทศไว้ 4 นยิ ามดงั นี้
1. Information is a selection from a set of available message, a selection which
reduces uncertainty. สารสนเทศ คือ การเลอื กสรรจากชดุ ของข่าวสารท่ีมอี ยู่ เป็นการเลอื กทีช่ ่วยลดความ
ไม่แน่นอน หรือกล่าวได้ว่า สารสนเทศ คือ ขอ้ มูลทีไ่ ด้มเี ลอื กสรรมาแลว้ (เป็นข้อมูลทีม่ ีความแนน่ อนแลว้ ) จาก
กลุม่ ของข้อมูลที่มอี ยู่
2. Information as the meaning that a human assigns to data by means of
conventions used in their presentation. สารสนเทศ คอื ความหมายทมี่ นุษย์ (สั่ง) ให้แก่ ข้อมลู ดว้ ย
วิธกี ารนาเสนอที่เปน็ ระเบยี บแบบแผน
3. Information is the structure of any text-which is capable of changing the
image-structure of a recipient. (Text is a collection of signs purposefully structured by a
sender with the intention of changing the image-structure of recipient) สารสนเทศ คือ โครงสรา้ ง
31
ของข้อความใดๆ ท่ีสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ทาง จินตภาพ (ภาพลกั ษณ์) ของผู้รับ (ขอ้ ความ หมายถึง
ทรี่ วมของสญั ลักษณ์ต่างๆ มโี ครงสรา้ งท่ีมี จดุ มุ่งหมาย โดยผสู้ ง่ มเี ปา้ หมายทีจ่ ะ เปลยี่ นแปลงโครงสรา้ งทาง
จินตภาพ (+ความร้สู กึ นึกคิด) ของผ้รู บั (สาร)
4. Information is the data of value in decision making. สารสนเทศ คอื ข้อมูลที่มีค่าใน
การตดั สินใจ
นอกจากน้นั ยังมีความหมายท่ีน่าสนใจดงั นี้
สารสนเทศ คือ ข้อมลู ท่ีมกี ารปรบั เปลย่ี น (Convert) ดว้ ยการจัดรูปแบบ (Formatting) การ
กลั่นกรอง (Filtering) และการสรุป (Summarizing) ใหเ้ ป็นผลลพั ธท์ ่มี ี รูปแบบ (เช่น ข้อความ เสียง รูปภาพ
หรือวีดทิ ศั น์) และเนื้อหาทตี่ รงกับ ความต้องการ และเหมาะสมตอ่ การนาไปใช้ (Alter 1996 : 29, 65, 714)
• สารสนเทศ คอื ตัวแทนของข้อมลู ที่ผา่ นการประมวลผล (Process) การจดั การ (Organized)
และการผสมผสาน (Integrated) ใหเ้ กิดความเขา้ ใจอย่างถ่องแท้ (Post 1997 : 7)
• สารสนเทศ คอื ข้อมลู ที่มคี วามหมาย (Meaningful) หรอื เปน็ ประโยชน์ (Useful) สาหรับบาง
คนทจี่ ะใชช้ ว่ ยในการ ปฏบิ ตั งิ านและการจดั การ องคก์ าร (Nickerson 1998 : 11)
• สารสนเทศ คอื ข้อมลู ท่ีมคี วามหมาย (Schultheis and Sumner 1998 : 39)
• สารสนเทศ คอื ข้อมูลท่ีมีความหมายเฉพาะภายใตบ้ รบิ ท (Context) ทเี่ กีย่ วข้อง (Haag,
Cummings and Dawkins 2000 : 20)
• สารสนเทศ คือ ข้อมลู ทีผ่ า่ นการปรบั เปล่ยี น (Converted) มาเป็นสิ่งท่มี ีความ หมาย
(meaningful) และเปน็ ประโยชน์ (Useful) กบั เฉพาะบคุ คล (O’Brien 2001 : 15)
• สารสนเทศ คือ ข้อมลู ท่ผี ่านการประมวลผล หรอื ข้อมลู ท่ีมคี วามหมาย (McLeod, Jr. and
Schell 2001 : 12)
• สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ได้รับการจดั ระบบเพื่อใหม้ ีความหมายและมีคุณคา่ สาหรับ ผใู้ ช้
(Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 7)
• สารสนเทศ คอื ทีร่ วม (ชุด) ขอ้ เทจ็ จรงิ ทไี่ ด้มีการจดั การแล้ว ในกรณีเชน่ ข้อเท็จจริงเหลา่ นน้ั ได้
มกี ารเพมิ่ คุณคา่ ภายใต้คณุ ค่าของข้อเทจ็ จริงน้นั เอง (Stair and Reynolds 2001 : 4)
32
• สารสนเทศ คอื ข้อมลู ที่ไดร้ ับการประมวลผล หรือปรงุ แต่ง เพือ่ ให้มีความหมาย และเป็น
ประโยชน์ตอ่ ผูใ้ ช้ (เลาวด์ อน และเลาว์ดอน 2545 : 6)
• สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีได้รับการประมวลผลให้อยู่ในรูปแบบทม่ี คี วามหมายต่อผู้รบั และมี
คณุ ค่าอนั แท้จริง หรือ คาดการณว์ ่าจะมคี ่าสาหรับการดาเนินงาน หรอื การตดั สนิ ใจใน ปัจจุบนั หรืออนาคต
(ครรชิต มาลัยวงศ์ 2535 : 12)
• สารสนเทศ คือ เร่อื งราว ความรู้ต่างๆ ที่ไดจ้ ากการนาข้อมลู มาประมวลผลด้วยวธิ กี ารอย่างใด
อย่างหน่ึง และมี การผสมผสานความรู้ หรอื หลักวิชาทีเ่ กย่ี วขอ้ ง หรอื ความคิดเหน็ ลงไปดว้ ย (กัลยา อุดมวิทิต
2537 :3)
• สารสนเทศ คอื ข้อความรู้ท่ีประมวลไดจ้ ากข้อมูลตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวข้องในเรื่องนั้นจนได้ ข้อสรปุ
เป็นข้อความรูท้ ี่ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเนน้ ทีก่ ารเกิดประโยชน์ คอื ความรู้ท่ีเกิดข้ึนเพ่ิมขนึ้ กบั ผู้ใช้
(สชุ าดา กีระนันท์ 2542 : 5)
• สารสนเทศ คือ ข่าวสาร หรอื การชแี้ จงข่าวสาร (ปทปี เมธาคณุ วุฒิ 2544 : 1)
