The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กฎหมายอาญา มจร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suchart.mcu, 2023-08-10 06:48:24

กฎหมายอาญา มจร

กฎหมายอาญา มจร

ค ำน ำ เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมำยอำญำ (๔๐๑ ๔๑๘) เล่มนี้ จัดท าขึ้นเพื่อ เผยแพร่ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายอาญาและลักษณะของกฎหมายอาญา บทนิยาม ขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายอาญา สาระส าคัญของความรับผิดทางอาญา สาระส าคัญทาง จิตใจ การพยายามกระท าความผิด เหตุยกเว้นความผิด เหตุยกเว้นโทษ เหตุลดหย่อนผ่อน โทษ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระท าความผิด การกระท าความผิดหลายบทหรือหลายกระทง และการกระท าความผิดอีก โทษในทางอาญา และวิธีการเพื่อความปลอดภัย ตลอดจนเพื่อ เป็นการพัฒนาองค์ความรู้ส าหรับนิสิตและพัฒนาผลงานทางวิชาการส าหรับบุคคลทั่วไป เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ เป็นรายวิชาหนึ่งของหมวดวิชาเฉพาะด้านทาง รัฐประศาสนศาสตร์ ที่ผู้ศึกษาตามหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเป็นพื้นฐานส าคัญในการศึกษารายวิชากฎหมายอาญา ในทรรศนะของผู้เขียน “กฎหมายอาญา” เป็นเรื่องราวที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้เนื่องจากวิชา กฎหมายอาญา เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการป้องกันสังคมให้เกิดความสงบเรียบร้อย โดยก าหนดว่าการกระท าใดเป็นความผิดอาญาและก าหนดโทษของผู้ฝ่าฝืนไว้ ผู้ศึกษาจึง จ าเป็นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของรายวิชาอย่างกระจ่างชัด อีกทั้งน่าจะเป็น ประโยชน์ต่อการน าความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตประจ าวันและในสังคมได้ เป็นอย่างดี ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้จะยังประโยชน์ต่างๆ ให้ เกิดขึ้นกับคณาจารย์ นิสิต ตลอดจนผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับองค์ความรู้ด้านกฎหมายอาญา ไม่มากก็น้อย คุณความดีที่เกิดจากประโยชน์ของเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ ขอมอบ ให้กับบิดาและมารดาของผู้เขียน อนึ่ง หากมีข้อบกพร่องผิดพลาดประการใดเกิดขึ้นในส่วน ต่างๆ ของเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ ผู้เขียนขอน้อมรับไว้เพื่อจะได้น าไปปรับปรุงแก้ไข ในโอกาสต่อไป ดร.สุกำนดำ จันทวำรีย์


ข สารบัญ หน้า ค าน า ก สารบัญ ข บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายอาญาและลักษณะของกฎหมายอาญา 1 ความหมายของกฎหมายอาญา 2 วัตถุประสงค์ของกฎหมายอาญา 6 ทฤษฎีกฎหมายอาญา 10 ค าถามท้ายบท 16 อ้างอิงประจ าบท 17 บทที่ 2 บทนิยาม 18 ความหมายของ “บทนิยาม” ตามกฎหมาย 19 บทนิยามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา 19 ค าถามท้ายบท 39 อ้างอิงประจ าบท 40 บทที่ 3 ขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายอาญา 41 เวลาที่กฎหมายอาญาใช้บังคับ 42 สถานที่ที่กฎหมายอาญาใช้บังคับ 49 ค าถามท้ายบท 59 อ้างอิงประจ าบท 60 บทที่ 4 สาระส าคัญของความรับผิดทางอาญา 61 สาระส าคัญของความผิด 63 สาระส าคัญทางการกระท า 64 การกระท าโดยงดเว้น 68 การกระท าโดยละเว้น 70 ค าถามท้ายบท 74 อ้างอิงประจ าบท 75


ค สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 5 สาระส าคัญทางจิตใจ 76 กระท าโดยเจตนา 77 ความส าคัญผิด 82 การกระท าโดยพลาด 91 ค าถามท้ายบท 104 อ้างอิงประจ าบท 105 บทที่ 6 การพยายามกระท าความผิด 106 พยายามกระท าความผิดธรรมดา 111 พยายามกระท าความผิดซึ่งการกระท านั้นไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ 114 ค าถามท้ายบท 120 อ้างอิงประจ าบท 121 บทที่ 7 เหตุยกเว้นความผิด 122 ผู้กระท ามีอ านาจตามกฎหมาย 123 การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย 123 ภยันตรายที่ใกล้จะถึง 127 ผลของการกระท าโดยป้องกัน 132 ความยินยอมของผู้เสียหาย 135 ค าถามท้ายบท 136 อ้างอิงประจ าบท 137 บทที่ 8 เหตุยกเว้นโทษ 138 เหตุที่กฎหมายยกเว้นโทษส าหรับการกระท า 139 กระท าความผิดด้วยความจ าเป็น 139 กระท าตามค าสั่งของเจ้าพนักงาน 146 เหตุที่เกี่ยวกับความไม่สามารถรู้ผิดรู้ชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ 151 การกระท าความผิดของคนวิกลจริต 151 การกระท าความผิดขณะมึนเมา 153


ง สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 8 เหตุยกเว้นโทษ (ต่อ) เหตุเพราะอ่อนด้วยอายุ 155 เหตุเพราะความสัมพันธ์ทางสมรส 158 ค าถามท้ายบท 160 อ้างอิงประจ าบท 161 บทที่ 9 เหตุลดโทษ 162 ความสัมพันธ์ทางสมรสหรือญาติ 163 บันดาลโทสะ 164 กรณีที่เป็นเหตุบรรเทาโทษ 176 ค าถามท้ายบท 179 อ้างอิงประจ าบท 180 บทที่ 10 ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระท าความผิด 181 ตัวการ 182 ผู้ใช้ 192 ผู้โฆษณาหรือประกาศ 196 ผู้สนับสนุน 197 ขอบเขตความรับผิดของผู้ใช้ผู้โฆษณาหรือผู้ประกาศ และผู้สนับสนุน 206 เหตุเกี่ยวกับตัวบุคคลและกระท าความผิด 208 ค าถามท้ายบท 211 อ้างอิงประจ าบท 212 บทที่11 การกระท าความผิดหลายบทหรือหลายกระทงและการกระท าผิดอีก 213 การกระท าความผิดหลายบท 214 การกระท าความผิดหลายกระทง 219 โทษของการกระท าผิดหลายกระทง 222 การกระท าความผิดอีก 223 ค าถามท้ายบท 226 อ้างอิงประจ าบท 227


จ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 12 โทษในทางอาญา 228 ชนิดของโทษและหลักเกณฑ์ของโทษอาญา 230 วิธีเพิ่มโทษและลดโทษ 244 การรอการก าหนดโทษและการรอการลงโทษ 247 การระงับของโทษหรือความผิด 251 อายุความ 252 ค าถามท้ายบท 254 อ้างอิงประจ าบท 257 บทที่ 13 วิธีการเพื่อความปลอดภัย 258 การใช้บังคับวิธีการเพื่อความปลอดภัย 259 ชนิดของวิธีการเพื่อความปลอดภัย 260 ค าถามท้ายบท 264 อ้างอิงประจ าบท 265 บรรณานุกรม 266 ภาคผนวก 268 รายละเอียดมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา (มคอ.๓) 269


บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมายอาญาและลักษณะของกฎหมายอาญา วัตถุประสงค์การเรียนประจ าบท 1. อธิบายความหมายและระบบของกฎหมายอาญาได้ 2. อธิบายวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของกฎหมายอาญาได้ 3. อธิบายทฤษฎีกฎหมายอาญาได้ ขอบข่ายเนื้อหา 1. ความหมายของกฎหมายอาญา 2. วัตถุประสงค์ของกฎหมายอาญา 3. ทฤษฎีกฎหมายอาญา วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจ าบท 1. การบรรยาย 2. การศึกษาเอกสารประกอบการสอน 3. ท าแบบฝึกหัดท้ายบท สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ประมวลกฎหมายอาญา


2 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 1.1 ความหมายของกฎหมายอาญา อาจพิจารณาความหมายของกฎหมายอาญาได้2 นัยคือ นัยอย่างแคบและนัยอย่างกว้าง ปกติ นักกฎหมายและนักศึกษากฎหมายมักจะมองกฎหมายอาญาในขอบเขตที่แคบกว่าคนทั่วไปเข้าใจกัน ทั้งนี้เนื่องจากการจ ากัดเนื้อหาของวิชากฎหมายอาญาที่สอนในคณะนิติศาสตร์ต่างๆซึ่งจ ากัดเฉพาะแต่ กฎหมายอาญาสารบัญญัติ (substantive criminal law) เท่านั้น กฎหมายอาญาสารบัญญัติเป็น กฎหมายที่ว่าด้วยค าจ ากัดความของความผิดอาญาทั่วไป กล่าวคือบัญญัติว่าด้วยการกระท าใดในภาวะ ของจิตประการใด ประกอบด้วยพฤติการณ์หรือผลเช่นใด จึงจะถือเป็นความผิดอาญาแต่ละความผิด อีกนัยหนึ่ง กฎหมายอาญาสารบัญญัติก็คือ กฎหมายที่ก าหนดว่าการกระท าใดเป็นความผิดอาญาและ จะลงโทษอย่างใด พิจารณาโดยนัยนี้ กฎหมายอาญาและกฎหมายอาญาสารบัญญัติก็มีความหมาย เดียวกันคือ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการกระท าความผิดและก าหนดโทษที่จะลงแก่ผู้กระท าความผิดนั้น อย่างไรก็ตาม นิสิตก็ควรทราบถึงความหมายอย่างกว้างของกฎหมายอาญาไว้ด้วย โดยนัยอย่าง กว้างกฎหมายอาญามีความหมายรวมทั้งกฎหมายอาญาสารบัญญัติกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่ง เกี่ยวด้วยขั้นตอนในการด าเนินคดีอาญา เริ่มแต่การสอบสวนไปจนกระทั่งการสิ้นสุดแห่งโทษ และยัง ครอบคลุมถึงความสัมพันธ์ทางกฎหมายที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา (administration criminal justices) ด้วย กระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้นมีจุดมุ่งหมายที่จะด าเนินคดีบุคคลซึ่งถูก กล่าวหาว่ากระท าความผิดอาญา ขั้นต้นต ารวจเป็นผู้รับผิดชอบในการรวบรวมพยานหลักฐาน จับกุม และสอบสวนผู้ต้องหาว่าได้กระท าความผิด ล าดับต่อมาพนักงานอัยการจะพิจารณาพยานหลักฐานที่ ต ารวจรวบรวมมานั้น และวินิจฉัยว่าควรฟูองผู้ต้องหาหรือไม่ ขณะเดียวกันผู้ต้องหาก็อาจมีทนาย รับผิดชอบในการเตรียมต่อสู้คดี ในขั้นพิจารณาคดีศาลหรือผู้พิพากษาจะท าหน้าที่เป็นคนกลางรักษา กติกา เพื่อให้พนักงานอัยการและทนายปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายที่เกี่ยวกับการเสนอพยาน สืบพยาน และถามค้านพยาน ในระหว่างพิจารณาคดีนี้พนักงานคุมประพฤติก็อาจจะสอบสวนและทา รายงานข้อเท็จจริง เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของจ าเลยเสนอต่อศาลเพื่อประกอบดุลพินิจในการ พิพากษาคดี ถ้าศาลพิพากษาว่าจ าเลยกระท าผิดแต่ให้คุมประพฤติไว้ พนักงานคุมประพฤติจะเป็นผู้ สอดส่องดูแลความประพฤติของจ าเลย แต่ถ้าศาลพิพากษาลงโทษจ าคุกจ าเลย ฝุายราชทัณฑ์ก็จะ รับผิดชอบในการจ าคุกจ าเลยไว้ จนกว่าคณะกรรมการพักการลงโทษเห็นสมควรให้พักการลงโทษแก่ จ าเลยหรือจนกว่าจ าเลยได้รับโทษจ าคุกครบก าหนดแล้ว จ าเลยก็จะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ ออกไปด าเนินชีวิตในชุมชนตามปกติอีก ที่กล่าวมานี้เป็นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่สมบูรณ์ทุก ขั้นตอน Justin Miller Criminal Lsw. St. Paul, Minn. : West Publishing Co., 1984 ,p.2. Wayne R. LaFave & Austin W. Scott. Jr. Criminal Law. St. Paul, Minn. : West Publishing Co., 1972 ,p.1. H.A. Palmer. Harris’s Criminal Law. 20th ed. London: Swett & Maxwell Ltd., 1960 ,p.3. Justin Miller Criminal Law. ,p.2. LaFave & Scott. Criminal Law. ,p.5.


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 3 นอกจากกระบวนการขั้นตอนดังกล่าว ปวอ.มาตรา 28 บัญญัติให้ผู้เสียหายมีอ านาจฟูอง คดีอาญาได้เองด้วย ฉะนั้น ถ้าผู้เสียหายฟูองคดีเอง ต ารวจและพนักงานอัยการจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องใน กระบวนการยุติธรรมทางอาญา ส าหรับวิชากฎหมายอาญาที่จะศึกษากันต่อไปนั้น เป็นการศึกษากฎหมายอาญาในความหมาย อย่างแคบคือ ศึกษาเฉพาะกฎหมายอาญาสารบัญญัติและแคบลงไปอีกคือ จ ากัดแต่บทบัญญัติใน ประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น ซึ่งประมวลกฎหมายอาญานี้เป็นเพียงกฎหมายฉบับหนึ่งในบรรดา กฎหมายอาญาสารบัญญัติที่มีอยู่มากมายในประเทศไทย ทั้งนี้ด้วยเหตุผลว่าประมวลกฎหมายอาญาเป็น แม่บทของกฎหมายอาญาทั้งปวง และหลักเกณฑ์ในประมวลกฎหมายอาญานี้จะต้องน าไปใช้บังคับใน กฎหมายอื่นๆด้วย ฉะนั้น หากนักศึกษามีความรู้กฎเกณฑ์ต่างๆในประมวลกฎหมายอาญาดีแล้ว ก็ สามารถตีความกฎหมายอื่นได้ เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้วจะกล่าวถึงความหมายของประมวลกฎหมายอาญาโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า กฎหมายอาญาคือ กฎหมายซึ่งมีความมุ่งหมายในอันที่จะปูองกันความเสียหาย ต่อสังคมโดยบัญญัติว่าการกระท าใดเป็นความผิดและก าหนดโทษที่จะลงแก่การกระท านั้น ความผิด บางความผิดอาจมีกระท าหลายอันมิใช่การกระท าเดียว เช่น ความผิดฐานชิงทรัพย์จะต้องมีการลัก ทรัพย์และการใช้ก าลังประทุษร้าย ค าว่า “การกระท า” ในที่นี้มีความหมายครอบคลุมสาระส าคัญ 2 ประการ คือ (1) การกระท า โดยตรงหรือการละเว้นกระท าในกรณีที่มีหน้าที่จะต้องกระท าและ (2) ภาวะของจิตที่มีอยู่ในการกระท า นั้น ฉะนั้นบทบัญญัติ(ค าจ ากัดความ) ความผิดฐานใดฐานหนึ่งจะบอกให้ทราบว่า การกระท าใด (หรือ การละเว้น) ในภาวะของจิตเช่นใดจึงจะถือว่าเป็นการกระท าผิดฐานนั้น อย่างไรก็ตามในบางฐาน ความผิดนอกจากจะต้องมีการกระท าหรือละเว้นการกระท าและภาวะของจิตแล้ว ยังต้องมีพฤติการณ์ อื่นประกอบด้วย นอกจากนี้ความผิดบางฐานยังต้องมีผลอย่างใดอย่างหนึ่งของการกระท าหรือละเว้นนั้น เกิดขึ้นด้วย จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่าการกระท าจะเป็นความผิดอาญาต่อเมื่อมี บทลงโทษการกระท านั้นด้วย ฉะนั้น ความผิดอาญาจึงประกอบด้วย 2 ส่วน คือการกระท าที่กฎหมาย ห้ามและโทษที่จะลงล าพัง แต่การกระท าโดยไม่มีโทษไม่เป็นความผิดอาญา โทษในความผิดอาญามี5 ประการ คือ ประหารชีวิต จ าคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน ฉะนั้นกฎหมายหรือพระราชบัญญัติใดๆ ที่บัญญัติให้ลงโทษเช่นนี้แก่การกระท าความผิดตามกฎหมายนั้นๆ เรียกว่าเป็นกฎหมายอาญาทั้งสิ้น เช่น พรบ.ยาเสพติด พรบ.ความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พรบ.ศุลกากร พรบ.ลิขสิทธิ์ ฯลฯ หรือแม้แต่ ประกาศคณะปฏิวัติบางฉบับ โดยปกติมาตราที่บัญญัติความผิดแต่ละความผิดมักจะลงท้ายด้วยข้อความที่ก าหนดการลงโทษ เช่น มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระท า ความผิดฐานลักทรัพย์ต้องระวางโทษจ าคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกพันบาท” หรือบางทีมาตรา เรื่องเดียวกัน หน้า 5.


4 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา หนึ่งเพียงแต่บัญญัติการกระท าที่ถือว่าเป็นความผิด แต่บทลงโทษอ้างมาตราอื่น เช่น ความผิดตาม มาตรา 268 เป็นต้น การที่กฎหมายอาญาบัญญัติลงโทษแก่ผู้กระท าความผิดนั้น มีวัตถุประสงค์ประการหนึ่งคือ เพื่อ ปูองกันความเสียหายต่อสังคม กล่าวให้ชัดลงไปอีกก็เพื่อปูองกันอันตรายต่ออนามัย ความปลอดภัยและ ศีลธรรมของส่วนรวม วัตถุประสงค์นี้บรรลุผลได้ก็ด้วยการลงโทษผู้ที่ก่อความเสียหายขึ้น และโดยการขู่ จะลงโทษผู้ที่คิดจะก่อความเสียหายแก่บุคคลอื่น บางกรณีความเสียหายที่กฎหมายอาญาประสงค์จะ ปกปูองจะเป็นเรื่องทางรูปธรรม เช่น การฆ่าคนหรือท าร้ายคนในความผิดฐานฆ่าหรือท าร้ายร่างกาย การเผาบ้านในความผิดฐานวางเพลิง การสูญเสียทรัพย์สินในความผิดฐานลักทรัพย์ บางกรณีความ เสียหายนั้นอาจเป็นเรื่องทางนามธรรม เช่น ความเสียหายต่อเกียรติยศชื่อเสียงในความผิดฐานหมิ่น ประมาท บางกรณีความเสียหายที่จะปูองกันก็อาจเป็นเพียงสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งอันน่า หวาดเสียว หรือจะก่ออันตรายขึ้น เช่น ความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่ก าหนด หรือความผิดฐานเป็น ซ่องโจร ซึ่งเมื่อการกระท าของผู้กระท าความผิดยุติลง สังคมมิได้รับความเสียหายแท้จริงอย่างใด ไม่ว่า ในทางร่างกาย ทรัพย์สิน หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม กฎหมายอาญานั้นเป็นเพียงสาขาหนึ่งของอาชญากรรมศาสตร์ (criminal science) หรือ ศาสตร์อันว่าด้วยการกระท าความผิดอาญาซึ่งมุ่งศึกษาเพื่อค้นหาสาเหตุของอาชญากรรม และหาวิธีการ ที่มีประสิทธิภาพในการปูองกันอาชญากรรม รวมทั้งเพื่อปรับปรุงกลไกทางสังคมส าหรับจัดการกับ ผู้กระท าความผิดให้สมบูรณ์ขึ้น อาชญากรรมศาสตร์แบ่งเป็น 3 สาขา คือ อาชญาวิทยา นโยบายทาง อาญา และกฎหมายอาญา อาชญาวิทยาจะเน้นในเรื่องสาเหตุของการกระท าความผิดทั้งในแง่สภาพ ทางกายและจิตใจของผู้กระท าความผิดตลอดทั้งสภาพแวดล้อมต่างๆ ส่วนนโยบายทางอาญา (criminal policy) เป็นสาขาที่ศึกษาถึงมาตรการอันเหมาะสมที่จะน ามาใช้ในการปูองกันการกระท าความผิด และ การปฏิบัติต่อผู้กระท าความผิด ส่วนกฎหมายอาญานั้นเป็นเรื่องการตัดสินใจของสังคมว่าการกระท าใดที่ ควรถือเป็นการประทุษร้ายกัน ส่วนทางแพ่งเป็นเรื่องผู้เสียหายฟูองร้องเรียกว่าเสียหายกันเอง และการ กระท าใดอันควรต้องใช้สภาพบังคับทางอาญาเข้าจัดการรวมทั้งการใช้สภาพบังคับที่เหมาะสมในแต่ละ คดี ซึ่งมีตั้งแต่โทษประหารชีวิตหรือริดรอนเสรีภาพในระดับต่างๆจนถึงการคุมประพฤติหรือเพียงว่า กล่าวตักเตือน ในทุกสังคมศีลธรรมย่อมมีอิทธิพลอยู่มากในการบัญญัติกฎหมายอาญา ดังเช่น ข้อก าหนดในศีล ห้าอันเป็นหลักจริยธรรมของสังคมไทยมาแต่โบราณ บางข้อถูกน ามาบัญญัติไว้ในกฎหมายอาญา อย่างไร ก็ตามแม้ว่าความประพฤติที่ผิดศีลธรรมและความผิดอาญาจะเกี่ยวข้องกันแต่มิได้เป็นสิ่งเดียวกัน การ กระท าหรือความประพฤติต่างๆมากมายที่สังคมถือว่าผิดศีลธรรม แต่หาเป็นความผิดอาญาไม่ เช่น การ ดื่มสุรา การพูดเท็จ การมีภรรยาหลายคนในขณะเดียวกัน แม้จะเป็นเรื่องผิดศีลธรรมก็ไม่ถือว่าเป็น ความผิดอาญา J.W.G. Turner. Kenny’s Outline of Criminal Law. 18th ed. London : Sweet & Marwell, 1962, p.5.


