The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sukanya, 2023-01-03 21:17:51

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย

EASTERN ASIA UNIVERSITY

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล

ใบความรู้

ความซื่อสัตย์สุจริต (INTEGRITY) การพูดสร้างคุณลักษณะความเที่ยงตรงแห่งอุปนิสัยและยึดมั่นอยู่ในหลักแห่ง

ศีลธรรม อันดีงามเป็น คุณสมบัติของการรักความจริง รักษาวาจาสัตย์ตลอดเวลา คำพูดทุกคำต้องถูกต้อง เป็น

จริงทั้งเรื่องที่เป็นทางการและส่วนตัว ยืนหยัดในเรื่องที่ถูกต้อง และสำนึกในหน้าที่การงานของตน
ความพินิจพิเคราะห์ (JUDGMENT) การพูดทำให้ผู้พูดมีคุณสมบัติในการใคร่ครวญ โดยใช้เหตุผลตามหลัก

ตรรกวิทยา เพื่อให้ได้มูลความจริงและหนทางแก้ไขที่น่าจะเป็นไปได้นำมาใช้ในการตกลงใจได้ถูกต้อง
ความยุติธรรม (JUSTICE) การพูดจะทำให้ผู้พูดมีความเที่ยงตรง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มีความเสมอต้นเสมอปลาย

ใน การนำเสนอข้อมูลความรู้ต่อผู้ฟัง รู้จักเลือกสรรสิ่งที่ดีมีสาระ มานำเสนอ
ความรอบรู้ (KNOWLEDGE) การฝึกพูดทำให้ผู้พูดต้องสืบค้นข้อมูลข่าวสารที่จะนำมาเสนอ ทั้งในวิชาชีพที่ตน

เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้พูดเป็นผู้มีความรอบรู้รอบด้าน
ความจงรักภักดี (LOYALTY) การฝึกพูดจะทำให้ทราบว่าอะไรควรหรือไม่ควร ที่สำคัญต้องให้ความเคารพต่อ

สถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมทั้งยังต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีมีจิตใจเชื่อมั่นใน ระบอบ

ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ความรู้จักกาลเทศะ (TACT) ลักษณะผู้นำอีกประการหนึ่งก็คือ ความสามารถในการปฏิบัติตนกับบุคคลอื่นโดยไม่

เกิด ความขุ่นข้องหมองใจ ไม่ก่อให้เกิดศัตรูหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในทัศนะของบุคคลทั่วไป กาลเทศะ ยังหมาย

ถึง ความสามารถที่จะพูด หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ถูกต้อง เหมาะสมแก่กาลเวลาและสถานที่ ความสุภาพอ่อนโยน

ถือเป็นส่วนหนึ่งของกาลเทศะด้วย
ความไม่เห็นแก่ตัว (SELFLESS) นักพูดที่ดีต้องไม่ฉวยโอกาส ตักตวงความสุข ความสะดวกสบาย ความเจริญ

ก้าวหน้า ให้กับตนเอง โดยไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือเสียผลประโยชน์
ความเป็นประชาธิปไตย การฝึกฝนพัฒนาตนเองให้เป็นนักพูดที่ดี ทำให้มีจิตใจที่เป็นประชาธิปไตย กล่าวคือ เป็น

ผู้ที่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง น้อมรับคำตำหนิเพื่อนำไปแก้ไขพัฒนาให้ดีขึ้น

การฝึกฝนการพูดทำให้มีโอกาสได้พัฒนาบุคลิกภาพให้เหมาะกับกาลเทศะ บุคคล สถานที่ อันจะนำมาสู่ความน่าเชื่อ

ถือในสายตาผู้ฟัง ทำให้ผู้ฟังประทับใจเพียงแค่ได้เห็น และรู้สึก เป็นกันเองกับผู้พูด

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 51

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล

ใบความรู้

การพัฒนาทักษะทางการพูดเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นที่จะต้องฝึกฝน ดังที่ (BYRNE, 1986) กล่าวว่า การสอนการพูด

จำเป็นต้องฝึกผู้เรียน 2 อย่าง คือ

1. ฝึกในการใช้ส่วนที่คงที่ของภาษา ได้แก่ เสียงและรูปแบบไวยากรณ์และ คำศัพท์
2. โอกาสสำหรับแต่ละคนได้แสดงออก ผู้สอนต้องให้ความสนใจในเรื่องความถูกต้องและความคล่องแคล่วในขั้นที่แตก

ต่างกันของระดับการเรียน ในขั้นต้นควรเน้นความถูกต้อง ส่วนในขั้นสูงควรเน้นความคล่องแคล่ว

การพัฒนาความสามารถในการพูดเป็นบ่อเกิดที่ดีของแรงจูงใจสำหรับผู้เรียน สิ่งที่ผู้สอนควรคำนึง คือ
1. พยายามหาวิธีแสดงต่อผู้เรียนว่าพวกเขากำลังพัฒนาภาษาตลอดเวลาโดยการจัดกิจกรรม
ต่างๆเป็นครั้งคราว เช่น เกมหรือการอภิปราย เพื่อให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาสามารถใช้ภาษาได้มากแค่ไหน
2. ในการฝึกควบคุมนั้นผู้สอนจะต้องเลือกกิจกรรมและแก้ไขข้อผิดพลาดในโอกาสที่เหมาะสมให้ผู้เรียนได้รับการดลใจ

อยู่เสมอ
3. แสดงให้ผู้เรียนรู้ว่าจะได้สิ่งที่พวกเขารู้เพียงเล็กน้อยได้อย่างไร บางครั้งพวกเขาไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้เพราะ

ว่าไม่มีภาษาที่แม่นยำอยู่ในใจ จึงจำเป็นต้องใช้การถอดความและการแสดงออกที่เปลี่ยนแปลง

สรุปว่า การพัฒนาทักษะการพูดเป็นสิ่งที่สำคัญที่ผู้สอนควรพัฒนาทักษะด้านนี้ให้เกิดแก่ผู้เรียน โดยฝึกให้ผู้เรียนมี

ทักษะด้านการออกเสียง การใช้คำศัพท์และไวยากรณ์ให้ถูกต้อง และในขั้นต้นผู้สอนควรเน้นผู้เรียนในเรื่องของความถูก

ต้องในการใช้ภาษา ส่วนในขั้นสูงขึ้นไปนั้นผู้สอนควรให้ผู้เรียนเน้นในเรื่องของความคล่องแคล่วในการสนทนาและให้ผู้
เรียนทราบว่าจะต้องมีการพัฒนาทางภาษาอยู่ตลอดเวลา

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 52

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล

ใบความรู้

ทักษะการฟัง
ทักษะการฟังเป็นทักษะทางการสื่อสารที่อยู่ในประเภทของการรับสาร และยังเป็นทักษะการใช้ภาษาที่ใช้มากที่สุด


ใน ชีวิตประจำวัน กล่าวได้ว่าทักษะการฟังนั้นเกิดขึ้นก่อนการพูด การอ่าน และการเขียน เพราะทักษะการฟังเกิดขึ้น

ตามธรรมชาติ ตั้งแต่แรกเกิด หลายคนจึงเข้าใจว่าทักษะการฟังนั้นไม่จำเป็นต้องมีการฝึกฝนเพราะทุกคนมีความสามารถ
ในการฟัง แท้ที่จริงแล้ว ทักษะการฟังก็เหมือนกับทักษะอื่นๆ ที่ต้องได้รับการฝึกฝนพัฒนาอยู่เสมอจึงจะใช้ได้อย่างมี

ประสิทธิภาพสูงสุด และไม่เป็นเพียง แค่การได้ยินเสียงเท่านั้น (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546).

การฟัง หมายถึง พฤติกรรมการรับสารผ่านโสตประสาทอย่างตั้งใจเชื่อมโยงกับกระบวนการคิดในสมอง โดยสมอง

แปล ความหมายของเสียงจนเกิดความเข้าใจและมีปฏิกิริยาตอบสนอง การฟังจึงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัว

บุคคล การฟังนั้นต่างจากการได้ยิน เนื่องจากการฟังต้องอาศัยโสตประสาทที่อยู่ในหูเป็นเครื่องมือรับเสียง จากนั้นเมื่อ

เสียง ผ่านโสตประสาทแล้วจะเข้าสู่กระบวนการทำงานของสมอง ส่วนการได้ยินเป็นกลไกอัตโนมัติของโสตประสาทใน

การรับเสียงแต่ ไม่ได้เชื่อมโยงกับกระบวนการทางสมองเพื่อตีความในการทำความเข้าใจเสียงนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า

ลักษณะการฟังนั้นจะต้อง เริ่มมาจากการตั้งใจหรือจงใจที่จะฟัง ส่วนการได้ยินจะไม่ได้เริ่มจากการตั้งใจฟัง
(อภิรักษ์ อนะมาน, 2549).

การฟังมีความสำคัญมากต่อการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ในชีวิตประจำวัน ดังจะเห็นว่ามนุษย์ใช้เวลาไปกับการฟัง

มาก ที่สุดหากเปรียบเทียบกับการพูด การอ่านและการเขียน การฟังจึงมีความสำคัญในการกำหนดความล้มเหลวหรือ

ความสำเร็จของ การสื่อสารอย่างมาก (กองเทพ เคลือบพณิชกุล, 2542).