• สารสนเทศ คอื ข้อมลู ท่ผี ่านการประมวลผล ผา่ นการวิเคราะห์ หรือสรปุ ให้อยูใ่ นรปู ที่มี
ความหมายทีส่ ามารถนาไป ใช้ประโยชนไ์ ด้ตามวัตถุประสงค์ (จิตตมิ า เทียมบญุ ประเสรฐิ 2544 : 4)
• สารสนเทศ คอื ผลลัพธ์ทเ่ี กิดจากการประมวลผลขอ้ มลู ดิบท่ีถกู จดั เก็บไว้อย่างเป็นระบบ ท่ี
สามารถนาไป ประกอบการทางาน หรอื สนบั สนุนการตัดสินใจของผูบ้ รหิ าร ทาใหผ้ ู้บรหิ ารสามารถแก้ไขปญั หา
หรือทางเลือกในการ ดาเนนิ งานอยา่ งมีประสิทธิภาพ (ณัฏฐพันธ์ เขจรนนั ทน์ และไพบลู ย์ เกียรตโิ กมล 2545
: 40)
• สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีไดผ้ ่านการประมวลผล หรอื จดั ระบบแลว้ เพอ่ื ให้มีความหมายและ
คณุ คา่ สาหรับผ้ใู ช้ (ทิพวรรณ หลอ่ สวุ รรณรตั น์ 2545 : 9)
• สารสนเทศ คอื ผลลัพธท์ ไี่ ด้จากการประมวลผลของขอ้ มูลดิบ (Raw Data) ประกอบไปด้วย
ข้อมลู ตา่ งๆ ทีเ่ ป็น ตวั อักษร ตัวเลข เสียง และภาพ ทน่ี าไปใชส้ นบั สนุนการ บรหิ ารและการตัดสนิ ใจของ
ผ้บู ริหาร (นภิ าภรณ์ คาเจรญิ 2545 : 14)
สรุป สารสนเทศ คอื ข้อมลู ข่าวสาร ขา่ ว ข้อเท็จจรงิ ความคดิ เห็น หรอื ประสบการณ์ อยู่ในรปู แบบ
ที่แตกต่างกันออกไป เช่น ตวั อกั ษร ตวั เลข รปู ภาพ เสียง สัญลักษณ์ หรือกลิน่ ท่ถี ูกนามาผา่ นกระบวนการ
ประมวลผล ดว้ ยวิธีการท่ี เรยี ก วา่ กรรมวธิ จี ดั การข้อมูล (Data Manipulation) และผลทีไ่ ดอ้ าจแสดงผล
ออกมาในรปู แบบของสื่อประเภทต่าง เช่น หนังสือ วารสาร หนังสอื พิมพ์ แผนที่ แผ่นใส ฯลฯ และเป็นผลลพั ธ์
ทผ่ี ใู้ ช้สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ตรงและทันกบั ความต้องการ
หรอื สารสนเทศ คือ ผลลพั ธ์ท่มี ีความถกู ต้อง ตรงตามต้องการ และทันต่อความตอ้ งการของผู้ใช้
หรอื ผทู้ ่ีเกยี่ วข้อง เป็นผลลัพธ์ท่ีไดม้ าจากการนาข้อมลู มาประมวลผลด้วยกรรมวิธจี ัดการข้อมลู
33
หรือ สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ท่ไี ดม้ าจากการนาข้อมูลมาประมวลผลดว้ ยกรรมวธิ จี ัดการข้อมูล ซ่งึ
จะต้องเป็น ผลลัพธ์ทีม่ ี คณุ สมบัติถูกต้อง ตรงตามต้องการ และทนั ต่อความต้องการของผใู้ ช้ หรือผทู้ เี่ กี่ยวข้อง
1.5 หลกั เกณฑก์ ารประเมนิ ผลลพั ธ์ หรือผลผลิต (Criterias to Evaluated Outputs)
ขอ้ มูลของบางคนอาจเปน็ สารสนเทศสาหรับอีกคนหนึ่ง (Nickerson 1998 : 11) การทจี่ ะบง่ บอกวา่
ผลผลิต หรือ ผลลัพธม์ ีคุณค่า หรือสถานภาพเปน็ สารสนเทศ หรอื ไมน่ ั้น เราใช้หลกั เกณฑต์ ่อไปน้ีประกอบการ
พิจารณา
1. ความถูกต้อง (Accuracy) ของผลผลิต หรือผลลัพธ์
2. ตรงกับความต้องการ (Relevance/pertinent)
3. ทันกบั ความต้องการ (Timeliness)
การพจิ ารณาความถูกต้องดูทีเ่ นอ้ื หา (Content) ของผลผลิต โดยพจิ ารณาจากขนั้ ตอนของการ
ประมวลผล (Process; verifying, calculating) ขอ้ มูล สาหรบั การตรงกับความต้องการ หรือทนั กบั ความ
ต้องการ มีผู้ใชผ้ ลผลติ เปน็ เกณฑ์ในการพจิ ารณา หากผูใ้ ช้เห็นวา่ ผลผลิตตรงกบั ความต้องการ หรอื ผลผลิต
สามารถตอบปญั หา หรือแกไ้ ขปัญหา ของผู้ใช้ได้ และสามารถเรียกมาใช้ไดใ้ นเวลาที่เขาต้องการ (ทันต่อความ
ต้องการใช้) เราจึงจะสรุปไดว้ ่า ผลผลติ หรือ ผลลัพธน์ นั้ มสี ถานภาพ เป็นสารสนเทศ
คณุ ภาพ หรือคณุ คา่ ของสารสนเทศ ขน้ึ อยกู่ บั ขอ้ มูล (Data) ทน่ี าเข้ามา (Input) หากข้อมูลทน่ี าเขา้
มาประมวลผล เปน็ ข้อมลู ทีด่ ี ผลลัพธ์ทไี่ ด้กจ็ ะมีคุณภาพดี หรือมคี ุณค่า ผู้ใช้ หรือผูบ้ ริโภคสามารถนามาใช้
ประโยชน์ได้ แตห่ ากข้อมลู ท่ี นาเขา้ มาประมวลผลไม่ดี ผลผลิต หรอื ผลลัพธก์ จ็ ะมีคุณภาพไม่ดี หรอื ไมม่ ีคุณคา่
สมด่ังกับวลที ่ีว่า GIGO (Garbage In Garbage Out) หมายความว่า ถ้านาขยะเข้ามา ผลผลิต (สิ่งท่ีได้ออกไป)
ก็คอื ขยะนั่นเอง
1.6 คุณลักษณะของสารสนเทศทด่ี ี (Characteristics of Information)
สารสนเทศที่ดคี วรมีคณุ ลกั ษณะดงั ต่อไปน้ี (Alter 1996 : 170-175, Stair and Reynolds 2001 :
6-7, จติ ตมิ า เทียมบญุ ประเสริฐ 2544 : 12-15, ณฏั ฐพนั ธ์ เขจรนันทน์ และไพบลู ย์ เกียรติโกมล 2545 : 41-
42 และทิพวรรณ หลอ่ สวุ รรณรัตน์ 2545 : 12-15)
1. สารสนเทศที่ดีต้องมคี วามความถูกตอ้ ง (Accurate) และไม่มีความผดิ พลาด
2. ผู้ทมี่ ีสทิ ธิใช้สารสนเทศสามารถเข้าถึง (Accessible) สารสนเทศได้ง่าย ในรูปแบบ และเวลาท่ี
เหมาะสม ตาม ความต้องการของผูใ้ ช้
3. สารสนเทศต้องมีความชัดเจน (Clarity) ไม่คลุมเครือ