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 5 ตรงกันข้าม การกระท าที่ถือว่าไม่ผิดศีลธรรม แต่เป็นความผิดอาญาก็มีเหมือนกัน เช่น ในกรณี กระท าโดยประมาท หรือในกรณีความรับผิดทางอาญาโดยเคร่งครัดหรือความรับผิดในการกระท าของ ผู้อื่น เป็นต้น ความผิดทางกฎหมายอาญาของแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกันไป การกระท าอย่างเดียวกันอาจ เป็นความผิดตามกฎหมายอาญาในประเทศหนึ่ง แต่ไม่เป็นความผิดในอีกประเทศหนึ่ง เช่น การมีภริยา 2 คน ในขณะเดียวกันเป็นความผิดฐาน bigamy ในประเทศอังกฤษ หรือสหรัฐอเมริกา แต่การกระท านี้ ในประเทศไทยไม่ถือเป็นความผิดอาญา กฎหมายอาญาของประเทศต่างๆอาจแบ่งได้เป็น 2 ระบบ ดังนี้ 1. ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์(Common Law) ซึ่งเป็นระบบที่กฎหมายอาญามิได้บัญญัติใน รูปที่เป็นประมวลกฎหมาย 2. ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ (Civil Law) ซึ่งเป็นระบบที่บัญญัติกฎหมายอาญาในรูปประมวล กฎหมาย หรือเรียกว่าระบบประมวลกฎหมาย ส าหรับระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ซึ่งกฎหมายอาญาที่มิได้จัดท าในรูปประมวลกฎหมายนั้น ได้แก่ กฎหมายอาญาของประเทศอังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์เป็นต้น ในประเทศเหล่านี้ การกระท าจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ซึ่งมิได้เป็นกฎหมายลายลักษณ์ อักษร ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์เป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นโดยค าพิพากษาของศาล แต่ในประเทศ ดังกล่าวก็มีกฎหมายอาญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรเหมือนกันเรียกว่าพระราชบัญญัติ (statute) เพื่อ บัญญัติความผิดไว้ให้ชัดเจน ฉะนั้นตามระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ การที่จะทราบว่าการกระท า อย่างไรจึงจะเป็นความผิดอาญา จึงต้องอาศัยการศึกษาค าพิพากษาของศาลที่ได้ตัดสินไว้เป็นแบบแผน โดยเหตุนี้ในประเทศที่มิได้จัดท ากฎหมายอาญาในรูปประมวลกฎหมาย ความผิดในทางกฎหมายอาญา จึงต้องอาศัยแบบแผนค าพิพากษาของศาลนามาเปรียบเทียบกับคดีที่เกิดขึ้น ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ซึ่งมีกฎหมายอาญาที่จัดท าในรูปประมวลกฎหมายนั้น ได้แก่กฎหมาย อาญาของประเทศฝรั่งเศส เยอรมัน ออสเตรเลีย สวิสเซอร์แลนด์อิตาลีสเปน ญี่ปุุน ฟิลิปปินส์ ไทย เป็นต้น ในประเทศเหล่านี้ปัญหาว่าการกระท าใดจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ย่อมแล้วแต่ว่ามีกฎหมาย ลายลักษณ์อักษรบัญญัติความผิดไว้หรือไม่ ถ้าไม่บัญญัติไว้ก็ไม่เป็นความผิด (nulla crimen sine lege) ในระบบกฎหมายซีวิลลอว์(ระบบประมวลกฎหมาย) ค าพิพากษาของศาลหรือจารีตประเพณีจึงไม่มีทาง ที่จะสร้างความผิดอาญาขึ้นได้ความผิดในทางกฎหมายอาญาของประเทศที่ใช้ประมวลกฎหมายจึงต้อง อาศัยกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ออกโดยฝุายนิติบัญญัติเป็นหลัก ฉะนั้นเพียงแต่ศึกษาจากกฎหมายที่ บัญญัติไว้แล้วก็สามารถรู้ได้ว่าการกระท าใดเป็นความผิดหรือไม่ และจะต้องรับโทษอย่างไร แค่ไหนเมื่อ เป็นเช่นนี้ความส าคัญจึงอยู่ที่ตัวบทมาตรา การตีความวางหลักเกณฑ์ของความผิดจะต้องมาจากตัวบท มาตราเท่านั้น กล่าวคือ ต้องอธิบายให้เห็นได้ว่ามาจากถ้อยค าใดบทมาตราใด และจะสร้างหลักเกณฑ์ ขึ้นนอกเหนือตัวบทย่อมไม่ได้


6 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 1.2 วัตถุประสงค์ของกฎหมายอาญา กล่าวโดยกว้างๆกฎหมายอาญามีความมุ่งหมายในอันที่จะบังคับให้บุคคลประพฤติในสิ่งที่สังคม ปรารถนาและปูองกันมิให้มีการประพฤติในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาของสังคม และเนื่องจากบทบัญญัติใน กฎหมายอาญามีลักษณะในทางลงโทษกรรมชั่วมิใช่บ าเหน็จต่อกรรมดีฉะนั้นกฎหมายอาญาจึงเน้นใน เรื่องการปูองกันกรรมชั่วยิ่งกว่าสนับสนุนกรรมดี ในการบัญญัติลงโทษการกระท าหรือความประพฤติอย่างใดอย่างหนึ่ง กฎหมายอาญามุ่งเพียง มาตรฐานความประพฤติในระดับเพียงพอดีมิใช่หวังต่อความประพฤติอันสูงส่งอย่างของผู้ทรงศีล หรือ ถึงขนาดเป็นวีรกรรมการเสี่ยงชีวิตฝุาเปลวไฟเข้าไปช่วยเด็กที่ติดอยู่ในอาคารซึ่งก าลังถูกไฟไหม้ย่อมเป็น การกระท าที่ควรแก่การสดุดีแต่ใช่ว่ากฎหมายอาญาจะลงโทษการกระท าที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่นนั้น อีก ประการหนึ่งในสังคมของเราการมีภริยาคนเดียวถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักจริยธรรม กระนั้น กฎหมายอาญาหาได้เอาผิดกับผู้ที่ไม่สามารถประพฤติได้ตามฐานนี้ไม่ ปรัชญาของกฎหมายอาญาที่มุ่งจะคุ้มครองปูองกันส่วนได้เสียต่างๆของสังคมให้พ้นจากการ ประทุษร้ายโดยถือเกณฑ์ความประพฤติในระดับหนึ่ง จึงเป็นมูลฐานของความผิดในกฎหมายอาญา เช่น การคุ้มครองความมั่นคงของรัฐ การคุ้มครองกระบวนการยุติธรรม การคุ้มครองความสงบเรียบร้อย แห่งสังคม การคุ้มครองมิให้ถูกกระทาย่ายีทางเพศ การคุ้มครองเกียรติยศชื่อเสียง การคุ้มครอง สวัสดิภาพของตัวบุคคล และการคุ้มครองทรัพย์สินของบุคคล ตลอดจนการคุ้มครองอนามัยของ ส่วนรวม และการคุ้มครองส่วนได้เสียอื่นๆ แต่ในการปูองกันความประพฤติอันกระทบกระเทือนต่อ ส่วนได้เสียของส่วนรวมนั้น สังคมมิได้ใช้ล าพังแต่กฎหมายอาญา การศึกษาอบรมทั้งที่บ้านและโรงเรียน ให้รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรประพฤติเป็นสิ่งส าคัญยิ่งนอกจากนี้มีปัจจัยอื่นๆอีก เช่น ศาสนาซึ่งมุ่งที่จะ แยกแยะระหว่างความดีและความชั่ว ความปรารถนาของตัวเองที่จะได้รับความรัก ความเคารพนับถือ จากครอบครัวมิตรสหาย และเพื่อนร่วมงาน ก็มีอิทธิพลไม่น้อยต่อการยับยั้งมิให้บุคคลประพฤติในสิ่งที่ สังคมไม่ยอมรับ ในด้านกฎหมายแพ่ง ซึ่งบังคับให้ผู้ที่ก่อความเสียหายแก่บุคคลอื่นต้องชดใช้ค่าเสียหาย ที่ก่อขึ้นเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่บังคับให้บุคคลประพฤติไปตามครรลองที่สังคมปรารถนา อย่างไรก็ตาม นับแต่โบราณกาลมาแล้วที่สังคมมนุษย์โดยทั่วไปตระหนักว่ากฎหมายอาญาเป็น สิ่งจ าเป็นยิ่งต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม มาตรการที่กฎหมายอาญาน ามาใช้เพื่อคุ้มครองส่วนได้เสีย ของสังคม และชักน าให้สมาชิกของสังคมหันมาประพฤติในแนวทางที่ถูกที่ควรคือ การลงโทษซึ่งหมายถึง การที่รัฐท าให้ผู้กระท าความผิดต้องได้รับผลร้าย เพราะเหตุที่ผู้นั้นฝุาฝืนกฎหมายทั้งนี้โดยเจตนาให้ผู้ที่ เช่น ความผิดฐานเป็นกบฏ ความผิดต่อต าแหน่งหน้าที่ราชการ เช่น ความผิดฐานให้การเท็จ ให้สินบน เช่น ความผิดฐานก่อความวุ่นวายในที่สาธารณะ เช่น ความผิดฐานข่มขืนพระท าช าเรา เช่น ความผิดฐานหมิ่นประมาท เช่น ความผิดฐานท าร้ายร่างกาย ฐานฆ่าผู้อื่น เช่น ความผิดฐานลักทรัพย์วิ่งราว ชิงทรัพย์ปล้นทรัพย์ เช่น ความผิดฐานจ าหน่ายเสพติดให้โทษ เช่น ความผิดตาม พ.ร.บ. การพนัน พ.ร.บ. ปรามการค้าประเวณี


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 7 ได้รับรู้ถึงว่าสิ่งนั้นเป็นผลเสีย โทษจึงเป็นลักษณะส าคัญประการหนึ่งของกฎหมายอาญาและทฤษฎี กฎหมายอาญา ในเรื่องโทษแบ่งได้เป็นทฤษฎีใหญ่ๆ 2 ทฤษฎีคือ (1) ทฤษฎีเด็ดขาด (absolute theory) (2) ทฤษฎีเงื่อนไข (relative theory) (1) ทฤษฎีเด็ดขาด ถือว่าการลงโทษเป็นสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติในความผิดทุกความผิด คือ เป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของความผิดนั่นเอง ฉะนั้นผู้ใดกระท าความผิดจะต้องถูกลงโทษ หรือจะพูดว่า การกระท าความผิดเป็นกรรมชั่ว ผู้ใดกระท าความผิดต้องชดใช้กรรมของตนโดยต้องยอมรับการลงโทษ ตามทฤษฎีนี้แม้จะไม่มีรัฐก็สามารถลงโทษผู้กระทาความผิดได้เพียงแต่รัฐรับดาเนินการลงโทษเสียเอง เพื่อบรรลุถึงความมุ่งหมายบางประการ ทฤษฎีนี้ได้รับการสนับสนุนมาแต่โบราณ คานท์(Kant) นักปรัชญาเมธีชาวเยอรมันได้ให้เหตุผล ว่า การลงโทษเป็นของคู่กับการกระท าความผิด ฉะนั้นเพื่อความยุติธรรมผู้ที่กระท าความผิดจะต้องถูก ลงโทษตามสัดส่วนหนักเบาตามความผิดที่กระท านั้น ถ้าสังคมไม่ลงโทษผู้กระท าความผิดก็เท่ากับว่า สังคมยอมรับการกระท าของผู้นั้น ซึ่งจะมีผลเหมือนว่าสังคมเป็นผู้สนับสนุนให้มีการกระท าความผิด คานท์ถือเหตุผลนี้อย่างเคร่งครัด และไม่ยอมรับฟังเหตุผลอื่นในการลงโทษ ในหนังสือปรัชญาแห่ง กฎหมาย(Philosophy of Law) คานท์กล่าวว่า จะใช้การลงโทษเป็นเครื่องมือเพื่อให้เกิดประโยชน์อย่าง อื่นไม่ได้ไม่ว่าจะเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ถูกลงโทษเองหรือแก่สังคมก็ตาม การลงโทษในทุกกรณีจะต้อง เนื่องมาจากเหตุว่าบุคคลที่ถูกลงโทษได้กระท าความผิดเท่านั้น ทั้งนี้เพราะไม่สมควรที่จะปฏิบัติต่อบุคคล หนึ่งเพียงเพื่อจะให้เป็นเครื่องมือให้บังเกิดผลแก่บุคคลอื่น ทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์มีสิทธิที่จะไม่ถูก ปฏิบัติเช่นนั้น คานท์ยกตัวอย่างว่าแม้ในขณะที่สังคมจะสลายตัวไป เช่น ประชาชนที่อาศัยอยู่บนเกาะ แห่งหนึ่งตกลงจะอพยพจากเกาะนั้นแยกย้ายกันไปหาที่อยู่ใหม่ที่อื่น ถ้ามีนักโทษที่จะต้องถูกประหาร ชีวิตอยู่บนเกาะนั้น ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปจะต้องประหารชีวิตนักโทษคนนั้นเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อให้แต่ละ คนได้รับผลแห่งกรรมของตน คานท์ย่อมให้มีข้อยกเว้น 2 ประการ จากหลักที่ว่าจะต้องลงโทษผู้กระท า ความผิดให้ได้สัดส่วนกับความผิดคือประการแรกอาจมีการผ่อนเบาโทษให้ลดลงหากปรากฎว่าการ ลงโทษนั้นจะเป็นการกระทบกระเทือนความรู้สึกของประชาชน ประการที่สองถ้าหากการปฏิบัติ เคร่งครัดตามหลักดังกล่าวจะเป็นการลดจ านวนพลเมืองของรัฐจนเกินควร เฮเกล (Hegel) ปรัชญาเมธี ชาวเยอรมันอีกคนหนึ่งที่สนับสนุนทฤษฎีเด็ดขาด เฮเกลมีความเห็นก้าวหน้าไปกว่าคานท์ในความเห็น ของเฮเกลคือว่า การลงโทษเป็นการปฏิเสธกฎหมาย จึงจ าเป็นต้องลงโทษการปฏิเสธกฎหมายนั้น แม้เฮ เกลจะเห็นว่าการลงโทษเป็นการยุติธรรมก็ตาม แต่ก็ควรจะน าสิ่งอื่นนอกจากตัวความผิดที่กระทาลง มา ประกอบการพิจารณาลงโทษด้วย อุททิศ แสนโกศิก, หลักกฎหมายอาญา : การลงโทษ, (หนังสืออุททิศนุสรรณ์กรุงเทพมหานคร : กรมสรรพสามิต 2515) หน้า 2. Carl Ludwig von Bar and others. A History of Continental Criminal Law. Vol 6. New York : Augustus M. Kelly, 1968, p.379. fn.3. Carl L. von Bar. A History of Continental Criminal Law. p.379. เรื่องเดียวกัน หน้า 9 -11


8 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ทฤษฎีเด็ดขาดได้รับการคัดค้านโดยทั่วไปในปัจจุบันด้วยเหตุผลหลายประการ ลักษณะของ ทฤษฎีนี้เป็นเรื่องพ้นสมัยเพราะมองแต่อดีต คือถือเอาการลงโทษเป็นการตอบแทนแก้แค้นความผิดที่ได้ กระท าไปแล้ว ไม่ได้มุ่งถึงประโยชน์ในอนาคตเลย คือ ไม่ได้ค านึงถึงว่าการลงโทษนั้น จะมีผลในทาง ปูองกันมิให้มีการกระท าความผิดเกิดขึ้นอีกหรือไม่ การลงโทษเกิดขึ้นมาโดยกฎหมาย และกฎหมายก็ เป็นเครื่องมือของรัฐ จุดมุ่งหมายมูลฐานของรัฐย่อมได้แก่สวัสดิภาพของบรรดาสมาชิกในรัฐ ดังนั้น การ ลงโทษตามกฎหมายก็ควรกระท าไปเพื่อจุดมุ่งหมายดังกล่าวทั้งกฎหมายและการลงโทษตามกฎหมายจะ เป็นสิ่งยุติธรรมก็ต่อเมื่อใช้ไปเพื่อจุดมุ่งหมายเช่นนั้น การลงโทษจะเป็นสิ่งถูกต้องยุติธรรมต่อเมื่อเกิด ประโยชน์ต่อผู้ถูกลงโทษเองหรือต่อประชาชนส่วนรวม มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งเลวร้ายอีกประการหนึ่ง ในทางปฏิบัติไม่สามารถจะน าทฤษฎีเด็ดขาดมาใช้ได้เพราะทฤษฎีเด็ดขาดถือว่าจะต้องลงโทษให้ได้ สัดส่วนกับความผิดที่ได้กระท า แต่ในทางปฏิบัตินั้นเราไม่สามารถจะวัดขนาดความผิดแต่ละเรื่องและ จัดการกับความผิดนั้นได้อย่างแท้จริง การลงโทษจึงไม่มีทางที่จะได้สัดส่วนกับความผิดตามแนวความคิด ของทฤษฎีเด็ดขาดนี้นอกจากนี้ถ้าถือตามหลักปรัชญาที่ว่า การกระท าของมนุษย์เราถูกก าหนดโดยเหตุ นอกอ านาจแล้ว ทฤษฎีเด็ดขาดก็เป็นเรื่องไร้เหตุผล เพราะทฤษฎีเด็ดขาดถือเอาความผิดทางศีลธรรม เป็นส าคัญ แต่ปัจจุบันมีความผิดจ านวนมากที่มิใช่เป็นเรื่องผิดศีลธรรม แต่เป็นความผิดเพราะกฎหมาย ห้าม ถ้าจะลงโทษเพื่อแก้แค้นตอบแทนไปหมดก็เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง เหตุผลเหล่านี้นอกจากจะหักล้างทฤษฎีเด็ดขาดแล้วยังท าให้เกิดแนวความคิดใหม่ขึ้นว่า กฎหมายอาญาก็เช่นเดียวกับกฎหมายอื่นๆ คือ มีวัตถุประสงค์ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม จึง ควรใช้กฎหมายอาญาเพื่อปูองกันและควบคุมการกระท าที่สังคมไม่ปรารถนา วิธีการแห่งกฎหมายอาญา ที่จะน ามาใช้เพื่อการปูองกันดังกล่าวมีอยู่หลายวิธีแต่ละวิธีมีผลทางปูองกันในแนวต่างๆกัน คืออาจเป็น การข่มขู่ไว้ให้กลัวไม่กล้ากระท าความผิด หรืออาจเป็นการปรับปรุงแก้ไขไม่ให้กระท าความผิดขึ้นอีก หรืออาจเป็นการตัดโอกาสที่จะกระท าความผิดอีก แนวความคิดนี้จึงท าให้เกิดทฤษฎีกฎหมายอาญา ทฤษฎีที่สองขึ้น (2) ทฤษฎีเงื่อนไข ทฤษฎีนี้ไม่ได้พิจารณาในแง่การกระท าความผิด แต่พิจารณาในแง่ที่ควรจะ ลงโทษอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์ทั้งแก่ตัวผู้กระท าความผิดเองและแก่สังคมส่วนรวม การลงโทษจะต้อง ค านึงถึงตัวผู้กระท าความผิดและสภาพแวดล้อมอื่นด้วย และโทษนั้นควรจะมีผลท าให้ผู้กระทาความผิด เกิดความหวาดกลัว ท าให้ผู้กระทาความผิดกลับตนเป็นคนดีหรือท าให้สังคมปลอดภัยจากการกระท า ความผิด ทฤษฎีเงื่อนไขจึงมีลักษณะมองไปในอนาคต เพื่อปูองกันมิให้มีการกระท าความผิดเกิดขึ้นอีก อาจจะโดยการข่มขู่ไม่ให้คนทั่วไปกระท าความผิดหรือแก้ไขผู้กระท าความผิดให้เป็นคนดี พลาโต (Plato) เคยกล่าวว่าผู้ที่ลงโทษโดยมีเหตุผลย่อมไม่ลงโทษเพราะได้มีการกระท าความผิดขึ้นเท่านั้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมไม่อาจแก้ไขให้เป็นดังเดิมได้แต่ย่อมจะลงโทษโดยค านึงถึงอนาคต เพื่อให้ทั้ง ผู้กระท าความผิดเอง และผู้ที่รู้เห็นการลงโทษนั้นไม่กระท าความผิดขึ้นอีก ด้วยเหตุนี้การลงโทษจึงต้อง เรื่องเดียวกัน หน้า 17 -35