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 53

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล

ใบความรู้

ประเด็นสำคัญของการฟัง สรุปได้ดังนี้
1. การฟังทำให้ได้รับความรู้เพราะการฟังเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ เช่น การฟังบรรยายของอาจารย์ใน


ชั้น เรียน ฟังวิธีทำขนมไทย ฟังวิธีปลูกไม้ดอก เป็นต้น
2. การฟังทำให้รู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ทำให้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของคน


และสังคม
3. การฟังเป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างหนึ่งของมนุษย์ ทั้งที่เกิดจากการฟังจากบุคคลโดยตรงหรือฟังผ่านสื่อ


อิเล็กทรอนิกส์
4. การฟังช่วยยกระดับจิตใจ ทำให้เข้าใจความเป็นมนุษย์หรือการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขได้ เช่น การฟัง


ธรรมเทศนา การฟังโอวาท เป็นต้น
5. การฟังทำให้ได้รับความบันเทิง ช่วยผ่อนคลายความเครียด
6. การฟังช่วยพัฒนาทักษะการพูดให้มีประสิทธิภาพ ได้กล่าวคือ การฟังช่วยให้ผู้ฟังได้เรียนรู้วิธีการพูด เนื้อหา


สาระ ของสาร วิธีการนำเสนอสาร บุคลิกภาพ ฯลฯ ซึ่งสามารถนามาปรับใช้กับวิธีการพูดของตน ทำให้เกิดความมั่นใจ

ขณะพูด และทำให้การพูดของตนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

7. การฟังอย่างมีประสิทธิสามารถสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างคนในสังคม
8. การฟังเป็นเครื่องมือช่วยสืบทอดความงามทางวรรณศิลป์และฉันทลักษณ์ของไทย เช่น การฟังบทร้อยกรอง บท

กวี บทสวดมนต์ เพลงไทยเดิม เป็นต้น (กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์, 2551).

ลักษณะการฟัง
การฟังสามารถแบ่งได้หลากหลายลักษณะ สรุปได้ดังนี้

1. การฟังอย่างเข้าใจ เป็นการฟังขั้นพื้นฐานที่ใช้ได้ทุกสถานการณ์ เช่น ฟังเพื่อให้สามารถรับรู้เข้าใจเรื่องราว

เข้าใจความคิดของบุคคล เข้าใจความหมายของสารแล้วสามารถนำสิ่งที่ได้ฟังไปปฏิบัติได้ ฯลฯ การฟังลักษณะนี้ผู้ฟังควร

ฟังโดยตลอด ใช้ความคิดพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลางและยอมรับความรู้ความคิดหรือมุมมองต่างๆ ของผู้ส่งสาร อาจมี

การจดบันทึกประเด็นสำคัญไปด้วยก็ได้

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 54

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล
ใบความรู้

2. การฟังอย่างมีจุดมุ่งหมาย เป็นการฟังที่ผู้ฟังตั้งวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งไว้ล่วงหน้า เช่น ต้องการฟังเพื่อ

ความรู้ เพื่อความบันเทิง เพื่อการตัดสินใจ เป็นต้น การฟังอย่างไม่ได้ตั้งจุดมุ่งหมายจัดว่าเป็นการฟังแบบผ่านๆ ผู้ฟังจะ

ไม่ได้ประโยชน์จากสิ่งที่ได้ฟัง การฟังอย่างมีจุดมุ่งหมายจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการฟังอย่างมีประสิทธิภาพ

3. การฟังอย่างมีวิจารณญาณ จัดเป็นการฟังที่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์สารที่ได้ฟัง มักดาเนินควบคู่ไปกับการ

วิเคราะห์สาร จัดเป็นการฟังขั้นสูง ผู้ฟังต้องจับประเด็นว่าจุดมุ่งหมายของผู้พูดคืออะไร และแยกแยะว่าส่วนใดที่เป็นข้อ

เท็จจริงและเป็นข้อคิดเห็น โดยใช้กระบวนการคิดใคร่ครวญด้วยเหตุผล จนนำไปสู่การตอบสนองที่ถูกต้องเหมาะสม การ

ฟังอย่างมีวิจารณญาณจะทำให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์และได้ข้อมูลที่เป็นจริง

4. การฟังอย่างประเมินคุณค่า เป็นการฟังในระดับสูงต่อมาจากการฟังอย่างมีวิจารณญาณ เป็นการฟังที่ผู้ฟังต้อง

ประเมินหรือตัดสินคุณค่าของสารที่ฟังว่าดีหรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่ เหมาะแก่การนำไปปฏิบัติหรือไม่ ผู้ฟังควรฟังอย่าง

ตั้งใจ และสามารถวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ฟังได้อย่างมีเหตุผลน่าเชื่อถือ การฟังอย่างประเมินคุณค่าทำให้ผู้ฟังตระหนักได้ว่า

ข้อมูลนั้นน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด (กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์, 2551).

การพัฒนาทักษะการฟัง
การฟัง ต่างจากการได้ยินเสียง โดยเฉพาะในด้านของการรับรู้ข้อมูลหรือสารที่ได้ฟัง ดังนั้นการฟังจึงเป็นทักษะที่


จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝน ดังขั้นตอนต่อไปนี้
1. การกำหนดวัตถุประสงค์ในการฟัง ผู้ฟังควรกำหนดวัตถุประสงค์ในการฟังเพื่อให้มีเป้าหมาย หรือจุดสังเกตใน


การรับสารนั้นๆ รวมทั้งผู้ส่งสารเองก็ควรแสดงวัตถุประสงค์ของสารนั้นให้ชัดเจน เพื่อที่ผู้ฟังจะได้ตั้งวัตถุประสงค์ในการ

ฟังเช่นกัน ว่าเมื่อได้รับฟังสารนั้นแล้ว ผู้ฟังจะต้องทำอย่างไร ได้รับอะไร รู้สึกอย่างไร เป็นต้น ทั้งนี้วัตถุประสงค์ของการ

ฟังมีหลายประการ เช่น

การฟังให้รับรู้สาร หรือข้อมูล แล้วสามารถตอบคำถามได้ ปฏิบัติตามได้
การฟังให้สรุปวัตถุประสงค์ของผู้พูดได้ เช่นผู้พูดต้องการโน้มน้าวใจ ชี้แจง จรรโลงใจ เป็นต้น
การฟังให้จับใจความสำคัญ จำแนกเนื้อหาที่ฟังเป็นหัวข้อต่างๆ ได้ ย่อความ สรุปความได้
การฟังให้แยกแยะข้อเท็จจริงและความคิดเห็นได้
การฟังที่สามารถรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกจากสารได้ เช่น ตลก เสียดสี ประชดประชัน โศกเศร้า เป็นต้น

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 55

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล

ใบความรู้

การฟังที่จำแนกได้ว่าผู้ส่งสารแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยต่อเรื่องใด อย่างไร เพราะเหตุใด
การฟังที่รับรู้บรรยากาศที่เกิดขึ้นได้ว่าเป็นแบบสนุกสนาน ผ่อนคลาย เคร่งเครียด หรือเป็นทางการ
การฟังให้เข้าใจสำนวน ถ้อยคำ ทั้งความหมายโดยตรง ความหมายโดยนัย ถ้อยค าเสียดสี ประชดประชัน เข้าใจ

ความหมายจากน้ำเสียงหรืออวัจนภาษาได้
การฟังแล้วสามารถวิเคราะห์เรื่องที่ฟังในประเด็นต่างๆ ได้
การฟังเพื่อให้ประเมินค่าของสารเรื่องนั้นๆได้
2. การตั้งใจและมีสมาธิในการฟัง รับสารอย่างต่อเนื่องทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา ผู้ฟังควรมีสมาธิจดจ่อกับสารที่

ฟังควบคุมความคิดและความสนใจให้อยู่ในขอบเขตของสารที่กำลังรับ และเตรียมตั้งสติคิดพร้อมที่จะรับสารต่อไปเป็น

ลำดับ
3. จดบันทึกข้อความสำคัญหรือข้อความที่น่าสนใจอย่างรวดเร็ว แต่ต้องระมัดระวังไม่เสียเวลากับการจดบันทึกมาก

เกินไปจนการฟังขาดช่วง ทำให้ไม่สามารถปะติดปะต่อเนื้อหาสาระจากการฟังได้ การจดบันทึกจะมีส่วนช่วยในการเรียบ

เรียง ลำดับเนื้อหา จดจำข้อความสำคัญของสารที่ฟังได้ด้วย
4. จดบันทึกข้อสงสัย หรือคำถามที่เกิดขึ้น ในขณะที่ฟัง ทั้งนี้ในขณะที่ฟัง ผู้ฟังมีการคิดตาม ทำความเข้าใจกับสาร

ที่ฟัง อาจทำให้เกิดข้อสงสัยในบางช่วงบางตอนของสารได้ การจดบันทึกค าถามเพื่อถามผู้พูดในภายหลังจะช่วยให้ผู้ฟัง

ไม่ลืมประเด็นที่สงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟังเนื้อหาที่ค่อนข้างยาว
5. ฟังโดยปราศจากอคติและความลำเอียง ให้ผู้ฟังรับสารอย่างตรงไปตรงมา เปิดใจ ไม่อคติทั้งต่อตัวผู้พูด และต่อ

สารที่ได้รับฟัง ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความพึงพอใจ ต่อต้าน คัดค้าน หรือความเชื่อถือศรัทธา เป็นต้น
6. เมื่อจบการฟังผู้ฟังควรสรุปได้ว่าสารที่ได้รับฟังนั้นสอดคล้อง ตอบโจทย์ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ สามารถ

จับใจความ ตอบคำถาม ปฏิบัติตาม หรือเกิดอารมณ์ความรู้สึกตามวัตถุประสงค์ของสารและผู้ส่งสารหรือไม่ อย่างไร

(กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์, 2551).