4. สารสนเทศท่ีดีตอ้ งมีความสมบูรณ์ (Complete) บรรจุไปดว้ ยขอ้ เทจ็ จริงทม่ี สี าคัญครบถ้วน
5. สารสนเทศตอ้ งมีความกะทัดรดั (Conciseness) หรือรดั กมุ เหมาะสมกับผูใ้ ช้
34
6. กระบวนการผลิตสารสนเทศต้องมคี วามประหยดั (Economical) ผ้ทู ีม่ ีหนา้ ท่ตี ัดสินใจมักจะ
ตอ้ งสรา้ งดุลยภาพ ระหว่างคุณค่าของสารสนเทศกับราคาทีใ่ ช้ในการผลิต
7. ต้องมีความยึดหยนุ่ (Flexible) สามารถในไปใช้ในหลาย ๆ เป้าหมาย หรือวตั ถปุ ระสงค์
8. สารสนเทศที่ดีต้องมีรปู แบบการนาเสนอ (Presentation) ทเี่ หมาะสมกบั ผู้ใช้ หรอื ผู้ท่ี
เกยี่ วขอ้ ง
9. สารสนเทศท่ีดตี ้องตรงกับความตอ้ งการ (Relevant/Precision) ของผทู้ ่ีทาการตัดสนิ ใจ
10. สารสนเทศที่ดีต้องมีความนา่ เชื่อถือ (Reliable) เช่น เป็นสารสนเทศทไี่ ดม้ าจากกรรมวธิ ี
รวบรวมที่น่าเชอื่ ถือ หรือแหล่ง (Source) ทีน่ ่าเชอ่ื ถือ เป็นตน้
11. สารสนเทศที่ดคี วรมีความปลอดภยั (Secure) ในการเข้าถงึ ของผู้ไม่มสี ิทธิใช้สารสนเทศ
12. สารสนเทศท่ดี คี วรง่าย (Simple) ไม่สลับซบั ซ้อน มรี ายละเอยี ดท่เี หมาะสม (ไมม่ ากเกนิ
ความจาเป็น)
13. สารสนเทศทดี่ ตี ้องมีความแตกต่าง หรือประหลาด (Surprise) จากข้อมลู ชนิดอ่นื ๆ
14. สารสนเทศทด่ี ตี ้องทนั เวลา (Just in Time : JIT) หรือทนั ต่อความต้องการ (Timely) ของ
ผ้ใู ช้ หรือสามารถส่ง ถงึ ผรู้ บั ไดใ้ นเวลาท่ีผู้ใชต้ อ้ งการ
15. สารสนเทศที่ดีต้องเปน็ ปัจจบุ ัน (Up to Date) หรอื มคี วามทันสมัย ใหม่อยเู่ สมอ มเิ ช่นนั้นจะ
ไม่ทนั ต่อการ เปล่ียนแปลงทีด่ าเนินไปอย่างรวดเรว็
16. สารสนเทศทด่ี ีต้องสามารถพสิ จู น์ได้ (Verifiable) หรือตรวจสอบจากหลาย ๆ แหลง่ ได้วา่ มี
ความถกู ตอ้ ง
นอกจากนัน้ สารสนเทศมีคุณสมบัติท่แี ตกต่างไปจากสินค้าประเภทอ่ืน ๆ 4 ประการคอื ใช้ไมห่ มด
ไมส่ ามารถ ถา่ ยโอนได้ แบ่งแยกไม่ได้ และสะสมเพิ่มพูนได้ (ประภาวดี สบื สนธ์ 2543 : 12-13) หรืออาจสรปุ
ไดว้ ่าสารสนเทศ ทีด่ ีต้องมีคณุ ลักษณะครบทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านเวลา (ทนั เวลา และทันสมัย) ดา้ นเน้อื หา
(ถูกต้อง สมบูรณ์ ยึดหยุ่น น่าเช่อื ถอื ตรงกบั ความต้องการ และตรวจสอบได)้ ด้านรูปแบบ (ชดั เจน กะทดั รดั
ง่าย รปู แบบการนาเสนอ ประหยดั แปลก) และด้าน กระบวนการ (เขา้ ถึงได้ และปลอดภัย)
1.7 คุณภาพของสารสนเทศ (Quality of Information/Information Quality)
คณุ ภาพของสารสนเทศ จะมีคุณภาพสูงมาก หรือน้อย พจิ ารณาที่ 3 ประเดน็ ดงั นี้ (Bentley 1998
: 58-59)
1. ตรงกบั ความต้องการ (Relevant) หรอื ไม่ โดยดูวา่ สารสนเทศน้ันผู้ใชส้ ามารถนาไปใช้เพ่ิม
ประสิทธิภาพได้ มากกวา่ ไม่ใช้สารสนเทศ หรือไม่ คุณภาพของสารสนเทศ อาจจะดทู ่ีมนั มผี ลกระทบต่อ
กจิ กรรมของผู้ใช้ หรอื ไม่ อยา่ งไร
35
2. น่าเชอ่ื ถอื (Reliable) เพียงใด ความน่าเชื่อถือมหี ัวขอ้ ที่จะใชพ้ จิ ารณา เชน่ ความทนั เวลา
(Timely) กบั ผู้ใช้ เมื่อ ผใู้ ช้จาเป็นต้องใช้มีสารสนเทศนน้ั หรอื ไม่ สารสนเทศทน่ี ามาใช้ต้องมีความถูกต้อง
(Accurate) สามารถพิสจู น์ (Verifiable) ได้ว่าเปน็ ความจรงิ ดว้ ยการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีเก่ียวขอ้ ง เป็นตน้
3. สารสนเทศนั้นเขม้ แขง็ (Robust) เพยี งใด พิจารณาจากการท่สี ารสนเทศสามารถเคล่ือน
ตวั เองไปพร้อมกบั กาลเวลาท่ีเปลยี่ นไป (Rigorous of Time) หรอื พิจารณาจากความอ่อนแอของมนุษย์
(Human Frailty) เพราะมนุษย์ อาจทาความผิดพลาดในการปอ้ นข้อมูล หรือการประมวลผลขอ้ มูล
เพราะฉะน้ันจะต้องมีการควบคุม หรอื ตรวจสอบ ไมใ่ ห้มีความผิดพลาดเกิดขนึ้ หรอื พจิ ารณาจากความ
ผดิ พลาด หรือลม้ เหลวของระบบ (System Failure) ท่ีจะส่งผล เสียหายต่อสารสนเทศได้ ดังน้นั จึงตอ้ งมีการ
ปอ้ งกันความผิดพลาด (ท่ีเนื้อหา และไม่ทันเวลา) ที่อาจเกิดขน้ึ ได้ หรอื พิจารณาจากการเปลีย่ นแปลง การ
จัดการ (ข้อมลู ) (Organizational Changes) ทีอ่ าจจะส่งผลกระทบ (สร้างความเสียหาย) ตอ่ สารสนเทศ เช่น
โครงสรา้ ง แฟ้ม ข้อมูล วิธีการเข้าถึงข้อมูล การรายงาน จักตอ้ งมีการป้องกนั หากมีการ เปลีย่ นแปลงในเรื่อง
ดงั กลา่ ว
นอกจากนน้ั ซวาสส์ (Zwass 1998 : 42) กล่าวถึง คุณภาพของสารสนเทศจะมมี ากนอ้ ยเพียงใด
ข้ึนอยูก่ ับ การ ทันเวลา ความสมบรู ณ์ ความกะทัดรัด ตรงกับความตอ้ งการ ความถูกต้อง ความเทย่ี งตรง