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 9 ค านึงถึงผลทั้งต่อตัวผู้กระท าความผิดเองและต่อประชาชนทั่วไปด้วย นักนิติศาสตร์เยอรมันเห็นว่า กฎหมายอาญาจะต้องมีผลบังคับทางจิตใจ เป็นการปูองกันประชาชนไม่ให้กระท าผิดกฎหมาย และ จะต้องก าหนดอัตราโทษไว้ในใจของผู้กระท าความผิดนั้นให้ตระหนักได้ว่าการเสี่ยงต่อการถูกลงโทษ หนักกว่าประโยชน์ที่จะได้จากการกระท าความผิด โดยนัยนี้โทษจึงมีลักษณะเป็นการข่มขู่ แต่ทฤษฎี เงื่อนไขถือว่าล าพังแต่การข่มขู่ด้วยโทษอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอต่อการปูองกันการกระท าความผิดใน อนาคต ฉะนั้นการลงโทษจึงต้องมีลักษณะเป็นการแก้ไขตัวผู้กระท าความผิดด้วย เพื่อปูองกันมิให้ ผู้กระท าความผิดไปกระท าความผิดซ้ าอีก แม้ว่าทฤษฎีเด็ดขาดซึ่งถือการลงโทษเป็นการทดแทนและเสื่อมความนิยมไป และทฤษฎี เงื่อนไขซึ่งถือว่าควรลงโทษเพื่อเป็นการปูองกันเกิดขึ้นมา อย่างไรก็ตามลักษณะของการทดแทนยังคงมี ร่องรอยเหลืออยู่ในกฎหมายอาญาความต้องการทางสัญชาตญาณในอันจะแก้แค้นทดแทนยังมีอิทธิพล ต่อการปฏิบัติต่อผู้กระท าความผิด และยังต้องค านึงอยู่ทั้งในการบัญญัติกฎหมายอาญาและการใช้ กฎหมายอาญา จึงกล่าวได้ว่าทฤษฎีกฎหมายอาญาเกี่ยวกับโทษยังมีลักษณะรวมๆระหว่างการมอง ย้อนหลังไปในอดีตอันเป็นการทดแทนต่อความผิดที่ได้เกิดขึ้นแล้วและการมุ่งถึงผลในอนาคตเป็นการ ปูองกันการกระท าความผิด แต่ไม่ว่าทฤษฎีเงื่อนไขจะมุ่งผลในอนาคตหนักแน่นเพียงใด แต่การปฏิบัติต่อ ผู้กระท าความผิดซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในปัจจุบัน ก็มีลักษณะเป็นการท าให้ได้รับความยากล าบาก อันเป็นการทดแทนนั่นเอง ดังได้กล่าวแล้วว่า สิทธิในการลงโทษทางอาญาแก่ผู้กระท าความผิดเป็นสิทธิของรัฐเพียงผู้เดียว เอกชนไม่มีอ านาจลงโทษผู้กระท าความอาญาได้ ความชอบธรรมในการที่รัฐแทรกแซงเข้ามาลงโทษนี้ นักทฤษฎีให้ความเห็นไว้ต่างๆกัน คือ (1) หลักความยุติธรรม หลักนี้ถือว่า เมื่อมีการกระท าความผิดขึ้น ก็เป็นสิ่งยุติธรรมที่ผู้กระท า ความผิดจะต้องถูกลงโทษเพื่อเป็นการตอบแทน ฉะนั้นโทษจึงควรต้องได้สัดส่วนพอเหมาะกับความผิด และให้สมกับการที่ได้กระท าไปนั้น หลักนี้กว้างเกินไปเพราะให้อ านาจรัฐในการลงโทษการกระท า ความผิดทุกอย่างโดยไม่ค านึงถึงจิตใจหรือพฤติการณ์ในการกระท าความผิด ความผิดบางอย่างบุคคล อาจกระทาไปด้วยความประมาท ถ้าค านึงแต่ผลร้ายของความผิดประการเดียว และลงโทษให้ได้สัดส่วน กับความผิดก็อาจไม่ยุติธรรม (2) หลักป้องกันสังคม แนวความคิดของหลักนี้ถือว่า สังคมหรือบ้านเมืองถ้าหากมีใครมาก่อภัย ขึ้นย่อมต้องปูองกันตัว โดยเอาผู้ที่เป็นภัยมากที่สุดไปไว้ในที่ซึ่งจะท าอันตรายต่อสังคมอีกไม่ได้ และ ลงโทษผู้ที่กระท าความผิดในลักษณะที่ท าให้เกิดความกลัว ไม่กล้ากระท าความผิดขึ้นอีกและมิให้ใครเอา เยี่ยงอย่าง ความเห็นในทางปูองกันสังคมเพื่อความปลอดภัยของประชาชนนี้ ท าให้มีผู้สนใจศึกษาถึง มูลเหตุแห่งการกระท าความผิด และวางวิธีการตอบแทนของสังคมไว้หลายอย่างคือ (ก) ก าหนดวิธีการ ลงโทษชนิดให้เป็นที่หวาดกลัวไม่กล้ากระท าความผิด (ข) มีวิธีการลงโทษหรือนัยหนึ่งวิธีการปูองกันสา เสริม วินิจฉัยกุล, ค าอธิบายกฎหมายลักษณะอาญา ภาค 1, (กรุงเทพมหานคร : ไทยพาณิชยการ, 2482). หน้า 7 – 9.


10 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา หรับผู้ร้ายที่ไม่เกรงกลัวต่อโทษ หรือบุคคลซึ่งถือว่าเป็นภัยต่อสังคม (ค) มีวิธีการแก้ไขผู้กระท าความผิด ให้กลับตนเป็นคนดีแต่หลักปูองกันสังคมนี้ก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน คือไม่ยอมรับรู้ในเรื่องความยุติธรรม ซึ่งถือว่า การลงโทษบุคคลนั้นต้องลงโทษความผิดที่ได้กระท าลงไป มิใช่ลงโทษโดยพิจารณาถึงความผิดที่ อาจกระท าในอนาคต แต่เมื่อถือหลักปูองกันสังคมแล้ว การลงโทษก็ย่อมจะต้องแรงอยู่เป็นธรรมดา เพราะมุ่งหมายไม่ให้เกิดการกระท าความผิดขึ้นอีก (3) หลักผสม หลักนี้เอาแนวความคิดในหลักความยุติธรรมและหลักปูองกันสังคมมาผสมกัน กล่าวคือ ตามแนวความคิดของหลักสองประการดังกล่าว กฎหมายลงโทษการกระท าบางอย่าง เพราะ ความจ าเป็นเพื่อปูองกันสังคมแต่รัฐจะลงโทษต่อเมื่อเป็นสิ่งที่ยุติธรรมและอยู่ในขอบข่ายแห่งความ ยุติธรรม อีกนัยหนึ่ง คือ ลงโทษเพียงไม่เกินกว่าความจ าเป็นและไม่เกินแก่ความยุติธรรม เพราะถ้าถือแต่ หลักใดหลักหนึ่งก็อาจมีข้อบกพร่องเช่นที่กล่าวมาแล้วในปัจจุบันหลักผสมนี้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แม้ว่ารัฐจะมีอ านาจในการลงโทษผู้กระทาความผิดได้ก็ตาม แต่อ านาจในการลงโทษของรัฐมี ข้อจ ากัดอยู่บางประการ รัฐไม่อาจลงโทษผู้กระท าความผิดตามอ าเภอใจการลงโทษจะต้องเป็นไปตาม หลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ กล่าวคือ กฎหมายก าหนดประเภทของโทษส าหรับความผิดนั้นๆ ไว้ อย่างไรจะต้องลงโทษด้วยประเภทนั้น จะลงโทษอย่างอื่นนอกจากที่กฎหมายก าหนดไว้ไม่ได้ เช่น กฎหมายก าหนดให้ลงโทษปรับ รัฐจะลงโทษกักขังหรือจ าคุกไม่ได้ เป็นต้น เว้นแต่จะมีบทบัญญัติใน กฎหมายนั้นยอมให้เปลี่ยนเป็นโทษได้เช่น ปอ. มาตรา ให้เปลี่ยนโทษจ าคุกเป็นโทษกักขังได้เมื่อเข้า ตามเงื่อนไขมาตรานั้น อีกประการหนึ่งการลงโทษจะลงหนักกว่าโทษขั้นสูงให้จ าคุกไม่เกินสามปีรัฐจะ ลงโทษจ าคุกเกินกว่านี้ไม่ได้ ทั้งนี้เว้นแต่จะมีเหตุเพิ่มโทษตามกฎหมาย ท านองเดียวกันถ้ากฎหมาย ก าหนดโทษขั้นต่ าในกฎหมายไม่ได้เช่นกัน เช่น ความผิดฐานชิงทรัพย์ปอ. ก าหนดโทษขั้นต่ าไว้ห้าปีจะ ลงโทษต่ ากว่านี้ไม่ได้ เว้นแต่มีเหตุลดโทษตามกฎหมาย แต่ในระหว่างโทษขั้นต่ าและขั้นสูงที่กฎหมาย ก าหนดไว้รัฐย่อมลงโทษได้ตามที่เห็นสมควร เช่น ความผิดฐานชิงทรัพย์กฎหมายบัญญัติให้จ าคุกตั้งแต่ ห้าปีถึงสิบปีรัฐอาจลงโทษจ าคุกมากน้อยเท่าไรก็ได้ในระหว่างอัตราโทษนั้น 1.3 ทฤษฎีกฎหมายอาญา กล่าวกว้างๆ ค าว่า “ทฤษฎี” หมายถึง ความเห็นลักษณะที่คาดคิดเอาตามหลักวิชาเพื่อเสริม เหตุผลและรากฐานให้แก่ปรากฎการณ์หรือข้อมูลภาคปฏิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างมีระเบียบ หรือ สมมุติฐานที่ตั้งขึ้นลอยๆเพื่ออธิบายสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ถ้าจะพูดให้จ ากัดลงไปอีกค าๆนี้หมายถึง ความรู้ ในวิชาหนึ่งอันได้มาโดยไม่มีจุดมุ่งหมายในทางปฏิบัติแต่จะเน้นที่ความคิดหลักอันเป็นรากฐานของวิชา นั้นๆ หรือหมายถึงแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับกันและอาจพิสูจน์ได้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, (พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์, 2525), หน้า 376. Shorter Oxford English Dictionary. 3rd ed. Oxford : Oxford University Press, 1962, p. 2167. Jerome Hall. General Principles of Criminal Law. 2nd ed. Indiana Polis : Bob – Merrill, 1960, p.1 Random House Dictionary. New York : Random House,12968, p.1362


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 11 การศึกษาวิชาต่างๆ ย่อมจะต้องมีการศึกษาถึงทฤษฎีของแต่ละวิชาไปด้วย เพราะทฤษฎีจะเป็นสิ่งที่ช่วย อธิบายความคิดพื้นฐานบางประการและเป็นแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงวิชานั้นๆ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่ในขณะที่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์อาจพิสูจน์ได้ด้วยการทดลองหรือข้อเท็จจริงหรือ หลักเกณฑ์ต่างๆ ทฤษฎีกฎหมายอาญาอาจหาเอาไปพิสูจน์เช่นนั้นได้ไม่ เพราะทฤษฎีกฎหมายอาญา เป็นเพียงทฤษฎีทางความคิด (descriptive theory) คือประกอบด้วยกลุ่มแนวความคิดหรือหลักการที่ ถือว่าเป็นพื้นฐานของกฎหมายอาญาทั้งมวล โดยที่แม่บทของกฎหมายอาญาของเรา ทั้งกฎหมายลักษณะอาญาและประมวลกฎหมายอาญา ฉบับปัจจุบันได้อาศัยประมวลกฎหมายของประเทศทางตะวันตกเป็นหลักในการร่าง ฉะนั้นแนวความคิด พื้นฐานของกฎหมายอาญาหรือนัยหนึ่ง ทฤษฎีกฎหมายอาญาจึงมีที่มาจากแหล่งเดียวกันซึ่งมี2 กระแส ความคิดด้วยกัน คือ ทรรศนะของนักทฤษฎีในระบบกฎหมายซีวิลลอว์และทรรศนะนักทฤษฎีในระบบ กฎหมายคอมมอนลอว์ 1.3.1 ทฤษฎีกฎหมายอาญาตามทรรศนะในระบบกฎหมายซีวิลลอว์ การศึกษาทฤษฎีกฎหมายอาญาตามทรรศนะนี้เน้นในเรื่องการกระท าความผิดและการลงโทษ คือ มุ่งไปในทางปฏิบัติยิ่งกว่าการวางหลักเกณฑ์ เนื่องจากหลักเกณฑ์ต่างๆ มีปรากฎชัดแจ้งอยู่ในตัว ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ปัญหาเรื่องโทษและความชอบธรรมในการลงโทษมีมาตั้งแต่สมัยกรีก โบราณแรกเริ่มการลงโทษก็เพื่อตอบแทนแก้แค้นแก่ผู้กระท าความผิด แต่ต่อมาโซเครติส พลาโต และ อริสโตเติล เห็นว่าการลงโทษต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ในทางปูองกันสังคม การแก้ไขผู้กระท าความผิด และการยับยั้งมิให้ผู้อื่นกระท าความผิด จึงเป็นจุดมุ่งหมายแห่งการลงโทษ ตามทรรศนะของพลาโต รัฐ ไม่มีสิทธิที่จะแก้แค้น แต่มีเพียงสิทธิ์ที่จะกระท าเพื่อประโยชน์แห่งอนาคตเพราะความผิดที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่อาจปูองกันได้ แต่จะต้องหาทางปูองกันมิให้เกิดการกระท าความผิดนั้นขึ้นอีก ทฤษฎี ลงโทษเพื่อตอบแทนแก้แค้นกลับมาโด่งดังอีกครั้งในสมัยของโกรตอุสและคานท์ คานท์ถือว่า การแก้ แค้นเป็นเรื่องของความยุติธรรม ไม่อาจคิดเป็นอื่นหรือผ่อนคลายเพื่อประโยชน์อื่นใดได้ แต่ทฤษฎี ปูองกันสังคมยังเป็นที่ยอมรับกันอยู่ ทฤษฎีกฎหมายอาญาได้รับความสนใจศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง ในประเทศเยอรมันนับแต่คานท์เป็นต้นมา หลังจากคานท์แล้วนักทฤษฎีคนส าคัญของเยอรมันคือ เฮเกล และลิสท์เฮเกลนั้นมีความคิดเห็นอันเดียวกับคานท์แต่ผ่อนคลายความเข้มงวดในทฤษฎีของคานท์ลงไป บ้าง ส่วนลิสท์จัดว่าเป็นนักคิดที่มีหัวก้าวหน้า ลิสท์ปฏิเสธทฤษฎีการลงโทษของคานท์และเฮเกล และ เห็นว่า จะต้องพิจารณากฎหมายอาญาในทางค้นคว้าหาเหตุผล การพิจารณาในทางค้นคว้าหาเหตุผล ในประการแรกไม่ควรจะมองในด้านศีลธรรม แต่ต้องพยายามอธิบายการกระท าความผิดในฐานะที่เป็น สิ่งที่ปรากฏอยู่ในทางธรรมชาติวิทยา การที่มนุษย์แต่ละคนกระท าความผิดนั้น ย่อมเนื่องมาจากอุปนิสัย ของผู้กระท าความผิดและพฤติการณ์ภายนอกหรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ การกระท าความผิดอาญา Carl Ludwig von Bar. A History of Continental Criminal Law. pp. 376 - 415 Ibid., pp. 492 - 493 หยุด แสงอุทัย, กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (พิมพ์ครั้งที่ 14, กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2520), หน้า 393 – 396.


12 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา เป็นผลเนื่องจากลักษณะของผู้กระท าความผิดเป็นคนๆไป ประกอบกับความสัมพันธ์ในทางสังคม ภายนอก การลงโทษผู้กระท าความผิดอาญาจึงไม่ควรเป็นการตอบแทนแก้แค้น แต่ควรจะเป็นวิถีทางที่ จะปูองกันมิให้มีการกระท าความผิดเกิดขึ้นอีก โดยเหตุนี้แนวความคิดนี้จึงพิจารณาว่าจะลงโทษอย่างไร จึงจะเกิดผลมากที่สุด และชอบด้วยเหตุผลที่สุด และเห็นว่าไม่ควรจะพิจารณาในแง่ที่ว่าผู้กระท า ความผิดชั่วมากหรือชั่วน้อยเป็นหลักในการลงโทษ แต่ควรจะพิจารณาว่าผู้กระท าความผิดเป็น ภยันตรายต่อสังคมมากน้อยเพียงใด แล้วจึงลงโทษตามความเหมาะสมคือ (1) ถ้าเป็นชนิดที่สามารถกลับตนได้ก็ต้องลงโทษในทางที่จะให้กลับตนเป็นคนดี (2) ถ้าเป็นชนิดที่ไม่สามารถกลับตนได้การลงโทษควรจะเป็นวิธีที่แยกผู้กระท าความผิดให้ห่าง จากสังคมเพราะถ้าบุคคลเช่นว่านี้กลับเข้าสู่สังคมเมื่อใด จะต้องกระท าความผิดขึ้นอีกเมื่อนั้น ลิสท์ได้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายอาญา ดังนี้ (1) ควรเลิกการลงโทษจาคุกในระยะอันสั้น ด้วยเหตุผล 2 ประการ ประการแรก การลงโทษจ าคุกในระยะเวลาอันสั้น ไม่ท าให้บรรลุจุดประสงค์ในการลงโทษได้ เพราะส าหรับผู้ที่จะต้องท าให้หวาดกลัว การจ าคุกในระยะเวลาอันสั้นไม่ท าให้บุคคลเช่นว่านั้นหวาดกลัว เพราะการลงโทษจ าคุกสองวันย่อมไม่ท าให้ผู้ถูกลงโทษรู้สึกเจ็บเพราะจากบ้านครอบครัว มิตรสหาย และความสะดวกสบายไม่ทันไรก็พ้นโทษเสียแล้ว ส่วนส าหรับผู้กระท าความผิดชนิดที่จะให้กลับตนเป็นดี นั้น การลงโทษจ าคุกในระยะเวลาอันสั้น ย่อมไม่ท าให้เขากลับตนเป็นคนดีได้เพราะเวลาสั่งสอนอบรมมี น้อย ส่วนส าหรับผู้กระท าความผิดที่ไม่สามารถกลับตนเป็นคนดีได้การลงโทษจ าคุกชั่วระยะเวลาอันสั้น ย่อมไม่ท าให้สังคมปลอดภัยได้ ประการที่สอง การลงโทษจ าคุกในระยะสั้นกลับจะท าให้ผู้ถูกลงโทษกลายเป็นผู้ร้ายเพราะได้ ชื่อว่าต้องจ าคุกมาเสียแล้ว คือเป็นคนขี้คุกขี้ตะราง เขาไม่กล้าคบหาสมาคมกับคนดีเขาจะไปที่ไหนก็มี คนตั้งข้อรังเกียจ บุคคลเช่นว่านี้จึงต้องคบค้าสมาคมกับผู้ร้ายด้วยกันและชักชวนกันกระท าความผิดอีก วิธีหลีกเลี่ยงมาจ าคุกในระยะเวลาอันสั้นก็คือให้ศาลยกโทษจ าคุกได้ ให้ศาลลงโทษอย่างอื่น แทนโทษจ าคุกได้เช่น กักขัง ให้ศาลรอการลงโทษหรือรอการก าหนดโทษได้ (2) ควรก าหนดโทษตามบุคลิกภาพของผู้กระท าความผิด ลงโทษให้เหมาะสมกับผู้กระท าความผิด กล่าวคือ ผู้กระท าความผิดโดยบังเอิญต้องลงโทษให้ หวาดกลัว ผู้กระท าความผิดโดยนิสัยต้องลงโทษให้เหมาะสม โดยแยกพิจารณาว่าผู้กระท าความผิดคน ใดสามารถกลับตนได้ต้องลงโทษในทางที่จะแยกตัวผู้กระท าความผิดให้ห่างจากสังคมให้นานที่สุด เพื่อ ผู้กระท าความผิดนั้นจะไม่มารบกวนสังคมด้วยการกระท าความผิดอาญาในเวลาภายหน้าตลอด ระยะเวลานั้น เพื่อที่จะให้การลงโทษเป็นไปตามบุคลิกภาพ (personality) ของผู้กระท าความผิดจะต้อง ด าเนินการดังต่อไปน ี้


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 13 (2.1) ให้ผู้พิพากษามีอ านาจใช้ดุลพินิจในการก าหนดโทษให้มากขึ้น กล่าวคือ นอกจาก กรณีที่ร้ายแรงจริงๆกฎหมายไม่ควรก าหนดโทษขั้นต่ าไว้เพราะการที่กฎหมายก าหนดโทษขั้นต่ านั้นเป็น การจ ากัดอ านาจผู้พิพากษามิให้ลงโทษต่ ากว่าโทษขั้นต่ าที่กฎหมายก าหนดไว้ (2.2) ให้ศาลพิพากษาลงโทษไว้ไม่ตายตัวได้ กล่าวคือ ศาลไม่ต้องก าหนดโทษไว้ใน ค าพิพากษาให้ตายตัวเช่น จ าคุกสามปีศาลเป็นแต่เพียงก าหนดลงไว้ในค าพิพากษาให้ลงโทษจ าคุก ส่วน จะจ าคุกนานเท่าใดนั้นให้ศาลก าหนดภายหลัง เช่น ในเมื่อได้รับรายงานจากเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ เกี่ยวกับตัวผู้ที่ถูกลงโทษแล้ว ทั้งนี้เพราะการลงโทษย่อมมีจุดประสงค์ที่จะท าให้ผู้ต้องโทษหวาดกลัวหรือ ท าให้กลับตน หรือท าให้สังคมปลอดภัย ซึ่งในขณะพิพากษาย่อมไม่สามารถจะก าหนดให้ตายตัวไว้ ล่วงหน้าได้ว่าจะจ าคุกกี่ปีกี่เดือน บุคคลที่ต้องโทษจึงจะหวาดกลัวหรือกลับตนได้หรือท าให้สังคม ปลอดภัยได้ (2.3) ควรให้มีการรอการลงโทษ (2.4) ควรก าหนดให้มีวิธีการเพื่อความปลอดภัยและวิธีการที่จะท าให้ผู้กระท าความผิด กลับตนเป็นคนดีได้ (2.5) ควรแก้ไขวิธีการราชทัณฑ์ให้มีขึ้น คือจะต้องมีวิถีทางที่จะท าให้ผู้ต้องโทษกลับ ตนเป็นคนดีโดยจัดให้มีการอบรมทางจิตใจ การสอนอาชีพ การให้ผู้ต้องคุมขังท างานพอสมควรเพื่อจะ ได้ไม่เกียจคร้าน ทฤษฎีกฎหมายอาญาของลิสท์มีอิทธิพลต่อการปรับปรุงกฎหมายอาญาของประเทศ ต่างๆรวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งประมวลกฎหมายอาญาของเราก็ได้รับเอาแนวความคิดเหล่านี้มา บัญญัติไว้ในหลายเรื่อง เช่น การรอการลงโทษ และวิธีการเพื่อความปลอดภัย เป็นต้น 1.3.2 ทฤษฎีกฎหมายอาญาตามทรรศนะในระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ ทรรศนะในระบบนี้ตรงข้ามกับทรรศนะในระบบประมวลกฎหมาย กล่าวคือ การศึกษาทฤษฎี กฎหมายอาญามุ่งที่จะหาหลักเกณฑ์แทนที่จะเน้นในเรื่องการกระท าความผิดและการลงโทษ ทั้งนี้ เพราะในคอมมอนลอว์กฎหมายอาญาเกิดขึ้นโดยผลของค าพิพากษาของศาล มิได้มีการจัดท าไว้เป็น หมวดหมู่ เป็นระเบียบ จึงจ าเป็นที่จะต้องศึกษาค าพิพากษาเหล่านั้นเพื่อวางหลักเกณฑ์ของกฎหมาย อาญานั้น นักคิดที่ศึกษาทฤษฎีกฎหมายอาญาในแนวทางนี้คือ ฮอลล์ (Hall) ลาเฟฟ (Lafave) และ สก็อตต์ (Scott) ทั้งสามท่านนี้มีความเห็นสอดคล้องกันว่า กฎหมายอาญาแบ่งได้ ส่วนคือ ส่วนที่ เป็นภาคความผิด ส่วนที่เป็นหลักทั่วไป และส่วนที่เป็นหลักพื้นฐาน (1) ส่วนที่เป็นภาคความผิด บทบัญญัติในส่วนนี้จะมีความหมายแคบที่สุด แต่มีจ านวนมาก ที่สุด และเป็นส่วนพิเศษของกฎหมายอาญา ซึ่งเมื่อเอาส่วนที่เป็นหลักทั่วไปพิจารณาประกอบร่วมด้วย แล้ว ก็จะเป็นการให้ค าจ ากัดความของความผิดแต่ละฐานและจะก าหนดโทษส าหรับความผิดนั้นด้วย Jarome Hall. General Principles of Criminal Law. pp. 17 – 26 Lafave & Scott. Criminal Law. pp. 6 - 7