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 56

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 57

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 58

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 59

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 60

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 61

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 62

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 63

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 64

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล

เอกสาร
อ้างอิง

แพทย์หญิงกุสุมาวดี คำเกลี้ยง. (2563). จะซึม จะเศร้า ก้าวผ่านได้. กรุงเทพฯ: เนชั่นบุ๊คส์
กองเทพ เคลือบพณิชกุล. (2542). การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์. (2551). ทักษะภาษาเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับ พ.ศ ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ: นาน

มีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์.
อภิรักษ์ อนะมาน. (2549). ศิลปะการใช้ภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ: พัฒนาศึกษา.
จุไรรัตน์ลักษณะศิริ และบาหยัน อิ่มสำราญ. 2554. ภาษากับการสื่อสาร โครงการตำราและ

หนังสือ. คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.
รัตนา ศิริลักษณ์. 2540. การพัฒนาบทเรียนที่ใช้กิจกรรมการละครเพื่อส่งเสริมทักษะฟัง-พูด สำหรับ

นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่/เชียงใหม่.
สุภัชชา นาทอง. 2553. ศิลปะการพูด พูดอย่างไรให้ชนะใจคน. กรุงเทพมหานคร : ณ ดา สำนักพิมพ์.
BYRNE, B.M. 1986. SELF-CONCEPT/ACADEMIC ACHIEVEMENT RELATIONS: AN INVESTIGATION

OF DIMENSIONALITY, STABILITY, AND CAUSALITY. CANADIAN JOURNAL OF BEHAVIOURAL
SCIENCE

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 65

พูดและฟังอย่างไรให้เกิดผล
END

การสื่อสารในยุคดิจิตอล
ชั้นปีที่ 1

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ชั้นปีที่ 1

วัตถุประสงค์

1. เพื่อให้นักศึกษาสามารถสื่อสารผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เพื่อให้นักศึกษาสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีดิจิตอลในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เพื่อให้นักศึกษาสามารถเลือกรับฟังสื่อได้อย่างมีวิจารณญาณ

สาระสำคัญ : หน่วยการเรียนรู้ที่เป็นทักษะ (SKILL UNIT)

การเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างเหมาะสมจะช่วยส่งเสริมการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทักษะในศตวรรษที่ 21 : ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

การสื่อสารผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ, การเลือกรับสารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณ

เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (LEARNING AND ACTIVITY MANAGEMENT)

การสนทนากลุ่ม (GROUP DISCUSSION)
ห้องเรียนกลับด้าน (FLIPPED CLASSROOM)
การส่งเสริมทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (COMPUTING & ICT

LITERACY) ในทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 68

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ชั้นปีที่ 1

ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม

1. วิทยากรให้ความรู้เรื่อง “การสื่อสารในยุคดิจิตอล”
2. วิทยากรให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแบ่งเป็นกลุ่มๆละเท่าๆ กัน พร้อมทั้งเลือกหัวหน้ากลุ่ม
3. ให้แต่ละกลุ่มหาข้อมูลสำหรับการนำเสนอความรู้และความคิดเห็นในประเด็นต่อไปนี้

ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับการโฆษณาสินค้า
ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับการรีทัช (RETOUCH)
ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับการเผยแพร่ภาพหรือคลิป วีดีโอ
ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับการใช้สื่อ (SOCIAL MEDIA) เพื่อวิพากษ์ วิจารณ์ หรือแสดงอารมณ์
ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับสื่อประเภทโทรศัพท์มือถือ เช่น CALL CENTER และ SMS
ข้อมูลข่าวสาร เกี่ยวกับการใช้ APPLICATION ในสมาร์ทโฟน
4. ให้แต่ละกลุ่มศึกษาข้อมูลในหัวข้อที่ได้รับ และจัดทำคลิปนำเสนอในหัวข้อที่ได้รับ
5. ให้แต่ละกลุ่มจัดทำคลิปการปราศรัยในหัวข้อที่กำหนด หัวข้อละอย่างน้อย 2 กลุ่ม โดยสมาชิกในกลุ่มมีบทบาท

ในการพูดอย่างน้อยคนละ 1 นาที
6. วิทยากรประเมินและให้ข้อเสนอแนะของแต่ละกลุ่ม
7. วิทยากรฉายสไลด์สรุปข้อคิดเรื่อง “การสื่อสารในยุคดิจิตอล”
8. วิทยากรให้ข้อมูลป้อนกลับ (FEEDBACK) กับนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาให้เห็นจุดเด่น จุดที่ควรพัฒนาของ

ตนเอง

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 69

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ชั้นปีที่ 1

สื่อและแหล่งเรียนรู้

เอกสารประกอบการบรรยาย เรื่อง การสื่อสารในยุคดิจิตอล
ห้องกิจกรรม GOOGLE CLASSROOM

การประเมินผลกิจกรรม

แบบประเมินผลงาน
แบบประเมินคลิปวีดีทัศน์ “การสื่อสารในยุคดิจิตอล” โดยใช้เกณฑ์การประเมิน (RUBRIC SCORE 4 ระดับ)

เกณฑ์การผ่านการประเมินกิจกรรม

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะต้องได้รับการตัดสินคุณภาพในระดับดีขึ้นไปทุกรายการประเมิน

ระยะเวลาของกิจกรรม

10 ชั่วโมง

ผู้เข้าร่วมกิจกรรม

นักศึกษาชั้นปีที่ 1

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 70

การสื่อสารในยุคดิจิตอล
ชั้นปีที่ 1

แบบประเมินผลงาน

เกณฑ์การประเมินผล : คะแนนเต็ม 12 คะแนน

คะแนน 12-10 = ดีมาก (4) คะแนน 9-7 = ดี (3)

คะแนน 6-4 = พอใช้ (2) คะแนน 3-0 = ควรปรับปรุง (1)

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 71

การสื่อสารในยุคดิจิตอล
ชั้นปีที่ 1

เกณฑ์การประเมิน “การสื่อสารในยุคดิจิตอล”

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 72

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ใบควา
มรู้

ในกิจกรรม “การสื่อสารในยุคดิจิตอล” จะมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะการเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างเหมาะ

สมจะช่วยส่งเสริมการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและการเลือกรับสารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณ โดยมีรายละเอียด

ดังนี้

การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (EFFECTIVE COMMUNICATING) คือ ทักษะการสื่อสารแลกเปลี่ยน
ข้อมูลระหว่างกัน รวมถึงการทำความเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ภายใต้ข้อมูลเหล่านั้น ทั้งที่อยู่ในรูปแบบวัจ

นภาษา และอวัจนภาษา ทักษะการสื่อสารนี้เปรียบเหมือนตัวเชื่อมประสานความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กลุ่ม หรือหน่วย

งาน ช่วยให้สามารถสื่อสารเข้าใจกัน และสื่อสารเรื่องที่มีข้อมูลแง่ลบหรือข้อความยากๆ ได้โดยไม่เกิดความขัดแย้งหรือ

ทำลายความเชื่อมั่นเชื่อใจระหว่างกัน

การสื่อสาร มี 2 ระบบ คือ
การสื่อสารทางเดียว (ONE-WAY COMMUNICATION) เป็นการติดต่อสื่อสารในลักษณะที่ผู้ส่งเป็นผู้ให้ข่าว มี

อิทธิพลต่อผู้รับเพียงฝ่ายเดียว โดยผู้รับไม่มีโอกาสโต้ตอบ หรือซักถามข้อสงสัยใดๆ
การสื่อสารสองทาง (TWO-WAY COMMUNICATION) เป็นการติดต่อสื่อสารที่ผู้รับสารมีการตอบสนอง และมี

ปฏิกิริยาตอบกลับไปยังผู้ส่งสาร สามารถโต้ตอบ ปรึกษาหารือ และแลกเปลี่ยนความคิดกันได้
ซึ่งการสื่อสารในการสนทนาแต่ละครั้งอาจมีเป้าหมายหลายอย่างรวมกัน เช่น การพูดเพื่อแจ้งให้ทราบ

(INFORM) การพูดเพื่อให้คำแนะนำ (ADVISE) การพูดเพื่อให้เกิดความเข้าอกเข้าใจ (EMPATHIZE) การพูดเพื่อสร้างแรง

บันดาลใจ (INSPIRE) (พรจรรย์ ไกรวัตนุสสรณ์ และคณะ, 2559)

รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากสื่อและเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ การเลือกใช้สื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ ความ

สามารถในการประเมินผลจากการใช้ได้สื่อ และการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึ่ง

รวมถึงการพูดได้หลายภาษา (เพ็ญนิดา ไชยสายัณห์, 2553)

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 73

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ใบควา
มรู้

การรู้ไอซี (ICT) คือ การใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ (APPLY TECHNOLOGY EFFECTIVELY)
คือ การใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการวิจัย การจัดการ การประเมินผล การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีดิจิตอล เช่น

คอมพิวเตอร์ PDA เครื่องเล่นสื่อต่างๆ GPS ในการสื่อสาร เครื่องมือในการสร้างเครือข่ายทางสังคมอย่างเหมาะสม

การสื่อสารในยุคดิจิตอล คือ การสื่อสารที่ชัดเจน โดยเลือกใช้เทคโนโลยีดิจิตอลอย่างเหมาะสมในการสื่อสาร เข้าถึง

ประเมินผล และสร้างข้อมูลเพื่อความสำเร็จในการทำงาน โดยผู้ศึกษาจำเป็นต้องมีความเข้าใจการสื่อสารผ่านทางสื่อ

และเครื่องมือทางดิจิทัลในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเหมาะสม ความแตกต่าง ความเสี่ยงของสื่อ และเครื่องมือ

พร้อมทั้งสามารถสื่อสาร โดยการใช้ข้อความหรือถ้อยคำอย่างสร้างสรรค์ มีประโยชน์ และเคารพผู้อื่น เพื่อประโยชน์ต่อ