(Precision) และรปู แบบท่เี หมาะสม ในเรื่องเดียวกัน โอไบรอ์ ัน (O’Brien 2001 : 16-17) กล่าววา่ คุณภาพ
ของสารสนเทศ พจิ ารณาใน 3 มิติ ดงั นี้
1. มิตดิ ้านเวลา (Time Dimension)
1. สารสนเทศควรจะมีการเตรียมไว้ใหท้ นั เวลา (Timeliness) กบั ความตอ้ งการของผใู้ ช้
2. สารสนเทศควรจะต้องมคี วามทนั สมัย หรือเป็นปจั จบุ ัน (Currency)
3. สารสนเทศควรจะต้องมคี วามถ่ี (Frequency) หรอื บ่อย เทา่ ทผี่ ู้ใชต้ ้องการ
4. สารสนเทศควรมีเรือ่ งเก่ียวกบั ชว่ งเวลา (Time Period) ต้งั แตอ่ ดีต ปัจจุบัน และอนาคต
2. มติ ิดา้ นเน้ือหา (Content Dimension)
1. ความถกู ต้อง ปราศจากข้อผดิ พลาด
2. ตรงกบั ความต้องการใชส้ ารสนเทศ
3. สมบรู ณ์ สงิ่ ทจี่ าเป็นจะต้องมใี นสารสนเทศ
4. กะทัดรัด เฉพาะที่จาเปน็ เท่านั้น
5. ครอบคลุม (Scope) ท้ังดา้ นกว้างและด้านแคบ (ด้านลกึ ) หรือมจี ดุ เน้นท้ังภายในและ
ภายนอก
6. มีความสามารถ/ศักยภาพ (Performance) ทแ่ี สดงให้เห็นไดจ้ ากการวัดค่าได้ การบ่งบอก
ถึงการพฒั นา หรอื สามารถเพิ่มพูนทรัพยากร
36
3. มิตดิ ้านรูปแบบ (Form Dimension)
1. ชัดเจน ง่ายต่อการทาความเข้าใจ
2. มที งั้ แบบรายละเอยี ด (Detail) และแบบสรปุ ย่อ (Summary)
3. มีการเรยี บเรยี ง ตามลาดับ (Order)
4. การนาเสนอ (Presentation) ทีห่ ลากหลาย เช่น พรรณนา/บรรยาย ตัวเลข กราฟิก และ
อืน่ ๆ
5. รูปแบบของสื่อ (Media) ประเภทต่าง ๆ เชน่ กระดาษ วีดทิ ศั น์ ฯลฯ
ส่วนสแตร์และเรย์โนลด์ (Stair and Reynolds 2001 : 7) กล่าวถึง คุณค่าของสารสนเทศข้นึ อยู่กบั
การที่ สารสนเทศน้นั สามารถชว่ ยใหผ้ ้ทู ่มี ีหนา้ ท่ีตดั สินใจทาใหเ้ ป้าหมายขององค์การสมั ฤทธิผ์ ลได้มากนอ้ ย
เพยี งใด หาก สารสนเทศ สามารถทาใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายขององค์การได้ สารสนเทศน้ันกจ็ ะมีคุณคา่ สูงตามไป
ดว้ ย
1.8 ความสาคัญของสารสนเทศ
สารสนเทศแท้จรงิ แล้วย่อมมีความสาคัญต่อทุกสง่ิ ท่ีเกีย่ วข้อง เชน่ ดา้ นการเมือง การปกครอง ด้าน
การศกึ ษา ด้าน เศรษฐกิจ ดา้ นสังคม ฯลฯ ในลักษณะดงั ต่อไปน้ี
1. ทาใหผ้ ้บู ริโภคสารสนเทศเกิดความรู้ (Knowledge) และความเข้าใจ (Understanding) ใน
เร่อื งดงั กลา่ ว ขา้ งต้น
2. เมื่อเรารู้และเขา้ ใจในเรื่องท่เี ก่ยี วข้องแล้ว สารสนเทศจะชว่ ยให้เราสามารถตดั สนิ ใจ
(Decision Making) ใน เรือ่ งตา่ งๆ ได้อย่างเหมาะสม
3. นอกจากนัน้ สารสนเทศ ยังสามารถทาให้เราสามารถแก้ไขปญั หา (Solving Problem) ท่ี
เกดิ ข้ึนไดอ้ ย่าง ถกู ต้อง แม่นยา และรวดเร็ว ทนั เวลากบั สถานการณ์ต่างๆ
1.9 บทบาทของสารสนเทศ (Role of Information)
การนาสารสนเทศไปใช้ 3 ดา้ น ดงั น้ี (จิตตมิ า เทียมบญุ ประเสริฐ 2544 : 5) ดา้ นการวางแผน ดา้ น
การตัดสินใจ และ ด้านการดาเนินงาน นอกจากนน้ั สารสนเทศยังมบี ทบาท ในเชงิ เศรษฐกิจ ดงั น้ี (ประภาวดี
สืบสนธ์ 2543 : 7-8)
1. ช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสนิ ใจ (Decision) หรือชว่ ยชแ้ี นวทางในการแก้ไขปัญหา
(Problem Solving)
2. ชว่ ย หรือสนับสนนุ การจัดการ (Management) หรอื การดาเนินงานขององค์การ ให้มี
ประสิทธิภาพและเกิด ประสทิ ธิผลมากขึ้น
37
3. ใช้ทดแทนทรัพยากร (Resources) ทางกายภาพ เชน่ กรณกี ารเรยี นทางไกล ผเู้ รยี นทีเ่ รยี น
นอกห้องเรียน จริง สามารถเรียนร้เู ร่ืองต่างๆ เชน่ เดียวกับ หอ้ งเรยี นจรงิ โดยไม่ต้องเดินทางไปเรียนทห่ี ้องเรยี น
นนั้
4. ใชใ้ นการกากับ ติดตาม (Monitoring) การปฏบิ ัตงิ านและการตัดสินใจ เพื่อดูความก้าวหนา้
ของงาน
5. สารสนเทศเป็นชอ่ งทางโน้มน้าว หรือชักจงู ใจ (Motivation) ในกรณีของการโฆษณาที่ทาให้
ผชู้ ม, ผู้ฟัง ตดั สินใจ เลือกสนิ คา้ หรือบริการน้ัน
6. สารสนเทศเปน็ องคป์ ระกอบสาคญั ของการศึกษา (Education) สาหรบั การเรยี นรู้ ผา่ นสอ่ื
ประเภทตา่ งๆ
7. สารสนเทศเปน็ องค์ประกอบสาคัญท่ีส่งเสรมิ วฒั นธรรม และสนั ทนาการ (Culture &
Recreation) ในด้าน ของการเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ เช่น วดี ทิ ศั น์ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เป็นตน้
8. สารสนเทศเป็นสินค้าและบรกิ าร (Goods & Services) ท่ีสามารถซื้อขายได้
9. สารสนเทศเป็นทรัพยากรที่ต้องลงทุน (Investment) จึงจะได้ผลผลิตและบริการ เพื่อเปน็
รากฐานของการ จัดการ และการดาเนนิ งาน