14 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา กล่าวคือ ส่วนนี้ของกฎหมายอาญาจะบัญญัติการกระท าใด ในภาวะของจิตเช่นใดจึงจะถือเป็นความผิด ฐานฆ่าผู้อื่น ฐานข่มขืนกระท าช าเรา หรือฐานลักทรัพย์เป็นต้น (2) ส่วนที่เป็นหลักทั่วไป บทบัญญัติในส่วนนี้มีความหมายกว้างกว่าบทบัญญัติในส่วนที่เป็น ความผิดแต่ยังไม่กว้างเท่ากับส่วนที่เป็นหลักฐาน หลักทั่วไปในกฎหมายอาญานี้จะน าไปใช้บังคับแก่วาม ผิดอาญาต่างๆ เช่น หลักในเรื่องวิกลจริต เด็กกระท าความผิด ความมึนเมา ความส าคัญผิด การกระท า ด้วยความจ าเป็น การปูองกันตัว การพยายามกระท าความผิด ตัวการ ผู้ใช้และผู้สนับสนุน ความยินยอม ของผู้เสียหาย เป็นต้น หลักทั่วไปนี้ บางหลักสามารถใช้กับความผิดทุกฐานความผิด เช่น การวิกลจริต เด็กกระท า ความผิด แต่บางหลักสามารถใช้บังคับได้เพียงบางความผิด เช่น ความความยินยอมแต่อย่างไรก็ตาม หลักทั่วไปเหล่านี้จะใช้บังคับแก่ความผิดมากกว่าหนึ่งความผิดเสมอ มิฉะนั้นเราก็ไม่เรียกว่าหลักทั่วไป ในขณะที่บทบัญญัติความผิดแต่ละฐานบอกให้ทราบถึงความแตกต่างของแต่ละความผิด หลักทั่วไปของ กฎหมายอาญาจะบอกถึงสาระส าคัญที่ร่วมกันของความผิดแต่ละฐาน ยกตัวอย่าง ถ้าต้องการทราบ ความแตกต่างของความผิดฐานลักทรัพย์กับวางเพลิงหรือข่มขืน บทบัญญัติภาคความผิดจะบอกให้ทราบ ได้แต่บทบัญญัติภาคความผิดนั้นมิได้ให้ค าจ ากัดความที่สมบูรณ์ของความผิด เช่น ถ้าจ าเลยวิกลจริต ในขณะกระท าความผิดก็ไม่ต้องรับโทษ ฉะนั้นหลักทั่วไปจึงเสริมให้บทบัญญัติภาคความผิดสมบูรณ์ขึ้น แต่บทบัญญัติภาคความผิดนั้นจะไม่ปรากฏข้อความอันเป็นหลักทั่วไปอยู่ด้วย เช่น ความผิดฐานท าร้าย ร่างกายตามมาตรา บัญญัติเพียงว่า “ผู้ใดท าร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระท าความผิดฐานท าร้ายร่างกายต้องระวางโทษ” กฎหมายมิได้บัญญัติว่า “ผู้ใด ซึ่ง ไม่วิกลจริต ไม่เป็นเด็ก ไม่กระท าด้วยความจ าเป็น ไม่กระท าเพื่อปกปูองตัวเอง ไม่ได้รับความยินยอม จากผู้เสียหาย ท าร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระท าความผิด ฐานท าร้ายร่างกายต้องระวางโทษ” นอกจากหลักทั่วไปเกี่ยวกับความวิกลจริต ความเป็นเด็ก ความจ าเป็นการปูองกันตัว ความ ยินยอม เหล่านี้แล้ว ซึ่งเป็นหลักที่ใช้ส าหรับปฏิเสธความผิดหรือความรับผิดยังมีหลักทั่วไปอีกพวกหนึ่ง ซึ่งเป็นหลักที่ใช้ส าหรับบังคับให้รับผิด เช่น หลักในเรื่องการพยายามกระท าความผิดตัวการผู้ใช้และ ผู้สนับสนุน ถ้าเกี่ยวกับการพยายามกระทาความผิด ก็อาจเป็นพยายามข่มขืน พยายามฆ่า พยายามลัก ทรัพย์เป็นต้น ส่วนหลักในเรื่องตัวการ ผู้ใช้และผู้สนับสนุน เช่น ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น บุคคลที่จะต้อง รับผิดทางอาญามิได้จ ากัดเฉพาะผู้ที่ลงมือยิงด้วยตัวเอง แต่ผู้ที่จ้างหรือใช้ให้ยิงหรือผู้ที่ให้อาวุธปืนไปยิง ต้องรับผิดด้วย (3) ส่วนที่เป็นหลักพื้นฐาน บทบัญญัติในส่วนนี้ถือเป็นหัวใจของกฎหมายอาญา หลักพื้นฐาน ประกอบด้วยหลักส าคัญ 7 ประการ คือ (1) ความยุติธรรม (2) ความผิดของจิตใจ ได้แก่ (เจตนา หรือ ประมาท) (3) การกระท า (4) เจตนาหรือประมาท และการกระท าต้องเกิดร่วมกัน (5) อันตรายต่อสังคม (6) ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล และ (7) โทษ หลักพื้นทั้ง 7 ประการนี้อาจน ามากล่าวสรุปได้ดังนี้


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 15 หลักพื้นฐานประการแรกนั้นสืบเนื่องมาจากความคิดในเรื่องความยุติธรรม กล่าวคือจะต้องมี การบอกกล่าวกันให้รู้ล่วงหน้าก่อนว่า การกระท าใดจะถือเป็นความผิดและจะลงโทษอย่างไร ดังสุภาษิต กฎหมายที่ว่า nullum crimen sine lege , nulla poena sine lege (เมื่อไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด หรือโทษ) ล าพังแต่เจตนาหรือความคิดชั่วอย่างเดียวย่อมไม่เป็นความผิด จะต้องมีการกระท าอย่างใด อย่างหนึ่ง (หรือละเว้นกระท าในเมื่อมีหน้าที่ต้องกระท า) จึงจะถือเป็นความผิดอาญา กลับกัน ล าพังแต่ การกระท า (หรือละเว้นกระท า) โดยปราศจากเจตนาไม่ถือเป็นความผิดอาญาจึงต้องมีเจตนาด้วย และ เจตนากับการกระท าจะต้องเกิดร่วมกัน โดยที่กฎหมายอาญานั้นมีความมุ่งหมายในอันที่จะปกปูอง อันตรายต่อส่วนรวมจึงมีหลักพื้นฐานว่าถ้าไม่เกิดอันตรายต่อส่วนรวมแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิด นอกจากนี้ก็จะต้องมีความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล ในกรณีที่ความผิดนั้นจะต้องมีผลอย่างใด อย่างหนึ่งเกิดขึ้นจากการกระท า เช่น ความผิดฐานฆ่าผู้อื่น การกระท าของจ าเลยจะต้องเป็นเหตุให้ผู้อื่น ตาย ในความผิดฐานวางเพลิง การกระท าจะต้องเป็นเหตุให้บ้านถูกไฟไหม้หรือในความผิดฐานฉ้อโกง การกระท าของจ าเลยจะต้องเป็นเหตุให้ผู้เสียหายให้ทรัพย์สินแก่จ าเลย เป็นต้น คือจะต้องพิสูจน์ให้เห็น ว่า การกระท านั้นก่อให้เกิดผลนั้นขึ้น อย่างไรก็ตาม ในภาคบทบัญญัติทั่วไปของประมวลกฎหมายอาญาในปัจจุบัน นอกจากจะ ประกอบด้วยบทบัญญัติส่วนที่เป็นหลักพื้นฐานและหลักทั่วไปแล้ว ก็ยังมีบทบัญญัติพิเศษซึ่งใช้บังคับได้ ทั่วไป เช่นเดียวกัน เช่น บทบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย อายุความ เป็นต้น ซึ่งแม้จะใช้ บังคับได้ทั่วไปก็จริง แต่มิได้มีมูลฐานมาจากการกระท าความผิดอาญา หลักพื้นฐานของกฎหมายอาญานั้น ยกเว้นหลักความยุติธรรมและโทษแล้วถือว่าเป็น สาระส าคัญของความผิดอาญาทั้งปวง หลักพื้นฐานเป็นหลักในระดับสูงกว่าและกว้างกว่าหลักทั่วไป เช่น ถ้าเปรียบเทียบหลักเจตนากับหลักความจ าเป็น หลักเจตนาจะใช้ได้กว้างกว่าเพราะโดยทั่วไปแล้วการ กระท าความผิดอาญาจะต้องประกอบด้วยเจตนาเสมอ บทบัญญัติภาคความผิด หลักทั่วไป และหลักพื้นฐานย่อมจะต้องมีความสัมพันธ์กันกล่าวคือ บทบัญญัติภาคความผิดนั้นมิได้ให้ค าจ ากัดความอันสมบูรณ์ของความผิดจะต้องพิจารณาประกอบกับ หลักทั่วไปจึงจะให้ความหมายของความผิดชัดเจนขึ้น และเมื่อเอาหลักพื้นฐานเข้ามาประกอบอีกก็จะได้ ความหมายของความผิดนั้นโดยสมบูรณ์ ฉะนั้นถ้าจะเข้าใจความผิดฐานใดฐานหนึ่งโดยชัดเจนแล้ว จ าเป็นจะต้องรู้ถึงหลักพื้นฐานและหลักทั่วไปของกฎหมายอาญา กล่าวอีกนัยหนึ่ง บทบัญญัติภาค ความผิดนั้นจะต้องพิจารณาประกอบหลักพื้นฐานและหลักทั่วไปเสมอจึงจะเข้าใจความผิดนั้นๆได้แจ่ม แจ้ง


16 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ค าถามท้ายบท 1. กฎหมายอาญามีความหมายอย่างไร มีกี่ระบบ และแต่ละระบบมีความคิดในทางกฎหมาย อย่างไร 2. กฎหมายอาญามีความมุ่งหมายอย่างไร และวิธีการใดให้บรรลุถึงความมุ่งหมายนั้น 3. รัฐมีเหตุผลประการใดในการใช้อ านาจลงโทษผู้กระท าความผิด 4. ข้อจ ากัดอ านาจในการลงโทษของรัฐมีอย่างไร 5. ทฤษฎีกฎหมายอาญาในทรรศนะตามระบบกฎหมายคอมมอนลอว์เป็นประการใด


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 17 อ้างอิงประจ าบท พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, พิมพ์ครั้งที่ 1, (กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์). เสริม วินิจฉัยกุล, (2482), ค าอธิบายลักษณะอาญาภาค 1, (กรุงเทพมหานคร : ไทยพาณิชยการ). หยุด แสงอุทัย, (2520), กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ 14, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์). Carl Ludwig von Bar and others. (1968). A History of Continental Criminal Law. Vol. 6 New York : Augustus M. Kelly. H. A. Palmer. (1960). Harris’s Criminal Law. 20th ed. London :Sweet & Maxwell Ltd. Jerone Hall. (1960). General Peinciple of Criminal Law. 2 th ed. Indiana Polis: BobMerrill. J.W.G. Turner. (1962). Kenny’s Othline of Criminal Law. 18th ed. London : Sweet & Maxwell. Justin Miller. (1984). Criminal Law. St. Paul, Min : West Publishing Co. Random House Dictionary. New York : Random House, 12968. Shorter Oxford English Dictionary. (1962), 3rd ed. Oxford : Oxford University Press. Wavne R. LaFave & Austin W. Scott. Jr., (1972), Criminal Law. St. Paul , Min : West Publishing Co.


18 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา บทที่ 2 บทนิยาม วัตถุประสงค์การเรียนประจ าบท 1. เพื่อให้นิสิตศึกษาความหมายของคํานิยามตามกฎหมาย 2. อธิบายวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของคํานิยามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาได้ ขอบข่ายเนื้อหา 1. ความหมายของคําว่า “บทนิยาม” ของกฎหมาย 2. บทนิยามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ๑๕ คํา วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจ าบท 1. การบรรยาย 2. การศึกษาเอกสารประกอบการสอน 3. ทําแบบฝึกหัดท้ายบท สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ประมวลกฎหมายอาญา


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 19 2.1 ความหมายของ “บทนิยาม” ตามกฎหมาย ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 “นิยาม” แปลว่า “กําหนด ทาง อย่าง วิธี กําหนดหรือจํากัดความหมายที่แน่นอน” ฉะนั้น “บทนิยาม” จึงหมายถึง บท กําหนดหรือ จํากัด ความหมายที่แน่นอนของคําต่างๆ ที่ใช้อยู่ในบทบัญญัติของกฎหมาย นั้นๆ ว่ามีความหมายแน่นอน ตามที่บัญญัติไว้ในบทนิยามของกฎหมายนั้น โดยปกติกฎหมายไม่จําต้องมีบทนิยามไว้ถ้าคําต่างๆ ที่ใช้อยู่ในบทบัญญัติของ กฎหมายนั้นมี ความหมายเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ถ้าคําต่าง ๆ นั้นจะต้องกําหนดหรือ จํากัดความหมายที่แน่นอนจึง บัญญัติบทนิยามไว้เพื่อผู้ใช้กฎหมายจะได้อ่านและตีความ ไปในแนวเดียวกัน สําหรับบทนิยามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญานั้น ใช้เฉพาะเป็นบทกําหนดหรือจํากัด ความหมายที่แน่นอนของคําต่างๆ ที่ใช้อยู่ในบทบัญญัติของประมวล กฎหมายอาญา หรือกฎหมาย อาญาอื่นเท่านั้น จะนําไปใช้กับกฎหมายอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับ กฎหมายอาญาไม่ได้ 2.2 บทนิยามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา บทนิยามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามีอยู่ 15 คําด้วยกันซึ่งจะได้อธิบาย ความหมาย ของแต่ละคําดังต่อไปนี้ 2.2.1 “โดยทุจริต” หมายความว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วย กฎหมาย สําหรับตนเองหรือผู้อื่น ฉะนั้น จะถือว่าเป็นการกระทําโดยทุจริต จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1) เพื่อแสวงหาประโยชน์คําว่า “แสวงหา” หมายถึง การกระทําใด ๆ อัน เพื่อให้ได้มาแห่ง ตนหรือผู้อื่น และจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นนั้นหรือไม่ไม่ต้อง คํานึงถึง คําว่า “ประโยชน์” หมายถึง สิ่งที่บุคคลต้องการ ประโยชน์ในที่นี้แยกได้2 ประการ คือ “ประโยชน์” ที่ไม่เกี่ยวกับทรัพย์สิน หมายความว่า การกระทําใด ๆ อัน เพื่อให้ได้มา ในสิ่งที่บุคคลต้องการนั้นไม่เกี่ยวกับประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินหรือ เกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น (1) จําเลยแย่งหนังสือหมายนัดพยานของอําเภอจากผู้รับมอบหมายจาก อําเภอเพื่อไป ส่งแก่ผู้มีชื่อในหมายนั้นไป โดยจําเลยประสงค์จะดูวันนัดในหมายนั้นแล้วจะ คืนให้แต่ทําลายเสียก่อน ส่งคืน วินิจฉัยว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์อย่างหนึ่ง การที่ ตั้งใจคืนภายหลังไม่สําคัญ เพราะเป็น ความผิดสําเร็จแล้ว (คําพิพากษาฎีกาที่ 353/2478) (2) ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าจําเลยทั้งสองได้ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ โดยจําเลย ที่ 2 หลอก โจทก์ว่าจําเลยที่ 2 คือ นายเชวง แซ่ภู่ ความจริงไม่ใช่เจ้าของที่ดินตาม น.ส.3 ที่มาแสดงต่อโจทก์จน โจทก์หลงเชื่อ โจทก์จึงได้ทําหนังสือรับรองหลักทรัพย์ยื่นขอประกัน นายกุหลาบต่อศาลนั้นจนศาลสั่ง อนุญาตให้นายกุหลาบมีประกันตัวไป มีปัญหาว่าการ กระทําของจําเลยจะถือได้ว่าเป็นการแสวงหา ประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายจากโจทก์ หรือไม่ คําพิพากษาฎีกาที่ 863/2513 วินิจฉัยคําว่า “โดย ทุจริต” หมายความว่าเพื่อ แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเองหรือผู้อื่น


20 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา การที่จําเลยทั้ง สองสมคบกันหลอกลวงโจทก์ โดยจําเลยที่สองแสดงตนต่อโจทก์ว่าเป็นนายเชวง แซ่ภู่ เจ้าของที่ดินตาม น.ส.3 จนโจทก์หลงเชื่อทําหนังสือรับรองหลักทรัพย์ขอประกันตัวนาย กุหลาบต่อศาล นั้น แม้จะปรากฏว่าจําเลยไม่ได้รับประโยชน์เป็นทรัพย์สินแต่ประการใดก็ตาม ก็ทําให้นายกุหลาบได้รับ ประโยชน์จากการใช้หนังสือรับรองทรัพย์สินนั้นอ้างต่อศาล จนได้ประกันตัวไป ซึ่งย่อมถือว่าเป็นการ แสวงหาผลประโยชน์สําหรับผู้อื่นอันเป็นการ กระทําโดยทุจริตแล้ว “ประโยชน์” ที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน หมายความว่า การกระทําใด ๆ อัน เพื่อให้ได้มาใน สิ่งที่บุคคลต้องการนั้นเป็นทรัพย์สิน หรือเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น แดงหยิบเอานาฬิกาข้อมือของดําไปโดย ไม่ได้รับอนุญาต นาฬิกานั้นเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน จึงสรุปได้ว่า “ประโยชน์” ในมาตรา 1(1) นี้มี2 อย่าง คือ ประโยชน์ในลักษณะ ที่เป็น ทรัพย์สิน หรือเกี่ยวกับทรัพย์สิน กับประโยชน์ที่ไม่มีลักษณะเป็นทรัพย์สิน หรือ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ใน การพิจารณานั้นให้ดูว่าที่ใดที่กฎหมายประสงค์ให้หมายความถึง ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินก็ จะบัญญัติไว้ให้ชัดเช่นนั้น ที่ใดที่ไม่บัญญัติเฉพาะ ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน ย่อมหมายความ ถึงประโยชน์โดยทั่วไป 2) เป็นประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย หมายความว่า ประโยชน์ที่แสวงหามานั้น จะต้องเป็นประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย คือไม่มี สิทธิหรืออํานาจตามกฎหมายที่จะเอา ประโยชน์นั้นได้ แต่การที่ได้ประโยชน์มาโดยถือ วิสาสะไม่ถือเป็นการได้ประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ ด้วยกฎหมาย เช่น คําพิพากษาฎีกาที่ 107/2474 จําเลยเอาทรัพย์ไปโดยถือวิสาสะนั้น ตัดสินว่าไม่มี เจตนาลักทรัพย์(เพราะมิได้ทําโดยทุจริต) คําพิพากษาฎีกาที่ 288/2485 เจ้าทรัพย์กับจําเลยคุ้นเคยชอบพอกัน เจ้าทรัพย์เป็นหนี้จําเลย อยู่ จําเลยมาที่บ้านเจ้าทรัพย์และหยิบเอาปืนไปโดยบอกกล่าวแก่ คนในบ้านเจ้าทรัพย์ว่าจะเอาปืนไป ปากน้ํา ต่อมาเจ้าทรัพย์ไปทวงถาม จําเลยก็รับว่าเอา ปืนมาจริง แต่ต้องใช้หนี้ก่อนจึงจะคืนปืนให้ดังนี้ ถึงแม้จําเลยจะปฏิเสธชั้นศาลว่าไม่ได้เอาปืนไป รูปคดีก็ไม่ผิดฐานลักทรัพย์ เพราะไม่มีเจตนาลักปืน จําเลยประสงค์เพียงจะยึดปืนประกันหนี้เท่านั้น ตามคําพิพากษาฎีกานี้เป็นการเอาไปโดยไม่มีอํานาจและเจ้าทรัพย์มิได้ อนุญาตแต่โดยเหตุที่ ชอบพอคุ้นเคยกัน จําเลยอาจทําโดยถือวิสาสะ 3) ประโยชน์นั้นส าหรับตนเองหรือผู้อื่น หมายความว่า ประโยชน์ที่ได้มาโดยมิชอบนั้นสําหรับ ตนเองหรือผู้อื่น เช่น จําเลยเป็นผู้ใหญ่บ้าน รู้แล้วว่านายหวันราษฎรลูกบ้านซื้อโคมาแล้ว โคถูกยึดไว้นายหวันขอให้ จําเลยจดบัญชีโคลูกคอกเพื่อนําไปอ้างต่อตํารวจผู้ยึดโคไว้จําเลยก็ทําให้โดยยอมจดทะเบียนลงวัน เดือน ปีที่ขึ้นทะเบียนย้อนหลังให้อันเป็นความ เท็จ ดังนี้ถือได้ว่าจําเลยปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และไม่ปรากฏ ว่าจําเลยได้รับจ้างรางวัลแต่อย่างใด ก็เป็นการทําให้นายหวันได้รับประโยชน์โดยการเอาเอกสารไปอ้าง ในการที่ถูกยึดโค แสวงหาประโยชน์สําหรับผู้อื่น (คําพิพากษาฎีกาที่ 1051/2505)