ส่วนรวม นอกจากนี้ยังรวมถึง ความสามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่บนสื่อดิจิทัลต่าง ๆ ว่าสิ่งไหนเป็น ข้อเท็จจริง

สิ่งไหนเป็นความเห็น สิ่งไหนเป็นความจริงบางส่วน สิ่งไหนเป็นความจริงเฉพาะเหตุการณ์ นั้น ๆ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

ของการสื่อสารทางดิจิทัล (วรวุฒิ อ่อนน่วม,2555)

ความสำคัญของ“การสื่อสารในยุคดิจิตอล”
การสื่อสาร หมายถึง การถ่ายทอดหรือส่งข้อมูลข่าวสารจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งด้วยภาษา
พูดหรือภาษาเขียน (กิติมา สุรสนธิ, 2557)
องค์ประกอบของการสื่อสาร โดยทั่วไปมี 4 ประการ คือ
1. ผู้ส่งสาร (SENDER)
2. สาร (MESSAGE)
3. ช่องทางการสื่อสารหรือสื่อ (CHANNEL)
4. ผู้รับสาร (RECEIVER)

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 74

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ใบควา
มรู้

ผู้ส่งสาร คือผู้เริ่มต้นการสื่อสาร (เริ่มต้นสร้างและส่งสารไปยังผู้อื่น) ในการสื่อสารครั้งหนึ่ง ๆ นั้น ผู้ส่งสารจะทำหน้าที่

เข้ารหัส (ENCODING) อันเป็นการแปรสารให้อยู่ในรูปของสัญลักษณ์ที่มนุษย์คิดสร้างขึ้นแทนความคิด ได้แก่ ภาษา

(ภาษาพูด,ภาษาเขียนหรือวัจนภาษา) และอากัปกิริยาท่าทางต่าง ๆ (อวัจนภาษา) สารที่ถูกเข้ารหัสแล้วนี้จะถูกผู้ส่งสาร

ไปยังผู้รับสารโดยผ่านทางติดต่อทางใดทางหนึ่ง เช่น ถ้าผู้ส่งสารต้องการส่งสาร ก. ไปถึงผู้รับสารที่อยู่ห่างไกลจากตน

อย่างรวดเร็ว ผู้ส่งสารก็อาจเลือกใช้ วิธีโทรเลข โทรศัพท์ จดหมาย ถ้าเป็นปัจจุบันก็อาจใช้โทรสาร ( FACSIMILE (FAX)

) หรือ E-MAIL (การสื่อสารผ่านทางจอคอมพิวเตอร์) ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ ดังนั้นโดย

ทั่วไปแล้ว ในสถานการณ์การสื่อสารหนึ่ง ๆ นั้นผู้ส่งสารจะเป็นบุคคลหนึ่งที่มีความสำคัญในการที่จะเป็นผู้เริ่มต้นสื่อสาร

ถือเป็นบุคคลแรกที่จะทำให้กระบวนการในการสื่อสารเกิดขึ้น

แต่เนื่องจากการสื่อสารของมนุษย์มีหลายประเภทและหลายระดับ เพราะฉะนั้นจำนวนของผู้ส่งสารจึงอาจจะแตก

ต่างกันไป เช่น การสื่อสารสาธารณะรูปแบบหนึ่ง คือ การอภิปราย ผู้ส่งสาร อาจมีจำนวนมากกว่า 1 คน และผู้ส่งสาร

อาจมิได้ส่งสารในฐานะที่เป็นตัวของตัวเอง แต่อาจจะส่งสารในฐานะที่เป็นตัวแทนของหน่วยงาน หรือ สถาบันใดสถาบัน

หนึ่ง ส่วนในกระบวนการสื่อสารมวลชนผู้ส่งสารก็คือตัวแทนขององค์กรเกี่ยวกับการสื่อสารมวลชน ซึ่งนอกจากจะส่งสาร

ในฐานะที่เป็นตัวของตัวเองแล้ว ก็ยังต้องมีความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นตัวแทนของสถาบันการสื่อสารมวลชนนั้น ๆ
ด้วยแต่การเป็นผู้ส่งสารไม่ว่าจะในการสื่อสารประเภทและระดับใดก็ตาม ย่อมต้องมีบทบาทและหน้าที่ในการสื่อสารที่

สำคัญ คือ

1. การมีวัตถุประสงค์ในการสื่อสารที่ชัดเจน
2. การเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอในเนื้อหาของเรื่องราวที่ตนจะสื่อสารกับผู้อื่น
3. การเป็นผู้มีความพยายามที่จะเข้าใจความสามารถและความพร้อมในการรับสารของผู้ที่ตนสื่อสารด้วย
4. การเป็นผู้รู้จักเลือกใช้วิธีการในการสื่อสารให้เหมาะสมกับเรื่อง โอกาสและผู้รับสารของตน

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 75

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ใบควา
มรู้

เทคนิคการเลือกใช้รูปแบบของการสื่อสารในยุคดิจิทัล
การรู้ดิจิทัล (DIGITAL LITERACY) หมายถึง ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยเป็นทักษะใน

การนำเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรม

คอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการสื่อสาร การปฏิบัติงาน และการทำงานร่วมกัน หรือใช้

เพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน หรือระบบงานในองค์กรให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ

ทักษะดังกล่าวครอบคลุมความสามารถ 4 มิติ ได้แก่ การใช้ (USE) เข้าใจ (UNDERSTAND) การสร้าง (CREATE)

และเข้าถึง (ACCESS) เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้คำที่แสดงลักษณะความรู้สามารถดิจิทัลคือ “รู้ใช้ รู้เข้าใจ รู้สร้างสรรค์” ซึ่งถือเป็นความสามารถสำหรับการรู้ดิจิทัล

โดยมีรายละเอียดดังนี้

ใช้ (USE) แสดงถึงความคล่องแคล่วทางเทคนิคที่จำเป็นในการใช้กับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตชุดรูปแบบพื้น

ฐานสำหรับการพัฒนาทักษะทางเทคนิคที่จำเป็น รวมถึงความสามารถในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น

โปรแกรมประมวลผลคำเว็บเบราเซอร์ E-MAIL และการสื่อสารอื่นๆ เครื่องมือค้นหาและฐานข้อมูลออนไลน์
เข้าใจ (UNDERSTAND) คือ ความสามารถที่จะเข้าใจบริบทที่เกี่ยวข้อง และประเมินสื่อดิจิทัลตระหนักถึงความ

สำคัญของการประเมินผลที่สำคัญในการทำความเข้าใจดิจิทัลเนื้อหาของสื่อ และการประยุกต์ใช้สามารถสะท้อน

ให้เห็นถึงรูปร่างการเพิ่มหรือจัดการกับความรู้สึกความเชื่อของเราและความรู้สึกเกี่ยวกับโลกรอบตัวเราความ

เข้าใจความสำคัญของสื่อดิจิทัลที่ช่วยให้บุคคลเก็บเกี่ยวผลประโยชน์และลดความเสี่ยง การมีส่วนร่วมในสังคมเต็ม

รูปแบบดิจิทัล ทักษะชุดนี้ยังรวมถึงการพัฒนาทักษะการจัดกาสารสนเทศและการแข็งค่าของสิทธิคนและความรับ

ผิดชอบในการไปถึงทรัพย์สินทางปัญญา ในเศรษฐกิจความรู้ ชาวแคนาดาจำเป็นต้องรู้วิธีการหาประเมินผลและมี

ประสิทธิภาพใช้ข้อมูลเพื่อการสื่อสารการทางานร่วมกันและแก้ปัญหาในชีวิตส่วนตัวและเป็นมืออาชีพของพวกเขา

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 76

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ใบควา
มรู้

สร้างสรรค์ (CREATE) ความสามารถในการสร้างเนื้อหาและมีประสิทธิภาพ การติดต่อ สื่อสารโดยใช้ความหลาก

หลายของสื่อดิจิทัลเป็นเครื่องมือ การสร้างสื่อดิจิทัลมีความหมายมากกว่าความสามารถในการใช้โปรแกรม

ประมวลผลหรือเขียนอีเมล รวมถึงความสามารถในการปรับ การสื่อสารกับสถานการณ์และผู้รับสารการสร้างและ

ติดต่อสื่อสารโดยใช้สื่อผสม เช่น ภาพวีดิโอและเสียงประกอบอย่างมีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบ

ประกอบกับเนื้อหาเว็บไซต์ที่ผู้เรียนสร้าง เช่นบล็อกและเวทีสนทนา วีดิโอและภาพถ่ายร่วมกัน เล่นเกมทางสังคม

และรูปแบบอื่นๆ ของสื่อสังคม แนวคิดนี้ยังตระหนักถึงสิ่งที่เป็นความรู้ในโลกดิจิทัลที่ไม่เพียงแต่สร้างความ

ชำนาญทางด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงจริยธรรม การปฏิบัติทางสังคมและการสะท้อนสิ่งที่ฝังอยู่ในการ

เรียนรู้ การใช้เวลาว่าง และการใช้ชีวิตประจำวัน

ภายใต้การรู้ดิจิทัล คือความหลากหลายของทักษะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันซึ่งทักษะเหล่านั้นอยู่ภายใต้การรู้สื่อ

(MEDIA LITERACY) การรู้เทคโนโลยี (TECHNOLOGY LITERACY) การรู้สารสนเทศ (INFORMATION LITERACY)

การรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เห็น (VISUAL LITERACY) การรู้การสื่อสาร (COMMUNICATION LITERACY) และการรู้สังคม

(SOCIAL LITERACY) (วรวุฒิ อ่อนน่วม, 2555)

แนวคิดการสื่อสารยุคดิจิทัล (COMMUNICATION MODEL IN DIGITAL AGE) ปัจจุบันสื่อใหม่ถือเป็นการสื่อสารที่