1.10 องค์ประกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ระบบ คือ กลมุ่ ขององค์การต่างๆ ที่ทางานรว่ มกนั เพ่ือจดุ ประสงค์อันเดียวกนั ระบบอาจจะ
ประกอบดว้ ยบุคคลากร เครื่องมือ เคร่ืองใช้ พัสดุ วธิ ีการ ซ่ึงทัง้ หมดนจี้ ะต้องมรี ะบบจัดการอนั หน่ึงเพ่ือให้
บรรลจุ ดุ ประสงค์อนั เดียวกัน
สารสนเทศ (Information) หมายถงึ ข้อมูลทผ่ี ่านการวิเคราะห์หรอื ประมวลผลแลว้ พรอ้ มจะใช้งาน
ไดท้ นั ที โดยไม่ต้องแปล หรือตคี วามใด ๆ อีก
เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การใชเ้ ทคโนโลยมี าชว่ ยในการประมวลผล เพื่อให้ไดส้ ารสนเทศ
ตามท่ตี ้องการ
ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นอาจกล่าวไดว้ า่ ประกอบขน้ึ จากเทคโนโลยีสองสาขาหลกั คือ
เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม สาหรับรายละเอียดพอสังเขปของแตล่ ะเทคโนโลยี
มีดงั ตอ่ ไปนคี้ ือ
1.10.1 เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์
คอมพวิ เตอรเ์ ปน็ เคร่ืองอิเล็กทรอนกิ สท์ ส่ี ามารถจดจาข้อมูลตา่ ง ๆ และปฏบิ ตั ิตามคาส่ังทบี่ อก
เพ่ือให้คอมพวิ เตอร์ทางานอย่างใดอยา่ งหน่งึ ให้ คอมพวิ เตอรน์ ัน้ ประกอบดว้ ยอปุ กรณ์ต่าง ๆ ตอ่ เชือ่ มกัน
เรยี กวา่ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์นีจ้ ะต้องทางานร่วมกบั โปรแกรมคอมพวิ เตอร์หรอื ท่ี
38
เรียกกันวา่ ซอฟตแ์ วร์ (Software) (มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
2546: 4)
ฮาร์ดแวร์ ประกอบดว้ ย 5 ส่วน คือ
1. อุปกรณ์รับข้อมลู (Input) เช่น แผงแปน้ อกั ขระ (Keyboard), เมาส์, เคร่ืองตรวจกวาดภาพ
(Scanner), จอภาพสมั ผสั (Touch Screen), ปากกาแสง (Light Pen), เคร่อื งอ่านบัตรแถบแม่เหล็ก
(Magnetic Strip Reader), และเครื่องอ่านรหสั แท่ง (Bar Code Reader)
2. อปุ กรณ์ส่งข้อมูล (Output) เชน่ จอภาพ (Monitor), เครื่องพิมพ์ (Printer), และเทอรม์ ินลั
3. หนว่ ยประมวลผลกลาง จะทางานร่วมกับหน่วยความจาหลักในขณะคานวณหรือประมวลผล
โดยปฏบิ ตั หิ นา้ ทต่ี ามคาส่ังของโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ โดยการดงึ ขอ้ มลู และคาส่ังที่เก็บไวไ้ วใ้ นหนว่ ยความจา
หลกั มาประมวลผล
4. หนว่ ยความจาหลกั มหี น้าท่เี ก็บข้อมลู ที่มาจากอุปกรณร์ ับข้อมูลเพือ่ ใชใ้ นการคานวณ และ
ผลลัพธ์ของการคานวณกอ่ นที่จะสง่ ไปยังอปุ กรณ์สง่ ข้อมูล รวมท้ังการเกบ็ คาสั่งขณะกาลังประมวลผล
5. หนว่ ยความจาสารอง ทาหนา้ ที่จดั เก็บขอ้ มูลและโปรแกรมขณะยังไมไ่ ด้ใช้งาน เพ่ือการใช้ใน
อนาคต
ซอฟต์แวร์ เป็นองคป์ ระกอบท่ีสาคัญและจาเป็นมากในการควบคุมการทางานของเครื่อง
คอมพวิ เตอร์ ซอฟตแ์ วรส์ ามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คอื
39
1. ซอฟต์แวร์ระบบ มีหนา้ ที่ควบคุมอปุ กรณ์ต่าง ๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นตัวกลาง
ระหว่างผ้ใู ชก้ บั คอมพิวเตอรห์ รอื ฮารด์ แวร์ ซอฟต์แวรร์ ะบบสามารถแบ่งเปน็ 3 ชนิดใหญ่ คอื
1) โปรแกรมระบบปฏบิ ตั กิ าร ใช้ควบคมุ การทางานของคอมพิวเตอร์และอุปกรณพ์ ่วงต่อกบั
เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ ตวั อยา่ งโปรแกรมที่นิยมใชก้ นั ในปัจจุบัน เชน่ UNIX, DOS, Microsoft Window
2) โปรแกรมอรรถประโยชน์ ใชช้ ่วยอานวยความสะดวกแก่ผู้ใชเ้ ครื่องคอมพิวเตอร์ในระหว่าง
การประมวลผลข้อมูลหรือในระหวา่ งท่ใี ชเ้ คร่ืองคอมพวิ เตอร์ ตัวอยา่ งโปรแกรมทนี่ ิยมใช้กันในปัจจบุ ัน เชน่
โปรแกรมเอดเิ ตอร์ (Editor)
3) โปรแกรมแปลภาษา ใช้ในการแปลความหมายของคาสง่ั ทีเ่ ป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ให้อยใู่ น
รปู แบบท่เี คร่ืองคอมพิวเตอรเ์ ข้าใจและทางานตามท่ีผู้ใช้ต้องการ
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ เป็นโปรแกรมทเ่ี ขยี นขึ้นเพอื่ ทางานเฉพาะดา้ นตามความต้องการ ซ่งึ
ซอฟต์แวรป์ ระยุกต์นสี้ ามารถแบ่งเป็น 3 ชนิด คอื
1) ซอฟต์แวรป์ ระยุกต์เพื่องานทวั่ ไป เป็นซอฟต์แวรท์ ี่สร้างขนึ้ เพ่ือใช้งานทวั่ ไปไม่เจาะจง
ประเภทของธรุ กจิ ตวั อยา่ ง เชน่ Word Processing, Spreadsheet, Database Management เป็นตน้
2) ซอฟต์แวร์ประยุกตเ์ ฉพาะงาน เป็นซอฟตแ์ วร์ที่สร้างข้ึนเพอื่ ใช้ในธรุ กจิ เฉพาะ ตามแต่
วัตถุประสงค์ของการนาไปใช้
3) ซอฟต์แวร์ประยุกต์อืน่ ๆ เปน็ ซอฟตแ์ วร์ที่เขียนขึ้นเพ่ือความบันเทิง และอ่นื ๆ
นอกเหนือจากซอฟตแ์ วรป์ ระยุกตส์ องชนดิ ข้างต้น ตัวอยา่ ง เชน่ Hypertext, Personal Information