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 21 ฉุดหญิงไปข่มขืนแล้วถอดสายสร้อยคอพาหนีไปเป็นลักทรัพย์ (คําพิพากษาฎีกาที่ 612, 613/2477) ถือว่าสร้อยนั้นเป็นประโยชน์สําหรับตนเองแล้ว เมื่อการกระทําครบหลักเกณฑ์ทั้งสามประการดังกล่าวข้างต้นแล้วจึงเป็น “โดยทุจริต” คําว่า “ทุจริต"”ในทางอาญาแตกต่างกับคําว่า “ไม่สุจริต” ในทางแพ่ง เพราะ “ทุจริต” ในทาง อาญานั้น หมายความว่าเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับ ตนเองหรือผู้อื่นแต่ “สุจริตหรือไม่สุจริต” ในทางแพ่งหมายความว่ารู้หรือไม่รู้ถึงการที่ไม่มีสิทธิหรือความบกพร่องแห่งสิทธิ เท่านั้น คําว่า “โดยทุจริต” นี้มีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143, 147, 151, 154 ถึง มาตรา 157, มาตรา 242, 269, 318, 319 และความผิดเกี่ยวกับ ทรัพย์ตามหมวด 1 ถึงหมวด 6 เป็น องค์ประกอบของความผิดนั้น ๆ และจําต้องแปล ความหมายของคําว่า “โดยทุจริต” ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 1(1) เหมือนกันทุก ความผิดที่ได้บัญญัติคําว่า “โดยทุจริต” ไว้ตัวอย่างเรื่องทุจริต เช่น 1) โจทก์จําเลยเป็นพี่น้องตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกัน แล้วจําเลยขน เอาทรัพย์ส่วนของจําเลยไป ต่อหน้าโจทก์โจทก์นิ่ง ภายหลังปรากฏว่าจําเลยขนเกินไป บ้างก็ไม่มีเจตนาทุจริต (คําพิพากษาฎีกาที่ 269/2468) 2) ช้างของจําเลยไปกินข้าวโพดจึงจับส่งอําเภอ อําเภอมอบให้นายแดง รักษาไว้จําเลยไปขอรับ คืนจากนายแดง นายแดงนัดให้ไปเอาที่อําเภอ จําเลยไม่ไปแล้ว กลับเอาช้างไปเสีย ดังนี้ตัดสินว่าไม่เป็น ลักทรัพย์เพราะไม่มีเถยยะจิตเป็นโจร (ไม่มีเจตนาทุจริต) (คําพิพากษาฎีกาที่ 704/2474) 3) จําเลยรับฝากโคเขาไว้เมื่อเขาไปขอคืนครั้งแรกว่าบุตรเอาไป ครั้นไปขออีกครั้งกลับว่าไม่ได้ รับฝาก การปฏิเสธของจําเลยว่าไม่ได้รับฝากยังชี้ไม่ได้ว่า จําเลยมีเจตนาทุจริตยักยอกโค เว้นแต่โจทก์จะ มีพยานแสดงว่าจําเลยรู้เห็นเป็นใจให้บุตรจําเลยเอาโคไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย (คําพิพากษาฎีกาที่ 994/2498) 4) จําเลยบังคับให้เขาขับรถยนต์และขับรถยนต์ของคนอื่นไป เพื่อมิให้ถูกทําร้ายและถูกจับนั้น ไป แล้วจอดรถทิ้งไว้ข้างถนน ไม่มีเจตนาเอารถคันนั้น ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์(คําพิพากษาฎีกาที่ 1683/2500) 5) จําเลยถูกสลากกินรวบ แล้วไปเอาเงินรางวัลจากผู้ที่เข้าใจว่าเป็น เจ้ามือ แม้จะใช้อาวุธขู่เข็ญ เอา ถ้าจําเลยเข้าใจว่าเป็นเงินที่จําเลยควรได้ไม่มีเจตนาทุจริต จะลักทรัพย์ ก็ไม่ผิดฐานชิงทรัพย์หรือ ปล้นทรัพย์(คําพิพากษาฎีกาที่ 1977/2497) 2.2.2 “ทางสาธารณะ” หมายความว่า ทางบกหรือทางน้ําสําหรับประชาชนใช้ใน การจราจร และให้หมายความรวมถึงทางรถไฟและรถรางที่มีรถเดินสําหรับประชาชนโดยสารด้วย ทางสาธารณะตามความหมายนี้มี2 ประเภท คือ


22 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ก. ทางสาธารณะประเภทที่หนึ่ง มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 1) ทางบกหรือทางน้ํา “ทางบก” หมายถึง ทางที่เดินด้วยเท้าหรือเดิน ด้วยพาหนะบน บก เช่น ถนน ตรอก ซอย “ทางน้ํา” หมายถึง แม่น้ําลําคลอง ทะเลสาบ ทะเล เป็นต้น 2) สําหรับประชาชนใช้ในการจราจร ต้องเป็นทางที่ประชาชนใช้ใน การจราจร โดยทั่วไป ไม่ใช่ทางสงวนสิทธิ์หรือส่วนบุคคล คําว่า “ประชาชน” หมายถึงประชาชนทั่ว ๆ ไป ไม่เฉพาะเจาะจงถึงคน ใดคนหนึ่ง และมิได้หมายความว่าได้ใช้อย่างสิทธิหรือเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์กรรมสิทธิ์หรือสิทธิจะเป็นของใครไม่ สําคัญ แม้จะได้ใช้โดยฐานอนุญาตก็เป็นทางสาธารณะได้ คําว่า “ประชาชนใช้ในการจราจร” หมายถึงการที่ประชาชนคนใดคน หนึ่งทั่วไปมี อํานาจหรือความชอบธรรมใช้เป็นทางสัญจรได้ ไม่ใช่ทางสําหรับบุคคลบางหมู่ บางคณะ เช่น ทางใน สถานที่ราชการ สถานที่ของเอกชน แม้จะกว้างใหญ่ บุคคลเข้าไป ติดต่อได้ ก็เป็นทางของสถานที่ เหล่านั้นโดยเฉพาะ หาใช่ทางสาธารณะไม่ ข. ทางสาธารณะประเภทที่สอง 1) ทางรถไฟ ทางรถราง สําหรับทางรถรางปัจจุบันได้เลิกใช้รถรางแล้ว แต่บริเวณทาง รถรางนั้นอาจทําเป็นถนน ส่วนทางรถไฟที่จะถือว่าเป็นทางสาธารณะ จะต้องมีรถเดิน 2) ที่มีรถเดินสําหรับประชาชนโดยสารด้วย หมายความว่า นอกจากทางรถไฟที่มีรถ เดินด้วยแล้ว จะต้องสําหรับประชาชนโดยสารด้วยจึงจะเป็นทางสาธารณะ เพราะบางทีทางรถไฟที่ใช้ สําหรับสับเปลี่ยนหัวจักรรถไฟเปลี่ยนตู้รถไฟอย่างนี้มิใช่สําหรับประชาชนโดยสาร ทางสาธารณะนั้นแม้ประชาชนทั่วไปจะเข้าไปได้เป็นสาธารณสถานก็ไม่เป็นทางสาธารณะเสมอ ไป เช่น ในทางสวนสาธารณะสําหรับประชาชนเข้าไปเที่ยวทาง ในบริเวณศูนย์การค้าเอกชน ทางเดินใน ตลาดเอกชน เหล่านี้ไม่เป็นทางสาธารณะเพราะ มิได้ใช้ในการจราจร แต่เป็นทางสําหรับเข้าไปใช้สถานที่ เท่านั้น ส่วนทางในที่เอกชนถ้า เป็นทางที่อนุญาตให้ประชาชนใช้เป็นทางจราจร แม้จะสงวนกรรมสิทธิ์ ปิดเสียเมื่อใดก็ได้ ก็เป็นทางสาธารณะได้ ทางเดินระหว่างสวนซึ่งมหาชนใช้สัญจรทั่วไปเป็นทางหลวง (ทางสาธารณะ) ที่ต้องให้คํานิยามคําว่า “ทางสาธารณะ” เพราะจําเป็นต้องรู้ว่าทางชนิด ใดเป็นทางสาธารณะ เนื่องจาก “ทางสาธารณะ” ที่บัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา เป็นความผิดเกี่ยวกับทางสาธารณะ หลายมาตราด้วยกัน เช่น ในมาตรา 229, 371, 372, 378, 385, 386, 387 และมาตรา 396 เป็นต้น ตัวอย่างค าพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับทางสาธารณะ คําพิพากษาฎีกาที่ 27/2466 ที่ชายตลิ่งซึ่งติดต่อกับถนนหลวง หาใช่ถนนหลวงไม่ คําพิพากษาฎีกาที่ 41/2458 ทางเดินระหว่างสวนสําหรับมหาชนใช้เป็นทางสัญจร ไปมาได้ ทั่วไป ถือเป็นทางสาธารณะ


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 23 คําพิพากษาฎีกาที่ 585/2469 ทางใดที่เป็นทางหลวงอยู่ครั้งหนึ่งแล้วย่อมเป็นทาง หลวงเสมอ ไป นอกจากจะมีกฎหมายบังคับให้เป็นอย่างอื่น คําพิพากษาฎีกาที่ 706/2470 ที่ชายเลนริมทะเลซึ่งน้ําทะเลขึ้นท่วมถึงแต่มีต้นไม้ งอกขึ้นจน เป็นปุา ราษฎรใช้เดินเรือไม่ได้ไม่เป็นทางหลวง คําพิพากษาฎีกาที่ 956/2475 ทางเกวียนซึ่งอยู่ในระหว่างที่นาของราษฎรและ ราษฎรใช้ทางนี้ เป็นทางสําหรับขนข้าว และปีนไปลงท่าน้ําประมาณ 20 ปีแล้ว เป็นทางหลวง คําพิพากษาฎีกาที่ 926/2474 ทางอยู่ในที่ของจําเลย แต่ได้ปล่อยให้ทางนี้เป็นทาง สาธารณะ ประชาชนทั่วไปสัญจรไปมาได้หลายสิบปีแล้ว จําเลยไม่เคยห้าม เป็นทางหลวง คําพิพากษาฎีกาที่ 332/2475 จําเลยได้ยอมยกที่ดินให้เป็นทางแต่ไม่ได้รับโอน โฉนด ได้สร้าง ทางเปิดให้ประชาชนใช้เดินไปมาแล้ว ตัดสินว่าการอุทิศที่เพื่อประโยชน์ สาธารณะและรัฐได้สร้างเป็น ทางจนประชาชนใช้เป็นทางไปมาแล้ว เช่นนี้นับเป็นทาง หลวงแล้ว หาจําต้องโอนไม่ คําพิพากษาฎีกาที่ 200/2476 ที่ซึ่งเจ้าของปล่อยให้สาธารณะชนใช้เดินไปมาเป็น เวลา 20 ปี แล้ว นับเป็นทางหลวง แม้ที่นั้นจะอยู่ในเขตโฉนดเจ้าของที่ดิน คําพิพากษาฎีกาที่ 506/2490 ยกที่ดินให้แก่เทศบาลเพื่อเป็นทางสาธารณะนั้นไม่ ต้องจด ทะเบียน เพียงทําหนังสือมอบทางสาธารณะให้แก่เทศบาลก็พอ คําพิพากษาฎีกาที่ 276-277/2495 แม่น้ําลําคลองนั้นโดยสภาพย่อมถือว่าเป็นทาง ซึ่ง สาธารณชนใช้สัญจรไปมาอันถือได้ว่าเป็นทางสาธารณะหรือทางหลวง เว้นแต่จะตื้นเขิน จนสาธารณชน ไม่อาจใช้เป็นทางสัญจรไปมาต่อไปได้ คําพิพากษาฎีกาที่ 765/2498 การอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณะนั้นแม้จะยังมิได้ แก้โฉนด ที่ดินและใช้มายังไม่ถึง 10 ปีก็ไม่สําคัญ ต้องถือว่าเป็นทางสาธารณะ คําพิพากษาฎีกาที่ 240/2499 ที่ชายตลิ่งน้ําทะเลขึ้นถึงอย่างเดียวนั้น หาใช่ทางสาธารณะเสมอ ไปไม่ การที่ได้ความจากพยานโจทก์ว่าเคยใช้เรือผ่านที่จําเลยเข้าออกมา ประมาณ 20 ปีจะฟังได้ว่ามี การอุทิศที่ดินตอนนั้นเป็นทางสาธารณะโดยปริยายไม่ได้(เพราะไม่ใช่ประชาชนใช้ในการจราจร) 2.2.3 “สาธารณสถาน” หมายความว่า สถานที่ใด ๆ ซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไป ได้ การที่จะเป็นสาธารณสถานจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1) ต้องเป็นสถานที่ คําว่า “สถานที่” หมายถึงสถานที่ทั่ว ๆ ไป จะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือ สังหาริมทรัพย์ ก็ได้อาจเป็นสถานที่ที่มีสิ่งปลูกสร้างหรือว่างเปล่าที่มีขอบเขตจํากัดไว้ก็ได้และอยู่บนบกหรือในน้ําก็ได้ เช่นเดียวกับเคหสถาน รถประจําทาง สถานที่บนขบวนรถไฟ โดยสารซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะ เข้าไปได้เป็นสาธารณสถานเรือโดยสารหรือ เครื่องบินน่าจะอยู่ในความหมายนี้ด้วย


24 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 2) สถานที่นั้นประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ คําว่า “ประชาชน” หมายถึงบุคคลโดยทั่วๆ ไป แต่อาจมีข้อจํากัด เช่น เด็กห้ามเข้า หรือเข้าได้เฉพาะบุคคลบางจําพวก เช่น เข้าได้เฉพาะบุรุษ สตรีหรือพระ ก็ยัง ถือว่าประชาชนเข้าได้อยู่ แต่ที่ที่เข้าได้เฉพาะบุคคลบางจําพวกโดยจํากัด เช่น สมาชิกของสมาคม แม้ใครจะ สมัครเป็นสมาชิกได้แต่ถ้าไม่ได้สมัครก็ไม่ใช่สมาชิกจึงเข้าไปไม่ได้สมาชิกที่เข้าไปได้แม้จํานวนมากมายก็ ไม่ใช่ประชาชน แต่ถ้าบางเวลาเปิดโอกาสให้สมาชิกพาใครๆ เข้าไปได้ไม่จํากัดคุณสมบัติหรือจํานวน แม้จะต้องรับอนุญาตก่อนในโอกาสเช่นนั้นก็ถือ เป็นประชาชนเข้าได้๑ คําว่า “ความชอบธรรม” ที่จะเข้าไป หมายความว่า ประชาชนโดยทั่วไป ย่อมใช้ สถานที่นั้นโดยไม่จําต้องรับอนุญาตจากเอกชนคนใดคนหนึ่ง และไม่จําต้องถึงกับเป็นสิทธิตามกฎหมาย เพียงแต่การอาศัยใช้หรือโดยวิสาสะเป็นเพียงบางครั้งบางคราวไม่ถือเป็นความชอบธรรมของประชาชาน ทั่วไป แต่ถ้าการอาศัยใช้หรือวิสาสะถึงขนาดที่เป็นการอนุญาตอันยอมให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปแล้ว ก็ เป็นชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ และถือเป็นสาธารณสถาน เช่น ร้านค้าซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะ เข้าไปได้ การอนุญาตให้ประชาชนมีความชอบธรรมเข้าไปได้ ความชอบธรรมที่ประชาชนจะเข้าได้อาจมีขอบเขตจํากัดเฉพาะบางส่วน บางเวลา หรือบางตอน เช่น ศาลาวัด โบสถ์ ในขณะที่เปิดให้มีการทําบุญบนศาลา หรือมีเทศน์ในอุโบสถ หรือ บวชนาคในอุโบสถ ถือเป็นเวลาที่ประชาชนมีความชอบธรรมเข้าไป ได้แต่ศาลาหรือโบสถ์ได้ปิดไม่เปิด ให้ประชาชนเข้าไปบางเวลา ไม่ถือว่าประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ สถานเริงรมย์ต่าง ๆ บริเวณที่จัดให้แขกเข้าไปนั่งพัก เช่น สถานอาบ อบ นวด หรือโรงแรม บริเวณที่จัดให้แขกนั่งพักเพื่อ เลือกหญิงบริการ หรือบริเวณที่จัดให้แขกนั่งพักผ่อนในโรงแรม ถือเป็นสถานที่ประชาชนที่มีความชอบ ธรรมที่จะเข้าไปได้แต่ห้องที่หญิงบริการใช้สําหรับอาบ อบ นวด ให้แขก หรือห้องที่จัดสําหรับแขก เข้า อยู่อาศัยในโรงแรม ไม่ถือว่าเป็นสถานที่ประชาชนมีความชอบธรรมเข้าไปได้ สําหรับห้องเรียน ห้องประชุม ซึ่งอนุญาตให้เข้าไปได้เฉพาะบุคคลที่เป็น นักเรียน นิสิต นักศึกษาของสถานที่นั้น หรือสมาชิกของที่ประชุมไม่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ ไม่เป็น สาธารณสถาน เหตุผลที่ต้องให้นิยามคําว่า “สาธารณสถาน” เพราะประมวลกฎหมาย อาญาได้บัญญัติคําว่า สาธารณสถานไว้หลายมาตราด้วยกัน เช่น ในมาตรา 335(9), 372 และ 378 เพื่อให้ความหมายเป็นอัน เดียวกันจึงต้องให้นิยามไว้ ตัวอย่างค าพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวกับ “สาธารณสถาน” คําพิพากษาฎีกาที่ 1908/2518 ถนนซอยในที่ดินเอกชนซึ่งแบ่งให้เช่าปลูก บ้านประชาชนชอบ ที่จะเข้าออกติดต่อกันได้เป็นสาธารณสถาน ๑ จิตติติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์, 2513), หน้า 2068.


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 25 คําพิพากษาฎีกาที่ 883/2520 ห้องโถงในสถานการค้าประเวณีผิด กฎหมายเวลารับแขกมา เที่ยวเป็นสาธารณสถานซึ่งประชาชนมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้พลตํารวจมีอํานาจค้นโดยไม่ต้องมี หมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 93 จําเลยขัดขวาง เป็นความผิดตามมาตรา 140 ตํารวจจับได้ตามมาตรา 78(3) 2.2.4 “เคหสถาน” หมายความว่า ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย เช่น เรือน โรงเรือ หรือ แพซึ่งคนอยู่ อาศัย และให้หมายความรวมถึงบริเวณที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้นด้วย จะมีรั้ว ล้อมหรือไม่ก็ตาม จากความหมายนี้แบ่ง “เคหสถาน” ออกเป็น 2 ประเภท คือ ก. เคหสถานประเภทที่หนึ่ง ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ 1) ต้องเป็นที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย ที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยนั้นได้แก่ เรือน โรงเรือน หรือ แพ นอกจากที่ระบุแล้ว อาจมีสิ่งอื่น ๆ อีก ข้อสําคัญอยู่ที่ว่าที่ซึ่งใช้อยู่อาศัย นั้นต้องเป็นที่คนอยู่อาศัย จริง ๆ ฉะนั้นคําว่า “ที่” จึงหมายความถึง เรือนแพ ด้วย จึงมิใช่ เพียงที่ดินหรือสิ่งซึ่งติดอยู่กับที่ แม้จะ เป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ได้ถ้าใช้เป็นที่อยู่อาศัยก็เป็น เคหสถานได้ 2) ซึ่งคนอยู่อาศัย หมายถึง ใช้เป็นที่หลับนอน ไม่จําต้องกินในที่นั้น การนอนคือนอน หลับเป็นปกติไม่ใช่พักนอนกลางวันชั่วงีบระหว่างเวรยาม แต่ก็มิได้หมายความว่าต้องอยู่ประจําตลอด วัน ถ้าใช้อยู่เป็นปกติแล้วก็ถือว่าเป็นเคหสถาน เช่น บ้านพักชั่วคราวเวลาตากอากาศเป็นเคหสถานแม้จะ ปิดกุญแจตลอดเวลาทั้งที่ไม่มีคนพักหลับนอนด้วย สําหรับห้องเช่าในโรงแรม บังกะโล แฟลต ที่ให้คนเช่าเป็นปกติคงถือเป็นเคหสถานได้ แม้ผู้อาศัยจะเปลี่ยนแปลงหน้ากันอยู่ตลอดไป ส่วนห้องนอนในขบวนรถไฟหรือในเรือซึ่งคนโดยสารใช้ นอนชั่วคราวในระหว่างเดินทางไม่เป็นเคหสถาน แต่ห้องนอนของต้นเรือที่อยู่ประจําเป็นเคหสถาน กางเต็นท์ปลูกเพิงขัดห้างนอนระหว่างเดินทางเป็นระยะๆ ไม่เป็นที่ หลับนอนตามปกติ ถึงแม้จะเป็นเต็นท์ชนิดพิเศษมีเครื่องปรับอากาศก็ไม่เป็นเคหสถาน ทั้งนี้ไม่รวมถึงเต็นท์ที่ใช้หลับนอน ระหว่างทําการสํารวจ ณ ที่ใดเป็นคราวๆ แม้เสร็จแล้วจะย้ายไปที่อื่นก็ถือเป็นเคหสถานได้ เช่นเดียวกับที่พักคนงานกินอยู่หลับนอนชั่วคราว ระหว่างก่อสร้างอาคารก็เป็นเคหสถาน ตัวอย่างที่ถือเป็นเคหสถานมีดังนี้ 1. ปลูกเพิงอยู่เผ้าตากอวนของผู้อพยพมาจับปลาที่สุโขทัยเมื่อถึงฤดูกาล แม้พ้นฤดูจับปลาแล้ว จะทิ้งไปก็เป็นเคหสถาน 2. ห้างร้านที่มีคนเฝูามีที่หลับนอนเป็นปกติเป็นเคหสถาน 3. โรงรถยนต์ที่มีคนอยู่ประจําเพื่อเฝูารักษาเป็นเคหสถาน 4. แพซุงที่ล่องมาจากต้นน้ํามีเพิงคนงานพักนอนเป็นประจําตลอดทางเป็นเคหสถาน เรื่องเดียวกัน, หน้า 2056.