มีรูปแบบการสื่อสารใหม่ ๆ เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มส่วนขยาย ทางการสื่อสารเปิดโอกาสให้มนุษย์สามารถนำเสนอเรื่องราวความ

รู้สึกนึกคิดตลอดจนความคิดเห็นได้อย่างเสรีบนพื้นที่ส่วนตัวหรือโลกเสมือนจริง (VIRTUAL REALITY) และยังสามารถ

สร้างความสัมพันธ์กับผู้คนที่มีพื้นที่เสมือนจริงได้จนขยายเป็นเครือข่ายสังคม แบบออนไลน์ (SOCIAL NETWORKING)

สร้างปฏิสัมพันธ์ต่อกันได้หลากหลายทั้งการตอบกลับในเวลาต่อมาและโต้ตอบแบบทันทีทันใด (REAL TIME

INTERACTION) (พิชญาพร ประคองใจ, 2558)

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 77

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ใบควา
มรู้

อย่างไรก็ตามผลลัพธ์แห่งการเปลี่ยนแปลงอาจไม่ใช่เพียงแค่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการสื่อสารเพียงอย่าง

เดียวแต่อาจหมายรวมถึงพฤติกรรมทางการสื่อสารของมนุษย์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการพัฒนารูปแบบการสื่อสารใหม่ๆ

อีกด้วยการสื่อสารผ่านสื่อใหม่ทาให้บทบาททางการสื่อสารมีความเปลี่ยนแปลงด้วยการทำลายข้อจำกัดทางการสื่อสาร

จากเดิมที่ผู้รับสารจะต้องรอเวลาในการเผยแพร่เนื้อหาผ่านสื่อดั้งเดิมบทบาททางการสื่อสารของผู้รับสาร (RECEIVER)

อยู่ในลักษณะที่เป็นผู้ตาม (PASSIVE RECEIVER) แต่ด้วยคุณลักษณะของสื่อใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้รับสารสามารถเข้าถึง

เนื้อหาได้ตามความต้องการ ทั้งด้านเวลาสถานที่รวมถึงความสนใจ ผู้รับสารสามารถเข้าถึงและแสวงหาข้อมูลด้วยตนเอง

ทำให้บทบาทของผู้รับสารเป็นไปในลักษณะของการแสวงหาข้อมูลหรือเป็นผู้เลือกมากกว่าผู้ตาม (ACTIVE AUDIENCE)

หรือเรียกว่า เป็นผู้แสวงหาหรือเลือกข้อมูลที่โดยเสรี (ACTIVE SEEKER) อย่างไรก็ตามเมื่อเทคโนโลยีการสื่อสารได้

เปลี่ยนแปลงไปมนุษย์ก็จะตอบรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นด้วยพฤติกรรมวัฒนธรรมและค่านิยมเช่นกัน นับเป็นพลวัต

แห่งการเปลี่ยนแปลงที่เป็นปัจจัยในการพัฒนาซึ่งกันและกัน ไม่สามารถตัดปัจจัยตัวใดตัวหนึ่งออกไปได้ ปรากฏการณ์

ทางการสื่อสารในยุคดิจิทัลเป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นถึงลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีการสื่อสารกับสังคมมนุษย์

ไม่ว่าจะเป็นทางเลือกในการสื่อสารช่องทางการสื่อสารใหม่ๆ รูปแบบการสื่อสารพฤติกรรมในการสื่อสารรวมไปถึง

วัฒนธรรมการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไปสอดคล้องกับวลีของ มาร์แชล แมคลูฮัน ที่ว่า “MEDIUM IS THE MESSAGE :

สื่อเป็นตัวกำหนดแนวทางการสื่อสารของมวลมนุษยชาติ ” (วรวุฒิ อ่อนน่วม, 2555)

ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือ DIGITAL LITERACY หมายถึง ทักษะในการนำเครื่องมือ อุปกรณ์

และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสื่อออนไลน์ มา

ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการสื่อสาร การปฏิบัติงาน และการทำงานร่วมกัน หรือใช้เพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน

หรือระบบงานในองค์กรให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ (สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, 2564)
ทักษะดังกล่าวครอบคลุมความสามารถ 4 มิติ

การใช้ (USE)
เข้าใจ (UNDERSTAND)
การสร้าง (CREATE)
เข้าถึง (ACCESS) เทคโนโลยีดิจิทัล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 78

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ใบควา
มรู้

ปัจจุบันกลุ่มคนที่เกิดและเติบโตในยุคเทคโนโลยีดิจิทัล เรียกว่า DIGITAL NATIVE ซึ่งเด็กและเยาวชนเกี่ยวข้องกับสิ่ง

ต่าง ๆ ที่เป็นดิจิทัลด้วยรูปแบบและช่องทางที่แสนง่ายดายในทุกที่และทุกเวลาที่ต้องการ ตัวอย่างการมีส่วนร่วมแบบ

ออนไลน์ อาทิเช่น SOCIAL NETWORKING INSTANT-MASSING (IM) VIDEO-STREAMING การแชร์ภาพ และการใช้

อินเทอร์เน็ตแบบเคลื่อนที่

การแนะนำเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจะไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับเด็กและเยาวชนยุคดิจิทัล เพราะพวก

เขาสามารถพัฒนาทักษะเกี่ยวกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า แต่

ทว่า การใช้งานที่ปราศจากคำแนะนำก็ทำให้พวกเค้ายังคงเป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมือสมัคร

เล่น ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อกังวลและปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เหมาะสมและถูกต้อง

เพื่อให้ความรู้ในเรื่องดังกล่าวแก่เด็กและเยาวชน เด็กและเยาวชนจำเป็นต้องพัฒนาความรู้ การคิดเชิงวิเคราะห์ รวมถึง

ทักษะการสื่อสารและการจัดการสารสนเทศสำหรับยุคดิจิทัล (วรวุฒิ อ่อนน่วม,2555)

แนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์
ปัจจุบันนี้สื่อสังคมออนไลน์มีอิทธิพลอย่างมากทาให้ต้องคิดไตร่ตรองคัดเลือกผลงานให้ ออกมาตอบโจทย์ของกลุ่ม


เป้าหมายซึ่งปัจจัยที่จะทาให้ผลงานมีคุณภาพต้องทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (เพ็ญนิดา ไชยสายัณห์, 2553)
1.ทำให้เกิดการพูดถึง : การทำให้เกิดการบอกต่อเกิดการพูดถึง หรือ กลายเป็นกระแสโดยสื่อออนไลน์จะไม่มีความ


น่าเบื่อและมีความน่าสนใจสอดแทรกเนื้อหาที่จะสื่อออกมาพร้อม ๆ กับความบันเทิง หรือ ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน
2.ทำให้ง่ายที่สุด : การทำสื่อออนไลน์ออกมาให้เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนเพื่อให้ผู้ที่ได้เข้าถึงทราบถึงเนื้อหาที่เราจะ


สื่อสารออกมา
3. เน้นหรือโฟกัสแค่เรื่องเดียว ให้เนื้อหามีความชัดเจน : ความชัดเจนเป็นอีกจุดที่สำคัญ เพราะหากผู้เข้าถึงไม่เข้าใจ


ถึงสิ่งที่เราต้องการจะสื่อก็เท่ากับว่าสื่อออนไลน์ของเราล้มเหลวซึ่งวิธีการแก้ไขนั้น คือ ควรจะเน้นให้เห็นชัดเจนเฉพาะ

เรื่องที่สำคัญ ๆ เท่านั้น โฟกัสให้เข้าใจได้ชัดเจนว่าต้องการสื่อถึงอะไร เพื่ออะไร ให้ตรงประเด็นที่สุด

4. น่าติดตาม : อรรถรสในการเข้าถึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้ผู้เข้าถึงรู้สึกสนุกโดยมีการสื่อสารแบบไม่น่าเบื่อ

ทำให้ผู้เข้าถึงอยากติดตามต่อไป

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 79

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ใบควา
มรู้

นอกเหนือจากการพฤติกรรมการสื่อสารของผู้ใช้สื่อ อันเป็นข้อใหญ่ใจความของการเปลี่ยนแปลงแล้วนั้น รูปแบบ

การสื่อสารใหม่ๆยังส่งผลสะท้อนต่อพฤติกรรมการใช้สื่อในแต่ละชนิดด้วย ไม่ว่าจะเป็น MSN HI5 FACEBOOK

TWITTER หรือโปรแกรมซอฟแวร์ต่างๆที่อำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารของผู้ใช้สื่อใหม่ในปัจจุบัน ต่างก็มีวิธี

การใช้สื่อที่แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับวิธีการสื่อสารที่แต่ละโปรแกรมได้ออกแบบการสื่อสารไว้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ FACEBOOK เป็นบริการหนึ่งบนเว็บไซต์ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าใช้สมัครเป็นสมาชิก สามารถ

ติดต่อสื่อสารและร่วมทากิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งผ่านเว็บไซต์ เช่น การตั้งประเด็นกระทู้ถามตอบในเรื่องที่สนใจ โพสต์

รูปภาพ คลิปวิดีโอ เขียนบทความหรือบล็อก สามารถพูดคุยกันสดๆ หรือร่วมเล่นเกมส์ไปพร้อมๆกันได้ ที่สำคัญคือ

สมาชิกสามารถเลือกค้นหาเพื่อนเพื่อสร้างเป็นเครือข่ายสังคมได้ตามความต้องการ และนอกจากนั้นแล้ว ยังมีผู้ผลิตจาน

วนไม่น้อยที่พัฒนาโปรแกรมแอพลิเคชั่นบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ (MOBILE PHONE) หรือคอมพิวเตอร์แบบพกพา