Management และซอฟตแ์ วรเ์ กมต่าง ๆ เป็นต้น
สาหรบั กระบวนการการจัดการระบบสารสนเทศ เพ่อื ให้ได้สารสนเทศตามต้องการอย่างรวดเร็ว ถกู ตอ้ ง
แม่นยา และมีคุณภาพ ดังแผนภาพตอ่ ไปนีค้ ือ
40
1.11 เทคโนโลยสี ื่อสารโทรคมนาคม
เทคโนโลยสี ื่อสารโทรคมนาคม ใช้ในการตดิ ต่อสอ่ื สารรับ/ส่งขอ้ มลู จากที่ไกล ๆ เป็นการสง่ ของ
ข้อมลู ระหว่างคอมพิวเตอรห์ รือเคร่ืองมือท่ีอยหู่ ่างไกลกนั ซึ่งจะช่วยให้การเผยแพร่ข้อมลู หรือสารสนเทศไปยัง
ผู้ใชใ้ นแหลง่ ตา่ ง ๆ เป็นไปอย่างสะดวก รวดเรว็ ถกู ต้อง ครบถ้วน และทันการณ์ ซึ่งรูปแบบของข้อมลู ที่รับ/ส่ง
อาจเป็นตัวเลข (Numeric Data) ตวั อกั ษร (Text) ภาพ (Image) และเสยี ง (Voice)
เทคโนโลยที ใ่ี ชใ้ นการสือ่ สารหรือเผยแพร่สารสนเทศ ได้แก่ เทคโนโลยที ่ใี ช้ในระบบโทรคมนาคมทัง้
ชนดิ มีสายและไรส้ าย เช่น ระบบโทรศัพท์, โมเดม็ , แฟกซ์, โทรเลข, วทิ ยกุ ระจายเสยี ง, วิทยุโทรทศั น์ เคเบลิ้ ใย
แกว้ นาแสง คลื่นไมโครเวฟ และดาวเทียม เป็นตน้
สาหรับกลไกหลกั ของการสื่อสารโทรคมนาคมมอี งค์ประกอบพนื้ ฐาน 3 สว่ น ได้แก่ ต้นแหลง่ ของ
ข้อความ (Source/Sender), สอ่ื กลางสาหรบั การรบั /ส่งขอ้ ความ (Medium), และสว่ นรบั ขอ้ ความ
(Sink/Decoder)
นอกจากนี้ เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจาแนกตามลกั ษณะการใช้งานได้เป็น 6 รปู แบบ ดงั น้ี
ตอ่ ไปนี้ คอื
1. เทคโนโลยที ใี่ ชใ้ นการเกบ็ ข้อมลู เช่น ดาวเทยี มถ่ายภาพทางอากาศ, กล้องดิจิทัล, กลอ้ งถ่ายวี
ดีทัศน์, เคร่อื งเอกซเรย์ ฯลฯ
2. เทคโนโลยีท่ีใช้ในการบันทึกข้อมลู จะเป็นสื่อบนั ทกึ ข้อมูลต่าง ๆ เชน่ เทปแม่เหลก็ , จาน
แม่เหล็ก, จานแสงหรอื จานเลเซอร์, บตั รเอทีเอม็ ฯลฯ
3. เทคโนโลยีทีใ่ ช้ในการประมวลผลขอ้ มลู ได้แก่ เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ท้งั ฮาร์ดแวร์ และ
ซอฟต์แวร์
4. เทคโนโลยีทใ่ี ชใ้ นการแสดงผลขอ้ มลู เชน่ เคร่ืองพมิ พ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ
5. เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดทาสาเนาเอกสาร เช่น เครื่องถา่ ยเอกสาร, เคร่ืองถา่ ยไมโครฟิล์ม
6. เทคโนโลยีสาหรับถ่ายทอดหรือส่อื สารข้อมลู ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์,
วิทยกุ ระจายเสียง, โทรเลข, เทเล็กซ์ และระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรท์ ัง้ ระยะใกล้และไกล
ลักษณะของข้อมูลหรือสารสนเทศทส่ี ่งผา่ นระบบคอมพวิ เตอร์และการสอ่ื สาร ดังน้ี
41
ข้อมูลหรือสารสนเทศที่ใช้กนั อย่ทู ่ัวไปในระบบสื่อสาร เชน่ ระบบโทรศัพท์ จะมลี ักษณะของ
สัญญาณเป็นคล่ืนแบบต่อเนื่องทเี่ ราเรยี กวา่ "สัญญาณอนาลอก" แตใ่ นระบบคอมพวิ เตอรจ์ ะแตกต่างไป เพราะ
ระบบคอมพิวเตอร์ใช้ระบบสญั ญาณไฟฟ้าสงู ต่าสลบั กัน เป็นสัญญาณที่ไมต่ ่อเนือ่ ง เรยี กวา่ "สัญญาณดิจติ อล"
ซึง่ ขอ้ มูลเหลา่ นัน้ จะสง่ ผา่ นสายโทรศัพท์ เมื่อเราต้องการส่งขอ้ มูลจากคอมพิวเตอร์เครือ่ งหนงึ่ ไปยงั เคร่ืองอืน่ ๆ
ผ่านระบบโทรศัพท์ ก็ต้องอาศัยอุปกรณช์ ่วยแปลงสัญญาณเสมอ ซ่ึงมชี อ่ื เรียกว่า "โมเดม็ " (Modem)
1.12 ความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ
สามารถอธบิ ายความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านท่ีมีผลกระทบต่อการเปลย่ี นแปลง
พฤติกรรมดา้ นตา่ ง ๆ ของผคู้ นไวห้ ลายประการดังตอ่ ไปนี้ (จอห์น ไนซบ์ ติ ต์ อ้างถึงใน ยนื ภวู่ รวรรณ)
• ประการท่ีหนึ่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาใหส้ ังคมเปลี่ยนจากสังคมอตุ สาหกรรมมาเปน็
สังคมสารสนเทศ
• ประการทส่ี อง เทคโนโลยสี ารสนเทศทาให้ระบบเศรษฐกิจเปล่ียนจากระบบแห่งชาตไิ ปเปน็
เศรษฐกิจโลก ทท่ี าใหร้ ะบบเศรษฐกจิ ของโลกผูกพนั กบั ทุกประเทศ ความเชอ่ื มโยงของเครือขา่ ยสารสนเทศทา
ใหเ้ กดิ สงั คมโลกาภิวัฒน์
• ประการท่สี าม เทคโนโลยสี ารสนเทศทาให้องค์กรมีลักษณะผูกพนั มีการบังคบั บัญชาแบบ
แนวราบมากข้นึ หน่วยธุรกิจมีขนาดเลก็ ลง และเช่ือมโยงกันกบั หน่วยธรุ กิจอน่ื เปน็ เครือข่าย การดาเนนิ ธุรกจิ มี
การแขง่ ขนั กันในดา้ นความเร็ว โดยอาศยั การใชร้ ะบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคมเปน็
ตัวสนบั สนุน เพ่ือให้เกดิ การแลกเปลีย่ นขอ้ มูลไดง้ า่ ยและรวดเร็ว
• ประการทีส่ ี่ เทคโนโลยีสารสนเทศเปน็ เทคโนโลยแี บบสุนทรยี สมั ผัส และสามารถตอบสนอง