26 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 5. เกวียนที่ใช้เป็นที่อยู่ประจําทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดเวลา เดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ เป็น เคหสถาน (เจ้าทรัพย์จะต้องเป็นผู้ใช้เกวียนเดินทางอยู่เป็นปกติมิใช่จ้างเกวียนไปกิจธุระเป็นชั่วคราว) 6. รถหรือเรือซึ่งใช้เป็นที่พักระหว่างเดินทางและทํางานหรือท่องเที่ยว เป็นที่หลับนอนเป็น ประจําระหว่างทางเป็นเคหสถาน ตัวอย่างที่ไม่ถือเป็นเคหสถานมีดังนี้ 1. ปลูกเพิงนอนเฝูาข้าวหรือจับปลาเป็นครั้งคราวไม่เป็นเคหสถาน 2. บางวันเจ้าของร้านกลับบ้านไม่ทันก็นอนที่ร้านขายของ วันไหนสงสัยว่าจะมีขโมยก็มานอน เฝูาไม่เป็นเคหสถาน 3. ศาลาวัด ศาลาริมทาง ใต้ถุนสะพานที่มีผู้ไปอาศัยนอนหรือแอบอาศัยนอนเป็นครั้งคราว ระหว่างที่เจ้าของยังไม่ขับไล่ หรือห้องขังที่ผู้ถูกคุมขังถูกบังคับให้อยู่จนกว่าจะปล่อยตัว แม้อาจจะเป็น เวลาหลายปีก็มิได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ไม่เป็นเคหสถาน 4. ห้องนอนในรถไฟหรือเรือโดยสารซึ่งใช้พักหลับนอนระหว่างเดินทางโดยเฉพาะ ไม่เป็น เคหสถาน 5. สิ่งปลูกสร้างที่ยังไม่มีคนเข้าอยู่เป็นปกติหรือเลิกใช้โดยออกไปไม่คิดจะกลับ เช่น บ้านเช่า ระหว่างไม่มีคนเช่า ไม่เป็นเคหสถาน ข. เคหสถานประเภทที่สอง คือ บริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยจะมีรั้วล้อมหรือไม่ก็ตาม คํา ว่า “บริเวณ” จะอยู่ติดกับสถานที่อันเป็นเคหสถานโดยตรงหรือห่างออกไปก็ได้เช่น ระเบียงบ้าน นอก ชาน ในครัว ห้องรับแขก อย่างไรก็ตามการที่จะ พิจารณาว่าบริเวณของที่อยู่อาศัยมีขอบเขตเพียงใดย่อม แล้วแต่สภาพของที่อยู่อาศัยและที่ที่ต่อเนื่องว่าเป็นส่วนประกอบของกันและกันหรือแยกออกได้เป็นคน ละส่วนคนละตอน ทั้งนี้ไม่ถือการติดต่อหรือหลังคาเดียวกันเป็นเกณฑ์ เหตุที่ต้องให้นิยามคําว่า “เคหสถาน” เพราะมีบางมาตราในประมวลกฎหมาย อาญาที่บัญญัติ คําว่าเคหสถานไว้เช่น มาตรา 218, 335 และมาตรา 364 เพื่อความหมายอันเดียวกันจึงได้ให้นิยามไว้ ตัวอย่างที่ถือว่าเป็นบริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีดังต่อไปนี้ 1. นอกชานเรือนซึ่งต่อเนื่องกับเรือนไม่ว่าจะมีลูกกรงหรือไม่ เป็นเคหสถาน 2. ครัวเรือนที่ไม่มีคนอยู่อาศัยแต่ติดกับตัวเรือนที่มีคนอยู่อาศัย เป็นเคหสถาน 3. ใต้ถุนเรือนมีฝาขัดแตะกั้นห้อง พื้นเป็นดิน กลางวันใช้เป็นที่ขายของ กลางคืนขนของขึ้นเก็บ บนเรือน ไม่มีคนนอนใต้ถุนนี้ ลักษณะเช่นนี้ต้องถือว่าเป็นบริเวณต่อเนื่องกับตัวเรือน นับว่าเป็น เคหสถาน 4. เล้าไก่แม้จะไม่ใช่ที่คนอยู่อาศัย แต่อยู่ห่างจากตัวเรือนประมาณ 1 เมตร แม้จะแยกออก ต่างหากจากตัวเรือน ก็ยังอยู่ในที่ดินอันเป็นบริเวณของโรงเรียนซึ่งมีรั้วอยู่ด้วย ไม่ใช่อยู่บริเวณต่างหาก จากตัวเรือนซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคน ก็ถือว่าเป็นเคหสถาน จําเลยลักไก่ในเล้าซึ่งอยู่ในบริเวณที่คนอยู่ อาศัย จึงเป็นการลักทรัพย์ใน เคหสถาน (คําพิพากษาฎีกาที่ 393/2509 ประชุมใหญ่)


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 27 5. สนาม ลานบ้าน ก็เป็นบริเวณต่อเนื่องรวมถึงที่ที่เป็นสวนครัว ตัวอย่างที่ไม่ถือเป็นบริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีดังต่อไปนี้ 1. กระท่อมนาตั้งอยู่ในที่ดินแปลงเดียวกับนา 100 ไร่ บริเวณที่อยู่อาศัยย่อมจํากัดเฉพาะพื้นที่ ที่เป็นส่วนของกระท่อมนา ไม่ใช่พื้นนาทั้ง 100 ไร่ 2. โรงกลึงแม้อยู่ในรั้วบ้านแต่ห่างตัวเรือน 1 เส้น ไม่ใช้อยู่อาศัย ไม่เป็นเคหสถาน (คําพิพากษา ฎีกาที่ 515/2486) 3. รั้วบ้านเป็นขอบเขตเคหสถาน ไม่ใช่เป็นเคหสถาน (คําพิพากษาฎีกาที่ 52/2475) 4. ที่ดินมีรั้วสังกะสีล้อมรอบ มีคอกสุกร 80 ตัวอยู่ด้านตะวันตก มีห้องพักคนงานอยู่ด้านเหนือ มีห้องแถวอยู่ด้านใต้สําหรับคนงานอยู่อาศัยสําหรับดูแลสุกรโดยเฉพาะ เป็นที่พักอาศัยชั่วคราวเพื่อดูแล สุกรเป็นอันดับรอง คอกสุกรจึงไม่ใช่บริเวณของที่อยู่อาศัยไม่เป็นเคหสถาน (คําพิพากษาฎีกาที่ 1250/2520) 2.2.5 “อาวุธ” หมายความรวมถึงสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ แต่ซึ่งได้ใช้ หรือเจตนาจะใช้ ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ บทนิยามนี้มิได้กล่าว “อาวุธ” หมายความว่าอะไรเหมือนบทนิยามคําอื่น ๆ ก็เพราะสิ่งซึ่งเป็น อาวุธโดยสภาพมีอยู่แล้ว ฉะนั้นความหมายของคําว่า “อาวุธ” ตามบทนิยามนี้จึงมี2 ชนิด คือ ก. สิ่งซึ่งเป็นอาวุธโดยสภาพ หมายถึง สิ่งซึ่งโดยสภาพแล้วใช้ทํา ให้เป็นอันตรายแก่ร่างกาย บาดเจ็บสาหัสหรือถึงตายได้โดยตรงในกฎหมายลักษณะอาญา เดิม มาตรา 6(5) เรียกว่า “ศาสตราวุธ” และให้ตัวอย่างว่า ปืน ดาบ หอก แหลน หลาว มีด และกระบอง เป็นต้น กรณีอาวุธก็มีความหมาย เช่นเดียวกับศาสตราวุธ ฉะนั้นอาวุธโดย สภาพมีหลักเกณฑ์ให้พิจารณาได้ดังนี้ 1. รูปร่าง ขนาด รูปร่างที่เห็นเป็นอาวุธได้โดยสภาพตามความรู้สึก ของสามัญชนทั่วไป เช่น ปืน ระเบิดมือ ดาบ มีดขนาดใหญ่ ไม้ซางกับลูกดอกอาบยาพิษ 2. ความร้ายแรง หมายถึง สิ่งที่เรียกว่าอาวุธโดยสภาพนี้เมื่อใช้ทําอันตรายแก่กายถึง สาหัสได้โดยไม่จําต้องเลือกว่าเป็นส่วนไหนของร่างกาย ข. สิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ กรณีสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ จะถือว่าเป็นอาวุธได้จะต้อง ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ข้อใดหรือข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ 1. สิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพแต่ได้ใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ หรือ 2. สิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพแต่เจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัส อย่างอาวุธ พระวรภักดิ์พิบูลย์, ศาสตราจารย์, คําอธิบายประมวลกฎหมายอาญา 1.


28 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา กรณีตามข้อ ข. นี้ตามสภาพแล้วไม่เป็นอาวุธถึงแม้จะใช้ทํา อันตรายสาหัสแก่กายได้แต่ถ้าได้ ใช้หรือเจตนาจะใช้ทําอันตรายสาหัสก็ถือเป็นอาวุธ โดยจะต้องใช้อย่างอาวุธ และการใช้ที่จะเป็นอาวุธ ต้องเป็นการใช้ประทุษร้ายแก่ร่างกาย ถ้าใช้ทําอันตรายแก่ทรัพย์หรือใช้ขว้างปาบ้านเรือนมิได้ตั้งใจให้ถูก คนหรือให้เข้าใจว่าจะทําอันตรายแก่ร่างกายบุคคล ไม่เป็นใช้หรือเจตนาจะใช้เป็นอาวุธ อย่างไรเรียกว่า “อันตรายสาหัส” ต้องถือตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 297 มี7 ประการ คือ 1. ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียมานประสาท 2. เสียอวัยวะสืบพันธุ์หรือความสามารถสืบพันธุ์ 3. เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่น ๆ 4. หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว 5. แท้งลูก 6. จิตพิการอย่างติดตัว 7. ทุพพลภาพ หรือปุวยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจ ตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ส่วนที่ว่าใช้อย่างอาวุธนั้น หมายความว่า แม้วัตถุบางอย่างจะ ใช้ทําอันตรายบุคคลถึงสาหัส หากลักษณะวิธีการที่ใช้เทียบไม่ได้กับอาวุธโดยสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่ถือเป็นอาวุธ เช่น เข็มเย็บผ้า ไม้จิ้มฟัน ใช้แทงลูกตาให้บอด เทียบไม่ได้กับอาวุธที่ใช้เฉาพะการทําให้ตาบอด จึงไม่เป็น อาวุธ หรือต้องการฆ่าคนโดยใช้รถยนต์ไล่ชน รถยนต์ไม่เป็นอาวุธ เพราะเทียบไม่ได้กับอาวุธโดยสภาพ แต่ถ้าใช้ปิ่นปักผมยาวๆ ใช้กรรไกรขาเดียว หรือเหล็กแหลมเจาะกระสอบข้าวสารทําร้ายร่างกายเหล่านี้ เทียบได้กับมีดจึงเป็นอาวุธ ที่ต้องทราบว่าเป็นอาวุธหรือไม่นี้มีความสําคัญแก่การกระทํา ความผิดฐานลักทรัพย์กรรโชก ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ บุกรุก และความผิดลหุโทษด้วย (ป.อ.มาตรา 335, 337, 339, 340, 365, 371 และ 379) โดยเฉพาะความผิดต่อร่างกาย อาวุธที่ใช้ทําร้ายเป็นเหตุหนึ่งที่จะชี้เจตนาของผู้กระทําผิด ตัวอย่างที่เป็นอาวุธโดยสภาพหรือถือเป็นอาวุธ 1. ถ่อตามสภาพเป็นเครื่องใช้ชนิดหนึ่งสําหรับเรือ เมื่อเอามา ใช้เป็นเครื่องประการในการชิง ทรัพย์จึงเป็นอาวุธ 2. ไม้พายตามสภาพเป็นเครื่องมือใช้พายเรือ แต่เมื่อผู้ใดใช้ไม้พาย ทําร้ายเขาจนบาดเจ็บสาหัส ก็ถือได้ว่าเป็นอาวุธ 3. ไม้ยาว 5 ฟุต โคนโต 10 นิ้ว ตอนกลางและปลายโต 8 นิ้วครึ่งนั้นเป็นอาวุธ อาจใช้ทําร้ายถึง ตายได้ 4. ปืนที่ไม่อาจใช้ยิงทําอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุได้ก็เป็นอาวุธ ปืนตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ และ เป็นอาวุธโดยสภาพ พาไปในเมืองเป็นความผิดตามมาตรา 371 (คําพิพากษาฎีกาที่ 1903/2520)


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 29 5. จําเลยชักสิ่วออกมาขู่จะทําร้ายในการปล้น เป็นการปล้นโดยมีอาวุธติดตัวไปตาม ป.อ.มาตรา 340 วรรค 2 (คําพิพากษาฎีกาที่ 2009/2522) ตัวอย่างที่ไม่ถือว่าเป็นอาวุธ 1. หนังสะติ๊กนั้นตามธรรมดาเป็นของสําหรับเด็กยิงอะไรเล่น เมื่อไม่ปรากฏว่าอาจใช้ทําร้าย ร่างกายได้ถึงสาหัสผิดแปลกไปจากธรรมดาแล้ว ไม่ใช่อาวุธ (คําพิพากษาฎีกาที่ 886/2492) 2. จอบเสียมที่จําเลยใช้เป็นเครื่องมือขุดนาของคนอื่น เรียก ไม่ได้ว่ามีอาวุธเข้าไปบุกรุก (คํา พิพากษาฎีกาที่ 335/2493) 3. ไฟฉายที่ใช้ในการปล้นทรัพย์ เมื่อไม่ปรากฏว่าใหญ่และ ยาวเท่าใด จะอนุมานเอาว่าเป็น เครื่องประหารอันสามารถจะใช้กระทําแก่ร่างกายให้ถึง สาหัส เป็นอาวุธไม่ได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1311/2493) 4. ยารมทําให้มึนเมาหรือยาอย่างอื่น ไม่ใช่อาวุธ ข้อสังเกต คําว่า “ได้ใช้” หมายความว่า ใช้ทําร้ายร่างกาย แล้ว ส่วนคําว่า “เจตนาจะใช้” หมายความว่ายังไม่ได้ใช้เลย แต่ตั้งใจจะใช้เท่านั้น ก็ถือว่า ทําความผิดโดยใช้อาวุธ 2.2.6 “ใช้ก าลังประทุษร้าย” หมายความว่าทําการประทุษร้ายแก่กายหรือจิตใจ ของบุคคล ไม่ว่าจะทําด้วยใช้แรงกายภาพหรือด้วยวิธีอื่นใด และให้หมายความรวมถึงการ กระทําใด ๆ ซึ่งเป็นเหตุ ให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ไม่ว่าจะ โดยใช้ยาทําให้มึนเมา สะกดจิต หรือใช้ วิธีอื่นใดอันคล้ายคลึงกัน ตามนิยามที่ 6 นี้พึงแยกการใช้กําลังประทุษร้ายออกได้เป็น ประการคือ 1. การประทุษร้ายโดยตรง ได้แก่การประทุษร้ายแก่ร่างกายหรือจิตใจของบุคคลด้วย ก. แรงกายภาพ หรือ ข. ด้วยวิธีอื่นใด คําว่า “ประทุษร้าย” หมายถึง การทําร้ายแก่กายหรือจิตใจของบุคคล เช่น ชก ต่อย ตบตีใช้อาวุธปืนยิง ใช้มีดแทง เป็นต้น แต่การกระทําต่อชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือเสรีภาพมิได้ถือว่าเป็น ประทุษร้ายตามบทนิยามนี้ คําว่า “ใช้แรงกายภาพ” หมายความถึงการประทุษร้ายด้วยการใช้ อํานาจทางกาย หรือกําลังกายของบุคคลผู้กระทําต่อบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งถูกกระทํา เช่น การชก ต่อย ตบตีถีบ เตะ หรือ ผลักให้ล้ม เป็นต้น โดยไม่หมายรวมถึงพลังธรรมชาติหรือพลังทางจิตใจ คําว่า “วิธีอื่นใด” จะต้องมีความหมายทํานองเดียวกับใช้แรงกายภาพ เช่น ก. ผลัก ข. ให้ตกบันได เป็นการใช้แรงกายภาพ แต่ถ้า ก.หลอกให้ข. เดินตรงไปโดย การเอาผงซักฟอกโรยให้ถนนลื่น รถวิ่งมาคว่ํา คนในรถเป็นอันตราย หรือใช้ไฟฟูาจี้หรือใช้เหล็ก เผาไฟจี้เหล่านี้ถือเป็นใช้วิธีอื่นใดทํานองเดียวกับใช้แรงกายภาพ


30 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา การประทุษร้ายแก่ “ร่างกาย” หมายถึง ทําให้ร่างกายเจ็บปุวย เปรอะ เปื้อน เปียก ร้อน เย็น กว่าปกติจนเป็นภัยต่อกาย เช่น เทอุจจาระรด ถ่ายปัสสาวะรดตัวคน การประทุษร้ายแก่ “จิตใจ” หมายถึง กระทําต่อจิตใจ ได้แก่ ทําให้ตกใจ ทําให้หมดสติทั้งนี้ไม่ รวมถึงการทําให้เกิดความรู้สึกกลัว โกรธ หรือเสียใจ น้อยใจ เจ็บใจ แค้นใจ เพราะเป็นแต่เพียงอารมณ์ เท่านั้น ไม่ถึงกับทําร้ายจิตใจ๕ 2. การกระทําใด ๆ ซึ่งทําให้บุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้โดย ก. ใช้ยาทําให้มึนเมา สะกดจิต หรือ ข. ใช้วิธีอื่นใดอันคล้ายคลึงกัน คําว่า “ใช้ยาทําให้มึนเมา” หมายถึง ให้กินยาประเภทต่าง ๆ ทําให้เกิด อาการมึนเมา จนไม่สามารถจะขัดขืนได้ คําว่า “สะกดจิต” หมายถึง ใช้อํานาจทางกระแสจิตที่เหนือกว่าบังคับ ให้บุคคลหนึ่ง บุคคลใดกระทําอย่างใดอย่างหนึ่ง คําว่า “ใช้วิธีอื่นใดอันคล้ายคลึงกัน” หมายความว่า ใช้วิธีการอื่นใดก็ตาม ให้ทํานอง เดียวกับการทําให้มึนเมาหรือสะกดจิต เช่น ใช้ยาเบื่อเมาให้กินจนหมดสติ หรือมอมเหล้าจนหมดสติ หรือใช้ควันรม เป็นต้น สําหรับการกระทําใดๆ ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ ไม่สามารถขัด ขืนได้นั้น มีข้อสําคัญอยู่ที่ว่าการกระทํานั้น ๆ เป็นเหตุให้บุคคลผู้ถูกกระทํา อยู่ในภาวะไม่สามารถขัดขืน ได้ถ้าปราศจากข้อนี้เสียก็ไม่เรียกว่าถูกประทุษร้าย การ กระทําในเรื่องนี้ได้แก่ การใช้ยารม ยาเบื่อเมา สะกดจิต ฉีดยาให้สลบ หรือวิธีอื่นใดอัน คล้ายคลึงกัน เช่น จําเลยใช้ยาทําให้ผู้เสียหายมึนเมาเป็นเหตุให้ ตกอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถจะขัดขืนได้ ดังนี้ถือว่าเป็นการใช้กําลังประทาร้ายแล้ว (คําพิพากษาฎีกาที่ 529/2509) ตัวอย่างการใช้ก าลังประทุษร้าย 1. คําพิพากษาฎีกาที่ 428/2512 การที่จําเลยทั้งสองมีไม้ตะพดเป็นอาวุธร่วมกันลักทรัพย์โดย ใช้ไม้ตะพดตีหรือมือตบตีเป็นการใช้กําลังประทุษร้ายแล้ว 2. คําพิพากษาฎีกาที่ 361/2520 จําเลยปัดไฟฉายที่ผู้เสียหายถืออยู่จนหลุดจากมือ ผู้เสียหาย ก้มลง เก็บไฟฉาย จําเลยกระชากเอาสร้อยคอพาหนีไป การปัดไฟฉายเป็นการกระทําแก่เนื้อตัวหรือกาย เป็นการใช้กําลังประทุษร้าย จิตติติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรงพิมพ์แสงทองการพิมพ์, 2513), หน้า 2098. ๕ เรื่องเดียวกัน, หน้า 2098.