(TABLET) โดยให้แอพลิเคชั่นเหล่านั้นสามารถเชื่อมต่อกับ FACEBOOK ของแต่ละบุคคลอีกด้วย และดูเหมือนว่าการ

ผลิตแอพลิเคชั่นในลักษณะดังกล่าวมีอัตราเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

ลักษณะวิธีการใช้งานของ FACEBOOK คือ การสร้างความสัมพันธ์กันระหว่างสมาชิกด้วยกัน เพื่อให้เกิดเป็นเครือ

ข่ายสังคม และการแบ่งปันข้อมูล ข่าวสาร ความคิดเห็นต่างๆ (SHARING) ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ข่าวสาร ข้อความต่างๆ

หรือเรียกอย่างง่ายๆ ในกลุ่มผู้เล่นแสดงให้ถึงลักษณะการมีส่วนร่วมต่อกระบวนการสื่อสารในการสร้างสรรค์เนื้อหา (CO-

CREATED CONTENT) จนสามารถเกิดเป็นสภาพแวดล้อมที่มีการโต้ตอบขึ้น (INTERACTION ENVIRONMENT) กล่าว

คือ เมื่อผู้ใช้มีการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไปสู่สมาชิกคนอื่นๆ ก็จะเกิดการปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกัน โดยมีข้อมูลข่าวสาร

นั้นเป็นประเด็นเริ่มต้นในการโต้ตอบ

การแบ่งปันข้อมูล ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะสื่อ FACEBOOK เท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับโปรแกรมซอฟท์แวร์อื่นๆด้วย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ TWITTER เป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทไมโครบล็อก (MICRO BLOGGING)

โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร เรียกว่า การทวีต (TWEET – เสียงนกร้อง) โดยข้อความดัง

กล่าวผู้ใช้สามารถเขียนข้อความที่เกี่ยวกับตัวเองว่ากาลังทำอะไร รู้สึกนึกคิดอย่างไร หรืออาจเขียนข้อความที่เป็นข้อมูล

ข่าวสารต่างๆ เพื่อบอกเล่าให้กับเครือข่ายของตนได้รับทราบ เมื่อสมาชิกเครือข่ายได้รับข้อความดังกล่าวก็สามารถ

RETWEET เพื่อส่งต่อข้อความให้เครือข่ายของตนต่อไปได้อีก จึงกลายเป็นคุณลักษณะทางการสื่อสารที่ไม่ได้เป็นแบบ

หนึ่งต่อหนึ่ง (ONE-TO-ONE COMMUNICATION) เท่านั้น แต่สามารถส่งสารไปยังผู้คนหมู่มากได้ (ONE-TO-MANY

COMMUNICATION) และข้อความเหล่านั้นก็สามารถแพร่กระจายได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 80

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ใบควา
มรู้

คุณลักษณะทางการสื่อสารของ TWITTERในลักษณะดังกล่าว จึงกลายเป็นช่องทางการสื่อสารใหม่ๆให้แก่ผู้ที่

ต้องการบอกเล่าเรื่องราวข่าวสารที่ได้ประสบพบเจอให้ผู้อื่นได้รับรู้ เสมือนกับการทาหน้าที่รายงานข่าวของนักข่าว ดัง

นั้น TWITTER รวมไปถึงนักข่าวจากสานักข่าวมากมายที่หันมาสนใจช่องทาง TWITTER ในการเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ

ผ่านการ TWEET ข้อความไม่เกิน 140 ข้อความ ได้รับการตอบรับที่น่าสนใจ โดยมีสมาชิกในเครือข่ายติดตาม

(FOLLOW) ข้อความเป็นจำนวนมาก ข้อดีของการเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลผ่าน TWITTER คือ ความรวดเร็วในการเผย

แพร่ โดยผู้ติดตาม (FOLLOWER) สามารถรับรู้ข่าวสารได้ทันที ไม่ต้องผ่านขั้นตอนใดๆ ต่างจากการรายงานข่าวผ่านสื่อ

สิ่งพิมพ์ที่มีข้อจำกัดในการจัดส่ง หรือการรายงานข่าวผ่านสื่อโทรทัศน์ที่ต้องรอกำหนดเวลาในรายงานข่าว

กรณีศึกษาของโปรแกรมซอฟท์แวร์ดังที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็น FACEBOOK หรือ TWITTER ต่างก็ได้สร้างลักษณะ

บทบาทของพฤติกรรมในการใช้สื่อใหม่ ที่เรียกว่า ACTIVE AUDIENCE คือ การที่ผู้รับสารมีบทบาทในการเลือกที่จะรับ

สาร หรือเป็นผู้ส่งสารเอง ไปจนถึงการมีส่วนร่วมต่อเนื้อหาสาร เรียกว่า CO-CREATOR นอกจากนั้นแล้วยังรวมไปถึง

ความสัมพันธ์ของผู้รับสารที่มีต่อเนื้อหาสารในลักษณะเป็นผู้แสวงหาข้อมูลและเลือกสรรเนื้อหาสารโดยเสรี เรียกว่า

ACTIVE SEEKER

จะเห็นได้ว่าบทบาทและลักษณะความสัมพันธ์ของผู้ใช้สื่อใหม่มีความแตกต่างไปจากการใช้สื่อดั้งเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ทั้งนี้เกิดขึ้นจากการพัฒนาของเทคโนโลยีด้านการสื่อสารที่อานวยความสะดวกในการสื่อสารให้สอดรับกับวิถีชีวิตของ

มนุษย์ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารมีความสำคัญต่อการดาเนินชีวิต ส่งผลให้มนุษย์จึงผูกติดกับการสื่อสารและการรับรู้ข้อมูล

ข่าวสารอยู่ตลอดเวลา

ในยุคปัจจุบันนี้การเรียนรู้เท่าทันสื่อ มีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องอย่างมากสำหรับ ผู้เรียนในการเข้าถึงสื่อ

และการใช้งานสื่อทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน (OXSTRAND, 2009) ดังนั้นระบบ การศึกษาจึงจำเป็นต้องจัดกระบวนการ

เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูล

การเรียนรู้ การสื่อสาร การแก้ปัญหา การทำงาน และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและมีคุณธรรม (กระทรวง

ศึกษาธิการ, 2551)

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 81

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

ใบควา
มรู้

“การเรียนรู้เท่าทันสื่อ (MEDIA LITERACY)” เป็นแนวความคิดที่สำคัญ และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางใน

ระดับสากล ตามที่มีระบุไว้ในยุทธศาสตร์การดำเนินงานด้าน สื่อสารมวลชน ขององค์การยูเนสโก (UNESCO) เป็นการ

ยกระดับการเรียนรู้เท่าทันสื่อให้สูงขึ้นตาม กรอบแนวคิดเรื่อง “การส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออกและการเสริมสร้าง
สมรรถนะในการเข้าถึง ข้อมูลข่าวสารและความรู้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน” (พรทิพย์ เย็นจะบก, 2552) ในศตวรรษ

ที่ 21 ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เท่าทันสื่อ เนื่องจากเป็นทักษะการเรียนรู้ที่จะช่วยให้บุคคลสามารถเข้าใจ ประเมิน

และสร้างสรรค์เนื้อหาสื่อโดยไม่ถูกครอบงำจากสื่อ ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ทั้งต่อตนเอง ครอบครัวและ

สังคมส่วนรวม เพราะหากบุคคลใดในสังคมขาดการรู้เท่าทันสื่อบุคคลนั้น ย่อมตกเป็นเหยื่อของข้อมูลข่าวสาร ดังนั้นทุก

องค์กรในสังคมทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนควร ส่งเสริมและกระตุ้นให้คนในสังคมตระหนักถึงความสำคัญของการ

เรียนรู้เท่าทันสื่อ (บุบผา เมฆศรี ทองคำ, 2554)

นอกจากนั้น การรู้เท่าทันสื่อ คือ การมีทักษะการรู้เท่าทันสื่ออย่างรู้ตัว การที่บุคคลจะรับสื่ออย่างรู้ตัวนั้น ต้องมี

ความสามารถ ตีความ วิเคราะห์ แยกแยะเนื้อหาสาระของสื่อ และสามารถตอบโต้กับสื่อได้อย่างมีสติและรู้ตัว ตลอดจน

สามารถตั้งคำถามว่าสื่อจะถูกสร้างขึ้นอย่างไร (แพรวพรรณ อัคคะประสา, 2557) ควบคู่กับ (POTTER, 2005 อ้างในบุพ

ผา เมฆศรีทองคำ, 2552) กล่าวว่า การรู้เท่าทันสื่อเป็นมุมมองจากการที่บุคคลเปิดรับสื่อและตีความหมายของเนื้อหาสื่อ

ตามที่ได้เปิดรับด้วยความตระหนักถึงผลกระทบของสื่อและมีสติในการเปิดรับโดยวัตถุประสงค์ของการรู้เท่าทันสื่อ คือ

การเสริมสร้างพลังอำนาจของบุคคลเพื่อให้บุคคลควบคุมสื่อ ไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของสื่อ

การนำเอาข่าวหรือเรื่องราวในหนังสือพิมพ์มาวิเคราะห์ตั้งคำถามร่วมกัน ถือเป็นการเรียนหรือฝึกฝนทักษะการคิด

อย่างมีวิจารณญาณในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ (วิจารณ์ พานิช, 2555.)