ตามความต้องการการใชเ้ ทคโนโลยใี นรปู แบบใหม่ทเี่ ลือกได้เอง
• ประการท่หี ้า เทคโนโลยีสารสนเทศทาใหเ้ กดิ สภาพทางการทางานแบบทุกสถานท่แี ละทุกเวลา
• ประการทห่ี ก เทคโนโลยสี ารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดาเนนิ การระยะยาวขน้ึ อีกท้ังยัง
ทาให้วถิ ีการตัดสินใจ หรอื เลือกทางเลือกไดล้ ะเอยี ดข้นึ
กลา่ วโดยสรปุ แลว้ เทคโนโลยสี ารสนเทศมบี ทบาททสี่ าคัญในทุกวงการ มผี ลต่อการเปลยี่ นแปลงโลก
ดา้ นความเป็นอยู่ สงั คม เศรษฐกจิ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อตุ สาหกรรม การเมอื ง ตลอดจนการ
วจิ ัยและการพัฒนาต่าง ๆ
42
1.13 ปัจจัยที่ทาใหเ้ กดิ ความล้มเหลวในการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้
จากงานวิจยั ของ Whittaker (1999: 23) พบว่า ปจั จัยของความล้มเหลวหรือความผิดพลาดทเ่ี กดิ
จากการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองคก์ าร มสี าเหตุหลกั 3 ประการ ไดแ้ ก่
1. การขาดการวางแผนท่ดี ีพอ โดยเฉพาะอย่างยิง่ การวางแผนจดั การความเสยี่ งไม่ดีพอ ยิ่ง
องค์การมีขนาดใหญ่มากข้นึ เทา่ ใด การจดั การความเสย่ี งย่อมจะมีความสาคญั มากข้ึนเป็นเงาตามตัว ทาให้
คา่ ใชจ้ ่ายดา้ นน้ีเพ่ิมสูงข้ึน
2. การนาเทคโนโลยที ่ไี มเ่ หมาะสมมาใชง้ าน การนาเทคโนโลยสี ารสนเทศเขา้ มาใช้ในองค์การ
จาเป็นต้องพิจารณาใหส้ อดคลอ้ งกบั ลักษณะของธรุ กจิ หรืองานท่อี งคก์ ารดาเนินอยู่ หากเลอื กใช้เทคโนโลยที ี่ไม่
สอดรบั กบั ความต้องการขององค์การแล้วจะทาใหเ้ กดิ ปัญหาตา่ ง ๆ ตามมา และเป็นการสนิ้ เปลืองงบประมาณ
โดยใช่เหตุ
3. การขาดการจัดการหรือสนบั สนุนจากผูบ้ รหิ ารระดบั สงู การท่ีจะนาเทคโนโลยสี ารสนเทศเข้า
มาใชง้ านในองค์กร หากขาดซึ่งความสนับสนุนจากผู้บรหิ ารระดบั สูงแลว้ ก็ถือว่าลม้ เหลวตั้งแต่ยังไมไ่ ด้เร่ิมต้น
การไดร้ บั ความมั่นใจจากผูบ้ ริหารระดบั สงู เปน็ ก้าวยา่ งท่ีสาคญั และจาเป็นที่จะทาให้การนาเทคโนโลยี
สารสนเทศมาใชใ้ นองค์การประสบความสาเรจ็
สาหรบั สาเหตุของความล้มเหลวอ่ืน ๆ ท่ีพบจากการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ เชน่ ใชเ้ วลาใน
การดาเนินการมากเกินไป (Schedule overruns), นาเทคโนโลยที ี่ล้าสมยั หรอื ยงั ไมผ่ า่ นการพิสจู น์มาใชง้ าน
(New or unproven technology), ประเมินแผนความต้องการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศไม่ถกู ต้อง, ผจู้ ัด
จาหน่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (Vendor) ที่องค์การซ้ือมาใชง้ านไม่มปี ระสทิ ธภิ าพและขาดความรับผิดชอบ
และระยะเวลาของการพัฒนาหรอื นาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชจ้ นเสรจ็ สมบรู ณ์ใช้เวลานอ้ ยกวา่ หน่ึงปี
นอกจากน้ี ปัจจยั อ่นื ๆ ท่ที าให้การนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ไมป่ ระสบความสาเร็จในดา้ น
ผใู้ ช้งานน้นั อาจสรุปไดด้ ังนี้ คือ
43
1. ความกลัวการเปลยี่ นแปลง กลา่ วคอื ผู้คนกลัวทจี่ ะเรียนรูก้ ารใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ รวมท้งั
กลวั วา่ เทคโนโลยีสารสนเทศจะเขา้ มาลดบทบาทและความสาคัญในหน้าท่ีการงานท่ีรบั ผิดชอบของตนให้ลด
น้อยลง จนทาใหต้ ่อต้านการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
2. การไมต่ ิดตามข่าวสารความร้ดู ้านเทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างสมา่ เสมอ เน่ืองจากเทคโนโลยี
สารสนเทศเปลีย่ นแปลงรวดเรว็ มาก หากไม่ม่นั ตดิ ตามอย่างสม่าเสมอแลว้ จะทาให้กลายเปน็ คนล้าหลังและตก
ขอบ จนเกดิ สภาวะชะงักงันในการเรียนร้แู ละใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
3. โครงสรา้ งพืน้ ฐานด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศของประเทศกระจายไมท่ ่ัวถึง ทาใหข้ าดความ
เสมอภาคในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเกดิ การใชก้ ระจกุ ตัวเพียงบางพืน้ ที่ ทาใหเ้ ปน็ อุปสรรคในการใช้
งานดา้ นต่าง ๆ ตามมา เช่น ระบบโทรศัพท์ อนิ เทอรเ์ น็ตความเร็วสงู ฯลฯ
1.14 ผลของเทคโนโลยสี ารสนเทศ
การกาเนดิ ของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณหา้ สิบกวา่ ปที แี่ ลว้ เปน็ กา้ วสาคญั ทีน่ าไปสูย่ ุคสารสนเทศ
ในชว่ งแรกมีการนาเอาคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นเครื่องคานวณ แต่ต่อมาไดม้ ีความพยายามพัฒนาให้คอมพิวเตอร์