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 31 3. คําพิพากษาฎีกาที่ 2103/2521 จําเลยรวบคอผู้เสียหายเพื่อให้รู้ว่าสวมสร้อยคออยู่ แล้ว กระตุก สร้อยคอทองคําหนัก 2 สลึง สร้อยบาดคอเป็นแผลไม่ถึงแก่อันตรายแก่กาย ไม่เป็นชิง ทรัพย์ เป็นการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า มีความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ 4. คําพิพากษาฎีกาที่ 52/2523 การที่จําเลยที่ 1 กอดเอว และจําเลยที่ 2 ดึงเสื้อเจ้าพนักงาน ตํารวจไว้เพื่อมิให้จับกุมญาติของตนที่กําลังถูกติดตามจับกุม เป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้า พนักงานโดยใช้ กําลังประทุษร้าย 5. คําพิพากษาฎีกาที่ 867/2502 แกะเชือกที่ผูกกระบือจากมือเด็กเลี้ยงกระบือ แล้วพากระบือ วิ่งหนีไป เป็นการใช้กําลังประทุษร้าย 6. คําพิพากษาฎีกาที่ 1609/2506 คนร้ายจับข้อมือพวกเจ้าทรัพย์ให้เข้าไปในบ้านไม่ให้ส่งเสียง ดัง เป็นการใช้กําลังประทุษร้าย 7. คําพิพากษาฎีกาที่ 1176/2519 ขี่จักรยานยนต์เคียงคู่รถที่ผู้เสียหายกําลังขี่อยู่บนถนน แล้ว จับแขน ดึงคอเสื้อจนรถผู้เสียหายเซ และกระชากสร้อยคอไป ถือได้ว่าเป็นการใช้กําลังประทุษร้าย 2.2.7 “เอกสาร” หมายความว่า กระดาษหรือวัตถุอื่นใดซึ่งได้ทําให้ปรากฏความหมาย ด้วย ตัวอักษร ตัวเลข ผัง หรือแผนแบบอย่างอื่น จะเป็นโดยวิธีพิมพ์ถ่ายภาพ หรือวิธีอื่น อันเป็นหลักฐาน แห่งความหมายนั้น ความหมายตามบทนิยามนี้ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ 1. ต้องเป็นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด 2. ทําให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ผัง หรือแผนแบบอย่างอื่น 3. ด้วยวิธีพิมพ์หรือถ่ายภาพ หรือวิธีอื่น 4. เป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้น 1. ต้องเป็นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด หมายความถึงสิ่งที่ใช้สําหรับทําให้ความหมายของถ้อยคํา ปรากฏขึ้น เอกสารนั้นมิใช่ตัวถ้อยคําที่แสดงความหมาย แต่เป็น วัตถุที่ทําให้ปรากฏความหมายขึ้น ซึ่ง อาจทําขึ้นบนกระดาษหรือวัตถุอื่น เช่น บนแผ่น ทองแดง แผ่นศิลา แผ่นไม้บนกําแพง บนพื้นทราย เป็นต้น 2. ท าให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ผัง หรือแผนแบบอย่างอื่น หมายความว่าต้องมี การกระทําของบุคคลให้ปรากฏความหมายขึ้นบนกระดาษหรือวัตถุ อื่นโดยจะปรากฏอยู่ชั่วคราวหรือ ถาวรก็ได้ข้อสําคัญบุคคลจะต้องเป็นผู้ทําให้ปรากฏ มิใช่ ปรากฏขึ้นเอง เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ปรอท แสดงอุณหภูมิ เครื่องชั่งตวงวัดนาฬิกาบอก เวลา เครื่องคํานวณ เป็นต้น แต่ถ้าเครื่องทําให้ปรากฏ ความหมายแล้วบุคคลไปดัดแปลงข้อความนั้น ข้อความที่ดัดแปลงเป็นการกระทําของบุคคล “ความหมาย” หมายความว่าสิ่ง ที่ทําให้ปรากฏขึ้นนั้นต้องแสดงความคิดของผู้ทําเอกสาร จะเป็นที่ เข้าใจได้หรือไม่ก็ตาม กล่าวคือ สิ่งที่ทําให้ปรากฏจะต้องเป็นสื่อแสดงข้อความของบุคคล ต้องแสดง


32 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา เหตุการณ์และแสดงความคิดของบุคคลผู้นั้นทําขึ้นนั้น การทําให้ปรากฏความหมายจะแสดง ออกเป็น ตัวอักษร ตัวเลข ผัง หรือแผนแบบอย่างอื่นก็ได้ขอให้อ่านหรือเห็นความหมายได้โดยการสัมผัสทางตา เช่น อักษรและเลขบนท่อนซุง อักษรและเลขที่พานท้ายปืน แผนที่ แบบแปลน รูปภาพ ขวัญกระบือที่ ขีดเส้นโยงไว้กับภาพสัตว์ในตั๋วพิมพ์รูปพรรณสัตว์ พาหนะ แผนที่หลังโฉนดที่ดิน เหล่านี้แสดง ความหมายได้จึงเป็นเอกสาร 3. วิธีพิมพ์หรือถ่ายภาพ หรือวิธีอื่น หมายความว่า การทําให้ปรากฏ ความหมายบนกระดาษ หรือวัตถุอื่นใดนี้จะใช้วิธีพิมพ์ หรือถ่ายภาพ หรือวิธีอื่นก็ได้เช่น เขียน ตีตราข้อความ แกะสลัก พ่นสี พ่นควัน ทําให้เครื่องจับเวลาหยุด เป็นต้น 4. เป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้น หมายความว่าการทําให้ปรากฏ ความหมายบนกระดาษ หรือวัตถุอื่นใดนั้นจะเป็นโดยพิมพ์ ถ่ายภาพ หรือวิธีอื่นนี้จะต้อง ปรากฏคงทนอยู่ชั่วขณะหนึ่งเพื่อได้ ทราบความหมายนั้น เช่น กองทัพอากาศส่งเครื่องบิน ไปปล่อยควันเป็นตัวอักษรหรือเขียนข้อความบน พื้นทรายชายทะเล หรือเขียนข้อความบน หิมะ เป็นต้น ตัวอย่างเกี่ยวกับเอกสาร 1. เจ้าทรัพย์แสดงกลออกตั๋วให้คนดูแล้วนําตั๋วนั้นไปขึ้นเอาของได้ในตั๋วนั้น มีแต่ตัวเลข จําเลย นําตั๋วไปส่งแก่เจ้าทรัพย์เพื่อรับของ ปรากฏเป็นตั๋วปลอม และจําเลย นําไปใช้โดยรู้ว่าเป็นตั๋วปลอม ดังนี้ ตัดสินว่าตั๋วนั้นเป็นจดหมาย จํานวนตัวเลขที่ปรากฏใน ตั๋วเป็นถ้อยคําที่อ้างเป็นพยานได้(คําพิพากษา ฎีกาที่ 1007/2468) 2. เครื่องหมายอักษรโรมัน และตัวเลขซึ่งเขียนไว้บนซุงไม้ขอนสัก เพื่อแสดงว่าเป็นไม้ของ บริษัทใด และมีความใหญ่ยาวเท่าใดนั้นเป็นหนังสือตามกฎหมาย (คําพิพากษาฎีกาที่ 701/2470) 3. หนังสือมอบอํานาจให้จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนเจ้าของที่ดินนั้นเป็นเอกสารที่บุคคล ธรรมดาทําขึ้น จึงมิใช่เอกสารราชการหรือเอกสารสิทธิ(คําพิพากษาฎีกาที่ 668/2502, 1764/2506) 4. อักษรและเลขหมายที่พานท้ายปืนอันเป็นเครื่องหมายทะเบียนอาวุธปืนของเจ้าพนักงานนั้น ไม่ใช่รอยตราของเจ้าพนักงาน แต่เป็นเอกสารตามมาตรา 1(7) (คําพิพากษาฎีกาที่ 1269/2503) 5. ภาพถ่ายห้อง เครื่องใช้ตู้เสื้อผ้า และของอื่น ๆ ในบ้านไม่ได้แสดง ความหมายอย่างใด ไม่ เป็นเอกสารตามมาตรา 1(7) (คําพิพากษาฎีกาที่ 1209/2522) 6. ภาพถ่ายสําเนารายการประวัติอาชญากรที่เจ้าหน้าที่รับรอง แต่เจ้าหน้าที่มิได้รับรอง ถ่ายภาพ ภาพถ่ายนี้ไม่ใช่เอกสารราชการ เป็นแต่เอกสารตามมาตรา 1(7) (คําพิพากษาฎีกาที่ 1375/2522) 7. จําเลยเอาภาพถ่ายผู้อื่นรับปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตและสวมครุย วิทยฐานะมาปิด ภาพถ่ายเฉพาะใบหน้าของจําเลยลงไปแทน แก้เลข พ.ศ. 2508 เป็น 2504 แล้วถ่ายเป็นภาพใหม่ดูแล้ว เรื่องเดียวกัน, หน้า 1418, 1419.


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 33 เป็นภาพจําเลยรับปริญญามีตัวอักษรว่ามหาวิทยาลัย แพทยศาสตร์พ.ศ. 2504 เป็นภาพถ่ายที่ไม่ทําให้ ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษรฯ ตาม มาตรา 1(7) เลข พ.ศ. ก็ไม่ปรากฏความหมายในตัวเอง ไม่เป็น ปลอมเอกสาร (คําพิพากษาฎีกาที่ 1530/2522) 2.2.8 “เอกสารราชการ” หมายความว่า เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทําขึ้นหรือรับรอง ในหน้าที่ และให้หมายความรวมถึงสําเนาเอกสารนั้น ๆ ที่เจ้าพนักงานได้รับรองในหน้าที่ด้วย ตามความหมายในบทนิยามนี้แบ่งเอกสารราชการออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน คือ 1. เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทําขึ้นในหน้าที่ เช่น สํานวนการสอบสวน ใบ ตรวจโรคที่เจ้า พนักงานแพทย์ออกให้ ใบอนุญาตอาวุธปืน ใบอนุญาตร่อนหาแร่ ใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ ใบบอกธนาณัติที่เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ ทําให้ไปรับเงินธนาณัติแบบ ส.ด.9 ที่จด ทะเบียนทหารกองเกิน ประกาศนียบัตรของ กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารที่ผู้กํากับการตํารวจอนุมัติให้ นายสิบและพลตํารวจไป ราชการ ใบสุทธิที่เรือนจําออกให้ผู้พ้นโทษ เป็นต้น 2. เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานไม่ได้ทําขึ้น แต่ได้รับรองในหน้าที่ หมายความว่า เอกสารนั้นโดย หน้าที่ตามกฎหมายแล้วเจ้าพนักงานไม่มีหน้าที่ต้องทํา แต่เป็นเอกสารซึ่ง บุคคลอื่นทําขึ้นและเจ้า พนักงานได้รับรองตามอํานาจหน้าที่ของตนที่มีอยู่ การรับรอง หมายความว่ารับรองว่าได้มีการทํา เอกสารขึ้นโดยแท้จริง แต่มิใช่รับรองข้อเท็จจริงแห่ง เอกสารนั้น 1 เช่น จ่าศาลรับรองคําพิพากษาซึ่ง คู่ความขอให้รับรอง ใบมอบอํานาจซึ่งทํา ขึ้นแล้วนําไปให้นายอําเภอรับรอง เจ้าพนักงานหอทะเบียน หุ้นส่วนบริษัทรับรองสําเนาคํา ขอจดทะเบียนการค้า เป็นต้น 3. วิธีพิมพ์หรือถ่ายภาพ หรือวิธีอื่น หมายความว่า การทําให้ปรากฏ ความหมายบนกระดาษ หรือวัตถุอื่นใดนี้จะใช้วิธีพิมพ์ หรือถ่ายภาพ หรือวิธีอื่นก็ได้เช่น เขียน ตีตราข้อความ แกะสลัก พ่นสี พ่นควัน ทําให้เครื่องจับเวลาหยุด เป็นต้น 4. เป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้น หมายความว่าการทําให้ปรากฏ ความหมายบนกระดาษ หรือวัตถุอื่นใดนั้นจะเป็นโดยพิมพ์ ถ่ายภาพ หรือวิธีอื่นนี้จะต้อง ปรากฏคงทนอยู่ชั่วขณะหนึ่งเพื่อได้ ทราบความหมายนั้น เช่น กองทัพอากาศส่งเครื่องบิน ไปปล่อยควันเป็นตัวอักษรหรือเขียนข้อความบน พื้นทรายชายทะเล หรือเขียนข้อความบน หิมะ เป็นต้น ข้อสังเกต 1. การที่จะถือเป็น “เอกสารราชการ” ได้นั้น จะต้องเป็น “เอกสาร” ตามบทนิยามที่ 7 เสียก่อน 2. ผู้กระทําหรือรับรองเอกสารต้องเป็นเจ้าพนักงาน คํา ว่า “เจ้าพนักงาน” หมายความรวมถึง ก. บุคคลที่กฎหมายระบุไว้ชัดว่าเป็นเจ้าพนักงาน พระวรศักดิ์พิบูลย์, ศาสตราจารย์, ค าอธิบายกฎหมายอาญา 1, อ้างแล้ว, หน้า 38.


34 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา ข. บุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติราชการไม่ว่าจะเป็นประจําหรือชั่วคราวและ ไม่ว่าจะ ได้รับประโยชน์ตอบแทนเพื่อการนั้นหรือไม่ ตัวอย่างเกี่ยวกับเอกสารราชการ 1. ใบสําคัญประจําตัวคนต่างด้าวเป็นเอกสารราชการ (คําพิพากษาฎีกาที่ 925/2503) 2. ใบทะเบียนรถยนต์เป็นเอกสารราชการ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1702/2506) 3. ใบอนุญาตมีปืนเป็นเอกสารราชการ (คําพิพากษาฎีกาที่ 356/2465) 4. หมายแจ้งโทษของศาลถึงเรือนจําเป็นเอกสารราชการ (คําพิพากษาฎีกาที่ 266/2474) 5. หนังสือขอยืมเงินทดรองราชการมีลายเซ็นผู้บังคับบัญชาอนุมัติให้จ่ายได้(คําพิพากษาฎีกาที่ 731/2509) 6. ใบทะเบียนสมรสเป็นเอกสารราชการ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1112/2499) 7. บัตรประจําตัวข้าราชการเป็นเอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทําขึ้นในหน้าที่เป็น เอกสารราชการ (คําพิพากษาฎีกาที่ 2979/2522) 2.2.9 “เอกสารสิทธิ” หมายความว่า เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ ตามความหมายในบทนิยามนี้แยกเอกสารสิทธิออกได้5 ประเภทด้วยกัน ดังนี้คือ 1. เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อให้เกิดสิทธิคําว่า “สิทธิ” ได้แก่ ประโยชน์อันบุคคลมีอยู่ แต่ประโยชน์เป็นสิทธิหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่ว่าบุคคลอื่นมีหน้าที่ ต้องเคารพหรือไม่ ถ้าบุคคลอื่นมีหน้าที่ ต้องเคารพ ประโยชน์ก็เป็นสิทธิกล่าวคือ ได้รับ การรับรองและคุ้มครองของกฎหมาย (คําพิพากษาฎีกา ที่ 124/2487) ฉะนั้นการก่อให้เกิด สิทธิจึงหมายถึงเอกสารนั้นจะเกิดผลบังคับได้ตามกฎหมาย เช่น สัญญากู้ยืมเงินซึ่ง ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ให้กู้ยืมที่จะเรียกร้องเอาเงินคืนจากผู้กู้ได้ 2. เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการเปลี่ยนแปลงสิทธิหมายถึง การ เปลี่ยนแปลงวัตถุในการ ชําระหนี้หรือเปลี่ยนตัวลูกหนี้ใหม่ เช่น ก.กู้เงินจาก ข. ไป 1,000 บาท ต่อมา ก. และ ข. ได้มาตกลงทํา หนังสือกันว่าเมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ ก.ไม่ต้องนํา เงิน 1,000 บาทมาชําระ ให้เปลี่ยนเอาน้ําตาลมาชําระ แทนเงิน 1,000 บาท 3. เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการโอนสิทธิ หมายความว่า การโอนสิทธิ เรียกร้องกู้ยืมนั้น ให้แก่บุคคลอื่นไป และแจ้งการโอนสิทธิให้ผู้กู้ยืมทราบแล้ว สิทธิเรียกร้อง ของผู้กู้ยืมเดิมจึงโอนไปอยู่กับ บุคคลอื่นที่รับโอนนั้น ทําให้ผู้รับโอนมีสิทธิเรียกร้องเงินกู้ยืม จากผู้กู้ได้โดยตรง 4. เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการสงวนสิทธิหมายความว่า สิทธินั้นบุคคลได้มีอยู่แล้ว แต่ที่ ทํานิติกรรมก็เพื่อสงวนไว้ซึ่งสิทธิอันจะเสียไป เช่น การกู้ยืมเงินที่จะ หมดอายุความ 10 ปีผู้ให้กู้จึงให้ผู้กู้ ทําหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ทําให้อายุความสะดุดหยุด ลง เป็นการสงวนสิทธิเรียกร้อง หรือในกรณีที่ให้ผู้ ค้ําประกันทําสัญญาประกันเพื่อการ ชําระหนี้หรือนําทรัพย์สินมาจํานองเป็นประกัน เป็นต้น


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 35 5. เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการระงับสิทธิ เช่น การชําระหนี้ เจ้าหนี้ออกใบ รับเงินแก่ ลูกหนี้หนังสือปลดหนี้จึงเป็นหลักฐานแห่งการระงับสิทธิ ตัวอย่างเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ 1. หนังสือมอบอํานาจ “ให้จัดการแทนเจ้าของที่ดินอย่างใดอย่างหนึ่งแทน เจ้าของที่ดิน” นั้น เป็นเอกสารที่บุคคลธรรมดาทําขึ้น จึงมิใช่หนังสือราชการและมิใช่ เอกสารสิทธิเพราะมิใช่เป็นหนังสือ สําคัญแก่การตั้งกรรมสิทธิ์หรือเป็นหลักฐานแห่งการ เปลี่ยนแปลงหรือเลิกล้างโอนกรรมสิทธิ์แต่อย่างใด (คําพิพากษาฎีกาที่ 668/2502) 2. คําร้องทุกข์ของผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่เอกสารสิทธิตามมาตรา 1(9) ฉะนั้นแม้จะได้ความว่าจําเลยเจตนาทุจริตหลอกลวงให้ผู้เสียหายถอนคํา ร้องทุกข์ก็ดีก็ลงโทษจําเลย ฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ไม่ได้(คําพิพากษาฎีกาที่ 928/2506) 3. แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ด.1) เป็นเอกสารสิทธิ(คําพิพากษาฎีกา ที่ 456/2506) 4. ในการซื้อเชื่อสินค้าต่าง ๆ เมื่อผู้ขายนําส่งสิ่งของที่ผู้ซื้อสั่งซื้อนั้น ผู้นําส่ง ได้เขียนกรอก รายการสิ่งของที่นําส่งและราคาลงในบิลด้วย เมื่อฝุายผู้ซื้อตรวจสอบสิ่งของ และราคาถูกต้องกับจํานวน ที่ฝุายผู้ขายนําส่งแล้ว ก็ลงลายมือชื่อผู้รับในบิลนั้นมอบให้แก่ ผู้นําส่งสิ่งของไป บิลซื้อเชื่อสิ้นค้าต่าง ๆ รายนี้จึงเป็นหลักฐานแห่งการก่อหนี้สินและสิทธิ เรียกร้อง ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิตามกฎหมาย (คํา พิพากษาฎีกาที่ 584/2508) 5. สลากกินแบ่งเป็นเอกสารสิทธิเท่านั้น ไม่ใช่เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสาร ราชการ (คํา พิพากษาฎีกาที่ 557/2509) 6. ข้าราชการทํารายงานการเดินทางพร้อมกับใบสําคัญเพื่อหักใช้เงินยืม ทดรองโดยมีลายเซ็น ปลอมของผู้บังคับบัญชาว่าตรวจแล้ว เป็นการปลอมเอกสารสิทธิอัน เป็นเอกสารราชการ (คําพิพากษา ฎีกาที่ 731/2509) 7. คําว่า “เอกสารสิทธิ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) นั้น มุ่งหมายถึงเอกสารที่ เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิหรือหนี้สินทุกอย่าง หนังสือรับรอง ทรัพย์ที่ยื่นขอประกันตัวจําเลยต่อศาล ซึ่งผู้ยื่นดังกล่าวรับรองต่อศาลว่าหลักทรัพย์ตามบัญชีคําร้องขอ ประกันเป็นของผู้เอาประกันหากบังคับแก่ทรัพย์ตามสัญญาประกันไม่ได้หรือได้ไม่ครบ ผู้ทําหนังสือ รับรองทรัพย์ยอมรับผิดใช้เงินจนครบ ซึ่งเท่ากับเป็นหนังสือสัญญาค้ําประกันผู้ขอประกันต่อศาลอีก ชั้นหนึ่ง เป็นเอกสารสิทธิตามความหมายของบทบัญญัติดังกล่าว (คําพิพากษาฎีกาที่ 263/2513) 8. แบบสํารวจที่บริษัทการค้ามอบให้แก่ลูกจ้างของบริษัทเพื่อไปสํารวจและ กรอกรายการ สินค้าจําหน่ายตามร้านซึ่งเป็นลูกค้าของบริษัท กับกรอกรายการสินค้าที่ได้ จ่ายชดเชยให้ร้านค้า เหล่านั้นตามกฎเกณฑ์ของบริษัท เป็นหลักฐานแสดงการจ่ายสินค้า ชดเชยให้แก่ร้านค้าเหล่านั้น หาใช่ หลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือ ระงับซึ่งสิทธิแต่ประการใดไม่ ไม่ใช่เอกสารสิทธิ(คํา พิพากษาฎีกาที่ 554/2514)