ดังนั้นหากต้องการให้การสื่อสารสมบูรณ์และเกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย นักสื่อสารควรระวังแนวความคิดที่แตกต่างกัน

ตรงนี้ไว้ด้วย ทักษะการสื่อสารที่สำคัญ ที่สามารถนำมาเป็นแนวทางในการสื่อสารที่สมบูรณ์ (ALISON DOYLE, 2021)

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 82

การสื่อสารในยุคดิจิตอล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 83

การสื่อสารในยุคดิจิตอล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 84

การสื่อสารในยุคดิจิตอล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 85

การสื่อสารในยุคดิจิตอล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 86

การสื่อสารในยุคดิจิตอล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 87

การสื่อสารในยุคดิจิตอล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 88

การสื่อสารในยุคดิจิตอล
เอกสารประกอบ
การบรรยาย

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 89

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

เอกสารอ
้างอ
ิง

กระทรวงศึกษาธิการ. 2551. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ ครั้งที่ 1.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.

กิติมา สุรสนธิ. (2557). ความรู้ทางการสื่อสาร. คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์: บริษัท จามจุรีโปรดักส์ จำกัด.

บุบผาเมฆศรีทองคำ. 2554. “การรู้เท่าทันสื่อ: การก้าวทันบนโลกข่าวสาร = MEDIA LITERACY:
KEEPING PACE WITH INFORMATION AGE.” วารสารนักบริหาร 31 (1): 117-123.

พรทิพย์ เย็นจะบก.2552. ถอดรหัส ลับความคิดเพื่อการรู้เท่าทันสื่อ. พิมพ์ครั้งที่ 1.
กรุงเทพมหานคร: บริษัทออฟเซ็ท ครีเอชั่น.

พิชญาพร ประคองใจ. (2558) หลักนิเทศศาสตร์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เพ็ญนิดา ไชยสายัณห์. (2553). สื่อออนไลน์ นิยามความคิดสร้างสรรค์. เข้าถึงจาก :

HTTPS://WWW.NOVABIZZ.COM/NOVAACE/INTELLIGENCE/CREATIVE_THINKING.HTM
( สืบค้นเมือวันที่ 1 เมษายน 2564 )
พรจรรย์ ไกรวัตนุสสรณ์ และคณะ. (2559). EFFECTIVE COMMUNICATING การสื่อสารอย่างมี
ประสิทธิภาพ. (ONLINE). สืบค้นเมื่อ 09 สิงหาคม 2564 จาก
HTTPS://WWW.SCHOOLOFCHANGEMAKERS.COM/ABOUT/
แพรวพรรณ อัคคะประสา. (2557). แนวคิดและทฤษฎีการรู้เท่าทันสื่อในรู้เท่าทันสื่อ. กรุงเทพมหานคร:
โครงการการสร้างความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาหลักสูตร และส่งเสริมประชาชนในการรู้เท่าทันสื่อ.
วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่21. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 90

การสื่อสารในยุคดิจิตอล

เอกสารอ
้างอ
ิง

วรวุฒิ อ่อนน่วม. (2555). ปรากฏการณ์ทางการสื่อสารยุคดิจิทัล. วารสารวิชาการสมาคม
สถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) ปีที่ 18, ฉบับที่ 2.

สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน. (2564). สื่อออนไลน์ แนวทางการพัฒนาทักษะดิจิทัล.
เข้าถึงจาก : HTTPS://WWW.OCSC.GO.TH/DIGITAL_SKILLS_2561

ALISON DOYLE, (2021). COMMUNICATION SKILLS FOR WORKPLACE SUCCESS.
สืบค้นเมื่อ 09 สิงหาคม 2564 จาก HTTPS://WWW.THEBALANCECAREERS.COM/COMMUNICATION-SKILLS-
LIST-2063779

OXSTRAND, BARBRO. 2009. MEDIA LITERACY EDUCATION – A DISCUSSION ABOUT MEDIA
EDUCATION IN THE WESTERN COUNTRIES, EUROPE AND SWEDEN.
DOCTOR OFPHILOSOPHY THESIS IN DEPARTMENT OF JOURNALISM AND MASS COMMUNICATION,
UNIVERSITY OF GOTHENBURG, SWEDEN.

POTTER, W. JAMES. (2004). THEORY OF MEDIA LITERACY: A COGNITIVE APPROACH. CALIFORNIA:
SAGE PUBLICATIONS.

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 91

การสื่อสารในยุคดิจิตอล
END

LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE
ชั้นปีที่ 1

LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE

ชั้นปีที่ 1

วัตถุประสงค์

1. เพื่อให้นักศึกษาสามารถบอกวิธีการปรับตัวในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
2. เพื่อให้นักศึกษาพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพและปฏิบัติตนเป็นบุคคลที่เรียนรู้ตลอดชีวิตได้

สาระสำคัญ : หน่วยการเรียนรู้ที่เป็นประเด็น (PROBLEM UNIT)

ความเข้าใจในการพัฒนาตนเอง และเปิดรับความรู้ที่หลากหลาย เป็นการเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพและการ

เรียนรู้ตลอดชีวิต

ทักษะในศตวรรษที่ 21 : ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้

การปรับตัวในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น, ทักษะในการประกอบอาชีพ, การเรียนรู้ตลอดชีวิต

เทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ (LEARNING AND ACTIVITY MANAGEMENT)

การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (CO-OPERATIVE LEARNING) เทคนิคเพื่อนคู่คิด (THINK, PARE, SHARE)
การจัดการเรียนรู้แบบอภิปรายกลุ่ม (GROUP DISCUSSION) โดยใช้การโต้วาที (DEBATE)
การส่งเสริมทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (CAREER AND LEARNING SKILLS) ในทักษะการเรียนรู้ใน

ศตวรรษที่ 21

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 94

LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE

ชั้นปีที่ 1

ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม

1. วิทยากรให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแบ่งกลุ่มๆละ 6 หรือ 8 คน พร้อมทั้งเลือกหัวหน้ากลุ่ม
2. ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมชื่อ “ใครควรอยู่รอช่าง”
3. ผู้เข้าร่วมกิจกรรม แสดงบทบาทสมมุติ ตามสถานการณ์ที่กำหนดให้ ดังนี้

"สถานการณ์ คือ บ้านเช่าหลังหนึ่ง มีสมาชิกในบ้านจำนวน 5 คน ในวันหนึ่งจะมีช่างเข้ามาซ่อมแซมอุปกรณ์

ไฟฟ้าในบ้าน จำเป็นต้องมีคนอยู่รอช่าง 1 คน ซึ่งแต่ละคนต่างต้องไปทำงาน" สมาชิกมีดังต่อไปนี้

คนที่ 1 เป็นคุณครู ที่มีภารกิจการสอนและประจำชั้นนักเรียนชั้นประถมศึกษา
คนที่ 2 เป็นพยาบาลในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง
คนที่ 3 เป็นผู้บริหารบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
คนที่ 4 เป็นผู้ประกาศข่าวประจำวันช่องหนึ่ง
คนที่ 5 เป็นข้าราชการบรรจุใหม่ ของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง
คนที่ 6 อาชีพอื่นๆ (สมาชิกในกลุ่มเป็นผู้กำหนด)

ให้สมาชิกจับสลาก คนละ 1 อาชีพ พร้อมทั้งสืบค้นหรือสัมภาษณ์ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทสมมุติที่ได้รับ
ให้แต่ละกลุ่มแสดงบทบาทสมมุติ เพื่ออภิปราย และให้เหตุผลตามบทบาทของตน ว่าใครควรจะอยู่รอช่าง
กลุ่มที่มีสมาชิกมากกว่า 5 คน ให้สมาชิกที่เหลือรับบทเป็นผู้สังเกตการณ์
4. วิทยากรให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทน หรือผู้สังเกตการณ์ นำเสนอข้อสรุปและบรรยากาศของกลุ่มหน้าชั้นเรียน
5. วิทยากรให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสรุปข้อคิดที่ได้รับจากกิจกรรมฯ
6. วิทยากรฉายสไลด์สรุปข้อคิดเรื่อง “LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE”
7. วิทยากรให้ข้อมูลป้อนกลับ (FEEDBACK) กับนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาให้เห็นจุดเด่น จุดที่ควรพัฒนาของ

ตนเอง

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 95

LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE

ชั้นปีที่ 1

สื่อและแหล่งเรียนรู้

เอกสารประกอบการบรรยาย เรื่อง LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE
ห้องกิจกรรม GOOGLE CLASSROOM

การประเมินผลกิจกรรม

แบบประเมินผลงาน
ประเมินผ่านการนำเสนองานในหัวข้อ LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE โดยใช้เกณฑ์การประเมิน

(RUBRIC SCORE 4 ระดับ)

เกณฑ์การผ่านการประเมินกิจกรรม

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะต้องได้รับการตัดสินคุณภาพในระดับดีขึ้นไปทุกรายการประเมิน

ระยะเวลาของกิจกรรม

10 ชั่วโมง

ผู้เข้าร่วมกิจกรรม

นักศึกษาชั้นปีที่ 1

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 96

LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE
ชั้นปีที่ 1

แบบประเมินผลงาน

เกณฑ์การประเมินผล : คะแนนเต็ม 12 คะแนน
คะแนน 12-10 = ดีมาก (4) คะแนน 9-7 = ดี (3)
คะแนน 6-4 = พอใช้ (2) คะแนน 3-0 = ควรปรับปรุง (1)

เกณฑ์การประเมิน “LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE”

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 97

LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE

ใบความรู้

ในกิจกรรม “LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE” จะมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะและความเข้าใจในการพัฒนาตนเอง

การปรับตัวในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การเปิดรับความรู้ที่หลากหลาย เพื่อเป็นการเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพและการ

เรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมีรายละเอียดดังนี้

การเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 เมื่อสังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลง มิติของสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมแบบเดิม

อาจต้องถูกทับซ้อนด้วย แนวคิด รูปแบบวิธีการ ความเชื่อและเทคโนโลยีที่ผุดเกิดขึ้นใหม่ๆตามยุคสมัย ทุกคนข้ามผ่าน