เปน็ อปุ กรณ์สาคัญสาหรับการจัดการข้อมลู เมื่อเทคโนโลยอี ิเล็กทรอนิกสไ์ ด้กา้ วหนา้ มากข้ึน ทาใหส้ ามารถ
สร้างคอมพวิ เตอร์ท่ีมีขนาดเล็กลง แตป่ ระสิทธิภาพสูงขนึ้ สภาพการใช้งานจึงใชง้ านกันอย่างแพร่หลาย ผลของ
เทคโนโลยีสารสนเทศทม่ี ีต่อชีวติ ความเปน็ อยูแ่ ละสังคมจึงมีมาก มีการเรียนรู้และใช้สารสนเทศกนั อย่าง
กว้างขวาง ผลของเทคโนโลยสี ารสนเทศโดยรวมกล่าวได้ดังนี้
• การสรา้ งเสรมิ คณุ ภาพชีวติ ทดี่ ีขึ้น สภาพความเปน็ อยู่ของสงั คมเมือง มีการพัฒนาใช้
ระบบสอื่ สารโทรคมนาคม เพื่อตดิ ต่อสอ่ื สารให้สะดวกขึ้น มีการประยุกต์มาใช้กับเคร่ืองอานวยความสะดวก
ภายในบา้ น เชน่ ใช้ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ใช้ควบคมุ ระบบไฟฟ้าภายในบ้าน เปน็ ต้น
• เสริมสร้างความเทา่ เทยี มในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยสี ารสนเทศทาให้เกิดการ
กระจายไปทวั่ ทกุ หนแหง่ แม้แต่ถ่นิ ทุรกนั ดาร ทาให้มกี ารกระจายโอการการเรยี นรู้ มีการใชร้ ะบบการเรยี นการ
44
สอนทางไกล การกระจายการเรยี นรู้ไปยงั ถนิ่ หา่ งไกล นอกจากน้ใี นปจั จุบนั มีความพยายามท่ใี ช้ระบบการ
รกั ษาพยาบาลผ่านเครือขา่ ยสื่อสาร
• สารสนเทศกับการเรียนการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนาคอมพวิ เตอร์
และเครื่องมือประกอบช่วยในการเรียนรู้ เชน่ วดี ทิ ัศน์ เครอ่ื งฉายภาพ คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน คอมพิวเตอรช์ ่วย
จดั การศกึ ษา จัดตารางสอน คานวณระดบั คะแนน จดั ชั้นเรยี น ทารายงานเพื่อใหผ้ บู้ รหิ ารไดท้ ราบถึงปญั หา
และการแกป้ ัญหาในโรงเรียน ปัจจบุ นั มกี ารเรยี นการสอนทางดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงเรยี นมากขึ้น
• เทคโนโลยีสารสนเทศกบั ส่ิงแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอยา่ งจาเป็นต้องใช้
สารสนเทศ เชน่ การดแู ลรกั ษาปา่ จาเปน็ ต้องใช้ข้อมูล มกี ารใช้ภาพถา่ ยดาวเทยี ม การตดิ ตามข้อมลู สภาพ
อากาศ การพยากรณอ์ ากาศ การจาลองรปู แบบสภาวะสิง่ แวดลอ้ มเพื่อปรบั ปรงุ แกไ้ ข การเก็บรวมรวมขอ้ มูล
คณุ ภาพน้าในแมน่ า้ ต่าง ๆ การตรวจวดั มลภาวะ ตลอดจนการใช้ระบบการตรวจวดั ระยะไกลมาชว่ ย ท่เี รียกว่า
โทรมาตร เปน็ ตน้
• เทคโนโลยสี ารสนเทศกบั การปอ้ งกนั ประเทศ กจิ การทางดา้ นการทหารมีการใชเ้ ทคโนโลยี
อาวุธยุทโธปกรณ์สมยั ใหม่ลว้ นแต่เกีย่ วข้องกบั คอมพวิ เตอร์และระบบควบคุม มีการใชร้ ะบบป้องกนั ภัย ระบบ
เฝา้ ระวงั ทมี่ ีคอมพวิ เตอรค์ วบคมุ การทางาน
• การผลิตในอตุ สาหกรรม และการพาณชิ ยกรรม การแขง่ ขันทางด้านการผลิตสนิ ค้า
อุตสาหกรรมจาเปน็ ต้องหาวิธกี ารในการผลติ ให้ได้มาก ราคาถูกลงเทคโนโลยีคอมพวิ เตอรเ์ ข้ามามีบทบาทมาก
มกี ารใชข้ ้อมลู ข่าวสารเพอื่ การบรหิ ารและการจัดการ การดาเนินการและยังรวมไปถึงการใหบ้ ริการกบั ลูกค้า
เพอ่ื ใหซ้ ือ้ สินค้าได้สะดวกข้ึน
1.15 เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการใชช้ วี ติ ในสังคมปจั จุบัน
ในภาวะปจั จบุ ันนนั้ สารสนเทศได้กลายเป็นปจั จัยพนื้ ฐานปัจจยั ที่หา้ เพม่ิ จากปจั จัยส่ปี ระการที่
มนุษยเ์ ราขาดเสียมไิ ด้ในการดารงชวี ิตประจาวนั ไมว่ ่าจะเป็นสารสนเทศท่จี าเปน็ ในการประกอบธรุ กจิ ในการ
คา้ ขาย การผลิตสินค้า และบริการ หรอื การให้บริการสงั คม การจดั การทรัพยากรของชาติ การบริหารและ
ปกครอง จนถงึ เร่ืองเบา ๆ เรื่องไร้สาระบา้ ง เช่น สภากาแฟที่สามารถพบได้ทุกแห่งหนในสงั คม เรื่อง
สาระบนั เทงิ ในยามพกั ผอ่ น ไปจนถงึ เรื่องความเปน็ ความตาย เช่น ข่าวอุทกภยั วาตภัย หรือการทารัฐประหาร
และปฏิวตั ิ เป็นต้น ในความคิดเหน็ ของกล่มุ บุคคลต่าง ๆ ต้ังแตน่ กั วิชาการ นักธรุ กจิ นักสังคมศาสตร์ นัก
เศรษฐศาสตร์ จนกระทง่ั ผนู้ าตา่ ง ๆ ในโลก ดงั เชน่ ประธานาธิบดี Bill Clinton และรองประธานาธิบดี Al
Gore ของสหรฐั อเมริกา สารสนเทศเปน็ ทรัพยากรท่สี าคัญท่สี ดุ อยา่ งหนงึ่ ในปจั จบุ นั และในยุค
สังคมสารสนเทศแห่งศตวรรษที่ 21 สารสนเทศจะกลายเปน็ ทรพั ยากรทส่ี าคัญท่สี ดุ เหนอื สิ่งอ่ืนใด กล่าวกัน
สั้นๆ สารสนเทศกาลังจะกลายเปน็ ฐานแห่งอานาจอันแทจ้ รงิ ในอนาคต ทัง้ ในทางเศรษฐกิจ และทางการเมอื ง
ในสมยั สังคมเกษตรนั้น ปัจจยั พนื้ ฐานในการผลติ ท่ีสาคญั ได้แก่ ท่ดี ิน แรงงาน และทุนทรัพย์ ต่อมาในสงั คม