36 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 9. สําเนาบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมที่พิมพ์ลงในแบบพิมพ์ ท.ด.70 ของสํานักงานที่ดิน ซึ่งให้เจ้าพนักงานรับรองสําเนาว่าถูกต้อง และมิได้มีอะไรแสดงให้เห็น ว่าเป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานได้ ทําขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ ย่อมไม่เป็นเอกสารราชการ แต่ เป็นเอกสารที่แสดงถึงการมีกรรมสิทธิ์รวมใน ที่ดิน จึงเป็นเอกสารสิทธิ(คําพิพากษาฎีกาที่ 1731/2514) 10. เอกสารที่มีข้อความว่าจําเลยที่ 1 ซื้อที่ดินโดยลงชื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อแทน จําเลยที่ 1 ต้องการ ที่ดินเมื่อใด โจทก์จะโอนโฉนดคืนให้นั้น เป็นหลักฐานแห่งการ เปลี่ยนแปลงสิทธิของโจทก์ในที่ดิน จึง เป็นเอกสารสิทธิ(คําพิพากษาฎีกาที่ 709/2516) 11. ใบเสร็จรับเงินค่าภาษีรถยนต์ที่ทางราชการออกให้ย่อมเป็นหลักฐาน แสดงว่าทางราชการ ได้รับชําระค่าภาษีรถยนต์ไว้แล้ว มีผลทําให้การเก็บภาษีรถยนต์ของ รัฐเป็นอันเสร็จสิ้นไป จึงเป็น เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ (คําพิพากษาฎีกาที่ 2266-2278/2519) 12. จําเลยเป็นพนักงานประจําเขียนใบเสร็จรับเงินท่อนแรกให้ผู้ชําระเงิน 35 บาท แต่เขียน สําเนาท่อนสองส่งคลังและท่อนสามติดอยู่ในเล่มรายละ 25 บาทบ้าง 10 บาทบ้าง ลงวันคนละวันส่งเงิน ตามสําเนา ยักยอกเงินที่เหลือ ดังนี้เป็นการปลอมเอกสาร สําเนาใบเสร็จรับเงินอันเป็นเอกสารสิทธิ(คํา พิพากษาฎีกาที่ 1653/2520) 13. ใบมอบอํานาจให้จดทะเบียนแก้โฉนดที่ดินมอบให้ทํานิติกรรมแทน ไม่เป็นหลักฐานแห่ง การก่อตั้งสิทธิไม่ใช่เอกสารสิทธิ(คําพิพากษาฎีกาที่ 2417/2520) 14. ใบมอบอํานาจให้ไถ่ถอนจํานองและจํานองใหม่ เป็นแต่มอบอํานาจให้จัดการอย่างใดอย่าง หนึ่งแทน ไม่ใช่เอกสารสิทธิ(คําพิพากษาฎีกาที่ 534/2522) 2.2.10 “ลายมือชื่อ” หมายความรวมถึงลายพิมพ์นิ้วมือ และเครื่องหมายที่บุคคล ลงไว้แทน ลายมือชื่อของตน ตามความหมายของบทนิยามนี้แยกออกได้3 ประเภท คือ 1. ลายมือชื่อ (ลายเซ็นชื่อ) เป็นตัวอักษรของเจ้าของชื่อ เช่น นาย ก. ซื่อสัตย์ 2. ลายพิมพ์นิ้วมือ ได้แก่ลายพิมพ์นิ้วมือของบุคคลผู้ลงลายมือชื่อตัวเอง เป็นตัวอักษรไม่ได้จึง เป็นพิมพ์ลายนิ้วมือแทน 3. เครื่องหมายอื่นซึ่งบุคคลลงไว้แทนลายมือชื่อ เช่น การใช้ตรายี่ห้อ ประทับแทนการลง ลายมือชื่อเป็นปกติ ถือว่าเสมอกับลงลายมือชื่อ หรืออาจจะใช้แกงได หรือเครื่องหมายอื่นทํานอง เดียวกันก็ได้ 2.2.11 “กลางคืน” หมายความว่า เวลาระหว่างพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น ตาม ความหมายของบทนิยามนี้ กลางคืนถือเอาการขึ้นและตกของพระอาทิตย์เป็นเกณฑ์ ซึ่งจะเปลี่ยนไป ตามฤดูกาล อันทําให้มืดหรือสว่างนี้กําหนดเป็นเวลาไม่ได้ มิได้ถือเวลา ตามนาฬิกาซึ่งคงที่อยู่ตลอดปี ที่ว่าพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกนั้นหมายความถึงดวงอาทิตย์ ขึ้นหรือตกจากขอบฟูา มิได้ดูเอาจากแสงของ


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 37 พระอาทิตย์ ซึ่งแสงนี้ตามปกติจะมีมาก่อน ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือยังมีแสงอยู่หลังจากพระอาทิตย์ตกแล้ว ดังนั้นกรณีที่จะถือว่าเป็นเวลา กลางคืนจึงหมายถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกพ้นขอบฟูาไปแล้ว แต่ใน ระหว่างที่ดวงอาทิตย์ กําลังตกยังถือว่าเป็นเวลากลางวัน ถ้าตกพ้นทั้งดวงแล้วจึงจะเป็นเวลากลางคืน ส่วนเวลา กลางวันคือเมื่อพระอาทิตย์ได้โผล่ขึ้นมาพ้นดวงจากขอบฟูาแล้วถ้ากําลังจะขึ้นก็ถือว่าเป็น เวลากลางคืน “เส้นขอบฟูา” หมายถึงเส้นที่ฟูาจดกับพื้นโลกซึ่งพื้นโลกมีทั้งน้ํา ภูเขา ตลอดจนปุา และ สิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ 2.2.12 “คุมขัง” หมายความว่า คุมตัว ควบคุม ขับ กักขัง หรือจําคุก ตามบทนิยามนี้ได้ให้ความหมายของคําว่า “คุมขัง” ไว้5 ประเภท คือ 1. คุมตัว คือคุมตัวไว้ในสถานพยาบาลตามมาตรา 39, 48, 49 2. ควบคุม หมายถึงการคุมหรือกักขังผู้ถูกจับโดยพนักงานฝุายปกครอง หรือตํารวจในระหว่าง สืบสวนและสอบสวนตามมาตรา 2(21) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 3. ขัง หมายถึงการกักขังจําเลยหรือผู้ต้องหาโดยศาล ตามมาตรา 2(22) แห่งประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา 4. กักขัง คือโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18(3) 5. จําคุก คือโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18(2) 2.2.13 “ค่าไถ่” หมายความว่า ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เรียกเอาหรือให้ เพื่อแลกเปลี่ยน เสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือผู้ถูกกักขัง ตามความหมายของบทนิยามนี้กรณีจะถือว่าเป็น “ค่าไถ่” จะต้อง ประกอบด้วยหลักเกณฑ์3 ประการคือ 1. ต้องเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์ คําว่า “ทรัพย์สิน” ประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 138 บัญญัติว่า “ทรัพย์สินนั้นหมายความรวมทั้งทรัพย์และวัตถุ ไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาได้ และถือเอาได้” เช่น ที่ดิน บ้านเรือน ตึก ทองคํา เพชรนิล จินดา รถยนต์ หรือวัตถุอื่นใดที่มีราคาและ ถือเอาได้คําว่า “ประโยชน์” นั้นรวมทั้ง ประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวกับทรัพย์สินด้วย เช่น ยกลูกสาวให้ให้ถอน ฟูองคดีที่ถูกฟูองอยู่ในศาล 2. ทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้น ต้องเป็นสิ่งที่ผู้กระทําเรียกเอาหรือฝุายผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วง เหนี่ยวหรือกักขังให้เองก็ได้ประโยชน์ที่เรียกเอานี้ไม่มีข้อจํากัดว่า ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งต่างกับทุจริตในมาตรา 1(1) ฉะนั้นถึงแม้จะเป็น ประโยชน์ที่ควรได้ แต่ถ้าเรียกเอาโดยวิธีการเพื่อ แลกเปลี่ยนเสรีภาพของผู้ถูกเอาตัวไป ก็ถือว่าเป็นค่าไถ่แล้ว 3. ในการเรียกทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้น ต้องเป็นการเรียกเอาหรือให้เพื่อ แลกเปลี่ยนเสรีภาพ ของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง เมื่อประกอบด้วยหลักเกณฑ์ทั้ง 3 ประการแล้ว จึงเป็น “ค่าไถ่”


38 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 2.2.14 “บัตรอิเล็กทรอนิกส์” หมายความว่า (ก) เอกสารหรือวัตถุอื่นใดไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใดที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ซึ่งจะระบุชื่อ หรือไม่ก็ตาม โดยบันทึกข้อมูลหรือรหัสไว้ด้วยการประยุกต์ใช้วิธีการ ทางอิเล็กตรอน ไฟฟูา คลื่น แม่เหล็กไฟฟูา หรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน ซึ่งรวมถึง การประยุกต์ใช้วิธีทางแสงหรือวิธีการทาง แม่เหล็กให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข รหัสหมายเลขบัตร หรือสัญลักษณ์อื่นใด ทั้งที่ สามารถมองเห็นและมองไม่เห็นด้วย ตาเปล่า (ข) ข้อมูล รหัส หมายเลขบัญชีหมายเลขชุดทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ เครื่องมือทางตัวเลขใดๆ ที่ ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้โดยมิได้มีการออกเอกสารหรือ วัตถุอื่นใดให้แต่มีวิธีการใช้ทํานองเดียวกับ (ก) หรือ (ค) สิ่งอื่นใดที่ใช้ประกอบกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลกับ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อระบุตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของ 2.2.15 “หนังสือเดินทาง” หมายความว่า เอกสารสําคัญประจําตัวไม่ว่าจะมีรูปร่างลักษณะใด ที่รัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศออกให้แก่บุคคลใดเพื่อใช้แสดงตนในการ เดินทางระหว่างประเทศและให้หมายความรวมถึงเอกสารใช้ แทนหนังสือเดินทางและแนบหนังสือ เดินทางที่ยังไม่ได้กรอกข้อความเกี่ยวกับผู้ถือหนังสือเดินทางด้วย


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 39 ค าถามท้ายบท ๑. การกระทํา “โดยทุจริต” จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์อย่างไร จงอธิบาย . ให้นิสิตอธิบายความหมาย “เคหสถาน” พร้อมยกตัวอย่าง เคหสถานประเภทที่หนึ่งและเคหสถาน ประเภทที่สอง มาโดยละเอียด . ให้นิสิตอธิบายลักษณะของเอกสารสิทธิแตกต่างจากเอกสารราชการอย่างไร . การคุมขังแบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง จงอธิบาย ๕. การสะกดจิตถือเป็นการประทุษร้ายหรือไม่ อย่างไรจงอธิบาย


40 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา อ้างอิงประจ าบท จิตติติงศภัทิย์, ศาสตราจารย์, ค าอธิบายประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ตอน 2 และตอน 3, (โรง พิมพ์แสงทองการพิมพ์, 2513), หน้า 2068. พระวรภักดิ์พิบูลย์, ศาสตราจารย์, คําอธิบายประมวลกฎหมายอาญา 1.


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 41 บทที่ 3 ขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายอาญา วัตถุประสงค์การเรียนประจ าบท 1. เพื่อให้นิสิตทราบถึงการกระทําความผิดในราชอาณาจักรและภายนอกราชอาณาจักร 2. เพื่อให้นิสิตอธิบายถึงขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายอาญาได้ ขอบข่ายเนื้อหา 1. เวลาที่กฎหมายอาญาใช้บังคับ 2. สถานที่ที่กฎหมายอาญาใช้บังคับ 2.1 ความหมายคําว่า “ราชอาณาจักร” 2.2 ความผิดเกิดในราชอาณาจักรโดยตรง 2.3 ความผิดถือว่าเกิดในราชอาณาจักร 2.4 ความผิดเกิดนอกราชอาณาจักร 2.5 อํานาจศาลในการลงโทษผู้กระทําความผิดโดยคํานึงถึงคําพิพากษาในศาล ต่างประเทศ 3. บุคคลที่กฎหมายอาญาใช้บังคับ วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจ าบท 1. การบรรยาย 2. การศึกษาเอกสารประกอบการสอน 3. ทําแบบฝึกหัดท้ายบท สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. ประมวลกฎหมายอาญา


42 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 3.1 เวลาที่กฎหมายอาญาใช้บังคับ มีหลักทั่วไปของกฎหมายอาญาว่า กฎหมายไม่มีผลหลัง คําว่า “กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง” หมายความว่ากฎหมายจะไม่ย้อนหลังไปใช้บังคับแก่ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันที่ กฎหมายใช้บังคับ สําหรับกฎหมายอาญา การที่กฎหมายอาญาจะไม่มีผลย้อนหลังจึงหมายความว่า กฎหมายอาญาจะไม่มีผลย้อนหลังไปลงโทษบุคคลหรือเพิ่มโทษบุคคลให้หนักยิ่งขึ้น1 เพราะฉะนั้นการ กระทําที่บุคคลจักต้องรับโทษอาญามักจะต้องเป็นการกระทําผิดต่อกฎหมายที่ใช้อยู่ “ในขณะกระทํา นั้น” ถ้าในขณะกระทํานั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้แต่มาบัญญัติในภายหลัง ว่าการกระทําเช่นนั้นเป็นความผิด ก็จะย้อนไปลงโทษผู้กระทําไม่ได้เพื่อให้เป็นไปตามหลักที่ว่ากฎหมาย อาญาไม่มีผลย้อนหลัง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 จึงบัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทาง อาญาต่อเมื่อได้กระทําการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทํานั้นบัญญัติเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทําความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย” และรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 บัญญัติว่า “บุคคลจะไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่จะ ได้กระทําการอันกฎหมายซึ่งใช้อยู่ในเวลาที่กระทํานั้นบัญญัติเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้และโทษที่ จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กําหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้เวลาที่กระทําความผิดมิได้” ที่ว่า “ได้กระทําการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทํานั้นบัญญัติเป็นความผิด ฯลฯ หมายความว่า การกระทําอันที่เป็นองค์ความผิดต้องได้กระทําในระหว่างที่กฎหมายซึ่งบัญญัติความผิดขึ้นนั้นกําลังใช้ บังคับอยู่ถ้าหากการกระทําบางอันกระทําเมื่อกฎหมายบัญญัติความผิดขึ้นแล้ว แต่บางอันกระทําเมื่อยัง ไม่มีกฎหมายบัญญัติเช่นนั้น ทําให้การกระทําเมื่อกฎหมายบัญญัติความผิดขึ้นแล้วไม่ครบองค์ความผิด นอกจากจะนําเอาการกระทําเมื่อยังไม่มีกฎหมายบัญญัติความผิดประกอบเข้าด้วย ดังนี้จะถือว่าได้ กระทําการที่กฎหมายในขณะกระทํานั้นบัญญัติเป็นความผิดหาได้ไม่ เว้นแต่การกระทํานั้นจะต่อเนื่อง หรือยังคงกระทําอยู่จนครบองค์ความผิดตามกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใหม่ (คําพิพากษาฎีกาที่ 347/2497) จึงสรุปได้ว่า บุคคลจะรับโทษอาญาต่อเมื่อ 1) กระทําการที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด 2) กฎหมายนั้นกําหนดไว้(โทษที่จะลงแก่ผู้กระทําผิดจะต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในบทกฎหมาย นั้น) จากหลัก 2 ประการนี้จึงแยกอธิบายได้3 ประการคือ 1. มีกฎหมายแล้ว หมายความว่า ขณะกระทํานั้นต้องมีกฎหมายบัญญัติว่า การกระทํานั้นเป็น ความผิด หากในขณะกระทําไม่มีกฎหมาย ภายหลังจะออกกฎหมายย้อนหลัง โดยถือว่าการกระทํานั้น เป็นความผิดมิได้กล่าวคือ จะลงโทษทางอาญาแก่บุคคลใดได้ก็ต่อเมื่อเขาได้กระทําการที่กฎหมายซึ่งใช้ อยู่ขณะที่เขากระทํานั้น บัญญัติว่าการกระทํานั้นเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้ ทั้งนี้เป็นไปตาม 1 หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2515), หน้า 35.


เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 43 สุภาษิตกฎหมายที่ว่า NULLUM SINE LEGE NULLA POENNA SINE LEGE2 (แปลตามตัวได้ว่า ไม่มี ความผิดโดยไม่มีกฎหมาย ไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย) คํา ว่า “กฎหมาย” หมายความว่า กฎหมายลายลักษณ์อักษร ได้แก่บทกฎหมายที่ตราขึ้นโดย อํานาจนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ เช่น ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชกําหนดที่มี พระราชบัญญัติอนุมัติในภายหลัง กฎกระทรวง ประกาศหรือคําสั่งที่ออกตามพระราชบัญญัติ คําว่า “ขณะกระทําความผิด” คือขณะใด3 1. ขณะลงมือ 2. ขณะผลเกิดขึ้น 3. ถือเอาทั้งขณะลงมือและขณะผลเกิดขึ้นเป็นขณะกระทําความผิด โดยทั่วไปแล้วต้องถือว่ากฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทําความผิด คือ กฎหมายที่ใช้ ในขณะลงมือกระทําความผิด ไม่ใช่กฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่ผลแห่งการกระทําความผิดเกิดขึ้น เช่น แดงเขียนจดหมายมีข้อความหมิ่นประมาทดําส่งไปจังหวัดเชียงใหม่ ขณะที่เขียนกฎหมายกําหนดโทษไว้ เล็กน้อย สมมติว่าเมื่อจดหมายไปถึงผู้รับที่เชียงใหม่มีกฎหมายเพิ่มโทษสูงขึ้น ถ้าจะถือว่าขณะที่กระทํา ความผิดคือขณะที่ผลของการกระทําเกิดขึ้นก็ต้องถือว่าความผิดเกิดขึ้นเมื่อจดหมายถึงผู้รับที่เชียงใหม่ และเห็นได้ชัดว่าการที่จะเอากฎหมายที่เพิ่มโทษสูงมาลงโทษแดงที่ลงมือเขียนจดหมายมาก่อน ประกาศใช้กฎหมายที่เพิ่มโทษให้สูงขึ้นนั้น ย่อมไม่เป็นความยุติธรรมแก่แดง ซึ่งถ้าใช้กฎหมายในขณะที่ แดงลงมือเขียนจดหมายหมิ่นประมาท แดงก็จะได้รับโทษเบา จากหลักดังกล่าวข้างต้น กฎหมายอาญาเมื่อบัญญัติขึ้นประกาศใช้และมีผลบังคับแล้ว ตั้งแต่นั้นไปผู้ใดกระทําการอย่างที่กฎหมายอาญาฉบับนั้นบัญญัติห้ามไว้ ก็จะมีความผิดและถูกลงโทษ กฎหมายอาญาจึงบัญญัติขึ้นมาให้มีผลบังคับในปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น ดังนั้น การกระทําที่เป็นความผิดนี้ไม่ว่าความผิดที่ห้ามมิให้บุคคลกระทําหรือความผิด ที่บังคับให้บุคคลกระทํา นี้จะต้องมีองค์ประกอบของการกระทํา และองค์ประกอบของจิตใจจึงจะเป็น ความผิด เช่น เรื่องลักทรัพย์องค์ประกอบของการกระทําคือเอาทรัพย์ของผู้อื่นไป องค์ประกอบของ จิตใจก็คือมีเจตนาทุจริต 2. โทษที่จะลง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ได้กําหนดโทษที่จะลงแก่ผู้กระทํา ความผิดไว้ 5 สถานคือ ประหารชีวิต จําคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน ซึ่งโทษเหล่านี้จะลงแก่ ผู้กระทําความผิดได้ต่อเมื่อได้กระทําการที่กฎหมายซึ่งใช้อยู่ขณะที่กระทํานั้นเป็นความผิดและกําหนด โทษไว้ในกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทําความผิดนั้น หลักเกณฑ์สําคัญตามมาตรา 2 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายอาญามีดังนี้ 2 ดร.อุทศ แสนโกศิก, กฎหมายอาญาภาค 1 (พระนคร: ศูนย์บริการเอกสารและวิชาการ กองวิชาการ กรมอัยการ, 2525), หน้า 301. 3 หยุด แสงอุทัย, ศาสตราจารย์ดร., กฎหมายอาญาภาคทั่วไป, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2520), หน้า 36.


44 เอกสารประกอบการสอน วิชา กฎหมายอาญา 2.1 กฎหมายอาญาจะย้อนหลังให้เป็นโทษมิได้หมายความว่า กฎหมายอาญาจะใช้ บังคับได้ในขณะกระทําเท่านั้น หากในขณะกระทําไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด ต่อมาจะมีการออก กฎหมายย้อนหลังให้การกระทํานั้นเป็นความผิดไม่ได้ หรือในขณะกระทํานั้นได้มีกฎหมายบัญญัติเป็น ความผิดและกําหนดโทษไว้ต่อมาจะออกกฎหมายย้อนหลังเพิ่มโทษการกระทําดังกล่าวให้หนักขึ้นมิได้ 2.2 กฎหมายอาญาจะต้องบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรให้แน่นอนและชัดเจน เนื่องจากในมาตรา 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญาใช้คําว่า “บัญญัติเป็นความผิด” ฉะนั้นกฎหมายอาญา ที่บัญญัติมาใช้บังคับจึงต้องบัญญัติให้แน่นอนและชัดเจนไม่คลุมเครือ เพื่อผู้ปฏิบัติตามกฎหมายจะได้รู้ ล่วงหน้าว่าการกระทําหรืองดเว้นกระทําใดเป็นความผิดหรือไม่ สําหรับด้านผู้ใช้กฎหมายจะเป็นการ สะดวกในทางปฏิบัติและการใช้ดุลพินิจตามใจตนเองไม่ได้ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ 3. กฎหมายอาญาจะต้องตีความโดยเคร่งครัด เมื่อกฎหมายอาญาได้บัญญัติโดยแน่นอนและ ชัดเจนแล้วเวลาจะใช้กฎหมายอาญาบังคับจะต้องตีความโดยเคร่งครัดตามตัวอักษร หลักการตีความโดยเคร่งครัดนี้หมายความว่า4 ก. จะนําบทกฎหมายใกล้เคียง (Analogy) มาใช้ให้เป็นผลร้ายมิได้ ข. จะนําจารีตประเพณีมาใช้ให้เป็นผลร้ายมิได้ หลักที่ว่ากฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังนั้น เคยกล่าวมาแล้วว่ามิให้มีผลย้อนหลังไป เป็นผลร้ายแก่ผู้กระทําความผิด แต่ถ้าบัญญัติไว้ให้ย้อนหลังไปในทางที่เป็นผลดีก็ไม่อยู่ในข้อห้าม โดย เหตุนี้ประมวลกฎหมายอาญาจึงได้มีบทบัญญัติยกเว้นหลักเรื่องกฎหมายมีผลย้อนหลังอยู่ 2 กรณี ดังต่อไปนี้คือ 3.1 กรณีที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายในภายหลัง การกระท านั้นไม่เป็นความผิด ต่อไป ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 วรรค 2 ว่า “ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ บัญญัติในภายหลัง การกระทําเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ที่ได้กระทําการนั้นพ้นจากการเป็น ผู้กระทําความผิด และถ้าได้มีคําพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคําพิพากษาว่า ได้กระทําความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง” ตามความในมาตรา 2 วรรค 2 นี้ เป็นเรื่องบทบัญญัติของกฎหมายในภายหลังได้ ยกเลิกกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทําความผิด ซึ่งการยกเลิกนี้อาจยกเลิกโดยตรงโดยระบุข้อความให้ ยกเลิกกฎหมายเก่าไว้ในกฎหมายใหม่ก็ได้หรืออาจเป็นแต่เพียงกฎหมายใหม่มีข้อความทับหรือขัดแย้ง กับกฎหมายเก่าก็ได้ ปัญหาว่าถ้ามีการยกเลิกพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศ หรือคําสั่งเทศ บัญญัติหรือข้อบังคับที่ออกตามพระราชบัญญัติแต่ตัวพระราชบัญญัตินั้นเองยังคงอยู่ตามเดิมไม่มีการ 4 เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์, ผศ.ดร., กฎหมายอาญาภาค 1 บทบัญญัติทั่วไป (กรุงเทพมหานคร: คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2524), หน้า 20-25.


Click to View FlipBook Version