วันเวลาที่ผันเปลี่ยนและยืนหยัดอยู่ให้ได้ในสังคมสมัยใหม่ พัฒนาตนเองให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ของวันนี้และอนาคตข้าง

หน้า ให้สมบูรณ์อย่างเต็มกำลัง สังคมที่โลกเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง การปรับตัว และการบริหารจัดการเพื่อรองรับ

การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น โลกในศตวรรษที่ 21 ถือเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยความเปลี่ยนแปลงดัง

กล่าวมีความ แตกต่างจากศตวรรษที่ 19 และ 20 อย่างสิ้นเชิง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรมในอดีต ได้ถูกแทนที่ด้วย

เศรษฐกิจและบริการ ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ความรู้และนวัตกรรม และไม่ว่าจะหันไปทางใด ก็จะเห็นการนำเทคโนโลยี

ไปใช้ในการเพิ่มผลผลิต แทนการใช้แรงงานแบบเดิม (ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร, 2012)

การเรียนรู้ที่แท้จริง อยู่ในโลกจริงหรือชีวิตจริง การเรียนวิชาในห้องเรียน ยังเป็นการเรียนแบบสมมติ “ดังนั้นครูเพื่อ

ศิษย์จึงต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์” ได้เรียนในสภาพที่ ใกล้เคียงชีวิตจริงที่สุด (วิจารณ์ พานิช, 2555)

จากสถานการณ์นี้เห็นว่าคนที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องมีทักษะในการเผชิญกับโลกที่ซับซ้อนขึ้น จะต้องเป็น ผู้

ที่มีทักษะที่เรียกว่า “ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21” ซึ่งทักษะที่มีความสำคัญอย่างมาก คือ ความสามารถในการปรับตัว

(ADAPTABILITY) ทักษะในด้านนี้ทวีความสำคัญขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจาก เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำ

ให้หลายๆ อย่างมีการเปลี่ยนแปลงตามกันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานสภาพแวดล้อมต่างๆ ในสังคมที่เราอยู่ สิ่งเหล่านี้

ทำให้พนักงานในยุคนี้จำเป็นที่จะต้องมีทักษะในการปรับตัวเข้ากับสิ่ง ใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ใช่พวกที่ต่อต้านการ

เปลี่ยนแปลง หรือยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ คนกลุ่มนี้ยิ่งอยู่ยากขึ้นในยุคปัจจุบัน ควบคู่กันกับ ทักษะในการปรับ

ตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมใหม่ๆ ของประเทศต่างๆ (GLOBAL CITIZENSHIP) เพราะปัจจุบันนี้ เป็นโลกที่ไม่มีพรมแดนใดๆ

ทั้งสิ้น ดังนั้นคนที่จะประสบความสำเร็จจะต้องมีความเป็นประชากรของโลก ก็คือ สามารถที่ จะอยู่ที่ไหนก็ได้ สามารถที่

จะปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีความเข้าใจคนจาก ประเทศต่างๆ ด้วย เพราะ

เราอาจจะต้องทำงานกับคนต่างชาติต่างภาษามากขึ้น ถ้าเราเข้าใจเขาได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำ ให้เราได้เปรียบในการ

ทำงานมากขึ้นเท่านั้น

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 98

LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE

ใบความรู้

การปรับตัว (ADAPT TO CHANGE) ปรับไปตามบทบาท งาน ความรับผิดชอบ ตาราง และ สภาพแวดล้อม ทำงาน

อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพที่คลุมเครือ ลำดับความสำคัญเกิดการเปลี่ยนแปลง ความยืดหยุ่น (FLEXIBLE) ให้ข้อเสนอ

แนะอย่างมีประสิทธิภาพ ดูแลด้วยทัศนคติเชิงบวกต่อคำยกย่อง ความล้มเหลว และ คำวิจารณ์

ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (FLEXIBILITY AND ADAPTABILITY) เป็นทักษะเพื่อการเรียนรู้ การทำงาน และการ

เป็นพลเมืองในศตวรรษที่ 21 เป็นความยืดหยุ่นและปรับตัวเพื่อ บรรลุเป้าหมาย ไม่ใช่ยืดหยุ่นและปรับตัวแบบไร้หลัก

การและเลื่อนลอย การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว รุนแรง และไม่คาดฝันอย่างที่เป็นอยู่ใน โลกปัจจุบัน และรุนแรงขึ้นใน

อนาคต ทำให้การวางแผนการทำงานแบบ ตายตัวใช้ไม่ได้ผล มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 จึงต้องมีความสามารถสูงใน การ

ยืดหยุ่นและปรับตัวเพื่อบรรลุเป้าหมายและคุณค่า

การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต้องเตรียมคนออกไปเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ (KNOWLEDGE WORKER) และเป็น

บุคคลพร้อมเรียนรู้ (LEARNING PERSON) ไม่ว่าจะประกอบสัมมาชีพใด มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ต้องเป็นบุคคลพร้อม

เรียนรู้ และเป็นคนทำงานที่ใช้ความรู้ แม้จะเป็นชาวนาหรือเกษตรกรก็ต้องเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้ และเป็นคนทำงานที่ใช้

ความรู้ ดังนั้น ทักษะสำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 21 จึงเป็นทักษะของการเรียนรู้ (LEARNING SKILLS)

การศึกษาในศตวรรษที่ 21 จำต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะต้องเตรียมคนไปเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว รุนแรง พลิก

ผัน และคาดไม่ถึง คนยุคใหม่จึงต้องมีทักษะสูงในการเรียนรู้และปรับตัว
นอกเหนือจากเรียนรู้ทักษะในงานของตนโดยตรงแล้ว สามารถมองเห็นโอกาสเรียนรู้ใหม่ ๆ เพื่อขยายความเชี่ยวชาญ

ของตนเพื่อเผชิญการเปลี่ยนแปลงแล้ว การทำงานในอนาคตยัง เผชิญภาวะที่มีทรัพยากรจำกัด ตั้งแต่เวลา และ

ทรัพยากรอื่นๆ โดยต้อง ทำงานให้เข้าจังหวะกับงานส่วนอื่นในภาพใหญ่ และงานส่วนอื่นนั้นอาจอยู่ ในส่วนอื่นของโลกที่

ห่างไกล เป็นสภาพที่ต้องการความยืดหยุ่นและปรับตัว และเงื่อนไขของการปรับตัวอาจอยู่ที่การแข่งขันกับคู่แข่ง การ

ปรับตัวที่สุดยอดคือ การใช้วิกฤติเป็นโอกาส ใช้ปัญหาเป็นโอกาส หาทางออกอย่างสร้างสรรค์สุดๆ ซึ่งจะเกิดการเรียนรู้

สูงสุด ยิ่งโครงการมี ความยากและซับซ้อนมากเพียงใด พนักงานก็มีโอกาสใช้และเรียนรู้ทักษะ ด้านความยืดหยุ่นและ

ปรับตัวมากเพียงนั้น (วิจารณ์ พานิช, 2555.)

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 99

LIVE AND LEARN ON YOUR LIFE

ใบความรู้

นอกจากนี้ในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต (LIFELONG LEARNING) คือ รูปแบบหนึ่งของการศึกษา

ที่เริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง (SELF-INITIATED STUDY) ซึ่งเน้นการพัฒนาส่วนบุคคล โดยไม่เกี่ยงว่าจะอยู่ในวัย

ไหนก็สามารถเรื่องรู้ได้ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด และถึงแม้ว่าจะไม่มีคำจำกัดความที่เป็นมาตรฐานของ LIFELONG

LEARNING แต่โดยทั่วไปมักถูกนำไปอ้างถึงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนอกสถาบันการศึกษาในระบบ (JANNE HIETALA,

2019)เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือการฝึกอบรมขององค์กร อย่างไรก็ตาม LIFELONG LEARNING ไม่จำเป็นต้อง

จำกัดตัวเอง (CROPLEY AND DAVE, 1978) และ (KAMBLE AND SIDHAYE, 2010) มองว่า การเรียนรู้ตลอดชีวิตหรือ

การศึกษาตลอดชีวิตเป็นการศึกษาที่มีการผสมผสานกัน โดยที่มองว่าบุคคลควรได้รับการศึกษาทุกช่วงเวลาตลอดชีวิต

ของเขา การศึกษาในโรงเรียนเป็นเพียงช่วงหนึ่งของชีวิตเท่านั้นจึงไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมความต้องการของชีวิต

ทั้งหมดได้ ช่วงชีวิตที่ยาวนานที่สุดของบุคคลคือหลังจบจากโรงเรียนไปแล้ว ดังนั้น การศึกษาหรือการเรียนรู้จาก

ภายนอกโรงเรียนจึงมีความสำคัญแก่บุคคลมาก และควรจะใช้วิธีการที่หลากหลาย ซึ่งการศึกษาและการเรียนรู้ควรจะ

ประสานกันหลายๆ ส่วน ทั้งในโรงเรียนและแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ โดยมีทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และ

การศึกษา ตามอัธยาศัย ซึ่งแหล่งการเรียนรู้ควรจะเป็นลักษณะของเครือข่ายที่ผสมผสานรูปแบบและแหล่งการเรียนรู้ที่

อยู่ในชุมชนและควรมีความสัมพันธ์กับชีวิตจริง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชา

ติพ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 เกิดขึ้น มีการ กล่าวถึงการจัดการศึกษาที่

ผสมผสาน และเชื่อมโยงระหว่างการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้บุคคล

สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ให้ความสำคัญกับ การศึกษาตลอดชีวิต (LIFELONG

EDUCATION)

ชุดฝึกทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย 100


Click to View FlipBook Version